ต ่ื น รู้ 5 0 อ ยู่ เ ส ม อ ก็ป่วยการซ้อม เราซ้อมเพ่ือที่จะลงสนามจริง คือเก่ียวข้องกับผู้คน เกี่ยวข้องกับการงานต่างๆ อย่างเช่น สนามจริงของโยมคือ ห้อง ครวั เวลาปฏบิ ตั ใิ นกฏุ กิ ร็ ะลกึ ไวว้ า่ เปน็ การซอ้ ม แตถ่ า้ ซอ้ มแลว้ ไมล่ ง สนามก็ไม่มีประโยชน์ บางคนกลัวการลงสนามก็เลยเอาแต่เก็บตัว อยใู่ นกฏุ ิ พยายามหลกี เลยี่ งงานการ ไมย่ อมเขา้ ครวั คดิ วา่ การทำ� งาน เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติธรรม จะทำ� ให้จิตใจฟุ้งซ่าน หรือทำ� ให้มี เวลาปฏิบัตนิ ้อยลง อนั น้ีเป็นการเขา้ ใจผดิ การปฏบิ ตั ทิ เี่ ราท�ำเปน็ สว่ นตวั หรอื อยคู่ นเดยี วนน้ั ยงั ไมใ่ ชข่ อง จริงเป็นเพียงการซ้อม เราต้องลงสนามจริง ถึงจะรู้ว่าพัฒนาไปแค ่ ไหนแล้ว การท�ำงานคือการปฏิบัติธรรมอีกแบบหน่ึง ท่ีต้องอาศัย ความระแวดระวังมากข้ึน และเป็นการน�ำธรรมะไปใช้กับชีวิตจริง เช่น เราเรียนหนังสืออยู่ในห้อง แต่ไม่เอาไปใช้กับชีวิตจริงก็ไม่เกิด ประโยชน ์ เราทอ่ งสตู รคณู ไดใ้ นหอ้ ง แตพ่ อไปซอ้ื ของ กลบั ใชเ้ ครอ่ื ง คิดเลขแทน อย่างนี้จะมีประโยชน์อะไร เรียนสูตรคูณมาแล้วก็ต้อง เอาไปใชใ้ นชวี ติ จรงิ ซอื้ ของกค็ ำ� นวณไดใ้ นหวั วา่ จะตอ้ งจา่ ยเงนิ เทา่ ไหร ่ แน่นอนตอนเรียนในห้อง บรรยากาศต้องสงบเงียบ จะได้เรียนรู้ไว แต่ในตลาดหรือบนท้องถนนน้ัน เต็มไปด้วยเสียงอึกทึก แต่คนท ่ี คล่องสูตรคูณ ก็สามารถคำ� นวณราคาไดไ้ มย่ าก การคำ� นวณในใจ ยงิ่ ทำ� กย็ ง่ิ คลอ่ ง สามารถคดิ คำ� นวณโดยไมต่ อ้ ง ใชอ้ ปุ กรณห์ รอื เครอื่ งคดิ เลข การเจรญิ สตใิ นชวี ติ จรงิ กเ็ ชน่ กนั ยงิ่ ท�ำก ็ ยง่ิ คลอ่ ง สตยิ งิ่ ฉบั ไว ไมใ่ ชแ่ คเ่ อาสตหิ รอื ธรรมะไปใชใ้ หเ้ กดิ ประโยชน์
51 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล เช่น ขับรถปลอดภัย คิดอะไรได้ฉับไวเท่าน้ัน แต่ยังพัฒนาให้สติ เจริญงอกงามย่งิ ข้นึ เหมอื นกับเป็นการฝึกฝนจิตอกี อย่าง ฉะน้ัน อย่าไปรังเกียจการท�ำงานหรือกลัวท่ีจะไปเกี่ยวข้องกับ ผคู้ น ขณะเดยี วกนั กใ็ หถ้ อื วา่ แมอ้ อกจากทางจงกรมแลว้ การปฏบิ ตั ิ ก็ยังด�ำเนินต่อไป ควรรักษาใจให้มีสติอยู่เสมอ อิริยาบถย่อยต่างๆ อย่าถือว่าไม่ส�ำคัญ การอาบน้�ำ แปรงฟัน ล้างจาน ก็ยังเป็นเรื่อง ส�ำคญั ถา้ เราท�ำใหด้ จี ะมอี านิสงสม์ าก มคี นค�ำนวณวา่ ทง้ั ชวี ติ ของ คนเราใช้เวลาอยู่ในห้องน้�ำรวมกันแล้วนานถึง ๗ ปี แต่ก็ยังน้อย กว่าการใช้เวลาในการดูโทรทัศน์ คนในเมืองทุกวันนี้ ท้ังชีวิตจะใช้ เวลาในการดูโทรทัศน์ถึง ๑๒ ปี ถ้าเราอยู่ในห้องน�้ำอย่างมีสติจะ ได้ประโยชน์มหาศาลเลย ดังน้ันอย่าไปดูแคลนการปฏิบัติในชีวิต ประจำ� วันของเรา ถา้ เราใชช้ วี ติ ประจ�ำวนั อยา่ งมสี ต ิ เชน่ อาบน�้ำ แปรงฟนั กนิ ข้าว ท�ำงานอย่างมีสติ ก็ถือว่าได้ประโยชน์มากแล้ว ท้ังชีวิตเราใช้ เวลากนิ ขา้ วไมน่ อ้ ยกวา่ ๔ ป ี ถา้ กนิ ขา้ วอยา่ งมสี ตกิ เ็ กดิ อานสิ งสม์ าก และถา้ เราตดั เวลาดโู ทรทศั นอ์ อกไป จะมเี วลาวา่ งเพม่ิ อกี เยอะ มเี วลา เพม่ิ ขน้ึ ๑๒ ป ี ๑๒ ป ี นส้ี ามารถทำ� อะไรไดอ้ กี มากมาย แตถ่ า้ เราด ู โทรทศั นอ์ ยา่ งมสี ตกิ ไ็ ดป้ ระโยชนเ์ หมอื นกนั เรอ่ื งการใชช้ วี ติ ประจำ� วนั จงึ เปน็ เรอื่ งสำ� คญั อยา่ เอาแตเ่ ตมิ นำ�้ อยา่ งเดยี ว ตอ้ งรกั ษาอยา่ ใหน้ ำ�้ รั่ว หรือใหม้ ันไหลออกนอ้ ยทสี่ ดุ
ต ่ื น รู้ 5 2 อ ยู่ เ ส ม อ ถา้ เราทำ� ดๆี การใชช้ วี ติ ประจำ� วนั จะไมใ่ ชเ่ พยี งแคก่ ารรกั ษาสต ิ เทา่ นน้ั แตเ่ ปน็ การสรา้ งสตเิ พม่ิ เตมิ ดว้ ย เหมอื นกบั เราเรยี นหนงั สอื จนอา่ นออกเขยี นได ้ ถา้ จบแลว้ เราไมเ่ ขยี นไมอ่ า่ นเลย ความสามารถ ในการอา่ นการเขยี นกจ็ ะคอ่ ยๆ หายไปทลี ะนอ้ ย เดก็ จ�ำนวนไมน่ อ้ ย เมื่อเรียนจบประถม ๖ แล้วไม่ได้เรียนต่อ ความรู้ที่เรียนมาก็หาย ไปหมด แถมยงั อา่ นหนงั สอื ไมค่ ลอ่ งอกี ดว้ ย แตถ่ า้ เราเปน็ คนทศ่ี กึ ษา หาความรอู้ ยบู่ อ่ ยๆ อา่ นหนงั สอื เปน็ ประจำ� แมจ้ ะออกจากโรงเรยี นมา แลว้ เราไมเ่ พยี งอา่ นหนงั สอื ไดเ้ ทา่ นน้ั แตส่ ามารถอา่ นไดค้ ลอ่ งแคลว่ ยิง่ กว่าเดิม ท�ำใหม้ คี วามร้เู พม่ิ ขึน้ ลกึ ซ้งึ และกว้างขวางขึ้น การเจรญิ สตกิ เ็ หมอื นกนั ถา้ เราเจรญิ สตใิ นชวี ติ ประจำ� วนั กจ็ ะ ท�ำให้สติที่สะสมมาในการปฏิบัติหรือในระหว่างการบวช นอกจาก จะไมห่ ายไปไหน ยงั กลบั เพมิ่ มากขนึ้ จงึ เปน็ เรอื่ งสำ� คญั ทตี่ อ้ งเอาใจ ใส่ เพ่ือไม่ให้เกิดความประมาท ต้องขวนขวายพากเพียรไม่หยุด ดงั ที่พระพุทธองคไ์ ดต้ รสั เตือนไวเ้ ปน็ คร้งั สดุ ท้ายในปจั ฉิมโอวาท
...การเจรญิ สติ เปรียบเหมอื นกับ การเติมน�ำ้ ลงในหม้อดิน นำ�้ จะเตม็ ได้ ดว้ ยเหตปุ จั จยั สองอย่าง คอื ๑. เตมิ น�ำ้ อยู่เสมอ ๒. หม้อต้องไม่ร่วั หรอื ไมป่ ลอ่ ยให้น้ำ�ซึมออกไป...
55 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล สติเป็นธรรมใหญ่ ขอให้พวกเราพยายามเปิดที่ว่างในใจของเรา ให้สติได้เจริญ เติบโต เหมือนกับเราจะปลูกต้นไม้ เราก็ต้องเตรียมดินไว้ก่อน ถ้า หากดนิ นน้ั รก ปกคลมุ ไปดว้ ยวชั พชื ตน้ ไมก้ เ็ ตบิ โตไดย้ าก สตกิ เ็ ชน่ กนั จะงอกงามในใจได้ก็ต้องการที่ว่างเช่นกัน ดังน้ันอย่าปล่อยให้ใจ ของเรารกไปดว้ ยเรือ่ งทเี่ ป็นบาปอกศุ ล หรือความคดิ ฟุ้งซ่าน ค่อยๆ แผว้ ถางทาง คอ่ ยๆ เปดิ ชอ่ งทางใหส้ ตขิ องเราไดเ้ ตบิ โต แลว้ ชว่ ยกนั รดนำ�้ บ�ำรงุ สติอยา่ งสม่�ำเสมอ การสรา้ งจงั หวะแตล่ ะจงั หวะ การเดนิ จงกรมแตล่ ะกา้ ว เปรยี บ เหมอื นกบั การหยดนำ�้ ลงไปในจติ เพอ่ื ใหส้ ตไิ ดเ้ จรญิ เตบิ โต ความจรงิ เรามีสติอย่แู ลว้ ทกุ คน เพยี งแต่ว่าอาจจะไมม่ ีโอกาสเติบโตเท่าทคี่ วร เพราะวัชพืชทางอารมณ์ขึ้นรกปกคลุมจิตหนาแน่น เราต้องค่อยๆ ถากถางวชั พชื เหลา่ นอ้ี อกไปบา้ ง ใหม้ ที ว่ี า่ งใหแ้ ดดสอ่ งถงึ คอยรดนำ�้ พรวนดนิ และใสป่ ยุ๋ อยา่ งสมำ่� เสมอ ความเพยี ร ความตงั้ ใจ ความศรทั ธา เปน็ เสมอื นน�้ำ ดนิ แสงแดด ปยุ๋ ทชี่ ว่ ยบ�ำรงุ สต ิ ไมช่ า้ ไมน่ าน สต ิ กจ็ ะงอกงาม
5 6 ส ต ิ เ ป ็ น ธ ร ร ม ใ ห ญ่ เวลาเราปลูกต้นไม้ กว่าแต่ละต้นจะเติบโตต้องใช้เวลานาน เราไม่ทันสังเกตหรอก ว่ามันเติบโตข้ึนอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นยอดกิ่ง ใบ หรอื วา่ ราก เพราะเหน็ ดว้ ยตาไดไ้ มช่ ดั เราดทู กุ วนั ๆ กเ็ หมอื น กบั วา่ ยงั คงโตเทา่ เดมิ แตท่ จี่ รงิ แลว้ ตน้ ไมโ้ ตขนึ้ ทกุ วนั ทกุ ขณะ อยา่ ไปคอยวดั บอ่ ยๆ วา่ มนั โตเทา่ ไหร่ รากลกึ เท่าไหร่ มตี วั อยา่ งในนทิ านชาดกเรอื่ งคนสวนกบั ลงิ วนั หนงึ่ คนสวนไมอ่ ย่ ู ให้ลิงช่วยรดน�้ำต้นไม้ให้ ลิงรดน้�ำไปก็นึกสงสัยไป ว่าต้นไม้หยั่งราก ลงไปในดินมากน้อยแค่ไหน มันจึงดึงต้นไม้ขึ้นมา เพื่อดูว่ารากยาว แค่ไหน เสร็จแล้วก็ใส่ต้นไม้กลับเข้าหลุมเหมือนเดิม วันต่อมาพอ รดนำ�้ เสรจ็ กด็ งึ ตน้ ไมข้ นึ้ มาดอู กี เพอ่ื จะดวู า่ รากมนั หยง่ั ลกึ แคไ่ หน ทำ� อย่างนี้ไม่กี่วันต้นไม้ก็ตาย คนสวนกลับมาเห็นตกใจแทบสลบเลย เพราะต้นไม้ตายท้งั สวน พระพทุ ธองคต์ รสั วา่ สตเิ ปน็ ใหญใ่ นบรรดาธรรมทงั้ หลาย สมาธิ เปน็ ประมขุ ปญั ญาเปน็ ยอด วมิ ตุ เิ ปน็ แกน่ นพิ พานเปน็ ทสี่ ดุ ฉะนน้ั เราอยา่ ไปดถู กู สต ิ เพราะสตเิ ปน็ ใหญใ่ นบรรดาธรรมทงั้ หลาย สมาธิ กเ็ ปน็ ประมขุ ปญั ญากเ็ ปน็ ยอด สามตวั นสี้ ำ� คญั มาก สตคิ อื อะไร สต ิ คอื ความระลกึ ได้ ความระลกึ ไดค้ อื ไมล่ มื หรอื ไมห่ ลง คนเราระลกึ ได้ หลายเรอื่ ง ระลกึ ไดว้ า่ มนี ดั กบั ใครทไี่ หน ระลกึ ไดว้ า่ รา้ นนขี้ ายของแพง ระลึกได้ว่าใครเคยยืมเงินเราแล้วไม่จ่าย อันนี้ก็เป็นสติได้เหมือนกัน แต่ว่ามันไม่ใช่สติส�ำหรับการปฏิบัติเพื่อน�ำพาให้เราพ้นทุกข์ ถึงแม้
