ธ ร ร ม ะ สํ า ห ร ั บ น ั ก บ ริ ห า ร ไป ชีวิตจะประสบความส�ำเร็จ มีความรู้สึกภูมิใจ ว่าเราได้ท�ำส่ิงท ่ี วางแผนเอาไวท้ กุ ส่ิงทุกอยา่ ง ประหยัดพลงั งานในตวั คลายเครยี ด งานอดิเรกอยา่ งหน่ึงคอื เขยี นหนงั สอื คราวไหนทรี่ สู้ กึ เครยี ด จะผอ่ นคลายโดยวธิ คี อ่ ยๆ เขยี น ทีละน้อย คือพอรู้สึกเอาจริงเอาจังเกินไป เราก็จะเขียนแบบสบายๆ ผอ่ นคลายลงมา หรอื เวลาคยุ กบั เพอื่ น เรากไ็ มค่ ยุ อยา่ งเครยี ด สนทนา ตามสบาย ท่านสอนว่าให้ท�ำงานอย่างหัวใจของเรา หัวใจเราทำ� งาน ตลอดเวลา โดยความเปน็ จรงิ แลว้ หวั ใจทำ� งานแลว้ หยดุ เตน้ ประมาณ ๗๐ ครั้งต่อนาที คือเต้นตุ้บหน่ึงแล้วก็หยุด ค�ำนวณกันว่าใน ๒๔ ช่ัวโมง หัวใจท�ำงานเพียง ๙ ช่ัวโมง นอกนั้นเป็นเวลาที่หัวใจหยุด หยุดเป็นระยะ เป็นการประหยัดพลังงานในตัว ไม่ให้เครียดเกินไป สมมติว่าท่านท�ำงานครั้งละ ๓ ชั่วโมง ท่านรู้สึกเหน่ือย ท่านก็ต้อง หยดุ กอ่ น ๓ ชวั่ โมง เพอื่ เปน็ การผอ่ นคลาย ถา้ ทา่ นทำ� งาน ๒ ชว่ั โมง รู้สึกเหน่ือย ท�ำต่อไปไม่ไหว ก็ต้องหยุดเสียเม่ือ ๑ ช่ัวโมง กับ ๔๕ นาที คือหยุดเสียก่อนท่ีจะรู้สึกเหนื่อย หยุดแล้ว ต่อไปก็ท�ำต่อไปอีก จะทำ� ไดท้ งั้ วนั ถา้ อา่ นหนงั สอื กจ็ ะอา่ นไดท้ ง้ั วนั เปน็ การหยดุ เปน็ ระยะ จะทำ� งานไดม้ ากและท�ำไดด้ ดี ว้ ย โดยการพยายามสงวนพลงั งานในตวั พดู ถงึ เรอ่ื งหวั ใจแลว้ กจ็ ะเอาสภุ าษติ ของหมอโรคหวั ใจมาพดู ใหฟ้ งั วา่ คนทห่ี วั ใจผดิ ปกติ เตน้ ผดิ ปกตเิ พราะโรคหวั ใจ สว่ นใหญจ่ ะไมร่ สู้ กึ วา่ หัวใจเต้นผิดปกติ ดังนั้นคนท่ีรู้สึกว่าหัวใจของตนเต้นผิดปกต ิ มักจะ มีหวั ใจปกตคิ อื ไมเ่ ป็นโรคหัวใจ ประหยัดกระแสความคิด โดยปกติคนเราความคิดจะพร่ามาก เรยี กวา่ ความคดิ ฟงุ้ ซา่ น เราไมส่ ามารถจะ Concentrate (ท�ำใหเ้ ปน็ สมาธิ) ความคิดได้ เราจะรู้สึกเหนื่อยเพลียมาก เราจะประหยัด 150
ค ว า ม เ ข้ า ใ จ เ ก่ี ย ว กั บ ชี วิ ต อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ กระแสความคิด โดยการท�ำใจให้สงบ ท�ำใจให้สบาย ท�ำใจให้เฉยๆ ทำ� ใจไมใ่ หฟ้ งุ้ ซา่ น เราจะประหยดั กระแสความคดิ ไดม้ าก ถา้ เราทำ� ใจ เปน็ สามารถท�ำใจใหส้ งบ ใหเ้ ปน็ สมาธิ ถา้ เราสามารถจะ concen- trate ไดส้ ามารถจะรวมใหม้ นั เปน็ หนง่ึ เดยี วได้ เปน็ วธิ ที จี่ ะทำ� ใหจ้ ติ ใจ สงบสบาย ลองคิดถึงหลอดไฟ ๓ แรงเทียน เช่น หลอดไฟฉาย ถ้า ไม่มีกระจกรวมแสง เกือบจะไม่มีแสงสว่างเลย แต่ถ้าเอากระจกรวม แสงใสเ่ ขา้ ไป ไฟ ๓ แรงเทยี นจะสวา่ งจา้ พงุ่ เปน็ ลำ� ไปขา้ งหนา้ ความ รู้สึก กระแสความคิดก็เช่นเดียวกัน ฟุ้งซ่าน คิดมากไป คิดน่ัน คิดน ่ี ไมแ่ ลว้ เสรจ็ มคี วามวติ กกงั วล ไมป่ ระหยดั กระแสความคดิ เลย ทำ� งาน ได้ไม่เท่าไหร่ก็ปวดศีรษะแล้ว ท่ีปวดศีรษะนั้นไม่ใช่เพราะงานหนัก แตเ่ พราะไปคดิ อะไรหลายๆ อยา่ ง ไมไ่ ดค้ ดิ อยา่ งเดยี ว ไมไ่ ดค้ ดิ เรอ่ื ง เดยี ว ทำ� ใหเ้ กดิ ความไมส่ บายขน้ึ หรอื ทำ� งานไมไ่ ดด้ เี ทา่ ทค่ี วร เพราะ ไม่ประหยัดกระแสความคิด เมื่อฟุ้งซ่านไปมากเข้า ป้องกันไม่ได้ ก็เกิดสิ่งหน่ึง คือความเหนื่อยใจ มีความเหนื่อยใจ ทุกคนคงเคยรู้สึก เหนอ่ื ยใจ เหนอ่ื ยทางกายไมเ่ ทา่ ไหร ่ บางทเี หนอื่ ยกายโดยการออกกำ� ลงั ก็ยังได้ประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ถ้าเหนื่อยใจแล้วไม่เป็นประโยชน์ ตอ่ รา่ งกายและเสียสุขภาพจติ ด้วย ฉะนน้ั เพือ่ ปอ้ งกันการสญู เสยี ดา้ น นี้ ต้องไม่ให้กระแสความคิดฟุ้งซ่านไปจนไม่สามารถรวมเข้ามาได้ ถ้าสามารถรวมได้ จิตใจย่อมสงบสบาย นอกจากจะมีความสุข ความสบายแล้ว จะมผี ลพลอยได้เก่ียวกับดา้ นจิตใจด้วย ๓ ประการ คอื คุณภาพจิตที่ดี (mental quality) คือให้เรามีคุณธรรม ซึ่ง เสรมิ สรา้ งจติ ใจใหด้ งี าม มเี มตตากรณุ าประจำ� จติ ใจเราแชอ่ ยกู่ บั เมตตา กรุณา ไฟคือความโกรธมาจ่อเข้าไม่ได ้ มันดับไปเอง ไม่สามารถจะ จุดให้ติดได้ เพราะมีคุณภาพจิตที่ดี หัวหน้างานคนไหนที่มีลูกน้องที่ 151
ธ ร ร ม ะ สํ า ห ร ั บ น ั ก บ ริ ห า ร มีคุณภาพทางจิตท่ีดีก็เบาใจได้ หรือลูกน้องคนไหนมีหัวหน้างานที่มี คุณภาพทางจติ ทด่ี ีกร็ ู้สกึ สบายใจพอสมควร เพราะเขามคี ุณธรรม สมรรถภาพจิตท่ีดี (mental ability) มีความสามารถทางจิต สูง เช่นวา่ มีจติ ใจเข้มแข็ง สู้งาน ไม่ท้อแท้อ่อนแอ มีจิตใจเด็ดเดี่ยว ตดั สนิ ใจทำ� ในสงิ่ ทตี่ อ้ งทำ� สงิ่ ทค่ี วรทำ� แลว้ กท็ ำ� ดว้ ยความกลา้ หาญ ไม่ ย่อท้อ อ่อนแอ แสดงว่าเป็นคนมีสมรรถภาพจิตดีมากเลย ต้องเสริม สร้าง ต้องพยายามให้เกดิ ข้นึ สขุ ภาพจติ ทดี่ ี (mental health) มลี กั ษณะทำ� ใหเ้ ปน็ คนแจม่ ใส เบิกบาน สงบ เยือกเย็น ผ่อนคลายมีความสุข มองข้างหน้าด้วย ความหวัง มองไปข้างหลังด้วยความพอใจ ว่าเราได้ท�ำส่ิงต่างๆ มาด ี แล้ว เราจะได้คุณภาพจิตและสุขภาพจิตท่ีดีทุกอย่าง การท�ำงาน การก้าวไปข้างหน้าก็เป็นไปด้วยความสะดวก ไม่ติดขัด ไม่มีอะไรมา หนว่ งเหนยี่ วเอาไว้ ยังมีปัญหาอีกเยอะแยะในระดับล่างๆ ลงไป ที่มีการสดับตรับ ฟังน้อย ศึกษาน้อย ปฏิบัติน้อย ได้ยินได้ฟังน้อย จะมีปัญหาเพิ่มอีก มากเทา่ ใด อยทู่ คี่ ณุ ภาพจติ สมรรถภาพจติ สขุ ภาพจติ เพราะวา่ การ ศึกษาส่วนใหญ่ไปทางอื่น ไม่ค่อยมีการแทรกซึมสิ่งเหล่าน้ี วิธีแก้คือ เราตอ้ งเปลย่ี นคา่ นยิ มเสยี ใหมเ่ ปน็ อนั มาก แมแ้ ตค่ วามเปน็ เลศิ ตา่ งๆ ท ี่ เราใหเ้ ดก็ ของเรามงุ่ หมายความเปน็ เลศิ เพอ่ื จะสอบเขา้ ไดต้ า่ งๆ เหลา่ นี ้ ด้วยระบบการแข่งขันกัน เพราะเราไม่มีวิธีเลือกท่ีดีกว่าน้ัน แต่ ความจริงแล้วมีวิธีที่ดีกว่านั้นคือ ความเป็นเลิศที่ถูกต้องแท้จริงนั้น คือความเป็นเลิศในตัวเองไม่ต้องเทียบกับใคร ไม่ต้องน�ำใครมา เทยี บกบั ตน ไมม่ ปี มดอ้ ย ไมม่ ปี มเขอ่ื ง เปน็ คนไมม่ ปี ม อยอู่ ยา่ งสงบ เรียบร้อย ไม่แพ้ใคร ไม่ชนะใคร มีความสงบสุข ท�ำงานอะไรก็ท�ำ 152
ค ว า ม เ ข้ า ใ จ เ กี่ ย ว กั บ ชี วิ ต อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ดว้ ยมงุ่ ประสทิ ธภิ าพ ไมไ่ ดม้ งุ่ จะแขง่ ขนั กบั ใคร ถา้ จะมกี ารแขง่ ขนั กนั ก็จะแข่งขันกับตัวเอง คือแข่งขันว่าตัวเองเดือนน้ีกับเดือนก่อน เดือน ไหนจะดีกว่า ตัวเราปีนี้กับตัวเราปีก่อน ปีไหนดีกว่า แข่งกับตัวเอง แต่จะไม่แข่งกับผู้ใดเลย อย่างน้ีถ้ามุ่งความเป็นเลิศ ก็คือเป็นเลิศใน ความหมายทวี่ า่ ประสบความสำ� เรจ็ ในการงานโดยทไี่ มต่ อ้ งแขง่ ขนั กบั ใครเลย แม้แต่จิตท่ีจะแลบออกไปว่าต้องต่อสู้กับคนโน้นคนนี้ก็ไม่ม ี ถ้าสามารถท�ำจิตได้อย่างน้ีก็ได้ช่ือว่าก้าวเข้าไปในฉายาคือในร่มเงา ของอริยชน เร่ิมเข้าสู่ร่มเงาของอริยชน ในร่มเงาบริเวณนั้นมี ความเบิกบานแจ่มใส มีความสุข มีความทุกข์น้อยเต็มที อย่างท ่ี พระพุทธเจ้าทรงเปรียบว่า ความทุกข์ของคนส่วนใหญ่เหมือนกับน้�ำ ในสระใหญ่ แต่ความทุกข์ของอริยชนเหมือนน้�ำบนใบไม้ใบหญ้า พร้อมท่ีจะหมดไป ถ้าท่านรู้สึกอย่างน้ันแสดงว่าสุขภาพจิตของท่านดี ดมี ากทเี ดยี ว และมคี วามรสู้ กึ ปตี ยิ นิ ดนี อ้ ยๆ อยเู่ สมอ จติ ใจราบเรยี บ สงบ ไม่ฟุ้งซ่าน ท�ำอะไรด้วยจุดมุ่งหมายท่ีเป็น pure reason ไม่ได้ ขอ้ งแวะกบั เรอ่ื งอ่นื คณุ ธรรมของนกั บรหิ ารอกี ประการหนง่ึ คอื ความไมเ่ บยี ดเบยี น แบง่ เปน็ ๒ อยา่ งคอื ความไมเ่ บยี ดเบยี นภายนอก ไมเ่ บยี ดเบยี นผอู้ นื่ ขอใหเ้ ราตงั้ ใจอยา่ งเดด็ เดย่ี ววา่ เราจะไมเ่ บยี ดเบยี นใคร ไมว่ า่ ดว้ ยกาย วาจา คนทคี่ บกนั ควรจะตอ้ งตงั้ ใจอนเุ คราะหก์ นั ไมใ่ ชค่ ดิ เบยี ดเบยี น กัน ถ้าคบกันแล้วมีแต่เรื่องเดือดร้อนใจ คอยเบียดเบียนกันด้วยกาย วาจา ก็ห่างๆ กันไว้ก็ดี ถ้าจะคบกัน ก็ต้องตั้งใจให้แน่วแน่ว่าไม ่ เบียดเบียนกัน ไม่ท�ำความเดือดร้อนให้กันไม่ว่าด้วยกรณีใดๆ คบกัน สมาคมกนั กใ็ ห้เหมอื นกับแมลงภ ู่ หรือแมลงผง้ึ ท่ีมันเชยเกสรดอกไม้ แมลงภู่ หรือแมลงผ้งึ ไปดูดเอาน้ำ� หวานดอกไม้ แลว้ ไม่ทำ� ให้ดอกไม ้ ช�้ำแม้แต่น้อย ดอกไม้ก็ได้รับประโยชน์จากแมลงภู่หรือแมลงผ้ึง โดย 153
ธ ร ร ม ะ สํ า ห ร ั บ น ั ก บ ริ ห า ร การให้ผสมพันธุ์ อะไรก็แล้วแต่ แต่ได้รับประโยชน์ด้วยกันท้ังสอง ฝา่ ย คอื นมุ่ นวลทสี่ ดุ ดที สี่ ดุ ไมใ่ หก้ ระทบกระทงั่ ไมเ่ บยี ดเบยี น ถา้ มีการเบียดเบียนข้ึน เราก็มีความตั้งใจว่า เราจะยอมรับความทุกข์ ทรมานจากการท�ำความผิดของผู้อื่น ดีกว่าจะไปท�ำความผิดเสียเอง เปน็ สภุ าษติ ของคนถอื อหงิ สา อหงิ สา คอื ความไมเ่ บยี ดเบยี น เรายอม ใหเ้ ขาเบยี ดเบยี น ดกี วา่ ทเี่ ราจะไปเบยี ดเบยี นเขา ถา้ จะไปทำ� ความผดิ เรายอมทนทุกข์ทรมานเพราะความผิดของผู้อ่ืน ดีกว่าเราจะไป ท�ำความผิดเสียเอง เอามาจากสุภาษิตฝร่ังท่ีนับถือพุทธศาสนาว่า “It is better to suffer wrong than doing wrong” ตัวอย่าง สามภี รรยาบางคู่ หรอื ครู่ กั บางคู่ เมอ่ื รกั กนั ถา้ ความรกั คอ่ ยๆ งวด ลงไป แหง้ ลงไป กค็ ดิ จะเบยี ดเบยี นกนั หรอื ถา้ คนหนง่ึ ตจี าก หรอื ทำ� ความผดิ อยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ กค็ ดิ จะเบยี ดเบยี น อยา่ งนใี้ ชไ้ มไ่ ดเ้ ลย เรา จะตอ้ งไมม่ คี วามคดิ อยา่ งนน้ั เลย เขาจะจากไปหรอื เขาจะอยู่ เราตอ้ ง ตั้งใจอย่างเด็ดเด่ียว ว่าเราจะต้องไม่เบียดเบียน ถ้าจะต้องเลิกคบกัน ในฐานะคนรกั กค็ บกนั ในฐานะอนื่ หมายถงึ คนทจี่ ะพยายามถอื ธรรมะ ขอ้ นใ้ี ห้ไดว้ ่า เราจะไมเ่ บยี ดเบียนผู้ใดทัง้ โดยตรงและโดยออ้ ม เพราะ ว่าเขาท�ำความผิดแค่นี้ แล้วเราไปเบียดเบียนเขามากมาย ไปท�ำ ความผดิ กบั เขามากมาย แลว้ จะไปลงโทษวา่ เขาท�ำความผดิ ไดอ้ ยา่ งไร ในเมือ่ เราไปทำ� ความผิดมากกว่าเขา ทำ� ใจใหส้ บาย ในโลกนไ้ี มม่ อี ะไรเทยี่ ง มกี ารเปลย่ี นแปลงเปน็ ธรรมดา สมมตวิ า่ สามภี รรยาอยกู่ นั ไปนานๆ ผหู้ ญงิ จะบน่ วา่ ทำ� ไมเขา ไม่เหมือนเก่า ตอนท่ีรักกันก็อย่างหนึ่ง แต่งงานแล้วก็อย่างหนึ่งไม่ เหมือนเก่า จะเหมือนเก่าได้อย่างไร ในเม่ือทุกสิ่งทุกอย่างตกอยู่ใน กระแสของความไมเ่ ทย่ี ง ของความเปลยี่ นแปลง มกี ฎอนั เฉยี บขาดอย ู่ เบอ้ื งหลงั คอื ความไมเ่ ทยี่ ง สง่ิ ทงั้ ปวงไมเ่ ทย่ี ง ตอ้ งเปลย่ี นแปลง แลว้ 154
