ค ุ ณ ภ า พ ช ี ว ิ ต แ ล ะ สุ ข ภ า พ จ ิ ต ท่ีเราพูดน้ีที่ว่าปลอดปัญหา ทุกข์น้ีคือทุกข์ทางจิต แต่ ถา้ ทกุ ขท์ างกายนนั้ แมแ้ ตพ่ ระอรหนั ตก์ ห็ ลกี ไมไ่ ด ้ เพราะวา่ รา่ งกายเปน็ สภาพธรรมชาตทิ จ่ี ะตอ้ งปวด เจบ็ หวิ กระหาย มนั กเ็ ปน็ ทกุ ขไ์ ป แต ่ จิตไม่เป็นทุกข์ เวลาสูญเสียอะไร ของก็เสียไป แต่จิตไม่เป็นทุกข์ ดว้ ยซ้ำ� สอง หรอื ไมเ่ สียทง้ั สองอย่าง ถา้ เปน็ คนธรรมดา ของเสียแลว้ กย็ งั มาเสยี จติ อกี คนทพี่ ฒั นาชวี ติ หรอื คณุ ภาพจติ ดแี ลว้ ของมนั เสยี ก ็ เสยี ไป แตว่ า่ จติ มนั สบายด ี การทจี่ ะเปน็ อยา่ งทวี่ า่ นไ้ี ดม้ เี หตสุ �ำคญั อย่ ู พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ว่า จะต้องมีภาวนา ๔ อย่าง หรือ พัฒนา ๔ อยา่ งคอื กายภาวนา การอบรมกาย หมายถึงให้มีสุขภาพกายดีพอ สมควร รวมทง้ั การใชป้ จั จยั ๔ ซง่ึ เกยี่ วกบั รา่ งกาย เชน่ อาหาร เสอื้ ผา้ ท่ีอยู่อาศัย ยารักษาโรค ให้เหมาะให้ควร เพราะว่าคนเราสมัยน้ีที่ ท�ำให้สุขภาพจิตเสีย บางทีแม้แต่เร่ืองกายภาวนาก็บกพร่องมาก เช่น ไปเสพสงิ่ ทไี่ มค่ วรเสพ ดม่ื สรุ าเปน็ อาจณิ ไปสบู บหุ ร่ี อดหลบั อดนอน เลน่ การพนนั เหลา่ นที้ ำ� ใหเ้ สยี กายภาวนาทง้ั หมดเลย ตรากตรำ� เกนิ ไป เกยี จครา้ นเกนิ ไป กนิ อาหารไมเ่ ปน็ พวกเราคงรกู้ นั อย ู่ เสอ้ื ผา้ กแ็ ขง่ ขนั สนิ้ เปลอื งทรพั ยม์ ากมาย ซงึ่ ตอ่ มาทำ� ใหเ้ สยี สขุ ภาพจติ ทะเลาะขดั แยง้ กนั ในครอบครวั ถา้ คนมกี ายภาวนาแลว้ เขาจะปฏบิ ตั ติ อ่ รา่ งกายอยา่ ง เปน็ มติ ร คอื ไมใ่ ชร้ า่ งกายอยา่ งทาส ในขณะเดยี วกนั กไ็ มถ่ นอมจนเกนิ ไป จนแตะตอ้ งอะไรไมไ่ ด ้ กลวั ไปหมด จะมวี ธิ กี ารอยา่ งไรทจ่ี ะพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ ใหอ้ ยใู่ นทาง สายกลาง ไมฟ่ งุ้ เฟอ้ หรอื สรุ ยุ่ สรุ า่ ยเกนิ ไป หรอื ถนอมจนทำ� อะไรไมไ่ ด้ ตอ้ งมีภาวนาขอ้ ตอ่ ๆ ไปอกี คอื 200
ค ว า ม เ ข้ า ใ จ เ กี่ ย ว กั บ ชี วิ ต อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ศีลภาวนา การพัฒนาศีลหรืออบรมศีล การอบรมศีลทางฝรั่ง เรยี กวา่ Social Growth (หรอื จะใชค้ ำ� วา่ Development แทนกไ็ ด)้ ความเจริญทางสังคม การท่ีเรารักษาศีลให้เป็นผู้มีศีล ก็เพ่ือความ สงบสุขของตัวเราเอง และเพ่ือความสงบสุขของสังคม คนเราถ้าหาก มีความทุกข์มักจะไประบายความทุกข์กับคนอื่น คนท่ีมีความสุขก็มัก จะระบายความสุขให้คนอ่ืนเช่นกัน เหมือนกับเราเข้าใกล้ไฟก็ย่อมจะ รู้สึกร้อน เมื่อเข้าใกล้น้�ำตกเราก็จะรู้สึกเย็น เหมือนเข้าใกล้คนมีศีล ศลี คอื การควบคมุ กาย วาจาเอาไว ้ ไมใ่ หม้ พี ฤตกิ รรมทจ่ี ะเปน็ ไปเพอ่ื เบยี ดเบยี นตนเองและผู้อ่ืน จิตตภาวนา คือการอบรมจิต ทางตะวันตกเรียกว่า Emo- tional Growth ความเจริญเติบโตทางอารมณ์ จิตตภาวนา การ อบรมจิตเพื่อให้เราควบคุมอารมณ์ได้ ก็โยงไปถึงเร่ืองท่ีถามว่า ท�ำ อย่างไรจึงจะไม่ให้สุรุ่ยสุร่าย คนท่ีสุรุ่ยสุร่ายคือคนท่ีควบคุมอารมณ ์ ไม่ได้ ตามใจตัวเอง แล้วคนท่ีเครียดเกินไป เบียดกรอเกินไป เบียด เบยี นตวั เองเกนิ ไป แมจ้ ะมกี ไ็ มบ่ รโิ ภคใชส้ อย พวกนกี้ ค็ วบคมุ อารมณ ์ ไม่ได้เหมือนกัน ควบคุมให้อยู่ในทางสายกลางไม่ได้ คือเห็นแก่ตัว เสียดาย หวงแหน ซ่ึงเป็นส่ิงที่ไม่ควรจะให้มี ควรจะก�ำจัดออกไป เพราะฉะนั้นจึงต้องมีจิตตภาวนา คือการอบรมจิตให้สามารถควบคุม อารมณ์ให้ตามสมควร ตามวิสัยของปุถุชน แต่ถ้าควบคุมอารมณ์ได ้ อย่างเด็ดขาด นักปราชญ์บางท่านรู้ว่าอะไรไม่ถูกไม่ควรก็ไม่ท�ำเลย อะไรท่ีรวู้ า่ ดกี ท็ ำ� ไดท้ ุกอยา่ ง อยา่ งนเ้ี รียกว่าเกง่ มาก ปัญญาภาวนา ปัญญาพัฒนา คือการอบรมปัญญา Intel- lectual Development หรือ Intellectual Growth ความเจริญ ทางปัญญา คนท่ีมีปัญญาก็เหมือนคนท่ีมีดวงตา คนท่ีไม่มีปัญญา 201
ค ุ ณ ภ า พ ช ี วิ ต แ ล ะ สุ ข ภ า พ จ ิ ต กเ็ หมอื นคนไมม่ ดี วงตา หรอื มปี ญั ญาไมแ่ จม่ ใส กเ็ หมอื นดวงตามนั มวั ถ้ามีดวงตาแจ่มใสก็มีปัญญาแจ่มกระจ่าง มองเห็นได้ชัดเจน หรือ เหมอื นแสงสวา่ ง สง่ิ ทข่ี มกุ ขมวั เรากม็ องไมช่ ดั เจน เหน็ กงิ่ ไมต้ ะคมุ่ ๆ อยกู่ น็ กึ วา่ เปน็ ผหี ลอก พอเปดิ ไฟสวา่ งตาเรากเ็ หน็ ออ๋ ! กง่ิ ไมน้ เี่ อง ก ็ หายกลวั หายตนื่ เต้น มีปัญญารเู้ หน็ ตามท่ีมันเป็นจริง as they are ไม่ใช่ as they appear ตามท่ีมันปรากฏ คนเราอยู่ในโลกส่วนมาก ถกู หลอกโดยเหน็ ตามทมี่ นั ปรากฏ คอื ไมร่ เู้ หน็ ตามทมี่ นั เปน็ จรงิ มสี จั จะ อย่ ู ๒ อยา่ งคอื สจั จะโดยสมมตกิ บั สจั จะโดยแทจ้ รงิ คนมกั ไปตดิ อย่ ู ท่ีสัจจะโดยสมมติ สมมติว่าเป็นนั่นเป็นน่ี สมมติ สมมติซ้อนสมมต ิ กันเต็มไปหมด แล้วไปติดอยู่กับอย่างน้ัน ไม่รู้ว่าสาระแท้จริงนั้นคือ อย่างไร ก็เลยไม่เห็นตามที่เป็นจริง ก็เลยถูกมายาของชีวิตและมายา ของโลกหลอก ขอสรุปสั้นๆว่า คนท่ีมีสุขภาพจิตดีน้ีจะมีนิสัยอย่างไร เมื่อเรา พัฒนาสุขภาพจิตข้ึนมาแล้ว มีข้อสังเกตอะไรว่าเป็นผู้มีสุขภาพจิตด ี พอสมควร คนทมี่ ีสุขภาพจติ ดพี อสมควรน ี้ เขาจะมดี ังนี้ ๑. มีเป้าหมายในชีวิต เป้าหมายน้ันเป็นเป้าหมายที่เป็นไปได้ (Possibility) ไม่ใช่เป้าหมายที่เป็นไปไม่ได้ และเป็นความจริง ไม่ใช ่ หลอกตัวเอง ๒. มีนิสัยในการท�ำงานดี รักงาน สังเกตได้ว่าคราวใดที่เรา สุขภาพจิตไม่ด ี เราจะเบ่ือ ไม่อยากท�ำ หงุดหงิด แต่พอฟื้นฟูสุขภาพ จติ ดขี น้ึ จะรสู้ กึ วา่ เหน็ การทำ� งานเปน็ เรอื่ งสนกุ เปน็ เรอ่ื งทจ่ี ะขาดไมไ่ ด้ ชวี ติ ขาดการงานไม่ได้ 202
ค ว า ม เ ข้ า ใ จ เ ก่ี ย ว กั บ ชี วิ ต อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ๓. รู้จักควบคุมอารมณ์ได้ด ี มีความอดทนต่อความผิดหวังได้ดี อนั นสี้ ำ� คญั เราจะทดสอบตวั เราเองวา่ มสี ขุ ภาพจติ ดพี อสมควรหรอื เปลา่ ก็ดูเวลาเรามีความผิดหวัง เราพอจะอดทนพอจะต้านทานความ ผิดหวังได้ ๔. รจู้ กั พกั ผอ่ น ผอ่ นคลาย เมอื่ รสู้ กึ วา่ ควรจะทำ� เชน่ นนั้ บางคน หักโหมเกินไปจนไม่รู้จักพกั ผอ่ น ๕. เข้าสังคมได้ดีเมื่อต้องการ บางคนไม่ต้องการเข้าสังคมนั้น ไมใ่ ชเ่ ขาสขุ ภาพจติ ไมด่ ี บางทเี ขามสี ขุ ภาพจติ ดมี าก แตเ่ ขาไมต่ อ้ งการ เข้าสังคมกับคนสุขภาพจิตไม่ด ี แต่ถ้าเขาต้องการเข้าสังคม เขาก็เข้า ได้ดี แสดงว่าเขามีสุขภาพจิตดี น้ีเป็นข้อสังเกตของคนที่สุขภาพจิตดี มนี สิ ยั อย่างไร มีข้อสังเกตของคนท่ีมีคุณภาพชีวิตที่ดีไหม? อย่างเรา มองอาจารย์ เราก็มองว่า อาจารย์มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีอะไรที่พร้อม อยูส่ บายๆ ไม่ทกุ ข ์ หรืออาจารย์หมายความว่าอยา่ งไร นี้เป็นค�ำถามที่ดี คนที่มีคุณภาพชีวิตที่ดี เราต้องดูว่า เป้าหมายของชีวิตน้ันคืออะไร ถ้าเราหาค�ำตอบว่าเป้าหมายของชีวิต กค็ อื ความสงบรม่ เยน็ ถา้ หากวา่ ผใู้ ดกต็ ามสามารถทจ่ี ะมชี วี ติ อยอู่ ยา่ ง สงบร่มเย็นได้ ผู้นั้นถือว่ามีคุณภาพชีวิตที่ดี ที่จริงความสงบร่มเย็นก็ เปน็ ทต่ี อ้ งการของคนทกุ คน เพยี งแตว่ า่ เขาจะไปถงึ ทตี่ รงนน้ั ไดห้ รอื ไม่ หรอื ระยะถข่ี องความรม่ เยน็ มมี ากแคไ่ หน ทกุ คนมเี ปน็ ครงั้ คราว ไมใ่ ช ่ ไม่มีเลย แต่ว่าคนท่ีมีคุณภาพชีวิตที่ดีจะมีช่วงของความสงบร่มเย็น ยาวนานกวา่ อาจจะมคี วามเดอื ดรอ้ น ความไมส่ บายเปน็ ครงั้ คราว แต ่ ถ้ามีความเดือดร้อน ความไม่สงบสุขอยู่เป็นประจ�ำแล้ว นานๆ จึงจะ 203
ค ุ ณ ภ า พ ช ี ว ิ ต แ ล ะ สุ ข ภ า พ จ ิ ต มคี วามสงบรม่ เย็นสักที แสดงวา่ คุณภาพชวี ติ ของเราแย่ อาจารย์ดูท่ีความเดือดร้อนของแต่ละคน หมายถึงว่า ตัวเขาเองคิดวา่ มันเดอื ดร้อน หรือที่คนอืน่ มองดวู ่าเขาเดือดรอ้ น ตอ้ งตวั เขามองดเู อง เพราะวา่ คนอน่ื มองนน้ั เปน็ seem to be เท่านั้น มันไม่ใช่ Reality มันไม่ใช่ความจริง แหม! บ้านนี้ ดนู า่ จะสบายนะ บา้ นใหญโ่ ตร�่ำรวยแตจ่ รงิ ๆ แลว้ เหมอื นนงั่ อยใู่ นนรก อย่างนั้นไม่ถอื วา่ มีคณุ ภาพชีวิตท่ีดี เคยเห็นคู่สามี-ภรรยา ทะเลาะกันเรื่อยๆ เรามองด ู เหมอื นกับเขาไมม่ คี วามสุข แต่ถา้ เขาพอใจ เขาก็สงบร่มเย็น ข้อน้ีไม่จริง ถ้าเขาทะเลาะกัน แสดงว่าความทุกข์มัน ระบายออกมาแลว้ ดว้ ยการทะเลาะ การทะเลาะกนั เปน็ การระบายทกุ ข ์ ของแต่ละฝา่ ย เพราะฉะนัน้ เราตดั สนิ วา่ ไม่ใช่ความสงบรม่ เยน็ คนทไ่ี มร่ ะบายออกมาก็มีความทุกข์ อย่างน้นั เรยี กว่าเก็บกด กเ็ ป็นทุกข์ คณุ ภาพชวี ติ จะมอี งคป์ ระกอบอะไรบา้ ง เรามองวา่ คนน้ ี มีคุณภาพชีวิตที่ดีนะ มันน่าจะมีอะไรท่ีเรามองเห็นได้ว่าน่าจะมีองค ์ ประกอบอะไรบ้าง มคี วามสงบรม่ เยน็ และเราตอ้ งดทู พี่ ฤตกิ รรมของเขาที่ แสดงออกมา สีหน้าแววตา กริ ยิ าท่าทาง บุคลิกภาพ เพราะวา่ สหี นา้ แววตาโดยธรรมดาทวั่ ไปมนั เปน็ สนามของพลงั จติ มนั จะแสดงออกมา วา่ ลักษณะของดวงจติ เป็นอยา่ งไร 204
ค ว า ม เ ข้ า ใ จ เ ก่ี ย ว กั บ ชี วิ ต อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ อยากทราบความคิดเห็นของท่านอาจารย์เกี่ยวกับ คุณภาพชีวิตของประชาชนไทยตอนน้ี ว่าตอนน้ีเขามีคุณภาพชีวิต อย่างไร โดยทวั่ ไปกจ็ ากทเี่ ราคยุ กนั มานแี่ หละ เรากเ็ อาสงิ่ เหลา่ นน้ั เป็นเคร่ืองวัดได้ว่าคนไทยมีคุณภาพชีวิตดีหรือไม่ดี จากคุณภาพจิต จากสขุ ภาพจิต จากสมรรถภาพจติ ว่าเปน็ อย่างไร เราก็พอตัดสินได้ ถ้าอย่างนั้น โดยทั่วๆ ไป เราก็พอสรุปได้ว่าคุณภาพ ชีวิตของคนไทยไม่ค่อยดีนัก เดี๋ยวกระเป๋ารถเมล์ก็ดุว่ากันกับคนขับ ความอดทนตอ่ สภาพอารมณน์ ที่ ำ� ไมค่ อ่ ยได ้ เราคดิ วา่ เรานา่ จะยกระดบั คณุ ภาพเหลา่ นั้นได้อย่างไร ตอ้ งใหเ้ ขาหมนั่ อบรมภาวนา ๔ อยา่ ง คอื กายภาวนา ศลี ภาวนา จติ ตภาวนา ปญั ญาภาวนา ในฐานะที่เราเป็นพยาบาลสุขภาพจิต พยาบาลจิตเวช เราจะไปแนะนำ� ใหเ้ ขาท�ำในสว่ นเหลา่ นนั้ ไดอ้ ยา่ งไร มคี วามรสู้ กึ วา่ เรา ต้องเปน็ ผูร้ ใู้ นด้านนม้ี ากๆ เลย ถ้าต้องการท�ำให้ง่ายๆ บอกว่าให้เขามีชีวิตอยู่อย่าง ง่ายๆ เช้าข้ึนมาก็บอกว่า วันน้ีอย่าโลภนะ วันน้ีอย่าโกรธนะ วันน้ี อยา่ หลงนะ หลงคอื รเู้ ทา่ ไมถ่ งึ การณค์ วามงมงาย วนั นอ้ี ยา่ รษิ ยาใครนะ อยา่ พยาบาท บอกให้เขาบอกตัวเอง ให้เตอื นตวั เอง ให้ท�ำทลี ะวัน บางทอี ยา่ งเดยี วกต็ อ้ งทำ� หลายๆ วนั เชน่ อยา่ โกรธนะ ทำ� เปน็ เดอื นๆ กย็ งั ไม่หายเลย 205