57 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล มันอาจจ�ำเป็นส�ำหรับการท�ำงานหรือการด�ำเนินชีวิตประจ�ำวัน แต ่ เป็นความระลึกไดใ้ นเรอ่ื งนอกตวั เราอาจจำ� ไดห้ ลายเรอ่ื ง ไมล่ มื อะไรอกี มากมาย รวมทง้ั ไมล่ มื ตวั ไมล่ มื ตวั ในทนี่ แ้ี ปลวา่ อะไร คนทไ่ี ดด้ บิ ไดด้ แี ลว้ ไมล่ มื ตวั วา่ ตวั เองเคย เป็นชาวไร่ชาวนา ไม่ลืมก�ำพืดเดิม ไม่หลงตัว อันนี้เรียกว่ามีสติได ้ เหมอื นกนั ไมว่ า่ จะเปน็ ใหญแ่ คไ่ หน กย็ งั มสี ตริ ะลกึ ไดว้ า่ ฉนั เคยเปน็ คนยากคนจน ไมเ่ ปน็ ววั ลมื ตนี นกี่ เ็ ปน็ ความระลกึ ไดอ้ ยา่ งหนง่ึ ความ ไมล่ มื ตวั น ้ี ทำ� ใหเ้ ราออ่ นนอ้ มถอ่ มตน เปรยี บเหมอื นกบั รวงขา้ ว ยงิ่ ม ี เมล็ดเต็มมากเท่าไร ย่ิงโน้มรวงโค้งลงมาสู่ดิน น่ันเป็นตัวอย่างของ ความออ่ นนอ้ มถอ่ มตนเพราะไมล่ ืมตัว คอื กลบั คนื สรู่ ากคนื สู่ดนิ แตย่ งั มคี วามไมล่ มื ตวั บางอยา่ งทลี่ ะเอยี ดกวา่ นน้ั เชน่ เวลาเรา โกรธจนอยากจะพูดจารุนแรง เกือบจะด่าหรือใช้ก�ำปั้นทุบตีใครเขา แต่ยังไม่ทันท�ำ ก็รู้ตัวข้ึนมา ท�ำให้ไม่ลืมตัวจนท�ำส่ิงแย่ๆ ออกไป อย่างน้ีคือความไม่ลืมตัวท่ีส�ำคัญมาก ท�ำให้เราไม่ตกเป็นทาสของ อารมณ์ สติที่หมายถึงความไม่ลืมตัวจนตกเป็นทาสอารมณ ์ ท�ำให้ รู้ทันอารมณ์ สติแบบนี้แหละที่จ�ำเป็นส�ำหรับการปฏิบัติ เป็นการ ระลึกไดใ้ นเรอ่ื งกายและใจ ไมใ่ ชร่ ะลกึ ไดใ้ นเรอ่ื งนอกตัว สง่ิ ทเี่ ปน็ เหตทุ �ำใหเ้ ราลมื ตวั คอื การชอบสง่ จติ ออกไปขา้ งนอก ไปอยทู่ รี่ ปู เสยี ง กลน่ิ รส สมั ผสั เรามตี า ห ู จมกู ลน้ิ กาย รวม แล้วต้ัง ๕ อย่าง เพ่ือรับรู้เรื่องโลกภายนอก ถ้าเราปล่อยใจออกไป
58 ส ต ิ เ ป ็ น ธ ร ร ม ใ ห ญ่ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย จนลืมกลับมาดูใจตัวเอง ก็ท�ำให้ลืมตัว หรือขาดสตไิ ดเ้ หมอื นกัน มเี รอ่ื งของพระกรรมฐาน ๔ รปู ทา่ นตงั้ ใจปฏบิ ตั แิ บบอกุ ฤษฎ์ จึงตกลงกันว่าจะนั่งสมาธิโดยไม่พูดไม่คุยกัน ๗ วัน ๗ คืน เช้าวัน แรกผา่ นไปดว้ ยด ี พอตกคำ่� มเี สยี งดงั กกุ กกั ๆ ทว่ี หิ าร คลา้ ยจะมคี น เขา้ ไป พระรปู ท ่ี ๑ จงึ โพลง่ ขน้ึ มาวา่ “มใี ครลงกลอนวหิ ารหรอื เปลา่ ” รปู ท ี่ ๒ ไดย้ นิ เชน่ นน้ั จงึ พดู วา่ “ทา่ นลมื แลว้ หรอื วา่ เราตกลงกนั วา่ จะห้ามพดู ” รูปท่ ี ๓ จึงพดู ขึน้ มาบา้ งวา่ “แล้วทา่ นพูดขน้ึ มาทำ� ไม” เงยี บสกั พกั รปู ท ่ี ๔ กพ็ ดู ขนึ้ มาวา่ “พวกทา่ นไมไ่ ดเ้ รอื่ งเลย พดู กนั หมดทกุ คน มีแต่ผมคนเดยี วไมไ่ ดพ้ ดู ” นี้คือตัวอย่างของการลืมตัว คนท่ีลืมตัวมากที่สุดก็คือรูปท่ี ๔ ท่านลืมตัวเพราะอยากจะคุยโม้ว่าฉันเก่งกว่าคนอ่ืนหมด คนอื่นพูด ทุกคน แต่ฉันไม่ได้พูด ความท่ีอยากจะคุยโวว่าฉันเก่ง เลยลืมตัว โพลง่ ออกมา คนเรามกั มนี สิ ยั สองอยา่ ง ถา้ ไมช่ อบคยุ โว กช็ อบจอ้ ง จบั ผดิ คนอนื่ ทงั้ สองอยา่ งมนั ทำ� ใหล้ มื ตวั ได ้ การจอ้ งจบั ผดิ นมี้ นั แฝง ดว้ ยโทสะ เมอ่ื ไมช่ อบเขากค็ อยจอ้ งจบั ผดิ เขา สว่ นความอยากอวดตวั วา่ ฉนั เกง่ มสี าเหตมุ าจากมานะ มานะคอื ความถอื ตวั อยากเดน่ กวา่ คนอ่ืน
59 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล นอกจากโทสะ และมานะแลว้ คนเรายงั ลมื ตวั เพราะโลภะและ ทฏิ ฐหิ รอื ความยดึ ตดิ ในความคดิ เหน็ ทผ่ี คู้ นเถยี งกนั เอาเปน็ เอาตาย กลายเปน็ ทะเลาะกนั กเ็ พราะตวั ทฏิ ฐนิ แี้ หละ สรปุ กค็ อื เมอื่ มอี ารมณ์ ครอบงำ� จติ แลว้ กท็ ำ� ใหล้ มื ตวั ไดท้ งั้ นนั้ ลมื ตวั จนทำ� อะไรทแ่ี ยๆ่ ลงไป และสาเหตทุ อ่ี ารมณค์ รอบงำ� จติ ขนาดนน้ั กเ็ พราะไมร่ ตู้ วั ไมร่ วู้ า่ เกดิ อะไรข้ึนกับใจ ความลืมตัวกับความไม่รู้ตัวจึงเกี่ยวข้องกันมาก จะ เรียกว่าเป็นอันเดียวกันก็ได้ คนเรา โกรธก็ไม่รตู้ วั ว่าก�ำลังโกรธ เศรา้ ก็ไมร่ ูต้ วั วา่ ก�ำลังเศรา้ ก็เลยจมอยใู่ นความทุกข์เปน็ วันเป็นเดือน น่เี ปน็ เหตผุ ลทเี่ ราตอ้ งมา ฝึกสติกัน เพราะคนเราทุกข์แล้วยังไม่รู้ตัว เรียกว่าทุกข์แล้วลืมตัว คนทร่ี วยแลว้ ลมื ตวั นนั้ มไี มม่ าก เพราะมนี อ้ ยคนทจี่ ะรำ�่ รวย แตแ่ ทบ ทงั้ หมดทกุ ขแ์ ลว้ ลมื ตวั ทง้ั นนั้ นอกจากนน้ั เรายงั ลมื ตวั ปลอ่ ยใหค้ วาม โกรธความเกลยี ดเขา้ มาครอบงำ� เวลาโกรธเกลยี ด ดเู หมอื นเราจะรตู้ วั แตจ่ รงิ ๆ แลว้ ไมร่ หู้ รอก เพราะถา้ รตู้ วั กจ็ ะไมห่ ลดุ เขา้ ไปในความโกรธ ความเกลียดอกี เวลาเราเหน็ คนอนื่ โกรธเกลยี ด เราสงั เกตไดง้ า่ ย แตพ่ อเราเปน็ เอง กลับไม่ค่อยรู้ตัว เป็นเพราะอะไร ก็เพราะจิตถนัดส่งออกนอก แตไ่ มค่ อ่ ยกลบั มาดตู วั เอง เราจะกลบั มาดตู วั จนรทู้ นั อารมณท์ เี่ กดิ ขน้ึ ได้ก็เพราะมีสติที่ฉับไว ดังนั้น การสร้างสติจึงเป็นเร่ืองส�ำคัญมาก สำ� หรบั พวกเราทกุ คน การเจรญิ สตดิ ว้ ยการสรา้ งจงั หวะ เดนิ จงกรม กค็ อื การปลกู สต ิ คอื ฝกึ ใหร้ ตู้ วั บอ่ ยๆ ทแี รกกร็ กู้ ายเคลอ่ื นไหว เดนิ กร็ ้ ู
6 0 ส ต ิ เ ป ็ น ธ ร ร ม ใ ห ญ่ ยกมอื กร็ ู้ ตอ่ มากร็ ใู้ จทคี่ ดิ นกึ ฟงุ้ กร็ ู้ โมโหกร็ ู้ รแู้ ลว้ วาง ไมป่ ลอ่ ยใจ ลอยไปตามความคดิ ฟุ้งปรงุ แต่ง ทม่ี กั จะหวนกลับไปหาอดตี หรือฟุ้ง ไปในอนาคต แต่ก่อนเรามักปล่อยใจให้ลอยไปเร่ือยๆ พอเรามีหลักโดยเอา อริ ยิ าบถมาเปน็ ฐานของใจ ใจลอยเมอื่ ไหรก่ ใ็ หร้ ะลกึ วา่ เรากำ� ลงั สรา้ ง จังหวะหรือเดินจงกรมอยู่ พอระลึกได้ จิตก็กลับมาอยู่ที่การสร้าง จงั หวะคอื เดนิ จงกรม รตู้ วั วา่ กำ� ลงั ทำ� อะไร แลว้ กอ็ าจจะเผลอใหมแ่ ต ่ ใจกจ็ ะระลกึ ไดข้ น้ึ มาอกี แลว้ กลบั มาอยกู่ บั อริ ยิ าบถทกี่ ำ� ลงั ทำ� อย ู่ หลกั กม็ แี คน่ ี้ นเ้ี ปน็ การฝกึ ใหม้ คี วามระลกึ ไดห้ รอื รตู้ วั บอ่ ยๆ เมอ่ื รวู้ า่ หลง ไปอดตี หรอื อนาคต จติ กก็ ลบั มาอยกู่ บั ปจั จบุ นั รตู้ วั หรอื รอู้ ริ ยิ าบถที่ เคลอ่ื นไหว เดนิ กร็ วู้ า่ เดนิ นง่ั กร็ วู้ า่ นง่ั สรา้ งจงั หวะกร็ วู้ า่ สรา้ งจงั หวะ กินกร็ ู้วา่ กิน นี้คอื สติ อานิสงส์ของสติ สตมิ อี านสิ งสห์ ลายอยา่ ง ตง้ั แตเ่ รอื่ งพน้ื ๆ ไปจนถงึ อานสิ งสข์ น้ั สงู พระเจา้ ปเสนทิโกศลทรงเคยปรารภกับพระพทุ ธเจา้ ว่า พระองค์ มพี ระวรกายใหญ ่ อดึ อดั เหลอื เกนิ เนอ่ื งจากเสวยมาก พระพทุ ธองค์ กท็ รงแนะวา่ “ใหม้ สี ตทิ กุ เมอื่ รปู้ ระมาณในการบรโิ ภค เวทนาจะเบา บาง ท�ำให้แก่ช้า พระชนมายุยืนยาว” พระเจ้าปเสนทิโกศลก็ไปท�ำ ตามทที่ รงแนะนำ� โดยสง่ั ใหม้ หาดเลก็ ทอ่ งคำ� แนะนำ� ทกุ ครงั้ เวลาเสวย พระกระยาหาร เพอ่ื เตอื นสตใิ หเ้ สวยนอ้ ยลง ไมน่ านนกั พระเจา้ ปเสน- ทิโกศลก็มีพลานามัยดีข้ึน รู้สึกกระปรี้กระเปร่า จึงทรงสรรเสริญ
6 1 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล พระพทุ ธองคว์ า่ ทรงอนเุ คราะหพ์ ระองคด์ ว้ ยประโยชนท์ ง้ั ๒ ประการ คอื ประโยชนเ์ ฉพาะหนา้ และประโยชนร์ ะยะยาว ประโยชนเ์ ฉพาะหนา้ ก็หมายถงึ ความสขุ ทางโลก ส่วนประโยชน์ระยะยาวก็หมายถึงความ สขุ ทางธรรม พดู งา่ ยๆ คอื สรรเสรญิ วา่ พระพทุ ธองคท์ รงเปน็ ผรู้ ทู้ ง้ั ใน ทางโลกและทางธรรมหรือทรงรอบรทู้ ั้งโลกยี ะและโลกุตตระ สตมิ ปี ระโยชนต์ งั้ แตเ่ รอื่ งพน้ื ๆ เชน่ ทำ� ใหม้ สี ขุ ภาพด ี อายยุ นื รวมไปถงึ การทำ� มาหากนิ หรอื การเรียน ถ้าไมม่ สี ติ ก็ทำ� อะไรส�ำเร็จ ไดย้ าก เพราะมวั ลมุ่ หลงกบั ความสขุ ทางวตั ถ ุ นอกจากเรอ่ื งทางโลก แลว้ เวลาตอ้ งการทำ� จติ ใหส้ งบ มสี มาธ ิ กต็ อ้ งอาศยั สตเิ พราะความ สงบที่แท้เกิดจากใจท่ีรู้จักปล่อยวาง ก�ำหนดอยู่ในอารมณ์เดียวไม่ แสส่ า่ ยฟงุ้ ซา่ น ซงึ่ เปน็ งานทต่ี อ้ งอาศยั สตมิ าก พระพทุ ธองคต์ รสั วา่ “ผใู้ ด เมอ่ื เหน็ รปู แลว้ มสี ตเิ ฉพาะหนา้ ไมก่ ำ� หนดั ไมต่ ดิ ใจ ในรปู นน้ั แมเ้ สวยเวทนาอย ู่ ทกุ ขย์ อ่ มสนิ้ ไป ไมส่ งั่ สมไว ้ ผทู้ ไี่ มส่ ง่ั สมทกุ ขอ์ ยา่ งน ี้ บณั ฑติ กลา่ ววา่ อยใู่ กลพ้ ระนพิ พาน” ดงั นนั้ ถา้ อยากเขา้ ใกลพ้ ระนพิ พาน กต็ อ้ งอาศัยสติ ใครที่อยากพบพระพุทธเจ้าก็ต้องอาศัยสติอีกเหมือนกัน พระ องคต์ รสั วา่ “ผทู้ มี่ สี ตสิ มั ปชญั ญะ มจี ติ มนั่ คง มสี มาธแิ นว่ แน ่ สำ� รวม ตา หู จมูก ล้ิน กาย ใจ ผู้น้ันนับว่าอยู่ใกล้เราโดยแท้ เพราะเธอ เห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรมชื่อว่าเห็นเราตถาคต แม้จะอยู่ไกลนับร้อย โยชน์ก็ตาม ตรงกันข้าม หากใครไม่มีสติสัมปชัญญะ จิตไม่ม่ันคง ไมส่ ำ� รวมอายตนะทงั้ หก ถงึ แมจ้ ะเกาะชายจวี รของเรา กน็ บั วา่ อยไู่ กล
6 2 ส ต ิ เ ป ็ น ธ ร ร ม ใ ห ญ่ เราโดยแท้ เพราะเธอไม่เหน็ ธรรม ผูไ้ มเ่ หน็ ธรรม ย่อมไม่เหน็ เรา” จะส�ำรวมอินทรีย์ได้ก็ต้องมีสติ “อินทรีย์” ได้แก่ ตา หู จมูก ลน้ิ กาย “สำ� รวม” ในทน่ี หี้ มายความวา่ ระวงั รกั ษามใิ หอ้ กศุ ลธรรม หรอื ความยนิ ดยี นิ รา้ ยครอบง�ำจติ เมอื่ ตาเหน็ รปู หไู ดย้ นิ เสยี ง จมกู ไดก้ ลน่ิ เป็นตน้ ใครทีอ่ ยากเหน็ พระพทุ ธเจา้ กต็ ้องมสี ติ อยากเข้าใกล้พระนิพ- พานก็ต้องมีสติ อยากจะเอาชนะความตายก็ต้องมีสติ พระพุทธเจ้า ทรงแนะวิธีที่จะท�ำให้มัจจุราชไม่เห็นตัว ดังท่ีได้ตรัสสอนโมฆราช มานพวา่ “ทา่ นจงมสี ต ิ มองเหน็ โลกวา่ เปน็ ของวา่ งเปลา่ ถอนความ เห็นว่าเป็นตัวเราเสียทุกเมื่อเถิด หากพิจารณาเห็นโลกอย่างน้ีแล้ว มัจจุราชจักมองไม่เห็นท่าน” “มองเห็นโลกว่าเป็นของว่างเปล่า” คือเห็นว่าโลกน้ีว่างเปล่า จากตัวตน เป็นอนัตตาไม่สามารถควบคุมบังคับได้ ไม่มีตัวตนท่ ี เท่ียงแท้ย่ังยืน แปรเปลี่ยนไปตามเหตุปัจจัย ถ้ามีสติ และเห็นโลก ว่างเปล่าจากตัวตนอย่างนี้ มัจจุราชย่อมมองไม่เห็นตัว จึงเอาชนะ มัจจุราชได้ มัจจุราชจะจับเราได้ก็ต่อเม่ือเห็นตัวเรา หรือเพราะเรา คิดว่ามีตัวตน แต่ถ้าเราไม่มีตัวไม่มีตน ไม่มีความส�ำคัญมั่นหมาย ในตวั ตน ความกลวั ตาย หรอื ความรสู้ กึ วา่ ฉนั ตายกไ็ มม่ ี มแี ตค่ วาม ตาย แต่ไม่มฉี ันตาย นเี่ รียกว่ามัจจุราชทำ� อะไรไมไ่ ด้