ค ว า ม เ ข้ า ใ จ เ ก่ี ย ว กั บ ชี วิ ต อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ เราเองเล่าผู้เป็นฝ่ายหญิงก็เปลี่ยนแปลง รูปร่างหน้าตาของเราก ็ ไม่เหมือนก่อน กิริยาพาทีก็ไม่เหมือนก่อน ก็เปล่ียนแปลงไป อาย ุ สังขารก็ร่วงโรยไป ทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลง ก็ปล่อยให้มัน เปลยี่ นแปลงไป เพยี งแตก่ �ำหนดใหร้ วู้ า่ มนั เปลย่ี นแปลงไปแลว้ อยา่ งไร ท�ำใจให้สบาย มนั มที ั้งคุณ ทั้งโทษ ไมว่ า่ อะไรถา้ ไปจับฉวยเข้า มันมี ทง้ั คณุ ท้งั โทษติดกันอยใู่ นทกุ สง่ิ เมอ่ื เดก็ ๆ ลกู ศษิ ยม์ าปรกึ ษา คนนน้ั เขาตจี ากไปแลว้ เขากม็ ที กุ ข์ ก็ถามว่าตอนที่เธอรักใคร่กัน ไปมาหาสู่กันมีความเดือดร้อนอะไรบ้าง หรอื เปลา่ ใหท้ ำ� บญั ชมี าใหด้ วู า่ มคี วามทกุ ขค์ วามเดอื ดรอ้ นอะไรหรอื เปลา่ เมอื่ ทำ� บญั ชมี าใหด้ วู า่ ตอนทต่ี ดิ ตอ่ เกยี่ วขอ้ งกนั นนั้ มคี วามทกุ ขอ์ ยา่ ง น้ันๆ ก็ถามว่า เมื่อเขาจากไปแล้ว ความทุกข์อย่างนี้หมดไปด้วยไหม บอกว่าหมดไปด้วย ท่ีจริงก็เท่ากันคือ อยู่ก็มีคุณอย่างนี้ๆ แต่ก็มีโทษ ตดิ มาดว้ ย แตเ่ มอ่ื เขาจากไป สง่ิ ทเี่ ปน็ โทษกห็ ายไปดว้ ย หกั กลบลบลา้ ง ไมม่ อี ะไรทีจ่ ะตอ้ งเดือดรอ้ น ทุกสง่ิ ทุกอยา่ งเปน็ ไปตามเหตุตามปจั จยั เราบงั คบั บญั ชาไมไ่ ด ้ ถา้ มเี หตอุ ยา่ งนน้ั กม็ ผี ลอยา่ งนน้ั บนั ดาลผลไมไ่ ด้ ทา่ นทง้ั หลายปลกู ตน้ ไม้ ทา่ นออกดอกแทนตน้ ไม้ ออกผลแทนมะมว่ ง ได้ไหม ไม่ได้ มะม่วงออกผลเอง ดอกไม้ออกดอกเอง ท่านเป็นคน รดนำ�้ พรวนดนิ กำ� จดั ศตั รพู ชื เปน็ หนา้ ทขี่ องเรา แตก่ ารออกดอกออก ผลเป็นหน้าท่ีของต้นไม้ เราไม่มีหน้าท่ีไปบันดาลผลให้เกิดข้ึน เหตุ บันดาลผลเอง ฉะนั้น ท�ำหน้าที่ให้เต็มท่ี อย่าไปหวังผลให้มากนัก มีเฟคเตอร์ (ตัวประกอบ) มากมายที่จะมากีดกันผลไม่ให้เกิด แต ่ ให้เราช่ืนใจว่าเราได้ท�ำดีท่ีสุดแล้ว เช่น ผู้รักษาประตูฟุตบอล ประต ู ใหญ่ ต้องคอยดัก ต้องคอยกันเอาไว้ ลูกบอลจะได้ไม่เข้าประตู คน ทำ� ดจี ะไดร้ บั ผลด ี คนทำ� ชว่ั จะไดร้ บั ผลชว่ั คนเรามเี ฟคเตอรเ์ ยอะ ทาง ตวั เอง ทางจติ ใจ ทีจ่ ะเข้ามากนั ไว้ เราทำ� อะไรหวงั ผลอย่างไร ไมไ่ ด ้ 155
ธ ร ร ม ะ สํ า ห ร ั บ น ั ก บ ริ ห า ร ผลดังที่ต้องการ เพราะมีเฟคเตอร์อื่นเข้ามาเก่ียวข้องกีดกันมากมาย ให้รู้เรื่องเหล่านี้ เราก็สบายใจว่าเราท�ำดีแล้ว ผลจะเป็นอย่างไรก็ช่าง เถิด ให้เป็นเร่ืองของเหตุบันดาลเอง ไม่ได้เงินเดือนขึ้น ถ้าเรามีเงิน พอใช้อยู่แล้ว ก็คิดว่าไม่ข้ึนก็ไม่เป็นไร แล้วไป ไม่ต้องไปริษยาคนที่ ได ้ ๒ ขน้ั คนทไ่ี ด ้ ๒ ขน้ั มคี วามทกุ ขม์ าก ยงิ่ ได ้ ๒ ขน้ั บอ่ ยๆ ยง่ิ มี ทกุ ขม์ าก บางคนได ้ ๒ ขน้ั ปหี นงึ่ คดิ แลว้ ไดแ้ คน่ ี้ คดิ คำ� นวณทงั้ ปแี ลว้ เพ่อื นสนิท ๔-๕ คน ชวนไปเลย้ี งหมดแลว้ ๒ ขั้น นอกน้ันท�ำงานไป ถูกด่าไปถูกกระแนะกระแหนไป เยอะแยะ ผลที่ตามมาคือความทุกข์ ความเดือดร้อนมากมาย เพราะฉะน้ัน ไม่ได้ก็แล้วไป เขาได้ก็ได้ไปก ็ อนุโมทนา เขาก็รับความทุกข์ของสิ่งนั้นไปด้วย ทุกอย่างมีความทุกข์ พว่ งอยู่ด้วย มีความไมด่ พี ่วงอยู่ดว้ ย ในโลกนม้ี ที งั้ คณุ และโทษตดิ กนั อย ู่ ขนึ้ อยกู่ บั เวลาไหนดา้ นไหน จะแสดงออกมาเทา่ นนั้ ใหม้ ปี ญั ญารสู้ ง่ิ เหลา่ นต้ี ามความเปน็ จรงิ แลว้ เราก็จะวางใจได้ถูกต้อง ตามกระแสของธรรมดา ก็ไม่ต้องไปเบียด เบยี นกนั ดว้ ย กาย วาจา ดว้ ยใจ ดว้ ยความคดิ ตอ้ งรจู้ กั ยอมในคราว ท่ีควรยอม ต้องรู้จักยกย่องผู้อื่นในคราวที่ควรยกย่อง ไม่ถือรั้นด้วย ทิฏฐิมานะ ซ่ึงเป็นเหตุให้เบียดเบียนผู้อ่ืน ขอให้ตระหนักว่าในโลกน้ี ไม่มีใครเป็นผู้ชนะอยู่ตลอดไป หรือเป็นผู้แพ้ตลอดไป ยอมเขาบ้าง ยกเขาบ้างในคราวน้ี คราวต่อไปเขาจะยกเราบ้างเป็นธรรมดา ต้อง ยอมบ้าง ถึงคราวยอมต้องยอม ถึงคราวยกย่องต้องยกย่องตาม สมควร ไมต่ ะแบงแขง็ ขนั ไมด่ อื้ รนั้ ถอื ดี หรอื มที ฏิ ฐมิ านะ ทเ่ี ปน็ เหตุ ใหเ้ ดอื ดรอ้ นเปลา่ ๆ บางคนทฏิ ฐมิ านะมนั หนกั อย ู่ เหมอื นกบั แบกเอาไว้ แบกเอาทิฏฐิมานะเอาไว้หนักบ่า บางคนก็เหมือนกับนกท่ีเขาเอาไม ้ เสยี บเอาไว ้ ใหเ้ หนิ ไปบนอากาศ กม้ ไมไ่ ด ้ กม้ แลว้ เจบ็ เพราะเขาเอา ไม้เสียบคอไว้ ต้องบินไป ก็บินเชิดหัวเอาไว้ ก้มไม่ได้มันเจ็บ ทิฏฐ ิ 156
ค ว า ม เ ข้ า ใ จ เ ก่ี ย ว กั บ ชี วิ ต อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ มานะก็คลา้ ยกบั ไม้ทีเ่ สียบเอาไว้ ก้มไม่ลง ไม่มปี ระโยชน์ ไม่ดเี ลย อีกประการหน่ึงในสังคมของเรา การเบียดเบียนอย่างหยาบก็ ไม่ค่อยมีแล้ว แต่มีการเบียดเบียนอีกอย่างคือการเบียดเบียนตนเอง ซ่ึงเป็นการเบียดเบียนภายใน เป็นการหมกมุ่นกับเรื่องไร้สาระ ย้�ำคิด ยำ�้ ทำ� กงั วลถงึ อดตี บา้ งอนาคตบา้ ง ควรหาโอกาสทำ� วปิ สั สนาเสยี บา้ ง จ�ำกัดตัวเองให้อยู่กับปัจจุบันเสียบ้าง อดีตก็ล่วงไปแล้ว อนาคตก็ยัง มาไมถ่ งึ กงั วลไปกเ็ สียสขุ ภาพจิตเปล่าๆ ปล่อยให้มนั ไป อย่างทที่ า่ น เจา้ คณุ นรรตั นร์ าชมานติ (ธมมฺ วติ กโฺ ก ภกิ ข)ุ ทา่ นกลา่ ววา่ “Let it go” ปล่อยให้มันไป “get it out” เข่ียมันออกเสีย เราก็อยู่สบาย ไม ่ เดอื ดรอ้ น ไรก้ ังวล 157
๗บ ท ที่ พระพุทธศาสนา กบั ค่านิยมของคนสมยั ใหม่ ค่านยิ มเรอ่ื งการศกึ ษา คนสมัยใหม่มีค่านิยมเร่ืองปริญญา รู้สึกว่าการศึกษานี้จะต้อง ได้ปริญญา ย่ิงเรียนสูงย่ิงได้ปริญญามากเท่าไรย่ิงดี พยายามท่ีจะให้ ได้ปริญญา เพื่อวา่ ๑. เป็นใบเบิกทางส�ำหรบั ประกอบอาชีพ ๒. เป็นศักด์ศิ รใี นสังคม สำ� หรบั เรอื่ งน้ี พระพทุ ธศาสนามีความเหน็ อยา่ งไร? หมายเหตุ บทความน้ีเป็นการถามตอบระหว่าง พระมหาสมนึก กมฺพุวณฺโณ นักศึกษาคณะ ศาสนาปรัชญาปีท่ี ๔ กับอาจารย์วศิน อินทสระ เม่ือวันท่ี ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๓๐ ท่ีสถาน การศกึ ษา มรร. (สภาการศึกษา มหามกุฎราชวิทยาลยั ) 159
พ ร ะ พ ุ ท ธ ศ า ส น า กั บ ค ่ า น ิ ย ม ข อ ง ค น ส ม ั ย ใ ห ม่ พระพุทธศาสนามีความเห็นในเรื่องน้ีว่า นอกจากการศึกษาไป เพ่ือประกอบอาชีพแล้ว ก็เพ่ือขัดเกลากิเลสด้วย ขัดเกลาจิตใจด้วย การศึกษาจะต้องมีท้ังศีล สมาธิ ปัญญา คือ สีลสิกขา จิตตสิกขา และปัญญาสิกขา การศึกษาสมัยใหม่อาจจะขาดสีลสิกขา จิตตสิกขา มุ่งไปทางปัญญา แต่ปัญญานั้นก็เป็นปัญญาเพ่ือการประกอบอาชีพ ปัญญาเพอื่ ศักด์ศิ รีในสังคม มิใชป่ ญั ญาเพ่อื ขดั เกลาจติ ใจ ค่านยิ มเรอ่ื งความร�่ำรวย คนสมยั ใหมร่ สู้ กึ วา่ จะมงุ่ หนา้ ไปสคู่ วามรำ่� รวยกนั จะเรยี น จะ ท�ำงาน จะทำ� อะไร ดูเหมอื นวา่ จะมงุ่ ไปสคู่ วามรำ�่ รวย แตส่ ำ� หรับทาง พทุ ธศาสนานนั้ กไ็ มใ่ ชป่ ฏเิ สธความรำ�่ รวย เพราะเหน็ วา่ ความมงั่ คงั่ นนั้ เป็นเรื่องดี แต่ว่าไม่ได้สอนให้เป็นคนม่ังคั่งโดยที่ไม่ต้องค�ำนึงถึงศีล ธรรมหรอื ความดงี าม แตว่ า่ คา่ นยิ มของคนในสงั คมปจั จบุ นั น ้ี จะเหน็ วา่ ถา้ รำ่� รวยแลว้ เปน็ พอ โดยไมต่ อ้ งคำ� นงึ ถงึ วา่ จะรำ่� รวยมาโดยวธิ ใี ด แต ่ ทางพระพทุ ธศาสนาแมจ้ ะไมป่ ฏเิ สธเปา้ หมายในทางความร�่ำรวย และ ก็ได้เสนอวิธีการที่ถูกต้อง ที่ไม่เบียดเบียนตนและผู้อ่ืน ให้ร�่ำรวยโดย ไมต่ อ้ งคอรปั ชน่ั ใหร้ �่ำรวยโดยสจุ รติ เมอื่ ร�่ำรวยแลว้ กใ็ หม้ กี ารเผอื่ แผ ่ แบง่ ปนั เปน็ เศรษฐใี จบญุ เชน่ อนาถบณิ ฑกิ เศรษฐี นางวสิ าขามหา- อุบาสิกา ในสมัยพุทธกาล หรือในสมัยสุโขทัย สมัยอยุธยา สมัย รัตนโกสินทร์ตอนต้น ผู้ท่ีมั่งมีก็มักจะใช้เงินไปทางบ�ำเพ็ญบุญกุศล สาธารณประโยชน์ สร้างสาธารณสถานให้เป็นประโยชน์แก่มหาชน แตเ่ วลาน ี้ บางทคี นทรี่ ำ่� รวยแลว้ ไปสรา้ งสง่ิ ทเี่ พมิ่ ความรำ�่ รวยใหแ้ กต่ วั มากข้นึ เช่น สรา้ งงานธรุ กิจ งานอตุ สาหกรรม บางทกี ช็ ว่ ยผอู้ ืน่ ด้วย ทำ� ใหผ้ อู้ นื่ มงี านทำ� แตผ่ ลประโยชนส์ ว่ นใหญก่ ต็ กอยแู่ กผ่ ทู้ เ่ี ปน็ เจา้ ของ 160
ค ว า ม เ ข้ า ใ จ เ กี่ ย ว กั บ ชี วิ ต อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ คา่ นิยมเรอ่ื งความมีหนา้ มีตา และยศถาบรรดาศักด์ิ คนปจั จบุ นั มงุ่ ไปในทางนก้ี นั มาก พระพทุ ธศาสนากไ็ มไ่ ดป้ ฏเิ สธ เรื่องเหล่าน้ี แต่มีวิธีที่จะท�ำให้ได้ยศศักดิ์มาโดยชอบธรรม หรืออาจ กลา่ วไดว้ า่ ไมต่ อ้ งแสวงหากไ็ ด ้ ใหไ้ ดม้ าเองโดยทคี่ นอน่ื เขาเหน็ ประโยชน์ เหน็ คณุ คา่ ของบคุ คลผนู้ น้ั หรอื เหน็ วา่ เขาไดด้ ำ� เนนิ ชวี ติ โดยธรรม เปน็ ธรรมชวี บี ุคคล เช่นพระพทุ ธภาษติ ทว่ี า่ อฏุ ฺานวโต สตมิ โต สจุ กิ มฺมสสฺ นสิ มฺมการิโน สญฺ ตสสฺ จ ธมมฺ ชวี ิโน อปปฺ มตตฺ สฺส ยโสภิวฑฺฒติ แตถ่ า้ เอาตามทรรศนะทถ่ี กู ตอ้ ง และลกึ ซงึ้ จรงิ ๆ ทางพระพทุ ธ ศาสนาแลว้ ทา่ นกเ็ หน็ วา่ ความเจรญิ ดว้ ยยศ ความเจรญิ ดว้ ยลาภ ความ เจรญิ ดว้ ยญาตพิ วกพอ้ ง อนั นเี้ ปน็ เรอ่ื งเลก็ นอ้ ย แตว่ า่ ความเจรญิ ดว้ ย ปัญญาเป็นเร่ืองใหญ่ อันนี้พระพุทธภาษิตในอังคุตรนิกายที่ตรัสถึง เรอ่ื งน ี้ เรยี กวา่ ปญั ญาวฑั ฒนะ (ปญั ญาวฒุ )ิ ความเจรญิ ดว้ ยปญั ญา เปน็ สงิ่ ทคี่ วรตอ้ งการมากกวา่ ความเจรญิ ดว้ ยลาภ ดว้ ยยศ แตป่ ญั ญา ในทีน่ ตี้ ้องเปน็ ปญั ญาท่เี ป็นไปเพ่อื ความสงบสุข ค่านยิ มเร่ืองความสนุกสนาน ไม่ว่าจะท�ำอะไรก็ชอบความสนุก จะทอดกฐินผ้าป่าบวชนาค แม้แต่เรื่องการบุญการกุศลก็ต้องสนุก ความท่ีมีค่านิยมแบบน ้ี ท�ำให้ 161
พ ร ะ พ ุ ท ธ ศ า ส น า กั บ ค ่ า น ิ ย ม ข อ ง ค น ส ม ั ย ใ ห ม่ ส่ิงที่จะท�ำน้ัน เน้ือหามันสูญเสียไปเพราะมันจมเข้าไปในความสนุก เสยี หมด อยา่ งบวชนาคเปน็ วิธกี ารท่คี วรจะท�ำอย่างสงบ แตก่ ค็ า่ นยิ ม ในสังคมไทยต้องสนุกสนาน เล้ียงดูปูเส่ือ กินเหล้าเมายากันมากมาย ค่านิยมอันนี้ควรจะต้องแก้ไข โดยหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา โดยที่พุทธศาสนิกชนควรจะต้องส�ำนึกส�ำเหนียกในเร่ืองน้ีให้มาก โดยเฉพาะความสนุกท่ีเก่ียวกับงานบุญ มันจะได้บุญน้อยเหลือบุญ อยู่นิดเดียว นอกจากน้ันมันจะจมหายไปอยู่กับความสนุก ท�ำงานวัด ได้เงิน ๒๐,๐๐๐ เอาให้วงดนตรี เสียหมื่นห้า เหลือเข้าวัด ๕,๐๐๐ ค่านยิ มนต้ี ้องแก้ไข ควรจะลดค่านิยมในเร่ืองความสนุกสนาน พุทธศาสนามองว่า ถ้าจะเป็นเร่ืองความสนุกบ้างก็เอาเถอะ แต่ว่าในสังคมไทยเรานี้ เรา สนกุ มากเกนิ ไป จนเกดิ ปญั หา เกดิ อนั ตราย เกดิ ความลำ� บากกบั เรอื่ ง คา่ นิยมในเรื่องความสนกุ ของคนไทย เดินทางไป เรือจมบ้าง รถควำ่� บ้าง และไมใ่ ช่ชั่วระยะใดระยะหนึ่ง มนั มีตลอดปี เดี๋ยวนั่นเดี๋ยวนี่ ควรท�ำตนให้สอดคล้องกับพุทธศาสนา ในฐานะท่ีเป็นพุทธ ศาสนกิ ชน ไม่ควรจะตามใจตัวเองใหส้ นุกเกินไป ถา้ มีความเหน็ วา่ พทุ ธศาสนาเปน็ เรอื่ งเก่าแก ่ เปน็ เร่อื ง ของปรัชญาล้าสมัย อาจารย์มีความเหน็ อย่างไร เป็นเร่ืองของปรัชญาก็จริงแต่ว่าไม่ล้าสมัย เราพิสูจน ์ ได้ว่าเม่ือน�ำเอาหลักค�ำสอนของพุทธศาสนามาปฏิบัติมาใช้ก็ยังได้รับ ผลดี เชน่ วา่ อบายมขุ ทที่ า่ นแสดงวา่ เปน็ ทางเสอื่ ม ถา้ ทา่ นผใู้ ดเวน้ ได ้ โดยประการทงั้ ปวง แลว้ ประกอบสมั มาอาชวี ะ ผนู้ นั้ กย็ งั สามารถตงั้ ตวั ได้ มีหลักฐานเยอะ คนที่เมื่อสมัยที่เคยหมกมุ่นอบายมุขอยู่ เป็นหน ้ี 162
