ʶҺѹ¾Ãл¡à¡ÅŒÒ การศึกษาความเคลื่อนไหวทางการเมืองและพฤติกรรม การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดสุรินทร์ พิสมัย ศรีเนตร และ จันทรา ธนะวัฒนาวงศ์
2 การศึกษาความเคลื่อนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดสุรินทร์ เรื่อง การศึกษาความเคล่อื นไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลอื กต้งั สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร 2562 จังหวัดสรุ ินทร์ A Study of Political Activities and Electoral Behaviors ผู้เขียน in the 2019 Thailand General Election in Surin Province พสิ มยั ศรีเนตร และ จันทรา ธนะวัฒนาวงศ์ เลขมาตรฐานสากลประจำ�หนังสือ (e-book) 978-616-476-120-9 รหสั สิ่งพมิ พ์สถาบนั สวพ.63-42-00.0 (ebook) พมิ พค์ รั้งที่ 1 สงิ หาคม 2563 ประสานงาน วลัยพร ล้ออศั จรรย์ สงวนลิขสิทธิ ์ © 2563 ลขิ สิทธ์ิของสถาบนั พระปกเกล้า จัดพมิ พ์โดย สำ�นักวิจัยและพฒั นา สถาบนั พระปกเกล้า ศนู ย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาฯ อาคารรฐั ประศาสนภกั ดี ชัน้ 5 (โซนทิศใต้) เลขท่ี 120 หมู่ 3 ถนนแจง้ วัฒนะ แขวงทุ่งสองหอ้ ง เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ 10210 โทรศัพท์ 0-2141-9596 โทรสาร 0-2143-8177 http://www.kpi.ac.th
3 ค�ำน�ำสถาบันพระปกเกล้า การเลอื กตงั้ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรเมอื่ วนั ท่ี 24 มนี าคม พ.ศ.2562 เปน็ การเลอื กตง้ั ครง้ั แรก ภายหลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ซ่ึงได้มีการเปล่ียนแปลง กตกิ าทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การเลอื กตง้ั หลายประการ ไดแ้ ก่ การน�ำระบบการเลอื กตงั้ ทเี่ รยี กวา่ “การเลอื กตง้ั แบบ จัดสรรปันส่วนผสม” มาใช้ โดยก�ำหนดให้แต่ละเขตเลือกต้ังมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้เขตละหนึ่งคน และประชาชนผู้มีสิทธิเลือกต้ังมีสิทธิออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งได้คนละหน่ึงคะแนน ส่วนสมาชิก สภาผแู้ ทนราษฎรแบบบญั ชรี ายชอื่ นน้ั เปน็ การจดั สรรโดยค�ำนวณจากคะแนนรวมทพ่ี รรคการเมอื งไดจ้ าก การเลอื กตงั้ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรแบบแบง่ เขตทวั่ ประเทศ การก�ำหนดใหพ้ รรคการเมอื งสามารถเสนอ รายชอื่ บคุ คลซงึ่ สมควรไดร้ บั แตง่ ตง้ั เปน็ นายกรฐั มนตรไี มเ่ กนิ สามรายชอื่ การก�ำหนดในเรอื่ งคณุ สมบตั แิ ละ ลักษณะต้องห้ามของผู้สมัครรับเลือกต้ัง รูปแบบและวิธีการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ตลอดจนบทลงโทษ กรณีกระท�ำความผิดเก่ียวกับการเลือกต้ังท่ีเข้มข้นกว่าการเลือกต้ังคร้ังก่อนๆ นอกจากนี้ การเลือกต้ัง เม่ือวันท่ี 24 มีนาคม 2562 ยังเกิดข้ึนท่ามกลางบริบทและสภาพแวดล้อมทางสังคม เศรษฐกิจ และ การเมอื งทเ่ี ปลยี่ นแปลงไปจากการเลอื กตง้ั ทว่ั ไปครง้ั หลงั สดุ เมอ่ื ปี 2554 เปน็ อยา่ งมาก อาทิ การวา่ งเวน้ จากการเลือกตั้งเกือบแปดปีท�ำให้มีผู้มีสิทธิเลือกตั้งครั้งแรก (First Time Voter) มากกว่า 7 ล้านคน การเปลี่ยนแปลงอย่างฉบั พลนั ของเทคโนโลยกี ารสอ่ื สาร (Digital Disruption) ท�ำให้สอื่ ใหม่ (new media) เข้ามามีอิทธิพลในการเลือกตั้งอย่างเด่นชัดเป็นครั้งแรก การเปลี่ยนแปลงในกติกาและสภาพแวดล้อม ดังกล่าวท�ำให้เกิดการเปล่ียนแปลงในกระบวนการจัดการเลือกต้ัง ยุทธวิธีการหาเสียงของผู้สมัครและ พรรคการเมอื ง รวมถงึ พฤตกิ รรมการตดั สนิ ใจลงคะแนนของประชาชนอยา่ งมนี ยั ยะส�ำคญั และนา่ สนใจยง่ิ หนงั สอื ชดุ “การเลอื กตงั้ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร 2562” นเี้ ปน็ ผลการศกึ ษาจากชดุ โครงการวจิ ยั ทสี่ ถาบนั พระปกเกลา้ ไดจ้ ดั ท�ำขน้ึ โดยมวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอื่ ส�ำรวจและบนั ทกึ ปรากฏการณท์ างการเมอื งโดย เฉพาะในมิติของความเคล่ือนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเม่ือ 24 มีนาคม พ.ศ. 2562 ในจังหวัดต่างๆ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร กาฬสินธุ์ ก�ำแพงเพชร กาญจนบุรี ขอนแกน่ ชลบรุ ี เชยี งใหม่ แพร่ รอ้ ยเอด็ สงขลา สพุ รรณบรุ ี สรุ นิ ทร์ พะเยา พษิ ณโุ ลก ปตั ตานี สรุ าษฎรธ์ านี เลย สระแก้ว และอุบลราชธานี ข้อมูลท่ีน�ำเสนอในหนังสือชุดนี้ได้ฉายให้เห็นภาพในระดับพ้ืนท่ีของ
4 การศึกษาความเคลื่อนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดสุรินทร์ บรรยากาศและความเคลอ่ื นไหวของพรรคการเมอื ง องคก์ รและกลมุ่ ทางการเมอื งตา่ ง ๆ ความเคลอ่ื นไหว และพฤตกิ รรมทางการเมอื งของผสู้ มคั รรบั เลอื กตง้ั บทบาทของหนว่ ยงานทเ่ี ขา้ มาเกย่ี วขอ้ งในการเลอื กตง้ั พฤติกรรมทางการเมืองของประชาชนและกลุ่มการเมือง การใช้ทรัพยากรต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเร่ืองคา่ ใชจ้ ่าย การเปลยี่ นแปลงของขว้ั อ�ำนาจทางการเมือง การย้ายพรรคการเมอื ง ปัจจยั ที่ส่งผลตอ่ การตัดสินใจทางการเมือง รวมท้ังการวิเคราะห์ผลการเลือกตั้งที่เกิดข้ึน การเคล่ือนไหวและการรณรงค์ ในการเลอื กตง้ั ในแตล่ ะจงั หวดั ทป่ี รากฏในสอ่ื ออนไลน์ ตลอดจนประเดน็ อน่ื ๆ ทน่ี า่ สนใจทป่ี รากฏขนึ้ มา ในช่วงระหว่างการมพี ระราชกฤษฎีกาก�ำหนดให้มีการเลอื กต้งั วนั เลือกตัง้ และหลังการเลอื กตัง้ สถาบันพระปกเกล้าขอขอบคุณ รองศาสตราจารย์ ฐปนรรต พรหมอินทร์ รองศาสตราจารย์ พรชัย เทพปัญญา รองศาสตราจารย์ ดร.สามารถ ทองเฝือ รองศาสตราจารย์ ดร.กตัญญู แก้วหานาม รองศาสตราจารย์ ดร.ศิวัช ศรีโภคางกุล ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ไพลิน ภู่จีนาพันธุ์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.บูฆอรี ยีหมะ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พิชญ์ พงษ์สวัสด์ิ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วิเชียร ตันศิริคงคล ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.กฤษฎา พรรณราย ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.ณฐั พงศ์ บญุ เหลอื ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย ์ ศทุ ธกิ านต์ มจี นั่ ดร.พมิ พล์ ขิ ติ แกว้ หานาม ดร.พสิ มยั ศรเี นตร ดร.จนั ทรา ธนะวฒั นาวงศ ์ ดร.ภคพร วฒั นด�ำรง ดร.ประเทือง ม่วงอ่อน ดร.ณรินทร์ เจริญทรัพยานนท์ ดร.เสริมสิทธ์ิ สร้อยสอดศรี อาจารย์ ชนันทิพย์ จันทรโสภา อาจารย์ อุบลวรรณ สุภาแสน อาจารย์ ดารารัตน์ ค�ำเป็ง ตลอดจนผู้เก่ียวข้องทุกท่านที่ให้ ความอนเุ คราะหร์ ว่ มด�ำเนนิ งานวจิ ยั ขอขอบพระคณุ ทรงคณุ วฒุ ทิ กุ ทา่ นทก่ี รณุ าเปน็ ผพู้ จิ ารณาใหข้ อ้ เสนอแนะ เพอื่ ใหง้ านวจิ ยั มคี ณุ ภาพ สถาบนั พระปกเกลา้ คาดหวงั วา่ ผลจากการศกึ ษาของชดุ โครงการวจิ ยั นี้ จะเปน็ ฐานขอ้ มูลส�ำคัญท่จี ะน�ำไปสู่การพัฒนาประชาธปิ ไตยของประเทศไทยต่อไป สถาบันพระปกเกล้า 2563
5 ค�ำน�ำ โครงการวิจัย “การศึกษาความเคล่ือนไหวทางการเมืองและพฤติกรรม การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดสุรินทร์” สามารถด�ำเนินการ จนส�ำเร็จลุล่วงได้ จากความช่วยเหลือและความอนุเคราะห์จากหลายฝ่าย ผู้วิจัย ขอขอบคณุ ผใู้ หข้ อ้ มลู เกย่ี วกบั การเลอื กตง้ั ในจงั หวดั สรุ นิ ทร์ เมอื่ วนั ที่ 24 มนี าคม 2562 ที่ผ่านมาท่ีกรุณาสละเวลาในการให้ข้อมูล สัมภาษณ์ พูดคุยในประเด็นต่างๆ ของ งานวิจัยน้ี ขอขอบคุณส�ำนักวิจัยและพัฒนา สถาบันพระปกเกล้าท่ีให้การสนับสนุน ทนุ วจิ ยั น้ี ขอบคณุ อาจารย์ ดร.ประเทอื ง มว่ งออ่ น ในความชว่ ยเหลอื ประสานงานตดิ ตอ่ พรรคการเมืองในจังหวัดสุรินทร์และให้ค�ำปรึกษาในการด�ำเนนิ งานวิจัยน้ี ขอขอบคุณ ผู้บริหาร คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ในการสนับสนุนการท�ำงานวิจัย ในครง้ั นี้ ทา้ ยทสี่ ดุ ขอขอบคณุ มหาวทิ ยาลยั อบุ ลราชธานี ทใ่ี หโ้ อกาสในการท�ำงานวจิ ยั ครงั้ น้ี พสิ มยั ศรีเนตร จนั ทรา ธนะวัฒนาวงศ์
6 การศึกษาความเคลื่อนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดสุรินทร์ บทสรุปผู้บริหาร โครงการวิจัยเร่ือง การศึกษาความเคลื่อนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกตั้งสมาชิก สภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดสุรินทร์ มีวัตถุประสงค์ ดังน้ี (1) เพื่อศึกษาบรรยากาศทางการเมือง และความเคล่ือนไหวทางการเมืองขององค์กรและกลุ่มทางการเมืองท่ีเก่ียวข้องกับการเลือกตั้งสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรในจังหวัดสุรินทร์ (2) เพื่อศึกษาพฤติกรรมทางการเมืองของผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง และผสู้ มคั รรบั เลอื กตงั้ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรในจงั หวดั สรุ นิ ทร์ (3) เพอื่ ศกึ ษาการเปลยี่ นของพฤตกิ รรม ทางการเมือง แบบแผนพฤติกรรมทางการเมืองของประชาชน และกลุ่มการเมือง ในส่วนท่ีเก่ียวข้องกับ การเลือกตงั้ สมาชกิ สภาผูแ้ ทนราษฎรในจงั หวดั สุรินทร์ ขอบเขตด้านเวลาของการศึกษาประกอบไปด้วย การศึกษาต้ังแต่ช่วงก่อนการเลือกตั้ง ชว่ งระหวา่ งการมพี ระราชกฤษฎกี าก�ำหนดใหม้ กี ารเลอื กตงั้ วนั เลอื กตง้ั จนถงึ ประมาณ 1 เดอื น ภายหลงั จากคณะกรรมการการเลอื กตงั้ ประกาศรบั รองผลการเลอื กตง้ั อยา่ งเปน็ ทางการในจงั หวดั สรุ นิ ทร์ ประชากร ทท่ี �ำการศกึ ษาไดแ้ ก่ ผลู้ งสมคั รรบั เลอื กตงั้ หนว่ ยงานภาครฐั บรษิ ทั เอกชน องคก์ รอสิ ระ องคก์ รสาธารณะ สอื่ มวลชน และองคก์ รอนื่ ๆ ทมี่ อี ทิ ธพิ ลในการเลอื กตง้ั ในระดบั เขตจงั หวดั สรุ นิ ทร์ ตลอดจนความตน่ื ตวั สนใจ การเขา้ มสี ว่ นรว่ ม และพฤตกิ รรมการเลอื กตง้ั ของประชาชน โดยระยะเวลาในการศกึ ษาวจิ ยั ระหวา่ ง วนั ท่ี 1 กมุ ภาพนั ธ์ 2562 -30 กนั ยายน 2562 โดยอาศยั ระเบยี บวธิ วี จิ ยั เชงิ คณุ ภาพ รวบรวมและวเิ คราะห์ ขอ้ มลู จากการสมั ภาษณ ์ การสงั เกตการณ์ การศกึ ษาเอกสาร กฎระเบยี บ ขอ้ มลู จากสอื่ ตา่ งๆ ทเ่ี กยี่ วขอ้ ง ผ้วู จิ ัยสามารถแบง่ ขอ้ ค้นพบออกได้เปน็ 3 ประการตามกรอบวตั ถุประสงค์ของการศกึ ษาท่ีต้งั ไวด้ งั น้ี (1) บรรยากาศทางการเมอื งและการเคลอ่ื นไหวทางการเมอื งขององคก์ รและกลมุ่ ทางการเมอื ง ท่ีเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในจังหวัดสุรินทร์ องค์กรที่ส�ำคัญคือคณะกรรมการ การเลือกตัง้ ประจ�ำจงั หวดั สรุ ินทร์ เพราะระบบการเลือกตงั้ ทเ่ี ปล่ยี นแปลงไป ประกอบกบั จังหวัดสรุ นิ ทร์ เป็นหนึ่งในสิบจังหวัดท่ีมีเขตเลือกต้ังที่มีขอบเขตพื้นที่ท่ีเปล่ียนแปลงไปอันส่งผลให้เขตเลือกต้ังลดลง 1 เขตเลือกตั้งจากการเลือกต้ังก่อนหน้านั้น อย่างไรก็ตามจากการลงพ้ืนที่สัมภาษณ์ประชาชนใน เขตเลือกต้ังในจังหวัดสุรินทร์ พบว่าคณะกรรมการการเลือกตั้งประจ�ำจังหวัดสุรินทร์ ไม่สู้จะมีบทบาท ในการรณรงคใ์ ห้ประชาชนเข้าใจต่อระบบการเลือกตงั้ ท่ีน�ำมาใชใ้ นการเลือกตั้งในวันที่ 24 มนี าคม 2562 เท่าไรนัก ประชาชนเข้าใจระบบการเลือกต้ังผ่านการรับรู้ทางสื่อต่างๆ ท้ังส่ือในภาคปกติ เช่น โทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ รวมถึงส่ือโซเซียลมีเดียท้ังหลาย ในขณะเดียวกันการอบรมสร้างความเข้าใจให้กับ
7 คณะกรรมการประจ�ำหน่วยเลือกต้ังซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้าน ตัวแทนหมู่บ้านในหน่วยเลือกต้ังเหล่าน้ัน เพียง 1 ครั้งกอ่ นวันเลือกต้งั อาจส่งผลใหค้ วามเขา้ ใจในกติกาที่ก�ำกับการเลอื กตั้งคลาดเคล่อื นได้ บรรยากาศทางการเมอื งและการเคลอื่ นไหวขององคก์ รตา่ งๆ ในจงั หวดั สรุ นิ ทร ์ พบวา่ ฐานเสยี ง เก่าของบรรดาผู้สมัครรับเลือกต้ังในเขตท่ี 1 และ เขตท่ี 3-5 ต่างเป็นนักการเมืองเก่าในพื้นที่ แม้ว่าเมื่อ นักวจิ ยั ลงพนื้ ทจ่ี ะพบว่าบรรยากาศทางการเมืองดไู มค่ กึ คัก เนอ่ื งจากบรรดาผ้นู �ำท้องถ่นิ ไดร้ ับการก�ำชับ จากสว่ นกลางใหป้ ฏบิ ตั ติ นเปน็ “กลาง”ในการเลอื กตงั้ ครง้ั นี้ แตผ่ ลการเลอื กตง้ั สามารถอธบิ ายปรากฏการณ์ ของการเคลอ่ื นไหวทางการเมอื งของเครอื ขา่ ย องคก์ รทไี่ มเ่ ปน็ ทางการทมี่ กี ารท�ำงานกบั ประชาชนในเขต พน้ื ทร่ี บั ผดิ ชอบของตนเองอยา่ งสมำ�่ เสมอ การวจิ ยั ครงั้ นย้ี ง่ิ ตอกยำ�้ ใหเ้ หน็ ความส�ำคญั ของการตอบสนอง ตอ่ ประชาชนในพนื้ ทใ่ี นยามทป่ี ระเทศเวน้ วา่ งจากการเลอื กตงั้ ถงึ 8 ปี วา่ เครอื ขา่ ยการท�ำงานขององคก์ รท่ี ไมเ่ ปน็ ทางการของบรรดานกั การเมอื งในพน้ื ทที่ �ำงานในการสรา้ งความศรทั ธาและเปน็ ทพี่ งึ่ ของประชาชน ในยามทีไ่ มม่ ตี ัวแทนของพวกเขาน่งั อยู่ในรัฐสภา กลา่ วไดว้ า่ แม้วา่ ในการเลือกต้ังครั้งนี้ กระแสของความ รวดเรว็ ของเทคโนโลยกี ารสอ่ื สารจะมอี ทิ ธพิ ลตอ่ ผคู้ นในสงั คม แตส่ �ำหรบั การท�ำงานของบรรดานกั การเมอื ง ในพนื้ ทก่ี ารเกาะตดิ รว่ มงานทางประเพณแี ละงานพธิ กี รรมตา่ งๆ ไมว่ า่ จะเปน็ งานบวช งานแตง่ งาน งานศพ งานท�ำบุญตามเทศกาลต่างๆ ซ่งึ เปน็ กจิ กรรมทท่ี �ำให้คนในพื้นท่ีไมล่ ืมผูส้ มัครเหล่านัน้ (2) พฤตกิ รรมทางการเมอื งของผลู้ งคะแนนเสยี งเลอื กตงั้ และผสู้ มคั รรบั เลอื กตง้ั สมาชกิ สภาผแู้ ทน ราษฎรในจงั หวดั สรุ นิ ทร์ สามารถพจิ ารณาออกเปน็ 2 กลมุ่ ไดแ้ ก่ พฤตกิ รรมทางการเมอื งของผลู้ งคะแนน เสยี งเลอื กตง้ั จงั หวดั สรุ นิ ทร ์ และ พฤตกิ รรมของผรู้ บั สมคั รเลอื กตงั้ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรจงั หวดั สรุ นิ ทร์ ในการเลอื กตง้ั วนั ท่ี 24 มนี าคม 2562 พบวา่ พฤตกิ รรมทางการเมอื งของผลู้ งคะแนนเสยี งเลอื กตง้ั จงั หวดั สุรนิ ทร์แบง่ ออกได้เป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกคอื กลุ่มคนในวยั กลางคน-คนสูงอายุ กับ กลุ่มคนรนุ่ ใหม ่ ซง่ึ กลมุ่ คนในวยั กลางคน-คนสงู อายุ พบพฤตกิ รรมในการเลอื กตงั้ ทแ่ี ตกตา่ งกนั คนในกลมุ่ นแ้ี สดงพฤตกิ รรม ในการเลือกต้ังโดยอาศัยปัจจัยในเชิงเศรษฐกิจเป็นตัวตัดสินใจ กล่าวคือพิจารณาที่นโยบายท่ีจะกระทบ กบั ชวี ติ ของพวกเขา คนจ�ำนวนหนงึ่ ในกลมุ่ นมี้ แี นวโนม้ ทจ่ี ะตดั สนิ ใจเลอื กผสู้ มคั รทม่ี าจากพรรคการเมอื ง ที่เคยมีนโยบายเศรษฐกิจท่ีสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับรากหญ้าได้ ไม่ว่าจะเป็นกองทุนหมู่บ้าน การใหค้ วามสนบั สนนุ ธรุ กจิ ขนาดกลางและขนาดยอ่ ม และมคี วามเชอื่ มน่ั วา่ พรรคการเมอื งทมี่ ผี ลงานใน อดตี ดา้ นเศรษฐกจิ ทเี่ ปน็ รปู ธรรมเปน็ สง่ิ ทตี่ อบสนองตอ่ ความตอ้ งการดา้ นเศรษฐกจิ ของตนเอง ในขณะท ่ี คนอกี จ�ำนวนหนงึ่ ในกลมุ่ นม้ี แี นวโนม้ ทจี่ ะเลอื กพรรคการเมอื งทใ่ี หป้ ระโยชนใ์ นเชงิ สวสั ดกิ าร เพราะเชอ่ื วา่ สวัสดิการเป็นส่วนส�ำคัญในด้านท่ีเป็นปัจจัยสนับสนุนค่าใช้จ่ายในครัวเรือนได้ เช่น การสนับสนุนบัตร สวสั ดกิ ารแหง่ รฐั คนในกลมุ่ นจี้ งึ มแี นวโนม้ เลอื กพรรคการเมอื งทสี่ านตอ่ นโยบายดา้ นสวสั ดกิ ารทดี่ �ำรงอยู่ ในปจั จบุ นั เพราะเกรงวา่ หากพรรคการเมอื งอนื่ จดั ตงั้ รฐั บาลไดน้ โยบายสวสั ดกิ ารเหลา่ นจ้ี ะถกู ตดั ออกจาก การก�ำหนดนโยบาย ดงั นนั้ หากวเิ คราะหด์ ว้ ยแนวคดิ วฒั นธรรมการเมอื ง จะพบวา่ มแี บบแผนทางความคดิ ความเชื่อ ความรู้สึกและทัศนคติท่ีมีต่อระบบการเมืองที่แตกต่างกัน ในลักษณะวัฒนธรรมการเมือง แบบผสม “วัฒนธรรมการเมืองแบบคับแคบผสมกับการมีส่วนร่วม” ซึ่งมีลักษณะของกลุ่มคนท่ีมีรู้สึกต่อ
8 การศึกษาความเคล่ือนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดสุรินทร์ การยอมรบั อ�ำนาจรฐั ทเี่ ออ้ื เฟอ้ื สวสั ดกิ ารทางสงั คมทเ่ี ปน็ ประโยชนส์ �ำหรบั สภาวะเศรษฐกจิ ทย่ี ำ�่ แย่ ดงั นนั้ จงึ ไมอ่ ยากเปล่ียนแปลงอ�ำนาจรฐั เพราะไมต่ อ้ งการให้ผลประโยชน์ของตนสูญเสยี ไป แมจ้ ะตอ้ งแลกกบั สทิ ธแิ ละเสรภี าพทางการเมอื งทถ่ี กู จ�ำกดั กบั กลมุ่ คนทตี่ อ้ งการเขา้ มสี ว่ นรว่ มทางการเมอื งเพอื่ เปลยี่ นผา่ น ขอ้ จ�ำกดั ดา้ นสทิ ธเิ สรภี าพทางการเมอื ง และมงุ่ หวงั วา่ การเปลย่ี นผา่ นนน้ั จะน�ำมาซง่ึ ความสามารถในการ มีส่วนร่วมรฐั บาลในการเติบโตทางเศรษฐกจิ ไปพร้อมๆ กับการมเี สรีภาพทางการเมือง ส่วนกลุ่มคนรุ่นใหม่ ซ่ึงเป็นกลุ่มคนที่ต้องการการเปล่ียนแปลงสภาพการเมืองที่เป็นอยู่ แม้ว่า กระบวนการกล่อมเกลาทางการเมืองท่ีมีอิทธิพลอย่างสถาบันครอบครัว ก็ไม่สามารถที่จะมีอิทธิพล ต่อการตัดสินใจของคนกลุ่มนี้ได้เหมือนในอดีต ปัจจัยท่ีมีอิทธิพลในการกล่อมเกลาคนกลุ่มน้ีคือบรรดา ช่องทางการส่ือสารทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสื่อสารทางโลกออนไลน์ รวมท้ังการมีกลุ่มเพ่ือนที่ อยู่ในช่วงวัยเดียวกัน เป็นส่วนส�ำคัญในการตัดสินใจในการเลือกต้ัง นอกจากน้ันส่ิงท่ีพบในการลงพ้ืนที่ สัมภาษณ์คือภาคกลับของกระบวนการกล่อมเกลาทางการเมือง กล่าวคือบรรดากลุ่มคนรุ่นใหม่ท่ีให้ สัมภาษณ์สามารถกล่อมเกลาบิดา-มารดาของตนให้หันมาตัดสินใจเลือกพรรคที่พวกเขาเห็นว่าจะเป็น อนาคตใหมส่ �ำหรับทางออกของสงั คมไทย ส�ำหรับพฤติกรรมของผู้ลงรับสมัครการเลือกตั้งจังหวัดสุรินทร์ นับตั้งแต่การรัฐประหารในปี พ.ศ.2557 บรรดาอดตี สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรทถ่ี กู ปดิ เสน้ ทางการเมอื งตามระบอบรฐั สภา ตา่ งกลบั มา ยดึ พ้ืนทตี่ นเองอย่างเหนยี วแน่น เพื่อให้เกิดความพรอ้ มในการเลอื กตง้ั ในอนาคตดว้ ยการยดึ ครองใจคน และท้ายที่สุดน�ำไปสู่การยึดครองพื้นท่ี การท�ำงานในเชิงพัฒนาโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เก่ียวข้องกับเรื่อง เศรษฐกิจ เป็นส่วนส�ำคัญที่หล่อเลี้ยงระบบอุปถัมภ์ ซ่ึงเป็นการอุปถัมภ์ท่ีไม่ใช่การรอรับจากผู้อุปถัมภ ์ ในแบบเดมิ ๆ แตเ่ ปน็ การสรา้ งการเตบิ โตทางเศรษฐกจิ ไปพรอ้ มๆ กบั การสรา้ งสายสมั พนั ธท์ างการเมอื ง ขณะเดยี วกนั พฤตกิ รรมความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งความเปน็ นกั การเมอื งทอ้ งถน่ิ สง่ ผลตอ่ การแพช้ นะ ในการเลือกตั้งคร้ังนี้ของจังหวัดสุรินทร์ กล่าวคือนักการเมืองท่านนั้นสามารถยึดครองท่ีนั่งจากสมาชิก สภาผแู้ ทนราษฎรในสมยั ทแี่ ลว้ มาได้ ปรากฏการณน์ เ้ี กดิ ขนึ้ ในเขตเลอื กตง้ั ที่ 2 ทนี่ ายณฏั ฐพล จรสั รพพี งษ์ ซงึ่ เปน็ นกั การเมอื งทอ้ งถนิ่ โดยกอ่ นลงรบั สมคั รเลอื กตงั้ เคยท�ำหนา้ ทใ่ี นฐานะทปี่ รกึ ษานายกเทศมนตรเี มอื ง สุรินทร์ ต้ังแต่ปี พ.ศ.2559 จนก่อนลงสมัครรับเลือกตั้ง ซ่ึงสอดคล้องกับงานศึกษาของเวียงรัฐ เนติโพธิ์ (2558, 88) มีการพึ่งพาและเกื้อหนุนกันในการเลือกต้ังระหว่างนักการเมืองระดับชาติกับนักการเมือง ท้องถ่ินในการสร้างสายสัมพันธ์แบบอาศัยซึ่งกันและกัน แตกต่างจากระบบหัวคะแนนเดิม ที่หัวคะแนน แบบเดมิ คอื ก�ำนนั ผใู้ หญบ่ า้ นทคี่ วามสมั พนั ธข์ นึ้ อยกู่ บั การเจรจาตอ่ รองกอ่ นมกี ารรณรงคเ์ ลอื กตง้ั ขณะท ่ี ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งนกั การเมอื งระดบั ชาตกิ บั นกั การเมอื งทอ้ งถน่ิ มคี วามตอ่ เนอ่ื ง กอ่ ใหเ้ กดิ สายสมั พนั ธ์ ในลักษณะเครือข่ายที่ชัดเจนมากข้ึน กล่าวคือหากนักการเมืองคนใดมีสายสัมพันธ์กับผู้บริหารองค์กร ปกครองส่วนท้องถ่ินในเขตเลือกตั้งของตน เป็นหลักประกันได้ว่าจะได้รับคะแนนน�ำในการเลือกต้ังคร้ัง ตอ่ ไป ดงั นนั้ การท�ำงานของนกั การเมอื งระดบั ชาตอิ ยา่ งใกลช้ ดิ กบั องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถนิ่ เปน็ ปจั จยั ส�ำคัญประการหนึ่งของพฤติกรรมทางการเมอื งของนกั การเมอื งระดับชาตทิ ่ีปรากฏในจงั หวัดสรุ นิ ทร์