63 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล การท่ีจะไม่มีตัวไม่มีตนได้ต้องอาศัยสติ พระพุทธเจ้าตรัสกับ ท่านพาหิยะว่า “ผู้ใดเห็นก็สักแต่ว่าเห็น ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน ได้ กลน่ิ กส็ กั แต่ว่าไดก้ ล่นิ ไดล้ ิ้มรสกส็ กั แต่วา่ ลมิ้ รส ได้รบั รู้ธรรมารมณ์ ก็สักแต่ว่ารู้ เมื่อนั้นเธอจักไม่มี เม่ือเธอไม่มี เธอก็ไม่ปรากฏท้ังใน โลกนแี้ ละโลกหนา้ และไมป่ รากฏในโลกทงั้ สอง นแ้ี หละคอื ทส่ี ดุ แหง่ ทกุ ข”์ พอทา่ นพาหยิ ะไดฟ้ งั และพจิ ารณาตาม กบ็ รรลอุ รหตั ตผลทนั ท ี เพราะเป็นความจริงอย่างยง่ิ สติปัฏฐานจึงเป็นอุบายสลายตัวตน คนเราถ้ายังไม่มีสติ ก็จะ สำ� คญั มนั่ หมายวา่ มตี วั กขู องกอู ยรู่ ำ�่ ไป อยา่ งเชน่ เวลาเราเดนิ ถา้ ไมม่ ี สติก็ไปนึกว่า มีฉันเดิน แต่ถ้าเรามีสติ เมื่อเดินก็มีแต่การเดินไม่มี ฉนั ผเู้ ดนิ เพราะเมอ่ื มสี ต ิ กไ็ มม่ กี ารปรงุ วา่ เปน็ ตวั กขู องก ู สตชิ ว่ ยให ้ เหน็ กายและใจ โดยไมส่ �ำคญั มน่ั หมายวา่ เปน็ ผเู้ ปน็ อยา่ งทห่ี ลวงพอ่ ค�ำเขียนย้�ำบ่อยๆ ว่า ให้เห็นแต่อย่าเข้าไปเป็น เห็นความเครียด เหน็ ความปวด อยา่ ไปเปน็ ผเู้ ครยี ด ผปู้ วด ถา้ ไมม่ สี ตเิ มอื่ ไรมนั กเ็ ขา้ ไป ยดึ มน่ั สำ� คญั หมายวา่ ความทกุ ขเ์ ปน็ ของฉนั ฉนั เปน็ ผทู้ กุ ข ์ พอฉนั เปน็ ผทู้ กุ ข ์ ฉนั เปน็ ผเู้ จบ็ มจั จรุ าชกเ็ หน็ ตวั ผทู้ กุ ขเ์ หน็ ตวั ผเู้ จบ็ กเ็ ลน่ งานซ�้ำได้ แต่ถ้ามีสติแล้ว ความส�ำคัญมั่นหมายว่ามีผู้เจ็บผู้ป่วย ก็ไม่เกิดขึ้น คือไม่มีตัวตนปรากฏ เมื่อตัวตนหายไปมัจจุราชก็มอง ไม่เห็น ตามจับตัวไมไ่ ด้ ให้หม่ันเห็นกายและใจบ่อยๆ อย่าไปเป็นผู้เป็น เห็นความคิด อยา่ เปน็ ผคู้ ดิ เหน็ ความปวด ความเมอ่ื ย แตอ่ ยา่ เปน็ ผปู้ วด ผเู้ มอื่ ย
6 4 ส ต ิ เ ป ็ น ธ ร ร ม ใ ห ญ่ เห็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จิตใจจะโปร่งเบา ไกลจากความทุกข์ จะเห็น ไดก้ ็ต้องมสี ติอยู่เสมอ ถา้ เขา้ ใจอยา่ งนจ้ี ะรวู้ า่ สตมิ อี านสิ งสม์ าก ตง้ั แตเ่ รอื่ งพน้ื ๆ เชน่ การกิน การนอน ที่นอนไม่หลับส่วนใหญ่ก็เพราะไม่มีสติ สาเหตุท่ ี คนนอนไมห่ ลับเพราะกงั วล ฟงุ้ ซา่ น คมุ ความคดิ ไมไ่ ด ้ ยง่ิ รวู้ า่ นอน ไม่หลับ กย็ ิ่งกังวลหนักข้นึ เกดิ ความเครยี ดขึ้นมา ย่งิ อยากให้หลบั ไวๆ กลบั ยงิ่ ไมห่ ลบั แตถ่ า้ ท�ำใจสบายๆ ไมห่ ลบั กช็ า่ งมนั ขณะทย่ี งั ตน่ื อยกู่ ค็ ลงึ นวิ้ ตามลมหายใจ จะหลบั กห็ ลบั ไมห่ ลบั กไ็ มห่ ลบั คดิ ได้อย่างน ้ี เดยี๋ วก็หลบั ไปเอง อยากจะพ้นทุกข์ก็ต้องใช้สติ อยากจะเข้าใกล้นิพพานก็ต้องใช้ สติ อยากจะเอาชนะความตายก็ต้องใช้สติ พระพุทธเจ้าถึงตรัสว่า สติเป็นใหญ่ในบรรดาธรรมท้ังปวง จึงขอให้พวกเราต้ังใจปฏิบัติถ้า เกิดฉันทะในการปฏิบัติ อุปสรรคท่ีเราเผชิญจะกลายเป็นเร่ืองเล็ก นอ้ ยและผ่านพน้ ไปในทส่ี ุด
อยากจะพ้นทุกข์ก็ต้องใชส้ ติ อยากจะเข้าใกลน้ พิ พาน กต็ ้องใช้สติ อยากจะเอาชนะ ความตายก็ต้องใช้สติ
67 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล ปล่อยวาง เพื่อนคนหนึ่งอยู่ท่ีจังหวัดเชียงใหม่ เล่าให้ฟังว่า คร้ังหน่ึงเขา มีธุระต้องลงไปกรุงเทพฯ ตอนแรกต้ังใจว่าจะเดินทางโดยรถไฟ แต ่ เผอิญเพ่ือนของเขามีเครื่องบินส่วนตัวและก�ำลังจะลงไปกรุงเทพฯ เหมอื นกนั จงึ ชวนกนั นง่ั เครอื่ งบนิ สว่ นตวั มาดว้ ยกนั แตพ่ อบนิ ขน้ึ ได ้ แค ่ ๑๕ นาท ี ปรากฏวา่ เครอื่ งบนิ ตดิ ขดั อยๆู่ เครอ่ื งกด็ บั ไป สตารท์ เท่าไหร่ก็ไม่ติด เคร่ืองจึงค่อยๆ ลดระดับลงมา ตอนนั้นส่ิงท่ีเป็น ปญั หาในใจของคนขบั ไมไ่ ดอ้ ยทู่ วี่ า่ เครอ่ื งจะตกหรอื ไม ่ แตอ่ ยทู่ ว่ี า่ จะ ใหเ้ ครอ่ื งตกทไี่ หนด ี ถา้ ตกในเมอื ง คนอนื่ กจ็ ะพลอยเดอื ดรอ้ นไปดว้ ย จงึ พยายามบงั คบั ใหเ้ ครอื่ งรอ่ นไปตกในปา่ เพราะแถวนน้ั มภี เู ขาเยอะ เพอื่ นอาตมารดู้ วี า่ ถา้ เครอื่ งตกกต็ ายแน ่ จงึ ท�ำใจยอมรบั สภาพ เขาเลา่ วา่ แปลกนะทไี่ มไ่ ดร้ สู้ กึ ตน่ื ตระหนก กลบั รสู้ กึ สงบมาก เพราะ รอบตัวเงียบมาก ไมม่ ีเสียงรบกวนใดๆ เพราะเคร่อื งยนต์ดับไปแล้ว
6 8 ป ล ่ อ ย ว า ง มองออกไปขา้ งนอกกเ็ หน็ แตท่ อ้ งฟา้ ทเ่ี วง้ิ วา้ ง ดา้ นลา่ งกเ็ ปน็ ทวิ ทศั น ์ ที่งดงาม ในใจตอนน้ันน่ิงมาก ไม่คิดถึงอะไรเลย เป็นความสงบที่ ไม่เคยพบมาก่อน เขาก็รู้สึกแปลกใจตัวเองว่า จะตายอยู่แล้วท�ำไม จงึ ไม่กลัว ขณะท่ีเครื่องบินก�ำลังลดระดับลงมาเรื่อยๆ คนขับก็พยายาม สตาร์ทเครื่องเป็นระยะๆ ปรากฏว่าโชคดี ในที่สุดเคร่ืองก็ติดข้ึนมา ปรกึ ษากนั แลว้ คดิ วา่ บนิ กลบั เชยี งใหมด่ กี วา่ ทางสนามบนิ เชยี งใหม ่ พอรขู้ า่ วกเ็ ตรยี มรบั เตม็ ท ี่ เคลยี รร์ นั เวยเ์ อาไว ้ กบั เตรยี มรถดบั เพลงิ ไว้ด้วย แล้วเคร่ืองบินก็ค่อยๆ ร่อนลงอย่างปลอดภัย เมื่อให้ช่าง มาตรวจด ู จงึ พบวา่ นำ้� ฝนเขา้ ไปในเครอ่ื งยนต ์ ทำ� ใหส้ ตารท์ ไมต่ ดิ ตอ้ ง ซอ่ มอยเู่ ปน็ ชวั่ โมง พอซอ่ มเสรจ็ เจา้ ของเครอื่ งบนิ กช็ วนเขาวา่ บนิ กลบั กรงุ เทพฯ อีกคร้งั เอาไหม เพ่ือนอาตมากต็ อบตกลงโดยไม่รสู้ กึ กลัว เหตกุ ารณ์หวาดเสียวทีเ่ พิ่งผา่ นมาเลย ตามปรกติคนเราเวลาใกล้ความตายย่อมจะมีความตื่นกลัว ท่ี ตน่ื กลวั กเ็ พราะมคี วามหวงแหนชวี ติ อยากยดึ ชวี ติ เอาไว ้ จงึ ไมย่ อมรบั ความจรงิ พยายามขดั ขนื ฝนื สภาพความเปน็ จรงิ ไมย่ อมปลอ่ ยวาง จึงท�ำให้เกิดความทุกข์ แต่เพื่อนคนนี้ยอมรับความจริงได้ ไม่ต่อสู ้ ขดั ขนื ความจรงิ ทก่ี ำ� ลงั จะเกดิ ขน้ึ เขาทำ� ใจวา่ ตอ้ งตายแนๆ่ จติ จงึ ไม่ ด้ินรน ปล่อยวางได้หมด จึงรู้สึกสงบมาก ยิ่งสภาพรอบตัวเป็นใจ คอื อยกู่ ลางฟา้ ทเ่ี งยี บสงบ ทวิ ทศั นส์ วยงาม จติ ใจของเขาจงึ รสู้ กึ สงบ อยา่ งท่ีไมเ่ คยเปน็ มาก่อน
69 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล เรอ่ื งนคี้ ลา้ ยกบั ประสบการณข์ องผหู้ ญงิ คนหนง่ึ วนั หนง่ึ เธอขบั รถบนทางด่วนด้วยความเร็วสูง ซ่ึงเป็นปกติของการขับบนทางด่วน สักพักก็เห็นข้างหน้ารถติดเป็นแถว เธอเห็นแต่ไกลก็เลยชะลอรถ แต่พอมองกระจกหลัง เห็นรถอีกคันหนึ่งกำ� ลังแล่นมาด้วยความเร็ว สงู มาก ไมม่ ีทที ่าวา่ จะชะลอ ตอนน้ันเธอรู้ว่าจะตอ้ งถกู อดั กอ๊ ปปแ้ี น ่ เพราะขา้ งหนา้ มรี ถจอดอย ู่ สว่ นขา้ งหลงั กม็ รี ถแลน่ มาดว้ ยความเรว็ ตอนนน้ั เธอรวู้ า่ ตายแน ่ ชวั่ ขณะนนั้ เอง เธอหนั มาเหน็ มอื ของเธอจบั พวงมาลัยแน่นและตัวเกร็ง เธอรู้สึกว่าท่ีผ่านมาเธอเกร็งและเครียด อยา่ งนม้ี าตลอด ถา้ จะตายกไ็ มข่ อตายในสภาพเชน่ น ี้ เธอจงึ ปลอ่ ยมอื จากพวงมาลยั และทำ� ตวั สบายๆ พรอ้ มกบั ปดิ ตา แลว้ ตามลมหายใจ แลว้ รถคนั นนั้ กพ็ งุ่ มาชนรถเธออยา่ งรนุ แรง จนไปกระแทกกบั รถคันหน้า เสียงดังสนั่น รถพังยับเยินท้ังข้างหน้าและข้างหลังแต่ ปรากฏว่าเธอรอดตาย และปลอดภัยราวกับปาฏิหาริย์ ต�ำรวจท่ีมา ช่วยดึงเธออกมา บอกกบั เธอภายหลงั ว่า ท่ีเธอรอดโดยไมเ่ ปน็ อะไร เลยก็เพราะท�ำตัวผ่อนคลาย ถ้าเธอตัวเกร็ง ก็จะถูกแรงกระแทกอัด เข้าไปเต็มท่ี หลังจากเหตุการณ์น้ัน ชีวิตของเธอเปล่ียนไป เธอใช ้ ชีวิตอย่างผ่อนคลายมากข้ึน ไม่ตึงเครียดหรือพยายามควบคุม ทุกอย่างให้เป็นไปดังใจ เธอยอมรับความเป็นจริงและปล่อยวางได้ มากข้นึ นเี่ ปน็ เรอื่ งของคนทไ่ี ดเ้ รยี นรเู้ รอ่ื งจติ ใจของตนเองในยามวกิ ฤต แมค้ วามตายเขา้ มาประชดิ ตวั แตก่ ไ็ ดเ้ หน็ วา่ เมอ่ื ใจยอมรบั ความจรงิ
