Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 29นักการเมืองถิ่นแพร่.

29นักการเมืองถิ่นแพร่.

Description: เล่มที29นักการเมืองถิ่นแพร่.

Search

Read the Text Version

นกั การเมืองถิน่ จงั หวัดแพร่ โดย วนั ชาติ นภาศรี ขอ้ มูลทางบรรณานุกรมของหอสมุดแหง่ ชาติ National Library of Thailand Cataloging in Publication Data วันชาติ นภาศรี นกั การเมอื งถน่ิ จงั หวดั แพร.่ -- กรงุ เทพฯ : สำ� นกั วจิ ยั และพฒั นา สถาบนั พระปกเกลา้ , 2555. 200 หนา้ . 1. นักการเมอื ง -แพร.่ การเมืองการปกครอง I. ชือ่ เรื่อง. 923.2593 ISBN 978-974-449-665-2 รหัสสิง่ พมิ พ์ของสถาบนั พระปกเกลา้ สวพ.55-53-500.0 เลขมาตรฐานสากลประจ�ำหนงั สอื 978-974-449-665-2 ราคา 180 บาท พมิ พค์ รงั้ ที่1 กันยายน 2555 จำ� นวนพิมพ์ 500 เลม่ ลิขสิทธ์ิ สถาบันพระปกเกล้า ทปี่ รกึ ษา ศาสตราจารย์ นรนติ ิ เศรษฐบุตร รองศาสตราจารย์ ดร.นยิ ม รฐั อมฤต รองศาสตราจารย์ ดร.ปรชี า หงษไ์ กรเลิศ รองศาสตราจารย์ พรชยั เทพปญั ญา ดร. ถวิลวดี บรุ กี ุล ผแู้ ตง่ วันชาติ นภาศรี ผ้ปู ระสานงาน ณัฏฐกาญจน์ ศกุ ลรตั นเมธี จดั พิมพโ์ ดย สถาบันพระปกเกล้า ศูนยร์ าชการเฉลมิ พระเกยี รติ 80 พรรษาฯ อาคารบี ชั้น 5 (โซนทิศใต้) เลขท่ี 120 หมู่ 3 ถนนแจง้ วัฒนะ แขวงทงุ่ สองห้อง เขตหลกั ส่ี กรงุ เทพฯ 10210 โทรศพั ท์ 02-141-9607 โทรสาร 02-143-8177 http://www.kpi.ac.th พมิ พท์ ่ี บริษทั ไบรท์ แอนด์ พริน้ จำ� กัด เลขที่ 12 ซ.ลาดพรา้ ววงั หิน 43 ถ.ลาดพร้าว แขวง/เขตลาดพร้าว กรุงเทพฯ 10230 โทรศัพท์ 0-2539-5008, 0-2539-5021 โทรสาร 0-2931-7020

นกัจกงั หารวเดั มแือพงรถ่น่ิ วนั ชาติ นภาศรี สถาบันพระปกเกล้า อภนิ นั ทนาการ

คำ�น�ำ การวิจัยโครงการสำ�รวจเพ่ือประมวลข้อมูลการเมืองถ่ิน และนัก การเมืองถ่นิ จงั หวัดแพร่ เปน็ โครงการวิจัยส�ำ รวจเพอ่ื ให้ทราบถึง ข้อมูลท่ีเป็นจริงของการเมืองถิ่น และนักการเมืองถ่ินในพ้ืนท่ีจังหวัด แพร่ เพอื่ หาคำ�ตอบเชิงพฤตกิ รรมของนกั การเมืองถิน่ เครอื ขา่ ยความ สมั พนั ธข์ องกลมุ่ ตา่ งๆ เชน่ เครอื ญาติ กลมุ่ ผลประโยชน์ พรรคการเมอื ง เป็นต้น ท่ีมีส่วนสนบั สนุนนกั การเมอื งถ่ิน รวมถงึ เพอ่ื ทราบถึงวิธีการ หาเสียง กลยุทธ์การเลือกตั้งของนักการเมืองถ่ินในจังหวัดแพร่ โดย วธิ กี ารศกึ ษาวิจยั อาศยั การวจิ ัยเชงิ คุณภาพเปน็ เครอ่ื งมือสำ�คญั ได้แก่ 1) การศกึ ษาเอกสารท่เี กี่ยวข้อง 2) การสมั ภาษณเ์ ชงิ ลกึ (In - depth Interview) ผู้ให้ข้อมูลสำ�คัญ (Key Informants) แล้วนำ�ข้อมูลท้ังหมด มาประมวล วิเคราะห์ และนำ�ไปอภิปรายผลในภาพรวมด้วยวิธีการ พรรณนาวเิ คราะห์ ผลการศึกษาวิจัย ในครั้งนี้ ผู้วิจัยคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะ ชว่ ยเตมิ เตม็ เรอ่ื งราวตา่ งๆ ของการเมอื งถนิ่ และนกั การเมอื งถน่ิ ในพนื้ ท่ี จงั หวดั แพร่ ทขี่ าดหายไปของภาคการเมอื งที่ศึกษากนั อยู่ และหวังว่า จะเป็นประโยชน์สำ�หรับการทำ�ความเข้าใจปรากฏการณ์ทางการเมือง ของประเทศ อนั อาจน�ำ ไปสูก่ ารเปน็ บทเรียนกรณีศึกษา (Case Study) IV

เพ่ือการพัฒนาทางการเมืองการปกครองตามวิถีประชาธิปไตยอันมี พระมหากษตั ริยท์ รงเป็นประมุข ในอนาคต ผู้วิจัยใคร่ขอขอบคุณ รองศาสตราจารย์ อรวรรณ ทิตย์วรรณ รกั ษาการอธิการบดี มหาวิทยาลยั โยนก และสถาบนั พระปกเกล้า โดย สำ�นักวิจัยและพัฒนา ที่สนับสนุนการศึกษาวิจัย และให้คำ�แนะนำ�ที่ เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม เน่ืองจากการดำ�เนินการวิจัย ครั้งนี้มีข้อจำ�กัดหลายประการ ท้ังในด้านผู้ให้ข้อมูลการศึกษา และ เงื่อนไขของเวลา อาจทำ�ให้ผลงานวิจัยขาดความสมบูรณ์ในบางส่วน ผวู้ จิ ยั ยนิ ดรี บั ฟงั ขอ้ เสนอแนะ เพอ่ื น�ำ ไปปรบั ปรงุ ส�ำ หรบั การสรา้ งสรรค์ ผลงานวจิ ยั และผลงานวิชาการ ตอ่ ไป วันชาต ิ นภาศรี V

บทคัดยอ่ การส�ำ รวจเพอ่ื ประมวลขอ้ มลู นกั การเมอื งถนิ่ ในพนื้ ทจ่ี งั หวดั แพร่ มี วตั ถปุ ระสงค์ เพือ่ รจู้ ักนกั การเมืองทเ่ี คยไดร้ ับการเลอื กตั้งในพนื้ ที่ จงั หวดั แพร่ เครือข่ายและความสมั พันธข์ องกลมุ่ ต่างๆ อาทิ กล่มุ วงศา คณาญาติ กลุ่มผลประโยชน์ กลมุ่ ทไ่ี มเ่ ป็นทางการ และพรรคการเมือง กลวิธีการหาเสียงของนักการเมือง ตลอดจน ความมาเป็นมาของ การเมืองในจังหวัดแพร่ตั้งแต่ พ.ศ. 2475 ถึง การเลือกต้ังท่ัวไปเมื่อ วันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2550 วธิ กี ารศกึ ษา ผู้ศกึ ษาใชก้ ารศกึ ษาเอกสาร แนวคิดทฤษฎี และข้อมูลท่ีเกี่ยวข้อง การสัมภาษณ์ การสังเกต แล้ว นำ�ข้อมูลที่ได้มาจัดระบบ นำ�เสนอทั้งในเชิงปริมาณและการพรรณนา ความ ผกการศกึ ษา พบวา่ นกั การเมอื งถนิ่ จงั หวดั แพรส่ ามารถจ�ำ แนก ได้เป็น 5 กระกลู ใหญ่ คือ (1) รงั คสริ ิ (2) วงศ์วรรณ (3) เอ้อื อภญิ ญกุล (4) ศุภศิริ และ (5) พนมขวัญ สว่ นใหญ่เปน็ นกั การเมอื งชาย จ�ำ นวน 20 คน นกั การเมอื งหญิง จำ�นวน 3 คน นบั จาก การเลอื กต้ังทว่ั ไปครงั้ แรก เมอ่ื วนั ที่ 15 พฤศจกิ ายน พ.ศ.2476 จนถงึ ปจั จบุ นั มสี มาชกิ สภาผแู้ ทน ราษฎรทอี่ ยู่ในต�ำ แหน่งสงู สดุ 7 สมัย คอื นายดุสติ รังคสิริ รองลงมา 6 สมยั คือ นายณรงค์ วงศ์วรรณ และ 5 สมยั คือ นายทอง กนั ทาธรรม VI

ความนิยมของคนเมืองแพร่ท่ีมีต่อพรรคการเมืองใด พรรค การเมืองหนึ่งไม่เหมือนคนจังหวัดในภาคใต้ท่ีมีต่อพรรคประชาธิปัตย์ เห็นได้จากการที่ผู้สมัครของจังหวัดแพร่ท่ีมักเปล่ียนพรรคขึ้นกับความ สมั พนั ธข์ องกลมุ่ ยกเวน้ นายดุสติ รงั คสิริ ทีส่ งั กัดพรรคชาตไิ ทย พรรค เดยี ว ความสมั พนั ธข์ องผสู้ มคั รสว่ นใหญใ่ นจงั หวดั แพร่ มกั เชอื่ มโยงสาย สัมพันธ์เชิงเครือญาติ และกลุ่มผลประโยชน์ เปน็ หลัก สามารถสรุปกลวิธีการหาเสียงเลือกตั้ง (1) การประกาศ เจตนารมณ์ในการรับใช้ชาติ รักษาประชาธิปไตย และเป็นตวั แทนของ พีน่ ้องประชาชน (2) การศึกษา (3) การหาเสียงแบบเข้าถึงชาวบา้ น (4) กลยทุ ธ์การลงพ้ืนท่ี (5) การปราศรยั หาเสยี ง (6) กลยทุ ธเ์ ครอื ข่าย และ ความสมั พนั ธแ์ บบ “หัวคะแนน” และ (7) กลยทุ ธ์การเงิน VII

Abstract The purpose of this study was to collect data about Phrae Province local politicians who have been elected to parliament. The study examined such politicians personal histories, relationships and campaigners, as well as political history in Phrae province, since then 24 June 2475 until 23 December 2550 elected. Data were collected thought review of relevant documents, interviews and observation. Data were analyzed quantitative and qualitative and organized into thematic patterns. The study suggested that Phrae politicians could be categorized into five pedigree : (1) Rungkasiri (2) Wongwan (3) Au - apinyakul (4) Suprasiri and (5) Panomkwan. Among the Study Subjects, three women politicians and twenty men politicians, since then 15 November 2476 until at present elected, Dusit Rungkasiri managed to be elected to the House of Representatives in seven consecutive VIII

election, Narong Wongwan in six consecutive times and Tong Kuntatum in five consecutive times. It was found that the Phrae publics attitude concerning popularity of politicians was not enduring, compared to the loyalty of people in the south to the Democrat Party. This was reflected in the fact that many vote – winning local politicians were seen to switch parties multiple times, except in Dusit Rungkasiri managed to be Chart Thai Party. while, politicians were any on familial relationships and interest group. Conclusion, Campaign were elected to parliament, (1) Political Democracy Ideology (2) Education (3) House of Campaign (4) In district (5) Speech (6) Election campaigners and (7) Strategy money IX

สารบัญ คำ�น�ำ หน้า บทคัดย่อภาษาไทย IV บทคัดยอ่ ภาษาองั กฤษ VI VIII สารบัญ บทท่ี 1.บทนำ� 1 ความเป็นมาและความส�ำ คัญของการศึกษา 1 วัตถปุ ระสงคข์ องการศกึ ษา 3 วธิ ีการศกึ ษา “การเมอื งถ่นิ ” และ “นกั การเมอื งถิ่น 3 การวิเคราะห์ขอ้ มลู 5 นิยามศัพท์ 6 นยิ ามปฏิบตั กิ าร 6 2. ข้อมลู ท่วั ไป แนวคิดทฤษฎี และงานวิจัยท่เี กย่ี วข้อง 9 ประวัติความเป็นมาของประชาธิปไตยไทย 9 ระบบรฐั สภาไทย 10 แนวคดิ ทฤษฎี และงานวิจยั ท่เี กยี่ วข้อง 16 การเลอื กต้งั สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรของไทย 24 X

ขอ้ มูลท่ัวไปจงั หวัดแพร ่ 40 ขอ้ มลู การเลอื กตั้งสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร พ.ศ.2550 44 วนั ที่ 23 ธันวาคม 2550 3. ข้อมูลการเมืองถ่ิน และนักการเมอื งถน่ิ จงั หวดั แพร่ 47 นายทอง กันทาธรรม 49 นายสธุ รรม สายศร 53 นายรัตน์ พนมขวัญ 54 คณุ หญิงบัวเขียว รังคสิร ิ 56 นายดุสติ รังคสิร ิ 59 นายเมธา เอือ้ อภิญญกุล 66 นายณรงค์ วงศ์วรรณ 71 นางศริ ิวรรณ ปราศจากศัตรู 76 นายวรวจั น์ เอ้อื อภิญญกลุ 85 นายแพทยท์ ศพร เสรีรกั ษ ์ 91 นางปานหทยั เสรรี ักษ ์ 96 นายอนวุ ัธ วงศว์ รรณ 100 นายแพทย์นิยม วิวรรธนดิฐกลุ 103 4. สรปุ อภิปรายผลการศกึ ษา และขอ้ เสนอแนะ 107 1.เครือขา่ ยและความสัมพนั ธข์ องนกั การเมอื งในจังหวัดแพร ่ 108 2.บทบาทและความสมั พันธข์ องกลมุ่ ผลประโยชน์ 111 กลุม่ ไม่เป็นทางการ และกล่มุ ครอบครวั 3.บทบาทและความสมั พนั ธ์ของพรรคการเมอื งกับ 116 นกั การเมืองในจังหวัดแพร ่ 4.รปู แบบ วธิ ีการ และกลยุทธ์การหาเสยี งในการเลอื กตง้ั 121 ของนักการเมืองในจังหวดั แพร่ XI

