เรอื่ ง การศึกษาความเคลือ่ นไหวทางการเมืองและพฤตกิ รรมการเลือกต้งั ผเู้ ขยี น สมาชิกสภาผูแ้ ทนราษฎร 2562 จงั หวดั อบุ ลราชธานี ประเทือง ม่วงออ่ น เลขมาตรฐานสากลประจำ�หนังสือ (e-book) 978-616-476-155-1 รหสั สง่ิ พมิ พส์ ถาบนั สวพ.63-76-00.0 (ebook) ประสานงาน วลยั พร ล้ออัศจรรย์ สงวนลขิ สทิ ธ ิ์ © 2563 ลขิ สิทธขิ์ องสถาบนั พระปกเกล้า จดั พมิ พโ์ ดย ส�ำ นกั วิจัยและพัฒนา สถาบนั พระปกเกลา้ ศูนยร์ าชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาฯ อาคารรัฐประศาสนภักดี ชั้น 5 (โซนทศิ ใต)้ เลขที่ 120 หมู่ 3 ถนนแจง้ วัฒนะ แขวงทุ่งสองหอ้ ง เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ 10210 โทรศพั ท์ 0-2141-9596 โทรสาร 0-2143-8177 http://www.kpi.ac.th
3 ค�ำน�ำสถาบนั พระปกเล้า การเลอื กตงั้ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรเมอ่ื วนั ท่ี 24 มนี าคม พ.ศ. 2562 เปน็ การเลอื กตง้ั ครง้ั แรก ภายหลงั การประกาศใชร้ ฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช 2560 ซง่ึ ไดม้ กี ารเปลย่ี นแปลงกตกิ า ทเี่ กย่ี วขอ้ การเลอื กตงั้ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรเมอื่ วนั ท่ี 24 มนี าคม พ.ศ. 2562 เปน็ การเลอื กตง้ั ครงั้ แรก ภายหลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ซึ่งได้มีการเปล่ียนแปลง กตกิ าทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั การเลอื กตงั้ หลายประการ ไดแ้ ก่ การน�ำระบบการเลอื กตงั้ ทเี่ รยี กวา่ “การเลอื กตงั้ แบบ จัดสรรปันส่วนผสม” มาใช้ โดยก�ำหนดให้แต่ละเขตเลือกต้ังมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้เขตละหนึ่งคน และประชาชนผู้มีสิทธิเลือกต้ังมีสิทธิออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งได้คนละหนึ่งคะแนน ส่วนสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายช่ือน้ันเป็นการจัดสรรโดยค�ำนวณจากคะแนนรวมที่พรรคการเมืองได้ จากการเลือกตง้ั สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตทั่วประเทศ การก�ำหนดให้พรรคการเมอื งสามารถ เสนอรายชื่อบุคคลซ่ึงสมควรได้รับแต่งต้ังเป็นนายกรัฐมนตรีไม่เกินสามรายชื่อ การก�ำหนดในเร่ือง คณุ สมบตั แิ ละลกั ษณะตอ้ งหา้ มของผสู้ มคั รรบั เลอื กตง้ั รปู แบบและวธิ กี ารรณรงคห์ าเสยี งเลอื กตง้ั ตลอดจน บทลงโทษกรณีกระท�ำความผิดเกี่ยวกับการเลือกตั้งท่ีเข้มข้นกว่าการเลือกต้ังครั้งก่อนๆ นอกจากนี้ การเลือกต้ังเม่ือวันท่ี 24 มีนาคม 2562 ยังเกิดข้ึนท่ามกลางบริบทและสภาพแวดล้อมทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองท่ีเปล่ียนแปลงไปจากการเลือกต้ังท่ัวไปครั้งหลังสุดเม่ือปี 2554 เป็นอย่างมาก อาทิ การวา่ งเวน้ จากการเลอื กตงั้ เกอื บแปดปที �ำใหม้ ผี มู้ สี ทิ ธเิ ลอื กตง้ั ครง้ั แรก (First Time Voter) มากกวา่ 7 ล้านคน การเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันของเทคโนโลยีการสื่อสาร (Digital Disruption) ท�ำให้ส่ือใหม่ (new media) เข้ามามีอิทธิพลในการเลือกต้ังอย่างเด่นชัดเป็นครั้งแรก การเปลี่ยนแปลงในกติกาและ สภาพแวดลอ้ มดงั กลา่ วท�ำใหเ้ กดิ การเปลยี่ นแปลงในกระบวนการจดั การเลอื กตง้ั ยทุ ธวธิ กี ารหาเสยี งของ ผู้สมัครและพรรคการเมือง รวมถึงพฤติกรรมการตัดสินใจลงคะแนนของประชาชนอย่างมีนัยยะส�ำคัญ และน่าสนใจย่ิง
4 การศึกษาความเคลอ่ื นไหวทางการเมืองและพฤตกิ รรมการเลอื กต้งั สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร 2562 จังหวดั อบุ ลราชธานี สถาบันพระปกเกล้าขอขอบคุณ ดร.ประเทือง ม่วงอ่อน ท่ีได้สร้างสรรค์ผลงานวิจัย เร่ือง “การศึกษาความเคล่ือนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดอุบลราชธานี” และหวังว่าหนังสือเล่มน้ีจะเป็นประโยชน์ต่อสังคมไทย และผู้สนใจทั่วไปใน การท�ำความเขา้ ใจปรากฎการณ์ในการเลอื กตั้งสมาชกิ สภาผู้แทนราษฎร ในวันท่ี 24 มนี าคม พ.ศ. 2562 ตอ่ ไป ศาสตราจารยว์ ฒุ สิ าร ตนั ไชย เลขาธิการสถาบนั พระปกเกล้า กันยายน 2563
5 คำ� น�ำผเู้ ขียน เปา้ หมายสงู สดุ ของการศกึ ษารปู แบบ วธิ กี าร และผลกระทบการเลอื กตง้ั ภายใตร้ ฐั ธรรมนญู ใหม ่ จ.อุบลราชธานี เพ่ือให้เป็นข้อมูลเบ้ืองต้นในการท�ำความเข้าใจทัศนคติ ความรู้สึก การตัดสินใจเลือกตั้ง โดยการท�ำแบบส�ำรวจการเลอื กตง้ั (Poll) เปรยี บเทยี บผลการส�ำรวจในชว่ งกอ่ นการเลอื กตง้ั กบั ผลคะแนน การเลือกตงั้ จรงิ พฤตกิ รรมการใช้ทรัพยากรต่างๆ โดยเฉพาะอยา่ งย่งิ ในเรอ่ื งคา่ ใชจ้ า่ ย เพอ่ื ให้เหน็ มลู คา่ ของการใช้จ่ายในส่วนท่ีเก่ียวข้องกับการเลือกตั้ง ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจทางการเมือง รวมท้ัง การวเิ คราะหผ์ ลกระทบการเลอื กตง้ั ภายใตร้ ฐั ธรรมนญู ใหม่ พ.ศ. 2560 ทเ่ี กดิ ขน้ึ ในเขตจงั หวดั อบุ ลราชธานี โดยมีความมุ่งหวังว่างานศึกษาเล่มน้ีจะเป็นข้อมูลสารสนเทศทางเลือกอีกเล่มหนึ่งที่มีการรวบรวม ข้อมูลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ยุคปี พ.ศ. 2562 อย่างเป็นระบบเพ่ือใช้เป็นทรัพยากร ข้อมูลเปรียบเทียบ ส�ำหรับผู้ท่ีต้องการศึกษาและผู้เก่ียวข้องในการออกแบบกฎกติกาการเลือกต้ัง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตอ่ ไปในอนาคต องค์ความรู้และพฤติกรรมการเลือกต้ังของประชาชนและนักการเมืองมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ ตลอดเวลา ดังนั้น การมองปัญหาทางการเมอื งแบบเดมิ ผา่ นมุมมองของกลุ่มชนชัน้ น�ำแบบเดิมๆ ที่ยงั อ้างกระบวนทัศน์แบบรวมศูนย์อ�ำนาจเพราะเกรงว่ากลุ่มตนจะสูญเสียอ�ำนาจ การพยายามกุมความ ได้เปรียบทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง การเห็นคนไม่เท่าเทียมกัน น�ำไปสู่การออกแบบกฎ กติกา วิธีการเลือกต้ัง และโครงสร้างทางการเมืองท่ีลดทอนโอกาสของประชาชนในภาพรวม เกิดข้อค�ำถาม ขอ้ สงสยั ถงึ ความไม่ชอบมาพากลตามมาอีกหลายประการ การอ้างปัญหาการซื้อสิทธิ์ขายเสียงของประชาชนในต่างจังหวัดว่าเป็นเพราะประชาชนโง ่ จน เจ็บ ขาดการศึกษา ขาดการพัฒนา หรืออ้างว่าประชาชนยังไม่มีความรู้ที่จะพิจารณาเลือกตัวแทน ของตนเอง เปน็ ขอ้ อา้ งทลี่ า้ หลงั และฟงั ไมข่ นึ้ อกี ตอ่ ไป เปน็ ตวั อยา่ งทส่ี ะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ ความมอี คตทิ งั้ โดย ต้งั ใจและไมต่ ง้ั ใจ โดยปราศจากการวเิ คราะหพ์ ิจารณาอย่างเปิดกวา้ งและเท่าเทยี ม
6 การศึกษาความเคล่อื นไหวทางการเมอื งและพฤติกรรมการเลือกตง้ั สมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎร 2562 จังหวัดอบุ ลราชธานี ผู้ศึกษาคาดหวังว่า งานวิจัยนี้จะช่วยน�ำเสนอทัศนคติ ความต้องการ ความรู้สึกของประชาชน ผ่านพฤติกรรมการเลือกต้ัง เพื่อน�ำไปสู่การพัฒนา ออกแบบการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้ สอดคลอ้ งกบั ขอ้ เทจ็ จรงิ ปราศจากมายาคติ และตรงตามเจตนารมณข์ องประชาชนมากยงิ่ ขน้ึ โดยเฉพาะ การแก้ไขกฎกตกิ าในการเลอื กต้งั บางประการที่อาจจะเป็นอปุ สรรคและตดั โอกาสในการหาเสยี งเลือกต้ัง รวมทง้ั เปน็ อปุ สรรคในการน�ำเสนอขอ้ มลู ใหป้ ระชาชนไดร้ บั รอู้ ยา่ งทวั่ ถงึ และเทา่ เทยี ม ทง้ั น้ี ความไมส่ มบรู ณ์ ทอี่ าจจะเกดิ จากการศกึ ษาเรอ่ื งน้ี ผศู้ กึ ษายนิ ดแี ลกเปลย่ี นประสบการณ์ และนอ้ มรบั ค�ำแนะน�ำเพอ่ื น�ำไปส่ ู การพัฒนางานศึกษาวิจัยทางด้านการเมืองการปกครองในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนใต้ ให้เกิด ประโยชนแ์ ละมเี นอื้ หาทที่ ันสมยั ยิ่งขนึ้ ต่อไป ดร.ประเทอื ง ม่วงออ่ น คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลยั อุบลราชธานี [email protected]
7 กิตติกรรมประกาศ งานศึกษาน้ีส�ำเร็จได้ด้วยความช่วยเหลือของสถาบันและบุคคลต่างๆ โดยเฉพาะสถาบัน พระปกเกลา้ ผใู้ หท้ นุ ในการศกึ ษา ผศ.ดร.พชิ ญ์ พงษส์ วสั ดิ์ คณะรฐั ศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั และ ดร.สตธิ ร ธนานธิ โิ ชติ คณุ ณชั ชาภทั ร อมรกลุ สถาบนั พระปกเกลา้ ทไี่ ดส้ นบั สนนุ ใหโ้ อกาส ใหค้ �ำปรกึ ษา เสนอแนะประเด็นวจิ ยั และใหค้ วามช่วยเหลอื ในเรือ่ งอ่ืนๆ ขอบคณุ นางสาวสดุ ารตั น์ พทิ กั ษพ์ รพลั ลภ ทชี่ ว่ ยเหลอื ประสานงาน ตดิ ตอ่ เครอื ขา่ ยนกั การเมอื ง ของจังหวัดอุบลราชธานี รวมทั้ง ส.ส.ชูวิทย์ พิทักษ์พรพัลลภ พรรคเพื่อไทย ส.ส.เกรียง กัลป์ตินันท ์ รองหัวหน้าพรรคเพ่ือไทย ส.ส.รัฐกิตต์ิ ผาลีพัฒน์ พรรคเพ่ือไทย ส.ส.สมคิด เช้ือคง พรรคเพื่อไทย คุณสถาพร ศรีแยม้ พรรคอนาคตใหม่ ส.ส.ประภูศกั ดิ์ จนิ ตะเวช คณุ ปรชี ญา ฉ่�ำมณี (ส.จ.ห�ำโจ) ผูส้ มัคร ปชป. อุบลฯ ส.ส.กิตติ์ธัญญา วาจาดี และ ส.ส.เอกชัย ทรงอ�ำนาจเจริญ พรรคเพ่ือไทย คุณจิตรวรรณ หวังศุภกิจโกศล อดีต ส.ส.นครราชสีมา คุณเติม ศรีเนตร พรรคภูมิใจไทย คุณโยธากาญจน์ ฟองงาม พรรคพลังประชารัฐ อาจารย์ปฐวี โชติอนันต์ อาจารย์ประจ�ำสาขาวิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี นางสาวพีระพิชญ์ ทองบ่อ ท่ีให้ความช่วยเหลือในการด�ำเนินการสัมภาษณ์ เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู นางสาวอรวรรณ โสภามาตร นางสาวจนิ ตส์ ภุ า โพธสิ าร นางสาวกนกวรรณ จนั เหลอื ง ทช่ี ว่ ยถอดเทปการสมั ภาษณ์ ดว้ ยความเคารพตน้ สงั กดั ฝา่ ยบรหิ ารคณะรฐั ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั อบุ ลราชธานี ที่ให้การสนับสนนุ มาโดยตลอด ขอกราบขอบพระคณุ นายสมศกั ดิ์ และนางสพุ ฒั น์ มว่ งออ่ น คณุ พอ่ และคณุ แมท่ ค่ี อยใหก้ �ำลงั ใจ คุณสุเพ็ญพร นามวัฒน์ คุณดวงพร ม่วงอ่อน คุณเกษแก้ว ม่วงอ่อน คุณนงลักษณ์ ม่วงอ่อน ส�ำหรับ การสนบั สนนุ ในทกุ เรอื่ ง คณุ ประสทิ ธิ์ ชนิ อดุ มทรพั ย์ และคณุ ประดษิ ฐ์ ชนิ อดุ มทรพั ย์ ทใ่ี หค้ วามชว่ ยเหลอื ในเรือ่ งท่พี กั ตลอดเวลาที่ศึกษาในระดับปริญญาโทและปรญิ ญาเอก ดร.ประเทอื ง มว่ งอ่อน
8 การศึกษาความเคลอ่ื นไหวทางการเมอื งและพฤติกรรมการเลือกตงั้ สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวดั อบุ ลราชธานี บทคดั ย่อ การศึกษารูปแบบ วิธีการ และผลกระทบการเลือกตั้ง ภายใต้รัฐธรรมนูญใหม่ จ.อุบลราชธาน ี มวี ตั ถปุ ระสงคใ์ นการศกึ ษา 4 ประการคอื (1) เพอ่ื ศกึ ษาทศั นคติ วดั ความรสู้ กึ แนวโนม้ การตดั สนิ ใจเลอื กตงั้ โดยการท�ำแบบส�ำรวจการเลอื กตง้ั (Poll) เปรยี บเทยี บผลการส�ำรวจในชว่ งกอ่ นการเลอื กตง้ั กบั ผลคะแนน การเลอื กตงั้ จรงิ วเิ คราะหผ์ ลทเี่ กดิ ขน้ึ (2) เพอื่ ศกึ ษาพฤตกิ รรมการใชท้ รพั ยากรตา่ งๆ โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ในเรอ่ื งคา่ ใชจ้ า่ ย เพอื่ ใหเ้ หน็ มลู คา่ ของการใชจ้ า่ ยในสว่ นทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การเลอื กตงั้ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร ในจงั หวดั อบุ ลราชธานี (3) เพอื่ ศกึ ษาการเปลย่ี นแปลงของขว้ั อ�ำนาจทางการเมอื ง การยา้ ยพรรคการเมอื ง และผลการเลอื กตง้ั ทเี่ กดิ ขนึ้ และ (4) เพอ่ื ศกึ ษาปจั จยั ทสี่ ง่ ผลตอ่ การตดั สนิ ใจทางการเมอื ง และผลกระทบ การเลอื กต้ังภายใต้รฐั ธรรมนญู ใหม่ พ.ศ. 2560 จังหวัดอบุ ลราชธานี ขอบเขตด้านเวลาของการศึกษาประกอบไปด้วย การศึกษาต้ังแต่ช่วงก่อนการเลือกต้ัง ชว่ งระหว่างการมพี ระราชกฤษฎกี าก�ำหนดให้มกี ารเลือกต้งั วนั เลอื กตัง้ และภายหลงั จากคณะกรรมการ เลือกตง้ั ประกาศรบั รองผลการเลอื กตัง้ อยา่ งเปน็ ทางการในจงั หวัดอุบลราชธานี ระยะเวลาท�ำการศกึ ษา ระหวา่ งวันท่ี 1 ตลุ าคม 2561 ถึงวันท่ี 30 กนั ยายน 2562 ระเบยี บวิธกี ารวจิ ยั เป็นการวจิ ัยเชงิ คณุ ภาพ รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลจากการสัมภาษณ์ การสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วม เอกสาร ข้อมูลจากส่ือ และช่องทางต่างๆ ท่ีเก่ยี วขอ้ ง ผลการศกึ ษาคน้ พบว่า 1) ทศั นคติ วดั ความรสู้ กึ แนวโนม้ การตดั สนิ ใจเลอื กตงั้ โดยการท�ำแบบส�ำรวจการเลอื กตงั้ (Poll) เปรียบเทียบผลการส�ำรวจในชว่ งก่อนการเลอื กต้งั กบั ผลคะแนนการเลอื กตัง้ จริง วเิ คราะหผ์ ลทีเ่ กิดขนึ้ ผลการส�ำรวจทัศนคติ ความรู้สึก แนวโน้มการตัดสินใจเลือกต้ังโดยการท�ำแบบส�ำรวจ การเลือกตั้ง (Poll) เปรียบเทียบผลการส�ำรวจในช่วงก่อนการเลือกต้ัง กับผลคะแนนการเลือกต้ังจริง โดยการท�ำโพลส�ำรวจการเลอื กตง้ั ส.ส.อบุ ลราชธานี (เกบ็ ขอ้ มลู ในชว่ งระหวา่ งวนั ท่ี 14 กมุ ภาพนั ธ์ 2562 ถึงวันท่ี 17 มนี าคม 2562 กอ่ นวันเลอื กตั้งจริงท้ัง 10 เขต) พบวา่ มคี วามแมน่ ย�ำประมาณ 70%