ค ุ ณ ภ า พ ช ี วิ ต แ ล ะ สุ ข ภ า พ จ ิ ต ต้องภาวนาทุกวัน ภาวนาในท่ีน้ีหมายถึง สอนตัวเอง คนท่ีขับรถมักจะเป็นคนข้ีบ่นว่าคนน้ันคนนี้ ขับไปด่าไป รู้สึกว่าใครๆ โงห่ มด ตวั เองเกง่ อยคู่ นเดยี ว คนขบั รถตอ้ งสอนตวั เองวา่ เราตอ้ งไป เผชญิ กบั คนมากมาย คนดบี า้ งไมด่ บี า้ ง คนมนี สิ ยั ตา่ งๆ กนั อยา่ โกรธนะ ต้องพยายามเตือนไวต้ ลอดเวลา เคยมคี นคดิ วา่ บางทกี ส็ ายเกนิ แก ้ แกเ่ กนิ แกง เพราะ ฉะนัน้ ถา้ เราคดิ ว่าเราจะตัง้ ตน้ จะเริม่ พัฒนาตั้งแตเ่ ดก็ ๆ จะดไี หม? การพัฒนาเร่ิมต้ังแต่เด็กนั้นดีแน่ อะไรท่ีท�ำต้ังแต่เด็ก เหมือนกับเราเขียนลวดลายลงในภาชนะดินท่ียังหมาดอยู่ ติดอยู่นาน แตถ่ งึ จะเปน็ ผใู้ หญแ่ ลว้ กไ็ มส่ ายส�ำหรบั การทจ่ี ะเรม่ิ ตน้ ทจี่ ะพฒั นาชวี ติ และจิตใจ ไม่สายเลย มหาโจรใจเห้ียมท่ีโลกกลัวกันเขายังกลับตัวได้ ยังสามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตจากหน้ามือเป็นหลังมือได้ ไม่ต้อง กล่าวถึงคนท่ีอยู่กลางๆ ซ่ึงมี Potentiality มีศักยภาพในการท่ีจะ เจริญงอกงามอยู่แล้ว เว้นแต่ว่าได้ปุ๋ยได้น�้ำ ได้ส่ิงแวดล้อมที่ดีพอ สมควรไหม สำ� คัญที่สุดคอื ตัวเราเอง ขอเรยี นถามอาจารยท์ สี่ อนเกย่ี วกบั พระสมยั น ี้ อาจารย์ มีความรู้สึกอย่างนี้ไหมคะว่า เป็นพระห่มผ้าเหลืองแล้ว แต่ยังต้องม ี การพฒั นาอะไรกนั อย่างนัน้ อย่างน ้ี มที ยี่ ากๆ ไหมคะ ปัญหาในการเรียนการสอนไม่มี สงบเรียบร้อย ไม่ม ี ปญั หา เวลาสอบอาจจะมบี กพรอ่ งบา้ ง ผดิ ระเบยี บบา้ งกม็ ี ตอ้ งถอื เปน็ เรื่องธรรมดา ในคนมากๆ ก็ย่อมต้องมีบ้าง แม้ว่าจะอยู่ในเพศของ ภกิ ษกุ ต็ อ้ งมผี ทู้ �ำผดิ อกี ขอ้ หนงึ่ ใหม้ องเหน็ วา่ เรอ่ื งอะไรๆ มนั เปน็ เรอื่ ง ธรรมดา อยา่ ไดเ้ หน็ เปน็ เรอ่ื งใหญโ่ ตแปลกประหลาด มอี ยคู่ นหนง่ึ มา 206
ค ว า ม เ ข้ า ใ จ เ ก่ี ย ว กั บ ชี วิ ต อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ หาผมมาเลา่ เรอ่ื งตา่ งๆ ใหฟ้ งั เขาเดอื ดรอ้ น ใหช้ ว่ ยแกป้ ญั หา ผมฟงั แลว้ กว็ า่ เปน็ เรอ่ื งธรรมดา พอเลา่ เรอ่ื งอนื่ อกี พอเลา่ จบผมกว็ า่ เรอ่ื งน้ี เรอื่ งธรรมดา พอเรอ่ื งท ี่ ๓ ผมกย็ งั บอกวา่ เปน็ เรอื่ งธรรมดา เขาชกั ฉนุ ถามวา่ แลว้ มเี รอ่ื งอะไรบา้ งทไ่ี มธ่ รรมดาสำ� หรบั อาจารย ์ ผมกบ็ อกวา่ จรงิ ๆ แล้วมนั เปน็ เรอื่ งธรรมดา มนษุ ยเ์ ราโลกเรามีมานานแลว้ เรือ่ ง เหล่านั้นมันเกิดกับใครมาเท่าไรแล้ว มันเพิ่งมาเกิดกับคุณ คุณก็เห็น เป็นเรื่องแปลกประหลาด มันเป็นเร่ืองใหม่ส�ำหรับคุณแต่คนอ่ืนเขา ประสบเขาเจอมามากไม่รู้ตั้งเท่าไร ไม่รู้กี่พันล้านคนแล้ว ดังน้ันเรื่อง เหล่านี้เป็นเร่ืองธรรมดาของโลก ถ้าเราคิดได้ว่า อ๋อ! เป็นเร่ือง ธรรมดา เพียงแต่มันเพิง่ เกดิ ขน้ึ กับเราเท่านนั้ เอง กำ� ลงั คดิ ถงึ เรอ่ื งวาตภยั ทภี่ าคใต ้ ถา้ เรามองวา่ เปน็ เรอ่ื ง ไม่ธรรมดาส�ำหรบั เมอื งไทย ถ้ามองไปไกล มนั กเ็ ปน็ ธรรมดา อย่างนี้เป็นธรรมดาท่ัวโลก แล้วเราก็ช่วยกันไปเป็น ธรรมดา แตไ่ มใ่ ชไ่ มแ่ กป้ ญั หา หาทางปอ้ งกนั ตอ้ งใชส้ ตปิ ญั ญา ตอ้ งใช้ Intellectual Development ต้องพัฒนาปัญญา มันเป็น Mental Development การพฒั นาจติ ไม่ใชเ่ ห็นวา่ เปน็ เรอื่ งธรรมดาแลว้ ไม่แก้ ไม่ใช่ ต้องแกไ้ ข เทา่ ทฟ่ี งั อาจารย ์ กร็ วู้ า่ อาจารยเ์ ปน็ ผทู้ ม่ี คี ณุ ภาพชวี ติ ทด่ี ี สุขุม เยือกเย็น อยากทราบว่าอาจารย์ด�ำเนินชีวิตอย่างไร ถึงมาอยู่ จดุ นไี้ ด้ 207
ค ุ ณ ภ า พ ช ี ว ิ ต แ ล ะ สุ ข ภ า พ จ ิ ต อบรมตนเองมาเรอื่ ยๆ เนอื่ งจากวา่ อาชพี ทที่ ำ� มหี นา้ ทจี่ ะ ต้องอบรมผอู้ น่ื อย่ดู ว้ ย การทีอ่ บรมผอู้ นื่ ก็เหมอื นอบรมตัวเองไปในตัว ต้องมีจิตส�ำนึกว่าต้องท�ำตัวเราก่อนนะ เราต้องจัดการกับตัวเราก่อน แลว้ จงึ จะเผอ่ื แผใ่ หก้ บั คนอืน่ ได ้ คอื เราตอ้ งมีก่อน เราถึงจะให้คนอ่นื ได้ เชน่ การจะใหค้ วามสขุ กบั ผอู้ นื่ ได้ เราจะตอ้ งมคี วามสขุ กอ่ น จติ ใจ เราตอ้ งมคี วามสุขพอท่ีจะมีกระแสแหง่ ความสุขแผไ่ ปสผู่ ู้อน่ื ได้ ขอเรียนถามวิธีจัดการกับตัวเองในส่วนนี้ ท�ำอย่างไร จึงจะสร้างสมขึ้นมาได้ ต้องไปน่ังท�ำสมาธิ หรือไม่ต้องคิด ต้องใช้ Intellectual แตเ่ พยี งอยา่ งเดยี ว ใช้กายภาวนา ศีลภาวนา จิตตภาวนา ปัญญาภาวนา พยายามที่จะเข้าใจผู้อื่น แทนท่ีจะพยายามดึงให้เขามาเข้าใจเรา ถ้า จะมีเพ่ือนแทนท่ีจะคิดว่า เอ! ท�ำอย่างไรนะเขาจะเป็นเพื่อนที่ดี ของเรา เรากลับคิดว่าท�ำอย่างไรนะเราจึงจะเป็นเพ่ือนท่ีดีของใคร สักคนหนึ่ง เราเป็นฝ่ายให้ส�ำหรับเขาจะเป็นเพื่อนที่ดีของเราหรือไม่ เป็นหน้าที่ของเขา เพราะอย่างแรกนี้มันอยู่ในอ�ำนาจการควบคุม ของเรา อย่างหลังเราไม่มีอ�ำนาจควบคุม ท�ำไมนะ เขาไม่มาเป็น เพอื่ นทดี่ ขี องเรา เราไมม่ อี ำ� นาจไปควบคมุ เราจะคดิ และทำ� ในสง่ิ ทเี่ รา มีอ�ำนาจควบคุมได้ถูกไหม? แล้วเราก็สบายใจ ความสบายใจ ความ สงบ เยือกเย็น อยู่เป็นปกติในชีวิตประจ�ำวัน พอนานปีไป มันก็เข้า สู่อุปนิสัยท่ีจะเป็นเช่นนั้น อย่างคนขี้โกรธ พอกระทบอะไรก็โกรธ เขาบอกว่าคนอย่างนี้โกรธง่ายหายเร็ว แต่น่ันแหละ มันบ่อยๆ เขา้ มนั ถเ่ี ขา้ ความโกรธมนั เปน็ อปุ นสิ ยั เลยกลายเปน็ คนขโ้ี กรธ ถงึ จะหายเรว็ กไ็ มใ่ ช่ของดี ท่ีดีกวา่ คือไม่โกรธ 208
ค ว า ม เ ข้ า ใ จ เ กี่ ย ว กั บ ชี วิ ต อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ขอให้อาจารย์สรุปใน ๒ ส่วนนี้ คือ คุณภาพจิต กับ คณุ ภาพชวี ิต ชวี ติ คนเรามอี ย ู่ ๒ ภาคใหญค่ อื ภาครา่ งกายกบั ภาคจติ ประกอบกนั รวมกนั กเ็ ปน็ ชวี ติ ทเี่ ปน็ ใหญก่ วา่ กค็ อื จติ เปน็ ใหญก่ วา่ กาย มีความส�ำคัญกว่า มีระยะเดินทางยาวกว่า คนท่ีพัฒนาคุณภาพจิต ให้ดีแล้ว เป็นการแน่นอนหรือหวังได้ว่าเขาจะมีคุณภาพชีวิตท่ีดี นกั ปราชญท์ า่ นบอกวา่ เราคดิ วา่ เราอยใู่ นโลกของวตั ถุ แตจ่ รงิ ๆ แลว้ เราอยู่ในโลกของจิต ถา้ เราจะเปลีย่ นแปลงอะไร เราต้องเปลีย่ นท่ีจิต ก่อน ถ้าจิตไม่เปลี่ยนส่ิงนั้นก็ไม่เปล่ียน คือคนท้ังหมดของสังคมก็ คือจิตของสังคม ถ้าจิตของคนในสังคมไม่เปล่ียน เราก็เปล่ียนสังคม ไม่ได้ ถ้าเราจะเปล่ียนสังคม เราต้องเปล่ียนที่จิตของสังคมก่อน จิต ของสงั คมกค็ อื จติ ของคน เราคดิ วา่ เราอยใู่ นโลกของสงั คม จรงิ ๆ แลว้ เราอยู่ในโลกของจิต เพราะว่ามันเร่ิมต้นมาจากจิต เช่นว่า ความคิด เปน็ คณุ สมบตั ขิ องจติ ความคดิ กอ่ ใหเ้ กดิ การกระทำ� การกระทำ� กอ่ ให้ เกดิ นสิ ยั นสิ ัยกอ่ ใหเ้ กิดอปุ นสิ ยั อปุ นิสยั เปน็ สิ่งสรา้ งชะตาชีวิต นิสัย กับ อปุ นสิ ัย ตา่ งกนั อย่างไร นิสัย คือส่ิงท่ีท�ำจนเคยชิน แล้วนิสัยที่หย่ังรากลึกแล้ว จะเปน็ อปุ นสิ ยั ทางฝรง่ั เรยี กวา่ เรม่ิ ตน้ จาก thought action habit Character destiny ...destiny คือชะตาชีวิต, thonght ความคิด ก่อให้เกิด action การกระท�ำ... การกระท�ำบ่อยๆ Thirty times make a habit = ท�ำ ๓๐ ครั้งก่อให้เกิดนิสัย ท�ำอะไรซำ้� ๆ action ก่อให้เกิด habit habit ก่อให้เกิด character คืออุปนิสัย อุปนิสัย ก็น�ำไปสู่ destiny คือชะตาชีวิต เราเร่ิมต้นสร้างชะตาชีวิตส่วนตัว กนั ดว้ ยความคดิ สงั คมกเ็ หมอื นกนั ถา้ คนมคี วามคดิ ด ี การกระทำ� กด็ ี 209
ค ุ ณ ภ า พ ช ี ว ิ ต แ ล ะ สุ ข ภ า พ จ ิ ต นิสัยก็ดี อุปนิสัยก็ดี ชะตาชีวิตก็ดี แต่ถ้าเร่ิมต้นท่ีความคิดไม่ดี การกระทำ� ก็ไม่ดี นสิ ยั กไ็ มด่ ี อปุ นิสัยก็ไมด่ ี ชะตาชวี ติ ก็ไมด่ ี ท�ำอย่างไร thought จึงจะด ี ใครจะช่วยแก ้ thought น้ันได้ ตวั นสี้ ำ� คญั มนั มอี าหารของ thought อาหารจติ เชน่ การได้ยินได้ฟังสิ่งท่ีดี การคบมิตรดี อ่านหนังสือดี น้ีเรียกรวมว่า ปรโตโฆสะ สภาพแวดล้อมอะไรๆ ดีไปหมด สมมติว่าเกิดไม่ดีข้ึนมา เราแปรให้ดีได้ ท�ำมะนาวเปร้ียวให้หวานโดยเหยาะน�้ำตาลลงไปบ้าง น�้ำตาลนนั้ คืออะไร คอื ความคิดของตนเอง เรยี กวา่ โยนิโสมนสกิ าร ถ้าใครมานนิ ทา มาอะไร ก็เอาโยนิโสมนสกิ ารมาใส่ เรื่องเล็ก โยนิโสมนสิการ คือความคิดเป็น เรามี ๒ ตวั แล้วคือ ปรโตโฆสะ โยนโิ สมนสกิ าร สองตวั นกี้ พ็ อสมควรแลว้ สงิ่ ทคี่ นอนื่ คดิ วา่ ไมด่ ี เราแปรได ้ ยก ตวั อยา่ งทถี่ ามมาวา่ เขานนิ ทาวา่ รา้ ยอะไร มนั กค็ ำ� นนิ ทา พอเราคดิ วา่ “ไม่เป็นไร” มันก็ไม่เป็นไรขึ้นมาทันที พอเราคิดว่า “เป็นไร” ขึ้นมา เราเตน้ ทนั ท ี พอเราคดิ นดิ เดยี ววา่ ไมเ่ ปน็ ไร มนั กส็ กั แตว่ า่ เปน็ คำ� นนิ ทา ว่าร้าย มันก็พน้ ไปเทา่ นั้นเอง ด-ี ช่วั อยู่ที่เรากระทำ� ไม่ใชอ่ ย่ทู ่เี ขาว่า เรอื่ งของโยนโิ สมนสกิ าร เปน็ เรอื่ งใหญ่ เปน็ เรอ่ื งของ การปฏิบัติที่เราจะรับเอาท่ีไม่ดีมา แต่เราจะมาแปรให้ดูเป็นธรรมดา มวี ธิ กี ารอยา่ งไรที่จะสร้างเจ้าตวั น้ ี สว่ นประกอบของตวั นีม้ ีอะไรบ้าง 210
