150 ต ้ น ท า ง พ ร ะ น ิ พ พ า น คนส่วนใหญ่ต่อเม่ือได้ระบายอารมณ์ไปแล้วจึงจะรู้สึกตัว เช่น โกรธเขา อยากจะตอบโตเ้ ขา พอดา่ เขาหรอื ท�ำรา้ ยเขาเสรจ็ แลว้ ถงึ คอ่ ยรสู้ กึ ตวั วา่ ทำ� สงิ่ ทไ่ี มส่ มควรออกไปแลว้ อยา่ งคนเมาทะเลาะตอ่ ย ตกี นั ดว้ ยความไมร่ ตู้ วั จนกระทง่ั ถงึ ขน้ั ทำ� รา้ ยหรอื ฆา่ กนั ตาย พอฆา่ เขาแล้วถึงค่อยรู้ตัวว่าได้ท�ำอะไรลงไป ถึงตอนนี้ก็ต้องรีบคิดหาทาง หนีต�ำรวจแล้ว ไม่เมาแอ๋อยู่ข้างๆ ศพคนตาย มีหลายคนที่โกรธ คนรักจนท�ำร้ายเขา ตอนท�ำน้ันไม่รู้ตัว ความโกรธมันสั่งให้ท�ำ แต่ พอท�ำแล้วถึงค่อยรู้ตัว ความรู้ตัวมักเกิดขึ้นเม่ือได้ท�ำไปตามความ อยากแลว้ หรอื ท�ำไปตามความโกรธแลว้ ถงึ คอ่ ยมารตู้ วั สตทิ เ่ี กดิ ขน้ึ อยา่ งนน้ั ถอื ว่าช้าไปแลว้ ไม่ทนั การ สว่ นใหญเ่ รามกั เปน็ อยา่ งน ้ี พอไดร้ ะบายอารมณห์ รอื ไดท้ ำ� ตาม อารมณ์ไปแล้ว ถึงค่อยมารู้ตัว เหมือนกับว่าก่อนหน้านั้นสติถูก อารมณก์ ดทบั พอระบายอารมณอ์ อกไปแลว้ สตกิ เ็ ลยเผยอตวั ขน้ึ มา ได ้ พอรตู้ วั วา่ ทำ� อะไรลงไป กเ็ สยี ใจ บางคนเสยี ใจไมห่ ายจนกระทงั่ ถึงวันตาย เราจึงไม่ควรรอให้เกิดเหตุแบบนี้ ควรพยายามมีสติให ้ ทนั การ รเู้ ทา่ ทนั อารมณเ์ หลา่ นกี้ อ่ นทม่ี นั จะลกุ ลามขยายใหญโ่ ตจนสง่ั ใหเ้ ราทำ� อะไรกไ็ ด ้ ถา้ เรามสี ตอิ ยา่ งฉบั ไวและตอ่ เนอื่ ง อารมณเ์ หลา่ น้ ี จะครองใจเราไมไ่ ด้ การเกดิ ความส�ำคัญมั่นหมายวา่ ฉนั เป็นนัน่ ฉนั เปน็ น ี่ ฉนั โกรธ ฉนั เปน็ ผโู้ กรธ ฉนั ทกุ ข ์ ฉนั เปน็ ผทู้ กุ ข ์ มนั กจ็ ะไมม่ ี สติจึงเป็นอุปกรณ์สลายความสำ� คัญมั่นหมายในตัวตนที่สำ� คัญ มาก นเี้ ปน็ สง่ิ ทพี่ ระพทุ ธเจา้ ไดต้ รสั แนะนำ� ทา่ นพาหยิ ะ ทา่ นพาหยิ ะ
151 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล เป็นนักบวชนอกศาสนาท่ีหันมาศรัทธาในพระพุทธเจ้า อุตส่าห์เดิน ทางมาเปน็ สปั ดาหเ์ พอ่ื ฟงั ธรรมจากพระองค ์ และไดพ้ บพระพทุ ธองค ์ ขณะทท่ี รงกำ� ลงั บณิ ฑบาต จงึ ทลู ออ้ นวอนขอใหพ้ ระองคแ์ สดงธรรม ตอนนนั้ เลย ทแี รกพระองคป์ ฏเิ สธเพราะทรงก�ำลงั บณิ ฑบาตอย ู่ แต่ สาเหตุส�ำคัญเป็นเพราะพระพุทธองค์ทรงทราบว่าท่านพาหิยะยังไม ่ พร้อมจะฟังธรรม เพราะเดินทางมาทั้งคืนและมีความกระตือรือร้น อยากฟังธรรมมาก เรียกว่ามีไฟแรง มีความมุ่งม่ันมาก สภาพจิต แบบนไี้ มพ่ รอ้ มทจ่ี ะเปดิ ใจฟงั ธรรม พระองคจ์ งึ ทรงปฏเิ สธทจ่ี ะแสดง ธรรม แตท่ า่ นพาหยิ ะกย็ นื ยนั ขอฟงั ธรรมจากพระองค ์ หลงั จากทที่ รง ปฏิเสธถึง ๒ คร้ัง ในที่สุดพระองค์ก็ทรงแสดงธรรม เนื่องจากทรง เห็นว่าท่านพาหิยะมีใจสงบน่ิงแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสกับท่านพาหิยะ ส้ันๆ ว่า “เมื่อเห็นสักว่าเห็น ได้ยินก็สักว่าได้ยิน เมื่อทราบก็สักว่า ทราบ เมอ่ื รอู้ ารมณก์ ส็ กั วา่ รอู้ ารมณ ์ เมอื่ นนั้ เธอยอ่ มไมม่ ี เมอ่ื ใดเธอ ไมม่ ี เมอื่ นน้ั เธอยอ่ มไมม่ ที งั้ ในโลกนแี้ ละโลกหนา้ ไมม่ ใี นระหวา่ งโลก ท้ังสอง นแี้ หละคอื ท่สี ุดแหง่ ทกุ ข์” พระองคต์ รสั เทา่ น ี้ ทา่ นพาหยิ ะกบ็ รรลธุ รรมเปน็ พระอรหนั ตท์ นั ที ไดช้ อื่ วา่ เปน็ ผทู้ ต่ี รสั รเู้ รว็ แตก่ ต็ ายเรว็ เหมอื นกนั คอื พอลาพระพทุ ธ เจ้าเพื่อไปหาเคร่ืองบวช ก็โดนวัวขวิดตายเสียก่อนจะทันได้บวช ประเด็นส�ำคัญอยู่ท่ีค�ำสอนของพระพุทธองค์ท่ีแสดงแก่ท่านพาหิยะ ข้อความท่ีว่า เห็นก็สักว่าเห็น ได้ยินก็สักว่าได้ยิน ก็คือมีสติน่ันเอง เมอื่ มสี ต ิ เมอื่ นนั้ ตวั เธอจะไมม่ ี ตวั เธอในทนี่ ก้ี ค็ อื ความสำ� คญั มนั่ หมาย ว่าตัวกูของกูน่ีเอง พูดอกี อยา่ งคือ เม่อื มีสต ิ ตวั ตนก็จะหายไป
152 ต ้ น ท า ง พ ร ะ น ิ พ พ า น สตจิ งึ เปน็ สงิ่ สำ� คญั มากทจ่ี ะชว่ ยใหเ้ ราละวางความยดึ มน่ั ส�ำคญั หมาย และทำ� ใหห้ มดทกุ ข ์ เพราะวา่ ความทกุ ขโ์ ดยเฉพาะความทกุ ขใ์ จ ลว้ นเกดิ จากความสำ� คญั ยดึ มน่ั ในเรอื่ งตวั กขู องกนู น่ั เอง มตี วั ก ู กเ็ กดิ ของกขู นึ้ มา เมอ่ื เกดิ ของก ู กเ็ กดิ การยดึ มนั่ ใหม้ นั เทยี่ ง คงทน และ ไมไ่ ดย้ ดึ เอาสงิ่ ดๆี เทา่ นน้ั สงิ่ ทไี่ มด่ กี ย็ งั ยดึ สงิ่ ดนี ใ้ี ครๆ กร็ วู้ า่ มนั นา่ ยดึ แตส่ ง่ิ ทไี่ มด่ ี ทำ� ไมถงึ ยงั ไปยดึ ได ้ กเ็ พราะความหลงนน่ั เอง เชน่ ไปยึดเอาความโกรธมาครองใจ ไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมวาง แถมยัง ยึดว่าเป็นของเราด้วย