5. ข้อเสนอแนะจากการวิจยั 126 สารบัญตาราง 38 ตารางท่ี 1 แสดงการเลอื กตั้งสมาชกิ สภาผู้แทนราษฎร 130 จังหวดั แพร่ พ.ศ. 2476 – 2550 132 บรรณานกุ รม 135 ภาคผนวก 136 ก. แบบสมั ภาษณน์ กั การเมืองถนิ่ ในพนื้ ที่จังหวัดแพร ่ 147 ข. รายนามผู้ให้ค�ำ สัมภาษณ ์ 149 ค. ค�ำ ให้การสมั ภาษณ ์ ง. ภาพนกั การเมอื งถน่ิ จงั หวดั แพร่ (บางส่วน) ประวัติผู้วจิ ัย XII





บ1ทที่ความเปน็ มาและความสำ�คญั ของการศึกษา ความเป็นมาและความสำ�คัญ ของการศกึ ษา บทน�ำ โ ครงการสำ�รวจเพื่อประมวลข้อมูลนักการเมืองถิ่นในพ้ืนที่จังหวัด แพร่ เป็นส่วนหน่ึงของโครงการสำ�รวจเพื่อประมวลข้อมูล นักการเมืองถิ่นในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ สืบเนื่องจากการเปล่ียนแปลง การปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นการปกครอง ระบอบประชาธปิ ไตยอนั มพี ระมหากษัตรยิ ์ทรงเป็นประมุข ตงั้ แต่วันที่ 24 มถิ นุ ายน พ.ศ.2475 เปน็ ตน้ มา ถอื วา่ เป็นจุดเรม่ิ ตน้ ของการสร้าง ระบบการเมืองในรูปแบบที่ประชาชนเลือกผู้แทนของตนไปทำ�หน้าที่ กำ�หนดนโยบายสาธารณะแทนตน ท้ังในระดับชาติและระดับท้องถิ่น ทผี่ า่ นมาในระดบั ชาติ ประเทศไทยจดั ใหม้ กี ารเลอื กตงั้ ทวั่ ไป สมาชกิ สภา ผแู้ ทนราษฎรขนึ้ ทง้ั ทเี่ ปน็ การเลอื กตง้ั โดยทางตรง และการเลอื กตง้ั โดย ทางออ้ ม รวม 22 ครง้ั (คร้งั ลา่ สดุ วันที่ 23 ธันวาคม 2550) ครง้ั แรก 1

นกั การเมืองถิ่นจงั หวัดแพร่ เป็นการเลือกตง้ั สมาชกิ พฤฒิสภา โดยเป็นการเลือกตง้ั ทางออ้ ม 1 คร้งั เมอื่ ปี พ.ศ.2489 และ ตอ่ มา มกี ารเลอื กตงั้ สมาชกิ วฒุ สิ ภา ครง้ั แรกเมอ่ื วนั ท่ี 4 มีนาคม พ.ศ. 2543 ขณะที่ ระดบั ท้องถ่ินได้จดั ให้มีการเลอื กตงั้ ผแู้ ทน เพอื่ ท�ำ หนา้ ทใี่ นองคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถนิ่ (อปท.) ในหลายรปู แบบของระดบั การพัฒนา อย่างไรก็ตาม ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าการศึกษาเกี่ยวกับ การเมอื งการปกครองของไทย ทผ่ี า่ นมามงุ่ เนน้ การศกึ ษาในเชงิ ภาพรวม ของภาคการเมอื งระดบั ประเทศเปน็ สว่ นใหญ่ สงิ่ ทขี่ าดหายไปของภาค การเมอื งทศี่ กึ ษากนั อยู่ กค็ อื สงิ่ ทเ่ี รยี กวา่ “การเมอื งถนิ่ ” หรอื “การเมอื ง ทอ้ งถนิ่ ” ทเ่ี ปน็ การศกึ ษาเรอ่ื งราวของการเมอื งทเี่ กดิ ขน้ึ ในอาณาบรเิ วณ ของทอ้ งถน่ิ ทเี่ ปน็ จงั หวดั ตา่ ง ๆ ของประเทศ ซง่ึ เปน็ ปรากฏการณท์ เี่ ปน็ ภาพคขู่ นานไปกบั การเมืองระดบั ชาติ อกี ระนาบหนึง่ เพราะในขณะที่ เวทีการเมือง ณ ศูนย์กลางของประเทศกำ�ลังเข้มข้นด้วยการชิงไหว ชิงพริบของเหลา่ นักการเมอื งในสภา พรรคการเมอื ง กลุ่มผลประโยชน์ กลมุ่ อทิ ธพิ ล และภาคประชาชน ขณะท่ี อีกดา้ นหนง่ึ ในพืน้ ที่จังหวดั เหล่าผสู้ นับสนนุ ท้งั หลายกด็ �ำ เนนิ กจิ กรรม เพือ่ รกั ษาฐานคะแนนเสียง ในพนื้ ทเ่ี ชน่ เดยี วกนั และทนั ทที ภี่ ารกจิ ในสว่ นกลางสนิ้ สดุ ลง การลงพน้ื ทพ่ี บปะประชาชนตามสถานทงี่ านบญุ งานประเพณตี า่ ง ๆ ตามโอกาส ที่เหมาะสม รวมถึง การเปิดสำ�นักงานหรือศูนย์รับเร่ืองราวร้องทุกข์ ของสมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรแตล่ ะคน เปน็ สิ่งทน่ี กั การเมืองผู้คาดหวงั ชยั ชนะในการเลอื กต้ังจะมิอาจปฏเิ สธได้ ปรากฏการณท์ เ่ี กดิ ขน้ึ ในพนื้ ทจ่ี งั หวดั ไดส้ ะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ ความ สมั พนั ธข์ องระหวา่ งประชาชนในพนื้ ทจ่ี งั หวดั กบั นกั การเมอื งทอ้ งถน่ิ ทมี่ ี ความหลากหลายในมิติสัมพันธ์ของการเมืองไทยที่ดำ�เนินมายาวนาน 2

ความเปน็ มาและความส�ำ คัญของการศกึ ษา กว่า 77 ปี (พ.ศ.2552) “การเมืองถนิ่ ” และ “นักการเมอื งถิน่ ” จงึ เปน็ เรอ่ื งทีน่ ่าสนใจท�ำ การศกึ ษา เพอ่ื เติมเตม็ องคค์ วามร้ทู ่ียังขาดหาย และ หากนำ�สิ่งที่ค้นพบได้จากการศึกษามาสังเคราะห์อย่างลึกซึ้งก็น่าจะ ท�ำ ให้เราสามารถเข้าใจการเมืองไทย และการพฒั นาทางการเมอื งไทย ไดอ้ ยา่ งชดั เจนมากขนึ้ ในมมุ มองทแ่ี ตกตา่ งไปจากการมองในมติ ดิ งั้ เดมิ วตั ถปุ ระสงคข์ องการศกึ ษา 1. เพื่อรู้จักนักการเมืองท่ีเคยได้รับการเลือกต้ังในพ้ืนที่จังหวัด แพร่ 2. เพอ่ื ทราบถงึ เครอื ขา่ ยและความสัมพันธ์ของนักการเมอื งใน พ้ืนทจี่ งั หวดั แพร่ 3. เพ่ือทราบบทบาทและความสัมพันธ์ของกลุ่มผลประโยชน์ และกลุ่มท่ีไม่เป็นทางการ เช่น ครอบครัว วงศาคณาญาติ ฯลฯ ที่มี สว่ นในการสนับสนุนทางการเมืองแกน่ ักการเมืองในพ้นื ที่จงั หวัดแพร่ 4. เพ่ือทราบบทบาทและความสัมพันธ์ของพรรคการเมืองกับ นกั การเมอื งในพื้นทจ่ี งั หวดั แพร่ 5. เพ่ือทราบถึงวิธีการหาเสียงในการเลือกต้ังของนักการเมือง ในจงั หวัดแพร่ วธิ กี ารศกึ ษา “การเมืองถิน่ ” และ “นักการเมืองถ่ิน” ในพืน้ ท่จี ังหวดั แพร่ การศึกษาเพ่ือประมวลข้อมูลนักการเมอื งถิ่นในครั้งน้ี ผศู้ ึกษา 3

นักการเมืองถน่ิ จงั หวดั แพร่ อาศยั การวิจยั เชิงคณุ ภาพเป็นเครอื่ งมือส�ำ คญั ไดแ้ ก่ 1. การศึกษาเอกสารทเี่ ก่ียวข้อง 2. การสมั ภาษณเ์ ชิงลกึ (In - depth Interview) ผใู้ หข้ ้อมูลสำ�คัญ (Key Informants) ไดแ้ ก่ นกั การเมอื งคนตา่ ง ๆ และผทู้ ส่ี ามารถใหข้ อ้ มลู เช่อื มโยงถึงนกั การเมอื งในพ้นื ท่จี ังหวัดแพร่ จังหวัดแพร่ เป็นเมืองเก่าแก่เมืองหนึ่งในภาคเหนือของ ประเทศไทย จังหวัดแพร่มีความน่าสนใจประการแรก คือ ไม่มี ประวัติการสร้างเมือง และไม่มีการจารึกไว้ในท่ีใด โดยเฉพาะเพื่อ ประโยชนท์ างการศกึ ษา จงึ ตอ้ งอาศยั หลกั ฐานของเมอื งอนื่ ๆ ประกอบ เช่น พงศาวดารโยนก ตำ�นานเมืองเหนือ ตำ�นานการสร้างพระธาตุ ล�ำ ปางหลวง เปน็ ต้น ในขณะท่ี ต�ำ นานพระธาตุช่อแฮ กล่าววา่ เมือง แพรม่ มี าตง้ั แตส่ มยั พทุ ธกาล หรอื อา้ งองิ ต�ำ นานกรงุ สโุ ขทยั สมยั พอ่ ขนุ รามค�ำ แหงมหาราช กระท่ัง สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ภายใต้การปกครองระบอบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์ จนถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบ ประชาธปิ ไตย เมอื่ พ.ศ. 2475 ถงึ ปัจจุบนั 77 ปี (พ.ศ.2552) ขอ้ มลู เก่ียวกับการเมืองและนักการเมืองถ่ินในพื้นท่ีจังหวัดแพร่ ยังไม่มีการ ศกึ ษาคน้ ควา้ รวบรวมกนั มากนกั และยงั คงขาดการเชอ่ื มโยงตอ่ เนอ่ื ง ซงึ่ ขอ้ มูลหลักฐานทมี่ ีอยู่ ทม่ี ีความนา่ สนใจ คือ การกอ่ ต้ังพพิ ธิ ภณั ฑ์ “เสรี ไทยแพร่” โดย นายภุชงค์ กนั ทาธรรม บตุ รชาย นายทอง กนั ทาธรรม (อดตี สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรจงั หวดั แพร)่ และคณะไดร้ ว่ มกนั จดั ตง้ั ขนึ้ เมอ่ื ปี พ.ศ. 2550 เพอ่ื เปน็ การแสดงความคารวะตอ่ บรรพบรุ ษุ ผ้กู ล้า ของเมืองแพร่ และเพื่อแสดงเร่ืองราวสำ�คัญในอดีตด้านหน่ึงของชาว 4

ความเป็นมาและความส�ำ คัญของการศกึ ษา แพร่ ให้เป็นแหลง่ เรียนรู้ การเสียสละทยี่ ง่ิ ใหญเ่ พอ่ื ชาติ ขบวนการเสรี ไทยในภาคเหนอื ทม่ี ศี นู ยก์ ลางอยทู่ เี่ มอื งแพร่ โดยมี นายปรดี ี พนมยงค์ หัวหนา้ ขบวนการเสรีไทย และนายทอง กนั ทาธรรม สมาชิกสภาผูแ้ ทน ราษฎรคนท่ี 2 และอดตี สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรหลายสมยั ของจงั หวดั แพร่ ในฐานะหวั หนา้ เสรไี ทยสายแพร่ กบั วีรกรรมการต่อสู้เพอ่ื ปกป้อง แผ่นดินไทยในระหวา่ งสงครามมหาเอเซียบรู พา ซ่งึ กองทพั ญปี่ นุ่ ไดเ้ ขา้ ยดึ ครองประเทศไทย และ ดนิ แดนส่วนใหญใ่ นภาคพ้ืนเอเซยี อาคเนย์ ดงั นัน้ การศึกษาเร่อื ง “การเมอื งถ่ิน” และ “นักการเมืองถ่ิน” ใน พื้นท่ีจังหวัดแพร่ ผู้ศึกษาจึงให้ความสำ�คัญกับการศึกษาเพ่ือประมวล ขอ้ มูลเก่ยี วกับนักการเมอื งถ่นิ ทเี่ คยไดร้ บั การเลือกตั้งเปน็ สมาชิกสภา ผแู้ ทนราษฎรจงั หวดั แพร่ ตงั้ แตก่ ารเลอื กตงั้ ครงั้ แรก จนถงึ การเลอื กตง้ั ครัง้ ที่ 22 (ครัง้ ลา่ สดุ เมื่อวนั ท่ี 23 ธันวาคม 2550) เพอ่ื ใหท้ ราบถงึ ตวั ตนของนักการเมืองถ่ิน เครือข่ายความสัมพันธ์ของกลุ่มผลประโยชน์ กลุ่มท่ีไม่เป็นทางการ และพรรคการเมือง รวมถึง วิธีการหาเสียง เลอื กตง้ั ของนกั การเมอื งในพนื้ ทจ่ี งั หวดั แพร่ การศกึ ษาในครงั้ น้ี จงึ เปน็ ข้อมูลที่มีความน่าสนใจสำ�หรับการศึกษาประมวลความรู้ เพื่อให้เกิด ความรู้อย่างลึกซึ้ง ทำ�ให้เราสามารถเข้าใจการเมืองของจังหวัดแพร่ ได้อย่างชัดเจนมากข้ึน และเป็นการศึกษาอันมีคุณค่าสำ�หรับการ ตอ่ ยอดองคค์ วามรู้ เพอื่ การศกึ ษาวจิ ยั เกยี่ วกบั การพฒั นาทางการเมอื ง การปกครองของไทย ต่อไป การวเิ คราะห์ขอ้ มลู ผู้วิจัยนำ�ข้อมูลท่ีได้จากการศึกษามาจัดระบบ แยกประเภท 5

