นักการเมืองถ่ินจังหวัดน่าน (เครื่องจองจำ) ไว้แล้วให้ใช้ค่าตามราคา แล้วเอาตัวไปฆ่าเสีย ไม่ให้เป็นเสี้ยนหนามแก่แผ่นดินต่อไป” 3. เจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯ เป็นโอรสเจ้าอนันตวร- ฤทธิเดชฯ เจ้าผู้ครองนครน่านองค์ที่ 63 เป็นเจ้าผู้ครองนครน่าน ที่สำคัญอีกพระองค์หนึ่งและสำคัญที่สุดด้วย ในสมัย กรุงรัตนโกสินทร์ เพราะพระองค์ได้ทรงปฏิบัติราชการสนอง พระเดชพระคุณ ประกอบกรณียกิจเป็นคุณประโยชน์แก่ชาติ บ้านเมืองอเนกประการ เด่นกว่าเจ้าผู้ครองนครอื่นๆ ในแคว้น ล้านนาไทยสมัยนั้น และทรงเป็นที่พึงพอพระราชหฤทัยของ พระมหากษัตริย์ถึงกับได้รับการยกย่องสถาปนาพระอิสริยยศ อันสูงส่งเป็นถึง “พระเจ้านครน่าน” เจ้าผู้ครองนครน่านองค์สุดท้าย เจ้ามหาพรหมสุรธาดาฯ เป็นเจ้าผู้ครองนครน่าน องคส์ ดุ ทา้ ยในจำนวน 64 องค์ เปน็ โอรสของเจา้ อนนั ตวรฤทธเิ ดชฯ ได้รับสถาปนาเป็นเจ้าผู้ครองนครน่าน เมื่อ พ.ศ.2461 ถึงแก่ พิราลัย เมื่อ พ.ศ.2474 ชนมายุได้ 86 ปี ครองนครน่านนาน 13 ปี พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 มิได้ ทรงแต่งตั้งให้เจ้านายผู้ใดเป็นเจ้าผู้ครองนครน่านอีกตำแหน่ง เจ้าผู้ครองนครน่านจึงถูกยกเลิกตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา เจ้ามหาพรหมสุรธาดา เป็นเจ้าผู้ครองนครในฐานะ ประมุขของจังหวัด (ได้รับพระราชทานเงินเดือนประจำเดือนละ 3,600 บาท ซึ่งสมัยนั้นมากมายเหลือเกิน แม้ปลัดมณฑลประจำ จังหวัดมีบรรดาศักดิ์ชั้นพระยาพานทองได้รับพระราชทาน 38
บทวิเคราะห์ เงินเดือนเพียงเดือนละ 600 บาทเท่านั้น) โดยมีปลัดมณฑล ประจำจังหวัด (ผู้ว่าราชการจังหวัด) เป็นหัวหน้าบังคับ บัญชาการบริหารราชการแผ่นดิน การสั่งการใดๆ ที่มาจาก เสนาบดีส่วนกลาง หรือมณฑลเทศาภิบาล ปลัดมณฑลประจำ จังหวัดจะต้องนำเสนอให้เจ้าผู้ครองนครทรงทราบทุกเรื่องไปใน ฐานะประมุขของจังหวัดเจ้ามหาพรหมสุรธาดาเป็นเจ้าผู้ครอง องค์เดียวในบรรดาเจ้าผู้ครองนครน่านทั้งหมดที่สามารถทรง อ่านและเขียนหนังสือภาษาไทยได้ ซึ่งหายากมากในสมัยของ พระองค์ เจ้ามหาพรหมสุรธาดา เป็นผู้ที่ยึดมั่นและเลื่อมใสใน พระบวรพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่งได้ สละทุนทรัพย์ส่วนพระองค์ บูรณะปฎิสังขรณ์ซ่อมสร้างวัดอาราม ปูชนียสถานที่สำคัญๆ ของจังหวัดน่านเป็นอันมาก การปกครองนครน่านสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ การปกครองนครน่านเริ่มตั้งแต่ พญามงคลวรยศ เป็น เจ้าผู้ครองเป็นต้นมา รูปการปกครองเมืองประเทศราชขึ้นแก่ กรุงเทพมหานคร เจ้าผู้ครองนครมีอำนาจปกครองบ้านเมืองได้ โดยสิทธิ์ขาดหลายอย่าง เว้นแต่การเมืองต่างประเทศต้องรอ พระบรมราชโอการโปรดเกล้าฯ สั่งมา ภายในกำหนดระยะเวลา 1 ปี ต้องนำพุ่มไม้ทองเงินและเครื่องราชบรรณาการไปน้อม เกล้าถวายแด่พระมหากษัตริย์ยังกรุงเทพมหานคร ต่อมา ประเพณีนี้ได้ยกเลิกเมื่อ พ.ศ.2451 ในรัชกาลที่ 5 39
นักการเมืองถิ่นจังหวัดน่าน การปกครองในเขตนครน่านสมัยนั้น ได้แบ่งการปกครอง ออกเป็นหมู่บ้าน ซึ่งมีแก่บ้านเป็นหัวหน้า หลายหมู่บ้าน เป็นเมือง มีพ่อเมืองเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน และเมืองทั้งหมดนี้ขึ้น ตรงต่อเจ้าเมืองผู้ครองนคร หรือ “เค้าสนามหลวง” ส่วนเมือง อื่นนอกจากการปกครองของเค้าสนามหลวงซึ่งเป็นเมืองขึ้น ได้แก่ เมืองเชียงคำ เมืองเทิง และเมืองเชียงของ เป็นต้น ให้ปกครองตนเอง เมื่อครบปีต้องนำส่วยมาส่งเมืองน่านเป็นการ คำนับ ระเบียบการปกครองมี “เค้าสนามหลวง” เป็นที่ว่าการ เมือง มีพญาแสนท้าวคณะหนึ่งเป็นผู้บริหารการบริหารของ เค้าหลวงอาจแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะ คือ การงานที่ต้องนำเสนอ เจ้าผู้ครองนครเพื่อวินิจฉัยและบัญชาอย่างหนึ่ง และการงาน ที่เป็นไปตามระเบียบแบบแผนไม่มีสาระสำคัญสามารถที่จะทำ เสร็จไปได้ที่สนามหลวง โดยไม่ต้องนำเสนอเจ้าผู้ครองนคร อีกอย่างหนึ่ง คณะบดีของเค้าสนามหลวงเรียกว่า “พญาปื้น” คือ พญาผู้ใหญ่ในเค้าสนามหลวง มีจำนวน 4 นาย ดังรายนาม ต่อไปนี้ พญาป้ืน 1. พญาหลวงจ่าแสนบดีศรีวิสุทธิมงคล อรรคมหา เสนาบดี เป็นผู้สำเร็จราชการเมืองทั่วไป และเป็นประธานมุข มนตรีขุนสนามทั้งปวง 2. พญาแสนหลวงอามาตย์ เป็นรองผู้สำเร็จราชการ 40
บทวิเคราะห์ 3. พญาแสนหลวงมนตรี เป็นหัวหน้าฝ่ายนายทะเบียน (สุรัสวดี) 4. พญาแสนหลวงราชธรรมดุล เป็นหัวหน้าฝ่าย นายตุลาการ นอกจากนี้ยังมีพญาแสนหลวงอื่นๆ ซึ่งเป็นเจ้าผู้ครอง นครแต่งตั้งจัดวางเป็นทำเนียบไว้เป็นผู้ช่วยพญาปื้นบริหาร ราชการเมืองอีกหลายนาย กรรมการพิเศษ ในการบริหารราชการเมือง พระมหากษัตริย์จะโปรด เกล้าฯ แต่งตั้งให้เจ้านายบุตรหลานของเจ้าผู้ครองนครที่ทรง เห็นว่าเป็นผู้มีความรู้ความสามารถให้มีศักดิ์เป็น “เจ้า” ใน ตำแหน่ง “ กรรมการพิเศษ” เพื่อช่วยเหลือเจ้าผู้ครองนคร บริหารราชการเมืองและควบคุมดแู ลการบริหารของคณะบดีเค้า สนามหลวง ซึ่งเรียกว่า “พญาปื้น” ดังกล่าวมาแล้วข้างต้น เจ้านายบุตรหลานที่โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้มีศักดิ์ศรีเป็น เจ้าเหล่านี้ ตามทำเนียบมีอาวุโสลดหลั่นกันไปตามลำดับดังนี้ (อนุสรณ์งานศพนายทวี บุญซื่อ, 2529) 1. เจ้าอุปราช 2. เจ้าราชวงศ์ 3. เจ้าบุรีรัตน์ 4. เจ้าสุริยะ 5. เจ้าราชภาติกวงศ์ 41
นักการเมืองถิ่นจังหวัดน่าน 6. เจ้าราชภาคินัย 7. เจ้าราชดนัย 8. เจ้าราชสัมพันธ์วงศ์ 9. เจ้าราชบุตร 10. เจ้าราชญาติ 11. เจ้าประพันธ์พงศ์ 12. เจ้าวรญาติ 13. เจ้าไชยสงคราม 14. เจ้าวังขวา 15. เจ้าวังซ้าย เจ้านายบุตรหลานที่โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง กรรมการพิเศษเหล่านี้ มีสิทธิ์ที่จะได้รับสถาปนาเป็นเจ้าผู้ครอง นคร เมื่อมีตำแหน่งเจ้าผู้ครองนครว่างลง โดยถึงแก่พิราลัยหรือ โดยเหตุอื่น ตามปกติพระมหากษัตริย์จะโปรดเกล้าฯ สถาปนา เจ้าอุปราชขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองนครแทน เพราะเป็นผู้มีอาวุโส รองจากเจ้าผู้ครองนคร ส่วนตำแหน่งเจ้าอุปราชที่ว่างก็เลื่อน เจ้าราชวงศ์ขึ้นไปแทนตามลำดับต่อๆ กันไป ตำแหน่งสุดท้าย คือ เจ้าวังซ้ายที่ว่างลงนั้น พระมหากษัตริย์จะโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเจ้านายบุตรหลานคนอื่น ๆ ที่เห็นว่าสมควรขึ้นแทน ตำแหน่งที่ว่างเป็นเจ้าวังซ้ายต่อไป 42
บทวิเคราะห์ การเลือกต้ังและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของ จังหวัดน่าน ต้ังแต่ พ.ศ.2476-พ.ศ.2554 ตั้งแต่ พ.ศ.2476 มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นครั้งแรก จนถึงการเลือกตั้งปัจจุบัน (พ.ศ.2554) ได้มีสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดน่านได้รับการเลือกตั้งตามลำดับ เหตุการณ์ดังนี้ การเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดน่าน ครั้งที่ 1 เมื่อวันท่ี 15 พฤศจิกายน 2476 เ ป ็ น ช ่ ว ง ห ล ั ง ก า ร พ ร ะ ร า ช ท า น ร ั ฐ ธ ร ร ม นู ญ แ ห ่ ง ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 (ฉบับถาวร) ได้ราว 11 เดือนเศษเป็นการเลือกตั้งภายใต้บทบัญญัติรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 ลงวันที่ 10 ธันวาคม 2475 ซึ่งกำหนดรูปแบบโครงสร้างการปกครองไว้ในระบบ รัฐสภา ประกอบด้วยสภาเดียวโดยในระยะเริ่มแรกที่ประชาชน ยังมีการศึกษาไม่จบประถมศึกษาสามัญมากกว่ากึ่งจำนวนของ จำนวนประชากรทั้งหมด หรืออย่างช้าไม่เกิน 10 ปี นับจากวัน ใช้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ ให้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2 ประเภท จำนวนเท่ากันประเภทที่1 มาจากการเลือกตั้ง ประเภทที่ 2 มาจากการแต่งตั้ง หลังจากระดับการศึกษาของประชากร หรือกำหนดระยะเวลาเข้าเกณฑ์ที่รัฐธรรมนูญกำหนด จึงให้ ยกเลิกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 คงมีแต่สมาชิก สภาผู้แทนราษฎรประเภทที่มาจากการเลือกตั้งเพียงประเภท เดียว (นิยม รัฐอมฤต, 2549, น.71) 43
นักการเมืองถ่ินจังหวัดน่าน การเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรก เป็นการเลือกตั้งทางอ้อม สองชั้น ในระบบรวมเขต (จังหวัด) คือ ประชาชน ผู้มีสิทธิ เลือกตั้งในแต่ละตำบลเลือกตั้งผู้แทนตำบล 1 คน การเลือกตั้ง ผู้แทนตำบลกฎหมายกำหนดให้กระทำโดยการประกาศพระราช กฤษฎีกาว่าให้มีการเลือกตั้งผู้แทนตำบล ให้กรมการอำเภอ จัดทำบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิออกเสียงในตำบลนั้นขึ้นใช้ ในการทำ บัญชีรายชื่อนี้ให้ถือตามทะเบียนสำมะโนครัว เมื่อได้ผู้แทน ตำบลแล้ว ผู้แทนตำบลจึงออกเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรของจังหวัด โดยผู้แทนตำบลมีสิทธิเลือกสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรได้เท่าจำนวน ส.ส.ที่จังหวัดนั้นพึงมีการเลือกตั้ง ทั่วไปครั้งนี้มี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 1 จำนวน 78 คน โดยถือจำนวนประชากรของแต่ละจังหวัดเป็นเกณฑ์ กำหนดจำนวน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของแต่ละจังหวัด ประชากร 200,000 คน ต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 1 คน โดยประมาณ และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีวาระการดำรง ตำแหน่งคราวละ 4 ปี ในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 1 มีจังหวัดที่มีสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรได้ 3 คน 2 จังหวัด คือ พระนคร และอุบลราชธานี จังหวัดที่มี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ 2 คน 4 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ นครราชสีมา มหาสารคามและร้อยเอ็ด จังหวัดนอก นั้นมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ 1 คน มีผู้มีสิทธิออกเสียง เลือกตั้ง 4,278,231 คน มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง 1,773,532 คน คิดเป็นร้อยละเท่ากับ 41.45 เนื่องจากโครงสร้างของรัฐสภาประกอบด้วยสภาเดียว สมาชิก 2 ประเภท สมาชิกประเภทเลือกตั้งและแต่งตั้ง และ 44