9 (3) การเปลี่ยนของพฤติกรรมทางการเมือง แบบแผนพฤติกรรมทางการเมืองของประชาชน และกลุ่มการเมืองในส่วนท่ีเกี่ยวข้องกับการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในจังหวัดสุรินทร์ จาก ขอ้ คน้ พบ 2 ประการข้างต้น พบว่าเกดิ การเปลย่ี นแปลงในพฤติกรรมทางการเมอื งที่มลี กั ษณะเกิดระบบ อุปถัมภ์ท่ีเปลี่ยนแปลงไป จากระบบหัวคะแนนที่อาศัยก�ำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และผู้น�ำที่ไม่เป็นทางการ ในฐานะกลุ่มทุติยภูมิที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมทางการเมืองของคนในสังคมชนบทในอดีต แต่ด้วย ความเปลี่ยนแปลงในเทคโนโลยีที่ท�ำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารด้วยตนเองได้ ระบบ หวั คะแนนแบบเดมิ จงึ ท�ำงานไดไ้ มเ่ หมอื นเดมิ เนอื่ งจากการเรยี นรขู้ องประชาชนสามารถทจ่ี ะเขา้ ถงึ ขอ้ มลู ขา่ วสารได้อย่างรวดเรว็ และน�ำมาใชป้ ระกอบการตดั สินใจได้ แบบแผนพฤตกิ รรมทางการเมอื งของประชาชนในการตดั สนิ ใจเลอื กตงั้ ด�ำรงอยบู่ นปจั จยั ส�ำคญั ดังนี้ (1) พรรคการเมืองท่ีนักการเมืองสังกัด เน่ืองจากระบบการเลือกตั้งในปี 2562 เป็นระบบที่ พรรคการเมืองต่างๆ ต้องวางกลยุทธ์ในการกระจายคะแนนให้กับระบบจัดสรรปันส่วน ท่ีเอ้ือให้กับ พรรคขนาดกลางและขนาดเล็ก ดังน้ันบรรดาพรรคการเมืองใหญ่ เช่น พรรคเพ่ือไทย ซ่ึงนักการเมือง ของพรรคสามารถกวาดเสยี งทนี่ ง่ั ในจงั หวดั สรุ นิ ทร์ โดยทพ่ี รรคตระหนกั ดวี า่ จะไมส่ ามารถไดป้ นั สว่ นทนี่ งั่ ส.ส.มายังระบบบัญชีรายช่ือของพรรคได้ ดังนั้นจึงมีความพยายามสร้างพันธมิตรกับพรรคการเมือง ขนาดกลางและเลก็ ท่ีมแี นวอดุ มการณท์ างการเมืองในทิศทางเดยี วกัน อย่างไรก็ตาม จากข้อค้นพบท่ี 1 กลยุทธ์ในการสร้างพันธมิตรไม่ได้ผลนักส�ำหรับกรณีจังหวัด สุรินทร์ จากปรากฏการณ์ “จ่าประสิทธิ์ ไชยศรีษะ” ซึ่งเป็นอดีต ส.ส.พรรคเพ่ือไทย ท่ีหมดสิทธ์ิในการ ลงสมคั รรับเลือกต้ังเนือ่ งจากพ้นโทษคุกไม่ถงึ 10 ปี ออกมาจัดต้งั พรรคใหม่ชื่อ พรรคเพือ่ ชาติ และได้ส่ง ภรรยาและนอ้ งสาวลงสมคั รสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรจงั หวดั สรุ นิ ทรเ์ ขต 1 และ เขต 6 โดยการเปลย่ี นชอ่ื ภรรยาและนอ้ งสาว เปน็ “ย่ิงลกั ษณ์ ไชยศรษี ะ” และ “ย่ิงรัก ไชยศรีษะ” ตามล�ำดับ แตไ่ มส่ ามารถช่วงชิง พ้นื ท่ีจาก ส.ส.เกา่ ได้ การเลือกตั้งเมอ่ื วันท่ี 24 มีนาคม 2562 แสดงให้เห็นถึงความส�ำคญั ของพรรคการเมอื ง แมว้ ่า ผลการเลือกต้ังจะมี ส.ส.เจ้าของพ้ืนท่ีครองต�ำแหน่งไว้ได้ แต่ผลคะแนนที่ได้รับจากประชาชน 4 ล�ำดับ แรกในเกือบทกุ เขตเลอื กตงั้ คือนกั การเมอื งจากพรรคเพือ่ ไทย พรรคภูมใิ จไทย พรรคพลังประชารฐั และ พรรคอนาคตใหม่ ยกเว้นในเขตเลือกต้ังที่ 6 ที่มีพรรคท่ีได้รับคะแนนเสียงจากประชาชนสูงสุด 4 ล�ำดับ แรกได้แก่ พรรคเพื่อไทย พรรคพลังประชารัฐ พรรคภูมิใจไทย และพรรคเพื่อชาติ เน่ืองจากผู้สมัครจาก พรรคอนาคตใหม่ในเขตเลือกตั้งน้ีถูกส�ำนักงานคณะกรรมการการเลือกต้ังประจ�ำจังหวัดสุรินทร์ประกาศ “ไม่รับสมัคร” ไว้ ดังน้ันปัจจัยเรื่องพรรคการเมืองและนโยบายของพรรคจึงเป็นส่วนท่ีแสดงให้เห็นว่า การตดั สนิ ใจเลอื กตงั้ ของประชาชนจงั หวดั สรุ นิ ทร์ เปน็ การเลอื กทมี่ ยี ทุ ธศาสตรท์ พ่ี จิ ารณาจากพรรคการเมอื ง เปน็ ส�ำคญั ซงึ่ อาจเปน็ สว่ นทว่ี เิ คราะหไ์ ดว้ า่ ผคู้ นในสงั คมไทยมอี งคป์ ระกอบหนงึ่ ของหนทางในการสรา้ ง
10 การศึกษาความเคลื่อนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดสุรินทร์ ระบอบประชาธปิ ไตยทตี่ งั้ มนั่ คอื การเชอ่ื วา่ กระบวนการ และสถาบนั ประชาธปิ ไตย กลา่ วคอื พรรคการเมอื ง เปน็ เปา้ หมายทด่ี ีท่สี ดุ เพือ่ การปกครองชีวิตสาธารณะร่วมกัน (2) การจา่ ยเงนิ เพอื่ ซอ้ื เสยี ง จากการสมั ภาษณ์ การสงั เกตการณ์ การศกึ ษาเอกสาร กฎระเบยี บ ท่ีเกี่ยวข้อง พบว่าการเลือกตั้งจังหวัดสุรินทร์เม่ือวันที่ 24 มีนาคม 2562 การหวังชนะด้วยการจ่ายเงิน ซอื้ เสยี งอยา่ งเดยี วไมส่ ามารถเปน็ ปจั จยั ตดั สนิ ผลการเลอื กตงั้ ไดเ้ พยี งปจั จยั เดยี วอกี ตอ่ ไป จากการลงพนื้ ท ่ี สังเกตการณ์และร่วมสนทนากับผู้น�ำท้องท่ีพบว่า ผู้น�ำท้องที่มีความระมัดระวังตัวในการวางตัวในช่วง เลือกต้ังอย่างมาก ผู้ใหญ่บ้านแห่งหน่ึงให้สัมภาษณ์ว่าต้องวางตัวเป็นกลาง เพราะในหมู่บ้านมีผู้สมัคร ของพรรคประชาธิปัตย์เป็นลูกบ้านอยู่ ในขณะท่ีผู้ใหญ่บ้านอีกแห่งมองว่าการวางตัวเป็นกลางคือ การ อ�ำนวยความสะดวกให้กับลูกบ้านในการเดินทางไปฟังปราศรัยหาเสียงให้กับทุกพรรคการเมืองที่ติดต่อ เข้ามายงั หม่บู ้านเขา ในส่วนของพรรคการเมือง การใช้จ่ายเงินนอกเหนือจากท่ีก�ำหนดไว้ในประกาศคณะกรรมการ การเลอื กตงั้ เรอ่ื ง ก�ำหนดจ�ำนวนคา่ ใชจ้ า่ ยในการเลอื กตงั้ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร พ.ศ. 2561 ซงึ่ ก�ำหนด ค่าใช้จ่ายส�ำหรับผู้สมัครรับเลือกต้ังท่ีใช้จ่ายในการเลือกตั้งไม่เกิน 1,500,000 บาท และยังก�ำหนดให้ พรรคการเมืองมีค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่เกิน 35,000,000 ล้านบาท โดย ค่าใช้จ่ายของพรรคการเมืองยังมีการก�ำหนดว่าต้องเป็นไปเพ่ือการหาเสียงของพรรคตามระเบียบ คณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการหาเสียงและลักษณะต้องห้ามในการหาเสียง รวมท้ังผู้สมัครต้อง รายงานค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการหาเสียงหลังการเลือกตั้งเสร็จสิ้นลง เพ่ือตรวจสอบการใช้จ่ายเงินว่า มลี กั ษณะเขา้ ขา่ ยตอ้ งหา้ มหรอื ไมก่ อ่ นรบั รองคะแนนอยา่ งเปน็ ทางการ การก�ำหนดจ�ำนวนผชู้ ว่ ยหาเสยี ง ได้ไม่เกิน 20 คน การแจง้ รายละเอียดของรถท่ใี ชใ้ นการหาเสียง ดังน้ันการใช้เงินซ้ือเสยี งในการเลือกตั้ง จังหวัดสุรินทร์เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2562 ผู้วิจัยไม่พบการใช้เงินเพื่อซ้ือเสียงอย่างเป็นรูปธรรมชัดเจน จะมีเพียงการกล่าวหากันไปมาว่า พรรคการเมืองที่รัฐบาลสนับสนุนมีการจ่ายเงิน แต่ไม่สามารถระบุ หลกั ฐานได้ชัดเจน ขอ้ เสนอแนะทพ่ี บจากการศกึ ษาวจิ ยั มดี งั นี้ (1) ในสว่ นของระบบการเลอื กตงั้ ทมี่ าจากการก�ำหนด ในรฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ที่น�ำไปส่รู ะบบบตั รเลอื กตัง้ 1 บัตรท่สี ะท้อนทน่ี ั่งของ ผู้แทนของประชาชนทั้งในระดับพื้นที่และบัญชีรายชื่อของพรรค เป็นส่วนท่ีจ�ำกัดโอกาสในการเลือก “พรรคทใี่ ช่ คนทช่ี อบ” เพราะปรากฏการณข์ องจงั หวดั สรุ นิ ทรพ์ บวา่ มที ง้ั ประชาชนทช่ี อบผสู้ มคั ร แตอ่ าจ ไมช่ อบพรรคทผ่ี สู้ มคั รนนั้ สงั กดั หรอื ชอบพรรคแตไ่ มร่ จู้ กั ผสู้ มคั รในเขตเลอื กตงั้ ตน แตจ่ �ำตอ้ งเลอื กทง้ั คน และพรรคไปพรอ้ มๆ กนั ท�ำใหโ้ อกาสในการตดั สนิ ใจทางการเมอื งถกู จ�ำกดั จากระบบการเลอื กตงั้ ดงั กลา่ ว ดงั นนั้ ในเชงิ ขอ้ เสนอจงึ ควรกลบั ไปพจิ ารณาประเดน็ นใ้ี นการออกแบบระบบเลอื กตงั้ ในการเลอื กตง้ั ครง้ั ตอ่ ไป ซงึ่ จะเชอ่ื มโยงไปสปู่ ระเดน็ ของการแกไ้ ขรฐั ธรรมนญู ทก่ี ลายเปน็ สว่ นส�ำคญั ในการปรบั เปลย่ี นระบบเลอื กตงั้ (2) ควรมกี ารศกึ ษาความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งนกั การเมอื งระดบั ชาตแิ ละนกั การเมอื งทอ้ งถน่ิ ในจงั หวดั สรุ นิ ทร์
11 ใหม้ คี วามชดั เจนวา่ รปู แบบความสมั พนั ธท์ เี่ กดิ ขน้ึ มพี ลวตั ภายใตร้ ฐั ธรรมนญู ใหมอ่ ยา่ งไรบา้ ง แตกตา่ งจาก ระบบเดิมไปหรือไม่ ซึ่งการศึกษาสายสัมพันธ์ที่ชัดเจนจะท�ำให้สามารถคาดการณ์การเลือกตั้งท้องถ่ินท่ี ถกู คาดหมายวา่ จะมกี ารเลอื กตง้ั ระดบั ทอ้ งถน่ิ เกดิ ขนึ้ ตอ่ จากการเลอื กตงั้ ระดบั ชาตใิ นครง้ั นี้ อนั จะน�ำไปส ู่ การท�ำความเข้าใจแบบแผนพฤติกรรมการตัดสินใจเลือกตั้งของประชาชนจังหวัดสุรินทร์ได้คมชัดย่ิงขึ้น (3) ในส่วนของการสร้างความเป็นธรรมให้เกิดข้ึนในระบบการเลือกต้ัง ควรหันกลับมาพิจารณาประเด็น ระเบียบการก�ำหนดค่าใช้จ่าย รูปแบบ วิธีการและทรัพยากรในการหาเสียงท่ีจ�ำกัด จนเป็นอุปสรรคใน การรณรงค์หาเสียง ซึ่งส่งผลให้กลายเป็นอุปสรรคในการน�ำเสนอนโยบายและข้อมูลให้ประชาชนได้รับ ทราบอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมได้ จ�ำนวนเงินที่ระบุในการรณรงค์หาเสียงอาจจะไม่สอดคล้องกับความ เป็นจริง เพราะเขตเลือกตั้งที่ถูกลดลงจาก 8 เขต เป็น 7 เขตเลือกตั้งซ่ึงท�ำให้ขอบเขตของเขตเลือกตั้ง ขยายข้ึนการจ�ำกัดงบประมาณให้ผู้สมัครใช้ได้ไม่เกิน 1,500,000 บาท จะเป็นงบประมาณท่ีน้อยเกินไป เม่ือมีขอบเขตพื้นท่ีในการหาเสียงท่ีขยายขึ้น การจ�ำกัดจ�ำนวนผู้ช่วย ผู้ติดตาม การแจ้งรายละเอียดว่า จะไปด�ำเนินกิจกรรมทางการเมืองท่ีอ�ำเภอใด สถานท่ีตรงไหน กลายเป็นอุปสรรคส�ำคัญในการหาเสียง ของผู้สมัคร เพราะเป็นการเพ่ิมภาระให้ผู้สมัครในเชิงเอกสารที่เพิ่มขึ้น ดังน้ันควรมีการพิจารณากติกา งบประมาณ ทก่ี �ำกบั การรณรงคเ์ ลอื กตั้งใหม่
12 การศึกษาความเคลื่อนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดสุรินทร์ บทคัดย่อ โครงการวิจัยเรื่อง การศึกษาความเคลื่อนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกต้ังสมาชิก สภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดสุรินทร์ มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ (1) เพ่ือศึกษาบรรยากาศทางการเมือง และความเคล่ือนไหวทางการเมืองขององค์กรและกลุ่มทางการเมืองท่ีเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรในจังหวัดสุรินทร์ (2) เพื่อศึกษาพฤติกรรมทางการเมืองของผู้ลงคะแนนเสียงเลือกต้ัง และผสู้ มคั รรบั เลอื กตงั้ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรในจงั หวดั สรุ นิ ทร์ (3) เพอ่ื ศกึ ษาการเปลยี่ นของพฤตกิ รรม ทางการเมือง แบบแผนพฤติกรรมทางการเมืองของประชาชน และกลุ่มการเมือง ในส่วนท่ีเก่ียวข้องกับ การเลอื กตัง้ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรในจงั หวดั สุรนิ ทร์ ผลการศกึ ษาพบว่า (1) บรรยากาศทางการเมอื งและการเคลอ่ื นไหวทางการเมอื งขององคก์ รและกลมุ่ ทางการเมอื ง ที่เก่ียวข้องกับการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในจังหวัดสุรินทร์ พบว่าส�ำนักงานคณะกรรมการ การเลอื กตง้ั ประจ�ำจงั หวดั สรุ นิ ทร์ มบี ทบาทในการรณรงคใ์ หเ้ กดิ ความเขา้ ใจในการเลอื กตง้ั คอ่ นขา้ งนอ้ ย รวมทั้งการสร้างความเข้าใจให้กับคณะกรรมการประจ�ำหน่วยเลือกต้ังที่ค่อนข้างน้อย ข้อจ�ำกัดทาง กฎหมายทสี่ งั่ การมาจากสว่ นกลางมายงั ระดบั ทอ้ งทใี่ นเรอื่ งการวางตวั เปน็ กลาง ประกอบกบั ความรวดเรว็ ของเทคโนโลยีส่ือสารท่ีหากเกดิ เหตุการณว์ างตัวไม่เปน็ กลางจะถูกเผยแพร่อยา่ งรวดเร็ว ส่งผลให้บรรดา หวั คะแนนเดมิ ท่มี ักจะเปน็ ก�ำนนั ผู้ใหญ่บ้าน และผ้นู �ำท้องถิน่ มีบทบาทในการเคลอื่ นไหวทางการเมอื ง ทรี่ ะมัดระวังตวั เปน็ พิเศษ (2) พฤติกรรมทางการเมืองของผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งและผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรในจังหวัดสุรินทร์ สามารถพิจารณาเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ พฤติกรรมทางการเมืองของ ผลู้ งคะแนนเสยี งเลอื กตงั้ จงั หวดั สรุ นิ ทร ์ และ พฤตกิ รรมของผสู้ มคั รรบั เลอื กตง้ั สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร จังหวัดสุรินทร์ .ในส่วนของผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งสามารถแยกพฤติกรรมการตัดสินใจลงคะแนนเสียง จากช่วงอายุ และนโยบายของพรรค ขณะท่ีพฤติกรรมของผู้สมัครรับเลือกต้ังท่ีถูกปิดก้ันการท�ำกิจกรรม ทางการเมืองหลังการรัฐประหารปี 2557 ได้สร้างระบบสายสัมพันธ์และเครือข่ายอุปถัมภ์ผ่านกิจกรรม ในเชิงการพัฒนาท่นี �ำไปสู่การเตบิ โตทางเศรษฐกจิ ของประชาชนพร้อมกับความสมั พันธท์ างการเมอื ง (3) แบบแผนพฤติกรรมทางการเมืองของประชาชนในการตัดสินใจเลือกต้ัง ด�ำรงอยู่บนปัจจัย ส�ำคัญ อันประกอบด้วย พรรคการเมืองท่ีนักการเมืองสังกัด โดยที่การซ้ือเสียงด้วยเงินเป็นแบบแผน พฤติกรรมทางการเมอื งทไี่ มป่ รากฏในเชิงรูปธรรมท่ีชดั เจน
13 ข้อเสนอแนะที่พบจากการศกึ ษาวิจยั มดี งั นี้ (1) ในส่วนของระบบการเลือกต้ังท่ีมาจากการก�ำหนดในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ทน่ี �ำไปสรู่ ะบบบตั รเลอื กตง้ั 1 บตั รทส่ี ะทอ้ นทนี่ งั่ ของผแู้ ทนของประชาชนทง้ั ในระดบั พนื้ ทแี่ ละ บญั ชรี ายชอื่ ของพรรค เปน็ สว่ นทจี่ �ำกดั โอกาสในการเลอื ก “พรรคทใ่ี ช่ คนทชี่ อบ” เพราะปรากฏการณข์ อง จงั หวดั สรุ นิ ทรพ์ บวา่ มที งั้ ประชาชนทช่ี อบผสู้ มคั ร แตอ่ าจไมช่ อบพรรคทผี่ สู้ มคั รนนั้ สงั กดั หรอื ชอบพรรค แตไ่ มร่ ้จู ักผูส้ มคั รในเขตเลือกตั้งตน แตจ่ �ำต้องเลอื กทง้ั คนและพรรคไปพร้อมๆ กนั ดงั น้นั ในเชงิ ขอ้ เสนอ จึงควรกลับไปพิจารณาประเด็นน้ีในการออกแบบระบบเลือกต้ังในการเลือกต้ังคร้ังต่อไป ซ่ึงจะเชื่อมโยง ไปสปู่ ระเดน็ ของการแก้ไขรฐั ธรรมนูญทก่ี ลายเป็นส่วนส�ำคญั ในการปรับเปลยี่ นระบบเลือกต้งั (2) ควรมกี ารศกึ ษาความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งนกั การเมอื งระดบั ชาตแิ ละนกั การเมอื งทอ้ งถนิ่ ในจงั หวดั สุรินทร์ให้มีความชัดเจนว่า รูปแบบความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นมีพลวัตภายใต้รัฐธรรมนูญใหม่อย่างไรบ้าง แตกต่างจากระบบเดิมหรือไม่ ซึ่งการศึกษาสายสัมพันธ์ที่ชัดเจนจะท�ำให้สามารถคาดการณ์การเลือกต้ัง ทอ้ งถน่ิ ทถ่ี กู คาดหมายวา่ จะมกี ารเลอื กตงั้ ระดบั ทอ้ งถนิ่ เกดิ ขนึ้ ตอ่ จากการเลอื กตง้ั ระดบั ชาตใิ นครง้ั นี้ และ (3) ในสว่ นของการสรา้ งความเปน็ ธรรมใหเ้ กดิ ขนึ้ ในระบบการเลอื กตงั้ ควรหนั กลบั มาพจิ ารณา ประเด็นระเบียบการก�ำหนดค่าใช้จ่าย รูปแบบ วิธีการและทรัพยากรในการหาเสียงท่ีจ�ำกัด เพื่อลด อุปสรรคในการรณรงคห์ าเสยี ง
14 การศึกษาความเคลื่อนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดสุรินทร์ Abstract The objectives of the project “A Study of Political Activities and Electoral Behaviors in the 2019 Thailand General Election in Surin Province” are (1) to study the political condition and political movements of organizations and groups related to the election of members of the House of Representatives in Surin Province, (2) to study the political behavior of voters and candidates in Surin Province, and (3) to study the changes in political behavior and patterns that occurred in Surin Province during the election. This research revealed the following. (1) The Office of the Surin Provincial Election Commission had little role to inform the new electoral system to people, such as they did not campaign about the new rule of election to people of all constituency, moreover they held only one training session for members of polling station committees.This election was subject to many legal restrictions, so the government agency, that is Ministry of Interior, commanded the local governing officers, subdistrict headmen and village headmen to regarding neutralization.With the speed of communication technology, if the people found the local governing officers was not neutral, the news of this would spread quickly. Thus, village headmen had to be very aware of their political actions. (2) Regarding the political behavior of the voters, they made their political decisions depending on their age and party policy. While the behavior of the candidates who are blocked from conducting political activities after the coup in 2014, they use the development activities more directly to communities such as community enterprise, in order to improve people income. These created a system of relationships and patronage networks through development activities instead of political activities. (3) There did not appear to be any obvious vote-buying in Surin Province over the course of the election. Even political behavior patterns of citizens to making decision to vote rely on important factors as political party affiliated with politicians.