70 ป ล ่ อ ย ว า ง ได ้ กลบั รสู้ กึ สงบผอ่ นคลายเปน็ อยา่ งยง่ิ ไมม่ อี ะไรทนี่ า่ กลวั เลย เรอ่ื งน้ี เปน็ บทเรยี นสอนใจใหเ้ หน็ ความจรงิ ในดา้ นกลบั กนั วา่ ความทกุ ขค์ วาม เครยี ดในชวี ติ มกั จะเกดิ ขนึ้ เพราะความยดึ หรอื อยากใหส้ งิ่ ตา่ งๆ เปน็ ไปตามใจตน ดังน้ันเม่ือความจริงไม่เป็นไปอย่างที่ต้องการ ก็เลย ไมย่ อมรบั ความจรงิ แตพ่ อปฏเิ สธความจรงิ กก็ ลบั ทำ� ใหท้ กุ ขม์ ากขน้ึ ถา้ ไมอ่ ยากทกุ ข์ กเ็ พยี งแตย่ อมรบั ความจรงิ และปลอ่ ยวางความยดึ ความอยาก เม่ือเราต้องพลัดพรากสูญเสียคนรักหรือของรัก บ่อยคร้ังเรา ไม่ยอมรับความจริง สาเหตุที่ยอมรับไม่ได้ก็เพราะยังยึดคนนั้นหรือ สงิ่ นน้ั อย ู่ ไมย่ อมปลอ่ ยวาง จงึ เกดิ ความทกุ ขข์ น้ึ มา ทงั้ ๆ ทม่ี นั ผา่ น พ้นไปแล้ว เอากลับมาไม่ได้ ลองพิจารณาดูว่า ชีวิตของเราเป็น อยา่ งนบี้ า้ งหรอื เปลา่ เราทกุ ขเ์ พราะวา่ เราไมย่ อมรบั ความจรงิ ทแ่ี ปร เปลี่ยนไป หรือความจริงอันไม่พึงปรารถนาที่ก�ำลังเกิดขึ้นต่อหน้า ซึ่งล้วนแตเ่ ปน็ สภาพท่ีเราทำ� อะไรไมไ่ ด้ แน่ล่ะว่ามีบางเร่ืองบางอย่างท่ีเราอาจเปล่ียนแปลงให้ดีขึ้นได้ เช่น เจ็บป่วยก็สามารถรักษาตัวให้ดีข้ึนได้ แต่ในระหว่างที่เจ็บป่วย และยังรักษาไม่หาย ถ้าเราไปยึดไปอยากว่า ต้องไม่ป่วยนะ หรือ บ่นโวยวายว่าทำ� ไมต้องเป็นฉัน ไม่น่าเลย ถ้าเราคิดแบบนี้ เราก็จะ ทกุ ขเ์ พราะไมย่ อมรบั ความจรงิ ในเมอ่ื ตอนนก้ี �ำลงั ปว่ ย จะบน่ ท�ำไม วา่ ไมน่ า่ ปว่ ยเลย ปว่ ยการเปลา่ ๆ ไมม่ ปี ระโยชนเ์ ลย ควรเอาเวลามา คดิ ว่าจะรักษาตัวเองอยา่ งไรจะมีประโยชนก์ วา่
71 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล ของหายก็เช่นกัน จะบ่น จะโวยวาย หรือเสียดายอย่างไรก็ ไมม่ ปี ระโยชน์ เพราะมันหายไปแลว้ แทนทจ่ี ะบน่ โวยวาย น่าจะมา คิดว่าจะหามันให้เจอได้อย่างไร หรือจะหาทางป้องกันไม่ให้เกิดเหตุ แบบนอี้ กี ไดอ้ ยา่ งไร ขณะเดยี วกนั ตอนทก่ี ำ� ลงั หามนั กต็ อ้ งทำ� ใจดว้ ย วา่ อาจจะไมเ่ จอกไ็ ด้ ถา้ เราพยายามหาด้วยความยดึ ความอยากวา่ ตอ้ งเจอใหไ้ ด ้ เรากจ็ ะทกุ ขอ์ กี เปน็ ทกุ ขส์ องชน้ั ทกุ ขช์ นั้ แรกคอื ของ หายและเสียใจ เพราะไม่อยากให้มันหาย ทุกข์ช้ันที่สองคือกังวล และรอ้ นใจขณะทหี่ ามนั เพราะอยากหาใหเ้ จอ เฝา้ แตภ่ าวนาวา่ เมอ่ื ไหร่ จะเจอ ทกุ ขช์ น้ั แรกเปน็ ทกุ ขเ์ พราะคดิ ถงึ อดตี ทกุ ขช์ น้ั ทส่ี องคอื ทกุ ข ์ เพราะห่วงอนาคต จะว่าไปแล้วคนเรามีธรรมชาติอย่างหน่ึงคือ สามารถปรับตัว ไดเ้ รว็ ถา้ ไมข่ ดั ขนื หรอื ปฏเิ สธความจรงิ แลว้ กส็ ามารถปรบั ตวั ไดเ้ รว็ พอสมควร เช่น เวลาเราไปร้านขายสีหรือปั๊มน้�ำมัน จะรู้สึกว่ากลิ่น เหมน็ กลนิ่ ฉนุ แตพ่ ออยไู่ ปนานๆ กจ็ ะไมร่ สู้ กึ ฉนุ เลย อยา่ งพวกเดก็ ปั๊มหรือคนท่ีขายสี เขาไม่รู้สึกได้กล่ินอะไรเลย กลิ่นยังอยู่ แต่เขา ชาชนิ แลว้ กเ็ ลยไมร่ สู้ กึ อะไร เวลาไปอยใู่ นทอี่ ากาศรอ้ นมาก ทแี รก กก็ ระสบั กระสา่ ย แตพ่ ออยไู่ ปนานๆ กร็ สู้ กึ ธรรมดา แตถ่ า้ เรามวั แต ่ บน่ วา่ ไมไ่ หวเลย รอ้ นเหลอื เกนิ กจ็ ะทกุ ขอ์ ยา่ งนนั้ ไปเรอื่ ยๆ จะรสู้ กึ ปรบั ตวั ได้ยาก คนเรามีความสามารถที่จะปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม หรือยอมรับความจริง น่ีเป็นธรรมชาติของมนุษย์ บางคนป่วยหนัก
72 ป ล ่ อ ย ว า ง บางคนพกิ าร ตาบอด เปน็ ใบ ้ หหู นวก ใหมๆ่ กค็ งเปน็ ทกุ ขม์ ากมาย ใชช้ วี ติ ลำ� บาก แตพ่ อผา่ นไปเปน็ ป ี เขากป็ รบั ตวั ได ้ ไมร่ สู้ กึ ยำ่� แยก่ บั ชีวิต เพราะคุ้นชินกับมันแล้ว ไปๆ มาๆ เขาอาจจะทุกข์น้อยกว่า เราที่เป็นคนปกติมีอวัยวะครบ ๓๒ ด้วยซ้�ำไป เพราะเรายังปฏิเสธ ไม่ยอมรบั ความจรงิ บางอย่าง ซงึ่ อาจเป็นเร่อื งเลก็ ๆ นอ้ ยๆ ด้วยซำ้� เช่น เพ่ือนผิดนัด รถติด นี่ก็ท�ำให้หลายคนทุกข์มากเลย ในขณะท่ี คนตาบอด หหู นวก เจบ็ ป่วยหนัก เขาอาจนง่ิ สงบก็ได้ นแี่ สดงใหเ้ หน็ วา่ ความทกุ ขข์ องคนเราไมไ่ ดอ้ ยทู่ วี่ า่ อะไรเกดิ ขนึ้ กบั เรา แตอ่ ยทู่ ว่ี า่ เรามที า่ ทกี บั มนั อยา่ งไร มนั ขน้ึ อยกู่ บั วา่ เรายอมรบั หรอื ปฏเิ สธความจรงิ ทเี่ กดิ ขนึ้ ลองดเู ถดิ อะไรกต็ ามถา้ เราไมย่ อมรบั มนั แมแ้ ตเ่ รอื่ งเลก็ ๆ นอ้ ยๆ กจ็ ะท�ำใหเ้ ปน็ เรอื่ งใหญไ่ ด ้ อะไรกต็ ามทเ่ี รา รสู้ กึ วา่ ไมไ่ หวแลว้ แมจ้ ะเปน็ เรอ่ื งเลก็ ๆ นอ้ ยๆ กอ็ าจจะทำ� ใหท้ ะเลาะ กันหรือฆา่ กนั ดว้ ยซำ้� มคี รคู นหนงึ่ เลา่ วา่ เขาไปยมื แผน่ ซดี จี ากรา้ นเชา่ ตอ่ มาเพอื่ น มาขอยมื ไปแลว้ ไมค่ นื พอไปทวงเพอ่ื นกบ็ อกวา่ คนื ไปแลว้ เขากเ็ ลย ไมม่ ซี ดี ไี ปคนื รา้ นเชา่ รสู้ กึ เครยี ดมาก เลยไปทวงจากเพอ่ื นอกี กลาย เปน็ ทะเลาะกนั เขาโมโหเพอ่ื นมาก ทงั้ กลมุ้ ใจวา่ จะท�ำอยา่ งไรด ี เขา กลุ้มใจเปน็ อาทติ ย ์ ไมก่ ลา้ เดินผา่ นรา้ นซีดีเลย อาตมากเ็ ลยถามครู คนน้ีว่าแผ่นซีดีราคาเท่าไหร่ เขาบอกว่า ๒๐๐ บาท อาตมาก็เลย บอกว่าไม่เห็นยากเลย ก็แค่ไปบอกกับทางร้านว่าท�ำหาย ให้เขา ปรับไปแค่นี้ก็จบ ท�ำไมต้องมาทุกข์เป็นอาทิตย์กับแผ่นซีดีแค่ ๒๐๐
73 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล บาท อนั นเี้ ปน็ เพราะใจยอมรบั ความจรงิ ไมไ่ ด ้ เลยไมไ่ ดค้ ดิ วา่ ของหาย ก็แค่ถูกปรับ หรือถ้าไม่ไปคืนร้าน เราก็ไปยืมต่อไม่ได้ ก็เท่าน้ันเอง แตถ่ า้ ไปตดิ ยดึ วา่ มนั ตอ้ งไมห่ าย มนั ไมน่ า่ หาย ท�ำไมถงึ ตอ้ งเปน็ เรา ถ้าคิดอย่างน้ีก็ท�ำให้เรานอนไม่หลับ กลุ้มอกกลุ้มใจได้เป็นอาทิตย ์ ทง้ั ๆ ทแ่ี ผน่ ซดี รี าคาไมก่ บี่ าท เราลองคดิ ดวู า่ คมุ้ ไหม ทกี่ ลมุ้ ใจนาน เปน็ อาทติ ยเ์ พราะของราคาแค่ ๒๐๐ บาท บางคนหนกั กวา่ นนั้ แคม่ สี วิ ขนึ้ ไมก่ เี่ มด็ กก็ ลมุ้ ใจ เพราะตดิ ยดึ กับหน้าตาของตัวว่าต้องหมดจดไม่มีสิวฝ้า ใจเลยยอมรับสิวไม่ได ้ ยง่ิ โดนเพอื่ นลอ้ กย็ ง่ิ กลมุ้ ยงิ่ อบั อาย พาลคดิ วา่ หนา้ ตาของตวั ดไู มไ่ ด้ เลยกนิ ไมไ่ ดน้ อนไมห่ ลบั ไมอ่ ยากโผลห่ นา้ ไปใหใ้ ครเหน็ เคยมวี ยั รนุ่ ฆ่าตัวตายเพราะมีสิวบนใบหน้า มีสิวไม่ใช่เร่ืองใหญ่ เล็กน้อยมาก แต่ถ้าไม่ยอมรับมัน พยายามปฏิเสธผลักไสมัน ก็จะย่ิงทุกข์จนมัน กลายเป็นเรอ่ื งใหญ ่ ครอบจิตครอบใจเราหมด จนไมน่ กึ ถึงอะไรเลย นอกจากสิวไม่กี่เมด็ บนใบหนา้ เท่านัน้ คนเราถ้าหมกมุ่นกับเรื่องอะไรก็ตาม ก็เหมือนกับเราขุดหลุม ให้ตัวเองอย ู่ ตอนหลุมยังตื้นแค่ฟุตสองฟุต เราอยู่ในหลุม ก็ยังเห็น อะไรได้กว้าง แตถ่ ้าขดุ หลมุ ลกึ ไปเรอ่ื ยๆ จนกระทงั่ ลกึ ๕ เมตรทีน ้ี ไม่เห็นอะไรแล้ว เห็นแต่หลุม มองไปข้างบนก็จะเห็นฟ้าเป็นแค่วง เล็กๆ แต่รอบตัวไม่เห็นอะไรนอกจากหลุม ตาจะแคบ สายตาก็จะ สัน้ ลงเร่ือยๆ
74 ป ล ่ อ ย ว า ง นี่คือการหมกมุ่นครุ่นคิดกับมัน เพราะความท่ีไม่ยอมปล่อย ไมย่ อมวาง ไมย่ อมรบั ไมย่ อมท�ำใจ พระพทุ ธเจา้ ทรงแนะวา่ อะไร ท่ีสมควรท�ำ ก็ท�ำด้วยความพากเพียรพยายาม อย่าผัดผ่อน แต่ ระหวา่ งทที่ �ำ กอ็ ยา่ ไปคาดหวงั ผลวา่ จะตอ้ งเปน็ ไปตามใจเรา เพราะ ผลนนั้ มนั ไมไ่ ดข้ น้ึ อยกู่ บั เราคนเดยี ว มนั ขน้ึ อยกู่ บั ปจั จยั ตง้ั หลายอยา่ ง ขึ้นอยู่กับดินฟ้าอากาศ ข้ึนอยู่กับเพื่อนร่วมงาน เจ้านาย ขึ้นอยู่กับ ปัญหาอุปสรรคต่างๆ เราเป็นแค่ปัจจัยหนึ่งเท่าน้ัน การกระท�ำน้ัน อยทู่ เ่ี รา แตผ่ ลหรอื ความสำ� เรจ็ นน้ั อยทู่ เ่ี หตปุ จั จยั หรอื เรยี กงา่ ยๆ วา่ ธรรมชาติ เปน็ เร่อื งของตถตา หรือ “ความเปน็ เชน่ นัน้ เอง” ภาษติ จนี บอกวา่ “การกระท�ำเปน็ ของมนษุ ย ์ ความส�ำเรจ็ เปน็ ของฟ้า” “ฟ้า” ในท่ีน้ีก็หมายถึงกระบวนการแห่งเหตุปัจจัย น่ันเอง อยา่ งเราจะปลกู ตน้ ไมส้ กั ตน้ อยา่ งมากทเี่ ราทำ� ไดก้ ค็ อื รดนำ�้ พรวน ดนิ ใสป่ ยุ๋ รดิ กง่ิ ทเี่ หลอื นอกนนั้ ไมไ่ ดอ้ ยใู่ นอำ� นาจของเราเลย เชน่ ฝน แดด ความชนื้ แมลง รวมทง้ั คนอนื่ ทอี่ าจจะมาตดั ขบั รถมาชน ตน้ ไมจ้ ะโตหรอื ไม ่ ขนึ้ อยกู่ บั เหตปุ จั จยั เหลา่ นด้ี ว้ ย ซง่ึ สว่ นใหญไ่ มอ่ ย่ ู ในวิสัยที่เราจะควบคุมได้ ให้ลองพิจารณาดู แม้แต่การปลูกต้นไม ้ สกั ตน้ ใหไ้ ดผ้ ล กต็ อ้ งอาศยั เหตปุ จั จยั มากมาย ถา้ ปลกู ไมข่ นึ้ กเ็ พราะ มันมีเหตุปัจจัย เรียกว่า ตถตา มันเป็นเช่นนั้นเอง ดังน้ันเวลาเรา ท�ำอะไร หากเป็นส่ิงที่ดีก็ควรท�ำให้เต็มที่ แต่อย่าไปยึดติดกับผล ว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างน้ี เราจะทุกข์เปล่าๆ หากมันไม่เป็นไป ตามใจเรา