บทวิเคราะห์ ไม่อนุญาตให้มีการจัดตั้งพรรคการเมือง หรือดำเนินกิจกรรม ทางการเมืองในรูปพรรค ดังนั้น สมาชิกรัฐสภาประเภทเลือกตั้ง จึงไม่มีผลต่อการตั้งรัฐบาลมากนัก กลุ่มการเมืองที่กุมอำนาจ และกุมการแต่งตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 เป็น ฝ่ายได้รับการสนับสนุนให้เป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล ผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของ จังหวัดน่านคนแรก คือ นายจำรัส มหาวงศ์นันทน์ การเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดน่าน คร้ังที่ 2 เมื่อวันท่ี 7 พฤศจิกายน 2480 จัดขึ้นภายใต้ระบบและโครงสร้างทางการเมืองอย่าง เดียวกับการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่1 คือ ระบบรัฐสภา ประกอบ ด้วยสภาเดียว สมาชิก 2 ประเภท เลือกตั้งกับแต่งตั้ง แต่ภายใต้ ระบบการเลือกตั้งที่แตกต่างกัน คือ เป็นการเลือกตั้งทางตรง ในระบบแบ่งเขต (จังหวัด) จำนวนประชากร 200,000 คน โดยประมาณต่อ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 1 คน กล่าวคือ ในจังหวัดใดมีจำนวน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้เท่าใด ก็ให้ จัดแบ่งเป็นเขตเลือกตั้งเท่าจำนวน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ จะพึงมี คือ เขตเลือกตั้ง 1 เขต เลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้ 1 คน (นิยม รัฐอมฤต, 2549, น.71-72) ภายใต้ระบบและโครงสร้างทางการเมืองดังกล่าว การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นเพียงองค์ประกอบ หนึ่งของโครงสร้างอำนาจ การเลือกตั้งจึงมักไม่มีผลต่อการ เปลี่ยนแปลงผู้นำรัฐบาล การเลือกตั้งมีบทบาทเพียงเป็น 45
นักการเมืองถิ่นจังหวัดน่าน เครื่องมือของผู้นำในการสร้างความชอบธรรมให้ตนเองและ อำนาจที่ตนกุมอยู่ ดังนั้น ผลการเลือกตั้งครั้งที่ 2 ครั้งที่ 3 และ ครั้งที่ 4 ไม่มีผลอย่างใดต่อการเปลี่ยนรัฐบาล กลุ่มที่คุมอำนาจ การแต่งตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภท 2 ซึ่งได้แก่ คณะราษฎร ยังคงกุมอำนาจการจัดตั้งรัฐบาลต่อไป การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดน่าน ครั้งที่ 2 จัดขึ้น เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2480 ในรัฐบาลพันเอกพระยา พหลพลพยุหเสนา หลังจากรัฐบาลอยู่ตำแหน่งครบวาระ 4 ปี ในวันที่ 9 ธันวาคม 2480 จึงต้องจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรประเภทเลือกตั้งกันใหม่ การเลือกตั้งสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งโดยตรงครั้งแรกของไทย มีผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 6,123,239 คนมีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง 2,462,535 คน คิดเป็นร้อยละเท่ากับ 40.22 มี ส.ส.ได้ 91 คน ภายหลังการเลือกตั้งพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนาได้รับการ เสนอชื่อให้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปอีกวาระหนึ่ง ผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของ จังหวัดน่านในการเลือกตั้งครั้งที่ 2 คือ นายจำรัส มหาวงศ์ นันทน์ ซึ่งเป็นการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใน สมัยที่ 2 การเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดน่าน คร้ังท่ี 3 เม่ือวันที่ 12 พฤศจิกายน 2481 จัดขึ้นในรัฐบาลพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา เช่นกัน เป็นการเลือกตั้งที่ห่างจากการเลือกตั้งครั้งก่อนเพียง 46
บทวิเคราะห์ ปีเศษ เนื่องจากมีการยุสภาเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2481 อันมี สาเหตุจากรัฐบาลแพ้เสียงในสภา ในกรณีนายถวิล อุดร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรร้อยเอ็ดกับคณะขอให้รัฐบาลเสนอ รายละเอียดเกี่ยวกับงบประมาณทั้งรายรับรายจ่ายให้ชัดเจนใน ขั้นพิจารณารับหลักการ แต่รัฐบาลไม่เห็นด้วย และแพ้เสียงใน สภาดังกล่าว การเลือกตั้งครั้งนี้มีผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 6,310,172 คน มีผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง 2,210,332 คน คิดเป็นร้อยละเท่ากับ 35.03 จำนวน ส.ส.ทั้งหมด. 91 คน เท่ากับการเลือกตั้งครั้งที่ 2 ภายหลังเลือกตั้ง พันเอกพระยาหลพลพยุหเสนาขอไม่รับ ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตำแหน่งดังกล่าวจึงถูกส่งไปที่ พันเอกหลวงพิบูลสงคราม (ยศขณะนั้น) ผู้นำคณะราษฎร สาย นายทหารชั้นยศต่ำ (นิยม รัฐอมฤต, 2549, น.72) สำหรับผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ของจังหวัดน่านในการเลือกตั้งครั้งที่ 3 คือ นายจำรัส มหา- วงศ์นันทน์ ซึ่งเป็นการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในสมัยที่ 3 การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดน่าน คร้ังที่ 4/1 เม่ือวันท่ี 6 มกราคม 2489 และครั้งที่ 4/2 เม่ือวันท่ี 5 สิงหาคม 2489 จัดขึ้นในรัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ซึ่งเป็นช่วง สงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดได้ไม่นาน การเลือกตั้งครั้งนี้ ห่างจากการเลือกตั้งครั้งก่อนถึง 7 ปีเศษ ทั้งๆ ที่วาระการดำรง ตำแหน่งของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คือ 4 ปี เนื่องจากภาวะ 47
นักการเมืองถิ่นจังหวัดน่าน สงครามที่ขยายตัวเข้าสู่ประเทศไทย โดยญี่ปุ่นขอใช้พื้นที่ ประเทศไทยเพื่อส่งทหารไปยังพม่าและอินเดียของอังกฤษ รัฐบาลเห็นว่าไม่เป็นการสะดวกที่จะจัดเลือกตั้งในภาวะ บ้านเมืองไม่ปกติ จึงขอขยายเวลาการอยู่ในตำแหน่งของ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ถึง 2 คราวๆ ละไม่เกิน 2 ปี (นิยม รัฐอมฤต, 2549, น.72-73) รัฐบาลพลเรือนที่เข้ามาบริหารประเทศแทนที่รัฐบาล ทหารที่ถูกกันออกจากตำแหน่งเมื่อญี่ปุ่นมีทีท่าว่าจะ แพ้สงครามนั้น มีท่าทีผ่อนปรนให้มีการดำเนินการทางการเมือง ในรูปพรรคการเมืองได้ ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ยังไม่มีการหาเสียง ในรูปของพรรคอย่างจริงจัง การหาเสียงโดยทั่วไปยังดำเนินการ ในรูปส่วนบุคคล มีผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 6,431,827 คน มีผู้ใช้สิทธิ เลือกตั้ง 2,091,827 คน คิดเป็นร้อยละเท่ากับ 32.52 จำนวน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 96 คน หลังการเลือกตั้ง นายควง อภัยวงศ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกสภาผู้แทนให้เป็นผู้นำจัดตั้ง รัฐบาล แต่หลังจากนายควงแพ้เสียงในสภาผู้แทน เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2489 และขอลาออกจากตำแหน่ง และเปิดทางให้ นายปรีดี พนมยงค์ หัวหน้าเสรีไทยตัวจริง ดำรงตำแหน่งนายก- รัฐมนตรี การแข่งขันทางการเมืองในรูปของพรรคการเมือง ได้เริ่มต้นขึ้น กล่าวคือ นายควง อภัยวงศ์ รวมกลุ่มกับ นักการเมืองสายอนุรักษ์ เช่น ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช จัดตั้งพรรคประชาธิปัตย์ ในขณะที ่ นักการเมืองกลุ่มนายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งเป็นฝ่ายก้าวหน้าและ 48
บทวิเคราะห์ สายเสรีนิยม จัดตั้งพรรคสหชีพ พรรคแนวรัฐธรรมนูญ พรรค อิสระ เป็นต้น ในช่วงนี้ แม้การเมืองจะมีการเคลื่อนไหวสูง แต่การต่อสู้ทางการเมืองยังคงอยู่ในกลุ่มนักการเมืองในสภา ผู้แทน ประชาชนเป็นเพียงผู้ดูการเลือกตั้งยังคงเป็นเครื่องมือ ของนักปกครองในการสร้างความชอบธรรมให้กับตัวเองและ อำนาจที่ครอบครองอยู่ พิจารณาในแง่ของการมีส่วนร่วมในการใช้สิทธิเลือกตั้ง ของประชาชนตั้งแต่ครั้งที่ 1 ถึงครั้งที่ 4 จะเห็นได้ว่ามีสัดส่วน ไม่มาก คือ อยู่ระหว่างร้อยละ 35 - 40 สะท้อนว่าประชาชน ให้ความสนใจต่อการเลือกตั้งไม่มาก และไม่ถือว่าการเลือกตั้ง เป็นเครื่องมือของตนในการเลือกรัฐบาล สำหรับผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ของจังหวัดน่านในการเลือกตั้งครั้งที่ 4/1 นี้คือ นายสมบูรณ์ บัณฑิต โดยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยแรก การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งเพิ่มจากการเลือกตั้ง ครั้งที่ 4/1 ซึ่งมี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 96 คน เนื่องจากมี การแบ่งเขตใหม่ (เขตละ1คน) ในอัตราส่วนประชากร 100,000 คนต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 1 คน ทำให้ได้สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรเพิ่มขึ้นอีก 82 คน รวมเป็น 178 คน ซึ่งจะต้องมี การเลือกตั้งเพิ่มอีก 47 จังหวัด (รวมทั้งจังหวัดน่านด้วย) มีวาระ ในการดำรงตำแหน่ง 4 ปี สำหรับผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดน่านในการเลือกตั้งครั้งที่ 4/2 คือ นายมานพ ประทุมอิน โดยดำรงตำแหน่งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรเพียงสมัยเดียว 49
นักการเมืองถิ่นจังหวัดน่าน การเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดน่าน คร้ังที่ 5 เมื่อวันท่ี 29 มกราคม 2491 จัดขึ้น หลังรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน 2490 ได้ไม่นาน เป็นการเลือกตั้งทั่วไปภายใต้บทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 รัฐสภา ประกอบด้วย 2 สภา คือ วุฒิสภาและสภาผู้แทน สมาชิก วุฒิสภามาจากการแต่งตั้ง อยู่ในตำแหน่งคราวละ 6 ปี เฉพาะ วาระเริ่มแรก เมื่อครบกำหนด 3 ปี ให้มีการจับสลากออก ครึ่งหนึ่งสมาชิกสภาผู้แทนมาจากการเลือกตั้ง มีวาระการอยู่ใน ตำแหน่งคราวละ 4 ปี แต่ละสภามีจำนวนสมาชิกเท่ากัน (นิยม รัฐอมฤต, 2549, น.73-74) การกำหนดจำนวน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้ถือ เกณฑ์ประชากรของจังหวัด 200,000 คน โดยประมาณต่อ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 1 คน การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรทั่วไป ครั้งที่ 5 มีการรวมตัวเป็นพรรคการเมือง และ ใช้พรรคเป็นเครื่องมือหาเสียง ซึ่งเริ่มก่อตัวมาตั้งแต่การเลือกตั้ง ทั่วไปใน พ.ศ.2489 พรรคที่เป็นที่รู้จักกันในเวลานั้น และไม่ถูก ขจัดไปกับการรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน 2490 เช่น พรรค ประชาธิปัตย์ พรรคประชาชน พรรคธรรมาธิปัตย์ เป็นต้น การเลือกตั้งครั้งนี้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ 99 คน มีจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 7,176,891 คน มีผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง 2,177,464 คน คิดเป็นร้อยละเท่ากับ 29.5 ผลการเลือกตั้ง นายควง อภัยวงศ์ หัวหน้าประชาธิปัตย์ ได้รับการสนับสนุนให้เป็นผู้นำในการจัดตั้งรัฐบาล แต่เนื่องจาก 50
บทวิเคราะห์ สภาผู้แทนขาดฐานสนับสนุนที่เข้มแข็งเหนียวแน่นจาก ประชาชน รัฐบาลพลเรือนอยู่ในตำแหน่งได้ไม่นานก็ต้องเปิด ทางให้ผู้นำกองทัพเข้ากุมบังเหียนแทน เมื่อฝ่ายทหารใช้กำลัง ข่มขู่และเรียกร้องขอตำแหน่งคืน สำหรับผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ของจังหวัดน่านในการเลือกตั้งครั้งที่ 5 คือ นายจำรัส มหา- วงศ์นันทน์ ซึ่งเป็นการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในสมัยที่ 4 การเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดน่าน ครั้งที่ 6 เมื่อวันท่ี 26 กุมภาพันธ์ 2495 การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วไปครั้งที่ 6 ครั้งที่ 7 และครั้งที่ 8 จัดการเลือกตั้งภายใต้บทบัญญัติ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 ที่นำ กลับมาใช้ใหม่หลังรัฐประหาร 29 พฤศจิกายน 2494 โดย รัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวกำหนดให้รัฐสภาประกอบด้วย สภาเดียว สมาชิก 2 ประเภท ประเภทที่ 1 มาจากการเลือกตั้ง และประเภทที่ 2 มาจากการแต่งตั้ง แต่ละประเภทมีจำนวน เท่ากัน การเลือกตั้งเป็นระบบรวมเขต (จังหวัด) คือ จังหวัดใด มีจำนวน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้เท่าใดก็ให้ประชาชน มีสิทธิเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้เท่าจำนวนสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรที่จังหวัดนั้นพึงมี ส่วนจังหวัดใดจะมีจำนวน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้เท่าใด ใช้จำนวนประชากรของ จังหวัดเป็นเกณฑ์กำหนด คือ ประชากร 150,000 คนต่อ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 1 คน (นิยม รัฐอมฤต, 2549, น.74) 51