ค ว า ม เ ข้ า ใ จ เ กี่ ย ว กั บ ชี วิ ต อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ เป็นสนิ ตัง้ ตัวไม่ได ้ พอเลิกลดละอบายมุขเพียงไม่ก่อี ยา่ งทีเ่ ขาหมกม่นุ อยู่ เขาก็สามารถจะเปล้ืองหน้ีเปลื้องสินได้ แล้วก็ต้ังตัวได้ด้วย นี้ก็ แสดงวา่ ปรชั ญาของพทุ ธศาสนานน้ั ยงั ไมล่ า้ สมยั แมท้ เี่ ปน็ ปรชั ญาสงั คม เช่น ทิศ ๖ ถ้าสังคมใดปฏิบัติตามหลักของทิศ ๖ สังคมน้ันก็สงบ เรยี บรอ้ ย ระหวา่ งพอ่ แมก่ บั ลกู ครบู าอาจารยก์ บั ศษิ ย ์ สามกี บั ภรรยา จะไดร้ บั ผลในการปฏบิ ตั นิ นั้ ทนั ท ี นนั่ แสดงวา่ ไมล่ า้ สมยั ยงั ใชป้ ระโยชน์ ไดอ้ ย ู่ แมจ้ ะเปน็ สง่ิ ทมี่ มี านานแลว้ กจ็ รงิ และนก่ี เ็ ปน็ เพยี งเรอื่ งเลก็ นอ้ ย ยังมีหลักธรรมอีกมากมายที่ชี้ทางบรรเทาทุกข์ ชี้สุขเกษมศานต์ ถ้า บุคคลสามารถปฏิบัติตามนั้นได ้ ก็พิสูจน์ได้ด้วยตนเองว่า ไม่ล้าสมัย นำ� สมัยด้วยซ�้ำไป เพราะเหตุที่ธรรมะเป็นมัชฌิมาปฏิปทาจึงน�ำทุกสมัย ไม่ว่า สมัยใดทางสายกลางจะดีเสมอ ตามหลักพระพุทธศาสนาให้เดินทาง สายกลางตลอดไป ไมว่ า่ จะเปน็ เรอื่ งอะไร เพราะฉะนน้ั จงึ ดอี ยเู่ สมอ ทค่ี นเหน็ วา่ ไมด่ ไี ปบา้ ง เปน็ เพราะวา่ คนทเี่ อามาใช้ ใชไ้ มเ่ ปน็ ใชไ้ มถ่ กู ทำ� ให้เกดิ ปญั หาขนึ้ เพราะความที่คนใชไ้ มเ่ ป็น ใชไ้ ม่ถูก มีความจ�ำเป็นท่ีจะต้องมีพุทธศาสนาหรือไม่ มีเพียง ศาสนาอน่ื ไดไ้ หม ศาสนาอื่นก็ได้ อย่างเช่นประเทศอ่ืนๆ ที่เขาไม่นับถือ พุทธศาสนา เขาก็อยู่ได้ อย่างเช่นประเทศสหรัฐอเมริกา อังกฤษ เปน็ ตน้ แตว่ า่ หลกั ธรรมทเี่ กย่ี วกบั การปฏบิ ตั ใิ นชวี ติ นนั้ ไมม่ ไี มไ่ ด ้ แลว้ หลักธรรมเหล่านั้นอาจจะตรงกัน เช่น หลักธรรมของคริสต์ ของ อสิ ลาม ของฮนิ ด ู ของศาสนาพทุ ธ ในบางประการจะตรงกนั แลว้ กใ็ น หลกั ธรรมทต่ี รงกนั นนั้ เองเปน็ จรยิ ธรรมสากล เมอื่ หมใู่ ดคณะใดนำ� ไป ปฏบิ ตั แิ ลว้ เขากย็ อ่ มไดร้ บั ประโยชน์ เหมอื นกบั อาหารทเี่ ปน็ ประโยชน์ 163
พ ร ะ พ ุ ท ธ ศ า ส น า กั บ ค ่ า น ิ ย ม ข อ ง ค น ส มั ย ใ ห ม่ ไม่ว่าคนชาติใดกิน เช่น ผักกาด ไม่ว่าจะเป็นผักกาดท่ีเมืองฝรั่งหรือ เมอื งไทย หรอื ในเมอื งแขก เม่อื ใครบริโภคกย็ อ่ มไดร้ บั ประโยชน์จาก ผักกาดเทา่ เทียมกัน ถา้ พทุ ธศาสนาดแี ลว้ ทำ� ไมสงั คมไทยจงึ ตอ้ งเปน็ อยา่ งนี ้ ทำ� ไมจงึ ไมเ่ ปน็ ประเทศทพ่ี ฒั นาแลว้ ทำ� ไมจงึ ยงั เปน็ ประเทศลา้ หลงั อยู่ พทุ ธศาสนานน้ั ดแี ลว้ ประเสรฐิ แลว้ กจ็ รงิ แตว่ า่ ประการ ท ่ี ๑ คนของเรามไิ ดน้ ำ� หลกั ธรรมในพทุ ธศาสนามาใชใ้ นชวี ติ ประจ�ำวนั เทา่ ทคี่ วร ถา้ จะถามวา่ ทำ� ไมเขาจงึ ไมน่ ำ� เอาหลกั ธรรมทางพทุ ธศาสนา มาปฏบิ ตั เิ ทา่ ทค่ี วร กต็ อบไดว้ า่ คา่ นยิ มทางวตั ถมุ นั ทว่ ม คอื วา่ มที ศั นคต ิ ในทางวตั ถนุ ยิ มมากเกนิ ไป เหน็ วา่ วตั ถเุ ปน็ สง่ิ สำ� คญั เหน็ วา่ ความสำ� เรจ็ ในทางเงนิ ทอง ยศถาบรรดาศกั ดเิ์ ปน็ ความสำ� เรจ็ อนั ยงิ่ ใหญท่ เ่ี ขาตอ้ งการ ก็เลยละเลยความส�ำเร็จในชีวิตด้านในคือความสงบสุข เพราะฉะนั้น เราจะเห็นได้ว่า แม้เขาจะประสบความส�ำเร็จในทางเศรษฐกิจและม ี ความสำ� เรจ็ ในดา้ นการงาน แตว่ า่ เขาลม้ เหลวในดา้ นความสงบสขุ ของ ชวี ติ ถงึ จะรวยแลว้ กย็ งั หาความสงบสขุ ไมไ่ ด้ เมอื่ เปน็ เชน่ นี้ กไ็ มต่ อ้ ง กล่าวถึงคนท่ีล้มเหลวในด้านเศรษฐกิจด้วย ล้มเหลวในด้านการงาน และลม้ เหลวในดา้ นจติ ใจดว้ ย ทง้ั นเี้ พราะเขาไปใหค้ า่ ในทางวตั ถมุ ากกวา่ ความสงบทางใจคือชีวิตท่ีเรียบง่าย ตามหลักค�ำสอนของพุทธศาสนา ตอ้ งการใหด้ ำ� เนนิ ชวี ติ แบบเรยี บงา่ ย แลว้ ใชเ้ วลาทเ่ี หลอื อยนู่ นั้ ไปใชใ้ น ทางการอบรมจติ ใจ ใหเ้ ยอื กเยน็ ใหส้ งบ แลว้ สงั คมเราจะอยกู่ นั อยา่ ง สงบเย็นเป็นสุข แม้จะรวยน้อยแต่ก็มีความสุขมากกว่า แต่เนื่องจาก ค่านิยมในทางวัตถุและความร่�ำรวยตามที่กล่าวมาแล้ว คนก็มุ่งหน้า ไปสู่ความร�่ำรวย แข่งกันในการท่ีจะต้องร�่ำรวย แข่งขันกันในทางที ่ ใครจะเปน็ ใหญก่ วา่ ใครจะมยี ศถาบรรดาศกั ดม์ิ ากกวา่ โลกและสงั คม 164
ค ว า ม เ ข้ า ใ จ เ กี่ ย ว กั บ ชี วิ ต อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ จึงวุ่นวายไปกับสิ่งเหล่านี้ แต่ถ้าเรากลับมาตั้งต้นกันเสียใหม่ ท�ำกัน เสยี ใหม ่ ดำ� เนนิ ชวี ติ ใหส้ อดคลอ้ งกบั หลกั การของพทุ ธศาสนาแลว้ เรา จะไดท้ ้ังทรพั ย์ ไดท้ ัง้ เกยี รติ ไดท้ ้งั ความสงบสขุ ของชวี ิตทุกประการ เม่ือพุทธศาสนาสอนให้ละส่ิงเหล่าน้ี ท�ำไมพระจึงม ี สมณศกั ด์ิอยู่ อันนี้ต้องถือว่าเป็นการเดินตามโลก หรือว่าอนุวรรต ตามโลก เพราะว่าสงิ่ ท่พี ระมอี ยนู่ ั้นเปน็ สงิ่ ทโ่ี ลกเขาให้ ไมใ่ ช่สง่ิ ทพี่ ระ ท�ำกันได้เอง เป็นแต่เพียงว่าท่านอนุวรรตตามโลก คล้อยตามโลก อาจจะเหน็ ประโยชนใ์ นบางอยา่ งกไ็ ด ้ อยา่ งโลกเขามยี ศถาบรรดาศกั ด์ิ ทางวัดก็ให้มียศถาบรรดาศักดิ์บ้าง เพ่ือว่าจะได้เท่าเทียมกับโลก แต่ ถึงกระนั้น ทางพระก็ท�ำเองไม่ได้ นอกจากรับจากท่ีโลกได้ถวายให้ ถา้ เผื่อโลกเขาเลิกถวาย พระกไ็ ม่ไดเ้ รยี กรอ้ งอะไร ใหอ้ าจารยส์ รุปจุดเดน่ ๆ ของพทุ ธศาสนา ทกุ จดุ เดน่ หมด ไมว่ า่ จะเขา้ ไปจบั ตรงไหน เหมอื นเพชร เม็ดงาม ที่ไม่ว่าจะไปแตะเข้าจุดไหนก็แวววาวทั้งนั้น ถือว่าในสถาน- การณ์ปัจจุบัน ไม่ว่าจะไปแตะเข้าเหล่ียมไหน คือต้องเด่นทั้งนั้น จะ เปน็ ระดบั การประกอบอาชพี ระดบั การศกึ ษา ระดบั ความหลดุ พน้ หรอื ทกุ ระดบั พระพุทธศาสนาจะเหมือนเพชรท่ีแวววาวอยู่ทุกระดบั พทุ ธศาสนาแก้ปญั หาตกงานไดไ้ หม คอื ตอ้ งแกพ้ รอ้ มๆ กนั ไป ไมใ่ ชแ่ กค้ นใดคนหนงึ่ ระบบใด ระบบหนงึ่ ตอ้ งแกพ้ รอ้ มๆ กนั ไปทง้ั หมด ทงั้ สงั คม ทง้ั ประเทศ โดย เอาหลักของพุทธศาสนามาใช้ในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ถ้าเราแก้อยู่ 165
พ ร ะ พ ุ ท ธ ศ า ส น า กั บ ค ่ า น ิ ย ม ข อ ง ค น ส มั ย ใ ห ม่ คนเดยี ว โดยท่รี ะบบใหญห่ รอื สงั คมใหญย่ งั ไม่ได้แก้ เราเพยี งแต่เปน็ ตัวเล็กๆ ทางสังคม เราก็แก้ไม่ได้ ถ้าจะแก้ก็ต้องแก้พร้อมกันไปทั้ง ระบบ อย่างน้ีถึงจะได้ เหมือนอย่างเราเป็นน๊อตตัวหนึ่งของรถยนต ์ ถา้ เครอ่ื งใหญม่ นั ไมเ่ ดนิ นอ๊ ตตวั นนั้ กเ็ กอื บจะไมม่ คี วามหมายอะไรเลย ต้องแก้พร้อมๆ กันไปทั้งหมด ทั้งระบบ ทั้งบุคคล เราจะแก้คนเดียว เราท�ำไม่ได้ สมั มาอาชวี ะ คอื การประกอบอาชพี ทส่ี จุ รติ โสเภณ ี ถอื วา่ เป็นอาชีพทีส่ จุ ริตหรือไม่ อนั นยี้ งั พูดยากอยู่ ยงั วนิ ิจฉยั ยาก เพราะฉะนน้ั ขอให ้ ผ่านปญั หานี้ไปก่อน ในสมยั พทุ ธกาล พระพทุ ธเจา้ ไดต้ รัสถึงเรอ่ื งน้ีไว้ไหม ไมไ่ ดม้ หี ลกั ฐานวา่ อยา่ งไร ถา้ เขานมิ นตไ์ ปฉนั ทบี่ า้ น เพอ่ื ทวี่ า่ ถวายอาหารกร็ บั เปน็ กจิ ลกั ษณะ ไมใ่ ชไ่ ปเทยี่ ว แตท่ น่ี ค่ี วามหมาย ของโสเภณีเวลาน้ันกบั โสเภณบี างพวกในเวลานี้ จะไมเ่ หมือนกนั พระพุทธเจา้ ไดแ้ สดงทัศนะอะไรไว้บ้างหรือไม่ ไม่ปรากฏ คือผมก็ไม่ได้พบ ปัญหาสังคมนี้มีมาก แต ่ ผมเชื่อว่าจะแก้โดยหลักธรรมของพุทธศาสนา แต่ไม่ใช่เราแก้อยู ่ คนเดยี ว เราตอ้ งแกพ้ รอ้ มๆ กนั เหมอื นคนทกี่ วาดขยะคนเดยี ว แตค่ น ทิง้ ยงั ทิง้ อยแู่ ละมีมากมาย กวาดก็ไม่รู้จกั หมด แตถ่ า้ ทกุ คนไมท่ ิง้ ขยะ ในที่ท่ีมิใช่ที่ทิ้ง ทิ้งในท่ีที่เขาวางไว้ในที่ทิ้ง คนที่ท�ำความสะอาดนั้น ก็เกือบจะไม่มีปัญหาเร่ืองสิ่งสกปรก เพราะท�ำพร้อมกันเป็นสัญญา ประชาคมที่ทุกคนปฏิบัติตาม ปฏิบัติตามกติกาของสัญญาประชาคม 166
ค ว า ม เ ข้ า ใ จ เ ก่ี ย ว กั บ ชี วิ ต อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ถา้ ไมป่ ฏบิ ัติตามก็เริ่มรวนเร ตรงน้ีจะระบุลงไปได้ไหมว่า ธรรมหมวดไหนแก้ปัญห าสังคมได้ ความรับผิดชอบตัวเอง ความมีวินัยในตนเป็นมงคล ข้อหน่ึง วินัยจากสภาพบังคับภายนอกนั้นเป็นกฎเกณฑ์ของสถานที่ เปน็ กฎหมาย ทสี่ �ำคญั คอื Self-descipline คอื วนิ ยั ในตวั พระพทุ ธ- ศาสนาย้ำ� แล้วยำ้� อกี ให้คนมีวินัยในตัว ใหร้ จู้ กั รบั ผดิ ชอบตวั เอง ตาม ฐานะตามหน้าที่ การปฏิบัติทางพุทธศาสนา มุ่งเพ่ือความหลุดพ้นตัว คนเดียว จะไมเ่ หน็ แกต่ ัวหรอื อันน้ีก็เป็นแต่พยายามอบรมตน พัฒนาตนให้ล่วงหน้า ไปก่อน แล้วก็ค่อยๆ จูงผู้อื่นตามไป คือว่าถ้าเราล่วงหน้าไปสุดทาง แล้วย้อนกลับมาช่วยเหลือผู้อ่ืนจะช่วยได้มากข้ึน เพราะว่ามีความ สามารถ มคี วามร ู้ มคี วามดเี พยี งพอ ยอ่ มจะชว่ ยไดม้ าก เพราะวา่ คนท ่ี ช่วยตัวเองไม่ได้แล้วจะไปช่วยผู้อ่ืนได้อย่างไร พ่อแม่ที่ยังหางานท�ำ ไม่ได้ ที่ยังไม่มีเงิน พ่อแม่เช่นนั้นจะเลี้ยงลูกได้อย่างไร ก็ท�ำนอง เดยี วกนั เพราะฉะนน้ั ทา่ นจงึ สอนใหท้ กุ คนพยายามบม่ อนิ ทรยี ์ พฒั นา ตนเองให้เดินล่วงหน้าไปก่อน อาจจะจูงน้องไปด้วย ช่วยเหลือผู้อ่ืนท่ ี มาภายหลังในฐานะเป็นพ่ีเลี้ยง ถ้ามีความสามารถมากสูงมาก ก็อยู่ ในฐานะพอ่ แมห่ รือครูบาอาจารยอ์ นั นีก้ จ็ ะท�ำได้ดี หลงั จากการบรรลแุ ลว้ แรงกระตนุ้ ของความเมตตากรณุ า มนั มมี ากพอสำ� หรบั บคุ คลเชน่ นัน้ ท่จี ะใหช้ ว่ ยเหลือผู้อ่ืน 167
พ ร ะ พ ุ ท ธ ศ า ส น า กั บ ค ่ า น ิ ย ม ข อ ง ค น ส ม ั ย ใ ห ม่ ๑. เปน็ ความรบั ผดิ ชอบตอ่ หนา้ ที ่ ในฐานะเพื่อนมนษุ ยด์ ว้ ยกนั ๒. เมตตา กรณุ าเพอ่ื นมนษุ ยเ์ ออ่ ลน้ อยใู่ นจติ ใจ จะทำ� ใหเ้ ขาไม่ สามารถเพกิ เฉยตอ่ ไปได ้ มกั จะทำ� หนา้ ทเี่ พอ่ื หนา้ ท ี่ ทำ� หนา้ ทเี่ พอื่ ความด ี เพื่อประโยชน์สุขของมหาชนและจะท�ำได้ดีกว่าคนที่มีกิเลสตัณหา มากมาย ซึ่งท�ำไปเพ่ือเห็นแก่ตัว จะเห็นแก่ผู้อ่ืนบ้าง แต่ก็เห็นแก่ตัว เป็นหลัก แต่ว่าสำ� หรับบุคคลผู้พัฒนาจิตใจดีแล้วอย่างน้ัน เขาเห็นแก ่ ผู้อื่นเป็นหลัก ผลพลอยได้อาจจะได้แก่ตนเล็กน้อย เช่น อาจจะได ้ อาหารพอประทงั ตนเลก็ นอ้ ย เพอ่ื จะไดบ้ ำ� เพญ็ ประโยชนแ์ กผ่ อู้ น่ื อยา่ ง พระทม่ี จี ติ ใจสงู บำ� เพญ็ ตนเพอื่ ประโยชนแ์ กบ่ คุ คลอนื่ สงิ่ ทท่ี า่ นไดร้ บั ก็เป็นเพียงแต่อาหาร ท่ีอยู่อาศัยเล็กน้อย ท่ีบางท่านมีฐานะร่�ำรวย มี ความเปน็ อยฟู่ มุ่ เฟอื ย เปน็ เรอื่ งของบคุ คลบางกลมุ่ บางพวกไดส้ นองให้ แกท่ า่ นมาก มากกว่าทท่ี า่ นต้องการก็ได ้ ดว้ ยความนิยมตวั ทา่ น ถ้าหวังเพียงว่า เมื่อบรรลุแล้วค่อยกลับมา จะไม่เป็น การรอนานดอกหรือ เราไมไ่ ดบ้ อกวา่ จะบรรลเุ สยี กอ่ น มคี ณุ ธรรมแคไ่ หน ก็ บำ� เพญ็ ประโยชนเ์ ทา่ นน้ั เทา่ ทค่ี ณุ ธรรมของเรามอี ย ู่ อาจจะไมต่ อ้ งถงึ ขั้นบรรลุนิพพานเสียก่อน เพียงแต่ว่าได้ศึกษาเล่าเรียน ได้ปฏิบัติ ถึงขั้นหนึ่งแล้วก็มีความรู้ความสามารถเพียงพอที่จะช่วยเหลือผู้อื่นได้ อยา่ งทพ่ี วกเราท�ำๆ กนั อยเู่ วลานก้ี ไ็ ด้ ชว่ ยเหลอื กนั มาตลอด โดยทย่ี งั ไม่ตอ้ งบรรลุพระอรหันต์เสยี กอ่ น ถา้ จะกลา่ ววา่ การศกึ ษาใหล้ กึ ซงึ้ เปน็ เรอื่ งของพระ ไมใ่ ช่ เร่อื งของฆราวาส 168