9 กลา่ วคอื จากการส�ำรวจทศั นคติ วดั ความรสู้ กึ แนวโนม้ การตดั สนิ ใจกอ่ นวนั เลอื กตง้ั จรงิ (ส�ำรวจ ประมาณ 1-6 สปั ดาหก์ อ่ นเลอื กตงั้ จรงิ ) พบวา่ จากทง้ั หมด 10 เขต เปรยี บเทยี บผลการส�ำรวจในชว่ งกอ่ น การเลือกตง้ั กบั ผลคะแนนการเลือกตง้ั จริง พบว่า มกี ารเปลี่ยนแปลงแคเ่ พียง 3 เขตเลือกต้งั ขณะทอ่ี ีก 7 เขตเลอื กตงั้ ไมม่ กี ารเปลย่ี นแปลง ดงั นนั้ สามารถคาดการณห์ รอื ตคี วามไดว้ า่ การลงพน้ื ทหี่ าเสยี งดว้ ย รปู แบบวธิ กี ารตา่ งๆ (รวมทง้ั ถกู กฎหมายและผดิ กฎหมายการเลอื กตงั้ ) มผี ลตอ่ การเปลยี่ นแปลงพฤตกิ รรม ในการตัดสินใจเลือกตงั้ ของประชาชนในจงั หวดั อบุ ลราชธานบี างพนื้ ท่ี แตถ่ อื เป็นส่วนนอ้ ย 2) การใช้จ่ายในการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในจงั หวัดอุบลราชธานี ผลการตรวจสอบรายการคา่ ใชจ้ า่ ยในการเลอื กตง้ั ของผสู้ มคั ร ส.ส. จากส�ำนกั งานคณะกรรมการ การเลอื กตง้ั ประจ�ำจงั หวัดอบุ ลราชธานี น�ำเสนอเฉพาะพรรคการเมอื งส�ำคัญท่มี โี อกาสชนะการเลอื กตั้ง ประกอบด้วย ผู้สมัคร ส.ส. พรรคเพื่อไทย ผู้สมัคร ส.ส. พรรคพลังประชารัฐ ผู้สมัคร ส.ส. พรรค ประชาธปิ ตั ย์ ผสู้ มคั ร ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ และผสู้ มคั ร ส.ส. พรรคภมู ใิ จไทย (ไมน่ บั รวมคา่ ใชจ้ า่ ยอนื่ ๆ ทไี่ มถ่ กู กฎหมาย ทไี่ มม่ หี ลกั ฐานหรอื เอกสารยนื ยนั จากส�ำนกั งานคณะกรรมการการเลอื กตงั้ ประจ�ำจงั หวดั อบุ ลราชธานี) ค้นพบวา่ จ�ำนวนคา่ ใชจ้ า่ ยในการเลอื กตง้ั ของผสู้ มคั ร ส.ส. พรรคเพอ่ื ไทย รวมทง้ั สนิ้ 10,313,914.40 บาท เฉลี่ยค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งของผู้สมัคร ส.ส. พรรคเพื่อไทย ต่อ 1 คน คิดเป็น 1,031,391.44 บาท ผู้สมัครที่มีค่าใช้จ่ายมากที่สุดของพรรคเพื่อไทย คือ นายวรสิทธิ์ กัลป์ตินันท์ เขตเลือกต้ังท่ี 1 จ�ำนวน 1,264,562.07 บาท โดยไดร้ บั การเลือกตั้ง จ�ำนวนคา่ ใชจ้ า่ ยในการเลอื กตงั้ ของผสู้ มคั ร ส.ส. พรรคพลงั ประชารฐั รวมทงั้ สนิ้ 9,975,017.49 บาท เฉลย่ี คา่ ใชจ้ ่ายในการเลอื กตั้งของผสู้ มัคร ส.ส. พรรคพลงั ประชารฐั ต่อ 1 คน คดิ เปน็ 997,501.75 บาท ผสู้ มคั รทมี่ คี า่ ใชจ้ า่ ยมากทส่ี ดุ ของพรรคพลงั ประชารฐั คอื นายประจกั ษ์ แสงค�ำ เขตเลอื กตง้ั ที่ 10 จ�ำนวน 1,316,972.55 บาท แตไ่ มไ่ ด้รับการเลอื กต้งั จ�ำนวนคา่ ใชจ้ า่ ยในการเลอื กตง้ั ของผสู้ มคั ร ส.ส. พรรคประชาธปิ ตั ย์ รวมทง้ั สนิ้ 6,279,476 บาท เฉลี่ยค่าใช้จ่ายในการเลือกต้ังของผู้สมัคร ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ ต่อ 1 คน คิดเป็น 627,948 บาท ผสู้ มคั รทมี่ คี า่ ใชจ้ า่ ยมากทส่ี ดุ ของพรรคประชาธปิ ตั ย์ คอื นายวฒุ พิ งษ์ นามบตุ ร เขตเลอื กตง้ั ท่ี 2 จ�ำนวน 1,320,000 บาท โดยไดร้ ับการเลือกตง้ั จ�ำนวนคา่ ใชจ้ า่ ยในการเลอื กตง้ั ของผสู้ มคั ร ส.ส. พรรคอนาคตใหม่ รวมทงั้ สนิ้ 7,076,256.45 บาท เฉลี่ยค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งของผู้สมัคร ส.ส. พรรคอนาคตใหม่ ต่อ 1 คน คิดเป็น 707,625 บาท ผู้สมัครท่ีมีค่าใช้จ่ายมากที่สุดของพรรคอนาคตใหม่ คือ นายสถาพร ศรีแย้ม เขตเลือกต้ังท่ี 3 จ�ำนวน 1,386,840.60 บาท แตไ่ มไ่ ดร้ บั การเลอื กต้งั
10 การศึกษาความเคล่อื นไหวทางการเมอื งและพฤตกิ รรมการเลอื กตัง้ สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร 2562 จังหวัดอบุ ลราชธานี จ�ำนวนคา่ ใชจ้ า่ ยในการเลอื กตงั้ ของผสู้ มคั ร ส.ส. พรรคภมู ใิ จไทย รวมทง้ั สน้ิ 6,477,480.40 บาท เฉลี่ยค่าใช้จ่ายในการเลือกต้ังของผู้สมัคร ส.ส. พรรคภูมิใจไทย ต่อ 1 คน คิดเป็น 647,748.04 บาท ผู้สมัครท่ีมีค่าใช้จ่ายมากท่ีสุดของพรรคภูมิใจไทย คือ นายแสง ศรีบุระ เขตเลือกต้ังท่ี 8 จ�ำนวน 1,051,389.64 บาท แตไ่ ม่ได้รับการเลอื กต้งั 3) การเปลยี่ นแปลงของขว้ั อ�ำนาจทางการเมอื ง การยา้ ยพรรคการเมอื ง คน้ พบวา่ ผสู้ มคั รทย่ี า้ ย พรรคการเมือง หรือเปล่ียนแปลงข้ัวอ�ำนาจทางการเมืองจากพรรคเพื่อไทยไปสังกัดพรรคพลังประชารัฐ ประสบความลม้ เหลวทง้ั หมด ไมไ่ ดร้ บั การเลอื กตงั้ เขา้ มาแมแ้ ตค่ นเดยี ว ไมว่ า่ จะเปน็ นางสาวโยธากาญจน์ ฟองงาม พรรคพลังประชารัฐ (บุตรสาวนายสุพล ฟองงาม อดีต ส.ส.อุบลราชธานี และอดีตเลขาธิการ พรรคเพ่ือไทย) นายเชิดศักด์ิ โภคกุลกานนท์ บุตรชายของนายอดิศักด์ิ โภคกุลกานนท์ (อดีตสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชอื่ พรรคเพ่อื ไทย) หรอื นายสทุ ธชิ ัย จรญู เนตร อดตี ส.ส.พรรคเพือ่ ไทย ปี 2554 เป็นตน้ 4) ปจั จยั ทสี่ ง่ ผลตอ่ การตดั สนิ ใจทางการเมอื ง รวมทงั้ การวเิ คราะหผ์ ลกระทบการเลอื กตงั้ ภายใต ้ รัฐธรรมนูญใหม่ พ.ศ. 2560 ท่ีเกิดขึ้นในเขตจังหวัดอุบลราชธานี ค้นพบว่า ปัจจัยหลักท่ีมีอิทธิพลต่อ การตัดสินการเลือกต้ัง คือ (1) ปัจจัยด้านพรรคท่ีสังกัด นโยบายของพรรค อุดมการณ์ทางการเมือง (พรรคท่ีสนับสนุนพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กับพรรคที่ไม่สนับสนุนพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา) (2) ปัจจัยด้านการจ่ายเงินซ้ือเสียง (3) ปัจจัยด้านตัวบุคคล ตามล�ำดับ โดยพบหลักฐานเชิงประจักษ์ ทส่ี �ำคญั คอื 4.1) ปจั จัยด้านพรรคท่สี ังกดั ข้อมูลจากการลงพื้นที่โดยการส�ำรวจพฤติกรรมการเลือกตั้งผ่านการท�ำโพลส�ำรวจท้ัง 10 เขต มีข้อค้นพบท่ีส�ำคัญคือ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งท่ีชื่นชอบพรรคพลังประชารัฐ ในเขตจังหวัดอุบลราชธานี มักจะ เปน็ ผสู้ งู วยั โดยมองวา่ ตอ้ งการความสงบ ไดเ้ งนิ บตั รสวสั ดกิ ารแหง่ รฐั คาดหวงั ใหช้ ว่ ยปลดหนี้ และไถถ่ อน ท่ีดินคืน ขณะท่ีวัยท�ำงานหรือวัยกลางคนส่วนใหญ่จะช่ืนชอบพรรคเพื่อไทย เนื่องจากมีความเชื่อมั่น ในนโยบายทางด้านเศรษฐกิจ คาดหวังให้มาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับรากหญ้า รวมท้ังแก้ไขปัญหา ยาเสพติดในชุมชนอย่างจริงจัง และประชาชนส่วนใหญ่ไม่ชื่นชอบในระบอบเผด็จการทหาร โดยมองว่า จะท�ำใหเ้ ศรษฐกจิ ตกต่�ำ คา้ ขายไม่ไดเ้ หมือนเดมิ ท�ำให้ไมม่ เี งินใชจ้ า่ ยและเปน็ หน้สี นิ ขณะทก่ี ลมุ่ ผทู้ เ่ี รมิ่ มสี ทิ ธใิ นการเลอื กตงั้ ครง้ั แรก (New Voter) ทเ่ี ปน็ คนหนมุ่ สาว นกั เรยี น นกั ศกึ ษา ทเี่ ปน็ คนรนุ่ ใหมม่ แี นวโนม้ ชนื่ ชอบพรรคอนาคตใหม่ เนอ่ื งจากตอ้ งการเหน็ การเปลย่ี นแปลงทางการเมอื ง โดยคะแนนเสียงในการเลือกตั้งของผู้สมัคร ส.ส. พรรคอนาคตใหม่ ที่พบว่าหลายเขตเลือกตั้ง คะแนนเสียงอยู่ในล�ำดับท่ี 3 เหนือพรรคภูมิใจไทย พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคอื่นๆ หลายพรรค
11 โดยเฉพาะในเขต 1 เขต 3 เขต 5 เขต 6 และ เขต 7 ถือได้ว่าเป็นปรากฏการณ์ กล่าวคือ แม้ว่าผู้สมัคร ส.ส. พรรคอนาคตใหม่จะเป็นผู้สมัครหน้าใหม่ไม่เป็นที่รู้จักมากนัก หรือบางแห่งประชาชนไม่คุ้นหน้า ไมเ่ คยลงพนื้ ทมี่ ากอ่ น ไมจ่ �ำเปน็ ตอ้ งซอื้ เสยี ง แตป่ ระชาชนกย็ งั ลงคะแนนใหซ้ งึ่ ไดร้ บั อทิ ธพิ ลโดยตรงจาก กระแสหวั หนา้ พรรค คณุ ธนาธร จงึ รงุ่ เรืองกิจ ดว้ ยนโยบายท่แี ปลกใหมท่ า้ ทายระบบเดมิ การน�ำเสนอที่ เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อยา่ งมปี ระสิทธิภาพผา่ นสอ่ื กระแสใหม่ชอ่ งทางต่างๆ 4.2) การจา่ ยเงินซ้อื เสยี ง การศึกษาครั้งน้ี ค้นพบว่า การเลือกตั้ง ส.ส.เม่ือวัน 24 มีนาคม 2562 การจ่ายเงินซื้อเสียง ที่เหนือคู่แข่งเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถเป็นปัจจัยตัดสิน หรือเป็นเง่ือนไขที่จ�ำเป็นและเพียงพอ (Necessary and Sufficient Conditions ; NSC) ทจี่ ะท�ำใหไ้ ดร้ บั ชยั ชนะในการเลอื กตง้ั ในจงั หวดั อบุ ลราชธานี อกี ตอ่ ไป ทง้ั นี้ จากการลงพนื้ ทศ่ี กึ ษา คน้ พบวา่ ในการเลอื กตง้ั ครง้ั นี้ มกี ารจา่ ยเงนิ ซอ้ื เสยี งอยา่ งแพรห่ ลาย โดยพรรคการเมอื งกลมุ่ หนงึ่ ซงึ่ เปน็ ทท่ี ราบกนั โดยทวั่ ไปในจงั หวดั อบุ ลราชธานี โดยพบการใชเ้ งนิ ซอื้ เสยี ง อย่างแพรห่ ลาย(แบบปูพรม) เกือบทกุ พน้ื ทข่ี องจงั หวัด เฉลยี่ รายละ 200-500 บาท ขณะทบี่ างพน้ื ทพ่ี บการจา่ ยเงนิ ซอื้ เสยี งแบบประกบคสู่ องพรรค กลา่ วคอื หากไมช่ อบพรรคแรก กใ็ หเ้ ลอื กอกี หนงึ่ พรรคซง่ึ เปน็ พรรคพนั ธมติ รกนั โดยการจา่ ยเงนิ ซอื้ เสยี งจะใหห้ วั คะแนนในหมบู่ า้ นเดนิ จา่ ย ตามบา้ น หรอื นดั มารบั หรอื จา่ ยในชว่ งการน�ำประชาชนเขา้ รว่ มฟงั ปราศรยั ของพรรคการเมอื ง ทง้ั เวทยี อ่ ย และการปราศรัยใหญ่ของพรรคในจังหวัดอุบลราชธานี ช่วงเวลาการจ่ายเงิน พบว่าส่วนใหญ่จะจ่าย รอบสดุ ทา้ ยวนั ท่ี 23 มนี าคม 2562 กอ่ นวนั เลอื กตงั้ จรงิ 1 วนั (บางพนื้ ทพี่ บการจา่ ยเงนิ ซอ้ื เสยี งมากกวา่ หนึ่งรอบ) ซึ่งผลการเลือกต้ังปรากฏว่า พรรคและผู้สมัครท่ีใช้เงินซ้ือเสียงอย่างแพร่หลายในจังหวัด อุบลราชธานีไม่ได้รับชัยชนะในการเลือกต้ังในภาพรวม แต่สามารถเก็บคะแนนเพ่ือน�ำไปช่วยค�ำนวณ สัดส่วน ส.ส.แบบบัญชีรายช่ือได้เป็นกอบเป็นก�ำ แต่ไม่สามารถชนะการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งท่ี ใช้บตั รเลือกตั้งแบบใบเดยี วโดยส่วนใหญ่ในจังหวดั อบุ ลราชธานีได้ โดยขอ้ มลู จากการสมั ภาษณน์ กั การเมอื งผชู้ นะการเลอื กตง้ั ผสู้ มคั รการเลอื กตง้ั และหวั คะแนน ทเี่ กยี่ วขอ้ งตา่ งสะทอ้ นความเหน็ ทสี่ อดคลอ้ งกนั วา่ นบั วนั อทิ ธพิ ลของการจา่ ยเงนิ ซอ้ื เสยี งในการเลอื กตง้ั ส.ส.ในเขตจังหวัดอุบลราชธานีจะยิ่งลดความส�ำคัญลงเรื่อยๆ โดยกลุ่มตัวอย่างผู้ให้สัมภาษณ์ส่วนใหญ่ วเิ คราะหว์ ่า ปัจจัยเร่ืองเงนิ ซื้อเสียงจะมผี ลแค่เพียงรอ้ ยละ 10-20 เทา่ น้ัน 4.3) ปจั จยั ตวั บคุ คล ขอ้ มลู จากการสมั ภาษณน์ กั การเมอื งผชู้ นะการเลอื กตง้ั และผแู้ พก้ ารเลอื กตงั้ ยนื ยนั ตรงกันว่า ปจั จยั ตวั บุคคล การลงพน้ื ที่หาเสยี งของผ้สู มัคร ส.ส. ยังเปน็ ตวั แปรที่เปน็ องคป์ ระกอบ ส�ำคญั ทจ่ี ะชนะการเลอื กตง้ั ทง้ั นพี้ บวา่ การลงพน้ื ทห่ี าเสยี ง ส.ส.ของจงั หวดั อบุ ลราชธานี ในการเลอื กตง้ั ปี 2562 เกดิ ความไมย่ ตุ ธิ รรมในการลงพน้ื ทห่ี าเสยี งบางเขต กลา่ วคอื หนว่ ยราชการบางแหง่ ไมเ่ ปดิ โอกาส ใหบ้ างพรรคการเมอื งเขา้ ไปใชส้ ถานทห่ี าเสยี งไดอ้ ยา่ งสะดวก พบไดจ้ ากขา่ วการยกเลกิ ใหใ้ ชอ้ าคารสถานท่ี
12 การศึกษาความเคลอ่ื นไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกตั้งสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร 2562 จังหวัดอบุ ลราชธานี ในการจดั ปราศรยั หาเสยี ง การเออื้ ประโยชนข์ ององคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ บางแหง่ ตอ่ ผสู้ มคั รรบั เลอื กตง้ั บางพรรค พบกรณีการใช้ก�ำลังเข้าตรวจค้นท่ีท�ำการบางพรรคการเมือง และบ้านหัวคะแนนส�ำคัญ ในเขตเลอื กตงั้ ที่ 5 และ เขตเลอื กตง้ั ท่ี 7 ของจงั หวดั อบุ ลราชธานี ชว่ งวนั ที่ 20-21 มนี าคม 2562 เปน็ ตน้ ข้อเสนอแนะส�ำคัญท่ีค้นพบจากการศึกษารูปแบบ วิธีการ และผลกระทบการเลือกตั้ง ภายใต้รัฐธรรมนูญใหม่ จ.อุบลราชธานี คือ การก�ำหนดค่าใช้จ่าย รูปแบบ วิธีการและทรัพยากรในการ หาเสียงที่จ�ำกัดเกินไป นอกจากน้ัน รูปแบบและวิธีการรายงานในช่วงก่อนการเลือกตั้ง ยังไม่สอดคล้อง กับสถานการณ์จริงในแต่ละพื้นที่ซ่ึงมีต้นทุนในการเดินทาง มีการใช้จ่ายท่ีไม่เหมือนกัน ซ่ึงอาจจะส่งผล ใหบ้ างพรรคต้องท�ำเอกสารเทจ็ ขึ้นมาเพ่อื ไม่ให้รายจา่ ยเกินตามท่กี ฎหมายก�ำหนด ทา้ ยทส่ี ดุ จะกลายเปน็ อปุ สรรคและตดั โอกาสในการหาเสยี งเลอื กตงั้ เปน็ อปุ สรรคในการน�ำเสนอ นโยบายหรอื ความตอ้ งการของประชาชนใหผ้ สู้ มคั รไดร้ บั ทราบ แทนทจี่ ะเปดิ ชอ่ งทางใหผ้ สู้ มคั รไดน้ �ำเสนอ แลกเปล่ียนข้อมูลให้ประชาชนได้รับรู้อย่างท่ัวถึง เพื่อให้เกิดการเปรียบเทียบข้อมูลเพื่อน�ำไปประกอบ การตัดสินใจเลอื กต้งั ซ่ึงเปน็ สิ่งจ�ำเปน็ ส�ำหรับการเลือกตั้งตามระบอบประชาธปิ ไตย และข้อเสนอแนะอ่ืนๆ เช่น ประชาชนมีความต้องการให้กลับไปใช้วิธีการเลือกตั้งโดยใช้บัตร แบบ 2 ใบ คอื บตั รแรกเลอื ก ส.ส. บตั รสองเลอื กพรรค หรอื เลอื กนายกรฐั มนตรเี ชน่ เดมิ เพอ่ื เปดิ โอกาส ใหป้ ระชาชนไดเ้ ลอื กตวั แทนและพรรคทต่ี นเองชนื่ ชอบ โดยไมถ่ กู จ�ำกดั ใหเ้ ลอื กเพยี งบตั รเดยี ว เนอ่ื งจาก ประชาชนบางสว่ นอาจจะเลอื ก ส.ส.ทต่ี นชนื่ ชอบ และไปสนบั สนนุ อกี พรรคเพอื่ ใหไ้ ดจ้ ดั ตงั้ รฐั บาล เปน็ ตน้ รวมทง้ั การเปดิ โอกาสใหป้ ระชาชนและตวั แทนพรรคการเมอื งเขา้ รว่ มตรวจสอบ การสงั เกตการณก์ ารท�ำงาน ของคณะกรรมการการเลอื กตง้ั จงั หวดั ในการจดั การเลอื กตง้ั โดยการถา่ ยทอดผา่ นเครอื ขา่ ยอนิ เทอรเ์ นต็ ทกุ ข้นั ตอน
13 Abstract This research examined the methods and outcomes of the national election under the new constitution in Ubon Ratchathani. The research has four objectives; (1) to examine the voters’ attitudes, emotions, and trends of decision-making by comparing the situation before and after the election, with the use of polls; (2) to examine the relations of the voters’ behaviors in employing resources especially their expenses with the strategy of the budget planning in running the national election campaign of the members of the parliament (MPs) in Ubon Ratchathani ; (3) to understand the changes of the political alliance of the candidates and the changes of political party switching of the former MPs and the relations of these changes with the results of the election; (4) to examine the factors affecting political decision making and the effects of the election under the 2017 Constitution in Ubon Ratchathani. The scope of time in this research covers the period from 1 October 2018 until 30 September 2019, which included a period before the Royal Decree for the 2019 General Election was issued, through the election, until several months after the Election Commission endorsed the election results for Ubon Ratchathani. The methodology is qualitative, drawing on data gather through interviews, participant observation, and document analysis from the media and other relevant channels. The study revealed the following findings. 1) Attitude is the concept used to measure emotion and trends of decision-making in the voting. Polls were used to explore the election by comparing the pre-election and post-election situations with the actual voting on election day. Then, the results were analyzed. Before the election, polling was used to examine the attitudes, emotions and trends of decision-making and compare with the actual score. Data were collected from 14 February to 17 March 2019 in the province’s ten constituencies. The accuracy of the survey was approximately 70 percent.