นกั การเมืองถน่ิ จังหวดั แพร่ ตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย ประมวลข้อมูลทั้งหมด วิเคราะห์ และ น�ำ ไปอภิปรายผลในภาพรวมด้วยวิธีการพรรณนาวเิ คราะห์ นิยามศพั ท์ กลุ่มผลประโยชน์ (Interest Group) หมายความวา่ กลุ่มคนที่ มคี วามคิดเห็นสอดคล้อง ตอ้ งกนั เกยี่ วกับประเด็นใดประเดน็ หนง่ึ และ ถา้ กลมุ่ นแ้ี สดงเจตนารมณใ์ หป้ ระจกั ษโ์ ดยผา่ นหนว่ ยงานของรฐั บาลจะ เรยี กวา่ “กลุ่มผลประโยชน์ทางการเมือง หรือ Political Interest Group (ติน ปรชั ญพฤทธ,์ิ 2550.น.205) องค์การทเ่ี ปน็ ทางการ (Formal Organization) หมายความวา่ ระบบของความพยายามร่วมกนั ทม่ี ีการวางแผนไว้ล่วงหน้า ซึง่ สมาชิก แต่ละคนได้แสดงบทบาทท่ีเป็นที่รับรู้และมีหน้าที่หรือภารกิจที่จะต้อง กระท�ำ (ตนิ ปรัชญพฤทธ์,ิ 2550. น.157) นยิ ามปฏบิ ัตกิ าร กลมุ่ อทิ ธพิ ลหรอื กลมุ่ ผลประโยชน์ (Interest Group/Pressure Groups) หมายความวา่ กลมุ่ ทมี่ คี วามสามารถในการแสดงออกซงึ่ พลงั ทางการเมือง และมีบทบาทส�ำ คัญมาก โดยเฉพาะการเมอื งในระบอบ ประชาธิปไตย กลมุ่ ดงั กล่าว จะเปน็ กลไกส�ำ คญั ในทางการเมือง เปน็ กลมุ่ บคุ คลทม่ี คี วามคดิ เหน็ ทางการเมอื งไปในทศิ ทางเดยี วกนั บทบาท ของกลุม่ ดงั กลา่ ว เช่น 1. ทำ�การติดต่อกับองค์กรทางการเมืองต่าง ๆ เช่น พรรค 6

ความเป็นมาและความสำ�คญั ของการศึกษา การเมอื ง และผสู้ มคั รรบั เลอื กตง้ั เพอื่ ใหก้ ลมุ่ ของตนไดร้ บั ผลประโยชน์ และ/หรอื ชว่ ยรักษาผลประโยชน์ใหก้ ับกลมุ่ ของตน 2. ช่วยเหลือทางการเมืองในรูปแบบต่าง ๆ เช่น สนับสนุน ทางการเงิน สนับสนุนและช่วยรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง เพื่อให้นัก การเมืองหรือพรรคการเมืองทกี่ ลมุ่ ตนสนบั สนุนชนะการเลือกต้งั 3. ชักจูงให้ประชาชนท่ัวไปได้ใช้สิทธิเลือกต้ังในการลงคะแนน เสยี งใหก้ บั ผสู้ มคั รรับเลอื กต้งั หรอื พรรคการเมอื งที่กลุม่ ตนสนบั สนนุ กลุ่มเครือญาติ (Family Groups) หมายความว่า กลุ่มของ สมาชิกในครอบครัวที่มีการสืบเช้ือสายตามวงศ์สกุล เป็นเครือญาติ เดยี วกนั โดยอาจสืบทอด ดงั น้ี 1. ปู่ ย่า ตา ยาย 2. บดิ า มารดา และบตุ รทางสายโลหิต หรอื บุตรบญุ ธรรม 3. พี่นอ้ ง เครอื ญาติ ลงุ ปา้ นา้ อา และหลาน 4. การสมรส กลุ่มการเมือง (Political Groups) หมายความว่า กลุ่มผล ประโยชน์ประเภทหนึ่งที่มีบทบาทสำ�คัญทางการเมือง มีวัตถุประสงค์ ในทางการเมือง เพ่ือการสนับสนุนผู้สมัครรับเลือกตั้ง หรือสนับสนุน ใหส้ มาชิกของกลุ่มตนเป็นผสู้ มคั รรับเลอื กตง้ั 7



บ2ทที่ข้อมลู ทว่ั ไป แนวคิดทฤษฎแี ละงานวิจยั ที่เกีย่ วข้อง ขอ้ มลู ทว่ั ไป แนวคิดทฤษฎี และงานวิจัยทเ่ี กีย่ วขอ้ ง ประวตั คิ วามเปน็ มาของประชาธิปไตยไทย การเมืองการปกครองไทยมีวิวัฒนาการมายาวนานกว่า 800 ปี ภายใต้การปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (Absolute Monarchy) จนกระท่ัง เม่ือ วนั ที่ 24 มถิ นุ ายน พ.ศ.2475 คณะราษฎร ด�ำ เนนิ การปฏวิ ตั เิ ปลย่ี นแปลงการปกครอง มาเปน็ การปกครองระบอบ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขในระบบรัฐสภา เพื่อ ต้องการให้ราษฎรมีสิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาค ความเท่าเทียมกัน ตามกฎหมาย โดยมหี ลกั การส�ำ คญั ดงั นี้ 1.จะต้องรักษาความเป็นเอกราชทั้งหลาย เช่น เอกราชใน ทางการเมอื ง ในทางศาล ในทางเศรษฐกิจของประเทศไวใ้ หม้ น่ั คง 2.จะต้องรักษาความปลอดภัยภายในประเทศให้มีการ ประทษุ ร้ายตอ่ กนั นอ้ ยลงให้มาก 9

นกั การเมืองถ่นิ จังหวดั แพร่ 3. จะตอ้ งบำ�รงุ รักษาความสุขสบาย ความสมบรู ณ์ของราษฎร ในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะจัดหางานให้ราษฎรทุกคน จะวาง โครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ไมป่ ล่อยใหร้ าษฎรอดยาก 4. จะตอ้ งให้ราษฎรมสี ทิ ธิเสมอภาคกนั 5. จะตอ้ งใหร้ าษฎรมีเสรีภาพ มีความเปน็ อสิ ระ เมือ่ เสรีภาพน้ี ไม่ขดั ตอ่ หลกั 4 ประการ ดงั กลา่ วขา้ งต้น 6. ใหก้ ารศกึ ษาอยา่ งเตม็ ทแ่ี กร่ าษฎร (จกั รพนั ธ์ุ วงษบ์ รู ณาวาทย,์ 2542, น.166) อย่างไรก็ตาม ผลจากการปฏวิ ัติสยาม ไดก้ อ่ ให้เกิดบทบัญญัติ ของรัฐธรรมนูญแบบลายลักษณ์อักษร เกิดสถาบันสภาผู้แทนราษฎร และฝ่ายบริหาร คือ คณะรัฐมนตรีหรือรัฐบาล ท่ีมีระบบราชการเป็น กลไกทางการปกครอง โดยมีพระมหากษัตรยิ ท์ รงเปน็ ประมขุ ระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาไทย ผแู้ ทนราษฎรชดุ แรก จำ�นวน 70 คน ซ่ึงได้รับการแต่งต้ังจากคณะราษฎร มีการประชุม ครั้งแรกเมื่อ วันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ณ ห้องโถงช้ันบนของ พระท่ีนั่งอนันตสมาคม เป็นท่ีประชุมช่ัวคราว (ที่มา กลุ่มงานบริการ วิชาการ 1 ส�ำ นกั วชิ าการ. สำ�นักงานเลขาธกิ ารสภาผู้แทนราษฎร) ระบบรัฐสภาไทย รฐั สภาเปน็ สถาบนั ทางการเมอื งทมี่ คี วามส�ำ คญั ตอ่ การปกครอง ระบอบประชาธิปไตย เนอื่ งจากเปน็ องค์การ “ฝา่ ยนิติบญั ญตั ิ” โดยที่ รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย ทั้ง 18 ฉบับ ไดก้ ำ�หนดรปู แบบของ รัฐสภาท่ีมีความแตกต่างกันไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแต่ละ 10

ขอ้ มลู ท่ัวไป แนวคิดทฤษฎแี ละงานวิจยั ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง ฉบับ และอำ�นาจทางการเมืองแต่ละสมัย โดยท่ัวไประบบรัฐสภาไทย แบง่ สภาออกเป็น 2 ประเภท คอื 1. สภาผู้แทนราษฎร 2. วุฒสิ ภา ระบบรัฐสภาไทยเป็นการแบ่งแยกอำ�นาจอธิปไตยออกจาก กันอย่างเด็ดขาด โดยแบ่งการใช้อำ�นาจอธิปไตยออกเป็น อำ�นาจ นิติบัญญัติโดยรัฐสภา อำ�นาจบริหารโดยคณะรัฐมนตรี และอำ�นาจ ตุลาการโดยกระบวนการยุติธรรม หรือศาล แต่เป็นการเชื่อมโยงแห่ง อ�ำ นาจ(Fusion of Power) รว่ มกบั การตรวจสอบและถว่ งดลุ แหง่ อ�ำ นาจ (Check and Balance) ซ่ึงเปน็ การปกครองระบอบประชาธปิ ไตยทถี่ ือ อำ�นาจอธิปไตยเป็นของประชาชน จึงเปิดโอกาสให้ประชาชนผู้มีสิทธิ เลอื กตง้ั ไดเ้ ลอื กผแู้ ทนในเขตของตนเองเขา้ ไปนง่ั ในรฐั สภา อนั เปน็ สภา ทม่ี อี �ำ นาจเลอื กบคุ คลหรอื กลมุ่ บคุ คลจากสภาผแู้ ทนราษฎรใหท้ �ำ หนา้ ท่ี ฝา่ ยบรหิ ารหรอื รฐั บาล ขณะที่ ประมขุ ของรฐั คอื พระมหากษตั รยิ ์ ทใี่ ช้ อำ�นาจอธปิ ไตยผ่านองค์กรทง้ั 3 คือ ใช้อ�ำ นาจนิติบัญญัติผา่ นรฐั สภา อ�ำ นาจบรหิ ารผา่ นคณะรฐั มนตรี และอ�ำ นาจตลุ าการผา่ นศาลยตุ ธิ รรม ดังนั้น พระมหากษัตริย์จึงมิได้เป็นผู้ปกครองแต่ทำ�หน้าที่โปรดเกล้า หรือแต่งต้งั (The King Reigns and not rules) เท่านัน้ และเมอ่ื มขี ้อ ผิดพลาดในการบริหารราชการของรัฐบาล พระมหากษัตริย์จึงมิต้อง รับผิดชอบหรือเรียกว่า The King Can Do No Wrong (จักรพันธุ์ วงษบ์ รู ณาวาทย,์ 2542, น.116) ขณะท่ี รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช 2550 ส่วนที่ 2 สภาผแู้ ทนราษฎร มาตรา 93 (วรรคหนงึ่ ) สภาผ้แู ทนราษฎร ประกอบด้วย สมาชิกจำ�นวน 480 คน มาจากการเลือกต้ังแบบแบ่ง 11

นกั การเมืองถน่ิ จงั หวดั แพร่ เขตเลอื กตง้ั จ�ำ นวน 400 คน และสมาชกิ ซึ่งมาจากการเลือกตง้ั แบบ สดั ส่วน จ�ำ นวน 80 คน บทบาทและอำ�นาจหน้าท่ีของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ประกอบดว้ ย 1.อ�ำ นาจในการตรากฎหมาย 1.1 การตราพระราชบัญญัติ คือ กระบวนการหรือ ข้ันตอนในการเสนอ และการพิจารณาพระราชบัญญัติ และพระราช- บัญญัตปิ ระกอบรัฐธรรมนญู ผู้มีสิทธิเสนอร่างพระราชบัญญัติ ได้แก่ คณะรัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำ�นวนไม่น้อยกว่า 20 คน ศาลหรือองค์กร อิสระตามรัฐธรรมนูญ เฉพาะกฎหมายท่ีเกี่ยวกับศาลและประธาน องค์กรน้ันเป็นผู้รักษาการ และผู้มีสิทธิเลือกต้ังจำ�นวนไม่น้อยกว่า 10,000 คน ผู้มีสิทธิเสนอร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ได้แก่ คณะรัฐมนตรี สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรจำ�นวนไมน่ ้อยกว่า 1 ใน 10 ของจ�ำ นวนสมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎร หรือสมาชกิ สภาผู้แทนราษฎร และสมาชกิ วฒุ สิ ภา จ�ำ นวนไมน่ อ้ ยกวา่ 1 ใน 10 ของทง้ั สองสภา และ ศาลรฐั ธรรมนญู ศาลฎกี า หรอื องคก์ รอสิ ระตามรฐั ธรรมนญู ซง่ึ ประธาน ศาล และประธานองค์กรเปน็ ผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญนั้น 1.2 การขออนุมัติหรือไม่อนุมัติพระราชกำ�หนด พระ ราชกำ�หนด คือ กฎหมายท่ีพระมหากษัตริย์ทรงตราข้ึนแทนพระราช บญั ญตั ิ โดยค�ำ แนะน�ำ ของคณะรฐั มนตรี เพอื่ ประโยชนใ์ นอนั ทจ่ี ะรกั ษา 12