ค ว า ม เ ข้ า ใ จ เ กี่ ย ว กั บ ชี วิ ต อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ไม่ใช่อย่างนั้น การศึกษาพระพุทธศาสนาก็ดี การ เผยแผ่พุทธศาสนาก็ด ี การบ�ำเพ็ญกรณียกิจที่เก่ียวกับพุทธศาสนาก็ด ี จะตอ้ งท�ำกนั ไปทกุ บรษิ ทั ทงั้ ภกิ ษุ อบุ าสก อบุ าสกิ า ทงั้ ฆราวาส ทงั้ บรรพชติ เพราะวา่ ศาสนาของพระพทุ ธเจา้ นน้ั มใิ ชจ่ ะอยไู่ ดด้ ว้ ยอาศยั ภิกษุบริษัทเท่าน้ัน ต้องมีอุบาสก อุบาสิกา ท้ังที่ประพฤติพรหมจรรย ์ ทง้ั ทคี่ รองเรอื นชว่ ยเหลอื เกอ้ื กลู พทุ ธศาสนา ถา้ เปรยี บพทุ ธศาสนาเปน็ บริษัท มีภาระหน้าที่ในการที่จะช่วยเหลือบริษัท ด้วยการออกทุนบ้าง ด้วยต�ำหนิติติง บ�ำเพ็ญประโยชน์ พุทธบริษัทที่เป็นฆราวาสก็มีความ สำ� คญั ทจี่ ะตอ้ งศกึ ษาเลา่ เรยี นพทุ ธศาสนาใหเ้ ขา้ ใจ เชน่ เดยี วกบั ทภ่ี กิ ษ ุ สามเณรเข้าใจ และจะได้น�ำเผยแผ่ในหมู่ฆราวาส อาจจะสะดวกกว่า ที่พระสงฆ์จะไป เพราะฆราวาสเข้าได้สะดวกคล่องกว่า โดยเฉพาะ อยา่ งยง่ิ ไดเ้ ปน็ หลกั ของครอบครวั พระนนั้ ไมม่ คี รอบครวั สถาบนั สงั คม เริ่มต้นท่ีครอบครัว พ่อบ้านแม่เรือนที่เป็นหลักก็จะทำ� ให้ครอบครัวน้ัน มนั่ คงด ี และสงั คมกจ็ ะดขี น้ึ ดว้ ย เพราะฉะนนั้ ผทู้ กี่ ลา่ ววา่ การศกึ ษา พุทธศาสนานั้นไว้ เป็นเรื่องของพระ ค�ำพูดนี้ไม่ถูกต้อง ที่ถูกนั้น ฆราวาสมีความจ�ำเป็นต้องศึกษาเท่าๆ กับภิกษุสามเณร เพราะว่า มรรคมอี งค์ ๘ นนั้ แสดงไวแ้ กบ่ รษิ ทั ทกุ หมเู่ หลา่ และเมอื่ ปฏบิ ตั แิ ลว้ ก็ได้รับผลเท่ากันตามสัดส่วนท่ีตนปฏิบัติ ไม่ได้มีขีดข้ันว่า ถ้าเป็น ฆราวาสปฏิบัติได้เพียงเท่านี้ เป็นพระจึงจะปฏิบัติให้ได้ถึงเท่านี้ ใคร ปฏิบัติมากย่อมได้รับผลมาก แม้เป็นฆราวาสถ้าปฏิบัติมากก็จะได้รับ ผลมากกวา่ พระ 169
๘บ ท ที่ ความเข้าใจ เรอื่ งพระธรรมวนิ ยั * ในวงการพุทธศาสนาปัจจุบัน มีปัญหาขัดแย้งกันมาก ควรจะวางใจอยา่ งไร มภี กิ ษ ุ ๒ รปู ถกเถยี งกนั เรอ่ื งธรรมะของพระพทุ ธเจา้ ว่าอันน้ีถูก อันนี้ผิด ถึงกับทะเลาะกัน พระพุทธเจ้าท่านเสด็จมาถาม ว่า คิดวา่ เข้าใจธรรมของเราทวั่ ถึงดีแล้วหรือ พระภิกษกุ ราบทูลวา่ คดิ ว่ายงั เขา้ ใจไมท่ ่วั ถงึ (ท่านจงึ ตรสั วา่ ) ถ้าอยา่ งนน้ั จะเถียงกันดว้ ยทฏิ ฐ ิ ดว้ ยความเหน็ ของตนไดอ้ ยา่ งไร ไมส่ มควรทจี่ ะมาทมุ่ เถยี งกนั ในเรอ่ื งน้ี ในเม่ือยังไม่แน่ใจว่ารู้ท่ัวถึงธรรมของเรา แล้วท่านก็ส่ังสอนว่าไม่ควร ยดึ มนั่ ในทฏิ ฐขิ องตน เพราะวา่ ถา้ ตา่ งคนตา่ งกย็ อมรบั วา่ ยงั ไมร่ ทู้ วั่ ถงึ ธรรมของพระองค์ * ถอดเทปบันทึกเสยี งการสนทนาธรรม ณ หอ้ งสมดุ สภาการศึกษา มหามกฏุ ราชวิทยาลยั วันอาทิตย์ท่ี ๒๑ สงิ หาคม ๒๕๓๑ โดยความเอือ้ เฟอ้ื ของ คุณทว ี วิรยิ ฑรู ย์ 171
ค ว า ม เ ข ้ า ใ จ เ ร ื่ อ ง พ ร ะ ธ ร ร ม วิ น ั ย ทนี เี้ รามาพจิ ารณาดวู า่ คนทเ่ี ขาถกเถยี งกนั เขาปฏญิ าณไดห้ รอื เปล่าว่าเขารู้ทั่วถึงธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าโดยครบถ้วนแล้ว ถ้ายัง ไมร่ ทู้ ่ัวถงึ ก็เป็นการไมส่ มควรทจ่ี ะถกเถียงกันขนาดทีจ่ ะยอมกันไมไ่ ด้ ผมยงั ชอบใจคำ� ของฝรงั่ คนหนงึ่ ชอื่ ครสิ ตม์ สั ฮมั ฟรยี ์ บอกวา่ ผู้เดียวเท่านั้นที่จะรู้จักพระพุทธศาสนาท่ีแท้จริงคือองค์พระสัมมา- สัมพุทธเจ้า ในยุคต่อมาเม่ือมีพระอรหันตสาวก ซึ่งได้ฝึกฝนอบรม ตนดีแล้ว หมดส้ินกิเลส ไม่มีอคติ ไม่มีอาสวะ คือไม่มีอวิชชาสวะ ทิฏฐาสวะ กามาสวะ เม่ือไม่มีอาสวะทั้งหลายเหล่าน้ี อคติก็จะไม่มี ความเท่ียงตรงก็จะมีมาก แต่ส�ำหรับคนทั่วๆ ไป บางทีตัวแปรมีมาก สิ่งแวดล้อมท�ำให้เกิดความเห็นเบ่ียงเบนไป เพราะฉะนั้น ถ้าจะให้ เหมาะให้ดี ควรยึดถือไว้อย่างหลวมๆ อย่ายึดถืออะไรไว้ให้แน่นนัก มันจะกลายเป็นมานคาหะ คือถือด้วยมานะ ทีแรกถือด้วยทิฏฐิคาหะ คือถือด้วยทิฏฐิ ไม่สามารถจะปล่อยทิฏฐิได้ ด้วยกลัวจะเสียชื่อเสียง เสยี หนา้ เสยี เกยี รติ เสยี ความนยิ มนบั ถอื ซงึ่ มนั กเ็ ปน็ ไปเพอื่ เพม่ิ พนู อาสวะข้นึ อกี ไมเ่ ปน็ การสมควร ท่ีจริงเกี่ยวกับเรื่องธรรมเรื่องวินัย ชาวพุทธควรจะพูดกันด้วย ความสงบ ในขณะที่พูดควรใช้ธรรมะไปด้วย แม้ขณะที่ขัดแย้งกัน ก็ใช้ธรรมะไปด้วย ก็จะได้ความถูกต้องท่ีแท้จริง แม้ในสงครามซึ่งรบ กนั ดว้ ยอาวธุ เขายงั ต้องใช้ธรรมะในสงคราม ขอ้ ทถี่ กเถยี งกนั สว่ นมาก ลว้ นแตเ่ ปน็ ขอ้ ปลกี ยอ่ ย ถา้ จะวจิ ารณ ์ ธรรมะก็จะอยู่ในข้อสีลัพพตปรามาส สีลัพพตปาทาน ยึดม่ันในศีล และพรต วา่ ศลี และพรตอย่างนีเ้ ทา่ นั้นเป็นส่งิ ที่ดีที่ดับทกุ ข์ได้ ศลี และ พรตอย่างอื่นเป็นสิ่งท่ีไม่ดี ผู้ที่ได้เคยสดับตรับฟังน้อย หรืออยู่ใน โลกแคบมกั จะยดึ มนั่ มากขนึ้ แตเ่ ปน็ เฉพาะบางคน ไมใ่ ชเ่ สมอไป อยา่ ง 172
ค ว า ม เ ข้ า ใ จ เ ก่ี ย ว กั บ ชี วิ ต อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ในชนบทบางแห่งพ่ีกับน้องไม่ถูกกันเร่ืองนิกาย คนหนึ่งถือธรรมยุต คนหน่ึงถือมหานิกาย บางบ้านยึดม่ันถือม่ันในธรรมยุต ถ้าใครบวช มหานกิ ายมาขอลกู สาวกไ็ มใ่ ห้ อยา่ งนเ้ี ปน็ สลี พั พตปุ าทาน ยดึ มน่ั ในศลี และวตั รเลก็ ๆ นอ้ ยๆ หรอื นกิ ายปุ าทาน ยดึ มน่ั ในนกิ าย ซงึ่ เปน็ ความ คับแคบ ไม่ปลดปล่อย ไม่ยอมรับ ไม่เข้าใจผู้อืน่ ยังไม่เข้าใจเร่ืองความอัศจรรย์ของพระธรรมวินัย ๘ ประการ ทพ่ี ระพทุ ธเจ้าทรงแสดงไว้ ท่านทรงเปรียบเหมือนมหาสมุทร มีข้ออัศจรรย์อยู่ ๘ ประการ คือสภาพมหาสมุทรลาดลงไปเป็นล�ำดับ ลึกลงเป็นล�ำดับ ไมโ่ กรกชนั เหมอื นภเู ขาขาด ฉนั ใด ธรรมวนิ ยั กเ็ ปน็ ฉนั นน้ั มกี ารศกึ ษา โดยลำ� ดับ มีการปฏิบัติโดยลำ� ดับ เรียกว่า อนุปุพพสิกขา หรือ อนุ- ปพุ พปฏิปทา มหาสมุทร เมื่อซากศพและส่ิงสกปรกตกลงไป คล่ืนใน มหาสมทุ รกจ็ ะซดั สาดขนึ้ ฝง่ั ทงั้ หมดไมเ่ กบ็ ไว้ ฉนั ใด ธรรมวนิ ยั กฉ็ นั นน้ั คนทศุ ลี คนบาปจะถกู เพอ่ื นพรหมจารดี งึ ออกจากธรรมวนิ ยั นไี้ มเ่ กบ็ ไว ้ ในธรรมวินัยอีกนัยหนึ่งมีความหมายลึกๆ ว่า เขาถูกท�ำให้หล่นจาก ธรรมวินัยของพระตถาคตด้วยตนของตนเอง ถึงแม้ไม่มีใครดึงออก ความเจริญงอกงามทางคุณธรรมจะไม่ม ี ก็เท่ากับหล่นจากพระธรรม วนิ ัย น่ันเป็นอย่างหนงึ่ อีกอย่างหน่ึงมหาสมุทรไม่ล้นฝั่ง แม้จะมีน้�ำมากเท่าไหร่ ไหล มาจากทต่ี า่ งๆ มากเทา่ ไหร ่ มหาสมทุ รกไ็ มล่ น้ ฝง่ั สาวกของพระตถาตค ไม่ล่วงสิกขาบทที่ทรงบัญญัติไว้ นี่ก็เป็นความอัศจรรย์ของธรรมวินัย ประการหน่ึง มหาสมุทรแม้จะมีน�้ำมากเท่าใด ไม่พร่อง ไม่เต็ม 173
ค ว า ม เ ข ้ า ใ จ เ ร ื่ อ ง พ ร ะ ธ ร ร ม วิ น ั ย นพิ พานเปน็ สภาวะไม่พรอ่ ง ไม่เต็ม ฯลฯ ท่ีทา่ นกลา่ วแลว้ น้นั ถอื เปน็ สจั ธรรม ไดไ้ หม? เป็นสัจธรรมท่ีมีเงื่อนไข เป็นสังขตธรรม ตัวอย่างเช่น ธรรมเร่ืองความกตัญญูเป็นของดี กตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณนั้นดี แตก่ ระนน้ั กต็ อ้ งปฏบิ ตั โิ ดยมเี งอื่ นไข คอื ถา้ ทา่ นมผี มู้ พี ระคณุ หลงทำ� ผดิ มากๆ เชน่ ทา่ นชอบเลน่ ไพ ่ เราหาเงนิ มาไดใ้ หท้ า่ น ทา่ นเอาเลน่ ไพห่ มด เช่นน้ีก็ไม่ถูก แต่ถ้าท่านท�ำในสิ่งชอบเป็นประโยชน์แก่ร่างกายจิตใจก็ ควรจะทำ� ใหท้ า่ น แตถ่ า้ ทา่ นจะเอาไปเลน่ ไพ ่ อา้ งวา่ มบี ญุ คณุ กไ็ มค่ วรให้ หรอื อยา่ งเชน่ สจั จะคำ� จรงิ การพดู ความจรงิ กเ็ ปน็ สงิ่ ทด่ี ี แตถ่ งึ กระนนั้ กม็ เี งอื่ นไข เราควรจะพดู ความจรงิ กบั คนอยา่ งไร ในกาลเทศะอยา่ งไร ถ้าพูดความจริงผิดคน ผดิ กาละเทศะ ก็ไม่เปน็ ผลดี อยากให้อาจารย์อธิบายเร่ืองกาลามสูตร ซ่ึงมีการอ้าง ถงึ กนั มาก กาลามสูตรท่ีจริงมีอยู่ ๓ ตอน แต่ที่เรามักจะได้ยิน ไดฟ้ ังเอามาอ้างเพียงตอนเดยี ว ตอนทห่ี นง่ึ กลา่ วถงึ ความเปน็ มา เรอื่ งทพี่ ระพทุ ธเจา้ ทรงกลา่ ว แก่ชาวกาลามะ สาเหตุเน่ืองจากสมัยนั้นมีผู้ศึกษาลัทธิต่างๆ อ้างตัว เป็นศาสดามากมาย เมื่อเดินทางผ่านชาวกาลามะ ชาวกาลามะ สอบถามถงึ ลทั ธคิ ำ� สอน ทา่ นเหลา่ นนั้ กส็ อนกนั ไปคนละทาง ตา่ งกอ็ า้ ง ว่าลัทธิของตนถูก ค�ำสอนของตนดี ชาวกาลามะสับสน ไม่รู้จะเช่ือ เจ้าลัทธิใด เม่ือพระพุทธองค์เสด็จผ่านมา จึงถูกทูลถามว่าจะเช่ือได ้ อย่างไร ว่าลัทธิค�ำสอนของใครถูก พระองค์ตรัสว่า ควรจะสงสัย ทีเดียว ชาวกาลามะ ชวนสงสยั ทเี ดยี ว 174
ค ว า ม เ ข้ า ใ จ เ กี่ ย ว กั บ ชี วิ ต อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ตอนที่สอง พระองค์ได้ให้หลัก ๑๐ ประการ แก่ชาวกาลามะ ซึ่งเป็นการแสดงธรรมะเฉพาะแก่หมู่คณะน้ันและในโอกาสนั้น ดังท ่ี กลา่ วอา้ งเปน็ ที่ทราบกันทัว่ ๆ ไป คือชาวกาลามะท้ังหลาย อย่ารับเช่อื โดยไดฟ้ ังตามกันมา อย่ารบั เช่ือโดยข่าวลอื อยา่ รบั เชื่อโดยถอื สืบตอ่ กนั มา อย่ารับเชอื่ โดยอา้ งปิฎกหรอื ต�ำรา อย่ารับเช่อื โดยเห็นว่าตรงกับความเห็นของเรา อยา่ รับเชอ่ื โดยตรรกะ (Reasoning) อยา่ รบั เชือ่ โดยนัย (เก็งความจรงิ ) อย่ารบั เชื่อโดยตรกึ ตามอาการ หรือความนา่ เป็นไปได้ (Possibility) อยา่ รบั เชอ่ื โดยเหน็ ว่าผพู้ ดู พอเช่อื ถือได้ อย่ารับเชื่อโดยเห็นว่าสมณะนเ้ี ปน็ ครขู องเรา ตอนทสี่ าม พระองคท์ รงสอนใหช้ าวกาลามะทง้ั หลาย ใชป้ ญั ญา พิจารณาว่า ความโลภ โกรธ หลง มีโทษหรือมีคุณ ถ้ามีโทษก็ให้ ละเสยี ถ้าเหน็ ว่ามคี ุณกใ็ ห้สมาทานปฏบิ ตั ิในส่งิ น้ัน ให้ลองใชป้ ัญญาของตนพิจารณาดู ใหล้ องสอบถามผู้รดู้ ู ใหล้ องปฏบิ ัตดิ ู สาระสำ� คญั ของกาลามสตู รกม็ อี ยอู่ ยา่ งน ี้ แตท่ มี่ กั อา้ งถงึ เฉพาะ ตอนตน้ หรอื ตอนท ี่ ๒ ตอนทา้ ยทที่ า่ นบอกวา่ ใหล้ องใชป้ ญั ญาพจิ ารณา ใหล้ องสอบถามผรู้ ดู้ ู ใหล้ องปฏบิ ตั ดิ ู ถา้ มปี ระโยชนก์ ถ็ อื ไว ้ ถา้ เหน็ วา่ 175
ค ว า ม เ ข ้ า ใ จ เ ร ื่ อ ง พ ร ะ ธ ร ร ม วิ น ั ย มโี ทษกล็ ะเสยี พระพทุ ธเจา้ ทรงสอนชาวกาลามะในเวลานนั้ ใหว้ างตวั เปน็ กลางๆ ไมใ่ หเ้ ชอ่ื ใครหรอื เชอ่ื อะไรงา่ ยๆ แตใ่ นโอกาสและสถานท ่ี อ่นื ๆ ท่านทรงสอนให้เชอื่ พ่อแม่ เชอ่ื ครอู าจารย์ ทีว่ า่ ปญั ญาเป็นยอดของคุณธรรม โปรดอธบิ าย ในพระพทุ ธศาสนามธี รรมะหลายๆ ประการ ทคี่ ลา้ ยๆ กัน เช่น ความไม่ประมาท การมีสติ การมีปัญญา เหล่าน้ีเป็นสิ่งท ่ี แยกกันไม่ออก มักจะอยู่ด้วยกัน สติ ปัญญา ความไม่ประมาท คณุ ธรรมเหลา่ นช้ี ว่ ยทำ� ใหเ้ หน็ ตามความเปน็ จรงิ เปน็ จรงิ อยา่ งไรกเ็ หน็ อย่างนั้น ไม่ใช่เห็นตามท่ีปรากฏ ปัญญาเป็นตัวท่ีท�ำให้จิตสว่าง สว่างไสวด้วยเหตุผล พ้นจาก ความมดื เวลาเราเขา้ ไปในทมี่ ดื เรากง็ ม เพราะมองอะไรไมเ่ หน็ งม ผดิ บา้ ง ถกู บา้ ง สะดดุ บา้ ง เขา่ ถลอกบา้ ง ยงิ่ ทกี่ วา้ งเทา่ ไหรย่ ง่ิ เดอื ดรอ้ น มาก เมื่อมีแสงสว่างเกิดข้ึน ค่อยๆ เห็นแสงสว่างขึ้น อะไรอยู่ท่ีไหน พอเรมิ่ มองเหน็ เมอื่ มแี สงสวา่ งรางๆ เมอ่ื สวา่ งมากขน้ึ กเ็ หน็ หมด ไมต่ อ้ ง งมอกี ต่อไป ไม่ตอ้ งงมงายอีกตอ่ ไป สขุ กต็ าม ทกุ ขก์ ต็ าม เปน็ ของรอ้ น ถา้ สขุ หรอื ทกุ ขเ์ พราะโมหะ แต่สุขหรือทุกข์เพราะปัญญา เป็นของเย็น ความไม่สุข ไม่ทุกข์ก็เช่น เดียวกัน มีสองอย่าง คือ ไม่สุขไม่ทุกข์เพราะโมหะ ก็เป็นของร้อน แต่ไม่สุข ไม่ทุกข์เพราะปัญญาเป็นของเย็น ถ้ามีปัญญาเข้ามาเกี่ยว ขอ้ งกำ� กบั อะไรๆ กจ็ ะดไี ปหมด สขุ ทมี่ ปี ญั ญาเปน็ ของด ี ทกุ ขท์ ม่ี ปี ญั ญา กเ็ ปน็ ของด ี แมไ้ มท่ กุ ขไ์ มส่ ขุ ถา้ มปี ญั ญากำ� กบั กย็ งั เปน็ ของด ี เพราะวา่ มันจะเป็นไปเพ่ือพัฒนาจิตใจให้สูงขึ้น แต่ถ้าขาดปัญญาแล้ว มันจะ ทำ� ให้ลุ่มหลงมวั เมา จิตทมี่ ีโมหะทำ� ให้จิตใจตกต�ำ่ 176