เวลาความโกรธเกิดขึ้น เวลาเจ็บป่วยเกิดข้ึน ก็ชอบยึดว่า ความโกรธเป็นของเรา ความเจ็บป่วยเปน็ ของเรา มัน ไม่ได้เป็นของเราหรอก แตเ่ ราไปปรงุ ขนึ้ เองวา่ เป็นของเรา แมก้ ระทงั่ ศตั ร ู เรากย็ งั ไปยดึ วา่ เปน็ ของเราใชไ่ หม เจอใครกบ็ อก ว่า หมอนี่เป็นศัตรูของฉัน ศัตรูเป็นสิ่งท่ีน่ายึดว่าเป็นของเราหรือ ไมน่ า่ ยดึ ใชไ่ หม แตท่ ำ� ไมจงึ ไปยดึ วา่ เปน็ ของเรา ความโกรธกไ็ มน่ า่ ยดึ ความเจ็บความป่วยก็ไม่น่ายึด แต่พอเผลอสติเมื่อไร ก็ไปยึดเอาว่า เปน็ ของเรา ความเครยี ดกเ็ ชน่ กนั ความเศรา้ กเ็ ชน่ กนั ทำ� ไมถงึ ชอบ ยดึ วา่ เปน็ ของเรา ทำ� ไมจงึ ไมย่ อมปลอ่ ย ไมย่ อมวาง กเ็ พราะไมม่ สี ต ิ น่ันเอง ท่ีจริงมันมีอวิชชาเป็นพ้ืนอยู่แล้ว แต่พอไม่มีสติก็เลยทำ� ให้ หลงยึดแม้กระท่งั สิ่งทไ่ี ม่นา่ ยดึ ทีนี้ถ้าเรามีสติ สติจะพาเราให้ไกลจากทุกข์ และเข้าใกล้พระ นพิ พาน พระพทุ ธเจา้ ไดต้ รสั วา่ “ผใู้ ดเมอื่ เหน็ รปู แลว้ มสี ต ิ ไมก่ ำ� หนดั ในรปู ทง้ั ไมต่ ดิ ใจในรปู นนั้ เมอื่ เขาเหน็ รปู แลว้ เสวยเวทนาอย ู่ ทกุ ข์
153 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล ยอ่ มสน้ิ ไป ไมถ่ กู สง่ั สมไว ้ ฉนั ใด เขากเ็ ปน็ ผมู้ สี ตเิ ทย่ี วไป ฉนั นน้ั เมอื่ เขาไม่ส่ังสมทุกข์อยู่อย่างนี้ บัณฑิตกล่าวว่าเขาอยู่ใกล้พระนิพพาน” ที่จริงไม่ใช่ใกล้พระนิพพานแต่เพียงอย่างเดียว ยังใกล้พระพุทธเจ้า ด้วย แต่ไม่ใช่พระพุทธเจ้าท่ีเป็นอดีตเจ้าชายสิทธัตถะท่ีเคยเดินเหิน อยใู่ นประเทศอนิ เดยี โนน่ แตห่ มายถงึ ความเปน็ ผรู้ ู้ ผตู้ น่ื ผเู้ บกิ บาน พระองคเ์ คยตรสั วา่ “แมภ้ กิ ษจุ ะอยหู่ า่ งไกลเราถงึ รอ้ ยโยชน ์ แตถ่ า้ หาก เป็นผ้ปู ราศจากความโลภ เป็นผ้ไู มก่ ำ� หนดั ในกาม ไม่มีจติ พยาบาท ไมม่ จี ติ คดิ รา้ ยใคร เปน็ ผมู้ สี ตติ ง้ั มน่ั มคี วามรสู้ กึ ตวั สำ� รวมในอนิ ทรยี ์ ผู้น้ันก็ถือว่าได้อยู่ใกล้เราตถาคต เพราะผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต” การมสี ตกิ ด็ ี รสู้ กึ ตวั กด็ ี สำ� รวมอนิ ทรยี ก์ ด็ ี ทงั้ หมดนเี้ ปน็ เรอื่ ง เดยี วกนั เพราะถา้ เรามสี ตแิ ลว้ ความรสู้ กึ ตวั กจ็ ะตามมา ความสำ� รวม