75 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล ทั้งหมดน้ีโยงมาสู่เรื่องการปฏิบัติธรรม เพราะเวลาเราปฏิบัต ิ ธรรม ก็ต้องรู้จักยอมรับความเป็นจริง ว่ามันอาจจะไม่ให้ผลเร็ว ใจ อาจจะไม่สงบ มันอาจจะฟุ้ง อาจจะเครียด สติของเราอาจจะไม่ไว พอจึงฟุ้งอยู่บ่อยๆ หรือปรุงอยู่เรื่อยๆ ถ้าไม่ยอมรับความจริงข้อนี้ เรากจ็ ะเครยี ด เพราะจะไปบงั คบั จติ ไมใ่ หม้ นั คดิ ไมใ่ หม้ นั ฟงุ้ พอฟงุ้ ก็หงุดหงิด พอบังคับไม่ได้ก็เลยเครียด เครียดแล้วยังไม่รู้ทันความ เครยี ด ไมเ่ หน็ ความเครยี ด กเ็ ลยจมอยใู่ นความเครยี ด จนไมอ่ ยาก ปฏบิ ตั ิ เราตอ้ งเรยี นรทู้ จ่ี ะยอมรบั ความจรงิ อยา่ ไปฝนื อยา่ ไปตอ่ ตา้ น หรือปฏิเสธความจริง แค่เห็นความจริงด้วยใจเป็นกลางก็พอ การ ปฏิบัติโดยเฉพาะการเจริญสติและวิปัสสนามีหลักส�ำคัญอยู่ตรงนี้ ตอ้ งวางใจเหมอื นคนทย่ี นื อยรู่ มิ ตลงิ่ แลว้ มองดสู ายนำ้� สายนำ้� จะไหลเรว็ หรอื ชา้ ใสหรอื ขนุ่ กช็ า่ งมนั ไมต่ อ้ งไปยนิ ดยี นิ รา้ ย หรอื ใหค้ า่ กบั มนั หน้าท่ีของเราคือ ดูมนั อย่างทมี่ ันเป็นเทา่ นั้น เหมือนกับเรายืนอยู่บนชายหาดมองไปท่ีทะเล เห็นคลื่นเล็ก คลนื่ ใหญ ่ ไลท่ ยอยกนั มาเกดิ ขนึ้ แลว้ กห็ ายไป หนา้ ทขี่ องเราคอื เหน็ วา่ เกิดอะไรข้ึน แต่ไม่ต้องลงไปโต้คลื่นให้เปียก ให้เหนื่อย คล่ืนจะมา กลี่ ูก กเ็ หน็ มนั โยนตวั ขึน้ แลว้ ก็ลง เกิดขึน้ แลว้ ก็หายไป จะไปบังคบั ลกู คลน่ื ไมใ่ หเ้ กดิ ขน้ึ นน้ั เปน็ ไปไมไ่ ด ้ จะบงั คบั สายนำ�้ ใหไ้ หลเรว็ หรอื ไหลชา้ กเ็ ปน็ ไปไมไ่ ด ้ จะลงไปท�ำเขอ่ื นกกั สายนำ�้ เอาไว ้ ไมใ่ หม้ นั ไหล เรว็ กเ็ ปน็ ไมไ่ ด ้ เพราะเรามแี คส่ องมอื เทา่ นน้ั การปฏบิ ตั ธิ รรมกเ็ ชน่ กนั
76 ป ล ่ อ ย ว า ง ไม่ว่าอะไรจะเกิดข้ึนกับใจ เราต้องฝึกเป็นผู้ดูเฉยๆ หรือรู้ซ่ือๆ มัน จะเปน็ อย่างไรกเ็ ป็นเรอื่ งของมัน แล้วแต่เหตปุ ัจจัย ขอ้ ส�ำคัญคอื เราตอ้ งมีความเพียรท่จี ะสรา้ งเหตปุ จั จยั เท่าท่ีอย ู่ ในวิสัยเราจะท�ำได้ เหตุปัจจัยที่ว่าก็คือเหตุปัจจัยที่จะท�ำให้สติและ ปญั ญาเจรญิ งอกงาม เหมอื นกบั ปลกู สตแิ ละปญั ญา กต็ อ้ งหมน่ั รดนำ�้ พรวนดิน ริดกิ่ง ใส่ปุ๋ย ที่เหลือนอกน้ันเป็นเรื่องของดินฟ้าอากาศ และอะไรอีกมากมาย ที่เราคุมไม่ได้ ดังน้ันเราจึงต้องยอมรับว่าผล ของการปฏบิ ตั ิ คอื สตแิ ละปญั ญานนั้ ขนึ้ อยกู่ บั เหตปุ จั จยั หลายอยา่ ง ท่ีไม่อยู่ในอ�ำนาจของเรา เช่น ใจของเราไม่ใช่สิ่งท่ีจะควบคุมบังคับ บัญชาได้ ส่ิงทอ่ี ยู่ในอำ� นาจของเราคือการพยายามรตู้ ัวอย่เู รื่อยๆ ที่ เหลอื นอกนนั้ เปน็ เรอ่ื งของเหตปุ จั จยั ซง่ึ เราควบคมุ ไมไ่ ด ้ มนั ยงั ขน้ึ อยกู่ บั ผคู้ น ดนิ ฟา้ อากาศ ขนึ้ อยกู่ บั สภาพรา่ งกาย ทงั้ หมดนตี้ อ้ งมา รวมกนั พอดี จงึ จะเกดิ ผลอยา่ งทตี่ ้องการ ดังน้ันเวลาปฏิบัติ เราจึงต้องหมั่นท่องคาถาว่า “ไม่เป็นไร” คาถานจ้ี ะชว่ ยใหเ้ ราปลอ่ ยวางได ้ แตข่ อใหเ้ ราทำ� ไมห่ ยดุ ทำ� เตม็ ทแี่ ต่ อย่าคาดหวัง แล้วเราจะพบว่าในท่ีสุดก็อาจเกิดผลอย่างท่ีต้องการ อาจเกิดความเปล่ียนแปลงทีด่ อี ยา่ งทเ่ี รานกึ ไม่ถึงกไ็ ด้
...ความทุกข์ความเครียดในชีวิต มักจะเกดิ ขนึ้ เพราะความยดึ หรืออยากให้สิ่งตา่ งๆ เป็นไปตามใจตน ปล่อยวาง ดงั นนั้ เมือ่ ความจริงไมเ่ ปน็ ไปอยา่ งที่ต้องการ ก็เลยไม่ยอมรับความจริง แตพ่ อปฏเิ สธความจริง ก็กลบั ท�ำ ใหท้ กุ ขม์ ากขึ้น ถา้ ไมอ่ ยากทกุ ข ์ ก็เพยี งแต่ยอมรับความจรงิ และปล่อยวางความยึดความอยาก...
79 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล ความสงบจากกเิ ลส ความสงบมีหลายชนิด อย่างน้อยๆ ก็ ๓ ชนิด ประการแรก คอื ความสงบทางกาย เรยี กวา่ กายวเิ วก เกดิ ขน้ึ เมอ่ื เราอยใู่ นสถานท ่ี ที่เงียบสงบ ไมม่ เี สียงรบกวน ไม่มีผู้คนจอแจพลุกพล่าน อย่างเชน่ มาอยปู่ า่ หรอื เกบ็ ตวั อยใู่ นกฏุ ิ ความสงบทางกายนนั้ สว่ นหนงึ่ ตอ้ ง อาศัยส่ิงแวดล้อม อีกส่วนหน่ึงก็เป็นเรื่องของการปฏิบัติตัว เช่น รกั ษาศลี ๘ โดยเฉพาะศลี ขอ้ ท ่ี ๗ ไดแ้ ก ่ การงดเวน้ จากการฟอ้ นรำ� การขับประโคม การเล่นดนตรี หรือดูการละเล่น หรือการมีวิถีชีวิต ทป่ี ลอดจากสง่ิ เรา้ เยา้ ยวนทางตา ห ู จมูก ล้ิน กาย การกินน้อยใช้ นอ้ ย เปน็ อยอู่ ยา่ งเรยี บรอ้ ย บา้ นไมม่ โี ทรทศั น ์ วทิ ย ุ อาศยั อยใู่ นทที่ ่ี ไกลจากเสยี งรบกวน อยา่ งนก้ี เ็ รยี กวา่ กายวเิ วก เพราะวา่ ไมม่ อี ะไร มาท�ำให้เกิดความวุ่นวายทางกายหรือรบกวนทางผัสสะท้ัง ๕ กาย วิเวกน้นั เป็นเรอื่ งทท่ี �ำไดง้ ่ายท่ีสดุ ถอื เป็นความสงบเบอ้ื งต้น
8 0 ค ว า ม ส ง บ จ า ก ก ิ เ ล ส ความสงบประการตอ่ มาคอื ความสงบทางจติ เรยี กวา่ จติ วเิ วก ท�ำได้ด้วยการฝึกสมาธิ เจริญสติ ท�ำให้เกิดความสงบในจิตใจโดย ไม่ต้องอาศัยส่ิงแวดล้อมช่วยเลยก็ได้ เช่น เราอยู่กลางถนน อยู ่ ใจกลางเมือง แต่ใจเราสงบ เพราะว่าเราก�ำลังท�ำสมาธิ หรือน่ังอยู ่ บนรถเมล์ด้วยจิตที่น่ิง ยิ่งมาอยู่ในสถานท่ีท่ีสงบ ก็ยิ่งเอื้อให้เกิดจิต วเิ วกไดง้ า่ ย อนั นเี้ ปน็ เรอื่ งความสงบทางจติ ซงึ่ จะอาศยั สงิ่ แวดลอ้ ม ช่วยหรือไม่ ก็ได้ทั้งน้ัน แต่ว่าสำ� หรับผู้ใหม่ก็อาจต้องมีส่ิงแวดล้อม มาประกอบดว้ ย ความสงบประการสุดท้ายคือ ความสงบจากกิเลส เรียกว่า อปุ ธวิ เิ วก เปน็ ความสงบทปี่ ระเสรฐิ ทส่ี ดุ เพราะไมม่ กี เิ ลสมารบกวน จติ ใจอกี ตอ่ ไป เปน็ ความสงบทยี่ งั่ ยนื และกอ่ ใหเ้ กดิ ความสขุ ทแี่ ทจ้ รงิ ทำ� ใหเ้ ปน็ อิสระจากส่ิงเร้าเย้ายวนทงั้ หลาย ให้เราเลือกดูว่าเราอยากจะสงบแบบไหน ส�ำหรับผู้ใหม่ก็ต้อง ฝกึ ใหเ้ กดิ กายวเิ วกกอ่ น ดว้ ยการจดั สรรชวี ติ หาสง่ิ แวดลอ้ มทจี่ ะชว่ ย ปอ้ งกนั ไมใ่ หร้ ปู รส กลนิ่ เสยี ง สมั ผสั มากระตนุ้ เรา้ จติ ใจได ้ ขณะ เดยี วกนั ก็รูจ้ กั อยคู่ นเดยี วดว้ ย การอยคู่ นเดยี วกเ็ ชน่ เดยี วกบั ความสงบ คอื มหี ลายอยา่ ง ถา้ อยู่คนเดียวในอริยวินัยก็อย่างหนึ่ง ถ้าอยู่คนเดียวแบบโลกๆ ก็อีก
81 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล อยา่ งหนงึ่ อยคู่ นเดยี วแบบโลกๆ กไ็ ดแ้ ก ่ การอยโู่ ดยไมเ่ กยี่ วขอ้ งกบั ใครเลย เชน่ อยใู่ นหอ้ งคนเดยี ว อยใู่ นปา่ คนเดยี ว นเี้ ปน็ การอยคู่ น เดียวแบบสามัญ แต่การอยู่คนเดียวในอริยวินัย มีความหมายท่ีลึก กว่าน้ัน คือการไม่เพลิดเพลินในอายตนะภายนอก ได้แก่ รูป รส กล่ิน เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ (สัมผัสหรือโผฏฐัพพะ คือส่ิงท่ีมา กระทบกาย ธรรมารมณ์คือความรู้สึกนึกคิดที่จิตรับรู้) เมื่อเราไม่ เพลิดเพลินในอายตนะภายนอก แม้จะอยู่ท่ามกลางฝูงชนหรือผู้คน มากมาย กถ็ ือวา่ เปน็ การอยคู่ นเดยี วในอริยวนิ ัย การอยคู่ นเดยี วในอรยิ วนิ ยั จงึ หมายถงึ การไมฟ่ งุ้ ซา่ นแสส่ า่ ย ไปกับส่ิงภายนอก และไม่ข้องติดอยู่ภายใน ภายนอกหมายถึง รูป รส กลน่ิ เสยี ง สมั ผสั สว่ นภายในหมายถงึ ธรรมารมณน์ นั่ เอง แม ้ อยู่ท่ามกลางคนหมูม่ ากกเ็ หมือนกบั อยคู่ นเดยี ว เพราะใจเรานิ่ง ถ้า เราท�ำอย่างน้ีได้ เวลาอยู่คนเดียว ไม่มีใครอยู่ด้วย ก็เหมือนอยู่กับ ผคู้ นมากมาย คอื ไมก่ ลวั ไมร่ สู้ กึ อา้ งวา้ ง เวลาอยใู่ นปา่ หา่ งไกลผคู้ น ใจก็เป็นปกติ หรือเวลาอยู่ในกุฏิคนเดียวกลางค�่ำกลางคืน ฝนตก หรอื มพี ายมุ า เรากไ็ มก่ ลวั เพราะรสู้ กึ เหมอื นอยกู่ บั ผคู้ นมากมาย มี ความอบอนุ่ มคี วามมน่ั คงปลอดภยั เวลาตอ้ งพบปะเกยี่ วขอ้ งกบั คน จำ� นวนมาก หรอื เกย่ี วขอ้ งกบั สง่ิ ตา่ งๆ ใจกไ็ มฟ่ งุ้ ซา่ น ไมเ่ พลดิ เพลนิ ไมข่ ้องแวะสิง่ เหล่าน้ันจนตดิ จม ในบางทพ่ี ระพทุ ธองคไ์ ดต้ รสั วา่ การไมข่ อ้ งตดิ กบั อดตี กบั อนาคต ถือเป็นการอยู่คนเดียวในอริยวินัยเหมือนกัน เพราะเมื่อเราข้องแวะ
82 ค ว า ม ส ง บ จ า ก ก ิ เ ล ส กบั อดตี หรอื อนาคตกต็ าม มนั จะจมอยใู่ นความคดิ ปรงุ แตง่ หลดุ หาย เข้าไปในจินตนาการ เช่น นึกถึงสถานท่ีท่ีเราเคยชอบ หรือนึกถึง คนที่เรารู้จัก เช่นน้ีเรียกว่าไม่ได้อยู่คนเดียวแล้ว แต่ไปอยู่กับอะไร ตอ่ อะไรมากมาย ไปอยกู่ บั ผคู้ นในอกี โลกหนงึ่ ทเ่ี ราสรา้ งขน้ึ มา ไมว่ า่ จะเป็นโลกอดีตหรือโลกในอนาคตกต็ าม ท่พี ูดมาจะเห็นได้ว่า การอยู่คนเดียวในอริยวินัย ไม่ใช่การอยู ่ แบบฤๅษ ี โดดเดย่ี วจากผคู้ น แตเ่ นน้ ทคี่ ณุ สมบตั ทิ างใจ คอื ความนงิ่ สงบ สามารถรักษาจิตให้อยู่กับกายได้ ไม่ปล่อยให้จิตเร่ร่อนจรจัด การอยู่คนเดียวแบบนี้ไม่ต้องพ่ึงส่ิงภายนอก ถึงจะมีคนมากมาย เรากม็ คี วามสงบ ไมเ่ ดอื ดรอ้ น ไมอ่ นาทรรอ้ นใจ ใครจะมาสง่ เสยี งดงั รบกวนอยา่ งไร เรากเ็ ฉย จะมสี งิ่ มายว่ั ยปุ ลกุ เรา้ เรากเ็ ฉย จงึ เหมอื น กบั อยู่คนเดยี ว อนั น้ีกค็ อื จิตวเิ วกนั่นเอง การปฏิบัติแบบพุทธศาสนาน้ันเราไม่ต้องไปพึ่งพาสิ่งแวดล้อม มาก จรงิ อยปู่ ฏบิ ตั ใิ หมๆ่ กต็ อ้ งอาศยั สง่ิ แวดลอ้ มชว่ ย แตพ่ อพฒั นา ไปอีกข้ันหน่ึง เราไม่จ�ำเป็นต้องอาศัยส่ิงแวดล้อมช่วยก็ได้ ดังน้ัน ไมว่ า่ สง่ิ แวดลอ้ มจะเปน็ อยา่ งไร มนั กเ็ ปน็ เรอื่ งของเหตปุ จั จยั ภายนอก เราไม่สามารถควบคุมสิ่งแวดล้อมภายนอกได้ แต่เราสามารถรักษา จิตประคองใจให้สงบ ด�ำรงสติอยู่ได้ มีอินทรียสังวร ค�ำว่า อินทรีย สังวร หรือส�ำรวมอินทรีย์ ไม่ได้หมายความว่าปิดหูปิดตาไม่ให้เห็น ไมไ่ ดย้ นิ ไมใ่ หร้ บั รสู้ งิ่ ทจี่ ะทำ� ใหจ้ ติ กระเพอื่ ม แตห่ มายถงึ การรกั ษาใจ ไมใ่ หย้ นิ ดยี นิ รา้ ยหรอื เศรา้ หมอง เมอ่ื เกดิ ผสั สะ หมายความวา่ ไมว่ า่