ค ว า ม เ ข้ า ใ จ เ กี่ ย ว กั บ ชี วิ ต อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ สุขที่มปี ัญญาเปน็ อย่างไร เมื่อจิตได้รับความสุขแล้วก็มีปัญญาก�ำหนดรู้เท่าทันว่า ความสขุ นเ้ี กดิ ขน้ึ แกเ่ ราแลว้ แตค่ วามสขุ นนั้ เปน็ ของไมเ่ ทย่ี ง อาจเปลยี่ น เปน็ ทกุ ข ์ มคี วามแปรปรวนไปเปน็ ธรรมดา เมอ่ื เกดิ ความทกุ ข ์ ปญั ญา ก็จะรู้ทัน ท�ำนองเดียวกัน ท่านกล่าวไว้ว่า ส�ำหรับบุคคลผู้มีปัญญา ยอ่ มหาความสุขไดแ้ มอ้ ยู่ในฐานะท่ีควรจะทุกข์ ทวี่ า่ ความรกั คอื ความทกุ ข ์ แตเ่ มอ่ื ปถุ ชุ นหลกี เลย่ี งไมไ่ ด้ ควรปฏิบตั ิตนอยา่ งไร ต้องมีปัญญารู้ล่วงหน้าไว้ก่อนว่า ความรักท�ำให้เกิด ทกุ ข ์ ไมย่ อมอยใู่ นอำ� นาจ หรอื ยอมเปน็ ทาสของความรกั ใหถ้ อื ความรกั หรอื ผทู้ เ่ี รารกั เปน็ มติ รสนทิ สนมกนั อาจใชช้ วี ติ อยรู่ ว่ มกนั แตใ่ นฐานะ มติ รทมี่ เี มตตา มคี วามปรารถนาดตี อ่ กนั ไมก่ อ่ ความเดอื ดรอ้ นใหแ้ กก่ นั เมื่อพิจารณาเห็นด้านความทุกข์ในความรัก เราก็จะได้ไม่ถล�ำลึกหรือ ลมุ่ หลงความรกั จนเกนิ ไป ถงึ จะมคี วามรกั กม็ พี อหอมปากหอมคอ เปน็ ความรักอ่อนๆ ไม่รุนแรง ให้ปฏิบัติต่อกันเหมือนปฏิบัติตามหน้าท่ี ที่ ความรกั เปน็ ทกุ ข ์ สว่ นมากเปน็ ความรกั ทร่ี นุ แรง คลา้ ยๆ กบั เปน็ สง่ิ ท่ี ขาดไมไ่ ด ้ เหมอื นกบั คนตดิ ยา แตถ่ า้ เรามมี ติ รหรอื เพอื่ นทพี่ อใจ เปน็ เพ่ือนในธรรม ไม่ถึงกับขาดไม่ได้ แม้จะมิใช่ความรัก เป็นความสนิท ชิดเช้ืออย่างธรรมดา อีกฝ่ายหน่ึงเป็นกัลยาณมิตรที่เป็นหลัก อีกฝ่าย หนึ่งเข้ามาพ่ึงพาอาศัยกัลยาณมิตร บางทีผู้อาศัยติดกัลยาณมิตรแจ เลย เหมอื นกบั จะขาดเสยี ไมไ่ ด ้ อยา่ งนกี้ ลั ยาณมติ รทม่ี ปี ญั ญา บางท ี จะตอ้ งใหเ้ พอ่ื นไดร้ สู้ กึ ตวั เสยี บา้ ง ซง่ึ ทำ� ใหเ้ ขาอาจชอ๊ คไปเลย ไมเ่ ขา้ ใจ วา่ ทำ� ไมตอ้ งทำ� เชน่ นนั้ นก่ี เ็ ปน็ อบุ ายของกลั ยาณมติ รทมี่ ปี ญั ญาทต่ี อ้ งการ 177
ค ว า ม เ ข ้ า ใ จ เ ร ่ื อ ง พ ร ะ ธ ร ร ม วิ น ั ย ให้อีกผู้หนึ่ง ซึ่งเข้ามาอาศัยเป็นตัวของตัวเองเสียบ้าง คล้ายๆ กับคร ู สอนวา่ ยนำ้� มลี กู ศษิ ยท์ ม่ี าเรยี นวา่ ยนำ�้ วา่ ยนำ�้ ไมเ่ ปน็ เสยี ท ี ถา้ อาจารย ์ ใจออ่ นกค็ อยโยนขอนไม ้ โยนทนุ่ ใหเ้ กาะอยเู่ รอ่ื ย ลกู ศษิ ยก์ ว็ า่ ยนำ้� ไมเ่ ปน็ เสยี ท ี ถา้ วนั หนงึ่ ครสู อนวา่ ยน้�ำไมย่ อมโยนทนุ่ ให้ ศษิ ยก์ ย็ อ่ มจะตะกาย ว่ายน้�ำจนได้ เพราะเคยได้เรียนมาบ้างแล้ว ท่ีว่ายน้ำ� เป็นข้ึนมาเพราะ ครูใจแข็งเป็นคร้ังคราว มิฉะนั้นก็พึ่งตัวเองไม่ได้สักที มีความทุกข์ ความเดือดร้อนอะไรก็แก้ปัญหาไม่ได้สักที ๓ ปีล่วงไปแล้ว ๔-๕ ป ี ลว่ งไปแลว้ ขอแตค่ ำ� แนะนำ� อยนู่ นั่ เอง ไดค้ ำ� แนะนำ� แลว้ กเ็ อาไปปฏบิ ตั ิ ไม่ได้ ท�ำไม่ได้ ได้แต่คอยหาท่ีปรึกษาหารือ ไม่เป็นตัวของตัวเอง พงึ่ ตนเองไมไ่ ด้ อยา่ งนก้ี ลั ยาณมติ รกค็ วรท�ำใหเ้ ขาหา่ งออกไปเสยี บา้ ง เพอ่ื ให้เขาสามารถท�ำอะไรเปน็ ตวั ของตัวเองได้ การอธษิ ฐานจะเปน็ ไปได้ตามจติ อธษิ ฐานไหม? เปน็ ไปได ้ การอธษิ ฐานนน้ั เปน็ การรวมพลงั จติ แตไ่ มค่ วร อธิษฐานหลายๆ อย่างในแต่ละปี ควรว่ากันเป็นชุดๆ ไปเลย เช่น อยา่ งสน้ั ปหี นง่ึ อยา่ งกลาง ๒ ป ี อยา่ งยาว ๓-๔ ป ี กส็ ดุ แลว้ แต ่ แต ่ ควรอธิษฐานเพยี งอย่างเดยี ว คอื ไมว่ า่ จะทำ� อะไรในปีนัน้ ค�ำอธษิ ฐาน จะมุ่งไปสู่จุดเดียว รวมพลังจิตทั้งหมดสู่จุดเดียวทั้งปี เช่น อธิษฐาน วา่ ดว้ ยอำ� นาจกศุ ลทเ่ี ราทำ� ความดที เี่ ราทำ� ไมว่ า่ ทำ� อะไรทเี่ ปน็ ความด ี เชน่ การรกั ษาศลี ชว่ ยเดก็ อนาถา จะขออะไรกต็ ง้ั จติ อธษิ ฐานเอา เมอื่ การอธษิ ฐานในเรอ่ื งหนงึ่ ไดผ้ ลพอสมควรแลว้ กเ็ ลอ่ื นไปยงั จดุ อน่ื ตอ่ ไป เชน่ นเี้ ปน็ สงิ่ ทค่ี วรกระท�ำ แตก่ ม็ บี างคนวา่ การอธษิ ฐานเปน็ การทำ� บญุ ที่ต้องการส่ิงแลกเปลี่ยน อยากได้น่ันอยากได้น่ี ไม่เป็นไร ใครจะว่า อยา่ งไร แตว่ า่ ตราบเทา่ ทเี่ รายงั มคี วามตอ้ งการอย ู่ สงิ่ ทเี่ ราตอ้ งการนนั้ เปน็ สง่ิ ทช่ี อบธรรม และสง่ิ ทเี่ รากระทำ� นนั้ กเ็ ปน็ สงิ่ ทเี่ ปน็ ธรรม เพราะ 178
ค ว า ม เ ข้ า ใ จ เ กี่ ย ว กั บ ชี วิ ต อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ฉะนนั้ เรามสี ทิ ธทิ จี่ ะตอ้ งการเมอ่ื เรายงั เปน็ ปถุ ชุ น ยงั มคี วามตอ้ งการ และเพียรพยายามปฏิบัติชอบก็จะได้ผลตามต้องการ แต่ต่อไปเม่ือ คนนั้นได้ปฏิบัติธรรม ยกระดับจิตใจของตนขึ้นไปอีกระดับหน่ึงแล้ว ก็จะเลิกความต้องการไปเอง เพราะในที่สุดก็จะรู้สัจธรรมท่ีสูงข้ึนไป และไมต่ อ้ งการอะไรเอง นอกจากความสงบ วธิ กี ารอธษิ ฐานจะท�ำอยา่ งไร? ตงั้ จติ วา่ ดว้ ยอานสิ งสใ์ นการทำ� อยา่ งนนั้ ปฏบิ ตั อิ ยา่ งน ี้ ขอให้เราเป็นอย่างนัน้ ไดส้ ิง่ น้ี กรุณาอธิบายอธษิ ฐานบารมใี นศาสนาพทุ ธ? บารมีในพุทธศาสนามี ๑๐ อย่าง อธิษฐานบารมีเป็น อยา่ งหนง่ึ ในสบิ หมายถงึ ความมน่ั คง การรกั ษาความมน่ั คงของจติ ใจ เอาไวไ้ ด ้ ไมว่ อกแวก พงุ่ ตรงตอ่ พระโพธญิ าณ โดยตลอดทกุ ๆ ชาตมิ า ไมเ่ คยคลอนแคลนหวน่ั ไหว ทา่ นจะใหท้ าน รกั ษาศลี ทำ� สมาธ ิ ทำ� บญุ กุศลอะไรก็ตาม ท่านก�ำหนดจิตอธิษฐานว่าด้วยบุญบารมีท่ีท�ำท้ังหมด ขอใหบ้ รรลพุ ระสมั มาสมั โพธญิ าณ เพราะฉะนน้ั เรากม็ สี ทิ ธทิ จี่ ะอธษิ ฐาน จึงขอสนบั สนนุ ถ้าไม่อธิษฐาน จติ มนั จะพรา่ ไป ขอยกตัวอย่าง เหมือนเราปลูกมะม่วง ปลูกทุเรียน ก็จะได้ผล มะมว่ ง ผลทเุ รยี น ปลกู พชื อะไรกไ็ ดผ้ ลอยา่ งนนั้ มนั จะใหผ้ ลไปตามพชื พรรณ (พันธุ์) ของมันเสมอ ความดีนี่ก็เหมือนกัน จะให้ผลไปตาม ลักษณะของมัน เช่น การรักษาศีลจะให้ผลอย่างน้ีๆ ให้ทานจะมีผล อยา่ งน ี้ เจรญิ ภาวนาจะใหผ้ ลอยา่ งน ้ี การรกั ษากายใจใหอ้ อ่ นนอ้ มถอ่ มตน จะให้ผลอย่างนี้ เสร็จแล้วเราประมวลผลทั้งหมดเหล่าน้ันไปสู่จุด มงุ่ หมายอยา่ งน ี้ เชน่ ตามตวั อยา่ ง ปลกู ผลไม ้ มะมว่ ง ทเุ รยี น และอน่ื ๆ 179
ค ว า ม เ ข ้ า ใ จ เ ร ่ื อ ง พ ร ะ ธ ร ร ม ว ิ น ั ย ได้ผลเยอะแยะ เหลือกินเหลือใช้เหลือแจก เราไม่สามารถรวมผลไม้ เหลา่ น้ันเป็นหนึง่ ได้จงึ นำ� ผลไมเ้ หล่านน้ั ไปขายได้เงินมาก้อนหน่งึ แล้ว เอาเงนิ กอ้ นนน้ั ไปทำ� อะไร ซอื้ อะไรกไ็ ดต้ ามทต่ี อ้ งการ กเ็ หมอื นกบั การ อธษิ ฐานใหไ้ ด ้ ใหเ้ ปน็ อยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ ตวั อยา่ งในทนี่ กี้ ไ็ ดเ้ งนิ กอ้ นหนง่ึ ไปทำ� อะไรไดต้ ามทต่ี อ้ งการ ถา้ ไมอ่ ธษิ ฐานกไ็ ด้ เชน่ ปลกู มะมว่ งกไ็ ด ้ มะม่วง คือได้ผลตามสิ่งท่ีท�ำคือ มะม่วง อย่างอื่นไม่ได้ ดังนั้นการ อธิษฐานจึงสร้างความมั่นใจให้เกิดขึ้น ให้ความม่ันคงแก่จิตใจอีกทาง หนึ่งด้วย และสามารถรวมผลต่างๆ ไปสู่จุดหมายเดียวได ้ เหมือนน�้ำ หลายสายไหลลงสู่ที่เดยี ว ย่อมทำ� ใหเ้ ป็นแหลง่ นำ�้ ใหญ่เช่นมหาสมทุ ร การท�ำอะไรขอให้ท�ำให้จริงๆ จนเกิดความมั่นใจในสิ่งท่ีเราท�ำ และมนั่ ใจในผลดขี องสิ่งนั้น มตี วั อยา่ งอยใู่ นอรรถกถาวา่ มพี ระรปู หนงึ่ มนี สิ ยั เผอื่ แผแ่ บง่ ปนั ให้ของแก่ผู้อ่ืนอยู่เสมอ เวลาได้ของมา ไม่เก็บไว้ใช้สอยแต่ผู้เดียว ท่านบ�ำเพ็ญทานบารมีจนเกิดความมั่นใจว่า ต่อไปน้ีอะไรท่ีเป็นของด ี ทา่ นจะไดร้ บั กอ่ น อยมู่ าวนั หนง่ึ พระราชาจะเสดจ็ มาถวายจวี รพระทง้ั วดั ทรงส่งมหาอ�ำมาตย์มาก่อน พระรูปน้ันได้พูดกับพระด้วยกันว่า คอย ดูเถอะตนจะได้จีวรที่เน้ือดีท่ีสุด บังเอิญอ�ำมาตย์ได้ทราบเรื่องจึงเก็บ เรอื่ งนไี้ ปกราบทลู พระราชาวา่ มพี ระรปู หนง่ึ กลา่ ววา่ อยา่ งน ี้ แลว้ กค็ อย สงั เกตดวู า่ จะเปน็ จรงิ หรอื ไม ่ เมอื่ จะถวายจวี รซงึ่ กจ็ ดั ซอ้ นๆ กนั ๆ ไมม่ ี แยกวา่ ผา้ เนอื้ ดเี นอื้ ไมด่ ี ในทส่ี ดุ ทา่ นกไ็ ดจ้ รงิ ๆ พระราชาเสดจ็ เขา้ ไปหา และถามวา่ ทา่ นไดบ้ รรลคุ ณุ พเิ ศษอนั เปน็ เหตใุ หร้ เู้ รอ่ื งทจ่ี ะเกดิ ภายหนา้ ต้งั แตเ่ ม่ือไร พระทลู ตอบว่ายังไม่ได้บรรลอุ ะไร หลง กับ เมา ต่างกันอยา่ งไร? 180
ค ว า ม เ ข้ า ใ จ เ กี่ ย ว กั บ ชี วิ ต อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ หลง เช่น หลงผิด หลงทาง หมายถึงเข้าใจผิดคิดผิด เช่น เข้าใจว่าส่ิงที่ให้ความทุกข์ว่าเป็นความสุข เข้าใจอบายมุขว่าเป็น ทางแหง่ ความรำ�่ รวย แลว้ ทำ� ไปตามความหลงผดิ นนั้ เวลาหลงไปนานๆ เขา้ มนั กเ็ มา เมาอยใู่ นสิง่ นน้ั เรียกวา่ หลงกอ่ นแลว้ จึงเมา เช่น หลง กนิ เหลา้ บอ่ ยๆ กเ็ มาเหลา้ แลว้ ตดิ เหลา้ สง่ิ เหลา่ นนั้ มนั พรอ้ มทจี่ ะยอ้ ม ให้เมาอยู่ด้วย เช่น เด็กๆ ชอบฟังเพลง หลงเสียงเพลง หลงนักร้อง เสรจ็ แลว้ กเ็ ลยมวั เมาหรอื ตดิ เสยี งเพลง แตพ่ ออายมุ ากขน้ึ ๆ ไดศ้ กึ ษา ธรรมขัดเกลาจิตใจ ยกจิตข้ึนเร่ือยๆ ไป ต่อมาจะรู้สึกเบื่อ ไม่ชอบ ฟังเพลงซ�้ำซาก ได้ยินเสียงเพลงทีไรฟังเพลงทีไร พิจารณาเห็นเป็น เสียงร้องไห้คร�่ำครวญอยู่เร่ือย จริงๆ แล้ว มันก็เป็นอย่างน้ัน เสียง เพลงก็คือเสียงครำ่� ครวญอย่างใดอย่างหนึ่ง ในที่สุดใจก็จะหลุดพ้นไป จากความมัวเมาในเสียงเพลง เมื่อยังเด็กอยู่อาจจะไม่ร ู้ จึงหลงติดในเสียงเพลงเหล่า นนั้ ? ใช่ ยังไม่รู้ คืออวิชชา ปรโตโฆสะ แปลว่าเสียงของ ผู้อ่ืน เช่น เสียงโฆษณา เสียงชักจูงต่างๆ โฆษณาทางวิทยุ ทีวี รวม ท้ังเพ่ือนฝูงท้ังหลายท่ีชักจูงกันต่อๆ ไป ต่างก็ไม่รู้ ตกเป็นเหย่ือ การโฆษณา ส่ิงเหล่าน้ันท�ำให้คนท่ีไม่มีสติปัญญาหลงมัวเมา โดย เข้าใจว่ามันเป็นความสุข เน่ืองจากวัย แรงกระตุ้นของธรรมชาติ ทำ� ใหจ้ มหรอื ตกตำ�่ ลงไปเยอะแลว้ กวา่ เขาเหลา่ นน้ั จะไดย้ นิ ไดฟ้ งั เรอ่ื ง ตา่ งๆ ทจ่ี ะชว่ ยใหไ้ ปสคู่ วามหลดุ พน้ จากความมวั เมา จนกวา่ จะรสู้ ำ� นกึ วา่ ส่ิงนั้นสิ่งน้ีไม่มีประโยชน ์ กลับเนื้อกลับตัวใหม ่ กาลเวลาก็ล่วงเลยมา เสยี เนน่ิ นาน ถา้ เปน็ เหลก็ กเ็ รยี กวา่ สนมิ กดั เสยี จนแทบหมดแลว้ เพงิ่ ได้ น�้ำมันมาสกัดเอาสนิมออก โอกาสท่ีจะฝึกสอนให้คนเหล่านั้นหลุดพ้น 181