14 การศึกษาความเคล่อื นไหวทางการเมอื งและพฤติกรรมการเลอื กตั้งสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร 2562 จังหวัดอุบลราชธานี In other words, regarding the attitudes and trends of decision-making before the election day (one to six weeks before the election day), comparing the time before the election and the scores, there were changes in only three of the ten constituencies. Therefore, it was interpreted that the candidates’ various campaign activities (legal and illegal according the election law) had impacts on people’s decision-making and voting behavior in some areas of Ubon Ratchathani. Yet, these people were considered the minority. 2) The budget spent for the election of MPs in Ubon Ratchathani is worth mentioning. It was monitored by the Election Commission (EC) of Ubon Ratchathani. However, only the details concerning budgets of candidates from political parties that were expected to win the election could be found, ; such as the candidates from Pheu Thai Party, Palang Pracharath Party, the Democrat Party, Future Forward Party, and Bhumjaithai Party, and illegal expenses without documented proof were not included or confirmed by the EC. The total budget of the candidates from Pheu Thai Party was 10,313,914.40 baht. On average, each candidate of the party spent 1,031,391.44 Baht. Worasit Kantinan in Constituency 1 spent the most money, which was 1,264,562.07 Baht. He was elected as an MP. The total budget of the candidates from Palang Pracharath Party was 9,976,017.49 Baht. On average, each candidate spent 997,501.75 Baht. Prajak Saengkham in Constituency 10 spent the most money, which was 1,316,972.55 Baht, but he was not elected as an MP. The total budget of the candidates from the Democrat Party was 6,279,476 Baht. On average, each candidate spent 627,948 Baht. Wuttipong Nambutr in Constituency 2 spent the most money, which was 1,320,000 Baht, and he was elected as an MP. The total budget of the candidates from Future Forward Party was 7,076,256.45 Baht. On average, each candidate spent 707,625 Baht. Sathaphon Siyaem in Constituency 3 spent the most money, which was 1,386,840.60 Baht. He was not elected as an MP. The total budget of the candidates from Bhumjaithai Party was 6,477,480.40 Baht. On average, each candidate spent 647,749.04 Baht. Saeng Sibura in Constituency 8 spent the most, which was 1,051,389.64 Baht, but he was not elected as an MP. 3) With regard to the changes of the political alliance and party-switching by former MPs, it was found that none of the candidates who moved from Pheu Thai Party to Palang
15 Pracharath Party was elected as MPs; such candidates included Yotakan Fongngam (daughter of Suphon Fongngam, the former secretary-general of Pheu Thai Party), Cherdsak Phokkunlanon (son of Adisak Phokunlanon. a former Pheu Thai Party List MP), and Sutthichai Charunnet (a former Pheu Thai MP in 2011). 4) The following factors influenced Ubon Ratchathani voters’ decisions during the general election under the 2017 Constitution. (1) candidates’ political party affiliation, policy, political ideology (pro- or anti-General Prayut Chan-o-cha); (2) the money spent on vote-buying; (3) the individual condition of the candidates. 4.1) Political party With the use of polls, the data on the voters’ behavior was collected in ten constituencies. It indicated that the major factor was the voters who liked Palang Pracharath Party in Ubon Ratchathani tended to be the elderly. They wanted peace and received the money from the campaign of the social welfare card. They expected that the party would help them repay their debts and reclaim their land. In the meantime, most working age or middle-age voters preferred Pheu Thai Party because they were confident in the economic policy and hoped that it would boost the grassroots economic situation. Supporters also hoped the party would eliminate problems of drugs in their communities. In addition, most people did not like the military dictatorship. It was believed that this dictatorship was the reason for the bad economic situation. There was lack of financial liquidity; people did not have enough to spend and were indebted. Meanwhile, new voters that include teenagers and those at their early twenties are worth mentioning. They were students who belonged to the young generation and liked Future Forward Party as they wished to see political changes in the country. The scores of the MPs from Future Forward Party in many constituencies were ranked in the third order. They were obviously above Bhumjaithai Party, Democrat Party and many other parties. Those constituencies were 1, 3, 5, 6 and 7 and this was considered a new phenomenon. In other words, although the candidates from the Future Forward Party were less known or even unknown as they never set foot in the actual areas before, and although they never bought votes, the voters still voted for them. It was because they liked the leader of the party, Thanathorn Juangroongruangkit. The policies were innovative and challenged the existing regime. The message was effectively conveyed to the targeted group through many media channels.
16 การศึกษาความเคลอ่ื นไหวทางการเมอื งและพฤตกิ รรมการเลือกตัง้ สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร 2562 จังหวดั อบุ ลราชธานี 4.2) Vote-buying This research found that in the 24 March 2019 general election, vote-buying was not a necessary or sufficient condition (NSC) to gain victory in Ubon Ratchathani. As a matter of fact, in this election, vote-buying was still interpreted as necessary and commonly known to be practised by a group of political party in most areas in Ubon Ratchathani (carpet bomb was the metaphor used to describe their vote-buying). The average budget was 200-500 baht per head. In other areas, however, the strategy of sandwich vote-buying was found. This meant that if the targeted person does not like the first party, he/she can choose another party that was allied with the first, because he/she likes the candidate very much no matter what political party that very candidate represents. Canvassers were responsible for distributing money in villages at to the homes of the targets or by setting an appointment for making payment somewhere else. Sometimes, the cash was paid at the time of both the small or grand stage of the party’s campaign speech in Ubon Ratchathani. However, it was found that more money was paid before the final stage on 23 March 2019 which was one day before election day (in some areas, vote-buying happened more than once). That day was considered the grand stage. The overall results were that those who bought votes did not win the election. However, they could gain significant votes to support their party in the party list calculation at the national level. It must be noted that those who bought votes could not win the constituency elections in most areas, in which one-election cards are employed, in Ubon Ratchathani. According to the interview with the winning politicians, the candidates who lost, and canvassers who took part in the campaign, it was confirmed that in Ubon Ratchathani vote-buying had less impact in this election than it had in the past. The sample groups provided analytical insight that money for vote-buying mattered for only 10-20 percent. 4.3) The individual conditions of the candidates According to interviews with both winning and losing politicians, the individual person was another important factor and when candidates went to the field, it was a major variable that contributed to their victory. According to the information from the field, when the political campaigns for the 2019 election were run by the MPs in Ubon Ratchathani, injustice was observed in some constituencies. For example, some bureaucratic units did not facilitate some political parties in
17 using their buildings. Sometimes, the permission to employ the building for political speeches was withdrawn. Some local administrations helped only some candidates from some political parties for their campaigns. In addition, there were times when the state officers such as the policemen and military officers sought the houses of the canvassers in Constituencies 5 and 7 between 20 and 21 March 2019. The key recommendations from the research with regard to the methods, strategies, and effects of the election under the new constitution in Ubon Ratchathani are that there were limitations in setting the plan for the budget, and designing the forms and the methods to look for resources in running the political campaigns. The forms and methods over the report on the situation before the election day were not in line with what actually happened in different areas. The cost of travel was also different. That resulted in the attempts to falsify documents so that incorrect and hence illegal concerning spending would not be found. Finally, what has just been mentioned will be the obstacles and hence hinder the chances of candidates who run political campaigns. These things would further be obstacles for voters who want to express their desires to the candidates. More channels to exchange data with the people in every area should be facilitated. The voters can compare and contrast information with different areas to make their decisions in the election. This is necessary for a democratic election. Other recommendations are that the people would like to have the two ballots as there used to be. The first one would be to elect the MP in the constituency and the second for the political party. This allows the people to elect their representatives and their preferred political party. The voters could possibly vote for their preferred candidate and at the same time vote another party to form the government. Another recommendation is to allow the people and the political parties’ representatives to monitor the performance of the Provincial Election Commission, as the election is held. Every step would be aired through the internet channel.
18 การศึกษาความเคล่อื นไหวทางการเมืองและพฤตกิ รรมการเลอื กตงั้ สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดอบุ ลราชธานี สารบัญ ค�ำน�ำสถาบันพระปกเกลา้ หนา้ ค�ำน�ำผ้แู ต่ง กติ ตกิ รรมประกาศ 3 บทคดั ย่อ (ไทย) 5 บทคัดย่อ (องั กฤษ) 7 สารบญั 8 สารบัญตาราง 13 สารบัญภาพ 18 สารบญั แผนภาพ 21 22 บทท่ี 1 บทนำ� 23 1. ความเป็นมา 2. วตั ถปุ ระสงค์ 25 3. ขอบเขตของการศกึ ษา 25 4. วิธีการศึกษาวิจัย 28 5. ระยะเวลาท�ำการศึกษา 28 6. ประโยชน์ท่ีคาดวา่ จะไดร้ ับ 33 34 34
19 บทที่ 2 กรอบแนวคิด และวรรณกรรมท่เี กยี่ วข้อง 37 1. แนวคิดทใ่ี ช้อธิบายการเมืองอสี าน 37 2. แนวคิดนักการเมือง 39 3. แนวคดิ ระบบอปุ ถัมภ์ 42 4. งานศึกษาวจิ ัยและวรรณกรรมท่ีเกี่ยวขอ้ ง 52 บทที่ 3 ผลการสำ� รวจทัศนคติ แนวโนม้ การตดั สินใจก่อนวนั เลือกต้ัง (24 มีนาคม 2562) 73 โดยการทำ� แบบสำ� รวจการเลอื กตั้ง (Poll) เพื่อเปรยี บเทียบผลการสำ� รวจ ในช่วงกอ่ นการเลอื กตั้ง กับผลคะแนนการเลอื กตั้งจรงิ 77 1. เขตเลือกตั้งท่ี 1 80 2. เขตเลอื กตง้ั ที่ 2 82 3. เขตเลือกตั้งท่ี 3 84 4. เขตเลอื กตง้ั ท่ี 4 86 5. เขตเลือกตัง้ ที่ 5 88 6 เขตเลือกตง้ั ที่ 6 90 7 เขตเลือกต้งั ที่ 7 92 8. เขตเลือกตั้งที่ 8 94 9. เขตเลือกตงั้ ท่ี 9 96 10. เขตเลอื กตง้ั ท่ี 10 บทที่ 4 การใช้จ่ายในการเลือกตัง้ สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรในจังหวดั อุบลราชธานี 101 1. พรรคเพือ่ ไทย 104 2. พรรคพลังประชารัฐ 108 3. พรรคประชาธปิ ัตย ์ 112 4. พรรคอนาคตใหม ่ 116 5. พรรคภูมใิ จไทย 119 บทวเิ คราะหก์ ารใช้จ่ายในการเลอื กตงั้ ส.ส. ในจังหวัดอบุ ลราชธานี 123