83 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล จะเห็นด้วยตา ได้ยินด้วยหู หรือว่าได้กลิ่นด้วยจมูก จิตเราก็ไม่ฟู ไม่แฟบ จิตเราคงเป็นปกติได้ อันน้ีเรียกว่าอินทรียสังวร ซึ่งต้อง อาศยั สตเิ ป็นสำ� คญั เคยมีพราหมณ์ผู้หนึ่งชื่อปาราสิรยพราหมณ์ สอนว่า พึง อบรมตน ดว้ ยการไมด่ รู ปู ทางตา ไมฟ่ งั เสยี งทางห ู ฯลฯ ใหค้ วบคมุ อายตนะเอาไว ้ แลว้ กจ็ ะพน้ ทกุ ขไ์ ปเอง พระพทุ ธเจา้ ทรงแยง้ วา่ ใคร ทำ� เชน่ นนั้ ยอ่ มไมต่ า่ งจากคนตาบอด หหู นวก ฯลฯ นนั่ เอง และถา้ ปาราสิรยพราหมณ์สอนถูก คนตาบอดหูหนวกก็ย่อมได้ชื่อว่าอบรม ตนอยา่ งถึงพรอ้ ม ความทกุ ข์ย่อมลดลง อันที่จริง ไม่ว่าจะปิดหู ปิดตา ปิดจมูกยังไง เราก็ยังมีจิตที่ ชอบปรุงแต่งไม่หยุด ควบคุมได้ยาก ฉะน้ันทางที่ดีคือรักษาใจด้วย สติดีกว่า ไม่ให้ฟูแฟบไปตามผัสสะ เรียกว่ามีอินทรียสังวร คือเป็น การใช้ตาดู หูฟัง ให้เกิดผลที่เป็นกุศล แต่มันไม่ใช่เป็นเร่ืองของ การใชต้ า ใชห้ ู หรอื ใชจ้ มกู ลว้ นๆ ทสี่ ำ� คญั กค็ อื การใชส้ ต ิ ซงึ่ จะชว่ ย รกั ษาใจ ไม่ใหข้ ้นึ ๆ ลงๆ ฟๆู แฟบๆ ได้ ถ้าเรามีสติรักษาใจ ก็จะไม่หลงไม่เผลอง่าย ยิ่งมีปัญญาด้วย ก็จะท�ำให้เราเก่ียวข้องกับส่ิงต่างๆ อย่างฉลาด ไม่ว่ารูป รส กล่ิน เสียง สัมผัสท่ีน่าพอใจ หรือกามคุณ ๕ ก็สามารถเอามาใช้ให้เกิด ประโยชนแ์ กเ่ ราได้
84 ค ว า ม ส ง บ จ า ก ก ิ เ ล ส กามคุณ ๕ น้นั มนั ใหค้ วามสุขแก่เรากจ็ ริง แตก่ ม็ ีโทษไมน่ ้อย มันไม่ใช่มีแค่ อัสสาทะ มันยังมี อาทีนวะ ด้วย (อัสสาทะ คือ ประโยชนเ์ ชน่ ใหค้ วามเพลดิ เพลนิ อาทนี วะ คอื โทษ) เหมอื นกบั ไฟ ท่เี ราจุดจากฟางขา้ ว มนั ใหแ้ สงสว่างไดก้ ็จริง แตม่ ีควันเยอะ ทำ� ให้ ส�ำลักควันได้ง่าย ไม่เหมือนแสงเทียน ซึ่งให้แสงสว่างเช่นกัน แต่ ไมม่ คี วันมากเทา่ ไหร ่ แบบน้ีมคี ณุ มากกว่าโทษ แตก่ ามคุณ ๕ มนั มโี ทษมากกวา่ คณุ ใหค้ วามสขุ แตก่ ท็ ำ� ใหเ้ กดิ ทกุ ขต์ ามมา ใหมๆ่ มนั ก็ท�ำให้เราเพลิดเพลิน เพราะมันมีรสอร่อย ให้รสชาติเหมือนสัมผัส ท่ีน่าพอใจ แต่มันมีโทษแฝงเร้นอยู่ เหมือนกับเหย่ือที่เบ็ดซ่อนอยู่ ปลานน้ั พอเหน็ เหยอื่ เชน่ ไสเ้ ดอื น กต็ รงเขา้ ไปฮบุ ฮบุ ทแี รกกร็ สู้ กึ อร่อย มีความสุขแต่ประเดี๋ยวเดียวก็รู้สึกเจ็บข้ึนมา เพราะว่าเบ็ดท่ ี ซ่อนอยู่มันแทงเอา เราก็คือปลาตัวน้ันน่ันเอง เหยื่อคือกามคุณซ่ึง มีโทษแฝงอยู่ โทษของกามคณุ คอื อะไร อยา่ งแรกกค็ อื ความไมเ่ ทยี่ งของมนั ของอรอ่ ย ของดที งั้ หลาย ไมม่ อี ะไรทอี่ ยกู่ บั เราไดน้ าน ในทส่ี ดุ กต็ อ้ ง เสอื่ มโทรม รว่ งโรยไป หรอื ไมก่ พ็ รากจากเราไป มนั ไมเ่ คยเปน็ ของ เราอยา่ งแทจ้ รงิ เพราะวา่ มนั เปน็ ของธรรมชาต ิ ไมใ่ ชข่ องเรา ถงึ เวลา มันก็ต้องเส่ือมไป หรือไม่ก็มีคนมาแช่งยิงไป อันน้ีคือโทษ หรือ ถึงแม้จะไม่มีใครเอาไป แต่อยู่ๆ ไปเราก็จะเบื่อไปเอง เช่นอาหาร ทอี่ รอ่ ย หากกนิ ไปทกุ วนั ทงั้ เชา้ ทงั้ เยน็ นานเปน็ เดอื น กจ็ ะรสู้ กึ เบอื่ เส้ือผ้าท่ีเราซื้อมา ตอนซ้ือก็สวยดีน่าใส่อยู่หรอก แต่ใช้ไปนานๆ ก็เบื่ออยากได้เส้ือตัวใหม่ บางทีไม่ได้ใช้เลยด้วยซ�้ำ แขวนอยู่ในตู้
85 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล แตพ่ อเหน็ นานๆ กเ็ บอื่ อยากไดต้ วั ใหม ่ คนเราอยากไดข้ องใหมต่ ลอด เวลา ไม่เคยพอใจส่ิงที่มี เพราะสิ่งที่มีนั้นมันน่าเบื่อ นี่ก็คือโทษอีก อยา่ งหนงึ่ ของกาม คอื พอใชห้ รอื เสพไปนานๆ กไ็ มอ่ รอ่ ยแลว้ ไมม่ ี เสน่ห์แลว้ อยากเสพของใหม ่ ตอนเสพใหมๆ่ กม็ คี วามสขุ แตต่ อ่ มา ความทกุ ขก์ เ็ รม่ิ ปรากฏ ความสขุ คอ่ ยๆ หายไป ความเบอ่ื มาแทนท ี่ อนั นแี้ สดงใหเ้ หน็ วา่ ทกุ ขน์ นั้ แฝงอยใู่ นกามคณุ ๕ หรอื พดู ใหเ้ จาะจง วา่ เปน็ วัตถุกามกไ็ ด้ ถ้าเรามีสติและมีปัญญา เราก็จะไม่เผลอหรือหลงไปงับเหย่ือ เต็มปาก แม้ว่ามันจะอร่อยหรือมีเสน่ห์เมื่อเห็นทีแรกก็ตาม เช่น เพชรนิลจินดา เทคโนโลยีสมัยใหม่ มันมีแรงดึงดูดให้เราเข้าหา อยากได ้ อยากใช ้ อยากม ี แตพ่ อมสี ตหิ รอื ใครค่ รวญดว้ ยปญั ญา เรา กต็ ระหนกั วา่ สงิ่ เหลา่ นเี้ ปน็ ภาระ มนั ทำ� ใหท้ กุ ข ์ ทำ� ใหช้ วี ติ เรายงุ่ ยาก เราก็ไมอ่ ยากเข้าไปขอ้ งแวะกับมนั ไม่เขา้ ไปฮุบมนั เบด็ ทซ่ี ่อนอยกู่ ็ ไม่สามารถทำ� อะไรเราได้ อนั ทจี่ รงิ ถา้ จะพดู ใหถ้ งึ ทส่ี ดุ แลว้ ตวั การทที่ ำ� ใหท้ กุ ข ์ ไมไ่ ดอ้ ยทู่ ี ่ วตั ถกุ าม แตอ่ ยทู่ ใี่ จเรามากกวา่ ปญั หาจรงิ ๆ ไมไ่ ดอ้ ยทู่ วี่ ตั ถ ุ รปู รส กลนิ่ เสยี ง สมั ผสั ทน่ี า่ พอใจ แตอ่ ยทู่ ใี่ จเราเองทไ่ี ปปรงุ หรอื หลงคดิ วา่ สง่ิ เหลา่ นน้ั นา่ พอใจตา่ งหาก เมอ่ื เหน็ วา่ สงิ่ เหลา่ นน้ี า่ พอใจกอ็ ยากได ้ พยายามแสวงหา พอไดม้ ากย็ ดึ มนั จนตดิ ตงั เกดิ เปน็ อปุ าทานขนึ้ มา ด้วยอ�ำนาจของกิเลสกาม ด้วยอ�ำนาจของความหลง ความจริงรูป รส กลนิ่ เสยี ง หรอื วตั ถเุ หลา่ น ี้ มนั กม็ อี ยตู่ ามธรรมดาของมนั ไมด่ ี
86 ค ว า ม ส ง บ จ า ก กิ เ ล ส ไมร่ า้ ย แตเ่ ปน็ เพราะเราไปใหค้ า่ วา่ สงิ่ นด้ี มี คี า่ กเ็ ลยอยากได ้ ความ อยากมีอยากได้ก็ท�ำเรายึดติดมัน ส่ิงต่างๆ มีอยู่ตามธรรมชาติ แต ่ พอเรามีกิเลสกามข้ึน เราก็หมายจะครอบครอง เกิดความส�ำคัญ ม่ันหมายว่าต้องเป็นของเราให้ได้ น่ีเป็นเพราะเราไปให้ค่ามันเอง แลว้ เมอ่ื เราไปใหค้ า่ มนั กเ็ ลยยง่ิ อยากได ้ พอไมไ่ ดก้ ท็ กุ ข ์ ครนั้ ไดม้ า ก็ทกุ ข์ เพราะกลวั คนมาแย่ง ต้องเหนอื่ ยกบั การรักษามัน เกิดทุกข์ ท้งั กายและใจ เพราะฉะนน้ั รูป รส กล่นิ เสยี ง สัมผสั ไมใ่ ช่ตวั ปัญหา มนั ไม่ได้เป็นเหยื่อตั้งแต่แรก แต่ใจของเราต่างหากท่ีไปท�ำให้มันกลาย เป็นเหยื่อ พอเรามีความอยากเม่ือไหร่ มันก็กลายเป็นเหย่ือทันที ถ้าเราไม่อยาก มันก็เป็นสักแต่ว่าวัตถุธรรมดา เหมือนกับเด็กท ่ี ไมเ่ หน็ วา่ เพชรนลิ จนิ ดามคี า่ ตรงไหน เขาเหน็ มนั ไมต่ า่ งจากแกว้ หรอื กรวด และก็ไม่รู้สึกทุกข์เพราะเพชรนิลจินดาเลย เพราะไม่สนใจไป ฮุบมัน แต่คนท่ีมีความยึดมั่นหรือให้ค่ากับส่ิงเหล่าน้ี พอเห็นมัน ก็เกิดความทุกข์ข้ึนมาเพราะอยากได้ ดังนั้น ความทุกข์ที่เกิดข้ึน ไม่ได้เกิดจากตัววัตถุเหล่าน้ัน แต่เป็นเพราะใจของเราต่างหากท่ีม ี กเิ ลส มนั จงึ แปรรปู รส กลนิ่ เสยี ง สมั ผสั เหลา่ น ี้ ใหก้ ลายเปน็ เหยอื่ ท่ีมีเบ็ดหรือมีของแหลมคมคอยทิ่มแทงใจเรา ถ้าเราไม่ไปยึดติดมัน ไมห่ ลงใหลมนั ไมใ่ หค้ า่ มนั มนั กเ็ ปน็ แคข่ องธรรมดาชน้ิ หนงึ่ เทา่ นน้ั ไม่มีความหมายอะไรเลย
87 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล เพราะฉะนน้ั ถา้ ไมอ่ ยากทกุ ขก์ ต็ อ้ งมาจดั การทใ่ี จของเรา จดั การ กับส่ิงที่เรียกว่ากิเลสกาม กิเลสกามน่ีแหละ ท่ีท�ำให้ส่ิงต่างๆ กลาย เป็นวัตถุกามขึ้นมา ถ้าเรามีสติ มีปัญญารู้เท่าทัน ส่ิงต่างๆ มันก็มี ข้ึนมาเพ่ือให้เราใช้โดยไม่เกิดโทษ เพราะเราไม่ยึดติดหลงใหล มัน อยู่ที่สติและปัญญาของเรา สติกับปัญญาเป็นของคู่กันที่ส�ำคัญมาก สติปัญญาไม่เพียงช่วยให้เราดำ� เนินชีวิตอย่างมีความสุขเท่านั้น แต ่ ยงั ชว่ ยให้เราอย่เู หนือเกดิ เหนือแก่ เหนอื เจบ็ เหนือตายไดด้ ว้ ย พระพุทธเจ้าเคยตรัสกับโมฆราชมานพ ว่า “เธอจงเป็นผู้มีสต ิ พจิ ารณาเหน็ โลกวา่ เปน็ ของวา่ งเปลา่ ถอนความส�ำคญั ความมน่ั หมาย ในตัวตนเสีย พึงข้ามพ้นมัจจุราชได้ด้วยอุบายอย่างน้ี เมื่อบุคคล พจิ ารณาเหน็ โลกอยา่ งน ้ี มจั จรุ าชจงึ จะไดม้ องไมเ่ หน็ ” เมอ่ื มจั จรุ าชมอง ไมเ่ หน็ เรากเ็ อาชนะความตายได ้ ทงั้ หมดนจี้ ะเกดิ ขน้ึ ไดเ้ มอื่ เรามสี ติ ถอนความสำ� คญั มนั่ หมายในตวั ตน เหน็ โลกวา่ เปน็ ของวา่ งเปลา่ จาก ตวั ตน จะเห็นอยา่ งน้ีได้ต้องอาศัยสติและปญั ญา คำ� วา่ “วา่ งเปลา่ จากตวั ตน” ไมไ่ ดห้ มายความวา่ สง่ิ ตา่ งๆ ไมม่ ี จริง มันมีอยู่ สัมผัสได้ แต่ว่ามันไม่มีตัวตนของมันเอง ไม่มีตัวตน ท่ีเที่ยงแท้ มันเกิดจากส่ิงต่างๆ มาประกอบกัน เมื่อแยกส่ิงต่างๆ ออกมนั กห็ ายไป ไมอ่ ยใู่ หเ้ ราเหน็ พดู อกี อยา่ งคอื มนั เปน็ นนั่ เปน็ นี ่ เพราะเราสมมตใิ หม้ นั เปน็ อยา่ งนนั้ อยา่ งน ี้ เชน่ บา้ น ทด่ี นิ รถ เรา ไปสมมตมิ นั ขน้ึ มา แลว้ เรากไ็ ปยดึ วา่ มนั เปน็ อยา่ งนน้ั จรงิ ๆ ทงั้ ทม่ี นั ไมใ่ ช ่ มนั กเ็ ปน็ สกั แตว่ า่ ธาต ุ หรอื วา่ มนั เปน็ สกั แตว่ า่ ดนิ นำ้� ลม ไฟ