ค ว า ม เ ข ้ า ใ จ เ ร ื่ อ ง พ ร ะ ธ ร ร ม ว ิ น ั ย จากส่ิงชั่วร้ายต่างๆ นอกจากมีอยู่น้อยแล้ว ก็ยังไม่ได้รับการโฆษณา ประชาสมั พนั ธใ์ หก้ ว้างขวางเทา่ ท่ีควร มปี ญั หาอยมู่ ากในพระพทุ ธศาสนา ทข่ี ดั แยง้ บา้ ง เปน็ เพราะวา่ มองพระพุทธศาสนากันคนละแง ่ คือไม่มองพระพุทธศาสนาท้ังระบบ เหมือนการมองต้นไม้ เราจะต้องมองท้ังต้น ไม่มองเฉพาะใบ ล�ำต้น ราก จงึ จะไมเ่ ถยี งกนั เหมอื นกบั มองพระพทุ ธศาสนาทงั้ ระบบ สมมติ ว่ามีใครคนหน่ึงเอากิ่งมะม่วงมา แล้วบอกว่าน่ีคือมะม่วง อีกคนหนึ่ง เอาลกู มะมว่ งมา แลว้ บอกวา่ นค่ี อื มะมว่ ง อกี คนหนงึ่ เอาเปลอื กมะมว่ ง มา แล้วบอกว่าน่ีคือมะม่วง อีกคนเอารากมานี่คือมะม่วง ท่ีสามคน เอามาไม่ใช่ ที่จริงก็เป็นมะม่วงทั้งนั้น ถ้ารวมกันแล้วจะเป็นมะม่วงท ี่ สมบูรณ์ เข้าลักษณะที่เรียกว่า ตาบอดคล�ำช้าง ที่พระพุทธเจ้าทรง แสดงไว้ พระพุทธศาสนาเหมือนของหลายเหล่ียม มองเหลี่ยมหนึ่งก็ เปน็ อยา่ งหนง่ึ มองอกี เหลยี่ มหนง่ึ กเ็ ปน็ อยา่ งหนงึ่ แตก่ ร็ วมอยใู่ นวตั ถ ุ เดียวกันในแท่งเดียวกัน ถ้าคิดได้อย่างน้ีถือว่าใจกว้าง ปัญหาความ ขดั แยง้ ในสงั คมพทุ ธของเราจะไดล้ ดนอ้ ยลง ไดม้ โี อกาสปรบั ปรงุ แกไ้ ข ทำ� งานเผยแผเ่ พอ่ื พระพทุ ธศาสนา ในทส่ี ดุ แมแ้ ตใ่ นวดั บางวดั เจา้ อาวาส ก็ใจแคบ ใครไปท�ำประโยชน์ท่ีอื่นไม่ได้ ต้องท�ำในวัดของท่าน ท่าน มองพระพทุ ธศาสนาเฉพาะในวดั ของทา่ น ใครไมท่ ำ� ในวดั กถ็ อื วา่ ไมไ่ ด ้ ทำ� ทงั้ ทถ่ี า้ ทา่ นไปทำ� ทอ่ี นื่ ผลกต็ กอยกู่ บั พระพทุ ธศาสนาเชน่ กนั มอง กว้างๆ ออกไป ความขัดแย้งระหว่างผู้น้อยกับผู้ใหญ่ก็จะลดน้อยลง บางคนถือบางเร่ือง นอกนั้นปฏิเสธหมด ทุกอย่างท่ีมีอยู่ในพระพุทธ- ศาสนากเ็ ปน็ สว่ นหนงึ่ ของพทุ ธศาสนา อาจจะไมใ่ ชส่ ว่ นสำ� คญั แตก่ เ็ ปน็ ส่วนประกอบ เช่น นิ้วของเราไม่ใช่ส่วนส�ำคัญ สู้หัวใจ สมองไม่ได ้ แต่ก็ไม่ควรตัดน้ิวท้ิงเสีย เพราะคิดว่าไม่ใช่ส่วนส�ำคัญ ความจริงมัน มีประโยชน์ตามฐานะของมัน 182
ค ว า ม เ ข้ า ใ จ เ ก่ี ย ว กั บ ชี วิ ต อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ สมมติว่าถ้ามีค�ำถามว่า พระพุทธเจ้าท่านสอนให้พุทธบริษัท ส�ำรวมอินทรีย์ คือระวัง ตา หู จมูก ลิ้น กายใจ ไม่ให้ยินดียินร้าย ในเวลา เห็นรูป ฟังเสียง ดมกลิ่น ล้ิมรส ถูกต้องโผฏฐัพพะ รู้ ธรรมารมณด์ ้วยใจ ไมใ่ หย้ ินดียนิ รา้ ย มีคนเขาถามว่า เวลาฟังธรรมก็ไม่ให้ยินดียินร้าย อย่างนี้เป็น การสำ� รวมถกู ตอ้ งหรอื ไม ่ เวลาเหน็ พระพทุ ธรปู กไ็ มค่ วรยนิ ด ี ทำ� นองน้ ี เป็นต้น ทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ทา่ นทรงสอนไมใ่ หย้ นิ ดยี นิ รา้ ยเฉพาะเมอ่ื ยินดีแล้วยินร้ายแล้ว บาปอกุศลจะร่ัวไหลเข้าสู่จิต เพราะในพระสูตร ว่าด้วยอินทรียสังวร ข้อแรก ส�ำรวมไว้โดยประการท่ีบาปอกุศลจะ ไมร่ วั่ ไหลเขา้ สจู่ ติ แตถ่ า้ ไดย้ นิ แลว้ ไดฟ้ งั แลว้ ไดด้ มกลน่ิ แลว้ ไดล้ ม้ิ รส แลว้ ยงั ใหบ้ ุญกุศลเกิดขึ้นก็ให้ยินดีได้ ไม่ให้ยินดียินร้ายเฉพาะส่วนท่ี จะท�ำให้เกิดบาปอกุศล ถ้ายินดีแล้วเกิดบาปอกุศล ยินร้ายแล้วเกิด บาปอกศุ ลกค็ วรระวงั กดี กนั้ อยา่ ใหเ้ กดิ ขนึ้ แตถ่ า้ ยนิ ดแี ลว้ เกดิ บญุ กศุ ล ก็ให้ยนิ ดี ถา้ หากปจั จบุ นั กำ� ลงั มคี วามเหน็ ขดั แยง้ ขนึ้ อยเู่ สมอ ฟงั ในข่าวหนงั สือพมิ พ ์ วทิ ย ุ โทรทศั น ์ และอ่นื ๆ ท่ีปรากฏอย ู่ อาจทำ� ให้ ผสู้ นใจนบั ถอื พระพทุ ธศาสนาทกี่ ำ� ลงั ศกึ ษาหรอื เรม่ิ ศกึ ษาอาจไขวเ้ ขวได ้ เช่น ลัทธิโยเร หุบผาสวรรค์ เมื่อความเห็นหลายฝ่ายเกิดข้ึนเช่นน ้ี อาจารย์มคี วามเห็นอยา่ งไร ชว่ ยแก้ไขได้อยา่ งไร หบุ ผาสวรรคย์ บุ ไปแลว้ โยเรกไ็ มแ่ พรห่ ลาย สจั จอตุ ระ คนนับถอื น้อย สนั ตอิ โศกกก็ ำ� ลงั พจิ ารณากนั อยู่ 183
ค ว า ม เ ข ้ า ใ จ เ ร ื่ อ ง พ ร ะ ธ ร ร ม วิ น ั ย เราต้องแสดงธรรมที่แท้ แสดงสัทธรรม อะไรท่ีเห็นเป็นธรรม ปฏิรูปก็พยายามพูดให้เข้าใจ ช้ีให้ดูว่าอันน้ีเป็นอันที่ถูก คนเราเข้าถึง สจั จะตามสตปิ ญั ญาของตวั มสี ติปญั ญาแค่ไหนกม็ ีสจั จะแคน่ น้ั ไม่วา่ ใครจะตั้งอะไรขนึ้ กต็ ้องมพี รรคพวก ในทสี่ ุดแมแ้ ต่ชัมพกุ าชวี กในสมยั พระพุทธเจ้า ถึงเวลาก็ไปกินอุจจาระ ถึงแม้ว่าจะไปท�ำอย่างน้ัน ก็ยัง มีคนนับถือ ยังมีพวก พระพุทธเจ้าตรัสกับอานนท์ว่า ดูนั่นซิ อานนท์ น่ันสารีบุตร ที่เดินจงกรมเป็นพวกๆ กับพระสารีบุตร ล้วนเป็นพวก ทม่ี ปี ญั ญาทงั้ นน้ั นนั่ โมคคลั ลานะ พระทเี่ ดนิ กบั โมคคลั ลานะลว้ นเปน็ ผู้มีฤทธิ์ นั่นกัสสป พวกที่เดินกับพระมหากัสสปล้วนเก่งในทางธุดงค ์ นั่นเทวทตั พระที่เดินกับเทวทตั ลว้ นแต่เป็นคนบาปลามก น่ีแหละอานนท์ สัตว์ทั้งหลายเข้ากันได้ตามอธิมุตติ หมายถึง อธั ยาศยั มอี ธั ยาศยั เขา้ กนั ได้ เหมอื นนำ้� เขา้ กบั นำ้� นำ้� นมเขา้ กบั นำ้� นม อุจจาระเข้ากับอุจจาระ ปัสสาวะเข้ากับปัสสาวะ มันห้ามไม่ได้เร่ืองน้ี ทท่ี า่ นอา้ งถงึ มา บา้ งกำ� ลงั แกไ้ ขอย ู่ คดิ วา่ ไมต่ อ้ งหว่ ง เพราะคณะสงฆ ์ สว่ นใหญเ่ ปน็ หลกั เปน็ ประธานอยแู่ ลว้ บคุ คลสว่ นมากนบั ถอื คณะสงฆ์ ส่วนใหญ่ เหมือนที่ท่านท้ังหลายเป็นอยู่แล้ว คือเป็นทางสายกลาง เดินถูกต้องตามแนวของพระพุทธเจ้า ท่ีท่านจัดการบางเรื่องน้ัน ท่าน ป้องกันเส้ียนหนามของพุทธศาสนาแต่เพียงเล็กน้อยท่ีเกิดขึ้น เหมือน กบั เสีย้ นตำ� ท่ีนิว้ ถ้าไมแ่ คะก็ร�ำคาญ ไม่ตอ้ งห่วง พระนารายณ์ พระอิศวรมีความเปน็ มาอย่างไร เป็นเรื่องของศาสนาพราหมณ์ที่สร้างข้ึน เพ่ือให้เป็น เทพเจ้าทเ่ี คารพนบั ถอื ของชาวฮนิ ดู 184
ค ว า ม เ ข้ า ใ จ เ ก่ี ย ว กั บ ชี วิ ต อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ค�ำว่า การฆ่าม้าบูชายัญ เช่น มีพิธี “อัศวเมธ” ม ี ประวตั เิ ป็นมาอยา่ งไร ขอใหอ้ า่ นหนงั สอื พทุ ธประวตั ิ การฆา่ มา้ บชู ายญั ปลอ่ ย ม้าอุปรากรออกไปหาเรื่องรบศึก ใครต่อต้านก็จะยกทัพเข้าโจมตี ถ้า ใครยอมรับม้าก็ถือว่าเป็นเมืองขึ้น เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เอาม้ามา บูชายญั เรื่องยอ่ เป็นอย่างน้ี การแก้ชาวบ้านท่ีถือพุทธศาสนาอย่างงมงายนั้น มี หลกั การตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงในพระสตู รอยา่ งไรบา้ ง สาดแสงสว่างทางปัญญาให้เขา ไม่ต้องมากเพียงแต ่ ใหร้ ตู้ ามทเี่ ปน็ จรงิ ใหร้ วู้ า่ อะไรเปน็ เทจ็ อะไรเปน็ จรงิ เชน่ มคี นถามวา่ ลอดใตท้ อ้ งชา้ งทำ� ใหร้ ำ่� รวยมเี งนิ จรงิ หรอื เปลา่ ถา้ เปน็ จรงิ คนเลยี้ งชา้ ง กค็ งรวยแลว้ ชาวบา้ นทน่ี บั ถอื ศาสนาอยา่ งงมงาย ทา่ นกบ็ อกเพยี งสนั้ ๆ ง่ายๆ เขาคงเข้าใจ เขาหลงใบ้หวย ไปหาพระ ก็บอกเขาว่าถ้าพระ ใบ้หวยได้จริง ท�ำไมพระจึงไม่ไปแทงหวยเสียเอง จะได้สร้างโบสถ์ให้ เสรจ็ เรว็ ๆ ทำ� ไมมาเรย่ี ไรเปน็ ตน้ พอมองเหน็ งา่ ยๆ ทา่ นกม็ ภี าระหนกั เพราะไมม่ เี ฉพาะทา่ นองคเ์ ดยี ว มฝี า่ ยตอ่ ตา้ นฝา่ ยตรงขา้ ม เหมอื นเตะ ฟตุ บอล ถา้ มฝี า่ ยเดยี วกเ็ ขา้ โกลไ์ ดเ้ รว็ ทไี่ มเ่ ขา้ เตะเปน็ ชว่ั โมง มนั มคี น เตะถว่ งเอาไว ้ เราสอนสจั ธรรมอย ู่ อกี พวกหนง่ึ สอนอสทั ธรรมในนาม ของพระเหมือนกัน มีการต่อต้านเกิดข้ึน เพราะความงมงายเป็นสิ่งที่ ชาวบา้ นทวั่ ไปละไดย้ าก เพราะอวชิ ชาโมหะครอบงำ� ใจ บงั เอาไว ้ ไมม่ ี ปญั ญา ตอ้ งสาดแสงสวา่ งทางปัญญาให ้ เขาจงึ จะเหน็ เคยมีพระนักศึกษาท่านบวช ท่านขอฉันคอฟฟีเมตใน ยามวิกาล ท่านอธิบายส่วนประกอบข้างกล่องไม่มีส่วนเป็นอาหาร 185
ค ว า ม เ ข ้ า ใ จ เ ร ื่ อ ง พ ร ะ ธ ร ร ม วิ น ั ย ทางเราก็ไม่มีข้อแก้ท่าน เพียงแต่บอกว่ามติท่ีประชุมไม่อนุมัติ อยาก ทราบว่าจะหาข้อแก้ท่ีถูกต้องให้รู้แน่ว่าส่วนประกอบน้ันมีส่วนเป็น อาหารจรงิ อยา่ งไร ไม่เคยอ่านข้างกล่อง เพราะไม่ชอบทานคอฟฟีเมต ม ี ไขมันสูง มีน้�ำมันมะพร้าวไขมันสูง น้�ำมันพืชมีไขมันต่�ำ ยกเว้นน�้ำมัน มะพร้าว คนผอมเป็นโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือดได้ ไม่ฉันได้เป็นด ี ปอ้ งกนั ไขมนั อดุ ตนั ในเสน้ เลอื ดสงู ทำ� ใหต้ ายได ้ ชว่ ยเหลอื ลำ� บาก ถา้ มติท่ีประชุมไม่ให้ฉันก็ควรเคารพมติที่ประชุม แม้จะมีส่วนประกอบ ไม่เป็นอาหาร แต่ที่ประชุมไม่อนุมัติก็ควรเคารพมติของคณะสงฆ ์ ตัวอย่างพระอานนท์ท่านไม่รู้สึกว่าผิดในการกระท�ำนั้น แต่ว่าสงฆ ์ เห็นว่าท่านผิด ควรแสดงอาบัติ ท่านก็แสดงอาบัติ ด้วยความเคารพ ในสงฆ ์ พระพทุ ธเจา้ กเ็ คารพในสงฆ์ น�้ำกล้วยมีเม็ดหรือไม่มีเม็ด วินัยให้ท�ำน�้ำปานะได้ ซ่ึง ทางไทยใชเ้ ปน็ อาหาร นำ้� ถวั่ เหลอื งหรอื เรยี กวา่ ไวตามลิ ค ์ ทง้ั สองอยา่ ง มีความแตกต่างกันอย่างไร ควรเป็นอาหารด้วยกันหรือเป็นปานะ ด้วยกัน ทางธรรมยตุ ปฏบิ ตั กิ นั อยา่ งไร ไมใ่ หฉ้ นั นำ�้ กลว้ ยไมม่ ี เมลด็ อนญุ าตใหฉ้ นั ไดค้ อื เปน็ นำ้� ปานะ ของทเี่ กดิ ขน้ึ ภายหลงั อนโุ ลมเขา้ ตามมวลประเทศ (ข้ออ้างอิง) ถ้าเข้ากับส่ิงที่ควรก็ควร เข้ากับส่ิงท ่ี ไม่ควรก็ไม่ควร ไวตามลิ คไ์ ม่มีสมยั นัน้ การฆา่ ตัวตายของพระ เปน็ อาบัตหิ รอื เปลา่ ตามวนิ ยั เปน็ อาบตั ิ มขี า่ วการตายคอื ฆา่ ตวั ตายของพระ ประชาชนกส็ งสัย 186
ค ว า ม เ ข้ า ใ จ เ ก่ี ย ว กั บ ชี วิ ต อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ในครัง้ พุทธกาล เรื่องพระโคธิกะ รูก้ นั แพรห่ ลาย ทา่ นทีเ่ รียน ธรรมบทก็ทราบ ท่านเอามาลงไว้ในอรรถกถาธรรมบท พระพุทธเจ้า ไม่ทรงต�ำหนิเลย ทราบข่าวก็ไม่ทรงต�ำหนิ เพราะท่านฆ่าตัวตายแล้ว ได้ส�ำเรจ็ เป็นพระอรหนั ต์เปน็ ชีวติ สมส ี คอื ส�ำเร็จเป็นอรหันต์พรอ้ มกบั ละสังขาร (เสียชีวิต) มีอีกรูปหนึ่งคือ พระฉันนะ ข้อความปรากฏใน ฉันโนวาทสูตร ในมัชฌิมนิกาย ส�ำหรับเร่ืองของพระโคธิกะใน พระไตรปิฎกกอ็ ยสู่ ังยตุ ตนิกาย พระฉันนะเป็นโรคเร้ือรังคือโรคปวด ศรี ษะ ทา่ นปรารภกบั พระสารบี ตุ ร พระสารบี ตุ รกบั พระจนุ ทะไปเยยี่ ม ท่านกราบเรียนพระสารีบุตรว่าจะฆ่าตัวตาย พระสารีบุตรก็เทศนา ให้ฟงั ถึงเร่อื งขันธ์ ๕ ไมเ่ ท่ียง เปน็ ทุกข ์ เปน็ อนัตตา ท่านบอกว่าผมทราบ ผมจะฆ่าตัวตายและจะฆ่าตัวตายโดย ประการท่ไี มใ่ ห้พระพุทธเจา้ ต�ำหนิ ผมเองก็ปฏิบัตพิ ระพทุ ธเจ้ามาเป็น เวลานาน แล้วปฏิบัติเป็นที่โปรดปรานของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ไม่เป็น ทโ่ี ปรดปราน แตผ่ มทนทกุ ขเ์ วทนาไมไ่ หว ผมจะฆา่ ตวั ตาย พระสาร-ี บตุ รหา้ มเทา่ ใดกไ็ มฟ่ งั พระสารบี ตุ รกจ็ ากไป ไปกราบทลู พระพทุ ธเจา้ วา่ พระฉนั นะจะฆา่ ตวั ตาย ไมใ่ ชพ่ ระฉนั นะทเี่ ปน็ สารถที นี่ ำ� พระพทุ ธเจา้ ออกบวช เป็นคนละองค์ องค์น้ันอยู่มาหลังพระพุทธเจ้านิพพานแล้ว มาส�ำเร็จหลังพระพุทธเจ้านิพพาน พระฉันนะอีกองค์ เข้าใจว่าเป็น อุปัฏฐากของพระพุทธเจ้า เพราะท่านพูดท�ำนองนั้น พระสารีบุตรไป กราบทูลพระพุทธเจ้าว่าท่านฉันนะจะฆ่าตัวตาย แล้วพระองค์ทรงม ี ความเหน็ อยา่ งไร พระพทุ ธเจ้าตรสั วา่ พระฉันนะพดู กับพระสารบี ุตร ไม่ใช่หรือว่า จะฆ่าตัวตายโดยประการที่จะไม่ให้พระพุทธเจ้าต�ำหนิ ไมใ่ ชห่ รอื พระสารบี ตุ รกท็ ูลรบั ว่าเปน็ อย่างนนั้ ในขณะทพ่ี ระสารบี ตุ ร เฝ้าพระพุทธเจ้า พระฉันนะก็ฆ่าตัวตายแล้วก็ตาย พระพุทธเจ้าทรง ทราบ ท่านก็ไม่ทรงต�ำหนิภิกษุไปทูลถามว่า คติสัมปรายภพของ 187
