นักการเมืองถิ่นจังหวัดลำปาง มาโดยตลอด จนกระทั่งการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 2 ในวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ.2480 มีความตั้งใจที่จะลงสมัครรับเลือกตั้ง ที่จังหวัดลำปาง และได้มีการเตรียมหาเสียงไว้อย่างเต็มที่ แต่ได้ ถอนตัวไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งที่จังหวัดลำปาง เนื่องจาก ไม่ต้องการแข่งขันกับ นายสรอย ณ ลำปาง ด้วยเหตุผลที่มี ความผูกพันและเคารพนับถือรู้จักกันเป็นการส่วนตัว จึงลง สมัครรับเลือกตั้งที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนแทน เนื่องจากมีญาติ อยู่ที่นั้น และคิดว่าเป็นจังหวัดที่มีขนาดเล็ก การหาเสียงคงไม่ ลำบากนัก รวมทั้งตนพอที่จะพูดสื่อสารกับชาวเขาได้ และ ผู้สมัครรับเลือกตั้งรายอื่นๆ ก็ถูกยื่นคำร้องเกี่ยวกับขนาดของ รูปถ่ายไม่ถูกต้องตามที่กฎหมายเลือกตั้งกำหนดไว้ ทำให้ ผู้สมัครรับเลือกตั้งรายอื่นๆ ไม่มีสิทธิ์รับเลือกตั้ง นายบุญเท่ง ทองสวัสดิ์จึงเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเพียงรายเดียว ส่งผลให้ นายบุญเท่ง ทองสวัสดิ์ ประสบความสำเร็จ และได้รับเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นครั้งแรก เมื่ออายุ 25 ปี (ซึ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่อายุน้อยที่สุด ในเวลานั้น) หลังจากนั้นต่อมาใน พ.ศ.2489 จึงได้ย้ายมาลงรับ สมัครรับเลือกตั้งที่จังหวัดลำปาง อันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนและ ได้รับการเลือกตั้งทุกครั้งยาวนานต่อเนื่องถึง 18 สมัย (เป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ครองตำแหน่งยาวนานที่สุดในโลก) จนได้รับฉายาว่าเป็น “ปู่สภา” ในยุคนั้น ประวัติการดำรงตำแหน่งทางการเมืองของนายบุญเท่ง ทองสวัสดิ์ ทั้งตำแหน่งด้านนิติบัญญัติและด้านบริหาร28 มีดังนี้ 28 สุภัทร คำมุงคุณ . บุญเท่ง ทองสวัสดิ์. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก http:/ /www.kpi.ac.th/wiki/index.php//บุญเท่ง_ทองสวัสดิ์(6 พฤศจิกายน 2555). 88
บทวิเคราะห์ การดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของนาย บญุ เทง่ ทองสวสั ด ์ิ - สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดแม่ฮ่องสอน 7 พฤศจิกายน พ.ศ.2480 – 11 กันยายน พ.ศ.2481 - สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดแม่ฮ่องสอน 12 พฤศจิกายน พ.ศ.2481 – 15 ตุลาคม พ.ศ.2488 - สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดลำปาง 6 มกราคม พ.ศ.2489 – 9 พฤศจิกายน พ.ศ.2490 - สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดลำปาง 29 มกราคม พ.ศ.2491 – 29 พฤศจิกายน พ.ศ.2494 - สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดลำปาง 26 มกราคม พ.ศ.2495 – 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2500 - สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดลำปาง พรรคประชาธิปัตย์ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2500 – 16 กันยายน พ.ศ.2500 - สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดลำปาง พรรคประชาธิปัตย์ 15 ธันวาคม พ.ศ.2500 – 20 ตุลาคม พ.ศ.2501 - สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดลำปาง พรรคประชาธิปัตย์ 10 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ.2512 – 17 พฤศจกิ ายน พ.ศ.2514 89
นักการเมืองถ่ินจังหวัดลำปาง - สมาชิกสภานิติบัญญัติ (ชุดที่ 2) 23 ธันวาคม พ.ศ.2516 – 26 มกราคม พ.ศ.2518 - สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดลำปาง พรรคกิจสังคม 26 มกราคม พ.ศ.2518 – 12 มกราคม พ.ศ.2519 - สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดลำปาง พรรคกิจสังคม 4 เมษายน พ.ศ.2519 – 6 ตุลาคม พ.ศ.2519 - สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดลำปาง พรรคกิจสังคม 22 เมษายน พ.ศ.2522 – 19 มีนาคม พ.ศ.2526 และดำรงตำแหน่งประธานผู้แทนราษฎร - สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดลำปาง พรรคกิจสังคม 18 เมษายน พ.ศ.2526 – 2 พฤษภาคม พ.ศ.2529 - สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดลำปาง พรรคสหประชาธิปไตย 27 กรกฎาคม พ.ศ.2529 – 29 เมษายน พ.ศ.2531 - สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดลำปาง (พรรครวมไทย) พรรคเอกภาพ 24 กรกฎาคม พ.ศ.2531 – 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2534 - สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดลำปาง พรรคสามัคคีธรรม 22 มีนาคม พ.ศ.2535 – 30 มิถุนายน พ.ศ.2535 90
บทวิเคราะห์ - สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดลำปาง พรรคชาติพัฒนา 13 กันยายน พ.ศ.2535 – 19 พฤษภาคม พ.ศ.2538 การดำรงตำแหน่งฝา่ ยบริหาร - พ.ศ.2489 เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตร ในคณะรัฐบาล นายควง อภัยวงศ์ - พ.ศ.2491 เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง มหาดไทย ในคณะรัฐบาล นายควง อภัยวงศ์ - พ.ศ.2518 เปน็ รฐั มนตรชี ว่ ยวา่ การกระทรวงมหาดไทย ในสมัยรัฐบาล ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช - พ.ศ.2519 เป็นรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี วา่ การกระทรวงยตุ ธิ รรม ในสมยั รฐั บาล ม.ร.ว. คกึ ฤทธ์ิ ปราโมช - พ.ศ.2526 เป็นรองนายกรัฐมนตรีในสมัยรัฐบาล พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ รับผิดชอบกำกับการ บรหิ ารราชการแทนนายกรฐั มนตรี สำหรบั 4 กระทรวง คือ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงต่างประเทศ และทบวงมหาวิทยาลัย ตาม คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 60/2526 ลงวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2526 นายบุญเท่ง ทองสวัสดิ์ เป็นบุคคลที่มีความสนใจ ทางการเมืองและมีประสบการณ์ทางการเมืองมาอย่างยาวนาน โดยได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหลายสมัย 91
นักการเมืองถิ่นจังหวัดลำปาง ติดต่อกัน ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและ รัฐบาลในรัฐบาลหลายสมัย และดำรงตำแหน่งประธานสภา ผู้แทนราษฎร อีกทั้งยังดำรงตำแหน่งในฝ่ายบริหารของรัฐบาล หลายสมัย ซึ่งบทบาททางการเมืองและผลงานที่สำคัญทั้งใน ประเทศและต่างประเทศ มีดังนี้ งานทางการเมอื ง - เป็นผู้ร่วมก่อตั้งพรรคประชาธิปัตย์ โดย การรวมกัน ระหว่างพรรคก้าวหน้ากับพรรคประชาธิปไตย เมื่อ วันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2489 - เป็นผู้ริเริ่มการก่อตั้งพรรคกิจสังคม และดำรง ตำแหน่งรองหัวหน้าพรรค ใน พ.ศ. 2516 - เป็นประธานคณะกรรมการเงินผัน ในคณะรัฐบาล ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ใน พ.ศ. 2518 - เป็นผู้ริเริ่มโครงการสร้างงานในชนบท และการจัดตั้ง สภาตำบลในพรรคกิจสังคมร่วมกับหัวหน้าพรรคและ สมาชิกของพรรคกิจสังคม ซึ่งเป็นแนวทางในการ พัฒนาการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระดับ ท้องถิ่น - เป็นผู้ริเริ่มการจัดเก็บค่าพรีเมียมข้าว เพื่อกระจาย รายได้จากการค้าข้าวมาสู่ชาวนาในสมัยที่ดำรง ตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรเป็น ครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. 2489 92
บทวิเคราะห์ - เป็นผู้ริเริ่มและส่งเสริมความคิดเห็นให้มีการจัดตั้ง มหาวิทยาลัยส่วนภูมิภาคทั้งของเอกชนและของรัฐ จนประสบความสำเร็จตามความต้องการของ ประชาชน - มีบทบาทในการโค่นล้มรัฐบาลจอมพล ป.พิบูล- สงคราม โดยวิธีทางรัฐสภา เมื่อ พ.ศ. 2487 ด้วยการ ลงมติไม่อนุมัติพระราชกำหนดของรัฐบาล 2 ฉบับ คือ พระราชกำหนดบริหารนครเพชรบูรณ์ และ พระราชกำหนดพุทธบุรีมณฑล กิจกรรมดา้ นต่างประเทศ - พ.ศ.2518 เป็นประธานร่วม (ฝ่ายไทย) ในการประชุม คณะกรรมการชายแดนระหว่างประเทศไทยกับ มาเลเซีย - พ.ศ.2522 เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนส่งเสริมมิตรภาพ ไทยในการประชุมร่วมสาธารณรัฐประชาชน ประชาธปิ ไตยเกาหลี และเปน็ หวั หนา้ คณะผแู้ ทนไทย ไปประชุมสหภาพรัฐสภาที่ญี่ปุ่น - พ.ศ.2523 เป็นรองประธานคณะกรรมการบริหาร หน่วยงานประจำชาติไทย (องค์การระหว่างรัฐสภา ประเทศสมาชิกสมาคมอาเซียน) - พ.ศ.2523 เป็นรองประธานคณะกรรมการบริหารของ หน่วยงานประจำชาติไทย 93
นักการเมืองถิ่นจังหวัดลำปาง - พ.ศ.2523 เป็นรองประธานคณะกรรมการบริหาร หน่วยรัฐสภาไทย - พ.ศ.2523 เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการเดินทาง ไปเยือนสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ - พ.ศ. 2523 เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการเดิน ทางไปเยอื นสาธารณรฐั ประชาชนจนี ตามคำเชญิ ของ คณะกรรมาธิการสามัญประจำรัฐสภาประชาชนจีน - พ.ศ. 2524 เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเดินทาง ไปเยือนประเทศอิสราเอล - พ.ศ. 2525 เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการ เดินทางไปเยือนสหราชอาณาจักรอังกฤษ จากประสบการณ์ บทบาทและผลงานทางการเมืองของ นายบุญเท่ง ทองสวัสดิ์ อันเป็นที่ประจักษ์ต่อสังคม จึงทำให้ นายบุญเท่ง ทองสวัสดิ์ ได้รับเกียรติคุณ รัฐศาสตรดุษฎีบัณฑิต กิตติมศักดิ์ จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และนายบุญเท่ง ทองสวสั ด์ิ ไดถ้ งึ แกอ่ สญั กรรม เมอ่ื วนั ท่ี 1 พฤศจกิ ายน พ.ศ.2542 1.2. กลยุทธ์ในการหาเสียง29 สำหรับกลยทุ ธ์ในการหาเสียงของนายบุญเท่ง ทองสวัสดิ์ นั้นมีลักษณะที่แตกต่างจากนักการเมืองรายอื่นๆ สืบเนื่องจาก ภูมิหลังของนายบุญเท่ง ทองสวัสดิ์ ซึ่งมีอาชีพเป็นทนายความ และชอบช่วยเหลือชาวบ้านโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ประกอบกับ 29 ประชัน รักพงษ์, อ้างแล้ว, หน้า 138. 94