20 การศึกษาความเคล่อื นไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกต้งั สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวดั อบุ ลราชธานี บทที่ 5 การเปล่ียนแปลงขวั้ อ�ำนาจทางการเมอื ง การย้ายพรรคการเมือง 131 และผลการเลือกตั้งทเี่ กิดขึ้น บทวเิ คราะห์การเปลย่ี นแปลงขว้ั อ�ำนาจทางการเมอื ง การย้ายพรรคการเมือง ฯ 135 บทท่ี 6 ปัจจยั ท่สี ่งผลต่อการตัดสนิ ใจทางการเมอื ง และผลกระทบการเลือกต้ัง 141 ภายใตร้ ฐั ธรรมนูญใหม่ พ.ศ. 2560 จงั หวัดอุบลราชธานี 1. ปัจจยั ดา้ นพรรคทสี่ ังกดั 144 2. ปัจจยั ด้านการจ่ายเงนิ ซอื้ เสียง 163 3. ปจั จยั ดา้ นตวั บุคคล การลงพ้ืนที่หาเสียงของผสู้ มัคร ส.ส. 174 บทที่ 7 สรปุ ขอ้ คน้ พบ การอภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ 189 1. สรปุ ข้อคน้ พบ 190 2. การอภปิ รายผล 201 3. ข้อเสนอแนะ 203 บรรณานกุ รม 207
21 สารบัญตาราง 79 ตารางท่ี 81 1 ผลการเลือกต้ังสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร เขตเลือกตั้งที่ 1 83 2 ผลการเลอื กตั้งสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร เขตเลือกตง้ั ที่ 2 85 3 ผลการเลือกตงั้ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร เขตเลือกตง้ั ท่ี 3 87 4 ผลการเลือกตงั้ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร เขตเลอื กต้ังท่ี 4 89 5 ผลการเลอื กตั้งสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร เขตเลือกต้งั ที่ 5 91 6 ผลการเลอื กตั้งสมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร เขตเลือกตั้งท่ี 6 93 7 ผลการเลือกตง้ั สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร เขตเลอื กตง้ั ที่ 7 95 8 ผลการเลอื กตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขตเลือกตง้ั ท่ี 8 97 9 ผลการเลือกตง้ั สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎร เขตเลอื กต้ังที่ 9 104 10 ผลการเลือกต้ังสมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร เขตเลอื กตั้งที่ 10 108 11 ผลการตรวจสอบรายการคา่ ใช้จา่ ย (ทร่ี ายงานตอ่ กกต.) พรรคเพื่อไทย 112 12 ผลการตรวจสอบรายการค่าใช้จา่ ย (ทร่ี ายงานตอ่ กกต.) พรรคพลงั ประชารัฐ 116 13 ผลการตรวจสอบรายการค่าใช้จา่ ย (ทร่ี ายงานต่อ กกต.) พรรคประชาธิปตั ย ์ 119 14 ผลการตรวจสอบรายการคา่ ใช้จ่าย (ที่รายงานต่อ กกต.) พรรคอนาคตใหม ่ 124 15 ผลการตรวจสอบรายการค่าใชจ้ ่าย (ที่รายงานตอ่ กกต.) พรรคภมู ใิ จไทย 136 16 ค่าใช้จ่ายในการหาเสยี งเลอื กตั้ง ส.ส. ของ 5 พรรคการเมืองส�ำคญั ฯ 17 ความห่างของคะแนนของผู้สมัครทยี่ า้ ยพรรคการเมอื ง/เปล่ียนขัว้ อ�ำนาจ
22 การศึกษาความเคลอ่ื นไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกตัง้ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดอบุ ลราชธานี สารบญั ภาพ หน้า ภาพท่ี 76 1 ผู้สมัครรบั เลือกตั้ง ส.ส.แบบแบ่งเขตเลอื กตง้ั ปี 2562 พรรคเพื่อไทย 76 2 ผสู้ มัครรับเลือกตง้ั ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกต้ัง ปี 2562 พรรคเพือ่ ไทย 77 3 พรรคพลงั ประชารฐั ท�ำพิธีกอ่ นปราศรยั ใหญ่ ณ ศาลากลางหลังเกา่ ฯ 98 4-5 การใชส้ ทิ ธิเลือกตั้งสมาชกิ สภาผู้แทนราษฎร เม่อื วนั ที่ 24 มนี าคม 2562 105 6 ตวั อยา่ งป้ายหาเสยี งของผ้สู มัคร ส.ส.พรรคเพือ่ ไทย 106 7-10 ตัวอย่างป้ายหาเสยี งของผสู้ มคั ร ส.ส.พรรคเพ่อื ไทย 107 11-12 ตัวอย่างป้ายหาเสยี งของผ้สู มัคร ส.ส.พรรคเพื่อไทยและพรรคอื่นๆ 110 13 ตวั อยา่ งป้ายหาเสียงของผสู้ มัคร ส.ส.พรรคพลงั ประชารฐั 110 14-16 ตวั อยา่ งปา้ ยหาเสยี งของผู้สมัคร ส.ส.พรรคพลังประชารัฐและพรรคอื่นๆ 111 17-18 ตัวอย่างปา้ ยหาเสียงของผู้สมัคร ส.ส.พรรคพลังประชารฐั 114 19 ตัวอย่างป้ายหาเสยี งของผู้สมคั ร ส.ส.พรรคประชาธปิ ตั ย ์ 115 20-22 ตัวอยา่ งป้ายหาเสยี งของผูส้ มัคร ส.ส.พรรคประชาธปิ ตั ยแ์ ละพรรคอื่นๆ 118 23-25 ตัวอยา่ งปา้ ยหาเสยี งของผ้สู มคั ร ส.ส.พรรคอนาคตใหม ่ 122 26-27 ตวั อย่างป้ายหาเสียงของผู้สมัคร ส.ส.พรรคภูมิใจไทย และพรรคอื่นๆ 145 28 นายสมชาย วงศ์สวสั ดิ์ ลงพน้ื ทช่ี ่วยหาเสยี ง นางสาวกติ ตธ์ิ ัญญา วาจาดี 162 29 นายอ�ำเภอวารนิ ช�ำราบ จ.อุบลราชธานี นายธนาคม กองเพียร (เขตเลอื กตั้งท่ี 3) 168 30-33 สัมภาษณ์ (1) ส.ส.เกรยี ง กลั ปต์ ินนั ท์ (6 กมุ ภาพันธ์ 2562) 169 34-35 สัมภาษณ์ ส.ส.เอกชยั ทรงอ�ำนาจเจริญ และ ส.ส.กติ ตธิ์ ญั ญา วาจาด ี 171 36 สัมภาษณ์คุณจิตรวรรณ หวังศภุ กจิ โกศล (อดตี ส.ส.นครราชสมี า) 173 37 ภาพการแชรค์ ลปิ และภาพการแจกเงนิ ประชาชนทีจ่ งั หวดั อบุ ลราชธาน ี 175 38 พรรคเพ่อื ไทยปราศรัยใหญ่ ณ ศาลากลางหลังเก่า อ.เมือง จ.อบุ ลราชธานี
23 39-40 พรรคพลงั ประชารัฐปราศรยั ใหญ่ ณ ศาลากลางหลังเก่า อ.เมอื ง จ.อบุ ลราชธานี 176 41-42 พรรคพลงั ประชารัฐ ปราศรยั ใหญ่ ณ มหาวทิ ยาลยั อุบลราชธานี (2 มีนาคม 2562) 180 43 นายปรชี ญา ฉำ�่ มณี (ส.จ.ห�ำโจ) ผ้สู มัคร ปชป. อุบลฯ เขต 7 181 44 โปสเตอร์ปราศรัยใหญพ่ รรคอนาคตใหม่ฯ โดย นายธนาธร จึงรุง่ เรืองกจิ 183 45-46 ปราศรัยใหญ่พรรคอนาคตใหม่ จ.อุบลราชธานีฯ น�ำโดยนายธนาธร จงึ รุ่งเรอื งกิจ 185 สารบญั แผนภาพ 30 47 แผนภาพที่ 78 1 แผนท่แี สดงการแบ่งเขตเลอื กตงั้ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของจงั หวัดอุบลราชธาน ี 80 2 เปรยี บเทยี บลักษณะสายสมั พนั ธร์ ะบบอปุ ถมั ภ ์ 82 3 ผลการส�ำรวจการเลือกต้งั (Poll) ส.ส. กอ่ นวันเลอื กตั้ง เขตเลอื กตง้ั ท่ี 1 84 4 ผลการส�ำรวจการเลือกต้ัง (Poll) ส.ส. ก่อนวันเลือกตั้ง เขตเลือกตง้ั ท่ี 2 86 5 ผลการส�ำรวจการเลือกตัง้ (Poll) ส.ส. กอ่ นวนั เลือกตงั้ เขตเลอื กต้งั ที่ 3 88 6 ผลการส�ำรวจการเลอื กตั้ง (Poll) ส.ส. ก่อนวนั เลือกตง้ั เขตเลือกตั้งท่ี 4 90 7 ผลการส�ำรวจการเลอื กต้ัง (Poll) ส.ส. ก่อนวันเลือกต้ัง เขตเลือกตั้งท่ี 5 92 8 ผลการส�ำรวจการเลือกตั้ง (Poll) ส.ส. ก่อนวันเลอื กตัง้ เขตเลือกตง้ั ที่ 6 94 9 ผลการส�ำรวจการเลอื กต้ัง (Poll) ส.ส. ก่อนวนั เลอื กตั้ง เขตเลอื กตั้งที่ 7 96 10 ผลการส�ำรวจการเลอื กตง้ั (Poll) ส.ส. กอ่ นวนั เลือกตงั้ เขตเลอื กตัง้ ท่ี 8 125 11 ผลการส�ำรวจการเลือกตง้ั (Poll) ส.ส. ก่อนวันเลือกตง้ั เขตเลอื กต้ังท่ี 9 12 ผลการส�ำรวจการเลอื กตั้ง (Poll) ส.ส. กอ่ นวันเลือกตงั้ เขตเลอื กตง้ั ที่ 10 13 คา่ ใช้จา่ ยในการหาเสียงเลือกตัง้ ส.ส. ของ 5 พรรคการเมอื งส�ำคญั ฯ
24
25 บทที่ 1 บทน�ำ 1. ความเปน็ มา การเลือกตั้งท่ีเกิดข้ึนในปี พ.ศ. 2562 เป็นการเลือกตั้งท่ีจะเกิดข้ึนภายหลังจากที่ประเทศไทย ไม่ได้มีการเลือกต้ังติดต่อกันถึงระยะเวลา 8 ปี ซึ่งเป็นช่วงระยะเวลาท่ีมีความเปล่ียนแปลงเกิดขึ้น ในโครงสร้างของทางอ�ำนาจ และโครงสร้างของสถาบนั การเมืองไทยอยา่ งทไี่ ม่เคยปรากฏมาก่อน ในส่วนของโครงสร้างทางอ�ำนาจน้ัน การเว้นว่างของการเลือกตั้งในห้วงระยะเวลา 8 ปี นี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการรัฐประหารในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ซ่ึงเป็นเหตุการณ์ต่อเน่ืองในบริบท ของความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศไทยในช่วงระยะเวลากว่าทศวรรษก่อนหน้านั้น โดยชนวนของ ความขัดแย้งล่าสุด อยู่ท่ีเรื่องพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ซ่ึงได้น�ำไปสู่การต่อต้านรัฐบาล เหตุการณ์ ความขัดแย้งทางการเมือง และการใช้ความรุนแรงทั้งในเขตกรุงเทพมหานครและเมืองใหญ่หลายเมือง ในประเทศไทย ในชว่ งระยะเวลาดงั กลา่ ว ไดเ้ กดิ การเปลย่ี นแปลงในโครงสรา้ งของความสมั พนั ธท์ างอ�ำนาจของ ประเทศไทยหลายประการ ทงั้ การเกดิ ขนึ้ ของกลมุ่ การเมอื งโดย กปปส. ทปี่ ระสบความส�ำเรจ็ ในการระดม ความสนับสนุนจากทว่ั ประเทศ ตอ่ เนือ่ งมาจนถึงการรัฐประหาร และแมก้ ระทงั่ ชว่ งหลังรฐั ประหาร ก็ยัง มีการแสดงออกทางการเมืองของกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ และปฏิกิริยาโต้ตอบของรัฐบาลในการจ�ำกัด การแสดงออกทางการเมือง เช่น การเรียกพบนักการเมืองที่มีบทบาทเด่น การส่งทหารไปเฝ้าระวังท่ี บา้ นนกั การเมอื ง หรอื เรยี กตวั นกั การเมอื งเขา้ พบ คสช. เพอ่ื ปรบั ทศั นคติ ซง่ึ เกดิ ควบคกู่ บั การแสดงออก เชงิ สญั ลกั ษณข์ องกลมุ่ ทไี่ มเ่ หน็ ดว้ ยกบั รฐั ประหาร เชน่ กลมุ่ ประชาธปิ ไตยใหมแ่ ละกลมุ่ อน่ื ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง
26 การศึกษาความเคล่อื นไหวทางการเมืองและพฤตกิ รรมการเลอื กตั้งสมาชิกสภาผูแ้ ทนราษฎร 2562 จังหวัดอุบลราชธานี นอกจากนี้ ในชว่ งระยะเวลาดังกล่าวน้ไี ด้มกี ารเสรมิ บทบาทของข้าราชการ โดยมกี ารโยกยา้ ยสบั เปลีย่ น ขา้ ราชการหลายคนใหเ้ ขา้ ไปท�ำงานดา้ นยทุ ธศาสตรช์ าติ ตลอดจนการสนบั สนนุ บทบาททเ่ี ดน่ ชดั มากขน้ึ ให้กบั ส�ำนักงานคณะกรรมการพฒั นาการเศรษฐกจิ และสงั คมแหง่ ชาติ เปน็ ต้น แมจ้ ะมกี ารจ�ำกดั การแสดงออกทางการเมอื ง แตใ่ นระยะเวลาทผี่ า่ นมากลมุ่ ผลประโยชนต์ า่ งๆ หลายกลมุ่ ประสบความส�ำเรจ็ ในการสรา้ งความเปน็ สถาบนั ทางการเมอื งใหก้ บั ตนเอง โดยพฒั นาไปเปน็ พรรคการเมอื ง เชน่ กลมุ่ กปปส. ทกี่ ลายไปเปน็ พรรครวมพลงั ประชาชาตไิ ทย กลมุ่ ของนายไพบลู ย์ นติ ติ ะวนั ท่ีได้พัฒนาไปเป็นพรรคประชาชนปฏิรูป และกลุ่มท่ีเกิดขึ้นจากการรวมตัวของ 4 รัฐมนตรี ได้แก ่ พรรคพลังประชารัฐ ตลอดจนมีกลุ่มนักกิจกรรมสังคมท่ีมีความสนใจท่ีจะตั้งพรรคการเมือง เช่น พรรคอนาคตใหม่ ท่ี นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกจิ และ ดร. ปยิ บุตร แสงกนกกลุ เปน็ ผรู้ ว่ มก่อต้ังพรรค และ การประกาศเปลยี่ นอดุ มการณเ์ พอ่ื ยา้ ยพรรคการเมอื งของนกั การเมอื งหลายคน เชน่ นายสภุ รณ์ อตั ถาวงศ ์ นายนคร มาฉิม นายประดษิ ฐ์ ภัทรประสิทธิ์ นอกจากการเคลอ่ื นไหวทางการเมอื งแลว้ ในสว่ นของรฐั บาลเอง ไดม้ กี ารประกาศใชร้ ฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญอีก 3 ฉบับ ได้แก ่ พระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนญู วา่ ดว้ ยการเลอื กตง้ั สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร พระราชบญั ญตั ปิ ระกอบ รฐั ธรรมนญู วา่ ดว้ ยคณะกรรมการการเลอื กตง้ั และพระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนญู วา่ ดว้ ยพรรคการเมอื ง จากโครงสร้างดังกล่าวน้ี ได้ส่งผลให้การเลือกตั้งที่ก�ำลังจะเกิดข้ึนแตกต่างจากการเลือกตั้งที่ ผา่ นมาตัง้ แตห่ ลังปี พ.ศ. 2544 โดยส้นิ เชิง เชน่ การเลือกตง้ั แบบบัตรใบเดยี ว โดยใช้การนับคะแนนแบบ จดั สรรปนั สว่ นผสม ยงั มมี าตรการใหมท่ ก่ี �ำหนดรายละเอยี ดเกย่ี วกบั การเลอื กตงั้ ขนั้ ตน้ (แมภ้ ายหลงั จะมี มาตรา 44 ออกมาสรา้ งความยดื หยนุ่ ใหก้ บั มาตรการดงั กลา่ ว) เงอื่ นไขใหมเ่ กย่ี วกบั การจดั ตงั้ พรรคการเมอื ง หนา้ ทแ่ี ละสถานภาพของสมาชกิ พรรคการเมอื ง และคณะกรรมการบรหิ ารพรรค รวมทงั้ การก�ำหนดโทษของ พรรคการเมอื งไวส้ งู มาก การก�ำหนดอตั ราคา่ ใชจ้ า่ ยในการเลอื กตงั้ ของพรรคการเมอื งและวธิ กี ารหาเสยี ง เลอื กตง้ั ของพรรคการเมอื งในมาตรา 62-83 ของพระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนญู วา่ ดว้ ยการเลอื กตงั้ บทบาทที่เพ่ิมมากขึ้นของคณะกรรมการการเลือกต้ัง พร้อมกับการประกาศยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และ แผนการปฏิรูปประเทศ 13 ด้าน ซ่ึงล้วนแล้วแต่เป็นกติกา หรือบทบัญญัติใหม่ที่เกิดขึ้น ท่ีจะส่งผลต่อ โครงสร้างทางการเมือง และการเปลี่ยนแปลงของสถาบันการเมืองไทยอีกหลายสถาบัน ซ่ึงยังไม่นับถึง พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญอีกหลายฉบับ ท่ีให้บทบาทหน้าที่กับองค์กรอื่นๆ มากขึ้น ซ่ึงจะมี ผลตอ่ อ�ำนาจและบทบาทของผ้แู ทนราษฎรและรฐั บาลท่ีจะเกิดขน้ึ ภายหลังการเลอื กตัง้ ดว้ ยการเปลย่ี นแปลงในโครงสรา้ งทางอ�ำนาจ และโครงสรา้ งของสถาบนั การเมอื งในชว่ งระยะเวลา 8 ปี ท่ผี ่านมา จงึ เปน็ ที่จับตามองว่า การเลือกต้ังคร้ังใหมน่ ี้ จะสามารถบรรเทาความขัดแย้งทเ่ี กดิ ข้ึนมา เป็นระยะเวลากว่าทศวรรษได้หรือไม่ และจะท�ำให้ประเทศไทยเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยท่ีมีคุณภาพ ได้หรือไม่ จะท�ำให้การปฏิรูปการเมืองเกิดขึ้นจริงหรือไม่ พฤติกรรมทางการเมืองของประชาชนจะมี