ค ว า ม เ ข ้ า ใ จ เ ร ่ื อ ง พ ร ะ ธ ร ร ม ว ิ น ั ย พระฉันนะเป็นอย่างไร พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า พระฉันนะนิพพาน ไปแล้ว เราไม่ต�ำหนิ เราต�ำหนิผู้ท่ีทิ้งกายน้ีแล้วไปยึดกายอ่ืน แต่ผู้ท่ ี ท้งิ กายนี้แลว้ ไม่ยดึ กายอนื่ ตถาคตไมต่ ำ� หนิ ฉนั นะไม่ควรถูกต�ำหนิ แต่ถ้าพระของเราจะฆ่าตัวตายกันบ้าง แน่ใจหรือเปล่าว่าเมื่อ ฆ่าตัวตายแล้วกิเลสจะสิ้นไปด้วย หากถ้าฆ่าตัวตายแล้วกิเลสไม่สิ้นไป พระพทุ ธเจา้ ทรงตำ� หน ิ ถา้ ฆา่ ตวั ตายพรอ้ มดว้ ยกเิ ลสตายดว้ ย คอื สนิ้ ชวี ติ สิ้นกิเลสดว้ ยพระพุทธเจ้าไมท่ รงตำ� หนิ มนั แลกไดเ้ ป็นสง่ิ ท่มี คี า่ สงู กวา่ กนั แตท่ หี่ า้ มกนั ไวค้ อื ไมแ่ นใ่ จวา่ จะฆา่ ตวั ตายเปลา่ คอื มรรคผล ไมไ่ ด ้ ตายเปลา่ แลว้ ไปอบายอกี ถา้ จติ เศรา้ หมองในเวลานน้ั ตอนพระฉนั นะ ฆา่ ตวั ตายยงั ไมเ่ ปน็ อรหนั ต ์ ทา่ นเปน็ พระปถุ ชุ นอย ู่ พอฆา่ ตวั ตายกอ่ น จะตายนดิ เดยี วกไ็ ดส้ ำ� เรจ็ ไมใ่ ชจ่ ะเปน็ พระอรหนั ตก์ อ่ นแลว้ ฆา่ ตวั ตาย ไมใ่ ชอ่ ย่างนนั้ มีพระที่อ�ำเภอหน่ึง ท่านได้ท�ำตัวเป็นอาจารย์สะเดาะ เคราะห์ ท�ำทุกวันอังคาร โดยท่ีท่านถือว่าเป็นจริงจัง และแต่งเครื่อง บวงสรวงพระภมู เิ จา้ ท่ี อยา่ งนเ้ี รามวี ิธีการอยา่ งไรทีจ่ ะแนะน�ำเขาได้ เจา้ คณะทป่ี กครองเขา ทป่ี กครอง ทา่ นควรจะสอดสอ่ ง ดแู ลและหา้ มปราม หา้ มไมใ่ หท้ �ำอยา่ งนนั้ ถา้ ทา่ นรแู้ ลว้ แจง้ ไปทางเจา้ คณะฯ ให้ทราบพฤติกรรมของพระรูปน้ี เร่ืองการสะเดาะเคราะห์ พระไม่ควรเป็นตัวต้ังตัวตี เจ้าก้ีเจ้าการอะไรมาก สู้สอนให้เขารู้ว่า ท�ำความดีทุกวัน ก็สะเดาะเคราะห์ไปทุกวัน วิธีที่สะเดาะเคราะห์ท่ีดี ทสี่ ุดคอื ทำ� ความดี เคราะห์เปน็ ส่ิงท่ีไมด่ ี คุณสมบัติของพระโพธิสัตว์ในทางฝ่ายเถรวาท กับ คณุ สมบัติของพระโพธิสตั วใ์ นทางฝา่ ยมหายาน ตา่ งกันอย่างไร 188
ค ว า ม เ ข้ า ใ จ เ ก่ี ย ว กั บ ชี วิ ต อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ พระโพธิสัตว์ทางฝ่ายเถรวาทท�ำยากมาก ท่ีท�ำยาก เพราะวา่ กอ่ นทจ่ี ะเปน็ โพธสิ ตั วจ์ ะตอ้ งมคี ณุ สมบตั พิ รอ้ มถงึ ๘ ประการ ก่อนไดเ้ ป็นจะต้องมคี ุณสมบัติเสียกอ่ น ไมใ่ ชอ่ ย่ๆู นึกอยากเป็นพระ- พทุ ธเจา้ ตอ่ ไปภายหนา้ แลว้ ปรารถนาพระโพธญิ าณ ปรารถนาพทุ ธภมู ิ เวลาน้เี ราเป็นโพธิสตั ว์แลว้ เพราะเราปรารถนาพุทธภมู ิ อย่างนี้ไมไ่ ด ้ คุณสมบัติพ้ืนฐานยังไม่พร้อม นี่คนเข้าใจผิดกันอยู่ เราเกิดศรัทธา แรงกลา้ ตอ่ ไปภายหนา้ เราจะเปน็ พระพทุ ธเจา้ โปรดสตั ว ์ ตงั้ จติ วา่ เรา จะบรรลุพุทธภูมิ ต่อไปในภายหน้าจะเป็นโพธิสัตว์ อย่างน้ันไม่ได้ พระโพธสิ ตั วใ์ นเถรวาทตอ้ งมคี ณุ สมบตั พิ น้ื ฐาน ๘ ประการ ทเ่ี รยี กวา่ ธรรมสโมธาน ๘ ประการท ่ี ๑ เปน็ มนษุ ย ์ ประการท ี่ ๒ พรอ้ มดว้ ย เพศ ถึงพร้อมด้วยเพศ คือ เพศชาย เป็นเพศหญิงไม่ได้ ในชาติที่ ปรารถนาจะเปน็ พระโพธสิ ตั ว ์ ประการท ่ี ๓ เหตหุ มายถงึ มคี วามสามารถ ทจี่ ะบรรลเุ ปน็ พระอรหนั ตไ์ ดใ้ นชาตนิ นั้ ถา้ ตอ้ งการ แตท่ า่ นไมต่ อ้ งการ ทา่ นตอ้ งการเปน็ พระพทุ ธเจา้ ทา่ นเลา่ วา่ ในชาตหิ นา้ ทา่ นมเี หตพุ รอ้ ม ถงึ ขนาดทว่ี า่ ถา้ ตอ้ งการเปน็ พระอรหนั ต ์ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทที่ า่ น ไดพ้ บนน้ั แสดงธรรมเพียง ๓ บาท ไม่ครบ ๔ บาท แสดงธรรมด้วย พระคาถาเพียง ๓ บาท ท่านจะบรรลุเป็นพระอรหันต ์ มีความพร้อม ถงึ ขนาดนน้ั ประการท ี่ ๔ ไดเ้ หน็ พระศาสดา ไดเ้ ฝา้ พระพทุ ธเจา้ องคใ์ ด องค์หนึ่ง เช่นพระพุทธเจ้าของเราได้พบพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า สมัยศาสนาของพระทีปังกร ประการที่ ๕ บรรพชาคือได้บวชใน ชาตินั้นต้องเป็นนักบวช นักบวชนิกายใดนิกายหนึ่ง ลัทธิใดลัทธิหนึ่ง ไม่จ�ำเปน็ ต้องเป็นนักบวชในพทุ ธศาสนา เป็นนกั บวชลทั ธิใดกไ็ ด้ ประการท่ี ๖ บรรพชามีคุณสมบัติพิเศษคือได้ฌาน ๘ ต้อง ได้ฌาน ๘ ประการท่ ี ๗ อธิกาโร คอื มีบุญท่ีไดท้ �ำไว้แล้วมาก เป็น 189
ค ว า ม เ ข ้ า ใ จ เ ร ื่ อ ง พ ร ะ ธ ร ร ม วิ น ั ย คนทมี่ ีบญุ มากแลว้ และสุดท้าย ประการท่ี ๘ ฉนั ทตา มคี วามพอใจ แรงกล้าในพระโพธิญาณ ไม่คลายความพอใจในพระโพธิญาณ ท่าน ได้พบพระพุทธเจ้าแล้วกราบทูลพระพุทธเจ้าว่า ปรารถนาท่ีจะเป็น พระพุทธเจ้าต่อไปภายหน้า พระพุทธเจ้าองค์น้ันก็จะพิจารณาไปถึง อนาคตวา่ ทา่ นผนู้ จี้ ะมคี วามสามารถเปน็ พระพทุ ธเจา้ ไดไ้ หม เมอื่ เหน็ วา่ ได้ ทา่ นจงึ พยากรณว์ า่ จะไดเ้ ปน็ พระพทุ ธเจา้ ชอ่ื นน้ั ชอ่ื น้ี ตง้ั แตน่ นั้ มา จงึ เปน็ นยิ ตโพธสิ ตั วแ์ ลว้ หลงั จากเปน็ โพธสิ ตั วแ์ ลว้ ไมใ่ ชว่ า่ จะด ี บางชาต ิ ตกนรก บางชาตเิ กดิ เปน็ สตั วเ์ ดรจั ฉาน บางชาตเิ กดิ เปน็ เทพ เกดิ เปน็ มนษุ ยข์ นึ้ ๆ ลงๆ เพราะเวลานนั้ ทา่ นยงั ไมไ่ ดเ้ ปน็ โสดาบนั ยงั เปน็ ปถุ ชุ น อยู่ คติของปุถุชนไม่แน่นอน เพราะฉะนั้น บางทีในคัมภีร์พระพุทธ- ศาสนาจะพบชา้ งโพธสิ ตั ว ์ มา้ โพธสิ ตั ว ์ จนถงึ ลงิ โพธสิ ตั ว ์ ตอนนนั้ ทา่ น เป็นโพธิสัตว์อยู่แล้วจึงเกิดเป็นลิง ลองอ่านเรื่องพระเจ้า ๕๐๐ ชาติ เปน็ ตน้ คตไิ มแ่ นน่ อน ขนึ้ ๆ ลงๆ ขนาดทา่ นมบี ารมเี ปน็ พระโพธสิ ตั ว ์ ที่จะตรัสรู้ต่อไป คติยังไม่แน่นอน ยังตกนรกบ้าง ขึ้นสวรรค์บ้าง ยัง น่ากลัว ส�ำหรับคนท่ีไม่ต้องการเป็นพระพุทธเจ้า ถ้าเป็นโสดาบันแล้ว จะสบายไป ๗ ชาต ิ บรรลธุ รรมแลว้ จะสบายไป ๗ ชาต ิ พระโสดาบนั เกดิ อกี อยา่ งมากเพยี ง ๗ ชาต ิ ตลอดเวลาทพ่ี ระโสดาบนั ทอ่ งเทยี่ วอย ู่ ในสงั สารวฏั ทา่ นสบายตลอด เกดิ เปน็ มนษุ ยก์ เ็ ปน็ มนษุ ยท์ ดี่ ี เกดิ เปน็ เทพกเ็ ปน็ เทพที่ดี ไมท่ กุ ขย์ าก ไม่ลำ� บากไป ๗ ชาตจิ ริงๆ พระโพธิสัตว์ทางฝ่ายมหายานน้ัน มีพระโพธิสัตว์ที่บรรลุแล้ว ไมต่ อ้ งการจะเขา้ นพิ พานกม็ ี ตอ้ งการจะชว่ ยเหลอื มนษุ ย์ ตอนนกี้ ำ� ลงั เห่อเจ้าแมก่ วนอมิ กันอย ู่ พระโพธสิ ตั วก์ วนอมิ พระโพธสิ ตั วอ์ กี ประเภทหนงึ่ เรยี กวา่ มนษุ โี พธสิ ตั ว ์ ของมหายาน กเ็ หมอื นของเถรวาทแตร่ สู้ กึ วา่ ใครกไ็ ดท้ ป่ี รารถนาพทุ ธภมู ิ คอื ใครกไ็ ด ้ 190
ค ว า ม เ ข้ า ใ จ เ กี่ ย ว กั บ ชี วิ ต อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ที่ต้องการเป็นพระพุทธเจ้าก็เป็นได้ ด้วยการปลุกเร้าให้คนปรารถนา พุทธภูมิ จุดมุ่งหมายสูงสุดของมหายานคือต้องการให้บรรลุพุทธภูม ิ ดว้ ยกนั ทงั้ หมดทกุ คน ซง่ึ ตามทศั นะของเถรวาทกเ็ หน็ วา่ เปน็ สง่ิ ทเ่ี ปน็ ไปได้ ยาก หรือว่าพระโพธิสัตว์จะไม่เข้านิพพานจนกว่าจะขนสัตว์ท้ังหลาย พน้ ทกุ ขไ์ ดห้ มดแลว้ ตวั เองจะเขา้ นพิ พานเปน็ คนสดุ ทา้ ย อยา่ งนเี้ มอ่ื ไร จะเป็นคนสุดท้าย มนุษย์ไม่ได้มีจ�ำกัด ทยอยตามกันมาเรื่อย โอกาส น้ันยากมาก กเ็ ปน็ อุดมคตสิ มมติกนั ข้นึ ไมม่ ีตวั จริง คนที่พูดว่าศาสนาไหนก็ดีเหมือนกัน ต่างก็สอนให้คน เป็นคนดีเหมอื นกนั อาจารยเ์ ห็นอยา่ งไร สอนใหเ้ ปน็ คนด ี ศาสนาไหนกด็ เี หมอื นกนั แตด่ ไี มเ่ ทา่ กนั ศาสนาครสิ ต์ดเี ท่าน้ี ศาสนาพุทธดีเท่าน ้ี ระดบั ไม่เท่ากัน ยกตัวอย่าง เชน่ ศาสนาไหนสอนเรอื่ งนพิ พาน ไมม่ ี นอกจากของพระพทุ ธเจา้ แม ้ ในส่ิงท่ีสอนอย่างเดียวกันก็ยังมีความประณีตไม่เท่ากัน อย่างศาสนา อสิ ลามหา้ มฆา่ คนทเ่ี ปน็ อสิ ลาม ศาสนาครสิ ตไ์ มใ่ หฆ้ า่ คนแตใ่ หฆ้ า่ สตั ว ์ กนิ เปน็ อาหาร แตก่ ย็ งั มคี วามละเอยี ดประณตี หยาบไมเ่ ทา่ กนั เปน็ ไป ตามภูมิปัญญาไม่เท่ากัน พระเราเป็นพระสงฆ์เหมือนกัน แต่สอนได้ ไมเ่ หมอื นกนั เปน็ ไปตามภมู ปิ ญั ญา ตามความสามารถของแตล่ ะองค์ ผู้รู้เขียนไว้ว่า หลักการของมนุษย์ปฏิบัติในโลก ๔ ประการคือ ประเพณี ปรชั ญา ลัทธแิ ละศาสนา มนุษย์เราถือประเพณีบ้าง ถือปรัชญาบ้าง ลัทธิบ้าง ถอื ศาสนาบา้ ง ปญั ญาทางลทั ธปิ ระเพณ ี ปญั ญาทางปรชั ญา ปญั ญา ทางวิทยาศาสตร ์ มปี ัญญาของมนุษย์อย่หู ลายระดับ ศาสนาท่แี ทจ้ รงิ คือพทุ ธศาสนาใช่ไหม 191
ค ว า ม เ ข ้ า ใ จ เ ร ่ื อ ง พ ร ะ ธ ร ร ม วิ น ั ย ศาสนาใดก็ตามที่สอนให้คนพ้นทุกข์ ศาสนาน้ันก็เป็น ศาสนาท่ดี ี พระพุทธเจา้ ทรงอา้ งศาสดา เชน่ อรกะศาสดาในสมยั พทุ ธ กาล ทา่ นสอนภกิ ษทุ งั้ หลายวา่ ศาสดาคนหนงึ่ ชอื่ อรกะ สอนเรอื่ งอนจิ จงั ความไม่เท่ียงให้สาวกท้ังหลาย บางคนสันนิษฐานว่า อรกะศาสดาซึ่ง เป็นคนยุคเดียวกับพระพุทธเจ้านั้น สันนิษฐานว่าเป็นเฮราคลิตุส นักปรัชญาชาวกรีก นั่นแหละคืออรกะศาสดาที่พระพุทธเจ้าอ้างถึง เฮราคลติ ุสเปน็ คนรุน่ เดยี วกบั พระพทุ ธเจ้า สอนเร่อื งอนจิ จงั เพราะความแท้จริงมีเพียงอันเดียวในโลก ส่วนศาสดา อน่ื ๆ สงเคราะหเ์ ขา้ กบั ลัทธิ เพียงแตป่ ลอบใจ จริงหรอื ไม่ ถ้าเขาเข้าถึงศาสนาของเขาในส่วนท่ีถูกต้องก็ใช้ได ้ สว่ นมากจะเขา้ ไมถ่ ึงและไม่ปฏิบตั ิตาม อาชพี ในโลกม ี ๖ อตุ สาหกรรม เกษตรกรรม พาณชิ ย ์ กรรม หัตถกรรม ราชกิจ และอาชีพนักบวช ส่วนนักบวชชาวพุทธ ทีแ่ ทจ้ รงิ เหนอื ความมีอาชพี ใชไ่ หม มคี ำ� วา่ สาชพี อยคู่ ำ� หนง่ึ สำ� หรบั พระภกิ ษ ุ ภกิ ขนู ํ สกิ ขา- สาชีวสมาปนฺนา ประกอบด้วยสิกขาและสาชีพเสมอกับภิกษุทั้งหลาย เพราะเปน็ อาชพี เหมอื นกนั ในปารสิ ทุ ธศิ ลี ๔ กม็ ี อาชวี ปารสิ ทุ ธคิ วาม บรสิ ทุ ธแิ์ หง่ อาชพี แสดงวา่ การเปน็ พระภกิ ษเุ ปน็ อาชพี อยา่ งหนงึ่ แตไ่ มใ่ ช่ หมายความอยา่ งท่ีชาวบ้านเข้าใจ อาชวี ะหรอื อาชพี กเ็ พยี งแตม่ ีสง่ิ เป็น เครอ่ื งเลย้ี งชพี เลยี้ งชวี ติ เทา่ นนั้ อาชพี ของภกิ ษกุ ค็ อื การขอ ทา่ นมชี วี ติ อยดู่ ว้ ยการขอ แลว้ แตเ่ ขาจะให ้ ทำ� นองนน้ั เหมอื นกบั ครมู ชี วี ติ อยดู่ ว้ ย การสอน จะเรียกวา่ มีอาชีพกไ็ ด้ 192
ค ว า ม เ ข้ า ใ จ เ ก่ี ย ว กั บ ชี วิ ต อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ พระภกิ ษใุ นพระพทุ ธศาสนาแท ้ ชว่ ยสงั คมไดจ้ รงิ หรอื ไม่ การเหน็ สมณะเปน็ มงคลอนั สงู สดุ การใหธ้ รรมยอ่ มชนะการใหท้ ง้ั ปวง ภกิ ษทุ แี่ ทช้ ว่ ยสงั คมได ้ ภกิ ษแุ ทใ้ นพทุ ธศาสนาชว่ ยสงั คม ไดม้ าก เพยี งแตท่ า่ นมอี นิ ทรยี สงั วร สอนใหผ้ อู้ นื่ มอี นิ ทรยี สงั วร ชว่ ยสงั คม ไดม้ ากจรงิ ๆ กระผมไดส้ มั ผสั ดว้ ยตนเอง ดว้ ยการสงั เกตมากมาย ชาว บา้ นขาดอนิ ทรยี สังวร จติ ทอ่ี ยใู่ นพระวนิ ยั อนั ดงี าม มธี รรมประจำ� อยใู่ นใจดอี ย่ ู แตจ่ ติ ทป่ี รารถนาเปน็ โนน่ เปน็ น ี่ อยา่ งนเี้ รยี กวา่ ความอยากเปน็ แตธ่ รรม ในนวโกวาทวา่ เป็นมลทิน ขอให้ทา่ นช่วยอธบิ ายครบั เราตอ้ งแยก ตณั หา กบั ธรรมฉนั ทะ ออกจากกนั พทุ ธ- บริษัท ไม่กล้าอยาก กลัวเป็นตัณหา ความอยากในทางช่ัวเป็นมลทิน อย่างหน่ึง ธรรมฉันทะหมายความว่า ความพอใจในธรรม หรือ ความยินดีพอใจในการที่จะท�ำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ และสิ่งท่ีเป็นคุณ อย่างนี้ไม่เป็นกิเลส เรียกว่า ธรรมฉันทะ แต่ถ้าอยากแบบตัณหา กแ็ บบหนง่ึ ถา้ อยากกค็ วรอยากแบบธรรมฉนั ทะ แลว้ จะไมเ่ ปน็ มลทนิ ในที่สุดแม้ท่านอยากเป็นอะไรสักอย่างหน่ึง ถ้าอยากด้วยความกรุณา จะไดบ้ �ำเพ็ญประโยชนก์ วา้ งขวางยิง่ ขนึ้ ไมใ่ ช่อยากแบบตัณหา ว่าฉนั เป็นแล้วจะมีอิทธิพล มีคนนับหน้าถือตา มียศศักดิ์ แต่ส่วนมากระวัง ยาก ตัณหามักจะมาแทรกแม้จะเริ่มต้นด้วยธรรมฉันทะ บางทีตัณหา จะเข้ามาแทรก เพราะตัณหามันจะวิสัตติกา คือมันซ่านไปในอารมณ ์ และแทรกซึมเก่ง ถ้าไม่ให้ตัณหาแทรกได้ก็จะเป็นธรรมฉันทะล้วนๆ แตถ่ า้ มตี ณั หาแทรกบา้ ง ถา้ ธรรมฉนั ทะนำ� อยกู่ จ็ ะสำ� เรจ็ ไดม้ าก มากกวา่ ตณั หาลว้ นๆ ใหเ้ ปน็ ไปในเชงิ ธรรมฉนั ทะแลว้ ไมเ่ ปน็ มลทนิ เปน็ ไปดว้ ย 193