15 The researchers propose the following suggestions. (1) The design of the election system falls under the Constitution, in particular Mixed Member Apportionment System (MMA) should reconsider in comply with the international standard for the next election.This issue will be linked to constitution amendment, which would be an essential part of changing the electoral system. (2) There should be a study of the relationship between national politicians and local politicians in Surin Province to reveal more details concerning changes in patterns of relations under the new constitution. A clear understanding of this relationship will enable predictions regarding local elections that will held in the near future. (3) To create fairness in the electoral system, Organic Act on the Election of Members of the House of Representatives, B.E. 2561 (2018) should revise cost regulations, forms, methods, and resources that control the election and limit political campaigning.
16 การศึกษาความเคล่ือนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดสุรินทร์ สารบัญ หน้า ค�ำน�ำสถาบนั พระปกเกลา้ 3 ค�ำน�ำ 5 6 บทสรปุ ผบู้ ริหาร 12 บทคดั ยอ่ 14 Abstract 16 สารบัญ 18 สารบัญตาราง 19 สารบญั ภาพ 21 บทที่ 1 ความส�ำคัญของการศกึ ษา 23 วัตถปุ ระสงค์ 24 ขอบเขตของการศึกษา 25 วธิ ีการศกึ ษาวจิ ัย 26 ประโยชน์ท่ีได้รบั 27 ระยะเวลาท�ำการศกึ ษา 27 โครงสร้างของรายงาน 29 บทท่ี 2 แนวคดิ และทฤษฎี 29 ระบบการเลอื กตัง้ (electoral systems) 32 ประเภทของระบบเลือกต้ัง 36 พฤตกิ รรมทางการเมอื ง 40 การกล่อมเกลาทางการเมืองในวัยผูใ้ หญ่ (political socialization) 42 ความตงั้ ม่นั ทางการเมืองในระบอบประชาธปิ ไตย 49 ระบบอปุ ถัมภ ์
17 หน้า บทท่ี 3 บริบทของการเลอื กต้งั ในสงั คมไทย 57 การเลือกตั้งในปี 2531 57 การเลอื กตง้ั ในปี 2544-2551 59 การเลือกตั้งในปี 2562 62 บทที่ 4 สรุ ินทร์: บริบทการเมืองและสงั คม 65 ประวตั ศิ าสตร์ความเปน็ มาของจงั หวัดสรุ ินทร์ 65 ท่ตี ง้ั และอาณาเขต 68 การปกครอง 69 สถานการณ์ด้านเศรษฐกิจของจงั หวัดสุรนิ ทร์ 70 การเลือกตง้ั สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรจังหวดั สรุ นิ ทร์ 71 บทที่ 5 การใช้จ่ายเงินในการเลือกตั้งสมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรจังหวดั สุรินทร ์ 79 การก�ำหนดค่าใชจ้ ่ายในการเลือกตง้ั และวิธีหาเสียง 80 ผลการตรวจสอบคา่ ใชจ้ ่ายในการเลือกตงั้ 83 1. พรรคเพ่อื ไทย 84 2. พรรคภูมใิ จไทย 88 3. พรรคพลังประชารฐั 86 4. พรรคอนาคตใหม ่ 90 การวเิ คราะห์พฤตกิ รรมการใชท้ รัพยากรต่างๆ และแนวโนม้ ของการซอื้ เสียง 92 บทที่ 6 การวเิ คราะห์ผลการเลือกตัง้ จงั หวดั สุรนิ ทร ์ 99 ความรู้ ความเข้าใจ และการตัดสินใจไปใชส้ ทิ ธ์ิเลอื กตงั้ 103 บทบาทของผู้น�ำท้องท่ี 104 พรรคการเมืองทีส่ งั กัด 104 บทที่ 7 ขอ้ ค้นพบและข้อเสนอแนะ 107 ข้อคน้ พบ 108 ขอ้ เสนอแนะ 113 เอกสารอา้ งอิง 115
18 การศึกษาความเคล่ือนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดสุรินทร์ สารบัญตาราง หน้า 38 69 84 ตารางที่ 2.1 ความสัมพนั ธก์ ับระบบการเมอื ง และรูปแบบการปกครอง 86 ตารางที่ 4.1 แสดงเขตการปกครองจงั หวัดสรุ นิ ทร์ จ�ำแนกเป็นรายอ�ำเภอ 88 ตารางท่ี 5.1 ผลการตรวจสอบรายการคา่ ใช้จา่ ย (ท่ถี ูกกฎหมาย) 90 ในการเลือกตง้ั ของผู้สมัคร ส.ส. พรรคเพื่อไทย จังหวดั สรุ ินทร์ ตารางที่ 5.2 ผลการตรวจสอบรายการคา่ ใช้จา่ ย (ทถ่ี ูกกฎหมาย) ในการเลือกต้งั ของผสู้ มคั ร ส.ส. พรรคภูมิใจไทย จังหวัดสุรินทร์ ตารางท่ี 5.3 ผลการตรวจสอบรายการคา่ ใช้จ่าย (ที่ถูกกฎหมาย) ในการเลอื กต้ังของผู้สมคั ร ส.ส. พรรคพลงั ประชารฐั จังหวดั สุรนิ ทร ์ ตารางท่ี 5.4 ผลการตรวจสอบรายการคา่ ใช้จ่าย (ทถี่ ูกกฎหมาย) ในการเลอื กต้งั ของผู้สมคั ร ส.ส. พรรคอนาคตใหม จ่ งั หวดั สรุ นิ ทร ์
19 สารบัญภาพ หน้า 59 61 76 ภาพท่ี 3.1 โครงสร้างระบบการเลือกต้ังตั้งแตท่ ศวรรษท่ี 2520 93 ภาพท่ี 3.2 ความเปลยี่ นแปลงระบบอุปถมั ภ์ผา่ นการใชร้ ฐั ธรรมนญู พ.ศ.2540 95 ภาพที่ 4.1 วีธีการเลอื กตัง้ และระบบการเลอื กต้ัง ภาพท่ี 5.1 แสดงการแบ่งเขตเลอื กตัง้ จังหวัดสุรินทร์ พ.ศ.2562 101 ภาพที่ 5.2 บรรยากาศการลงพ้ืนท่ปี ราศรยั หาเสียงของนายปกรณ์ มงุ่ เจริญพร 102 ภาพที่ 6.1 การลงพน้ื ทขี่ องนายสุรยิ ะ จึงร่งุ เรืองกจิ เม่ือวนั ที่ 16 มีนาคม 2562 ณ สนามกฬี าหนา้ ท่วี ่าการอ�ำเภอศิขรภูมิ จังหวดั สุรินทร ์ 103 ภาพท่ี 6.2 การเปลีย่ นช่ือผู้สมัครในจังหวัดสรุ นิ ทร์ ภาพที่ 6.3 บรรยากาศการปราศรยั ใหญ่ของพรรคเพือ่ ไทย ณ สนามแสดงช้าง อ�ำเภอเมืองสุรินทร ์
20 การศึกษาความเคล่ือนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดสุรินทร์
21 บทท่ี 1 ความส�ำคัญของการศึกษา การเลือกต้ังเป็นกลไกหนึ่งท่ีสะท้อนนัยการเปล่ียนผ่านอ�ำนาจท่ีได้รับการรองรับด้วยความ ชอบธรรม (legitimate) ดังที่เกษียร เตชะพีระ (2551, 102) ได้เปรียบเปรยได้อย่างเป็นรูปธรรมว่า “ถ้าเปรียบเป็นชีวิตคู่ แง่มุมการได้มาซ่ึงอ�ำนาจก็เหมือนกับวิธีได้เมียมา ขณะที่แง่มุมการใช้อ�ำนาจ ก็เหมือนกับวิธีที่ผู้เป็นสามีปฏิบัติต่อเมียหลังจากน้ัน… แน่นอนการเข้าตามตรอกออกตามประตู เกี้ยวพาราสชี นะใจเจา้ สาว สขู่ อจ่ายสินสอดทองหมนั้ ตามประเพณียอ่ มดกี วา่ ชอบธรรมกวา่ การฉดุ คร่า ขม่ ขนื เหมอื นชนะการเลอื กตงั้ ยอ่ มดกี วา่ ชอบธรรมกวา่ ยดึ อำ� นาจดว้ ยการรฐั ประหาร แตต่ อ่ ใหส้ ขู่ อแตง่ งาน กันตามประเพณีก็ตามที หากอยู่ด้วยกันแล้วพ่อเจ้าประคุณสามีซ้อมเช้าซ้อมเย็น เถียงก็ตบ ขัดใจก็เตะ สนิ สมรสนกึ จะรบิ ไปใชค้ นเดยี วกร็ บิ เอะอะอะไรกต็ ะคอกถามวา่ มงึ ทำ� อยา่ งนใี้ ชเ่ มยี กหู รอื เปลา่ ? หวาดระแวง ว่านอกใจฝักใฝ่ชายชู้อยู่เสมอ เผลอๆ ก็คว้าไม้กอล์ฟมาฟาดเอาๆ จนปางตาย แบบน้ีต่อให้ได้เมียมา โดยการส่ขู อตามประเพณี แตก่ ถ็ อื วา่ เป็นสามที ่สี อบตก เลวร้ายและอนั ตรายอย่างยงิ่ ” ความขัดแย้งทางการเมืองท่ีเกิดข้ึนในปี 2548 น�ำไปสู่การรัฐประหารในวันที่ 19 กันยายน 2549 และยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 สั่งยุบรัฐสภา ส่ังห้ามการประท้วงและกิจกรรมทางการเมือง ยบั ยงั้ และตรวจพจิ ารณาสอ่ื ประกาศใชก้ ฎอยั การศกึ สภาพสงั คมไทยภายใตค้ ณะรฐั ประหารซงึ่ ไดแ้ ตง่ ตง้ั รัฐบาลช่ัวคราว ด�ำเนินการร่างรัฐธรรมนูญและประกาศใช้ในปี 2550 โดยมีบรรยากาศการเลือกต้ังใน ปี 2554 ท่ีกลายเป็นรัฐบาลชุดล่าสุดท่ีมาจากการเลือกต้ัง และหลังจากการจัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศ ภายใตบ้ รรยากาศทางการเมอื งในชว่ งเวลาดงั กลา่ ว สงั คมไทยเผชญิ กบั ปรากฏการณท์ างการเมอื งทงั้ การ ยุบพรรค การเลือกตั้งเป็นโมฆะ และรวมถึงการขัดขวางการใช้สิทธิเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 จนส่งผลให้ไม่สามารถจัดการเลือกต้ังท่ัวไปได้เสร็จทันเวลาที่กฎหมายก�ำหนด สภาวะท่ีสับสนในสังคม การเมืองไทย กลายเป็นข้ออ้างในการท�ำให้สังคมกลับเข้าสู่ระเบียบอีกคร้ังด้วยการรัฐประหารในวันท่ี 22 พฤษภาคม 2557
22 การศึกษาความเคล่ือนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดสุรินทร์ กลา่ วไดว้ า่ นบั ตง้ั แตก่ ารเลอื กตง้ั เมอ่ื ปี 2554 จนถงึ 2562 นบั เปน็ ระยะเวลา 8 ปที ส่ี งั คมการเมอื ง ไทยว่างเว้นจากการใช้เสรีภาพในการตัดสินใจทางการเมืองผ่านการเลือกต้ัง รวมทั้งในช่วงระยะเวลา ดงั กลา่ ว ไดเ้ กดิ การเปลย่ี นแปลงในโครงสรา้ งของความสมั พนั ธท์ างอ�ำนาจของประเทศไทยหลายประการ ทั้งการเกิดขึ้นของกลุ่มการเมืองโดย กปปส. ท่ีประสบความส�ำเร็จในการระดมความสนับสนุนจาก ทั่วประเทศ ต่อเน่ืองมาจนถึงการรัฐประหาร และแม้กระทั่งช่วงหลังรัฐประหาร ก็ยังมีการแสดงออก ทางการเมืองของกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ และปฏิกิริยาโต้ตอบของรัฐบาลในการจ�ำกัดการแสดงออก ทางการเมือง เช่น การเรียกพบนักการเมืองท่ีมีบทบาทเด่น การส่งทหารไปเฝ้าระวังที่บ้านนักการเมือง หรือเรียกตัวนักการเมืองเข้าพบ คสช. เพื่อปรับทัศนคติ ซึ่งเกิดควบคู่กับการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ ของกลุ่มท่ีไม่เห็นด้วยกับรัฐประหาร เช่น กลุ่มประชาธิปไตยใหม่และกลุ่มอ่ืนๆ ท่ีเก่ียวข้อง นอกจากนี้ ในชว่ งระยะเวลาดงั กลา่ วนี้ ได้มีการเสรมิ บทบาทของข้าราชการ โดยมกี ารโยกยา้ ยสบั เปล่ียนขา้ ราชการ หลายคนให้เข้าไปท�ำงานด้านยุทธศาสตร์ชาติ ตลอดจนการสนับสนุนบทบาทท่ีเด่นชัดมากข้ึนให้กับ ส�ำนักงานคณะกรรมการพฒั นาการเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชาติ เป็นต้น แมจ้ ะมกี ารจ�ำกดั การแสดงออกทางการเมอื ง แตใ่ นระยะเวลาทผ่ี า่ นมากลมุ่ ผลประโยชนต์ า่ งๆ หลายกลุ่ม ประสบความส�ำเร็จในการสร้างความเป็นสถาบันทางการเมืองให้กับตนเอง โดยพัฒนาไป เปน็ พรรคการเมอื ง เชน่ กลมุ่ กปปส. ท่ีกลายไปเป็นพรรครวมพลังประชาชาตไิ ทย กลุ่มของนายไพบลู ย ์ นิติตะวัน ที่ได้พัฒนาไปเป็นพรรคประชาชนปฏิรูป และกลุ่มที่เกิดขึ้นจากการรวมตัวของ 4 รัฐมนตรี ได้แก่ พรรคพลังประชารัฐ ตลอดจนมีกลุ่มนักกิจกรรมสังคมที่มีความสนใจท่ีจะตั้งพรรคการเมือง เช่น พรรคอนาคตใหม่ ท่ี นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ ดร.ปิยบุตร แสงกนกกุล เป็นผู้ร่วมก่อต้ังพรรค และการประกาศเปลี่ยนอุดมการณ์เพื่อย้ายพรรคการเมืองของนักการเมืองหลายคน เช่น นายสุภรณ์ อตั ถาวงศ ์ นายนคร มาฉิม นายประดษิ ฐ์ ภทั รประสิทธ์ิ นอกจากการเคลอ่ื นไหวทางการเมอื งแลว้ ในสว่ นของรฐั บาลเอง ไดม้ กี ารประกาศใชร้ ฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญอีก 3 ฉบับ ได้แก ่ พระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนญู วา่ ดว้ ยการเลอื กตงั้ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร พระราชบญั ญตั ปิ ระกอบ รฐั ธรรมนญู วา่ ดว้ ยคณะกรรมการการเลอื กตง้ั และพระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนญู วา่ ดว้ ยพรรคการเมอื ง จากโครงสร้างดังกล่าวน้ี ได้ส่งผลให้การเลือกต้ังท่ีก�ำลังจะเกิดข้ึนแตกต่างจากการเลือกตั้ง ท่ีผ่านมาต้ังแต่หลังปี พ.ศ. 2544 โดยสิ้นเชิง เช่น การเลือกตั้งแบบบัตรใบเดียว โดยใช้การนับคะแนน แบบจดั สรรปนั สว่ นผสม ยงั มมี าตรการใหมท่ ก่ี �ำหนดรายละเอยี ดเกย่ี วกบั การเลอื กตง้ั ขน้ั ตน้ (แมภ้ ายหลงั จะมีมาตรา 44 ออกมาสร้างความยืดหยุ่นให้กับมาตรการดังกล่าว) เงื่อนไขใหม่เกี่ยวกับการจัดต้ัง พรรคการเมือง หนา้ ทแี่ ละสถานภาพของสมาชกิ พรรคการเมือง และคณะกรรมการบรหิ ารพรรค รวมทั้ง การก�ำหนดโทษของพรรคการเมอื งไวส้ งู มาก การก�ำหนดอตั ราคา่ ใชจ้ า่ ยในการเลอื กตง้ั ของพรรคการเมอื ง และวธิ กี ารหาเสยี งเลอื กตง้ั ของพรรคการเมอื งในมาตรา 62-83 ของพระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนญู ว่าดว้ ยการเลือกต้งั
23 การเลือกตั้งในปี 2562 นอกเหนือจากโครงสร้างอ�ำนาจและกติกาต่างๆ ที่เปล่ียนแปลงไป ในการเลือกต้ัง 2562 ยังมีระบบเลือกตั้งท่ีถูกคิดค้นในรูปแบบท่ีเรียกว่า “ระบบเลือกตั้งแบบจัดสรร ปนั สว่ นผสม” ซง่ึ ถกู นำ� มาใชเ้ ปน็ ครงั้ แรกในการเลอื กตง้ั ครง้ั น้ี กำ� หนดใหม้ สี มาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร (ส.ส.) จำ� นวน 500 คน แบง่ เปน็ ส.ส.แบบแบง่ เขตเลอื กตงั้ จำ� นวน 350 คน และ ส.ส.แบบบญั ชรี ายชอ่ื 150 คน การเลอื กตงั้ ครงั้ นจ้ี ะใชบ้ ตั รเลอื กตง้ั ใบเดยี วเพอ่ื เลอื กบคุ คลทช่ี น่ื ชอบเปน็ ส.ส.เขต ขณะเดยี วกนั คะแนนที่ เราเลอื กบคุ คลทชี่ น่ื ชอบในเขตของเรา (ไมว่ า่ จะชนะหรอื แพ)้ คะแนนจะถกู นำ� ไปใหพ้ รรคของคนทเี่ ราเลอื ก สังกัดอยู่เพื่อน�ำไปค�ำนวณจ�ำนวนท่ีนั่ง ส.ส. สังกัดแบบบัญชีรายชื่อของพรรคน้ัน ซึ่งจะมีผลต่ออ�ำนาจ และบทบาทของผูแ้ ทนราษฎรและรฐั บาลท่ีจะเกิดขึ้นภายหลังการเลอื กต้งั (ilaw, 2561) ระบบการเลือกต้ังแบบจัดสรรปันส่วนผสม ยังมาพร้อมกับประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่อง การแบ่งเขตเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ซึ่งประกาศเผยแพร่ใน ราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันท่ี 29 พฤศจิกายน 2561 โดยจังหวัดสุรินทร์เป็นหน่ึงใน 11 จังหวัดท่ีมีสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรลดลงเน่ืองจากการรวมเขตเลือกต้ังจากเดิม 8 เขต เหลือเพียง 7 เขต เขตเลือกตั้งท ่ี ลดจ�ำนวนลงย่อมส่งผลต่อความเข้มข้นของการช่วงชิงท่ีน่ังในสภาผู้แทนราษฎรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งท้ายที่สุดการเลือกตั้งคร้ังนี้จะสามารถบรรเทาความขัดแย้งท่ีเกิดข้ึนมาเป็นระยะเวลากว่าทศวรรษได้ หรือไม่ และจะท�ำให้ประเทศไทยเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย ท่ีมีคุณภาพได้หรือไม่ จะท�ำให้การปฏิรูป การเมืองเกิดข้ึนจริงหรือไม่ พฤติกรรมทางการเมืองของประชาชนจะมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ประชาชนมีการเรียนรู้ทางการเมืองมากขึ้นหรือไม่ และภายใต้กรอบกติกาใหม่น้ี ผลของการเลือกต้ัง ยังจะยืนยันความตั้งมั่นของระบบพรรคการเมือง หรือความเข้มแข็งของพรรคการเมืองบางพรรคท่ีเคย ก่อรา่ งสร้างตัวมาจากรฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ไดห้ รอื ไม่ จงั หวดั สรุ นิ ทร์ จงึ เปน็ พน้ื ทหี่ นงึ่ ทมี่ คี วามนา่ สนใจในการท�ำการศกึ ษาเชงิ ลกึ เกย่ี วกบั การเคลอ่ื นไหว ทางการเมืองในระดับพื้นท่ี เพ่ือการท�ำความเข้าใจพฤติกรรมการเมือง กติกาใหม่ทางการเมือง ซึ่งม ี ความส�ำคญั เป็นอย่างย่ิงท่ีจะน�ำไปสู่การพฒั นาการเมอื งการปกครองไทยในระบอบประชาธปิ ไตยต่อไป วัตถุประสงค์ 1. เพ่ือศึกษาบรรยากาศทางการเมืองและความเคล่ือนไหวทางการเมือง ขององค์กรและกลุ่ม ทางการเมืองท่ีเกยี่ วข้องกับการเลือกต้ังสมาชกิ สภาผ้แู ทนราษฎรในจงั หวดั สุรินทร์ 2. เพ่ือศึกษาพฤติกรรมทางการเมืองของผู้ลงคะแนนเสียงเลือกต้ังและผู้สมัครรับเลือกต้ัง สมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรในจังหวดั สุรนิ ทร์ 3. เพื่อศึกษาการเปล่ียนของพฤติกรรมทางการเมือง แบบแผนพฤติกรรมทางการเมือง ของ ประชาชนและกลมุ่ การเมอื ง ในสว่ นทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั การเลอื กตง้ั สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรในจงั หวดั สรุ นิ ทร์
