Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 55นักการเมืองถิ่นเพชรบูรณ์

55นักการเมืองถิ่นเพชรบูรณ์

Description: เล่มที่55นักการเมืองถิ่นเพชรบูรณ์

Search

Read the Text Version

นักการเมืองถ่ินจังหวัดเพชรบูรณ์ โดย ปริญญา สร้อยทอง ข้อมูลทางบรรณานุกรมของสำนักหอสมุดแห่งชาติ National Library of Thailand Cataloging in Publication Data ปรญิ ญา สรอ้ ยทอง. นกั การเมอื งถน่ิ จงั หวดั เพชรบรู ณ-์ - กรงุ เทพฯ : สถาบนั พระปกเกลา้ , 2559. 236 หน้า. 1. นักการเมือง - - เพชรบูรณ์. 2. เพชรบรู ณ์ - - การเมืองการปกครอง l. ชื่อเรื่อง. 342.2092 ISBN 978-974-449-XXX-X รหสั ส่ิงพิมพ์ของสถาบันพระปกเกลา้ สวพ.59-XX-500.0 เลขมาตรฐานสากลประจำหนงั สือ 978-974-449-XXX-X ราคา พมิ พ์ครั้งที่ 1 กันยายน 2559 จำนวนพมิ พ ์ 500 เล่ม ลขิ สิทธิ สถาบันพระปกเกล้า ทปี่ รกึ ษา ศาสตราจารย์(พิเศษ)นรนิติ เศรษฐบุตร รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต รองศาสตราจารย์ ดร.ปรีชา หงษ์ไกรเลิศ รองศาสตราจารย์พรชัย เทพปัญญา ดร.ถวิลวดี บุรีกุล ดร.สติธร ธนานิธิโชติ ผแู้ ต่ง ปริญญา สร้อยทอง ผูพ้ มิ พ์ผ้โู ฆษณา สถาบันพระปกเกล้า จัดพิมพโ์ ดย สถาบันพระปกเกล้า ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาฯ อาคารรัฐประศาสนภักดี ชั้น 5 (โซนทิศใต้) เลขที่ 120 หมู่ 3 ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ 10210 โทรศัพท์ 02-141-9607 โทรสาร 02-143-8177 http://www.kpi.ac.th พิมพท์ ี่ บริษัท เอ.พี. กราฟิค ดีไซน์และการพิมพ์ จำกัด 745 ถนนนครไชยศรี แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต กรุงเทพฯ 10300 โทรศัพท์ 02-243-9040-4 โทรสาร 02-243-3225

นักการเมืองถิ่น จังหวัดเพชรบูรณ์ ปริญญา สร้อยทอง สถาบันพระปกเกล้า

คำนำ รายงานการศึกษาวิจัยเรื่อง “นักการเมืองถ่ินจังหวัด เพชรบูรณ์” ได้ดำเนินการรวบรวมข้อมูลจากเอกสาร การสัมภาษณ์นักการเมืองและบุคคลที่เกี่ยวข้องโดยนำข้อมูล มารวบรวมวิเคราะห์และนำเสนอเพื่อแสดงให้เห็นถึงภูมิหลัง ของนักการเมืองสถิติการเลือกตั้งรูปแบบเครือข่ายความสัมพันธ์ ของนักการเมืองกับประชาชนรวมไปถึงบทบาทของนักการเมือง ถิ่นจังหวัดเพชรบูรณ์ การวิจัยนี้สำเร็จลุล่วงด้วยดีโดยได้รับ ความช่วยเหลือและสนับสนุนจากบุคคลหลายฝ่าย ได้แก่ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วัลลภัช สุขสวัสดิ์ ที่ปรึกษางานวิจัย ในครั้งนี้ และว่าที่ ร.ต. ธีรยุทธ คุ้มเวช ผู้ช่วยนักวิจัย ขอขอบพระคุณสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเพชรบูรณ์

นักการเมืองถิ่นจังหวัดเพชรบูรณ์ รวมทั้งบุคคลผู้ให้ข้อมูลทุกท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดร.วิศัลย์ โฆษิตานนท์ ในการให้ความอนุเคราะห์และให้ข้อมูลของ นักการเมืองถิ่นจังหวัดเพชรบูรณ์ และสำนักวิจัยและพัฒนา สถาบันพระปกเกล้าที่ได้สนับสนุนทุนวิจัยผู้วิจัยต้องขอขอบคุณ ไว้เป็นอย่างสูง ปริญญา สร้อยทอง ผูว้ จิ ัย

บทคัดย่อ โครงการสำรวจเพื่อประมวลข้อมูลนักการเมืองถิ่น จังหวัดเพชรบูรณ์ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาข้อมูลเบื้องต้น ของนักการเมืองระดับชาติที่เคยได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรในจังหวัดเพชรบูรณ์ 2) ศึกษาบทบาทของ เครือข่ายและกลุ่มผลประโยชน์ในการสนับสนุนนักการเมือง ให้ได้รับการเลือกตั้ง และ 3) ศึกษาวิธีการการหาเสียงของ นักการเมืองถิ่นในจังหวัดเพชรบูรณ์ โดยเครื่องมือในการศึกษา ได้แก่ ข้อมูลจากเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การสัมภาษณ์ เชิงลึกและการสังเกตการณ์ในพื้นที่ การจัดการกับข้อมูล ใช้วิธีการจัดระบบข้อมูลแล้วนำมาวิเคราะห์และนำเสนอเชิง พรรณนา ผลการศึกษาในประเด็นเรื่องข้อมูลนักการเมืองระดับ ชาติที่เคยได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พบว่า

นักการเมืองถ่ินจังหวัดเพชรบูรณ์ นักการเมืองถิ่นจังหวัดเพชรบูรณ์ ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย สามารถจำแนกตามอาชีพออกได้ 4 กลุ่ม คือ กลุ่มอดีต ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ กลุ่มนักธุรกิจ กลุ่มนักกฎหมาย และกลุ่มนักการเมืองท้องถิ่น โดยแต่ละกลุ่มได้รับการเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในจำนวนใกล้เคียงกัน ประเด็นเรื่องบทบาทของเครือข่ายและกลุ่มผลประโยชน์ ในการสนับสนุนนักการเมืองถิ่นให้ได้รับการเลือกตั้ง พบว่า เครือข่ายและกลุ่มผลประโยชน์ในการสนับสนุนนักการเมืองถิ่น ให้ได้รับการเลือกตั้งสามารถจำแนกออกได้เป็น 5 กลุ่ม คือ 1. กลุ่มครอบครัวและเครือญาติ 2. กลุ่มผลประโยชน์ทางธุรกิจ 3. กลมุ่ การเมอื งระดบั ชาติ (พรรคการเมอื ง) 4. กลมุ่ ผลประโยชน์ ทางสังคม และ 5. กลุ่มการเมืองท้องถิ่นและท้องที่ ซึ่งแต่ละ กลุ่มมีความเชื่อมโยงกันทางบวกต่อกันและกัน นอกจากนี้ ยังพบว่าเครือข่ายที่มีบทบาทสำคัญที่สุดต่อการได้รับการ เลือกตั้งคือกลุ่มครอบครัวและเครือญาติ รองลงมาคือ กลุ่มการเมืองท้องถิ่นและท้องที่ ประเด็นเรื่องวิธีการหาเสียงในการเลือกตั้งของ นักการเมืองถิ่นจังหวัดเพชรบูรณ์พบว่า นักการเมืองถิ่น มีขั้นตอนในการหาเสียงดังนี้ 1. วางแผนการหาเสียง 2. หาเสียง โดยประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบถึงประวัติส่วนตัวของ ผู้สมัครผ่านสื่อต่างๆ 3. หาเสียงโดยการปราศรัยต่อสาธารณชน และ 4. หาเสียงแบบเข้าถึงตัวผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง นอกจากนี้ยังพบว่านักการเมืองถิ่นมีวิธีการหาเสียงหลาย VII

นักการเมืองถิ่นจังหวัดเพชรบูรณ์ รูปแบบ เช่น การหาเสียงแบบเข้าถึงประชาชนโดยใช้ความ สามารถและบุคลิกเฉพาะตัว การลงพื้นที่พบปะประชาชน การแจกสิ่งของและการจัดเลี้ยงก่อนลงสมัครรับเลือกตั้ง การ เข้าร่วมงานพิธีต่างๆ ทั้งของภาครัฐและเอกชน โดยรูปแบบ ที่สำคัญที่สุดคือการลงพื้นที่พบปะประชาชนร่วมกิจกรรมอย่าง ต่อเนื่องกลยุทธและวิธีการในการหาเสียงของนักการเมือง ในจังหวัดลำพูนจะเน้นทางด้านการเข้าร่วมงานประเพณีและ วัฒนธรรม รวมทั้งการมีส่วนร่วมในการการบริจาคในชุมชน เพื่อให้เป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับจากประชาชน VIII

Abstract The objectives of this study are 1) to study basic information of local politicians who were elected as the representatives of Phetchabun Province, 2) to study the roles of networks and interest groups in assisting local politicians to be elected, and 3) to study election campaigns of local politicians in Phetchabun Province. The study draws on data from documention, related research, in-depth interviews and observation. The data are complied, systematized, analyzed, and descriptively presented. Firstly, in regard to basic information of local politicians who were elected as representatives in Phetchabun Province, it is found that the majority of local politicians are male. Their occupation can be categorized into four categories, with each

นักการเมืองถ่ินจังหวัดเพชรบูรณ์ group elected in the same proportion: retired government officers, businessmen, lawyers, and local politicians. Secondly, concerning the role of networks and interest groups in assisting local politicians to be elected, it is discovered that the powerful networks and interest groups are 1) family and relatives, 2) business interest, 3) national politics, 4) social interest groups and 5) local politicians. Additionally, it is revealed that the most powerful networks and interest group are the groups of families and relatives, followed by the groups of local politicians. Finally, with regard to election campaigns of local politicians in Phetchabun Province, the study reveals that there are four steps to election campaigns. These are 1) campaign planning, 2) campaign speeches presenting personal information of the politician through many form of media, 3) public campaigning, and 4) face–to–face talks with local voters. Moreover, it is found that local politicians in Phetcabun Province employ many campaign strategies such as a face–to –face communication, providing things and meals to villagers before the election period, and participating in both public and private events. The most important strategy for an election campaign is constant face–to–face communication with local villagers.