27 การเปลย่ี นแปลงไปอยา่ งไร ประชาชนมกี ารเรยี นรทู้ างการเมอื งมากขนึ้ หรอื ไม่ และภายใตก้ รอบกตกิ าใหมน่ ี้ ผลของการเลอื กตง้ั ยงั จะยนื ยนั ความตงั้ มน่ั ของระบบพรรคการเมอื ง หรอื ความเขม้ แขง็ ของพรรคการเมอื ง บางพรรคทเ่ี คยก่อรา่ งสร้างตวั มาจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ไดห้ รือไม่ การจับตาของประเด็นท้ังหลายท่ีกล่าวมานั้น จึงควรจะได้รับการศึกษาเชิงลึกเก่ียวกับ การเคลอื่ นไหวทางการเมอื งในระดบั พน้ื ที่ เพอื่ การท�ำความเขา้ ใจพฤตกิ รรมการเมอื ง กตกิ าใหมท่ างการเมอื ง ซงึ่ มคี วามส�ำคญั เปน็ อยา่ งยง่ิ ทจี่ ะน�ำไปสกู่ ารพฒั นาการเมอื งการปกครองไทยในระบอบประชาธปิ ไตยตอ่ ไป โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ การเลอื กตงั้ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรแบบแบง่ เขตเลอื กตงั้ จงั หวดั อบุ ลราชธานี ซ่ึงเป็นพ้ืนท่ีที่มีความอ่อนไหวต่อเหตุการณ์ทางการเมืองสูง มีเหตุการณ์ต่อสู้เคล่ือนไหวทางการเมือง มาอย่างยาวนาน อาทิ กรณีการเคลื่อนไหวของกลุ่มเส้ือแดง การแข่งขันของพรรคการเมืองกลุ่มต่างๆ อยา่ งดเุ ดือดสสู ีโดยเฉพาะพรรคเพ่อื ไทย พรรคประชาธปิ ัตย์ และพรรคพลงั ประชารัฐ ย่ิงกว่านั้น การเมืองท้องถิ่นในจังหวัดอุบลราชธานี โดยเฉพาะกลุ่มการเมืองท้องถ่ินระดับ เทศบาลนครอุบลราชธานี และองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุบลราชธานี พบว่า มีการแข่งขันกันอย่าง เขม้ ขน้ มาอยา่ งยาวนาน จนกลายเปน็ กรณศี กึ ษาทส่ี �ำคญั แห่งหน่ึงของการท�ำความเข้าใจการเมืองท้องถิ่น ในประเทศไทย โดยเฉพาะปัญหาผู้มีอิทธิพลในการเมอื งทอ้ งถนิ่ ปญั หาความรนุ แรงในการแขง่ ขนั ตอ่ สู้ ทางการเมืองท่ีรุนแรง เป็นต้น ขณะท่ีภาคประชาสังคมได้มีการจัดต้ังกลุ่มและองค์กรต่างๆ ในจังหวัด มากมาย เชน่ กลมุ่ สมชั ชาคนจน กลมุ่ เครอื ขา่ ยเกษตรกรชาวสวนยางจงั หวดั อบุ ลราชธานี หรอื กลมุ่ เครอื ข่ายเกษตรกรต่างๆ จ�ำนวนมาก นอกจากน้ี ในดา้ นการเคล่อื นไหวทางการเมอื งตา่ งๆ ต้งั แต่อดีตจนถึง ปจั จบุ นั มักจะมกี ลมุ่ ประชาชนจงั หวัดอบุ ลราชธานีเข้าร่วมและมบี ทบาทส�ำคัญมาโดยตลอด จากการเป็นจังหวัดที่มีความอ่อนไหวต่อเหตุการณ์ทางการเมือง มีเหตุการณ์ต่อสู้เคลื่อนไหว ทางการเมอื งมาอยา่ งยาวนาน มกี ารเคลอ่ื นไหวของกลมุ่ การเมอื ง การแขง่ ขนั ของพรรคการเมอื งกลมุ่ ตา่ งๆ อย่างดุเดือดสูสี ทั้งการเมืองในระดับชาติและในระดับท้องถิ่น ภาคประชาสังคมได้มีการจัดตั้งกลุ่มและ องคก์ รตา่ งๆ ในจงั หวดั มากมาย จงึ กลายเปน็ กรณศี กึ ษาทส่ี �ำคญั ในการศกึ ษารปู แบบ วธิ กี าร และผลกระทบ การเลือกตั้ง ภายใต้รัฐธรรมนูญใหม่ ในปี พ.ศ. 2562 เพื่อใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการวิเคราะห ์ การเมอื งในระดับภูมภิ าค และเปรยี บเทยี บกบั กรณีพนื้ ทอ่ี ่ืนๆ โดยมีค�ำถามในการศึกษาวา่ การเลือกตงั้ ทเี่ กดิ ขน้ึ ในเขตจงั หวดั อบุ ลราชธานเี กดิ การเปลย่ี นแปลงของขว้ั อ�ำนาจทางการเมอื ง การยา้ ยพรรคการเมอื ง อยา่ งไร ปจั จยั ใดทส่ี ง่ ผลตอ่ การตดั สนิ ใจทางการเมอื งของประชาชนในเขตจงั หวดั อบุ ลราชธานี พฤตกิ รรม การใช้ทรัพยากรต่างๆ โดยเฉพาะอย่างย่ิงในเรื่องค่าใช้จ่าย เพ่ือให้เห็นมูลค่าของการใช้จ่ายในส่วนท ่ี เกย่ี วขอ้ งกบั การเลอื กตงั้ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรในจงั หวดั อบุ ลราชธานี พฤตกิ รรมของผสู้ มคั ร/พรรคการเมอื ง วา่ มปี ญั หาอปุ สรรคในการปฏบิ ตั ติ ามกฎหมายหรอื ไม่ และผลกระทบการเลอื กตง้ั ภายใตร้ ฐั ธรรมนญู ใหม่ พ.ศ. 2560 ใน จ.อุบลราชธานี ว่ามีลกั ษณะอยา่ งไร
28 การศึกษาความเคล่อื นไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลอื กตงั้ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดอุบลราชธานี 2. วัตถปุ ระสงค์ 1. เพ่ือศึกษาทัศนคติ วัดความรู้สึก แนวโน้มการตัดสินใจเลือกตั้งโดยการท�ำแบบส�ำรวจ การเลือกต้ัง (Poll) เปรียบเทียบผลการส�ำรวจในช่วงก่อนการเลือกต้ัง กับผลคะแนน การเลอื กตงั้ จรงิ วเิ คราะหผ์ ลทเ่ี กดิ ขึน้ 2. เพอื่ ศกึ ษาพฤตกิ รรมการใชท้ รพั ยากรตา่ งๆ โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ในเรอื่ งคา่ ใชจ้ า่ ย เพอ่ื ใหเ้ หน็ มูลค่าของการใช้จ่ายในส่วนท่ีเก่ียวข้องกับการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในจังหวัด อบุ ลราชธานี 3. เพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงของข้ัวอ�ำนาจทางการเมือง การย้ายพรรคการเมือง และผล การเลอื กตั้งทเี่ กดิ ข้ึน 4. เพื่อศึกษาปัจจัยท่ีส่งผลต่อการตัดสินใจทางการเมือง และผลกระทบการเลือกตั้งภายใต้ รัฐธรรมนญู ใหม่ พ.ศ. 2560 จังหวดั อบุ ลราชธานี 3. ขอบเขตของการศึกษา 3.1 ขอบเขตดา้ นเวลา ขอบเขตดา้ นเวลาของการศกึ ษาประกอบไปดว้ ย การศกึ ษาตง้ั แตช่ ว่ งกอ่ นการเลอื กตง้ั ชว่ งระหวา่ ง การมีพระราชกฤษฎีกาก�ำหนดให้มีการเลือกตั้ง วันเลือกตั้ง จนถึงประมาณ 6 เดือน ภายหลังจาก คณะกรรมการเลอื กต้งั ประกาศรับรองผลการเลอื กตั้งอยา่ งเปน็ ทางการในจังหวัดอบุ ลราชธานี 3.2 ขอบเขตประชากร ประชากรท่ีท�ำการศึกษาได้แก่ ผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง หน่วยงานภาครัฐ บริษัทเอกชน องค์กร อสิ ระ องคก์ รสาธารณะ สอื่ มวลชน และองคก์ รอนื่ ๆ ทม่ี อี ทิ ธพิ ลในการเลอื กตง้ั ทงั้ ในระดบั ประเทศและ ในระดบั เขตจงั หวดั อบุ ลราชธานี ตลอดจนความตน่ื ตวั สนใจ การเขา้ มสี ว่ นรว่ ม และพฤตกิ รรมการเลอื กตง้ั ของประชาชน
29 3.3 ขอบเขตพ้ืนท่ี พื้นทเ่ี ลอื กตงั้ ทุกพ้ืนที่ ในเขตจังหวัดอุบลราชธานี โดยในการเลือกตัง้ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร แบบแบ่งเขตเลอื กตัง้ จังหวดั อุบลราชธานี เม่อื วันอาทิตย์ ท่ี 24 มีนาคม 2562 ได้มีการแบง่ เขตเลอื กตั้ง ออกเป็น 10 เขตเลอื กต้ัง ประกอบดว้ ย เขตเลอื กตั้งที่ 1 อ�ำเภอเมอื งอบุ ลราชธานี (ยกเว้น ต.กระโสบ ต.กุดลาด) เขตเลอื กต้งั ท่ี 2 อ�ำเภอเขื่องใน อ�ำเภอม่วงสามสบิ เขตเลอื กตงั้ ท่ี 3 อ�ำเภอวารินช�ำราบ อ�ำเภอนาเยีย เขตเลอื กตั้งที่ 4 อ�ำเภอเดชอดุ ม (ยกเว้น อ.ทงุ่ เทิง) เขตเลือกตง้ั ท่ี 5 อ�ำเภอตระการพืชผล อ�ำเภอกดุ ข้าวปุ้น อ�ำเภอเหล่าเสือโกก๊ เขตเลอื กตัง้ ท่ี 6 อ�ำเภอเขมราฐ อ�ำเภอโพธิ์ไทร อ�ำเภอนาตาล อ�ำเภอศรีเมืองใหม่ (เฉพาะ ต.นาเลิน ต.หนามแทง่ ) เขตเลือกตงั้ ท่ี 7 อ�ำเภอศรีเมืองใหม่ (ยกเวน้ ต.นาเลิน ต.หนามแท่ง) อ�ำเภอโขงเจยี ม อ�ำเภอ ตาลสุม อ�ำเภอดอนมดแดง อ�ำเภอเมืองอุบลราชธานี (เฉพาะ ต.กระโสบ ต.กุดลาด) เขตเลอื กตง้ั ท่ี 8 อ�ำเภอพบิ ูลมงั สาหาร อ�ำเภอสวา่ งวรี ะวงศ์ อ�ำเภอสิรินธร (เฉพาะ ต.ฝางค�ำ ต.คนั ไร่ ต.นิคมสรา้ งตนเองล�ำโดมนอ้ ย) เขตเลือกตัง้ ที่ 9 อ�ำเภอบณุ ฑรกิ อ�ำเภอนาจะหลวย อ�ำเภอสริ นิ ธร (ยกเวน้ ต.ฝางค�ำ ต.คนั ไร่ ต.นคิ มสรา้ งตนเองล�ำโดมน้อย) เขตเลอื กต้ังท่ี 10 อ�ำเภอนำ้� ยนื อ�ำเภอนำ้� ขนุ่ อ�ำเภอทงุ่ ศรอี ดุ ม อ�ำเภอส�ำโรง อ�ำเภอเดชอดุ ม (เฉพาะ ต.ทงุ่ เทิง)
30 การศึกษาความเคล่อื นไหวทางการเมืองและพฤตกิ รรมการเลอื กตงั้ สมาชิกสภาผูแ้ ทนราษฎร 2562 จังหวัดอุบลราชธานี แผนภาพท่ี 1 แผนท่แี สดงการแบ่งเขตเลือกต้ังสมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรของจังหวดั อุบลราชธานี ที่มา : ส�ำนักงานคณะกรรมการการเลือกต้ังประจ�ำจังหวัดอุบลราชธานี, 2562(ก), แผนท่ีแสดงการแบ่ง เขตเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดอุบลราชธานี, สืบค้นเม่ือวันท่ี 1 กุมภาพันธ์ 2562, จาก https://www.ect.go.th/ubonratchathani/ewt_news.php?nid=420&filename=index
31 3.4 ขอบเขตเนื้อหา 1) พฤติกรรมการเลอื กตัง้ เป็นการศึกษาวิเคราะห์ เปรียบเทียบ ในทุกประเด็น เช่น การเลือกตั้งในคร้ังนี้มีความเหมือน หรอื แตกตา่ งจากการเลอื กตงั้ ทเี่ คยผา่ นมาในพนื้ ทห่ี รอื ไม่ มปี ระเดน็ ใดบา้ ง มกี ารเปลย่ี นแปลงทสี่ �ำคญั ใน เรอ่ื งใด และสง่ ผลกระทบส�ำคญั ในเรอื่ งการพฒั นาประชาธปิ ไตยอยา่ งไร รวมถงึ การแขง่ ขนั ทางการเมอื ง ทง้ั ในสว่ นทส่ี ามารถเหน็ ไดช้ ดั เจน เชน่ การรณรงคห์ าเสยี ง กลยทุ ธ์ วธิ กี าร การน�ำเสนอนโยบาย ตลอดจน การแข่งขันในส่วนท่ีปิดบงั เช่น การซ้อื เสยี ง การใชอ้ ิทธพิ ลของหนว่ ยงาน การแทรกแซงด้วยวธิ ีการต่างๆ เปน็ ตน้ 2) การใช้เงนิ ในการหาเสยี งเลือกตั้ง (1) ศึกษาผลของการบังคับใช้มาตรการควบคุมค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งตามกฎหมายใหม่ โดยวิเคราะห์เปรียบเทียบเจตนารมณ์ของกฎหมายกับผลที่เกิดข้ึนจริงในระดับพ้ืนที่ ผ่าน การศึกษาบทบาทและวิธีการปฏิบัติงานของผู้จัดการเลือกต้ังว่ามีวิธีควบคุมตรวจสอบ คา่ ใชจ้ า่ ยในการเลอื กตงั้ ของพรรคการเมอื ง/นกั การเมอื งในพน้ื ทอี่ ยา่ งไร ไดผ้ ลหรอื ไม่ และ พฤตกิ รรมของผสู้ มคั ร/พรรคการเมอื งวา่ มปี ญั หาอปุ สรรคในการปฏบิ ตั ติ ามกฎหมายหรอื ไม่ มคี วามพยายามท่ีจะหลบเลีย่ งกฎหมายหรอื ไม่ อยา่ งไร (2) ศึกษาอิทธิพลของการใช้จ่ายเงินของผู้สมัครและพรรคการเมืองมีต่อประชาชน และผล ของการเลอื กตง้ั ทง้ั การใชจ้ า่ ยเงนิ ทถ่ี กู กฎหมายและไมถ่ กู กฎหมาย โดยใหค้ วามส�ำคญั กบั การส�ำรวจในพนื้ ทวี่ า่ ยงั มกี ารซอื้ สทิ ธขิ ายเสยี งอยหู่ รอื ไม่ มรี ปู แบบหรอื กระบวนการอยา่ งไร ในการซอื้ เสยี ง หรอื หากมกี ารใหเ้ ปน็ ผลประโยชนอ์ น่ื นอกจากตวั เงนิ ผลประโยชนด์ งั กลา่ ว คอื อะไร เปน็ การแลกเปลย่ี นผลประโยชนใ์ นรปู แบบใด และการซอ้ื เสยี งไมว่ า่ จะในรปู แบบใด ยงั มอี ิทธิพลตอ่ การตดั สนิ ใจของผูล้ งคะแนนเสยี งเลือกต้ังหรอื ไม่ อยา่ งไร (3) สงั เกต และชว้ี ดั ความรสู้ กึ ถงึ ทศั นคตแิ ละการใหเ้ หตผุ ลของบคุ คลทว่ั ไปในการรบั รเู้ กย่ี วกบั การซอ้ื เสยี ง แลกผลประโยชน์ และสรา้ งเครอื ขา่ ยอปุ ถมั ภใ์ นพน้ื ที่ โดยพจิ ารณาวา่ ประชาชน ท่ัวไปสามารถยอมรับกับพฤติกรรมดังกล่าวได้หรือไม่ เพราะเหตุใด และประชาชนทั่วไป มกี ารตอบสนองต่อพฤตกิ รรมดังกล่าวอยา่ งไรบา้ ง
32 การศึกษาความเคล่อื นไหวทางการเมอื งและพฤตกิ รรมการเลอื กต้งั สมาชกิ สภาผ้แู ทนราษฎร 2562 จงั หวดั อบุ ลราชธานี 3) การต้งั มั่นของความเป็นพรรคการเมอื ง (1) โดยศกึ ษาการแขง่ ขนั ทางการเมอื ง โครงสรา้ งของตระกลู การเมอื ง หรอื เครอื ขา่ ยทางการเมอื ง ในเขตพ้ืนท่ีจังหวัด ว่ามีการเปล่ียนแปลงสังกัดพรรคการเมืองจากการเลือกตั้ง 3 คร้ัง ท่ีผ่านมาหรือไม่ และหากมีการเปลี่ยนแปลง อะไรคือปัจจัยท่ีท�ำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง แต่ถ้าหากไม่มีการเปลี่ยนแปลง อะไรคือสาเหตุท่ีผู้สมัครรับเลือกตั้ง หรือเครือข่าย การเมอื งเดิมยังคงอยู่ในพรรคการเมอื งเดมิ (2) การเปล่ียนแปลงพรรคการเมืองของผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง หรือเครือข่ายทางการเมือง มผี ลตอ่ รปู แบบการแพช้ นะ ของผสู้ มคั รรบั เลอื กตง้ั หรอื ไม่ อยา่ งไร หากไมม่ ี อะไรคอื ปจั จยั ทีท่ �ำให้ผลของการเลือกตัง้ ออกมาในรูปแบบนน้ั (3) การเลือกตั้งระบบใหม่ท่ีเป็นแบบบัตรใบเดียวท่ีบีบค้ันให้คนต้องเลือกคนหรือเลือก พรรคการเมือง มีผลต่อการตัดสินใจของผู้ลงคะแนนเสียงเลือกต้ังหรือไม่ อย่างไร ผู้ลงคะแนนเสียงเลือกต้ังใช้ปัจจัยอะไรมาก�ำหนดให้ตนเลือกพรรค หรือเลือกผู้สมัคร รบั เลือกตัง้ คนไหน อย่างไร (4) การที่แต่ละพรรคต้องด�ำเนินนโยบายตามยุทธศาสตร์ชาติ มีผลท�ำให้นโยบายของแต่ละ พรรคในเขตพื้นที่มีความแตกต่างกันหรือไม่ ในส่วนของนโยบายพรรคที่แตกต่างกัน มีอิทธิพลต่อการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ของผู้ลงคะแนนเสียงหรือไม่ หากเปรียบเทียบ กบั ปจั จยั ดา้ นตวั บคุ คลของผลู้ งสมคั รรบั เลอื กตงั้ นโยบายพรรคหรอื ตวั บคุ คลมอี ทิ ธพิ ลตอ่ การตดั สนิ ใจของผู้ลงคะแนนเสยี งเลอื กตั้งมากกว่ากนั (5) สภาพการณ์ท่ีเปลี่ยนไปของเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยี ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่าน้ีท�ำให้ ผลู้ งคะแนนเสยี งเลอื กตง้ั มคี วามนยิ ม หรอื มคี วามผกู พนั กบั พรรคการเมอื งตา่ งไปจากการ เลอื กตง้ั ครง้ั ทแี่ ลว้ หรอื ไม่ ทงั้ นเี้ พอื่ ค�ำถามวา่ 8 ปที ไ่ี รก้ ารเลอื กตง้ั นน้ั ความเปน็ พรรคการเมอื ง หรอื ความนยิ มในพรรคการเมอื ง ยงั สามารถฝงั รากลกึ ในสงั คมไทยไดห้ รอื ไม่ เพราะเหตใุ ด
33 4. วธิ กี ารศึกษาวิจยั ใช้ระเบยี บวิธกี ารศกึ ษาวิจยั เชิงคุณภาพเป็นเคร่อื งมอื ส�ำคญั ได้แก่ 4.1 ศกึ ษาจากเอกสารท่เี กย่ี วขอ้ ง ศึกษาจากเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรอบของกฎหมาย เช่น ข้ันตอนการเลือกต้ังตาม รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พ.ศ. 2560 และพระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนญู วา่ ดว้ ยการเลอื กตงั้ พ.ศ. 2560 อ�ำนาจหนา้ ทข่ี องคณะกรรมการการเลอื กตง้ั ตามพระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนญู วา่ ดว้ ย คณะกรรมการการเลอื กตง้ั และบทบาทของพรรคการเมอื งตามพระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนญู วา่ ดว้ ย พรรคการเมอื ง พ.ศ. 2560 ข้อมูลเชิงพื้นท่ีในจังหวัดอุบลราชธานี เช่น ข้อมูลประชากร ข้อมูลพรรคการเมืองท่ีมีผู้สมัคร รับเลือกต้ังในจังหวัดอุบลราชธานีทั้งในการเลือกตั้งปัจจุบัน และการเลือกตั้งในอดีต และข้อมูลประวัติ ผู้ลงสมคั รรบั เลอื กตงั้ พรอ้ มความเป็นเครอื ญาติ หรือเครือขา่ ยของนักการเมอื งเก่า ทัง้ ในระดับชาติและ ระดบั ทอ้ งถิน่ และผลการเลือกตงั้ ยอ้ นหลัง 3 คร้ังในเขตจงั หวดั อบุ ลราชธานี 4.2 การสัมภาษณอ์ ยา่ งเจาะลึกในทุกประเดน็ ท่เี กย่ี วข้อง โดยมีการลงพื้นท่ีผู้มีส่วนเก่ียวข้องต่างๆ เช่น ผู้ลงสมัครรับเลือกต้ังพรรคส�ำคัญ ตัวแทนของ กลุ่มการเมอื งตา่ งๆ รองหวั หนา้ พรรคการเมอื งทีอ่ ยู่ในพนื้ ท่ี นายอ�ำเภอ ผู้เชีย่ วชาญนักวิชาการที่ศึกษา ในประเดน็ การเมอื งจงั หวดั อบุ ลราชธานที เี่ กย่ี วขอ้ ง ผนู้ �ำภาคประชาสงั คม สอื่ มวลชนในพน้ื ท่ี กลมุ่ แกนน�ำ ตา่ งๆ ทีเ่ กีย่ วข้องกบั การเลือกต้งั สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จงั หวัดอุบลราชธานี เป็นตน้ 4.3 การสงั เกตแบบมสี ว่ นร่วมและไมม่ ีส่วนรว่ ม โดยเปน็ การสังเกต บนั ทกึ การหาเสียงเลอื กตั้ง การขึน้ เวทปี ราศรยั หาเสียงของพรรคการเมือง และผู้สมัครกลุ่มต่างๆ และวิเคราะห์บรรยากาศท่ัวไป พฤติกรรมทางการเมืองของผู้ลงสมัครรับเลือกต้ัง บทบาทของหน่วยงานภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้น�ำชุมชน ผู้น�ำท้องท่ี ก�ำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้น�ำภาคประชาสังคม ที่เข้ามามีบทบาทเกี่ยวข้องกับการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พฤติกรรม ทางการเมืองของประชาชน ในช่วงก่อนการเลือกตั้ง ช่วงการเลือกต้ัง และช่วยหลังจากการเลือกต้ัง สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร จังหวดั อบุ ลราชธานี