ข้อมูลทั่วไป แนวคดิ ทฤษฎีและงานวิจยั ทีเ่ กย่ี วขอ้ ง ความปลอดภยั ของประเทศ ความปลอดภยั สาธารณะ ความม่นั คงใน ทางเศรษฐกิจของประเทศ หรอื ปอ้ งกนั ภยั พบิ ัตสิ าธารณะ และในการ ประชมุ รฐั สภาคราวตอ่ ไป ใหค้ ณะรฐั มนตรเี สนอพระราชก�ำ หนดนนั้ ตอ่ รัฐสภาเพื่อพิจารณาโดยไมช่ กั ชา้ ถา้ อยนู่ อกสมยั ประชมุ คณะรฐั มนตรี ต้องดำ�เนินการให้มีการประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ เพ่ือการพิจารณา อนมุ ัตหิ รอื ไมอ่ นมุ ัติพระราชกำ�หนดโดยเร็ว 1.3 การแกไ้ ขเพมิ่ เตมิ รฐั ธรรมนญู ผมู้ สี ทิ ธเิ สนอญตั ตขิ อ แกไ้ ขเพ่ิมเตมิ ไดแ้ ก่ คณะรฐั มนตรี สมาชกิ สภาผ้แู ทนราษฎรจ�ำ นวนไม่ น้อยกวา่ 1 ใน 5 ของจ�ำ นวนสมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรทีม่ ีอยู่ สมาชกิ สภาผูแ้ ทนราษฎร และสมาชกิ วฒุ สิ ภาจำ�นวนไมน่ อ้ ยกว่า 1 ใน 5 ของ ทง้ั สองสภา และประชาชนผมู้ สี ิทธเิ ลอื กตัง้ จ�ำ นวนไม่น้อยกวา่ 50,000 คน 2. อำ�นาจในการควบคุมการบรหิ ารราชการแผ่นดิน 2.1 การตัง้ กระทถู้ าม การตงั้ กระทถู้ าม คอื ค�ำ ถามทส่ี มาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร หรือสมาชิกวุฒิสภาตั้งถามในหน้าท่ีของนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรี ผู้รับผิดชอบในการบริหารราชการแผ่นดิน และนายกรัฐมนตรี หรือ รัฐมนตรีผู้รับผิดชอบในการบริหารราชการแผ่นดินต้องเข้าร่วมการ ประชุมสภาผูแ้ ทนราษฎร และวฒุ ิสภา พรอ้ มชีแ้ จงดว้ ยตนเอง เวน้ แต่ มเี หตจุ �ำ เปน็ ไมอ่ าจเขา้ ชแ้ี จง หรอื ตอบกระทไู้ ด้ ตอ้ งแจง้ ใหป้ ระธานสภา ผู้แทนราษฎร และประธานวุฒิสภาล่วงหน้า หรือในวันประชุมสภาใน เรอ่ื ง ดังกล่าว 13

นกั การเมอื งถ่ินจงั หวดั แพร่ 2.2 การเสนอญตั ติ ญตั ติ คอื ขอ้ เสนอใด ๆ ทมี่ คี วามมงุ่ หมายเพอื่ ใหส้ ภาลงมติ หรอื วินิจฉัยชีข้ าดวา่ จะดำ�เนนิ การประการใด ประกอบดว้ ย 2.2.1 การเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายท่ัวไปเพื่อลงมติ ไม่ไวว้ างใจนายกรัฐมนตรี สมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรจำ�นวนไมน่ อ้ ยกว่า 1 ใน 5 ของจำ�นวนสมาชกิ ทัง้ หมดเท่าทีม่ อี ยขู่ องสภาผแู้ ทนราษฎร มี สทิ ธเิ ขา้ ชอ่ื เสนอญตั ตขิ อเปดิ อภปิ รายทวั่ ไป เพอื่ ลงมตไิ มไ่ วว้ างใจนายก รัฐมนตรี ญัตติ ดังกล่าว ต้องเสนอช่ือผู้สมควรดำ�รงตำ�แหน่งนายก รัฐมนตรีคนต่อไป และเม่ือได้มีการเสนอญัตติแล้ว จะมีการยุบสภา ผู้แทนราษฎรมิได้ 2.2.2 การเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายท่ัวไปเพ่ือลงมติ ไมไ่ วว้ างใจรัฐมนตรีเป็นรายบคุ คล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจ�ำ นวนไม่ นอ้ ยกว่า 1 ใน 6 ของจำ�นวนสมาชกิ ทัง้ หมดเทา่ ทีม่ ีอยูข่ องสภาผู้แทน ราษฎร มีสิทธิเข้าชื่อเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายท่ัวไป เพื่อลงมติไม่ไว้ วางใจรฐั มนตรีเป็นรายบคุ คล 2.2.3 ในกรณีท่ีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มิได้อยู่ใน พรรคการเมืองที่สมาชิกในสังกัดของพรรคน้ันดำ�รงตำ�แหน่งรัฐมนตรีมี จ�ำ นวนไม่ถึงเกณฑท์ ี่จะเสนอญตั ติขอเปดิ อภปิ รายท่วั ไป เพื่อลงมตไิ ม่ ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล (ตามมาตรา158 หรือ มาตรา159) ใหส้ มาชกิ สภาผู้แทนราษฎรจำ�นวนมากกว่ากึ่งหนึง่ ของจ�ำ นวนสมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร ดังกลา่ ว เท่าท่มี อี ยูม่ ีสิทธิเข้าชอ่ื เสนอญัตติขอเปิดอภิปรายท่ัวไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลได้เม่ือคณะรัฐมนตรีได้บริหารราชการ แผน่ ดนิ มาเกนิ กว่าสองปแี ลว้ 14

ขอ้ มูลทั่วไป แนวคิดทฤษฎแี ละงานวจิ ยั ท่ีเก่ยี วข้อง 2.2.4 ญัตตติ ั้งคณะกรรมาธิการ คณะกรรมาธิการ คือ บุคคลที่สภาแต่งตั้งข้ึนประกอบ เปน็ คณะกรรมาธิการกิจการใด ๆ อันอยูใ่ นอำ�นาจหนา้ ทขี่ องสภาแล้ว รายงานต่อสภา สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภามีอำ�นาจเลือกสมาชิก ของแตล่ ะสภา เพ่อื ต้งั เป็นคณะกรรมาธกิ าร สิทธิเข้าช่ือเพ่ือถอดถอนผู้ดำ�รงตำ�แหน่งทางการเมือง สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร จ�ำ นวนไมน่ อ้ ยกวา่ 1 ใน 4 ของจ�ำ นวนสมาชกิ ทง้ั หมดเทา่ ทมี่ อี ยขู่ องสภาผแู้ ทนราษฎร มสี ทิ ธเิ ขา้ ชอ่ื รอ้ งขอตอ่ ประธาน วฒุ สิ ภา เพอื่ ใหว้ ฒุ สิ ภามมี ตติ ามมาตรา 274 ใหถ้ อดถอนนายกรฐั มนตรี รฐั มนตรี สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรใหพ้ ้นจากต�ำ แหนง่ ได้ บทบาทและอ�ำ นาจหน้าทีข่ องรัฐสภาประกอบด้วย 1.อำ�นาจในการควบคุมการตรากฎหมายท่ีขัดหรือแย้งต่อ รฐั ธรรมนูญ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร และสมาชกิ วฒุ สิ ภาสามารถพจิ ารณา ให้ความเห็นชอบในการควบคุมการตรากฎหมายท่ีขัด หรือแย้งต่อ รฐั ธรรมนูญ 2.อ�ำ นาจในการให้ความเห็นชอบ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร และสมาชกิ วฒุ สิ ภาสามารถพจิ ารณา ใหค้ วามเหน็ ชอบในเรอื่ งประกอบด้วย 2.1 การให้ความเหน็ ชอบในการสบื ราชสมบตั ิ 2.2 การให้ความเห็นชอบในการแต่งตั้งผู้สำ�เร็จราชการแทน พระองค์ 2.3 การใหค้ วามเหน็ ชอบในการปดิ สมยั ประชมุ สามญั กอ่ นครบ ก�ำ หนดเวลา 120 วัน 15

นกั การเมืองถิ่นจังหวัดแพร่ 2.4 การใหค้ วามเห็นชอบในการประกาศสงคราม 2.5 การให้ความเห็นชอบในการทำ�หนังสือสัญญาระหว่าง ประเทศ แนวคิดทฤษฎี และงานวจิ ัยทเี่ กยี่ วข้อง แนวความคิดระบบอปุ ถมั ภใ์ นสงั คมไทย โดยทั่วไปสังคมไทยมีลักษณะเป็นสังคมท่ีมีระบบชนช้ัน อัน สืบเน่ืองมาจากระบบศักดินา โดยถือเกียรติ หรือฐานะทางสังคมเป็น เครอื่ งวดั เชน่ วงศต์ ระกลู ความมน่ั คงั่ ทางเศรษฐกจิ หรอื ฐานะทางการ ศึกษา เป็นตน้ ชยั อนนั ต์ สมทุ รวาณชิ (2525,น. 41 - 42) กลา่ วถงึ ลกั ษณะสงั คม ไทยมกี ารรวมกลมุ่ และเกดิ กลมุ่ ซง่ึ มคี วามเกยี่ วขอ้ ง และสมั พนั ธก์ นั เปน็ สว่ นบคุ คล ในลกั ษณะความสมั พนั ธเ์ ชงิ อปุ ถมั ภ์ ซงึ่ อาศยั ความสมั พนั ธ์ ส่วนตัว ความไวว้ างใจ และความใกลช้ ิด ความสมั พนั ธเ์ ชิงอปุ ถัมภ์ มี ลักษณะเดียวกับความสัมพันธ์แบบนายกับไพร่ ซ่ึงเป็นความสัมพันธ์ แบบศกั ดินาทยี่ ังคงอยู่ในสงั คมไทย (สานิตย์ เพชรกาฬ.อ้างในนักการ เมืองถิ่นจังหวดั พัทลงุ ,2550. น.34) อนุช อาภาภิรม (2540, น.12) ได้แบง่ รูปแบบของระบบอปุ ถมั ภ์ ทางการเมอื ง มีสองวธิ ี คอื 1. อปุ ถมั ภช์ าวบา้ นผา่ นตวั แทน ซง่ึ จะใชม้ ากในการหาเสยี ง หรอื ซื้อเสียงมักจะกระทำ�ผ่านหัวคะแนน ซึ่งประกอบไปด้วยบุคคลหลาย ฐานะที่เด่น ๆ ได้แก่ กำ�นัน ผใู้ หญบ่ า้ น เป็นตน้ 2. อปุ ถัมภ์โดยตรง เชน่ ผู้สมัครรบั เลอื กตั้งอุปถัมภ์หวั คะแนน 16

ขอ้ มูลทัว่ ไป แนวคิดทฤษฎีและงานวิจัยท่เี กยี่ วข้อง ให้ทรัพย์สินเงนิ ทองต�ำ แหน่งผชู้ ว่ ย ส.ส. เปน็ ตน้ (สานติ ย์ เพชรกาฬ. อ้างในนักการเมอื งถ่นิ จังหวัดพทั ลงุ , 2550. น.35 - 36) ทฤษฎกี ลไกการปกครองระบอบประชาธปิ ไตย การปกครองระบอบประชาธิปไตยโดยท่ัวไปมีกลไกทำ�หน้าที่ ในฐานะองค์การขับเคล่ือนที่สำ�คัญ และมีอิทธิพลต่อบทบาททาง การเมืองของนักการเมืองในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้แก่ กลุม่ ผลประโยชน์ กลุ่มอิทธพิ ล และพรรคการเมอื ง ดงั ตอ่ ไปน้ี กลมุ่ ผลประโยชน์ (Interest Group) หมายถงึ กลมุ่ คนทม่ี คี วามคดิ ความเหน็ ในนโยบายพ้ืนฐาน วิถีชวี ิต ฐานะทางสังคม เชื้อชาติ เปน็ ต้น ทเี่ หมอื นกนั หรอื คลา้ ยคลงึ กนั มารวมกนั เพอื่ จดุ มงุ่ หมายอยา่ งใดอยา่ ง หน่งึ ในทางเศรษฐกจิ การเมอื ง และสังคม เชน่ กลุ่มอาชีพ กลมุ่ สงั คม กลมุ่ สมาคม ชมรมตา่ ง ๆ การรวมตวั ดงั กลา่ ว เพอื่ ปกปอ้ งผลประโยชน์ ร่วมกันของกลุ่ม เพราะทั้งน้ี ต่างมีความตระหนักร่วมกันว่าหากการ ปกป้องผลประโยชน์เพียงลำ�พังของแต่ละคน คงไม่สามารถจะรักษา ผลประโยชน์ของตนไว้ได้ จึงต้องมีการรวมกันเพื่อให้เกิดพลังในการ ต่อรอง เพ่อื เรยี กรอ้ งในส่ิงท่ีกลุ่มของตนต้องการได้ นกั รฐั ศาสตร์ ไดจ้ �ำ แนกประเภทตา่ ง ๆ ของกลมุ่ ผลประโยชนใ์ น ประเภทตา่ ง ๆ เชน่ กลุ่มนายจา้ ง กลมุ่ ผูใ้ ชแ้ รงงาน กลุม่ เกษตรกร กลมุ่ ข้าราชการ กลุ่มพอ่ คา้ นกั ธุรกิจ กล่มุ สมาคม ชมรมต่าง ๆ ประเทศทม่ี กี ารปกครองระบอบประชาธปิ ไตย กลมุ่ ผลประโยชน์ มักจะมีบทบาทสำ�คัญในทางการเมือง และมีผลดีต่อการพัฒนาทาง การเมือง เพราะเม่ือประชาชนมีสังกัดอยู่ในกลุ่มหน่ึงกลุ่มใดแล้ว น่ัน คอื การส่งเสริมการมีส่วนรว่ มของประชาชน และมีผลต่อกระบวนการ 17