24 การศึกษาความเคลื่อนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดสุรินทร์ ขอบเขตของการศึกษา 1. ขอบเขตด้านเวลา ขอบเขตด้านเวลาของการศึกษาประกอบไปด้วย การศึกษาตั้งแต่ช่วงก่อนการเลือกต้ัง ชว่ งระหวา่ งการมพี ระราชกฤษฎกี าก�ำหนดใหม้ กี ารเลอื กตงั้ วนั เลอื กตงั้ จนถงึ ประมาณ 1 เดอื น ภายหลงั จากคณะกรรมการการเลือกต้งั ประกาศรับรองผลการเลอื กตง้ั อยา่ งเปน็ ทางการในจงั หวัดสรุ นิ ทร์ 2. ขอบเขตประชากร ประชากรทท่ี �ำการศกึ ษาไดแ้ ก่ ผลู้ งสมคั รรบั เลอื กตง้ั หนว่ ยงานภาครฐั บรษิ ทั เอกชน องคก์ ร อสิ ระ องคก์ รสาธารณะ สอื่ มวลชน และองคก์ รอนื่ ๆ ทม่ี อี ทิ ธพิ ลในการเลอื กตง้ั ในระดบั เขตจงั หวดั สรุ นิ ทร์ ตลอดจนความต่นื ตวั สนใจ การเขา้ มสี ่วนรว่ ม และพฤติกรรมการเลอื กต้งั ของประชาชน 3 ขอบเขตพ้ืนที่ เขตเลือกตั้งในจงั หวัดสรุ ินทร์ 4. ขอบเขตเน้ือหา 4.1 การตั้งมั่นของความเป็นพรรคการเมอื ง 1) ศึกษาการแข่งขันทางการเมือง โครงสร้างของตระกูลการเมือง หรือเครือข่ายทาง การเมอื งในเขตพน้ื ทจี่ งั หวดั สรุ นิ ทร์ วา่ มกี ารเปลย่ี นแปลงสงั กดั พรรคการเมอื งจากการ เลอื กตง้ั 3 ครงั้ ทผี่ า่ นมาหรอื ไม่ และหากมกี ารเปลยี่ นแปลง อะไรคอื ปจั จยั ทที่ �ำใหเ้ กดิ การเปลย่ี นแปลง แตถ่ า้ หากไมม่ กี ารเปลย่ี นแปลง โปรดระบสุ าเหตทุ ผ่ี สู้ มคั รรบั เลอื กตงั้ หรือเครือขา่ ยการเมอื งเดมิ ยงั คงอยใู่ นพรรคการเมอื งเดมิ โดยไม่เปลย่ี นแปลง 2) การเปลยี่ นแปลงพรรคการเมอื งของผลู้ งสมคั รรบั เลอื กตง้ั หรอื เครอื ขา่ ยทางการเมอื ง มผี ลตอ่ รปู แบบการแพช้ นะ ของผสู้ มคั รรบั เลอื กตงั้ หรอื ไม่ อยา่ งไร หากไมม่ ี อะไรคอื ปจั จัยท่ที �ำให้ผลของการเลอื กตัง้ ออกมาในรูปแบบนัน้ 3) การเลือกต้ังระบบใหม่ที่เป็นแบบบัตรใบเดียวท่ีบีบค้ันให้คนต้องเลือกคนหรือเลือก พรรคการเมือง มีผลต่อการตัดสินใจของผู้ลงคะแนนเสียงเลือกต้ังหรือไม่ อย่างไร ผู้ลงคะแนนเสียงเลือกต้ังใช้ปัจจัยอะไรมาก�ำหนดให้ตนเลือกพรรค หรือเลือกผู้สมัคร รับเลือกตงั้ คนไหน อย่างไร 4) สภาพการณท์ เ่ี ปลย่ี นไปของเศรษฐกจิ สงั คม และเทคโนโลยี ซงึ่ สง่ิ ตา่ งๆ เหลา่ นที้ �ำให้ ผลู้ งคะแนนเสยี งเลอื กตง้ั มคี วามนยิ ม หรอื มคี วามผกู พนั กบั พรรคการเมอื งตา่ งไปจาก
25 การเลือกต้ังคร้ังท่ีแล้วหรือไม่ ทั้งน้ีเพ่ือค�ำถามว่า 8 ปีท่ีไร้การเลือกตั้งน้ัน ความเป็น พรรคการเมือง หรือความนิยมในพรรคการเมือง ยังสามารถฝังรากลึกในสังคมไทย ได้หรือไม่ เพราะเหตใุ ด 4.2 พฤติกรรมการเลือกต้ัง เป็นการศึกษาวิเคราะห์ เปรียบเทียบ ในทุกประเด็น เช่น การเลือกตั้งในครั้งน้ีม ี ความเหมอื นหรอื แตกตา่ งจากการเลอื กตง้ั ทเี่ คยผา่ นมาในพนื้ ทหี่ รอื ไม่ มปี ระเดน็ ใดบา้ ง มกี ารเปลยี่ นแปลง ที่ส�ำคัญในเรื่องใด และส่งผลกระทบส�ำคญั ในเรอ่ื งการพฒั นาประชาธิปไตยอย่างไร นอกจากน้ียงั ศึกษา ความแตกต่างหลากหลาย (Diversity) ของผู้สมัคร ในมิติความหลากหลายทางเพศ ชาติพันธุ์ ลักษณะ ทางกายภาพ (พกิ าร) และการท�ำงานในพน้ื ที่ รวมถงึ การแข่งขนั ทางการเมอื งทัง้ ในสว่ นทส่ี ามารถเห็นได้ ชดั เจน เชน่ การรณรงคห์ าเสยี ง กลยทุ ธ์ วธิ กี าร การน�ำเสนอนโยบาย ตลอดจนการแขง่ ขนั ในสว่ นทปี่ ดิ บงั เชน่ การซื้อเสยี ง การใชอ้ ิทธพิ ลของหนว่ ยงาน การแทรกแซงด้วยวธิ กี ารตา่ งๆ เปน็ ตน้ วิธีการศึกษาวิจัย อาศัยวธิ กี ารศกึ ษาเชงิ คุณภาพเป็นเครือ่ งมอื ส�ำคัญในการศกึ ษา ได้แก่ 1. เอกสารตา่ งๆ ทีเ่ กย่ี วขอ้ ง ได้แก่ กรอบของกฎหมาย เช่น ข้ันตอนการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง พ.ศ. 2560 อ�ำนาจหน้าที่ของ คณะกรรมการการเลอื กตง้ั ตามพระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนญู วา่ ดว้ ยคณะกรรมการการเลอื กตง้ั และ บทบาทของพรรคการเมืองตามพระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนูญวา่ ดว้ ยพรรคการเมอื ง พ.ศ. 2560 ข้อมูลเชิงพ้ืนที่ในจังหวัดท่ีก�ำหนด เช่น ข้อมูลประชากร ข้อมูลพรรคการเมืองท่ีมีผู้สมัคร รับเลือกต้ังในจังหวัดที่ก�ำหนดท้ังในการเลือกต้ังปัจจุบัน และการเลือกตั้งในอดีต และข้อมูลประวัต ิ ผู้ลงสมัครรบั เลอื กต้ัง พร้อมความเป็นเครอื ญาติ หรอื เครอื ข่ายของนักการเมืองเก่า ท้งั ในระดับชาตแิ ละ ระดบั ทอ้ งถ่ิน และผลการเลอื กต้ังย้อนหลัง 3 คร้ังในเขตจังหวดั ที่ก�ำหนด 2. การสัมภาษณ์อย่างเจาะลกึ ในทุกประเดน็ ทีเ่ กยี่ วขอ้ ง โดยมีการลงพื้นที่ผู้มีส่วนเก่ียวข้องต่างๆ เช่น ผู้ว่าราชการจังหวัด นายกองค์การบริหาร ส่วนจังหวัด คณะกรรมการการเลือกต้ัง ผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง ผู้จัดการการเลือกต้ัง ก�ำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และประชาชน
26 การศึกษาความเคลื่อนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดสุรินทร์ 3. การสงั เกตแบบมสี ่วนรว่ มและไม่มสี ว่ นร่วม เปน็ การสงั เกต บนั ทกึ และวเิ คราะหบ์ รรยากาศทวั่ ไป พฤตกิ รรมทางการเมอื งของผลู้ งสมคั ร รับเลือกต้ัง บทบาทของหน่วยงานภาครัฐ บริษัทเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่เข้ามามีบทบาท เก่ียวข้องกับการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พฤติกรรมทางการเมืองของประชาชน ในช่วงก่อน การเลือกต้งั ชว่ งการเลือกตง้ั และชว่ งหลงั จากการเลือกต้งั สมาชิกสภาผูแ้ ทนราษฎร ประโยชน์ที่ได้รับ 1. ทราบถงึ บรรยากาศทวั่ ไป ความรคู้ วามเขา้ ใจ และความเคลอื่ นไหวของประชาชน คณะกรรมการ การเลอื กตั้ง องค์กรปกครองส่วนท้องถิน่ พรรคการเมอื งและนกั การเมอื งในพ้นื ท่ี องคก์ รเอกชน องค์กร สาธารณะ และหนว่ ยงานภาครฐั รวมถงึ องคก์ รอนื่ ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การเลอื กตงั้ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร 2. ทราบถึงบทบาทและการท�ำงานของคณะกรรมการการเลือกต้ังระดับต่างๆ รวมถึงปัญหา อุปสรรค และการแก้ไขปญั หาที่เกดิ ขนึ้ จากการบริหารจัดการการเลือกตั้งสมาชิกสภาผูแ้ ทนราษฎร 3. ทราบถงึ พฤติกรรมทางการเมอื งของผสู้ มคั รรบั เลอื กตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หนว่ ยงาน ภาครัฐ บริษัทเอกชน องค์กรสาธารณะ และองค์กรอื่นๆ ที่เข้ามามีบทบาทเกี่ยวข้องกับการเลือกต้ัง สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร 4. ทราบถงึ แบบแผนพฤตกิ รรมทางการเมอื งของประชาชนโดยเฉพาะทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การเลอื กตงั้ สมาชิกสภาผูแ้ ทนราษฎร
27
28 การศึกษาความเคล่ือนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดสุรินทร์
29 บทท่ี 2 แนวคิดและทฤษฎี ในบทนี้จะเป็นการน�ำเสนอแนวคิดที่ใช้เป็นกรอบในการอธิบายและท�ำความเข้าใจต่อระบบ การเลือกตั้งกับการสร้างความเป็นธรรมทางสังคม ผลประโยชน์และเครือข่ายอุปถัมภ์ในการเลือกต้ัง ซง่ึ ประกอบดว้ ยแนวคดิ ระบบการเลอื กตงั้ ความตงั้ มนั่ ทางการเมอื งในระบอบประชาธปิ ไตย และแนวคดิ ระบบอุปถัมภ์ ระบบการเลอื กตง้ั (electoral systems) ระบบการเลือกต้ังมีความส�ำคัญในฐานะเป็นกระบวนการเช่ือมโยงระหว่างความนิยมของ ประชาชนเข้ากับทางเลือกนโยบายที่ก�ำหนดโดยรัฐบาล การเลือกต้ังเป็นส่วนส�ำคัญของการคัดเลือก การคงอยู่ และการสบื ทอดอ�ำนาจทางการเมอื งส�ำหรบั บรรดานกั การเมอื ง เนอื่ งจากในทกุ ๆ สงั คมไมว่ า่ จะเปน็ สงั คมขนาดเลก็ ไปจนถงึ สงั คมขนาดใหญ่ การมอี ยขู่ องรฐั บาลคอื ภาพสะทอ้ นการเปน็ ตวั แทนของ ประชาชน เพราะในสภาพการณป์ จั จบุ นั ทมี่ ปี ระชากรจ�ำนวนมาก สง่ ผลใหก้ ารเขา้ ไปบรหิ ารงานทางการเมอื ง โดยตรงจากประชาชนอาจเป็นไปไม่ได้ จึงมีการมอบหมายภารกิจการตัดสินใจเชิงสาธารณะให้กับ ผแู้ ทนทเี่ ลอื กเขา้ ไปท�ำหนา้ ที่ ในสงั คมทเ่ี ปน็ ประชาธปิ ไตยผแู้ ทนเหลา่ นค้ี อื คนทปี่ ระชาชนเลอื กเขา้ ไปเปน็ ตัวแทนของตนในการใช้อ�ำนาจอธปิ ไตย นอกจากนน้ั การเลอื กตง้ั มคี วามส�ำคญั หลายประการ ในประการแรก การเลอื กตง้ั เมอื่ เกดิ ขน้ึ แลว้ ไม่ได้หมายความว่าจะสมบูรณ์โดยตัวเอง แต่การเลือกต้ังเป็นส่วนหน่ึงของกระบวนการทางการเมือง
30 การศึกษาความเคลื่อนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดสุรินทร์ ที่ลึกซ้ึงกว่าการเลือกตั้ง กล่าวคือ การเลือกต้ังจะยึดโยงกับการพัฒนารากฐานพัฒนาการทางการเมือง ไปส่รู ะบอบการเมืองท่ตี ้ังมัน่ ประการทีส่ อง การเลอื กต้ังเป็นกระบวนการที่น�ำไปสกู่ ารก�ำหนดความเปน็ ผนู้ �ำ หมายความวา่ การเลอื กตงั้ อาจน�ำไปสคู่ วามตอ่ เนอ่ื งหรอื การเปลย่ี นแปลงผนู้ �ำ ประการทส่ี าม แมแ้ ต่ การเลือกต้ังท่ีมีรอยด่างพร้อยก็ยังนับว่ามีคุณค่าในฐานะการสร้างชุดคุณค่าของสถาบันทางการเมืองใน สงั คมนน้ั ๆ เพอ่ื พฒั นาใหเ้ กดิ การเลือกตงั้ ท่ียตุ ธิ รรมตามหลักการประชาธปิ ไตย วิธีการที่ใช้ในการเลือกผู้แทนจึงมีความส�ำคัญว่าจะน�ำไปสู่การที่ได้คนที่จะเข้าไปท�ำหน้าที่ สาธารณะแทนประชาชนท่ีตอบสนองความตอ้ งการและขอ้ เรียกรอ้ งของประโยชนส์ าธารณะไดม้ ากนอ้ ย เพยี งใด การศกึ ษา “ระบบการเลอื กตง้ั ”(electoral systems) จงึ มคี วามส�ำคญั เพราะระบบการเลอื กตง้ั คอื ชดุ ของกฎเกณฑ์ กตกิ า ทใ่ี ชใ้ นการก�ำหนดวธิ กี ารลงคะแนนเสยี งเลอื กตง้ั รวมถงึ การค�ำนวณทนี่ ง่ั ส�ำหรบั สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎร การเลอื กตงั้ ของสงั คมไทยในปี 2562 ประเดน็ ระบบการเลอื กตงั้ เปน็ ประเดน็ ทมี่ กี ารหยบิ ยกขน้ึ มา อภิปรายกันอย่างมากว่า จะน�ำไปสู่ระบบการเมืองไทยในอนาคตอย่างไร ดังน้ันจึงควรมีการท�ำความ เข้าใจในหลักการและแนวคิดระบบการเลือกต้ังที่มีการใช้ในบริบทสากล เพื่อน�ำไปสู่การวิเคราะห์ระบบ การเลือกตงั้ ทีใ่ ช้ในการเลือกตัง้ ปี 2562 ของสงั คมไทยตอ่ ไป ในการพจิ ารณาระบบเลอื กตง้ั นอกเหนอื จากระบบการเลอื กตง้ั ทจ่ี ะกลา่ วถงึ ในรายละเอยี ดแลว้ ภายใตร้ ะบบการเลอื กตงั้ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ในทตี่ า่ งๆ ทว่ั โลก ยงั มมี ติ ขิ ององคป์ ระกอบอน่ื ๆ ทต่ี อ้ งน�ำมาประกอบ การพจิ ารณาในระบบการเลือกตงั้ ด้วยดงั ตอ่ ไปนี้ จำ�นวนผ้แู ทนทีพ่ ึงมีในเขตเลอื กตงั้ (District magnitude) นอกเหนอื จากประเภทของระบบการเลอื กตงั้ สงิ่ ทตี่ อ้ งพจิ ารณาควบคกู่ นั คอื ตรรกะในการค�ำนวณ ที่นั่งของผู้แทนในแต่ละเขตเลือกตั้ง ตรรกะในการคิดจ�ำนวนผู้แทนที่พึงมีในเขตเลือกตั้งมีความส�ำคัญ เพราะเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อระบบการเลือกต้ังทั้งระบบและส่งผลกระทบไปสู่การเมืองในระดับ ประเทศดว้ ย จ�ำนวนผแู้ ทนทพ่ี งึ มใี นเขตเลอื กตง้ั ขนึ้ อยกู่ บั ระบบการเลอื กตง้ั ดว้ ย เชน่ ระบบหนง่ึ เขตหนงึ่ คน ระบบหน่ึงเขตหลายคน อย่างไรก็ตามจ�ำนวนผู้แทนที่พึงมีในเขตเลือกต้ังในประเทศที่มีระบบการจัดสรร ท่ีน่ังของผู้แทนแบบเดียวจะไม่มีประเด็นในเร่ืองการคิดค�ำนวณ แต่ในประเทศท่ีมีระบบการค�ำนวณที่น่ัง ผู้แทนประชาชนหลายชั้น จะย่ิงท�ำให้การจัดสรรท่ีนั่งของผู้แทนประชาชนย่ิงมีความซับซ้อน (Gallagher and Mitchell,2005, 6) การคำ�นวณคะแนนเสียงของผู้มสี ทิ ธิเลือกต้งั ในระบบการเลอื กตงั้ สากล “หนง่ึ เสยี งหนงึ่ สทิ ธ”ิ คอื วธิ ที ใี่ ชใ้ นการค�ำนวณคะแนนเสยี งโดยเฉพาะ อยา่ งยงิ่ ในประเทศทปี่ กครองโดยระบอบประชาธปิ ไตย อยา่ งไรกต็ ามยงั คงพบวา่ มกี ารใหส้ ทิ ธแิ กป่ ระชาชน ทมี่ ากกวา่ “หนง่ึ เสยี งหนงึ่ สทิ ธ”ิ ดงั ปรากฏในระบบการเลอื กตง้ั แบบ Mixed systems ทผี่ มู้ สี ทิ ธเิ ลอื กตง้ั มี
31 สิทธิในการลงคะแนนเสยี งได้ 2 ครั้ง เช่น การเลอื กต้งั ทีเ่ กิดข้นึ ในเยอรมันและนิวซีแลนด์ ในวันเลอื กต้ัง ประชาชนไปยังหน่วยเลือกตั้งจะได้รับบัตรลงคะแนนในการใช้เสียงหนึ่งครั้งแรกเพื่อลงคะแนนให้กับ ผแู้ ทนในเขตเลอื กตง้ั ของตนหนงึ่ ทนี่ งั่ และไดร้ บั บตั รเลอื กตงั้ อกี หนงึ่ ใบเพอ่ื ลงคะแนนใหก้ บั พรรคการเมอื ง ที่แข่งขันกันในระดับประเทศ ซ่ึงระบบที่ให้สิทธิในการออกเสียงมากกว่าหน่ึงเสียงหนึ่งสิทธิไม่จ�ำเป็น เสมอไปท่จี ะเปน็ การละเมิดตอ่ หลกั การประชาธิปไตย (Gallagher and Mitchell,2005, 7) โครงสร้างของบัตรลงคะแนนเสียง (Ballot Structure) บัตรลงคะแนนเสียง เป็นส่วนท่ีจะท�ำให้ผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงได้ทราบว่า จะตัดสินใจ เลือกพรรค หรือ ผู้สมัครผ่านสัญลักษณ์ต่างๆ ที่ปรากฏในบัตรเลือกต้ัง บัตรเลือกต้ังยังเป็นส่วนส�ำคัญ ในการเป็นเคร่ืองยืนยันถึงความโปร่งใส และคะแนนต่างๆ ท่ีมีต่อนักการเมือง พรรคการเมือง รวมถึง หัวหน้าพรรคการเมืองเหลา่ น้นั งานศึกษาของ Douglas Rea เป็นคนแรกที่จัดประเภทของบัตรเลือกตั้งออกเป็น 2 แบบคือ (อ้างใน Gallagher and Mitchell,2005, 7) (1) บัตรเลือกต้ังแบบ nominal คือระบบบัตรเลือกตั้งที่ให ้ ผู้ลงคะแนนเสียงเลือกผู้สมัครเพียงหน่ึงคนและจากหน่ึงพรรคการเมืองเท่าน้ัน (2) บัตรเลือกต้ังแบบ ordinal คือระบบบัตรเลือกตั้งที่ผู้ลงคะแนนเสียงสามารถจัดล�ำดับผู้สมัครและพรรคการเมืองท่ีลงแข่งขัน เลอื กตงั้ ประเดน็ ของการจดั แบง่ ระบบบตั รเลอื กตง้ั เชน่ นคี้ อื หากมรี ะบบบตั รทใี่ หส้ ทิ ธแิ กผ่ อู้ อกเสยี งเลอื กตงั้ สามารถเลอื กพรรคการเมอื งไดม้ ากกวา่ 1 พรรคโดยไมจ่ �ำเปน็ ตอ้ งจดั ล�ำดบั วา่ ชอบใครกอ่ นหลงั ซง่ึ ท�ำให้ ระบบบตั รเลอื กตงั้ ของ Rea ไมส่ ามารถจัดประเภทของระบบบตั รเลือกตงั้ เชน่ นไ้ี ด้ งานศกึ ษาของสริ พิ รรณ นกสวน สวสั ดี (2561, 137-142) ศกึ ษารวบรวมโครงสรา้ งของบตั รเลอื กตงั้ ซึ่งสามารถแบง่ ออกได้ 4 ประเภท 1. บตั รเลอื กตงั้ ทเ่ี นน้ ผสู้ มคั ร (candidate-ballots) เปน็ ระบบบตั รเลอื กตง้ั ทใี่ ชใ้ นระบบเลอื กตง้ั แบบเขต ไม่ว่าจะเปน็ หน่ึงเขตหน่งึ คน หรือหนึง่ เขตหลายคน ซ่งึ เน้นคุณสมบตั สิ ่วนบคุ คล บัตรเลือกต้ังประเภทนี้นอกจากระบุคุณสมบัติผู้สมัครแล้ว ยังสามารถใช้ได้หลายรูปแบบ เพอ่ื สนองตอบตอ่ ผลู้ งคะแนนเสยี ง เชน่ การใชภ้ าพแทนตวั อกั ษรทรี่ ะบชุ อ่ื ผสู้ มคั ร ส�ำหรบั ผลู้ งคะแนนเสยี งทีอ่ ่านหนังสอื ไม่ออก 2. บัตรเลือกต้ังท่ีให้จัดล�ำดับผู้สมัคร (preference-ballots) เป็นระบบบัตรเลือกต้ังที่ใช้เพื่อ จัดล�ำดับความชอบโดยผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ไม่ใช่การจัดล�ำดับโดยพรรคการเมือง รวมถงึ ใชใ้ นระบบบญั ชรี ายชอื่ แบบเปดิ (open list) เพอ่ื ใหผ้ สู้ มคั รในพรรคเดยี วกนั แขง่ ขนั กันเพอ่ื ให้ช่อื ตนเองเบยี ดแทรกเขา้ มาอย่ใู นความสนใจของประชาชน 3. บัตรเลือกต้ังที่เน้นพรรคการเมือง (party ballot) ใช้กับระบบเลือกตั้งแบบสัดส่วน บัญช ี รายช่ือแบบปิด (closed-list) ไม่เน้นให้เลือกท่ีตัวผู้สมัคร แต่ต้องการให้ผู้มีสิทธิออกเสียง