34 การศึกษาความเคลอ่ื นไหวทางการเมืองและพฤตกิ รรมการเลือกตั้งสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร 2562 จงั หวัดอบุ ลราชธานี 5. ระยะเวลาทำ� การศึกษา ด�ำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ และเขียนสรุปผลรายงานการศึกษาวิจัย ช่วงระหว่าง วันท่ี 1 ตุลาคม 2561 – 30 กนั ยายน 2562 6. ประโยชน์ที่ได้รบั (1) ทราบถึงบรรยากาศทั่วไป ความรู้ความเข้าใจ และความเคลื่อนไหวของประชาชน คณะกรรมการเลอื กตง้ั องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถนิ่ พรรคการเมอื งและนกั การเมอื งในพนื้ ที่ องคก์ รเอกชน องคก์ รสาธารณะ และหนว่ ยงานภาครฐั รวมถงึ องคก์ รอน่ื ๆ ทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั การเลือกตง้ั สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร (2) ทราบถงึ พฤตกิ รรมทางการเมอื งของผสู้ มคั รรบั เลอื กตงั้ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร หนว่ ยงาน ภาครัฐ บริษัทเอกชน องค์กรสาธารณะ และองค์กรอื่นๆ ที่เข้ามามีบทบาทเกี่ยวข้องกับ การเลือกตง้ั สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร (3) ทราบถงึ แบบแผนพฤตกิ รรมทางการเมอื งของประชาชนโดยเฉพาะทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การเลอื กตง้ั สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (4) ทราบถึงทัศนคติ วัดความรู้สึก การตัดสินใจเลือกต้ังโดยการท�ำแบบส�ำรวจการเลือกตั้ง (Poll) เปรียบเทียบผลการส�ำรวจในช่วงก่อนการเลือกตั้ง กับผลคะแนนการเลือกตั้งจริง วเิ คราะหผ์ ลท่ีเกดิ ข้นึ (5) ทราบถงึ พฤตกิ รรมการใชท้ รพั ยากรตา่ งๆ โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ในเรอื่ งคา่ ใชจ้ า่ ย เพอื่ ใหเ้ หน็ มลู คา่ ของการใชจ้ า่ ยในสว่ นทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั การเลอื กตงั้ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรในจงั หวดั อบุ ลราชธานี (6) ทราบถงึ การตั้งม่นั ของสถาบันพรรคการเมืองในสงั คมไทย ในบริบทที่มกี ารเปลยี่ นแปลง
35
36
37 บทที่ 2 กรอบแนวคดิ และ วรรณกรรมทีเ่ ก่ยี วข้อง ในบทน้ี จะน�ำเสนอกรอบแนวคิดท่ีเก่ียวข้องกับการศึกษาเพ่ืออธิบายการเปลี่ยนแปลงของ ขั้วอ�ำนาจทางการเมือง การย้ายพรรคการเมือง ปัจจัยท่ีส่งผลต่อการตัดสินใจทางการเมือง รวมท้ัง การวิเคราะห์ผลการเลือกต้ังที่เกิดข้ึนในเขตจังหวัดอุบลราชธานี พฤติกรรมการใช้ทรัพยากรต่างๆ โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ในเรอื่ งคา่ ใชจ้ า่ ย เพอ่ื ใหเ้ หน็ มลู คา่ ของการใชจ้ า่ ยในสว่ นทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั การเลอื กตง้ั สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรในจังหวัดอุบลราชธานี ผลกระทบการเลือกต้ัง ภายใต้รัฐธรรมนูญใหม่ พ.ศ. 2560 ใน จ.อุบลราชธานี และทศั นคติ วัดความรสู้ กึ การตดั สินใจเลอื กตั้งโดยการท�ำแบบส�ำรวจการเลือกตัง้ (Poll) เปรียบเทียบผลการส�ำรวจในช่วงก่อนการเลือกต้ัง กับผลคะแนนการเลือกต้ังจริง วิเคราะห์ผลท่ีเกิดขึ้น ประกอบด้วย แนวคิดท่ีใช้อธิบายการเมืองอีสาน แนวคิดที่เกี่ยวข้องกับนักการเมือง และแนวคิดเรื่อง ระบบอปุ ถมั ภเ์ พอ่ื น�ำมาอธบิ ายความสมั พนั ธข์ องกลมุ่ ทมี่ สี ว่ นในการสนบั สนนุ ทางการเมอื งและลกั ษณะ เครือข่ายความสมั พันธข์ องนักการเมืองในจังหวดั อุบลราชธานี 1. แนวคดิ ท่ใี ชอ้ ธิบายการเมอื งอสี าน กรอบแนวคดิ การเมอื งอสี าน เปน็ ความพยายามอธบิ ายลกั ษณะโครงสรา้ งทางเศรษฐกจิ สงั คม และการเมอื งทม่ี อี ทิ ธพิ ลตอ่ พฤตกิ รรมทางการเมอื งของประชาชนและสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรของจงั หวดั ในภาคอสี าน อาทิ การอธบิ ายพฤตกิ รรมการตอ่ ตา้ นรฐั บาลกลางในอดตี พฤตกิ รรมการออกเสยี งเลอื กตง้ั ทศั นคติความคิดและความเชอ่ื ทางการเมอื ง เป็นต้น
38 การศึกษาความเคล่อื นไหวทางการเมอื งและพฤติกรรมการเลือกตงั้ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จงั หวดั อุบลราชธานี มนี กั วชิ าการทงั้ ไทยและตา่ งประเทศไดเ้ ขา้ มาศกึ ษาอสี านในชว่ งหลงั ทศวรรษ 2500 เปน็ จ�ำนวน มาก โดยนกั วชิ าการทศ่ี กึ ษาเกย่ี วกบั อสี านในชว่ ง พ.ศ. 2500-2520 มกั จะมงุ่ ตอบค�ำถามเกย่ี วกบั พฤตกิ รรม ทางการเมืองท่ีเกิดขึ้น โดยเฉพาะการต่อต้านรัฐบาลกลางในสมัยน้ัน แนวคิดที่ใช้ในการอธิบายในงาน เหล่านี้มองว่า เป็นเพราะลักษณะของภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่เป็นปัจจัยส่งเสริมให้เกิดพลังต่างๆ อันเป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐบาลกลาง และยังได้อธิบายถึงปัจจัยอื่นๆ ที่ส�ำคัญมี 3 แนวทาง คือ (ดารารัตน์ เมตตาริกานนท์, 2546, น. 3-18) 1.1 กลุ่มแนวคิดท่ีศกึ ษาทางด้านชาติพนั ธุ์ กลมุ่ นสี้ ว่ นใหญเ่ ปน็ นกั มานษุ ยวทิ ยาทไ่ี ดเ้ ขา้ มาศกึ ษาภาคอสี าน และมกี รอบแนวคดิ ในการอธบิ ายวา่ ปญั หาทางดา้ นชาติพันธ์เุ ปน็ ปจั จัยทส่ี �ำคัญประการหน่ึงที่สร้างความย่งุ ยากให้แกร่ ัฐบาลไทย โดยมองว่า คนในภาคอสี านมลี กั ษณะแตกตา่ งจากคนในภาคกลาง และมลี กั ษณะคลา้ ยคลงึ กบั คนลาวในประเทศลาว ความเปน็ อนั หนงึ่ อนั เดยี วกนั ทางดา้ นชาตพิ นั ธข์ุ องคนลาวและคนอสี านนี้ อาจกอ่ ใหเ้ กดิ ความพยายามท่ี จะแบง่ แยกภาคอสี าน งานทส่ี �ำคญั ในกลมุ่ แนวคดิ นี้ คอื งานของ คายส์ (Charles F. Keyes) เรอ่ื ง “Ethnic Identity and Loyalty of Villagers in Northeastern” (1966) และเรอื่ ง “Isan : Regionalism in Northeastern Thailand” (1967) ซง่ึ ถือวา่ เปน็ งานบุกเบกิ และยงั กระต้นุ ให้มีการศึกษาทางดา้ นการเมืองที่ดีทส่ี ดุ ชิน้ หน่งึ เก่ียวกับภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ นอกจากน้ี ยงั มงี านของเมอรด์ อช (John B. Murdoch) “The 1901-1902 Holy Man’S Rebellion” (1974) ซึ่งได้มุ่งประเด็นไปที่การศึกษาเก่ียวกับกบฏผู้มีบุญในภาคอีสาน ในช่วง ค.ศ.1901-1902 ส่วนประเด็นส�ำคัญของการเกิดเหตุการณ์น้ี เมอร์ดอชอธิบายว่า เป็นปฏิกิริยาทางด้านชาติพันธุ์ของชน กลุ่มน้อยในท้องถ่ินที่ตกอยู่ภายใต้สถานการณ์ของการขยายอ�ำนาจทางการเมืองและการปกครองของ อ�ำนาจรฐั ทขี่ นาบขา้ ง คอื ฝรง่ั เศสและไทย ซงึ่ มผี ลสนั่ คลอนตอ่ ระบบเศรษฐกจิ และโครงสรา้ งผนู้ �ำแบบเดมิ ที่เคยเป็นอิสระในดินแดนแถบน้ี ส�ำหรับการศึกษาเกี่ยวกับกบฏผู้มีบุญอีสานนี้ ในช่วงหลัง พ.ศ. 2519 ได้มีงานทีศ่ ึกษาเกย่ี วกบั เรือ่ งนี้จ�ำนวนมาก แต่มจี ดุ เนน้ ท่ีแตกต่างกนั 1.2 กลมุ่ แนวคิดทีศ่ กึ ษาเก่ยี วกับเศรษฐกจิ ของภาคอีสาน เพื่อใช้เป็นกรอบในการอธิบายปัญหาท่ีเกิดข้ึนในภาคอีสาน โดยในงานต่างๆ เหล่านี้มองว่า ความยากจนประกอบกับการถูกทอดทิ้งจากส่วนกลางเป็นสาเหตุส�ำคัญท่ีท�ำให้ภาคอีสานอยู่ในสภาพ ท่ีพร้อมจะถูกแทรกซึมจากพลังต่างๆ ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อฝ่ายรัฐบาลได้ง่าย และด้วยแนวคิดดังกล่าวนี้ จงึ มีนกั วิชาการเขา้ มาศกึ ษาสภาพเศรษฐกิจของภาคอีสาน อนั ไดแ้ ก่ มลิ ลาร์ด เอฟ ลอง เร่อื งพัฒนาการ ทางเศรษฐกิจในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ปัญหาและอนาคต (1966) เบลล์ (Peter F.Bell) เร่ือง “Note and Comments on Thailand’s North East : Regional Underdevelopment, “Insurgency” and Official Respone” (1969) และงานของ Marian R. Meinkoth เร่ือง “Migration in Thailand with Particular Reference to the Northeast” (1962) ซ่ึงศึกษาเกี่ยวกับสถานะทางเศรษฐกิจของผู้ท่ีย้ายถ่ินของชาวนา จากจงั หวัดตา่ งๆ ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนอื ของไทยในระหว่าง พ.ศ. 2500 เป็นตน้
39 1.3 กลมุ่ แนวคดิ ท่ศี ึกษาสภาพการเมืองในอีสาน ทสี่ �ำคญั คอื งานของ Frank C. Darling เรอ่ื ง “Rural Insurgencies in Thailand : A Comparative Analysis” (1975) งานชนิ้ นเ้ี ปน็ การศกึ ษาเปรยี บเทยี บการตอ่ ตา้ นรฐั บาลในชนบททเี่ กดิ ขน้ึ ในภาคใต้ ภาคเหนอื และภาคอสี าน และเปน็ การวเิ คราะหถ์ งึ การแทรกแซงจากตา่ งประเทศทกี่ อ่ การตอ่ ตา้ นรฐั บาลในทอ้ งถนิ่ ตา่ งๆ ด้วย ส่วนการอธิบายในงานชิ้นน้ีท่ีส�ำคัญอย่างหน่ึงกล่าวไว้ว่า ในขบวนการต่อต้านรัฐบาลในภาคอีสาน ไมเ่ คยประกาศเจตนารมณท์ จ่ี ะแบง่ แยกดนิ แดนเหมอื นในภาคใต้ และไมเ่ คยประกาศเจตนารมณท์ จี่ ะแยก ภาคอสี านเพอื่ เขา้ ไปผนวกกบั ประเทศใกลเ้ คยี ง และมองวา่ เปา้ หมายเบอ้ื งตน้ อยทู่ กี่ ารแสวงหาความอสิ ระ ในการปกครองและตดั สนิ ใจในทอ้ งถน่ิ และเรยี กรอ้ งความชว่ ยเหลอื ในการพฒั นาจากรฐั บาลกลางมากขน้ึ อยา่ งไรกต็ าม ในงานนช้ี ใี้ หเ้ หน็ วา่ การตอ่ ตา้ นรฐั บาลในชนบทของทง้ั สามภาคไมม่ ที ไี่ หนเลยทมี่ ศี กั ยภาพ แห่งการขยายตวั มากเพยี งพอท่ีจะเปน็ อนั ตรายตอ่ เสถยี รภาพและความมั่นคงของไทย 2. แนวคดิ นักการเมือง นักการเมือง คือ บุคคลที่ใช้และมีอ�ำนาจทางการเมืองมากกว่าคนอ่ืนๆ ในสังคม อ�ำนาจ ทางการเมืองน้ันเกี่ยวกับการแจกแจงค่านิยมที่หายากในระบบการเมือง (Zonis, 1971, p.5) Arnold Wehmhoener ได้ให้ค�ำจ�ำกัดความเกี่ยวกับนักการเมือง โดยเน้นบทบาทของนักการเมืองว่า เปน็ ผกู้ �ำหนดวฒั นธรรม หรอื เปน็ บคุ คลซงึ่ อยใู่ นต�ำแหนง่ ระดบั สงู ของโครงสรา้ งสงั คมนนั้ ๆ หรอื นกั การเมอื ง หมายถึง กลุ่มบุคคลซ่ึงมีอ�ำนาจสูงสุดในแต่ละสังคมใดสังคมหนึ่ง โดยมีต�ำแหน่งหน้าที่ส�ำคัญและ มีชื่อเสียง อาจรวมถึงบุคคลหลายอาชีพด้วยกัน บุคคลท่ีมีต�ำแหน่งสูงมีอ�ำนาจหน้าที่ราชการ ซึ่งเป็น บคุ คลกลมุ่ นอ้ ยในสงั คมและเปน็ ผคู้ วบคมุ ทรพั ยส์ นิ สว่ นใหญ่ หรอื มสี ถานภาพสงั คมในระดบั สงู หรอื เปน็ ผมู้ อี ทิ ธพิ ลไมว่ า่ ทางตรงหรอื ทางออ้ มในกระบวนการตดั สนิ ใจทม่ี ผี ลตอ่ สมาชกิ ของสงั คม (Wehmhoener, 1975, p.3) Gaetano Mosca ไดก้ �ำหนดความแตกตา่ งระหวา่ งนกั การเมอื ง หรอื ผทู้ เ่ี ปน็ ชนชนั้ ปกครอง หรอื ผนู้ �ำทางการเมอื ง (elite) กบั ประชาชนทว่ั ไป (masses) วา่ ในความเปน็ จรงิ ทแ่ี นน่ อนและมแี นวโนม้ วา่ จะต้องได้พบในองค์กรการเมืองทุกแห่ง ส่ิงหน่ึงท่ีปรากฏชัดในทุกสังคมที่ล้าหลังหรือจะเป็นสังคมที่ม ี ความเจรญิ กา้ วหนา้ เพยี งใด จะมีบุคคลในสงั คมอยู่ 2 พวก คอื ชนชัน้ ผู้ปกครอง กับชนชั้นผูถ้ ูกปกครอง พวกแรกมจี �ำนวนนอ้ ยแตค่ วบคมุ หนา้ ทท่ี างการเมอื ง ผกู ขาดอ�ำนาจและเปน็ ผทู้ ไ่ี ดเ้ ปรยี บจากผลทอี่ �ำนาจ น�ำมาให้ สว่ นพวกทสี่ อง เปน็ พวกทม่ี จี �ำนวนมากกวา่ พวกแรก แตก่ ลบั ถกู บงการและควบคมุ โดยพวกแรก ในลักษณะที่เป็นการควบคุมทางกฎหมาย การตัดสินช้ีขาด และการอาศัยความรุนแรงทั้งมากและน้อย (Mosca, 1965, p.50)
40 การศึกษาความเคลอ่ื นไหวทางการเมอื งและพฤตกิ รรมการเลอื กตงั้ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จงั หวัดอบุ ลราชธานี โดยปกตแิ ลว้ มนษุ ยท์ กุ คนอยใู่ นฐานะทจ่ี ะใชท้ รพั ยากรทางการเมอื ง แตว่ า่ มนษุ ยม์ วี ตั ถปุ ระสงค์ อยู่เป็นจ�ำนวนมาก โดยทม่ี นษุ ย์ใช้วธิ ีการต่างๆ กันเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ดงั กล่าว การใช้ทรพั ยากรของ มนษุ ย์ ใชว่ า่ เพอ่ื ตอ้ งการทจ่ี ะมอี �ำนาจเสมอไป แตว่ า่ ผแู้ สวงหาอ�ำนาจจ�ำเปน็ ตอ้ งใชท้ รพั ยากร ดว้ ยสาเหตุ 3 ประการ (Lasswell, 1948, p.90) 1. มนุษย์แสวงหาอ�ำนาจ เพื่อที่จะเป็นเจ้าของทรัพยากร โดยต้องการที่จะเป็นผู้รักษา ผลประโยชนข์ องประชาชนทุกคน รกั ษาความเปน็ ธรรมให้กับทกุ คน รกั ษาผลประโยชนใ์ ห้ กบั รฐั หรอื แสวงหาอ�ำนาจเพอื่ ตอบสนองความตอ้ งการของจติ ใจ เสรภี าพและเพอื่ ความสขุ 2. มนุษย์แสวงหาอ�ำนาจ โดยจติ ส�ำนกึ เพอื่ รักษาผลประโยชน์ของตนเอง 3. มนุษย์แสวงหาอ�ำนาจ โดยมีแรงจูงใจจากจิตใต้ส�ำนึก Harold Lasswell สรุปว่า ผู้แสวงหา อ�ำนาจทางการเมืองมีความต้องการในอ�ำนาจ เพ่ือชดเชยส่ิงที่ขาดไปทางจิตใจในวัยเด็ก การชดเชยส่ิงท่ีขาดไปในวัยเด็ก จึงเป็นแรงกระตุ้นส�ำหรับผู้แสวงหาอ�ำนาจทางการเมือง กค็ อื การไมไ่ ดร้ บั ความนบั ถอื ศรทั ธา และความรกั ในวยั เดก็ คนเหลา่ นจี้ ะไดร้ บั ความกระทบ กระเทอื นทางใจและจะประมาณคา่ ตวั เองตำ่� ลงไปในวยั เดก็ หรอื เมอื่ เปน็ ผใู้ หญ่ หรอื ตอ่ ๆ มา ผู้แสวงหาอ�ำนาจเรียนรู้ท่ีจะยกระดับคุณค่าของตนเอง ด้วยวิธีการต้ังเป้าหมายในเร่ืองอ�ำนาจ คนเหล่าน้เี รม่ิ ทีจ่ ะมีความเชื่อว่า ด้วยวธิ ีการแสวงหาอ�ำนาจ เขาสามารถทจ่ี ะสรา้ งตนเองให้ดีข้ึนได้ หรอื พวกเขาจะสามารถเปล่ียนทัศนคติผู้อ่ืนท่ีมีต่อเขาได้ อ�ำนาจจะท�ำให้เขามีความส�ำคัญ เป็นที่รักนับถือ และชื่นชม ความเห็นใจ ความรักและความศรทั ธาจะเกดิ ข้ึนในครอบครวั ของเขา ในทัศนะของ Robert E. Lane เห็นว่า การท่ีมนุษย์เข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมือง ก็เน่ืองจาก มคี วามต้องการในสิง่ ส�ำคญั หรือทรพั ยากร จ�ำนวน 6 ประการ คอื (Lane, 1959, p.102) 1. มนุษย์หาทางที่จะเพิ่มความอยู่ดีกินดีทางเศรษฐกิจ หรือด้านวัตถุ รายได้ ทรัพย์สิน และ ความมน่ั คงปลอดภยั ทางเศรษฐกิจ โดยใชก้ ลไกทางการเมอื ง (political means) 2. มนษุ ยต์ อ้ งการมพี วกพอ้ ง ตอ้ งการความรกั ใคร่ และมคี วามสมั พนั ธท์ างสงั คมกบั บคุ คลอน่ื โดยใช้กลไกทางการเมือง 3. มนษุ ยห์ าทางทจ่ี ะท�ำความเขา้ เรอ่ื งโลก ตลอดจนสาเหตทุ เี่ กดิ เหตกุ ารณต์ า่ งๆ ซง่ึ มอี ทิ ธพิ ล ต่อมนษุ ย์ ท้งั ดว้ ยการสังเกตและการสนทนาทางการเมือง (discussing politics) 4. มนษุ ยห์ าทางลดความตงึ เครยี ดภายในจติ ใจของตน โดยเฉพาะแรงกระตนุ้ จากความกา้ วรา้ ว และแรงกระตุ้นทางเพศ โดยแสดงออกทางการเมือง (political expression)