นกั การเมอื งถ่ินจงั หวดั แพร่ ทางการเมืองของประเทศที่นักการเมืองจะต้องพยายามปกป้อง ผลประโยชนข์ องประชาชน และประเทศชาติ กลมุ่ อิทธิพล (Pressure Group) หมายถึง กลุ่มบุคคลท่ีมีความ คิดเห็นสอดคล้องกันในหลักการ แต่ไม่จำ�เป็นต้องมีผลประโยชน์ ร่วมกันหรืออย่างเดียวกัน หรือแต่ละกลุ่มอาจมีผลประโยชน์ของกลุ่ม ที่แตกต่างกัน แต่มีหลักการหรือหลักคิดท่ีเป็นส่วนรวมตรงกัน กลุ่ม เหล่าน้อี าจรวมกนั ใช้อิทธิพล เพื่อปกปอ้ งรักษาเอกราช ประชาธิปไตย ของชาติ ซึ่งอาจเรียกรอ้ งใหร้ ัฐบาลด�ำ เนินการอย่างใดอยา่ งหน่งึ เพอ่ื ความอยู่รอดปลอดภัยของสงั คม และประเทศชาติ กลุม่ ผลประโยชน์ และกลุ่มอทิ ธิพลของไทย นกั รฐั ศาสตร์ จ�ำ แนกกลมุ่ ผลประโยชน์ และกลมุ่ อทิ ธพิ ลของไทย ออกเป็น 5 ประเภท ดังน้ี 1. กล่มุ นกั ธรุ กิจ เป็นกลุม่ ผลประโยชนใ์ นระบบเศรษฐกิจ และ สามารถใช้อำ�นาจทางเศรษฐกิจสำ�หรับการต่อรอง หรือสนับสนุน นโยบายทางการเมือง ทั้งน้ี ข้ึนกับโครงสร้างทางการเมือง และ บรรยากาศทางการเมืองในแต่ละช่วงว่าเปิดโอกาสให้แสดงบทบาท ทางการเมอื งเพยี งใด เกริกเกียรติ พิพัฒน์เสรีธรรม ได้ทำ�การวิจัยเก่ียวกับระบบ เศรษฐกจิ ไทย พบวา่ อยภู่ ายใตอ้ �ำ นาจผกู ขาดของพอ่ คา้ นกั ธรุ กจิ ส�ำ คญั เพียงไม่ก่ีตระกูล (จักรพันธ์ วงษ์บูรณาวาทย์, 2542. น. 211) อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันกลุ่มผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจท่ีมี บทบาท และอทิ ธิพลสำ�คัญในการเสนอแนวคดิ และแนวนโยบายดา้ น เศรษฐกิจแก่รัฐบาล เช่น สมาคมหอการคา้ ไทย สภาอตุ สาหกรรมแหง่ 18

ข้อมูลทัว่ ไป แนวคดิ ทฤษฎแี ละงานวิจยั ที่เกย่ี วข้อง ประเทศไทย รวมถึงการจัดต้ังคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน (กรอ.) 2. กลุ่มผู้ใช้แรงงานหรือลูกจ้าง เป็นกลุ่มผลประโยชน์ทาง เศรษฐกิจที่มีความสำ�คัญ เช่นเดียวกับกลุ่มนักธุรกิจ เพราะมีบทบาท ในการปกปอ้ งผลประโยชนข์ องกรรมกร ผใู้ ชแ้ รงงานหรอื ลกู จา้ ง เชน่ การ เรยี กรอ้ งค่าแรงขนั้ ต�่ำ การเรยี กร้องความคุ้มครองจากสวัสดกิ ารต่าง ๆ ในบางโอกาสน�ำ ไปสขู่ บวนการขบั เคลอื่ นทางการเมอื งดว้ ยพลงั ของผใู้ ช้ แรงงาน เชน่ สหภาพแรงงาน สภาองคก์ ารลกู จา้ ง เป็นตน้ 3. กลมุ่ เกษตรกรชาวนาชาวไร่ เป็นกลุม่ ผลประโยชนท์ ่มี ีความ ส�ำ คญั เนอื่ งจากประเทศไทยยงั คงมเี กษตรกรชาวนาชาวไรจ่ �ำ นวนมาก กระจายอยใู่ นจงั หวดั ตา่ ง ๆ ทวั่ ประเทศ แตใ่ นทางการเมอื งกลบั ปรากฏ ว่าชาวนาชาวไร่มบี ทบาทในทางการเมืองนอ้ ย โดยเฉพาะในช่วง 10 ปี ทผี่ า่ นมา เกษตรกรชาวนาชาวไรใ่ นชนบทกลายเปน็ เพยี งแคฐ่ านคะแนน เสียงทางการเมอื งของผู้สมคั รรับเลือกตง้ั การตอ่ สู้เรยี กร้องปกปอ้ งผล ประโยชนข์ องเกษตรกรยังคงขาดพลงั ในการชีน้ ำ�นโยบายของรฐั บาล 4. นักเรียน นิสิต นกั ศกึ ษา ซงึ่ โดยทั่วไปบทบาททางการเมอื ง มีไม่มากนัก ทั้งน้ี เนื่องจากนักเรียนนิสิตนักศึกษามีผลประโยชน์น้อย ที่ต้องปกป้องรักษา และมีข้อจำ�กัดในความเป็นเยาวชนท่ียังคงอยู่ใน ความอปุ การะของพอ่ แมผ่ ปู้ กครอง แตเ่ นอื่ งจาก นกั เรยี นนสิ ติ นกั ศกึ ษา เปน็ ปญั ญาชนคนหนมุ่ สาวทม่ี คี วามคดิ รเิ รมิ่ รกั ความถกู ตอ้ ง ความเปน็ ธรรม และตอ่ ตา้ นความไมย่ ตุ ธิ รรม ดงั นน้ั ในทางการเมอื งนกั เรยี นนสิ ติ นักศึกษา จึงถือว่าเป็นพลังบริสุทธิ์ ของคนหนุ่มสาวที่เร้าร้อนในการ เรยี กรอ้ งเพอ่ื ปกปอ้ งผลประโยชน์ และความเปน็ ธรรมในสงั คม มากกวา่ การเรียกร้องเพ่ือผลประโยชน์ของกลุ่มตน ดังนั้น เมื่อนักเรียนนิสิต 19

นกั การเมอื งถ่นิ จงั หวัดแพร่ นกั ศกึ ษามกี ารเคลื่อนไหวทางการเมอื งเมอื่ ใด จึงไดร้ ับความสนใจจาก ประชาชนโดยทัว่ ไป และนักการเมือง 5. ทหาร เป็นกลุ่มผลประโยชน์ในระบบราชการท่ีมีบทบาท สำ�คัญทางการเมือง การท่ีทหารเข้ามามีบทบาทสำ�คัญทางการเมือง มิได้หมายถึงผลเสียเสมอต่อการพัฒนาประชาธิปไตยของประเทศ ใน บางสถานการณ์ท่ีนักการเมืองทุจรติ คอรัปช่นั คดโกง ฉอ้ ราชบงั หลวง ใช้อำ�นาจหน้าท่ีในทางมิชอบ แสวงหาผลประโยชน์ ผูกขาดตัดตอน อ�ำ นาจทเี่ ปน็ ไปตามระบบและกลไกประชาธปิ ไตย การเคลอ่ื นไหว และ แสดงความคดิ เหน็ ทางการเมืองของทหาร จงึ ถอื วา่ เปน็ บทบาทส�ำ คัญ ต่อการพัฒนาประชาธปิ ไตย พรรคการเมือง (Political Party) หมายถึง องค์การทาง การเมืองท่ีมีความสำ�คัญย่ิงของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย พรรคการเมือง คือ กลุ่มบุคคลที่มารวมตัวกันข้ึนโดยอิสระ และมี วตั ถปุ ระสงคเ์ พอ่ื ท�ำ การคดั เลอื ก และเสนอชอื่ ผสู้ มคั รรบั เลอื กตงั้ ตลอด จน การรณรงค์ในการเลือกต้ัง โดยหวังที่จะให้ได้มาซ่ึงชัยชนะในการ เลอื กตง้ั เพอ่ื ทจี่ ะไดใ้ ชอ้ �ำ นาจในการควบคมุ เจา้ หนา้ ทแี่ ละนโยบายของ รฐั บาล (จักรพนั ธุ์ วงษ์บรู ณาวาทย์, 2542. น.145) หน้าทขี่ องพรรคการเมอื ง 1.คัดเลือกบุคคลทม่ี คี ุณสมบตั ติ ามทีก่ ฎหมายก�ำ หนด มีความรู้ ความสามารถ ความซื่อสตั ย์ ความเสยี สละ และ ความเหมาะสมทจ่ี ะ เป็นผู้แทนของประชาชน เพื่อให้ประชาชนได้เลือกเข้าไปเป็นสมาชิก สภาผ้แู ทนราษฎร 2.ทำ�หน้าท่ีเช่ือมโยงกลุ่มผลประโยชน์ กลุ่มอิทธิพลต่าง ๆ 20

ขอ้ มูลทวั่ ไป แนวคิดทฤษฎแี ละงานวจิ ัยทีเ่ กย่ี วขอ้ ง ในสังคมเข้าด้วยกัน โดยมีจุดมุ่งหมายเพ่ือพิทักษ์ผลประโยชน์ของ ประเทศชาติโดยรวม ทั้งนี้ อาจพิจารณาได้ว่าการปกครองในระบอบ ประชาธปิ ไตยยอมรับในความคิดเห็นทีม่ คี วามแตกตา่ งกันได้ เพื่อมิให้ เกดิ ความแตกแยกของแนวความคดิ มากจนไมค่ �ำ นงึ ประโยชนส์ งู สดุ ของ ประเทศชาติ ดงั นนั้ พรรคการเมอื งจงึ มหี นา้ ทร่ี วบรวมบคุ คล หรอื กลมุ่ บุคคลที่มีแนวคิดที่ส่วนใหญ่คล้ายคลึงกันเข้าไว้ด้วยกัน ตลอดจน ทำ� หน้าทเ่ี ชือ่ มโยงกับฝ่ายบริหาร และฝ่ายนติ บิ ญั ญตั ิ ทัง้ น้ี เพอื่ ลดความ ขดั แย้งทางความคดิ ของกลุ่มตา่ ง ๆ 3. ทำ�หน้าท่ีกระตุ้นให้ประชาชนมีความสนใจทางการเมือง มี ความรู้ ความเข้าใจในการปกครองตามระบอบประชาธปิ ไตยอันมพี ระ มหากษัตริย์เป็นประมุข 4. ท�ำ หนา้ ทแี่ สวงหาทศั นคติ แนวคดิ เหน็ ตา่ ง ๆ ของประชาชนท่ี ตรงกบั ความตอ้ งการของประชาชนสว่ นใหญข่ องประเทศ เพอ่ื ใหร้ ฐั บาล นำ�ความต้องการของประชาชนไปสู่การกำ�หนดนโยบายสาธารณะ 5. ทำ�หน้าที่กำ�หนดนโยบายสาธารณะในการบริหารประเทศ และแถลงนโยบาย ดังกล่าวให้ประชาชนรับทราบ เม่ือสามารถจัดตั้ง รฐั บาลใหท้ �ำ หน้าที่ในการน�ำ นโยบายท่ีแถลงไวไ้ ปสกู่ ารปฏบิ ัติ การเลือกตงั้ (General Election) หมายถึง กิจกรรมทางการเมืองที่เปิดโอกาสให้ประชาชนได้ มีส่วนในการเลือกสรร และกำ�หนดตัวผู้ที่จะเข้ามาทำ�หน้าท่ีเป็นฝ่าย นติ บิ ญั ญตั ิ และเปน็ ฝา่ ยบรหิ าร หรอื ก�ำ หนดนโยบายสาธารณะแทนตน การเลอื กตงั้ ถอื วา่ เปน็ วธิ ที ดี่ ที ส่ี ดุ ในปจั จบุ นั เปน็ วธิ กี ารทจ่ี ะชว่ ย ให้ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศมีบทบาทในการปกครองประเทศ 21