นักการเมืองถิ่นจังหวัดน่าน การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 6 จัดขึ้น หลังรัฐประหาร พ.ศ.2494 ไม่นานในการเลือกตั้งครั้งนี้รัฐบาล ไม่ยอมให้มีการจัดตั้งพรรคการเมือง และไม่ยอมให้หาเสียง ในนามพรรคการเมือง ผู้สมัครรับเลือกตั้งต้องหาเสียงในนาม ส่วนบุคคล เป็นที่เห็นได้ชัดว่ารัฐบาลทหารต้องการบั่นทอนขีด ความสามารถของนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามด้วยการไม่อนุญาต ให้รวมตัวกันในรูปพรรคการเมือง การเลือกตั้งครั้งนี้มีสมาชิก สภาผู้แทนราษฎร 123 คน มีผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 7,602,591 คน มีผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง 2,961,291 คน คิดเป็นร้อยละเท่ากับ 38.95 ผลการเลือกตั้งไม่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านกลุ่มบุคคล ที่กุมอำนาจ สำหรับผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ของจังหวัดน่านในการเลือกตั้งครั้งที่ 6 คือ นายประดิษฐ์ ณ น่าน ซึ่งเป็นการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในสมัย เดียว การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดน่าน คร้ังที่ 7 เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2500 ก่อนการเลือกตั้งครั้งนี้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติ พรรคการเมือง พ.ศ.2498 ซึ่งยินยอมให้มีการจัดตั้งพรรค การเมืองและแข่งขันทางการเมืองในรูปของพรรคการเมืองได้ สาเหตุที่รัฐบาลยอมให้มีการจัดตั้งพรรคการเมืองได้ เป็นเพราะ จอมพล ป.พิบูลสงคราม หัวหน้ารัฐบาลมีความรู้สึกว่าฐาน สนับสนุนทางทหารและตำรวจร่อยหรอไป เนื่องจากผู้นำกลุ่ม ที่เคยให้การสนับสนุนจอมพล ป.พิบูลสงคราม อันได้แก่ 52
บทวิเคราะห์ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้บญชาการทหารบก และพลตำรวจ เอกเผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจ เริ่มมีบารมีแก่กล้าขึ้น และแข่งขันกันที่จะเป็นทายาทสืบทอดอำนาจต่อจากจอมพล ป.พิบูลสงคราม ทำให้จอมพล ป.พิบูลสงคราม ต้องหันมาสร้าง ฐานสนับสนุนจากประชาชน ด้วยการเน้นการเมืองในระบอบ ประชาธิปไตย และการให้ความสำคัญกับการเมืองในระบบ พรรค เพื่อคานอำนาจกองทัพและระบบราชการ เพื่อความ อยรู่ อดในทางการเมอื ง จอมพล ป.กบั พวก รวมถงึ พลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์ และจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จัดตั้งพรรค มนังคศิลา ในขณะที่นายควง อภัยวงศ์และพวกจัดตั้งพรรค ประชาธิปัตย์และยังมีพรรคการเมืองอื่นๆ อีกหลายพรรค (นิยม รัฐอมฤต, 2549, น.74-75) การเลือกตั้งครั้งนี้มี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 160 คน มีผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 9,859,039 คน มีผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง 5,668,566 คน คิดเป็นร้อยละเท่ากับ 57.50 นับเป็นครั้งแรก ในประวัติศาสตร์ไทยที่มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งเกินร้อยละ 50 แต่ การเลือกตั้งครั้งนี้มีการใช้กลโกงรูปแบบต่างๆ โดยฝ่ายรัฐบาล เช่น เปลี่ยนหีบบัตรเลือกตั้งในขณะขนย้ายบัตร เวียนเทียน (ใช้คนไม่มีสิทธิเลือกตั้งออกเสียงแทนคนอื่นรอบแล้วรอบเล่า) พลร่ม (ใช้คนไม่มีสิทธิเลือกตั้งออกเสียงแทนคนอื่น) ไพ่ไฟ (ยัดบัตรใส่หีบโดยพละการ) จนนำไปสู่การชุมนุมประท้วงโดย พรรคฝ่ายค้าน ประชาชน และนักศึกษา สำหรับผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ของจงั หวดั นา่ นในการเลอื กตง้ั ครง้ั ท่ี 7 คอื นายสมบรู ณ ์ บณั ฑติ 53
นักการเมืองถ่ินจังหวัดน่าน ซึ่งเป็นการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในสมัยที่ 2 ในนามพรรคชาติสังคมแล้วต่อมาได้ย้ายไปอยู่พรรคเสรี- มนังคศิลา การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดน่าน ครั้งท่ี 8 เมื่อวันท่ี 15 ธันวาคม 2500 จัดขึ้นในสมัยรัฐบาลรักษาการ นำโดยนายพจน์ สารสิน ภายใต้กติกาและเงื่อนไขเดียวกันกับการเลือกตั้งครั้ง 7 ที่มี จำนวน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ 160 คน จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์และพวกจัดตั้งพรรคสหภูมิ เป็นฐานการเมืองในการ รักษาอำนาจที่ยึดมาได้จากกลุ่มจอมพล ป.และกลุ่มซอยราชครู ซง่ึ มพี ลตำรวจเอกเผา่ เปน็ แกนนำคนสำคญั ของกลมุ่ การเลอื กตง้ั ครั้งนี้เป็นเพียงเครื่องมือสร้างความชอบธรรมให้กับกลุ่มของตัว และอำนาจที่ยึดแย่งมาได้ การเลือกตั้งครั้งนี้ มีผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 9,917,417 คน มีผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง 4,370,789 คน คิดเป็นร้อยละ เท่ากับ 44.07 (นิยม รัฐอมฤต, 2549, น.75) สำหรับผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ของจังหวัดน่านในการเลือกตั้งครั้งที่ 8 คือ นายสมบูรณ์ บัณฑิต ซึ่งเป็นการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในสมัยที่ 3 โดยไม่ได้สังกัดพรรคการเมืองใด 54
บทวิเคราะห์ การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดน่าน คร้ังที่ 9 เม่ือวันท่ี 10 กุมภาพันธ์ 2512 จัดขึ้นหลังจากประเทศไทยว่างเว้นการเลือกตั้ง ผู้แทนราษฎรไปนานกว่า 10 ปี ภายใต้บทบัญญัติของ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2511ซึ่งกำหนด ให้ระบบรัฐสภาของไทยประกอบด้วย 2 สภา ได้แก่ วุฒิสภา และสภาผู้แทน สำหรับวุฒิสภาสมาชิกมาจากการแต่งตั้ง มีจำนวน 3 ใน 4 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดของสภาผู้แทน มีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละ 6 ปี ในแต่วาระเริ่มแรก เมื่อครบกำหนด 3 ปีให้มีการจับสลากเพื่อให้สมาชิกพ้นจาก ตำแหน่งเป็นจำนวนกึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมด (นิยม รัฐอมฤต, 2549, น.76) สภาผู้แทนประกอบด้วยสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้ง โดยระบบรวมเขต (จังหวัด) ถือจำนวนประชากรของจังหวัด 150,000 คน ต่อ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 1 คน โดยประมาณ ในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งนี้ คำนวณ ตามเกณฑ์ประชากรข้างต้น มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ 219 คน มีผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 14,820,400 คน มผี ้ใู ช้สิทธเิ ลอื กตั้ง 7,289,837 คน คิดเป็นร้อยละ เท่ากับ 49.16 การเลือกตั้ง ครั้งนี้รัฐบาลยอมให้ต่อสู้ในระบบพรรคการเมืองได้ โดย รัฐบาลภายใต้การนำของจอมพลถนอม กิตติขจร จัดตั้งพรรค สหประชาไทยเป็นฐานทางการเมืองในการรักษาอำนาจของตน ต่อไป 55
นักการเมืองถิ่นจังหวัดน่าน สำหรับผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ของจังหวัดน่านในการเลือกตั้งครั้งที่ 9 คือ นายสมบูรณ์ บัณฑิต ซึ่งเป็นการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในสมัยที่ 4 และนายสมชาย โลหะโชติซึ่งเป็นการดำรงตำแหน่ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในสมัยแรกทั้งนี้ สมาชิกสภา ผแู้ ทนราษฎร ทง้ั 2 คน ลงสมคั รเลอื กตง้ั ในนามพรรคสหประชาไทย การเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดน่าน คร้ังท่ี 10 เม่ือวันท่ี 26 มกราคม 2518 การเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 10 และ ครั้งที่ 11 ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2517 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญที่มีเนื้อหาเป็นประชาธิปไตยมาก ฉบับหนึ่ง ตราขึ้นหลังเหตุการณ์นักศึกษาลุกฮือ โค่นล้มรัฐบาล ทหารนำโดยจอมพลถนอม กิตติขจร 14 ตุลาคม 2516 ตาม รัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวกำหนดให้รัฐสภาประกอบด้วย วุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภาประกอบด้วยสมาชิก ที่มาจากการแต่งตั้งมีจำนวน 100 คน อยู่ในตำแหน่งคราวละ 6 ปี ในวาระเริ่มแรก เมื่อครบกำหนด 3 ปี ให้สมาชิกออกจาก ตำแหน่งจำนวนกึ่งหนึ่งโดยวิธีการจับสลาก สภาผู้แทนราษฎร ให้ประกอบด้วยสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้งมีจำนวนไม่น้อย กว่า 240 คน แต่ไม่เกิน 300 คน มีวาระการอยู่ในตำแหน่ง คราวละ 4 ปี สำหรับระบบเลือกตั้งนั้นให้ถือเกณฑ์ประชากร ของจังหวัดเป็นหลัก โดยใช้ระบบรวมเขตผสมกับระบบแบ่งเขต ประชากร 150,000 ต่อ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 1 คน จังหวัด ใดมี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ไม่เกิน 3 คน ไม่ต้องแบ่งเขต 56
บทวิเคราะห์ เลือกตั้ง ให้ถือเขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง จังหวัดใด มีการ เลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เกิน 3 คน ให้แบ่งเขตจังหวัด ออกเป็นเขตเลือกตั้ง โดยให้แต่ละเขตเลือกตั้งมีจำนวนสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรเขตละ 3 คน ในกรณีจังหวัดใดไม่สามารถจัด ให้แต่ละเขตมี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครบ 3 คนได้ทุกเขต ให้แบ่งเขตเลือกตั้งที่มีสมาชิกเขตละ 3 คนก่อน แต่เขตที่เหลือ ต้องมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ไม่น้อยกว่า 2 คน ในกรณี จังหวัดใดมีการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ 4 คน ให้แบ่งเขตเลือกตั้งออกเป็น 2 เขต เขตหนึ่งให้มี สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร 2 คน (นิยม รัฐอมฤต, 2549, น.77-79) การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 10 มี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ 269 คน มีผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 20,243,791 คน มีผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง 9,549,924 คน คิดเป็น ร้อยละเท่ากับ 47.17 มีพรรคการเมืองส่งสมาชิกเข้าสมัครรับ เลือกตั้งจำนวน 42 พรรค มีสมาชิกพรรคการเมืองต่างๆ ได้รับ เลือกตั้งเข้าสู่ สภาผู้แทนราษฎรจำนวน 22 พรรค ภายหลังการเลือกตั้ง พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งมีที่นั่งใน สภาผู้แทนราษฎรมากที่สุด รวมกับพรรคเกษตรสังคมและพรรค แนวร่วมสังคมนิยม ร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย โดยมี ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นนายก- รัฐมนตรี โดยได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2518 แต่เนื่องจากในการแถลงนโยบายของรัฐบาล ต่อสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2518 ไม่ได้รับความ ไว้วางใจจากสภาผู้แทนราษฎร เป็นเหตุให้รัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์ 57
