100 ก า ร ว า ง ใ จ ใ น ก า ร เ จ ริ ญ ส ติ เรามีอารมณ์รุนแรงแต่สติยังอ่อน ก็จะรู้ประเด๋ียวเดียว แล้วอารมณ ์ ก็จะกลับมาท่วมใจ พอรู้ตัว ความโกรธก็หายไปอีก แต่หายไปได้ ประเด๋ียวเดียวก็กลับมาอีกเพราะสติดับไป อาการท่ีความโกรธกลับ มามันเรว็ มาก จงึ ดูเหมือนว่ามนั ตอ่ เน่อื งไม่ไดส้ ะดดุ หยุดหายไปเลย อีกเหตุผลหน่ึงก็คือ พอรู้ตัวว่าโกรธ จะมีความอยากเกิดข้ึน ตามมา นั่นคืออยากให้ความโกรธหายอยากกดข่มมัน ความอยาก กดขม่ นแ้ี หละทท่ี ำ� ใหจ้ ติ พลดั ไปตดิ อยใู่ นความโกรธ เพราะพอไปผลกั หรือกดข่มมัน ก็ติดกับดักมันทันที อย่าลืมว่าย่ิงผลักไสก็ย่ิงยึดติด ยง่ิ ไมช่ อบใครกย็ ง่ิ นกึ ถงึ คนนน้ั บอ่ ยๆ ดงั นน้ั การมสี ตริ วู้ า่ โกรธอยา่ งเดยี ว ยังไม่พอ ต้องรู้ทันความอยากกดข่มความโกรธด้วย คนส่วนใหญ่รู ้ วา่ โกรธ แตไ่ มร่ ูท้ ันความอยากกำ� จัดความโกรธ ไม่รู้ทนั โทสะทมี่ ตี อ่ ความโกรธ กเ็ ลยไมห่ ายโกรธเสยี ที ถา้ เราเจรญิ สตบิ อ่ ยๆ สตขิ องเรากจ็ ะมกี �ำลงั พอทจ่ี ะปลดเปลอ้ื ง ความโกรธหรือความทุกข์นั้นออกไปจากจิตใจได้ และเราก็จะรู้ว่า ทมี่ คี วามโกรธ เปน็ เพราะเราไปยดึ เอาไวด้ ว้ ยความลมื ตวั เพราะใจเรา เผลอคดิ เรอ่ื งอดตี ทผ่ี า่ นไปแลว้ แทนทจี่ ะปลอ่ ยใหม้ นั ผา่ นเลยไป กย็ งั ยดึ เอาไวไ้ มย่ อมปลอ่ ย ถา้ เราไมม่ สี ตหิ รอื ความรตู้ วั เราจะไมร่ เู้ ลยวา่
101 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล เรายดึ มนั เอาไว ้ ครน้ั พอเรามสี ต ิ รวู้ า่ เราไปยดึ เอาไว ้ กจ็ ะปลอ่ ยมนั ไป มผี หู้ ญงิ คนหนงึ่ พบวา่ สามขี องเธอนอกใจ หลงั จากใชช้ วี ติ รว่ มกนั มา ๑๐ กวา่ ป ี นกึ วา่ สามรี กั เธอ พอรวู้ า่ สามนี อกใจ กโ็ กรธมาก โกรธ อย่างรุนแรง รู้สึกเกลียดเขามาก สุดท้ายก็ต้องหย่ากันเธอโกรธอยู ่ ๓ วนั นกึ แปลกใจตวั เองวา่ ทำ� ไมโกรธไมน่ าน เลยคดิ วา่ คงเปน็ เพราะ เธอเคยปฏิบตั ิธรรมมาก่อน เวลาผ่านไป ๖ เดือน เธอไปเข้าคอร์ส ปฏิบัติธรรม ๘ วัน ๗ คืน ปรากฏว่าแค่ปฏิบัติวันแรก เธอก็รู้สึก รุ่มร้อนเพราะความโกรธกลับมา น่ังก็โกรธ เดินก็โกรธ ที่เคยคิดว่า ความโกรธหายไปแลว้ แตค่ วามจรงิ ไมใ่ ช ่ มนั ซอ่ นตวั อยขู่ า้ งใน อาจ เป็นเพราะก่อนหน้าน้ันเธอมีงานท�ำไม่หยุด ความโกรธก็เลยไม่ได ้ ช่องแสดงตัวออกมา แตพ่ อมาปฏบิ ัตธิ รรมไมม่ งี านให้จติ จดจอ่ มนั เลยไปขุดเอาเร่ืองเก่าๆ ท�ำให้หวนกลับไปนึกถึงเร่ืองในอดีต ย่ิงนึก ก็ยงิ่ โกรธที่อดตี สามที รยศเธอได้ เธอรมุ่ รอ้ นจนปฏบิ ตั แิ ทบไมไ่ ดต้ ลอด ๓ วนั วนั รงุ่ ขน้ึ มชี ว่ งหนงึ่ เธอเดนิ จงกรม เอามอื ประสานไวท้ ท่ี อ้ ง เดนิ เปน็ ชวั่ โมงแลว้ รสู้ กึ เมอ่ื ย มือ ก็เลยปล่อยมือลงปรากฏว่า พอปล่อยมือ รู้สึกสบายกายมาก ตอนนนั้ เองเธอกไ็ ดค้ ดิ วา่ ทกุ ขเ์ พราะยดึ พอปลอ่ ยกส็ บาย พอไดค้ ดิ เชน่ น ี้ เธอกร็ เู้ ลยวา่ ทท่ี กุ ขต์ ลอด ๓-๔ วนั กเ็ พราะยดึ เรอ่ื งอดตี สามี เอาไวน้ น่ั เอง พอรตู้ วั เชน่ น ี้ เธอกป็ ลอ่ ยเรอ่ื งอดตี ทง้ิ ทนั ท ี รสู้ กึ สบาย อยา่ งทไ่ี มเ่ คยเปน็ มากอ่ น เธอรำ� พงึ ในใจวา่ “แคป่ ลอ่ ย เรากไ็ มท่ กุ ข ์ อกี ตอ่ ไป”
102 ก า ร ว า ง ใ จ ใ น ก า ร เ จ ริ ญ ส ติ หญงิ ผนู้ เ้ี กดิ ปญั ญาทนั ทที ปี่ ลอ่ ยมอื เธอประจกั ษแ์ กใ่ จวา่ ทเ่ี ธอ ทกุ ขเ์ พราะไปยดึ เอาไว ้ เรอื่ งรา้ ยผา่ นไปแลว้ แตใ่ จไมย่ อมปลอ่ ยกลบั ไปยึดเอาไว้ ตอนที่ยึดนั้นไม่รู้ตัวหรอกว่ายึด ท้ังๆ ท่ีทุกข์เพราะยึด แต่ก็ยึดเอาไว้ไม่ยอมปล่อย น้ีก็เพราะไม่รู้ตัว แต่พอปล่อยมือรู้สึก สบายขน้ึ มากไ็ ดค้ ดิ เกดิ สตริ ตู้ วั มองเหน็ ความยดึ ตดิ พอรวู้ า่ ยดึ กว็ าง ทันที การรู้ตัวจึงมีพลังมาก แค่รู้เฉยๆ ไม่ต้องทำ� อะไร ความโกรธ ความทกุ ข์ก็หลดุ ไปเอง โดยไม่ต้องไปท�ำอะไรกบั มนั เลย ความรู้สึกตัวหรือ “ตัวรู้” น้ีมีพลังมาก เวลามารมาหลอกล่อ มารังควานผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ต้ังแต่พระพุทธเจ้าลงมาจนถึงพระ อัครสาวก และภิกษุภิกษุณีทั้งหลาย ท่านจะใช้วิธีนี้จัดการกับมาร ไมว่ า่ มารจะมาหลอกลอ่ ดว้ ยวธิ ใี ด เชน่ ยใุ หท้ งิ้ การปฏบิ ตั เิ พอ่ื ไปครอง ราชย์ หรือย่ัวยวนชวนให้สึก หรือหลอกให้กลัวด้วย ปลอมตัวเป็น สตั วร์ า้ ย หรอื มารงั ควาน เชน่ เขา้ มาสงิ ในทอ้ ง วธิ หี นงึ่ ทพี่ ระพทุ ธ- เจา้ ทรงแนะนำ� เพอื่ รบั มอื กบั มารกค็ อื ให ้ “รทู้ นั ” วา่ นเ้ี ปน็ อบุ ายของ มาร อย่างเช่น มารท�ำแผ่นดินไหว ท�ำให้พระรูปหน่ึงชื่อพระสมิทธิ ตกใจมาก ท้ิงการปฏิบัติไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้ารู้ว่าน้ีเป็น อุบายของมาร จึงทรงแนะน�ำพระสมิทธิให้บอกมารว่า “มารผู้มีใจ บาป เรารู้จักเจ้าแล้ว” พอพูดเช่นน้ีเท่าน้ัน มารยอมแพ้เลย ร�ำพึง ขึ้นมาว่า “พระสมิทธิรู้จักเราแล้ว” กับพระโมคคัลลานะก็เหมือนกัน มารมาสิงในท้องท่าน พอท่านรู้ท่านก็บอกมารว่า “มารผู้มีใจบาป เราร้จู กั เจา้ แลว้ ” เพียงเท่านม้ี ารก็หมดพิษสง หนอี อกไป
103 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล ค�ำว่า “รู้จักเจ้าแล้ว” คือรู้ว่ามารมาก่อกวน น้ีเป็นเพราะพลัง แห่งสติ เพียงแค่รู้ว่ามีส่ิงรบกวนใจหรืออารมณ์อกุศลเท่านั้น ยัง ไมต่ อ้ งไปทำ� อะไรมนั มนั กจ็ ะดบั ไปเอง จติ ละไดเ้ อง แตข่ อ้ สำ� คญั กค็ อื ต้องวางใจไว้ให้ดี ถ้าเราไปเพ่งหรือบังคับเม่ือไร สติก็จะไม่เกิดตัวรู้ ไม่ท�ำงานเพราะความอยากครอบง�ำจิต ต้องคลายความอยากลง ทส่ี ำ� คญั อกี อยา่ งคอื พยายามวางใจใหเ้ ปน็ กลาง ไมเ่ หวยี่ งไปทางใด ทางหน่ึง คอื เพ่งเข้าใน หรือ ส่งจติ ออกนอก การสง่ จติ ออกนอกจนลมื ตวั เปน็ ธรรมชาตขิ องจติ อยแู่ ลว้ หาก ไม่รู้จักการเจริญสติ แต่พอมาเจริญสติก็จะหันมาดูจิต แต่ถ้าตั้งใจ มากกจ็ ะกลายเปน็ เพง่ เขา้ ใน เชน่ ไปเพง่ ดคู วามคดิ หรอื ไปดกั ความคดิ เพือ่ ไมใ่ หค้ ิดฟงุ้ ซ่าน ถา้ ท�ำบ่อยๆ ก็จะเครยี ด บางคนก็ไปเพง่ ที่เท้า ที่มือ หรือที่ลมหายใจ ท�ำให้ไม่อาจรู้สึกตัวทั่วพร้อมได้เพราะจดจ่อ เปน็ จดุ ๆ ดงั นนั้ จะตอ้ งระวัง อยา่ ไปเพ่งเขา้ ใน การเจรญิ สต ิ ถา้ ทำ� ถกู จะรทู้ งั้ ขา้ งนอกและขา้ งใน รนู้ อกไมใ่ ช ่ สง่ จติ ออกนอกจนกไู่ มก่ ลบั สว่ นรใู้ นกไ็ มใ่ ชเ่ พง่ เขา้ ขา้ งใน รอู้ ย ู่ ตรง กลางๆ ทเ่ี รียกวา่ “ทางสายกลาง” นแ้ี หละดีทส่ี ดุ หลวงพอ่ คำ� เขยี นเลา่ วา่ สมยั ทที่ า่ นปฏบิ ตั ใิ หม ่ ทวี่ ดั ปา่ อทุ ยาน หลวงพ่อเทียนมักจะมาสอบอารมณ์เสมอ วันหนึ่งหลวงพ่อค�ำเขียน ปฏบิ ัตอิ ย่ใู นกุฏโิ ดยปดิ ประตเู อาไว้
104 ก า ร ว า ง ใ จ ใ น ก า ร เ จ ริ ญ ส ติ หลวงพอ่ เทยี นมายนื อยหู่ นา้ กฏุ แิ ลว้ ถามวา่ “กำ� ลงั ทำ� อะไรอย”ู่ หลวงพ่อคำ� เขยี นกต็ อบวา่ “กำ� ลังปฏบิ ตั ิอยูค่ รบั ” หลวงพ่อเทียนกถ็ ามอกี วา่ “ไม่ได้นอนนะ” หลวงพ่อค�ำเขยี นตอบวา่ “ไมไ่ ดน้ อนครับ” หลวงพอ่ เทยี นถามตอ่ ไปว่า “อย่ใู นหอ้ งนี ้ เห็นขา้ งนอกไหม” หลวงพอ่ คำ� เขยี นบอกวา่ “ไมเ่ ห็นครับ” หลวงพ่อเทียนถามวา่ “แลว้ ท�ำยังไงจึงจะเห็นขา้ งนอก” หลวงพ่อค�ำเขียนตอบว่า “ต้องเปดิ ประตูครบั ” พอเปิดประตูออกมา ทา่ นก็ถามต่อไปว่า “เหน็ ข้างในไหม” หลวงพ่อค�ำเขยี นตอบวา่ “เหน็ ครับ” หลวงพอ่ เทยี นถามอีกวา่ “เห็นขา้ งนอกไหม” หลวงพ่อค�ำเขียนตอบวา่ “เห็นครบั ” หลวงพ่อเทียนจึงพูดว่า “น่ันแหละอยู่ตรงนั้น ปฏิบัติอยู่ตรง นั้นแหละ” ทีแรก หลวงพ่อค�ำเขียนไม่เข้าใจ แต่ว่าพอปฏิบัติไปสักพัก กร็ วู้ า่ หลวงพอ่ เทยี นทา่ นมาแนะนำ� ใหว้ างใจใหเ้ ปน็ กลาง ไมเ่ พง่ เขา้ ใน เหมือนกับปิดประตูไว้จนมองไม่เห็นข้างนอก คือไม่รู้ว่ามีอะไรเกิด ขนึ้ รอบตวั เวลาเจรญิ สต ิ เราจงึ ควรวางใจใหเ้ ปน็ กลาง เพราะถา้ เพง่ เขา้ ใน เมอื่ ไร ใจอาจจะสงบ แตเ่ ปน็ ความสงบ เพราะไมไ่ ปรบั รอู้ ะไร เหมอื น กบั เกบ็ ตวั อยใู่ นหอ้ ง กร็ สู้ กึ ชอบ แตท่ จ่ี รงิ เพราะปดิ ใจไมใ่ หร้ บั รอู้ ะไร
105 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล ดงั นน้ั เวลาเจรญิ สต ิ เราไมไ่ ดท้ ำ� เพอ่ื ความสงบ แตเ่ พอ่ื สรา้ งความรตู้ วั รทู้ กุ อยา่ งทเี่ กดิ ขนึ้ กบั กายและใจ รโู้ ดยไมเ่ ลอื กทร่ี กั มกั ทช่ี งั ไมไ่ ดเ้ อา ความสงบ เพราะความสงบมันไม่จีรังย่ังยืน มันข้ึนกับสิ่งแวดล้อม แต่ถ้าเรารู้แล้ววางๆ ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน ก็สามารถสงบได้ทุกที่ ความรตู้ วั นแี้ หละทที่ ำ� ใหเ้ ราปลอ่ ยวางอารมณต์ า่ งๆ ทมี่ ากระทบ ไม ่ ยึดติดหรือปักตรึงอยู่กับสิ่งที่มากระทบ ท�ำให้ใจโปร่งเบา และเห็น ธรรมชาติของใจ ท�ำให้เกิดปัญญาหรือความสว่าง ไม่ใช่แค่สงบน้ัน อนั นเ้ี ปน็ หลักทเี่ ราต้องค�ำนงึ ไวเ้ สมอในการเจรญิ สติ การเจริญสติจึงเป็นการรักษาใจให้อยู่บนทางสายกลาง ทำ� ให้ เราไมข่ อ้ งแวะในทางสดุ โตง่ ทงั้ สองทาง ไมป่ ลอ่ ยใจลอยหรอื กดหา้ ม ความคิดไว้ ไม่ตามใจกิเลส หรือบังคับกดข่มอารมณ์ความรู้สึก วธิ กี ารเหลา่ นน้ั ไมใ่ ชท่ าง ถา้ เราวางใจใหอ้ ยตู่ รงกลางๆ สตจิ ะเตบิ โต ได้เร็วและท�ำให้เกิดปัญญาเห็นความจริงของกายของใจ ช่วยให้ใจ เปน็ อิสระจากความยึดตดิ ในสิ่งท้งั ปวงได้