นักการเมอื งถิ่นจังหวัดแพร่ และเปน็ หลกั การทย่ี อมรบั วา่ อ�ำ นาจอธปิ ไตยเปน็ ของประชาชน กลา่ ว คือ การเลือกผู้แทนของประชาชนไปบรหิ ารประเทศแทน หลกั การของการเลือกต้งั การเลือกต้ังโดยทั่วไปจะต้องมีหลักเกณฑ์ และระเบียบปฏิบัติ ตามรฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช 2550 ก�ำ หนดใหม้ ี คณะกรรมการการเลอื กตงั้ (กกต.) เปน็ องคก์ รอสิ ระตามรฐั ธรรมนญู ท�ำ หน้าที่วางระเบียบหลกั เกณฑอ์ นั จ�ำ เป็นแกก่ ารปฏิบตั ิ เพอื่ ให้การเลือก ต้ังเป็นไปด้วยความสุจริต เที่ยงธรรม เสมอภาค และโอกาสทัดเทียม กันในการเลือกตง้ั การเลอื กตง้ั จะประสบความส�ำ เรจ็ หรอื ลม้ เหลวตามเจตนารมณ์ ของการปกครองระบอบประชาธิปไตย หรือการเลือกตั้งจะเป็นเพียง ขั้นตอนหน่ึงของการเข้าสู่อำ�นาจทางการเมืองโดยอาศัยกลลวงการ เลือกต้ัง การซื้อสิทธิขายเสียง การโน้มน้าวชักจูงด้วยวิธีการท่ีมิชอบ ตามหลักกฎหมาย ดังนั้น การเลือกตั้งจะเป็นที่พึงพอใจของผู้สมัคร รับเลือกตั้ง และผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้มากที่สุด สำ�หรับหลักการของ การเลือกตง้ั มีองค์ประกอบ ดงั น้ี 1. หลักทั่วไป (Universal Suffrage) หมายถึง การให้ประชาชน ของประเทศท้งั ชาย และหญงิ ไม่ว่าจะมีฐานะต่างกันอยา่ งไร เม่อื อายุ ครบหลกั เกณฑ์ตามทก่ี ฎหมายบญั ญัติ ว่าด้วยสิทธกิ ารออกเสยี งเลอื ก ตัง้ คอื ผมู้ สี ิทธไิ ปท�ำ การเลือกตง้ั เว้นแตบ่ ุคคลทีก่ ฎหมายมีข้อห้ามไว้ เชน่ นักพรต นกั บวช คนวิกลจริต หรอื ผตู้ ้องขัง เป็นต้น 2. หลกั อสิ ระ (Free Vote) หมายถงึ การเลอื กตง้ั นน้ั จะตอ้ งกระทำ� โดยอิสระ เสรี ปราศจากการบีบบงั คับ หรือใชอ้ ิทธพิ ลอันมิชอบ คดโกง 22

ข้อมลู ทว่ั ไป แนวคดิ ทฤษฎีและงานวจิ ยั ทเ่ี ก่ียวข้อง หรอื ชกั จงู ดว้ ยวธิ กี ารใด ๆ เพอ่ื ใหบ้ คุ คลเลอื กหรอื ไมเ่ ลอื กบคุ คลใด หรอื พรรคการเมืองใด เพราะเป็นการกระทำ�ท่ีผิดหลักการพื้นฐานของการ ปกครองระบอบประชาธิปไตย 3. หลกั ก�ำ หนดระยะเวลา (Periodic Election) การเลอื กตงั้ จะตอ้ ง มีการกำ�หนดระยะเวลาไว้แน่นอน เช่น กำ�หนดให้มีการเลือกตั้งปกติ ทกุ ๆ 4 ปี หรอื 5 ปี ทั้งน้ี ตามกฎหมายบญั ญตั ิ ดังตวั อย่าง การเลือก ตงั้ ประธานาธบิ ดสี หรฐั อเมรกิ าทกุ ๆ 4 ปี การเลอื กตง้ั สมาชกิ สภาผแู้ ทน ราษฎรไทยทกุ ๆ 4 ปี และการเลอื กตงั้ สมาชกิ วฒุ สิ ภาทกุ ๆ 6 ปี เปน็ ตน้ 4. หลักลงคะแนนลบั (Secret Vote) หมายถงึ การลงคะแนน เสยี งเพือ่ การใชส้ ทิ ธิเลอื กตัง้ ตอ้ งเปน็ ไปโดยวิธลี บั กลา่ วคือ เฉพาะผ้ลู ง คะแนนเทา่ นน้ั ทรี่ วู้ า่ ลงคะแนนใหก้ บั ผสู้ มคั รรบั เลอื กตง้ั คนใด ทง้ั น้ี เพอื่ เปน็ หลกั ประกนั ในการลงคะแนนวา่ เปน็ ไปโดยความบรสิ ทุ ธใ์ิ จ มไิ ดเ้ กดิ จากความเกรงใจ เกรงกลวั อทิ ธพิ ลใด ๆ และการใชว้ ธิ ลี งคะแนนลบั เพอ่ื ใหผ้ ใู้ ชส้ ทิ ธอิ อกเสยี งเลอื กตงั้ ไดอ้ อกเสยี งลงคะแนนเลอื กตง้ั ดว้ ยความ อิสระบนความคดิ เหน็ ของตนเอง 5. หลกั หน่ึงคนหน่ึงเสียง (One Man One Vote) ไม่วา่ ผมู้ ีสิทธิ ออกเสียงเลือกต้ังจะมีฐานะอย่างไร หรือมีตำ�แหน่งยศถาบรรดาศักดิ์ เพียงใด ย่อมมีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกต้ังได้เพียงคะแนนเสียงเดียว เทา่ กัน กล่าวคือ ทุกคนมีความเสมอภาคเท่าเทียมกนั 6. หลกั บรสิ ทุ ธ์ิ (Fair Election) หมายถงึ การเลือกตัง้ จะตอ้ งเปน็ ไปดว้ ยความบรสิ ทุ ธิ์ ไมค่ ดโกง เชน่ จะตอ้ งไมม่ กี ารซอ้ื สทิ ธข์ิ ายเสยี ง ไม่ กระท�ำ การใด ๆ อนั เปน็ การกระทำ�ท่ผี ิดเจตนารมณ์ของการเลือกตงั้ ที่ แสดงถงึ ความบริสทุ ธิ์ตามท่กี ฎหมายกำ�หนด 23

นักการเมืองถน่ิ จงั หวดั แพร่ การเลอื กต้งั สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรของไทย การเลือกตั้งถือว่าเป็นกิจกรรมท่ีมีความสำ�คัญของการเมือง การปกครองในระบอบประชาธิปไตย นับต้ังแต่การเปล่ียนแปลงการ ปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นการปกครองใน ระบอบประชาธปิ ไตยอนั มพี ระมหากษตั รยิ ท์ รงเปน็ ประมขุ ประเทศไทย จดั ใหม้ กี ารเลอื กตง้ั สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรมาแลว้ หลายครง้ั โดยแบง่ เป็น 3 ประเภท คือ (1) การเลือกตั้งท่ัวไป (2) การเลือกตั้งเพิ่มเติม และ (3) การเลอื กตั้งซ่อม/เลือกตั้งแทน (ปรีชา จนั ทร์เรอื ง, 2540, น. 25) ดังต่อไปน้ี การเลือกต้ังทั่วไปคร้ังแรก เมื่อ วันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476 รัฐสภาไทยแบ่งเปน็ ระบบสภาเดียว เรยี กว่า “สภาผแู้ ทนราษฎร” ประกอบด้วยสมาชิก 2 ประเภท คือ สมาชิกมาจากการเลือกต้ังของ ประชาชน จ�ำ นวน 78 คน และสมาชกิ มาจากการแตง่ ตัง้ จำ�นวน 78 คน รวมเป็น 156 คน เปน็ การเลอื กตั้ง “แบบรวมเขตจังหวัด” ใชว้ ิธีการ เลอื กตงั้ “ทางออ้ ม” โดยใหร้ าษฎรเลอื กผแู้ ทนต�ำ บล แลว้ ใหผ้ แู้ ทนต�ำ บล เลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัด อีกต่อหน่ึง โดยคิดจำ�นวน ส.ส. หนึ่งคนต่อราษฎร 100,000 คน การเลือกตั้งทั่วไปครั้งท่ี 1 เมื่อ วันท่ี 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476 สมาชกิ สภาผูแ้ ทนราษฎร คนแรก ของจงั หวัดแพร่ ไดแ้ ก่ นาย วงศ์ แสนศริ ิพันธ์ุ การเลือกตัง้ ทั่วไปครงั้ ที่ 2 เมอื่ วนั ที่ 7 พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2480 เป็นการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนคร้ังแรก และใช้ระบบการเลือก ตัง้ แบบแบง่ เขต ๆ ละ 1 คน โดยถอื เกณฑร์ าษฎร 200,000 คน ตอ่ 24

ข้อมลู ทั่วไป แนวคดิ ทฤษฎแี ละงานวจิ ยั ทเี่ กี่ยวข้อง สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร 1 คน สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร คนทส่ี อง ของจงั หวดั แพร่ ทม่ี คี ะแนน เสียงสูงสุด และชนะการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้แก่ นายทอง กันทาธรรม การเลือกต้ังทั่วไปครั้งท่ี 3 เม่ือ วันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2481 สภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ ประกอบด้วย ส.ส. 2 ประเภท ๆ ละ 91 คน คอื สมาชกิ ประเภทท่ี 1 มาจากการเลอื กตง้ั โดยถอื เกณฑร์ าษฎร 200,000 คน ต่อสมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎร 1 คน และสมาชกิ ประเภทที่ 2 มาจากการแตง่ ตงั้ โดยเปน็ ผ้ดู �ำ รงต�ำ แหนง่ ต่อเนอ่ื งมาจากสภาผู้แทน ราษฎร ชุดที่ 1 และชดุ ท่ี 2 สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรจงั หวดั แพร่ ไดแ้ ก่ นายทอง กนั ทาธรรม การเลือกตั้งทั่วไปคร้ังที่ 4 โดยเหตุที่กองทหารญี่ปุ่นได้เคลื่อน กำ�ลงั เขา้ สปู่ ระเทศไทยเมือ่ พ.ศ. 2484 ประกอบกบั ปี พ.ศ. 2485 เป็น ปที ผ่ี แู้ ทนราษฎรจะตอ้ งออกตามวาระ จงึ ไดม้ กี ารแกไ้ ขรฐั ธรรมนญู เพม่ิ เติม และเมอื่ สงครามส้ินสุด ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช ได้รับการแต่งตง้ั ให้ ดำ�รงตำ�แหน่งนายกรัฐมนตรี หลังจากบริหารประเทศไปได้ระยะหน่ึง จึงตัดสินใจยุบสภาผู้แทนราษฎรเพ่ือให้มีการเลือกตั้งท่ัวไป เม่ือวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2489 ประกอบดว้ ย ส.ส. 2 ประเภท ๆ ละ 96 คน คือ เปน็ การเลือกตง้ั โดยตรงแบบแบ่งเขต ๆ ละ 1 คน โดยถอื เกณฑ์ ราษฎร 200,000 คน ตอ่ สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎร 1 คน และสมาชิก ประเภททมี่ าจากการแตง่ ตง้ั โดยเปน็ ผดู้ �ำ รงต�ำ แหนง่ ตอ่ เนอื่ งมาจากสภา ผู้แทนราษฎร ชดุ ท่ี 1 ถึง ชุดท่ี 3 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดแพร่ ท่ีไดร้ ับการเลือกต้งั ยังคง เปน็ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร คนเดมิ ไดแ้ ก่ นายทอง กนั ทาธรรม (ผนู้ �ำ 25

นกั การเมอื งถน่ิ จงั หวัดแพร่ ขบวนการเสรไี ทยในเขตพ้นื ท่ีจงั หวดั แพร่) การเลือกตัง้ เพ่มิ ครัง้ ที่ 1 เกดิ ขึน้ ในวนั ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2489 เนอื่ งจาก รฐั สภาไดร้ า่ งรฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช 2489 ตามรฐั ธรรมนญู บญั ญตั ใิ หร้ ฐั สภาไทยเปลย่ี นจากระบบสภาเดยี ว เป็นระบบ 2 สภา ประกอบด้วย สภาผู้แทนราษฎร และพฤฒสภา พร้อมกันนี้ ได้ยกเลิกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทมาจากการ แต่งตง้ั จึงตอ้ งมกี ารเลอื กตัง้ เพมิ่ เพ่ือใหค้ รบตามจ�ำ นวนทร่ี ฐั ธรรมนญู กำ�หนด เป็นการเลือกตัง้ โดยตรงแบบแบง่ เขต สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดแพร่ ที่ได้รับการเลือกตั้ง เพม่ิ เตมิ ได้แก่ นายวภิ าค บุญศรีวังซา้ ย อนงึ่ การเลอื กตง้ั ครง้ั น้ี รฐั ธรรมนญู เปดิ โอกาสใหม้ กี ารรวมกลมุ่ ทางการเมอื ง จงึ เปน็ “การเลอื กตง้ั ทม่ี พี รรคการเมอื งสง่ ผสู้ มคั รรบั เลอื ก ตง้ั เปน็ ครง้ั แรก” ในประวตั ศิ าสตรก์ ารเมอื งไทย (จกั รพนั ธ์ุ วงษบ์ รู ณาวาทย,์ 2542. น. 201) การเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 5 สืบเน่ืองจาก กรณีสวรรคตของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 เมื่อวันท่ี 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 เป็นสาเหตุสำ�คัญที่ทำ�ให้เกิดความตึงเครียด ทางการเมอื ง จึงเกิดการรฐั ประหารขนึ้ โดย พลโทผิน ชุณหะวณั เม่อื วันท่ี 8 พฤศจกิ ายน พ.ศ.2490 และมกี ารประกาศใชร้ ัฐธรรมนูญ (ฉบับ ชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 โดยกำ�หนดใหม้ กี ารเลอื กตั้งท่ัวไปเมอื่ วัน ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2491 เป็นการเลอื กต้ังแบบรวมเขตคร้ังแรก กล่าว คอื จงั หวดั เปน็ เขตเลอื กตง้ั เดยี ว โดยถอื เกณฑร์ าษฎร 200,000 คน ตอ่ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร 1 คน ปรากฏวา่ มผี ไู้ ดร้ บั เลอื กเปน็ สมาชกิ สภา ผแู้ ทนราษฎร จำ�นวน 100 คน 26