นักการเมืองถิ่นจังหวัดน่าน ต้องสิ้นสุดลง ต่อมาพรรคการเมืองจำนวน 12 พรรค ประกอบ ด้วย พรรคธรรมสังคม พรรคกิจสังคม พรรคสังคมชาตินิยม พรรคประชาธรรม พรรคสันติชน พรรคพลังประชาชน พรรค ฟื้นฟูชาติไทย พรรคแผ่นดินไทย พรรคเสรีชน พรรคแรงงาน และพรรคไท ได้ร่วมกันเสนอให้ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช หัวหน้า พรรคกิจสังคมและเจ้าของหนังสือพิมพ์สยามรัฐอันเลื่องชื่อ ฤาชา ซึ่งมี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในสังกัด 18 คน รวมทั้ง ตัวเองเป็นนายกรัฐมนตรี จัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศต่อจาก รัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์ แต่รัฐบาลผสมพรรคเล็กพรรคน้อยอยู่ได ้ ไม่ถึงปีก็ต้องยุบสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2519 เพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ สำหรับผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ของจังหวัดน่านในการเลือกตั้งครั้งที่ 10 คือ นายประเสริฐ ทุ่งสี่ เป็นการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยเดียว โดย ลงสมัครเลือกตั้งในนามพรรคประชาธิปัตย์ และนายสมบูรณ์ บัณฑิต ซึ่งเป็นการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใน สมัยที่ 5 ลงสมัครเลือกตั้งในนามพรรคธรรมสังคม การเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดน่าน คร้ังที่ 11 เม่ือวันที่ 4 เมษายน 2519 การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 11 มี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ 279 คน มีผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 20,623,430 คน มีผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง 9,072,629 คน คิดเป็น ร้อยละเท่ากับ 43.99 มีพรรคการเมืองส่งสมาชิกเข้าแข่งขัน 58
บทวิเคราะห์ จำนวน 39 พรรค ไดร้ บั เลอื กต้งั เข้าสสู่ ภาผแู้ ทนจำนวน 19 พรรค (นิยม รัฐอมฤต, 2549, น.79-80) ภายหลังการเลือกตั้ง พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นพรรค ที่มีที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรมากที่สุด เป็นแกนนำในการจัดตั้ง รัฐบาลผสม โดยร่วมกับพรรคชาติไทย พรรคธรรมสังคม และ พรรคสังคมชาตินิยม รัฐบาลชุดนี้อยู่ได้ไม่นานก็ถูกรัฐประหาร โค่นล้มไป เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 โดยคณะปฏิรูปการ ปกครองแผ่นดิน ทั้งนี้ เนื่องจากสังคมเกิดการแตกแยกทาง อุดมการณ์ระหว่างขบวนการฝ่ายซ้ายซึ่งนำโดยนักศึกษา มหาวิทยาลัยกับขบวนการฝ่ายขวา ซึ่งนำโดยฝ่ายทหารและ ข้าราชการและเกิดการประทุษร้ายในลักษณะขวาพิฆาตซ้าย อยู่เนืองๆ จนในที่สุดเกิดการล้อมปราบนักศึกษา มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ เมื่อเช้าตรูของวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ซึ่งเป็นการ ชุมชนประท้วงการกลับเข้าประเทศของจอมพลถนอม ซึ่งลี้ภัย ไปอยู่ต่างประเทศหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 สำหรับผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ของจังหวัดน่านในการเลือกตั้งครั้งที่ 11 คือ นายสมชาย โลหะโชติ ซึ่งเป็นการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมัยที่ 2 โดยลงสมัครเลือกตั้งในนามพรรคชาติไทย และ นายทวี บญุ ซอ่ื ซง่ึ เปน็ การดำรงตำแหนง่ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร สมัยเดียว ลงสมัครเลือกตั้งในนามพรรคกิจสังคม 59
นักการเมืองถิ่นจังหวัดน่าน การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดน่าน คร้ังท่ี 12 เม่ือวันท่ี 22 เมษายน 2522 จัดขึ้นภายใต้เงื่อนไขของบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2521 ซึ่งยกเว้นการบังคับใช้ บทบัญญัติที่กำหนดให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. ต้องสังกัด พรรคการเมือง และยกเว้นการบังคับใช้บทบัญญัติที่กำหนดให้ เลือกตั้งในระบบรวมเขต (จังหวัด) เลือกเป็นคณะบุคคลตาม บัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองส่งสมัคร พร้อมกันนี้ ได้กำหนดให้ ระบบการเลือกตั้งภายใต้บทเฉพาะกาลที่ว่านี้เป็นแบบผสม รวมเขตกับแบ่งเขต (จังหวัด) อย่างที่ใช้ในการเลือกตั้งครั้งที่ 11 และ 12 การเลือกตั้งภายใต้บทเฉพาะกาลดังกล่าวข้างต้นนี้ สะท้อนว่ากลุ่มบุคคลที่กุมอำนาจต้องการจะใช้การเลือกตั้งเป็น เครอ่ื งมอื สรา้ งความชอบธรรมใหก้ บั ตวั เองและอำนาจทย่ี ดึ มาได้ การเลือกตั้งครั้งนี้ มีผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 21,283,790 คน มีผู้มาใช้ สิทธิเลือกตั้ง 9,344,045 คน คิดเป็นร้อยละ 43.90 มีผู้แทน- ราษฎร 301 คน (นิยม รัฐอมฤต, 2549, น.80-81) สำหรับผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ของจังหวัดน่านในการเลือกตั้งครั้งที่ 12 คือ นายคำรณ ณ ลำพูน ซึ่งเป็นการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมัยแรก โดยลงสมัครเลือกตั้งในนามพรรคประชาธิปัตย์ และ นายสุชาติ คำนันท์ ซึ่งเป็นการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรสมัยเดียว ลงสมัครเลือกตั้งในนามพรรคชาติไทย 60
บทวิเคราะห์ การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดน่าน ครั้งท่ี 13 เมื่อวันท่ี 18 เมษายน 2526 จัดขึ้นในช่วงที่ใช้บทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521 ที่กำหนดให้การเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรโดยวิธีรวมเขตผสมแบ่งเขต (จังหวัด) ตามกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้ง และยังไม่ให้นำวิธีการเลือกตั้ง แบบรวมเขต (จังหวัด) เลือกบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองจัดส่ง สมัคร (นิยม รัฐอมฤต, 2549, น.80-81) การเลือกตั้งครั้งนี้จึงเป็นการเลือกตั้งระบบแบ่งเขตผสม รวมเขต (จังหวัด) ถือเกณฑ์ราษฎร 150,000 คน โดยประมาณ ต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 1 คน ได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 324 คน และพรรคการเมืองแต่ละพรรคจะต้องส่งสมาชิก เข้าสมัครรับเลือกตั้งไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรทั้งหมด ตามพระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ.2524 ซึ่งประกาศใช้เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2524 แต่ผู้สมัคร รับเลือกตั้งไม่จำเป็นต้องเป็นสมาชิกพรรคการเมือง เพราะเป็น การเลือกตั้งที่อยู่ในช่วงที่ใช้บทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521 ผู้มีสิทธิเลือกตั้งครั้งนี้มีจำนวน 24,224,470 คน มีผู้มาใช้ สิทธิเลือกตั้ง 12,295,339 คน คิดเป็นร้อยละ 50.76 จากการที่ บ ท เ ฉ พ า ะ ก า ล ข อ ง ร ั ฐ ธ ร ร ม นู ญ แ ห ่ ง ร า ช อ า ณ า จ ั ก ร ไ ท ย พุทธศักราช 2521 จะสิ้นสุดในวันที่ 21 เมษายน 2526 สมาชิก สภาผู้แทนราษฎรจะต้องสังกัดพรรคการเมืองมิเช่นนั้นจะต้อง 61
นักการเมืองถ่ินจังหวัดน่าน พ้นจากสมาชิกภาพ เป็นผลให้พรรคการเมืองที่มีสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรในสังกัดมีจำนวน 9 พรรค ภายหลังการเลือกตั้งพรรคการเมืองหลายพรรคให้การ สนับสนุน พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี โดยมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง พลเอกเปรม ติณสลู านนท์ เป็นนายกรัฐมนตรีในวันที่ 30 เมษายน 2526 สำหรับผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ของจังหวัดน่านในการเลือกตั้งครั้งที่ 13 คือ นายสมชาย โลหะโชติ ซึ่งเป็นการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมัยที่ 3 โดยลงสมัครเลือกตั้งในนามพรรคชาติไทย, นายวัลลภ สุปริยศิลป์ ซึ่งเป็นการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมยั แรก ลงสมคั รเลือกต้ังในนามพรรคกจิ สงั คม และนายคำรณ ณ ลำพูน ซึ่งเป็นการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมัยที่ 2 ลงสมัครเลือกตั้งในนามพรรคประชาธิปัตย์ การเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดน่าน ครั้งที่ 14 เม่ือวันท่ี 27 กรกฎาคม 2529 เป็นการเลือกตั้งแบบผสมระหว่างการแบ่งเขตและ รวมเขตเลือกตั้ง จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้คำนวณ ตามเกณฑ์ประชากรของจังหวัด 150,000 คนต่อสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร 1 คน (นิยม รัฐอมฤต, 2549, น.82-83) การเลือกตั้งครั้งนี้มีผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 26,224,305 คน มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง 16,070,957 คน คิดเป็นร้อยละได้เท่ากับ 61.43 มีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 347 คน พรรค 62
บทวิเคราะห์ การเมืองที่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งมีทั้งหมด 16 พรรค ได้รับ เลือกตั้ง 15 พรรค ภายหลังการเลือกตั้งพรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย พรรคกิจสังคม และพรรคราษฎร ได้ร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล โดย พรรคการเมืองส่วนใหญ่สนับสนุนให้ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี สำหรับผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ของจังหวัดน่านในการเลือกตั้งครั้งที่ 14 คือ นายเดช วงศ์เทพ ซึ่งเป็นการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยแรก โดยลงสมัครเลือกตั้งในนามพรรคสหประชาธิปไตย, นายคำรณ ณ ลำพูน ซึ่งเป็นการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมัยที่ 3 ลงสมัครเลือกตั้งในนามพรรคประชาธิปัตย์ และ นางสาวพูนสุข โลหะโชติ เป็นการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรสมัยแรก ลงสมัครเลือกตั้งในนามพรรคชาติไทย การเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดน่าน ครั้งท่ี 15 เม่ือวันที่ 24 กรกฎาคม 2531 จัดขึ้นโดยใช้ระบบการเลือกตั้งแบบผสมระหว่างการ แบ่งเขตและรวมเขต ถือเกณฑ์ประชากรในจังหวัด 150,000 คน ต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร1คน มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 357 คน จำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 26,658,638 คน มีผู้มาใช้สิทธิ เลือกตั้ง 16,944,931 คน คิดเป็นร้อยละ 63.56 พรรคการเมือง ที่ส่งสมาชิกลงสมัครเลือกตั้งมีทั้งหมด 19 พรรค ได้รับเลือกตั้ง 15 พรรค (นิยม รัฐอมฤต, 2549, น.83) 63