107 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล ไม่เผลอไมเ่ พ่ง หลวงพ่อค�ำเขียนเคยเล่าให้ฟังว่า ตอนไปอบรมปฏิบัติธรรม ทว่ี ดั โมกข ์ มโี ยมคนหนง่ึ ตง้ั ใจปฏบิ ตั มิ าก ทำ� วตั รเชา้ ทำ� วตั รเยน็ ไมเ่ คย ขาด วันหน่ึงท่านไม่เห็นโยมคนนั้นมาท�ำวัตรเช้า ถึงเวลาทานข้าว ก็ไม่เห็นมา หลวงพ่อเลยแวะไปหาที่กุฏิของเขา เพราะเป็นห่วงว่า เขาปว่ ยหรอื เปลา่ พอไปถงึ กเ็ รยี กเขาตรงหนา้ กฏุ เิ ขากร็ อ้ งออกมาวา่ “หลวงพ่อช่วยด้วยๆ ช่วยผมที” หลวงพ่อเลยเข้าไปในกุฏิ เห็นเขา น่ังอยู่ ตัวเกร็ง ยกมือค้าง เขาบอกว่า มือมันติด เอาลงไม่ได้ ต้ังแต่ตี ๔ แล้ว ท�ำให้ไปท�ำวัตรเช้าไม่ได้ เขายกมือค้างในท่าน้ัน นานถึง ๓-๔ ช่ัวโมงแล้ว หลวงพ่อเห็น ก็รู้ว่าเขาติดอารมณ์ เลย แกอ้ ารมณใ์ ห ้ แตแ่ ทนทจ่ี ะแนะนำ� ใหเ้ ขาผอ่ นคลาย ทา่ นชวนคยุ เรอื่ ง ครอบครวั ถามวา่ มลี กู กคี่ น ลกู ๆ เปน็ อยา่ งไรบา้ ง ทำ� งานอะไร เขากเ็ ลา่ ถงึ ลกู แตล่ ะคนๆ พดู ถงึ ลกู คนนน้ั ลกู คนน ี้ ระหวา่ งทเ่ี ขาตอบหลวงพอ่ ปรากฏวา่ มอื ทค่ี า้ งอยกู่ ต็ กลงมาโดยไมร่ ตู้ วั หลวงพอ่ กเ็ ลยบอกเขาวา่ มอื ตกแลว้ เขาดีใจมาก กราบขอบคณุ หลวงพอ่ เปน็ การใหญ่
108 ไ ม ่ เ ผ ล อ ไ ม ่ เ พ่ ง หลวงพ่อค�ำเขียนเล่าว่า ที่เขาเป็นอย่างนี้ก็เพราะเขาเพ่งมาก ไป ท�ำให้เกิดอาการเกร็งจนมือค้าง ไม่ว่าจะเพ่งท่ีมือหรือเพ่งที่จิต การเพ่งก็ล้วนแต่ท�ำให้เกิดอาการแปลกๆ ในสมัยที่อาตมาปฏิบัติ ใหม่ๆ นั่น ใน ๒-๓ อาทิตย์แรกจะมีปัญหามาก เพราะต้ังใจมาก เวลาเจรญิ สต ิ สรา้ งจงั หวะ เดนิ จงกรม จะฟงุ้ มาก พยายามจะรทู้ นั ความคดิ กไ็ มท่ นั ตอนหลงั เลยไปดกั จอ้ งความคดิ แทน ตง้ั ใจวา่ ถา้ เหน็ มันออกมาเมื่อไหร่ ก็จะเล่นงานมันทันที ปรากฏว่าเร่ืองท่ีเคยชอบ คดิ บอ่ ยๆ กค็ ดิ นอ้ ยลง แตม่ นั หนไี ปคดิ เรอื่ งอนื่ ๆ เชน่ พอไปดกั จอ้ ง ความคิดเร่ืองเพ่ือน มันก็ไปคิดเรื่องการงานแทน พอเราตามไปดัก คิดเร่อื งการงาน มนั กห็ นีไปคิดเรอื่ งทแ่ี ยบคายข้นึ เชน่ ขบคิดเรือ่ ง ธรรมะ คดิ เรอื่ งทห่ี ลวงพอ่ เทยี นแสดงธรรม คดิ ไปยดื ยาวกวา่ จะรตู้ วั ตอนหลงั กต็ ง้ั ทา่ ดกั รอวา่ เมอื่ ไหรม่ นั จะคดิ เรอื่ งธรรมะ ความคดิ เรอ่ื ง ธรรมะกเ็ ลยนอ้ ยลง พอทำ� แบบนม้ี ากๆ เขา้ ความคดิ มนั กห็ ดหายไป จนรสู้ กึ แปลก แตท่ จ่ี รงิ มนั ไมไ่ ดห้ ายไปไหนหรอก มนั หลบอยขู่ า้ งใน สงั เกตวา่ ทง้ั วนั ไมค่ อ่ ยมคี วามคดิ เกดิ ขน้ึ แตจ่ ะรสู้ กึ หนกั หวั ตอ้ื ๆ แตพ่ อตกกลางคนื ความคดิ สารพดั กโ็ ผลอ่ อกมา พรงั่ พรอู อกมาจนหา้ มไมอ่ ย ู่ ท�ำอะไร มันไม่ได้เลย ผลก็คือนอนไม่หลับ วันรุ่งข้ึนพอจะปฏิบัติ ก็จะรู้สึก ปวดโน่นปวดนี่ ปวดขาบ้าง ปวดแขนบ้าง อาการหนักขนาดยกมือ สร้างจังหวะไม่ถึงนาที ก็เครียดเสียจนท�ำต่อไม่ได้ เพราะปวดไหล่ และตึงไปหมด รวมทั้งทศ่ี ีรษะดว้ ย
109 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล พอหลวงพ่อค�ำเขียนมาสอบอารมณ์ ท่านก็บอกว่าเป็นเพราะ เพง่ มากไป อาตมากเ็ ลยรวู้ า่ ปฏบิ ตั ไิ มถ่ กู พจิ ารณาดกู พ็ บวา่ เปน็ เพราะ ตั้งใจมากไป ท�ำให้เกิดความอยาก คืออยากจะเอาชนะความคิด อยากก�ำจัดมัน เพราะอยากได้ความสงบ อยากมีสติไวๆ ความ อยากท�ำให้เอาจริงกับการปฏิบัติมาก พยายามท�ำทุกอย่าง รวมถึง การควบคุมจิตไม่ให้คิดด้วย แต่จิตมันไม่ชอบให้เราบังคับ พอเรา ไปเพ่งจ้องหมายจะตะปบความคิด มันก็หลบในและอัดแน่นมากข้ึน ถึงจุดหนึ่งก็ระเบิดออกมาเป็นความคิดฟุ้งซ่าน ระเบิดออกมาเป็น ความเจบ็ ปวดตามจดุ ตา่ งๆ ทเ่ี ราเคยเปน็ เชน่ เคยปวดไหลม่ ากอ่ น พอเครียดมากๆ ก็จะปวดไหล่อีก มันจะก่อกวนตรงจุดท่ียังเครียด อยู่ เห็นเลยว่าการถอนใจออกจากความเครียดทำ� ได้ยาก พอยกมอื สรา้ งจงั หวะอะไร ใจกเ็ ครยี ดทนั ท ี จะเดนิ จงกรมกย็ งั เดนิ ไดไ้ มส่ ะดวก เพราะยังปวดอยู่ เจอแบบน้ีเข้าก็เลยรู้สึกท้อแท้ เพราะปฏิบัติท่าไหนก็มีปัญหา ทั้งส้ิน อยากเลิกปฏิบัติ เพราะเครียดมาก ตอนน้ันรู้เลยว่า เมื่อจิต เพ่งเข้าในจนเป็นนิสัยแล้ว พอจะให้มันคลายตัวออกมา กลับกลาย เป็นเร่ืองท่ีมันยากมาก เวลาฟุ้งแล้วรู้ว่าฟุ้ง หรือเวลาเผลอแล้วรู้ทัน ความคดิ มนั ยงั งา่ ยกวา่ การแกจ้ ติ ทเ่ี พง่ หรอื เครง่ เครยี ดใหค้ ลายออก มา เมอ่ื ทำ� อยา่ งไรกไ็ มห่ ายเครยี ดหายเกรง็ กเ็ ลยตดั สนิ ใจเลกิ ปฏบิ ตั ิ รอคอยแตว่ า่ เมอ่ื ไหรจ่ ะครบ ๑ เดอื น เพราะตอนแรกนน้ั ไดอ้ ธษิ ฐาน คอื ตงั้ ใจมน่ั วา่ จะอยทู่ ว่ี ดั สนามในใหค้ รบหนงึ่ เดอื น จะไมห่ นไี ปไหน เพราะรนู้ สิ ยั ของตวั เองวา่ ชอบหลกี หนกี ารปฏบิ ตั ิ จงึ ตอ้ งสรา้ งเงอื่ นไข
110 ไ ม ่ เ ผ ล อ ไ ม ่ เ พ่ ง ให้ตัวเอง ว่าจะไม่ไปไหนจนกว่าจะครบเดือน ดังนั้นเมื่อมีปัญหา การปฏบิ ัต ิ ก็เลยตดั สนิ ใจวา่ จะท่ซู ี้อยทู่ ่วี ดั สนามในจนครบเดอื นตาม คำ� อธษิ ฐาน แลว้ จงึ จะไปทอ่ี น่ื ตงั้ ใจไวว้ า่ จะไปสวนโมกข ์ สว่ นจะท�ำ อะไรตอ่ ไป ค่อยวา่ กันอกี ที ตอนนั้นเหลือเพียงอาทิตย์เดียวก็จะครบ ๑ เดือน ในเมื่อเลิก หวงั ผลแลว้ ระหวา่ งทคี่ อยใหค้ รบเดอื น กป็ ฏบิ ตั เิ ลน่ ๆ ไป ตอนนนั้ อริ ยิ าบถทท่ี ำ� ไดค้ อื นง่ั คลงึ นวิ้ เพราะสรา้ งจงั หวะกไ็ มไ่ ด ้ เดนิ จงกรม กไ็ มไ่ หว เลยนงั่ พงิ เสาบา้ ง พงิ ตน้ ไมบ้ า้ ง นงั่ ไปกค็ ลงึ นว้ิ ไป รตู้ วั บา้ ง ไม่รู้ตัวบ้างก็ช่างมัน เพราะไม่ได้คิดจะเอาดีในทางน้ีแล้ว ปรากฏว่า อาการดีขึ้น ความเครียดค่อยๆ หายไป เพราะจิตไม่เพ่งเข้าในแล้ว มันค่อยๆ คลายออกมา เหมือนกับสปริงท่ีถูกกดเอาไว้ พอปล่อย ทีละน้อยๆ มันก็ค่อยๆ คลายออกมา จนจิตใจและร่างกายเริ่มเป็น ปกต ิ ทแี่ ปลกกค็ อื พอไมต่ งั้ ใจปฏบิ ตั ิ ปรากฏวา่ รทู้ นั จติ ไดไ้ วขน้ึ มนั เกดิ ขน้ึ เองโดยไมไ่ ดต้ ง้ั ใจ พอคดิ ขน้ึ มากจ็ ะเหน็ ความคดิ ทง้ั แปลกใจ ท้ังดีใจ แปลกใจก็เพราะว่าพอหมดหวัง ไม่อยากรู้ทันความคิด เรา กลบั รทู้ นั ความคดิ ขนึ้ มา ตรงขา้ มกบั กอ่ นหนา้ นน้ั อยากรทู้ นั ความคดิ มาก แต่ย่งิ อยากกก็ ลับทำ� ไม่ได ้ เหน็ ชดั เลยวา่ ยง่ิ อยากไดก้ ็ย่งิ ไมไ่ ด้ แต่พอไม่อยากได้ กลับได้ขึ้นมา เลยเข้าใจว่าท�ำไมหลวงพ่อเทียน จึงแนะให้เราท�ำเล่นๆ ท�ำไมครูบาอาจารย์จึงแนะว่า อย่าเพ่ง อย่า ไปห้ามความคิด
111 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล กรณขี องโยมทหี่ ลวงพอ่ คำ� เขยี นพดู ถงึ กค็ ลา้ ยๆ กบั อาตมา แต ่ อาการของเขาหนกั กวา่ เพราะเขาเพง่ เตม็ ท ่ี มอื เลยคา้ งหลายชว่ั โมง ทำ� อะไรกบั มันไมไ่ ดเ้ ลย ดงั น้ันเวลาปฏิบัติจึงตอ้ งระวังให้ด ี เผลอไป กไ็ มใ่ ช่ทาง เพง่ ไปกไ็ มใ่ ชท่ าง การปล่อยใจลอยฟ้งุ เป็นเร่อื งท่ีเราท�ำ กันเป็นประจ�ำอยู่แล้ว แต่ก็ยังมีความทุกข์ แสดงว่าไม่ใช่ทางท่ีถูก แต่การบังคับความคิดความรู้สึกโดยกดข่มเอาไว้ ก็เป็นทางสุดโต่ง อีกทาง การเจริญสติเป็นทางสายกลางแท้ๆ คือเป็นการรู้ความคิด ความรู้สึก โดยไม่ได้คล้อยตามหรือต่อต้านมัน เป็นการรู้โดยไม่ได้ บงั คบั หรอื จงใจ แตร่ เู้ องเพราะระลกึ ไดใ้ นปจั จบุ นั ระลกึ ไดไ้ วเทา่ ไหร่ ก็จะรไู้ ดไ้ วเท่าน้ัน เม่อื รู้แลว้ กล็ ะ แต่ถ้าไปบงั คบั ใหม้ ัน “เหน็ ” กจ็ ะ “เปน็ ” ทนั ท ี ถา้ ตงั้ ใจเขา้ ไปเหน็ ความคดิ กจ็ ะเขา้ ไปในความคดิ หรอื เป็นผู้คิดทันที ต้ังใจเข้าไปเห็นความโกรธก็กลายเป็นผู้โกรธทันที แทนทจี่ ะเหน็ ความเครยี ด กก็ ลายเปน็ ผเู้ ครยี ด การ “เหน็ ” กบั การ “เปน็ ” เปน็ คนละเรอ่ื งกนั “การเหน็ ” คอื การวางระยะหา่ ง สว่ น “การ เปน็ ” นัน้ คอื การเข้าไปอยู่ในอำ� นาจของมนั การเจรญิ สต ิ คอื การทำ� ใหเ้ รามรี ะยะหา่ งกบั ความคดิ ความรสู้ กึ แต่ก่อนเราไม่มีระยะห่าง เราเข้าไปผสมปนเปกับมันเพราะความ เผลอหรอื ไมก่ เ็ ขา้ ไปพนั ตกู บั มนั เพราะอยากผลกั ไสหรอื อยากก�ำจดั มนั ซงึ่ กเ็ ปน็ ผลจากการเพง่ อยา่ งทบ่ี อกแลว้ วา่ เราเพง่ กเ็ พราะอยาก เอาชนะอยากผลกั ไส พออยากผลกั ไสกเ็ ลยไปพนั ตกู บั มนั จงึ พวั พนั ไม่เลิก แทนท่ีจะเห็นก็เลยเป็น เวลาปฏิบัติ เราจึงไม่ควรท�ำด้วย ความอยากทีจ่ ะไดโ้ นน่ ไดน้ ่ ี แตท่ ำ� ดว้ ยความชอบทีจ่ ะได้ทำ�
112 ไ ม ่ เ ผ ล อ ไ ม ่ เ พ ่ ง อยา่ ทำ� ดว้ ยตณั หา แตข่ อใหท้ ำ� ดว้ ยฉนั ทะ “ตณั หา” คอื อยาก ได้ อยากมี อยากเสพ แต่ “ฉันทะ” เป็นความชอบ ความพอใจที่ จะได้ท�ำ คือ ชอบประกอบเหตุ ส่วนผลจะเป็นอย่างไรไม่ใส่ใจ แต่ ตัณหาจะมุ่งท่ีตัวผล อยากได้ผลเพ่ือสนองตัวตน เช่น ถ้าเอาชนะ กเิ ลสหรอื ความฟงุ้ ซา่ นได ้ กจ็ ะเกดิ ความภาคภมู ใิ จในตวั เอง รสู้ กึ วา่ ฉันเป็นผู้ชนะ สามารถอวดใครได้ว่าฉันปฏิบัติเก่ง ย่ิงถ้าได้เป็นพระ อริยะก็ยิ่งวิเศษ แม้ว่าไม่ได้อวดใคร อวดตัวเองได้ก็ยังดี น่ีแหละ ตัณหา ถ้าเราท�ำด้วยตัณหา การปฏิบัติจะเนิ่นช้าหรือผิดทาง ดังน้ัน เราจึงควรเปลี่ยนตัณหาเป็นฉันทะก่อน คือไม่มุ่งแสวงผล แต่ให้มุ่ง สร้างเหตุ ไม่อยากได้ แต่พอใจท่ีได้ท�ำ เพราะถ้าสร้างเหตุดี เช่น เวลารดน้�ำต้นไม้ ถ้าเราท�ำด้วยความชอบ เพลินใจที่ได้ท�ำ เราก็จะ มีความสุข ส่วนต้นไม้ก็จะเจริญงอกงามออกดอกออกผล แต่ถ้าเรา ทำ� ดว้ ยความอยาก รดไปกอ็ ยากใหม้ นั โตไวๆ ออกดอกไวๆ เรากจ็ ะ ทำ� ดว้ ยความทกุ ข ์ ถา้ ตน้ ไมโ้ ตชา้ กจ็ ะไมพ่ อใจ ถา้ โตชา้ ไมท่ นั ใจกอ็ าจ เลกิ รดน้�ำไปเลย นีเ่ รียกวา่ ท�ำด้วยท่าทีท่ไี มถ่ ูกตอ้ ง เมอื่ เราประกอบเหตไุ ดถ้ กู ทาง แมจ้ ะไมอ่ ยากใหผ้ ลเกดิ ขน้ึ มนั กต็ อ้ งเกดิ อยูว่ นั ยงั ค�ำ่ อย่างทพ่ี ระพทุ ธเจ้าตรัสว่า “เวลาแม่ไก่ฟกั ไข ่ แมแ้ มไ่ กไ่ มอ่ ยากใหอ้ อกมาเปน็ ตวั แตถ่ า้ ฟกั ไปนานๆ ในทส่ี ดุ กอ็ อกมา เปน็ ตวั จนได ้ ตรงขา้ มถา้ ไมไ่ ดฟ้ กั ไข ่ แมอ้ ยากใหไ้ ขฟ่ กั เปน็ ตวั กไ็ มม่ วี นั ทจ่ี ะเกดิ ลกู ไกไ่ ด”้ ผลไมไ่ ดข้ น้ึ อยกู่ บั ความอยากของเรา ตรงกนั ขา้ ม
113 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล ความอยากของเราอาจจะทำ� ใหเ้ กดิ ปญั หา โดยเฉพาะเวลาปฏบิ ตั ธิ รรม มันเหมือนกับการรดน�้ำต้นไม้ เราอาจจะรดน้�ำด้วยความอยากก็ได้ รดน้�ำไปก็คอยลุ้นในใจให้ต้นไม้ออกดอกไวๆ ความอยากในใจเราจะ ไมม่ ผี ลตอ่ ตน้ ไม ้ แตถ่ า้ เปน็ การท�ำสมาธภิ าวนาซงึ่ เปน็ เรอ่ื งทลี่ ะเอยี ด ออ่ นมาก เพยี งแคม่ คี วามอยาก มนั จะมผี ลตอ่ จติ ท�ำใหจ้ ติ เสยี สมดลุ ท�ำให้การปฏบิ ตั ิไม่ก้าวหนา้ เปรยี บไดก้ บั การขจี่ กั รยาน ถา้ ตง้ั ใจมาก ตวั จะเกรง็ ทำ� ใหก้ าร ทรงตวั ไมด่ ี ถา้ เอยี งมากๆ รถกล็ ม้ ได ้ จะขจี่ กั รยานได ้ ตอ้ งทำ� ใจสบายๆ การทรงตวั กจ็ ะด ี ขยี่ งั ไงกไ็ มล่ ม้ ในทำ� นองเดยี วกนั การปฏบิ ตั ธิ รรม ก็ต้องอาศัยการวางใจให้อยู่ในทางสายกลาง จิตจะได้มีสมดุล ทาง สายกลาง คอื การรู้โดยไมต่ ามใจกิเลสหรือกดขม่ กิเลส พระพทุ ธเจา้ เคยตอบคำ� ถามเทวดา เทวดาถามวา่ พระองคข์ า้ ม โอฆะหรอื หว้ งแหง่ กเิ ลสไดอ้ ยา่ งไร พระพทุ ธเจา้ ตอบวา่ “เราไมพ่ กั อย่ ู ไมเ่ พยี รอย ู่ จงึ ขา้ มโอฆะได”้ แลว้ พระองคท์ รงอธบิ ายตอ่ ไปวา่ “เมอื่ ใด เรายังพกั อยู ่ เม่อื นั้นเรายงั จมอยู่โดยแท้ เม่อื ใดเรายงั เพียรอย่ ู เมือ่ นนั้ เรายงั ลอยอยโู่ ดยแท”้ คำ� วา่ “ไมพ่ กั ” ในทนี่ ห้ี มายถงึ การไมป่ ลอ่ ย ตวั ปลอ่ ยใจไปตามอำ� นาจของกเิ ลส คอื ไมย่ อมตามกเิ ลส สว่ น “ไม่ เพียร” คือไม่ปรุงแต่งฝ่ายกุศลหรือปรุงแต่งทางบวก เม่ือไม่พักจึง ไมจ่ ม เมอื่ ไมเ่ พยี รจงึ ไมล่ อย ดงั นนั้ ความสำ� คญั อยตู่ รงทไี่ มต่ ามใจ กิเลส คือไม่พัก ขณะเดียวกันก็ไม่เพียร ไม่หลงปรุงแต่งไปในฝ่าย กุศล คือไม่ติดดี บางครั้งเราปฏิบัติเพราะติดดี อยากได้ความสงบ
114 ไ ม ่ เ ผ ล อ ไ ม ่ เ พ่ ง อยากรู้รูปนาม อยากได้นิพพาน อยากพ้นทุกข์ เป็นการท�ำด้วย ความตั้งใจมากไปและติดดี พระพุทธเจ้าตรัสว่าพระองค์ไม่พักและ ไมเ่ พยี ร จงึ ขา้ มโอฆะสงสารได ้ “ไมเ่ พยี ร” ไมไ่ ดห้ มายถงึ ไมต่ อ้ งท�ำ อะไร แต่หมายถึงต้องไม่ตดิ ดี การปฏบิ ตั ธิ รรมเปน็ เรอื่ งทต่ี อ้ งวางใจใหด้ ี โดยเฉพาะถา้ ตอ้ งการ เจรญิ สต ิ สรา้ งตวั ร ู้ ตอ้ งทำ� เหมอื นกบั ทำ� เลน่ ๆ ทำ� ไปเรอื่ ยๆ ทแี่ ลว้ มา เราอยฝู่ า่ ยสดุ โตง่ มาจนเปน็ นสิ ยั คอื ปลอ่ ยตวั ปลอ่ ยใจไปตามความคดิ ความรสู้ กึ มานาน พอสนใจปฏบิ ตั ธิ รรม กท็ ำ� ดว้ ยความเครยี ดพยายาม บงั คบั กดขม่ ความรสู้ กึ นน่ั ไมใ่ ชท่ างทถี่ กู เมอ่ื มาปฏบิ ตั กิ อ็ ยา่ ขเ้ี กยี จ แตก่ อ็ ยา่ โหมใหท้ �ำเลน่ ๆ แตท่ �ำเรอื่ ยๆ ปกตถิ า้ ท�ำอะไรเลน่ ๆ เรามกั จะทำ� ไมน่ าน แตก่ ารเจริญสติ เราท�ำเล่นๆ กจ็ ริง แตต่ ้องท�ำเรือ่ ยๆ ท�ำไม่หยุด ทำ� เลน่ ๆ กบั ทำ� เรอื่ ยๆ ดเู ผนิ ๆ เปน็ เสมอื นขว้ั ตรงขา้ มกนั ไมน่ า่ จะมาอยู่ด้วยกันได้ แต่ท่ีจริงมันช่วยเสริมกัน อยู่ด้วยกันได้ นี่เป็น ศิลปะของการปฏิบัติ คนส่วนใหญ่ถ้าให้ท�ำเล่นๆ ก็มีจะท�ำเป็นพักๆ ทำ� ๆ หยดุ ๆ ทถ่ี กู คอื ตอ้ งทำ� ไปเรอ่ื ยๆ ทำ� ไมห่ ยดุ แตท่ ำ� ดว้ ยใจสบาย แต่คนส่วนใหญ่ถ้าจะท�ำไม่หยุดก็ต้องมีความอยากเป็นแรงจูงใจ ม ี กิเลสเป็นแรงผลักดัน เช่น ถ้าจะให้คนงานขยันก็ต้องมีเงินหรือ รางวัลมาล่อ แต่ถ้าจะให้ปฏิบัติธรรมไม่หยุด ก็ต้องมีความสงบหรือ นพิ พานมากระตนุ้ ใหเ้ กดิ ความอยาก แตพ่ อมคี วามอยากขน้ึ มา กเ็ ลย ทำ� ดว้ ยความเครียด ไมส่ ามารถท�ำด้วยใจสบายๆ ผอ่ นคลายได้
115 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล การฝึกจิตนั้น จะทุ่มเทแบบหักโหมก็ได้ แต่จะไม่ได้ผลหรอก กลับจะท�ำให้เน่ินช้าเสียอีก อย่างกรณีที่หลวงพ่อคำ� เขียนพูดถึง ย่ิง โหมท�ำกลับมีปัญหา ย่ิงอยากก็ยิ่งไม่ได้ ย่ิงอยากเห็นผลเร็วๆ กลับ เนิ่นช้า แต่พอท�ำสบายๆ กลับได้ผล ไม่หวังอะไรกลับเห็นผลของ การปฏบิ ตั ิ อยา่ งอาตมาพอหมดหวงั ในการปฏบิ ตั ิ กลบั รสู้ กึ วา่ มคี วาม ก้าวหน้าขึ้น พอไม่มีความอยาก การเพ่งก็ลดลง การระลึกรู้ก็ดีขึ้น เห็นความรู้สึกนึกคิดท่ีเกิดขึ้นในใจ กายท�ำอะไรก็รู้ อะไรมากระทบ ก็รู้ท�ำให้รู้นอกรู้ใน เกิดความสมดุลระหว่างการรู้นอกรู้ใน อย่างที่ หลวงพ่อเทียนบอกหลวงพ่อค�ำเขียนว่า อย่าอยู่แต่ในกุฏิ ให้เปิด ประตู จะได้เห็นท้ังข้างนอกและข้างใน ถ้าเพ่งเข้าในปิดใจไม่รับรู ้ อะไรอยา่ งอ่ืนเลยกจ็ ะมดื และเป็นการสุดโต่ง การปฏบิ ตั ธิ รรมเปน็ เรอ่ื งของศลิ ปะ ตอ้ งอาศยั การวางใจใหส้ มดลุ ไมส่ ดุ โตง่ ตอ้ งรจู้ กั ประสานการทำ� เลน่ ๆ กบั การทำ� เรอ่ื ยๆ ใหเ้ ปน็ หนงึ่ เดยี วกนั ขณะเดยี วกนั กต็ อ้ งมคี วามอดทน ไมเ่ รง่ รบี คอ่ ยๆ ร ู้ คอ่ ยๆ ปรบั ใจ ลม้ แลว้ กล็ กุ ขนึ้ มาใหม ่ ไมท่ อ้ ถอย เหมอื นคนทห่ี ดั ขจี่ กั รยาน ใหม่ๆ ก็ต้องล้มบ่อยๆ เลี่ยงไม่ได้ แต่ล้มแล้วก็ต้องลุกข้ึนมาขี่ใหม ่ ลม้ แตล่ ะครง้ั เปน็ การเรยี นรวู้ า่ จะทรงตวั อยา่ งไร ถงึ จะขบั รถไดโ้ ดยไมล่ มื ท�ำไปเร่ือยๆ ก็รู้เอง รู้ว่าจะทรงตัวอย่างไรถึงจะขับได้เร่ือยๆ เราจะ เรียนรู้ได้เองจากการปฏิบัติจนคุ้นจนชิน พอรู้แล้วการขี่จักรยานจะ
116 ไ ม ่ เ ผ ล อ ไ ม ่ เ พ่ ง กลายเปน็ เรอ่ื งงา่ ย มนั เปน็ ไปเอง ไมต่ อ้ งจบั แฮนดก์ ย็ งั ขไี่ ด ้ แตถ่ า้ จะ อธบิ ายใหค้ นทข่ี ไ่ี มเ่ ปน็ เขา้ ใจบา้ งกอ็ ธบิ ายไมถ่ กู เขาตอ้ งลงมอื ขเี่ อง ถงึ จะรดู้ ้วยตวั เอง การปฏิบตั ธิ รรมกเ็ ชน่ กัน ท�ำเองกร็ เู้ อง นแี่ หละทเ่ี รยี กวา่ สนั ทฏิ ฐโิ ก คอื ทำ� เองกร็ เู้ อง เหน็ ผลเอง เปน็ ผลจากความเพยี รทปี่ ระกอบไปดว้ ยฉนั ทะ คอื ชอบทำ� ไมไ่ ดท้ ำ� เพราะ แรงผลักของตัณหา ฉันทะน้ันเราควรสร้างให้เป็นนิสัย จะท�ำให้เรา ชอบท�ำโดยไม่มัวนึกถึงผลว่าเม่ือไหร่จะเกิด ถ้าเราคำ� นึงถึงผล ใจก ็ จะไปอยู่กับอนาคต การจะอยู่กับปัจจุบัน ต้องท�ำจิตให้อยู่กับแต่ละ ขณะ แตล่ ะขณะ ใสใ่ จกบั สงิ่ ทก่ี ำ� ลงั ทำ� ไมใ่ ชช่ ะเงอ้ คอมองทจ่ี ดุ หมาย ปลายทาง เราควรท�ำแต่ละขณะให้ดี เร่ิมจากท�ำวันน้ีให้ดี พรุ่งน้ีจะ เปน็ อยา่ งไรกไ็ มต่ อ้ งสนใจมาก เพราะถา้ ทำ� วนั นใี้ หด้ ี พรงุ่ นก้ี จ็ ะดเี อง ท�ำวันนี้ให้ดี แล้วซอยออกมาเป็นช่ัวโมง คือท�ำช่ัวโมงนี้ให้ดี แล้ว ซอยเป็นนาที คือท�ำนาทีนี้ให้ดี ถ้าท�ำได้ เรื่องยากก็จะกลายเป็น เรอื่ งงา่ ย ถา้ เราปฏบิ ตั ธิ รรมดว้ ยการจดจอ่ ใสใ่ จอยกู่ บั แตล่ ะขณะ การ ปฏบิ ตั จิ ะไมใ่ ชเ่ รอื่ งยาก และจะไมช่ วนใหท้ อ้ ดว้ ย คนทท่ี อ้ สว่ นใหญก่ ็ เพราะนกึ ถงึ แตผ่ ลการปฏบิ ตั ิ อยากเหน็ ผลไวๆ พอผลไมเ่ กดิ เสยี ทกี ็ เลยผิดหวัง ท้อแทแ้ ละเลิกปฏบิ ตั ใิ นทสี่ ดุ
...อย่าท�ำ ด้วยตณั หา แตข่ อใหท้ ำ�ด้วยฉนั ทะ “ตัณหา” คอื อยากได้ อยากมี อยากเสพ แต ่ “ฉันทะ” เป็นความชอบ ความพอใจที่จะไดท้ ำ� คือ ชอบประกอบเหตุ ส่วนผล จะเปน็ อยา่ งไรไม่ใส่ใจ แตต่ ัณหา จะมุ่งท่ตี ัวผล อยากไดผ้ ล เพื่อสนองตัวตน...