ขอ้ มูลท่วั ไป แนวคดิ ทฤษฎีและงานวจิ ัยทเ่ี ก่ยี วขอ้ ง สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรจังหวัดแพร่ ได้แก่ นายวัง ศศบิ ุตร์ การเลือกต้ังเพิ่มครั้งที่ 2 จากการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช 2492 แทนฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2490 ท�ำ ใหจ้ �ำ นวนสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรตามบทบญั ญตั ริ ฐั ธรรมนญู ฉบบั ใหม่มมี ากกวา่ เดิม จงึ มกี ารเลือกต้งั เพ่มิ เติมเพอ่ื ให้ครบตามจ�ำ นวน จึง ก�ำ หนดการเลอื กตงั้ เพม่ิ เตมิ ขน้ึ เมอื่ วนั ท่ี 5 มถิ นุ ายน พ.ศ. 2492 ส�ำ หรบั การเลอื กต้ังเพม่ิ เตมิ คร้งั นี้ จงั หวดั แพรไ่ มม่ ีการจัดการเลือกตง้ั การเลอื กตงั้ ทว่ั ไปครง้ั ท่ี 6 สบื เนอ่ื งจากการรฐั ประหาร เมอ่ื วนั ท่ี 29 พฤศจิกายน พ.ศ 2494 ได้ประกาศยกเลกิ สภาผู้แทนราษฎร รวม ท้ัง ยกเลิกรัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช 2492 และ ประกาศใชร้ ฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช 2475 แทน เปน็ เหตใุ หร้ ะบบรฐั สภาไทยกลบั ไปสรู่ ะบบสภาเดยี ว และมสี มาชกิ สภา ผู้แทนราษฎรสองประเภท อีกครั้ง การเลือกตั้งคร้ังน้ีกำ�หนดข้ึนเมื่อ วนั ท่ี 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2495 เป็นการเลอื กตง้ั แบบรวมเขต สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรจงั หวดั แพร่ นายวงั ศศบิ ุตร์ ยังคงได้ รบั ความนิยมไดร้ บั การเลือกตง้ั เป็นสมยั ท่ีสอง การเลอื กตั้งทั่วไปครง้ั ท่ี 7 มขี ้ึนเมอื่ วนั ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 เป็นการเลือกต้ังทั่วไปแบบรวมเขต โดยถือเกณฑ์ 150,000 คน ต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 1 คน การเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นการ เลือกตั้งท่ีมีพรรคการเมืองที่จัดตั้งข้ึนตามกฎหมาย ส่งสมาชิกพรรค ลงสมัครรับเลือกต้ัง จำ�นวน 23 พรรค แต่ได้รับการเลือกตั้งเพียง 8 พรรค พรรคการเมอื งที่มีความส�ำ คญั คอื พรรคเสรีมนงั คศลิ า (จอมพล ป. พิบูลสงคราม หัวหน้าพรรค) และ พรรคประชาธิปัตย์ (นายควง อภยั วงศ์ หวั หน้าพรรค) 27

นกั การเมืองถ่ินจังหวัดแพร่ สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรจังหวัดแพร่ ที่ไดร้ บั การเลอื กตั้ง ไดแ้ ก่ นายทอง กนั ทาธรรม สงั กัดพรรคชาตนิ ยิ ม และ นายวงั ศศบิ ตุ ร์ สงั กดั พรรคเสรมี นังคศลิ า อนึ่ง การเลอื กตง้ั ในครั้งน้ี ถือเป็นการเลอื กตัง้ ท่มี ีการประท้วง อย่างรุนแรง โดยกล่าวหาว่าฝ่ายรัฐบาลโกงการเลือกตั้ง และเป็นการ เลือกต้ังท่ไี มบ่ รสิ ุทธ์ิยตุ ธิ รรมมากทส่ี ุด การเลอื กตงั้ ทว่ั ไปครงั้ ท่ี 8 ผลจากการเลอื กตง้ั ทว่ั ไป ครงั้ ที่ 7 เมอ่ื วนั ท่ี 22 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2500 ถึงแม้วา่ รัฐบาลชนะการเลือกต้งั แต่ ไมไ่ ดร้ บั ความเชอ่ื ถอื จากประชาชน นกั ศกึ ษาจงึ มกี ารเดนิ ขบวนคดั คา้ น การเลอื กตง้ั เปน็ เหตใุ หจ้ อมพลสฤษด์ิ ธนะรชั ต์ ท�ำ รฐั ประหารยดึ อ�ำ นาจ การปกครองประเทศ เมือ่ วนั ท่ี 16 กันยายน พ.ศ. 2500 ไดป้ ระกาศ ใชก้ ฎอยั การศกึ ยบุ สภา และก�ำ หนดใหม้ กี ารเลอื กตง้ั สมาชกิ สภาผแู้ ทน ราษฎร เมอ่ื วนั ท่ี 15 ธนั วาคม พ.ศ. 2500 เปน็ การเลอื กตงั้ แบบรวมเขต โดยถอื เกณฑ์ราษฎร 150,000 คน ตอ่ สมาชกิ สภาผ้แู ทนราษฎร 1 คน สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรจังหวดั แพร่ ได้แก่ นายไชย วงศส์ วา่ ง สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ และ นายทอง กันทาธรรม สังกัดพรรค ชาตนิ ิยม ไดร้ บั การเลือกตัง้ เปน็ สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรสมัยที่ 5 การเลือกต้ังท่ัวไปคร้ังท่ี 9 ผลจากการเลือกต้ัง เมื่อ วันที่ 15 ธนั วาคม พ.ศ. 2500 พลโทถนอม กิตติขจร (ยศในเวลานน้ั ) เปน็ นายก รฐั มนตรี จนถึงปี พ.ศ. 2502 จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ท�ำ รฐั ประหาร ยดึ อำ�นาจการปกครอง อีกครั้งหน่ึง ประกาศกฎอยั การศกึ ยุบสภา ยุบ พรรคการเมอื ง ยกเลกิ รฐั ธรรมนญู และประกาศใชธ้ รรมนญู การปกครอง พุทธศักราช 2502 แทน พร้อมจัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งใช้เวลา รา่ งนานเกือบ 10 ปี จงึ ประกาศใชร้ ฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย 28

ขอ้ มูลทวั่ ไป แนวคิดทฤษฎีและงานวิจยั ทเี่ กี่ยวขอ้ ง พุทธศกั ราช 2511 เมอื่ วนั ท่ี 20 มิถนุ ายน พ.ศ. 2511 ตามรฐั ธรรมนญู ฉบบั น้ี รฐั สภาไทย กลับมาเป็นระบบสองสภา คือ สภาผแู้ ทนราษฎร มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน และวุฒิสภามาจากการ แตง่ ต้ัง และกำ�หนดวันเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรข้นึ เมอื่ วนั ที่ 10 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2512 แบบรวมเขต โดยถอื เกณฑ์ราษฎร 150,000 คน ตอ่ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร 1 คน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดแพร่ ได้แก่ นายผจญ ผาทอง และนายสุธรรม สายศร ซง่ึ ทั้ง 2 ทา่ นเป็นผูส้ มคั รอสิ ระไม่สังกัด พรรคการเมือง การเลือกตั้งท่ัวไปครั้งท่ี 10 จอมพลถนอม กิตติขจร นายก รฐั มนตรี ท�ำ การรฐั ประหารตนเอง เมอ่ื วนั ท่ี 17 พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2514 ประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญ ยุบพรรคการเมือง และกลับไปใช้วิธีการ ปกครองแบบเผดจ็ การอ�ำ นาจนยิ มเหมอื นสมยั จอมพลสฤษด์ิ ธนะรชั ต์ พร้อมแต่งต้ังสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทำ�หน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติ และ แตง่ ตงั้ คณะกรรมการรา่ งรฐั ธรรมนญู ตอ่ มา ในชว่ งปี พ.ศ.2516 ไดเ้ กดิ การชมุ นมุ ทางการเมอื ง เพอื่ เรยี กรอ้ งรฐั ธรรมนญู ปกครองประเทศตาม หลกั การปกครองระบอบประชาธปิ ไตย จาก นกั เรยี นนสิ ติ นกั ศกึ ษา นกั วชิ าการ และประชาชนอยา่ งกวา้ งขวาง มกี ารเดนิ ขบวนตอ่ ตา้ นรฐั บาล ครงั้ ส�ำ คญั ในประวตั ศิ าสตรข์ องประเทศ อนั น�ำ ไปสกู่ ารใชค้ วามรนุ แรงใน การปราบปรามประชาชน เมอ่ื วนั ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 เป็นเหตุ ใหน้ สิ ติ นกั ศกึ ษา และประชาชนไดร้ บั บาดเจบ็ และเสยี ชวี ติ จำ�นวนมาก กระทัง่ จอมพลถนอม กติ ตขิ จร และพวก จ�ำ เป็นตอ้ งประกาศลาออก จากตำ�แหน่ง และเดินทางออกนอกประเทศ ด้วยพระบารมีปกเกล้า ของพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั สถานการณค์ วามรนุ แรงจงึ คลค่ี ลาย 29

นักการเมืองถ่ินจังหวัดแพร่ พระองค์ทรงแต่งต้ังให้ ศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ อธิการบดี มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ด�ำ รงต�ำ แหน่งนายกรัฐมนตรี อน่ึง รัฐบาลนายสัญญา ธรรมศักด์ิ ได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช 2517 ก�ำ หนดให้รัฐสภาแบง่ เป็น 2 ระบบ คือ สภาผ้แู ทนราษฎรมาจากการเลือกต้ังโดยตรงจากประชาชน และวุฒิสภามาจากการแต่งต้ัง พร้อมกำ�หนดวันเลือกตั้งท่ัวไปขึ้นเม่ือ วันท่ี 26 มกราคม พ.ศ. 2518 เป็นการเลือกตง้ั แบบผสมระหว่าง แบ่ง เขตกบั รวมเขต กลา่ วคอื ใหเ้ ขตเลอื กตงั้ หนง่ึ มสี มาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร ได้ไมเ่ กนิ 3 คน และไมน่ อ้ ยกว่า 2 คน โดยถอื เกณฑ์ราษฎร 150,000 คน ต่อ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 1 คน จำ�นวนสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎร 296 คน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดแพร่ ได้แก่ คุณหญิงบัวเขียว รงั คสริ ิ สงั กดั พรรคชาตนิ ยิ ม นายเมธา เออ้ื อภญิ ญกลุ สงั กดั พรรคธรรม สงั คม และ จ.ส.อ. สมชาย อินทราวธุ สังกดั พรรคเสรชี น การเลือกตั้งท่ัวไปครั้งท่ี 11 ผลจากการเลือกตั้งเม่ือ วันท่ี 26 มกราคม พ.ศ. 2518 ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช หัวหน้าพรรคกิจสังคม เป็นนายกรัฐมนตรีที่จัดต้ังรัฐบาลแบบผสม ในเวลาต่อมา เกิดความ ขัดแย้งของบรรดาพรรคร่วมรัฐบาล เป็นเหตใุ หน้ ายกรฐั มนตรปี ระกาศ ยุบสภาผู้แทนราษฎร เพ่ือให้มีการเลือกตั้งทั่วไปภายใน 90 วัน คือ วนั ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2519 สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรจงั หวดั แพร่ ไดแ้ ก่ นายรตั น์ พนมขวญั คณุ หญิงบวั เขยี ว รงั คสิริ และนายนคร ตันจนั ทรพ์ งศ์ สังกัดพรรคชาติ ไทยแบบยกทีม การเลอื กตง้ั ทว่ั ไปครง้ั ท่ี 12 พลเอกเกรยี งศกั ดิ์ ชมะนนั ท์ ในนาม 30

ขอ้ มลู ท่ัวไป แนวคิดทฤษฎแี ละงานวิจยั ที่เกยี่ วข้อง คณะปฏริ ปู การปกครองแผน่ ดนิ ท�ำ การยดึ อ�ำ นาจการปกครองประเทศ เม่ือ พ.ศ. 2520 จากนั้น ได้ประกาศใชร้ ฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักร ไทย พุทธศกั ราช 2521 กำ�หนดใหร้ ฐั สภาไทยมี 2 สภาดังเดิม พร้อม ก�ำ หนดวนั เลอื กตงั้ ทว่ั ไปเมอ่ื วนั ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2522 การเลอื กตงั้ แบบผสมโดยถอื เกณฑร์ าษฎร 150,000 คน ตอ่ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร 1 คน รวมเป็นสมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร จ�ำ นวน 301 คน สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรจงั หวดั แพร่ ไดแ้ ก่ นายณรงค์ วงศว์ รรณ สงั กดั พรรครวมไทย นายดสุ ติ รงั คสริ ิ สงั กดั พรรคชาตไิ ทย และนายพล วชั รปรีชา สังกดั พรรครวมไทย การเลอื กตัง้ ท่ัวไปครั้งท่ี 13 จากรัฐธรรมนญู ฉบบั พ.ศ.2521 ท่ี ใชบ้ งั คับอยูใ่ นขณะนนั้ กำ�หนดใหม้ กี ารเลอื กตง้ั แบบรวมเขต กล่าวคือ จงั หวดั เปน็ เขตเลอื กตง้ั และเลือกเปน็ พรรค ในชว่ งหนง่ึ มีการเสนอขอ แก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อให้บทเฉพาะกาลเกี่ยวกับแบบหรือวิธีการเลือก ต้งั คงใช้ต่อไป แตป่ รากฏวา่ ไมผ่ ่านความเหน็ ชอบจากรฐั สภา ผลทำ�ให้ ญตั ตติ กไป จงึ เปน็ มลู เหตใุ หร้ ฐั บาลประกาศยบุ สภาในวนั ที่ 19 มนี าคม พ.ศ. 2526 พรอ้ มก�ำ หนดวนั เลือกตั้งทั่วไปในวนั ท่ี 18 เมษายน พ.ศ. 2526 (ระยะเวลาเตรียมการเลือกตง้ั 29 วัน) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดแพร่ ได้แก่ นายณรงค์ วงศ์วรรณ สังกัดพรรคกิจสังคมซึ่งต่อมาย้ายไปสังกัดพรรครวมไทย นายดสุ ติ รังคสริ ิ สงั กัดพรรคชาตไิ ทย และนายพล วัชรปรชี า สังกัด พรรคกิจสังคม ต่อมาย้ายไปสังกัดพรรครวมไทยพร้อมกับนายณรงค์ วงศว์ รรณ การเลอื กต้ังทั่วไปครั้งท่ี 14 เนือ่ งจากรฐั บาลแพม้ ตใิ นการเสนอ พระราชก�ำ หนดเก่ยี วกับภาษีรถยนตบ์ างชนิด โดยมีสมาชิกสภาผ้แู ทน 31