ค ว า ม เ ข้ า ใ จ เ กี่ ย ว กั บ ชี วิ ต อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ คิดเป็น คือคิดให้มันเกิดประโยชน์กับจิตใจกับวิถีชีวิต ของเรา ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว จะมีประโยชนไ์ หม มนั ไมเ่ ปน็ ประโยชน์ก็ อย่าไปคดิ ถ้าเปน็ ประโยชนก์ ค็ ดิ อยา่ งน้ดี ีกวา่ โดยสรุปกค็ อื วา่ คิดไป ให้เราเป็นทุกข์ บางทีผมอธิบายเรื่องนรก-สวรรค์ เรื่องชาติหน้าชาติ กอ่ น เดก็ เขาฟงั ถามเขาวา่ เชอื่ ไหม เขาบอกวา่ เชอ่ื ครงึ่ ไมเ่ ชอ่ื ครงึ่ ผม บอกว่าส่วนท่ีเช่ือครึ่งไม่ต้องพูด ส่วนท่ีไม่เช่ือครึ่งน้ันเพราะอะไร เขา บอกว่ามองไม่เห็น ผมไม่ได้บอกว่าสิ่งที่มองเห็นก็มีอยู่ แต่บอกว่า เชื่อกับไม่เชื่อ อันไหนจะมีประโยชน์กว่า ในด้านพฤติกรรม ในด้าน ท�ำความดีให้ม่ันคง กับการท่ีจะละเว้นความชั่ว ระหว่างคนท่ีเช่ือกับ ไม่เช่ือ เขาบอกว่าเชื่อดีกว่า ผมเลยบอกว่า ถ้าเช่ือดีกว่าแล้วอีก ครงึ่ หนง่ึ เอาไวท้ �ำไม เมอ่ื มนั ดกี วา่ กค็ วรเชอ่ื ดกี วา่ งน้ั กเ็ ชอ่ื ใหห้ มดเลย เขาก็ยอมรับอยู่แล้วว่าเชื่อน้ันดีกว่า มันเป็นประโยชน์กับเรื่องจริย ธรรม การที่จะท�ำความดีให้มั่นคงไม่ท้อถอย เป็นความหวัง สร้าง ความหวงั เด็กเขาก็ยอมรบั ไป กระต้นุ ให้เขารู้จักคดิ 211
๑๐บ ท ที่ แนวทางเพ่มิ คุณภาพชวี ิต* ทา่ นผมู้ เี กยี รตทิ เี่ คารพ ผมขอแสดงความขอบคณุ คณุ วราวธุ โชตกิ - เสถียร ซึ่งเป็นกัลยาณมิตร เป็นเพ่ือนบ้านที่ดีของผม ที่ให้โอกาส ใหเ้ กยี รตมิ าคยุ กบั ทา่ นทง้ั หลาย คณุ วราวธุ บอกวา่ เรอื่ งอะไรกไ็ ด ้ เพราะ บอกว่าเรื่องอะไรก็ได้น่ีแหละ ท�ำให้ผมล�ำบากใจไม่รู้จะพูดเรื่องอะไร ตอ้ งเปลย่ี นถงึ ๓ ครงั้ ทแี รกกเ็ ตรยี มไวเ้ รอ่ื งหนง่ึ กห็ ลายหนา้ กระดาษ พอนกึ ไปนกึ มากเ็ ปลย่ี นอกี แลว้ กเ็ ปลยี่ นอกี เรอื่ งหนง่ึ หลายหนา้ กระดาษ เหมือนกัน เม่ือคืนคุณวราวุธแวะไปคุยท่ีบ้านคุยไปคุยมาก็เห็นทีจะ ตอ้ งเปลย่ี นอกี แลว้ ตนื่ เชา้ มากเ็ ปลยี่ นเรอื่ งใหม ่ ผทู้ ไี่ ปรบั กม็ ารบั ตงั้ แต ่ ๐๗.๓๐ น. ผมบอกวา่ ตอ้ งพดู ๐๙.๓๐ น. ถา้ ไป ๐๗.๓๐ น. กต็ อ้ งไป น่ังคอยนาน พอ ๐๘.๐๐ น. กว่าๆ ก็ออกกันมา มาถึงก็ได้เวลาเปิด * บรรยายทก่ี ารไฟฟา้ ฝา่ ยผลติ แหง่ ประเทศไทย เมอื่ วนั ที่ ๒๙ ธนั วาคม ๒๕๓๑ ขอขอบคณุ คณุ เพญ็ นภา นรนิ ทรกลุ ณ อยธุ ยา ทเี่ ออ้ื เฟอ้ื ถอดความเทป 213
แ น ว ท า ง เ พ ่ิ ม ค ุ ณ ภ า พ ช ี ว ิ ต ตอ้ งขออภยั ทา่ นทงั้ หลายในความบกพรอ่ งของผมทเี่ สยี งไมค่ อ่ ยดี เวลา พดู ไปตอ้ งคอยกระแอมไปอยเู่ รอ่ื ย ทา่ นอาจจะรำ� คาญ ตอ้ งคอยจบิ นำ�้ ไปคอยช่วยเหลือในการพูดอยู่บ้าง ผมสอนหนังสือมาก สัปดาห์หน่ึง ตก ๒๐ ชว่ั โมง เปน็ เวลา ๒๕-๒๖ ป ี แลว้ นอกจากนน้ั ยงั ไดร้ บั เชญิ พเิ ศษไปบรรยายในทตี่ า่ งๆ วนั นเ้ี ปน็ วนั สดุ ทา้ ยของปนี ท้ี ผ่ี มรบั เชญิ ดว้ ย ความคดิ วา่ นา่ จะไดม้ าพบกบั การไฟฟา้ ฝา่ ยผลติ บ้าง เพราะว่ายังไม่เคย มา การไฟฟ้านครหลวงก็ไปแล้ว การประปาก็ไปแล้ว มหาวิทยาลัย ตา่ งๆ กไ็ ปแลว้ ทน่ี ย้ี งั ไมเ่ คยมา ชวี ติ เปน็ ของไมแ่ นน่ อน ความตายมนั ตามหลงั อยทู่ กุ วนั อาจจะ เป็นวันน้ีหรือพรุ่งนี้ อาจจะไม่มีโอกาสต้อนรับปีใหม่ก็ได้ไม่แน่นอน น้ีคิดอยู่เสมอครับ แล้วก็กล้าพูดเพราะความตายเป็นเร่ืองธรรมดา จะตายเม่ือไหร่ เวลาไหนเท่านั้นเอง ถึงอย่างไรก็ต้องตายอยู่ดี วันน ้ี เรามาพบกันแล้วก็จากกัน แล้วก็ไม่รู้ว่าจะได้พบกันอีกหรือเปล่า ผม เป็นผู้พูด ท่านก็เป็นผู้ฟัง ทีนี้การฟังก็ต้องฟังเป็น ถ้าฟังไม่เป็น ก็ ไมค่ อ่ ยไดอ้ ะไร พระพทุ ธเจา้ ตรสั วา่ “ฟงั ดว้ ยดยี อ่ มไดป้ ญั ญา” เปา้ หมาย ถึงฟังเอาปัญญา ถ้าจะได้ความเพลิดเพลินบ้างก็ได้ผลพลอยได้ แต ่ เป้าหมายการฟังเพ่ือได้ปัญญา การฟังให้ได้ปัญญาก็ต้องฟังด้วยด ี ตามทีพ่ ระพทุ ธเจา้ ทรงเตือนเอาไวใ้ หร้ ูจ้ ักฟัง มีเรื่องเดก็ ท่รี ู้จักฟังแล้วไดพ้ บบา้ นของตัว มีเรอ่ื งเลา่ ท่ีประเทศ สวิสว่ามีเด็กคนหนึ่ง ตอนท่ียังเล็กๆ อยู่ก็ถูกพวกเกวียนพเนจรหรือ เกวยี นทที่ อ่ งเทยี่ วไปในทตี่ า่ งๆ ขโมยเดก็ คนนไ้ี ป ตอนทจี่ ะจากหมบู่ า้ น เด็กคนนี้ได้ยินเสียงระฆังดังขึ้น ในขณะท่ีแกจะถูกพรากตัวไป ก็ไม่ ทราบว่าพวกเกวียนเอาไปไว้ท่ีไหน แกก็จ�ำไม่ได้ จนโตเป็นหนุ่ม เขา ก็คิดว่าอยู่อย่างนี้ก็ไม่ไหวแล้ว ข้ีเกียจจะต้องเที่ยวไปๆ ไม่มีจุดหมาย 214
ค ว า ม เ ข้ า ใ จ เ ก่ี ย ว กั บ ชี วิ ต อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ปลายทาง ก็เลยนึกวา่ หนีกลบั บา้ นดกี ว่า แกก็หาทางกลบั บ้าน แต่แก ไม่รู้ว่าบ้านของแกอยู่ไหน จะท�ำอย่างไรดี ไปถึงหมู่บ้านไหน แกก ็ ฟังเสียงระฆัง แกจ�ำเสียงระฆังท่ีบ้านของแกได้ ฟังไปเรื่อยๆ วันหน่ึง น่ังพักอยู่ใกล้ๆ หมู่บ้าน พอได้ยินเสียงระฆังดังข้ึนจึงจำ� ได้ เป็นเสียง ที่ได้ยินก่อนจะถูกพรากจากบ้าน แกได้เข้าหมู่บ้าน ก็ได้พบพ่อแม ่ พี่น้องก็ดีใจ เด็กคนน้ีกลับบ้านมาพบญาติพี่น้องได้เพราะแกฟังเป็น รจู้ ักฟังได้ประโยชน์ ในทางธรรมน้ัน มีเสียงของสัจธรรมอยู่เร่ือย คอยตะโกนบอก เราอยตู่ ลอดเวลาวา่ เปน็ อยา่ งนน้ี ะๆ เราจะฟงั เปน็ หรอื ไมเ่ ปน็ เทา่ นนั้ เอง เราเห็นใบไม้เหลือง ใบไม้เขียว เม่ือมันเหลืองมันก็หล่นจากต้น น้ันก็ เป็นเสียงต้นไม้ เป็นเสียงของสัจธรรมที่บอกให้เรารู้ว่า สิ่งมีชีวิตเป็น อย่างน้ีแหละ เริ่มต้นด้วยใบอ่อน เป็นเด็กอ่อน แล้วค่อยๆ แก่ตัวขึ้น แล้วก็แก่เฒ่า ชรา แล้วก็ร่วงหล่นตายไป แต่เราก็ต้องนึกว่า ถ้าหาก ใบไมเ้ กา่ มนั ไมห่ ลน่ ใบไมใ้ หมก่ ไ็ มเ่ กดิ ขน้ึ ในโลกนไี้ มต่ อ้ งหวงตำ� แหนง่ ไมม่ ใี ครสำ� คญั เกนิ ไปจนขาดไมไ่ ด้ ถา้ เหน็ วา่ จ�ำเปน็ ตอ้ งจากกต็ อ้ งจาก เหน็ วา่ จำ� เปน็ ตอ้ งออกกต็ อ้ งออก เหน็ วา่ อะไรจำ� เปน็ อยา่ งไรกต็ อ้ งทำ� ไป อย่างน้ัน อย่าไปยึดม่ันถือมั่นนักวา่ เราเท่าน้ันส�ำคัญ คนอ่ืนไม่ส�ำคัญ ใครแทนไม่ได้ ไม่ใช่อย่างน้ัน ในโลกนี้ไม่มีใครส�ำคัญจนขาดไม่ได้ ราชาธริ าชสน้ิ พระชนมย์ งั ไมม่ ใี ครเหน็ สำ� คญั เท่ากบั การปวดฟนั ของเขา เอง การปวดฟนั ของเขามคี วามหมายมากกวา่ ราชาธริ าชสนิ้ พระชนม์ เราจากไป ตายไปสักคน น้�ำก็ยังคงไหลอยู่ไฟก็ยังสวา่ งอยู่ ทางก็ยัง คงไปได้ ไมเ่ ป็นไร หัดฟงั กระแสของธรรมชาติไว ้ ธรรมชาตจิ ะบอก เราเสมอสิ่งแวดล้อมรอบตัวด้วย ผมเขียนหนังสือไว้เร่ืองหนึ่งสั้นๆ ท่านผู้แนะนำ� ก็ได้บอกแล้วว่าผมเขียนหนังสือไว้เยอะ ช่ือ “ธรรมชาต ิ กับชีวิต” กระทรวงศึกษาธิการน�ำไปอ่านแล้วเห็นว่าดี เด็กน่าจะ 215
แ น ว ท า ง เ พ ่ิ ม ค ุ ณ ภ า พ ช ี ว ิ ต ได้เรียน เลยน�ำไปพิมพ์ให้เด็กเรียน แต่เปล่ียนช่ือเสียใหม่ว่า “ร�ำพึง วันฝนตก” โดยจับเอาเร่ืองที่ว่าผมไปยืนร�ำพึงในวันฝนตก เห็นน่ัน เห็นน่ี แล้วน�ำมาเขียนเป็นคติ เอาธรรมชาติมาเขียนเป็นคติชีวิต เชน่ เหน็ เจดยี ์ เห็นใบสน เห็นสนุ ขั ลอยอยู่ในน�้ำ เป็นต้น ทำ� สมองใหว้ า่ งสำ� หรบั ธรรมะบา้ ง บางทเี รากม็ งี านมาก ยงุ่ มาก สมองมันอัดไปด้วยอะไรก็ไม่รู้ ไม่ว่างพอท่ีจะรับธรรมะ อย่างน้ ี เสียชาติเกิดนะ เกิดมาไม่ได้ฟังธรรมะ เกิดมาทั้งทีไม่ได้ฟังเสียงของ พระอริยะ อย่างน้ีเสียชาติเกิดนะ เกิดมาเปล่า ตายไปเปล่า ไม่ค่อย ไดป้ ระโยชนอ์ ะไร สว่ นมากมวั ไปฟงั เสยี งของมาร มารมนั คอยกระซบิ อยเู่ รอ่ื ย ไมไ่ ดฟ้ งั เสยี งของพระ ไมไ่ ดฟ้ งั เสยี งของธรรม ถา้ หากสมอง หรอื ใจเรามนั อดั เตม็ ไปดว้ ยสงิ่ อนื่ ไมว่ า่ งไวบ้ า้ งสำ� หรบั รบั ธรรมะ ธรรมะ ก็เข้าไปไม่ได้ ธรรมะคืออะไร ธรรมะคือคุณากร คุณากรคือบ่อเกิด ของคณุ งามความด ี ถา้ ไมม่ ธี รรมะกไ็ มม่ บี อ่ เกดิ ของคณุ งามความดี จะ ท�ำความดีไดอ้ ยา่ งไร ในเม่อื มันไม่มีบอ่ เกดิ ไมม่ แี หล่งเกดิ อย่าท�ำเป็นน้�ำชาล้นถ้วย น้�ำชาน้ีไม่ล้นถ้วยไม่เป็นไร ดื่มได้ อย่าท�ำเป็นน้�ำชาล้นถ้วย มีศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยไปหาพระ ศาสตราจารยค์ นนเี้ ชยี่ วชาญ มวี ชิ าความรเู้ ยอะ ไมค่ อ่ ยฟงั เสยี งใคร ไป หาพระ พระก็รินน้�ำชาให้ด่ืม น�้ำชามันเต็มถ้วยแล้ว ท่านก็ยังรินอยู่ นน่ั แหละ ทา่ นศาสตราจารยก์ บ็ อกวา่ มนั ลน้ ถว้ ยแลว้ พอแลว้ ทา่ นกย็ งั รนิ ตอ่ ไปอกี ถว้ ยนำ้� ชานก้ี เ็ หมอื นคณุ นนั่ แหละ ทา่ นวา่ อยา่ งนน้ั สมอง คณุ มนั อดั ลน้ ไปดว้ ยความรอู้ ะไรกไ็ มร่ ู้ ไมม่ ชี อ่ งวา่ งสำ� หรบั ทจ่ี ะรบั ธรรมะ เขา้ ไป ถา้ สมองของคณุ ยงั เปน็ อยา่ งน ้ี อาตมากค็ ยุ ธรรมะกบั คณุ ไมไ่ ด ้ คณุ ต้องทำ� สมองใหว้ า่ งเสยี บ้าง ท�ำใจใหว้ ่างเสยี บ้าง เผื่อไวใ้ หธ้ รรมะ เข้าไปแทรกซึมได้บ้าง การฟังธรรมะน้ันมีประโยชน์มากมายจริงๆ 216
ค ว า ม เ ข้ า ใ จ เ กี่ ย ว กั บ ชี วิ ต อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ อย่างน้อยมันก็สบายใจ ฟังอะไรดูอะไรมันไม่สบายใจเหมือนดูธรรมะ ฟังธรรมะ มีวิศวกรบางคนพูดมาผมปล้ืมใจ เขาบอกว่าถ้าหากให้เงิน สกั ลา้ นแลว้ ไมใ่ หฟ้ งั ธรรมะเขาไมเ่ อาหรอก แตว่ า่ เขากม็ เี งนิ พอไดใ้ ช ้ ถา้ คนทขี่ าดแคลน ไมม่ จี รงิ ๆ อาจจะเอา หยดุ ฟงั ธรรมะไวส้ กั ปหี ยดุ เอา เงินล้านก่อน แต่ทีนี้การแสดงออกหรือการพูดอย่างนั้นแสดงถึงความ ซาบซ้ึงในธรรม พอใจในธรรมท่ีเรียกว่า “ธรรมฉันทะ” ค�ำว่า ธรรม ฉนั ทะ นมี้ คี วามหมายมาก มนั ไมเ่ หมอื นกบั ตณั หา คอื อยากเหมอื นกนั แต่อยากคนละอย่าง มีคนไทยเป็นจ�ำนวนมากที่ไม่ค่อยอยากจะอยาก อะไร เพราะนกึ วา่ ถา้ อยากแลว้ มนั จะเปน็ ตณั หา ทจี่ รงิ ไมใ่ ช ่ อยากแบบ ตัณหาก็อย่างหนึ่ง อยากแบบฉันทะก็อย่างหน่ึง อยากแบบตัณหานั้น คอื อยากปรนเปรอตนเอง อยากได้ทำ� อะไรทต่ี ามใจตัวเองอยากไดร้ ูป ได้เสียง ได้กล่ิน รส สัมผัส ที่มันยั่วยวนกิเลสตัณหา แต่ถ้าอยาก ทำ� ความด ี อยากฟงั ธรรม อยากพฒั นาตน อยากทำ� อะไรใหด้ ขี นึ้ อยาก พวกนไ้ี มใ่ ชต่ ณั หา แตเ่ ปน็ ธรรมฉนั ทะ เพราะฉะนนั้ อยากพวกนอี้ ยาก ไปเถอะ ไม่เป็นไร ยิ่งอยากยิ่งดี ย่ิงท�ำให้เจริญ ยิ่งท�ำให้ดีข้ึน คน บางพวกบอกวา่ พระพทุ ธศาสนาสอนใหค้ นไมอ่ ยาก จงึ ทำ� ใหบ้ า้ นเมอื ง ไม่เจริญ ความจริงท่านสอนเฉพาะไม่ให้อยากในทางเส่ือม อยากเลน่ การพนนั อยากดมื่ เหลา้ อยากอะไรพวกนนั้ เปน็ ไปในทางเสอื่ ม ท่านก ็ หา้ มไมใ่ หอ้ ยาก อยา่ งเชน่ เลน่ การพนนั น ่ี มเี จา้ อยคู่ นหนง่ึ มวี งั ใหญโ่ ต มขี า้ ทาสบรวิ ารเยอะแยะ มรดกกม็ าก แตต่ ดิ การพนนั จนขายทรพั ยส์ นิ สมบตั หิ มดเลย วงั กข็ ายหมดเลย ในทส่ี ดุ กไ็ ปเชา่ กระตอ๊ บอยใู่ นแหลง่ สลัม แล้วก็ตายในที่นั้น อันนี้ผมขอเล่าแต่เรื่องไม่พูดถึงตัวเขา คน เปน็ เจา้ ในบา้ นเมอื งเรานเี้ อง เปน็ เจา้ ในระดบั ผใู้ หญแ่ ลว้ ไปตดิ การพนนั 217