88 ค ว า ม ส ง บ จ า ก ก ิ เ ล ส มาประกอบกันเทา่ น้ัน พดู อยา่ งนอ้ี าจจะเขา้ ใจยาก ยกตวั อยา่ งเชน่ ภาพทเ่ี ราเหน็ ใน หนงั สอื จะเปน็ ภาพหนา้ คน ภาพรถยนต ์ ภาพบา้ น ภาพสตั ว ์ พอเรา เอาแวน่ ขยายสอ่ งดใู กลๆ้ สงิ่ ทเ่ี ราเหน็ คอื อะไร คอื จดุ ๆๆๆ เตม็ ไปหมด พอมองไกลๆ กม็ องเหน็ เปน็ ภาพคน รถ บา้ น สตั ว ์ แตพ่ อมองใกลๆ้ กลับเห็นเป็นจุดๆ ภาพสัตว์ก็ประกอบไปด้วยจุดนับหม่ืนมารวมกัน ภาพคนก็ประกอบไปด้วยจุดนับหม่ืนๆ จุด ภาพภูเขาก็เหมือนกัน ธรรมชาตคิ วามเปน็ จรงิ ของสง่ิ ทง้ั ปวงมนั กเ็ ปน็ อยา่ งนแ้ี หละ คอื เกดิ จากสงิ่ ตา่ งๆ มาประกอบกนั เราเรยี กวา่ ธาต ุ มนั เปน็ สกั แตว่ า่ ธาต ุ พอ มาประกอบกนั กเ็ รยี กวา่ คน สตั ว ์ รถ บา้ น ทง้ั หมดนล้ี ว้ นประกอบ มาจากธาตเุ หมอื นกนั แตใ่ นสดั สว่ นทต่ี า่ งกนั ถา้ มองชดั ๆ กเ็ หมอื น กันหมด เหมือนภาพคน ภาพสัตว์ เอาแว่นขยายมาส่องก็เห็นเป็น จุดเหมอื นกัน วปิ สั สนาหรอื ปญั ญาในพระพทุ ธศาสนามคี วามสำ� คญั ตรงนแ้ี หละ คอื ชว่ ยใหเ้ ราเหน็ วา่ อะไรทเ่ี รยี กวา่ คน สตั ว ์ สง่ิ ของ มนั เปน็ สมมต ิ ความจรงิ ไมใ่ ชอ่ ยา่ งนน้ั ทำ� นองเดยี วกนั กบั เวลาเราดหู นงั ดลู ะคร ถา้ เราไม่มีสติ เราก็นึกว่านักแสดงคนนี้เป็นกษัตริย์ เป็นเศรษฐี เป็น พระเอก เป็นผู้ร้ายจริงๆ แต่ถ้าเรามีสติเราก็รู้ว่า ที่จริงไม่ใช่ คนน้ ี
89 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล เป็นมิตร ชัยบัญชา เป็นสมบัติ เมทะนี เป็นสุวนันท์ คงย่ิง เป็น พงษพ์ ฒั น ์ วชริ บรรจง เปน็ ตน้ พระเอก นางเอก หรอื ผรู้ า้ ยนน้ั เปน็ แค่บทบาทสมมติเท่าน้ัน แต่ถ้าเราไม่มีสติ เห็นสุวนันท์ก็นึกว่าเธอ เปน็ ทายาทตกอบั ของบา้ นทรายทองไปได ้ หรอื เหน็ มยรุ ญิ ผอ่ งผดุ พนั ธ์ กน็ กึ วา่ เธอเปน็ ตวั รา้ ยตวั อจิ ฉาจรงิ ๆ เลยปราดเขา้ ไปดา่ วา่ กลางถนน ท้ังๆ ทีต่ ัวรา้ ยตวั อจิ ฉาน้ัน เปน็ แค่บทบาทสมมตเิ ท่านนั้ ค�ำว่า “ว่างเปล่าจากตัวตน” หมายถึง การเห็นความจริงโดย รู้เท่าทันสมมติ ไม่หลงติดสมมติ เห็นว่ามันไม่มีตัวตนของมันเอง เรอื่ งนเ้ี ราตอ้ งหมนั่ พจิ ารณาเรอ่ื ยๆ แมจ้ ะเปน็ เรอ่ื งยากกต็ าม วา่ งเปลา่ จากตัวตน ไม่ได้แปลว่า สัมผัสจับต้องไม่ได้ อย่างเช่น เสาไม่ใช่ ตวั ตน หมายความวา่ มนั มสี ง่ิ ทเี่ รยี กวา่ เสาอยกู่ จ็ รงิ แตค่ วามเปน็ เสา จรงิ ๆ ไมม่ ี ทเี่ ปน็ เสาขน้ึ มาไดก้ เ็ พราะมเี หตปุ จั จยั ตา่ งๆ มาประกอบ ต่างๆ แยกออกจากกันก็ไม่เหลือตัวเสา ร่างกายของเราก็เช่นกัน พอแยกธาตหุ รอื อวยั วะตา่ งๆ ออกไปกไ็ มเ่ หลอื ตวั เราเลย ทเ่ี ราเรยี ก ว่าคนน้ีเป็นนาย ก. นาย ข. ก็คือสมมติ เพราะนาย ก. นาย ข. ทจี่ ริงกไ็ มต่ ่างกัน คือมาจากธาตดุ ิน น�ำ้ ลม ไฟ เหมือนกัน ทพี่ ดู มาทง้ั หมดกค็ อื การมองใหเ้ หน็ ความจรงิ ทอี่ ยเู่ บอื้ งหลงั ของ รปู รส กล่นิ เสียง สมั ผสั ธรรมารมณ ์ ว่ามันมีอะไรมากกว่าทเี่ รา เห็น เร่ิมจากเห็นว่ามันมีทุกข์แฝงอยู่ในความสุข ในความน่าพอใจ มคี วามไมน่ า่ พอใจแฝงอย ู่ ซงึ่ อนั นเ้ี หน็ ไดง้ า่ ย แตถ่ า้ เราพจิ ารณาไป เร่ือยๆ เราก็จะเห็นลึกไปอีกว่า ที่เรานึกว่ามันเป็นตัวเป็นตนจริงๆ
9 0 ค ว า ม ส ง บ จ า ก ก ิ เ ล ส แล้ว มันว่างเปล่า มันไม่มีตัวตน มันมีแต่สมมติ ที่เราไปส�ำคัญ มนั่ หมายจนเหน็ เปน็ จรงิ เปน็ จงั ขนึ้ มา ความจรงิ มนั คอ่ ยๆ แสดงตวั ออกมาเป็นชั้นๆ จากเดมิ ทเ่ี หน็ วา่ มันไม่เทยี่ ง เราก็เหน็ ตอ่ ไปวา่ มัน เป็นทุกข์ มันมีทุกข์แฝงอยู่ เราลองมองลึกเข้าไปอีก จะเห็นว่าที่ จรงิ มนั ไมม่ ตี วั ตนอยา่ งทเ่ี ราเขา้ ใจ ทงั้ หมดนค้ี อื “ไตรลกั ษณ”์ ไดแ้ ก ่ ความไมค่ งท ่ี หรอื อนจิ จงั ความไมค่ งตวั มที กุ ขแ์ ฝงอย ู่ หรอื ทกุ ขงั และความไม่ใชต่ ัวตน หรอื อนัตตา ลักษณะเหล่าน้ีเราต้องพิจารณาให้เห็น โดยเร่ิมจากการมีสติ ไมเ่ พลดิ เพลนิ ในอายตนะภายนอกน ี้ การมสี ตเิ หน็ ความจรงิ สมำ่� เสมอ จะท�ำให้เราเห็นความไม่เท่ียง เห็นความทุกข์ที่แฝงอยู่ในส่ิงต่างๆ และเห็นความไม่ใช่ตัวตน ท่ีมันซ้อนลึกไปอีกข้ันหนึ่ง ถ้าเรามอง ไม่เห็นตรงน้ี เราก็ยังหลงวนอยู่กับกามคุณ ๕ หลงวนอยู่กับอดีต หรอื อนาคต ทำ� ใหเ้ ราวนอยกู่ บั ความเศรา้ ใจ ความดใี จ ความฟ ู ความ แฟบ ความทกุ ข์ เรียกวา่ ตดิ อยใู่ นวฏั สงสารอนั ไมจ่ บไม่สน้ิ ฉะนั้น การท�ำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในกามคุณ ๕ รวมทั้ง ธรรมารมณ ์ ทร่ี วมเรยี กวา่ อายตนะภายนอก จะพาใหเ้ ราพบกบั ความ สงบใจ เริ่มจากจิตวิเวก จนกระท่ังพบกับความสงบจากกิเลส คือ อปุ ธิวิเวกไดใ้ นทส่ี ดุ
...ไม่วา่ จะปดิ ห ู ปิดตา ปิดจมกู ยังไง เราก็ยังมีจติ ท่ชี อบปรงุ แตง่ ไมห่ ยุด ควบคมุ ได้ยาก ฉะน้นั ทางที่ดีคอื รักษาใจด้วยสตดิ กี ว่า ไมใ่ หฟ้ ูแฟบ ไปตามผัสสะ เรยี กว่ามอี นิ ทรยี สงั วร คอื เปน็ การใช้ตาด ู หูฟงั ให้เกิดผล ทเ่ี ปน็ กศุ ล แตม่ นั ไม่ใช่เป็นเรื่องของ การใช้ตา ใชห้ ู หรอื ใช้จมูกล้วนๆ ทีส่ �ำ คัญกค็ ือการใชส้ ติ ซึ่งจะช่วย รักษาใจ ไม่ใหข้ น้ึ ๆ ลงๆ ฟๆู แฟบๆ ได้
93 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล การวางใจในการเจรญิ สติ มักจะมีค�ำถามว่า สติกับสมาธิต่างกันอย่างไร เรื่องนี้ครูบา อาจารย์ท่านอธิบายไว้ว่า เหมือนเราเลี้ยงวัวไว้ตัวหนึ่ง วัวของเรา ชอบเดนิ เพน่ พา่ นออกไปกนิ ขา้ วหรอื กนิ ผกั ของคนอน่ื เขา เราจงึ ตอ้ ง เอาเชือกมามัดมันเอาไว้กับหลัก เมื่อถูกล่ามไว้กับหลักวัวก็ไปไหน ไมไ่ ด ้ อยา่ งมากกแ็ คเ่ ดนิ วนไปรอบๆ หลกั แลว้ ในทส่ี ดุ มนั กจ็ ะนอนนงิ่ ไมไ่ ปไหน ววั นนั้ เปรยี บไดก้ บั จติ อาการทวี่ วั นอนนง่ิ ๆ เปรยี บไดก้ บั สมาธิ ส่วนเชือกเปรียบเหมือนสติ จิตจะอยู่น่ิงได้ ก็เพราะมันถูก เหนยี่ วไวก้ บั อารมณ ์ หลกั หรอื เสาเปรยี บเหมอื นกบั อารมณท์ เ่ี ราใชใ้ น การก�ำหนด เชน่ ลมหายใจ หรอื อริ ยิ าบถการเคลอื่ นไหว หรอื อาจ จะเปน็ งานที่เราท�ำอยู่ เชน่ ลา้ งจาน อ่านหนงั สือกไ็ ด้ สติเป็นตัวเหน่ียวจิตเอาไว้กับอารมณ์ ย�้ำอีกครั้งว่า อารมณ ์ ในทน่ี ้ี ไมไ่ ดห้ มายถงึ อารมณค์ วามรสู้ กึ แตห่ มายถงึ สงิ่ ทเี่ ราใชเ้ ปน็ เครอ่ื งกำ� หนด หรอื เปน็ งานทจ่ี ะชว่ ยใหจ้ ติ จดจอ่ อยไู่ ด้ ดงั นน้ั การตาม ลมหายใจกใ็ ช ่ การหนั่ ผกั กใ็ ช ่ หากจติ อยกู่ บั การหน่ั ผกั มสี ตริ ใู้ นขณะ ทหี่ น่ั ผกั เดนิ บณิ ฑบาตกใ็ ช ่ หากจติ อยกู่ บั การบณิ ฑบาตไมว่ อกแวก ไปไหน เมอื่ จติ เหนย่ี วอยกู่ บั อารมณ ์ หรอื กบั งานทกี่ ำ� ลงั ทำ� อย ู่ กจ็ ะ เกิดความแนว่ แน่ คอื เป็นสมาธขิ ึน้ มา
94 ก า ร ว า ง ใ จ ใ น ก า ร เ จ ริ ญ ส ติ พูดอีกอย่างก็คือ สติเป็นปัจจัยให้เกิดสมาธิ หากเราท�ำอะไร กต็ ามดว้ ยความมสี ต ิ เชน่ ขบั รถอยา่ งมสี ต ิ กวาดลานวดั อยา่ งมสี ต ิ ล้างจานอย่างมีสติ สมาธิก็จะเกิดข้ึนตามมาเป็นอัตโนมัติ เมื่อเกิด สมาธิข้ึน ก็จะเกิดความสุขน้อยๆ เพราะว่า จิตที่ตั้งม่ันและสงบ จิตท่ีไม่แส่ส่าย เป็นจิตที่มีความสุข ดังนั้น สติ สมาธิและสุข ล้วน เชอ่ื มโยงกนั สตเิ ปน็ ปจั จยั ใหเ้ กดิ สมาธ ิ แตบ่ างท ี มสี มาธแิ ตไ่ มม่ สี ต ิ กไ็ ด ้ เชน่ เวลาอา่ นหนงั สอื อา่ นนยิ าย ดหู นงั มสี มาธมิ ากจนลมื นอน ลืมว่านัดเพื่อนเอาไว้ ลืมท�ำการบ้าน เราคงพบได้ในชีวิตประจ�ำวัน บ่อยๆ ทม่ี สี มาธมิ ากจนลมื โนน่ ลืมน ี่ เรยี กได้วา่ มีสมาธแิ ตไ่ ม่มสี ติ สติท�ำหน้าที่เป็นตัวเตือน เวลาจิตจมลงไปในเร่ืองใดเรื่องหน่ึง ถา้ มแี ตส่ มาธกิ จ็ ะลมื ตวั ไดง้ า่ ย สตจิ ะคอยเตอื น ถา้ ไมม่ สี ตกิ จ็ ะลมื เชน่ ลืมหลับ ลืมนอน ลืมว่านัดใครเอาไว้ หรือว่าลืมตัวก็มี เช่น กำ� ลัง ขบั รถอยแู่ ลว้ เปดิ เพลงไปดว้ ย ถา้ ใจไปจดจอ่ อยกู่ บั เสยี งเพลงจนเกดิ เปน็ สมาธ ิ กล็ มื ไปวา่ กำ� ลงั ขบั รถอย ู่ ทำ� ใหเ้ สย่ี งอนั ตรายมาก บางทเี รา ก็พบว่า ก�ำลังน่ังสมาธิอยู่ จิตน่ิงสงบ พอมีเสียงโทรศัพท์ดังข้ึนมา หรอื มเี สยี งฟ้าผ่า เรากต็ กใจทนั ท ี บางครง้ั ไมต่ อ้ งถึงกบั ฟา้ ผา่ หรอก แค่ก่ิงไม้หักลงมากระทบหลังคา เกิดเสียงดังขึ้นมา เราก็ตกใจแล้ว อันน้ีเรียกว่า มีสมาธแิ ต่ไม่มีสติ เป็นเร่ืองธรรมดาทพี่ บกนั บ่อย ถา้ เรามสี ตแิ ลว้ กจ็ ะเกดิ สมาธไิ ดง้ า่ ย โดยเฉพาะถา้ เราท�ำดว้ ย ความรสู้ กึ ทสี่ บายๆ ไมไ่ ดท้ ำ� ดว้ ยความอยาก หรอื ทำ� ดว้ ยอาการหนา้ ดำ� คร่�ำเคร่ง ไม่ได้ท�ำเพราะต้องการเอาชนะ หรือท�ำด้วยความอยาก