บทวิเคราะห์ นายบุญเท่ง ทองสวัสดิ์ มิได้มีธุรกิจส่วนตัว จึงทำให้กลยุทธ ์ ในการหาเสียงของนายบุญเท่ง ทองสวัสดิ์ เน้นการนำเสนอ ลักษณะเฉพาะส่วนบุคคลมากกว่าการใช้ทุน (เงิน) อุปถัมภ์ ในส่วนของวิธีการหาเสียงของนายบุญเท่ง ทองสวัสดิ์ จะเป็นการเข้าหาประชาชน การพูดจาเรื่องราวให้ชาวบ้าน เข้าใจ ซึ่งจะดำเนินการตระเวนหาเสียงจนถึงวันเลือกตั้งจึงจะได้ กลับบ้าน ขบวนหาเสียงจะมีคนติดตามประมาณ 4-5 คน ใช้รถจี๊ป 2 คัน ขนสัมภาระ ใบปลิว และที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง ขาดไม่ได้คือกระดานดำ นอกจากนั้นยังมีเครื่องนอน และ เครื่องทำครัวบรรทุกไปด้วย โดยอาศัยวัดเป็นที่นอนและใช้เป็น สถานที่หาเสียงและจุดนัดพบปะชาวบ้าน โดยไม่ใช้เครื่องขยาย เสียงในการปราศรัย แต่จะใช้วิธีการพูดไปและเขียนกระดานดำ ประกอบ เมื่อมีคนสงสัยข้องใจ ก็จะตอบชี้แจง นายบุญเท่ง ทองสวัสดิ์ ได้กล่าวว่า “ผมหาเสียงไม่ใช่ แบบมาปราศรัยตะโกนปาวๆ ผมมาอธิบายสอนให้เขารู้ว่าบ้าน เมืองเราปกครองกันอย่างไร ผมเป็นผู้แทนของเขามาก่อน ผมไปทำอะไรบ้าง บ้านเมืองมีปัญหาหรือเรื่องราวอย่างไรก็เล่า ให้เขาฟัง เขาไม่เข้าใจหรือไม่รู้เขาก็ถาม ผมก็ตอบชี้แจงเขาไป ชาวบ้านของเราการศึกษายังไม่สูงนัก เราก็ต้องอธิบายสอนเขา บ้างให้รู้เรื่องรู้ราวรู้ทันเหตุการณ์ ผมหาเสียงของผมแบบนี้ ก็ได้ เป็นผู้แทนทุกสมัย” และนายบุญเท่ง ทองสวัสดิ์ ยังกล่าวอีกว่า “ผู้สมัครจำเป็นที่จะต้องออกไปพบปะประชาชนเพราะว่า การหาเสียงในปัจจุบัน อำนาจเงินมีอิทธิพลมาก” 95
นักการเมืองถิ่นจังหวัดลำปาง สื่อในการหาเสียง นายบุญเท่ง ทองสวัสดิ์ ได้ใช้สื่อ โปสเตอร์ ขนาดต่างๆ มี 3 ขนาดคือ ป้ายคัทเอาท์ ขนาดใหญ่ 4x8 เมตร จัดตั้งไว้ในบริเวณชุมชนที่สำคัญ อำเภอละ 1-2 อัน อีกชนิดหนึ่ง เป็นแผ่นป้ายขนาด 1x1.20 เมตร นำไปติดตั้งไว้ ตามทางแยกที่สำคัญในหมู่บ้านหรือในย่านชุมชน หมู่บ้านละ 2-3 แห่ง ส่วนโปสเตอร์ขนาด 40x60 เซนติเมตรจะนำไปติดทั่ว หมู่บ้าน หมู่บ้านละ 100-120 แผ่น อีกแบบหนึ่งคือ ป้ายโฆษณา ติดรถยนต์โดยสาร ทำปฏิทินและตัวอย่างบัตรเลือกตั้งแจกทุก หลังคาเรือน นอกจากนี้ยังใช้สื่อที่มีลักษณะแตกต่างไปจากพรรค การเมืองอื่นๆ คือการใช้เศษไม้ทำป้ายโฆษณา โดยเขียนเฉพาะ หมายเลขและชื่อของผู้สมัครลงบนแผ่นไม้ ขนาด 10x30 เซนติเมตร นำไปติดตามต้นไม้ เสาไฟฟ้า ตามถนน ตรอก ซอย ในหมู่บ้าน และทางหลวงแผ่นดิน ซึ่งมีระยะห่างประมาณ 100-150 เมตร คาดว่าใช้ประมาณ 8,000-10,000 แผ่น เนื่องจาก ป้ายทำจากวัสดุเหลือใช้จึงประหยัดค่าใช้จ่ายแต่มีความคงทน แข็งแรงกว่าโปสเตอร์ที่พิมพ์ด้วยกระดาษและเหมาะสมกับ สภาพอากาศ30 1.3. ปัจจัยที่กำหนดชัยชนะ ในระยะแรก ประชาชนในพื้นที่รู้จัก นายบุญเท่ง ทองสวัสดิ์ ในฐานะของ “ทนายคนยาก” ที่ให้ความช่วยเหลือ แก่ประชาชนที่ยากจน โดยเฉพาะการให้คำปรึกษาด้าน กฎหมาย โดยไม่คิดค่าตอบแทน ประกอบกับบุคลิกลักษณะที่ 30 เพิ่งอ้าง, หน้า 138. 96
บทวิเคราะห์ เป็นคนติดดิน เรียบง่าย ใกล้ชิดประชาชน จึงเป็นแรงผลักดัน สำคัญที่ทำให้นายบุญเท่ง ทองสวัสดิ์ เข้าสู่เส้นทางการเมือง นับแต่นั้นเป็นต้นมา นายบุญเท่ง ทองสวัสดิ์ เป็นนักการเมือง ที่มีประสบการณ์ทางการเมืองและดำรงตำแหน่งทางการเมือง อย่างยาวนาน กล่าวคือ เคยดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกผู้แทน ราษฎรทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านมาหลายสมัย เคยดำรง ตำแหนง่ นบั ตง้ั แตร่ ฐั มนตรชี ว่ ยวา่ การ รฐั มนตรี รองนายกรฐั มนตรี และประธานสภาผู้แทนราษฎร ตำแหน่งเหล่านี้เป็นสิ่งช่วย สั่งสมบารมีให้แก่นายบุญเท่ง ทองสวัสดิ์เป็นอย่างมาก นอกจากนี้ในขณะที่ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่สำคัญ ได้มี การดึงโครงการสำคัญๆมาพัฒนาท้องถิ่นหลายโครงการ โดย ผ่านกลไกของรัฐ รวมทั้งการมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาระดับ ชาติและท้องถิ่นมาตลอด จึงเป็นสิ่งที่ช่วยเสริมสร้างบารมีและ ความนิยมในหมู่ประชาชน ประชาชนบางคนอาสาสมัครมาเป็น หัวคะแนนให้โดยไม่คิดค่าตอบแทน เพราะมีความศรัทธาในตัว นายบุญเท่ง ทองสวัสดิ์31 ยิ่งไปกว่านั้น ปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งที่กำหนด ชัยชนะการเลือกตั้งของนายบุญเท่ง ทองสวัสดิ์ ก็คือ การที่ นายบุญเท่ง ทองสวัสดิ์ ได้วางแผนเชิญนายพินิจ จันทรสุรินทร์ ซึ่งเป็นนักการเมืองรุ่นใหม่ (ในเวลานั้น) ที่ได้รับความนิยมมาก จากประชาชนเข้ามาอยู่ร่วมพรรคเดียวกันใน พ.ศ.2522 จึงทำให้ฐานคะแนนเสียงของนายบุญเท่ง ทองสวัสดิ์ มีความ มั่นคงยิ่งขึ้น จนกระทั่งสามารถเอาชนะคู่แข่งทางการเมือง32 31 ธวัชคำธิตา, อ้างแล้ว, หน้า 69-70 32 ประชัน รักพงษ์, อ้างแล้ว, หน้า 138. 97
นักการเมืองถ่ินจังหวัดลำปาง แต่อย่างไรก็ตาม ในช่วงบั้นปลายชีวิต นายบุญเท่ง ทองสวัสดิ์ ได้วางมือทางการเมืองและสืบต่ออำนาจทางการเมืองให้กับ บุตรสาวคือ ดร.ธารทอง ทองสวัสดิ์ ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรในนามของพรรคชาติพัฒนา อันจะกล่าว ต่อไป ดร.ธารทอง ทองสวัสดิ์ 33 ดร.ธารทอง ทองสวัสดิ์ เกิดเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2492 ที่จังหวัดลำปาง เป็นบุตรสาวคนเดียวของ นายบุญเท่ง ทองสวัสดิ์ อดีตรัฐมนตรีหลายกระทรวง กับ นางเทียมจันทร์ ทองสวัสดิ์ สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนปรินส์รอยแยลส์ วิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่ ปริญญาตรีรัฐศาสตรบัณฑิต (การต่างประเทศและการทูต) เกียรตินิยม จากจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย ศึกษาต่อระดับปริญญาโท ด้านรัฐประศาสน- ศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยเซาท์เทิร์น แคลิฟอเนียร์ และปริญญาโท ทางดา้ นเศรษฐศาสตร์ ทม่ี หาวทิ ยาลยั เยล ประเทศสหรฐั อเมรกิ า และจบการศึกษาระดับปริญญาเอก (ความสัมพันธ์ระหว่าง ประเทศ) จากมหาวิทยาลัยแคลร์มอนท์ ประเทศสหรัฐอเมริกา จากนั้นจึงมาทำงานเป็นอาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในระหว่างการทำงานเป็นอาจารย์ นายบุญเท่ง ทองสวัสดิ์ ได้ชักชวนให้ ดร.ธารทอง ทองสวัสดิ์ ลงเล่นการเมือง ซึ่ง ดร.ธารทอง ทองสวัสดิ์ เองก็มีความสนใจการเมืองเป็นทุน 33 ไม่ปรากฎ. ธารทอง ทองสวัสดิ์. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จากhttp:// th.wikipedia.org (6 พฤศจิกายน 2555). 98
บทวิเคราะห์ เดิมอยู่แล้ว จึงได้ตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร สังกัดพรรคชาติพัฒนา ใน พ.ศ. 2538 และ พ.ศ. 2539 และดำรงตำแหนง่ เลขานกุ ารรฐั มนตรวี า่ การกระทรวง การต่างประเทศ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการทบวงมหาวิทยาลัย นอกจากนี้ยังได้ผลักดันกฎหมายสิทธิสตรีหลายฉบับ โดยการ เลือกตั้งใน พ.ศ. 2544 ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรจังหวัดลำปาง สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ แต่ไม่ได้ รับเลือกตั้ง และในการเลือกตั้งวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2548 ได้ลงรับสมัครเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขตเลือกตั้ง ที่ 5 จังหวัดลำปาง ในนามของพรรคมหาชน เพื่อหวังทวงคืน บัลลังก์ของตระกลู “ทองสวัสดิ์” กลับคืนมา พร้อมกับชปู ระเด็น การสนับสนุน ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ หัวหน้าพรรคมหาชน เป็นนายกรัฐมนตรีคนลำปางคนแรก แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ต่อมาใน พ.ศ. 2549 ดร.ธารทอง ทองสวัสดิ์ได้ลงสมัครรับ เลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดลำปาง และได้รับเลือกตั้ง เป็นอันดับที่ 1 2. ดร.ไพฑูรย์ เครือแก้ว ณ ลำพูน 2.1. ภูมิหลังทางเศรษฐกิจ-สังคมและการเมือง ดร.ไพฑูรย์ เครือแก้ว เกิดบ้านเลขที่ 43/98 ถนนพระแก้ว ตำบลเวียงเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง เมื่อวันที่ 30 เมษายน พ.ศ.2476 จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาจาก โรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัยและศึกษาต่อที่โรงเรียนเตรียม อุดมศึกษา สำเร็จการศึกษาอนุปริญญาจากมหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์และสอบชิงทุนไปศึกษาต่อระดับปริญญาตรีที่ 99