แ น ว ท า ง เ พ ิ่ ม ค ุ ณ ภ า พ ช ี ว ิ ต อยา่ ทำ� ตวั ใหฉ้ ลาดเกนิ ไปกวา่ ผอู้ นื่ ตอ้ งฟงั ผอู้ น่ื ได ้ บางคราวเรา มีความจ�ำเป็นจะต้องสร้างเมตตากรุณาและการให้อภัยกับผู้อื่น และ เรากส็ ามารถทจี่ ะเอาชนะคนไดด้ ว้ ยการใหอ้ ภยั และเมตตากรณุ านนั่ เอง มีเรื่องเล่า ในวัดหนึ่งมีพระองค์หน่ึงขี้ขโมย เป็นวัดมหายาน ใครวาง อะไรไวล้ มื เผลอไมไ่ ด ้ กข็ โมย พระดว้ ยกนั ทนไมไ่ หวแลว้ กไ็ ปรอ้ งเรยี น เจ้าอาวาส บอกว่าอยู่ไม่ได้แล้ว ถ้าพระองค์นี้อยู่เพราะว่าข้ีขโมยมาก เจา้ อาวาสกเ็ รยี กพระองคน์ น้ั มา แลว้ บอกวา่ ขอใหไ้ ลพ่ ระองคน์ นั้ ออก ไป ถ้าเผ่ือไม่ไล่พระองค์นั้นออกไป พวกเขาจะพากันไปหมด ท่าน เจา้ อาวาสกบ็ อกวา่ ทพ่ี วกคณุ พดู นก้ี ถ็ กู แตพ่ วกคณุ นน้ั แหละควรจะไป เพราะวา่ พวกคณุ รดู้ ี รชู้ ว่ั รผู้ ดิ รชู้ อบ รวู้ า่ อะไรด-ี ชวั่ แลว้ ควรจะ ไปได้แล้ว พระองค์นี้ยังโง่อยู่ ยังไม่รู้เลยว่าการขโมยน้ันเป็นความ ชั่วบาป เพราะฉะนั้นฉันเอาไว้ก่อน พวกคุณไปได้เพราะรู้ดีรู้ชั่วแล้ว พระองคข์ ขี้ โมยนน้ั รอ้ งไหโ้ ฮเลย ลงกราบทา่ นอาจารย ์ บอกวา่ ตอ่ ไปน้ี ผมจะเลกิ ขโมย เมตตากรณุ าของทา่ นอาจารยท์ �ำใหศ้ ษิ ยป์ ระทบั ใจมาก ตดั สนิ ใจเลกิ ขโมยเดด็ ขาด อนั นบ้ี างคราวทเ่ี ราจะตอ้ งใชธ้ รรมะแบบนี ้ คอื การใหอ้ ภยั และเมตตากรณุ า ทำ� ใหเ้ ขาเกดิ ความประทบั ใจและงา่ ย ตอ่ การกลบั ตวั ได ้ ทา่ นทเ่ี คยอา่ นประวตั ขิ องมหาตมะ คานธ ี จะพบวา่ ทา่ นเลา่ เอาไวว้ า่ ทา่ นไดป้ ฏบิ ตั ธิ รรมะในขอ้ ใหอ้ ภยั อยเู่ ปน็ ประจำ� ขนาด ถกู ตหี วั แตกโดยฮนิ ดกู บั มสุ ลมิ ทะเลาะกนั ตำ� รวจจะเอาเรอื่ ง ทา่ นหวั แตก เลือดออก ท่านบอกให้เอาเลือดในศีรษะของท่านสมานไมตรีระหว่าง ฮินดูกับมุสลิม ไม่ต้องไปเอาโทษ คราวหนึ่งท่านท�ำผิดแล้วไปขออภัย พ่อ พ่อก็น�้ำตาซึม เอามือลูบศีรษะท่านพร้อมให้อภัย ส่ิงเหล่าน้ี ประทับใจท่านมาตลอด ท่านก็ด�ำเนินชีวิตด้วยอหิงสามาตลอด ด้วย ความประทบั ใจสง่ิ เหล่านี้ 218
ค ว า ม เ ข้ า ใ จ เ ก่ี ย ว กั บ ชี วิ ต อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ เพราะฉะนน้ั ความเหน็ ใจ การใหอ้ ภยั เมตตากรณุ า ลว้ นเปน็ สงิ่ ทม่ี คี วามสำ� คญั มากในการทจ่ี ะแกป้ ญั หาในระหวา่ งบคุ คล ขอใหเ้ รา เข้าใจเขาเห็นใจเขาตามสมควร ผมจะยกตัวอย่างนักปราชญ์ทาง ปรัชญา เช่น โสเครตีส ท่านบอกว่า No one intentionally does wrong “ไมม่ ใี ครตงั้ ใจทำ� ความผดิ ” ทเ่ี ขาทำ� ความผดิ นนั้ เพราะเขาไมร่ ้ ู อันนี้เราอาจจะไม่เช่ือหรือสวนทางกับความรู้สึกของเรา แต่ท่านมี ความเห็นว่าคนที่รู้จริงนั้น จะไม่ท�ำความผิด หรือว่าถ้าเขารู้ถูกต้อง รแู้ ท ้ ทเี่ ขาทำ� ความผดิ เขารเู้ หมอื นกนั ไมใ่ ชไ่ มร่ ู้ แตเ่ ขารผู้ ดิ โดยเฉพาะ ในขณะนนั้ ในขณะทเี่ ขาทำ� ความผดิ นนั้ เขารผู้ ดิ เขาม ี concept ผดิ มคี วามรสู้ กึ ผดิ หรอื บางทสี งิ่ ยว่ั ยวนตา่ งๆ มาทำ� ใหจ้ ติ ใจเขวไปเทา่ นนั้ เอง บางทเี ขาเพยี งแตพ่ ลาด ไมไ่ ดผ้ ดิ จรงิ ๆ บางทใี นทางจติ วทิ ยากส็ อนเรา ว่า Who is right, who is wrong อย่าพูดวา่ ใครถูกใครผดิ แตใ่ ห้ พูดว่า What is right, What is wrong อะไรถูกอะไรผิด แล้วก็ ช้แี จง เปน็ การวา่ ไม่ลงโทษรุนแรงเกนิ ไป แต่บอกวา่ ท่ีเขาท�ำนน้ั ไม่ถกู ไม่ได้บอกว่าเขาเป็นคนผิด ท�ำนองน้ี มันอาจจะไม่ถูกต้องสมบูรณ์ ทีเดียว ท่ีพูดน้ีไม่ใช่ว่าจะปฏิบัติได้กับทุกคน ในบางกรณีก็ใช้ได้หรือ เอาไปใชใ้ ห้เปน็ ประโยชนไ์ ด้ อีกเรื่องหน่ึงเราจะพูดว่า คนเรามีส่ิงที่กลัวอยู่ประการหน่ึงคือ กลวั เขาวา่ เขาวา่ อยา่ งนน้ั เขาวา่ อยา่ งน ้ี เขาไหนกไ็ มร่ ู้ เขาวา่ ในทาง ปฏิบัติ ผมนึกว่าเร่ืองเขาว่าก็ปล่อยให้เป็นเร่ืองเขาว่า อย่าเอามาเป็น เรอื่ งจรงิ จงั มนั เดอื ดรอ้ นเปลา่ ๆ ไมร่ เู้ ขาไหน แลว้ มนั นา่ กลวั เหลอื เกนิ เราว่าอย่างไรกไ็ มร่ ู้ มีแต่เขาว่าอยา่ งเดยี ว กลวั เขาว่า กป็ ลอ่ ยให้เป็น เร่ืองเขาว่าไป มีเร่ืองเล่าว่า มีนักบวชคนหน่ึงมีคนเล่ือมใสมาก ท่าน เป็นคนสอนศาสนาเซน มีโยมอุปัฏฐากคือผู้ท่ีมาบ�ำรุง วันหนึ่งลูกสาว ของโยมอปุ ฏั ฐากเกดิ มที อ้ งขนึ้ มา หาพอ่ ไมไ่ ด้ พอ่ กบ็ บี คน้ั ลกู สาวตอ้ ง 219
แ น ว ท า ง เ พ ิ่ ม ค ุ ณ ภ า พ ช ี ว ิ ต บอกให้ได้ว่าใครเป็นผัวของแก บอกไม่ได้จะตีให้ตาย ลูกสาวก็เลย ซัดทอดไป หาพระว่าท่านฮากูอินเป็นพ่อของเด็ก เพราะลูกสาวส่ง ปิ่นโตเสมอ นึกว่าพ่อคงไม่ท�ำอะไรพระ พ่อจึงโกรธพระมาก ทั้งผัว ทั้งเมียไปหาพระ ต่อว่าว่าอุตส่าห์อุปถัมภ์บ�ำรุงเคารพนับถือแล้ว ท�ำแบบนี้หรือ เลิกนับถือข่าวก็กระฉ่อนไปท้ังหมู่บ้านว่า ท่านฮาดูอิน ดีแต่สอนคนอื่น ตัวเองประพฤติเลวทราม เสียงก็เข้าหูท่านอยู่บ่อยๆ มีคนไปบอก คนก็คลายความเคารพเลื่อมใส ใครไปบอก ท่านก็ว่า “เขาว่าอย่างน้ันหรือ?” แล้วท่านก็น่ิง ไม่ว่าอะไร จนเด็กในครรภ์น้ัน คลอดออกมา ตากบั ยายของเดก็ อมุ้ เดก็ มาใหท้ า่ น วา่ นผ่ี ลงานของทา่ น เล้ียงไว้ด้วย ท่านก็เล้ียงไว้จนอายุครบขวบ จนไฟนรกเผาอกผู้หญิง ที่ไปซัดทอดความผิดให้พระ ตั้งแต่วันน้ันมา มีความรู้สึกผิดอยู่ตลอด เวลา วันหน่ึงทนไม่ไหวก็เลยสารภาพกับพอ่ แมว่ า่ ผวั จรงิ ๆ คอื ลกู จา้ ง ขายปลาข้างบ้าน ไม่ใช่ท่านฮากูอิน พ่อแม่ก็เสียใจ ไปหาพระกราบ แลว้ กราบอกี ขอโทษ ทา่ นกบ็ อกวา่ “เขาวา่ อยา่ งนน้ั หรอื ?” แลว้ ทา่ น กน็ งิ่ แลว้ เขากเ็ อาหลานเขาคนื ไป ทา่ นกใ็ หเ้ อาไป แตถ่ า้ จะอย ู่ ทา่ นก ็ จะเลี้ยงให้อย่างนี้ อะไรท่ีเป็นเรื่องเขาว่าก็ให้เป็นเร่ืองเขาว่าไป เรา ไม่ได้ว่าด้วย เราไม่ได้เป็นไปด้วยจะไปร้อนใจท�ำไม บาปใครท�ำ กรรมใครสรา้ ง มนั กก็ ลบั ไปหาคนนน้ั เอง ไมเ่ ปน็ ไร เราไมไ่ ดท้ ำ� กแ็ ลว้ ไป ทำ� ใจใหม้ นั่ คง พระพทุ ธเจา้ เองมบี ารมเี พยี บพรอ้ มดที กุ อยา่ ง กถ็ กู ใสค่ วามเรื่องท�ำนองนี้ก็มี ท่านก็ทราบเร่ืองนางจิณจมาณวิกา ว่าลาภสักการะเกิดข้ึน กับพระพุทธเจ้ามาก พวกเดียรถีย์นิครนถ์ก็เดือดร้อนริษยา ใส่ความ พระพุทธเจ้า โดยให้ผู้หญิงคนหนึ่งชื่อจิณจมาณวิกาเดินเข้าเดินออก ในวัดเชตวัน ตอนเช้าก็เดินออกจากวัดเชตวัน ตอนเย็นจวนค�่ำก็เดิน เข้าไป แต่ไม่ได้ไปอยู่ท่ีไหนหรอก เพราะวัดเชตวันมีประตูทะลุออก 220
ค ว า ม เ ข้ า ใ จ เ ก่ี ย ว กั บ ชี วิ ต อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ได้ท้ังสองข้าง คนท่ีไปฟังเทศน์ของพระพุทธเจ้าก็เห็นอยู่เป็นประจ�ำ พอประมาณ ๒-๓ เดอื น กเ็ อาผา้ มาพนั ทอ้ งท�ำเปน็ ทอ้ งนนู ขน้ึ มา พอ สกั ๗-๘ เดอื น กเ็ อาไมห้ นาๆ มาคาดพงุ ทำ� เปน็ ทอ้ งแก ่ เชา้ เดนิ ออก มาเยน็ กเ็ ดนิ เขา้ ไป คนกถ็ ามวา่ เธอเดนิ ไปไหนน?่ี มที อ้ งเดนิ ไปเดนิ มา เธอกต็ อบวา่ ไปอยกู่ บั พระสมณโคดม นางพดู อยอู่ ยา่ งน้ี ขา่ วกแ็ พรไ่ ป เอ! พระพุทธเจ้าท�ำอย่างนี้ได้หรือ? พระอานนท์ทนไม่ไหว เดือดร้อน ไปทลู พระพทุ ธเจา้ พระพทุ ธเจา้ ตรสั วา่ “เขาวา่ อยา่ งนน้ั หรอื ?” “ไมเ่ ปน็ ไร อานนท์ไม่ต้องเดือดร้อน” วันหน่ึงพระพุทธเจ้าแสดงธรรมอยู่ นาง จิณจมาณวิกาท้องแก่เต็มที่ ไปช้ีหน้าว่า “แสดงธรรมไพเราะจริงหนอ เหมือนกับโลมนางในห้องนอน แสดงธรรมไพเราะจริงๆ ลูกที่อยู่ใน ทอ้ งนไี้ มเ่ คยเหลยี วแลเลย” พระพทุ ธเจา้ ตรสั ตอบวา่ “นอ้ งหญงิ เรอ่ื ง น้ีเรา ๒ คนเท่านั้นที่รู้กัน” ซ่ึงเป็นค�ำพูดท่ีแทงใจนางจิณจมาณวิกา เพราะตวั รอู้ ยวู่ า่ กำ� ลงั ทำ� อะไร เตน้ ผางเลย เตน้ ไปเตน้ มาไมท้ คี่ าดทอ้ ง เอาไวห้ ลดุ ลงมา ความจรงิ กแ็ ดงออก ถกู ประชาทณั ฑจ์ นตายไป ทท่ี า่ น ว่าแผน่ ดินสูบ สรปุ วา่ เรอื่ งอะไรเปน็ เรอ่ื งทเ่ี ขาวา่ กป็ ลอ่ ยใหเ้ ปน็ เรอื่ งทเ่ี ขาวา่ ต่อไป ไม่เป็นไร ถ้าเรารักษาความดีความบริสุทธ์ิไว้ ธรรมก็รักษาผู้ ประพฤตธิ รรมเอง เชอื่ มน่ั ในเรอ่ื งนแ้ี ลว้ ธรรมยอ่ มจะรกั ษาผปู้ ระพฤติ ธรรมเอง ไมต่ อ้ งกลวั เหมอื นรม่ คนั ใหญใ่ นฤดฝู น ขอใหม้ คี วามเชอื่ มน่ั ในเร่ืองน้ ี แล้วมอบตวั ให้กบั ธรรมไปเลย แล้วแตธ่ รรมจะกรุณา จะดี จะชว่ั ผดิ ถกู จะมผี ลรา้ ยอะไรในอนาคต เราไมเ่ ขา้ ไปเกยี่ วขอ้ ง เรา มอบตวั ใหก้ บั ธรรมแลว้ แลว้ แตธ่ รรมจะใหผ้ ล ถา้ เราทำ� ผดิ ธรรมยอ่ ม ให้ผลร้ายแก่เรา ถ้าเราท�ำดี ธรรมย่อมจะคุ้มครองเรา ไม่ต้องวิตก กังวลถึงอนาคต ท�ำวันน้ีให้ดีท่ีสุด ข้างหน้าช่างมันเถอะ วันนี้ไม่ได ้ หมายความว่าท�ำให้คนประมาท Planning ahead เป็นสิ่งจ�ำเป็น 221