95 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล จะควบคุมจิตใหไ้ ด้ ทั้งหมดน้เี รียกว่ามจิ ฉาวายามะกไ็ ด้ ไม่ใช่สมั มา วายามะหรอื ความเพียรชอบ หลวงพอ่ เทยี น เวลาทา่ นแนะนำ� คนทเี่ พงิ่ มาปฏบิ ตั ใิ หมๆ่ ประโยค แรกๆ ทท่ี า่ นบอกกค็ อื ใหท้ ำ� เลน่ แตท่ ำ� จรงิ ๆ คนฟงั แลว้ ไมค่ อ่ ยเขา้ ใจ ว่าท�ำเล่นๆ เป็นอย่างไร เพราะคุ้นเคยกับการท�ำด้วยความมุ่งม่ัน ต้องบังคับตัวเอง ต้องเอาจริงเอาจัง ปกติเวลาเราท�ำการงานต่างๆ ดว้ ยความรสู้ กึ แบบนน้ั มกั ไมค่ อ่ ยมปี ญั หา และมกั ทำ� ใหส้ ำ� เรจ็ ไดด้ ว้ ย เชน่ มงุ่ มนั่ ในการเรยี นหนงั สอื เอาจรงิ เอาจงั กบั การแขง่ ขนั แตเ่ รอ่ื ง ของการบ�ำเพ็ญทางจิตน้ีเป็นเร่ืองละเอียดอ่อน ถ้าเราท�ำด้วยจิตที่ เครง่ ครดั ทำ� ดว้ ยความอยาก จติ จะเสยี สมดลุ ทำ� ใหไ้ มป่ ระสบความ สำ� เรจ็ เพราะการเจรญิ สตนิ นั้ ตอ้ งอาศยั จติ ทว่ี างอยบู่ นทางสายกลาง หรืออยู่บนความพอดี ถ้าหย่อนเกินไปก็ไม่ได้ผล ถ้าตึงเกินไปก ็ ไมไ่ ดผ้ ลอกี เชน่ กนั เหมอื นคนทฝ่ี กึ ขจ่ี กั รยานใหมๆ่ ถา้ จบั แฮนดแ์ นน่ เกินไป เกร็งตัว เกร็งมือ เกร็งแขน ก็จะข่ีล�ำบาก ทรงตัวยาก ขับ ไปประเดยี๋ วเดยี วรถกล็ ม้ ถา้ ไมจ่ บั แฮนดเ์ ลย เวลาขจ่ี กั รยานกป็ ลอ่ ย ตวั ตวั ยว้ ยไปยว้ ยมา รถกล็ ม้ ไดเ้ หมอื นกนั เกรง็ กล็ ม้ ยว้ ยกล็ ม้ มนั ตอ้ งพอดีๆ ถ้าทำ� ตัวใหพ้ อเหมาะพอดีกจ็ ะทรงตัวได้ การเจรญิ สตกิ ค็ ลา้ ยๆ กนั เราตอ้ งวางใจใหพ้ อด ี พอดคี อื ไมต่ งึ เกนิ ไปและไมห่ ยอ่ นเกนิ ไป หลวงพอ่ เทยี น ทา่ นใชค้ ำ� วา่ ทำ� เลน่ ๆ เพอ่ื จะใหน้ กั ปฏบิ ตั ทิ ที่ ำ� ดว้ ยความตงั้ ใจ ผอ่ นคลายลง หมายความวา่ มนั จะฟุ้งก็ได้ ไม่เป็นไร ล้มก็ตั้งหลักใหม่ จะฟุ้งไปก่ีคร้ังก็ไม่หงุดหงิด
96 ก า ร ว า ง ใ จ ใ น ก า ร เ จ ริ ญ ส ติ ไม่ร�ำคาญใจ ไม่โทษตัวเอง เวลาเราท�ำอะไรเล่นๆ จะผิดพลาดไป กี่ครั้งก็ไม่ค่อยรู้สึกอะไร แต่ถ้าหากว่าท�ำด้วยความตั้งใจ ด้วยความ อยากจะใหด้ ี ดว้ ยความอยากจะเอาชนะความฟงุ้ ซา่ น แลว้ กจ็ ะเครยี ด ไดง้ า่ ย ตอนแรกกเ็ ครยี ดทใี่ จกอ่ น ตอนหลงั กเ็ ครยี ดทกี่ าย ปวดศรี ษะ แน่นหน้าอก บางทีก็ปวดไหล่ ปวดมือ ปวดขา สุดแท้แต่ลักษณะ ของแต่ละคน แต่ท่ีมักจะเป็นกันมากคือปวดศีรษะและแน่นหน้าอก เพราะหายใจไม่เต็มท้อง หายใจถแ่ี ละส้นั ตวั เกร็ง ถา้ เราทำ� อะไรดว้ ยความเกรง็ เกรง็ ทง้ั ใจและกายกจ็ ะเหนอื่ ยงา่ ย ย่ิงพยายามเอาชนะความคิด พยายามควบคุมจิตไม่ให้คิด ก็จะย่ิง เครยี ด ยงิ่ ทอ้ เพราะพยายามเทา่ ไรกย็ งั ฟงุ้ อย ู่ เพราะจติ ไมไ่ ดอ้ ยใู่ น บงั คบั บัญชาของเรา มนั เป็นอนตั ตา มันไม่ใช่ตัวเรา ไมใ่ ชข่ องเรา จติ นถี้ กู ฝกึ มาอยา่ งไร ถกู เลย้ี งมาอยา่ งไร เขากม็ นี สิ ยั อยา่ งนนั้ ถ้าเราชอบคิด ปล่อยจิตไปตามอารมณ์ จิตก็จะเอาแต่คิด ชอบจม อยใู่ นอารมณ ์ พอเราสง่ั จติ ใหห้ ยดุ คดิ จติ กไ็ มห่ ยดุ เราสงั่ ใหจ้ ติ หาย เศร้า จิตก็ไม่ยอมหายเศร้า เราส่ังให้จิตหายโกรธ จิตก็ไม่ยอมหาย โกรธ สง่ั ใหจ้ ติ หายงว่ ง จติ กไ็ มย่ อม มหิ นำ� ซำ�้ ยงิ่ ไปหา้ ม ยงิ่ ไปบงั คบั มนั ยง่ิ พยศ ยง่ิ ขดั ขนื ยงิ่ หา้ มไมใ่ หค้ ดิ กย็ ง่ิ คดิ มากเขา้ ไปใหญส่ ดุ ทา้ ย กเ็ ลยท้อแท ้ พอท้อแทก้ เ็ ลยเลกิ ปฏิบัติ ไปทำ� อย่างอื่นดกี วา่ นักปฏิบัติหลายคนลงเอยแบบน้ีกันเยอะ คือท�ำด้วยความรู้สึก อยากจะเอาชนะ อยากม ี อยากเปน็ อยากได ้ ยง่ิ อยากมากเทา่ ไรก็
97 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล ทอ้ งา่ ยเทา่ นนั้ หลวงพอ่ เทยี นจงึ แนะน�ำทกุ คนวา่ ใหท้ ำ� เลน่ ๆ แตท่ ำ� จริงๆ ประโยคหลังหมายความว่า ท�ำไม่หยุด ท�ำไปเร่ือยๆ อาตมา เคยถามท่านว่าต้องปฏิบัติวันละก่ีช่ัวโมง เริ่มท�ำตั้งแต่กี่โมงถึงกี่โมง ทีแรกก็นึกว่า ให้ทำ� ตั้งแต่แปดโมงเช้าถึงส่ีโมงเย็นตามเวลาราชการ หลวงพอ่ เทียนตอบวา่ ให้ท�ำต้ังแตต่ ื่นจนหลับ ดีนะ ทที่ ่านไม่ได้บอก ให้ท�ำตอนหลับด้วย ฟังแล้วก็ตกใจว่าจะท�ำทั้งวันได้อย่างไร แค่ท�ำ ๒-๓ ชวั่ โมงกเ็ หนอ่ื ยแยแ่ ลว้ อนั นเี้ ปน็ เพราะอาตมาไมร่ จู้ กั วธิ ปี ฏบิ ตั ิ คดิ วา่ ตอ้ งทำ� แบบทมุ่ เท ถา้ ทำ� แบบนน้ั กล็ ำ� บากแน ่ ถา้ ทำ� ทง้ั วนั แต ่ ทจ่ี รงิ ถา้ ทำ� อยา่ งทที่ า่ นแนะนำ� คอื ทำ� แบบเลน่ ๆ กท็ ำ� ไดท้ งั้ วนั ตงั้ แต่ ต่ืนเช้าจนเข้านอน ขอ้ สำ� คญั คอื ตอ้ งวางจติ วางใจใหเ้ ปน็ ทำ� ดว้ ยจติ ทผี่ อ่ นคลายแลว้ ค่อยๆ ตะล่อมจิตให้อยู่บนทางสายกลาง ไม่เอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง การปลอ่ ยใจฟงุ้ ซา่ น ปลอ่ ยใจลอย นเ้ี ปน็ ทางสดุ โตง่ ทางหนง่ึ สดุ โตง่ อีกข้างก็คือ การบังคับกดข่มเอาไว้ พอใจคิดก็ห้ามไม่ให้คิด เวลา หงดุ หงดิ กไ็ ปกดมนั เอาไว้ คนเรามกั จะเหวย่ี งไปข้างใดขา้ งหนึง่ คือ ปล่อยใจลอย ฟุ้งซ่านหาเรื่องคิดไม่หยุด สนุกกับการปล่อยใจลอย หารู้ไม่ว่าการทำ� แบบน้ันจะทำ� ให้เครียดในที่สุด ส่วนบางคนที่ติดดีม ี ความต้ังใจมากก็จะบังคับให้จิตหยุดคิด กดข่มมันเอาไว้ แต่ย่ิงห้าม เหมือนย่ิงย ุ ก็เลยฟงุ้ ซ่านหนกั ขึน้ ดงั นน้ั ความไมเ่ ปน็ กลางม ี ๒ แบบ นอกจากปลอ่ ยใจลอยแลว้ กย็ งั มกี ารทำ� ตามกเิ ลสหรอื ทำ� ตามอารมณ ์ อนั นเี้ ปน็ ลกั ษณะของคน
98 ก า ร ว า ง ใ จ ใ น ก า ร เ จ ริ ญ ส ติ ทว่ั ไป ทมี่ กั ทำ� ตามกเิ ลสหรอื ทำ� ตามอารมณท์ งั้ ฝา่ ยบวกฝา่ ยลบ มนั อยากสนุกก็สนุก มันอยากเศร้าก็เศร้าไปกับมัน อันนี้เป็นลักษณะ เดียวกับคนอยากใจลอย อยากจะเพลินก็ปล่อยให้มันเพลินไป หรือ โกรธใครสกั คนกท็ �ำตามกเิ ลส คอื แชง่ ชกั หกั กระดกู เขาหรอื หนกั กวา่ นั้นคืออยากด่าก็ด่าไปเลย อยากท�ำร้ายใครก็ท�ำร้ายไปเลย นี้เป็น ลกั ษณะหนึง่ อีกลักษณะหนึ่งคือไปกดข่มห้ามเอาไว ้ เช่น พอโกรธก็กดข่ม ความโกรธ พยายามบังคับใจไมใ่ ห้โกรธ แต่ความโกรธไม่ได้หายไป ไหน มันไปแสดงออกที่ตรงอ่ืน บางรายอาการหนัก เช่น ลูกสาว ทะเลาะกับพ่อ พอถูกพ่อด่าด้วยถ้อยค�ำท่ีรุนแรง ลูกสาวโกรธมาก จนลมื ตวั เงอื้ มอื ขน้ึ มาหมายจะตบหนา้ พอ่ ตวั เอง แลว้ เกดิ สตยิ ง้ั มอื ไว้ได้ แต่ความโกรธยังมีอยู่ พยายามกดข่มเอาไว้ ขณะเดียวกันก ็ รสู้ กึ ผดิ ทอ่ี ยากทำ� รา้ ยพอ่ รสู้ กึ วา่ ตวั เองเปน็ ลกู อกตญั ญ ู และยอมรบั ความรสู้ กึ นไี้ มไ่ ด ้ พยายามกดขม่ เอาไว ้ แตไ่ มว่ า่ จะกดขม่ ความโกรธ และความรสู้ กึ ผดิ อยา่ งไร มนั กไ็ มไ่ ดห้ ายไปไหน แตเ่ กบ็ กดเอาไวใ้ น จติ ไรส้ ำ� นกึ ผลกค็ อื วา่ ผหู้ ญงิ คนนป้ี วดแขน จนยกแขนไมข่ นึ้ ไปหา หมอทไ่ี หนกร็ กั ษาไมห่ าย เพราะไมไ่ ดม้ สี าเหตทุ กี่ าย มนั เกดิ จากการ เก็บกดทางจิต ต่อเมื่อดึงความโกรธและความรู้สึกผิดมาสู่จิตส�ำนึก หรือยอมรับอารมณ์เหล่าน้ีได้โดยไม่กดข่มอีกต่อไป จึงกลับมาเป็น ปกตใิ หม ่ สามารถยกแขนได้
99 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล บางคนเวลานกึ ถงึ เรอ่ื งเพศสมั พนั ธเ์ รอ่ื งความรกั แบบหนมุ่ สาว จะรู้สึกไม่ดี พยายามกดข่มเอาไว้ เพราะถูกสอนมาว่าเร่ืองเพศเป็น เรอ่ื งสกปรก พยายามกดความรสู้ กึ นเ้ี อาไว ้ แตป่ รากฏวา่ มนั ไมห่ าย ไปไหน มันไปซ่อนอยู่ในจิตไร้ส�ำนึก และคอยออกมารบกวนจิตใจ โดยปรากฏมาในรปู อนื่ เกดิ อาการยำ้� คดิ ยำ�้ ทำ� เชน่ ชอบลา้ งมอื บอ่ ยๆ อันน้ีเป็นเพราะรู้สึกว่าตัวเองสกปรกที่คิดเร่ืองเพศ ความรู้สึกท่ีซ่อน อยู่ลึกๆ ว่าตัวเองคิดสกปรก ก็เลยท�ำให้รู้สึกว่ามือของตนสกปรก ตลอดเวลาจงึ ตอ้ งลา้ งมอื บอ่ ยๆ ลา้ งแลว้ ลา้ งอกี ไมย่ อมเลกิ เรยี กวา่ ยำ�้ คิดย�้ำทำ� น่เี ป็นเพราะไปกดข่มมันเอาไว ้ ซึ่งไม่เปน็ ผลดี ดังน้ัน ท�ำตามกิเลสก็ไม่ด ี ไปกดเอาไว้ก็ไม่ด ี พระพุทธเจ้าจึง ทรงสอนทางสายกลางเอาไว้ คือ การมีสติ แทนที่จะท�ำตามกิเลส หรอื ตา้ นกเิ ลส กห็ นั มารทู้ นั กเิ ลสแทน เชน่ รเู้ ทา่ ทนั ความโกรธ เมอื่ เรามสี ตริ เู้ ทา่ ทนั แลว้ ความโกรธจะคลายพษิ สงลง เพราะมนั ไมม่ ที ตี่ งั้ จิตเหมอื นกบั เก้าอ้ีทว่ี างอยตู่ วั เดยี ว ถา้ หากว่าสตจิ บั จองเก้าอต้ี วั นั้น แล้ว ก็ไม่มีที่ว่างให้ความโกรธมาน่ังหรือมาแทรกได้ จิตเรารับรู้ได ้ คราวละอารมณเ์ ดยี ว เมอื่ เรามสี ตคิ อื มคี วามรตู้ วั ความโกรธกห็ ายไป แตบ่ างคนยงั สงสยั วา่ เวลาโกรธกร็ ตู้ วั แตท่ �ำไมยงั โกรธอย ู่ นน่ั ก็เพราะว่าสติยังไม่แก่กล้า จึงรู้ตัวประเด๋ียวเดียว พอความรู้ตัวหาย ไปความโกรธจงึ เขา้ มาแทนท ี่ โดยเฉพาะเวลาโกรธมาก เหมอื นกบั เรา ขับรถแล่นมาด้วยความเร็วสูงมากแล้วแตะเบรกกะทันหันทันที รถ ก็ยงั แล่นตอ่ ได ้ นั่นเป็นเพราะเบรกทีเ่ ราแตะมนั ไม่แรงพอ ดงั น้ันถ้า
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162