32 การศึกษาความเคล่ือนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดสุรินทร์ เลือกพรรค บัตรเลือกตั้งแบบนี้อาจจะปรากฏเพียงช่ือพรรคการเมืองและเลขประจ�ำ พรรคการเมืองเท่าน้ัน หรือในบางแห่งอาจมีชื่อผู้สมัครของพรรคในเขตเลือกต้ังน้ันๆ เพอ่ื ให้ข้อมลู แกผ่ อู้ อกเสียงเลอื กต้ัง 4. บัตรเลือกตั้งแบบผสม (combined or mixed ballot) ระบบบัตรเลือกต้ังที่ผสมให้ผู้มีสิทธิ ออกเสียงเลือกตั้งเลือกท้ังตัวผู้สมัครและพรรคการเมืองไปพร้อมๆ กัน โดยท่ัวไปจะม ี บัตรเลอื กตัง้ 2 ใบ เพ่ือให้โอกาสผู้ออกเสยี งเลอื กตัง้ ตัดสินใจไดอ้ ยา่ งอสิ ระ และสามารถ แสดงเจตจ�ำนงทัง้ ในการเลอื กพรรคและเลอื กตัวบคุ คล ประเภทของระบบเลอื กต้งั ประเภทของระบบการเลือกต้ังสามารถแบ่งได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับนักวิชาการแต่ละท่านว่าจะ อภปิ รายการแบง่ ประเทศดว้ ยเกณฑอ์ ะไร ระบบการเลอื กตงั้ สามารถแบง่ ออกไดห้ ลายวธิ ี แตก่ ารแบง่ แบบ ใหญๆ่ สามารถแบง่ ออกเปน็ 2 ประเภทใหญ่ ไดแ้ ก่ (Shahandashti, 2016, Gallagher and Mitchell, 2005) 1. ระบบการเลือกตั้งท่ีออกแบบมาเพ่ือสร้างตัวแทนในเขตเลือกตั้งแบบเป็นผู้ชนะหน่ึงราย หรอื มผี ชู้ นะหลายราย โดยใชก้ ลไกแบบคะแนนเสยี งขา้ งมาก (majority voters) เชน่ ระบบ ท่ีเรียกว่า Winner take all คือ ผู้ชนะแล้วได้สิทธิในการจัดต้ังรัฐบาล โดยไม่ต้องค�ำนึง ถึงสัดส่วนของพรรคที่เป็นรองที่ได้ที่น่ังในแต่ละเขตการเลือกตั้ง เช่น ระบบการเลือกต้ัง ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ระบบผู้ชนะการเลือกตั้งในแต่ละเขตการเลือกตั้ง เพื่อ มาพิจารณาว่าพรรคการเมืองใดมีเสียงข้างมาก หรือสามารถรวบรวมเสียงข้างมาก เพ่ือจัดตั้งรฐั บาล 2. ระบบผสมผสาน คือระบบการเลือกต้ังที่ผสมระหว่างการใช้กลไกแบบเสียงข้างมาก ในการเลือกผู้แทน กับการใช้ระบบบัญชีรายชื่อเพื่อคัดเลือกผู้แทนอีกกลุ่มหน่ึง ระบบ การเลอื กตัง้ ประเภทน้ีเป็นทีน่ ิยมในปจั จบุ ัน งานศึกษาของสิริพรรณ นกสวน สวัสดี ท�ำการศึกษาระบบการเลือกตั้งที่เสนอโดยนักวิชาการ ไดส้ งั เคราะหว์ า่ ภายใตร้ ะบบการเลอื กตง้ั ทเ่ี สนอมานน้ั มหี ลกั การส�ำคญั ทใี่ ชใ้ นการก�ำหนดการเลอื กตง้ั ดงั นี้ (1) การใชว้ ิธกี ารชี้ขาดผู้ชนะและกระบวนการเลอื กตง้ั เป็นเกณฑ์ (2) การใชจ้ �ำนวนที่น่งั ท่ีมไี ดใ้ นเขตเลอื ก ตั้งเป็นเคร่ืองมือแยกแยะความแตกต่าง นอกจากน้ันสิริพรรณยังได้จัดแบ่งระบบการเลือกตั้งออกเป็น 4 กลุ่มใหญ่ๆ เพื่อง่ายต่อการท�ำความเข้าใจและเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาระบบเลือกต้ังในประเทศไทย (2561,38-39) 1. ระบบเลอื กตงั้ แบบเสยี งขา้ งมากธรรมดา (Plurality Electoral System หรอื First Past the Post) เป็นระบบท่ีคัดเลือกผู้ชนะในการเลือกต้ังโดยมาจากคะแนนที่ผู้สมัครน้ันได้คะแนนเสียง มากท่ีสุด ไม่ว่าจะได้คะแนนเท่าใดก็ตาม และไม่จ�ำเป็นต้องได้คะแนนเสียงเกินกว่าครึ่งหนึ่งด้วย เป็น ระบบการเลอื กตั้งที่เขา้ ใจงา่ ยทีส่ ุดเมื่อเทยี บกบั ระบบการเลือกต้งั อ่นื สามารถแบ่งออกเปน็ 4 รปู แบบ
33 1.1 ระบบเขต เสยี งขา้ งมากธรรมดา หนงึ่ เขตหนงึ่ คน (Single-Member Districts/ Constituencies -SMD) เป็นระบบเลือกต้ังที่เข้าใจง่ายต่อทั้งผู้ออกเสียงเลือกตั้งและผู้จัดการเลือกต้ัง การนบั คะแนนรผู้ ลแพ-้ ชนะเปน็ ไปอยา่ งรวดเรว็ เปน็ ระบบทโี่ ดยทว่ั ไปเออื้ ใหพ้ รรคการเมอื ง จัดตั้งรัฐบาลได้โดยใช้เวลาไม่นานหลังการเลือกต้ังสิ้นสุดลง ข้อเสียคือผู้ชนะการเลือกตั้ง ไม่อาจประกันได้ว่าเป็นตัวแทนของประชาชนจ�ำนวนมากพอท่ีจะอ้างความชอบธรรมว่า มาจากการยอมรับของเสียงส่วนใหญ่จริงๆ หากน�ำคะแนนเสียงของผู้ที่ไม่ได้เลือกผู้ชนะ มารวมกันอาจจะมากกว่าจ�ำนวนคนที่เลือกผู้ชนะก็เป็นได้ นอกจากน้ันระบบน้ียังเอ้ือให้ พรรคการเมอื งขนาดใหญไ่ ดเ้ ปรยี บ จากการแปรคะแนนเสยี งใหเ้ ปน็ ทนี่ ง่ั ในสภา (สริ พิ รรณ, 2516, 39-44) 1.2 ระบบเขต เสยี งขา้ งมากธรรมดา หนง่ึ เขตหลายคน (Multi-Member Districts/ Constituencies - MMD) หรือ บล็อกโหวต (Block/ Bloc Vote) ระบบเลอื กตงั้ นเี้ ขตเลอื กตั้งหนึง่ มีผ้แู ทนได้ หลายคน ผอู้ อกเสยี งเลอื กตงั้ แตล่ ะคนสามารถเลอื กผสู้ มคั รไดห้ ลายคน แตไ่ มเ่ กนิ จ�ำนวน ของผู้แทนหรือที่นั่งที่พึงมีในเขตเลือกตั้งน้ัน โดยผู้มีสิทธิออกเสียงสามารถเลือกผู้สมัคร ท่ีมาจากพรรคเดียวกันหรือต่างพรรคก็ได้ในจ�ำนวนที่น่ังในเขตเลือกตั้งนั้นๆ ตัดสินกันท่ี คะแนนสูงสุดไล่เรียงล�ำดับตามจ�ำนวนท่ีนั่งในเขตเลือกต้ัง ข้อดีของระบบเลือกตั้งนี้คือ เขา้ ใจงา่ ย และเออ้ื ใหเ้ กดิ พรรคการเมอื งหลายพรรคสามารถเบยี ดเขา้ มาเปน็ ผแู้ ทนได้ แต่ ในขณะเดยี วกนั ระบบนที้ �ำใหเ้ กดิ การแปรคะแนนเสยี งเปน็ ทน่ี ง่ั มคี วามเบย่ี งเบนสงู ซง่ึ ท�ำให้ พรรคใหญไ่ ดเ้ ปรยี บ และสามารถมที นี่ ง่ั ในเขตเลอื กตง้ั นนั้ สงู กวา่ คะแนนเสยี งทไ่ี ดร้ บั เลอื ก จากประชาชน (สิรพิ รรณ,2561, 45-50) 1.3 ระบบเขตเสยี งขา้ งมากธรรมดา หนงึ่ เขตหลายคน คะแนนเสยี งเดยี ว ถา่ ยโอนคะแนนไมไ่ ด ้ (Single Non-Transferable Vote - SNTV) เปน็ ระบบเขตเลอื กตง้ั ทหี่ นงึ่ เขตมผี แู้ ทนไดม้ ากกวา่ หนง่ึ คน แตผ่ มู้ สี ทิ ธอิ อกเสยี งเลอื กตงั้ ลงคะแนนไดเ้ พยี ง 1 เสยี งเทา่ นน้ั ผทู้ ช่ี นะการเลอื กตง้ั คอื ผทู้ ไี่ ดค้ ะแนนมากทส่ี ดุ เรยี งตามล�ำดบั ลงมาใหไ้ ดเ้ ทา่ กบั จ�ำนวนผแู้ ทนทเี่ ขตเลอื กตงั้ นนั้ พึงมี ระบบเลือกต้ังแบบนี้เป็นหลักประกันให้คนกลุ่มน้อยสามารถเข้ามาเป็นตัวแทนใน เขตนั้นๆ ได้ เพราะคะแนนเสียง 1 ใน 5 ก็อาจท�ำให้ผู้สมัครชนะการเลือกตั้งได้ ระบบ เลือกตั้งแบบนี้จึงออกแบบมาเพ่ือท้าทายการวางกลยุทธ์ของพรรคการเมืองในการส่ง ผู้สมัครแข่งขันเลือกตั้งเพื่อให้พรรคชนะท่ีนั่งมากที่สุดในเขตเลือกตั้งนั้นๆ ข้อด้อยของ ระบบน้ีคือ การที่พรรคการเมืองท่ีมีชื่อเสียง สามารถสร้างระบบเครือข่ายอุปถัมภ์ในเขต เลือกต้ังและน�ำไปสู่การเอ้ือให้นักการเมืองในพรรคนั้นสามารถชนะการเลือกต้ังได้ง่าย (สริ ิพรรณ, 2561, 50-53) 1.4 ระบบเขตเสยี งขา้ งมากธรรมดา จ�ำกดั จ�ำนวนการลงคะแนนเสยี ง (Limited Vote - LV) ระบบน้ี ในแต่ละเขตเลือกตงั้ มีผู้แทนไดม้ ากกว่า 1 คน แตผ่ มู้ สี ทิ ธิออกเสยี งสามารถลงคะแนนได้ มากกว่า 1 คะแนน แต่น้อยกว่าจ�ำนวนผู้แทนที่เขตเลือกต้ังน้ันพึงมี เช่น ในเขตเลือกตั้ง
34 การศึกษาความเคลื่อนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดสุรินทร์ ท่ีมีผู้แทนได้ 4 คน อาจก�ำหนดให้ผู้มีสิทธิ์เลือกต้ังมี 2 เสียง ผู้ชนะคือคนที่ได้รับคะแนน เสยี งมากทส่ี ดุ ไลเ่ รยี งตามล�ำดบั ระบบนที้ �ำใหผ้ อู้ อกเสยี งมอี สิ ระมากขน้ึ เนอ่ื งจากไมไ่ ดม้ ี คะแนนจ�ำกดั เพยี งคะแนนเดยี ว และสามารถเลอื กคนทชี่ น่ื ชอบแมจ้ ะไมใ่ ชน่ กั การเมอื งใน สงั กดั พรรคทตี่ อ้ งการเลอื กกต็ าม พรรคการเมอื งทล่ี งสมคั รในแตล่ ะเขตจะจดั เตรยี มบญั ชี รายช่ือผู้สมัครให้กับผู้มีสิทธิได้เลือก โดยระบบการเลือกตั้งแบบนี้ต้องก�ำหนดร่วมกันว่า ในแตล่ ะเขตทใ่ี ชร้ ะบบการเลอื กตง้ั นจ้ี ะใหท้ นี่ งั่ แกพ่ รรคทไ่ี ดค้ ะแนนมากทสี่ ดุ กที่ นี่ ง่ั พรรคทไี่ ด้ คะแนนรองลงมากท่ี นี่ งั่ บางครงั้ จงึ เรยี กระบบนวี้ า่ “ระบบจ�ำกดั จ�ำนวนโหวตแบบลงคะแนน ใหพ้ รรคการเมอื ง”(Party limited vote) ระบบนไี้ มพ่ บเหน็ บอ่ ยนกั ประเทศทเ่ี คยใชร้ ะบบน ้ี มายาวนานในอดีตคอื ประเทศสเปนในชว่ งต้นทศวรรษที่ 20 (สิริพรรณ, 2561, 53-55) 1.5 บล็อกโหวตพรรคการเมือง (Party Block Vote-PBV) เป็นระบบท่ีเลือก 1 เบอร์ได้ทั้ง พรรค ผเู้ ลอื กตง้ั จะมเี พยี ง 1 คะแนนเสยี งเทา่ นนั้ การเลอื กจะเปน็ การลงคะแนนเพอ่ื เลอื ก พรรคการเมอื ง พรรคทไี่ ดค้ ะแนนเสยี งมากทสี่ ดุ ไดท้ นี่ งั่ ทงั้ หมดไป โดยทพ่ี รรคทชี่ นะอาจได้ คะแนนเสยี งไมถ่ งึ รอ้ ยละ 50 กไ็ ด้ เปน็ ระบบเลอื กตง้ั ทไี่ มค่ อ่ ยเปน็ ทน่ี ยิ มใชใ้ นโลกมากนกั ประเทศที่เคยใชร้ ะบบนี้ เชน่ แคเมอรนู ชาด และสิงคโปร์ เป็นตน้ (สิริพรรณ, 2561, 56) 2. ระบบเลอื กต้งั แบบเขต เสยี งข้างมากเดด็ ขาด (Majority Electoral System) เป้าหมายของระบบการเลือกตั้งน้ีคือการให้ผู้ชนะมีความชอบธรรมในการเป็นตัวแทนของ ผเู้ ลอื กตง้ั เสยี งขา้ งมากจรงิ ๆ จงึ มกี ารก�ำหนดวา่ ผชู้ นะจะตอ้ งไดค้ ะแนนเสยี งเกนิ กวา่ ครงึ่ หนงึ่ (50% ขนึ้ ไป) จึงจะถือว่าเป็นตัวแทนในเขตน้ันๆ ถือว่าเป็นผู้ชนะเด็ดขาดเพราะแม้จะรวมคะแนนเสียงของผู้สมัคร คนอืน่ ๆ รวมกัน ก็ยงั น้อยกวา่ ผ้ชู นะอยดู่ ี ระบบน้ีโดยท่วั ไปแต่ละเขตจะมตี วั แทนได้ 1 คน ผ้ชู นะจะตอ้ ง ได้คะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่ง (50%+1) เพ่ือให้ผู้ชนะการเลือกต้ังเป็นที่ยอมรับของคนส่วนใหญ่และม ี ความชอบธรรมในการท�ำหน้าที่ (สริ พิ รรณ, 2561, 57) การก�ำหนดให้ผู้ชนะการเลือกต้ังต้องได้เสียงข้างมาก อาจไม่เกิดขึ้นในการเลือกต้ังทุกครั้ง ซง่ึ ระบบนม้ี วี ิธแี กใ้ ห้ไดผ้ ้ชู นะท่ีตอ้ งได้เสียงขา้ งมากใน 2 แบบ 1. ระบบการเลือกตั้งแบบเสียงข้างมาก 2 รอบ หรือการเลือกตั้งหลายคร้ัง (Two-Round System/ Exhaustive ballot) หากการเลือกต้ังในเขตน้ันไม่ปรากฏว่ามีผู้สมัครคนใดได้รับ เสยี งขา้ งมากอยา่ งสมบรู ณ์ จะมกี ารใชร้ ะบบการเลอื กตงั้ สองรอบ ทต่ี อ้ งด�ำเนนิ การภายใน หน่ึงสัปดาห์หลังจากการเลือกต้ังคร้ังแรก ผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ได้คะแนนสูงสุดจึงจะเป็น ผู้ได้รับการเลือกตั้ง ผู้สมัครรับเลือกตั้งรอบสองต้องเป็นไปตามกฎหมายการเลือกตั้งท่ี แตล่ ะประเทศก�ำหนด
35 2. ระบบจัดล�ำดับความชอบ (Alternative Vote - AV) ให้ความส�ำคัญกับ “น้�ำหนักความ พึงพอใจ” ท่ีผู้เลือกต้ังมีต่อผู้สมัครแต่ละคน ระบบการเลือกต้ังนี้จะมีผู้ชนะเพียงคนเดียว ซง่ึ จะตอ้ งไดร้ บั คะแนนเสยี งเกนิ ครง่ึ หนง่ึ ของผมู้ าออกเสยี งเลอื กตงั้ จงึ ถอื วา่ เปน็ ระบบเสยี ง ขา้ งมากแบบเดด็ ขาด หากการเลอื กตง้ั ในรอบแรกไมม่ ผี ชู้ นะเกนิ ครงึ่ หนง่ึ ของผมู้ าเลอื กตง้ั จะมกี ารนบั คะแนนรอบ 2 โดยคะแนนผสู้ มคั รทไ่ี ดต้ ำ่� สดุ จะถกู ตดั ออกไป และน�ำบตั รเลอื กตงั้ ของผสู้ มคั รทไ่ี ดค้ ะแนนตำ่� สดุ มาดวู า่ เลอื กใครเปน็ อนั ดบั ท่ี 2 กจ็ ะโอนคะแนนใหผ้ สู้ มคั รท่ี ถกู เลอื กเปน็ ล�ำดบั ที่ 2 ตอ่ ไป ซง่ึ จะด�ำเนนิ กระบวนการและหลกั การเชน่ นจ้ี นกวา่ จะมผี ชู้ นะ ท่ีได้คะแนนเสียงข้างมากเด็ดขาด ข้อดีของระบบน้ีคือตัวแทนท่ีได้รับการเลือกต้ังมีความ ชอบธรรมสูงและการซ้ือเสียงจะท�ำได้ยากข้ึน เพราะผู้ชนะการเลือกต้ังต้องได้คะแนนสูง และโอกาสทแ่ี ต่ละคนจะจัดล�ำดบั ความชอบเหมอื นกันเปน็ ไปไดน้ อ้ ย ข้อเสียของระบบน้ี คอื หากมกี ารเลอื กตงั้ รอบท่ี 2 หรอื 3 จะตอ้ งอาศยั การนบั คะแนนทตี่ อ้ งใชร้ ะยะเวลานาน ซึ่งท�ำใหก้ ารประกาศผลการเลอื กตง้ั ลา่ ช้าออกไป (สิรพิ รรณ,2561, 59-63) 3. ระบบการเลอื กตง้ั แบบสดั สว่ น หรอื ระบบบญั ชรี ายชอ่ื (Proportional Representation) ระบบการเลอื กตง้ั แบบสดั สว่ น เปน็ การทผ่ี ลู้ งคะแนนเสยี งเลอื กตง้ั ลงคะแนนใหก้ บั พรรคการเมอื ง โดยตรง มากกว่าจะเป็นการเลือกตัวบุคคลที่อยู่ในบัญชีรายชื่อของพรรคการเมือง พรรคการเมืองจะ ได้รับการจัดสรรที่น่ังตามสัดส่วนของคะแนนท่ีประชาชนออกเสียงให้พรรคนั้นๆ ระบบเลือกต้ังแบบนี้ ออกแบบมาเพอ่ื ใหจ้ �ำนวนทนี่ ง่ั ในสภาของแตล่ ะพรรคการเมอื งสะทอ้ นคะแนนเสยี งทปี่ ระชาชนสนบั สนนุ พรรคการเมอื งนน้ั อยา่ งใกลเ้ คยี งทส่ี ดุ เพอื่ สะทอ้ นลกึ ไปถงึ สดั สว่ นของนโยบาย อดุ มการณ์ และความเหน็ ของผอู้ อกเสยี งเลอื กตงั้ นอกจากนนั้ ระบบเลอื กตงั้ แบบนย้ี งั เปดิ โอกาสใหพ้ รรคขนาดเลก็ สามารถมตี วั แทน ของตนท่ีได้รับเลือกตั้งหากไม่มีการก�ำหนดเกณฑ์ขั้นต่�ำ รวมท้ังยังเป็นระบบท่ีอาจท�ำให้ไม่สามารถมี พรรคการเมืองเดียวได้เสียงข้างมากเด็ดขาดในสภา ขณะเดียวกันก็สามารถที่จะป้องกันการเกิดลักษณะ ของเบ้ียหัวแตกท่ีคะแนนกระจายไปยังพรรคการเมืองต่างๆ จนท�ำให้การเมืองขาดเสถียรภาพ โดยการ ก�ำหนดเกณฑ์ขั้นต่�ำ (threshold) เพื่อเป็นด่านก้ันพรรคการเมืองขนาดเล็ก ระบบการเลือกตั้งน้ีได้รับ ความนยิ มน�ำไปใชใ้ นหลายประเทศ เพราะเปน็ ระบบทเ่ี ปลยี่ นคะแนนเสยี งของประชาชนเปน็ ทน่ี ง่ั ในสภา ที่มีความเป็นธรรม และระบบเลือกต้ังน้ีส่งเสริมให้เกิดความสร้างสรรค์ของนโยบายและแข่งขันกันด้วย จุดยืนของพรรคมากกว่าตัวบุคคล การน�ำระบบการเลือกต้ังแบบสัดส่วนมาใช้จึงสัมพันธ์กับปัจจัย 4 ประการ คอื จ�ำนวนทนี่ ง่ั ในเขตเลอื กตงั้ สตู รการค�ำนวณ เกณฑข์ นั้ ตำ่� และการจดั ล�ำดบั ผสู้ มคั รรบั เลอื กตงั้ (สริ พิ รรณ, 2561, 64-67)
36 การศึกษาความเคลื่อนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดสุรินทร์ พฤติกรรมทางการเมือง ลกั ษณะของพฒั นาการทางการเมอื งในสงั คมจะด�ำเนนิ ไปในแนวทางใด ปจั จยั ส�ำคญั ประการหนง่ึ ในการก�ำหนดทศิ ทางการเมอื งในสงั คมนน้ั คอื การแสดงออกซง่ึ พฤตกิ รรมทางการเมอื งของพลเมอื ง ส�ำหรบั สงั คมการเมอื งความสามารถในการตดั สนิ ใจทางการเมอื งสะทอ้ นระดบั ความเขา้ ใจ ความสนใจ และการ รบั รถู้ งึ ผลประโยชนท์ างการเมอื งโดยพลเมอื ง อนั จะน�ำไปสกู่ ารตดั สนิ ใจเลอื กทางการเมอื งทมี่ นี ยั ยะส�ำคญั โดยมพี น้ื ฐานความเขา้ ใจถงึ ทางเลอื กในเชงิ นโยบายตา่ งๆ ทบ่ี รรดาพรรคการเมอื งน�ำเสนอในการรณรงค์ เลือกต้ัง การตัดสินใจเลือกทางการเมืองดังกล่าวจะส่งผลให้พลเมืองสามารถเข้าใจระบบการเมือง เพ่ือ น�ำไปสกู่ ารมีอทิ ธพิ ลและความสามารถในการควบคุมบรรดาผูแ้ ทนทเี่ ขา้ ไปท�ำงานในระบบการเมอื งได้ ในทางรัฐศาสตร์ การศึกษาพฤติกรรมทางการเมืองเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจโดยเฉพาะ อย่างย่ิงบรรดานักรัฐศาสตร์ชาวอเมริกัน ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาวัฒนธรรมการเมืองที่เป็นส่วนในการ กลอ่ มเกลาทางการเมอื งของพลเมอื ง หรอื การใหค้ วามส�ำคญั กบั การถกเถยี งทางการเมอื งในฐานะทเ่ี ปน็ เงอื่ นไขเบอ้ื งตน้ ของการบรรลถุ งึ ความเขา้ ใจทางการเมอื ง งานศกึ ษาของ Almond and Verba ทศ่ี กึ ษาทศั นคติ และพฤตกิ รรมของพลเมอื งผา่ นแนวคดิ วฒั นธรรมการเมอื ง ยนื ยนั วา่ แบบแผนและสถาบนั ในระบบการเมอื ง มคี วามเชอ่ื มโยงอยา่ งใกลช้ ดิ กบั วฒั นธรรมการเมอื งของชาตนิ นั้ ๆ ในทางกลบั กนั วฒั นธรรมนนั้ ขน้ึ อยกู่ บั สภาพทางประวตั ศิ าสตร์ เศรษฐกจิ และสงั คมของประเทศ การศกึ ษาทางวฒั นธรรมมคี วามส�ำคญั อยา่ งยงิ่ ตอ่ กระบวนการท�ำใหเ้ ปน็ ประชาธปิ ไตย ดว้ ยความพยายามระบวุ า่ วฒั นธรรมการเมอื งแบบใดทจ่ี ะสง่ เสรมิ พฒั นาการทางการเมืองแบบประชาธิปไตย ปจั จยั ส�ำคญั ของการด�ำรงอยขู่ องระบอบประชาธปิ ไตยคอื การมวี ฒั นธรรมการเมอื งทส่ี อดคลอ้ งกบั โครงสรา้ งระบอบ สมมตฐิ านนนี้ �ำไปสกู่ ารสรา้ งกรอบการวเิ คราะหเ์ ชงิ สาเหตวุ า่ การมวี ฒั นธรรมประชาธปิ ไตย เป็นส่วนในการก�ำหนดการด�ำรงอยู่ของระบอบประชาธิปไตย วัฒนธรรมการเมืองที่ส�ำคัญของแต่ละ ประเทศมาจากทัศนคติของประชาชน ซ่งึ ไดผ้ ่านกระบวนการขดั เกลาทางสังคมและเป็นทศั นคตทิ ี่ฝังราก และยงั่ ยนื อยใู่ นสงั คม จนกลายเปน็ ชดุ คณุ คา่ ในสงั คม วฒั นธรรมการเมอื งของประเทศใดประเทศหนง่ึ คอื ลกั ษณะการกระจาย (distribution) ของความโนม้ เอยี งทางดา้ นความรู้ ความรสู้ กึ และการประเมนิ คา่ ตอ่ วตั ถทุ างการเมอื ง (political objects) ทม่ี อี ยใู่ นบรรดาสมาชกิ ของสงั คมนน้ั (พฤทธสิ าณ ชมุ พล, 2556, 97) Almond and Verba ใช้แนวทางในการคน้ หาความโน้มเอยี งทางการเมืองของบุคคล โดยสรา้ ง ตารางแบบความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งความโนม้ เอยี งทางการเมอื ง 3 ประเภทโดยวดั จากปจั จยั หลกั 4 ประการ คอื (พฤทธสิ าณ ชุมพล, 2556, 99-100) 1. บุคคลมีความรู้อะไรเกี่ยวกับประเทศชาติ และ ระบบการเมืองโดยท่ัวไป ประวัติศาสตร์ ความเป็นมา ขนาด ท่ีต้งั ลกั ษณะอ�ำนาจ ฯลฯ เขามคี วามรู้สกึ อย่างไรตอ่ สิ่งเหล่าน้ี และ ประเมนิ โดยทั่วไปว่าเป็นอยา่ งไร