นักการเมืองถ่ินจังหวัดลำปาง มหาวิทยาลัยคอร์แนล ประเทศสหรัฐอเมริกา จนกระทั่งจบ การศึกษาสูงสุดระดับปริญญาเอกทางด้านสังคมวิทยา34 ในด้านอาชีพ ดร.ไพฑูรย์ เครือแก้ว เคยรับราชการ ในกรมการพัฒนาชุมชน ต่อมาได้ลาออกเมื่อ พ.ศ.2507 เพื่อไป ประกอบอาชีพส่วนตัวทำธุรกิจเหมืองแร่ และสำหรับในด้าน ประสบการณ์ทางด้านการเมือง ดร.ไพฑูรย์ เครือแก้ว เริ่มสมัคร รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2512 สังกัดพรรคแนวประชาธิปไตย โดยมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าพรรค และได้รับการเลือกตั้งให้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และต่อ มาใน พ.ศ.2518 ได้รับเลือกตั้งอยู่ในลำดับที่ 3 ของเขตเลือกตั้ง ที่ 1 ซึ่งมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2 คน ส่วนการเลือกตั้ง พ.ศ.2519 ได้รับเลือกตั้งเป็นลำดับที่ 1 ของเขตเลือกตั้งที่ 1 และ ใน พ.ศ.2526 ได้ย้ายมาสังกัดพรรคชาติไทยร่วมกับนายสอาด ปิยวรรณ และได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นสมัยที่ 3 และต่อมาใน พ.ศ.2529 ดร.ไพฑูรย์ เครือแก้วได้ ย้ายพรรคการเมืองไปสังกัดพรรคราษฎรและดำรงตำแหน่ง หัวหน้าพรรค35 ดร.ไพฑูรย์ เครือแก้ว ก็เหมือนกับ ส.ส.คนอื่นๆ ของ จังหวัดลำปาง ที่มิได้สังกัดพรรคใดพรรคหนึ่งอย่างต่อเนื่อง หากแต่มีการเปลี่ยนแปลงพรรคที่สังกัดเรื่อยมา โดยเริ่มจาก พ.ศ.2512 สังกัดพรรคแนวประชาธิปไตย ซึ่งเป็นที่พรรคที่ยึดถือ อุดมการณ์แนวสังคมนิยมเหมือนดังพรรคสังคมนิยมแห่ง 34 ประชัน รักพงษ์, อ้างแล้ว, หน้า 81. 35 เพิ่งอ้าง, หน้าเดิม. 100
บทวิเคราะห์ ประเทศไทย พรรคแนวร่วมสังคมนิยมและพรรคพลังใหม่ หลัง จากนั้นเมื่อ พ.ศ.2519 ก็ยังสังกัดพรรคเดิม แล้วพอมาถึง การเลือกตั้ง พ.ศ.2526 ดร.ไพฑูรย์ เครือแก้ว ได้ย้ายมาสังกัด พรรคชาติไทย และครั้งสุดท้าย พ.ศ.2529 ได้สมัครรับเลือกตั้ง ในนามพรรคราษฎร ซึ่งฐานะของไพฑรู ย์ เครอื แกว้ คอื ผบู้ รหิ าร พรรคคนสำคัญคนหนึ่ง อย่างไรก็ดี ในการลงสมัครรับเลือกตั้ง ครั้งหลังสุดของดร.ไพฑูรย์ เขาประสบความพ่ายแพ้ เหตุผล หนึ่งน่าจะมาจากการทุ่มเวลาให้กับการบริหารพรรคยิ่งกว่าลง มาหาเสียงอย่างเต็มที่ในเขตเลือกตั้ง36 2.2. กลยุทธ์การหาเสียง จากที่กล่าวมา ดร.ไพฑูรย์ นับเป็นผู้สมัครคนหนึ่งที่ อาศัยบุคลิกภาพส่วนตัวดึงดูดความสนใจจากผู้ลงคะแนนเสียง เพียงแค่จุดเน้นอาจจะแตกต่างจากคนอื่นกล่าวคือ เนื่องจาก ดร.ไพฑูรย์สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัย คอร์แนล สหรัฐอเมริกา ซึ่งในยุคสมัยนั้น น้อยคนนักที่จะ ประสบความสำเร็จทางการศึกษาเช่นนี้ ที่สำคัญดร.ไพฑูรย์มี ผลการเรียนดีมาโดยตลอดและยังเป็นนักเรียนทุนระดับ ปริญญาเอกด้วย ดังนั้น ในการรณรงค์หาเสียง ดร.ไพฑูรย ์ ได้อาศัยข้อได้เปรียบผู้สมัครอื่นๆ ในด้านการศึกษา ชาวบ้าน ทั่วไปเรียกเขาว่า “ดร.ไพฑูรย์” ผู้วิจัยเองยังมีความทรงจำ สมัยที่ดร.ไพฑูรย์ลงสมัครรับเลือกตั้งใน พ.ศ.2518 และ พ.ศ.2519 หลายครั้งผู้วิจัยได้ติดตามไปฟังการหาเสียงของ ดร.ไพฑูรย์ ซึ่งยุคนั้นมักจัดให้มีมหรสพ ถ้าเป็นระดับหมู่บ้าน 36 เพิ่งอ้าง, หน้า 82 และ หน้า 218-219. 101
นักการเมืองถ่ินจังหวัดลำปาง ก็จัดให้มีภาพยนตร์ฉายที่วัดแล้วผู้สมัครก็จะตามไปปราศรัยใน ช่วงกลางของภาพยนตร์ที่จัดฉาย โดยใช้เวลาประมาณ 30 นาที ขึ้นไป หรือถ้าเป็นระดับอำเภอ กรณีของดร.ไพฑูรย์ได้จัดให้มี ดนตรีลูกทุ่งวงใหญ่ตอนนั้นคือวงดนตรีของกังวาลไพร ลูกเพชร ตอนช่วงกลางของการแสดง ดร.ไพฑูรย์จะไปปรากฏตัวและ ปราศรัยกับชาวบ้านที่มาชมการแสดงดนตรี อย่างไรก็ตาม พื้นฐานทั่วไปของการหาเสียงในยุคนั้น มักเริ่มจากการติดโปสเตอร์แนะนำตัวตามชุมชนหมู่บ้านต่างๆ การจัดให้มีรถหาเสียงและมีโฆษกแนะนำตัวผู้สมัครพร้อมไปกับ เปิดเทปการปราศรัยของผู้สมัคร ที่ซับซ้อนไปกว่านั้นก็คือ การจัดตั้งระบบหัวคะแนนและการใช้เงินทุนประกอบกันไป 2.3 ปัจจัยที่กำหนดชัยชนะ การแข่งขันทางการเมืองของจังหวัดลำปางเขตเลือกตั้งที่ 1 อันเป็นเขตเลือกตั้งของดร.ไพฑูรย์ ในยุคการเลือกตั้ง พ.ศ.2518-2529 ถือเป็นยุคที่ยังไม่ได้มีการแข่งขันที่สูงเกินไป กล่าวคือ ผู้สมัครรับเลือกตั้งที่โดดเด่น คงจำกัดอยู่เพียงแค่ ดร.ไพฑูรย์ เครือแก้ว นายสอาด ปิยวรรณ และนายบุญหลง ถาคำฟู ที่สำคัญแต่ละคนก็มีจุดเด่นจุดด้อยแตกต่างกันไป นายสอาด ปิยวรรณมีจุดเด่นตรงความได้เปรียบด้านเงินทุน และระบบหัวคะแนน ส่วนนายบุญหลงกลับอาศัยการปราศรัย และเครือข่ายทางสังคมที่เคยมีมาแต่เดิมเป็นพื้นฐาน ส่วน ดร.ไพฑูรย์ เครือแก้ว มีจุดเด่นสำคัญอยู่ที่ระดับการศึกษา ที่ชาวบ้านมักรู้จักและเรียกขานว่า “ดร.ไพฑูรย์” อีกทั้งยังมี เงินทุนพอเพียง และที่สำคัญจากการที่ผู้วิจัยได้ติดตามฟังการ 102
บทวิเคราะห์ ปราศรัยของดร.ไพฑูรย์หลายครั้ง ในสมัยการเลือกตั้ง พ.ศ.2518 และ 2519 รวมทั้งการสนทนากับผู้เข้าร่วมฟัง การปราศรัยหลายคน จึงประเมินได้ว่าดร.ไพฑูรย์เป็น นักปราศรัยที่โดดเด่นในสายตาของชาวบ้าน องค์ประกอบ เหล่านี้ถือได้ว่าต่างก็มีส่วนนำความสำเร็จทางการเมืองมาให้ ดร.ไพฑูรย์ จวบจนกระทั่ง พ.ศ.2529 ที่ดร.ไพฑูรย์ต้องสูญเสีย ที่นั่งไปให้บุญหลง ถาคำฟู ซึ่งย้ายสังกัดมาอยู่พรรครวมไทย อันเป็นพรรคที่มีปัจจัยการแข่งขันครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้า พรรคคือนายณรงค์ วงศ์วรรณ เงินทุนและระบบหัวคะแนน ยิ่งหลังไปกว่านั้น ได้มีนักการเมืองที่มีความพร้อมหลายคนเข้า สู่สนามการแข่งขันในเขตนี้ ไม่ว่าจะเป็นนายบุญชู ตรีทองและ นายไพโรจน์ โล่ห์สุนทร ดังนั้น ในที่สุดดร.ไพฑูรย์จึงยุติบทบาท ทางการเมืองลง 3. นายสอาด ปิยวรรณ 3.1. ภูมิหลังทางเศรษฐกิจ-สังคมและการเมือง นายสอาด ปิยวรรณ์ เกิดที่บ้านเลขที่ 61 หมู่ 1 ตำบล บ้านเอื้อม อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง และเกิดในเดือนเมษายน พ.ศ.2462 นายสอาด ปิยวรรณเข้ารับการศึกษาเบื้องต้นจาก โรงเรียนประจำหมู่บ้านที่ตำบลบ้านเอื้อมต่อมาเข้าศึกษาต่อ ระดับมัธยมศึกษาจนสำเร็จชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่โรงเรียน บุญวาทย์วิทยาลัยและสำเร็จปริญญานิติศาสตรบัณฑิต จาก วิทยาลัยศรีปทุม และจบการศึกษาระดับปริญญาเอกสาขา รัฐศาสตร์การเมืองจากประเทศสหรัฐอเมริกา และปริญญาเอก 103
นักการเมืองถิ่นจังหวัดลำปาง กิติมศักดิ์ จากประเทศฟิลิปปินส์37 นายสอาด ปิยวรรณ เริ่มประกอบอาชีพจากเป็นลูกจ้าง ส่งของเงินเดือนๆ ละ 5 บาทต่อมาได้เป็นประธานสหกรณ ์ เขาลางค์จำกัดสินใช้ ได้จัดตั้งบริษัทลำปางชัย จำกัด ใน พ.ศ.2493 และได้ดำเนินงานมาจนกระทั่งถึงปัจจุบันมีสาขา ทั่วภาคเหนือ 42 แห่งและได้เปิดสาขาที่ 43 ที่กรุงเทพฯกระทั่ง ลาออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการของบริษัทเมื่อ พ.ศ.2509 และ ลงรับสมัครเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใน พ.ศ.251738 ประสบการณ์ทางการเมือง ก่อนสมัครรับเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนายสอาด ปิยวรรณ เคยได้รับ เลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาจังหวัดลำปางมาก่อน 2 สมัย ต่อมา ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 4 สมัย ติดต่อกัน 3.2. กลยุทธ์การหาเสียง นายสอาด ปิยวรรณ เป็นบุคคลหนึ่งที่สร้างบุคลิกให้มี ความโดดเด่นเฉพาะตัว (uniqueness) เพื่ออาศัยเป็นแรงดึงดูด คะแนนนิยมจากผู้ลงคะแนนเสียงกล่าวคือสอาดพยายาม สร้างให้ผู้คนมองเห็นว่าตนเองเป็นคนบ้านนอกคือคนบ้านเอื้อม ต.บ้านเอื้อม อ.เมือง จังหวัดลำปาง แล้วได้ก่อร่างสร้างตัว จนกลายมาเป็นคหบดีคนสำคัญของจังหวัดลำปาง อีกทั้งยังไป ทำธุรกิจในกรุงเทพฯจนประสบความสำเร็จ นอกเหนือไปจากนี้ 37 ประชัน รักพงษ์, อ้างแล้ว, หน้า 76-77. 38 เพิ่งอ้าง,หน้า 77. 104
บทวิเคราะห์ ยังได้รับการศึกษาจนถึงชั้นสูงสุดคือปริญญาเอก ขณะเดียวกัน ยังถือว่าการเรียนเป็นสิ่งไม่จบสิ้น สอาดได้เรียนปริญญาตรี และปริญญาอีกแขนงวิชาหนึ่งคือสาขากฎหมายมหาชนที่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สอาดได้แสดงความเป็นคนท้องถิ่น นิยม ทำนองรักลำปางและเทอดไว้ในหัวใจโดยได้จัดสร้าง ภาพยนตร์เรื่อง “หนานทิพย์ช้าง” ภาพยนตร์นี้ถ่ายทอด อัตประวัติของหนานทิพย์ช้าง วีรบุรุษคนสำคัญของจังหวัด ลำปาง โดยนักแสดงยอดนิยมของยุคนั้นคือ นายสมบัติ เมทะนี แสดงเป็นหนานทิพย์ช้างและที่ขาดไม่ได้ นายสอาด ปิยวรรณ ยังได้ร่วมแสดงเป็นตัวละครที่สำคัญ ที่สำคัญภาพยนตร์เรื่องนี้ ยังได้นำไปฉายในช่วงการรณรงค์หาเสียงของนายสอาดในการ เลือกตั้ง พ.ศ.2519 ซึ่งปรากฏว่าไม่มากก็น้อยภาพยนตร์เรื่องนี้ ย่อมส่งผลให้สอาดได้รับคะแนนเสียงอย่างเป็นกอบเป็นกำ อย่างไรก็ดี ผู้วิจัยได้กล่าวไว้โดยตลอดของงานชิ้นนี้ว่า ในห้วง ก่อน พ.ศ.2544 ซึ่งปัจจัยด้านตัวบุคคลมีความสำคัญเหนือกว่า พรรคเป็นอย่างมาก นอกจากบุคลิกส่วนตัวแล้ว ปัจจัยที่ต้อง ดำเนินพร้อมกันไปก็คือ การใช้เงินทุนและระบบการจัดตั้ง หัวคะแนน กรณีของนายสอาด ปิยวรรณ ก็เช่นเดียวกัน สอาด ได้อาศัยกรรมการของหมู่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านและกำนัน เป็น หัวคะแนนหลักในแต่ละหมู่บ้าน-ตำบล จากนั้นก็เชื่อมโยงไปยัง ศูนย์บัญชาการในระดับจังหวัดดังที่ผู้สมัครร่วมทีมกับ นายสอาดเคยให้สัมภาษณ์กับคณะทำงานวิจัยของประชัน รักษ์พงษ์ เมื่อครั้งการเลือกตั้ง พ.ศ.2529 เป็นทำนองว่า ระบบ การจัดตั้งหัวคะแนนของนายสอาด ปิยวรรณ ได้ดำเนินการจัด เป็นระบบกล่าวคือ ในระดับจังหวัดจะมีคณะกรรมการหาเสียง 105