41 5. มนษุ ยต์ อ้ งการมอี �ำนาจเหนือบคุ คลอ่ืน โดยผา่ นช่องทางการเมอื ง (political channels) 6. มนุษย์หาทางรักษาไว้ซ่ึงความภูมิใจในตัวเอง (self-esteem) และพยายามปรับปรุงให้ม ี มากข้นึ (ความต้องการในดา้ นสถานภาพ ชอื่ เสียง และความเคารพ) โดยผ่านกจิ กรรมทาง การเมอื ง (political activities) ท้ังน้ีเป็นที่น่าสังเกตว่า สมาชิกของระบบการเมืองแต่ละแห่งต่างก็พยายามแสวงหาอ�ำนาจ ทางการเมือง เพื่อจะได้มีอิทธิพลเหนือนโยบายและการตัดสินใจของรัฐบาล โดย Dahl ต้ังข้อสังเกตว่า อิทธิพลทางการเมืองถูกแจกแจงโดยไม่เท่าเทียมกันในบรรดาสมาชิกของระบบการเมือง ดังน้ัน การแสวงหาอ�ำนาจและการที่จะมีอ�ำนาจนั้นย่อมจะมีวิธีการที่ไม่เหมือนกัน ผู้แสวงหาอ�ำนาจบางคน อาจจะไมป่ ระสบความส�ำเรจ็ ถงึ แมเ้ ขาจะไดใ้ ชค้ วามพยายามแลว้ กต็ าม แตบ่ างคนทม่ี อี �ำนาจอยใู่ นมอื แลว้ อาจจะไม่แสวงหาอ�ำนาจ เน่ืองจากคนเหล่าน้ีมีอ�ำนาจโดย “การสืบทอดจากบรรพบุรุษ” ปัญหาส�ำคัญ อยู่ท่วี ่า 1. เหตุใดคนบางคน จึงแสวงหาอ�ำนาจมากกวา่ คนอืน่ ๆ 2. เหตุใดคนบางคน จึงได้รบั อ�ำนาจมากกว่าคนอ่นื ๆ (Dahl, 1975, p.86) Lasswell กล่าวว่า ผู้แสวงหาอ�ำนาจจะเสาะแสวงหรือเพ่ิมพูนอ�ำนาจ เพื่อทดแทนการ ขาดตกบกพรอ่ งในวยั เยาว์ เชน่ โอกาสในการศกึ ษา ความรกั ของพอ่ แม่ และสงิ่ ทสี่ �ำคญั ทส่ี ดุ คอื ความรกั และความเคารพในตัวเอง ในบรรดานักการเมือง ปมด้อยเหล่าน้ีมักจะเกิดขึ้นในวัยเยาว์ ซ่ึงโตพอท่ีจะ รับทราบลักษณะความแตกต่างในสังคม เป็นลักษณะท่ีความเชื่อม่ันในตนเองถูกท�ำลายอย่างส้ินเชิง ส่ิงเหล่าน้ีท�ำให้บุคคลนั้นมีปมด้อย หากบุคคลใดรู้จักค�ำว่า ล�ำเอียงในปฐมวัย จะสร้างบุคลิกภาพท่ีเลว ในอนาคตได้ คนทม่ี ปี มดอ้ ยจะพยายามแสดงออกเพอ่ื ปกปดิ ปมดอ้ ยของตน นกั การเมอื งทปี่ ระสบความส�ำเรจ็ มกั จะมสี มองปานกลางไม่เด่นในระยะตน้ ๆ แต่อาจจะเดน่ ในระดบั อดุ มศกึ ษา พวกนี้เชื่อวา่ อ�ำนาจเป็น ส่ิงเดียวที่จะสร้างสถานภาพของตนที่รู้สึกต่�ำในวัยเด็กให้สูงข้ึน จะน�ำมาซึ่งความรัก ความเคารพ และ อ�ำนาจจะสามารถเปลย่ี นทศั นคตขิ องบคุ คลอนื่ ๆ ทม่ี ตี อ่ ตวั เขาได้ พวกแสวงหาอ�ำนาจแบบจติ ใตส้ �ำนกึ น ้ี จะใช้อ�ำนาจท่ีตนได้รับมากับสถาบันอ่ืนๆ เพื่อก่อให้เกิดความรู้สึกว่า ศักด์ิศรีของตนได้ถูกพัฒนาและ ส่งเสริม (Lasswell, 1948, p.93) สงิ่ อนื่ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งโดยใกลช้ ดิ กบั ฐานะและต�ำแหนง่ คอื เกยี รตยิ ศ (prestige) และอ�ำนาจ (power) ความตอ้ งการทจี่ ะไดม้ ชี อ่ื เสยี ง กค็ อื ความตอ้ งการทจ่ี ะรสู้ กึ วา่ ตนเหนอื คนอน่ื ความตอ้ งการทจ่ี ะไดม้ อี �ำนาจ กค็ ลา้ ยคลงึ กนั แตไ่ มเ่ หมอื นกนั ทเี ดยี ว มบี างคนทหี่ ลกี เลยี่ งไมใ่ สใ่ จกบั ความมชี อื่ เสยี ง แตท่ ะเยอทะยาน
42 การศึกษาความเคลอ่ื นไหวทางการเมอื งและพฤตกิ รรมการเลอื กตง้ั สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร 2562 จงั หวดั อบุ ลราชธานี ทจ่ี ะมอี �ำนาจเหนอื พวกพอ้ ง บางคนอาจจะไมม่ ชี อ่ื เสยี งใดเลย แตม่ อี �ำนาจตา่ งๆ อยใู่ นมอื วธิ กี ารแบบนี้ แสดงให้เห็นถงึ ผลของความต้องการมสี ถานภาพในวธิ ที ่ีตา่ งกนั ออกไป ฐานะหรือต�ำแหน่ง เป็นจุดมุ่งหมายทุติยภูมิท่ีมีเพื่อตอบสนองแรงจูงใจขั้นมูลฐาน คนที่มี สถานภาพอย่างหน่ึงสามารถจะคาดหวังได้ว่าจะท�ำเงินได้ขนาดหนึ่ง มีชีวิตได้แบบหนึ่ง และได้รับ การปฏบิ ตั จิ ากบคุ คลอื่นอย่างหน่ึง ดงั นั้น สถานภาพสามารถประกันให้เราไดไ้ มม่ ากก็นอ้ ยว่าบคุ คลอาจ ตอบสนองความต้องการอ่ืนๆ ได้ขนาดหนึ่ง และนอกจากน้ี มันยังช่วยให้คนไม่ต้องกลัวว่าเขาจะต้อง สูญเสียความพอใจบางอย่างทไี่ ปด้วยกนั กบั สถานภาพ ดังน้ัน หากจะกล่าวถึงอ�ำนาจของมนุษย์ ซึ่งจะแสดงออกโดยพฤติกรรมน้ัน จะต้องมีแรงจูงใจ ท่ีเป็นพื้นฐานเพื่อสนองตอบความต้องการ (need) ของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นแรงจูงใจจากภายนอกหรือ ภายในของแตล่ ะบคุ คล เพอื่ ตอบสนองความตอ้ งการอ�ำนาจ ไมว่ า่ เพอ่ื จะเปน็ เจา้ ของทรพั ยากร เพอื่ รกั ษา ผลประโยชน์ของตนเอง หรือเพ่อื การแสวงหาเกยี รติยศ ชอื่ เสยี ง การสบื ทอดทายาททางการเมอื ง กถ็ ือ เปน็ อกี สาเหตหุ นงึ่ ในแรงจงู ใจ ทต่ี อ้ งการอ�ำนาจในการสานตอ่ ขยาย และปกปอ้ งรกั ษาผลประโยชนข์ อง ตน ดว้ ยการเขา้ ไปมสี ว่ นรว่ มทางการเมอื ง เพอื่ ใหม้ สี ว่ นในกจิ กรรมทมี่ อี ทิ ธพิ ลตอ่ การตดั สนิ ใจของรฐั บาล การทบี่ คุ คลใดบคุ คลหนง่ึ จะมคี วามสนใจในการเมอื ง จนกระทง่ั ตดั สนิ ใจเขา้ ไปมสี ว่ นรว่ มทางการเมอื งดว้ ย การลงสมคั รรบั เลอื กตงั้ เพอ่ื เปน็ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร การเรยี นรทู้ างการเมอื งจากครอบครวั ถอื เปน็ สว่ นส�ำคญั ประการหนึง่ (ธวชั ชัย กฤติยาภชิ าตกุล, 2541, น. 24) 3. แนวคิดระบบอปุ ถัมภ์ แนวคิดเรื่องระบบอุปถัมภ์เป็นทางเลือกหน่ึงที่ได้น�ำมาใช้เพ่ืออธิบายโครงสร้างสังคมไทย น�ำโดย ลเู ซยี น เอม็ แฮงส์ (Lucian M. Hanks) ม.ร.ว.อคนิ รพพี ฒั น์ รว่ มดว้ ยนกั วชิ าการโดยเฉพาะจาก ส�ำนกั คอรแ์ นลล์ เชน่ เดวดิ วลิ สนั (David Wilson) และนกั วชิ าการทา่ นอน่ื ๆ มองจากแงม่ มุ หนง่ึ แนวคดิ น ี้ ได้ช้ีให้เห็นความจริงข้อหน่ึงว่า สังคมไทยเป็นสังคมที่มีการก�ำหนดสถานภาพของบุคคลลดหลั่นจากบน มาสู่ล่าง น่ันคือ สังคมไทยเป็นสังคมท่ีมีโครงสร้างท่ีเน้นความแตกต่างระหว่างฐานะต�ำแหน่ง ซึ่งได้แก่ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้อุปถัมภ์ท่ีมีฐานะต�ำแหน่งสูงกว่าและผู้รับอุปถัมภ์ท่ีมีฐานะต่�ำกว่า แฮงค์มองว่า โครงสร้างสังคมไทยประกอบด้วยความสัมพันธ์ที่ไม่เท่าเทียมกัน หรือเป็นความสัมพันธ์ในแนวดิ่งโดย ตลอดทั้งสังคม อย่างไรก็ตาม แนวคิดของแฮงส์ได้รับการโต้แย้งว่า แนวคิดระบบอุปถัมภ์เป็นแนวคิดท่ี เหมาะส�ำหรับการวิเคราะห์สังคมในระดับจลุ ภาค แต่ไมส่ ามารถอธบิ ายสังคมไทยได้ทง้ั หมด กระแสต้าน ได้ออกมาในรูปของการเสนอแนวคิดในเรื่องของการจัดช้ันทางสังคม (social class) ซ่ึงถือว่าสามารถ อธิบายโครงสร้างสังคมได้ดีกว่า นักวิชาการกลุ่มน้ี ได้แก่ ฮันส์ ดีเตอร์ เอเวอส์ (Hans-Dieter Evers) แอนดรู เตอรด์ นั (Andrew Turton) รวมไปถึงนักวิชาการกล่มุ เศรษฐศาสตรก์ ารเมืองด้วย
43 การรวมกลุ่มของชาวไร่ชาวนา และกรรมกรในรูปสมาคม หรือสหพันธ์ แสดงให้เห็นจิตส�ำนึก ของการรวมตัวกันทางชนช้ัน ผลของการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมได้ให้ก�ำเนิดชนช้ันล่างและชนชั้น กลางท่ีเด่นชัดยิ่งข้ึน งานวิจัยกลุ่มชนช้ันต่างๆ จึงเป็นท่ีสนใจของนักวิชาการด้านสังคมศาสตร์มากขึ้น เชน่ เดยี วกนั นอกจากน้ี เรอื่ งใกลต้ วั ทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั ชวี ติ ประจ�ำวนั ของคนไทยโดยตลอด ทงั้ ค�ำวา่ “เจา้ พอ่ ” “เจ้านาย-ลูกน้อง” “ลูกพี่-ลูกน้อง” “ผู้มีอิทธิพล” “หัวคะแนน” “การซ้ือเสียง” ที่เราให้เรียกบุคคลบางคน หรอื บางกลมุ่ กเ็ ปน็ ค�ำทม่ี คี วามหมายเกยี่ วขอ้ งกบั ลกั ษณะของความสมั พนั ธแ์ บบ “ผอู้ ปุ ถมั ภ-์ ผรู้ บั อปุ ถมั ภ”์ โดยตรงและโดยอ้อมแทบท้ังส้ินซึ่งเก่ียวข้องกับประเด็นการศึกษาในครั้งน้ี (อมรา พงศาพิชญ์ และ ปรชี า คุวินทร์พนั ธุ์, 2545, น. 1-7) ความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์(Patron-Client Relationship) เป็นรากฐานส�ำคัญของการจัดองค์การ ของสังคมไทย(Social Organization) มาแต่โบราณ ระบบศักดินาหรือระบบไพร่เป็นระบบที่ก�ำหนด ความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์ระหว่างไพร่กับมูลนาย มูลนายไม่เพียงแต่จะต้องการความสวามิภักดิ์จากไพร่ เทา่ นั้น หากยังหาผลประโยชนด์ ว้ ยการดูดซบั สว่ นเกนิ ทางเศรษฐกจิ (Economic Surplus)จากไพรอ่ กี ดว้ ย ในขณะเดยี วกนั มลู นายกใ็ หก้ ารอปุ ถมั ภท์ างการเมอื ง(Political Patronage) และการอปุ ถมั ภท์ างเศรษฐกจิ แกไ่ พรเ่ ปน็ การตอบแทน ความสมั พนั ธเ์ ชงิ อปุ ถมั ภด์ งั กลา่ วนยี้ งั คงสบื ทอดตอ่ มา เพยี งแตม่ กี ารเปลย่ี นแปลง รูปแบบเท่านั้น (รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์, 2546, น. 97-98) โดยแบบแผนของความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ ์ จะแตกตา่ งไปตามระบอบการเมอื งการปกครอง ในชว่ งทรี่ ะบบการเมอื งการปกครองมลี กั ษณะเผดจ็ การ/ คณาธิปไตย ความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์ที่ส�ำคัญท่ีสุดก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้น�ำทางการเมืองกับ ฐานก�ำลังทางทหาร (ประเทอื ง ม่วงออ่ น, 2547, น. 141) ชัยอนันต์ สมุทวนิช (2523, น. 14-15) เห็นว่า ความสัมพันธ์ในระบบอุปถัมภ์เกิดข้ึนเพราะ ในสงั คมมคี วามแตกตา่ งกนั อยา่ งมากมาย ทงั้ ทางดา้ นสถานภาพทางสงั คม ความมงั่ คงั่ และอ�ำนาจ เนน้ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งบคุ คล เปน็ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งบคุ คล 2 คน ซงึ่ บคุ คล 2 คนน้ี ตา่ งชว่ ยเหลอื เกอ้ื กลู ซ่ึงกันและกัน โดยบุคคลแต่ละคนในสังคมมีอิสระที่จะเลือกลูกน้องและยังมีอิสระในการก�ำหนดจ�ำนวน บคุ คลทเ่ี ขาจะมคี วามสมั พนั ธด์ ว้ ย มอี สิ ระในการเลอื กวา่ เมอ่ื ใดจะสนิ้ สดุ ความสมั พนั ธ์ ซงึ่ ในทนี่ จี้ ะเรยี กวา่ ความสัมพนั ธแ์ บบผู้อุปถมั ภ์กบั ลกู น้อง และมีลักษณะพเิ ศษ ดังน้ี 1. มีการใชป้ ระโยชน์ในทรัพย์สนิ รว่ มกนั โดยแตล่ ะคนตา่ งชว่ ยเหลือซ่ึงกันและกัน 2. เนอื่ งจากลกั ษณะของการมปี ฏสิ มั พนั ธข์ องแตล่ ะคสู่ มั พนั ธแ์ ตกตา่ งกนั จงึ มกี ารใหป้ ระโยชน์ เปน็ พเิ ศษต่อบางคนมากกวา่ คนอนื่ ๆ 3. ความสมั พนั ธเ์ ชน่ นี้ มลี กั ษณะเปราะบาง เพราะขน้ึ อยกู่ บั ตวั บคุ คลมากกวา่ หลกั การ ดงั นนั้ การจะรกั ษาเสถยี รภาพของความสมั พนั ธไ์ วไ้ ด้ จะตอ้ งมกี ารแลกเปลย่ี นผลประโยชนต์ อ่ กนั อย่างต่อเน่ือง บุคคลแต่ละคนต่างมีของที่อีกฝ่ายหนึ่งไม่มีและของที่ทั้งสองฝ่ายต่างมีน้ัน เป็นสง่ิ ที่อกี ฝา่ ยหนงึ่ ตอ้ งการ
44 การศึกษาความเคล่อื นไหวทางการเมอื งและพฤติกรรมการเลอื กตั้งสมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร 2562 จงั หวดั อบุ ลราชธานี 4. ความสัมพันธ์น้ี ประกอบด้วยบุคคลเพียงสองคน ดังนั้นผลประโยชน์ที่แลกเปล่ียนกัน จงึ เปน็ ผลประโยชนท์ เี่ ฉพาะเจาะจงเปน็ การสว่ นตวั เชน่ การเออ้ื ผลประโยชนต์ อ่ กนั ระหวา่ ง เจา้ หนา้ ทขี่ องรฐั ซง่ึ มอี �ำนาจทจ่ี ะใหผ้ ลประโยชนเ์ ฉพาะอยา่ งแกพ่ อ่ คา้ ได้ และพอ่ คา้ กจ็ ะให้ ส่ิงของหรือเงินเป็นการแลกเปล่ียนต่อการได้รับสิทธิบางอย่างจากเจ้าหน้าท่ีน้ัน ในส่วนท่ี เก่ียวข้องกับการเมืองนั้น ความสัมพันธ์แบบอุปถัมภ์ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ทางการเมือง ซึง่ มลี กั ษณะพิเศษทแ่ี ตกตา่ งไปจากโครงสร้างทางการเมอื งแบบกลมุ่ กลา่ วคือ 4.1 ระบบนี้ข้นึ อยู่กบั ผูน้ �ำแต่เพียงฝา่ ยเดยี ว (ผู้อุปถมั ภ์) 4.2 การกอ่ ตวั และโครงสร้างของระบบ จะมีผู้น�ำเปน็ จุดศูนย์กลาง ไม่ใช่กลมุ่ ผูน้ �ำเปน็ คนที่ ท�ำใหเ้ กดิ ความสัมพนั ธ์ 4.3 ความสัมพันธ์ในระบบนี้ เป็นความสัมพันธ์ในแนวดิ่ง และเป็นความสัมพันธ์ระหว่าง คนสองคน ในความสมั พนั ธแ์ บบผอู้ ปุ ถมั ภแ์ ละลกู นอ้ งน้ี ถา้ จะมคี วามรสู้ กึ รว่ มกนั ระหวา่ ง ลูกนอ้ ง กเ็ ป็นเพราะว่าเขาตา่ งถือว่ามนี ายคนเดียวกนั 4.4 ผลประโยชน์ท่ีท�ำให้ผู้อุปถัมภ์และลูกน้องมีความสัมพันธ์ต่อกัน เป็นความสัมพันธ ์ เฉพาะเจาะจงมากกวา่ ผลประโยชนร์ ว่ มแบบกลุ่ม วัตถปุ ระสงคท์ ีผ่ ู้อุปถัมภแ์ ละลกู นอ้ ง คงความสมั พนั ธ์ตอ่ กันไว้ ไดแ้ ก่ การแสวงหาผลประโยชนข์ องแตล่ ะคน 4.5 ผลประโยชนท์ แ่ี ตล่ ะคนแสวงหา ผนั แปรไปตามความแตกตา่ งทางฐานะและอ�ำนาจ เชน่ ผอู้ ปุ ถมั ภต์ อ้ งการอ�ำนาจ และชอ่ื เสยี งเกยี รตยิ ศ สว่ นลกู นอ้ งตอ้ งการความคมุ้ ครองและ เงิน เปน็ ตน้ 4.6 สายใยแหง่ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งผอู้ ปุ ถมั ภก์ บั ลกู นอ้ งแตล่ ะคน ขน้ึ อยกู่ บั การตอบแทน ซงึ่ กนั และกนั โดยแตล่ ะฝา่ ยตอ้ งพยายามท�ำใหอ้ กี ฝา่ ยหนง่ึ เห็นวา่ เขายังมคี ่าแกก่ ารที่ เป็นผู้อุปถัมภห์ รอื ลกู นอ้ ง 4.7 ความสัมพนั ธ์แบบน้ี มคี วามเคลอ่ื นไหวเปลี่ยนแปลงคอ่ นขา้ งสงู และไมม่ ั่นคง 4.8 ความสัมพันธ์แบบนี้ มักประกอบไปด้วย การมีลูกน้องมากมายหลายช้ัน ต้ังแต่ช้ันที่ ใกล้ชิดผู้อุปถัมภ์มากท่ีสุดไปจนถึงผู้ที่รู้จักคุ้นเคยกันเพียงเล็กน้อย ลูกน้องท่ีใกล้ชิด เจา้ นายมากกม็ ักจะมลี ูกน้องของตนเองด้วย ดังนัน้ เขาจึงเป็นผูอ้ ุปถมั ภย์ อ่ ยๆ เชน่ กัน ส่วน Barend J. Terwiel (1984) ได้น�ำเสนอความสัมพันธ์แบบอุปถัมภ์ในสังคมไทย ความสมั พนั ธแ์ บบอปุ ถมั ภไ์ มใ่ ชเ่ รอ่ื งของความถกู ตอ้ งหรอื ไมถ่ กู กฎหมาย เมอ่ื ผอู้ ปุ ถมั ภห์ รอื ผถู้ กู อปุ ถมั ภ์ ไมไ่ ดท้ �ำตามหนา้ ทก่ี ไ็ มส่ ามารถน�ำมาลงโทษตามกฎหมายได้ โดยอดุ มการณแ์ ลว้ ผอู้ ปุ ถมั ภน์ นั้ เปน็ ผปู้ กปอ้ ง คมุ้ ครอง ใหค้ วามมน่ั ใจ และความเชอื่ มนั่ แกผ่ ถู้ กู อปุ ถมั ภ์ และในขณะเดยี วกนั ผถู้ กู อปุ ถมั ภก์ ต็ อ้ งซอื่ สตั ย์ เช่ือฟัง และให้ความช่วยเหลือผู้อุปถัมภ์โดยไม่ต้องขอร้อง รูปแบบของผู้อุปถัมภ์กับผู้ถูกอุปถัมภ์ มีการ