ในอินทรีย์หรืออินทรียสังวร ก็คือการรักษาใจให้เป็นปกติ ไม่ยินดี ยนิ รา้ ยเมอื่ ตาเหน็ รปู หไู ดย้ นิ เสยี ง อนั นกี้ ค็ อื สต ิ ถา้ มสี ต ิ มอี นิ ทรยี สังวร ก็จะท�ำให้เข้าใกล้พระพุทธเจ้า ดังน้ันเวลามีสติ ให้รู้ว่าเราได้ ธรรมทเี่ ปน็ เครอ่ื งรกั ษาใจทม่ี คี า่ มาก ทงั้ ชว่ ยใหเ้ ขา้ ใกลพ้ ระพทุ ธเจา้ และ ชว่ ยใหเ้ ขา้ ใกลพ้ ระนพิ พาน เพราะวา่ ตวั ตนหรอื ความสำ� คญั มน่ั หมาย วา่ ตวั กขู องกจู ะไมม่ ที ต่ี ง้ั ดงั นน้ั จงึ ไมม่ ผี ทู้ กุ ข ์ มแี ตค่ วามทกุ ขเ์ ทา่ นนั้ ไมม่ ีใครเป็นเจา้ ของ ดังน้ันจึงจ�ำเป็นมาก ที่เราจะต้องมีสติรู้ในกายและใจอยู่เสมอ รอู้ าการทเี่ กดิ ขน้ึ กบั กายและใจ คอื รทู้ กุ ขท์ เ่ี กดิ กบั ขนั ธ ์ ๕ หรอื มสี ต ิ
154 ต ้ น ท า ง พ ร ะ น ิ พ พ า น เห็นทุกข์ท่ีเกิดกับขันธ์ ๕ สิ่งน้ีจะช่วยพาเราเข้าใกล้นิโรธเป็นลำ� ดับ เพราะว่าการเห็นน้ันเป็นองค์มรรคในตัว ถ้าเราเห็นแล้ว การท่ีจะ สาวไปถึงต้นตอของทุกข์ คือความยึดม่ันส�ำคัญหมายความว่าเป็น ตัวกขู องกูจนสามารถละวางได้ กย็ ่อมเปน็ ได้ เห็นได้ว่า อริยสัจ ๔ ประการ เร่ิมต้นและจบท่ีการเห็นทุกข์ เริ่มจากการรู้ตัวในเวลาเกิดทุกข์ และเห็นว่าทุกข์เกิดข้ึนกับขันธ์ ๕ เหน็ วา่ ขนั ธ ์ ๕ เปน็ ทกุ ข ์ ไมใ่ ชเ่ ราทกุ ข ์ จนเหน็ ไปถงึ วา่ ทกุ ขเ์ กดิ ขน้ึ เพราะไปยดึ มน่ั ถอื มนั่ ในตวั กขู องก ู นน่ั คอื รไู้ ปถงึ สมทุ ยั และเมอ่ื มสี ต ิ ทเ่ี กอ้ื หนนุ ใหเ้ กดิ ปญั ญาจนกระทงั่ ไดเ้ หน็ ความจรงิ ขอ้ น ี้ กจ็ ะสามารถ ละสมทุ ยั ได้ และเมอื่ ละสมทุ ยั หรอื ละความยดึ ตดิ ถอื มน่ั ในตวั ตนได้ แล้ว ความทุกข์ก็ไม่มีที่ตั้ง ก็จะเข้าถึงนิโรธ คือความดับทุกข์หรือ พระนพิ พานได้ในที่สดุ
...ถ้าเรามสี ติแลว้ ความรสู้ กึ ตัวก็จะตามมา ความส�ำ รวมในอินทรีย์หรอื อินทรยี สงั วร กค็ อื การรักษาใจให้เปน็ ปกติ ไม่ยินดียนิ ร้าย เมอ่ื ตาเห็นรูป หูไดย้ นิ เสยี ง อันน้ีกค็ ือสต ิ ถ้ามสี ติ มอี ินทรียสังวร ก็จะท�ำ ให้เข้าใกล ้ พระพทุ ธเจ้า ดังนั้นเวลามีสต ิ ให้รู้ว่าเรา ไดธ้ รรมทีเ่ ป็นเคร่อื งรกั ษาใจท่มี คี ่ามาก ทั้งช่วยใหเ้ ข้าใกล้พระพทุ ธเจา้ และช่วยให้เข้าใกลพ้ ระนิพพาน...