37 2. บุคคลมีความรู้เก่ียวกับโครงสร้าง และบทบาททางการเมือง เกี่ยวกับผู้น�ำทางการเมือง ทางเลอื กทางนโยบาย ทเี่ ขา้ สรู่ ะบบการตดั สนิ ใจทางการเมอื งอยา่ งไรบา้ ง เขามคี วามรสู้ กึ และทัศนคตติ อ่ โครงสรา้ ง ผนู้ �ำ และข้อเสนอเหล่านปี้ ระการใด 3. บคุ คลมคี วามรเู้ กยี่ วกบั ปจั จยั น�ำออกของระบบการเมอื ง เชน่ การบงั คบั ใชก้ ฎหมาย นโยบาย โครงสรา้ งทกี่ ระท�ำการนี้ บคุ คลทท่ี �ำหนา้ ท่ี และการตดั สนิ ใจในกระบวนการนอี้ ยา่ งไรบา้ ง เขามีความรู้สึกและทัศนคตปิ ระการใดเก่ยี วกับสง่ิ เหล่าน้ี 4. บคุ คลมองตวั เขาเองในฐานะสมาชกิ ของระบบการเมอื งอยา่ งไร เขามคี วามรเู้ กย่ี วกบั สทิ ธิ ภาระหนา้ ท่ี ตลอดจนชอ่ งทางในการทเ่ี ขาจะเขา้ ไปมอี ทิ ธพิ ลตอ่ นโยบายอยา่ งไร เขารสู้ กึ วา่ ตวั เขาเองมปี ระสทิ ธภิ าพทางการเมอื งเพยี งใด เขายดึ ถอื อะไรเปน็ บรรทดั ฐานในการตดั สนิ ใจ ทางการเมือง กลา่ วไดว้ า่ วฒั นธรรมการเมอื งของประชาชน หมายถงึ ทศั นคติ ความเชอ่ื คา่ นยิ มของสมาชกิ ในสงั คมหนง่ึ ๆ ทมี่ ตี อ่ “การเมอื ง” วฒั นธรรมการเมอื งของแตล่ ะบคุ คลเปน็ ผลมาจากกระบวนการอบรม กล่อมเกลาทางการเมือง (political socialization process) ในระดับครอบครัว โรงเรียน และสถาบัน การศึกษาในระดับตา่ งๆ และสถานทที่ �ำงาน เป็นตน้ ดงั นน้ั กระบวนการอบรมกล่อมเกลาทางการเมือง จงึ เปน็ การทบ่ี คุ คลไดร้ บั การสอนใหเ้ รยี นรทู้ กุ สง่ิ ทกุ อยา่ งในชว่ งชวี ติ หนงึ่ ซงึ่ มผี ลกระทบตอ่ การก�ำหนดทศั นคต ิ ความเชื่อ ความรู้สึก ค่านิยม และพฤติกรรมทางการเมืองของบุคคลน้ันๆ ซึ่งหมายถึงวัฒนธรรมทาง การเมอื ง และวฒั นธรรมทางการเมอื งนเ้ี องเปน็ ปจั จยั ส�ำคญั ประการหนงึ่ ทม่ี อี ทิ ธพิ ลตอ่ การเปลย่ี นแปลง ทางการเมือง พัฒนาการทางการเมือง และรูปแบบของระบอบการเมืองการปกครองที่เป็นอยู่ในแต่ละ ประเทศ รูปแบบการปกครองหรือโครงสร้างของรัฐบาลในแต่ละประเทศจะมีลักษณะเป็นประชาธิปไตย เผด็จการทหาร หรือเผด็จการเบ็ดเสร็จนิยมน้ัน ส่วนหน่ึงมาจากลักษณะวัฒนธรรมทางการเมืองของ ประชาชนในประเทศน้นั ๆ (วิวัฒน์ เอย่ี มไพรวนั , 2551, 379-380) งานศึกษาของ Almond and Verba ไดน้ �ำไปส่ขู ้อเสนอในการสรา้ งตัวแบบในอดุ มคติ โดยแบง่ วฒั นธรรมการเมอื งออกเปน็ 3 ประเภทดังนี้ 1. วัฒนธรรมการเมืองแบบคับแคบ (parochial political culture) เม่ือคนในสังคมมีความ โน้มเอียงน้อยมากต่อวัตถุทางการเมือง ทั้งในแง่การรู้จัก ความรู้สึก และการประเมินค่า ไมว่ า่ จะเกย่ี วกบั ระบบการเมอื งโดยทว่ั ไป หรอื เกยี่ วกบั สถาบนั บคุ คลหรอื ประเดน็ นโยบาย กล่าวคือบุคคลแทบจะไม่มีความสัมพันธ์กับระบบการเมืองเลย โดยไม่คิดว่าการเมือง ระดับชาติที่กระทบเขาได้ และคาดหวังว่าระบบการเมืองระดับชาติจะตอบสนองความ ต้องการของเขาได้ (พฤทธิสาณ, 2556, 101) 2. วัฒนธรรมการเมอื งแบบไพร่ฟ้า (subject political culture) เมื่อคนส่วนใหญใ่ นสงั คมรจู้ ัก สถาบันทางการเมืองเฉพาะอย่าง และมีความรู้สึกต่อสถาบันนั้นท้ังในแง่บวกหรือลบ
38 การศึกษาความเคล่ือนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดสุรินทร์ อีกท้ังสามารถประเมินค่าว่ามีความชอบธรรมหรือไม่ แต่จะมีความสัมพันธ์กับระบบ การเมืองโดยท่ัวไปและกับปจั จัยน�ำออกของระบบการเมอื งเทา่ นัน้ กล่าวคอื อยู่ในฐานะ ผรู้ อรบั ผลจากระบบการเมอื งโดยทไี่ มเ่ ขา้ ไปมสี ว่ นรว่ มในการเสนอความตอ้ งการของตนตอ่ ระบบ แมเ้ ขาจะเคารพเชือ่ ฟังระบบ แต่กม็ องวา่ ตนเองแทบจะไม่มอี ทิ ธิพลใดๆ ต่อระบบ คอยแต่จะรับผลกระทบจากระบบ เป็นบุคคลที่รู้เร่ืองราวเก่ียวกับอ�ำนาจรัฐและยอมรับ ต่ออ�ำนาจนั้น หากแต่ไม่รู้ว่าตนเองจะเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยผ่านช่องทาง กลไก หรือสถาบันใด (พฤทธิสาณ, 2556, 102) 3. วฒั นธรรมการเมอื งแบบมสี ว่ นรว่ ม (participant political culture) เมอ่ื คนในสงั คมมคี วามร ู้ มีความรู้สึกเก่ียวกับระบบการเมืองและส่วนต่างๆ ของระบบการเมืองมากข้ึน จะเป็นไป ในทางบวกหรือทางลบก็ได้ และมีความกระตือรือร้นที่จะเข้าไปมีบทบาททางการเมือง (พฤทธสิ าณ, 2556, 102) วัฒนธรรมการเมืองทั้ง 3 รูปแบบสามารถน�ำมาอธิบายความสัมพันธ์กับระบบการเมือง และ รูปแบบการปกครองได้ดังน้ี (ววิ ัฒน์ เอีย่ มไพรวัน, 2551, 381) ตารางที่ 2.1 ความสัมพนั ธ์กบั ระบบการเมอื ง และรูปแบบการปกครอง ประเภทของ ระดับของการรับรู้ ความรู้สกึ และความเข้าใจต่อ วฒั นธรรม ทางการเมือง ระบบ การ นโยบาย การ รูปแบบการปกครอง แบบคบั แคบ การเมือง ก�ำหนด มีส่วนรว่ ม นโยบาย ต่�ำสุด ต่ำ� สุด ตำ�่ สุด ตำ�่ สดุ แบบดัง้ เดิม (สงั คมเผ่า) แบบไพรฟ่ ้า ค่อนขา้ งตำ�่ ตำ�่ สุด ต่�ำสุด ต�่ำสุด แบบอ�ำนาจนยิ ม และ แบบเผดจ็ การเบด็ เสรจ็ นยิ ม แบบมสี ่วนร่วม สงู สงู สูง สงู แบบประชาธิปไตย วฒั นธรรมการเมอื งท้ัง 3 ประเภทจัดไดว้ ่าเป็นตวั แบบในเชงิ อดุ มคติ เน่อื งจากระบบการเมือง หนงึ่ ๆ ประชาชนในประเทศนน้ั ๆ อาจมวี ฒั นธรรมการเมอื งแบบผสม (mixed political culture) กลา่ วคอื ในประเทศท่ีคนมีวัฒนธรรมการเมืองแบบมีส่วนร่วมน้ัน บุคคลบางกลุ่มอาจมีวัฒนธรรมทางการเมือง แบบคบั แคบและแบบไพรฟ่ า้ ผสมอยดู่ ว้ ยเชน่ กนั ดงั นนั้ Almond and Verba จงึ ไดแ้ บง่ วฒั นธรรมการเมอื ง แบบผสมออกเป็น 3 ระบบ ไดแ้ ก่ (วิวัฒน์ เอี่ยมไพรวัน, 2551, 381)
39 วฒั นธรรมการเมอื งแบบคบั แคบผสมไพรฟ่ า้ (parochial-subject political culture) เปน็ วฒั นธรรม การเมอื งท่ีพัฒนามาอีกขน้ั หน่งึ ประชาชนมิไดย้ อมรบั อ�ำนาจของหัวหน้าเผา่ แต่จะหันมายอมรบั การใช้ อ�ำนาจของรฐั บาลกลาง วัฒนธรรมการเมืองแบบไพร่ฟ้าผสมการมีส่วนร่วม (subject-participant political culture) หมายถงึ การทปี่ ระชาชนบางสว่ นเรมิ่ สนใจตอ้ งการมสี ว่ นรว่ มทางการเมอื ง ในขณะทปี่ ระชาชนสว่ นใหญ่ ยงั คงไมส่ นใจทจี่ ะเขา้ มสี ว่ นรว่ มทางการเมอื ง ลกั ษณะเชน่ นมี้ กั ปรากฏในประเทศทมี่ รี ะบอบการปกครอง แบบประชาธิปไตยท่ไี ม่คอ่ ยมเี สถยี รภาพ วัฒนธรรมการเมืองแบบคับแคบผสมการมีส่วนร่วม (parochial-participant political culture) เปน็ วฒั นธรรมการเมอื งทปี่ รากฏในสงั คมทมี่ หี ลากหลายเชอ้ื ชาตหิ รอื หลายเผา่ ความรสู้ กึ ภกั ดตี อ่ เชอ้ื ชาติ และเผ่าของตนมีในระดับสูงขณะเดียวกันก็ต้องการมีส่วนร่วมทางการเมือง เพ่ือการได้มาซ่ึงประโยชน์ เฉพาะเช้ือชาติ เฉพาะกลุ่มให้มากท่ีสุด ลักษณะวัฒนธรรมการเมืองเช่นนี้มักน�ำไปสู่ปัญหาความขัดแย้ง ระหว่างเช้อื ชาตแิ ละระหวา่ งเผ่า แมว้ า่ กรอบคดิ วฒั นธรรมการเมอื งจะกระตนุ้ ใหเ้ กดิ การคน้ ควา้ และการตคี วามแนวคดิ วฒั นธรรม การเมือง แต่แนวคิดดังกล่าวถูกวิพากษ์ถึงความแม่นย�ำและพลังในการท�ำนายพฤติกรรมทางการเมือง เช่นข้อวิพากษ์ของ Kaase ที่กล่าวว่าวัฒนธรรมการเมืองเป็นเสมือน “ความพยายามตอกตะปูเจลลี่ ลงบนก�ำแพง” กลา่ วคือพยายามทจ่ี ะใหร้ ายละเอียดท่ีแน่ชดั กับบางสง่ิ ท่เี ป็นไปไม่ได้ทจ่ี ะรเู้ กยี่ วกับสิ่งนน้ั อยา่ งแนน่ อน แนวคดิ ทไ่ี มม่ คี วามแมน่ ย�ำและมกั จะกลายเปน็ ค�ำอธบิ ายอตั วสิ ยั ของประเทศชาตมิ ากกวา่ แนวคดิ เชงิ ประจกั ษ์ รวมถงึ ปญั หาส�ำคญั คอื หลกั ฐานของผลกระทบเชงิ วฒั นธรรมทมี่ คี วามไมส่ มำ่� เสมอ ในแต่ละประเทศ แม้จะถูกจัดว่าพลเมืองมีวัฒนธรรมการเมืองแบบเดียวกัน (Dalton and Klingemann, 2013) หนงั สอื The Civic Culture ซงึ่ เขยี นโดย Almond and Verba ปรากฏแนวคดิ วฒั นธรรมการเมอื ง ไดถ้ กู ตคี วามวา่ เปน็ เพยี งค�ำรวมๆ (collective term) หรอื เปน็ เพยี งขอ้ ควรปฏบิ ตั ิ จงึ สง่ ผลใหก้ ารน�ำแนวคดิ นมี้ าวเิ คราะหจ์ งึ มคี วามไมช่ ดั เจนอนั น�ำไปสขู่ อ้ จ�ำกดั ในคณุ คา่ ของค�ำอธบิ าย อยา่ งไรกต็ ามกรอบการศกึ ษา วัฒนธรรมการเมืองในฐานะการอธิบายพฤติกรรมทางการเมอื งยังคงมคี วามส�ำคัญ นอกเหนือจากวัฒนธรรมการเมืองท่ีก�ำหนดพฤติกรรมทางการเมืองของบุคคลในสังคมแล้ว กระบวนการกล่อมเกลางทางสังคมก็เป็นอีกปัจจัยท่ีส�ำคัญในการก�ำหนดทิศทางพฤติกรรมทางการเมือง ของบุคคล ในส่วนน้ีจะกล่าวถึงการกล่อมเกลาทางการเมืองในวัยผู้ใหญ่ เพื่อให้สอดคล้องกับงานศึกษา วจิ ยั ครง้ั นี้
40 การศึกษาความเคลื่อนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดสุรินทร์ การกลอ่ มเกลาทางการเมืองในวัยผูใ้ หญ่ (political socialization) การศกึ ษากระบวนการกลอ่ มเกลาทางการเมอื ง เปน็ ประเดน็ ทไี่ ดร้ บั ความสนใจตง้ั แตใ่ นทศวรรษ ท่ี 1950 จากการสงั เกตรปู แบบและแบบแผนของพฤตกิ รรมทางการเมอื งของบคุ คลในสงั คม กระบวนการ กล่อมเกลาทางสังคมเป็นการเรียนรู้แบบแผนทางสังคมท่ีสอดคล้องกับต�ำแหน่งของบุคคลนั้นๆ ผ่าน สอื่ กลางทม่ี อี งคป์ ระกอบหลากหลายในสงั คม การกลอ่ มเกลาทางสงั คมจงึ เปน็ กระบวนการเรยี นรทู้ ง้ั ทเ่ี ปน็ ทางการและไม่เป็นทางการจากประสบการณ์ตลอดช่วงชีวิตของบุคคลอันเป็นผลมาจากการท่ีบุคลลนั้น มีปฏิสัมพันธ์กับสถาบันต่างๆ ท้ังครอบครัว โรงเรียน กลุ่มเพ่ือน เพื่อนร่วมงาน และกลุ่มทางสังคม อนื่ ๆ สว่ นการกลอ่ มเกลาทางการเมอื งคอื กระบวนการทบ่ี คุ คลไดร้ บั จากทศิ ทางทด่ี �ำรงอยใู่ นสงั คมทม่ี ตี อ่ การเมืองโดยทัว่ ไปและต่อระบบการเมอื งของสังคมตนเอง กระบวนการกล่อมเกลาทางการเมือง จึงมีจุดเริ่มต้นต้ังแต่ในวัยเยาว์ท่ีเป็นการเรียนรู้ทั้ง ทางตรงและทางออ้ มเกย่ี วกบั ประเดน็ ทางสงั คมและการเมอื งผา่ นผปู้ กครอง เครอื ญาตทิ ใี่ ชช้ วี ติ ในระบบ สงั คมและการเมอื ง รวมถงึ บรบิ ททางการเมอื งในแตล่ ะสงั คมดว้ ย ทเ่ี ปน็ สว่ นกลอ่ มเกลาบคุ คลในวยั เยาว์ ซงึ่ มอี ทิ ธพิ ลตอ่ การแสดงพฤตกิ รรมทางกรเมอื ง การกลอ่ มเกลาทางการเมอื งยงั เปน็ สว่ นหนงึ่ ของการกอ่ รปู อปุ นสิ ยั ของบคุ คลซง่ึ สมั พนั ธก์ บั การลงคะแนนเสยี งเลอื กตง้ั ทางการเมอื งทนี่ �ำไปสกู่ ารออกมาใชส้ ทิ ธห์ิ รอื การงดออกเสยี ง อนั น�ำไปสกู่ ารรวมกลมุ่ ชมุ ชนของผคู้ นในสงั คมการเมอื งนน้ั ซงึ่ มาจากปจั จยั ผลประโยชน์ ทางการเมืองหรือการเข้ามีส่วนร่วมทางการเมืองในช่วงชีวิตของบุคคลนั้น การกล่อมเกลาทางการเมือง ท่ีเป็นส่วนของการแสดงออกซึ่งพฤติกรรมการตัดสินใจเลือกตั้ง เป็นส่วนหนึ่งของการสะท้อนตัวตนของ บุคคลที่ได้รับจากกระบวนการกล่อมเกลาทางการเมือง ดังนั้นการกล่อมเกลาทางการเมืองจึงไม่ใช่เพียง กระบวนการท่ีส�ำคัญของช่วงชีวิตในวัยเยาว์ เพราะตลอดช่วงชีวิตของบุคคลได้รับการกล่อมเกลาทาง การเมืองจากตัวกระท�ำสงั คมท่หี ลากหลายไม่เว้นแม้แต่เมอื่ เติบโตเป็นผใู้ หญ่ ปจั จยั ทมี่ ผี ลกระทบตอ่ การกลอ่ มเกลาทางการเมอื งในวยั ผใู้ หญอ่ าจแบง่ ออกเปน็ 4 ปจั จยั ดว้ ยกนั ไดแ้ ก่ กลมุ่ ทางสงั คม (social groupings) กลมุ่ ทตุ ยิ ภมู ทิ สี่ งั กดั ประสบการณท์ างการเมอื ง และสอ่ื มวลชน กลมุ่ ทางสงั คม (social groupings) หมายถงึ กลมุ่ ฐานะทางสงั คมทมี่ คี วามเหมอื นกนั เชน่ ชนชน้ั เดียวกัน ระดับรายได้เดียวกัน ระดับการศึกษาเดียวกัน อาชีพเดียวกัน เช้ือชาติเดียวกัน นับถือศาสนา เดียวกัน มาจากภูมิภาคเดียวกัน เป็นต้น กล่าวคือ การแสดงออกถึงฐานะทางสังคมและเศรษฐกิจของ บุคคลซ่ึงจะเป็นปัจจัยก�ำหนดการเรียนรู้ทางการเมืองของผู้ใหญ่มากทีเดียว เพราะบุคคลมักจะคบค้า สมาคมกับคนท่ีมฐี านเดียวกนั หรอื พ้ืนฐานคล้ายคลึงกนั จึงรับทศั นคตทิ างการเมืองจากคนทค่ี บค้าด้วย การศกึ ษา มีส่วนในการกลอ่ มเกลาทางการเมือง รวมท้งั การศึกษาเปน็ วิธกี ารในการแบง่ จ�ำพวกในสังคม วิธีหนึ่ง โดยทั่วไปแล้วคนที่มีการศึกษามากจะมีแนวโน้มท่ีรู้สึกว่าตนควรเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมือง รสู้ กึ ม่ันใจว่าตนจะสามารถเข้าไปมีอิทธิพลตอ่ กระบวนการทางการเมอื ง มคี วามสนใจทางการเมอื ง และ