นักการเมืองถิ่นจังหวัดลำปาง ระดับจังหวัด จำนวน 12 คน โดยมีนายสอาด ปิยวรรณ เป็น ประธานกรรมการ นายบุญเรือง ชุ่มอินทรจักร เป็นรองประธาน และนายประสพ คำเครือเป็นเลขานุการ ส่งที่เหลืออีก 9 คน ให้ผู้สมัครแต่ละคนไปพิจารณาคัดเลือกตามที่เหมาะสม 3 ตำแหน่ง กรรมการระดับตำบลมีตำบลละ 3-5 คน ระดับ หมู่บ้าน มีหมู่บ้านละ 15 คนประกอบด้วย ประธาน เลขานุการ ปฎิคม กรรมการ เหรัญญิก ส่วนใหญ่เป็นผู้นำท้องถิ่นได้แก่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน กรรมการหมู่บ้านและกรรมการอื่นๆ การ ดำเนินงานทุกอย่างจะตัดสินใจกันในกรรมการระดับจังหวัด แล้วสั่งตรงไปยังกรรมการตำบล และหมู่บ้านตามลำดับ39 3.3. ปัจจัยที่กำหนดชัยชนะ ยุคสมัยที่นายสอาด ปิยวรรณลงเล่นการเมือง (พ.ศ.2518-พ.ศ.2531) ถือได้ว่าเป็นยุคที่ปัจจัยด้านตัวบุคคล ซึ่งหมายถึงบุคลิกภาพ เงินทุนและระบบการจัดตั้งหัวคะแนน นับเป็นปัจจัยชี้ขาดชัยชนะของการเลือกตั้งยิ่งกว่าปัจจัยด้าน ของพรรคการเมือง สำหรับนายสอาด ปิยวรรณ ดังที่ได้กล่าวมา แล้วว่า นายสอาดได้จัดวางบุคลิกของตนเองภายใต้แนวคิดที่ว่า ตนเองเป็นคนเมืองบ้านนอกที่มุ่งมั่นสร้างตัวเองจนกลายเป็น คหบดีของจังหวัดหรือที่ถูกเรียกจากผู้คนทั่วไปอย่างได้รับ เกียรติว่า “พ่อเลี้ยงสอาด” อันเป็นการสะท้อนนัยแห่งการ ยอมรับด้านเศรษฐกิจและสังคม ยิ่งไปกว่านี้ นายสอาด ปิยวรรณยังได้แสดงให้คนลำปางรู้สึกสำนึกในความยิ่งใหญ่ทาง ด้านประวัติศาสตร์ในหมู่คนลำปางด้วยการสร้างและนำเสนอ 39 เพิ่งอ้าง, หน้า 147. 106
บทวิเคราะห์ ภาพยนตร์อัตประวัติของหนานทิพย์ช้าง ผู้นำของลำปางและ ชาวเหนือ ทั้งหมดนี้ถูกผนวกเข้ากับปัจจัยด้านเงินทุน ซึ่งใน ห้วงเวลานั้น หากเปรียบเทียบกับผู้สมัครรายอื่นในเขตเลือกตั้ง นายสอาด ปิยวรรณถือเป็นผู้อยู่ในฐานะที่ได้เปรียบ เมื่อ ประกอบเข้ากับการจัดวางเครือข่ายหัวคะแนนอย่างกรรมการ หมู่บ้าน ผู้ใหญ่บ้าน กำนันและผู้นำท้องถิ่นอื่นๆ โดยวางไว้ ตั้งแต่ระดับหมู่บ้านจนมาถึงระดับศูนย์กลางในจังหวัด นายสอาด ปิยวรรณ จึงกลายเป็นบุคคลที่ได้รับเลือกตั้งมา โดยตลอดนับตั้งแต่การลงสมัครรับเลือกตั้งครั้งแรกใน พ.ศ.2518 จนกระทั่งเลิกเล่นการเมืองไปในที่สุด เมื่อปรากฏว่า ในการเลือกตั้ง พ.ศ.2535 ได้มีผู้สมัครรับเลือกตั้งคนใหม่ที่มี ฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมไม่ด้อยไปกว่าหรืออาจกล่าวได้ว่า อาจจะเหนือกว่าด้วยซ้ำคือนายบุญชู ตรีทองและคณะ หรือที่ รู้จักกันในนามของกลุ่มบุญชู รวมทั้งตอนหลังยังปรากฏโฉม ผู้สมัครรับเลือกตั้งรายอื่นๆ ที่สำคัญก็คือกลุ่มบ้านสวนนำโดย นายไพโรจน์ โล่ห์สุนทร ภายใต้สภาพแวดล้อมอย่างนี้ ผู้วิจัย มองว่า การเลือกยุติบทบาททางการเมืองน่าจะเป็นทางออกที่ดี ที่สุดสำหรับสอาด หากไม่นับเงื่อนไขส่วนตัวอื่นๆ 107
นักการเมืองถิ่นจังหวัดลำปาง 4. นายพินิจ จันทรสุรินทร์, นายจรัสฤทธิ์ จันทรสุรินทร์ และนายอิทธิรัตน์ จันทรสุรินทร์ กลุ่มตระกูลจันทรสุรินทร์ หรือ ที่รู้จักในหมู่คนลำปางว่า “กลุ่มดอยเงิน” ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกได้แก่ นายพินิจ จันทรสุรินทร์ (บิดา และผู้นำกลุ่มดอยเงิน), นายจรัสฤทธิ์ จันทรสุรินทร์, นายอิทธิรัตน์ จันทรสุรินทร์ และ ดร.ชุณกิจ จันทรสุรินทร์ นายพินิจ จันทรสุรินทร์ 1.1. ภูมิหลังทางเศรษฐกิจ-สังคมและการเมือง นายพินิจ จันทรสุรินทร์ เกิดเมื่อวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2480 ที่บ้านเลขที่ 26 ถนนจรูญลองรัฐ หมู่ 8 ตำบลห้วยอ้อ อำเภอลอง จังหวัดแพร่ เป็นบุตรของนายนิคมและนางจันทร์คำ จันทรสุรินทร์ เจ้าของธุรกิจรับเหมาขนไม้ขึ้นตู้รถไฟ และสำเร็จ การศึกษาระดับปริญญาตรีจากสหรัฐอเมริกา ที่สำคัญตระกูล จนั ทรสรุ นิ ทรถ์ อื เปน็ คหบดที ส่ี ำคญั ของอำเภอลองและจงั หวดั แพร่ ตรงนี้นับว่ามีส่วนต่อการวางรากฐานทางสังคมและการเมืองให้ กับนายพินิจ40 นายพินิจ จันทรสุรินทร์ มีประสบการณ์ทางการเมืองใน ระดับท้องถิ่นก่อนจะก้าวเข้าสู่บทบาททางการเมืองในระดับ ชาติกล่าวคือ เคยเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด ลำปาง เขตอำเภอแม่ทะ และเริ่มเข้าสู่การเมืองระดับชาติ 40 สัมภาษณ์ อาจารย์พล คูรณารักษ์ อดีตอาจารย์ประจำโรงเรียนป่าไม้ แพร่ วันที่ 10 กันยายน 2555. 108
บทวิเคราะห์ โดยการสนับสนุนจากนายบุญเท่ง ทองสวัสดิ์ โดยลงสมัครรับ เลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใน พ.ศ.2518 และได้รับ การเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอย่างต่อเนื่องก่อนจะ ถกู ตัดสทิ ธ์ทิ างการเมอื งจากคดยี ุบพรรคไทยรกั ไทยใน พ.ศ.2550 ในอดีต นายพินิจ จันทรสุรินทร์ เคยดำรงตำแหน่งเลขาธิการ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ประสานงานพรรค กิจสังคม และเป็นกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎร ต่อมาเมื่อ นายบุญเท่งได้ประกาศแยกตัวออกจากพรรคกิจสังคม จึงได้มา ร่วมจัดตั้งพรรคสหประชาธิปไตย โดยดำรงตำแหน่งเป็น รองเลขาธิการพรรค41 1.2. กลยุทธ์ในการหาเสียง กลยทุ ธ์ในการหาเสียงในอดีตของนายพินจิ จันทรสรุ ินทร์ นั้นได้มีการออกพบปะประชาชนอย่างสม่ำเสมอ ในงานต่างๆ ของชุมชน ไม่ว่าจะเป็นงานเล็กหรืองานใหญ่ รับฟังปัญหาต่างๆ ของประชาชนและนำไปเสนอแนะต่อหน่วยงานต่างๆ เพื่อแก้ไข บางครั้งก็จะช่วยแก้ไขปัญหาของท้องถิ่นด้วยตนเอง ได้นำ โครงการต่างๆ เข้าไปสู่ท้องถิ่นมากมาย โดยอาศัยงบประมาณ ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ได้ร่วมกับของนายบุญเท่ง ทองสวัสดิ์ ปีละ 5 ล้านบาท ไปพัฒนาหมู่บ้านที่อยู่ในเขต เลือกตั้งอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ยังได้นำโครงการพิเศษ เข้าไปช่วยเหลือประชาชน ในสมัยที่อยู่ในพรรคร่วมรัฐบาล เช่น โครงการสร้างอ่างเก็บน้ำ สูบน้ำด้วยไฟฟ้า นำไฟฟ้าเข้าสู่ หมู่บ้านเกือบทุกหมู่บ้านในเขตเลือกตั้ง ถนนลาดยางเข้าสู่ 41 ประชัน รักพงษ์, อ้างแล้ว, หน้า 91. 109
นักการเมืองถ่ินจังหวัดลำปาง หมู่บ้าน ทำให้ได้รับความนิยมจากประชาชนทั้งผู้นำท้องถิ่น และชาวบ้านอย่างกว้างขว้าง42 1.3. ปัจจัยที่กำหนดชัยชนะ นายพินิจ จันทรสุรินทร์ ได้รับเลือกตั้งมาตลอดเพราะ เป็นคนในท้องถิ่น ไม่ลืมท้องถิ่น ไปร่วมงานสำคัญๆ ของชุมชน บ่อยครั้งเช่น งานศพ งานฝังลูกนิมิต มีการให้ความช่วยเหลือ ชาวบ้านอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง ซึ่งกำนันกฤษณะชัย ปะละ ได้ให้สัมภาษณ์เอาไว้ พร้อมกันนี้กำนันกฤษณะชัย ยังได้ วิเคราะห์เปรียบเทียบปัจจัยที่กำหนดชัยชนะในการเลือกตั้ง ระหว่างนายพินิจ จันทรสุรินทร์ (บิดา) และนายจรัสฤทธิ์ จันทรสุรินทร์ นายอิทธิรัตน์ จันทรสุรินทร์ ว่านายพินิจ จนั ทรสรุ นิ ทรม์ คี วามสำคญั มากกวา่ เพราะเปน็ ผทู้ ม่ี ปี ระสบการณ์ ทางการเมืองสูง สะสมบารมีมายาวนานกว่า มีอำนาจมากกว่า ดังนั้น การยอมรับในตัวนายพินิจ จันทร์สุรินทร์ จึงเป็นปัจจัย สำคัญในการกำหนดชัยชนะของนายจรัสฤทธิ์ จันทรสุรินทร์ นายอิทธิรัตน์ จันทรสุรินทร์ ผู้เป็นบุตร43 นายจรัสฤทธ์ิ จันทรสุรินทร์ นายจรัสฤทธิ์ จันทรสุรินทร์ เกิดเมื่อวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2510 เป็นบุตรของนายพินิจ จันทรสุรินทร์ อดีตรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงมหาดไทย และนางจุไรรัตน์ จันทรสุรินทร์ 42 เพิ่งอ้าง, หน้าเดิม. 43 สัมภาษณ์กำนันกฤษณะชัย ปะละ อดีตกำนันตำบลไหล่หิน อ.เกาะคา จ.ลำปาง วันที่ 10 มกราคม 2555. 110
บทวิเคราะห์ มีพี่น้อง 3 คน คือ นายชวนิต จันทรสุรินทร์, นายอิทธิรัตน์ จันทรสุรินทร์ ส.ส.ลำปาง เขต 4 และนายชุณหกิจ จันทรสุรินทร์ (ผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ลำปาง) นายจรัสฤทธิ์ จันทรสุรินทร์ ศึกษาระดับปริญญาตรี คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหงและสำเร็จการศึกษา ระดับปริญญาโท จากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง และสมรสกับนางสุปรียา จันทรสุรินทร์ มีบุตรธิดา 2 คน นายจรัสฤทธิ์ จันทรสุรินทร์ เคยเป็นสมาชิกสภาองค์การ บริหารส่วนจังหวัดลำปาง และรองนายกองค์การบริหาร ส่วนจังหวัดลำปางมาตั้งแต่ พ.ศ. 2543 กระทั่งใน พ.ศ. 2550 นายพินิจ จันทรสุรินทร์ บิดา ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองจากคดี ยุบพรรคการเมืองพร้อมกับบ้านเลขที่ 111 นายจรัสฤทธิ์จึงลง สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแทนบิดาและ ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรกสังกัด พรรคพลังประชาชน และ พ.ศ. 2554 สังกัดพรรคเพื่อไทย นายอิทธิรัตน์ จันทรสุรินทร์ เกิดวันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2507 เป็นบุตรของนายพินิจ จันทรสุรินทร์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และ นางจุไรรัตน์ จันทรสุรินทร์ สำเร็จการศึกษา นิติศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยรามคำแหง และรัฐศาสตรมหาบัณฑิต สาขา การปกครอง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สมรสกับนางภุมรา จันทรสุรินทร์ มีบุตร 1 คน ในอดีต นายอิทธิรัตน์รับราชการ 111
นักการเมืองถิ่นจังหวัดลำปาง กรมการปกครอง และสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ ก่อนลาออก มาลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นครั้งแรก พ.ศ. 2544 สังกัดพรรคไทยรักไทย ร่วมกับนายพินิจ บิดา หลัง จากนั้นได้รับการเลือกตั้งต่อกันมาอีก 3 ครั้ง ล่าสุด สังกัดพรรค เพื่อไทย เอาชนะนายนิคม เชาว์กิตติโสภณ จากพรรคประชา- ธิปัตย์ ประสบการณ์ทางการเมืองที่สำคัญ ได้แก่ สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร จังหวัดลำปาง พ.ศ.2544, พ.ศ.2548 และ พ.ศ.2554, รองประธานคณะกรรมาธิการการปกครอง, เลขานุการกรรมาธิการการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, โฆษก คณะกรรมาธิการการสื่อสารและโทรคมนาคม, ผู้ชำนาญการ ประจำคณะกรรมาธกิ ารนโยบายและตดิ ตามผลงานงบประมาณ รายจ่ายประจำปี สภาผู้แทนราษฎร เป็นต้น ทั้งนายพินิจ จันทรสุรินทร์และคนในตระกูลตลอดจน เครือข่ายระดับรองลงมาจนถึงตำบล หมู่บ้าน ดังที่รู้จักกันใน นามกลุ่มดอยเงินนั้นสามารถนำมาจัดทำเป็นแผนภาพที่ 2 112