ค ว า ม เ ข ้ า ใ จ เ ร ่ื อ ง พ ร ะ ธ ร ร ม ว ิ น ั ย ความบริสุทธิ์ เพราะว่าการไปสู่นิพพานนั้นต้องอาศัยกุศลธรรม กุศลธรรมนั้นต้องอาศัยความปรารถนาที่จะท�ำกัตตุกัมยตาฉันทะ คือ ความพอใจทีจ่ ะท�ำในทางทเ่ี ปน็ บุญเป็นกุศล ท่านปัญญานันทะภิกขุ ท่านมักจะบรรยายให้ความรู ้ และเน้นสอนคนให้ถึงพระรัตนตรัย เท่าน้ันแหละพอแล้ว แต่ท่าน ไม่เคยบอกเลยว่าสอนอย่างไร คนจึงจะเข้าถึงพระรัตนตรัย อาจารย ์ ชว่ ยอธิบายแทนทา่ นปัญญานนั ทะภกิ ขุดว้ ย สอนใหค้ นเหน็ คณุ คา่ ของพระรตั นตรยั โดยเฉพาะพระ ธรรม เพราะวา่ พระธรรมเปน็ ประธานของพระรตั นตรยั พระพทุ ธเจา้ เคารพพระธรรม พระสงฆเ์ คารพพระธรรม ใครๆ กเ็ คารพพระธรรม ใหเ้ ขาเหน็ คณุ คา่ ของพระธรรมกอ่ น พระสงฆม์ ดี บี า้ งไมด่ บี า้ ง ทด่ี กี ม็ มี าก ทไ่ี มด่ กี ม็ อี ยบู่ า้ ง คนสว่ นมากจะเหน็ ทไี่ มด่ ี พอเหน็ แลว้ กค็ ดิ วา่ ไมด่ หี มด พระสารบี ตุ รทา่ นสอนวา่ ถา้ เจอผา้ บงั สกุ ลุ กจ็ งดงึ ออกมา ตรงไหนขาด ใหด้ งึ ออกมา ใหต้ ดั ทงิ้ สว่ นทด่ี กี เ็ อามาปะตดิ ปะตอ่ แลว้ จะเปน็ ผา้ ทด่ี ี ข้ึนมาใช้ประโยชน์ได้ ก็เหมือนเราจะใช้คน ถ้าท่านไม่ให้เขาบกพร่อง ท่านใช้ใครไม่ได้เลย ทุกคนมีข้อบกพร่อง ถ้าให้เขาท�ำงานต้องยอม ใหเ้ ขาบกพรอ่ งบา้ ง ถา้ ไมใ่ หเ้ ขาบกพรอ่ งเขาทำ� งานไมไ่ ด ้ เราตอ้ งรจู้ กั ให้อภัยในความบกพร่องของผู้อื่น พระสงฆ์ก็มีข้อบกพร่องบ้าง เป็นธรรมดา แต่พระธรรมน้ันงามอร่ามอยู่เสมอ บริสุทธ์ิบริบูรณ ์ สน้ิ เชงิ เมอ่ื ไดค้ วามเลอื่ มใสในพระธรรมอยา่ งแทจ้ รงิ แลว้ กจ็ ะเลอื่ มใส พระรตั นตรัยด้วย 194
๙บ ท ท่ี คณุ ภาพชีวติ และสขุ ภาพจติ * การพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ โดยใชห้ ลกั สขุ ภาพจติ การพฒั นา ความหมาย คือท�ำให้เจริญขึ้น เมื่อก่อนเราไม่ได้ใช้คำ� ว่า พัฒนา ในความหมายนี้ เราใช้ค�ำว่าภาวนา เราเพิ่งใช้ค�ำว่า พัฒนา อย่างแพร่หลายเม่ือหลัง พ.ศ. ๒๕๐๐ ประมาณ ๓๐ ปี มาแล้ว เช่น พัฒนาเศรษฐกิจ ฯลฯ สมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ เร่งรัดพฒั นาชนบท * เรอื่ งน ี้ ถอดจากเทปบนั ทกึ เสยี ง ซงึ่ อาจารยส์ วุ รรณาและนกั ศกึ ษาพยาบาล ๒ คน เปน็ ผ้แู ทน นักศึกษาพยาบาลจากโรงพยาบาลศรีธัญญา อ�ำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี เป็นผู้มาสัมภาษณ ์ ทบ่ี า้ น เมอื่ ประมาณเดอื นพฤศจกิ ายน ๒๕๓๑ (ขอขอบคณุ คณุ เพญ็ นภิ า นรนิ ทรกลุ ณ อยธุ ยา ซึ่งเป็นผู้มฉี นั ทะอตุ สาหะ ถอดเทปใหโ้ ดยตลอด) 195
ค ุ ณ ภ า พ ช ี ว ิ ต แ ล ะ สุ ข ภ า พ จ ิ ต ภาษาองั กฤษใชค้ �ำว่า development คำ� เดยี วกนั ภาษาของศาสนา เชน่ กายภาวนา แทนท่ี จะใชค้ ำ� วา่ กายพฒั นา กายภาวนา แปลวา่ อบรมกาย ทำ� ใหก้ ายดขี น้ึ หมายถึงท�ำให้สุขภาพกายดี สิ่งท่ีเก่ียวข้องกับร่างกาย เช่น ปัจจัย ๔ เป็นปัจจัยพื้นฐานของร่างกาย ท่านไม่ใช้ค�ำว่า กายพัฒนา ค�ำว่า พัฒนา แปลว่า ท�ำให้รกก็ได้ ไม่ได้ท�ำให้ดีเสมอไป เช่น มีมากขึ้นๆ แตไ่ มม่ คี ณุ ภาพ ในทางศาสนาเรยี กวา่ วฒฑฺ โน หรอื วฒฑนฺ า มากขน้ึ แต่ไร้คุณภาพ เช่นบอกว่า ไมค่ วรเป็นคนรกโลก ท่านใช้คำ� ว่า นสิยา โลกวฺฒฺฑโน เป็นต้น ก็ขอให้ทราบความหมายไว้ก่อน ค�ำว่าพัฒนา ใช้ได้เหมือนกันในความหมาย development แต่เราเพิ่งมาใช้กันใน ระยะหลงั แตก่ อ่ นในความหมายนใ้ี ชค้ ำ� วา่ ภาวนา เดย๋ี วจะอธบิ ายราย ละเอยี ดใหท้ ราบ ทีนี้มาถึงเร่ืองสุขภาพจิต (Mental health) คือการท่ีจิตมี สขุ ภาพด ี รไู้ ดจ้ ากอะไร ดไู ดจ้ ากการทบี่ คุ คลผนู้ น้ั มชี วี ติ มคี วามสขุ ตาม สมควรแกอ่ ตั ภาพ ปลอดปญั หาทางจติ หรอื จะมบี า้ งกน็ อ้ ย จะใหป้ ลอด ๑๐๐ เปอร์เซนต์น้ันคงยาก เพราะว่าเรายังเป็นปุถุชนอยู่ มีแต่ พระอรหันต์เท่าน้ันที่จะปลอดปัญหาได้ ๑๐๐ เปอร์เซนต์ หรือต้ังแต่ พระโสดาบนั ก็มปี ญั หาทางจติ นอ้ ยมาก ค�ำว่าปญั หาทางจติ น ี้ รวมถึงทกุ ข์ด้วยใช่ไหม? รวมดว้ ย เพราะตวั ทุกข์น้ันแหละ คือตวั ปญั หา อยา่ งมองคนขนขยะวา่ เขามสี ขุ ภาพจติ ดไี หม เอาตวั เอง ตัดสินวา่ มันนา่ จะเหมน็ นะ 196
ค ว า ม เ ข้ า ใ จ เ กี่ ย ว กั บ ชี วิ ต อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ถา้ เขาพอใจในการนนั้ เขากไ็ มท่ กุ ข ์ สขุ ภาพจติ ของเขากด็ ี แต่ถ้าเขาไม่พอใจในงานนน้ั เขาก็เริ่มทุกข์ทันท ี เริ่มหงุดหงิด เครียด ไมส่ บาย คนทม่ี สี ขุ ภาพจติ ดใี หด้ จู ากคนทมี่ ชี วี ติ มคี วามสขุ มคี วามพอใจ ปลอดจากปญั หาทางจติ หรอื มบี า้ งกน็ อ้ ย คลา้ ยๆ ทำ� นองเดยี วกบั สขุ ภาพ กาย คนที่มีสุขภาพกายดีก็ย่อมมีปัญหาทางกายน้อย แต่โดยปกต ิ คนเราจะมสี ุขภาพกายดีครบถ้วนบรบิ รู ณท์ กุ อย่างโดยไม่เป็นอะไรเลย ก็ค่อนข้างยาก คือสมบูรณ์แบบพร้อมทุกอย่างเลยเหมือนกับรูปท่ีปั้น ออกมา ไมม่ อี ะไรบกพรอ่ ง บางคนกน็ ด่ี นี น่ั เสยี สขุ ภาพจติ กเ็ ปน็ เชน่ เดยี ว กนั บางคนสขุ ภาพจติ ดใี นบางดา้ น แตบ่ างดา้ นเขาทรดุ มาก คอื ไมไ่ ด ้ หมายความว่าคนท่ีมีสุขภาพจิตดีจะดีไปหมดทุกดา้ น บางด้านเขาจะ พรอ่ งมาก เชน่ บางคนไมโ่ ลภเลย สขุ ภาพจติ ดา้ นนดี้ มี าก ไวใ้ จได ้ แต ่ ความโกรธมมี าก สขุ ภาพจติ ในดา้ นควบคมุ อารมณเ์ กยี่ วกบั ความโกรธ เขาควบคมุ ไมไ่ ด ้ ใชไ่ หมครบั ? คอื เราตอ้ งแยกออกวา่ ถา้ มองสขุ ภาพจติ รวมกด็ พี อสมควรทกุ ๆ ดา้ น แตใ่ นชวี ติ คนธรรมดาปกต ิ มกั จะดเี ปน็ บาง ดา้ น บางดา้ นกพ็ รอ่ งไป ซงึ่ เขาจะตอ้ งพฒั นาสว่ นน ี้ เขาตอ้ งรจู้ กั ตวั เอง ต้องมี self realization ต้องรู้จักตัวเองว่ามีสุขภาพจิตยังพร่องอยู่ ในด้านใด แล้วก็พยายามพัฒนาในด้านที่ยังพร่องอยู่ให้มากกว่าปกต ิ ต้องคอยส�ำรวจตัวเอง หรือถ้าอยู่กับเพื่อนหรืออยู่กับเด็ก เราก็คอยด ู เขาว่าบกพร่องทางไหนและคอยเพิ่มให้ ด้านที่เขามีมากไปก็ต้อง พยายามลด เพราะจะเกดิ ความไมส่ มดลุ ขนึ้ คนทค่ี วบคมุ ตวั เองไมไ่ ด้ มคี ณุ ธรรมนอ้ ย มีสภาพจิตหรือสมรรถภาพจิตอ่อน (ซ่ึงจะพูดต่อไป) ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ เช่น เป็นคนชอบขโมย ก้าวร้าว ชอบด่า แต่ บางคนมโนธรรมสูงเกินไปจนกลวั ผดิ ไปหมด ทำ� อะไรไมไ่ ด้เหมอื นกัน ทำ� อะไรนดิ หนอ่ ยกลวั ผดิ ไปหมด กเ็ ครยี ดไปอกี แบบหนง่ึ กต็ อ้ งปรบั ให้ สมดุล จึงจะเรียกว่าเป็นคนมีสุขภาพจิตดี เหล่าน้ีอยู่ท่ีสมรรถภาพจิต ด้วย (Mental ability) 197
ค ุ ณ ภ า พ ช ี วิ ต แ ล ะ สุ ข ภ า พ จ ิ ต การท่ีจิตมีความสามารถต่อสู้กับอารมณ์ร้ายได้ ต้านทานไว้ได้ มีภูมิคุ้มกันสูง ไม่เป็นเอดส์ทางจิต คนท่ีเป็นเอดส์ทางกาย คือคนที่ม ี ภูมิคุ้มกันทางกายต่�ำมาก เอดส์ทางจิตน้ีเป็นกันท่ัวโลก มีเปอร์เซ็นต ์ สงู มาก เพราะไมม่ ภี มู คิ มุ้ กนั ทางจติ กระทบอารมณอ์ ะไรไมไ่ ดต้ อ้ งแสดง ออก อยา่ งเราอา่ นขา่ วในหนงั สอื พมิ พ ์ คนไปนงั่ กนิ อาหารกนั ๒ โตะ๊ มองตากันคนละทีก็ยิงกันแลว้ นค่ี อื ไมม่ ีภูมิต้านทานทางอารมณ์ นี่ใน ด้านโทสะ แล้วในด้านอื่นๆ เช่น ราคะ พยาบาท ซึ่งเราจะต้องสร้าง ภมู คิ มุ้ กนั ใหจ้ ติ มสี มรรถภาพสงู แลว้ มคี วามเขม้ แขง็ ทนทาน มคี วาม เพียร มีความทนทาน สู้งานไม่ย่อท้อ เอาชนะส่ิงท่ีไม่พึงปรารถนาได้ รวู้ า่ อะไรไมเ่ ปน็ สง่ิ ปรารถนา ชวี ติ กเ็ อาชนะได ้ ไมเ่ อากไ็ มเ่ อา ในขณะ เดยี วกนั รวู้ า่ อะไรดกี ท็ ำ� ได ้ ทำ� สง่ิ ทด่ี ไี ด ้ เพราะความสามารถทางจติ สงู พวกเราคงเคยได้ยินพระท่ีท�ำฌาน ท�ำอภิญญา ท�ำได้แปลกๆ ที่คน สามญั ทำ� ไมไ่ ด ้ เพราะวา่ สมรรถภาพจติ ทา่ นสงู มาก ผดิ กวา่ คนธรรมดา บางทคี นเรากช็ นะกนั ตรงนด้ี ว้ ย เพอื่ ใหม้ สี ขุ ภาพจติ ด ี เราตอ้ งปรบั ปรงุ สมรรถภาพทางจิตให้ดีขึ้นด้วย และอีกอันหนึ่งคือ คุณภาพทางจิต ทเ่ี รยี กวา่ Mental ability คอื จติ ทม่ี คี ณุ ภาพดี คอื อยา่ งไรจงึ เรยี กวา่ จิตมีคุณภาพดี เช่นว่า มีเมตตากรุณา คือจิตใจเปี่ยมอยู่ด้วยเมตตา กรุณา มีความเสียสละ ไม่เห็นแก่ตัว เป็นคนมีคุณธรรมประจ�ำใจ อันนี้เรียกว่าเป็นคนท่ีมีคุณภาพจิตดี เม่ือได้ ๒ อย่างคือ คุณภาพจิต ดี กบั สมรรถภาพจติ ด ี สุขภาพจิตก็จะดีย่งิ ขึน้ ถามวา่ อันนีอ้ ะไรเป็น เหตุเป็นผลของกันและกัน อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นผล ก็ต้องบอกว่า อาศยั ซงึ่ กนั และกนั เปน็ เหตเุ ปน็ ผลซง่ึ กนั และกนั คอื ไมใ่ ชอ่ นั นเี้ ปน็ เหต ุ อันน้ีเป็นผลอย่างเดียวร้อยเปอร์เซ็นต ์ แต่ว่าทั้งสามอย่างน้ีต่างอาศัย ซ่ึงกันและกัน เป็นเหตุเป็นผลของกันและกัน ถ้าอันใดอันหนึ่งดีก็จะ ทำ� ใหอ้ กี ๒ อยา่ งดไี ปดว้ ย นคี่ อื การพฒั นาชวี ติ โดยใชห้ ลกั สขุ ภาพจติ 198
ค ว า ม เ ข้ า ใ จ เ ก่ี ย ว กั บ ชี วิ ต อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ถ้าเผื่อเราได้อย่างนี้แล้ว เราสามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตให้เป็นไปได ้ ตามทางทเี่ ราตอ้ งการ ตามทางทเ่ี ราปรารถนา เบนเขม็ ไปทางไหนกจ็ ะ ไปทางนน้ั ได้อยา่ งราบร่ืน มปี ัญหานอ้ ยท่สี ุดเทา่ ทจ่ี ะทำ� ได้ พอจะสรปุ วา่ ถา้ เราสามารถพฒั นาสมรรถภาพจติ และ คุณภาพจิตขึ้นมาได ้ สุขภาพจิตนั้นจะด ี จะโยงให้คุณภาพชีวิตของคน ดขี ้ึนดว้ ย และในขณะเดยี วกนั ทสี่ ขุ ภาพจติ ด ี มนั จะทำ� ใหส้ มรรถ- ภาพจติ ดขี นึ้ อกี คอื ดยี ง่ิ ๆ ขน้ึ ไป คณุ ภาพจติ กจ็ ะดยี ง่ิ ๆ ขน้ึ ไปอกี มนั จะช่วยดึงกันขึ้นไปเร่ือยๆ จนถึงที่สุดย่อมจะพัฒนาคุณภาพชีวิตได้ด ี ทสี่ ดุ อะไรคอื พฒั นาคณุ ภาพชวี ติ ไดด้ ที สี่ ดุ คอื การไดม้ ชี วี ติ อยโู่ ดยปลอด ปญั หา ไม่มีทุกข์ ทางศาสนาเรยี กวา่ ถึงท่ีสุดแหง่ ทุกข ์ คอื ไมม่ ีทุกข์ ไมม่ ที กุ ขน์ ้ี จรงิ ๆ แลว้ ไมไ่ ดห้ มายความวา่ ไมม่ ที กุ ข ์ ทกุ ข ์ อาจจะม ี แต่คนปรบั ตัวอยู่กบั มันได้ กเ็ ลยไมร่ ู้สกึ ว่าทุกข์ คอื รสู้ กึ วา่ spring ได ้ พอมคี วามทกุ ขเ์ ขา้ มาก็ spring ออกไป ไม่ absorb ความทุกข์ไว้ การนง่ั สมาธนิ านๆ จรงิ ๆ แลว้ โดยสภาวะรา่ งกายมนั เครียด มันปวด การปวดก็ถือว่าเป็นทุกข์ใช่ไหมคะ เมื่อย เจ็บ ก็ อยากจะขยับ ทกุ ขท์ างกายตอ้ งม ี ไมว่ า่ ใคร แตน่ หี่ มายถงึ ทกุ ขท์ างจติ การไปรับเอามาวา่ มันปวด คอื การ spring ออกไป 199
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258