41 มีความกระตือรือร้นทางการเมืองมากกว่าคนที่มีการศึกษาน้อย รวมท้ังอิทธิพลของระดับการศึกษาต่อ พฤติกรรมทางการเมืองน้นั เกี่ยวพันกับเงือ่ นไขทางเศรษฐกิจและสงั คมอน่ื ๆ อกี หลายอย่าง เช่น ระดบั รายได้ อาชีพและชนชนั้ ที่ยากจะแยกออกจากกัน (พฤทธิสาณ, 2556, 82-83) กลมุ่ ทตุ ยิ ภมู ทิ สี่ งั กดั หมายถงึ กลมุ่ ทมี่ โี ครงสรา้ งและกระบวนการทแ่ี นช่ ดั เชน่ ชนชน้ั กรรมาชพี เป็นกลุ่มทางสังคม ส่วนสหภาพแรงงานเป็นกลุ่มทุติยภูมิ คนเชื้อสายจีนเป็นกลุ่มทางสังคม ในขณะที่ สมาคมคนจนี ในประเทศไทยเปน็ กลมุ่ ทตุ ยิ ภมู ิ กลมุ่ ทตุ ยิ ภมู มิ กั จะดงึ ดดู คนทอ่ี ยใู่ นกลมุ่ ทางสงั คมประเภท หนงึ่ เขา้ มาเปน็ สมาชกิ และตงั้ ตวั เปน็ ปากเสยี งแทนคนจ�ำพวกนนั้ กลมุ่ ทตุ ยิ ภมู มิ อี ทิ ธพิ ลในการกลอ่ มเกลา ทางการเมอื งตอ่ ตวั บคุ คลนอ้ ยกวา่ กลมุ่ ปฐมภมู ิ แตม่ เี นอ้ื หาทจี่ ะมผี ลตอ่ พฤตกิ รรมทางการเมอื งมากกวา่ กลมุ่ ปฐมภมู ิ สงั คมทมี่ คี วามสลบั ซบั ซอ้ นมกี ลมุ่ ทตุ ยิ ภมู ิ จะมอี ทิ ธพิ ลในการกลอ่ มเกลาทางการเมอื งมากกวา่ สงั คมดง้ั เดมิ ทมี่ โี ครงสรา้ งงา่ ยๆ โดยกลมุ่ ทตุ ยิ ภมู แิ บง่ ออกได้ 3 ประเภทตามบทบาททมี่ ใี นการกลอ่ มเกลา ทางการเมือง ได้แก่ (1) กลุ่มที่ต้ังขึ้นด้วยวัตถุประสงค์ทางการเมืองโดยเฉพาะ เช่น พรรคการเมือง (2) กลุ่มที่ต้ังขึ้นด้วยวัตถุประสงค์ที่ไม่ใช่การเมือง แต่มีการให้การศึกษาทางการเมืองตลอดจนการระดม ทางการเมืองควบคู่ไปกับกิจการอ่ืนๆ ด้วย เช่น กลุ่มอาชีพต่างๆ กลุ่มศาสนา (3) กลุ่มท่ีต้ังขึ้นด้วย วัตถุประสงค์ที่ไม่ใช่การเมือง และไม่ท�ำการอบรมกล่อมเกลาทางการเมืองอย่างเป็นทางการ หากแต่ บางคร้ังท�ำโดยไม่รู้ตัว เช่น สมาคมกีฬา เปน็ ต้น (พฤทธสิ าณ, 2556, 83-84) ประสบการณท์ างการเมอื ง การไดส้ มั ผสั กบั การเมอื งโดยตรงยอ่ มมผี ลตอ่ การสรา้ งทศั นคตแิ ละ คา่ นยิ มทางการเมอื งของบคุ คล ถงึ แมบ้ คุ คลจะไดเ้ รยี นรเู้ กยี่ วกบั โลกการเมอื งจากตวั แทนตา่ งๆ ในสงั คม ต้ังแต่เยาว์วัย และเม่ือถึงวัยหนุ่มสาวความรู้สึกนึกคิดทางการเมืองของคนจะเป็นรูปร่างมากพอสมควร เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ก็จะได้เรียนรู้การเมืองจากประสบการณ์โดยตรง ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์ตรงผ่าน การฟังปราศรัยหรือการโฆษณาชวนเช่ือ การติดต่อหน่วยงานราชการ การเลือกตั้ง การเดินขบวนทาง การเมือง และการปฏิวัติ ปรากฏการณ์เหล่านี้เป็นส่ิงที่บุคคลได้รู้เห็นและสัมผัส และจะมีผลต่อค่านิยม ความเชอื่ ทางการเมอื งของเขาโดยตรง ประสบการณท์ างการเมอื งโดยตรง เปน็ โอกาสทบ่ี คุ คลจะไดท้ ดสอบ บทเรยี นทไ่ี ดเ้ รยี นรมู้ าโดยออ้ มผา่ นตวั แทนตา่ งๆ กบั ขอ้ เทจ็ จรงิ ทเ่ี กดิ ขนึ้ นอกจากประสบการณท์ างการเมอื ง โดยตรง ประสบการณใ์ นการท�ำงาน ในการรว่ มกจิ กรรมทางสงั คม การยา้ ยทอี่ ยู่ การเลอื่ นฐานะทางสงั คม และการมสี ว่ นรว่ มทางการเมอื งมผี ลตอ่ ความคดิ อา่ นทางการเมอื งอยเู่ ปน็ ประจ�ำ อยา่ งไรกต็ าม ประสบการณ์ ทางการเมืองจะมีผลต่อท่าทีทางการเมืองของบุคคลได้มากก็ต่อเม่ือบุคคลน้ันเป็นผู้ให้ความสนใจต่อ การเมอื ง และมผี ลนอ้ ยต่อคนท่ัวๆ ไป ยกเวน้ ในกรณพี ิเศษ เช่น เม่ือมสี งครามกลางเมอื ง หรือมีอตั รา การวา่ งงานหรอื คา่ ครองชพี สงู ขนึ้ มากโดยทว่ั ไปทง้ั สงั คมอนั เกดิ จากภาวะเศรษฐกจิ ตกตำ�่ อยา่ งใหญห่ ลวง เป็นต้น (พฤทธสิ าณ, 2556, 85-90) สอ่ื มวลชน ในสงั คมสมยั ใหมส่ อื่ มวลชนไดเ้ ขา้ มามบี ทบาทในการกลอ่ มเกลาทางการเมอื งมากขนึ้ เป็นล�ำดับ หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ เป็นตัวการท�ำการส่ือสารเก่ียวกับเหตุการณ์และปรากฏการณ์ ทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นจากรัฐบาลถึงประชาชนหรือจากคนกลุ่มหน่ึงสู่อีกกลุ่มหนึ่ง หรือแม้จาก
42 การศึกษาความเคล่ือนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดสุรินทร์ มุมหน่ึงของโลกถึงอีกมุมหนึ่ง บทบาทของส่ือมวลชนในการกล่อมเกลาทางการเมืองมีขอบข่ายกว้าง ขวาง สามารถประมวลบทบาทครา่ วๆ ไดด้ งั นี้ (1) สอื่ มวลชนในฐานะผสู้ ง่ ทอดขา่ วสารทา่ ทที างการเมอื ง (2) สื่อมวลชนไม่ได้มีอิทธิพลโดยตรง หากโดยผ่านผู้น�ำความคิดเห็น คือคนกลุ่มหนึ่งที่ให้ความสนใจกับ สารทางสอื่ มวลชนมากเปน็ พเิ ศษ เชน่ ครู ผนู้ �ำชมุ ชน ซง่ึ จะเปน็ ผถู้ า่ ยทอดเนอ้ื หาไปใหแ้ กผ่ อู้ น่ื ผนู้ �ำความคดิ มีความส�ำคัญมากเพราะมีอิทธิพลต่อกลุ่มเพ่ือนซึ่งมีลักษณะทางสังคมคล้ายคลึงกับเขา เป็นบุคคลใน ครอบครวั เปน็ เพอ่ื นสนทิ หรอื เพอ่ื นรว่ มงาน เปน็ ตน้ ดงั นน้ั จงึ อาจกลา่ วไดว้ า่ สอ่ื มวลชนพงึ่ ครอบครวั และ กลมุ่ เพอ่ื นอกี ทหี นง่ึ ในการกลอ่ มเกลาทางการเมอื ง โดยทเี่ นอ้ื หาจะถกู ตคี วามและแปรสภาพกอ่ นทจ่ี ะถกู ถ่ายทอด (3) บุคคลรับสารจากสื่อมวลชนและตีความสารภายใต้บริบทหรือเงื่อนไขทางสังคมในชีวิตจริง คนมิได้รับสารจากสื่อมวลชนโดยตัดขาดจากคนอื่น ต�ำแหน่งแห่งท่ีทางสังคมนอกจากจะเป็นตัวก�ำหนด ว่าเขาจะได้รับสารอะไรบ้าง ยังมีอิทธิพลต่อการตีความและต่อปฏิกิริยาของเขาด้วย (4) สื่อมวลชนม ี แนวโน้มที่จะตอกย�้ำท่าทีทางการเมืองท่ีมีอยู่เดิมมากกว่าที่จะสร้างท่าทีใหม่ๆ ข้ึน ทั้งน้ีเพราะคนเรา ให้ความสนใจกับสารที่เขาเห็นด้วยมากกว่าที่ไม่เห็นด้วย เช่น เลือกฟังค�ำปราศรัยของพรรคการเมืองท่ี ชื่นชอบอยแู่ ลว้ มากกวา่ พรรคการเมืองท่ไี ม่ชื่นชอบ เป็นตน้ (พฤทธิสาณ, 2556, 90-91) ความตั้งมน่ั ทางการเมอื งในระบอบประชาธิปไตย กระแสการเปล่ียนผ่านการเมืองในหลายๆ รัฐ เป็นปรากฏการณ์ท่ี Huntington นักรัฐศาสตร์ ชาวอเมริกาเรียกว่า การเกิดคล่ืนลูกท่ี 3 ของประชาธิปไตย (third wave of democracy) ในทัศนะของ Huntington คลื่นลูกแรกของประชาธิปไตยเกิดข้ึนในชว่ งทศวรรษสดุ ทา้ ยของศตวรรษที่ 19 และในปีแรก ของศตวรรษที่ 20 เมื่อประเทศยุโรปจ�ำนวนมากและประเทศในทวีปอเมริกาเหนือเป็นประชาธิปไตย ส่วนคล่ืนลูกท่ี 2 ของประชาธิปไตยเริ่มต้นขึ้นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งท่ี 2 เม่ือประเทศจ�ำนวนมาก ซง่ึ รวมทง้ั อติ าลี ญปี่ นุ่ และเยอรมนั ตะวนั ออก (ซง่ึ เปน็ กลมุ่ อกั ษะทรี่ กุ รานประเทศตา่ งๆ และน�ำไปสกู่ าร เกิดข้ึนของสงครามโลกคร้ังที่ 2) เคล่ือนจากระบอบอ�ำนาจนิยมไปสู่ระบอบประชาธิปไตย ในส่วนของ คล่ืนลกู ที่ 3 ของประชาธปิ ไตย เรม่ิ ตน้ จากกระบวนการเป็นประชาธปิ ไตยในประเทศยุโรปใต้ 3 ประเทศ คือ กรีซ, โปรตุเกส และสเปน ในช่วงกลางทศวรรษท่ี 1970 ต่อจากน้ันในทศวรรษท่ี 1980 และ 1990 ประเทศในระบอบอ�ำนาจนยิ มจ�ำนวนมากทงั้ ในทวปี ละตนิ อเมรกิ า, ยโุ รปตะวนั ออก, เอเชยี และแอฟรกิ า ต่างตบเท้าเข้าสู่กระบวนท�ำให้เป็นประชาธิปไตย เกิดการเปล่ียนแปลงระบอบจากรัฐบาลที่ไม่ได้มาจาก การเลอื กตงั้ สูร่ ัฐบาลท่มี าจากการเลือกต้งั (Haynes, 2005) ระบอบประชาธิปไตยตั้งมั่นที่ปรากฏตัวข้ึน มีบรรดาประเทศในกลุ่มอุตสาหกรรมระดับสูงท่ีม ี การพัฒนาทางเศรษฐกิจอยู่ในระดับสูงด้วย กลุ่มประเทศเหล่านี้มีระบอบประชาธิปไตยท่ีตั้งม่ันมา ยาวนาน โดยมีคุณลกั ษณะทีส่ �ำคญั สองประการ (1) democratic institutions การมีสถาบนั ทางการเมือง ท่ีเป็นประชาธิปไตย เช่น การเลือกตั้งท่ีมาจากประชาชน ระบบพรรคการเมืองที่มีการแข่งขันอย่างเสรี และเป็นธรรม และ (2) democratic principles หลักการความเป็นประชาธิปไตย เช่น ประชาชนมีกลไก ในการควบคมุ การท�ำงานของรฐั บาล มีความเท่าเทียมกนั ทางการเมืองของพลเมอื งทกุ คน
43 ในภาพรวมของบรรดาประเทศที่มีระบอบประชาธิปไตยต้ังม่ันจะมีคุณลักษณะทางการเมือง รว่ มกันดังนี้ • มีความเป็นสถาบันทั้งในทางการเมืองและในสังคมระดับสูงท่ีมีขอบข่ายและการเช่ือมโยง กนั ทัง้ สถาบันในรัฐและสงั คม • มกี ตกิ าในแบบประชาธปิ ไตยทไี่ ดร้ บั การยอมรบั จากตวั แสดงทางการเมอื งทส่ี �ำคญั ๆ ทง้ั หมด รว่ มกัน • กองทัพจะมีนยั ยะส�ำคัญนอ้ ยลงหรือไม่มนี ยั ยะส�ำคัญทางการเมอื ง • การบูรณาการระดับลกึ ในชุมชนทั้งส่วนภูมิภาคและระหว่างประเทศ • การกอ่ ตงั้ หรอื จดั ตงั้ องคก์ รตา่ งๆ เกดิ จากการมสี ว่ นรว่ มทางการเมอื งของพลเมอื งในระดบั สงู • มีกลไกควบคุมและอดกลน้ั ต่อความเห็นท่ีแตกต่างกนั ในหนังสอื ของ Mainwaring และคณะ Issues in Democratic Consolidation: The New South America Democracies in Comparative Perspective (อ้างใน Haynes, 2005, 19) เห็นว่า ระบอบ ประชาธปิ ไตยจะเรยี กวา่ มคี วามตงั้ มนั่ ไดต้ อ่ เมอ่ื ตวั แสดงส�ำคญั ทางการเมอื งทงั้ หมดยอมรบั โดยไมค่ ดั คา้ น ในข้อเท็จจริงท่ีว่า แม้ระบอบเผด็จการก็สามารถ เปล่ียนผ่านสู่กระบวนการประชาธิปไตยได้ โดยไม่ใช ่ การยึดการเลือกต้ังหรือผลการเลือกตั้งเพียงประการเดียว แต่ส่ิงที่ส�ำคัญย่ิงกว่านั้นคือการก่อรูปของ สถาบันประชาธิปไตย ท่ีมีกระบวนการเปิดให้เกิดการแข่งขันทางการเมือง พรรคการเมืองมีความ หลากหลาย และมกี ารแข่งขนั อยา่ งเสรีทไ่ี ดร้ บั หลกั ประกนั จากกฎหมาย ขณะที่ หนงั สอื เรอ่ื ง Problems of Democratic Transition and Consolidation Southern Europe, South America, and Post-Communist Europe ทศ่ี กึ ษาโดย Linz and Stephan (อา้ งใน Haynes, 2005, 19) เหน็ วา่ ลกั ษณะทส่ี �ำคญั ของระบอบประชาธปิ ไตยทต่ี งั้ มนั่ (democratic consolidation) ประกอบดว้ ย ; behavioral พฤตกิ รรมทตี่ วั แสดงตา่ งๆ ทง้ั ทางสงั คม เศรษฐกจิ การเมอื ง หรอื สถาบนั ใดจะตอ้ ง ไม่ใช้ทรัพยากรเพื่อตอบสนองต่อการสร้างระบอบไม่เป็นประชาธิปไตย หรือการใช้ไปเพื่อความรุนแรง หรือการแทรกแซงโดยตา่ งชาตเิ พอ่ื มุง่ หวังแยกตวั ออกจากรฐั attitudinal ประชาธปิ ไตยจะตงั้ มนั่ ได้ เงอ่ื นไขหนงึ่ คอื การทพี่ ลเมอื งสว่ นมากเชอ่ื วา่ กระบวนการ และสถาบนั ประชาธปิ ไตยเปน็ เปา้ หมายทีด่ ที ่สี ดุ เพ่อื การปกครองชวี ิตสาธารณะร่วมกนั constitutional เม่ือเกิดความขัดแย้งภายในสังคมทั้งก�ำลังของรัฐบาลและท่ีไม่ใช่รัฐบาลจะต้อง เล็งเหน็ ความส�ำคญั ของการแกไ้ ขความขดั แยง้ ดว้ ยกฎหมายทเ่ี ปน็ หลกั การเดียวกนั งานศึกษาของ O’Donnell and Schmitter (1986, 6) ได้กล่าวว่าการเปล่ียนผ่านทางการเมือง โดยเฉพาะการเปลยี่ นผา่ นจากเผดจ็ การไปสปู่ ระชาธปิ ไตย ประกอบดว้ ย 2 ขนั้ ตอน โดยการเปลยี่ นผา่ นใน
44 การศึกษาความเคล่ือนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดสุรินทร์ ขนั้ ตอนแรกอาจน�ำไปสรู่ ะบบการเมอื งประชาธปิ ไตยแบบไมเ่ สรี ทเ่ี นน้ การเขา้ สอู่ �ำนาจโดยการเลอื กตงั้ เปน็ หลกั ขั้นตอนน้ีอาจอยู่ยาวนานโดยไม่เกิดข้ันตอนท่ีสองคือการเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตย ข้อคิดเห็น ดังกล่าวสอดคล้องกับข้อคิดเห็นและทัศนะของนักวิชาการในแวดวงรัฐศาสตร์ท่ีเสนอว่าในกระบวนการ เปล่ียนผ่านสู่ประชาธิปไตย ในบทความ Democratic society and its enemies ท่ีเขียนโดย Arblaster (อา้ งใน Haynes, 2005, 38) อธบิ ายวา่ ในชว่ งคลนื่ ลกู ที่ 3 ของประชาธปิ ไตย (กลางทศวรรษที่ 1970 – กลาง ทศวรรษท่ี 1990) การเปลยี่ นจากประเทศเผดจ็ การอ�ำนาจนยิ มสปู่ ระชาธปิ ไตย เปน็ สงิ่ ทบี่ อ่ ยครงั้ ไมร่ าบรนื่ ไมท่ นั ทที นั ใด หรอื ไมส่ มบรู ณ์ หรอื ดงั ที่ Schedler ในบทความเรอื่ ง The menu of manipulation. Election without democracy (อา้ งใน Haynes, 2005, 38) ตง้ั ขอ้ สงั เกตวา่ มปี ระเทศในระบอบประชาธปิ ไตยระยะ ผ่านจ�ำนวนมากทีอ่ าจอยูใ่ นระยะผ่านในระยะทยี่ าวนาน กลา่ วคอื ไม่เป็นท้ังประชาธิปไตยที่ชัดเจน หรือ อ�ำนาจนิยมอย่างเต็มรูปแบบ กล่าวโดยสรุปนักวิชาการจ�ำนวนมากได้ต้ังข้อสังเกตถึงกระบวนการท�ำให้ เปน็ ประชาธปิ ไตย (process of democratization) จะผ่านขนั้ ตอน 4 ข้ันตอนดงั นี้ (Haynes, 2005, p.39) 1. การมเี สถยี รภาพทางการเมอื ง ดว้ ยการรา่ งรฐั ธรรมนญู เพอื่ แตกหกั กบั เผดจ็ การอ�ำนาจนยิ ม หรือกล่าวอีกอย่างคือ กระบวนการปฏิรูประบอบอ�ำนาจนิยมด้วยการให้เสรีภาพทาง การเมืองเกดิ ข้ึน 2. เม่ือแตกหักจากกระบวนการปฏิรูประบอบอ�ำนาจนิยมแล้ว ก็จะน�ำไปสู่การล่มสลายของ ระบอบอ�ำนาจนิยม 3. การเปลยี่ นผา่ นสปู่ ระชาธปิ ไตย โดยมหี ลกั หมายทเี่ ปน็ รปู ธรรมชดั เจนคอื การเลอื กตงั้ ทน่ี �ำ ไปสรู่ ฐั บาลใหม่ 4. การสร้างประชาธิปไตยที่มั่นคง (Democratic consolidation) เป็นกระบวนการท่ีภาคส่วน ต่างๆ ท้ังในกลุ่มชนชั้นน�ำและประชาชนท่ัวไปเห็นพ้องกันว่าระบอบประชาธิปไตย เป็น หนทางในการด�ำเนนิ การ/กจิ กรรมทางการเมอื งทด่ี ที สี่ ดุ (the best way of ‘doing’ politics) ความยากล�ำบากในการเปลย่ี นผา่ นคอื ในขนั้ ตอนที่ 3 ซงึ่ เปน็ ขนั้ ตอนทหี่ ลายประเทศในระบอบ ประชาธปิ ไตยระยะผา่ นตดิ หลม่ อยเู่ ปน็ เวลายาวนาน โดยทอ่ี าจน�ำระบอบการเมอื งเขา้ สรู่ ะบอบประชาธปิ ไตย แบบไมเ่ สรี เพราะหลงั จากทร่ี เิ รมิ่ เขา้ สกู่ ระบวนการเปลยี่ นผา่ น จากกฎเกณฑก์ ตกิ าทไ่ี มเ่ ปน็ ประชาธปิ ไตย แรงผลักดันของการปฏิรูปการเมืองในข้ันตอนที่ 1 อาจจะไม่ถูกรักษาไว้ ประเทศหลังเผด็จการอ�ำนาจ นิยมสามารถที่จะเส้นทางทางการเมืองที่จะเดินไปได้หลายทิศทาง บ่อยคร้ังที่ระบอบของประเทศหลัง เผดจ็ การอ�ำนาจนยิ มจะมรี ะบอบพนั ธผ์ุ สม ทม่ี กี ารเลอื กตงั้ ทเ่ี สรแี ละเปน็ ธรรมผสมกบั การมรี ฐั บาลทรี่ วม ศนู ย์อ�ำนาจ รวมทง้ั ประเทศทเ่ี คลอื่ นจากกฎเกณฑ์ของระบอบอ�ำนาจนิยมเข้าสกู่ ระบวนการเปล่ยี นผ่าน สู่ประชาธิปไตยมักถูกท�ำให้ต้องพัฒนาและรวมตัวเองเข้าสู่วิถีประชาธิปไตยทางการเมือง อย่างไรก็ตาม ประเทศเหล่านี้อาจมีคุณลักษณะของระบบการเมืองที่ขาดความเป็นสถาบันที่เกิดจากพัฒนาการของ โครงสร้างในระบอบประชาธิปไตย ซึง่ มีสาเหตุดงั นี้
45 1. ความตอ้ งการทจ่ี ะอยรู่ อดในระบอบใหมข่ องบรรดาผนู้ �ำในระบอบเกา่ กลา่ วคอื เปน็ เรอ่ื งท่ี เกย่ี วขอ้ งกบั การปรบั ตวั ของชนชนั้ น�ำอ�ำนาจนยิ ม (authoritarian elites) ในการเขา้ สรู่ ะบอบ ประชาธิปไตย กระบวนในการปรับตัวน้ีต้องใช้เวลาและความพยายามอย่างมาก ดังน้ัน การท�ำใหเ้ ปน็ ประชาธปิ ไตย จงึ มีนัยส�ำคัญทีห่ มายถึงการเคลือ่ นจากการตดั สนิ ใจนโยบาย สาธารณะของกลมุ่ ผนู้ �ำอ�ำนาจนยิ มทมี่ ลี กั ษณะปกปดิ ปดิ ลบั สกู่ ารตดั สนิ ใจนโยบายสาธารณะ ทเี่ ปดิ ให้กลุม่ ตา่ งๆ ตัวแสดงต่างๆ ในการเมอื งเขา้ มีส่วนก�ำหนดนโยบายสาธารณะ 2. ผลกระทบจากความโกลาหลทางการเมอื ง จากการเปลยี่ นผา่ นจากระบอบอ�ำนาจนยิ มและ ยังรวมทั้งการต้องจัดระเบียบสถาบันทางการเมืองใหม่ให้สอดรับกับระบอบประชาธิปไตย จงึ เทา่ กบั เปน็ การเปลย่ี นสคู่ วามไมค่ นุ้ ชนิ ทง้ั ของบรรดาผนู้ �ำการปกครองและประชาชนทว่ั ไป หรอื หากกลา่ วในแงท่ ฤษฎเี ทา่ กบั วา่ เปน็ การเปลย่ี นวฒั นธรรมการเมอื งหนง่ึ ไปสวู่ ฒั นธรรม การเมอื งอีกแบบหนงึ่ 3. กฎเกณฑ์กติกาในระบอบประชาธิปไตย ดังได้กล่าวแล้วว่าการเปล่ียนผ่านสู่ประชาธิปไตย มหี ลกั หมายทเ่ี ปน็ รปู ธรรมชดั เจนคอื การเลอื กตง้ั ทน่ี �ำไปสกู่ ารมรี ฐั บาลใหมห่ ลงั การเปลยี่ น ผา่ น ซงึ่ กฎกตกิ าการเลอื กต้งั ในระบอบประชาธปิ ไตยน้ีเองท่ที �ำให้เกิดความยากล�ำบากใน ผลลัพธ์ทางการเมืองในระยะผ่าน เพราะปัญหาในการนิยามว่าใครมีสิทธิอันชอบธรรมใน การเลน่ เกมการเมืองนบี้ ้าง จะเปน็ เพียงชนชนั้ น�ำ ประชาชน พรรคการเมอื งทีห่ ลากหลาย หรือกลุ่มผลประโยชน์ท่ีจะเข้าเล่นในเกมการเมืองน้ีได้หรือไม่อย่างไร ปัญหาข้อท่ี 2 คือ ประเด็นในการก�ำหนดมาตรฐานว่าใครจะแพ้หรือชนะในการเล่นเกมการเมืองนี้ กล่าวคือ จะใช้ระบบการเลือกต้ังอย่างไร ปัญหาท่ี 3 คือข้อจ�ำกัดในการก�ำหนดต�ำแหน่งมีส่วนได ้ ส่วนเสยี ความยากของการเปน็ ระบอบประชาธปิ ไตยทตี่ งั้ มนั่ คอื การแตกหกั จากระบอบเดมิ ของบรรดา ประเทศท่ีอยู่ท่ามกลางการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตย เพราะในห้วงระยะเวลาของการเปลี่ยนผ่าน ในทางการเมืองจะตกอยู่คร่ึงทางของระบอบประชาธิปไตยที่ต้ังม่ันกับระบอบไม่เป็นประชาธิปไตย จึงมี ความเปน็ ไปไดว้ า่ หว้ งระยะเวลาของการเปลี่ยนผ่าน บางประเทศสามารถเปลี่ยนผา่ นเป็นประชาธปิ ไตย ทตี่ ง้ั มน่ั แตบ่ างประเทศเปลย่ี นไมผ่ า่ นและตกอยใู่ นระบอบทไี่ มเ่ ปน็ ประชาธปิ ไตย บอ่ ยครง้ั ทร่ี ะบอบของ ประเทศหลงั แตกหกั กับเผด็จการอ�ำนาจนยิ มจะเกิดระบอบพันธผ์ุ สมข้ึน ทม่ี กี ารเลือกตั้งแตจ่ ัดตัง้ รัฐบาล ทีม่ กี ารรวมศนู ยอ์ �ำนาจไว้ การเข้าสู่อ�ำนาจโดยการเลือกตั้ง ที่ไม่อาจเปล่ียนผ่านสู่ประชาธิปไตยได้น้ัน สาเหตุส�ำคัญเป็น เพราะระบบการเมอื งประชาธปิ ไตยแบบไมเ่ สรี มลี กั ษณะผดิ แปลกแตกตา่ งไปจากลกั ษณะเสรปี ระชาธปิ ไตย ตามตวั แบบของบรรดาประเทศประชาธปิ ไตยทต่ี งั้ มนั่ ในยโุ รปตะวนั ตกและอเมรกิ า กลา่ วคอื ในทศั นะของ Fareed Zakaria (1997) เหน็ วา่ บรรดาประเทศประชาธปิ ไตยระยะผา่ น หรอื ประเทศประชาธปิ ไตยในคลนื่ ลกู ที่ 3 มลี กั ษณะ Illiberal democracy กลา่ วคอื การทป่ี ระเทศประชาธปิ ไตยระยะเปลยี่ นผา่ นใหค้ วามส�ำคญั