สารบัญ หน้า คำนำ IV บทคดั ย่อ VI Abstract IX บทที่ 1 บทนำ 1 ความเป็นมาและความสำคัญ 1 วัตถุประสงค์ 3 ขอบเขตของการศึกษา 3 พื้นที่ในการศึกษา 4 วิธีการศึกษา 4 การวิเคราะห์ข้อมูลและผลการศึกษา 4 ระยะเวลาทำการศึกษา 4 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 4 บทที่ 2 ทบทวนวรรณกรรมและงานวจิ ยั ทเี่ ก่ยี วข้อง 6 ทฤษฎีเกี่ยวกับผู้นำ 6 แนวคิดเกี่ยวกับระบบอุปถัมภ์และระบบเครือญาติ 20

นักการเมืองถิ่นจังหวัดเพชรบูรณ์ หนา้ แนวคิดเกี่ยวกับการรณรงค์ทางการเมือง 23 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 31 บทที่ 3 วธิ ีดำเนนิ การวจิ ัย 52 - ข้อมลู ทั่วไปจังหวัดจังหวัดเพชรบูรณ์ 52 - สถิติการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาและ 74 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร - สรุปข้อมูลผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 88 จังหวัดเพชรบูรณ์ วันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2544 และ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 - สรุปข้อมูลผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 93 จังหวัดเพชรบรู ณ์ 2 ครั้งหลัง วันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2550 และ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 - นักการเมืองถิ่นในจังหวัดเพชรบูรณ์ 94 ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2476 – ถึงปัจจุบัน - เครือข่ายและกลุ่มผลประโยชน์ในการสนับสนุน 132 นักการเมือง - วิธีการการหาเสียงของนักการเมืองถิ่นจังหวัดเพชรบูรณ์ 144 - บทส่งท้ายการวิเคราะห์การเมืองในจังหวัดเพชรบูรณ์ 150 - การวิเคราะห์การเมืองในจังหวัดเพชรบรู ณ์ 151 บทที่ 4 สรปุ ผลการศกึ ษา 156 สรุปและอภิปรายผล 156 ข้อเสนอแนะ 177 บรรณานกุ รม 180 ภาคผนวก 185 ภาคผนวก ก 185 ภาคผนวก ข 187 XII

นักการเมืองถิ่นจังหวัดเพชรบูรณ์ ภาคผนวก ค ภาคผนวก ง หนา้ ประวตั ินกั วิจยั 189 193 217 XIII

นักการเมืองถ่ินจังหวัดเพชรบูรณ์ สารบัญตาราง ตารางท ่ี หนา้ 1 แสดงจำนวนประชากรในจังหวัดเพชรบูรณ์ ปี พ.ศ.2545 – พ.ศ.2550 68 2 แสดงจำนวนประชากรในจังหวัดเพชรบูรณ์ ปี พ.ศ.2551 – พ.ศ.2557 69 3 แสดงข้อมูลการแบ่งเขตการปกครองจังหวัดเพชรบูรณ์ 73 4 แสดงผลการใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา 75 เมื่อวันที่ 4 มี.ค. 2543 และ 29 เม.ย. 2543 5 แสดงที่ได้รับการเลือกตั้งและผู้สมัครรับเลือกตั้ง 76 เมื่อวันที่ 6 ม.ค. 2544 6 แสดงผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งและผู้สมัครรับเลือกตั้ง 80 เมื่อวันที่ 6 ก.พ. 2548 7 แสดงผลการใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 83 เมื่อวันที่ 6 ม.ค. 2544 8 แสดงผลการใช้สิทธิเลือกตั้งซ่อมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 84 เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2544 9 แสดงผลการใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 85 เมื่อวันที่ 6 ก.พ. 2548 10 ผลการใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง 86 วันที่ 6 ก.พ. 2548 11 แสดงผลการใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ 87 เมื่อวันที่ 6 ก.พ. 2548 12 แสดงผลสถิติเปรียบเทียบการมาใช้สิทธิเลือกตั้ง 92 ปี พ.ศ.2550 และ ปี พ.ศ.2554 13 แสดงรายชื่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเพชรบรู ณ์ 113 ตั้งแต่ปี พ.ศ.2476 – ปัจจุบัน 14 แสดงรายชื่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเพชรบรู ณ์ 120 อาชีพ การศึกษา สังกัดพรรคการเมือง และตำแหน่งทางการเมือง ตั้งแต่ปี พ.ศ.2476 – ปัจจุบัน 15 แสดงเครือข่ายนักการเมืองถิ่นจังหวัดเพชรบูรณ์ 134 16 แสดงบทสรุปข้อมูลนักการเมืองถิ่นเพชรบรู ณ์ 158 XIV

บ1ทท ่ี บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญ โครงการการวิจัยสำรวจเพื่อประมวลข้อมูลนักการเมือง ถิ่น : จังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นส่วนหนึ่งของโครงการสำรวจเพื่อ ประมวลข้อมูลนักการเมืองถิ่นในพื้นที่จังหวัดต่างๆ ที่สำนักวิจัย และพัฒนา สถาบันพระปกเกล้า ได้จัดสรรทุนสนับสนุนให้ นักวิชาการในภูมิภาคแบ่งกันทำการศึกษาวิจัย โดยมีฐานทาง ความคิดว่าการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบ ประชาธิปไตยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475 ได้สร้างระบบการเมืองแบบที่ ประชาชนเลือกผู้แทนราษฎรของตนเข้าไปทำหน้าที่กำหนด นโยบายสาธารณแทนตน ทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่น ที่ผ่านมาในระดับชาติประเทศไทยจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิก

นักการเมืองถ่ินจังหวัดเพชรบูรณ์ สภาผู้แทนราษฎรขึ้นทั้งทางตรงและทางอ้อมรวม 20 ครั้ง มีการ เลือกตั้งวุฒิสภาทางอ้อม 1 ครั้ง ในปี พ.ศ. 2489 และมีการ เลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาโดยตรงครั้งแรกไปเมื่อวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2543 ขณะที่ในระดับท้องถิ่นก็ได้จัดให้มีการเลือกตั้ง ตัวแทนเพื่อทำหน้าที่ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในหลาย รปู แบบพัฒนาขึ้นตามลำดับ อย่างไรก็ตาม คงมิอาจปฏิเสธได้ว่าการศึกษาการเมือง การปกครองไทยที่ผ่านมายังมุ่งเน้นไปที่การเมืองระดับชาต ิ เป็นส่วนใหญ่ สิ่งที่ขาดหายไปของภาคการเมืองที่ศึกษากันอยู่ก็ คือสิ่งที่เรียกว่า “การเมืองถิ่น” ที่เป็นการศึกษาเรื่องราวของ การเมืองที่เกิดขึ้นในอาณาบริเวณของท้องถิ่นที่เป็นจังหวัด ต่าง ๆ ในประเทศไทยซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เป็นภาพคู่ขนาน ไปกับการเมืองระดับชาติอีกระนาบหนึ่ง เพราะในขณะที่เวที การเมือง ณ ศูนย์กลางของประเทศกำลังเข้มข้นด้วยการชิงไหว พริบของนักการเมืองในสภา และพรรคการเมืองต่าง ๆ อีกด้าน หนึ่งในพื้นที่จังหวัด บรรดาสมัครพรรคพวก และผู้สนับสนุน ทั้งหลายก็กำลังดำเนินกิจกรรมเพื่อรักษาฐานเสียงในพื้นที่ด้วย เช่นกัน และทันทีที่ภารกิจที่ส่วนกลางสิ้นสุดลง การลงพื้นที่ พบปะประชาชนตามสถานที่และงานบุญ งานประเพณีต่าง ๆ เป็นสิ่งที่นักการเมืองผู้หวังชัยชนะในการเลือกตั้งมิอาจขาดตก บกพร่องได้ ภาพต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในจังหวัดนี้ได้สะท้อนให้เห็นถึง หลายสิ่งหลายอย่างของการเมืองไทย ที่ดำเนินมาต่อเนื่อง ยาวนาน ในแง่มุมที่อาจมองข้ามไปในการศึกษาการเมืองระดับ

บทนำ ชาติ “การเมืองถิ่น” และ “นักการเมืองถิ่น” จึงเป็นที่น่าสนใจ ศึกษามิใช่น้อย เพื่อเติมเต็มองค์ความรู้ที่ยังขาดหาย และ หากนำสิ่งที่ได้ค้นพบนี้มาพิจารณาอย่างลึกซึ้งก็น่าจะทำให้ สามารถเข้าใจการเมืองไทยได้ชัดเจนขึ้นในมุมมองที่แตกต่าง จากมุมมองแบบเดิม ๆ วัตถุประสงค์ 1. ศึกษาข้อมูลเบื้องต้นของนักการเมืองระดับชาติที่เคย ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในจังหวัดเพชรบรู ณ์ 2. ศึกษาบทบาทของเครือข่ายและกลุ่มผลประโยชน ์ ในการสนับสนุนนักการเมืองให้ได้รับการเลือกตั้ง 3. ศึกษาวิธีการหาเสียงของนักการเมืองถิ่นในจังหวัด เพชรบูรณ์ ขอบเขตของการศึกษา ศึกษาการเมืองของนักการเมืองระดับชาติตั้งแต่ การเลอื กตง้ั ทว่ั ไปครง้ั แรกจนถงึ การเลอื กตง้ั สมาชกิ ผแู้ ทนราษฎร พ.ศ. 2554 ที่ผ่านมาในจังหวัดที่ทำการศึกษา โดยให้ความ สำคัญกับเครือข่ายและความสัมพันธ์ของนักการเมือง และ บทบาทของกลุ่มผลประโยชน์ และกลุ่มที่ไม่เป็นทางการต่างๆ บทบาทและความสัมพันธ์ของพรรคการเมืองกับนักการเมือง ภายในจังหวัด ตลอดจนรูปแบบ วิธีการ และกลวิธีต่างๆ ที่นักการเมืองใช้ในการเลือกตั้งแต่ละครั้ง

นักการเมืองถิ่นจังหวัดเพชรบูรณ์ พื้นที่ในการศึกษา จังหวัดเพชรบรู ณ์ วิธีการศึกษา การศึกษาในครั้งนี้ อาศัยรูปแบบการวิจัยเชิงคุณภาพ เป็นเครื่องมือในการศึกษาและเก็บรวบรวมข้อมูล โดยใช้วิธีการ ศึกษาจากเอกสารที่เกี่ยวข้องต่างๆ การสัมภาษณ์ผู้มีสิทธ ิ ออกเสียงเลือกตั้งและนักการเมืองระดับท้องถิ่นและระดับชาติ และเฝ้าสังเกตติดตามความเคลื่อนไหวในพื้นที่ การวิเคราะห์ข้อมูลและผลศึกษา ผู้วิจัยนำข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้มาจัดกระทำโดยการจัด หมวดหมู่ให้เป็นระบบ แยกประเภทตามวัตถุประสงค์ ประมวล ข้อมูลทั้งหมดเพื่อวิเคราะห์เนื้อหา และนำมาอภิปรายผล ในภาพรวมด้วยวิธีการพรรณนา ระยะเวลาทำการศึกษา 8 เดือน ประโยชน์ท่ีคาดว่าจะได้รับ 1. เข้าใจถึงกลไกทางการเมืองในจังหวัดที่ทำการศึกษา ตั้งแต่มีการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกจนถึงปัจจุบัน 2. ได้ทราบว่าตั้งแต่การเลือกตั้งครั้งแรกเป็นต้นมา มีนักการเมืองคนใดในจังหวัดที่ทำการศึกษาได้รับเลือกตั้งบ้าง

บทนำ และชัยชนะของนักการเมืองเหล่านี้มีสาเหตุ และปัจจัยอะไร สนับสนุน 3. ได้ทราบถึงความสำคัญของกลุ่มผลประโยชน์ และ กลุ่มที่ไม่เป็นทางการ เช่น ครอบครัว วงศาคณาญาติ ฯลฯ ที่มี ต่อการเมืองในท้องถิ่นที่ทำการศึกษา 4. ได้ทราบถึงความสำคัญของพรรคการเมืองในการ เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในจังหวัด 5. ไดท้ ราบรปู แบบ วธิ กี าร และกลวธิ ตี า่ งๆ ทน่ี กั การเมอื ง ใช้ในการเลือกตั้ง 6. ได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับ “การเมืองถิ่น” และ “นักการเมืองถิ่น” สำหรับเป็นองค์ความรู้ในการศึกษาวิจัย เกี่ยวกับการเมืองการปกครองไทยต่อไป

บ2ทท ่ี ทบทวนวรรณกรรม และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.1 ทฤษฎีเกี่ยวกับผู้นำ ในการวิเคราะห์ผู้นำทางการเมืองนั้น เราสามารถ จำแนกผู้นำทางการเมืองโดยใช้แนวทางการศึกษาได้หลาย แนวทางด้วยกัน ซึ่งแต่ละแนวทางก็สามารถที่จะจำแนกผู้นำ ในลักษณะที่แตกต่างกันไว้หลายทัศนะ เช่น สุชา จันทร์เอม กล่าวว่าความเป็นผู้นำถือความสามารถในการนำหรือริเริ่ม รวม ถึงการชักจูงใจให้บุคคลปฏิบัติหน้าที่การงานด้วยความเต็มใจ และเต็มกำลังความสามารถ (วิชัย ชัชวาลวิทย์,2536: 9) และ ฮัลโลแรน (Halloran) กล่าวไว้ว่า ความเป็นผู้นำมีได้กับคนที่มี

ทบทวนวรรณกรรมและงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง ความสามารถที่จะทำให้ผู้อื่นทำตามในการเริ่มและการ เปลี่ยนแปลงนั้นอย่างตั้งใจ เหล่านี้เป็นต้น (วิชัย ชัชวาลวิทย์, 2536: 9) ทฤษฎีเกี่ยวกับผู้นำนอกจากจะนำมาจากเอกสารตำรา ต่าง ๆ จากนักคิดทางตะวันตก บางครั้งแนวคิดต่าง ๆ จาก นักปราชญ์หรือผู้รู้ทางตะวันออกก็สามารถนำมาใช้ได้ เช่น คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเกี่ยวกับนักปราชญ์ว่า “ภูเขาสูง ย่อมไม่หวั่นไหวด้วยแรงลมฉันใด บัณฑิตย่อมไม่หวั่นไหวด้วย คำสรรเสริญหรือนินทาฉันนั้น” แสดงให้เห็นว่าคนจะเป็นผู้นำ ได้จะต้องจิตใจที่เด็ดเดี่ยว มั่นคง หนักแน่น จะต้องเก็บหรือ ซ่อนเร้นอารมณ์หรือความรู้สึกไม่ให้คนอื่นได้เห็น ไม่ว่าจะเป็น ความดีใจ ความเสียใจ ความโกรธ ความเกลียด หรือความกลัว เพราะถ้าคนเป็นผู้นำอ่อนไหวง่าย คนอื่นก็จะคล้อยตาม คนจะ เป็นผู้นำได้จึงมีน้อยคน และต้องเป็นคนที่หนักแน่นจริง ๆ ถ้าทุกคนมัวแต่มานั่งสดับและรับฟังแต่คำคนบุคคลสำคัญ ก็ย่อมไม่เกิดขึ้นในโลก ผู้นำจึงเป็นบุคคลสำคัญในด้านต่าง ๆ เช่น มีตาที่มองไกล คาดการณ์ล่วงหน้าได้ดีกว่าผู้อื่น หรือมี วิสัยทัศน์ (Vision) ที่กว้างไกล มีมือที่อ่อนไหว คือมีความสุภาพ อ่อนโยน มีความสุภาพเรียบร้อยหรือมีสัมมาคารวะ มีจิตใจ ที่หนักแน่นมั่นคงดังราชสีห์หรือสิงห์โต ตรงกับศัพท์ภาษา อังกฤษ 3 คำ คือ Eagle eye, lady hand, lion heart เหล่านี้ เป็นต้น

นักการเมืองถิ่นจังหวัดเพชรบูรณ์ 2.1.1 ผู้นำทางการเมืองมีการจำแนกออกเป็นลักษณะต่างๆ ที่แตกต่าง เช่น การจำแนกผู้นำทางการเมืองตามแนวทางการศึกษาของ เจมส์ บาร์เบอร์ (Jame barber) (ณรงค์ สินสวัสดิ์, 2523:1-24) โดยเจมส์ บาร์เบอร์ ได้จำแนกผู้นำทางการเมืองโดย การ พิจารณาจาก 2.1.1.1 การทำงาน ถ้าผู้นำทางการเมืองเป็นคนขยัน ในหน้าที่ มีความกระตือรือร้น ใช้เวลาในการทำงานหลาย ๆ ชั่วโมง ก็ถือว่าเป็นพวกที่กระตือรือร้น (Active) แต่ถ้าเป็น คนที่เฉื่อยชา มักจะมอบหมายให้คนอื่นทำงานแทนมากที่สุด เท่าที่จะมากได้ ใช้ชั่วโมงในการทำงานในแต่ละวันให้น้อยที่สุด เท่าที่จะน้อยได้ ก็ถือว่าเป็นพวกเฉื่อยชา (Passive) 2.1.1.2 ทัศนคติที่มีต่อตำแหน่งผู้นำถ้าคนอยากเป็นผู้นำ ทางการเมืองอย่างมากพยายามดิ้นรนต่อสู้ทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ มาซึ่งตำแหน่งทางการเมือง ก็ถือว่าคนนั้นเป็นผู้ที่มีทัศนคติแบบ Positive effect ต่อตำแหน่งผู้นำทางการเมือง แต่ถ้ามีท่าที เฉยเมยเป็นก็ได้ ไม่เป็นก็ได้ ไม่ค่อยยินดีอะไรนักกับตำแหน่ง ประธานาธิบดี หรือตำแหน่งผู้นำทางการเมืองอื่น ๆ ก็จะ เรียกว่ามี Negative effect ต่อตำแหน่งผู้นำทางการเมือง คือ มีทัศนคติที่ลบต่อตำแหน่งผู้นำทางการเมือง เพราะฉะนั้น ถ้าดูทั้งการทำงานและทัศคติที่มีต่อ ตำแหน่งผู้นำทางการเมือง แล้วเราก็สามารถที่จะแบ่งผู้นำ การเมืองออกได้ 4 แบบ คือ

ทบทวนวรรณกรรมและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 1. Active – positive คือเป็นผู้นำการเมืองที่ขยันทำงาน และพอใจกับตำแหน่งผู้นำ 2. Active – negative คือเป็นผู้นำทางการเมืองที่ขยัน ทำงาน แต่ไม่สู้ยินดียินร้ายกับตำแหน่งทางการเมืองมากนัก 3. Passive – positive คือผู้นำที่ไม่ชอบทำงานหนัก แต่ชอบที่จะเป็นผู้นำ 4. Passive – negative คือผู้นำที่ไม่ชอบทำงานหนักและ ในขณะเดียวกันก็ไม่ยินดียินร้ายกับตำแหน่งทางการเมือง การจำแนกผู้นำตามแนวทางของ ยูจีน อี. เจนนิงส์ (Eugene E. Jennings) ยูจีน อี เจนนิงส์ ได้จำแนกผู้นำออกได้ 3 แบบ คือ 2.1.1.3 ผู้นำที่ใฝ่อำนาจเป็นประการสำคัญ (The prince) ผู้นำแบบนี้จุดสำคัญของการขึ้นสู้อำนาจนั้น เป็นเพราะชอบเป็น ผู้ที่อยู่เหนือผู้อื่นเป็นที่มีเล่ห์เหลี่ยมรอบตัวในการจะแย่งชิง อำนาจและรักษาอำนาจให้อยู่ยืนยาว การกระทำของเขาบาง ครั้งอาจจะผิดศีลธรรมหรือโหดร้าย แต่ผู้นำนี้ก็จะทำได้ทุกอย่าง เพราะเขาอยากมีอำนาจ และเมื่อมีแล้วก็จะรักษาไว้ให้นาน ที่สุด 2.1.1.4 ผู้นำแบบวีรบุรุษ (The hero) ผู้นำแบบนี้เป็นผู้นำ ที่มีญาณหรือความนึกคิดไปถึงอนาคตอันยิ่งใหญ่ของสังคม ที่รออยู่ในอนาคต เขาไม่เพียงแต่จำกัดความนึกคิดแต่สิ่งที่กำลัง เป็นอยู่เท่านั้น เขาจะคิดว่าโชคชะตา (Destiny) ทำให้เขาต้อง เข้านำสังคม เขาคิดว่าการเข้าสู่อำนาจนั้นเป็นความรับผิดชอบ

นักการเมืองถ่ินจังหวัดเพชรบูรณ์ มากกว่าที่จะพอใจในการได้อำนาจ เพราะการได้อยู่เหนือผู้อื่น เพราะฉะนั้นผู้นำแบบวีรบุรุษนี้จะเข้าสู่วงการแข่งขันเพื่อหา อำนาจด้วยความกระตือรือร้น เพราะเขาจะได้ทำภาระหน้าที่ ของเขา บางครั้งเขาอาจจะใช้เล่ห์เหลี่ยมหรือความโหดเหี้ยม หรือการกระทำที่ผิดศีลธรรมเท่าที่จะทำได้ คือจะทำเมื่อจะเป็น จริงๆ ในบางครั้งบางขณะเท่านั้น ผู้นำแบบวีรบุรุษก็เช่น นาโปเลียน เชอร์ชิล ชารลส์ เดอโกล หรือโจโฉ จากเรื่องสามก๊ก เป็นต้น 2.1.1.5 ผนู้ ำแบบซปุ เปอรแ์ มน (The superman) ในความคดิ ของเจนนิงส์ ผู้นำใฝ่อำนาจนั้นมีความคิดหลักว่าอยากได้ อำนาจอยากจะเป็นคนที่เหนือคนอื่น ส่วนผู้นำแบบวีรบุรุษเป็น ผู้ที่มองเห็นการณ์ไกลและคิดว่าตนมีภาระหน้าที่จะนำสังคม ไปสภู่ าวะใหม่ ผนู้ ำทง้ั สองแบบนเ้ี หน็ ไดง้ า่ ยในตวั อยา่ งทม่ี อี ยจู่ รงิ ส่วนผู้นำในลักษณะที่สาม คือผู้นำแบบซุปเปอร์แมนนี้ เขาไมไ่ ดใ้ หต้ วั อยา่ งเปน็ คนจรงิ ๆ ไวอ้ ยา่ งชดั เจน และการใชค้ ำวา่ ซุปเปอร์แมนนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นผู้ที่มีความสามารถ พิสดารเหนือมนุษย์ เจนนิงส์ใช้คำว่าซุปเปอร์แมนเพื่อชี้ให้เห็น คนแบบหนึ่งที่แตกต่างจากคนธรรมดาทั่วๆ ไป เพราะคน ธรรมดานั้นมีลักษณะที่พยายามทำให้เหมือนคนอื่นๆ ในสังคม เป็นส่วนใหญ่ แต่คนแบบซุปเปอร์แมนนั้นมีความเป็นตัวของ ตัวเอง เลือกรับแนวทางปฏิบัติของสังคมที่มีมานานแต่เพียง บางอัน และอาจจะคิดค่านิยมใหม่ๆ ให้แก่สังคม คนลักษณะนี้ เจนนิงส์คิดว่าเป็นลักษณะพิเศษที่มีไม่มากนัก เพราะคน โดยทั่วไปนั้นจะทำตามคนอื่น ( Other – directed) ส่วนผู้นำ ทางการเมืองแบบซุปเปอร์แมนนั้น ยึดถือความคิดของตนเอง 10

ทบทวนวรรณกรรมและงานวิจัยที่เก่ียวข้อง เป็นหลัก (Inner – directed) เพราะฉะนั้นจึงอาจถือได้ว่าเขาได้ เป็นผู้นำมหาชนให้ลักษณะการคิดสิ่งใหญ่ๆ เป็นผู้ทำให้สังคม เกิดการเปลี่ยนแปลงเพราะถ้าคนมัวแต่คิดว่าสิ่งที่คนอื่นๆ คิดอยู่ทำอยู่นั้นดีพร้อมแล้ว สังคมก็จะเจริญขึ้นไม่ได้ เพราะไม่มี การเปลี่ยนแปลง เพราะฉะน้ันจึงดเู หมอื นวา่ เจนนิงสไ์ มได้เน้นว่าผ้นู ำแบบ ซุปเปอร์แมนหมายถึงผู้นำทางการเมืองโดยเฉพาะ ซึ่งแตกต่าง จากผู้นำสองแบบแรกซึ่งเป็นลักษณะของผู้นำทางการเมือง โดยชัดเจน จากผู้นำทั้ง 3 แบบนี้ เป็นการจำแนกผู้นำตามแนวทาง ของ ยู จีน อี เจนนิงส์ อันเป็นแนวคิดทางตะวันตก ซึ่งบางครั้ง ผู้นำจะต้องแข็งกร้าว ไม่ว่าจะเป็นความต้องการใฝ่หาอำนาจ หรือต้องการรักษาอำนาจนั้นให้ยาวนาน การที่ต้องแย่งชิงไหว ชิงพริบซึ่งกันและกันของผู้นำ จึงทำให้ผู้นำต้องเป็นคนมี เล่ห์เหลี่ยมรอบตัวหรือทางสังคมไทย เรียกว่าเล่ห์เหลี่ยม แพรวพราวผู้นำแบบนี้ใช้ไม่ค่อยจะใต้ผลนักนักกับสังคม ตะวันออกโดยเฉพาะการเมืองแบบไทยๆ 2.1.2 คุณสมบัติของผู้นำตามทัศนะของ ออร์ดเวย์ ทีด ออร์ดเวย์ ทีด (ณรงค์ สินสวัสดิ์, 2523 : 1-24 อ้างจาก Ordway Tead, 1935) ได้พยายามรวบร่วมคุณสมบัติที่สำคัญที่ เขาคิดว่าผู้นำทางการเมืองจะต้องมี 2.1.2.1 พลังกายและพลังประสาท ผู้นำที่ประสบ ความสำเร็จ จำเป็นต้องมีพลังกายและพลังประสาทที่เข้มแข็ง ในเมื่อใครๆ จำนวนมากอยากจะเป็นผู้นำ เพราะฉะนั้นคนที่ 11