119 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล เปน็ อยดู่ ้วยสตแิ ละปัญญา ทภ่ี หู ลงเวลาตรี ะฆงั ทำ� วตั รเชา้ วตั รเยน็ หรอื ตรี ะฆงั บณิ ฑบาต ก็ดี หมาทุกตัวในวัดก็จะหอนพร้อมกัน ถ้าตีถ่ีมันก็หอนถ่ี ถ้าตีห่าง มันก็หอนห่าง เลิกตีมันก็หยุดหอน เวลาจะหอน มันก็พากันมานั่ง มายนื หอนอยใู่ กลๆ้ ระฆงั เลย ใครเหน็ กพ็ ากนั หวั เราะ เพราะวา่ มนั เหมือนกับกดปุ๊บติดปั๊บ มีปฏิกิริยาสนองตอบต่อเสียงระฆังทันที ราวกบั วา่ เป็นทาสของเสยี งระฆัง แตถ่ า้ พจิ ารณาใหด้ คี นเรากเ็ ปน็ แบบนเี้ หมอื นกนั ไมใ่ ชเ่ ปน็ เฉพาะ กับหมาหรือสัตว์ต่างๆ เท่าน้ัน เพราะคนเราเวลาหูได้ยินเสียง เช่น ไดย้ นิ เสยี งคนดา่ ความรสู้ กึ แรกทเี่ กดิ ขน้ึ กค็ อื โกรธ มนั เกดิ ขน้ึ ทนั ท ี ได้ยินปุ๊บก็โกรธปั๊บ หรือว่าได้ยินปุ๊บก็ด่าตอบทันที เสียงบางอย่าง กท็ ำ� ใหอ้ ยเู่ ฉยไมไ่ ด ้ เชน่ พอไดย้ นิ เสยี งโทรศพั ทด์ งั คนจำ� นวนไมน่ อ้ ย กจ็ ะขยบั ทนั ท ี เชน่ วง่ิ ไปรบั ทนั ท ี ไมว่ า่ กำ� ลงั ทำ� อะไรอยกู่ ห็ ยดุ ทนั ท ี ตรงร่ีไปท่ีโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว เหมือนกับว่าเสียงโทรศัพท์เป็นตัว กระตุ้น ตัวดึง ให้คนต้องรีบวิ่งเข้าไปหา มันเป็นอาการท่ีเรียกว่า ได้ยนิ ปบุ๊ ก็วิง่ ปั๊บเลย เป็นปฏกิ ริ ิยาอตั โนมัติ
120 เ ป็ น อ ย ู่ ด ้ ว ย ส ติ แ ล ะ ป ั ญ ญ า ลองสังเกตดู ว่าเรามีปฏิกิริยาอัตโนมัติแบบน้ีบ่อยไหม ไม่ใช่ แคห่ ไู ดย้ นิ เสยี ง ตาเหน็ รปู เทา่ นน้ั บางทเี พยี งแคใ่ จคดิ นกึ เทา่ นน้ั กม็ ี อาการทันที หากใจคิดนึกถึงคนที่เราไม่ชอบหน้า ก็จะเกิดความขุ่น เคอื งใจมาไดท้ นั ทโี ดยไมร่ ตู้ วั อาจจะตวั เกรง็ อาจจะหนา้ นวิ่ ควิ้ ขมวด หรือกัดฟัน เม้มปาก ลมหายใจเปลี่ยนไปโดยไม่เจตนา ปฏิกิริยา ตา่ งๆ แบบน ี้ มนั เกดิ ขน้ึ โดยทเ่ี ราไมร่ ตู้ วั แตไ่ มใ่ ชเ่ กดิ ขนึ้ เองโดยไมม่ ี เหตุ ใจของเราเอง ทไ่ี ปทำ� ให้เกดิ อาการเหลา่ นี้ขึ้น เมอ่ื ตาเหน็ รปู หไู ดย้ นิ เสยี ง หรอื ใจคดิ นกึ เราจะเกดิ ปฏกิ ริ ยิ า ขึ้นมาทันที ถ้าสังเกตให้ดีจะมีตัวเวทนาเกิดข้ึนมาก่อน เม่ือตาเห็น รปู หไู ดย้ นิ เสยี ง ใจคดิ นกึ เราเรยี กวา่ ผสั สะ พอผสั สะเกดิ ขน้ึ สง่ิ ที ่ ตามมาทันทีก็คือ เวทนา จะเป็นทุกขเวทนา หรือสุขเวทนาก็ตาม หากเปน็ ทกุ ขเวทนากจ็ ะสงั เกตไดง้ า่ ยกวา่ เชน่ ไดย้ นิ เสยี งเครอ่ื งจกั ร เสียงรถแบคโฮดังกระหึ่มอยู่ข้างๆ พอได้ยินปุ๊บ ทุกขเวทนาเกิดข้ึน ทนั ท ี นน่ั คอื ความรสู้ กึ ไมส่ บายห ู ระคายโสตประสาท แลว้ สง่ิ ทต่ี ามมา กค็ อื ตวั อารมณ ์ อารมณค์ อื ความไมช่ อบ ความขนุ่ เคอื ง ความหงดุ หงดิ หรือความโกรธ อนั น้ีภาษาบาลเี รยี กวา่ สังขาร สงั ขารในขนั ธ ์ ๕ ซง่ึ ประกอบดว้ ย รปู เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ สงั ขารในทน่ี ้ี หมายถงึ สง่ิ ปรงุ แตง่ จติ เชน่ อารมณ ์ ไมว่ า่ จะเป็นฝ่ายบวกหรือฝ่ายลบก็ตาม รวมทั้งความอยาก ความโกรธ ความเบอ่ื สงั ขารในภาษาบาลมี คี วามหมายไดห้ ลายอยา่ ง เชน่ ถา้ เรา พิจารณาสงั ขาร เป็นขอ้ ความวา่ “สัพเพ สังขารา อนิจจา” สงั ขาร
121 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล ในทน่ี ี้ มคี วามหมายทง้ั รา่ งกายและจติ ใจ ตลอดจนรปู ธรรมและนาม ธรรมทง้ั หลาย เพราะลว้ นเปน็ สงิ่ ทถ่ี กู ปรงุ แตง่ ขน้ึ มาทง้ั ค ู่ แตว่ า่ สงั ขาร ในขันธ์ ๕ จะมีความหมายเจาะจง เฉพาะส่ิงปรุงแต่งจิต คือความ นึกคดิ หรอื อารมณต์ ่างๆ ลองสังเกตดู พอตากระทบรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กล่ิน ล้ิน ไดร้ บั รส หรอื วา่ มสี งิ่ ใดมาสมั ผสั กาย เชน่ ความรอ้ น พอความรอ้ น มากระทบกบั ผวิ กายเขา้ ทกุ ขเวทนาเกดิ ขนึ้ ทนั ท ี แตว่ า่ บางอยา่ งมนั ไมใ่ ชท่ กุ ขเวทนาทางกาย แตเ่ ปน็ ทกุ ขเวทนาทางใจเชน่ ไดย้ นิ ค�ำดา่ ไดย้ นิ คำ� ตำ� หน ิ หรอื เจอคนไมม่ สี ัมมาคารวะ หรอื ว่าทกั แลว้ ไม่ตอบ ก็เกิดทุกขเวทนาขึ้นมา แต่เป็นทุกขเวทนาทางใจ เรียกว่าความ ไม่สบายใจ และถ้าปล่อยให้ปรุงแต่งต่อไป ก็จะเกิดความไม่พอใจ หรือความโกรธข้ึนมา นเี่ รยี กว่าสงั ขารท�ำงานแลว้ ลองสงั เกตดใู หด้ ี กจ็ ะเหน็ การทำ� งานเปน็ ขน้ั ตอน คอื มผี สั สะ เวทนา สงั ขารตามลำ� ดบั แลว้ สงั ขารกจ็ ะปรงุ เปน็ ความอยาก ความ ไม่อยาก เช่น เม่ือได้ยินเสียงดังจากรถแบคโฮอยู่ใกล้ๆ เราจึงเกิด ทุกขเวทนาข้ึนคือ รู้สึกหนวกหู ก็เลยไม่ชอบใจ เกิดความขุ่นเคือง อยากให้มันไปให้พ้น คิดอยู่แต่ว่า เม่ือไรจะดับเครื่องหรือไปให้พ้น สักทีหนอ หรือมิฉะน้ันเราก็เกิดความอยากจะเดินหนีออกไปจากท ่ี นน้ั อยากจะเดนิ ไปไกลๆ ใหห้ า่ งจากเสยี งพวกน ้ี หรอื พอเราไดย้ นิ ค�ำ ต�ำหนิของใคร ก็เกิดทุกขเวทนาขึ้นมาท่ีใจ ตามมาด้วยความโกรธ ความโมโห หรือเกิดความพยาบาทข้ึนมา คราวนี้ก็อยากจะด่าตอบ
122 เ ป็ น อ ยู่ ด ้ ว ย ส ติ แ ล ะ ป ั ญ ญ า เขา หรอื เลน่ งานเขา อยากจะใหเ้ ขาไดร้ บั ความทกุ ขห์ รอื มอี นั เปน็ ไป ความอยากนเ้ี ราเรียกว่า ตณั หา มันมาเปน็ สายเลยนะ เหน็ ไหมวา่ เรม่ิ ตน้ กค็ อื ผสั สะ เวทนา สงั ขาร แลว้ กต็ ามดว้ ย ตัณหา ที่จริงตัณหาก็เป็นส่วนหน่ึงของสังขาร พูดรวมๆ ว่าสังขาร คนเราสว่ นใหญเ่ ปน็ อยา่ งน ้ี ไมว่ า่ ผสั สะนน้ั จะเปน็ การรบั รสู้ ง่ิ ทเ่ี ปน็ ลบ หรือเป็นบวกก็ตาม เช่น หูได้ยินค�ำชม ก็เกิดสุขเวทนาข้ึนมาที่ใจ และถา้ เปน็ การชมดว้ ยนำ้� เสยี งออ่ นหวาน กเ็ ปน็ สขุ เวทนาทางกายไป ด้วย มันนุ่มหู แล้วก็เกิดความรู้สึกปีติ ใจพองโตขึ้นมา เกิดตัณหา อยากไดย้ นิ ไดฟ้ งั ถอ้ ยค�ำแบบนอี้ กี บางทกี จ็ ะเอาไวต้ ดิ ใจเลย กลบั ไป บ้านแล้วยังนอนคิดถึงซ้ำ� แล้วซำ้� เล่า อันน้ีแสดงว่าเกิดอุปาทานหรือ ความยดึ ตดิ แลว้ ทั้งหมดนี้เปน็ การปรุงตอ่ เนอื่ งเป็นสาย ถามว่ามันต้องเป็นอย่างน้ีเสมอไปหรือไม่ ไม่จ�ำเป็น อาการ อย่างนี้จะเกิดข้ึนได้ เม่ือเราไม่มีสติต้ังแต่เกิดผัสสะ พอเกิดเวทนา แลว้ ยงั ไมม่ สี ตอิ กี กจ็ ะปรงุ ตอ่ ไปเปน็ อารมณห์ รอื ความรสู้ กึ นกึ คดิ เกดิ ความชอบ ไมช่ อบ โกรธ คบั แคน้ แลว้ กป็ รงุ เปน็ ตณั หา กระบวนการนี ้ จะเกดิ ขน้ึ เปน็ สายหากไมม่ สี ต ิ แตว่ า่ มนั ไมจ่ ำ� ตอ้ งเปน็ สายแบบนก้ี ไ็ ด ้ ถา้ เรามสี ตติ อนเกดิ ผสั สะ หรอื วา่ พอเกดิ ทกุ ขเวทนาหรอื สขุ เวทนาแลว้ กม็ สี ต ิ เหน็ เวทนาเกดิ ขน้ึ มนั กห็ ยดุ แคน่ น้ั ไมป่ รงุ แตง่ ไปเปน็ อารมณ ์ เม่ือไม่มีอารมณ์ปรุงแต่งเกิดข้ึน ก็เลยเปิดช่องว่างให้เราใช้ปัญญา พิจารณาสิ่งท่ีเกิดข้ึนได ้ เช่น มีคนมาต�ำหนิหรือต่อว่าเรา พอมีสติ ความโกรธไมเ่ กดิ เรากส็ ามารถใชป้ ญั ญาพจิ ารณาไตรต่ รอง เชน่ ได้
123 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล คิดวา่ เป็นเพราะเขาเขา้ ใจเราผิด เขาถงึ พูดอย่างน้ ี หรือไดพ้ จิ ารณา วา่ ทเี่ ขาพูดมานนั้ ถูกหรอื ไม่ มีประโยชนแ์ คไ่ หน เราจะคิดแบบน้ีได้ถ้าไม่เผลอให้ความโกรธเกิดข้ึนมาเสียก่อน แตถ่ า้ ปลอ่ ยใหค้ วามโกรธ ความหงดุ หงดิ เกดิ ขนึ้ มาแลว้ จะคดิ แบบน ี้ ไมไ่ ด ้ การคดิ แบบนเ้ี ราเรยี กวา่ โยนโิ สมนสกิ าร แปลงา่ ยๆ วา่ คดิ ถกู คดิ ชอบ หรอื ฉลาดคดิ เชน่ แทนทจ่ี ะโกรธเพราะค�ำตำ� หนขิ องเขาก็ มาพจิ ารณาวา่ ทเี่ ขาพดู มานนั้ จรงิ ไหม มปี ระโยชนไ์ หม หรอื มอง หาแง่ดีจากค�ำต�ำหนิน้ัน จะว่าไปแล้วค�ำต�ำหนิทั้งหลายมีประโยชน์ ทงั้ นน้ั ไมม่ ากกน็ อ้ ย อยทู่ วี่ า่ เราจะมองเหน็ หรอื รจู้ กั เลอื กใชป้ ระโยชน์ หรอื ไม่ เมอื่ ใชโ้ ยนโิ สมนสกิ าร หรอื ฉลาดคดิ อารมณค์ วามรสู้ กึ นกึ คดิ กจ็ ะไปอกี ทางหนง่ึ แทนทจี่ ะโกรธ อยากจะตอบโตเ้ ขา กอ็ าจจะรสู้ กึ เฉยๆ หรอื ขอบคณุ เขาดว้ ยซำ�้ ทที่ ำ� ใหเ้ ราไดแ้ งค่ ดิ ในทำ� นองเดยี วกนั เวลาเราไดย้ นิ คำ� ชม ถา้ ไมม่ สี ต ิ ใจกพ็ องโต ดใี จ เคลบิ เคลม้ิ ตวั ลอย อยากไดย้ นิ ไดฟ้ งั แบบนอ้ี กี แตถ่ า้ เรามสี ต ิ กอ็ าจจะไดค้ ดิ วา่ วนั นเ้ี ขา ชมเรา พรงุ่ นเี้ ขากอ็ าจจะตำ� หนเิ รา มนั ไมแ่ น ่ อยา่ หลง มนั ชว่ ยทำ� ให ้ เราไม่เคล้ิมไปกับคำ� ชมน้ัน จิตกลับมาเป็นปกติ จะเรียกว่าอุเบกขา ก็ได้ คือไม่ยนิ ดกี บั คำ� ชมน้ัน
124 เ ป็ น อ ยู่ ด ้ ว ย ส ติ แ ล ะ ป ั ญ ญ า เราควรเปิดโอกาสให้ใจของเราเดินไปในทางนี้ ที่ผ่านมา เรา ปลอ่ ยใหใ้ จคดิ และรสู้ กึ ไปแตใ่ นลเู่ ดยี วทางเดยี ว หรอื อยใู่ นรอ่ งเดยี ว คอื พอไดย้ นิ ปบุ๊ เกดิ ผสั สะขนึ้ มากป็ ลอ่ ยใหเ้ กดิ เวทนา ตณั หา อปุ าทาน เลย เกดิ ตามกนั มาเปน็ ขบวน ถา้ สมั ผสั กบั สงิ่ ทเี่ ปน็ บวกกช็ อบใจ อยาก จะได้หรือครอบครองอย่างเดียว เช่น เด็กสมัยน้ีเมื่อได้ยินได้เห็น ได้กลิ่น หรือว่าได้สัมผัสอะไรท่ีท�ำให้เกิดความสุขขึ้นมา ก็อยากจะ ไดอ้ ยา่ งเดยี วเลย รบเรา้ เซา้ ซพ้ี อ่ แมใ่ หห้ าซอื้ มาให ้ ไมเ่ ปน็ อนั ท�ำอะไร ถา้ พอ่ แมไ่ มซ่ อ้ื ให ้ หรอื ไมม่ เี งนิ กอ็ าจจะไปขโมย อาจจะไปคา้ ยา หรอื อาจจะไปขายตวั อนั นเ้ี พราะอารมณม์ นั พาไป เพราะคนเดย๋ี วนป้ี ลอ่ ย ให้อารมณ์พาไปมาก เรียกว่า ถูกชักจูงด้วยอารมณ์หรือด้วยความ รสู้ กึ เพราะวา่ ใจถกู ฝกึ ใหแ้ ลน่ ไปในรอ่ งนมี้ าตงั้ แตเ่ ลก็ แลว้ เชน่ เวลา พ่อแม่พาเด็กไปเท่ียว ซ้ือของเล่นให้ ก็มักจะถามว่าสนุกไหมแต่ ไม่ค่อยถามว่าได้เห็นอะไรบ้าง ท�ำไมรถมันว่ิงได้ เวลาลูกดูการ์ตูน หรือดูหนัง ก็มักถามว่าลูกว่าสนุกไหม แต่ไม่ถามว่าได้แง่คิดอะไร บา้ งหรอื มนั เปน็ เรอ่ื งราวเกย่ี วกบั อะไร เมอ่ื เปน็ เชน่ น ี้ เดก็ เลยไมถ่ กู กระตุ้นให้เกิดปัญญา สนใจแต่เร่ืองอารมณ์ ความรู้สึก คือชอบ ไมช่ อบ สนกุ ไม่สนุก เท่านัน้ พอโตเปน็ ผู้ใหญก่ ต็ อบไดแ้ ค่น ้ี หรือ สนใจเพยี งแคน่ ้ี การท่ีเราปล่อยใจให้มันแล่นไปตามอารมณ์อย่างน้ี ไปตาม ร่องนี้อยู่บ่อยๆ ก็ทำ� ให้เรามีชีวิตอยู่ด้วยความรู้สึก ความรู้สึกในท่ีน้ี ไมใ่ ชค่ วามรสู้ กึ ตวั แตห่ มายถงึ อารมณค์ วามรสู้ กึ คอื ความชอบ ไมช่ อบ จะท�ำอะไรก็เพราะชอบ จะไม่ท�ำอะไรก็เพราะไม่ชอบ แต่ไม่ได้