ป ร ะ วั ติ พระไพศาล วสิ าโล พระไพศาล วิสาโล นามเดิม ไพศาล วงศ์วรวิสิทธิ์ เป็นชาว กรงุ เทพฯ เกดิ เมอื่ พทุ ธศกั ราช ๒๕๐๐ สำ� เรจ็ การศกึ ษาชน้ั มธั ยมศกึ ษา ปีท่ี ๕ จากโรงเรียนอัสสัมชัญ และส�ำเร็จการศึกษาชั้นอุดมศึกษา จากคณะศลิ ปศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ท่านสนใจปัญหาสังคม จึงเข้าร่วมกิจกรรมค่ายอาสาพัฒนา ชนบทและกจิ กรรมอาสาสมคั รในโรงเรยี นอกี หลายรปู แบบ เมอื่ อาย ุ ๑๕ ปี ท่านได้อ่านงานเขียนของท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุ จึงได้
ปลกู ฝงั ความเปน็ พทุ ธแตน่ นั้ มา ทง้ั ยงั สนใจงานหนงั สอื โดยเรมิ่ จาก การเขียนบทความต้ังแต่สมัยเรียนช้ันมัธยมต่อเน่ืองเร่ือยมา ทั้งใน ระหวา่ งทศ่ี กึ ษาอยมู่ หาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร ์ ทา่ นเคยเปน็ สาราณยี กร วารสารปาจารยสาร อย่ถู ึง ๑ ปเี ตม็ ท่านมีความสนใจด้านการเมือง ได้เข้าร่วมประท้วงในเหตุ การณ ์ ๑๔ ตลุ าคม ๒๕๑๖ ตอ่ มาชว่ ง ๖ ตลุ าคม ๒๕๑๙ เคยไปรว่ ม อดอาหารประทว้ งในแนวทางอหงิ สา จนกระทง่ั ถกู ลอ้ มปราบภายใน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และถูกคุมขังเป็นเวลา ๓ วัน เมื่อออก จากคุกแล้วได้มาท�ำงานเป็นเจ้าหน้าที่กลุ่มประสานงานศาสนาเพ่ือ สงั คม ตงั้ แตป่ พี ทุ ธศกั ราช ๒๕๑๙ ถงึ พทุ ธศกั ราช ๒๕๒๖ เนน้ งาน ดา้ นสิทธมิ นุษยชน ชว่ ยเหลือผถู้ กู คมุ ขงั ดว้ ยสาเหตทุ างการเมอื งซง่ึ สามารถดำ� เนนิ การประสบผลสำ� เรจ็ เมอ่ื รฐั บาลออกกฎหมายนริ โทษ กรรมผตู้ อ้ งหา กรณ ี ๖ ตลุ าคม ๒๕๑๙ ประมาณ ๓,๐๐๐ กวา่ คน จนเปน็ ขา่ วไปทว่ั โลก พระไพศาล วสิ าโล อปุ สมบทเมอื่ พทุ ธศกั ราช ๒๕๒๖ ณ วดั ทองนพคุณ กรุงเทพมหานคร เรียนกรรมฐานจากหลวงพ่อเทียน จติ ตฺ สโุ ภ วดั สนามในกอ่ นไปจำ� พรรษาแรก ณ วดั ปา่ สคุ ะโต อำ� เภอ แกง้ ครอ้ จงั หวดั ชยั ภมู ิ โดยศกึ ษาธรรมกบั หลวงพอ่ คำ� เขยี น สวุ ณโฺ ณ แต่แรกต้ังใจจะบวชเพยี ง ๓ เดือนแต่เมือ่ การปฏิบัติธรรมเกิดความ กา้ วหนา้ จงึ มคี วามอาลยั ในผา้ เหลอื ง บวชตอ่ เรอ่ื ยมา จนครบรอบ ๓๒ พรรษาในต้นปีพทุ ธศกั ราช ๒๕๕๘ น้ี