นักการเมืองถิ่นจังหวัดเพชรบูรณ์ ถีบตัวเองขึ้นมาเหนือคนอื่นๆ จำเป็นจะต้องมีพลังขับดัน ความอดทน และสมบูรณ์อย่างยิ่ง ทั้งทางกาย ทางใจ มากกว่า คนธรรมดาสามัญและประสิทธิภาพการทำงานจะมีมากน้อย เพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับความเข้มแข็งของร่างกายและความเข้มแข็ง ของประสาท ผู้นำที่เข้มแข็งทั้งทางกายและจิตใจ ก็สามารถกระตุ้นให้ บรรดาผู้ที่เลื่อมใสพลอยมีความทะมัดทะแมงมากขึ้น แม้คน ธรรมดานั้นก็รู้สึกได้เลยว่าการทำงานของเราหย่อนสมรรถภาพ ทันทีที่ได้มีข้อเปรียบเทียบ หากเรารู้สึกเหนื่อยหน่าย ทำงาน อย่างชังกะตายหรืออย่างที่เราเรียกว่าความเซ็ง สิ่งเหล่านี้ เป็นศัตรทู ี่สำคัญของผู้นำที่ดี นอกจากนี้ผู้นำจะต้องใช้พลังงาน พลังใจมากกว่า คนธรรมดาทั่วไป ผู้นำจะต้องทำงานมากกว่าคนธรรมดา ต้องใช้สมองคิดมากกว่าคนธรรมดา ต้องใช้สมาธิในการทำงาน เป็นอย่างยิ่ง และบางครั้งหากมีเหตุฉุกเฉินสำคัญขึ้นก็อาจต้อง ใช้พลังกายและประสาทที่ใช้มากอยู่แล้วให้มากขึ้นไปอีก ออร์เวย์ ทีดได้กล่าวว่า พลังกายและพลังประสาทของ คนเรานั้นมีอิทธิพลมาได้จาก 3 ทางด้วยกัน คือ 1. อิทธิพลจากกรรมพันธุ์ 2. อิทธิพลจากการเลี้ยงดูในวัยเด็ก 3. อิทธิพลจากการใช้ส่วนต่างๆ ของร่างกายในชีวิต ประจำวัน 12

ทบทวนวรรณกรรมและงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง 2.1.2.2 รู้จุดมุ่งหมายและแนวทางท่ีจะนำประเทศ การมีจุดมุ่งหมายและแนวทางที่สำคัญๆ ของการที่จะบริหาร ประเทศ ผู้นำควรจะรู้ดีว่าเขาควรจะมีนโยบายอย่างไร ควรทำ อะไรให้เสร็จก่อนหลัง ซึ่งก็หมายความว่า ผู้นำแม้ในช่วงเวลา ที่ก่อนจะมีโอกาสเป็นผู้นำ ก็ควรมีนโยบายที่ชัดแจ้งว่าเขามี เป้าหมายอย่างไรสำหรับประเทศ ถ้าเขาจะเป็นผู้นำและจะพา ประเทศให้บรรลุเป้าหมายนั้นได้อย่างไรนอกจากนั้น เขาจะต้อง ยึดมั่นเป็นเวลานานพอสมควรต่อสิ่งที่เขาคิดว่าเป็นเป้าหมาย ที่ดีของประเทศ รวมทั้งวิธีการของเขานี้จะเป็นผลขึ้นมาได้อย่าง จริงจัง ถ้า 1. เป้าหมายและวิธีการนั้นมีแน่นอน 2. คนอื่น สามารถที่จะเข้าใจหรืออธิบายให้คนอื่นเข้าใจได้ 3. คนอื่น นอกจากจะเข้าใจแล้วจะต้องเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่เห็นว่าดี 4. ผู้นำจะต้องยึดมั่นอย่างชัดแข็งขัน อย่างจริงใจ และพยายาม กระทำให้เป้าหมายวิธีการไปสู่เป้าหมายนั้นได้เป็นจริงเป็นจัง ขึ้นมา 2.1.2.3 มีความกระตือรือร้น นอกจากผู้นำจะต้องมี เป้าหมายและแนวทางที่แน่นอนแล้ว เขายังจะต้องมีความแข็ง ขันที่จะให้แผนการของเขาบรรลุผลขึ้นมา จะต้องเต็มไปด้วย ความหวังและกำลังใจที่จะบากบั่นเอาชนะอุปสรรค นอกจาก น ั ้ น เ ข า จ ะ ต ้ อ ง รู ้ ส ึ ก ส น ุ ก ใ น ก า ร ด ำ เ น ิ น ก า ร ไ ป ต า ม แ ผ น ของเขา สิ่งต่างๆ เหล่านี้อาจรวมเรียกว่า ความกระตือรือร้น (Enthusiasm) ซึ่งออร์เวย์ ทีด ถือว่าเป็นคุณสมบัติที่สำคัญมาก อีกประการหนึ่งของผู้นำที่ดี ความกระตือรือร้นอย่างจริงจัง ต่อแผนการของเขานั้นมีความสำคัญ เพราะมันได้ทำให้เขา ได้ยึดมั่นอยู่กับแผนการนั้น และถ้าเขามีความกระตือรือร้น 13

นักการเมืองถ่ินจังหวัดเพชรบูรณ์ คนใกล้ชิดก็จะมีความกระตือรือร้นตามไปด้วย ซึ่งเท่ากับช่วยให้ แผนการของเขาดำเนินการไปด้วยความราบรื่น 2.1.2.4 ความเป็นมิตรและความรัก ผู้นำที่ดีควรจะให้ ผู้ตามโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนใกล้ชิดมีความรู้สึกว่า นอกจาก เขาจะเป็นผู้นำแล้ว เขายังเป็นเพื่อนที่มีความผูกพันกับผู้ตาม ให้ความรักใคร่สนิทสนม อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ อาจจะดูเป็นผู้ที่โหด เหี้ยมในสายตาของคนต่างชาติอื่นๆ แต่สำหรับคนเยอรมัน จำนวนมากแล้วฮิตเลอร์ได้ยอมรับนับถือรักใคร่อย่างจริงใจ เมื่อมีโอกาสเขาจะทักทายปราศรัยกับคนทั่วไปรับช่อดอกไม้ จากเด็กๆ จับแก้มเด็กๆ เวลากล่าวคำปราศรัยถ่ายทอดความรัก แก่คนเยอรมันทั้งปวงโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนใกล้ชิดกับฮิตเลอร์ แล้วเขาจะได้รับความสนิทสนมรักใคร่ แม้แต่คนปรุงอาหาร เวลาเจ็บป่วยก็ส่งดอกไม้ไปให้ บางครั้งก็ไปให้ด้วยตัวเอง การรู้จักครอบครัวของบริวารใกล้ชิด การคอยถามถึง ความเป็นอยู่ของครอบครัวของคนใกล้ชิด เป็นเครื่องแสดงถึง ความรักใคร่สนิทสนมที่ผู้นำได้ให้ต่อผู้ที่ใกล้ชิด ซึ่งก็ย่อมเพิ่ม ความรักใคร่นับถืออย่างจริงจังจริงใจที่บริวารมีต่อผู้นำมากขึ้น 2.1.2.5 ความน่าเช่ือถือ (Integrity) ผู้ที่เป็นผู้ตาม จะมีความรู้สึกไว้ใจในผู้นำ พวกเขาต้องการความเชื่อมั่นว่า ผลประโยชน์ของพวกเขาจะปลอดภัยภายใต้การดำเนินการของ ผู้นำ นั่นคือ พวกเขาจะต้องเชื่อว่าผู้นำจะไม่ทรยศ หลอกลวง พวกเขา หักหลังพวกเขา และเชื่อว่าผู้นำคงจะไม่เบื่อทอดทิ้ง หน้าที่ไปเสียก่อนที่จะทำงานสำเร็จ นอกจากนั้น บรรดาผู้ตาม 14

ทบทวนวรรณกรรมและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง จะต้องรู้สึกว่าผู้นำของเขาไม่มีความประพฤติที่เสื่อมเสีย อันไม่เหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่ กล่าวโดยย่อก็คือ ผู้ตาม จะต้องรู้สึกว่าผู้นำนั้น “ไว้ใจได้” และเป็นคน “สัญญาอะไรแล้ว ต้องทำให้เสร็จก่อน” 2.1.2.6 ความกล้าตัดสินใจ ผู้นำจะต้องประสบปัญหา ตา่ งๆ มากมาย และอาจจะเกย่ี วกบั ความเปน็ ความตายของชาติ วิกฤตการณ์ทางการเมือง ทางเศรษฐกิจ หรือทางสังคมของชาติ ความสงบสุขของสังคม ความก้าวหน้าหรือความล้าหลัง และ ในปัญหาเหล่านี้อาจจะมีทางออกหลายทาง ผู้นำต้องเป็น ผู้ตัดสินใจเลือกเอาทางใดทางหนึ่ง บางครั้งการตัดสินใจของ ผู้นำอาจจะมีเวลาได้ปรึกษาหารือกับผู้ชำนาญการในปัญหา ที่เกี่ยวข้องอย่างเพียงพอแต่บางครั้งอาจจะมีไม่มากนัก และ เขาจะต้องตัดสินใจเลือกทางออกทางใดทางหนึ่งโดยทันที ค ว า ม ส ำ เ ร ็ จ ข อ ง ผู ้ น ำ จ ะ ดู ไ ด ้ จ า ก ผ ล ง า น ข อ ง เ ข า เพราะเหตุนี้เองการกล้าตัดสินใจและการใช้วิจารณญาณในการ ตัดสินใจที่ถูกต้องจึงจะมีความสำคัญมาก แต่ที่แน่นอนก็คือ ผู้นำจะต้องเป็นคนที่กล้าตัดสินใจ มิฉะนั้นปัญหาต่างๆ ก็จะ ไม่มีวันที่จะได้รับการแก้ไข การตัดสินใจที่ดีนั้นมีขั้นตอนที่สำคัญๆ คือ ขั้นแรกคือ การรู้ว่าปัญหาอะไรที่กำลังเผชิญอยู่ ขั้นที่สองคือ การรับรู้ข้อเท็จจริงต่างๆที่เกี่ยวข้องกับปัญหานั้น 15

นักการเมืองถิ่นจังหวัดเพชรบูรณ์ ขั้นที่สามคือ การนำข้อเท็จจริงที่รวบรวมมาได้ไปแยกไว้เป็นพวกๆ ขั้นที่สี่คือ การเรม่ิ ตง้ั สมมตฐิ านวา่ ปญั หานน้ั นา่ จะแกไ้ ขไดด้ ว้ ยวธิ ใี ด ขั้นที่ห้าคือ ตั้งสมมติฐานที่ได้ตั้งไว้ไปทดลองปฏิบัติดูว่าจะแก้ไข ปญั หาได้หรือไม่ ขั้นที่สุดท้ายคือ การนำเอาการตัดสินใจซึ่งได้ตั้งไว้เป็นการชั่วคราวนั้น ออกมาเป็นการตัดสินใจจริง แต่อย่างไรก็ตาม ผู้นำจะต้องกล้ารับผิดชอบต่อผลที่จะ ตามมา แสดงว่าตนเองมีความเชื่อมั่นต่อการตัดสินใจของตน และกระทำไปโดยไม่ได้หวาดกลัวปัญหาที่จะเกิดขึ้นจากการ ตัดสินใจนั้นโดยประการใดๆ ทั้งสิ้น 2.1.2.7 สติปัญญา ความรอบรู้ ผู้นำเป็นผู้มีความรู้ สติปัญญาเฉลียวฉลาด รอบรู้ในเรื่องต่างๆ กว่าคนสามัญทั่วไป ผู้นำบางคนอาจจะมีการศึกษาน้อย แต่อาจจะสร้างความรอบรู้ จากการอ่านยกตัวอย่างเช่น เหมาเจ๋อตุง หรือฮิตเลอร์ ความ เฉลียวฉลาดรอบรู้หมายถึง ความสามารถที่จะมองเห็นปัญหา มองเห็นสาเหตุและวิธีการแก้ หมายถึง ความสามารถที่จะเอา ประสบการณ์ในอดีตมาเป็นเครื่องช่วยในการตัดสินใจใน เหตุการณ์ปัจจุบัน ทำให้สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกทาง 16

ทบทวนวรรณกรรมและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ออร์ดเวย์ ทีด เชื่อว่า สิ่งแวดล้อมในวัยเด็กมีส่วนในการ สร้างสติปัญญาให้แก่บุคคลได้ เพราะถ้าสิ่งแวดล้อมทั้งใน ครอบครัวและสังคมรอบตัวเด็กมีลักษณะที่ท้าทายความฉลาด หลักแหลมเป็นสิ่งแวดล้อมที่ทำให้ต้องใช้สติปัญญาความคิด อยู่เสมอ และเมื่อเด็กได้สติปัญญาหรือพลังความคิดที่ดี ครอบครัวและสังคมก็ต้องให้สิ่งตอบแทนที่เด็กชอบ อาจจะ เป็นการยกย่องชมเชยหรือรางวัลที่เป็นวัตถุก็ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็จะทำให้เด็กสามารถใช้สติปัญญาของเขาอย่างเต็มที่พร้อมทั้ง ได้หมั่นฝึกฝนใช้มันอยู่เสมอด้วย 2.1.2.8 การเป็นครูที่ดี ผู้นำจะต้องเป็นครูที่ดี เพราะ ในฐานะของผู้นำเขาจะต้องสามารถชี้แนวทางที่ควรจะดำเนิน เหตุผลหรือความจำเป็นที่จะต้องแก้ไขวิธีการบางอย่าง บางครั้ง บริวารอาจจะไม่มีความคิดอย่างที่ผู้นำคิดมาก่อน ผู้นำก็ต้อง สามารถถ่ายทอดความคิด ชักจูงให้บริวารคล้อยตามความคิด ของเขาได้ มิฉะนั้นการทำงานอาจจะไม่สำเร็จลุล่วงไปได้ เพราะ ลูกน้องไม่เข้าใจเขา หรือลูกน้องอาจจะทำตาม แต่ถ้าเขาไม่ เข้าใจเหตุผลอย่างชัดเจนว่า ทำไมถึงต้องทำอย่างนั้นเขาก็อาจ จะลังเลได้ เพราะฉะนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่มีความ สามารถอธิบาย วิธีการจุดมุ่งหมาย และเหตุผลในการดำเนิน การให้ลูกน้องเข้าใจได้รวมทั้งการรู้จักที่จะมอบหมายงานที่ผู้อื่น ทำด้วย 2.1.2.9 ศรัทธาและความเชื่อม่ัน ในการทำงาน บริหารประเทศนั้น บางครั้งกลุ่มผู้ทำหน้าที่บริหารบ้านเมืองอาจ 17

นักการเมืองถิ่นจังหวัดเพชรบูรณ์ จะรู้สึกเหนื่อยหน่ายเฉื่อยชา ผู้นำจะต้องสามารถกระตุ้นให้ พวกบริวารเกิดความกระฉับกระเฉง มีความกระตือรือร้นอยู่เป็น ระยะๆ เขาจะต้องคอยทำให้ผู้ที่เขากำลังทำอยู่นั้นเป็นสิ่งที่มี คุณค่า สำหรับการที่จะลงทุนลงแรงไป และจะต้องสร้างความ เชื่อมั่นและความศรัทธาแก่ผู้ที่ตามว่าสิ่งที่กระทำไปนั้นจะสำเร็จ ไปได้อย่างแน่นอน ถ้าผู้นำมีความสามารถที่จะทำให้ผู้ตามเกิดความเชื่อมั่น ยอมใช้พลังงานที่พวกเขามีอุทิศตนให้แก่สิ่งที่ได้ตั้งใจไว้แล้ว ความสำเร็จของงานก็จะเกิดขึ้นได้ แต่อย่างไรก็ตาม ผู้นำก็ต้อง มีศรัทธาและความเชื่อมั่นในสิ่งที่ตนได้ยึดถือหรือกระทำอย่าง แน่วแน่ด้วย 2.1.3 การแบ่งประเภทของผู้นำตามทัศนะของยูนิส ออเรน แบบของผู้นำมีวิธีการได้หลายวิธีด้วยกัน แต่ในที่นี้จะขอ กล่าวถึงวิธีการศึกษาแบบของผู้นำที่จะเป็นประโยชน์ต่อการ ศึกษาบุคลิกภาพ และคุณสมบัติที่จำเป็น ที่ผู้นำจะต้องมีเพื่อที่ จะทำให้เป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพในการจูงใจคน สามารถทำให้ ผู้อื่นปฏิบัติตามได้ด้วยความเต็มใจกำลังความสามารถเท่านั้น การแบ่งแยกแบบของผู้นำโดยพิจารณาถึงขนาดของการ ใช้อำนาจหน้าที่ของผู้นำเป็นเกณฑ์สามารถแบ่งผู้นำออกเป็น 3 แบบคือ (ศิริพงษ์ ลดาวัลย์ ณ อยุธยา, หน้าที่ทางการบริหาร, 2540 : 97 อ้างจาก (Unis Auren, 195:30) 1. ผู้นำแบบอัตนิยมหรือแบบเผด็จการ (Autocratic Leadership) ผู้นำแบบนี้จะทำการวินิจฉัยสั่งการหรือออกคำสั่ง 18

ทบทวนวรรณกรรมและงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง ต่างๆอย่างรวบรัดอำนาจไม่ยอมให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเข้ามามี ส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น หรือร่วมตัดสินปัญหาใดๆ ผู้นำแบบนี้จะทำหน้าที่กำหนดแนวนโยบาย สั่งการ บังคับ บัญชา โดยถือเอาความเห็นของตัวเองเป็นเด็ดขาด ผู้ตามต้อง ทำตามในทุกกรณี เพราะผู้นำแบบนี้สามารถใช้อำนาจในการที่ จะให้คุณให้โทษแก่ลกู น้องได้เต็มที่ 2. ผู้นำแบบเสรีนิยม (Laissez-Faire Leadership) ผู้นำ แบบนี้จะปล่อยให้ลูกน้องมีอิสระอย่างเต็มที่ในการพิจารณา ตัดสินเลือกกระทำการต่างๆ เองได้ตามใจชอบ ซึ่งหัวหน้าแบบ นี้อาจทำหน้าที่แบบบุรุษไปรษณีย์ มากกว่า เพราะการใช้ อำนาจการควบคุมบังคับบัญชาลูกน้องแทบจะไม่มีเลย ซึ่งใน สภาพความเป็นจริงแทบจะหาผู้นำแบบนี้ได้ยากมาก ทั้งนี้การมี ผู้นำแบบเสรีนิยมอาจก่อให้เกิดผลเสียกับการบริหารงานได้ง่าย 3. ผู้นำแบบประชาธิปไตย (Democratic Leadership) ผู้นำ แบบนี้มีลักษณะแบบอยู่กึ่งกลางระหว่างผู้นำสองแบบแรก คือ ผู้นำแบบนี้จะให้ความสำคัญแก่ผู้ใต้บังคับบัญชา ยอมรับฟัง ความคิดเห็น ข้อเสนอแนะต่างๆ จากผู้ร่วมงานอื่นๆ แล้ว จึงตัดสินปัญหาและสั่งการตามความเห็นของคนส่วนมาก ผู้นำ แบบนี้จะเปิดโอกาสให้ลูกน้องมีส่วนร่วมในการกระทำและ ตัดสินใจเสมอ 19

นักการเมืองถ่ินจังหวัดเพชรบูรณ์ 2.2 แนวคดิ เกีย่ วกบั ระบบอปุ ถัมภแ์ ละระบบเครอื ญาต ิ นิธิ เอียวศรีวงศ์ (2536 : 171 – 172) ได้อธิบายคำว่า “ระบบอุปถัมภ์” หมายถึงระบบความสัมพันธ์ของคน 2 ฝ่าย ซึ่งไม่เท่าเทียมกันในหลายๆ ด้าน ต่างฝ่ายต่างก็มาแลกเปลี่ยน สินค้าและบริการของกันและกัน แต่เป็นการแลกเปลี่ยนที่ไม่ เหมือนกัน ผู้ใหญ่อาจให้สินค้าแก่ผู้น้อย ในขณะที่ผู้น้อยให้ บริการแก่ผู้ใหญ่หรือกลับกันตามแต่กรณี ความสัมพันธ์ ลักษณะนี้ดำรงอยู่ได้ไม่ใช่เพียงเพราะต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์ เท่านั้น แต่ต้องมีอุดมการณ์ที่ช่วยจรรโลงความสัมพันธ์อย่างนี้ เอาไว้ เช่นเดียวกับ เอกวิทย์ ณ ถลาง (2520 : 40) ได้อธิบายถึง คุณค่าของคนในแต่ละระดับ ซึ่งต่างบารมีกัน โดยคุณค่า ของคนขึ้นอยู่กับระดับฐานันดรในสังคมและอำนาจวาสนาที่ “เบื้องบน” หรือ “หน่วยเหนือ” คือผู้ที่อยู่สูงกว่าจะบันดาลให้ และเห็นว่าที่มาของระบบอุปภัมภ์มาจากระบบความสัมพันธ ์ เชิงอำนาจระหว่างคนที่อยู่ต่างระดับฐานันดรหรือระหว่าง “เจ้ากับข้า” “นายกับบ่าว” และ “หลวงกับราษฎร์” ด้วยระบบ ความสัมพันธ์เชิงอำนาจในแนวดิ่งมีความสำคัญมากกว่าความ สัมพันธ์ในแนวราบ ขณะที่ “ระบบเครือญาติ” ตามความหมาย ของบาเลนเดียร์ (Bakabdier, 1970 : 50-51) หมายถึง การศึกษา เกี่ยวกับโครงสร้างความสัมพันธ์ทางด้านสายเลือด (lineage organization) เช่น ลูกชายของลูก ลูก พ่อ พ่อของพ่อ พ่อของพ่อ ของพ่อ ฯลฯ จะทำให้เห็นความสัมพันธ์ของการใช้อำนาจซึ่งมี พื้นฐานมาจากหลักการของการสืบสายโลหิต 20