45 คบหากนั และมผี ลประโยชนใ์ หก้ ันและกนั ไม่เหมือนแบบแผนของลกั ษณะของครอบครวั ขยายของไทย ความสัมพันธ์ในระบบเจ้านาย ไม่เพียงแต่มีความสัมพันธ์ในระเบียบ กฎเกณฑ์ งานเท่านั้น แต่ยังได้รับ การคาดหวงั จากคนภายนอกทจี่ ะไดร้ บั ความสมั พนั ธ์ เชน่ ในระบบราชการ และหวงั วา่ จะไดร้ บั ความเออ้ื เฟอ้ื จากผอู้ ปุ ถมั ภ์ เมอื่ ผอู้ ปุ ถมั ภต์ อ้ งการจะชว่ ยผใู้ ตอ้ ปุ ถมั ภข์ องเขา คนในสว่ นอน่ื กจ็ ะถกู ลมื ไมไ่ ดร้ บั การดแู ล ม.ร.ว.อคนิ รพพี ฒั น์ มองวา่ ระบบอปุ ถมั ภเ์ ปน็ ผลมาจากความเชอื่ ของคนไทยในเรอื่ งบญุ กรรม และเรอื่ งตายแลว้ เกดิ ใหม่ เชน่ ความเชอื่ ทว่ี า่ ผทู้ เ่ี กดิ มาทา่ มกลางเงนิ ทองมที รพั ยส์ นิ อ�ำนาจ วาสนา เปน็ เพราะ กรรมที่ท�ำไว้แต่ปางก่อน คนเราเกิดมาไม่เท่าเทียมกันด้วยเหตุที่บุญบารมีที่ได้สะสมไว้แต่ปางก่อน แตกต่างกัน ท�ำให้คนไทยยอมรับความแตกต่างในฐานะต�ำแหน่งท่ีลดหลั่นเป็นชั้นๆ ว่าเป็นสิ่งท่ีเป็น ธรรมชาตแิ ละธรรมดา และยดึ ถอื ความแตกตา่ งเปน็ หลกั สงู ตำ�่ ของฐานะต�ำแหนง่ ในการจดั ระเบยี บทางสงั คม เมอ่ื มกี ารยดึ ถอื ความแตกตา่ งในระดบั สงู -ตำ�่ ของฐานต�ำแหนง่ เปน็ หลกั เราจงึ พบวา่ ความสมั พนั ธ ์ ระหว่างบุคคลที่แตกต่างกันในฐานะต�ำแหน่งเป็นแบบที่มีความส�ำคัญย่ิงในการจัดระเบียบทางสังคม ในด้านพฤติกรรมความสัมพันธ์ท่ีส�ำคัญและเห็นได้ง่ายก็คือ ความสัมพันธ์แบบผู้ใหญ่ - ผู้น้อย หรือ ความสัมพันธ์แบบลูกพ่ี - ลูกน้อง ความส�ำคัญแบบดังกล่าวเป็นความสัมพันธ์ท่ีต้ังอยู่บนรากฐานแห่ง ความไมเ่ สมอภาคในการแลกเปลยี่ นผลประโยชน์ ไมว่ า่ จะเปน็ ผลประโยชนใ์ นดา้ นเศรษฐกจิ การเมอื งหรอื สงั คมก็ตาม ซ่ึงความสัมพันธใ์ นลกั ษณะน้เี องท่เี ราเรยี กวา่ ความสัมพันธ์แบบอปุ ถมั ภแ์ ละผ้รู บั อุปถมั ภ์ ความสมั พนั ธแ์ บบอปุ ถมั ภเ์ ปน็ ความสมั พนั ธใ์ นแนวดงิ่ ทเี่ ปน็ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งผมู้ ที รพั ยากร ต่างกัน ทรัพยากรในท่ีนี้ไม่ได้หมายถึงทรัพย์สินแต่เพียงอย่างเดียว แต่หมายถึงอย่างอ่ืนๆ ซ่ึงอาจเป็น อ�ำนาจทางการเมือง สิทธิพเิ ศษทางสงั คม เปน็ ตน้ ผู้อุปถัมภ์อยู่ในฐานะที่เป็นเจ้าของทรัพยากรท่ีมีอยู่จ�ำกัด และเป็นท่ีต้องการของผู้รับอุปถัมภ์ ผู้รับอุปถัมภ์มักจะทราบว่าในการเข้าเป็นผู้รับอุปถัมภ์หรือเป็นลูกน้องของใคร ตนต้องการอะไร เช่น การคุ้มครองทางการเมืองหรือทางสังคม หรือความก้าวหน้าในต�ำแหน่งหน้าที่การงาน หรือฐานะทาง เศรษฐกิจ การที่ผู้รับอุปถัมภ์ทราบก็โดยเหตุที่ว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ตนต้องการและมักจะเป็นสิ่งที่น้อยคน จะสามารถใหแ้ กต่ นได้ แตผ่ รู้ บั อปุ ถมั ภจ์ ะไมส่ ามารถคาดการณไ์ ดแ้ นช่ ดั เลยวา่ ผอู้ ปุ ถมั ภจ์ ะใหต้ นหรอื ไมแ่ ละ เพยี งใด นอกจากนน้ั แลว้ ผรู้ บั อปุ ถมั ภซ์ ง่ึ เรยี กวา่ “ลกู นอ้ ง” จะไมท่ ราบแนช่ ดั วา่ ผอู้ ปุ ถมั ภซ์ งึ่ เรามกั เรยี กวา่ “เจ้านาย” หรือ “ลูกพ่ี” หรือ “เฮีย” จะต้องการให้ตนท�ำอะไรให้บ้าง เพ่ือที่ตนจะได้ในสิ่งที่ตนประสงค์ เช่น ข้าราชการชั้นผู้น้อยท่ีสร้างความสัมพันธ์แบบอุปถัมภ์กับผู้บังคับบัญชาเพ่ือให้ได้รับความก้าวหน้า ในต�ำแหน่งหน้าท่ีเป็นพิเศษ อาจจะต้องท�ำอะไรมากกว่าหน้าที่ในการงาน เช่น อาจเข้าไปรับใช้งาน ในบา้ นของเจา้ นายและอน่ื ๆ อกี เปน็ ตน้ หรอื ลกู ไรล่ กู นากบั เจา้ ของทดี่ นิ แบบอปุ ถมั ภอ์ าจตอ้ งสนบั สนนุ ลูกพีเ่ จา้ ของท่ีดินในทางการเมอื ง เชน่ ลงคะแนนเสยี งเลือกก�ำนนั ผูใ้ หญบ่ า้ น ชว่ ยหาเสยี งให้ หรืออาจ ถงึ ขนาดตอ้ งก�ำจัดศตั รคู ่แู ข่งของผอู้ ุปถัมภก์ ไ็ ด้
46 การศึกษาความเคล่อื นไหวทางการเมอื งและพฤตกิ รรมการเลือกตัง้ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร 2562 จงั หวัดอบุ ลราชธานี จะเห็นไดว้ ่าในการแลกเปล่ียนระหวา่ งผ้อู ปุ ถมั ภ์และผู้รับอปุ ถมั ภ์ ผอู้ ุปถมั ภ์มสี ่วนได้เปรียบอยู่ ในเน้ือแท้ของความสัมพันธ์ (คือมีฐานอ�ำนาจในการต่อรองสูงกว่า) ทั้งนี้เพราะผู้อุปถัมภ์จะเป็นหน่ึงใน ไม่ก่ีคนที่มีทรัพยากรมากเพียงพอท่ีจะจ่ายให้ลูกน้องจนพอใจได้ ดังนั้นผู้อุปถัมภ์จึงเป็นผู้เลือกว่าจะให้ การอุปถมั ภ์แก่ใครและเป็นผู้ก�ำหนดว่าผรู้ ับอปุ ถมั ภค์ วรใหบ้ รกิ ารอะไรแก่ตน การท่ีผู้อุปถัมภ์จะได้เปรียบมากน้อยเพียงไร หรือผู้รับการอุปถัมภ์จะถูกเอาเปรียบมากน้อย เพียงไร ย่อมข้ึนอยู่กับอุปสงค์และอุปทานของสิ่งของท่ีผู้รับอุปถัมภ์ประสงค์ประการหน่ึง และอุปสงค์ อุปทานของสิ่งท่ีผู้อุปถัมภ์ต้องการจากผู้รับอุปถัมภ์ประการหน่ึง เช่น ถ้าหากมีแหล่งเงินกู้มากมายและ มีเงินกู้เพียงพอ ในความสัมพันธ์แบบอุปถัมภ์ระหว่างเจ้าของเงินกู้กับลูกหน้ี ผู้รับอุปถัมภ์ก็จะได้รับ การปฏิบัติอย่างดีจากผู้อุปถัมภ์ (เพื่อดึงดูดผู้รับอุปถัมภ์ไว้) หรือกรณีการเลือกตั้งผู้รับอุปถัมภ์อาจได้รับ การปฏบิ ัตติ อ่ อย่างดี เพราะคะแนนเสียงของเขามคี วามส�ำคัญต่อผ้อู ปุ ถมั ภ์ เปน็ ต้น โดยทั่วไปจะเห็นได้ว่าความสัมพันธ์แบบอุปถัมภ์ในท้องถ่ินไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับ การเปล่ียนแปลงที่เกิดข้ึนในระยะหลังๆ ได้ ความสัมพันธ์แบบอุปถัมภ์ตามความหมายในอุดมคติคือ การที่ผู้อุปถัมภ์คอยปกป้องค้�ำจุนผู้รับอุปถัมภ์ ผู้รับอุปถัมภ์ก็จะท�ำงานรับใช้ให้บริการแก่ผู้อุปถัมภ์เป็น การแสดงความกตัญญู ค�ำสามัญใช้เรียกผู้อุปถัมภ์ (patron) และผู้รับอุปถัมภ์ (client) ก็เป็นค�ำในระบบ ครอบครัว คือ “ลูกพี่” และ “ลูกน้อง” ดังน้ัน บทบาทในอุดมคติของผู้อุปถัมภ์ (patron) กับผู้รับอุปถัมภ์ (client) กค็ อื บทบาทของบดิ ากับบตุ ร หรอื พี่กับน้องน่นั เอง โดยค�ำจ�ำกัดความตามระบบอุปถัมภ์ ผู้ได้ประโยชน์มากคือผู้อุปถัมภ์ แต่ผู้อุปถัมภ์จะต้อง รับผิดชอบต่อการกินดีอยู่ดีของผู้รับอุปถัมภ์ด้วย กฎแห่งศีลธรรมของระบบอุปถัมภ์คือ การตอบแทน ซ่ึงกันและกันเป็นหลักส�ำคัญ แต่ปัจจุบันนี้การเอารัดเอาเปรียบผู้ท่ีอยู่ในฐานะที่ด้อยกว่ามีมากข้ึน ผลท่ีจะเกิดตามมาก็อาจเป็นการรวมตัวของชนช้ันผู้รับอุปถัมภ์เพ่ือช่วยเหลือตนเอง ซึ่งมีลักษณะของ การเกดิ ช้ันทางสงั คม 3.1 ลกั ษณะของความสมั พันธแ์ บบผู้อุปถมั ภแ์ ละผู้รับอุปถัมภ์ หากเราตอ้ งการทจ่ี ะวเิ คราะหโ์ ครงสรา้ งทใ่ี หญก่ วา่ สายสมั พนั ธเ์ พยี งสายเดยี วระหวา่ งผอู้ ปุ ถมั ภ์ และผู้รับอุปถัมภ์ซึ่งรวมเอาสายสัมพันธ์เช่นที่กล่าวข้างต้นหลายสายด้วยแล้ว จะต้องพิจารณาค�ำศัพท ์ สองค�ำท่สี �ำคัญ (เจมส์ ซี สกอตต,์ 2545, น. 57-58) ประการแรกเมื่อเราพูดถึงผู้ติดตามท่ีใกล้ชิดของผู้อุปถัมภ์ในลักษณะของผู้รับอุปถัมภ์ท่ีผูกพัน กบั เขาโดยตรง เราจะเรียกวา่ ผ้อู ปุ ถมั ภ์และผ้รู บั อปุ ถมั ภ์แบบกล่มุ (patron-client cluster) สว่ นค�ำศัพทท์ ี่สองขยายขนาดเพม่ิ จากกลุม่ (cluster) แต่ยังคงมีศูนยก์ ลางอย่ทู ่บี ุคคลเดียวและ มีสายสัมพันธ์ตามแนวตั้งเรียกว่า ผู้อุปถัมภ์และผู้รับอุปถัมภ์แบบปิรามิด (patron – client pyramid) ลกั ษณะของทัง้ สองแบบอาจแสดงไดด้ งั นี้
47 แผนภาพที่ 2 เปรียบเทียบลักษณะสายสมั พันธร์ ะบบอุปถัมภ์ Patron-client cluster Patron-client pyramid แมว้ า่ สายสมั พนั ธใ์ นแนวตงั้ จะเปน็ หวั ใจของระบบอปุ ถมั ภ์ แตเ่ รายงั ตอ้ งการวเิ คราะหส์ ายสมั พนั ธค์ ่ ู ตามแนวราบเป็นบางครั้ง เช่น ระหว่างผู้อุปถัมภ์ 2 คน ที่มีฐานะใกล้เคียงกันที่ร่วมกันเป็นพันธมิตร ลกั ษณะของพนั ธมติ รดงั กลา่ วจะเปน็ ฐานทท่ี �ำใหเ้ กดิ กลมุ่ แตกแยก(factions) ในการเมอื งระดบั ทอ้ งถนิ่ ได้ ท้ายทสี่ ดุ เครือข่ายของผอู้ ปุ ถัมภ์และผรู้ บั อุปถัมภ(์ patron-client networks) จะไม่ไดม้ ีศูนยร์ วมทีบ่ ุคคลใด บคุ คลหนง่ึ (ego-focused) แตห่ มายถงึ รปู แบบทง้ั หมดของสายสมั พนั ธร์ ะหวา่ งผอู้ ปุ ถมั ภก์ บั ผรู้ บั อปุ ถมั ภ์ (รวมพนั ธมติ รของผอู้ ปุ ถมั ภต์ ามแนวนอนดว้ ย) ซง่ึ เชอื่ มผเู้ กยี่ วขอ้ งทงั้ หมดเขา้ ไวด้ ว้ ยกนั ในอาณาเขตหรอื ชมุ ชนหน่งึ ๆ กลมุ่ ผอู้ ปุ ถมั ภแ์ ละผรู้ บั อปุ ถมั ภ์ (cluster) เปน็ วธิ กี ารหนง่ึ ในหลายๆ ทางทป่ี ระชาชนทไ่ี มไ่ ดเ้ ปน็ ญาติสนทิ กนั มาร่วมมอื กัน รูปแบบของการร่วมมอื อ่นื ๆ ส่วนมากจะเกีย่ วพันกบั การจัดระเบยี บองค์การ ทมี่ กี ารจดั ประเภทของสายสมั พนั ธ์ (categorical ties) ทงั้ ทเี่ ปน็ รปู แบบทเี่ ปน็ ประเพณี เชน่ เชอ้ื ชาติ ศาสนา หรอื วรรณะ และทเี่ ปน็ แบบสมยั ใหม่ เชน่ อาชพี หรอื ชน้ั ทางสงั คม ซงึ่ ท�ำใหเ้ กดิ กลมุ่ ตา่ งๆ ทมี่ คี วามแตกตา่ ง ดา้ นพน้ื ฐานทางโครงสร้างและพลวตั ลักษณะแตกต่างที่ส�ำคัญอื่นๆ ระหว่างกลุ่มประเภทอ่ืนกับกลุ่มผู้อุปถัมภ์และผู้รับอุปถัมภ์ จะเปน็ ไปตามหลกั ของการจดั ตง้ั กลมุ่ โดยเฉพาะ ดงั ทป่ี รากฏในงานของ คารล์ แลนเด (Carl Lande) ดงั นี้ (เจมส์ ซี สกอตต์, 2545, น. 59-60) 1. เป้าหมายของสมาชิก ผู้รับอุปถัมภ์มีเป้าหมายเฉพาะที่ข้ึนอยู่กับความสัมพันธ์ส่วนตัวที่มี ตอ่ หวั หนา้ ในขณะทกี่ ลมุ่ แยกประเภทมเี ปา้ หมายรว่ มกนั ทเี่ กดิ ขนึ้ จากการมลี กั ษณะรว่ มกนั บางประเภททีช่ ่วยแยกใหแ้ ตกต่างไปจากสมาชิกของกลุ่มอ่ืน
48 การศึกษาความเคล่อื นไหวทางการเมืองและพฤตกิ รรมการเลอื กต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดอบุ ลราชธานี 2. การปกครองตนเองของผนู้ �ำ ผอู้ ปุ ถมั ภม์ สี ทิ ธใิ์ นการปกครองตนเองสงู ในการเลอื กพนั ธมติ ร และการตัดสินใจในเร่ืองของนโยบายนานตราบเท่าที่เขาสามารถสนองตอบความต้องการ พ้ืนฐานของผู้รับอุปถัมภ์ของตน ในขณะท่ีผู้น�ำของกลุ่มแยกประเภทจะต้องยอมรับ ผลประโยชน์รวมของกล่มุ ท่เี ขาเปน็ ผนู้ �ำเป็นส�ำคญั 3. เสถยี รภาพของกลมุ่ กลมุ่ ผอู้ ปุ ถมั ภแ์ ละผรู้ บั อปุ ถมั ภ์ (patron-client cluster) มพี นื้ ฐานอยทู่ ่ี สายสัมพันธ์ในแนวตั้งท่ีเปิดเฉพาะของกลุ่มนั้นๆ และท่ีส�ำคัญขึ้นอยู่กับความสามารถ ของผ้นู �ำทจี่ ะท�ำใหเ้ กดิ การขยายตัว หรอื สลายตัวที่เกย่ี วเนื่องกบั ทรพั ยากรทเี่ ขามีอยู่ และ ขนึ้ อยกู่ บั ความสามารถทจี่ ะสนองตอบตอ่ ขอ้ เรยี กรอ้ งของผอู้ ปุ ถมั ภไ์ ด้ ในทางตรงขา้ มกลมุ่ แยกประเภท (categorical group) มพี นื้ ฐานอยทู่ คี่ ณุ สมบตั ริ ว่ มกนั ของสมาชกิ ตามแนวนอน เพราะฉะนน้ั การคงอยขู่ องกลมุ่ จงึ ไมข่ น้ึ อยกู่ บั คณุ สมบตั ขิ องหวั หนา้ และจะยงั คงขนึ้ อยกู่ บั กิจกรรมหรือผลประโยชน์ (บ่อยครงั้ ในเรอื่ งนโยบาย) ร่วมกนั ของสมาชกิ 4. ส่วนประกอบของกลุ่ม กลุ่มผู้อุปถัมภ์และผู้รับอุปถัมภ์พิจารณาจากการก�ำเนิดของกลุ่ม จะมีแนวโน้มท่ีมีลักษณะหลากหลายจากช้ันทางสังคมที่เข้าร่วมในกลุ่มมากกว่ากลุ่มแยก ประเภท ซึ่งการเกิดข้ึนอยู่กับคุณลักษณะเฉพาะที่สมาชิกมีร่วมกันอยู่ โดยค�ำจ�ำกัดความ ผอู้ ปุ ถมั ภแ์ ละผรู้ บั อปุ ถมั ภแ์ บบปริ ามดิ จะรวมเอาคนทมี่ คี วามแตกตา่ งในการจดั ฐานะต�ำแหนง่ ในขณะที่กลุ่มแยกประเภทอาจจะเป็นหรือไม่เป็นกลุ่มของคนที่มีสถานภาพท่ีเป็นอันหนึ่ง อันเดียวกัน (homogeneous in status) 5. การรว่ มมอื ของกลมุ่ ในความเปน็ จรงิ กลมุ่ ผอู้ ปุ ถมั ภแ์ ละผรู้ บั อปุ ถมั ภ์ (patron-client cluster) ไม่ใชก่ ล่มุ (group) ท่แี ท้จรงิ ซง่ึ เราอาจเรยี กไดว้ ่าเปน็ “ชุดกจิ กรรม” (action set) ทร่ี วมกนั อยู่ได้เพราะความสัมพันธ์ในแนวต้ังกับหัวหน้าเท่าน้ัน สายสัมพันธ์ท่ีหัวหน้าท�ำให้เกิดขึ้น ทง้ั หมดหรอื เพยี งบางสว่ นกไ็ ด้ บรวิ ารหรอื ผตู้ ดิ ตาม (followers) จะไมม่ คี วามสมั พนั ธโ์ ดยตรง ตอ่ กนั และกนั และโดยแทจ้ รงิ แลว้ อาจจะไมร่ จู้ กั กนั เลย ในทางตรงขา้ มในกลมุ่ แยกประเภท สมาชิกมักจะเชื่อมโยงกันตามแนวนอนกับระดับท่ีเราจะเรียกว่ากลุ่ม (group) ท่ีเป็นอิสระ จากหวั หน้า 3.2 ประเภทของระบบอุปถมั ภ์ อาจแยกความแตกต่างระหว่างความสัมพันธ์ท่ีเป็นไปตามค�ำนิยามของสังคมในการที่ผู้รับ อุปถัมภ์จะยอมรับฐานะท่ีด้อยกว่าของตนภายใต้ระบบบิดาอุปถัมภ์(patrimonial) และความสัมพันธ์อีก แบบหนง่ึ ทมี่ ลี กั ษณะของการใชอ้ �ำนาจกดขโี่ ดยผทู้ มี่ อี �ำนาจอนั เนอ่ื งมาจากการเปลยี่ นแปลงทางเศรษฐกจิ การเมอื งทที่ �ำให้การยอมรับสทิ ธิของการใช้อ�ำนาจอย่างชอบธรรมตามประเพณีลดลง (แอนโทนี่ ฮอลล,์ 2545, น. 30-33)
49 1. ระบบบดิ าอปุ ถมั ภ์ ผอู้ ปุ ถมั ภจ์ ะท�ำหนา้ ทค่ี ลา้ ยๆ ครอบครวั ขยาย ทหี่ วั หนา้ ครอบครวั จะเปน็ ผู้รับผิดชอบในสวัสดิการของผู้ท่ีอยู่ใต้อ�ำนาจตน ซ่ึงรวมทั้งครอบครัวของข้าทาสและ แรงงานอิสระ ในสถานการณ์น้ี รัฐบาลกลางไม่เข้มแข็งและชุมชนอยู่ค่อนข้างจะโดดเด่ียว ความสัมพันธ์แบบอุปถัมภ์ในลักษณะน้ีจึงเป็นทางเลือกของชาวไร่ชาวนาที่ต้องการ การคุ้มครองจากผู้อุปถัมภ์ท่ีมีอ�ำนาจ ซึ่งในท�ำนองเดียวกัน ผู้ท่ีสามารถปกป้องคุ้มครอง ชาวไร่ชาวนาย่อมจะได้รับการยอมรับและสนับสนุนทางการเมืองจากผู้รับอุปถัมภ์นั่นเอง ในสงั คมปจั จบุ นั ประชากรอาจยงั ตอ้ งพงึ่ พาผอู้ ปุ ถมั ภโ์ ดยมคี า่ นยิ มบางอยา่ งเปน็ ตวั สนบั สนนุ โอกาสที่ผู้มีอ�ำนาจจะกดข่ีเบียดบังย่อมเป็นไปได้ ตราบเท่าที่ระบบอุปถัมภ์ยังคงช่วยให้ ชาวไรช่ าวนาด�ำรงชีวิตอยไู่ ด้ ชาวไร่ชาวนาจะหันเข้าหาผ้อู ุปถัมภ ์ 2. ระบบการใชอ้ ำ� นาจกดขี่ เปน็ ลกั ษณะทผี่ อู้ ปุ ถมั ภ์ หรอื เจา้ ทนี่ าไดห้ นั มาใชว้ ธิ กี ารกดขคี่ วบคมุ ผรู้ บั อปุ ถมั ภม์ ากขน้ึ การขม่ ขู่ และความรนุ แรง และแมก้ ระทงั่ การฆาตกรรม เปน็ เรอื่ งปกติ ธรรมดา การยอมรับในสิทธิและการเช่ือฟังเจ้าท่ีนาในช่วงบิดาอุปถัมภ์ได้รับการท้าทาย ในรปู ของการตอ่ ตา้ นไมพ่ อใจ และนเี่ ปน็ จดุ เรมิ่ ตน้ ของการเปลยี่ นแปลงทางสงั คม นอกจากนี้ การผูกขาดที่ดินของชนช้ันนายทุนใหม่ และการท่ีชาวไร่ชาวนาได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับ การตลาดสมัยใหม่มีผลในทางท�ำลายความชอบธรรมของผู้อุปถัมภ์แบบประเพณีที่เคยมี และไดส้ รา้ งความรสู้ กึ ในหมชู่ าวไรช่ าวนาวา่ ถกู กดข่ี อนั น�ำไปสกู่ ารลกุ ฮอื กอ่ ความไมส่ งบขนึ้ 3.3 ระบบอปุ ถัมภใ์ นวงกวา้ ง อิทธิพลของความสัมพันธ์ระหว่างผู้อุปถัมภ์และผู้รับอุปถัมภ์ขยายขอบเขตกว้างไกลกว่าที่จะ จ�ำกดั อยเู่ ฉพาะในชมุ ชนหรอื ในชนบทเทา่ นนั้ ระบบอปุ ถมั ภย์ งั มคี วามส�ำคญั ในการชว่ ยเชอ่ื มโยงโครงสรา้ ง อ�ำนาจระหวา่ งชนบทและเมือง และเปน็ ลู่ทางของการแสวงหาผลประโยชน์ ใน “สงั คมทก่ี ำ� ลงั พฒั นา” เสน้ สายของความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งผอู้ ปุ ถมั ภแ์ ละผรู้ บั อปุ ถมั ภส์ ามารถ เช่อื มโยงบคุ คลทีม่ ีสถานภาพต�ำ่ ไปจนถึงบุคคลระดบั ชาติ โดยไม่จ�ำเปน็ ต้องผกู ตดิ อยกู่ ับระบบราชการที่ คอ่ นขา้ งเขม้ งวดเกนิ ไป ในขนั้ ตน้ ของการพฒั นาอตุ สาหกรรม ผอู้ ปุ ถมั ภต์ ามประเพณอี าจสามารถชว่ ยเหลอื ผู้รับอุปถัมภ์ของตนในการติดต่อกับระบบราชการ ทั้งนี้ โดยเหตุที่เจ้าท่ีดิน(ผู้อุปถัมภ์) มีความสามารถ ที่จะติดต่อกับเจ้าหน้าท่ีซ่ึงมีฐานะเท่าเทียมกันหรืออาจเป็นเพราะตนเองเป็นผู้รับอุปถัมภ์ของผู้อุปถัมภ์ ท่ีมีอ�ำนาจมากกว่าต่อๆ กันไปจนถึงระดับชาติ อย่างไรก็ตาม ในท่ีสุดแล้ว ผู้อุปถัมภ์ตามประเพณีที่มี บทบาทในหลายๆ ดา้ น (เชน่ ทางเศรษฐกจิ สงั คม การเมอื ง) จะถกู แทนทโี่ ดยผอู้ ปุ ถมั ภท์ มี่ อี �ำนาจเฉพาะ ด้านและจ�ำกดั อยเู่ ฉพาะในระบบราชการ หรือองค์การตา่ งๆ เชน่ เจ้าหน้าท่ีของรัฐบาล และครู เป็นต้น (แอนโทน่ี ฮอลล์, 2545, น. 33-34)
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214