46 การศึกษาความเคลื่อนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดสุรินทร์ กบั การเลอื กตงั้ (Democratically elected regimes) โดยไมค่ �ำนงึ ถงึ ชวี ติ ทางการเมอื งหลงั การเลอื กตง้ั ของ ประชาชนวา่ จะเปน็ อยา่ งไร ดงั ปรากฏในการส�ำรวจของ Freedom House ระหวา่ งปี 1996-1997 ทค่ี รงึ่ หนงึ่ ของจ�ำนวนประเทศที่ก�ำลังเป็นประชาธิปไตยให้เสรีภาพทางการเมือง (ให้สิทธิการเลือกตั้ง) มากกว่า เสรภี าพของพลเมอื ง ดังนน้ั จึงพบปรากฏการณ์ในประเทศตา่ งๆ ท่มี รี ฐั บาลมาจากการเลอื กต้ัง แต่กลบั ลดิ รอนสทิ ธิเสรีภาพของประชาชน โดยเฉพาะสิทธิเสรภี าพของปัจเจกบคุ คลทลี่ ะเมิดมิไดโ้ ดยรฐั ผลของ การให้ความส�ำคัญหรือย่นย่อประชาธิปไตยให้เหลือเพียงการวัดระดับการเป็นประชาธิปไตยที่จ�ำนวน ผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง ท�ำให้เกิดปรากฏการณ์ท่ีเรียกว่า ระบบอ�ำนาจนิยมประชาธิปไตย (authoritarian democracy) ซง่ึ เปน็ ลกั ษณะของระบอบประชาธปิ ไตยทผี่ ดิ แปลกไปจากระบอบเสรปี ระชาธปิ ไตยทต่ี อ้ งมี องคป์ ระกอบของทงั้ เสร+ี ประชาธปิ ไตย กลา่ วคอื ส�ำหรบั Zakaria คอื ระบอบการปกครองทไ่ี มไ่ ดม้ แี ตเ่ พยี ง การเลือกตง้ั ที่เสรแี ละยตุ ิธรรมเทา่ นนั้ หากแต่ยังต้องประกอบดว้ ยหลกั นิตริ ัฐ (rule of law) การแบ่งแยก และการคานอ�ำนาจ (checks & balance) และการปกป้องคุ้มครองเสรีภาพข้ันพื้นฐานต่างๆ ท้ังในด้าน เสรภี าพในการพดู การแสดงออก การชมุ นมุ การนบั ถอื ศาสนา และทรพั ยส์ นิ สว่ นบคุ คล (Zakaria:1997) ในข้ันตอนของการเปลี่ยนผ่านจากเผด็จการอาจน�ำไปสู่ระบบประชาธิปไตยแบบไม่เสรีท่ีเน้น การเข้าสู่อ�ำนาจโดยอาศัยกลไกการเลือกต้ังเป็นหลัก โดยขั้นตอนน้ีอาจอยู่ยาวนานโดยไม่เกิดขั้นตอน ที่สองคือ การเปลี่ยนผ่านไปสูป่ ระชาธปิ ไตย ซ่งึ มีสาเหตสุ ามารถสรปุ ไดด้ งั น้ี 1. ในกระบวนการเปล่ียนผ่านจากเผด็จการ แม้จะมีการเลือกตั้งในฐานะรูปธรรมท่ีแสดงออก ซึ่งการเปลี่ยนผ่าน แต่ประชาชนยังคงไม่สามารถมีอิทธิพลทางการเมืองได้ ยกตัวอย่างเช่น สาธารณรัฐ Kazakhstan (Tilly:2007, 1-4) ท่ีแยกตัวเป็นรัฐเอกราชจากสหภาพโซเวียดในปี 1996 ประธานาธิบดี Nursultan Nazarbayev สบื ตอ่ อ�ำนาจไดม้ กี ารรา่ งรฐั ธรรมนญู พรอ้ มทง้ั เปดิ ใหม้ กี ารลงประชามตใิ นระดบั ชาติโดยได้รับเสียงสนับสนุนในร่างรัฐธรรมนูญอย่างท่วมท้น รัฐธรรมนูญในมาตราที่ 1 ของสาธารณรัฐ คาซลั สถานได้ประกาศหลักการทถี่ อื ว่าเปน็ ประชาธปิ ไตยไว้ 2 ประการ คอื • สาธารณรฐั Kazakhstan ประกาศตวั เปน็ รฐั ประชาธปิ ไตย รฐั ทางโลก (secular) และรฐั ทาง กฎหมายและสงั คม โดยมคี ณุ คา่ สงู สดุ อยทู่ ป่ี จั เจกบคุ คล ชวี ติ และสทิ ธเิ สรภี าพของพวกเขา • หลกั การขนั้ พน้ื ฐานทสี่ �ำคญั ของการด�ำเนนิ กจิ การของรฐั คอื สาธารณะและความมเี สถยี รภาพ ทางการเมอื ง การพฒั นาเศรษฐกิจ เพื่อผลประโยชน์ของประชาชนทกุ คนใน Kazakhstan หลักการท้ังสองเป็นไปเพ่ือความปรองดองในสาธารณะและการสร้างการเมืองที่มีเสถียรภาพ แตใ่ นความเปน็ จรงิ Kazakhstan กลับถกู จัดล�ำดับว่าเป็นประเทศ not free จากองคก์ ร Freedom House ด้วยแม้ว่าจะมีการเลือกต้ังในปี 2004 แต่พรรคการเมืองที่เข้าไปน่ังในสภาล้วนเป็นพรรคท่ีจงรักภักดีต่อ ประธานาธบิ ดี Nazarbayev รวมทง้ั ยงั ถกู องคก์ รระหวา่ งประเทศทเี่ ขา้ ไปสงั เกตการณก์ ารเลอื กตงั้ วพิ ากษ์ วิจารณ์ว่า เป็นการเลือกตั้งที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานประชาธิปไตย แม้ว่าการเข้าไปสัมพันธ์กับระบบ การเมืองและเศรษฐกจิ ระหว่างประเทศจะท�ำให้ตัวประธานาธบิ ดี Nazarbayev ไม่ถูกชีช้ ัดว่ามพี ฤตกิ รรม
47 แบบอ�ำนาจนิยมอย่างผู้น�ำในประเทศเพ่ือนบ้านในเอเชียกลาง แต่ก็ไม่สามารถขัดขวาง Nazarbayev ให้จัดการกับกลไกต่างๆ ของรัฐบาลอย่างหยาบช้า เพื่อผลประโยชน์ของเขาและพวกพ้องได้ ในเดือน ธนั วาคม 2005 Nazarbayev ชนะการเลอื กตง้ั ประธานาธบิ ดเี ปน็ สมยั ท่ี 3 ซง่ึ มวี าระการด�ำรงต�ำแหนง่ 6 ปี โดยชนะเสยี งถงึ 91% ซง่ึ ท�ำใหไ้ มต่ อ้ งท�ำการเลอื กตง้ั ในรอบที่ 2 ตามธรรมเนยี มระบอบกง่ึ ประธานาธบิ ดี อันท�ำให้เกดิ ข้อวิจารณถ์ ึงกระบวนการเลือกตัง้ ที่ไมบ่ รสิ ุทธิ์ยุติธรรม Nazarbayev เป็นเลขาธกิ ารพรรคคอมมิวนสิ ตค์ นแรกของคาซัคสถาน ภายใต้การปกครองของ สหภาพโซเวียด เขาได้เป็นประธานาธิบดีของประเทศหลังจากเป็นเอกราชในปี 1991 เขาสร้างอ�ำนาจท่ี มั่นคงแบบอัตตาธิปไตยให้ตวั เองและครอบครัว โดยการควบคุมรายได้ของประเทศท่ีได้มาจากการขดุ แร่ และขายนำ�้ มนั ท�ำให้เครอื ญาตขิ องเขาร�ำ่ รวยขนึ้ ขณะท่ีประชาชนของประเทศกลับยากจนลง ภายใต้การปกครองของ Nazarbayev เสรีภาพของประชาชน ส่ือมวลชน และพรรคการเมือง ถูกจ�ำกัด กล่าวคือ เขายอมอดทนให้กับความคิดเห็นที่ตรงข้ามกับเขาของบรรดาสื่อมวลชนในประเด็น ที่ไม่ใช่เร่ืองส�ำคัญได้ ยอมให้มีการจัดต้ังสมาคมของพลเมืองและการจัดตั้งพรรคการเมืองท่ีไม่เข้มข้นได้ แตเ่ ขาจะจับคแู่ ขง่ ทางการเมอื งที่มศี กั ยภาพเขา้ คกุ อนั ธพาลถกู วา่ จา้ งใหท้ �ำงานให้รฐั ทง้ั การลอบสงั หาร หรือฆาตกรรมนักการเมืองหรือนักหนังสือพิมพ์ฝ่ายค้าน ในปี 2006 หน่วยพิเศษของประธานาธิบดี Nazarbayev ไดส้ งั หารผนู้ �ำฝา่ ยตรงขา้ มเขาคอื นาย Altynbeck Sarsenbaev มกี ารเรยี กรอ้ งความเปน็ ธรรม จากการถกู สงั หารของนาย Sarsenbaev แตก่ ลบั กลายเปน็ ศาลพพิ ากษาใหบ้ รรดาผเู้ รยี กรอ้ งความเปน็ ธรรม ถกู จบั ตดิ คุก 2. ในกระบวนการเปลี่ยนผ่านจากเผด็จการ แม้จะมีการเลือกตั้งในฐานะรูปธรรมท่ีแสดงออก ซงึ่ การเปลยี่ นผา่ น แตก่ ลไกในการกำ� กบั ควบคมุ ถว่ งดลุ รฐั มกั ออ่ นเปลยี้ สาเหตเุ ปน็ เพราะในกระบวนการ เปลี่ยนผ่านดังกล่าวประเทศที่เปล่ียนผ่านจากเผด็จการเป็นการเปล่ียนจากวัฒนธรรมการเมืองหนึ่ง สวู่ ฒั นธรรมการเมอื งอกี แบบหนง่ึ ซงึ่ ท�ำใหส้ ถาบนั การเมอื งแบบประชาธปิ ไตยไมอ่ าจหยงั่ รากลกึ ผนวกกบั การเอาตัวรอดของผู้น�ำอ�ำนาจนิยมเดิมที่ฉวยใชอ้ �ำนาจผ่านการเลือกต้งั ส่งผลให้ขาดการก�ำกับ ควบคุม ถว่ งดลุ รฐั ยกตวั อยา่ งเชน่ ประเทศรสั เซยี ในหลายทศวรรษทผี่ า่ นมารสั เซยี เปน็ ประเทศทยี่ นื อยคู่ นละขา้ ง กับระบอบประชาธิปไตยแบบตะวันตก จากการก่อต้ังรัฐคอมมิวนิสต์เป็นรัฐแรกของโลกในปี ค.ศ.1917 ภายใต้ชื่อสหภาพโซเวียด รวมทั้งการรับหน้าท่ีเป็นประทีปส่องน�ำทางให้กับบรรดาประเทศคอมมิวนิสต์ (อาจยกเว้นจีน) ในชว่ งหลงั สงครามโลกคร้งั ที่ 2 จนถึงสงครามเย็น อย่างไรก็ตามการสิ้นสุดลงของสหภาพโซเวียดในต้นทศวรรษท่ี 1990 ไม่ใช่มาจากเสียงปืน เหมือนอย่างบรรดาประเทศคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออกหลายประเทศในปลายทศวรรษที่ 1980 แตก่ ลบั เปน็ การเปลย่ี นแปลงทเ่ี ปน็ ไปอยา่ งไมใ่ ชค้ วามรนุ แรง ผา่ นการเปลย่ี นผา่ นผนู้ �ำในทศวรรษที่ 1980 ที่ เหน็ วา่ ระบบการเมอื งและเศรษฐกจิ แบบโซเวยี ดไมใ่ ชร่ ะบบทดี่ ที สี่ ดุ อกี ตอ่ ไปในการทจ่ี ะเอาชนะโลกตะวนั ตก ทงั้ ทางเศรษฐกจิ เทคโนโลยแี ละวทิ ยาการในดา้ นอน่ื ๆ Mikhail Gorbachev พยายามทจ่ี ะฉดี ยาการปฏริ ปู
48 การศึกษาความเคล่ือนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดสุรินทร์ ทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจอย่างจ�ำกัดเข้าสู่ระบบคอมมิวนิสต์เพื่อเอาชนะปัญหาต่างๆ โดยเฉพาะ อย่างย่ิงปัญหาเศรษฐกิจชะงักงัน และความล้าหลังในเทคโนโลยีในสังคมโซเวียด แต่การปฏิรูปดูเหมือน จะยิ่งท�ำใหส้ ถานการณ์ปัญหาภายในประเทศเลวรา้ ยลง น�ำไปสู่การแบง่ ขัว้ ทางการเมอื งของบรรดาผู้น�ำ ในระดบั พรรค จนน�ำไปสกู่ ารลม่ สลายของสหภาพโซเวยี ด และการประกาศเอกราชของประเทศทแี่ ยกตวั ออกจากโซเวยี ด 15 ประเทศในทศวรรษที่ 1990 รัสเซียในฐานะประเทศใหม่ที่เกิดจากการล่มสลายของโซเวียด เผชิญหน้ากับการเปลี่ยนผ่านท่ี ไม่คุ้นเคยสองประการคือ ประชาธิปไตยน�ำเข้า และการก่อตัวของระบบทุนนิยม ซึ่งเป็นวัฒนธรรมหรือ ประสบการณ์ทางประวัตศิ าสตร์ทร่ี ัสเซียมนี ้อยมากทีเ่ กิดขนึ้ หลังการล่มสลายของสหภาพโซเวยี ด รสั เซยี ภายใตป้ ระธานาธบิ ดี Yeltsin ไดเ้ ปลยี่ นแปลงประวตั ศิ าสตรร์ สั เซยี ใหมด่ ว้ ยการทเ่ี ขาเปน็ ประธานาธบิ ดคี นแรกทีม่ าจากการเลอื กตงั้ รวมท้ังมีการประกาศใชร้ ฐั ธรรมนูญ แต่ภายใตก้ ารเป็นอิสระ ใหม่ของรัสเซียภายใต้การน�ำของ Yeltsin สถาบันทางการเมืองในระบอบเก่าปรับตัวเข้าสู่สภา จึงน�ำไป สู่การเผชิญหน้ากันระหว่างประธานาธิบดี Yeltsin กับสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์เก่าที่ปรับตัวเข้าไปเป็น สมาชิกสภา แต่Yeltsin สามารถควบคุมสื่อและการที่กองทัพในเวลานั้นก็อยู่ข้างเขา ท�ำให้ความคิดที่จะ รัฐประหารของบรรดาสมาชิกรัฐสภาเป็นอันจบสิ้น และเป็นการจบสิ้นบรรดาระเบียบเก่าเม่ือ Yeltsin ร่างรฐั ธรรมนูญทป่ี ระกาศใช้ในปี 1993 ท่เี น้นให้อ�ำนาจฝ่ายบรหิ ารเปน็ ส�ำคญั ซ่ึงในรฐั ธรรมนูญปี 1993 ให้อ�ำนาจประธานาธิบดีในการควบคุมเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองได้ แม้ว่ารัฐสภา จะไม่เห็นด้วยกต็ าม รวมทั้งมีอ�ำนาจในการสั่งยบุ สภาลา่ ง (Duma) เมอ่ื สภาลา่ งปฏิเสธชอ่ื นายกรฐั มนตรี ที่ประธานาธิบดีเสนอมา 3 ครั้ง จึงเห็นได้ว่าภายใต้ระบบก่ึงประธานาธิบดีของรัสเซีย รัฐสภาแทบจะ ไม่สามารถคานอ�ำนาจหรือควบคุมการบริหารของประธานาธิบดีได้ ขณะที่ศาลก็อ่อนแอ เพราะอ�ำนาจ ในระดับภูมิภาคมักเพิกเฉยต่อกฎหมายของศาลรัฐธรรมนูญ รวมทั้งอ�ำนาจของประธานาธิบดีท่ีมีมาก จึงหลบเล่ยี งการถกู ฟอ้ งร้องจากศาลได้ ระบบพรรคการเมอื งในรสั เซยี กเ็ ปน็ ไปในทศิ ทางทฮ่ี ว้ั /ประสาน/ควบรวมกบั พรรคทปี่ ระธานาธบิ ดี สนบั สนนุ มีเพยี งพรรค Communists Party of Russian Federation (CPRF) ท่เี ป็นพรรคท่ีไม่ไดร้ ว่ มกับ ประธานาธิบดี แต่สถานการณ์ที่นั่งในสภากย็ ่ำ� แย่ลง รวมทัง้ ในสมัยประธานาธิบดี Putin กเ็ ปลย่ี นระบบ การเลอื กตงั้ เปน็ ระบบสดั สว่ นแทนระบบเขตเดยี วเบอรเ์ ดยี วเพอื่ กดี กนั บรรดาผสู้ มคั รอสิ ระทปี่ ระธานาธบิ ดี ไม่สนับสนุน ไมใ่ หเ้ ขา้ มามที ี่น่ังในรฐั สภาได้ แมว้ า่ ในสว่ นของภาคประชาสงั คม จะมจี �ำนวนองคก์ รพฒั นาเอกชนทท่ี �ำงานในประเดน็ ตา่ งๆ ทงั้ สง่ิ แวดลอ้ ม สทิ ธมิ นษุ ยชน ชาตพิ นั ธ์ุ ทมี่ มี ากถงึ 300,000 กวา่ องคก์ รนบั ตงั้ แตป่ ี 1989 แตอ่ งคก์ รเหลา่ น ้ี ก็ประสบปัญหาหลายด้าน ท้ังในด้านการเงิน กลุ่มต่างๆ จึงหันไปหาองค์กรสนับสนุนจากต่างประเทศ ซ่ึงท�ำให้การเช่ือมต่อระหว่างองค์กรท้องถิ่นกับประชาชนอ่อนแอลง และยิ่งเป็นอันตรายเม่ือถูกมอง จากรฐั ว่า เป็นเครือ่ งมือของตา่ งชาติ
49 การสร้างระบบประชาธิปไตยที่ตั้งม่ันให้เกิดข้ึนได้ ต้องอาศัยการสร้างกลไกในเชิงสถาบันที่จะ สนับสนุนชุดคุณค่าประชาธิปไตย การมีสิทธิเสรีภาพที่ให้กับพลเมืองทั้งในทางการเมือง และในพื้นท่ี สาธารณะในการแสดงออกซ่ึงความคิดเห็น รวมท้ังการสร้างพรรคการเมืองให้เป็นสถาบันทางการเมือง ท่ีตอบสนองความต้องการในชีวิตสาธารณะของพลเมืองได้มากที่สุด เพราะการได้รับการเลือกต้ังเข้ามา ท�ำหน้าที่บริหารประเทศไม่ใช่หลักประกันเดียวท่ีจะบอกได้ว่าเป็นประชาธิปไตย แต่ยังต้องหมายรวมถึง ภายหลงั จากการเลอื กตงั้ แลว้ พรรคการเมอื งจะสามารถเปน็ ตวั กลางในการเชอื่ มโยงพลงั ประชาชนภายนอก ได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างไร ซ่ึงผลของการท�ำหน้าที่เชื่อมร้อยจะท�ำให้พรรคการเมืองสามารถรักษา ฐานเสียงตนและผา่ นการเลือกตัง้ ในหลายๆ รอบในอนาคตได้ ระบบอุปถมั ภ์ ระบบอุปถัมภ์ (Patron-Client Relations) เป็นรูปแบบหนึ่งของการศึกษาความสัมพันธ์ทาง สังคมหรือองค์กรทางสังคมที่แตกต่างจากท้ังระบบความสัมพันธ์แบบเครือญาติและระบบความสัมพันธ์ แบบองค์การระบบราชการ แนวทางการศึกษาระบบอุปถัมภ์ได้รับความส�ำคัญในฐานะท่ีอธิบายให้เห็น ลกั ษณะความสมั พนั ธ์ทีม่ หี ลากหลายระดับทมี่ ที ้ังความเปน็ กง่ึ สถาบัน ความสมั พนั ธท์ ่มี ีลกั ษณะหลวมๆ มีลักษณะร่วมกันคือการจัดตั้งโดยเครือข่ายที่มีความซับซ้อนท่ีเช่ือมโยงกันโดยอาศัยคนกลาง (brokers) มกี ลไกทางการเมอื งในแบบหลวมๆ ทีใ่ ช้ในการแลกเปลย่ี นทรัพยากรระหวา่ งผ้อู ปุ ถัมภก์ ับผรู้ ับอปุ ถัมภ์ ระบบอปุ ถมั ภเ์ ปน็ ประเดน็ ทส่ี มั พนั ธก์ บั การพฒั นาและกระบวนการสรา้ งความเปน็ ประชาธปิ ไตย ทตี่ ง้ั มน่ั รวมทงั้ รปู แบบของความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งผอู้ ปุ ถมั ภแ์ ละผรู้ บั อปุ ถมั ภส์ ามารถเปลยี่ นแปลงไปตาม ความเติบโตทางเศรษฐกิจและบริบททางการเมืองในสังคมการเมืองแต่ละแห่งที่มีวัฒนธรรมและระบอบ การเมอื งทแี่ ตกตา่ งกนั ไปในแต่ละแหง่ สงั คมไทยมกี ารน�ำแนวคดิ ระบบอปุ ถมั ภม์ าวเิ คราะหล์ กั ษณะความสมั พนั ธท์ างสงั คมโดยเรม่ิ ตน้ จากงานศึกษาของ ลูเซียน เอ็ม แฮงส์ (Lucian M. Hanks) ม.ร.ว.อคิน รพีพัฒน์ ร่วมด้วยนักวิชาการ โดยเฉพาะจากส�ำนกั คอร์แนลล์ เชน่ เดวดิ วิลสัน(David Wilson) และนักวิชาการท่านอืน่ ๆ โดยได้ช้ีให้ เหน็ ความจรงิ ขอ้ หนง่ึ วา่ สงั คมไทยเปน็ สงั คมทม่ี กี ารก�ำหนดสถานภาพของบคุ คลลดหลน่ั จากบนมาสลู่ า่ ง นน่ั คอื สงั คมไทยเปน็ สงั คมทมี่ โี ครงสรา้ งทเี่ นน้ ความแตกตา่ งระหวา่ งฐานะต�ำแหนง่ ซงึ่ ไดแ้ ก่ ความสมั พนั ธ์ ระหวา่ งผอู้ ปุ ถมั ภท์ ม่ี ฐี านะต�ำแหนง่ สงู กวา่ และผรู้ บั อปุ ถมั ภท์ มี่ ฐี านะตำ�่ กวา่ แฮงคม์ องวา่ โครงสรา้ งสงั คมไทย ประกอบด้วยความสัมพนั ธท์ ่ไี ม่เทา่ เทยี มกัน หรอื เปน็ ความสัมพนั ธใ์ นแนวดิ่งโดยตลอดทง้ั สังคม ในทางรัฐศาสตร์ ชัยอนันต์ สมุทวณิช (อ้างใน ดรุณี เจริญพันธ์, 2544) เห็นว่า ความสัมพันธ์ ในระบบอปุ ถมั ภเ์ กดิ ขนึ้ เพราะในสงั คมมคี วามแตกตา่ งกนั อยา่ งมากมาย ทงั้ ทางดา้ นสถานภาพทางสงั คม ความมง่ั คงั่ และอ�ำนาจ เนน้ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งบคุ คล เปน็ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งบคุ คล 2 คน ซงึ่ บคุ คล
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120