ทบทวนวรรณกรรมและงานวิจัยที่เก่ียวข้อง ระบบอุปถัมภ์ในสังคมการเมืองไทย ระบบอุปถัมภ์และ ระบบเครือญาติ เป็นคำที่สังคมไทยและคนไทยได้ยิน ได้รับรู้ และรบั ทราบมาโดยตลอด บางคนไดส้ มั ผสั หรอื มปี ระสบการณต์ รง บางคนเพียงแต่รับรู้จากบุคคลอื่น แต่อย่างไรก็ตาม พอสรุป ได้ว่ามีสิ่งเหล่านี้อยู่ในสังคมไทยมาจนถึงทุกวันนี้ ตัวอย่าง ระบบอุปถัมภ์หลังจากทำงานวิจัยในหัวข้อ บทบาททาง การเมืองของเจ้าพ่อท้องถิ่นในกระแสโลกาภิวัตน์กรณีศึกษา จังหวัดระยอง (ชัยยนต์ และโอฬาร, 2549) กล่าวว่า ในอดีต ผู้อุปถัมภ์ส่วนใหญ่เป็นข้าราชการ หรือข้าราชการเกษียณ แต่ผู้อุปถัมภ์ในปัจจุบันคือ กลุ่มนักธุรกิจการเมือง ที่ทุ่มทุน ซื้อเสียงผ่านผู้นำชุมชน เพื่อเข้าไปแสวงหากำไรจากการกิน เปอร์เซ็นต์ในงานพัฒนาประเทศ แสวงหาอำนาจเพื่อปกป้อง ธุรกิจที่ผิดกฎหมายของตัวเอง เอื้อประโยชน์ในการจัดตั้ง โรงงานอุตสาหกรรมให้กลุ่มนายทุนที่เป็นพวกพ้อง และเหตุที่ การซื้อเสียงในเมืองไทยยังเฟื่องฟูอยู่ได้ เพราะระบบนี้เป็นการ อุปถัมภ์ทั้งชีวิต ผู้อุปถัมภ์จะช่วยเหลือชาวบ้านตั้งแต่เงินค่า คลอดบุตร ทุนการศึกษา จนถึงเงินค่ารักษาโรคยามชรา จนกลายเป็นหนี้บุญคุณ การซื้อเสียงจึงเป็นเรื่องเล็กน้อย สำหรับคนจน จากงานเสวนา “บูรณาการงานวิจัย เรื่อง นักการเมือง ถิ่น” ได้ข้อสรุปเบื้องตนว่า ในการเมืองไทยมีระบบอุปถัมภ์ที่ส่ง ผลกระทบต่อการเลือกตั้งอย่างมาก ระบบเครือญาตินั้นเป็น ส่วนหนึ่งของระบบอุปถัมภ์ ในขณะเดียวกันระบบอุปถัมภ์ก็เป็น ส่วนหนึ่งของระบบเครือญาติ ทั้งสองระบบนี้สัมพันธ์ใกล้ชิด อย่างที่แยกออกจากกันได้ยาก ทั้งระบบอุปถัมภ์และระบบ 21

นักการเมืองถิ่นจังหวัดเพชรบูรณ์ เครือญาติที่ได้ฝังรากลึกและสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นมาตลอดช่วง เวลา 79 ปี และเมื่อวิเคราะห์เชื่อมโยงระบบอุปถัมภ์ในสังคม การเมอื งไทย สามารถสรปุ ได้ 4 ประการ ดงั น้ี (ปทั มา, 2552 : 7) ระบบอุปภัมภ์ทำให้ “ทายาททางการเมือง” ได้รับ ชัยชนะในการเลือกตั้ง ซึ่งมีผลให้อำนาจทางการเมืองทั้งใน ระดับชาติและระดับพื้นที่ที่ถูกผูกขาดอยู่เพียงไม่กี่กลุ่มการเมือง หรือตระกูลเท่านั้น ทายาททางการเมืองมี 2 ประเภท คือ ทายาทซึ่งเป็น บุคคลที่สืบเชื้อสายเดียวกัน และทายาทซึ่งบุคคลอื่นนอกเหนือ จากสืบเชื้อสายเดียวกัน ซึ่งทายาททั้งสองประเภทดังกล่าว มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดทั้งในส่วนตัวและในหน้าที่การงาน ในฐานะเป็น “ผู้แทน” ของประชาชน การพิจารณาตัดสินใจเลือก “ผู้แทน” ของประชาชน ผู้มีสิทธิเลือกตั้งยึดระบบอุปถัมภ์เป็นหลัก โดยที่ส่วนใหญ ่ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจะรับบทเป็นผู้รับการอุปถัมภ์มากกว่า ส่วน ผู้แทนเป็นได้ทั้งผู้อุปถัมภ์และบางครั้งเป็นผู้รับการอุปถัมภ์ด้วย โดยที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีการตอบแทนผู้อุปถัมภ์โดยการ ลงคะแนนเสียงให้ อีกทั้งยังชักชวนแนะนำผู้ใกล้ชิดให้ลงคะแนน ให้ด้วย เนื่องจากผู้เลือกตั้งส่วนใหญ่ให้คุณค่ากับความซื่อสัตย์ หรือบุญคุณของผู้อุปถัมภ์ ทั้งนี้รูปแบบการอุปถัมภ์มีหลากหลายถูกพัฒนาและ ปรับรปู แบบให้มีประสิทธิผลในแต่ละยุคแต่ละสมัย อาจเป็นการ อุปถัมภ์โดยตรงหรือโดยอ้อม เป็นการให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์ อื่นใด หรือแม้แต่การจัดทำนโยบายเพื่อประโยชน์ของผู้มีสิทธิ 22

ทบทวนวรรณกรรมและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เลือกตั้งก็ตาม ส่วนทรัพย์สินที่ใช้ในเครือข่ายระบบอุปถัมภ์นั้น อาจเป็นของผู้อุถัมภ์และกลุ่มผู้สนับสนุนผู้อุปถัมภ์ หรือเป็น ทรัพย์สินของแผ่นดินที่ถูกนำมาใช้ในระบบอุปถัมภ์ได้ หาก ผู้อุปถัมภ์ได้รับเลือกตั้งเป็นผู้แทน และมีเสียงข้างมากได้ร่วม เป็นรัฐบาล การพิจารณาตัดสินใจเลือก “ผู้แทน” ของผู้มีสิทธ ิ เลือกตั้ง ส่วนใหญ่พิจารณาจากบทบาทอำนาจหน้าที่ที่ควรจะ เป็นตามที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายกำหนดน้อยมาก กล่าวคือ แทนที่จะเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งที่มีคุณสมบัติและความรู้ความ สามารถในการทำหน้าที่พิจารณาออกกฎหมายเพื่อบังคับใช้ สังคม หรือทำหน้าที่ควบคุมตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล รวมถึงเจ้าหน้าที่ผู้ใช้อำนาจรัฐอื่นด้วย กลับเลือกโดยพิจารณา จากผลประโยชน์ที่ได้รับเป็นการเฉพาะหน้าหรือชั่วครั้งชั่วคราว ภายใต้ความสัมพันธ์ที่มีต่อกันมาอย่างยาวนาน ในขณะ เดยี วกนั ผแู้ ทนกไ็ มใ่ หค้ วามสำคญั กบั การทำหนา้ ทด่ี งั กลา่ วมากนกั แต่เน้นหนักไปในการประโยชน์หรือช่วยแก้ไขปัญหาความ เดือดร้อนในพื้นที่เขตเลือกตั้งเป็นหลัก 2.3 แนวคิดเก่ียวกับการรณรงค์ทางการเมือง การรณรงคท์ างการเมอื ง คอื ภารกจิ หนา้ ทท่ี พ่ี รรคการเมอื ง ที่ดีควรต้องปฏิบัติอยู่เป็นประจำสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นช่วงก่อน การเลือกตั้ง หรือหลังจากการเลือกตั้งก็ตาม โดยที่พรรค การเมืองจะทำหน้าที่เป็นเสมือนองค์กรที่ค้นหาว่ากระบวนการ หรือวิธีการใดที่เหมาะสมดึงดูดหรือโน้มน้าวใจให้ประชาชน ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ได้เลือกผู้สมัครจากพรรคตนให้เข้าไปมีที่นั่ง 23

นักการเมืองถิ่นจังหวัดเพชรบูรณ์ ในสภาได้มากที่สุด พร้อมทั้งต้องรักษาภาพลักษณ์ที่ดีต่างๆ ของพรรคให้ออกสู่สาธารณะอย่างสม่ำเสมอ อีกทั้งยังคอย ตรวจสอบความต้องการของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งว่า ณ ปัจจุบันเขามีความต้องการอย่างไร และนำความต้องการ เหล่านั้นมาแปลงเป็นนโยบายพรรค แนวคิดเกี่ยวกับการรณรงค์ทางการเมือง ในอดีต การรณรงค์ทางการเมืองเพื่อการหาเสียงเลือกตั้งในประเทศไทย ไม่ว่าจะกระทำโดยผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือพรรคการเมืองยังมี การนำระบบอุปถัมภ์ ผลประโยชน์แลกเปลี่ยน และปัจจัยทาง สังคม หรือภูมิหลังของบุคคลเป็นหลักโดยมิได้เห็นความสำคัญ หรือมีความเชื่อในสำนึกเหตุผล ทำให้การรณรงค์ทางการเมือง โดยเฉพาะช่วงการเลือกตั้งเป็นการแข่งขันในลักษณะของการ ให้ผลประโยชน์ในรูปของเงินทองและสิ่งของแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง โดยผ่านระบบอุปถัมภ์ หรือผู้นำในชุมชนต่างๆ รวมทั้งการโจมตี ให้ร้ายแก่ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองคู่แข่งด้วยวิธีการต่างๆ วธิ กี ารรณรงคท์ างการเมอื งของพรรคการเมอื งแบง่ ออกได้ ดังนี้ (นครินทร์, 2554) 1. การรณรงคท์ างการเมอื งผา่ นทางสาร (Campaign message) เป็นการรณรงค์ที่พรรคการเมืองจะจัดเตรียมสาร และวาทะทางการเมืองซึ่งต้องแสดงให้เห็นถึงความสอดคล้อง ระหว่างความคิด จุดยืน และตัวตนของผู้สมัครรับเลือกตั้ง กับนโยบายของพรรค และจำต้องเผยแพร่สารและวาทะ ทางการเมืองต่างๆ ออกสู่สาธารณะอย่างเป็นประจำ เพื่อให้ผู้มี สิทธิเลือกตั้งรู้สึกประทับใจ อีกทั้งพรรคและผู้สมัครเลือกตั้ง 24

ทบทวนวรรณกรรมและงานวิจัยท่ีเก่ียวข้อง ยังต้องคอยเตรียมสาร และวาทะทางการเมืองเพื่อตอบโต้ พรรคการเมืองคู่แข่งที่พยายามจะโจมตีสาร หรือวาทะทาง การเมืองของผู้สมัครพรรคตรงกันข้ามด้วยการชูนโยบายที่ดีกว่า หรือต้องคอยพยายามเตรียมการตั้งรับกับคำถามอันเกี่ยวกับ พฤติกรรม บุคลิกลักษณะต่างๆ ของผู้สมัครหรือพรรคการเมือง คู่แข่ง ด้วยข้อความที่สั้นได้ใจความและสามารถแสดงถึงด้าน ลบของอีกฝ่ายได้อย่างรวดเร็ว ตัวอย่างเช่น การเลือกตั้ง ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาปี ค.ศ. 2008 ผู้ลงสมัครชิงตำแหน่ง ประธานาธิบดี นายจอห์น แม็กเคน (John McCain) ใช้สารที่สื่อ เน้นให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเห็นถึงความรักในชาติอเมริกัน (Patriotism) กับประสบการณ์ทางการเมืองที่ยาวนานของเขา (Political experience) ต่อมาก็ได้เปลี่ยนสารเป็น “ผู้ที่มีความคิด เป็นอิสระ (Maverick)” ทางด้านบารัก โอบามา (Barack Obama) ผู้แข่งขัน ได้ใช้สารคำว่า “เปลี่ยน (Change)” เพียงคำเดียวเพื่อ โจมตีสารทางการเมืองของนายจอห์น แม็กเคน ทั้งหมด 2. การเงินกับการรณรงค์ทางการเมือง (Campaign finance) การรณรงค์ทางการเมืองที่ดีสามารถทำให้พรรค การเมืองมีเงินทุนเพิ่มขึ้นเพื่อดำเนินกิจกรรมทางการเมืองต่อไป ด้วยการที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งต้องออกพบปะสาธารณชน หรือกลุ่มผลประโยชน์อยู่เป็นประจำและหากสาร วาทะทาง การเมือง หรือนโยบายของพรรคประทับใจผู้มีสิทธิเลือกตั้ง หรือ กลุ่มผลประโยชน์ พวกเขาจะบริจาคเงินให้แก่พรรคการเมือง เพื่อสนับสนุนพรรคที่เขาชื่นชอบ 25