แ น ว ท า ง เ พ ิ่ ม ค ุ ณ ภ า พ ช ี ว ิ ต การวางแผนล่วงหน้าเป็นสิ่งจ�ำเป็น แต่ไม่ต้อง worry การวางแผน ลว่ งหนา้ เปน็ สงิ่ จำ� เปน็ ธรรมะไมใ่ ชส่ ง่ิ ลา้ สมยั ทนั สมยั มากๆ จรงิ ๆ ขอ ให้เราได้เจาะลึกเข้าไปให้รู้ทั่วถึง ให้เข้าใจกันจริงๆ มันมีทุกด้านเลย ของหลายเหลยี่ ม มองในอยา่ งหนง่ึ กเ็ ปน็ อยา่ งหนงึ่ ทา่ นทส่ี วดมนตเ์ ยน็ เปน็ ประจ�ำจะมอี ยคู่ ำ� หน่งึ พุทธสั สาหัง นิยยาเทมิ สะรรี ญั ชวี ิตัญจิทัง ธมั มสั สาหงั นิยยาเทม ิ สะรีรัญชีวิตญั จทิ งั สงั ฆัสสาหงั นยิ ยาเทม ิ สะรีรัญชีวิตัญจิทงั ขา้ พเจา้ ขอมอบชวี ติ และรา่ งกายน ี้ แดพ่ ระพทุ ธ พระธรรม พระ สงฆ์ มอบชีวิตและร่างกายนี้แล้วให้แก่พระธรรม แล้วแต่ธรรม ม ี ธรรมเป็นใหญ่ มีธรรมเป็นธง มีธรรมเป็นประธาน มีธรรมเป็นหลัก ค�ำว่าธรรมในที่น้ีไม่ใช่ธรรมในพระไตรปิฎกท้ังหมด ธรรมนี้คือการ กระท�ำที่ถูกต้อง ธรรมะคือหน้าท่ี Dhamma is duty พจนานุกรม แปลอย่างน้ัน Dhamma is duty, Duty is Dhamma ธรรมะคือ หน้าท่ี ท�ำหน้าท่ีไปให้ถูกต้องดีที่สุด แล้วอะไรจะเกิดขึ้นก็ช่างมันเถอะ ไม่เป็นไร ท�ำใจให้สบาย ความสบายใจเป็นพรท่ีประเสริฐ เป็นทรัพย์ ท่ีประเสริฐของชีวิตอยู่แล้ว จะมีพรใดทรัพย์ใดที่จะประเสริฐยิ่งกว่า ความสบายใจ ทีน้ีถ้าหากเราจะให้สบายใจ ก็ต้องฝังอดีตเสียบ้าง ตัดอนาคตออกเสียบ้าง อยู่แต่ในปัจจุบัน ท�ำวันน้ีให้ดีที่สุด One step enongh for me “ก้าวเดียวพอแล้วส�ำหรับตัวเรา” อยู่ให้ สบายๆ กนิ ใหไ้ ดน้ อนใหห้ ลบั มหี นา้ ทอี่ ะไรกท็ ำ� ไป ไปกงั วลอะไรนกั หนา ชีวติ น้ีไม่มีอะไรมาก อย่างดกี แ็ ค่ตายเท่านัน้ การท�ำงานในหน้าที่ มันสัมพันธ์กันว่า เม่ือเรายังกินอยู่ เรา กต็ อ้ งทำ� งาน แมว้ ันหยดุ ก็ต้องทำ� งานแบบวนั หยดุ งานกบั หนา้ ที ่ งาน 222
ค ว า ม เ ข้ า ใ จ เ กี่ ย ว กั บ ชี วิ ต อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ กับชีวิตเป็นของเกี่ยวเน่ืองกันตลอด คิดอย่างน้ัน มีหลวงตารูปหนึ่ง แกแ่ ลว้ ทา่ นกวาดวดั ทกุ วนั กวาดตามประสาคนแก ่ ทา่ นมลี กู ศษิ ยม์ าก ลกู ศษิ ยเ์ หน็ วา่ หลวงตาอาจารยแ์ กแ่ ลว้ ควรพกั ผอ่ นบา้ ง วนั หนง่ึ ลกู ศษิ ย ์ ไปขโมยไมก้ วาด เสยี ม พลวั่ เครอื่ งมอื การกวาดวดั ของทา่ นเกบ็ หมด เพอ่ื ตอ้ งการไมใ่ หห้ ลวงตาอาจารยท์ ำ� งาน จะไดห้ ยดุ พกั หลวงตาเทย่ี วหา ไมเ่ จอ ไมเ่ จอกด็ ไี มต่ อ้ งทำ� เมอ่ื ไมท่ ำ� พอถงึ เวลาฉนั เชา้ ทา่ นไมย่ อมฉนั ลูกศิษย์มาอ้อนอวนก็ไม่ฉัน ถึงเวลาเพลก็ไม่ฉัน วันรุ่งข้ึนก็นอนเฉยๆ ไมฉ่ นั ทา่ นไมไ่ ดท้ ำ� งานอะไรเลย ฉนั ไดอ้ ยา่ งไร การทำ� งานคกู่ บั การกนิ เมอ่ื ไมท่ ำ� งานกไ็ มค่ วรกนิ ในทสี่ ดุ ลกู ศษิ ยก์ ย็ อมแพ ้ ตอ้ งเอาเครอ่ื งมอื มาคืนท่านดังเดิม ท่านได้กวาดวัดดังเดิม ได้กวาดวัดท่านก็ฉัน น้ีคือ งานกบั การกนิ คนไทยชอบกนิ แตไ่ มค่ อ่ ยชอบท�ำงานเทา่ ไร กนิ ไดม้ าก เท่าไรยิ่งดี ท�ำงานได้น้อยเท่าไรยิ่งดี บางคนปลดเกษียณแล้ว ทีแรก นกึ ว่าพอเกษยี ณแล้วจะนอนใหส้ บาย ทำ� งานมายุง่ แลว้ พอนอนได ้ ๓ วนั กเ็ หงาแลว้ ไมส่ บาย อยากทำ� งาน เรากท็ ำ� ของเราไปเรอื่ ยๆ แกแ่ ลว้ ปลดเกษยี ณแลว้ กต็ อ้ งหาอะไรท�ำไป คดิ หาอะไรทำ� เปน็ งานอดเิ รกไว้ บ้าง อย่างน้อยการอ่านหนังสือก็คือการท�ำงาน ค้นคว้าหาความรู้ ก็ เปน็ การทำ� งานสบายๆ เรื่องต่อไปก็คือ รู้จักตัดตอน การรู้จักเลือกส่วนที่ดี คนเรา มีทั้งดีและไม่ดี เราต้องรู้จักเลือกส่วนท่ีดีของเขา ต้องรู้จักตัดตอน ค�ำว่ารู้จักตัดตอนหมายถึงว่า ถ้าเราไปเห็นใครสักคนเคยไม่ดี เราก็มี concept conclusion สรุปไว้ตลอดว่าคนคนน้ีไม่ดี ไม่คบ บางที เราไปเห็นเขาไม่ดีเม่ือ ๑๐ ปีก่อน บางทีคนนั้นเวลานี้เขาดีมากแล้ว เขาปรับปรุงเขาแก้ไขความประพฤติท่ีเคยไม่ดี เขาอาจเลิกแล้ว เลิก ประพฤตนิ านแล้วแตเ่ ราไมร่ ้ ู เม่ือมาพบกนั ใหม่ ก็มาคิดกนั ใหม่ว่าเขา อาจจะดีแล้วก็ได้ นี่เรียกว่ารู้จักตัดตอน ถ้าไม่รู้จักตัดตอน เราจะคบ 223
แ น ว ท า ง เ พ ิ่ ม ค ุ ณ ภ า พ ช ี ว ิ ต ใครไมค่ อ่ ยได้ แมแ้ ตค่ นทดี่ กี เ็ หมอื นกนั เราตอ้ งรจู้ กั ตดั ตอน ตอนนนั้ เขาดี ตอนน้ีไม่รู้ว่าเขาเป็นอย่างไร ตอนน้ีเขาดีหรือเปล่าก็ไม่รู้ เขา อาจจะเปลี่ยนไปแล้วก็ได้ คนเราเปลี่ยนอยู่เสมอ เปล่ียนไปตาม สิ่งแวดล้อม ตามความจ�ำเป็นหลายอย่าง ความไม่เที่ยงมันครอบง�ำ สงิ่ ทงั้ ปวงอย ู่ เปน็ กฎทเ่ี ฉยี บขาดครอบงำ� สง่ิ ทงั้ หลายทง้ั ปวงอย ู่ เพราะ ฉะนนั้ เราตอ้ งรจู้ กั ตดั ตอน ตอนไหนเขาดกี ว็ า่ เขาด ี ตอนไหนเขาไมด่ ี ก็ว่าเขาไม่ดี แม้คนที่ดีเป็นนักบุญ ย่อมจะเข้าสู่แดนบาปบ้างเป็น ครงั้ คราว คนทเ่ี ปน็ คนบาปกย็ อ่ มจะทำ� ความดไี ดบ้ า้ ง สว่ นไหนดกี ว็ า่ ดี ส่วนไหนชว่ั ก็ว่าช่วั อยา่ งนจ้ี งึ จะถูก มีเรื่องซามูไรมาเล่า มีซามูไรคนหนึ่งท่าทางสง่าผ่าเผยดีมาก เปน็ ซามไู รหนมุ่ เพงิ่ สำ� เรจ็ การศกึ ษา เจา้ นายใหไ้ ปอยรู่ บั ใชซ้ ามไู รผใู้ หญ ่ เนอื่ งจากวา่ เปน็ คนมรี ปู รา่ งหนา้ ตาด ี สภุ าพออ่ นนอ้ ม จงึ ไดไ้ ปผกู สมคั ร รกั ใครต่ ดิ ใจภรรยาของซามไู ร ไดเ้ สยี กนั จนผเู้ ปน็ สามที ราบ ซามไู รหนมุ่ ก็ฆ่าสามีเขาเสีย ท�ำความผิดคร้ังท่ีหนึ่งยังไม่พอ ได้ท�ำความผิดคร้ังท ี่ สองอีก ฆา่ แล้วก็พาเมยี เขาหนไี ปอยู่ดว้ ยกัน ระยะหนงึ่ น�ำ้ ผึง้ หวานก ็ กลายเป็นขม เกิดความระหองระแหงจนเลิกกันไป ซามูไรคนน้ีจึงอยู่ คนเดียว วันหนึ่งได้ไปที่ภูเขาแห่งหน่ึง เห็นคนเดินทางข้ามภูเขาด้วย ความลำ� บาก ตอ้ งปนี ภเู ขาขน้ึ ไป จงึ จะไปฝง่ั โนน้ ได ้ แกกค็ ดิ วา่ เรานา่ จะ ท�ำความดีล้างความชั่ว คิดว่าจะเจาะภูเขาท�ำทางให้คนเดินผ่านโดย ไมต่ อ้ งปนี ขนึ้ ไป กลางวนั กท็ ำ� งานหาเลยี้ งชพี กลางคนื เจาะภเู ขาจนถงึ เวลา ๕ ทมุ่ เทย่ี งคนื จงึ นอน เชา้ ขน้ึ มากไ็ ปหากนิ กลางคนื กม็ าเจาะ ภูเขา ท�ำอย่อู ยา่ งน้หี ลายปี จนกระทง่ั ลกู ชายของซามไู รชราโตเปน็ หนมุ่ ทราบเรอ่ื งในอดตี เขา้ ตอ้ งการแกแ้ คน้ แทนพอ่ กเ็ ทย่ี วตามหาผทู้ ฆี่ า่ พอ่ เปน็ ใคร อยทู่ ไี่ หน 224
ค ว า ม เ ข้ า ใ จ เ กี่ ย ว กั บ ชี วิ ต อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ก็ไปเจอเข้าขณะที่ก�ำลังเจาะภูเขา ได้เล่าให้ฟังว่าก�ำลังตามตัวฆ่าอยู ่ ซามูไรท่ีเคยท�ำความผิดก็บอกว่าไม่เป็นไร ฆ่าก็ได้ แต่ว่าขอให้เจาะ ภเู ขานเี้ สรจ็ กอ่ น ยงั เหลอื อกี ไมเ่ ทา่ ไรกเ็ สรจ็ แลว้ เจา้ นก่ี น็ ง่ั คอยใหเ้ ขา เจาะภเู ขาใหเ้ สรจ็ จะไดฆ้ า่ แกแ้ คน้ แตค่ วามแคน้ มนั กรนุ่ อย ู่ ไมท่ นั ใจ ก็เลยช่วยเขาเจาะภูเขาด้วย จะได้เสร็จเร็วๆ จะได้ฆ่าได้เร็วข้ึน กะ ประมาณว่า ๒ ปี จะเจาะภูเขาเสร็จ พอช่วยเจาะด้วยก็เหลือปีเดียว เมอ่ื เจาะเสรจ็ เรยี บรอ้ ย ซามไู รกแ็ กแ่ ลว้ บอกวา่ เอาละ่ พอ่ หนมุ่ งานเจาะ ภูเขาของเราเสร็จเรียบร้อย เหลือแต่งานแก้แค้นของพ่อหนุ่ม ให้เร่ิม ท�ำงานแก้แค้นได้ ว่าแล้วก็น่ังขัดสมาธิ ก้มหัวลงให้ล�ำคอมันพอที่จะ ฟนั ไดส้ ะดวก ซามไู รหนมุ่ กช็ กั ดาบออกมา ยนื ชะงกั อยคู่ รหู่ นง่ึ กท็ ง้ิ ดาบ คกุ เขา่ ลงบอกวา่ ผมจะฆา่ อาจารยข์ องผมไดอ้ ยา่ งไร ซามไู รแกถ่ ามวา่ ท�ำไมจึงไม่ฆ่า ตอบว่า ตลอดเวลาท่ีมาอยู่ท่ีน่ี ๒ ปี ได้เรียนรู้อะไรๆ จากทา่ นอาจารยเ์ ยอะ ความแคน้ มนั หายไปหมด เหลือแตเ่ ห็นความด ี ของบคุ คลผนู้ ้ี กเ็ ลยนบั ถอื เปน็ อาจารย์ นค่ี อื เรอ่ื งการรจู้ กั ตดั ตอน วา่ ตอนนั้นเขาท�ำอย่างนี้ แต่ตอนน้ีเขาไม่ได้ท�ำแล้ว เขาท�ำความดีแล้ว รสู้ กึ ผดิ แลว้ รจู้ กั ตดั ตอนทำ� ใหเ้ ราสบายใจไดม้ ากเลย เรอ่ื งทำ� นองนกี้ ม็ ี ในพระพทุ ธศาสนาในชาดก เชน่ ฑฆี าวกุ มุ าร ขอใหท้ า่ นไดไ้ ปอา่ นเอง น่ีเป็นของฝากเล็กๆ น้อยๆ จากผม เนื่องในโอกาสส้ินปีเก่า ขนึ้ ปีใหม่ ว่ากันจรงิ ๆ แลว้ ปีเกา่ ปใี หม่มนั ไม่มี เราสมมตกิ ันเอง มัน ก็เป็นธรรมดาของมันอย่างน้ัน วันก็มีอย ู่ ๗ วัน เดือนก็ม ี ๑๒ เดือน เหมอื นเดมิ แตเ่ ราสมมตกิ นั วา่ น ่ี ๒๑, ๒๒ นำ� มาสมั พนั ธก์ นั และสมมต ิ กัน จริงๆแล้ว ไม่มี มันเป็นความจริงโดยสมมติ เราอยู่ในโลกของ สมมต ิ กต็ ้องยอมรับสมมติบา้ ง 225
แ น ว ท า ง เ พ ่ิ ม ค ุ ณ ภ า พ ช ี ว ิ ต ชว่ งตอบค�ำถาม ทำ� อยา่ งไรจงึ จะหายโกรธได้ เวลากำ� ลังโกรธจัดๆ เวลากำ� ลงั โกรธจดั ๆ ตอ้ งปลอ่ ยใหโ้ กรธไปกอ่ น เพราะ ว่ามันป้องกันไม่ได้แล้ว สักครู่ค่อยหยุด อย่าโกรธให้นานนัก วิธีที่ จะท�ำให้ดี คือการป้องกันอย่าให้โกรธ ความโกรธเป็นอันตรายมาก บางทเี ราทำ� งานทง้ั วนั ไมเ่ หนอ่ื ยเทา่ กบั โกรธ ๑๐ นาท ี โดยเฉพาะคน อายุมาก ๔๐-๕๐ ปีไปแล้ว เวลาโกรธสัก ๑๐ นาที น้ีเหน่ือยมาก หวั ใจจะวายใหไ้ ด ้ ทำ� อยา่ งไรจงึ จะหายโกรธ เวลาโกรธจดั ๆ หายใจแรง หน่อย ต้องคิดให้ได้ว่าอย่าท�ำร้ายตัวเอง เราก�ำลังท�ำร้ายตัวเองแล้ว พอโกรธกใ็ หร้ สู้ กึ วา่ เรากำ� ลงั ทำ� รา้ ยตวั เองแลว้ ทำ� ไมเราจงึ ตอ้ งทำ� รา้ ย ตัวเอง คนท่ีเราโกรธ บางทีเขาไม่รู้สึกอะไรเลย แต่บางทีเราแย่ ผม บอกญาติพี่น้องผมว่า อย่าเอาทองไปครูดกับอิฐเลย คือเราไปโกรธ คนทไ่ี มไ่ ดค้ วาม เรามคี ณุ คา่ มคี วามดมี ากมายเหมอื นกบั ทอง แลว้ ไป โกรธคนที่เหมือนกับหิน เหมือนเอาทองไปครูดกับหิน ทองมันก็พัง อยา่ ทำ� รา้ ยตัวเอง พอนกึ ไดอ้ ยา่ งน้ีบางทีมนั หาย อย่าไปแลกเลย อยากทราบว่า ฌาน และ เซน ต่างกันหรือเหมอื นกนั อยา่ งเดยี วกนั เรยี กนกิ ายฌานบา้ ง นกิ ายเซนบา้ ง เซน เปน็ ภาษาญป่ี ุ่นกค็ ือฌานน่ันเอง เหมอื นกนั เหตใุ ดจงึ บอกว่าให้ทำ� งานแต่เฉพาะวันนั้นๆ ทำ� ไมไม่ม ี การวางแผนวนั ต่อไป 226