นักการเมืองถ่ินจังหวัดน่าน หลังการเลือกตั้ง พลเอกเปรม ประกาศไม่รับตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีอีกต่อไป วันที่ 4 สิงหาคม 2531 มีพระบรม- ราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี ประกอบด้วยพรรคการเมือง 6 พรรค คือ พรรคชาติไทย พรรคกิจสังคม พรรคประชาธิปัตย์ พรรคราษฎร พรรคสหประชาธิปไตย และพรรคมวลชนสภา ผู้แทนราษฎรชุดนี้สิ้นสุดโดยการยึดอำนาจการปกครองประเทศ ของคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 สำหรับผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ของจังหวัดน่านในการเลือกตั้งครั้งที่ 15 คือ นางสาวพูนสุข โลหะโชติ เป็นการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมัยที่ 2 ลงสมัครเลือกตั้งในนามพรรคชาติไทย, นายวัลลภ สุปริยศิลป์ ซึ่งเป็นการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมัยที่ 2 ลงสมัครเลือกตั้งในนามพรรครวมไทยต่อมาได้มีการ ยุบรวมกันเป็นพรรคเอกภาพ และนายเดช วงศ์เทพ ซึ่งเป็น การดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยที่ 2 โดยลง สมัครเลือกตั้งในนามพรรครวมไทยต่อมาได้มีการยุบรวมกัน เป็นพรรคเอกภาพ การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดน่าน คร้ังท่ี 16 เมื่อวันท่ี 22 มีนาคม 2535 จัดขึ้นภายใต้บทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร ไทย พุทธศักราช 2534 กำหนดให้รัฐสภามีสองสภา คือ 64
บทวิเคราะห์ วุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร โดยวุฒิสภาประกอบด้วย สมาชิก 270 คน สภาผู้แทนราษฎร ประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 360 คน สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีกำหนด คราวละ 4 ปี (นิยม รัฐอมฤต, 2549, น.84-85) การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งในระบบผสมการ แบ่งเขตและรวมเขต (จังหวัด) เหมือนที่เคยปฏิบัติมา จำนวน ผู้มีสิทธิเลือกตั้งครั้งนี้มี 32,436,283 คน ผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง 19,216,466 คน คิดเป็นร้อยละเท่ากับ 59.35 พรรคการเมือง ที่ส่งสมาชิกลงรับสมัครเลือกตั้งมีทั้งหมด 15 พรรค มีพรรคที่ได้รับเลือกตั้ง 11 พรรค หลังเลือกตั้ง มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง พลเอกสุจินดา คราประยูร เป็นนายกรัฐมนตรีในวันที่ 7 เมษายน 2535 ภายใต้การสนับสนุนของพรรคสามัคคีธรรม พรรคชาติไทย พรรคกิจสังคม พรรคประชากรไทย และพรรค ราษฎร วันที่ 24 พฤษภาคม 2535 พลเอกสุจินดา คราประยูร ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ภายหลังเกิดเหตุการณ์ ไม่สงบขึ้นที่ถนนราชดำเนิน ระหว่างวันที่ 17-20 พฤษภาคม 2535 อันเนื่องมาจากการเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีมาจากการ เลือกตั้งและเรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ วันที่ 10 มิถุนายน 2535 มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง นายอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี ร่วมคณะ 25 คน คณะรัฐมนตรีชุดนี้แต่งตั้งขึ้นมาเพื่อแก้ไข สถานการณ์บ้านเมืองภายหลังที่เกิดเหตุการณ์พฤษภา- 65
นักการเมืองถิ่นจังหวัดน่าน มหาวิปโยค โดยได้ทำการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ตามความ ต้องการของประชาชน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้สิ้นสุดโดยการยุบสภา ผู้แทนราษฎร ในวันที่ 30 มิถุนายน 2535 เนื่องมาจากการ สืบทอดอำนาจของคณะรสช. ซึ่งทำให้เกิดวิกฤติทางการเมือง อย่างรุนแรง จากเหตุการณ์ในเดือน พฤษภาคม 2535 โดยมี การเรียกร้องให้พลเอกสุจินดา คราประยูร ลาออกจากการเป็น นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น และได้มีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง นายอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อให้มีการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีเป็นการเฉพาะกิจ เพื่อจะได้ใช้ กระบวนการทางรัฐสภาและรัฐธรรมนูญคืนอำนาจให้กับ ประชาชน เมื่อรัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภาแล้ว จึงประกาศ ยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ สำหรับผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ของจังหวัดน่านในการเลือกตั้งครั้งที่ 16 คือ พล.อ.สนั่น เศวตเศรนี ซึ่งเป็นการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมัยแรก โดยลงสมัครเลือกตั้งในนามพรรคความหวังใหม่, นางสาวพูนสุข โลหะโชติ เป็นการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรสมัยที่ 3 ลงสมัครเลือกตั้งในนามพรรคชาติไทย และนายวัลลภ สุปริยศิลป์ ซึ่งเป็นการดำรงตำแหน่งสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรสมัยที่ 3 ลงสมัครเลือกตั้งในนามพรรค สามัคคีธรรม 66
บทวิเคราะห์ การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดน่าน ครั้งท่ี 17 เม่ือวันท่ี 13 กันยายน 2535 จัดขึ้นภายใต้รัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534 ที่แก้ไขเพิ่มเติม ยังคงให้รัฐสภาประกอบด้วย 2 สภา เช่นเดิม คือ วุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร แต่ให้สภา ผู้แทนราษฎรเป็นสภาที่มีอำนาจแต่งตั้งและถอดถอนฝ่าย บริหารแต่เพียงสภาเดยี ว และใหว้ ุฒสิ ภามหี นา้ ทเี่ พียงกลน่ั กรอง กฎหมายเป็นสำคัญ (นิยม รัฐอมฤต, 2549, น.85-86) สภาผู้แทนราษฎร ประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 360 คน ซึ่งประชาชนเลือกตั้งเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2535 ในระบบผสม การแบ่งเขตและรวมเขตจังหวัด การเลือกตั้งครั้งนี้มีผู้มีสิทธิ เลือกตั้ง 31,860,156 คน มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง 19,622,332 คน คิดเป็นร้อยละ 61.59 ภายหลังการเลือกตั้งพรรคประชาธิปัตย์ได้ สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรมากที่สุด ได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลผสม 5 พรรค คือ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคความหวังใหม่ พรรค พลังธรรม พรรคกิจสังคมและพรรคเอกภาพโดยมีพระบรม- ราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง นายชวน หลีกภัย หัวหน้าพรรค ประชาธิปัตย์ เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2534 สำหรับผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ของจังหวัดน่านในการเลือกตั้งครั้งที่ 17 คือ นายพงษ์พัฒน์ ธรี ประเทอื งกลุ ซง่ึ เปน็ การดำรงตำแหนง่ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร เพียงสมัยเดียว โดยลงสมัครเลือกตั้งในนามพรรคพลังธรรม, 67
นักการเมืองถิ่นจังหวัดน่าน นายคำรณ ณ ลำพูน ซึ่งเป็นการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรสมัยที่4ลงสมัครเลือกตั้งในนามพรรคประชาธิปัตย์ และนางสาวพูนสุข โลหะโชติ เป็นการดำรงตำแหน่งสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรสมัยที่ 4 ลงสมัครเลือกตั้งในนามพรรค ชาติไทย การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดน่าน คร้ังที่ 18 เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2538 จัดขึ้นในช่วงการใช้รัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 5) พุทธศักราช 2538 โดยกำหนดให้ใช้ระบบสองสภาเหมือนเดิม คือ วุฒิสภา และ สภาผู้แทนราษฎร (นิยม รัฐอมฤต, 2549, น.86-87) วุฒิสภาให้ประกอบด้วยสมาชิกที่มาจากการแต่งตั้ง มีจำนวน 2 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แทนที่ จะเป็นการกำหนดจำนวนสมาชิกตายตัวไว้ที่ 270 คน เหมือน เมื่อก่อน มีการแก้ไขเพิ่มเติม ครั้งที่ 5 (พ.ศ.2538) สภาผู้แทนราษฎร ประกอบด้วยสมาชิกที่มาจากการ เลือกตั้งโดยระบบผสมการแบ่งเขตและรวมเขตเลือกตั้งในแต่ละ จังหวัด โดยถือจำนวนประชากร 150,000 คนโดยประมาณ ต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 1 คน เป็นเกณฑ์กำหนดจำนวน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในสภาผู้แทนราษฎร เดิมก่อนการ แก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 5 (พ.ศ.2538) กำหนดตายตัวไว้ที่ 360 คน การเลือกตั้งครั้งนี้ มีผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 37,817,983 คน มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง 23,462,746 คน คิดเป็นร้อยละ 62.04 68
บทวิเคราะห์ ได้ผู้แทนราษฎรทั้งสิ้น 391 คน พรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัครรับ เลือกตั้งมีทั้งหมด 14 พรรค ได้รับเลือก 11 พรรค หลังการเลือกตั้ง ในวันที่ 13 กรกฎาคม 2538 มีพระบรม- ราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นรัฐบาลที่ประกอบ ด้วยพรรคการเมือง 7 พรรค คือ พรรคชาติไทย ความหวังใหม่ พลังธรรม กิจสังคม ประชากรไทย นำไทยและมวลชน สำหรับผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ของจังหวัดน่านในการเลือกตั้งครั้งที่ 18 คือ พล.อ.สนั่น เศวตเศรนี ซึ่งเป็นการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมัยที่ 2 โดยลงสมัครเลือกตั้งในนามพรรคชาติไทย, นายคำรณ ณ ลำพูน ซึ่งเป็นการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมัยที่ 5 ลงสมัครเลือกตั้งในนามพรรคประชาธิปัตย์ และ นายวัลลภ สุปริยศิลป์ ซึ่งเป็นการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรสมัยที่ 4 ลงสมัครเลือกตั้งในนามพรรคชาติไทย การเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดน่าน คร้ังที่ 19 เมื่อวันท่ี 17 พฤศจิกายน 2539 จัดขึ้นในช่วงการใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534 แก้ไขเพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 5) พุทธศักราช พ.ศ.2538 เช่นเดียวกันกับการเลือกตั้งครั้งที่ 18 (นิยม รัฐอมฤต, 2549, น.87-88) 69