นักการเมืองถ่ินจังหวัดเพชรบูรณ์ 3. การรณรงค์ทางการเมืองยุคใหม่ ในปัจจุบันเป็นที่ ยอมรับกันโดยทั่วไปแล้วว่า พรรคการเมืองได้นำเทคนิคทางการ บริหารธุรกิจมาใช้ในการรณรงค์ทางการเมืองอย่างแพร่หลาย ลักษณะของโครงสร้างองค์กรพรรคการเมืองการดำเนินการ บริหารพรรคต่างๆ มีสภาพไม่แตกต่างจากบริษัทหากต่างแต่ เพียงอย่างเดียว คือตัวสินค้า เพราะพรรคการเมืองจะขาย นโยบายและผู้สมัครให้แก่ประชาชน ดังนั้นในการรณรงค์ ทางการเมืองพรรคการเมืองจึงมีการจัดตั้งทีมรณรงค์ทาง การเมือง (Political consultants and the campaign’s staff) เช่นเดียวกัน ทีมขาย ประกอบกับการใช้เทคนิคการทำตลาด ทางการเมือง (Political Marketing) อาทิ การสร้างภาพลักษณ ์ ในตัวพรรค (Brand Royalty) นโยบายและผู้สมัครรับเลือกตั้ง ในแต่ละคนให้ตรงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งด้วยการทำโพลล์สำรวจว่า ผู้มีสิทธิเลือกตั้งต้องการสิ่งใด ปรับภาพลักษณ์ให้เป็นที่สะดุดใจ และสร้างให้เกิดความประทับใจทันทีเมื่อแรกพบ ปรับสารและ วาทะทางการเมืองตลอดจนนโยบายให้เป็นข้อความที่สั้น กระชับและตรึงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งทันทีเมื่อได้ยิน โดยการใช้ เทคนิคการโฆษณาต่างๆ (Advertising and propaganda) ไม่ว่าจะ เป็นโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ อินเตอร์เน็ต ฯลฯ เข้ามาช่วย เสริม อีกทั้งยังมีการจัดตั้งตำแหน่งผู้จัดการส่วนตัวให้กับ ผู้สมัครรับเลือกตั้งแต่ละคน เพื่อให้ผู้จัดการส่วนตัวสามารถเป็น ทง้ั ผชู้ ว่ ยคอยปรบั บคุ ลกิ สารและวาทะทางการเมอื ง ใหค้ ำปรกึ ษา ด้านต่างๆ ที่เกี่ยวกับการรณรงค์ทางการเมืองเพื่อสร้างความ ประทับใจให้แก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเมื่อแรกพบเห็นและจัดทำ สำรวจโพลล์ทั้งเพื่อวัดความนิยมในตัวผู้สมัคร วัดความต้องการ 26

ทบทวนวรรณกรรมและงานวิจัยที่เก่ียวข้อง ของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง และวัดความนิยมของผู้สมัครในพรรค คู่แข่ง (Benchmark) หรือแม้กระทั่งต้องตอบคำถามต่างๆ กับ สื่อมวลชนแทนผู้สมัคร 4. เทคนิคการรณรงค์ทางการเมือง มีตั้งแต่เทคนิค แบบเกา่ เชน่ การเยย่ี มเดก็ ตามโรงเรยี น พบปะคนชรา ปรากฏตวั ในหมู่บ้านเล็กๆ (Whistle stop tour) เดินตลาด เคาะประตูบ้าน ลงหนังสือพิมพ์ ส่งจดหมายไปยังสมาชิกพรรค จัดงานเลี้ยง เชิญสมาชิกพรรคเพื่อเพิ่มผู้สนับสนุน เผชิญหน้ากับผู้สมัครคู่ แข่งในที่ต่างๆ ไปจนกระทั่งเทคนิคสมัยใหม่ด้วยการเปิดเว็บไซต์ ผู้สมัคร ส่งจดหมายทาง e-mail อันเป็นเทคนิคที่เข้าถึงผู้มีสิทธิ เลือกตั้งได้มากที่สุด เร็วที่สุด และทันสมัยที่สุด หรือการหันไป รณรงค์ทางการเมืองในกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งเล็กๆ (Micro targeting) ของสังคม ฯลฯ อย่างไรก็ตาม ภายหลัง จากการปฏิรูปทางการเมือง โดยวางกฎกติกาทางการเมืองใหม่ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 และมีพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2541 ซึ่งได้มีการเปลี่ยนแปลง ระบบการเลือกตั้ง อันมีทั้งการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ และ การเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบแบ่งเขตการเลือกตั้ง รวมทั้ง ยังมีคณะกรรมการเลือกตั้ง อันเป็นองค์กรอิสระ เข้ามาทำ หน้าที่ควบคุมและจัดการเลือกตั้ง ทำให้พรรคการเมืองต้องปรับ กลยุทธ์ในการรณรงค์หาเสียงและสร้างจุดขายเพื่อหาคะแนน นิยมให้ตนเองมากกว่าแต่ก่อน จึงได้เกิดมิติใหม่ในการรณรงค์ หาเสียงเลือกตั้งของพรรคการเมือง โดยพรรคการเมืองมีการ 27

นักการเมืองถิ่นจังหวัดเพชรบูรณ์ นำเสนอนโยบายสาธารณะของพรรคการเมืองผ่านสื่อต่างๆ อย่างกว้างขวางมากขึ้น มีการริเริ่มที่จะนำรูปแบบการรณรงค์ ทางการเมืองเพื่อหาสียงเลือกตั้งแบบใหม่ของต่างประเทศมาใช้ ด้วยวิธีการทำการตลาดทางการเมือง (Political Marketing) และ คงเป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า พรรคไทยรักไทยเป็นพรรคการเมือง แรกที่ประสบความสำเร็จในการรณรงค์หาเสียงเพื่อการเลือกตั้ง ภายหลังการประกาศใช้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2540 ดังที่ นันทนา นันทวโรภาส (2549) ได้กล่าวสรุปไว้ใน งานวิจัยเรื่อง “ชนะการเลือกตั้งด้วยพลังการตลาด” ว่า พรรค ไทยรักไทยได้นำกรอบแนวคิดการตลาดทางการเมืองทุกชนิด มาใช้ได้อย่างเหมาะสมเหมาะสมสอดคล้องกับสภาพสังคม การเมอื งไทยทง้ั การแบง่ สว่ นตลาดผเู้ ลอื กตง้ั (Voter segmentation) ที่สามารถจำแนกได้ละเอียดชัดเจนและเข้าถึงได้ทุกกลุ่ม การจัดวางตำแหน่งของพรรคและหัวหน้าพรรค (Product positioning) เป็นตำแหน่งที่แตกต่างและสร้างประโยชน์แก่พรรค ขณะเดียวกันพรรคก็ใช้ส่วนผสมทางการตลาด 4Ps อย่างมี ประสิทธิภาพ โดยการใช้การวิจัย (Polling) เป็นตัวนำในการ ออกแบบผลิตภัณฑ์ (Product) คือ นโยบายที่ตอบสนองความ พึงพอใจของผู้เลือกตั้งและใช้ทั้งการตลาดแบบผลักดัน (Push marketing) ผ่านกิจกรรมต่างๆ และการตลาดแบบดึงดูด (Pull marketing) ผ่านทางสื่อมวลชนอย่างกว้างขวาง โดยมีกลไกของ รัฐเป็นตัวสนับสนุนโดยไม่มีข้อจำกัด ซึ่งเมื่อพิจารณาผลการ เลือกตั้ง เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 ที่พรรคไทยรักไทย ได้รับเลือกตั้งสูงถึง 377 ที่นั่ง ย่อมเป็นเครื่องยืนยันความสำเร็จ 28

ทบทวนวรรณกรรมและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ของการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งภายใต้กรอบการตลาดเป็น อย่างดี ความสำเร็จในการทำการตลาดทางการเมืองมาใช ้ ในการรณรงค์ทางการเมืองเพื่อหาเสียงเลือกตั้งของพรรค ไทยรักไทยนั้น ส่งผลให้พรรคอื่นๆ จำต้องปรับกลยุทธ์ในการ รณรงค์ทางการเมืองให้ทันต่อกระแสความต้องการของผู้มีสิทธิ เลือกตั้งชาวไทย ไม่ว่าจะเป็นพรรคประชาธิปัตย์ด้วยการ Re-Branding พรรคประชาธิปัตย์ หรือการปรับใช้เทคนิคการ Branding นักการเมือง ของพรรคชาติไทย เป็นต้น แนวโน้มใน การรณรงค์ทางการเมืองเพื่อหาเสียงเลือกตั้งของพรรคการเมือง ไทย 1. พรรคการเมืองมีแนวโน้มในการรณรงค์หาเสียง โดย เน้นการประกาศนโยบายสาธารณะแบบประชานิยม ดังเช่นที่ นิยม รัฐอมฤต ได้กล่าวว่า “…ทิศทางของพรรคการเมืองไทย ในการเลือกตั้งครั้งหน้า จะยังไม่มีอะไรไปมากกว่าการแข่งขัน เพื่อให้ตนเองได้มี ส.ส. มากที่สุด และยุทธวิธีที่หนีไม่พ้นก็คือ การใช้เงิน และระบบอุปถัมภ์ และที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ การแข่งขันประกาศนโยบายประชานิยม โดยมุ่งหวังที่จะสร้าง คะแนนนิยมจากประชาชน” (นิยม, 2550) 2. ประชาชนที่มีความใกล้ชิดกับข้อมูลข่าวสารจะให้ ความสำคัญกับนโยบายของพรรคการเมืองมากขึ้น 3. สอ่ื มวลชน โทรทศั น์ วทิ ยุ สื่อสงิ่ พมิ พ์ และอืน่ ๆ เขา้ มา มีบทบาทในการรณรงค์ทางการเมืองเพื่อการหาเสียงเลือกตั้ง ของพรรคการเมืองมากขึ้น 29

นักการเมืองถ่ินจังหวัดเพชรบูรณ์ 4. เงินยังคงเป็นปัจจัยที่สำคัญในการรณรงค์ทางการ เมืองเพื่อการหาเสียงเลือกตั้ง แต่อาจมิใช่ปัจจัยชี้ขาดถึง ผลสำเร็จของการเลือกตั้ง เพราะหากใช้จ่ายเงินในทางที่ผิด ไม่เป็นไปตามกฎหมายอาจถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งได้ (พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 มาตรา 49 และมาตรา 60) 5. จะมีการใช้ข้อมูลสารสนเทศสำหรับการทางแผนและ ดำเนินการในการรณรงค์ทางการเมืองเพื่อหาเสียงเลือกตั้ง มากขนึ้ เชน่ มกี ารทำแบบสำรวจโพลล์ เพื่อคน้ หาความต้องการ ของประชาชนมากำหนดเป็นนโยบายของพรรคการเมืองเพื่อใช้ หาเสียงมากขึ้น รวมทั้งมีการสำรวจความนิยมของพรรค การเมือง ผู้สมัครรับเลือกตั้งอย่างสม่ำเสมอ เพื่อนำข้อมูลมา ปรับกลยุทธ์ในการรณรงค์ทางการเมืองเพื่อหาเสียงเลือกตั้งให้มี ประสิทธิภาพตรงใจกับผู้มีสิทธิเลือกตั้ง มีการปรับวาทะทาง การเมืองให้สั้น กระชับ เพื่อดึงดูดใจ และให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ประทับใจในช่วงเวลาอันรวดเร็ว และตรงจุดความต้องการ 6. พรรคการเมืองและผู้สมัครรับเลือกตั้งจะรณรงค์ หาเสียงเลือกตั้งควบคู่ไปกับการจับจ้องพฤติการณ์การหาเสียง เลือกตั้งของคู่แข่งมากยิ่งขึ้น เพื่อหวังผลในการร้องเรียนร้อง คัดค้านอันจะนำมาสู่การไม่ประกาศผลเลือกตั้งจาก ก.ก.ต. (กรณีตนเองแพ้การเลือกตั้ง) และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งแก่ ผู้สมัครรับเลือกตั้งฝ่ายตรงกันข้าม (พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มา ซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 114) 30

ทบทวนวรรณกรรมและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.4 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ประชัน รักพงษ์ (ประชัน รักพงษ์,2529) ได้ศึกษา การหาเสียงเลือกตั้งเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2529 จังหวัดลำปาง ซึ่งโครงการศึกษานโยบายสาธารณะ สมาคมสังคมศาสตร์แห่ง ประเทศไทย เป็นการศึกษาพฤติกรรมในการรณรงค์หาเสียง เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรจังหวัดลำปางในการเลือกตั้ง ทั่วไป พ.ศ.2529 ซึ่งเป็นการศึกษาเกี่ยวกับภูมิหลังของ ผู้สมัครด้านข้อมูลส่วนบุคคล ประสบการณ์ในการทำงาน ประสบการณ์ทางการเมือง การสั่งสมบารมีของผู้สมัคร ศึกษา การรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง กลยุทธ์ในด้านการวางแผนการ หาเสียงเลือกตั้ง การจัดองค์กรหาเสียง วิธีการเข้าหามวลชน ในชุมชนต่างๆการใช้สื่อและอุปกรณ์ในการหาเสียง ตลอดจน การให้ผลประโยชน์ตอบแทนและการใช้เงินชื้อเสียง งานวิจัยดังกล่าวผู้ศึกษาได้ศึกษาถึงความคิดเห็นของ ประชาชนที่มีต่อการเลือกตั้งทัศนคติและความหวังของ ประชาชนที่มีต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร ทรงศักดิ์ ฉลาดพงศ์พันธ์ (ทรงศักดิ์ ฉลาดพงศ์พันธ์, 2535) ได้ศึกษาเรื่องพฤติกรรมทางการเมืองของนายสมาน ชมพูเทพ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษารูปแบบพฤติกรรม ทางการเมอื งและปจั จยั ทม่ี อี ทิ ธพิ ลตอ่ พฤตกิ รรมทางการเมอื งของ นายสมาน ชมพูเทพ ผู้ศึกษาไม่ได้ศึกษานายสมาน ชมพูเทพ เพราะว่าเขาเป็นนักการเมืองดีเด่นหรือมีปัญหา แต่ศึกษาเพราะ นายสมาน ชมพูเทพเป็นนักการเมือง และใช้กรอบในทาง รัฐศาสตร์มาใช้วิเคราะห์พฤติกรรมทางการเมืองของนายสมาน 31

นักการเมืองถิ่นจังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งผู้ศึกษาได้ใช้ข้อมูลจากการสัมภาษณ์บุคคลทั่วไป และ ข้อมูลในเอกสารที่เกี่ยวข้อง จากการศึกษาพบว่า นายสมาน มีพฤติกรรมทางการเมืองที่ทำให้ประชาชนเกิดความรู้สึกว่าเป็น พวกเดียวกัน การใช้กลวิธีเพื่อสร้างชื่อและสร้างสถานการณ์ ที่เป็นผลดีให้กับตนเอง โดยการเข้าไปอิงกับสถาบันทางศาสนา และความเชื่อตลอดจนพฤติกรรมที่อาศัยการพึ่งพาจากบุคคล ที่มีฐานะและมีชื่อเสียงดี การใช้ปมด้อยให้กลายเป็นปมเด่น โดยอาศัยเทคนิคจากคำพูดที่คมคาย สามารถใช้สถานการณ์ ที่เลวร้ายกลับกลายเป็นดี มณีรัตร์ ธรรมพัฒนากลู (มณีรัตร์ ธรรมพัฒนากลู , 2535) ได้ศึกษาเพื่อจัดทำวิทยานิพนธ์ รัฐศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เรื่องพฤติกรรมทางการเมืองของ นายกรัฐมนตรี พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ: วิเคราะห์เชิง จิตวิทยา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษารูปแบบพฤติกรรม การต่อสู้ให้ได้มาซึ่งอำนาจทางการเมืองของพลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ ว่ามีรูปแบบของพฤติกรรมการต่อสู้ให้ได้มาซึ่ง อำนาจทางการเมืองเป็นอย่างไร โดยศึกษาถึงปัจจัยที่มีอิทธิพล ต่อพฤติกรรมทางการเมืองทั้งในด้านการได้มาซึ่งอำนาจและ การใช้อำนาจทางการเมืองของพลเอก ชาติชาย ชุนหะวัณ โดยอาศัยการสัมภาษณ์จากบุคคลใกล้ชิดและเอกสารที่ตีพิมพ์ เกี่ยวกับพลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ จากการศึกษาพบว่า พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นผู้ที่กระตือรือร้นและมีทัศนคติ ในทางบวกต่อตำแหน่งผู้นำ มีความเชื่อมั่นในตนเองอันมีผล มาจากประสบการณ์ในวัยเด็กที่มาจากครอบครัวที่มีฐานะทาง เศรษฐกิจที่ดีและมีอิทธิพลของครอบครัวที่ได้รับความอบอุ่น 32

ทบทวนวรรณกรรมและงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง จากบิดามารดา ทำให้พลเอกชาติชาย มีความภูมิใจในศักดิ์ศรี ของตนเองสูง วิชัย ชัชวาลวิทย์ (วิชัย ชัชวาลวิทย์, 2536) ได้ศึกษา เพื่อการค้นคว้าแบบอิสระ รัฐศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัย เชียงใหม่ เรื่องพฤติกรรมทางการเมืองของ ประธานาธิบดี บิล คลินตัน แห่งสหรัฐอเมริกาโดยวิเคราะห์ความเป็นผู้นำ ทางการเมืองโดยศึกษาจากประวัติและประสบการณ์ทาง การเมืองของประธานาธิบดี บิล คลินตัน ว่ามีวิธีชิงอำนาจหรือ การได้มาซึ่งอำนาจ การใช้และการรักษาอำนาจทางการเมือง อย่างไร โดยเริ่มจากการถือกำเนิด สภาพของครอบครัว ชีวิต ยามเยาว์วัย การศึกษา ประสบการณ์และอาชีพ ทางการเมือง การเป็นผู้นำและพฤติกรรมทางการเมือง การกล่อมเกลาทาง สังคมที่มีอิทธิพลต่อบุคลิกภาพ คุณสมบัติของผู้นำ ปณิธาน ทแ่ี นว่ แนอ่ นั เปน็ กญุ แจสำคญั ทน่ี ำไปสคู่ วามสำเรจ็ ความสามารถ พิเศษในการพลิกสถานการณ์ที่เสียเปรียบให้เป็นข้อได้เปรียบ อย่างชาญฉลาด แมน สารรัตน์ (แมน สารรัตน์,2536) ได้ศึกษาเพื่อการ ค้นคว้าแบบอิสระ รัฐศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เรื่องการวิเคราะห์การเป็นผู้นำทางการเมืองของประธานาธิบดี ซัดดัม ฮุสเซน ที่เน้นการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ ลักษณะ การใช้อำนาจและการรักษาอำนาจทางการเมือง ตลอดจน ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมทางการเมืองซึ่งพบว่าชีวิต ส่วนตัวของซัดดัม ฮุสเซนในระยะแรกได้รับการอบรมบ่มนิสัย ของสังคมอิรัก ประสบการณ์ในเรื่องการถูกกดขี่ข่มเหงและ 33

นักการเมืองถ่ินจังหวัดเพชรบูรณ์ การถูกเอารัดเอาเปรียบโดยผู้มีอำนาจเหนือกว่า และความ ยุติธรรมต่างๆ ที่สะสมจากวัยเด็ก สิ่งเหล่านี้ทำให้ซัดดัม ฮุสเซน กลายเป็นคนทะเยอทะยาน และกระหายอำนาจ เป็นนักปฏิวัติ สังคมที่ต้องการสร้างสังคมและระเบียบของโลกเสียใหม ่ ในทิศทางที่เขาต้องการนั่นคือการสร้างสันติสุขที่แท้จริงให้เกิด ขึ้นกับโลกอาหรับ การต่อสู้ช่วงชิงอำนาจและการได้อำนาจของซัดดัม ฮุสเซน เต็มไปด้วยการใช้ชั้นเชิงและเล่ห์เหลี่ยมไหวพริบ และ วิธีการอันชาญฉลาดอำนาจที่เขาได้มาเป็นอำนาจเผด็จการ ซัดดัม ฮุสเซน จึงใช้อำนาจนั้นอย่างเผด็จการ และค่อนข้างจะ เป็นไปตามอำเภอใจ และเพื่อเป็นการรักษาอำนาจนั้น เขาจึง บริหารงานแบบครอบครัว การใช้อำนาจเงินจากผลประโยชน์ ทางธุรกิจที่มีอย่างมหาศาล ซึ่งชีวิตของซัดดัม ฮุสเซนเป็นสิ่งที่ น่าศึกษาและท้าทายการวิพากษ์วิจารณ์ เศรษฐวัฒน์ ตัณฑลีลา (เศรษฐวัฒน์ ตัณฑลีลา, 2540) ได้ศึกษาเพื่อการค้นคว้าแบบอิสระ รัฐศาสตร์มหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เรื่องวิเคราะห์ความเป็นผู้นำการเมือง ของพลตรี จำลอง ศรีเมือง วัตถุประสงค์หลักของการค้นคว้า ความเปน็ ผนู้ ำแนวคดิ บทบาท และพฤตกิ รรมของพลตรี จำลอง ศรีเมือง ในช่วงปี 2524-2528 พบว่าพลตรีจำลอง ศรีเมือง เกือบ จะทั้งหมดของชีวิตเขาเป็นนายทหารอาชีพ มาจากครอบครัว ที่ยากจนแต่มีความผูกพันใกล้ชิด เริ่มมีบทบาททางการเมือง ในสมัยพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ เป็นนายกรัฐมนตรี บทบาททางการเมอื งเดน่ ชดั ขน้ึ ในสมยั ทพ่ี ลเอกเปรม ตณิ สลู านนท์ 34

ทบทวนวรรณกรรมและงานวิจัยท่ีเก่ียวข้อง เป็นนายกรัฐมนตรี โดยได้รับความไว้วางใจแต่งตั้งให้เป็น เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ต่อมาขอลาออกจากตำแหน่ง เลขาธิการนายกรัฐมนตรีในช่วงรัฐบาลเดียวกันเพื่อคัดค้านร่าง กฎหมายทำแท้ง ประสบผลสำเร็จทางการเมือง เมื่อชนะการ เลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ความนิยมในตัวพลตรี จำลอง ศรีเมือง คือเป็นคนซื่อสัตย์และเคร่งครัดในศาสนา ต่อมาได้ตั้งพรรค การเมืองคือ พรรคพลังธรรม ซึ่งได้รับการ ตอบรับอย่างดีในทุกเขตเลือกตั้งในกรุงเทพมหานคร ตอนหลัง ความนิยมในพรรคเสื่อมถอยลงตั้งแต่ปี พ.ศ.2537 อันเนื่องมา จากความขัดแย้งภายในพรรคทำให้สมาชิกหลายคนลาออก และไปรวมกับพรรค การเมืองอื่น พลตรี จำลอง ศรีเมือง เป็นผู้นำที่กระตือรือร้น ไม่ยึดติด กบั ตำแหนง่ แตม่ คี วามรบั ผดิ ชอบ ตอ้ งการปฏบิ ตั งิ านในตำแหนง่ นั้นให้ลุล่วงไป ท่านเป็นผู้นำเยี่ยงวีรบุรุษ เพราะมีบทบาทสูงใน สถานการณ์ที่เสี่ยงต่อความโดดเด่น คือกรณีการออกมาเป็น ผู้นำในการประท้วงต่อต้านการแต่งตั้งให้พลเอก สุจินดา คราประยูร เป็นผู้บังคับการทหารบก และผู้บังคับบัญชาทหาร สูงสุดเป็นนายกรัฐมนตรี ภายหลังการเลือกตั้งผู้แทนราษฏร เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2535 อันนำไปสู่เหตุการณ์ “พฤษภา ทมิฬ” ในอีก 2 เดือนถัดมา บทบาทของพลตรี จำลองในเวลา นั้นถือได้ว่า เป็นผู้นำเชิงบารมีซึ่งได้รับการยอมรับจากมหาชน ทั่วไป สละ ลิขิตกุล (สละ ลิขิตกุล, 2538) จากบทความ พงศาวดารการเมือง ชีวิตของคนไทยที่เป็น ส.ส.นานที่สุดใน 35