ค ว า ม เ ข้ า ใ จ เ กี่ ย ว กั บ ชี วิ ต อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ผมเรยี นแลว้ วา่ Planning ahead การวางแผนลว่ งหนา้ เป็นส่ิงจ�ำเป็น แต่ว่าอย่า worry วางแผนล่วงหน้าแล้วก็ท�ำไป งานที่ เราทำ� ไดค้ อื งานทอี่ ยใู่ นมอื ของเราในปจั จบุ นั พรงุ่ นเี้ รายงั ทำ� ไมไ่ ด ้ สงิ่ ท ี่ เปน็ อนาคตเรายงั ทำ� ไมไ่ ดเ้ ลย เราทำ� ไดเ้ ฉพาะสง่ิ ทเี่ ปน็ ปจั จบุ นั เพราะ ฉะนน้ั ถา้ เรายงั มชี วี ติ อยกู่ บั ปจั จบุ นั แลว้ ทำ� ปจั จบุ นั ใหด้ ที สี่ ดุ อนาคตก็ ดีเอง วันนี้ดี พรุ่งนี้ก็ดีเอง ถูกไหมครับ? เพราะวันน้ีก็เป็นอดีตของ พรงุ่ น ี้ อดตี กเ็ สรมิ ปจั จบุ นั วนั นด้ี ี กแ็ สดงวา่ อดตี ของพรงุ่ นกี้ ด็ ี ทำ� วนั น้ ี ใหด้ ีที่สุดก็พอแล้ว พรุ่งนี้กช็ ่างมัน แตก่ ารวางแผนเป็นสิ่งจ�ำเป็น การคดิ เชน่ นนั้ เปน็ การหดั คดิ ของคนมอี าย ุ คนหนมุ่ หาก ไม่คิดถึงวนั ขา้ งหน้า จะมชี วี ติ เพ่อื อะไร ถงึ เปน็ คนหนมุ่ กต็ อ้ งทำ� ปจั จบุ นั ใหด้ ที สี่ ดุ พอพรงุ่ นม้ี าถงึ เรากบ็ อกวา่ พรงุ่ นก้ี เ็ ปน็ วนั น ี้ ถกู ไหมครบั กท็ ำ� ใหด้ ที สี่ ดุ มนั มาถงึ ทลี ะวนั ๆ ไม่ได้มาทีละ ๒ วัน อีกอันหน่ึงก็คล้ายกัน คือท่านให้ปฏิบัติต่อคนที ่ อยหู่ นา้ ทา่ นใหด้ ที ส่ี ดุ แลว้ ทา่ นจะปฏบิ ตั ดิ ตี อ่ ทกุ คน ทา่ นจงปฏบิ ตั ใิ หด้ ี ทส่ี ดุ ตอ่ คนทอ่ี ยตู่ อ่ หนา้ ทา่ น คนอน่ื ไมต่ อ้ งพดู ถงึ ทา่ นจะเปน็ คนมเี สนห่ ์ ใครเขา้ ใกล้ก็รัก ลัทธิเซน ลัทธิเต๋า มีมาจากพุทธศาสนา ใช่หรือไม ่ อยา่ งไร เซนนใี่ ช ่ เซนนกิ ายพระพทุ ธศาสนานกิ ายมหายาน ลทั ธิ เต๋านีไ่ ม่ใช ่ เป็นของเลา่ จือ้ นกั ปราชญจ์ ีนสมัยใกล้ๆ กับพระพทุ ธเจา้ ในโลกปัจจุบัน ค�ำว่า “ค่าของคนอยู่ท่ีผลงาน” หรือ “ทำ� ดไี ดด้ ี ท�ำชั่วได้ชั่ว” ยังมีอยู่หรือไม่ ผมเห็นมีแต่ “ค่าของคน อยู่ ที่คนของใคร” อยากจะฟงั ความเห็นของทา่ นอาจารย์ 227
แ น ว ท า ง เ พ ิ่ ม ค ุ ณ ภ า พ ช ี ว ิ ต ผมยงั คงยนื ยนั อยวู่ า่ “ทำ� ดไี ดด้ ี ทำ� ชวั่ ไดช้ วั่ ” ยงั มอี ยแู่ นๆ่ แม้จะเป็นคนของใคร ถ้าเราไม่ดี เป็นคนไม่ดีเขาก็ไม่เอา แม้จะเป็น คนของเขา สมมตวิ า่ เปน็ คนของคณุ วราวธุ ถา้ ไมด่ ี คณุ วราวธุ กไ็ มเ่ อาไว ้ เพราะไปทำ� ใหเ้ ขาเสยี ผใู้ หญเ่ ขารกั ษาชอื่ เสยี งรกั ษาเกยี รต ิ เพราะฉะนนั้ แมว้ า่ เราจะไมใ่ ชค่ นของเขา แตเ่ ราเปน็ คนด ี สมมตวิ า่ นายคนนน้ั อคต ิ เราอาจจะไมเ่ จรญิ รงุ่ เรอื งเทา่ ทคี่ วร จะเปน็ ไปเพยี งชวั่ คราวเทา่ นนั้ ใน ทสี่ ุดก็จะต้องดี จะประยุกต์ตนเองอย่างไรกับผู้ที่เกลียดเรา ขณะน้ี ไมโ่ กรธ และแผเ่ มตตาให้อยู่เสมอ ดีแล้วท่ีไม่ถือโกรธและแผ่เมตตาให้ คนท่ีเป็นคู่อร ิ ต่อกัน ใครไม่โกรธคนน้ันชนะ เราถือไพ่เหนืออยู่แล้วถ้าไม่โกรธ ถ้า คนไหนโกรธคนนน้ั แพ ้ แพอ้ ยเู่ สมอ คนทเ่ี ปน็ คอู่ รมิ เี วรตอ่ กนั คนไหน มีเมตตา มีความกรุณา มีความหวังดี มีจิตใจปรารถนาดีต่อเขาอยู ่ ตลอดเวลา คนนน้ั ชนะ ชนะทงั้ ความรสู้ กึ ของตนเอง และในบนั้ ปลาย ก็ชนะด้วย ไม่มีทางที่จะแพ้ได้ ผมเองก็ได้ประสบมาเยอะแล้วใน ชวี ิตสว่ นตัว เพราะฉะนนั้ ท่ที ่านทำ� อยู่ขณะนดี้ แี ล้ว มวี ิธีใดทจี่ ะแก้ไขคนใกล้ชิดทีห่ งดุ หงิดงา่ ย มีหลายวิธี เราต้องเย็นให้เขาดู เขาหงุดหงิดมาเราก็ เยน็ ไป บางทเี จา้ ของบา้ นบางคนตอ้ งละอายคนรบั ใช ้ เพราะคนรบั ใชน้ ี ่ แกหงดุ หงดิ ไมไ่ ด้ โกรธตอบไมไ่ ด้ แกแสดงอาการเปน็ ฟนื เปน็ ไฟไมไ่ ด้ หายโกรธแล้วเราต้องละอายคนใช้ เพราะเรายังโกรธอยู่ คนใช้ย้ิมได้ เย็นได้ นอกจากเราจะเย็นไม่ค่อยได้ เราก็หงุดหงิดตาม หงุดหงิด แขง่ กนั ไปเลย เราอย่าไปช้ปี มเดน่ ของเขา อยา่ ไปย�ำ้ ปมดอ้ ยของเขา 228
ค ว า ม เ ข้ า ใ จ เ กี่ ย ว กั บ ชี วิ ต อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ การบังคบั บญั ชาการงาน ต้องมกี ารว่ากลา่ ว ตกั เตือน ลงโทษ จะพิจารณาวางจติ อยา่ งไร ทงั้ ผ้วู ่ากลา่ วและผู้ถูกกล่าว ผวู้ า่ กลา่ วตอ้ งนกึ วา่ เขาทำ� ไปตามหนา้ ท ี่ ผถู้ กู วา่ กลา่ วก็ ขอให้นึกว่าท่านทำ� ไปตามหน้าท่ีของท่าน เรามีหน้าท่ีรับฟัง แค่นี้ก็อยู่ กนั ได ้ ไมเ่ ปน็ ไร ท�ำความดเี พ่อื ชนะจิตใจคนไม่ดนี นั้ ท�ำดอี ย่างไร ให้ท�ำดีไปตามปกติของเราแล้วก็ชนะเอง ไม่ต้องหวัง อะไรมาก ท�ำไปตามธรรมชาติ ธรรมชาติของเราเป็นอยา่ งน ้ี จะชนะ คนทไ่ี มด่ ีเอง เขามองเหน็ เอง ผมขอย้�ำวา่ อะไรๆ สว่ นมากเรากพ็ อรๆู้ กนั อย่ ู ปญั หาส�ำคญั อยทู่ ภี่ าคปฏบิ ตั ิ ขอใหม้ คี วามตง้ั ใจทจ่ี ะทำ� ทำ� ใหไ้ ด ้ พยายามทำ� ใหไ้ ด้ เราชนะตวั เอง ทำ� ใหไ้ ด้ เทา่ นไี้ มม่ อี ะไรมาก สว่ นมากเรากร็ ๆู้ กนั อย่ ู การฟังก็ยังมีประโยชน ์ เพราะท�ำให้เราได้สต ิ อย่างน้อยก็เป็นเครื่อง เตอื นจติ สะกดิ ใจ ผมกช็ อบฟงั ธรรม ฟงั ทกุ วนั ทางวทิ ย ุ มนั สะกดิ ใจเรา มนั เตอื นเรา ประโยชนจ์ รงิ ๆ อยทู่ ก่ี ารปฏบิ ตั ไิ ด ้ ทำ� ได ้ ความหวงั เปน็ เร่ืองของจิตใจ ผลส�ำเร็จเป็นเรื่องของการปฏิบัติ ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะ หวังอะไรก็ได้ แต่ทุกคนไม่มีสิทธ์ิจะท�ำส�ำเร็จได้ตามท่ีหวัง เพราะว่า ปฏิบตั ิได้ไมเ่ ทา่ กนั ขอขอบคณุ 229
230
๑๑บ ท ท่ี ท�ำอยา่ งไรจึงจะทุกขน์ ้อย แกช่ ้า และอายยุ นื ความมที กุ ขน์ อ้ ย แกช่ า้ และอายยุ นื เปน็ ทต่ี อ้ งการของคนทกุ คน แต่ ความปรารถนาของคนเราจะสำ� เรจ็ กต็ อ่ เมอื่ ประกอบเหตใุ หส้ มควรกนั ไม่ใชเ่ พยี งแตน่ ัง่ นกึ น่ังฝนั เอา แล้วจะสำ� เร็จ เหตทุ ่ีจะท�ำใหม้ ีทุกข์น้อย แกช่ า้ และอายยุ นื นนั้ พระพทุ ธองคท์ รงแสดงไวอ้ ยา่ งนอ้ ย ๒ ประการ คอื ๑. มสี ตทิ ุกเม่อื ๒. รู้จักประมาณในอาหารท่ีไดแ้ ล้ว 231
ท ํ า อ ย ่ า ง ไ ร จ ึ ง จ ะ ทุ ก ข ์ น ้ อ ย แ ก ่ ช ้ า แ ล ะ อ า ย ุ ย ื น ๑. มีสตทิ กุ เมือ่ ฟงั แตเ่ พยี งเท่านีเ้ ปน็ หลกั เล็กน้อยเหลอื เกิน แตค่ วามจรงิ ไม่ใช ่ เรอื่ งเลก็ นอ้ ย เป็นเร่อื งสำ� คญั ยิ่งใหญท่ ีเดยี ว สตเิ ปน็ ธรรมมอี ปุ การะมากในการทำ� พดู คดิ มคี นเปน็ อนั มาก ทไ่ี มห่ มนั่ เจรญิ สต ิ ทำ� พดู คดิ อยา่ งไมม่ สี ต ิ คอื ขาดความระมดั ระวงั จึงเป็นเหตุให้ท�ำผิด พูดผิด คิดผิด จะเร่ิมต้นจากความคิดผิดก่อน แล้วจึงพูดผิดหรือท�ำผิด เมื่อผิดพลาดแล้วก็ได้รับความทุกข์ จากการ ตเิ ตยี นของผอู้ นื่ บา้ ง จากความส�ำนกึ ผดิ ของตนเองบา้ ง เมอื่ จติ มที กุ ข์ อาการแห่งผู้มีทุกข์ก็ปรากฏออกมาทางสรีระ เช่น สีหน้าเศร้าหมอง ดวงตาไม่แจ่มใส ต�ำหนิตนเอง ลงโทษตัวเอง ก�ำลังกาย ก�ำลังใจ ถดถอยลง ทำ� ให้แก่เร็วและอายสุ ัน้ ส่วนผู้ที่มีสติ ระมัดระวังในการคิด การท�ำและการพูด ย่อม ท�ำให้คิดถูก พูดถูก ท�ำถูก ความรู้สึกตนว่า “ถูกต้องแล้ว” นั้นเป็น ก�ำลังใจ ท�ำให้ม่ันใจ สีหน้าและแววตาสดใสร่าเริง เช่ือม่ันในตนเอง มีความสขุ แก่ช้าและอายุยืน ไมเ่ พยี งเทา่ นนั้ สต ิ ทา่ นยงั หมายถงึ ความไมป่ ระมาท อนั ความ ไมป่ ระมาทนน้ั เปน็ ธรรมส�ำคญั ยง่ิ ใหญป่ ระการหนงึ่ ในหลกั ค�ำสอนของ พระพุทธเจ้า ถึงกับตรัสว่า พระธรรมท่ีเป็นกุศลท้ังหลายรวมลงใน ความไม่ประมาท มีความไม่ประมาทเป็นมูล และมีความไม่ประมาท เปน็ เลศิ (อปปฺ มาทมลู กา อปปฺ มาทสโมสรณา อปปฺ มาโท เตสํ อคคฺ - มกฺขายติ) เหมือนรอยเท้าสัตว์บกท้ังหลายรวมลงในรอยเท้าช้าง เพราะรอยเท้าชา้ งใหญ่ที่สุด 232
ค ว า ม เ ข้ า ใ จ เ ก่ี ย ว กั บ ชี วิ ต อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ เมื่อจวนจะปรินิพพาน พระศาสดาก็ตรัสเป็นพระปัจฉิมโอวาท ให้ภิกษุทั้งหลาย (รวมท้ังคฤหัสถ์ด้วย) เป็นอยู่ด้วยความไม่ประมาท แสดงวา่ ทรงเหน็ ความสำ� คญั ยงิ่ ใหญข่ องความไมป่ ระมาทเปน็ อยา่ งมาก ทรงสอนพุทธบริษัทให้มีสติ ไม่ประมาทในการละกายทุจริต ประพฤติกายสุจริต ในการละวจีทุจริต ประพฤติวจีสุจริต ในการละ มโนทุจริต ประพฤติมโนสุจริต ในการละความเห็นผิด ท�ำความเห็น ใหถ้ กู รวมความวา่ ไมป่ ระมาทในการละทจุ รติ ประพฤตอิ ยใู่ นสจุ รติ คนที่ประพฤติทุจริตอยู่เสมอนั้นย่อมน�ำอันตรายจากภายนอกมาสู ่ ตนเอง จากพวกทุจริตด้วยกันบ้าง จากเจ้าหน้าท่ีบ้านเมืองผู้รักษา ความเปน็ ธรรมในสงั คมบา้ ง และชอื่ วา่ กอ่ ศตั รภู ายใน ขา้ ศกึ ภายในขนึ้ ในตนเอง ตนของตนน่ันแหละเป็นศัตรูของตนเอง ย่อมเดือดร้อน เพราะกรรมของตนเอง สาน ิ กมมฺ าน ิ นยนตฺ ิ ทคุ คฺ ต ึ กรรมของตนเอง น�ำไปสู่ความตกต่ำ� ล�ำบาก ท�ำให้มีทุกข ์ แก่เร็วและอายุสั้น เพราะถูก ฆ่าถูกเบียดเบียนตอบบ้าง เพราะความส�ำนึกในบาปแผดเผาเอาบ้าง ทั้งนี้ก็เพราะตนประมาทขาดสติยับย้ัง ประพฤติอยู่ในทุจริต ข้ึนช่ือว่า กรรมชว่ั จะใหผ้ ลเปน็ สขุ นน้ั ไมม่ ี ผทู้ ำ� บาป ประกอบตนไวด้ ว้ ยบาป แม ้ จะพูดว่ารักตน ก็หาช่ือว่ารักตนไม่ เพราะกระท�ำสิ่งอันจะน�ำภัยพิบัต ิ มาสตู่ นเหมอื นศตั รทู ำ� ใหแ้ กก่ นั กต็ นนน่ั แหละตงั้ ตนเปน็ ศตั รกู บั ตนเอง กอ่ นแลว้ จงึ เปดิ โอกาสใหศ้ ตั รภู ายนอกและความทกุ ขต์ า่ งๆ หลงั่ ไหล เขา้ มา ส่วนผู้มีสติยับยั้ง ไม่ประมาท รู้จักคิด ต้ังตนอยู่ในสุจริต สมำ่� เสมอ แมจ้ ะตอ้ งทกุ ขย์ ากล�ำบากบา้ งในเบอื้ งตน้ เพอ่ื รกั ษาตนไวใ้ น สจุ รติ เพอื่ รกั ษาความดกี ต็ อ้ งอดทนเหมอื นชาวนาชาวสวน ปลกู พชื ผกั 233
ท ํ า อ ย ่ า ง ไ ร จ ึ ง จ ะ ทุ ก ข ์ น ้ อ ย แ ก ่ ช ้ า แ ล ะ อ า ย ุ ย ื น ของตน เมอื่ พืชผกั หรอื พนั ธไุ์ มใ้ หผ้ ลย่อมไดร้ ับผลอันชนื่ ใจ ตน้ ไมบ้ าง พนั ธใ์ุ หผ้ ลยง่ั ยนื เปน็ เวลา ๔๐-๕๐ป ี โดยทเี่ ราปลกู ทเี ดยี ว ระหวา่ งทยี่ งั ไมใ่ หผ้ ลกใ็ หร้ ม่ เงา ใหค้ วามชมุ่ เยน็ แกร่ า่ งกายและสายตา คนทำ� ความด ี รสู้ กึ ตนวา่ ไดท้ ำ� ความด ี ทำ� สง่ิ ทถ่ี กู ตอ้ ง ยอ่ มชมุ่ ชน่ื ใจอยเู่ สมอ แมผ้ ลด ี ท่ีตนหวังจะยังไม่ปรากฏก็ยังมีหวังอย่างม่ันใจ ส่วนคนท�ำชั่ว ตั้งตน อยใู่ นทจุ รติ แมผ้ ลแหง่ ทจุ รติ ยงั ไมป่ รากฏกอ็ ดหวน่ั ใจมไิ ดเ้ พราะเหตนุ ้ี พระบรมศาสดาจงึ ตรัสวา่ “อกตํ ทกุ กฺ ฏ ํ เสยโฺ ย ปจฺฉา ตปฺปติ ทุกกฺ ฏํ กตญฺจ สุกต ํ เสยโฺ ย ย ํ กตวฺ า นานตุ ปปฺ ต”ิ แปลวา่ “อยา่ ทำ� ความชวั่ ดกี วา่ เพราะความชวั่ ตามแผดเผาภาย หลงั ได้ ท�ำความดดี กี ว่า เพราะทำ� แลว้ ไมเ่ ดือดร้อนภายหลัง” เพยี งแตค่ ดิ จะทำ� ความดกี ็ท�ำใหใ้ จเปน็ สขุ แล้ว และเป็นผลดตี อ่ สุขภาพกายสุขภาพจิตอย่างน่าพิศวง แม้เพียงเราเห็นคนอ่ืนท�ำดีและ ท�ำใจให้อนุโมทนาอย่างรู้สึกประทับใจในความดีของเขา อยากจะเอา อย่างบ้าง ก็ท�ำให้ภูมิต้านทานโรคในตัวเราสูงข้ึนกว่าปกติแล้ว ถ้าเรา ได้ลงมือท�ำความดีเอง รู้สึกชุ่มชื่นใจในกุศลท่ีได้ท�ำ จะเป็นผลดีต่อ รา่ งกายและจติ ใจเพยี งใด การหมนั่ ทำ� ความดจี งึ เปน็ วธิ หี นง่ึ ในการชนะ ทกุ ขแ์ ละสร้างสุข ทำ� ใหแ้ ก่ชา้ และอายยุ ืน “ผู้ปรารถนาอายุ ความไม่มีโรค ผิวพรรณดี สวรรค์ การเกิด ในตระกูลสูง และสิ่งอันน่าพอใจอ่ืนๆ อีกอันโอฬาร พึงบ�ำเพ็ญความ ไมป่ ระมาท บณั ฑติ ทง้ั หลายสรรเสรญิ ความไมป่ ระมาทในการทำ� ความด ี (บุญญกิริยา) บัณฑิตผู้ไม่ประมาทย่อมยึดประโยชน์ทั้ง ๒ ไว้ได ้ คือ ประโยชน์ในปจั จุบันและประโยชนภ์ ายหน้า”๑ ๑ พระพุทธพจน ์ พระไตรปิฎก เลม่ ๑๕ ข้อ ๓๘๐ 234