125 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล พจิ ารณาวา่ มนั ด ี ไมด่ ี ถกู ไมถ่ กู ของบางอยา่ งทมี่ ปี ระโยชน ์ แตถ่ า้ เราไมช่ อบ กไ็ มส่ นใจ เชน่ เรยี นหนงั สอื หรอื กนิ ยาขม ฉนั ไมช่ อบ เพราะฉะน้ันฉันไม่เอา แต่ถ้าส่ิงไหนไม่ดีแต่ฉันชอบ ฉันก็เอา เช่น อบายมขุ หรอื เกมตา่ งๆ ทเ่ี ลน่ จนตดิ ไมเ่ ปน็ อนั กนิ อนั นอน ทงั้ ๆ ท่ ี มโี ทษ แตก่ ห็ า้ มตวั เองไมไ่ ด ้ เพราะวา่ ไมไ่ ดถ้ กู ฝกึ มาใหใ้ ชค้ วามคดิ หรอื พิจารณาดว้ ยปัญญา แต่ถูกเลย้ี งดมู าโดยให้ใช้แตค่ วามรู้สกึ การปล่อยใจให้แล่นไปตามอารมณ์ความรู้สึกพอใจ ไม่พอใจ ท�ำให้เราเป็นทาสของส่ิงเร้าภายนอก เป็นทาสของรูป รส กล่ิน เสียง สัมผัส ถ้าเป็นรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสท่ีน่าพอใจก็เป็นสุข ถ้าเจอรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสที่ไม่น่าพอใจก็เป็นทุกข์ ชีวิต แบบนี้หาความสุขที่ยั่งยืนไม่ได้ เพราะเราต้องเจอสิ่งที่ไม่พอใจอยู่ เสมอ ไม่วา่ จะพยายามหลกี หนีเพียงใดก็ตาม ดังน้ันเราจึงควรฝึกใจให้เดินไปอีกทางหน่ึง คือ เวลามีผัสสะ ข้ึนมาก็มีสติรู้ทัน ไม่ปรุงไปเป็นเวทนาทางใจ หรือถ้าเกิดความ ไม่สบายใจข้ึนมาก็มีสติ ไม่ปล่อยให้ปรุงต่อเป็นความไม่พอใจ หรือ ความโกรธ ความเศรา้ พอเรารเู้ ทา่ ทนั เวทนา ไมว่ า่ จะเปน็ สขุ เวทนา ทุกขเวทนา ปัญญาก็จะเข้ามารับช่วงต่อได้ หรือถึงแม้จะปรุงเป็น อารมณ์เกิดขึ้นแล้ว ถ้ามีสติก็วางอารมณ์น้ันได้ เปิดช่องให้ปัญญา ท�ำงานต่อ ไม่ว่าได้ยินได้ฟังอะไร ใจก็สามารถพิจารณาในทางท่ีถูก เกิดโยนิโสมนสิการข้ึน เช่น เวลาถูกคนต�ำหนิ แล้วเราเผลอโกรธ ข้ึนมา แต่พอรู้ทันความโกรธน้ัน ก็สามารถนึกคิดไปในทางที่เป็น
126 เ ป ็ น อ ย ู่ ด ้ ว ย ส ติ แ ล ะ ป ั ญ ญ า กศุ ลได ้ เชน่ แทนทจ่ี ะโกรธเขาวา่ ทำ� ไมถงึ พดู กบั ฉนั อยา่ งน ้ี กไ็ ดค้ ดิ ขึ้นมาว่าท�ำไมเราจะต้องไปทุกข์เพราะลมปากของเขาด้วย ไม่เห็น นา่ ทกุ ขเ์ ลย การคิดแบบน้ีช่วยท�ำให้เราเป็นอยู่ด้วยสติ เป็นอยู่ด้วย ปัญญามากขึน้ เดี๋ยวนี้เราไม่ค่อยเปิดโอกาสให้ความคิดแบบที ่ เรยี กวา่ โยนโิ สมนสกิ าร หรอื การคดิ ถกู คดิ ชอบ หรอื ฉลาดคิด เข้ามาทำ� งาน เพราะเราขุดร่องความรู้สึก นึกคิดเอาไว้ให้มันไปในแนวเดียว ความรู้สึกนึกคิด ของเรากเ็ หมอื นกบั กระแสน้�ำ ถา้ มอี ยรู่ อ่ งเดยี ว มนั กไ็ หลไปทางนน้ั แหละ มหิ นำ� ซำ�้ เรายงั ขยายรอ่ งเดมิ นใี้ หม้ นั กวา้ งขนึ้ ๆ เหมอื นกบั ทร่ี ถแบคโฮมาขดุ รอ่ ง ขยายรอ่ งใหก้ วา้ งขนึ้ กท็ ำ� ใหใ้ จแลน่ ไปในทางนี้ทางเดียว ซึ่งมักจะเป็นทางอกุศล สร้างความทุกข์ให้แก ่ เราเอง ถงึ เวลาแลว้ ทเี่ ราจะตอ้ งขดุ รอ่ งความรสู้ กึ นกึ คดิ ใหไ้ ปอกี ทาง หนง่ึ คอื ไปในทางกศุ ล โดยการมสี ตติ ง้ั แตเ่ กดิ ผสั สะ หรอื มสี ตเิ มอ่ื เกดิ เวทนา ไม่ว่าจะเป็นสุขเวทนา ทุกขเวทนา เพื่อเปิดช่องให้ปัญญา หรือโยนโิ สมนสกิ ารเขา้ มารับชว่ งต่อ เวลาเจบ็ ปว่ ย แทนทจ่ี ะเอาแตค่ รำ่� ครวญดว้ ยความทกุ ข ์ เราควร มสี ตเิ หน็ เวทนา ไมจ่ มอยใู่ นเวทนา ใจจะหลดุ จากเวทนา ทำ� ใหไ้ ดค้ ดิ ขนึ้ มาวา่ ทเี่ ราเจบ็ ปว่ ยเปน็ เพราะเราใชช้ วี ติ ไมถ่ กู ตอ้ ง ไมอ่ อกก�ำลงั กาย กินอาหารตามใจปาก หรือเครียดมากไป หากรู้จักใคร่ครวญ อยา่ งนกี้ ไ็ ดป้ ระโยชนจ์ ากความเจบ็ ปว่ ย คอื รวู้ า่ จะตอ้ งปรบั ปรงุ ตวั เอง
127 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล อย่างไร ไม่ปลอ่ ยให้ชีวิตเปน็ เหมือนเดิม อยากจะเน้นว่า ไม่ว่าเราเจออะไรก็ตาม ก็ไม่ส�ำคัญเท่ากับว่า เราเจออย่างไร หรือมีท่าทีกับมันอย่างไร เช่น เอาแต่ตีอกชกตัว หรอื วา่ มสี ต ิ มปี ญั ญาพจิ ารณาสง่ิ ทเ่ี กดิ ขน้ึ หรอื รจู้ กั หาประโยชนจ์ าก เหตุการณ์เหล่าน้ัน เช่นเวลาเงินหาย ทีแรกก็ทุกข์ แต่ถ้าเรามีสติ จะทุกข์ไม่นาน เมื่อมีสติก็จะได้คิดว่า เงินหายร้อยบาท ดีกว่าหาย พนั บาท พอคดิ แบบนไ้ี ด ้ กห็ ายทกุ ขห์ ายเสยี ดาย บางทกี อ็ นโุ มทนา ดว้ ยซำ�้ ไป บางคนอาจคดิ แบบนว้ี า่ ตอนเดก็ ๆ ฉนั คงขโมยเงนิ เขามา ชาตทิ แี่ ลว้ ฉนั คงโกงเงนิ เขามา ถงึ ตอนนกี้ ถ็ อื วา่ คนื เขาไปแลว้ กนั คดิ แบบนก้ี ท็ ำ� ใหห้ ายทกุ ขไ์ ด ้ เรยี กวา่ เปน็ การคดิ แบบโยนโิ สมนสกิ ารคอื คดิ เปน็ คดิ ชอบ คดิ แบบเรา้ กศุ ล ถา้ เราคดิ แบบนบ้ี อ่ ยๆ มนั กก็ ลาย เปน็ รอ่ งความคดิ อกี รอ่ งหนง่ึ ทแี รกรอ่ งนกี้ อ็ าจเปน็ รอ่ งเลก็ ๆ นะ แต ่ ถา้ เราคดิ แบบนบี้ อ่ ยๆ รอ่ งความคดิ นกี้ ค็ อ่ ยๆ ลกึ ขนึ้ ๆ กวา้ งขนึ้ ตอ่ ไป ก็กลายเป็นร่องใหญ่ ความรสู้ กึ นกึ คดิ กเ็ หมอื นกระแสนำ�้ เวลาทนี่ ำ้� เปลย่ี นทางกเ็ พราะ มนั มรี อ่ งใหมท่ ด่ี กี วา่ ทใ่ี หญก่ วา่ ทลี่ กึ กวา่ กระแสนำ้� กจ็ ะเปลยี่ นทาง ความคดิ ของเรากเ็ หมอื นกนั มนั ควรจะตอ้ งเปลย่ี นทาง ทแ่ี ลว้ มามนั ไปทางเดยี ว ไปในทางทกี่ อ่ ใหเ้ กดิ ทกุ ข ์ คอื เกดิ ผสั สะแลว้ กต็ อ่ ไปเปน็ เวทนา ตณั หา อปุ าทานเลย ตามมาดว้ ย ภพ ชาต ิ ชรา มรณะ ทกุ ข์ โทมนสั ตามหลกั ปฏจิ จสมปุ บาท นคี้ อื กระแสความคดิ ของคนทว่ั ไป ทไ่ี มม่ กี ารศกึ ษา คำ� วา่ “ไมม่ กี ารศกึ ษา” ในทน่ี ้ี ไมไ่ ดห้ มายความวา่
128 เ ป ็ น อ ย ู่ ด ้ ว ย ส ติ แ ล ะ ป ั ญ ญ า ไม่ไดเ้ ขา้ โรงเรียนนะ แตห่ มายความว่า ไมไ่ ด้ฝึกฝนจติ ใจไว้เลย แตถ่ า้ เราเปน็ ผทู้ ม่ี กี ารปฏบิ ตั ิ มกี ารฝกึ ฝนจติ ใจ กเ็ ทา่ กบั วา่ เรา ไดข้ ดุ รอ่ งใหมใ่ หแ้ กก่ ระแสความรสู้ กึ นกึ คดิ ของตวั เอง เวลาเกดิ ผสั สะ ข้ึนมา มันก็จะไปอีกร่องหนึ่งเลย คือเกิดสติข้ึนมา ไม่ว่าจะเกิด ทุกขเวทนา สุขเวทนา พอมีสติ ปัญญาก็ตามมารับช่วงต่อ ท�ำให ้ เกิดความคิดท่ีเป็นกุศล ไม่ว่าจะเจอค�ำต�ำหนิ หรือค�ำชม ไม่ว่าจะ สูญเสีย เงินหาย ประสบความพลัดพราก เจ็บป่วย ใจก็จะไม่ไป ในทางอกุศล หรือเกิดทุกข์ แต่จะไปในทางกุศล เพราะว่าเราได้คิด ข้ึนมา เวลาได้โชคได้ลาภก็ไม่มัวดีใจจนลืมตัว แต่จะคิดในแง่ที่ว่า เราจะใช้เงินก้อนน้ีอย่างไรดีเพื่อให้เกิดประโยชน์มากท่ีสุด ไม่ใช ่ แกเ่ ราเองเทา่ นน้ั แตเ่ ปน็ ประโยชนแ์ กค่ นอนื่ ดว้ ย ไมใ่ ชว่ า่ พอไดอ้ ะไร ขึ้นมาก็จะหวงแหนเก็บเอาไว้คนเดียว หรือเวลามีคนมาชวนให้เรา ไปทำ� อะไร รอ่ งความคดิ เดมิ กจ็ ะถามวา่ ทำ� แลว้ ฉนั จะได้อะไร เดย๋ี วนค้ี นมกั ถามแบบนบ้ี อ่ ยมากวา่ ทำ� แลว้ ฉนั จะไดอ้ ะไร คอื คิดแต่จะได้ แต่ถ้าถึงคราวจ่ายก็จะมองไปที่คนอื่น ชาวบ้านเด๋ียวนี ้ เวลาจะซอ่ มถนน จะขดุ ถนน จะสรา้ งสะพาน กจ็ ะถามขน้ึ มาเลยวา่ จะเอางบประมาณมาจากไหน อบต. ให้เงินมาหรือเปล่า รัฐบาลให้ เงินมาหรือเปล่า ถ้า อบต. ไม่ให้เงินมา รัฐบาลไม่ให้เงินมา ฉันก็ อยู่เฉย ไม่คดิ ทจ่ี ะซ่อมถนนหรอื สะพานด้วยตวั เอง
129 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล เคยมีคนมาเห็นศาลาของวัดป่าสุคะโต สมัยนั้นมีแต่ศาลา ยกพ้ืนไม่ได้เทปูนด้วยซ้�ำไป มีหลายคนเม่ือเห็นว่าศาลาใหญ่ก็มัก ถามว่าได้เงินจากที่ไหนมา คือเขาคิดแต่เพียงว่าจะท�ำอะไรก็ตาม ต้องมีคนอ่ืนให้เงินมา จะไม่คิดลงทุนด้วยตัวเองหรือท�ำด้วยน�้ำพัก นำ�้ แรงของตวั เอง ชาวบ้านเปน็ อันมากคดิ แตแ่ ง่น้ีแงเ่ ดียว คอื จะทำ� กต็ อ่ เมอ่ื มคี นใหเ้ งนิ มา ถา้ ไมม่ คี นใหเ้ งนิ ฉนั กไ็ มท่ ำ� ทง้ั ๆ ทต่ี วั เอง กม็ ีกำ� ลังมากมาย เด๋ียวนี้เราจะเห็นว่าเวลามีการร้องทุกข์ตามโทรทัศน์ บางทีม ี ชาวบ้านรูปร่างก�ำย�ำ ๒๐-๓๐ คน มายืนเรียกร้องรัฐบาลว่า ถนน เขา้ หมบู่ า้ นของฉนั เปน็ หลมุ เปน็ บอ่ ทำ� ไมรฐั บาลไมท่ ำ� อะไรเลย แต่ เขาไม่ได้ถามตัวเองว่า แล้วท�ำไมเราจึงนิ่งเฉย คอยพ่ึงพาคนอ่ืน เดี๋ยวนี้ผู้คนไม่คิดจะพ่ึงตัวเอง อันนี้เป็นร่องความคิดท่ีเป็นกันมาก เชน่ เดยี วกนั เวลามคี นมาขอใหช้ ว่ ยทำ� อะไรสกั อยา่ ง กต็ อ้ งถามกอ่ น วา่ ท�ำแล้วฉนั จะไดอ้ ะไร แต่ถ้าเรามีร่องความคิดไปอีกทางหน่ึง คือ แทนที่จะถามว่า ท�ำแล้วฉันจะได้อะไร ก็จะถามว่า ถ้าท�ำแล้วมันจะเกิดประโยชน์ต่อ สว่ นรวมไหม จะเกดิ ประโยชนต์ อ่ หมคู่ ณะ ตอ่ สงั คมหรอื เปลา่ อนั น้ ี เป็นวิธีคิดซ่ึงก่อให้เกิดกุศล คนสมัยก่อนก็คิดแบบนี้กัน เขาไม่ค่อย คิดถึงตัวเอง แต่คิดถึงส่วนรวมมากกว่า เพราะถือว่าเป็นบุญกุศล อนั นเี้ รยี กวา่ เปน็ อยดู่ ว้ ยสตแิ ละปญั ญา ไมไ่ ดเ้ อาความชอบใจ ความ ไม่ชอบใจเป็นหลัก