นักการเมืองถ่ินจังหวัดน่าน การเลือกตั้งครั้งนี้ มีผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 37,817,983 คน มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง 23,462,746 คน คิดเป็นร้อยละ 62.04 ได้ผู้แทนราษฎรทั้งสิ้น 391 คน พรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัครรับ เลือกตั้งมีทั้งสิ้น 14 พรรค ได้รับเลือก 11 พรรค ภายหลังการเลือกตั้งพรรคความหวังใหม่ได้ ส.ส. มากที่สุดจึงเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลผสมระหว่าง 6 พรรคการเมือง คือ พรรคความหวังใหม่ พรรคชาติพัฒนา พรรคกิจสังคม พรรคประชากรไทย พรรคเสรีธรรม และพรรค มวลชน โดยมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง พลเอก ชวลติ ยงใจยุทธ หัวหน้าพรรคความหวงั ใหม่ เปน็ นายกรฐั มนตรี เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2539 สำหรับผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ของจังหวัดน่านในการเลือกตั้งครั้งที่ 19 คือ นายคำรณ ณ ลำพูน ซึ่งเป็นการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยที่ 6 ลงสมัครเลือกตั้งในนามพรรคประชาธิปัตย์, นายวัลลภ สุปริยศิลป์ ซึ่งเป็นการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมัยที่ 5 ลงสมัครเลือกตั้งในนามพรรคชาติพัฒนา และนางสาว พูนสุข โลหะโชติ เป็นการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรสมัยที่ 5 ลงสมัครเลือกตั้งในนามพรรคชาติไทย การเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดน่าน ครั้งท่ี 20 เม่ือวันที่ 6 มกราคม 2544 การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 20 ถึง ครั้งที่ 22 จัดขึ้นภายใต้บทบัญญัติรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย 70
บทวิเคราะห์ พุทธศักราช 2540 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญที่เกิดจากการปฏิรูป การเมืองที่ต้องการให้การเมืองใสสะอาด รัฐบาลเข้มแข็ง มีเสถียรภาพ ประชาชนมีส่วนร่วม ประเทศชาติมีประชาธิปไตย และกำหนดให้รัฐสภาประกอบด้วย วุฒิสภาและสภาผู้แทน ราษฎร วุฒิสภาประกอบด้วยสมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้ง จำนวน 200 คน สภาผู้แทนราษฎร ประกอบด้วยสมาชิก จำนวน 500 คน โดยเป็นสมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งตามระบบบัญชี รายชื่อ จำนวน 100 คน และระบบแบ่งเขต จำนวน 400 คน (นิยม รัฐอมฤต, 2549, น.88-89) การเลือกตั้งครั้งนี้ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประกาศผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบ แบ่งเขตเลือกตั้ง จำนวน 338 คน และไม่ประกาศรับรองอีก 62 คน คณะกรรมการการเลือกตั้งจึงได้กำหนดให้มีการเลือกตั้ง รอบสองในวันที่ 29 มกราคม 2544 ผลการเลือกตั้งมีผู้ได้รับการ เลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งเพิ่มอีก 61 คน และในวนั ท่ี 1 กมุ ภาพนั ธ์ 2544 คณะกรรมการการเลอื กตง้ั ได้กำหนดให้มีการเลือกตั้งรอบที่สามที่จังหวัดนครนายก จำนวน 1 คน ส่วนผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ประกาศรายชื่อ พรรคการเมือง และรายชื่อผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ จำนวน 100 คน เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2544 มีพรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง มีทั้งหมด 43 พรรค ได้รับเลือก 9 พรรค พรรคไทยรักไทย ซึ่งได้ 71
นักการเมืองถ่ินจังหวัดน่าน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมากที่สุด ได้เป็นแกนนำในการจัดตั้ง รัฐบาลผสมระหว่าง 3 พรรคการเมือง คือ พรรคไทยรักไทย พรรคชาตไิ ทย และพรรคความหวงั ใหม่ โดยมพี ระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรค ไทยรักไทย เป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2544 สำหรับผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ของจังหวัดน่านในการเลือกตั้งครั้งที่ 20 คือ นายคำรณ ณ ลำพูน ซึ่งเป็นการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยที่ 7 ลงสมัครเลือกตั้งในนามพรรคประชาธิปัตย์, นายชลน่าน ศรีแก้ว ซึ่งเป็นการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมัยแรก ลงสมัครเลือกตั้งในนามพรรคไทยรักไทย และนาย วัลลภ สุปริยศิลป์ ซึ่งเป็นการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรสมัยที่ 6 ลงสมัครเลือกตั้งในนามพรรคไทยรักไทย การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดน่าน ครั้งท่ี 21 เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2548 จัดขึ้นเนื่องจากอายุของสภาผู้แทนราษฎรก่อนหน้านี้สิ้น สุดลงตามวาระ 4 ปี ในวันที่ 5 มกราคม 2548 จึงได้มีประกาศ พระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นการทั่วไปในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2548 มีผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 44,572,101 คน มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ 32,341,330 คน คิดเป็นร้อยละ 72.56 แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง 32,337,611 คิดเป็นร้อยละ 72.55 (นิยม รัฐอมฤต, 2549, น.89- 90) 72
บทวิเคราะห์ วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2548 คณะกรรมการการเลือกตั้ง ได้ประกาศรับรองผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อจำนวน 100 คน และแบ่งเขตเลือกตั้ง จำนวน 210 คน และ คณะกรรมการการเลือกตั้งได้มีมติประกาศให้มี การเลือกตั้งใหม่ในเขตเลือกตั้งที่ 3 จังหวัดอุบลราชธานีและ จังหวัดกาญจนบุรี ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2548 วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2548 คณะกรรมการการเลือกตั้ง ได้ประกาศรับรองผลการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งอีก 190 คน ทำให้มีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครบ 500 คน พรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งมีทั้งหมด 20 พรรคได้รับ เลือก 4 พรรค ได้แก่ พรรคไทยรักไทย พรรคประชาธิปัตย์ พรรค ชาติไทย และพรรคมหาชน หลังการเลือกตั้ง สภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติเลือก พนั ตำรวจโททกั ษณิ ชนิ วตั ร หวั หนา้ พรรคไทยรกั ไทย เปน็ นายก- รัฐมนตรี และมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งใน วันเดียวกัน คือ วันที่ 9 มีนาคม 2548 สำหรับผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ของจังหวัดน่านในการเลือกตั้งครั้งที่ 21 คือ นางสิรินทร รามสูต ซึ่งเป็นการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยแรก , นายชลน่าน ศรีแก้ว ซึ่งเป็นการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรสมัยที่ 2 และนายวัลลภ สุปริยศิลป์ ซึ่งเป็นการดำรง ตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยที่ 7 สมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรทั้ง 3 ลงสมัครเลือกตั้งในนาม พรรคไทยรักไทย 73
นักการเมืองถ่ินจังหวัดน่าน การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดน่าน คร้ังที่ 22 เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2549 จัดขึ้นเนื่องจากการขายหุ้นบริษัท แอมเพิล ริช ในเครือ ชินคอร์ป ให้กับบริษัทเทมาเส็คของรัฐบาลสิงคโปร์ เป็นเงิน 73,300 ล้านบาท เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2549 ทำให้เกิดการ กล่าวหาว่านายกรัฐมนตรีทักษิณ ซุกหุ้นภาคสองและขายทรัพย์ สินโดยหลีกเลี่ยงภาษี อันเป็นประเด็นเกี่ยวกับจริยธรรม และ ผลประโยชน์ทับซ้อน นำไปสู่การชุมชนประท้วงอย่างยืดเยื้อ โดยที่นายกรัฐมนตรีทักษิณ ก็ไม่สามารถชี้แจงทำความกระจ่าง ให้กับประชาชนให้หายคลางแคลงใจโดยเฉพาะกับพันธมิตร ประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งมีนายสนธิ ลิ้มทองกุล พลตรี จำลอง ศรีเมืองและผู้นำขวบวนการประชาชนอื่นๆ เป็นแกนนำ (นิยม รัฐอมฤต, 2549, น.90-92) นอกจากนี้ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยกำหนด จะประชุมต่อต้านพันตำรวจโททักษิณ ครั้งใหญ่ โดยมีนายสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นผู้นำขบวนในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2549 และยังมี กำหนดการเปิดอภิปรายทั่วไปของสองสภาโดยไม่มีการลงมติ ไม่ไว้วางใจที่รัฐบาลเป็นฝ่ายเสนอตามมาอีกด้วย เพื่อแก้ปัญหา ชุมชนประท้วงใหญ่และปัญหาอื่นที่อาจจะเกิดตามมาอีก มากมาย นายกรฐั มนตรที กั ษณิ จงึ ตดั สนิ ใจยบุ สภาผแู้ ทนราษฎร เพื่อแก้ปัญหาที่รุมเร้า ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2549 โดยอ้างว่า เป็นการคืนอำนาจตัดสินใจให้ประชาชน และจัดให้มีการ เลือกตั้งใหม่ แต่ปรากฏว่าพรรคฝ่ายค้าน ได้แก่ พรรคประชา- ธิปัตย์ พรรคชาติไทย และพรรคมหาชน ไม่ยอมเล่นเกมเลือกตั้ง 74
บทวิเคราะห์ ใหม่ของรัฐบาล จึงเกิดการประท้วง ด้วยการไม่ส่งสมาชิกลง สมัครรับเลือกตั้ง ทำให้เกิดปัญหาในหลายเขตเลือกตั้งมีผู้สมัคร รับเลือกตั้งเพียงคนเดียว พรรคเดียว ถึง 281 เขต จากทั้งหมด 400 เขต และหลายเขตเลือกตั้งผู้สมัครขาดคุณสมบัติโดย เฉพาะอย่างยิ่งเป็นสมาชิกพรรคไม่ครบ 90 วัน หรือเป็นผู้ถูกตัด สิทธิในการสมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด ทำให้ไม่มีผู้สมัครในเขตเลือกตั้ง คือ สมุทรสาคร และนนทบุรี ทำให้การเลือกตั้งได้ สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรไม่ครบ 500 คน และผู้ได้รับเลือกตั้งจำนวนมากได้ คะแนนน้อยกว่าคะแนนไม่เลือกผู้ใดซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่ เคยปรากฏมาก่อน คณะกรรมการการเลือกตั้งต้องจัดการ เลือกตั้งใหม่เพิ่มเติม ในวันอาทิตย์ที่ 23 เมษายน 2549 ถึง 39 เขต ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเขตเลือกตั้งในจังหวัดภาคใต้ เช่น สงขลา ปัตตานี นครศรีธรรมราช กระบี่ แต่ก็ยังได้ สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรไม่ครบจำนวน คณะกรรมการการเลือกตั้ง ต้องกำหนดให้จัดการเลือกตั้งเพิ่มเติมเป็นครั้งที่ 2 ในวันที่ 29 เมษายน 2549 อีก จำนวน 14 เขต ความวุ่นวายดูท่าจะไม่สิ้นสุดง่ายๆ ในที่สุด เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2549 ได้มีพระราชดำรัสในโอกาสที่ประธานศาล ปกครองสูงสุดนำตุลาการศาลปกครองสูงสุด และประธานศาล ฎีกานำผู้พิพากษาประจำศาล เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท เพื่อ ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับตำแหน่งหน้าที่ ให้ศาลในฐานะ เป็นองค์กรที่ใช้อำนาจอธิปไตยองค์กรหนึ่งช่วยแก้ปัญหา การเลือกตั้ง ต่อมาศาลปกครองกลางได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2549 ระงับการเลือกตั้งเพิ่มเติมครั้งที่ 2 วันที่ 29 75