ปจั จบุ นั ทา่ นเปน็ เจา้ อาวาสวดั ปา่ สคุ ะโต แตส่ ว่ นใหญจ่ ะจำ� พรรษา อยู่ที่วัดป่ามหาวัน (ภูหลง) เพ่ือรักษาธรรมชาติและอนุรักษ์ป่า นอกจากการจัดอบรมปฏิบัติธรรม พัฒนาจริยธรรม และอบรม โครงการเผชญิ ความตายอยา่ งสงบตอ่ เนอื่ งตลอดมาแลว้ ทา่ นยงั เปน็ ประธานเครือข่ายพุทธิกา กรรมการมูลนิธิโกมลคีมทอง กรรมการ สถาบันสันติศึกษา กรรมการมูลนิธิสันติวิถี และกรรมการสภา สถาบันอาศรมศิลป์ ล่าสุดท่านเป็นก�ำลังส�ำคัญในเครือข่ายสันติวิธ ี ซงึ่ รณรงคใ์ หค้ นไทยแกป้ ญั หาความขัดแยง้ โดยไม่ใช้ความรนุ แรง พระไพศาล วสิ าโล ไดช้ อื่ วา่ เปน็ พระสงฆน์ กั กจิ กรรม หวั กา้ ว หนา้ ในจำ� นวนนอ้ ยนดิ ทส่ี ามารถเชอ่ื มโยงความรทู้ างดา้ นพทุ ธธรรม มาอธิบายปรากฏการณ์ของชีวิตและสังคม ในบริบทของสังคมสมัย ใหม่อย่างเข้าใจง่ายชัดเจนเป็นรูปธรรม มีทักษะในการอธิบายหลัก ธรรมทย่ี ากและลกึ ซงึ้ ใหเ้ หน็ เปน็ เรอื่ งงา่ ยตอ่ การทำ� ความเขา้ ใจ ทำ� ให้ คนรุ่นใหม่เกิดศรัทธาและเห็นความส�ำคัญของธรรมว่าเป็นเร่ืองน่า ใครค่ รวญศกึ ษาและปฏบิ ตั ไิ ดไ้ มย่ าก ทา่ นมงี านเขยี นตอ่ เนอ่ื งสมำ�่ เสมอ ทั้งหนังสืองานแปลและบทความ ปัจจุบันมีผลงานหนังสือของท่าน มากกว่ารอ้ ยเล่ม ปีพุทธศักราช ๒๕๔๘ ท่านได้รับรางวัลชูเกียรติ อุทกะพันธ์ ในสาขา ศาสนาและปรัชญา จากผลงานหนังสือ “พุทธศาสนาไทย ในอนาคต : แนวโนม้ และทางออกจากวกิ ฤต” ลา่ สดุ ทเ่ี ปน็ เกยี รตปิ ระวตั ิ ส�ำคัญคือ ท่านเป็นพระสงฆ์รูปแรกท่ีได้รับรางวัลศรีบูรพา ประจ�ำปี
พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๓ โดยมติเอกฉนั ท์ แมจ้ ะมผี ลงานชว่ ยเหลอื สงั คม อนรุ กั ษธ์ รรมชาต ิ และสง่ เสรมิ การปฏิบัติภาวนามากมาย แต่ทั้งหมดทั้งปวงที่กล่าวมาแล้ว พระ ไพศาล วสิ าโล ยงั คงยนื ยนั วา่ “ชวี ติ อาตมา เปน็ แคพ่ ระอยา่ งเดยี ว กเ็ ปน็ เกยี รต ิ และประเสรฐิ สดุ ในชวี ติ แลว้ ไมม่ อี ะไรสงู สดุ กวา่ การเปน็ พระ ท่ีเหลือเป็นส่วนเกนิ ”
อรยิ สจั ๔ ประการ เรม่ิ ตน้ และจบทกี่ ารเหน็ ทกุ ข ์ เรม่ิ จากการรตู้ วั ในเวลาเกดิ ทกุ ข ์ และเหน็ วา่ ทกุ ขเ์ กดิ ขน้ึ กบั ขนั ธ ์ ๕ เหน็ วา่ ขนั ธ ์ ๕ เปน็ ทกุ ข ์ ไมใ่ ชเ่ ราทกุ ข ์ จนเหน็ ไปถงึ วา่ ทกุ ขเ์ กดิ ขนึ้ เพราะไปยดึ มน่ั ถอื มนั่ ในตวั กขู องกู นั่นคือรู้ไปถึงสมุทัย และเม่ือมีสติท่ีเกื้อหนุนให้เกิด ปัญญาจนกระท่ังได้เห็นความจริงข้อน้ี ก็จะสามารถ ละสมทุ ยั ได ้ และเมอ่ื ละสมทุ ยั หรอื ละความยดึ ตดิ ถอื มนั่ ในตัวตนได้แล้ว ความทุกข์ก็ไม่มีท่ีต้ัง ก็จะเข้าถึงนิโรธ คือความดบั ทกุ ขห์ รือพระนพิ พานได้ในท่สี ุด
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162