130 เ ป ็ น อ ย ู่ ด ้ ว ย ส ติ แ ล ะ ป ั ญ ญ า ฉะนนั้ ถา้ เราขดุ รอ่ งของความคดิ ใหเ้ ปน็ ไปในทางทปี่ ระกอบไป ดว้ ยสต ิ ปญั ญากจ็ ะเกดิ เรากจ็ ะคดิ ไปในทางทเ่ี ปน็ กศุ ล การคดิ แบบนี ้ จะทำ� ใหเ้ ราเปน็ อยดู่ ว้ ยปญั ญา ไมไ่ ดเ้ ปน็ อยดู่ ว้ ยความรสู้ กึ เราจะไมเ่ อา ความชอบใจไมช่ อบใจเปน็ ใหญ่ แตเ่ ราจะเอาความถกู ตอ้ งชอบธรรม เปน็ ใหญ ่ หากเปน็ สงิ่ ถกู ตอ้ ง แมว้ า่ จะท�ำใหเ้ กดิ ทกุ ขเวทนากต็ อ้ งท�ำ เชน่ นกั เรยี นเวลาทำ� การบา้ นกต็ อ้ งเหนอื่ ยตอ้ งลำ� บาก แตว่ า่ ทำ� แลว้ เกิดสติปัญญาขึ้นมา ก็เป็นสิ่งท่ีควรท�ำ ยาแม้จะขม แต่กินแล้ว สุขภาพดีขึ้นก็ควรกิน ปฏิบัติธรรมแม้จะน่าเบ่ือแต่มีประโยชน์ ก ็ ควรทำ� เชน่ กนั หากคนเราปลอ่ ยชวี ติ ใหข้ นึ้ อยกู่ บั ความถกู ใจ ไมถ่ กู ใจ ชอบใจ ไม่ชอบใจ ชีวิตก็จะเจริญไม่ได้ แต่ถ้าเราเอาความถูกต้องเป็นใหญ่ ชวี ติ เราจะมแี ตค่ วามเจรญิ แตจ่ ะเอาความถกู ตอ้ งเปน็ ใหญไ่ ด ้ กต็ อ้ ง ฝึกให้ใจเรามีสติ เวลามีอะไรมากระทบ ไม่ว่าจะเจอผัสสะแบบไหน ก็จะไม่ปล่อยให้ทุกขเวทนาหรือสุขเวทนาลากไปในทางอกุศล คือ ลากไปทางตณั หา อุปาทาน ซ่งึ ในท่สี ดุ ก็ตอ้ งลงเอยดว้ ยความทกุ ข์ ชีวิตจะเป็นอยู่ด้วยสติและปัญญา ต้องอาศัยการฝึกฝน ใหม่ๆ กต็ อ้ งใชค้ วามพยายาม ไมป่ ลอ่ ยใจใหอ้ ารมณค์ วามรสู้ กึ ครอบง�ำหรอื ลากไป ตอ้ งทวนกระแสนสิ ยั เดมิ ๆ แคพ่ อไดย้ นิ คำ� วจิ ารณ ์ เรากโ็ มโห นี้เป็นปฏิกิริยาที่บ่มเพาะจนเป็นนิสัย เราสะสมนิสัยอย่างนี้มานาน แล้ว การที่จะคิดหรือรู้สึกไปอีกทางหนึ่งจึงเป็นเร่ืองยาก แต่ถ้า เราท�ำบ่อยๆ มันจะท�ำงานโดยอัตโนมัติเอง เจออะไรมากระทบก็จะ
131 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล ไม่คร่�ำครวญแล้ว แต่จะใคร่ครวญว่ามันมีอะไรท่ีเป็นประโยชน์บ้าง มีอะไรที่ต้องแก้ไขบ้าง เรียกว่าได้ความรู้ตลอดเวลา จึงอยากเชิญ ชวนใหเ้ รามาสรา้ งรอ่ งความคดิ ใหมท่ เ่ี ปน็ กศุ ล โดยใชส้ ตเิ ปน็ ตวั ชกั นำ� แลว้ มปี ญั ญาคอยรบั ชว่ งตอ่ ท�ำใหค้ ดิ ถกู คดิ ชอบ กจ็ ะทำ� ใหช้ วี ติ เรา เจรญิ ถ่ายเดียว ไม่มเี สอ่ื ม
133 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล อบุ ายแก้นิวรณ์ เรอ่ื งของการปฏบิ ตั ธิ รรมนนั้ แตล่ ะคนจะรสู้ กึ วา่ ยากงา่ ยแตกตา่ ง กนั ไป เพราะอปุ นสิ ยั ของแตล่ ะคนไมเ่ หมอื นกนั บางคนมรี าคะ โทสะ โมหะมาก มันก็จะมารบกวนในรูปของนิวรณ์ท่ีเป็นอุปสรรคต่อการ ทำ� สมาธ ิ เชน่ ฟงุ้ ซา่ น งว่ งนอน หงดุ หงดิ ลงั เลสงสยั นกึ ถงึ คนรกั หรือโหยหาอาหารท่ีอร่อย คนท่ีติดความสบายพอมาปฏิบัติก็จะเกิด ความทุกข์ เช่น รู้สึกว่าอาหารไม่อร่อย ที่พักไม่ดี รู้สึกว่าต้องทน ลำ� บาก ตอ้ งฝนื ใจ เกดิ ความไมพ่ อใจตามมา อนั นเ้ี รยี กวา่ เปน็ ทกุ ขา- ปฏปิ ทา คอื ปฏบิ ตั ดิ ว้ ยความยากลำ� บาก แตบ่ างคนไมต่ ดิ ความสบาย ไม่ค่อยมีราคะ โทสะ โมหะ จึงปฏิบัติได้ง่ายและสะดวก ไม่ได้รู้สึก ล�ำบากหรือฝืนใจอะไร ความง่วง ความหงุดหงิด กามราคะไม่มา รบกวน อยา่ งนเี้ รียกว่า สุขาปฏิปทา คนทปี่ ฏบิ ตั ลิ ำ� บากอาจเปน็ เพราะทำ� ดว้ ยความอยาก คอื อยากสงบ อยากบรรลุธรรมไวๆ หรือท�ำด้วยความตั้งใจมากเกินไป เลยรู้สึก เครยี ด การปฏบิ ตั จิ งึ กลายเปน็ เรอ่ื งยาก กลายเปน็ ทกุ ขาปฏปิ ทาไป
134 อ ุ บ า ย แ ก ้ น ิ ว ร ณ์ แต่คนท่ีไม่ได้ปฏิบัติด้วยความอยากมี อยากเอา รู้จักวางใจ ให้สบายๆ เกิดความก้าวหน้าได้เร็ว จึงเป็นสุขาปฏิปทา แต่ก็ไม่ได้ หมายความวา่ คนทปี่ ฏบิ ตั งิ า่ ยหรอื ราบรน่ื จะไดผ้ ลไวเสมอไป หรอื วา่ คนทป่ี ฏบิ ตั ยิ าก มนี วิ รณม์ ารบกวนมาก จะไดผ้ ลชา้ เสมอไป เปรยี บ เหมอื นกบั นกั เรยี นทฉ่ี ลาดหวั ไว แตข่ เ้ี กยี จ การเรยี นหนงั สอื เปน็ เรอ่ื ง งา่ ยสำ� หรบั เขา แตเ่ นอื่ งจากไมค่ อ่ ยเขา้ หอ้ งเรยี น ไมช่ อบทำ� การบา้ น จงึ อาจจบชา้ วา่ นกั เรยี นทห่ี วั ทบึ แตข่ ยนั ส�ำหรบั นกั เรยี นประเภทหลงั การเรียนหนังสือเป็นเรื่องยากมาก กว่าจะท�ำการบ้านเสร็จก็เหน่ือย แตเ่ พราะเขาเปน็ คนขยนั จงึ อาจจบเรว็ กวา่ นกั เรยี นประเภทแรกกไ็ ด้ แต่ถา้ ใครทเ่ี ปน็ คนขยันและหัวไวด้วย ก็ย่อมเรียนงา่ ยและจบไว ดงั น้นั เรื่องของความยากงา่ ยในการปฏิบตั ิ มันขึ้นอย่กู บั วา่ มี กเิ ลสมากนอ้ ยแคไ่ หน แตว่ า่ จะไดผ้ ลเรว็ หรอื ไมน่ นั้ ขน้ึ อยกู่ บั อนิ ทรยี ์ คอื ปญั ญา ศรทั ธา ความเพยี ร สมาธ ิ และสต ิ ของพวกนเ้ี ปน็ สงิ่ ท่ี มีอยู่แต่เดิมแล้ว บางคนมีทั้งราคะ โทสะ โมหะ แต่ก็มีความเพียร มปี ญั ญา แมจ้ ะตอ้ งตอ่ สคู้ วามงว่ ง ความหงดุ หงดิ หรอื กามราคะ แต ่ ก็มีปญั ญาไวในการเข้าใจธรรมะ ก็ส�ำเรจ็ ไปไดเ้ หมอื นกนั อยา่ งพระโมคคลั ลานะไดช้ อื่ วา่ เปน็ ผทู้ ป่ี ฏบิ ตั ยิ าก ปฏบิ ตั ลิ �ำบาก แตบ่ รรลไุ ดไ้ ว สว่ นพระสารบี ตุ รไดช้ อื่ วา่ เปน็ ผปู้ ฏบิ ตั งิ า่ ยและบรรลไุ ว แม้กระน้ันพระโมคคัลลานะก็ยังบรรลุได้ไวกว่าพระสารีบุตร ถึงแม ้ ทา่ นจะไมฉ่ ลาดเทา่ และตอ้ งปฏบิ ตั ดิ ว้ ยความยากล�ำบาก เพราะความ ง่วงมารบกวนท่านมากก็ตาม พระโมคคัลลานะบรรลุอรหัตตผลใน
135 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล ๗ วนั สว่ นพระสารบี ตุ รบรรลอุ รหตั ตผลใน ๑๔ วนั ดว้ ยการฟงั ธรรมะ ที่พระพุทธเจ้าเทศน์ให้ท่านอ่ืนฟัง พระสารีบุตรแค่นั่งฟังอยู่ด้วย ก็บรรลุธรรมได้ ส่วนพระโมคคัลลานะต้องปฏิบัติล�ำบาก ต้องสู้กับ ความง่วงสารพดั กวา่ จะบรรลธุ รรมได้ ดังน้ัน อย่าไปคิดว่าฉันปฏิบัติยากแล้วจะต้องได้ผลช้า ไม่แน ่ เสมอไป หรือคนท่ีปฏิบัติง่าย ก็อย่าเพิ่งประมาทว่าตัวฉันจะเห็นผล ได้เร็ว อันน้ีไม่เก่ียว มันเป็นคนละส่วนกัน การปฏิบัติยากง่ายเป็น เรอื่ งของกเิ ลส แตป่ ฏบิ ตั แิ ลว้ จะไดผ้ ลชา้ หรอื เรว็ เปน็ เรอ่ื งของอนิ ทรยี ์ เป็นธรรมดาท่ีการปฏิบัติจะต้องมีส่ิงรบกวนอยู่เสมอ ไม่ว่าจะ เป็นสิ่งที่เรียกว่า นิวรณ์ หรือ อกุศลวิตก ก็ดี ส่ิงเหล่าน้ีเป็นเร่ือง ธรรมดาทเี่ กดิ ขึ้นส�ำหรับนักปฏบิ ตั ิ แต่เมื่อมันเกิดข้ึน เราจะไม่ใชว้ ิธ ี กดข่มหรือปฏิเสธผลักไส รวมทั้งไม่ปล่อยใจให้ไหลไปตามอารมณ์ เหล่านั้น เราไม่ใช้ทั้งวิธีเพ่งและปล่อยใจให้เผลอ แต่ให้รู้อารมณ์ ทเี่ กดิ ขนึ้ ใหม้ สี ต ิ คอื ความรตู้ วั ไมล่ มื ไมห่ ลง นเ่ี ปน็ วธิ แี รกทจ่ี ะปฏบิ ตั ิ ตอ่ นิวรณ์ แต่ถ้าสติของเรายังอ่อน บางครั้งอารมณ์มันมาแรงมาก สติก ็ เอาไม่อย่เู หมอื นกนั เปรียบไดก้ ับรถที่แล่นมาเรว็ ๆ ถา้ เบรกไม่ดีพอ ก็หยุดรถไม่ได้เหมือนกัน หากเราจะสู้กับมันซ่ึงๆ หน้า โดยใช้สติ อย่างเดียว เห็นจะไม่ได้ผล เราก็ต้องมีวิธีหรืออุบายอย่างอื่นเข้ามา เสริมด้วย ซึ่งพระพุทธองค์ได้ทรงแนะน�ำไว้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน
136 อ ุ บ า ย แ ก ้ น ิ ว ร ณ์ เริ่มตั้งแต่ การเอานิมิตอ่ืนมาเป็นอารมณ์แทน “นิมิต” ในที่นี้ไม่ได้ หมายถงึ แสง ส ี เสยี ง แตห่ มายถงึ สงิ่ ทเี่ ราเอามาเปน็ จดุ สนใจของ จิตหรือเป็นฐานของการปฏิบัติ เช่น ลมหายใจหรืออิริยาบถ การ สรา้ งจงั หวะ เดนิ จงกรม พดู อกี อยา่ งคอื เอาสงิ่ อน่ื มาเปน็ จดุ สนใจของ จติ แทน จะเรยี กวา่ หนั เหความสนใจของจติ ออกจากสงิ่ ทม่ี ารบกวน กไ็ ด ้ อยา่ งเชน่ ถา้ เดนิ จงกรมแลว้ รสู้ กึ งว่ งมาก เราลองหนั หนา้ มอง ไปไกลๆ หรือเงยหน้ามองท้องฟ้า การเปลี่ยนจุดสนใจก็อาจช่วยให ้ หายงว่ งได ้ เวลามคี วามโกรธกเ็ ชน่ กนั ถา้ สตขิ องเรายงั ออ่ น หากใช้ สติดูความโกรธ ก็อาจเผลอจมลงไปในความโกรธ โดนความโกรธ ครอบง�ำเอา จึงต้องเอาส่ิงอ่ืนมาเป็นจุดสนใจแทน เช่น หันไปตาม ลมหายใจ หายใจเขา้ ลกึ ๆ หายใจออกยาวๆ บางคร้ังพระพุทธเจ้าก็ทรงแนะน�ำให้ใช้วิธีทบทวนข้อธรรมที ่ ไดย้ นิ ไดฟ้ งั มา ในเวลาทตี่ อ้ งตอ่ สกู้ บั ความงว่ ง อยา่ งพระโมคคลั ลานะ ทา่ นใชว้ ธิ นี ี้ พอไดท้ บทวนขอ้ ธรรมกห็ ายงว่ งไดเ้ หมอื นกนั อนั นเี้ รยี ก ว่าเอานิมติ อื่นมาเป็นอารมณ์แทน คือถา้ จะไปมีสติดคู วามง่วง อาจ ไม่ได้ผล ตอ้ งหาสง่ิ อื่นมาเป็นอารมณ์หรือเปน็ จุดสนใจของจิตแทน วิธีหนึ่งที่ช่วยได้บ้างแต่ไม่ควรใช้บ่อย ควรใช้เป็นวิธีสุดท้าย หลงั จากใชว้ ธิ อี นื่ แลว้ เชน่ ขณะทเี่ รางว่ ง เราลองนกึ ถงึ ใครสกั คนท่ี เราโกรธหรือเกลียด บางคร้งั ก็ทำ� ใหห้ ายงว่ งได้เหมือนกัน เพราะว่า จติ จะถกู กระตนุ้ ใหต้ น่ื ตวั หรอื อาจรสู้ กึ เหมอื นถกู ไฟลนเลยทเี ดยี วแต ่ ว่าวิธีน้ีไม่ควรใช้บ่อย เพราะมันมีผลเสียดว้ ย เหมอื นกบั เวลาเราจะ
137 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล ไลห่ นทู มี่ าทำ� รงั ในบา้ น ถา้ เราใชว้ ธิ จี ดุ ไฟไล ่ มนั กเ็ สยี่ งอนั ตรายเกนิ ไป มันไลห่ นไู ด้จรงิ อย ู่ แตก่ ็อาจท�ำให้ไฟลกุ ไหม้บ้านได้ สรปุ วา่ อบุ ายวธิ แี กน้ วิ รณว์ ธิ ที ี่ ๒ การไมเ่ อาใจใสก่ บั อารมณน์ น้ั หรือเรียกว่าเปลี่ยนอารมณ ์ คือไปสนใจอย่างอ่ืนแทนเพ่ือดึงจิตออก จากอารมณ์อกุศล เวลาอกุศลวิตกเกิดขึ้นรบกวนจิตใจ เราก็หันไป จดจอ่ อยา่ งอน่ื แทน เรยี กวา่ หนั หลงั ใหม้ นั หรอื ไมใ่ สใ่ จมนั หากจะไป สู้กับมันตรงๆ ก็ไม่ไหว จึงต้องหันหลังให้มัน หรือหันไปสนใจกับ สิ่งอ่ืนๆ แทน อันน้ีเป็นวิธีที่เราใช้กันปกติอยู่แล้ว เช่น เวลาเราเครียดหรือ กลุ้มใจ เราก็ไปฟังเพลง หรือไปหาขนมอร่อยๆ กิน นี้เป็นวิธีที่เรา ใช้ในชีวิตประจำ� วัน แต่ว่ามันไม่ดี เพราะเป็นการพึ่งพาสิ่งภายนอก มากเกินไป และเป็นการส่งเสริมให้ใจไปติดยึดในกามมากข้ึน แต่น้ ี เป็นวิธีท่ีคนใช้กันบ่อยๆ บางทีก็ไปดื่มเหล้า ไปหาความสนุกสนาน ไปเทย่ี วเพอ่ื แกค้ วามเครยี ด นเ้ี ปน็ ตวั อยา่ งของการเปลย่ี นอารมณแ์ ต่ ไม่ใชว่ ิธที ด่ี ี เพราะเปน็ การหันไปหาอารมณ์ท่ีหยาบ ซงึ่ กระตุ้นราคะ หรือโมหะความหลง เราควรใช้อารมณ์ท่ีดี ที่ละเอียดหรือประเสริฐ กวา่ นน้ั อยา่ งเชน่ ไปมองดอกบวั ใหม้ นั หายงว่ ง หรอื ถา้ ไมห่ ายกไ็ ป กวาดใบไม ้ ถูบ้าน เป็นตน้ ท่ีน่ีทุกปีเราจะมีโครงการธรรมยาตรา คือเดินไปตามหมู่บ้าน ตา่ งๆ บนภูแลนคา เพอ่ื ปลกุ ส�ำนึกดา้ นสิง่ แวดลอ้ ม ใชเ้ วลา ๘ วนั