บทวิเคราะห์ แผนภาพท่ี 2 : แผนภาพแ66สดงเครือข่ายทางการเมืองใน ระดับต่างแผๆนภาพขทอ่ี 2 :งแกผนลภาุ่มพแดสดองเคยรอื เขงายินทาง การเมืองในระดับตางๆของกลมุ ดอยเงิน ผนู ํากลมุ ดอยเงิน (พรรคเพื่อไทย) สส.เขตเลือกตัง้ ที่ 3 สส.เขตเลือกตั้งที่ 4 สจ. ในเขตอําเภอเมือง3 ทา น สจ.ในเขตอําเภอสบปราบ 1 ทา น สจ.ในเขตอําเภอแมทะ 3 ทา น สจ.ในเขตอําเภอแมพ ริก1 ทา น ประธานสภาเทศบาล นายกเทศบาลตําบล /นายกอบต. และนายกอบต. 8 ทาน ประธานสภาอบต./รองนายกอบต. /ส.อบต. อดตี นายกอบต./อดีตนายกเทศบาล/อดตี รอง นาย/ อดีตส.อบต. รวม 21 ทาน กาํ นัน / ผูใหญบาน 5 ทาน กํานัน / ผใู หญบาน 7ทา น หัวคะแนน 4 ทา น 113
นักการเมืองถ่ินจังหวัดลำปาง จากแผนภาพข้างต้นแสดงให้เห็นว่า กลุ่มดอยเงินได้มี การวางเครือข่ายระบบอุปถัมภ์ไว้ในทุกระดับตั้งแต่ระดับสูงสุด โดยมีนายพินิจ จันทรสุรินทร์ เป็นผู้นำกลุ่ม ส่วนระดับของ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้ง 2 เขตเลือกตั้ง ได้กำหนดให้ ทายาทของนายพินิจ จันทรสุรินทร์ทั้ง 2 คนคือ นายจรัสฤทธิ์ จันทรสุรินทร์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขต 3 และนายอิทธิรัตน์ จันทรสุรินทร์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขต 4 แบ่งกันดูแลพื้นที่ ในเขตเลือกตั้งของตน อีกทั้งยังได้มีการวางเครือข่ายระบบ อุปถัมภ์ในระดับล่างลงไปคือการประสานงานกับสมาชิกสภา องค์การบริหารส่วนจังหวัดในแต่ละเขตเลือกตั้ง และยังมีการ สร้างความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์ไปยังผู้บริหารและสมาชิกองค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น (เทศบาลและองค์การบริหารส่วนตำบล) กำนัน ผู้ใหญ่บ้านและหัวคะแนน เพื่อเป็นผู้ดูแลฐานเสียง ในระดับต่างๆ อีกด้วย 5. นายบุญหลง ถาคำฟู 5.1. ภูมิหลังทางเศรษฐกิจ-สังคมและการเมือง นายบุญหลง ถาคำฟู เกิดที่บ้านต้า หมู่ที่ 10 ตำบลชมพู อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ.2482 บุญหลง เริ่มเข้ารับการศึกษาระดับชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียน ประชาบาลบ้านต้า โรงเรียนราษฎร์มณีศึกษา โรงเรียนเคนเน็ต แมคเคนซี ชั้นมัธยมศึกษาที่โรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย จากนั้น จึงเข้าไปเรียนในระดับอุดมศึกษาที่คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และสำเร็จการศึกษาเมื่อ พ.ศ.2507 ต่อมาได้เข้ารับราชการในกรมการสนเทศ กระทรวงพาณิชย์ 114
บทวิเคราะห์ 5 ปีและได้ย้ายไปทำงานที่องค์การฟอกหนัง โดยได้รับตำแหน่ง รองผู้อำนวยการฝ่ายการค้า44 นายบุญหลงเริ่มเข้าสู่วงการทางการเมืองอย่างจริงจัง โดยเริ่มจากลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.ในการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ.2518, 2519, 2522 และ 2526 แตไ่ มไ่ ดร้ บั เลอื กตง้ั แตอ่ ยา่ งใด อย่างไรก็ตาม ในการเลือกตั้งครั้งที่ 2, 3 และ 4 ปรากฏว่าเขาได้ รับคะแนนเสียงมากเป็นอันดับ 3 ขณะที่จำนวนที่นั่ง ส.ส.มีแค ่ 2 ที่นั่ง ที่น่าสนใจก็คือ เริ่มต้นนายบุญหลงสมัครรับเลือกตั้ง ทั่วไปสังกัดพรรคพลังใหม่ ซึ่งเป็นพรรคแนวสังคมนิยมหรือ แนวซ้ายในยุคหลัง 14 ตุลาคม 2516 ต่อมาก็เปลี่ยนมาสังกัด พรรครวมไทยและพรรคเอกภาพตามลำดับ และในการเลือกตั้ง พ.ศ.2529 นายบุญหลงได้ปฏิเสธการทาบทามของพรรค ประชาธิปัตย์ ที่ต้องการให้สังกัดในนามพรรค ด้วยเหตุที่มีวงเงิน สนับสนุนจำกัดเพียง 1 แสนบาทและหันไปสังกัดพรรครวมไทย ซึ่งมีนายณรงค์ วงศ์วรรณ ผู้นำบารมีหรือ “พ่อเลี้ยงใหญ่” ของ ภาคเหนือตอนบนเป็นหัวหน้าพรรค ตรงนี้ย่อมนับเป็นปัจจัย สำคัญต่อความสำเร็จทางการเมืองของนายบุญหลง ไม่ว่าจะ ด้วยเครือข่ายทางสังคม-เศรษฐกิจของพ่อเลี้ยงณรงค์ ซึ่งถูกแปร มาเป็นเครือข่ายทางการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตอำเภอ ที่มีโรงบ่มใบยาสูบตั้งอยู่ เช่น อำเภอวังเหนือ เป็นต้น รวมทั้ง การให้ความสนับสนุนปัจจัยด้านเงินทุนที่พอเพียง ดังนั้นในการ เลือกตั้ง พ.ศ.2529 นายบุญหลงจึงได้รับเลือกตั้งเป็นอันดับ 1 44 ประมวลข้อมูลจากหนังสือที่ระลึกงานพระราชทานเพลิงศพ นายบุญหลง ถาคำฟู. (ไม่ปรากฏสถานที่และปีที่พิมพ์). 115
นักการเมืองถ่ินจังหวัดลำปาง ได้คะแนน 88,306 คะแนน และต่อมาก็ได้รับเลือกตั้งติดต่อกัน อกี 2 สมยั คอื สมยั ท่ี 2 พ.ศ.2533 สงั กดั พรรคเอกภาพ และสมัยที่ 3 พ.ศ.2535 สังกัดพรรคเดียวกัน หลังจากนั้นก็ได้ตัดสินใจเลิก เล่นการเมืองและหันมาใช้ชีวิตส่วนตัวทั้งเขียนหนังสือ ทำสวน และทำค่ายมวยไทย จนกระทั่งประสบปัญหาสุขภาพด้วยตรวจ รักษาพบว่าเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ระยะที่ 4 จนกระทั่งเสียชีวิตลง ในวันที่ 11 มกราคม 2553 5.2. กลยุทธ์การหาเสียง ด้วยเหตุที่การเมืองจังหวัดลำปาง รวมทั้งเขต 8 จังหวัด ภาคเหนือตอนบน ในห้วงเวลาที่นายบุญหลงลงสมัครเป็น ส.ส. ปัจจัยด้านตัวบุคคลยังคงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก ดังนั้น กลยุทธ์การหาเสียงจึงต้องมีการปรับเปลี่ยนไปตาม สถานการณ์ กล่าวได้ว่า แม้บุคลิกภาพส่วนตัวของผู้สมัครยังคง เป็นพื้นฐานที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมีเครือญาติและเพื่อนพ้อง ตลอดจนเป็นคนกันเอง เข้าได้กับทุกฝ่ายและวางตัวเสมอต้น เสมอปลาย ซึ่งตรงส่วนนี้บุญหลงมีอย่างครบถ้วน ดังปรากฏใน คำสัมภาษณ์ของนายจิณณ์ ถาคำฟู ญาติผู้ใกล้ชิดและเป็น ผู้ช่วยเหลือด้านการเมืองนายบุญหลงมาโดยตลอดชีวิตทาง การเมือง จิณณ์ กล่าวเอาไว้ว่า “ ...บุญหลง มีอุปนิสัยตรงไปตรงมา โผงผาง จริงใจ แต่ เป็นคนง่ายๆ สบายๆ คนเข้าหาง่าย มีเพื่อนฝูงเยอะ คบคนเป็น ญาติ...”45 45 สัมภาษณ์ จิณห์ ถาคำฟู ญาติสนิทของบุญหลง ถาคำฟู วันที่ 15 สิงหาคม 2555. 116
บทวิเคราะห์ แต่ทว่า หาได้เพียงพอต่อการชี้ขาดชัยชนะ การเมือง ยุคก่อน พ.ศ.2544 ปัจจัยด้านเงินทุนและการจัดตั้งระบบ หัวคะแนนถือได้ว่าเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งยวดในการนำมาซึ่ง ชัยชนะในการเลือกตั้ง เมื่อพิจารณาจากปัจจัยเหล่านี้ ถือได้ว่า บุญหลงมีน้อยมาก ดังที่จิณณ์ ถาคำฟู ได้ให้ความเห็นเอาไว้ว่า “...กลับมาบ้านขับรถเก๋งมา มาบอกว่าจะสมัคร ส.ส. โดยอาศัยสายสัมพันธ์เดิมมากกว่า ไม่มีเงิน อาศัยขอพ่อ-แม่ ขอญาติพี่น้อง เพื่อนช่วยเหลือหาเสียงไม่มีเงิน....”46 ส่วนหัวคะแนนนั้น จิณณ์บอกว่า “...หัวคะแนนส่วนใหญ่เป็นปราชญ์ของหมู่บ้าน ไม่ใช่ ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านมักเป็นหัวคะแนนของฝ่ายตรงข้าม....”47 สี่สมัยแรกที่บุญหลงลงสมัครรับเลือกตั้งและไม่ได้รับ เลือก โดย 3 ครั้งหลังได้คะแนนมาเป็นอันดับที่ 3 จากจำนวน ที่นั่ง 2 ที่นั่ง เนื่องจากบุญหลงลงสมัครในนามพรรคพลังใหม่ ซึ่งเป็นพรรคแนวสังคมนิยมหรือกล่าวอีกนัยหนึ่งเป็นพรรคที่มุ่ง ขายอุดมการณ์ กอรปกับขาดแคลนเงินทุนและการจัดตั้งระบบ หัวคะแนน ดังนั้นยุทธวิธีที่เขานำมาใช้ก็คือ การลงพื้นที่ด้วย ตนเองให้ครอบคลุมมากที่สุด ตรงประเด็นนี้ จิณณ์ ถาคำฟู ให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า 46 เพิ่งอ้าง. 47 เพิ่งอ้าง. 117
นักการเมืองถิ่นจังหวัดลำปาง “....จะลงพื้นที่ด้วยตนเอง กินง่ายนอนง่าย ไม่มีพิธีรีตอง ผูกพันกับชาวบ้าน ไม่มีระบบเจ้าขุนมูลนาย ออกพื้นที่ถี่มากคือ เมื่อออกจากบ้านแล้วไม่กลับมาบ้านเลย ออกพื้นที่โดยลำพัง หรือบางครั้งก็มีเด็กที่มีอุดมการณ์ตรงกันติดตามไปด้วย ไม่มี มือปืนติดตามไปด้วย เพราะคิดว่าเมื่อทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ไม่ต้องกลัวอะไร พื้นที่ที่ออกไปบ่อยและให้ความสำคัญคือ ต.ปงคอน อ.แจ้ห่ม ซึ่งพักเป็นประจำ ต.ทุ่งฮั้ว อ.วังเหนือ และอ.งาว โดยเฉพาะเมืองงาว บุญหลงมีญาติทางแม่แฟน เป็นคนบ้านแหง ซึ่งเป็นตำบลใหญ่ของงาว...”48 ควบคู่ไปกับการปรากฏในพื้นที่ต่างๆ นายบุญหลง ได้ทำการปราศรัยโดยใช้โทรโข่ง โดยมีจิณณ์ ถาคำฟู เป็นผู้ช่วย ในการปราศรัย ส่วนสถานที่ก็อาศัยจุดใดจุดหนึ่งของหมู่บ้าน เป็นจุดนัดพบชาวบ้าน ไม่ว่าจะเป็นวัด ตลาดสดเช้า-เย็น ทางแยกเข้าหมู่บ้าน เป็นต้น ในการเลือกตั้ง พ.ศ.2529 ซึ่งนายบุญหลงลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรครวมไทย นายบุญหลงยังคงเป็นผู้สมัครคนเดียวของพรรคในเขตเลือกตั้ง ที่ 1 ที่เน้นการปราศรัย นายบุญหลงเคยให้สัมภาษณ์ในตอนนั้น ว่า ตนเองสามารถเข้าไปหาเสียงในหมู่บ้านต่างๆ ประมาณ ร้อยละ 80 ของหมู่บ้านที่อยู่ในเขตเลือกตั้งที่ 1 ส่วนมากเข้าไป หมู่บ้านละ 1 ครั้ง หลังจากนั้นก็จะมอบหมายให้หัวคะแนน ระดับหมู่บ้านไปประสานกับหัวคะแนนระดับอำเภอและหาก เกิดข้อขัดข้องก็ให้ติดต่อมายังนายบุญหลงโดยตรง ที่น่าสนใจ นายบุญหลงมองว่า การไปพบปะและปราศรัยกับชาวบ้าน ถือเป็นการหาเสียงขั้นพื้นฐานที่สำคัญ ทั้งนี้ก็เพื่อให้ประชาชน 48 เพิ่งอ้าง. 118