นักการเมืองถิ่นจังหวัดน่าน เมษายน 2549 และศาลรัฐธรรมนูญได้ตัดสินชี้ขาดคดีที ่ ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2549 ว่า การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2549 เป็นการเลือกตั้งที่ไม่ชอบ ด้วยรัฐธรรมนูญ ด้วยเหตุผลว่า แม้พระราชบัญญัติยุบสภา ผู้แทนราษฎรจะตราขึ้นตามรัฐธรรมนูญ และคณะกรรมการ การเลือกตั้ง ซึ่งเป็นองค์กรที่รัฐธรรมนูญให้อำนาจในการจัดการ เลือกตั้งจะดำเนินการเลือกตั้งไปตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ที่เกี่ยวข้อง แต่ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในการเลือกตั้ง ทำให้เกิดผล ของการเลือกตั้งที่ไม่เที่ยง ไม่ได้ผู้แทนปวงชนอย่างแท้จริง อนั นำไปสกู่ ารเลอื กตง้ั ไมช่ อบตามรฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั ร ไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 1,2,3 และ 144 วรรค 1 ในอีกประเด็นหนึ่งที่ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยว่า การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วไปเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2549 ไมช่ อบดว้ ยรฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช 2540 คือ ประเด็นการจัดคูหาลงคะแนนโดยให้ผู้มาใช้สิทธิ หันหลังให้กรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง คือ “การจัดคูหา ในลักษณะดังกล่าวทำให้การลงคะแนนเลือกตั้งไม่เป็นไปโดย ลับตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 104 วรรค 3 และทำให้เกิดผลของการเลือกตั้งที่ไม่ เป็นธรรม ไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง จึงเป็นการเลือกตั้ง ที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ” สำหรับผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ของจังหวัดน่านในการเลือกตั้งครั้งที่ 22 คือ นางสิรินทร รามสูต ซึ่งเป็นการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยที่ 2 , 76
บทวิเคราะห์ นายชลน่าน ศรีแก้ว ซึ่งเป็นการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรสมัยที่ 3 และนายวัลลภ สุปริยศิลป์ ซึ่งเป็นการดำรง ตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยที่ 8 สมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรทั้ง 3 ลงสมัครเลือกตั้งในนามพรรคไทยรักไทย การเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดน่าน คร้ังที่ 23 เม่ือวันท่ี 23 ธันวาคม 2550 จัดขึ้นภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ วา่ ดว้ ยการเลอื กตง้ั สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรและสมาชกิ วฒุ สิ ภา พ.ศ.2550 ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้ถูกร่างขึ้นภายหลังจากการที่ พลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคณะรัฐประหารได้ยึดอำนาจ รัฐบาลพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 โดยใช้ชื่อว่าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) สภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ มี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 480 คน เป็นการเลือกตั้งแบบระบบบัญชีรายชื่อ (Party lists) จำนวน 80 คน และแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง (One man one vote) อีก 400 คน ภายใต้การกำกับดูแลและการจัดการเลือกตั้งของ สำนักงานคณะกรรมการเลือกตั้งหรือ กกต.เป็นการเลือกตั้ง โดยตรงจากประชาชน ภายหลังการเลือกตั้ง ส่งผลให้นายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชนเป็นนายกรัฐมนตรี ต่อมานายสมัคร สุนทรเวช ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสิ้นสภาพการเป็น 77
นักการเมืองถ่ินจังหวัดน่าน นายกรัฐมนตรี เนื่องมาจากการจัดรายการ “ชิมไป บ่นไป” และ “ยกโขยง หกโมงเช้า” วันที่ 17 กันยายน 2551 ได้มีการเปิดประชุมสภาผู้แทน ราษฎรขึ้น แล้วได้เสนอชื่อนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ส่งผลให้ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี แต่การขึ้นดำรง ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ในครั้งนี ้ ได้เป็นตัวจุดชนวนให้เกิดปัญหาทางการเมืองตามมา และ อีกฐานะหนึ่งเขาเป็น “น้องเขย” ของ พันตำรวจโททักษิณ ชนิ วตั ร ตอ่ มาศาลรฐั ธรรมนญู ไดม้ คี ำสง่ั ใหย้ บุ พรรคพลงั ประชาชน ในวันที่ 2 ธันวาคม 2551 ด้วยสาเหตุมาจากการทุจริตการ เลือกตั้งของ นายยงยุทธ ติยะไพรัช และมีคำสั่งให้ตัดสิทธิ ทางการเมืองของหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรค จนเป็นเหตุให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ต้องพ้นจากตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี วันที่ 15 ธันวาคม 2551 สภาผู้แทนราษฎรจึงได้มีการจัด ประชุมเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่อีกครั้ง ซึ่งเป็นนายก- รัฐมนตรีคนที่ 3 ภายใต้การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 23 ในการเลือกครั้งนี้ปรากฏว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้เป็นนายกรัฐมนตรี สภาผู้แทนราษฎรชุดนี้สิ้นสุดลงเนื่องจากมีพระราช- กฤษฎกี ายบุ สภาผแู้ ทนราษฎร พ.ศ.2554 เมอ่ื วนั ท่ี 10 พฤษภาคม 2554 สำหรับผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ของจังหวัดน่านในการเลือกตั้งครั้งที่ 23 คือ นางสิรินทร รามสูต 78
บทวิเคราะห์ ซึ่งเป็นการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยที่ 3, นายชลน่าน ศรีแก้ว ซึ่งเป็นการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรสมัยที่ 4 และนายวัลลภ สุปริยศิลป์ ซึ่งเป็นการดำรง ตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยที่ 9 สมาชิกสภาผู้แทน ราษฎร ทั้ง 3 ลงสมัครเลือกตั้งในนามพรรคพลังประชาชน การเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดน่าน ครั้งท่ี 24 เม่ือวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 จัดขึ้นภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 สภาผู้แทนราษฎรชุดนี้มีสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎร 500 คน เป็นการเลือกตั้ง ซึ่งแบ่งเป็นระบบบัญชีรายชื่อ (Party list) จำนวน 125 คน และแบบแบ่งเขตเลือกต้ัง (One man, one vote) อีก 375 คน ภายใต้การกำกับดูแลและการจัดการ เลือกตั้งของสำนักงานคณะกรรมการเลือกตั้งหรือ กกต. เป็นการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน ผลปรากฏว่าพรรคเพื่อไทยได้ที่นั่งสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรจำนวน 265 คน ส่งผลให้นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้สมัครระบบบัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 ของพรรคเพื่อไทย เป็น นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย สำหรับผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ของจังหวัดน่านในการเลือกตั้งครั้งที่ 24 คือ นางสิรินทร รามสูต ซึ่งเป็นการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยที่ 4, นายชลน่าน ศรีแก้ว ซึ่งเป็นการดำรงตำแหน่ง สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรสมัยที่ 5 และนายณัฐพงษ์ สุปริยศิลป์ ซึ่งเป็นการ 79
นักการเมืองถิ่นจังหวัดน่าน ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยแรก สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรทั้ง 3 ลงสมัครเลือกตั้งในนามพรรคเพื่อไทย การเมืองและนักการเมืองถิ่นจังหวัดน่านยุคแรก (พ.ศ.2475-2511) การเมืองในจังหวัดน่าน ยุค ชนช้ันนำ ทนายความ จงั หวดั นา่ นเปน็ จงั หวดั หนง่ึ ทม่ี ปี ระวตั ศิ าสตรอ์ นั ยาวนาน มีเจ้าผู้ครองนครน่าน ซึ่งมีการสืบทอดกันมาอย่างยาวนาน นับตั้งแต่ พ.ศ.1800 ถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ จนกระทั่งมีการ เปลี่ยนแปลงการปกครองไทยเข้ามาสู่ระบอบประชาธิปไตยใน พ.ศ.2475 ตำแหน่งเจ้าผู้ครองนครน่านจึงถูกยกเลิกไปเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ได้มีการปฏิวัติล้มล้างระบบการปกครอง สมบูรณาญาสิทธิราชย์ และได้สร้างระบบการปกครองแบบ ประชาธิปไตยซึ่งมีกษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญขึ้น ซึ่งพระบาท สมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2475 และมีการเลือกตั้งครั้งแรกเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2476 ลักษณะสำคัญของรัฐสภาในช่วงแรกๆ หาได้มีการ สอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตย เพราะแม้ว่าจะมีสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรประเภทที่หนึ่งมาจากการเลือกตั้งจาก ประชาชนโดยตรง แต่ก็ยังมีสมาชิกประเภทที่สองมาจากการ แต่งตั้ง ซึ่งสมาชิกประเภทที่สองไม่ต้องลาออกจากข้าราชการ จึงมีข้าราชการทหารและพลเรือนเป็นสมาชิกประเภทนี้ไม่น้อย 80
บทวิเคราะห์ ด้านการเมืองในจังหวัดน่านในช่วงยุคแรกนั้น ผู้ได้รับเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดน่านมักเป็นชนชั้นนำและ ผู้ประกอบอาชีพทางกฎหมายด้านทนายความ อีกทั้งมีความ เป็นอิสระจากพรรคการเมือง คือ ไม่ได้สังกัดพรรคการเมือง การเลือกตั้งครั้งแรกเป็นการเลือกตั้งโดยอ้อมสองชั้น คือ ประชาชนเลือกตัวแทนตำบล 1 คน และผู้แทนตำบลจึงมาเลือก ผู้แทนราษฎรอีกครั้งหนึ่ง จากการเลือกตั้งวิธีนี้ บุคคลที่มีโอกาส จะได้รับเลือกตั้งต้องเป็นชนชั้นนำของจังหวัด เพราะการทำ กิจกรรมทางการเมืองจำกัดอยู่ในคนกลุ่มเดียว การหาเสียง มีลกั ษณะถกู ชน้ี ำทางการเมอื งจากเจา้ หนา้ ท่รี ฐั เชน่ ผใู้ หญบ่ ้าน หรือกำนันภายในตำบลนั้นๆ โดยนักการเมืองถิ่นที่ได้รับเลือกตั้ง ทางออ้ มของจงั หวดั นา่ นในครง้ั น้ี ไดแ้ ก่ นายจำรสั มหาวงศน์ นั ทน์ ซึ่งนายจำรัส มหาวงศ์นันทน์ ได้สืบเชื้อสายมาจากผู้ครอง นครน่านในอดีต นามสกุล “มหาวงศ์นันทน์” เป็นนามสกุล พระราชทานโดยได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว สำหรับสภาผู้แทนราษฎรชุดแรกสิ้นสุดลงด้วยการหมด วาระในวันที่ 9 ธันวาคม 2480 จึงมีพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่หนึ่งขึ้นใหม่ ในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2480 เป็นการเลือกตั้งโดยตรงจาก ประชาชนเป็นครั้งแรก สำหรับบุคคลที่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรจังหวัดน่าน ยังคงเป็นนายจำรัส มหาวงศ์นันทน์ ซึ่งเป็นการได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัด 81