นักการเมืองถิ่นจงั หวดั แพร่ ราษฎรฝ่ายพรรคร่วมรัฐบาลบางคนไม่เห็นด้วย ทำ�ให้รัฐบาลแพ้มติใน สภา เป็นเหตุให้รัฐบาลหาทางออกโดยวิธีการประกาศยุบสภาผู้แทน ราษฎร และกำ�หนดให้มีการเลือกตั้งท่ัวไป วันท่ี 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2529 เป็นการเลือกตั้งแบบผสมโดยถือเกณฑ์ราษฎร 150,000 คน ต่อสมาชิกสภาผูแ้ ทนราษฎร 1 คน รวมเป็นสมาชกิ สภาผ้แู ทนราษฎร จ�ำ นวน 347 คน สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรจงั หวดั แพร่ ไดแ้ ก่ นายณรงค์ วงศว์ รรณ สงั กดั พรรครวมไทย นายดสุ ติ รงั คสริ ิ สงั กดั พรรคชาตไิ ทย และนายพล วชั รปรีชา สังกดั พรรครวมไทย ตอ่ มา นายพล วัชรปรชี า ถึงแก่กรรม เมือ่ วันท่ี 11 ธนั วาคม พ.ศ. 2530 จงึ มกี ารก�ำ หนดใหเ้ ลอื กตัง้ ซ่อมเมอื่ วนั ที่ 21 กมุ ภาพันธ์ พ.ศ. 2531 ผลการเลือกต้งั ท�ำ ให้ นายชูวทิ ย์ จิตร สกลุ สงั กัดพรรครวมไทยได้รบั การเลือกตง้ั แทน การเลือกต้ังทัว่ ไปคร้งั ที่ 15 สถานการณท์ างการเมอื งเกดิ ความ แตกแยกทางความคดิ ในพรรครว่ มรฐั บาล เปน็ เหตใุ หร้ ฐั มนตรจี ากสงั กดั พรรคประชาธิปัตย์ยื่นใบลาออกจากตำ�แหน่ง ทำ�ให้เสถียรภาพของ รฐั บาลมคี วามอ่อนแอลง รฐั บาลจงึ ประกาศยบุ สภาผูแ้ ทนราษฎร และ ก�ำ หนดใหม้ กี ารเลอื กตง้ั ทว่ั ไปในวนั ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2531 เปน็ การ เลอื กตงั้ แบบผสมโดยถือเกณฑร์ าษฎร 150,000 คน ตอ่ สมาชกิ สภาผู้ แทนราษฎร 1 คน รวมเป็นสมาชกิ สภาผู้แทนราษฎร จ�ำ นวน 357 คน สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรจงั หวดั แพร่ ไดแ้ ก่ นายณรงค์ วงศว์ รรณ สงั กดั พรรครวมไทยตอ่ มายา้ ยไปสงั กดั พรรคเอกภาพ นายดสุ ติ รงั คสริ ิ สังกัดพรรคชาติไทย และนายชวู ทิ ย์ จิตรสกลุ สังกัดพรรครวมไทย ต่อ มา ยา้ ยไปสงั กัดพรรคเอกภาพพร้อมกบั นายณรงค์ วงศ์วรรณ การเลือกตั้งท่ัวไปครั้งที่ 16 จากการรัฐประหารยึดอำ�นาจการ 32

ข้อมูลท่วั ไป แนวคิดทฤษฎีและงานวจิ ัยทเ่ี กยี่ วข้อง ปกครองโดย คณะรกั ษาความสงบเรยี บรอ้ ยแหง่ ชาติ (รสช.) และไดแ้ ตง่ ตง้ั ให้ นายอานนั ท์ ปนั ยารชนุ เปน็ นายกรฐั มนตรี พรอ้ มก�ำ หนดใหม้ กี าร เลอื กตงั้ ทวั่ ไปใน วนั ท่ี 22 มนี าคม พ.ศ. 2535 เปน็ การเลอื กตงั้ แบบผสม ดว้ ยจำ�นวนสมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎร จ�ำ นวน 360 คน สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรจงั หวดั แพร่ ไดแ้ ก่ นายณรงศ์ วงศว์ รรณ ทีย่ ้ายพรรคเปน็ ครงั้ ที่ 4 ในนามพรรคสามคั คีธรรม นายเมธา เอื้ออภิ ญญกุล สังกัดพรรคสามัคคีธรรม และนายดุสิต รังคสิริ สังกัดพรรค ชาตไิ ทย การเลอื กตง้ั ในครงั้ น้ี เกดิ เหตกุ ารณส์ �ำ คญั ทางการเมอื ง คอื นาย ณรงค์ วงศว์ รรณ ไดก้ อ่ ต้งั และดำ�รงตำ�แหน่งหวั หนา้ พรรคสามคั คธี รรม โดยมีจุดมุ่งหมายสำ�คัญในการสนับสนุนและสืบทอดอำ�นาจทาง การเมอื งของสมาชกิ คณะรกั ษาความสงบเรยี บรอ้ ยแหง่ ชาติ (รสช.) บางคน การเลือกตั้งท่ัวไปคร้ังที่ 17 ผลจากการเลือกตั้ง คร้ังท่ี 16 พรรคการเมอื งหลายพรรครว่ มกนั สนบั สนนุ ให้ พลเอกสจุ นิ ดา คราประยรู หนึ่งในผู้นำ�ของคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) เป็น นายกรัฐมนตรี ด้วยคำ�กล่าวอ้างวา่ “เสยี สัตยเ์ พือ่ ชาต”ิ จนเปน็ สาเหตุ ให้เกิดการชุมนุมทางการเมืองของประชาชน เพราะกระแสความไม่ พอใจ และไม่ยอมรับการดำ�รงตำ�แหน่งนายกรัฐมนตรีของ พลเอก สจุ นิ ดา คราประยรู มกี ารชมุ นมุ เรยี กรอ้ งอยา่ งกวา้ งขวางไปทว่ั ประเทศ กระทง่ั รฐั บาลสงั่ ปราบปรามกลมุ่ ผชู้ มุ นมุ และการจบั กมุ พลตรจี �ำ ลอง ศรเี มอื ง ผนู้ �ำ การชมุ นมุ ทางการเมอื ง ในครงั้ นนั้ เรยี กกนั วา่ “เหตกุ ารณ์ พฤษภาทมฬิ ” ในทีส่ ดุ พลเอกสุจนิ ดา คราประยูร ประกาศลาออก จากตำ�แหน่งนายกรัฐมนตรี และแต่งต้ังให้ นายอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรี ครั้งท่ี 2 พร้อมจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปใน วันท่ี 33

นกั การเมืองถ่ินจังหวัดแพร่ 13 กันยายน พ.ศ. 2535 เป็นการเลอื กตงั้ แบบผสม เชน่ ครั้งท่ผี ่านมา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดแพร่ ได้แก่ นายดุสิต รังคสิริ สงั กดั พรรคชาตไิ ทย นายเมธา เออ้ื อภญิ ญกลุ สงั กดั พรรคชาตไิ ทย และ นายณรงค์ วงศว์ รรณ ทยี่ า้ ยพรรคเปน็ พรรคที่ 5 มาสงั กดั พรรคชาตไิ ทย การเลอื กต้งั ทวั่ ไปครัง้ ท่ี 18 ผลจากการเลอื กต้งั ทัว่ ไปครง้ั ที่ 17 นายชวน หลกี ภยั หวั หนา้ พรรคประชาธปิ ตั ย์ เปน็ นายกรฐั มนตรี ตอ่ มา รฐั บาลเกดิ ปญั หาด้านการบรหิ ารราชการ จากกรณี สปก.4 - 01 และ ถกู เปดิ อภปิ รายไมไ่ วว้ างใจทว่ั ไป กระทง่ั พรรครว่ มรฐั บาลประกาศถอน ตัวจากการร่วมรฐั บาล นายกรัฐมนตรจี ึงประกาศยุบสภา เป็นเหตใุ ห้มี การเลือกตั้งท่ัวไปใหม่ใน วันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 เป็นการ เลือกต้ังแบบผสม โดยถอื เกณฑร์ าษฎร 150,000 คน ตอ่ สมาชกิ สภา ผ้แู ทนราษฎร 1 คน รวมเปน็ สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร 391 คน สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรจงั หวัดแพร่ ไดแ้ ก่ นายดุสิต รังคสริ ิ สงั กดั พรรคชาตไิ ทย นายเมธา เออื้ อภญิ ญกลุ สงั กดั พรรคชาตไิ ทย และ นางศิริวรรณ ปราศจากศตั รู สังกัดพรรคประชาธปิ ัตย์ การเลือกต้ังท่ัวไปคร้ังที่ 19 ผลจากการเลือกต้ังทั่วไปคร้ังท่ี 18 นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย ในฐานะนายก รัฐมนตรีบริหารราชการเกิดกระแสปัญหาการไม่ยอมรับในภาพลักษณ์ ของรัฐมนตรีบางคน ประกอบกับภาพลักษณ์ของรัฐบาลอยู่ในสภาวะ ตกต�่ำ ประชาชนเสอ่ื มความศรทั ธาในคณะรัฐมนตรี พรรคร่วมรัฐบาล ต่างกดดันใหน้ ายกรฐั มนตรีลาออกจากตำ�แหน่ง หลงั จากผ่านการเปิด อภิปรายไมไ่ วว้ างใจทัว่ ไป เป็นเหตใุ ห้นายกรฐั มนตรปี ระกาศยบุ สภาผู้ แทนราษฎร และก�ำ หนดใหม้ กี ารเลอื กตง้ั ทว่ั ไปใน วนั ที่ 17 พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2539 การเลือกต้ังครั้งน้ีเป็นการเลือกตั้งแบบผสม มีสภาผู้แทน 34

ขอ้ มลู ท่ัวไป แนวคดิ ทฤษฎีและงานวจิ ยั ที่เกยี่ วขอ้ ง ราษฎร จ�ำ นวน 393 คน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดแพร่ ได้แก่ นางศิริวรรณ ปราศจากศตั รู สงั กดั พรรคประชาธปิ ตั ย์ นายแพทยท์ ศพร เสรรี กั ษ์ สงั กดั พรรคชาติไทย และนายวรวจั น์ เออื้ อภญิ ญกุล สงั กดั พรรคชาตไิ ทย การเลอื กตงั้ ทวั่ ไปครง้ั ท่ี 21 เกดิ ขนึ้ ภายหลงั จากชว่ งเวลาท่ี นาย บรรหาร ศลิ ปอาชา นายกรฐั มนตรี ด�ำ เนนิ การยกรา่ งรฐั ธรรมนญู ใหมท่ งั้ ฉบบั โดยสภารา่ งรฐั ธรรมนญู (สสร.)รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช 2540 ประกาศใชเ้ มื่อ วันท่ี 11 ตุลาคม พ.ศ. 2540 ซึ่งผล การเลอื กตง้ั ทว่ั ไปครงั้ ท่ี 21 หลงั การประกาศใชร้ ฐั ธรรมนญู ท�ำ ให้ พลเอก ชวลิต ยงใจยทุ ธ หวั หนา้ พรรคความหวงั ใหม่ เป็นนายกรฐั มนตรี ภาย หลงั พลเอกชวลติ ยงใจยทุ ธ บรหิ ารประเทศไปไดร้ ะยะหนงึ่ ประเทศไทย เกิดปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจตกตำ่�อย่างรุนแรง สถาบันการเงิน องค์กร ภาคธรุ กิจหลายแห่งประสบปญั หาสภาพคลอ่ งทางการเงนิ เกดิ ปญั หา หน้สี นิ ไม่ก่อเกิดรายได้ รฐั บาลซึง่ พยายามปกป้องคา่ เงินบาทกบั อตั รา แลกเปลี่ยนเงินระหว่างประเทศ จึงประกาศลอยค่าเงินบาทเม่ือเทียบ กับอัตราแลกเปล่ียนเงินระหว่างประเทศ และรัฐบาลขอความช่วย เหลือด้านการเงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund : IMF) วกิ ฤตทางการเงนิ ดังกลา่ ว เปน็ เหตใุ หน้ ายก รัฐมนตรี พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ประกาศลาออกจากตำ�แหน่ง จึง ต้องมีการลงมติของสภาผู้แทนราษฎรเพ่ือเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ กระทง่ั เกดิ การแบง่ ฝา่ ยทางการเมือง 2 ฝ่าย เพ่อื สนบั สนนุ พลเอก ชาตชิ าย ชณุ หวณั เป็นนายกรัฐมนตรฝี ่ายหน่ึง กบั ฝ่ายสนับสนนุ นาย ชวน หลกี ภยั เปน็ นายกรฐั มนตรี เปน็ เหตใุ หเ้ กดิ กรณงี เู หา่ ทางการเมอื ง ในที่สุด นายชวน หลีกภัย หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้เป็นนายก 35