บทวิเคราะห์ รู้จัก นอกเหนือจากสถานที่ย่านชุมชนแล้ว เมื่อมีโอกาส นายบุญหลงบอกว่า งานศพ งานแต่งงานและงานทำบุญ ขึ้นบ้านใหม่ ก็เป็นโอกาสที่สามารถทำความเข้าใจกับชาวบ้าน เป็นอย่างดี 49 คงต้องกล่าวไว้ด้วยว่า ในยุคก่อนใช้รัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 กฎหมายเลือกตั้งมิได้ ห้ามการจัดแสดงมหรสพพร้อมไปกับการหาเสียง ดังนั้นในห้วง เวลานั้น ซึ่งประชาชนในชนบทยังมิได้ตื่นตัวทางการเมือง เมื่อมี การแข่งขันทางการเมือง ผู้สมัครรับเลือกตั้งจึงทำการชักจูงให้ ประชาชนมาทำความรู้จักตนเองและฟังคำปราศรัยโดย อาศัยมหรสพเป็นเครื่องมือนำทาง กรณีของนายบุญหลง ก็เช่นเดียวกัน เมื่อต้องการพบปะชาวบ้าน โดยเฉพาะกลางคืน ซึ่งเป็นเวลาที่ชาวบ้านเสร็จจากการทำงานและพักผ่อนอยู่ที่บ้าน นายบุญหลงก็จัดให้มีการฉายภาพยนตร์ในหมู่บ้าน ทั้งที่อำเภอ แจ้ห่มและอำเภอวังเหนือ เป็นต้น จากนั้นก็จะวิ่งรอกจาก หมู่บ้านนั้นไปหมู่บ้านนี้ในแต่ละอำเภอเพื่อพบปะชาวบ้านและ ทำการปราศรัย อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาโดยภาพรวมของการ หาเสียงของผู้สมัครต่างๆ ก็จะพบว่า ผู้สมัครโดยส่วนใหญ่ ซึ่งก็ รวมถึงนายบุญหลงด้วย ต่างก็อาศัยสื่อและอุปกรณ์หาเสียง พื้นฐานประกอบไปด้วยโปสเตอร์ขนาดต่างๆ สื่อสิ่งพิมพ์ ยานพาหนะและเครอ่ื งขยายเสยี ง โดยเฉพาะโปสเตอร์ นายบญุ หลง ให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า 49 ประชัน รักพงษ์, อ้างแล้ว, หน้า 104. 119
นักการเมืองถิ่นจังหวัดลำปาง “โปสเตอร์หาเสียงมีความสำคัญในการโฆษณาหาเสียง ประชาสัมพันธ์ขั้นพื้นฐานเท่านั้น โดยเฉพาะถ้าสีสะดุดตา มีสโลแกนที่ประทับใจ จะทำให้ชาวบ้านสนใจ อย่าเขียน ละเอียดเกินไป ชาวบ้านเขาไม่อ่าน พยายามเขียนตัวโตๆ และ โปสเตอร์มีประโยชน์มากสำหรับให้ชาวบ้านจำว่าผู้สมัคร เบอร์อะไร”50 นอกจากโปสเตอร์ที่นำไปติดตามหมู่บ้านต่างๆ แล้ว อีกวิธีการหนึ่งก็คือ การใช้รถรณรงค์ติดเครื่องขยายเสียงออกไป โฆษณาประชาสัมพันธ์ในหมู่บ้านต่างๆ ส่วนหนึ่งก็ใช้เทปบันทึก เสียงคำปราศรัยของผู้สมัครไปตามจุดต่างๆ ในหมู่บ้านแห่งละ ประมาณ 30 นาที ซึ่งวิธีการนี้ทำให้การหาเสียงครอบคลุมเกือบ ทุกหมู่บ้าน โดยที่ผู้สมัครไม่จำเป็นต้องไปปรากฏตัวด้วยตนเอง การได้รับเลือกตั้งอีก 2 สมัยต่อมาคือการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ.2533 และ พ.ศ.2535 ทั้งนี้ คงกล่าวได้ว่าหลังจากได้รับ เลือกตั้งเป็น ส.ส.สมัยแรกแล้ว โอกาสในการใช้ทรัพยากร ทางการเมืองในฐานะผู้ถือครองอำนาจรัฐ (ส.ส.) ย่อมสูง กว่าเดิมหลายเท่า และนั่นก็เป็นต้นทุนที่สำคัญของบุญหลง จนกระทั่งเลิกยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ท้ายนี้ จำเป็นต้องพูดถึงการจัดตั้งระบบหัวคะแนน ของพรรครวมไทย (พรรคเอกภาพในภายหลัง) เอาไว้ด้วยเพราะ ถือเป็นปัจจัยสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าบุคลิกส่วนตัวของ นายบุญหลงในการนำมาซึ่งชัยชนะกล่าวคือ พรรครวมไทย ได้จัดตั้งหัวคะแนนขึ้นในระดับอำเภอและหมู่บ้าน โดยที่บุคคล 50 ประชัน รักพงษ์, อ้างแล้ว,หน้า 108. 120
บทวิเคราะห์ เหล่านี้มักเป็นบุคคลที่มีบทบาทด้านต่างๆ ในท้องถิ่นนั้นๆ เช่น อำเภอวังเหนือ ก็มีพ่อเลี้ยงดวงแก้ว สมมี เจ้าของกิจการโรงบ่ม ใบยาสูบและกิจการอื่นๆ อีกหลายอย่างเป็นหัวคะแนนหลัก หรือที่อำเภองาวก็มีนายประดิษฐ์ ศิริมังคลากุล ผู้กว้างขวาง คนหนึ่งของอำเภองาว กล่าวโดยรวมหัวคะแนนส่วนใหญ่ของพรรครวมไทย ในเขตเลือกตั้งที่ 1 จังหวัดลำปาง ได้แก่กรรมการหมู่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านและเจ้าของโรงบ่มใบยาสูบ ซึ่งถือเป็นธุรกิจที่ต้อง พึ่งพาเครือข่ายทางธุรกิจของนายณรงค์ วงศ์วรรณ ผู้นำธุรกิจ ด้านนี้ของประเทศไทย 5.3. ปัจจัยที่กำหนดชัยชนะ เมื่อเปรียบเทียบการลงสมัครรับเลือกตั้งทั้ง 7 ครั้งของ นายบุญหลง โดย 4 ครั้งแรกไม่ได้รับการเลือกตั้ง แต่ 3 ครั้งหลัง ได้รับการเลือกตั้งติดต่อกันและสังกัดพรรคเดียวกันคือพรรค รวมไทย ซึ่งตอนหลังมารวมกับพรรคอื่นและเปลี่ยนมาเป็น พรรคเอกภาพ ก็ทำให้เห็นได้ว่า 4 ครั้งแรกที่ไม่ได้รับการ เลือกตั้งนั้นคงเป็นเพราะบุญหลงลงสมัครในนามพรรค พลังใหม่ซึ่งเป็นพรรคที่เป็นแนวอุดมการณ์สังคมนิยม ขณะที่ ขาดแคลนปัจจัยทุนและการจัดตั้งระบบหัวคะแนน แต่ถึง กระนั้น ด้วยความที่เป็นนายบุญหลงซึ่งมีบุคลิกดังที่อธิบายไว้ ตอนต้นแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการอาศัยสายสัมพันธ์ส่วนตัว และการปราศรัย ทำให้ 3 ครั้งหลังเขาได้รับคะแนนนิยม มาเป็นอันดับ 3 มาโดยตลอด 121
นักการเมืองถ่ินจังหวัดลำปาง ด้วยคะแนนนิยมส่วนตัวและการลงสมัครรับเลือกตั้ง ที่ต่อเนื่องทุกสมัยเลือกตั้ง นายบุญหลงจึงเป็นที่รู้จักอย่าง กว้างขวางในเขตเลือกตั้งของเขา ดังนั้น เมื่อนายบุญหลง เปลี่ยนพรรคที่สังกัดมาเป็นพรรครวมไทย ซึ่งมีความพร้อม หลายๆ ด้านไม่ว่าจะเป็นผู้นำพรรคคือนายณรงค์ วงศ์วรรณ ที่เป็นผู้มีบารมีใน 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน ปัจจัยทุนและ ระบบการจัดตั้งหัวคะแนน นายบุญหลงจึงได้รับเลือกตั้งมาเป็น อันดับหนึ่งในการเลือกตั้งทั่วไปใน พ.ศ.2529 6. นายไพโรจน์ โล่ห์สุนทร, นางสาวตวงรัตน์ โล่ห์สุนทร, นายกิตติกร โล่ห์สุนทร, นายธนาธร โล่ห์สุนทร และ นายสมโภช สายเทพ 6.1. ภูมิหลังทางเศรษฐกิจ-สังคมและการเมือง นายไพโรจน์ โล่ห์สุนทร เกิดที่ตำบลสบตุ๋ย อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง เมื่อวันที่ 24 มกราคม พ.ศ.2479 ปัจจุบันอายุ 76 ปี (พ.ศ.2555) ทางด้านการศึกษาได้เริ่มต้นเรียนชั้นประถม ศึกษาตอนต้นที่โรงเรียนประชาวิทย์และชั้นประถมศึกษา ตอนปลายที่โรงเรียนมัธยมวิทยา หลังจากนั้นได้เข้าเรียนต่อ ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลายที่โรงเรียน บุญวาทย์วิทยาลัยและอินทรศึกษา กรุงเทพมหานคร51 51 คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สถาบันราชภัฏลำปาง. ประวัติ และผลงานของนายไพโรจน์ โล่ห์สุนทร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัด ลำปาง อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย. (เอกสารเย็บเล่ม), หน้า 1. 122
บทวิเคราะห์ ด้วยความที่ตระกูลของนายไพโรจน์เป็นตระกูลชาวจีน และมีลูกหลายคน นายไพโรจน์ในฐานะพี่คนโตจึงยุติการศึกษา เพียงแค่ชั้นมัธยมศึกษาและได้มาประกอบอาชีพค้าขายเพื่อ ช่วยเหลือครอบครัว โดยทำการค้าขายที่ย่านตลาดสบตุ๋ย อำเภอเมืองลำปาง ต่อมาได้เดินทางไปใช้ชีวิตที่กรุงเทพ- มหานคร ทั้งประกอบธุรกิจและทำงานด้านหนังสือพิมพ์ เฉพาะงานอย่างหลังถือได้ว่าได้ช่วยปูพื้นฐานและส่งเสริมให้ นายไพโรจน์เติบโตทางการเมืองได้เป็นอย่างมาก กล่าวคือ นายไพโรจน์ได้ทำงานกับหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ โดยดำรงตำแหน่ง เป็นเลขานุการส่วนตัวของกำพล วัชรพล เจ้าของหนังสือพิมพ์ เฉพาะบทบาททางธรุ กจิ ซง่ึ ถอื เปน็ ฐานเศรษฐกจิ ทส่ี ำคญั ในการสร้างบทบาททางสังคมและการเมือง นายไพโรจน์มีธุรกิจ ในเครือดังต่อไปนี้ 52 1. พ.ศ.2514 ได้ก่อตั้งบริษัทรุ่งโรจน์เอ็นเตอร์ไพร์ซ จำกัด ดำเนินธุรกิจด้านการเงินและการจัดไฟแนนซ์รถยนต์ ซึ่งในระยะเวลาต่อมาได้ขยายไปสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และ ก่อสร้างอาคารสำนักงานให้เช่า 2. พ.ศ.2522 ได้ร่วมทุนกับหุ้นส่วนชาวฮ่องกง ดำเนิน กิจการร้านอาหารและภัตตาคารในเกาะฮ่องกงและเกาลูน จำนวน 11 ร้าน รวมทั้งเปิดภัตตาคารไฮไลท์ คอฟฟี่ชอฟใน กรุงเทพฯ ด้วย 52 เพิ่งอ้าง, หน้า 2-3. 123
นักการเมืองถิ่นจังหวัดลำปาง 3. พ.ศ.2535 ได้ร่วมทุนกับนางยิ่งลักษณ์ วัชรพลและ บริษัทฟร้อนเทียร์แพซิฟิคอิงค์ดำเนินกิจการโรงแรมเชียงใหม่ พลาซ่า จังหวัดเชียงใหม่ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งทางธุรกิจที่สำคัญคือ กรรมการ ผู้จัดการบริษัทรุ่งโรจน์เอนเตอร์ไพรซ์จำกัดและเป็นประธาน กรรมการบริษัทเชียงใหม่พลาซ่าจำกัด ทางด้านบทบาททางสังคม นายไพโรจน์เข้าร่วมกิจกรรม ทางสังคมหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นฐานะของนายกสมาคมกีฬา จังหวัดลำปาง นายกสมาคมโรงเรียนอัสสัมชัญลำปาง เป็นต้น ห ล ั ง จ า ก ปู พ ื ้ น ฐ า น บ ท บ า ท ด ้ า น เ ศ ร ษ ฐ ก ิ จ - ส ั ง ค ม มายาวนานนายไพโรจน์ได้หันเหตัวเองเข้าสู่วงการเมือง โดยเริ่ม จาก พ.ศ.2531 ได้ลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ในสังกัดพรรค รวมไทย เขตเลือกตั้งที่ 1 ของจังหวัดลำปาง เมื่อครั้งมีการ เลือกตั้งทั่วไปวันที่ 24 กรกฎาคม 2551 โดยได้รับเลือกตั้ง อีกทั้ง ยังได้รับเลือกเป็นรองประธานกรรมาธิการการปกครองของสภา ผู้แทนราษฎรอีกด้วย พ.ศ.2535 ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.ลำปางสมัยที่ 2 ในสังกัดพรรคสามัคคีธรรม และได้รับเลือกเป็นหนึ่งใน คณะกรรมาธิการทหาร พ.ศ.2539 ได้รับเลือกตั้งเป็นสมัยที่ 5 ในสังกัดพรรค ชาติพัฒนาเหมือนเดิม พร้อมกับดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และรัฐมนตรีช่วยว่าการ กระทรวงศึกษาธิการเป็นลำดับ 124