นักการเมืองถิ่นจังหวัดน่าน น่านในสมัยที่ 2 แต่ก็อยู่ได้ไม่นานเนื่องจากมีการยุบสภา ผู้แทนราษฎร นับเป็นการยุบสภาครั้งแรกในระบบรัฐสภาไทย ในสมัยพระยาพหลพลพยุหเสนา โดยมีพระราชกฤษฎีการยุบ สภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2481 และจัดให้มีการ เลือกตั้งใหม่เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2481 นายจำรัส มหาวงศ์- นันทน์ ยังคงได้รับการไว้วางใจจากประชาชนให้ดำรงตำแหน่ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นสมัยที่ 3 ภายหลังเลือกตั้ง จอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี หลังจากนั้นทหารเริ่มมีอำนาจมาก ขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2481 ถึงเดือนกรกฎาคม 2487 จอมพล ป. พิบูลสงคราม ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ห้าป ี หกเดอื น และมบี ทบาทสำคญั ในสรา้ งประวตั ศิ าสตรก์ ารเมอื งไทย ไว้อย่างมากมายในช่วงนั้นเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จอมพล ป.พิบูลสงครามได้ตัดสินใจผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง ที่ได้เข้าร่วมกับญี่ปุ่นพร้อมทั้งประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกา และอังกฤษ ทำให้ต้องเสียตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อ สงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดน่านครั้งที่ 4/1 จัดขึ้นเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2489 ในรัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ซึ่งสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ไม่นาน การเลือกตั้ง ครง้ั นห้ี า่ งจากการเลอื กตง้ั ครง้ั กอ่ นถงึ 7 ปเี ศษ สำหรบั นกั การเมอื ง ถิ่นที่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดน่าน ครั้งนี้คือ นายสมบูรณ์ บัณฑิต ซึ่งมีอาชีพทนายความเป็น นกั กฎหมาย และมกี ารเลอื กตง้ั ครง้ั ท่ี 4/2 เนอ่ื งจากมกี ารแบง่ เขต ใหม่ ทำให้ต้องมีการเลือกตั้งเพิ่มอีก 47 จังหวัด (รวมทั้งจังหวัด 82
บทวิเคราะห์ น่านด้วย) สำหรับผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรของจังหวัดน่านในการเลือกตั้งครั้งที่ 4/2 คือ นายมานพ ประทุมอิน ซึ่งมีอาชีพทนายความ จากการเลือกตั้ง ทั้งสองครั้ง จะเห็นได้ว่า ประชาชนจังหวัดน่านในสมัยนั้นได้ให้ ความสำคัญกับการทำหน้าที่ในรัฐสภาของสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรโดยเลือกคนที่มีความรู้ทางด้านนิติศาสตร์มาทำหน้าที่ ต่อมามีการรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน 2490 นำโดย หลวงกาจสงคราม และพลโทผิน ชุณหะวัณ การรัฐประหาร ครั้งนั้นส่งผลให้จอมพล ป.กลับเข้ามามีอำนาจอีกในเวลาต่อมา สำหรับการเลือกตั้งจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปภายใต้บทบัญญัติ รัฐธรรมนูญ(ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 โดยมีการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2491 สำหรับผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดน่านในการเลือกตั้งครั้งนี้คือ นายจำรัส มหาวงศ์นันทน์ กลับเข้ามาดำรงตำแหน่งสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรในสมัยที่ 4 และถือว่าเป็นการดำรงตำแหน่ง ครั้งสุดท้าย ต่อมาได้มีการรัฐประหาร 29 พฤศจิกายน 2494 กลุ่ม รัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาลและก่อตั้งคณะกรรมการบริหาร ชั่วคราวซึ่งประกอบด้วยสมาชิกคณะรัฐประหาร พร้อมกับ ล้มสภานิติบัญญัติทั้งสองสภา แล้วแต่งตั้งสภาใหม่เพื่อทำ หน้าที่สภานิติบัญญัติจำนวน 123 คน จนกว่าจะมีการเลือกตั้ง สมาชิกจำนวนเท่ากันเข้ามาภายใน 90 วัน พรรคการเมือง ถูกต้องห้าม สำหรับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรขึ้น ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2495 ผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา 83
นักการเมืองถิ่นจังหวัดน่าน ผู้แทนราษฎรของจังหวัดน่านในการเลือกตั้งนี้คือ นายประดิษฐ์ ณ น่าน ซึ่งนายประดิษฐ์ ณ น่าน สืบเชื้อสายมาจากผู้ครอง นครน่านในอดีต สำหรับนามสกุล “ณ น่าน” เป็นนามสกุล พระราชทานโดยได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงถือว่า นายประดิษฐ์ ณ น่าน เป็น ส.ส. ที่เป็นชนชั้นนำที่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรจังหวัดน่านอีกคนหนึ่งและได้อยู่จนหมดวาระ เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2500 สำหรับการเมืองไทยในขณะนั้นไม่มีอะไร เปลี่ยนแปลงมากนัก เพราะอำนาจส่วนใหญ่ยังอยู่ในมือของ ทหาร เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2500 ได้มีการเลือกตั้งภายใต้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2475 แก้ไข เพิ่มเติมพุทธศักราช 2495 พร้อมทั้งการประกาศใช้พระราช บัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ.2498 พรรคการเมืองจึงได้จัดตั้งขึ้น สำหรับการเลือกตั้งครั้งนี้ นายสมบูรณ์ บัณฑิต ได้รับเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในสมัยที่ 2 ในนามพรรค ชาติสังคมแล้วต่อมาได้ย้ายไปอยู่พรรคเสรีมนังคศิลา สภาชุดนี้ สิ้นสุดลงโดยการทำรัฐประหารโดย จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัตน์ เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2500 สาเหตุหรือข้ออ้างในการยึดอำนาจ คือประชาชนไม่พอใจรัฐบาลสืบเนื่องมาจากการเลือกตั้ง ที่สกปรก หลังจากการทำรัฐประหารในครั้งนั้น ส่งผลให้ จอมพล ป.หนีไปเขมร และต่อมาก็ขอลี้ภัยทางการเมืองใน ประเทศญี่ปุ่นจนกระทั้งอสัญกรรมที่นั้น 84
บทวิเคราะห์ หลังจากรัฐประหารจอมพลสฤษดิ์ไม่ได้เข้าครองอำนาจ โดยทันทีแต่ได้ให้นายพจน์ สารสินเป็นนายกรัฐมนตรีแต่เมื่อ ครบกำหนดเวลา 90 วัน นายพจน์ สารสิน ได้ขอลาออก ได้จัด ให้มีการเลือกตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2500 และพลโท ถนอม กิตติขจร ได้รับมอบหมายให้เป็นนายรัฐมนตรีแทน ต่อมานายสมบูรณ์ บัณฑิต กลับเข้ามาเป็นสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรของจังหวัดน่านอีกครั้ง โดยไม่มีการสังกัดพรรคการเมือง ใดๆ ภายหลังเลือกตั้งพลเอกถนอม กิตติขจร ได้เป็นนายก- รัฐมนตรี ขณะนั้นจอมพลสฤษดิ์ ไปรักษาร่างกายที่ประเทศ สหรัฐอเมริกา ท่ามกลางวิกฤติการณ์ทางการเมือง และความ ขัดแย้งต่อสู้กันในพรรคการเมืองที่ร่างกฎหมายของพลเอก ถนอม กิตติขจร และภายในกองทัพ ทำให้จอมพลสฤษดิ์ จึงกลับมายึดอำนาจอีกครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2501 โดยที่พลเอกถนอม ได้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพื่อ เข้าร่วมทำรัฐประหารด้วย รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2495 จึงถูกยกเลิก หลังจากนั้นประเทศไทยได้ถูก ปกครองโดยเผด็จการแบบพ่อขุนภายใต้การปกครองของ จอมพลสฤษดิ์ โดยมีผู้สืบทอดคือจอมพลถนอมกิตติขจรและ จอมพลประภาส จารุเสถียร (พ.ศ.2501-2516) หลังจากการยึดอำนาจ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัตน์ ได้ดำรง ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตั้งแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2502 ถึงวันที่ 8 ธันวาคม 2506 จนกระทั่งอสัญกรรม พลเอกถนอม กิตติขจร ยศในขณะนั้นได้สืบทอดอำนาจต่อและเป็นนายกรัฐมนตรี อีกประมาณ 6 ปี 85
จงึ ถูกยกเลกิ หลังจากน้ันประเทศไทยไดถ ูกปกครอง โดยเผด็จการแบบพอขุนภายใตการปกครองของ จอมพลสฤษดิ์ โดยมีผูสืบทอดคือจอมพลถนอมกิตติขจรและจอมพลประภาส จารุเสถียร( พ.ศ.2501- 2516) นักการเมืองหถล่ินังจจังาหกวกัดานรย่าดึนอ ํานาจ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัตน ไดด าํ รงตําแหนงนายกรัฐมนตรีต้ังแตวันที่ 9 กุมภาพนั ธ 2502 ถึงวันที่ 8 ธนั วาคม 2506 จนกระทั่งอสัญกรรม พลเอกถนอม กิตติขจร ยศในขณะ นัน้ ไดสืบทสอดำอหาํ นราจับตอกแาละรเเปมน นือายงกใรนัฐมยนุตครแอี กี รปกระมอาณาจ6จปะ สรุปเหตุการณ์ของ รัฐประหสาําหรรับกกาารรเมปืองรในะยกุคแารศก รอาัฐจจธะรสรรุปมเหนตูุกญารณกขาองรรเัฐลปรือะหการตกั้งารแปลระะกากศารัฐรธ รรมนูญ ขกาัดรเแลือยก้งตเ้ังปแล็นะกวางรขจัดรแอยงุบเปาน ทวงวจ์ดรอังบุ นาที้ควดือังน(ี้คลอื ิข(ลิติขิตธธีรีรเเววคคนิ ,ิน25,502,น5.51507,) น.157) รัฐประหาร วิกฤตการณ การปกครอง ในระบอบเผดจ็ การทหาร ขอ ขดั แยง การประกาศรฐั ธรรมนูญ การเลือกต้ัง กระบวนการทางรฐั สภา ภภาาพพจจะะเปเนปด็นังทด่ีเหัง็นทหี่เลหัง็จนากหท่ีมลีกังาจรราัฐปกรทะหี่มารีกสําาเรร็จรัฐหัวปหรนะาคหณาะปรฏสิวำัตเิกร็จ็จะปกครอง หอยัวพู หักหนน่งึ้าแลควณก็จะะมปีกาฏรปิวระัตกาิกศร็จัฐธะรปรมกนูญครเนอ่ืองงจอากยคู่วพามักกหดดนันทึ่งาแงกลาร้วเมกือ็จง แะลมวกีก็มีกาารรเลือกต้ัง ปอารจะจะกตคีาวศามรไัฐดวธา รเรปมน กนารูญทดลเอนงรื่อะบงอจบาปกระคชาวธาปิ ไมตยกหดรือดเปันน ทกาารยงอกมาจํารนเนมตืออรงะบแบทลเี่ ้ปวดกห็ ลังจาก มปจกกึงารรีกมระะเีกาบลชาือรวรากนทเตลธํากั้งริปืาอจัฐระปไกมทรตีกต้ัะงยหาหั้รงาหมปรรโอรดดะือสาชยั บุเมทจปรสหจัฐนา็นสะรภกซตกา่ึางรกีคะจรับบะวยรวันฐาอนบํ ามกมาไาลปไจรแดกสลำ็ูจวว้วนะิขกค่าอนฤรขบตตัเดวปกแ่องยาจ็นรงรระกณกแ็จบตทาะเบอํ ารกีกใิทดทไหขมีด่เรึ้นนปั ฐแลาบิดลนอะารไงะลหมบรปมลบะฏีทกังิบบา็จจงัะตอแาคิกกลบกไาาขรยไตทมัวําอไใหีกด กโดายกราเรลปืรอะกกาตศรั้งัฐธจระรมมนญูีกาการรปเลือรกะตชัง้ ุมกรระบัฐวสนกภาราทกางับรัฐรสัฐภาบขาอลขัดแแลยง้ววขิกฤ้อตขกัาดรแณยแล้งว นําไปสู กกา็จรระฐั เปกระิดหขารึ้นและไม่มีทางแก้ไข ทำให้กระบวนการทั้งหมดสับสน ซึ่งจะนำไปสู่วิกฤตการณ์ทำให้รัฐบาลปฏิบัติการไม่ได้ จึงมีการ ทำรัฐประหารโดยทหาร กระบวนการก็จะครบวงจร แต่อีก ไม่นานระบบก็จะคลายตัวอีก โดยการประกาศรัฐธรรมนูญ การเลือกตั้ง กระบวนการทางรัฐสภา ข้อขัดแย้ง วิกฤตการณ์ แล้วนำไปสู่การรัฐประหาร 86
บทวิเคราะห์ ภูมิหลังเครือข่ายทางการเมืองและกลวิธีการหาเสียง ของนักการเมืองยุคแรก สถิติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดน่าน ตั้งแต่ พ.ศ.2475-2511 พบว่าผู้ที่ได้รับเลือกตั้ง ส่วนใหญ่เป็น ชนชั้นนำ และผู้ประกอบอาชีพทนายความ สำหรับอาชีพอื่นๆ เช่น นักธุรกิจ ข้าราชการ ยังไม่ได้รับเลือกตั้งเข้ามา เนื่องจากใน ขณะนั้นมีผู้สนใจสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดน่าน น้อยมากเพียงแค่ 2-3 คนเท่านั้น สำหรับนักการเมืองถิ่นจังหวัด น่านยุคแรกได้แก่ 1. นายจำรัส มหาวงศ์นันทน์ นายจำรัส มหาวงศ์นันทน์เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คนแรกของจังหวัดน่าน ในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ.2476 และเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดน่าน 2 สมัยติดต่อกัน คือ จากการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 7 พฤศจกิ ายน 2480, วนั ท่ี 12 พฤศจกิ ายน 2481 สำหรบั การเลอื กตง้ั ครั้งที่ 4 นายจำรัส มหาวงศ์นันทน์ ไม่ได้รับการเลือกตั้งจึงเว้น วรรคทางการเมือง ต่อมา เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2491 จึงได้รับ การเลือกตั้งกลับเข้ามาอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งการเลือกตั้งทั้ง 4 ครั้ง ไม่ได้สังกัดพรรคการเมืองใด ประวัติ เครือข่ายและความสัมพันธ์ นายจำรัส มหาวงศ์นันทน์ เป็นบุตรของ เจ้าพระบริรักษ์ มีบุตรสาว 3 คน คือ นางดวงดารา มงคลวิสุทธิ์, นางสาวเทพ อำพร มหาวงศ์นันทน์และนางสุนันท์ ธุวนุช นายจำรัส มหา- 87
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189