138 อ ุ บ า ย แ ก ้ น ิ ว ร ณ์ ๗ คืน ตลอดทางต้องเดินกลางแดด แต่เราก็มีการเจริญสติไปด้วย คือเดินอย่างสงบและดูจิตดูใจไปด้วย เรามีค�ำขวัญเตือนผู้เดินว่า “กายร้อนแต่ใจไม่ร้อน” “กายเม่ือยแต่ใจไม่เมื่อย” จะทำ� อย่างนั้นได้ ต้องมีสติระหว่างเดิน แต่คนที่สติไม่แข็งแรงก็คงทำ� อย่างท่ีแนะน�ำ ไม่ได้ ก็ต้องหาวิธีอื่นเพื่อสู้กับทุกขเวทนา ในขณะท่ีก�ำลังร้อนหรือ เมอื่ ย เชน่ เดนิ ไปกน็ บั กา้ วไป พอไปมสี มาธอิ ยกู่ ารนบั กจ็ ะไมร่ บั ร ู้ ความร้รู ้อนเท่าใด ทกุ ป ี จะมนี กั เรยี นจากกรงุ เทพฯ มาเดนิ ดว้ ย วนั แรกๆ หลายคน จะรู้สึกท้อเพราะเหนื่อยและร้อน อาตมาจะแนะให้เขาลองนับก้าวดู ปรากฏวา่ เดนิ สบายขน้ึ คอื เมอื่ ยนอ้ ยลง และไมร่ สู้ กึ รอ้ นเลย เพราะ ใจมีสมาธิการนับก้าว เลยไม่ไปรับทุกขเวทนาทางกาย บางคนก็ เอาใจไปก�ำหนดอยู่ที่เสียงกลอง เพราะเรามีกลองตีอยู่หน้าขบวน พอใจไปจดจ่ออยู่กับเสียงกลอง จิตก็ไม่ไปรับรู้ความร้อนและความ เมอื่ ย ทำ� ใหห้ ายรอ้ นหายเมอ่ื ยไดเ้ หมอื นกนั นเ้ี ปน็ วธิ ที เี่ รยี กวา่ เปลยี่ น อารมณ ์ หรอื เอานมิ ติ อนื่ มาเปน็ อารมณแ์ ทน เพอื่ ดงึ จติ ออกจากอารมณ ์ ที่เป็นอกุศล กับความง่วงวิธีนี้ก็ใช้ได้เหมือนกัน เช่น น่ังแล้วง่วง ก็เปลี่ยนอิริยาบถมาเป็นยืน หรือถ้ายืนไม่หายก็เปลี่ยนมาเดิน เดิน ไมห่ ายกค็ วา้ ไมก้ วาดมากวาด เอาจติ มาจดจอ่ อยทู่ กี่ ารกวาดพนื้ หรอื กวาดใบหญา้ แทน กส็ ามารถดงึ จติ ออกจากความงว่ งได ้ เรยี กวา่ เปน็ การเปล่ียนอารมณไ์ ด้เหมือนกัน
139 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล วธิ ที ่ี ๓ คอื การใชค้ วามคดิ หรอื ใชป้ ญั ญาเพอื่ พจิ ารณาอารมณน์ นั้ เรยี กวา่ ใชป้ ญั ญาสกู้ บั อารมณ ์ โดยพจิ ารณาอกศุ ลวติ กหรอื นวิ รณว์ า่ มนั มโี ทษอยา่ งไรบา้ ง ทนั ทที เี่ ราใชป้ ญั ญาพจิ ารณาอารมณก์ ท็ ำ� ใหจ้ ติ หลุดออกจากอารมณ์น้ันๆ ได้เหมือนกัน ถ้าไม่ท�ำอะไรเลย จิตก็จะ พลัดจมอยู่ในความง่วงหรือความเครียด พอเรามาพิจารณาโทษ ของมนั จติ กม็ งี านทำ� และเปน็ การสรา้ งความรสู้ กึ ตวั ใหเ้ กดิ ขนึ้ เพราะ จะพจิ ารณาโทษของมนั ได ้ กต็ อ้ งมคี วามรสู้ กึ ตวั กอ่ น ความรสู้ กึ ตวั น ี้ แหละ ทช่ี ่วยใหจ้ ติ หลดุ จากอกศุ ลวิตกหรือนิวรณ์ได้ การพิจารณาโทษของมัน หรือใคร่ครวญสาวหาสาเหตุว่ามัน เกดิ จากอะไร จะทำ� ใหเ้ รารวู้ า่ อารมณเ์ หลา่ นไี้ มด่ อี ยา่ งไรบา้ ง บางคน หนกั ไปทางดา้ นการคดิ จนฟงุ้ ซา่ น พอหนั มาพจิ ารณามนั กเ็ หน็ เลยวา่ ฟงุ้ ซา่ นไปกไ็ มม่ ปี ระโยชน ์ หว่ งลกู ทำ� ไม ในเมอ่ื หว่ งไปกท็ ำ� อะไรไมไ่ ด ้ เพราะลกู อยบู่ า้ น แตเ่ ราตอนนอ้ี ยวู่ ดั หว่ งไปกไ็ มม่ ปี ระโยชน ์ คดิ แบบนี ้ มนั ชว่ ยลดความวติ กกงั วลได ้ บางคนมคี วามลงั เลสงสยั วา่ ปฏบิ ตั ธิ รรม แล้วมีประโยชน์หรือเปล่า หรือไม่ก็คิดว่า ยังไม่จ�ำเป็นต้องปฏิบัติ ตอนนกี้ ไ็ ด ้ เรายงั อายไุ มม่ าก มเี วลาเหลอื อกี เยอะทจ่ี ะมาปฏบิ ตั ิ เอา ไวม้ อี ายมุ ากกวา่ นค้ี อ่ ยมาปฏบิ ตั กิ ไ็ ด ้ มนั จะมคี วามคดิ แบบนมี้ ารบกวน ทำ� ให้ไม่อยากปฏิบัติ ความลงั เลสงสยั เปน็ นวิ รณอ์ ยา่ งหนง่ึ เรยี กวา่ วจิ กิ จิ ฉา ถา้ ฟงุ้ ซา่ น ก็เป็นอุทธัจจกุกกุจจะ เป็นความกังวล กิเลสจะปรุงนิวรณ์เหล่าน้ี ออกมาเพอื่ ขดั ขวางการปฏบิ ตั ิ เราตอ้ งใชป้ ญั ญามาพจิ ารณาเพอ่ื มอง
140 อ ุ บ า ย แ ก ้ น ิ ว ร ณ์ ให้เห็นโทษของอารมณ์เหล่านั้นว่ามันไม่มีประโยชน์ จะกังวลถึงลูก หรือพ่อแม่อย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ หรือถ้ามองเห็นโทษของมันยิ่ง กวา่ นน้ั เชน่ เหน็ วา่ ความโกรธเผาลนจติ ใจของเราอยา่ งไร เวลาเรา แชง่ คนอนื่ ใหต้ กนรก คนทตี่ กนรกคนแรกกค็ อื ตวั เราเอง ถา้ เราพจิ ารณา อยา่ งนบี้ อ่ ยๆ เขา้ กจ็ ะปลอ่ ยวางความโกรธไดง้ า่ ยขนึ้ อนั นคี้ อื อบุ าย วิธีในการจัดการกับอารมณต์ ่างๆ ทจี่ รงิ นอกจากการแกน้ วิ รณด์ ว้ ยวธิ วี างใจ อยา่ งทพ่ี ดู มาแลว้ เรา ยังสามารถใชว้ ิธีท่ี ๔ ใช้กายให้เป็นประโยชน์ได้ด้วย เช่น เวลาเรา ฟุ้งซ่านขณะเดินจงกรม เราลองเดินให้ช้าลง ท�ำให้ฟุ้งซ่านน้อยลง การทอดสายตาก็มีส่วนเหมือนกัน ถ้าทอดสายตาหรือมองไปไกลๆ กอ็ าจจะฟงุ้ ซา่ นไดง้ า่ ย แตส่ ำ� หรบั คนทงี่ ว่ งหรอื เครยี ด การมองไปไกลๆ หรอื แหงนหนา้ มองทอ้ งฟา้ กลบั ชว่ ยได ้ ใจทง่ี ว่ งซมึ เปรยี บเหมอื นกบั สระน�้ำที่มีจอกมีแหนปกคลุม แต่พอเรามองฟ้า ใจจะสว่าง เหมือน จอกแหนถูกแหวกออก เหน็ ผวิ นำ�้ ชัดเจน วธิ ีนีช้ ว่ ยแก้อาการงว่ งซมึ ได ้ แต่ส�ำหรับคนทฟี่ ้งุ ซา่ น วิธีน้ีไมเ่ หมาะ กลับจะทำ� ให้ฟุ้งซา่ นมาก ขึ้น อย่าทอดสายตาให้ไกลจากตัวมากนัก แค่เมตรหรือเมตรครึ่ง จากเท้าก็พอ เวลาเกดิ ราคะหรอื เกดิ ความโกรธ เกดิ ความหงดุ หงดิ หรอื ความ เครียด ลองสังเกตดูลมหายใจของเรา มันเป็นอย่างไร หายใจ ถี่ๆ สั้นๆ หรือเปล่า ลองสังเกตร่างกายของเรา มันเครียด มันตึงไหม กดั ฟนั หรอื ไม ่ กำ� มอื แนน่ ไหม เมอ่ื รเู้ ชน่ นน้ั ลองหายใจเขา้ ลกึ ๆ หายใจ
141 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล ออกยาวๆ สกั ๑๐ ครงั้ หรอื วา่ คลายมอื อยา่ ไปกดั ฟนั เมอื่ รา่ งกาย ผอ่ นคลาย ใจก็พลอยผอ่ นคลายไปดว้ ย กายกับใจสัมพันธ์กันมาก เวลาใจเครียด กายก็พลอยเครียด ด้วยจึงเกิดอาการตึง เกร็ง ตามส่วนต่างๆ เราสามารถผ่อนคลาย จติ ใจดว้ ยการผอ่ นคลายรา่ งกาย ลองใชก้ ายของเราใหเ้ ปน็ ประโยชน์ ในการบรรเทานวิ รณ ์ เชน่ ถา้ ฟงุ้ ซา่ นกเ็ ดนิ ใหช้ า้ ลง ถา้ เครยี ดกล็ อง มองไปขา้ งหนา้ ไกลๆ ถา้ กม้ หนา้ มากไปกเ็ ครยี ดงา่ ย การทำ� อะไรพอดๆี ในสว่ นของกายจะชว่ ยใหใ้ จอยใู่ นภาวะทพ่ี อดๆี ไปดว้ ย แตค่ วามพอดี นน้ั เปน็ เรอ่ื งทแี่ ตล่ ะคนตอ้ งหาเอาเอง เดนิ แคไ่ หนถงึ จะพอด ี แตล่ ะคน ตอ้ งหาเอง ความพอดขี องแตล่ ะคนไมเ่ หมอื นกนั บางคนมวั ไปมอง คนอื่นว่าเดินอย่างไร ก็ไปเดินอย่างน้ันตามเขา ช้าของเขาแต่อาจ เป็นเร็วของเรากไ็ ด ้ ถ้าเดนิ ตามเขากอ็ าจมปี ัญหาได้ ดงั นนั้ การแกอ้ ารมณห์ รอื แกน้ วิ รณต์ า่ งๆ ของแตล่ ะคน กม็ วี ธิ ี การไม่เหมือนกัน อย่างอาตมาพอเปลี่ยนอิริยาบถก็ช่วยได้มาก ถ้า หากง่วงมากๆ เอาน�ำ้ ลบู หนา้ หรือไมก่ ็ไปอาบน้�ำ พยายามไมน่ อน โดยเฉพาะถา้ งว่ งเพราะใจมนั เบอื่ ใจมนั เซง็ เคยสงั เกตไหม บางวนั เรานอนเตม็ ทแ่ี ลว้ แตพ่ อปฏบิ ตั กิ ย็ งั งว่ งอย ู่ ปฏบิ ตั แิ ค ่ ๑๐ นาทกี ง็ ว่ ง แล้ว แสดงว่ามีสาเหตุมาจากจิตใจ ไม่ใช่เพราะกายอ่อนเพลียหรือ นอนไม่พอ ถ้าหากเรานอนน้อยแล้วรู้สึกง่วง ก็น่านอนอยู่ แต่ถ้า นอนเตม็ ทแี่ ลว้ ยงั งว่ งอย ู่ อนั นเ้ี ปน็ ใจทง่ี ว่ ง ไมใ่ ชก่ ายงว่ ง ถา้ เราลงไป นอนกเ็ ทา่ กบั วา่ เรายอมแพก้ เิ ลส มนั เลน่ งานเราไปแลว้ ตอ้ งพยายาม
142 อ ุ บ า ย แ ก ้ น ิ ว ร ณ์ ฝืน อย่าไปนอนกลางวัน ทีแรกย่ิงฝืนก็ยิ่งง่วง เหมือนกับเดินขึ้น เขา ย่ิงสูงก็ย่ิงเหนื่อย แต่พอเราข้ึนไปถึงยอดเขาแล้วจะรู้สึกสบาย หลังจากนั้นก็มีแต่เดินลงเขา ซ่ึงเดินสบายมาก ความง่วงก็เช่นกัน ถา้ ฝนื มนั จะรสู้ กึ งว่ งมาก แตพ่ องว่ งถงึ ขดี สดุ ถา้ ผา่ นจดุ นนั้ ไปได ้ ก็ จะหายง่วง จุดน้ันอยู่ตรงไหน เราต้องหาเอาเอง แต่ถ้าเรายอมแพ้ ความงว่ งอยูเ่ รอ่ื ยไป ก็จะไมพ่ บจุดนน้ั สรุปแลว้ อบุ ายแก้นวิ รณ์มี ๔ วธิ ีคือ ๑. รดู้ ้วยสต ิ น้เี ปน็ วธิ ที ด่ี ที ี่สุด ๒. เปลย่ี นอารมณ ์ ถา้ หากเราไมม่ สี ตทิ ว่ี อ่ งไวปราดเปรยี วพอท่ี จะรทู้ นั นวิ รณ ์ กใ็ ชว้ ธิ เี ปลยี่ นอารมณ ์ โดยไปจดจอ่ ใสใ่ จสงิ่ อนื่ แทน อนั นอ้ี าจจะเรยี กวา่ ใช้วธิ แี บบสมถะกไ็ ด ้ เปลยี่ นความ สนใจไปทีส่ ่งิ อ่ืนแทนจะอยใู่ นตวั หรอื อยนู่ อกตวั ก็แล้วแต่ ๓. พจิ ารณาดว้ ยปญั ญา คอื การพจิ ารณาหาสาเหตหุ รอื ใครค่ รวญ ถงึ โทษของนวิ รณ์ ทง้ั ๓ วิธีน้กี ็คอื การใชส้ ต ิ สมาธิ และปญั ญา ๔. ใช้กายให้เป็นประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นจังหวะเดิน การก้ม การเงย การมอง หรอื การใชล้ มหายใจ กส็ ามารถบรรเทา นวิ รณไ์ ด้
...นวิ รณ ์ หรือ อกศุ ลวิตก ก็ดี สิง่ เหล่าน้ีเป็นเร่อื งธรรมดา ที่เกิดขึน้ สำ�หรับนกั ปฏิบัติ แตเ่ มือ่ มนั เกดิ ขึ้น เราจะไม่ใช้ วธิ ีกดข่มหรอื ปฏิเสธผลกั ไส รวมท้งั ไม่ปลอ่ ยใจให้ไหลไป ตามอารมณเ์ หล่าน้ัน เราไมใ่ ช้ ท้ังวิธเี พง่ และปลอ่ ยใจให้เผลอ แตใ่ หร้ ู้อารมณ์ท่ีเกดิ ขนึ้ ให้มสี ติ คอื ความรู้ตวั ไม่ลืม ไมห่ ลง...