ค ว า ม เ ข้ า ใ จ เ กี่ ย ว กั บ ชี วิ ต อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ “เพราะฉะน้ันแล มหาบพิตร พระองค์พึงส�ำเหนียกว่า จักเป็น ผู้มีกัลยาณมิตร กัลยาณสหาย กัลยาณชนเป็นที่คบหา และจะต้อง ทรงดำ� เนนิ พระจรยิ าอาศยั ธรรมขอ้ หนงึ่ อยคู่ อื ความไมป่ ระมาทในกศุ ล ธรรมทั้งหลาย เม่ือทรงไม่ประมาทอยู่เช่นน้ี ชนท้ังหลายทุกหมู่เหล่า ผู้อาศัยพระองค์อยู่ก็จะไม่ประมาท เป็นอันพระองค์ได้คุ้มครองรักษา พระองคเ์ อง ได้คุ้มครองรักษาฝ่ายในและบริวารท้ังปวง แมเ้ รือนครัว ย้งุ ฉาง กเ็ ปน็ อนั ไดค้ มุ้ ครองรกั ษาด้วย”๒ พระผมู้ พี ระภาค ทรงชกั ชวนพทุ ธบรษิ ทั ใหส้ รา้ งความไมป่ ระมาท คอื การรกั ษาจติ ดว้ ยสตดิ ว้ ยตนเอง มสี ตไิ มป่ ระมาท ในฐานะทงั้ ๔ คอื ๑. ระวงั จติ มใิ หก้ ำ� หนดั ในอารมณอ์ นั เปน็ ทตี่ ง้ั แหง่ ความกำ� หนดั ๒. ระวงั จติ มใิ หข้ ดั เคอื งในอารมณอ์ นั เปน็ ทต่ี งั้ แหง่ ความขดั เคอื ง ๓. ระวังจิตมใิ หห้ ลงในอารมณอ์ ันเปน็ ทตี่ ัง้ แหง่ ความหลง ๔. ระวงั จิตมิให้มัวเมาในอารมณอ์ ันเปน็ ทีต่ ัง้ แหง่ ความมัวเมา เมอ่ื มสี ง่ิ ยว่ั ยวนใหก้ ำ� หนดั ขดั เคอื ง ลมุ่ หลง และมวั เมา มนษุ ย ์ เราส่วนมากก็อดไม่ได้ท่ีจะก�ำหนัดเป็นต้น ไปตามส่ิงยั่วยวนนั้นแล้ว ตกเป็นทาสของมัน เม่อื ตกเปน็ ทาสของสิง่ ใด กต็ ้องอยู่ใต้อำ� นาจของ สง่ิ นน้ั ไมเ่ ปน็ อสิ ระแกต่ วั จำ� ตอ้ งทนทกุ ขท์ รมานกบั สงิ่ นน้ั ๆ สลดั ออก ไมไ่ ด้ บางคนเป็นทาสของความรัก เม่ือไม่ได้ตามปรารถนาก็เบียด เบยี นตนเองบา้ ง เบยี ดเบยี นผอู้ น่ื บา้ ง เมอ่ื ไดส้ มรกั กต็ อ้ งทกุ ขด์ ว้ ยการ ห่วง หวง กังวล น้อยใจไปต่างๆ เกี่ยวกับบุคคล และสิ่งอันเป็นท่ีรัก กนั ไม่สงบสขุ ลงได้ ๒ ตรัสแกพ่ ระเจา้ ปเสนทิโกศล ณ วัดเชตวนั เมอื งสาวตั ถี พระไตรปิฎก เล่ม ๑๕ ขอ้ ๓๘๔ 235
ท ํ า อ ย ่ า ง ไ ร จ ึ ง จ ะ ทุ ก ข ์ น ้ อ ย แ ก ่ ช ้ า แ ล ะ อ า ย ุ ย ื น บางคนเปน็ ทาสของความโกรธ เกลยี ด พยาบาท รษิ ยา ทำ� ให้ จติ รอ้ นรน กระวนกระวาย เหมอื นเอาไฟไปสมุ ไวใ้ นอก โกรธ เกลยี ด พยาบาท ริษยาเขา แต่ใจเรามันถูกเผาเอง ถ้าคนที่เราโกรธ เกลียด ไมร่ ับรู้ หรือร้แู ต่ไมร่ บั เอาความโกรธเกลียดของเราไปใสใ่ จเขา เราก ็ เดอื ดรอ้ นอยคู่ นเดยี ว ทำ� รา้ ยตวั เองแทๆ้ ถา้ สนองกเิ ลสตวั โกรธของตน ให้ไปท�ำร้ายผู้อื่น เช่น ฆ่าเขาตาย ตัวเองต้องไปติดคุก ต้องทนทุกข ์ อนั ยาวนานเพียงใด บางคนหลงใหลในอบายมุข เป็นทาสของอบายมุข เช่น การ พนนั เปน็ ตน้ ถอนตนออกมาไมไ่ ด ้ ผลาญเวลา ผลาญทรพั ยส์ นิ ผลาญ สขุ ภาพอนามยั ของตน ทำ� ลายความไวว้ างใจของผอู้ นื่ สรา้ งความผดิ หวงั แกล่ กู เมยี พอ่ แมญ่ าตพิ นี่ อ้ ง เปน็ ทดี่ หู มนิ่ ของเพอ่ื นฝงู บรวิ าร เพราะ ตนสรา้ งส่ิงนนั้ ขึน้ เอง เมอ่ื ไดห้ ลงใหลในสงิ่ ใดแลว้ กม็ กั มวั เมาในสง่ิ นนั้ เหมอื นตดิ สรุ า หลงใหลในรสชาติของมัน มัวเมาในการท่ีมันท�ำให้เพลินสนุกสนาน ไม่ค�ำนึงถึงพิษของมันท่ีซ่อนอยู่ อันตรายของมันซ่ึงดักอยู่ข้างหน้า สงิ่ เสพตดิ ทงั้ หลายมกั มอี ำ� นาจยวั่ ยวนอยใู่ นตวั คนจงึ ตดิ มนั เหมอื นกบั ดกั ทผี่ ดู้ กั เอาเหยอื่ ลอ่ ไว้ เหมอื นเบด็ ทพ่ี รานเบด็ เกย่ี วเหยอื่ เอาไว้ ลอง นึกดูเถิด การได้กินเหย่ือเล็กน้อย กับการต้องติดกับหรือติดเบ็ดนั้น มนั ค้มุ กันหรือ การทตี่ อ้ งประสบทกุ ขท์ รมานเชน่ นน้ั กเ็ พราะไมม่ สี ตเิ ปน็ เครอื่ ง รกั ษาตน ปลอ่ ยใจใหต้ กเปน็ ทาสของความรกั ความชงั ความหลงใหล มัวเมา ไม่ตระหนักรถู้ ึงโทษของมัน 236
ค ว า ม เ ข้ า ใ จ เ ก่ี ย ว กั บ ชี วิ ต อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ พระพุทธองค์จึงทรงส่ังสอนว่า เม่ือจะรักษาตนก็ให้มีสติเป็น เครอ่ื งรกั ษา เมอ่ื จะรกั ษาผอู้ น่ื กใ็ หม้ สี ตเิ ปน็ เครอ่ื งรกั ษาเชน่ กนั แตใ่ น การรกั ษาผอู้ นื่ นนั้ ใหม้ ี ขนั ต ิ อวหิ งิ สา (ความไมค่ ดิ เบยี ดเบยี น) และ เมตตากรุณา ชว่ ยดว้ ย ตามที่กล่าวมาโดยย่อนี้ จะเห็นว่า สติ หรือความไม่ประมาท แม้เพียงข้อเดียวก็ไม่ใช่เร่ืองเล็กน้อย ถ้าปฏิบัติตามได้อย่างต่อเนื่อง สมำ�่ เสมอแลว้ จะทำ� ใหเ้ ปน็ คนมที กุ ขน์ อ้ ย แกช่ า้ และอายยุ นื ไดจ้ รงิ ถา้ ไมม่ กี รรมอน่ื ในอดตี มาตดั รอน เราควรมสี ตคิ มุ้ ครองรกั ษากาย วาจา ใจอยเู่ สมอ เพอ่ื อยเู่ ปน็ สขุ ในปจั จบุ นั และอนาคต สตมิ า สขุ เมธต ิ ผมู้ ี สติยอ่ มอยเู่ ป็นสุข ๒. รู้จักประมาณในอาหาร เป็นความจริงที่ว่า สัตว์ทั้งหลายด�ำรงชีวิตอยู่ได้เพราะอาหาร (สพเฺ พ สตตฺ า อาหารฏฺ ติ กิ า) แตอ่ าหารเปน็ สง่ิ ทม่ี คี ณุ และโทษ มคี ณุ เมื่อเป็นอาหารท่ีมีประโยชน์และกินแต่พอประมาณ มีโทษ เม่ือเป็น อาหารที่มีโทษและกินเกินประมาณหรือน้อยเกินไป ความพอดีใน อาหารเป็นส่ิงท่ีชีวติ ต้องการมาก อาหารที่มีโทษ เช่น อาหารบูดเน่า อาหารหมดอายุ อาหาร ท่ีปรุงรสจัดเกินไป เช่น เผ็ดจัด เปร้ียวจัด เค็มจัดเป็นต้น เปร้ียวจัด และเผ็ดจัด เป็นอันตรายต่อกระเพาะ เค็มจัดเป็นอันตรายต่อไตและ ความดันเลือดสูง แม้อาหารทีร่ อ้ นจัดก็เปน็ อนั ตรายต่อทางเดินอาหาร เช่น หลอดอาหารหรือแม้ต่อกระเพาะเอง บอ่ ยเขา้ ทำ� ใหเ้ น้ือในหลอด อาหารพองไหมเ้ ปน็ แผล ทำ� ใหเ้ ปน็ มะเรง็ ได ้ ถา้ เผลอกนิ อาหารทรี่ อ้ นจดั 237
ท ํ า อ ย ่ า ง ไ ร จ ึ ง จ ะ ทุ ก ข ์ น ้ อ ย แ ก ่ ช ้ า แ ล ะ อ า ย ุ ย ื น เข้าไป ให้รีบคายออกถ้าอยู่ในที่ท่ีคายได ้ ถ้าอยู่ในท่ีที่คายไม่ได ้ กลืน เข้าไปแล้วให้รีบดื่มน�้ำเย็นๆ ตามลงไปทันที จะช่วยได้มาก ท�ำนอง เดียวกัน เม่ือมือเราถูกน�้ำร้อนลวก หรือไปถูกของร้อนๆ เข้าก็ให้รีบ แชม่ อื ในนำ้� เยน็ ประมาณ ๔-๕ นาท ี จะรสู้ กึ วา่ หายรอ้ นและมอื ไมพ่ อง แช่ในน�้ำแขง็ ไดย้ ิง่ ดี ความรู้จักประมาณในอาหาร เป็นข้อหนึ่งในธรรม ๓ ข้อ ท ่ี พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ในฐานเป็นข้อปฏิบัติที่ไม่ผิด (อปัณณก- ปฏปิ ทา) คอื เปน็ เรอ่ื งถกู ต้องถอ่ งแท้ ๑. อินทรยี สังวร ส�ำรวมระวงั ตา หู จมูก ลน้ิ กาย ใจ ๒. โภชเน มัตตญั ญตุ า รู้จักประมาณในอาหาร ๓. ชาคริยานุโยค ประกอบความเพียรให้พอด ี ไม่หาความสุข จากการหลับนอน ในท่ีน้ี จะกล่าวเฉพาะความรู้จักประมาณในอาหารตามปกติ คนธรรมดาจะกินอาหารวันละ ๓ ม้ือ เช้า กลางวัน เย็น ประมาณ ๕-๖ ชวั่ โมง ตอ่ ๑ มอ้ื ไมค่ วรกนิ อาหารหนกั ทกุ มอ้ื เพราะจะทำ� ให้ รา่ งกายแบกภาระเรอื่ งอาหารมากเกนิ ไป ทำ� ใหอ้ ดึ อดั ไมว่ อ่ งไว ความ จำ� เปน็ ในการกนิ อาหารหนกั ของแตล่ ะคนไมเ่ หมอื นกนั คนไทยสว่ นมาก กินหนักในม้ือเย็น เพราะท�ำงานเหนื่อยมาท้ังวัน มักจะกินที่บ้าน อาหารอร่อย มีเวลามาก ปัจจัยเหล่าน้ีท�ำให้กินอาหารมากในมื้อเย็น ซ่ึงว่าตามหลักการกินแล้วไม่ค่อยจะถูกนัก การกินอาหารหนักและ กินมากในมื้อเย็นมักท�ำให้อ้วน เพราะกินแล้วไม่ค่อยได้เคลื่อนไหว นอนดทู วี แี ลว้ หลบั ไป แมจ้ ะทำ� อะไรบา้ งกไ็ มม่ าก เพราะเปน็ เวลาพกั ผอ่ น นี่พูดส�ำหรับคนส่วนมาก มีบางคนท�ำงานอยู่จนดึกจึงเข้านอน ถ้าเป็น เชน่ นนั้ จะกนิ อาหารมากหนอ่ ยตอนเยน็ กไ็ ด ้ ถา้ กนิ นอ้ ยจะหวิ ตอนดกึ 238
ค ว า ม เ ข้ า ใ จ เ ก่ี ย ว กั บ ชี วิ ต อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ จะกนิ อาหารเบาๆ เชน่ นมรอ้ นสกั แกว้ กอ่ นนอนกไ็ ด ้ นมมสี ารอาหารท ่ี ทำ� ให้นอนหลบั สบายดว้ ย แตอ่ ยา่ รีบดืม่ เม่ือยังร้อนจัด บางคนชอบกินอาหารหลายม้ือ ตั้งแต่ ๕ มื้อข้ึนไป คือเพิ่ม เวลาอาหารขน้ึ อกี ๒ มอื้ ระหวา่ งเชา้ เชน่ ๑๐.๐๐ น. และบา่ ยประมาณ ๑๕.๓๐ น. หรอื ๑๖.๐๐ น. แตก่ นิ มอ้ื ละเพยี งเลก็ นอ้ ย ไมถ่ งึ กบั อมิ่ เพยี งไมใ่ หร้ สู้ กึ หวิ เทา่ นนั้ อยา่ งนไ้ี มเ่ ปน็ ไร แตต่ อ้ งกนิ อาหารมอื้ หลกั ๆ ทง้ั ๓ มอ้ื นอ้ ยดว้ ยจงึ จะสมควร ถา้ กนิ มอื้ หลกั มากแลว้ ยงั มมี อื้ เสรมิ อีกก็จะมากเกินไป ท�ำให้อึดอัดและอ้วนมากขึ้น เป็นโทษแก่ร่างกาย แตถ่ า้ ปลอ่ ยใหห้ วิ มากและนานเกนิ ไป กเ็ ปน็ โทษแกร่ า่ งกายอกี เหมอื นกนั สำ� หรบั พระสงฆน์ นั้ ทา่ นฉนั อาหารเสรมิ ตอนเยน็ ไดบ้ างอยา่ ง เชน่ นำ�้ ผงึ้ น�ำ้ อ้อย นำ้� ตาลและน�ำ้ ผลไม้บางอย่าง ถอื หลกั งา่ ยๆ อกี อยา่ งหนงึ่ วา่ กนิ เมอ่ื หวิ ถา้ ไมร่ สู้ กึ หวิ ไมต่ อ้ ง กินก็ได้ แต่นี่หมายถึงว่าเราอยู่อย่างอิสระ เช่นอยู่กับบ้านซ่ึงมีอาหาร พร้อมอยู่แล้ว จะกินเม่ือไรก็ได้ แต่ถ้าต้องเข้าโรงเรียน เดินทางไกล อยใู่ นทท่ี ำ� งาน ไปแสดงปาฐกถา เขา้ ประชมุ ซงึ่ เราไมม่ อี สิ ระทจี่ ะกนิ ไดเ้ มอ่ื หวิ กค็ วรกนิ ตามเวลาแมย้ งั ไมค่ อ่ ยหวิ เมอ่ื ถงึ เวลาแลว้ กค็ วรกนิ อาหารเบาๆ ไวบ้ า้ ง ปอ้ งกนั ไวก้ อ่ น ชวั่ โมงนย้ี งั ไมห่ วิ ชว่ั โมงหนา้ อาจหวิ อีกช่ัวโมงต่อมาหิวจนตาลาย มือสั่นท�ำอะไรไม่ถูก สมองไม่ท�ำงาน เพราะสมองขาดกลูโคสคือนำ้� ตาลในเลือดตำ�่ มาก เร่ืองอย่างนี้ไม่ควร ประมาท โดยเฉพาะส�ำหรับผู้สูงอายุ (๔๐-๕๐ ไปแล้ว) คนไทยเรา ขอี้ ายและถอื ธรรมเนยี มเกย่ี วกบั เรอื่ งอาหารการกนิ อยดู่ ว้ ย จะลำ� บาก อาจถงึ เปน็ ลมหมดสตโิ ดยไมจ่ ำ� เปน็ เมอื่ เราอยอู่ ยา่ งอสิ ระ ถอื หลกั “กนิ เมอื่ หวิ ” ไมใ่ ช่ “กนิ เพราะ อยาก” และกนิ แตพ่ อประมาณ รา่ งกายไดร้ บั อาหารแตพ่ อดๆี อย ู่ เสมอ 239