บทวิเคราะห์ พ.ศ.2544 ไดร้ บั เลอื กต้ังเป็น ส.ส.สมัยท่ี 6 และ พ.ศ.2548 ได้รับเลือกตั้งเป็นสมัยที่ 7 และเมื่อพรรคไทยรักไทยถูกยุบพรรค โดยศาลรัฐธรรมนูญ ด้วยฐานะของกรรมการบริหารพรรค นายไพโรจน์ โล่ห์สุนทรจึงจำเป็นต้องยุติบทบาททางการเมือง อย่างเป็นทางการตามคำสั่งศาลที่เพิกถอนสิทธิ์ผู้บริหารพรรค ที่ถูกยุบ 6.2. กลยุทธ์การหาเสียง อาศัยฐานทางเศรษฐกิจและสังคมทั้งในระดับชาต ิ ซึ่งหมายถึงกรุงเทพมหานคร และท้องถิ่นคือลำปาง โดยใน ระดับชาตินายไพโรจน์ประกอบอาชีพทั้งทางธุรกิจและ สื่อมวลชน (หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ) ที่กรุงเทพฯและขยายมาทำ ธุรกิจโรงแรมขนาดใหญ่คือโรงแรมเชียงใหม่พลาซ่าที่เชียงใหม่ อันมีผลต่อการวางเครือข่ายทางสังคมโดยเฉพาะผ่าน หนังสือพิมพ์ไทยรัฐและโรงแรมเชียงใหม่พลาซ่าซึ่งสามารถเป็น สถานที่ในการจัดงานและรองรับผู้คนในทางสังคม ที่สำคัญ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐได้มอบหมายให้นายไพโรจน์ดำรงตำแหน่ง กรรมการมูลนิธิหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ และโดยสถานะนายไพโรจน ์ ได้มีส่วนผลักดันให้สร้างโรงเรียนไทยรัฐวิทยาอันมีผลทำให้ นายไพโรจน์สามารถขยายบทบาทของตนเองเข้าไปยังกิจการ ด้านการศึกษาซึ่งถือเป็นทุนที่สำคัญที่จะทำให้ใกล้ชิดกับ บุคลากรด้านการศึกษาโดยเฉพาะครูบาอาจารย์ในตำบล- หมู่บ้านต่างๆ รวมทั้งผู้นำการศึกษาในระดับจังหวัด-อำเภอ และย่อมเป็นที่แน่นอนว่าบุคลากรด้านการศึกษาหลายระดับ เหล่านี้ ย่อมเป็นตัวกลางในการเชื่อมโยง-ประชาสัมพันธ์ ระหว่างนายไพโรจน์กับผู้ปกครองและนักเรียนในพื้นที่ต่างๆ ใน 125
นักการเมืองถิ่นจังหวัดลำปาง เขตเลือกตั้งที่จังหวัดลำปาง เพื่อให้เห็นภาพบทบาทของนายไพโรจน์ทางด้าน การศึกษา จากการประมวลข้อมูลของคณะมนุษยศาสตร์และ สังคมศาสตร์ สถาบันราชภัฏลำปาง53 พบว่าบทบาทของ นายไพโรจน์เมื่อเปรียบเทียบกับนักการเมืองคนอื่นในจังหวัด ลำปางแล้ว นับเป็นบุคคลที่มีบทบาทด้านนี้กว้างขวางที่สุด เช่น ในฐานะกรรมการมูลนิธิหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ได้ผลักดันให้สร้าง โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 47 บ้านนาเดา อำเภอเสริมงาม จังหวัด ลำปางและโรงเรียนไทยรัฐวิทยา 85 บ้านห้วยทาก อำเภองาว จังหวัดลำปาง หรือกรณีเป็นผู้บริจาคเงินช่วยโครงการอาหาร กลางวันแก่เด็กนักเรียนในสังกัดสำนักงานประถมศึกษาอำเภอ ต่างๆ ในจังหวัดลำปางทุกอำเภอ นอกเหนือไปจากนี้ยังให้ ความช่วยเหลือค่าใช้จ่ายด้านอุปกรณ์การศึกษาและบริจาค เงินทุนการศึกษาสำหรับนักเรียนเรียนดีแต่ยากจนอีกหลาย โรงเรียน ตลอดรวมไปถึงการสนับสนุนการศึกษาของพระภิกษุ และสามเณรของวัดในจังหวัดลำปางอีกหลายแห่งและอีก กิจกรรมก็คือการสมทบทุน 1 ล้านบาทให้กับสภาอุตสาหกรรม จังหวัดลำปางเพื่อตั้งเป็นกองทุนเริ่มต้นสำหรับการจัดตั้ง มหาวิทยาลัยลำปางเป็นต้น ทั้งหมดนี้ สรุปแล้วไพโรจน์ให้ความ สำคัญกับการศึกษาตั้งแต่ประถมศึกษาจนถึงชั้นอุดมศึกษา อีกทั้งยังปรากฏในรูปแบบหลายกิจกรรมอีกด้วย ในระดับท้องถิ่นด้วยความที่นายไพโรจน์เป็นคนลำปาง โดยกำเนิดและใช้ชีวิตที่จังหวัดลำปางอย่างสม่ำเสมอทั้งด้าน 53 เพิ่งอ้าง, หน้า 8. 126
บทวิเคราะห์ การเข้ารับการศึกษาการทำงานและการใช้ชีวิตทางสังคมอื่นๆ ดังนั้น นายไพโรจน์จึงมีเครือข่ายทางสังคมที่กว้างขวาง ประกอบกับบุคลิกของนายไพโรจน์ที่ถูกเรียกขานแบบไทยว่า เป็น “คนนักเลง” คือมีจิตใจกว้างขวางและถึงไหนถึงกันจึง ทำให้การวางเครือข่ายทางสังคมในท้องถิ่นดำเนินไปอย่างกว้าง ขวางและแน่นแฟ้น ที่สำคัญเครือข่ายทางสังคมเหล่านี้เองที่ถูก แปรให้กลายเป็นเครือข่ายทางการเมืองตามคำอธิบายของ ระบบอุปถัมภ์ อนึ่งเป็นที่น่าสนใจว่า การวางเครือข่ายทางการเมืองของ นายไพโรจน์นั้น นายไพโรจน์ได้อาศัยอำนาจทางการเมืองระดับ ชาติที่ตนเองมีตำแหน่ง ส.ส.อยู่มาสร้างเครือข่ายทางการเมือง ระดับท้องถิ่น ทั้งระดับ อบจ., เทศบาล, อบต. รวมทั้งกำนัน- ผู้ใหญ่บ้าน กล่าวคือ ขณะที่นายไพโรจน์เข้าดำรงตำแหน่ง ส.ส.นายไพโรจน์ก็ทำการส่งตัวแทนหรือสนับสนุนบุคคลต่างๆ ใหเ้ ขา้ ไปแขง่ ขนั ทางการเมอื งทอ้ งถน่ิ ทกุ ระดบั ไมว่ า่ จะเปน็ อบจ., เทศบาล, อบต., กำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน โดยครอบคลุมอำเภอต่างๆ ที่อยู่ในวงเขตของกลุ่มบ้านสวน จากการสัมภาษณ์นายนิคม เชาว์กิตติโสภณ อดีต ส.ว.และ ส.ส.จังหวัดลำปาง เขากล่าวถึง การแข่งขันทางการเมืองในจังหวัดลำปางเอาไว้ว่า “ลึกๆ มี 2 ก๊ก คือ นายพินิจกับนายไพโรจน์ เป็นกลุ่มผลประโยชน์ ทางการเมืองของทั้ง 2 ฝ่ายตั้งแต่ท้องถิ่นถึงระดับชาติ บางครั้ง ก็ร่วมกันบางครั้งก็แยกกัน เช่น ถ้าสงบก็แย่งกันเองแต่ถ้ามีศึก ก็ร่วมกัน”54 54 สัม ภาษณ์นิคม เชาว์กิตติโสภณ อดีตวุฒิสมาชิก และสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรจังหวัดลำปาง วันที่ 20 มิถุนายน 2555. 127
นักการเมืองถ่ินจังหวัดลำปาง ยิ่งไปกว่านั้น ในส่วนของการเมืองระดับชาตินายไพโรจน์ ยังขยายฐานของตัวเองให้ใหญ่กว้างขึ้น โดยส่งทายาทคือ ลูกชาย 2 คนให้เข้าไปสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.คือนายกิตติกร โล่ห์สุนทร และนายธนาธร โล่ห์สุนทร และทั้งสองคนก็ได้รับ เลือกตั้งเป็น ส.ส.ทั้ง 2 คน โดยนายกิตติกร โล่ห์สุนทร ได้เป็น ส.ส. 2 สมัย และนายธนาธร โล่ห์สุนทร ได้เป็น ส.ส. 2 สมัย นอกจากนี้ยังสนับสนุนให้นายสมโภช สายเทพ เป็นตัวแทน หลังจากที่ลูกชาย (นายกิตติกร โล่ห์สุนทร) พ้นจากตำแหน่ง ส.ส.ตามคำสั่งศาลที่เพิกถอนสิทธิ์ผู้บริหารพรรคที่ถูกยุบ และ ยังสนับสนุนให้ลูกสาวคือ นางสาวตวงรัตน์ โล่ห์สุนทร ให้เข้ารับ สมัครเป็น ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ทั้งหมดนี้เป็นที่รู้จักในนาม “กลุ่มบ้านสวน” จากข้อมูลที่มีอยู่ ผู้วิจัยของแสดงให้เห็นเครือข่ายความ สัมพันธ์ทางอำนาจของกลุ่มบ้านสวนทั้งระดับชาติจนถึงระดับ ท้องถิ่นในรปู แผนภาพที่ 3 ดังนี้ 128
บทวิเคราะห์ แผนภาพที่ 3 : แผนภาพแสดงเครือข่ายทางการเมืองใน ระดับต่างๆ ของกลุ่มบ้านสวน ผนู้ ำกลุ่มบา้ นสวน (พรรคเพอ่ื ไทย) นางสาวตวงรัตน์ โลห่ ์สนุ ทร, นายกิตติกร โลห่ ์สุนทร , นายธนาธร โล่ห์สนุ ทร และนายสมโภช สายเทพ นายกองค์การบรหิ ารสว่ นจงั หวัด สมาชกิ สภาองคก์ ารบริหารสว่ นจังหวดั (ส.จ.) กลมุ่ บ้านสวน - ส.จ.ในเขตอำเภอเมือง 9 ท่าน - ส.จ.ในเขตอำเภอแม่เมาะ 1 ท่าน - ส.จ.ในเขตอำเภอห้างฉัตร 1 ท่าน - ส.จ.ในเขตอำเภอวังเหนือ 2 ท่าน - ส.จ.ในเขตอำเภองาว 1 ท่าน - ส.จ.ในเขตอำเภอเกาะคา 2 ท่าน - ส.จ.ในเขตอำเภอเมืองปาน 1 ท่าน นายกเทศบาลตำบล / นายก อบต. รวม 15 ท่าน 129
นักการเมืองถิ่นจังหวัดลำปาง 6.3. ปัจจัยท่ีกำหนดชัยชนะ เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า พื้นฐานของบุคลิกของ นายไพโรจน์เป็น “คนใจนักเลง” ซึ่งหมายถึงเป็นบุคคลที่ เด็ดขาด พูดคำไหนคำนั้น รวมทั้งการเป็นคนกันเองและเข้าถึง ง่าย การสื่อสารสามารถสื่อสารทางโทรศัพท์โดยตรงได้เลยหรือ ผ่านทางผู้นำชุมชนอย่าง กำนัน-ผู้ใหญ่บ้านและ ส.จ.กับ นายกเทศบาล นายก อบต.และผู้นำคนอื่นๆ ซึ่งอยู่ในสายของ นายไพโรจน์ ครอบคลุมทั้งการขอความช่วยเหลือส่วนตัวและ การขอความช่วยเหลือให้ชุมชน นอกจากนี้ยังหมายถึงการ ขอเชิญเป็นประธานในงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นงานศพ งานทำบุญบ้านใหม่และงานของชุมชนอย่างงานวันปีใหม่ งานวัดและงานสงกรานต์ เป็นต้น เท่าที่ผู้วิจัยได้สัมภาษณ์ ส.จ. และประธานสภา อบต. บางท่านที่อำเภองาว เขตเลือกตั้งที่สำคัญของกลุ่มบ้านสวน ก็พบว่านายไพโรจน์ได้เข้าไปปรากฏตัวอย่างน้อย 2 ครั้งต่อ 1 เดือน การไปปรากฏตัวมักไปพร้อมกับการให้เงินช่วยเหลือ พร้อมกันไป ส่วนจะมากหรือน้อยย่อมขึ้นกับความสำคัญของ งานและความใกล้ชิดเป็นการส่วนตัวกับนายไพโรจน์ 55 ยิ่งไปกว่านั้น การที่นายไพโรจน์ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.หลายสมัยอีกทั้งยังเข้าไปดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีอีกหลาย รัฐบาลทำให้นายไพโรจน์สามารถอาศัยสถานะของตำแหน่ง ดังกล่าวทำการช่วยเหลือประชาชนในเขตเลือกตั้งได้หลาย 55 สัมภาษณ์นายนิพนธ์ นันทะสี ส.จ.อ.งาว และนายประวัติ ธรรมศร ประธาน อบต.ต.นาแก วันที่ 17 สิงหาคม 2555. 130
บทวิเคราะห์ รู ป แ บ บ ด ั ง ป ร า ก ฏ ใ ห ้ เ ห ็ น จ า ก ก า ร ร ว บ ร ว ม ข ้ อ มู ล ข อ ง คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สถาบันราชภัฏลำปาง ซึ่งเผยให้เห็นว่า การสื่อสารระหว่างประชาชนและองค์การต่างๆ ในพื้นที่เขตเลือกตั้งกับนายไพโรจน์มีหลายรูปแบบซึ่งผู้วิจัย ขอสรุปและนำเสนอดังนี้คือ56 1. การขอความช่วยเหลือรูปแบบต่างๆ ครอบคลุมทั้ง งานของสงฆ์เช่นขอเป็นเจ้าภาพปัจจัยถวายสงฆ์ ขอเป็น กรรมการอุปถัมภ์งานสมโภชรูปเหมือนหลวงปู่โดมณียกร อดีต เจ้าคณะอำเภอวังเหนือ ขอเป็นผู้อุปถัมภ์การก่อสร้างหอระฆัง วัดต้นต้อง อำเภองาว ขอให้สนับสนุนงบประมาณโครงการ บรรพชาสามเณรและบวชศีลจาริณีภาคฤดูร้อนประจำ พ.ศ.2538 เป็นต้น งานด้านการศึกษาและกีฬา เช่น ขอความ อนุเคราะห์สนับสนุนสื่ออุปกรณ์ดุริยางค์และดนตรีของสมาคม ผู้ปกครองและครูแจ้ห่มวิทยา ขอสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการ แข่งขันวอลเล่ย์บอลเยาวชนของโรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย ขอสนับสนุนค่าใช้จ่ายสร้างรั้วโรงเรียนบ้านร้องอำเภองาว และ ขอความอนุเคราะห์เครื่องคอมพิวเตอร์ของโรงเรียนเทศบาล 4 อำเภอเมือง เป็นต้น งานด้านสาธารณสุข เช่น อบรมพยาบาล และผดุงครรภ์ลำปางขอความอนุเคราะห์สนับสนุนเงินทุน จัดงานหาทุนกับหัวหน้าสถานีอนามัยและประชาชน อสม. ร่องเคาะ อำเภอวังเหนือ ขอความอนุเคราะห์จัดหาแสงสว่างให้ ผู้ป่วยเป็นต้น งานของกลุ่มแม่บ้าน เช่น กลุ่มแม่บ้าน บ้านแป้น 56 คณะมนษุ ยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์ สถาบนั ราชภฎั ลำปาง, อา้ งแลว้ , หน้า 67-146. 131