145 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล ตน้ ทางพระนพิ พาน เราคงทราบดีว่า อริยสัจข้อแรกคือทุกข์ ทุกข์เป็นความจริง อย่างแรก ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงน�ำมาแสดง และเป็นส่วนส�ำคัญใน บทท�ำวัตรสวดมนต์ตอนเช้า เม่ือต่ืนข้ึน ชาวพุทธเราจะเร่ิมวันใหม่ ด้วยการท�ำวัตรเช้า นอกจากระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยแล้ว ยังควร ท�ำความเข้าใจเรื่องทุกข์ ซ่ึงเป็นอริยสัจข้อแรกที่ชาวพุทธต้องรู้จัก กจิ หรอื หนา้ ทตี่ อ่ อรยิ สจั ขอ้ แรก กค็ อื รเู้ รอ่ื งทกุ ข ์ คำ� วา่ “ร”ู้ ในทน่ี ้ี มีความหมายหลายอย่าง อย่างแรก รู้ว่า ทุกข์คืออะไร ในบทสวด มนต์ ไดแ้ จกแจงวา่ ไดแ้ ก ่ ความเกดิ ความแก ่ ความเจบ็ ความตาย ความโศก ความร�่ำไรร�ำพัน ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ ความคบั แค้นใจ เปน็ ตน้
146 ต ้ น ท า ง พ ร ะ น ิ พ พ า น แต่ถ้าพูดเพียงเท่าน้ีก็ดูเหมือนจะง่ายไป เพราะใครๆ ก็รู้ว่า ความโศก ความร่�ำไรร�ำพัน ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ คือทุกข์ รู้แบบน้ีอาจรู้ด้วยการท่องจ�ำก็ได้ เรายังต้องรู้ลึกลงไปอีก นน่ั คอื รตู้ วั เวลาเกดิ ทกุ ข ์ โดยเฉพาะเวลาเกดิ ทกุ ขท์ ใ่ี จ เรามกั จะไมร่ ้ ู ตวั เพราะมวั แตค่ รำ�่ ครวญ มวั แตจ่ มอยใู่ นความทกุ ข ์ เวลาโกรธกค็ ดิ แตจ่ ะแกแ้ คน้ เลน่ งาน หรอื ตอบโตค้ นทที่ ำ� ใหเ้ ราโกรธ เวลามคี วาม ทกุ ข ์ ใจเรามแี ตจ่ ะพงุ่ ออกนอกหรอื ไมก่ เ็ พง่ เขา้ ใน คอื จมอยใู่ นความ ทุกข์น้ัน ก็เลยท�ำให้ไม่รู้ทุกข์ ไม่เห็นทุกข์ ไม่รู้ตัวว่าทุกข์ เวลาเรา เครียด ถ้ามีใครมาทักว่าเราเครียด เรามักจะปฏิเสธว่าฉันไม่เครียด เช่นเดยี วกับคนเมาหรอื คนบา้ ที่ไมย่ อมรบั วา่ ตัวเองเมาหรือบา้ ท้งั น้ ี เพราะพอเกิดทุกข์ข้ึนมา หรือมีความทุกข์ครอบง�ำจิตใจ ความรู้สึก ตัวจะหายไป เลยไมร่ หู้ รอกว่าตัวเองก�ำลงั ทกุ ข์อยู่ การรู้เร่ืองทุกข์ ยังรวมไปถึงการท่ีเราได้ตระหนัก หรือเห็นว่าทุกข์น้ีมันเกิดขึ้นท่ีขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ ความเกดิ ความแก ่ ความเจบ็ ความตาย ความไมส่ บายกาย ความไมส่ บายใจ ความ ประสบกบั สง่ิ ทไ่ี มน่ า่ พอใจ ความพลดั พรากจากสงิ่ ทน่ี า่ พอใจ ความปรารถนาสิ่งใดแล้วไม่ได้ส่ิงน้ัน ท้ังหมดนี้ ลว้ นเกดิ ทข่ี นั ธ ์ ๕ เราตอ้ งรดู้ ว้ ยวา่ ทกุ ขน์ ม้ี นั เกดิ ทขี่ นั ธ ์ ๕ หรือเกิดกบั ขันธ ์ ๕ ไมพ่ ้นไปจากน้ี
147 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล การรทู้ กุ ขก์ ค็ อื การรวู้ า่ ทกุ ขเ์ กดิ ทข่ี นั ธ ์ ๕ แลว้ เราจะท�ำอยา่ งไร เมื่อทุกข์เกิดที่ขันธ์ ๕ ก็ต้องมาฝึกจิต โดยมาดูหรือเห็นท่ีขันธ์ ๕ น้ีเอง ไม่ต้องไปเห็นท่ีไหน เห็นขันธ์ ๕ หรือให้มาเห็นที่กายกับใจ นั่นเอง เพราะขันธ์ ๕ ถ้ากล่าวโดยย่อก็คือกายกับใจ เม่ือเรามาดู ท่ีกายท่ีใจ เราถึงจะเห็นทุกข์ท่ีกายท่ีใจได้ รู้ว่ากายกับใจเป็นทุกข์ ไมใ่ ชเ่ ราทกุ ข ์ ตรงนสี้ ำ� คญั เพราะคนสว่ นใหญม่ กั คดิ วา่ ฉนั ทกุ ข ์ มอง ไมเ่ หน็ วา่ กายกับใจหรือรปู กบั นามต่างหากท่ีทุกข์ ไม่ใช่ฉันทุกข์ หนา้ ทต่ี อ่ ทกุ ข ์ มแี ตก่ ารรเู้ ฉยๆ ยงั ไมต่ อ้ งละ ถา้ จะละ ตอ้ งไปละ ท่ีตัวสมุทัย ซ่ึงเป็นอริยสัจข้อที่ ๒ คือสาเหตุแห่งทุกข์ เหมือนกับ ต้นไม้ ถ้าจะก�ำจัดต้องไปจัดการที่ราก ส่วนล�ำต้นกิ่งและใบนั้นเรา แคร่ เู้ ฉยๆ เพอื่ สาวไปใหถ้ งึ ราก ถา้ จะตดั กต็ ดั ทรี่ าก ไมใ่ ชต่ ดั ทก่ี งิ่ ใบ หรอื ลำ� ต้น ไมม่ ีประโยชน์เท่าไร สรุปคือ ทุกข์มีไวใ้ ห้ร ู้ ไม่ได้ให้ละ เวลาเจรญิ สตริ วมทง้ั ในชวี ติ ประจำ� วนั ดว้ ย เราพงึ ตระหนกั เสมอ วา่ เม่อื มที ุกข์เกดิ ขน้ึ ขอให้เรารเู้ ฉยๆ อยา่ ไปพยายามละ ถา้ จะละ ใหไ้ ปละทส่ี าเหตแุ หง่ ทกุ ข ์ ซงึ่ กค็ อื ตวั ตณั หาอปุ าทานนน่ั เอง การรทู้ กุ ข์ ก็คือรู้ท่ีขันธ์ ๕ น่ันเอง ในบทสวดมนต์มีข้อความตอนหน่ึงว่า “ว่า โดยย่ออุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ เป็นตัวทุกข์” อุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ หรือ ขนั ธท์ เี่ รายดึ มนั่ ถอื มนั่ นแ้ี หละคอื ตวั ทกุ ข ์ ไมว่ า่ จะมที กุ ขก์ แี่ บบกล็ ว้ น
148 ต ้ น ท า ง พ ร ะ น ิ พ พ า น เกดิ ทต่ี รงน ี้ หรอื ถงึ ไมม่ อี ะไรมากระทบ มนั กท็ กุ ขอ์ ยตู่ ลอดเวลา รทู้ กุ ข์ ก็คือรู้ว่าทุกข์เกิดกับขันธ์ ๕ เพราะฉะน้ันก็มาดูที่ขันธ์ ๕ น้ีแหละ ดจู นกระทงั่ รหู้ รอื เหน็ วา่ ขนั ธ ์ ๕ นน้ั ไมใ่ ชต่ วั ไมใ่ ชต่ น อนั นเี้ ปน็ การรทู้ ี่ ละเอยี ดลงไปอกี ชน้ั หนงึ่ คอื เหน็ วา่ ไมใ่ ชต่ วั เรา ไมใ่ ชข่ องเรา ตรงน้ ี ยากมาก แตถ่ า้ เรามสี ตริ ตู้ วั คอื รกู้ ายและใจอยา่ งตอ่ เนอื่ ง การส�ำคญั ม่ันหมายว่าขันธ์ ๕ เป็นตัวตน ก็จะลดลงไป ย่ิงถ้าเกิดปัญญาจน เห็นว่าขันธ์ ๕ เป็นอนัตตา ความส�ำคัญมั่นหมายเป็นตัวเป็นตนว่า เปน็ เรา เปน็ ของเรา หรอื ทท่ี า่ นอาจารยพ์ ทุ ธทาสเรยี กวา่ “ตวั กขู องก”ู มนั กจ็ ะไม่มที ่ีตงั้ หรือตงั้ อยู่ไม่ได้ เวลาเราเดินอย่างมีสติ หรือสร้างจังหวะอย่างมีสติ ความรู้สึก ว่าฉันเป็นน่ันเป็นนี่ ฉันกำ� ลังเดินอยู่ ฉันกำ� ลังยกมืออยู่ มันเกิดข้ึน ไมไ่ ด ้ ใครทเ่ี ดนิ แลว้ ไปก�ำหนดหรอื บรกิ รรมวา่ ฉนั กำ� ลงั เดนิ ฉนั กำ� ลงั สรา้ งจงั หวะ อนั นไ้ี มถ่ กู หรอก แตถ่ า้ เราเดนิ อยา่ งมสี ต ิ มนั ไมม่ ตี วั เรา เปน็ ผเู้ ดนิ หรอื ตวั เราเปน็ ผสู้ รา้ งจงั หวะ มนั มแี ตก่ ารเดนิ เฉยๆ มแี ต ่ การสรา้ งจงั หวะเฉยๆ ไม่มีอะไรนอกเหนือจากน้ัน เพราะฉะนั้น เม่ือเกิดอารมณ์ต่างๆ หรือเกิดความทุกข์ข้ึนมา ที่ใจหรือท่ีกายก็ตาม ถ้ามีสติแล้ว มันไม่มีตัวตนฉันเป็นผู้เจ็บ เป็น ผทู้ กุ ข ์ แตเ่ ผลอเมอื่ ไหรก่ จ็ ะปรงุ ตวั ฉนั ขนึ้ มา เกดิ ความรสู้ กึ วา่ ฉนั เจบ็ ฉนั ทกุ ข ์ ตรงนเ้ี ปน็ เรอื่ งทล่ี ะเอยี ดออ่ นมาก แตว่ า่ สตจิ ะมาชว่ ยตรงน ี้ คอื ทำ� ใหค้ วามสำ� คญั มน่ั หมายในตวั ตน หรอื การปรงุ ตวั กขู องก ู ไมเ่ กดิ ขนึ้ ทันทีที่ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง คือเกิดผัสสะข้ึนมาแล้วเรามีสติ มัน
149 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล กม็ แี ตเ่ พยี งการเหน็ แตไ่ มม่ ฉี นั ผเู้ หน็ มกี ารไดย้ นิ แตไ่ มม่ ฉี นั ผไู้ ดย้ นิ ทม่ี นั เปน็ ปญั หากเ็ พราะวา่ เราไมม่ สี ต ิ เลยเกดิ การปรงุ แตง่ เชน่ พอเกดิ ผสั สะแลว้ มเี วทนา กไ็ ปยดึ เวทนาวา่ เปน็ เราเปน็ ของเรา เชน่ ปวดเมอื่ ย ขน้ึ มา ถา้ ไมม่ สี ต ิ ไมเ่ หน็ ความปวดความเมอื่ ย ใจกไ็ ปยดึ ความปวด เม่ือย แล้วปรุงว่าฉันปวดฉันเม่ือย คือมีตัวฉันเป็นผู้ปวดผู้เม่ือย ทีนี้ก็เลยเกิดความอยากท่ีจะก�ำจัดความปวดความเมื่อยนั้นออกไป แทนที่จะเห็นความอยากน้ัน ก็ไปปรุงว่าฉันเป็นผู้อยาก จากน้ันก็ พยายามทำ� ทุกอย่างเพื่อกำ� จัดความปวดเม่ือยน้ัน ถ้ากำ� จัดไม่ได้ ก ็ หงดุ หงดิ โมโห เกดิ ความรสู้ กึ วา่ ฉนั หงดุ หงดิ โมโหขน้ึ มา กลายเปน็ วา่ ปรุงแต่งไปเรอ่ื ยๆ แต่ถ้าเรามีสติ ก็จะมีแต่การเห็นอาการต่างๆ เกิดข้ึนกับกาย และใจ โดยไมไ่ ปยดึ มนั่ กบั อาการเหลา่ นนั้ หรอื ไปสำ� คญั มนั่ หมายวา่ ฉนั เป็นนัน่ เป็นนี่ โกรธก็เห็นความโกรธ เศร้ากเ็ ห็นความเศร้า ปวด เมื่อยก็เห็นความปวดเม่ือย แต่ถ้าไม่ทันเห็นความปวดความเมื่อยก็ ไปรู้สึกหรือปรุงแต่งเสียแล้ว ว่าฉันเป็นผู้ปวดผู้เม่ือย แล้วก็มีความ อยากกำ� จดั ความปวดเมอื่ ย ถงึ ตอนนแี้ ลว้ กย็ งั มโี อกาสทส่ี ตจิ ะตามทนั คอื ทนั เหน็ ความอยากหรอื ตณั หาไดอ้ ย ู่ แตก่ จ็ ะยากขนึ้ เพราะตณั หา มีอาการเข้มข้นกว่าเวทนา แต่ถ้าปล่อยให้ปรุงเป็นอุปาทานหรือ ความยดึ มน่ั ขน้ึ มา กจ็ ะหมดเนอ้ื หมดตวั เลย คอื ถลำ� เขา้ ไปในความ หลงจนยากจะไถ่ถอนจิตออกมาได้ ความรู้สึกตัวเกิดข้ึนยากมากใน ช่ัวขณะนั้น เว้นแต่จะมีอะไรท่ีจะมากระตุ้นให้เกิดความระลึกรู้หรือ รูส้ ึกตัวขึน้ มา ถงึ จะหลดุ จากความหลงขณะน้ันได้
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162