นักการเมืองถิ่นจังหวัดลำปาง ต.บ้านสา อ.แจ้ห่ม ขอรับการสนับสนุนโครงการสร้างอาคารเก็บ วัสดุของกลุ่มแม่บ้านและกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรจังหวัดลำปาง ขอรับเงินสนับสนุนในการเดินทางไปร่วมงานมหกรรมส่งเสริม การเกษตรปี 2537 เป็นต้น 2. การตอบรับเป็นประธานในการจัดงานของประชาชน และองค์กรต่างๆ เช่น เป็นประธานเปิด-ปิดการฝึกอบรมลูกเสือ ชาวบ้านอำเภอห้างฉัตร ปี 2538 เป็นประธานพิธีการฝึกอบรม ลูกเสือชาวบ้านอำเภอเมืองปานปี 2538 เป็นประธานในงาน วันสถาปนาและเปิดป้ายชื่อโรงเรียนอนุบาลแจ้ห่ม ปี 2538 เป็น ประธานเปิดอาคารสำนักงานและตลาดกลางรวบรวมผลิตผล ประจำตำบลของสหกรณ์การเกษตรห้างฉัตรจำกัด อำเภอ ห้างฉัตร เป็นประธานเปิดการอบรม อปพร.อำเภอเมือง จังหวัด ลำปาง พ.ศ.2538 เป็นประธานพิธีเปิดงานเซรามิคแฟร์ พ.ศ.2538 จัดโดยสมาคมเครื่องปั้นดินเผาลำปางรวมทั้งการ ถูกเชิญให้โอวาทแก่กลุ่มสมาชิกสหกรณ์เดินรถลำปางจำกัด พ.ศ.2537 และการเป็นกรรมการกิตติมศักดิ์ของชมรม นักประชาสัมพันธ์นครลำปาง เป็นต้น ตามที่กล่าวมาถือเป็นตัวอย่างในการสื่อสารระหว่าง นายไพโรจน์ โล่ห์สุนทรกับประชาชนและองค์กรต่างๆ ทั้งใน รูปการช่วยเหลือเป็นตัวเงินและวัตถุ ตลอดจนถึงการไปปรากฏ ตัวในรูปของประธานในงานพิธีและการยอมรับเป็นกรรมการ ขององค์การ แม้ว่าตัวอย่างดังกล่าวจะเป็นตัวอย่างเฉพาะบางปี แต่กระนั้นได้สะท้อนให้เห็นว่านายไพโรจน์ ได้ติดต่อกับ ประชาชนและองค์กรต่างๆ แบบครอบคลุมทุกส่วนของสังคม 132
บทวิเคราะห์ ไม่ว่าจะเป็นครู นักเรียน นักศึกษาและผู้ปกครอง กลุ่มแม่บ้าน กลุ่ม อสม. กลุ่มพยาบาล กลุ่ม อพปร. กลุ่มลูกเสือชาวบ้าน กลุ่มสหกรณ์เดินรถและกลุ่มชมรมประชาสัมพันธ์ เป็นต้น นอกเหนือไปจากบุคลิกส่วนตัวอันเป็นปัจจัยด้าน ตัวบุคคลที่สำคัญร่วมไปกับปัจจัยด้านเงินทุน ซึ่งเป็นฐาน สำคัญในการวางเครือข่ายอุปถัมภ์ในเขตเลือกตั้งแล้ว นับตั้งแต่ พ.ศ.2544 เป็นต้นมา ปัจจัยด้านพรรคยังมีส่วนกำหนดชัยชนะ ในการเลือกตั้งอีกด้วย ในส่วนหลังนี้ เขตเลือกตั้งจังหวัดลำปาง ก็เหมือนกับเขตเลือกตั้งอื่นๆ ใน 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน ที่พรรคเพื่อไทยสามารถครอบครองความนิยมเหนือพรรคอื่น โดยอาศัยการขายนโยบายและตัวผู้นำพรรค (พ.ต.ท.ทักษัณ ชินวัตร) ด้วยเหตุนี้ นายไพโรจน์และบุคคลในกลุ่มบ้านสวนจึงมี ความได้เปรียบในการแข่งขันทุกครั้งไป นับแต่ พ.ศ.2544 เป็นต้นมา ในฐานะที่เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งในนามพรรค เพื่อไทย และการที่เขตเลือกตั้งจังหวัดลำปางมีการแบ่งเขต การแข่งขันระหว่างกลุ่มเอาไว้อย่างชัดเจน ทั้งกลุ่มบ้านสวน กลุ่มดอยเงินและกลุ่มนิคม แต่ละกลุ่มก็จะยึดครองเขตพื้นที่ ของตนเอง (zoning) โดยที่การแข่งขันคงจำกัดเฉพาะแค่ผู้สมัคร รับเลือกตั้งจากพรรคอื่นเท่านั้น 133
นักการเมืองถ่ินจังหวัดลำปาง 7. นายบุญชู ตรีทอง 7.1. ภูมิหลังทางเศรษฐกิจ-สังคมและการเมือง นายบญุ ชู ตรที อง เกดิ เมอ่ื วนั ท่ี 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2488 ที่ตำบลจองคำ อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน จังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นบุตรคนที่ 6 ในจำนวนพี่น้องทั้งหมด 6 คน ของนายส่วยจิ่ง ตรีทอง และนางยุ้น ตรีทอง สมรสกับนางปริศนา ตรีทอง มีบุตร ธิดา 2 คน นายบุญชู ตรีทอง ได้รับการศึกษาในระดับประถมศึกษา จากโรงเรียนจอมคำ จังหวัดแม่ฮ่องสอน ก่อนจะศึกษาในระดับ มัธยมศึกษาจากโรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย จังหวัดลำปาง และศึกษาต่อระดับประกาศนียบัตรการศึกษา (ป.กศ.) สาขา การสื่อสารโทรคมนาคม ที่วิทยาลัยครูบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ก่อนจะจบการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาฟิสิกส์ จาก มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร เมื่อ พ.ศ. 2511 หลังจบการศึกษานายบุญชู ตรีทองเริ่มต้นทำงานเป็น ครูวิทยาศาสตร์ โรงเรียนอำนวยวิทย์ พระประแดง จังหวัด สมุทรปราการ ก่อนจะย้ายไปเป็นนายช่างโทรคมนาคม องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย ใน พ.ศ.2512 และได้ทำธุรกิจ เกี่ยวกับการสัมปทานป่าไม้ ในนามของบริษัทสิรินเทคโนโลยี57 ทั้งนี้ ธุรกิจทำไม้ของนายบุญชูถือเป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้าง ความมั่งคั่งให้กับนายบุญชูและในตอนหลังนายบุญชูยังเพิ่มพูน ความมั่นคั่งด้วยการทำธุรกิจการสื่อสารกับกองทัพในยุคที่ 57 อาร์วายทีไนน์. ประวัติย่อนายบุญชู ตรีทอง. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก http://www.ryt9.com/s/refb/227089 (10 ธันวาคม 2555). 134
บทวิเคราะห์ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ มีบทบาทสำคัญ58 ประสบการณท์ างสงั คมและตำแหนง่ ทางสงั คม นายบญุ ชู ตรีทอง เคยดำรงตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาสมาคมการศึกษาแห่ง ประเทศไทย สมาคมอาสาสมัครมูลฐานชุมชนลำปาง ชมรม กำนนั -ผใู้ หญบ่ า้ นลำปาง และประธานมลู นธิ พิ ฒั นาคณุ ภาพชวี ติ ชาวอำเภอแจ้ห่ม จังหวัดลำปาง นอกจากนั้น นายบุญชู ตรีทอง ยังให้การอุปถัมภ์ตระกูลเจ้าบุญวาทย์ อีกด้วย นายบุญชู ตรีทอง เริ่มเข้าสู่เส้นทางการเมืองโดยได้รับ เลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดลำปางครั้งแรก ในการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2535 สังกัดพรรค ความหวังใหม่ และต่อมาในการเลือกตั้งใน พ.ศ. 2538 จึงย้าย มาสังกัดพรรคชาติไทย และใน พ.ศ. 2544 ได้ย้ายมาสังกัด พรรคไทยรักไทย ก่อนจะถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี เนื่องจากเป็นกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ซึ่งถูกยุบในคดี ยุบพรรคการเมือง พ.ศ. 2549 นายบญุ ชู ตรที อง เคยดำรงตำแหนง่ ทางการเมอื งทส่ี ำคญั ดังต่อไปนี้กล่าวคือ ในรัฐบาลของนายชวน หลีกภัย (สมัยแรก) นายบุญชู ตรีทอง ได้รับแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการ กระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีครั้งแรกของ นายบุญชู ตรีทอง และต่อมาในสมัยรัฐบาลของพรรคชาติไทย ภายใต้การนำของนายบรรหาร ศิลปอาชา นายกรัฐมนตรี 58 สัมภาษณ์นางนิตยา เรือนศรีวัน ผู้ประการธุรกิจค้าไม้จังหวัด แม่ฮ่องสอน วันที่ 15 ตุลาคม 2555. 135
นักการเมืองถ่ินจังหวัดลำปาง นายบุญชู ตรีทองก็ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีอีกครั้ง ในตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการทบวงมหาวิทยาลัย นายบุญชู ตรีทอง เป็นผู้หนึ่งที่มีบทบาทสำคัญในการ ผลักดันการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาและอุดมศึกษาใน จังหวัดลำปาง โดยการบริจาคที่ดิน จำนวน 365 ไร่ บริเวณ อำเภอห้างฉัตร จังหวัดลำปาง เพื่อก่อสร้างมหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ ศูนย์ลำปาง ซึ่งในปัจจุบันมหาวิทยาลัยดังกล่าว เป็นสถานที่จัดการเรียนการสอนที่รองรับนักเรียน รวมทั้งยัง บริจาคเงินสร้างอาคารหอประชุมใหญ่โรงเรียนบุญวาทย์ วิทยาลัย โดยใช้ชื่อ อาคารบุญชู ตรีทอง โดยในปัจจุบันเป็น ที่ทำการของสมาคมนักเรียนเก่าบุญวาทย์วิทยาลัย และเป็น สถานที่สำหรับจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนบุญวาทย์ วิทยาลัย ทั้งยังเป็นสถานสำหรับจัดงานสำคัญต่างๆ ของภาค รัฐและเอกชนในจังหวัดลำปาง 7.2. กลยุทธ์ในการหาเสียง อาจกล่าวได้ว่ากลยุทธ์การหาเสียงที่โดดเด่นที่สุดของ นายบุญชู ตรีทอง ก็คือ การจัดวางระบบหัวคะแนนหรือระบบ เครือข่ายทางการเมือง ซึ่งปัจจัยที่สามารถกระทำให้ลุล่วงมาได้ อย่างสมบูรณ์แบบก็โดยอาศัยปัจจัยด้านเงินทุน ยิ่งเป็น การเมืองยุคก่อน พ.ศ.2544 ปัจจัยทั้งสองนับว่ามีความสำคัญ เป็นอย่างมากและหากกระทำไปโดยมีอำนาจรัฐและอำนาจ นอกระบบคอยกำกับ การดำเนินการทางการเมืองย่อมมี ประสิทธิภาพ 136
บทวิเคราะห์ เท่าที่ผ่านมา ในยุคต้นของการเข้ามาสู่เวทีการเมือง นายบุญชู สังกัดพรรคความหวังใหม่ หากพิจารณาจากปัจจัย พรรคก็นับว่ามีความได้เปรียบ ด้วยเหตุที่พรรคความหวังใหม่ เป็นพรรคใหญ่ที่มีเครือข่ายทางสังคมและการเมืองกว้างขวาง กอรปกับนายบุญชูเป็นกรรมการบริหารพรรค ดังนั้นนายบุญชู ย่อมมีโอกาสใช้ศักยภาพดังกล่าวสูงกว่าคนอื่นๆ ที่สำคัญ นายบุญชูมีทรัพยากรทุนอยู่ในครอบครองเป็นจำนวนมาก อีกทั้งด้วยบุคลิกของนายบุญชู ที่เป็นคนกว้างขวางและ “ใจถึง” พร้อมที่จะใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างเต็มที่ ดังนั้น นอกจาก นายบุญชูจะประสบกับชัยชนะหลายสมัยติดต่อกันแล้ว ผู้สมัคร ในเครือข่ายของนายบุญชูก็ได้รับชัยชนะตามไปด้วยเช่น เดียวกัน แผนภาพที่ 4 นี้เป็นการแสดงถึงการจัดวางเครือข่ายใน เขตเลือกตั้งของนายบุญชูในตอนหลัง ซึ่งเป็นตอนที่นายบุญชู ไม่ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งไม่ว่าจะเป็นระบบเขตหรือระบบบัญชี รายชื่อ แต่ทว่าตัวเขาเองก็ยังคงให้การสนับสนุนผู้สมัครบางราย ที่สำคัญ ผู้สมัครรายดังกล่าวมิได้ลงสมัครรับเลือกตั้งในนาม พรรคเพื่อไทย อันเป็นพรรคที่นายบุญชูสังกัด หากแต่สมัครใน นามพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นพรรคคู่แข่งของพรรคเพื่อไทย และตรงนี้ก็ถือเป็นข้อพิสูจน์ได้ข้อหนึ่งว่า หลัง พ.ศ.2544 ปัจจัย พรรคหรือพรรคที่สังกัดมีส่วนชี้ขาดชัยชนะของการแข่งขัน ทางการเมือง กล่าวคือ ผู้สมัครที่นายบุญชูให้การสนับสนุน ซึ่งก็รวมถึงพรรคประชาธิปัตย์ด้วยไม่สามารถประสบชัยชนะ เหนือคู่แข่งคือผู้สมัครของพรรคเพื่อไทย 137
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183