ท ํ า อ ย ่ า ง ไ ร จ ึ ง จ ะ ทุ ก ข ์ น ้ อ ย แ ก ่ ช ้ า แ ล ะ อ า ย ุ ย ื น ก็จะกระปรี้กระเปร่า ท�ำงานได้ดี มีทุกขเวทนาน้อย มีความสุขพอ สมควร ก็ท�ำให้แก่ช้า และอายุยืน แต่ทั้งน้ี ต้องเลือกกินอาหารที่มี ประโยชนด์ ว้ ย มบี อ่ ยๆ ทบี่ างคนไมห่ วิ หรอก แตอ่ ยากกนิ นน่ั อยากกนิ น่ี โดยเฉพาะขนม ซงึ่ สว่ นใหญก่ ค็ อื แปง้ กบั นำ้� ตาลนน่ั เอง เปน็ อาหารทใี่ ห้ พลงั งาน แตก่ ท็ ำ� ใหอ้ ว้ นไดง้ า่ ยสำ� หรบั ผทู้ ำ� งานเบา ไมค่ อ่ ยไดอ้ อกแรงใน การทำ� งาน และไมช่ อบออกกำ� ลงั กายในชวี ติ ประจำ� วนั สำ� หรบั ผเู้ ชน่ นนั้ และสงู อายดุ ว้ ย กค็ วรจำ� กดั อาหารแปง้ และนำ�้ ตาลใหน้ อ้ ยลง ตอ้ งกนิ ผักผลไม้ (ท่ีไม่หวานจัด) เน้ือ นม ไข่ ให้พอสมควรส�ำหรับไข่นั้น ไขข่ าวไมเ่ ปน็ ไร แตไ่ ขแ่ ดงมคี อเลสเตอรอลสงู มาก มถี งึ ๑,๕๐๐ มลิ ล-ิ กรมั ตอ่ ไขแ่ ดง ๑๐๐ กรมั สว่ นไขข่ าวไมม่ คี อเลสเตอรอลเลย สมอง สตั วย์ ง่ิ มมี ากขน้ึ ไปอกี คอื มคี อเลสเตอรอลมากถงึ ๒,๐๐๐ (สองพนั ) คอเลสเตอรอลมสี ว่ นทำ� ใหไ้ ขมนั อดุ ตนั ในเลอื ดสงู เปน็ อนั ตราย มากตอ่ คนเปน็ โรคหวั ใจและความดนั เลอื ดสงู แมค้ นไมเ่ ปน็ โรคดงั กลา่ ว กค็ วรระวงั ไวเ้ พอื่ เปน็ การปอ้ งกนั ถา้ เรายงั ไมเ่ ปน็ โรคหวั ใจและกลวั จะ เปน็ ในภายหนา้ กจ็ งปอ้ งกนั ไวก้ อ่ น โดยการกนิ อยอู่ ยา่ งคนเปน็ โรคหวั ใจ ถ้ายังไม่เป็นโรคเบาหวาน กลัวจะเป็นก็จงป้องกันไว้ก่อน โดยกินอยู่ อยา่ งคนเปน็ โรคเบาหวาน คอื ควบคมุ อาหาร ออกกำ� ลงั กาย ไมเ่ ครยี ด ระวงั ไมใ่ หอ้ ว้ นหรอื นำ�้ หนกั เกนิ กลวั เปน็ โรคความดนั เลอื ดสงู กเ็ ชน่ เดยี ว กัน ระวังป้องกันโดยเป็นอยู่อย่างคนเป็นโรคความดันเลือดสูง รักษา จิตให้สงบผอ่ งใส อย่ามีอารมณร์ นุ แรง ลดอาหารไขมันลงใหม้ าก บรรดาอาหารทใี่ หพ้ ลงั งานตอ่ รา่ งกายนน้ั อาหารไขมนั ใหพ้ ลงั งาน มากทส่ี ดุ แตส่ ำ� หรบั ผสู้ งู อายแุ ละผมู้ โี รคประจำ� ตวั บางอยา่ ง มโี รคหวั ใจ เปน็ ตน้ ควรเลอื กกนิ ไขมนั ทไี่ มอ่ ม่ิ ตวั ซง่ึ จะพบไดใ้ นพวกนำ�้ มนั พชื ตา่ งๆ ยกเวน้ น้�ำมนั มะพรา้ วหรอื กะทิ สว่ นกรดไขมนั ชนดิ อม่ิ ตวั (Saturated 240
ค ว า ม เ ข้ า ใ จ เ กี่ ย ว กั บ ชี วิ ต อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ faity acids) ซงึ่ ไดจ้ ากนำ้� มนั สตั วต์ า่ งๆ นำ้� มนั มะพรา้ วเปน็ ตน้ ควรเวน้ กรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัว (unsaturated fatty acids) น้ี มี ประโยชน์ต่อร่างกาย ท�ำให้คอเลสเตอรอลลดน้อยลง และบางชนิด ไมท่ �ำให้คอเลสเตอรอลเปลี่ยนแปลง วธิ สี งั เกตงา่ ยๆ แบบชาวบา้ นๆ วา่ อยา่ งไหนเปน็ กรดไขมนั ชนดิ อิ่มตัว อย่างไหนไม่อ่ิมตัว ก็ให้ดูท่ีความเป็นก้อนและความเหลวของ มัน กรดไขมันชนิดอิ่มตัวส่วนใหญ่จะมีลักษณะเป็นก้อนเม่ือเก็บไว้ใน ทธ่ี รรมดา เชน่ ไขมนั ววั นำ�้ มนั หม ู เปน็ ตน้ ยกเวน้ นำ้� มนั มะพรา้ ว ซงึ่ เปน็ กรดอมิ่ ตัวแตเ่ หลว เหมอื นไขมนั ไมอ่ ่ิมตัวอน่ื ๆ เชน่ นำ�้ มันพชื เวลาน้ี มีน้�ำมันพืชออกมาจ�ำหน่ายกันมากหลายย่ีห้อ คนกลัว ไขมนั ในเลอื ดอดุ ตนั จงึ นยิ มบรโิ ภคนำ�้ มนั พชื กนั มากกวา่ นำ้� มนั สตั ว ์ แม ้ จะอร่อยนอ้ ยกว่า แต่กป็ ลอดภัยสำ� หรับผรู้ ะวังเรื่องอาหารมากกวา่ ในสังคมที่ขาดแคลนเรื่องอาหาร มนุษย์ได้เจ็บป่วยล้มตาย เพราะขาดอาหาร เป็นโรคเลือดจางเพราะขาดธาตุเหล็ก และโรค ระบาดได้เป็นอันมาก แต่ในสังคมท่ีสมบูรณ์ด้วยอาหาร มนุษย์เรา ได้ล้มป่วยและตายด้วยโรคอาหารเกินและไม่รู้จักกินหรือกินไม่เป็น จำ� นวนมากเหมอื นกนั เชน่ โรคอว้ น ไขมนั ในเลอื ดสงู โรคหวั ใจ เปน็ ตน้ เป็นเร่ืองของการอยู่ดีกินดี มีเครื่องทุ่นแรงมาก เช่น จะไปไหนก็น่ัง รถยนตไ์ ป ไม่ต้องเดินมากเหมือนเมือ่ ก่อน ขอพดู เรอ่ื งไขต่ อ่ อกี สกั หนอ่ ย เพราะเปน็ อาหารทกี่ นิ กนั ทกุ บา้ น ทง้ั เดก็ ผใู้ หญ ่ และผสู้ งู อายหุ รอื คนชราปรงุ งา่ ย ใครๆ กท็ ำ� เปน็ สดุ แลว้ แตช่ อบ ผหู้ ญงิ ทไ่ี ดช้ อื่ วา่ “ทำ� กบั ขา้ วไมเ่ ปน็ ” กย็ งั ทำ� ไขเ่ ปน็ คอื ลวก บ้าง ต้มบ้าง เจียวบ้าง ดาวบ้าง ท�ำง่ายจริงๆ และส�ำเร็จประโยชน์ 241
ท ํ า อ ย ่ า ง ไ ร จ ึ ง จ ะ ทุ ก ข ์ น ้ อ ย แ ก ่ ช ้ า แ ล ะ อ า ย ุ ย ื น เปน็ กบั ข้าวไดม้ ือ้ หน่งึ นักโภชนาการถือว่า นมและไข่น้ันเป็นยอดอาหารของมนุษย์ เพราะมีสารอาหารต่างๆ เกือบครบถ้วน แต่ขอให้กินพอสมควร ผู ้ สูงอายุทเ่ี กรงว่าจะมไี ขมนั ในเลือดสงู กนิ สัปดาหล์ ะ ๓ ฟองกพ็ อ ถ้า กินเฉพาะไข่ขาวก็กินได้ทุกวัน แต่จะเอาไข่แดงไปทิ้งเสียที่ไหนล่ะ? นอกจากแบง่ กนิ กบั เดก็ ก็จะไดส้ ว่ นทีพ่ อดี ไขแ่ ดงเปน็ จดุ เรม่ิ ตน้ ของตวั ออ่ น จงึ อดุ มสมบรู ณด์ ว้ ยสารอาหาร ท่ีจ�ำเป็นส�ำหรับการเจริญเติบโต โปรตีนในไข่มีกรดอะมิโนที่จ�ำเป็น ครบทุกชนิด คนที่เกรงว่าร่างกายและขาดสารอาหารจึงควรกินไข่ไว ้ บ้าง (ถ้ามีกิน) โปรตีน แปลว่า “ส�ำคัญกว่าเพ่ือน” เป็นสารอาหาร ทสี่ ำ� คญั ในการสรา้ งเนอ้ื หนงั และความเจรญิ เตบิ โต โปรตนี น ้ี รา่ งกาย สามารถเปลย่ี นใหเ้ ปน็ แปง้ นำ�้ ตาล (คารโ์ บไฮเดรต) และไขมนั ได ้ แต ่ คาร์โบไฮเดรตและไขมนั รา่ งกายไม่สามารถเปลีย่ นใหเ้ ป็นโปรตีนได้ เด็กชนบทเป็นอันมากขาดอาหารโปรตีน จึงผอมแห้งแรงน้อย พงุ โรกน้ ปอด ผใู้ หญใ่ นชนบทสว่ นมากกผ็ อมเกรง็ สว่ นคนในกรงุ หรอื ในเมอื งอาหารเกนิ อว้ นเกนิ ไป เนอื้ นม ไข ่ แปง้ นำ้� ตาล เหลอื เฟอื ในรูปต่างๆ ซึ่งบริษัทหรือโรงงานผลิตข้ึน ย่ัวยวน ชวนเชิญ ล่อตา ลอ่ ใจใหบ้ รโิ ภค ในไขแ่ ดงสดมโี ปรตนี ประมาณ ๑๗.๕% นำ้� ๔๘% ไขมนั ๓๒.๕% มีแป้งและน�้ำตาลเพียงเล็กน้อย ไข่แดงจะเป็นสีอะไรนั้น สุดแล้วแต่ อาหารทนี่ �ำมาเลี้ยงเป็ดหรือไก่ ถา้ อาหารทีน่ ำ� มาเลย้ี งมคี ารโ์ รทีนอยด์ สงู สีของไข่แดงจะเปน็ สเี หลืองเขม้ 242
ค ว า ม เ ข้ า ใ จ เ กี่ ย ว กั บ ชี วิ ต อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ไข่นอกจากจะเป็นอาหารท่ีมีประโยชน์ต่อมนุษย์แล้ว ยังถูกน�ำ ไปใช้ในวงการเสริมสวยอีกด้วย เช่น น�ำมาผสมเป็นแชมพูโปรตีนไข ่ เพราะไขม่ ีกรดอะมโิ นพวกซัลเฟอรอ์ ยู่ค่อนขา้ งสงู ซ่ึงชว่ ยในการสรา้ ง เซลลข์ องผิวหนงั เล็บและผม ไมค่ วรกนิ ไขด่ บิ ๆ หรอื ไขค่ รงึ่ สกุ ครงึ่ ดบิ เชน่ ไขล่ วกเพราะมโี ปรตนี ชนดิ หนงึ่ ในไขข่ าวเรยี กวา่ อวดิ นิ (avidin) เมอื่ ยงั ไมส่ กุ เรากนิ เขา้ ไป มันจะไปจับวิตามินชนิดหน่ึงท่ีเรียกว่า ไบโอติน (biotin) ซ่ึงช่วยใน การท�ำงานของเอนไซม์ (enzyme สารท�ำการย่อย สารช่วยย่อยใน รา่ งกาย จะเหน็ วา่ เมอื่ กนิ ไขด่ บิ มกั ทำ� ใหท้ อ้ งอดื ) ตา่ งๆ ในรา่ งกาย เปน็ เหตใุ หไ้ บโอตนิ ทำ� งานไมไ่ ดต้ ามปกต ิ ถา้ ไขส่ กุ แลว้ กไ็ มม่ ปี ญั หาในเรอื่ งน ี้ ไข่น้ันทั้งๆ ท่ีเราเห็นว่ามีเปลือกหุ้มอย่างเรียบร้อยอย่างนั้นแหละ ถ้า ส่องดูด้วยกล้องจุลทัศน์จะเห็นมีลักษณะเป็นเม็ดเล็กๆ มาอัดรวมกัน มรี หู า่ งกนั เปน็ ระยะๆ ทงั้ นเ้ี พอื่ เปน็ ชอ่ งระบายอากาศของตวั ออ่ น อนั น้ี แหละ ทำ� ใหเ้ ชอ้ื แบคทเี รยี เขา้ ไปได ้ ถา้ ไขไ่ มป่ ลอดเชอ้ื ทเ่ี รยี กวา่ “ซลั โม- เนลลา่ ” ถา้ คนกนิ เขา้ ไปจะมอี าการภายใน ๑๒-๒๔ ชว่ั โมง เชน่ คลน่ื ไส ้ อาเจียน ปวดหัว ปวดทอ้ ง หนาวและอจุ จาระรว่ ง ผู้รู้ท่านแนะว่า เมื่อซื้อไข่มาแล้ว ไม่ต้องล้างน้�ำ ไม่ว่าน�้ำร้อน น้�ำอุ่น หรือน้�ำเย็น เพราะถ้าล้างน้�ำ จะท�ำให้ส่วนของเมือกที่อยู่บน เปลือกไขถ่ ูกล้างออกไป แบคทเี รยี จะเขา้ ไปในไขไ่ ด้งา่ ยข้ึน ไขเ่ ปน็ อาหารทดี่ มี ากของมนษุ ยก์ จ็ รงิ แตก่ นิ มากนกั กไ็ มด่ ี ไมว่ า่ ผสู้ งู อาย ุ หรอื อายยุ งั ไมส่ งู เพราะทำ� ใหค้ อเลสเตอรอลสงู มอี ยคู่ นหนงึ่ ตามขา่ ววา่ เปน็ แชมเปย้ี นทศกรฑี าโอลมิ ปกิ กนิ ไขว่ นั ละ ๑๐-๑๖ ฟอง เนอ้ื วนั ละ ๑ กโิ ลกรมั หยดุ ออกกำ� ลงั กายเสยี ๑ ป ี นำ้� หนกั ตวั เพม่ิ ขนึ้ 243
ท ํ า อ ย ่ า ง ไ ร จ ึ ง จ ะ ทุ ก ข ์ น ้ อ ย แ ก ่ ช ้ า แ ล ะ อ า ย ุ ย ื น ถึง ๑๒ กก. ในปีเดียว ไขมันในเลือดสูงข้ึน จาก ๑๙๕ มก. เป็น ๔๕๐ มก. และตายดว้ ยโรคหลอดเลอื ดหวั ใจอดุ ตนั ดงั นน้ั แมใ้ นอาหาร ทม่ี ีคุณคา่ ก็ตอ้ งรู้จักประมาณ สำ� หรบั เดก็ ในชนบทของเรา พอ่ แมม่ กั เลยี้ งเดก็ เลก็ ดว้ ยขา้ วกบั กลว้ ยนำ้� วา้ บดเขา้ ดว้ ยกนั ซง่ึ เปน็ อาหารประเภทคารโ์ บไฮเดรตดว้ ยกนั ทด่ี กี วา่ ควรจะบดไขแ่ ดงและไขข่ าวรวมกบั ขา้ วดว้ ย เพราะจะไดโ้ ปรตนี ซง่ึ จะเปน็ ประโยชนก์ บั การเจรญิ เตบิ โตของเดก็ มาก เดก็ ในชนบทของ เราอยู่ในภาวะทุโภชนาการ อาหารไม่พอ เป็นโรคขาดสารอาหารกัน มาก เด็กยากจนในกรุงเทพฯ ก็เหมือนกัน ความรู้ในเรื่องโภชนาการ เป็นสง่ิ ส�ำคญั มาก แมจ้ ะค่อนข้างยากจนแต่ถ้ามคี วามรอู้ ยูบ่ า้ งกย็ ังพอ เลือกกินสิ่งท่ีมีประโยชน์ ถ้าไม่ตามใจความอยากของตน เช่นม ี ไข่ต้มกับน้�ำอัดลมย่ีห้อต่างๆ วางขายอยู่ เมื่อหิว เด็กส่วนมากจะซื้อ นำ�้ อดั ลม ๑ ขวด ซง่ึ แพงกวา่ ไขต่ ม้ ๑ ฟอง แตไ่ ขต่ ม้ มปี ระโยชนก์ วา่ มากหลายเท่า ถ้าเป็นน�้ำอัดลมบรรจุกระป๋องย่ิงแพงข้ึนไปอีก คุณค่า อาหารมีน้อย บางอย่างถ้าท้องว่างยังจะเพิ่มแก๊สในกระเพาะอีก ใน จำ� นวนสตางคเ์ ทา่ กนั คนรจู้ กั กนิ กบั คนไมร่ จู้ กั กนิ จะไดค้ ณุ คา่ ทางอาหาร ผิดกนั มาก พดู ถงึ อาหารอยา่ งอน่ื บา้ ง เชน่ เนอ้ื หม ู เปด็ และไก ่ ซง่ึ เปน็ อาหารหลักของผมู้ อี ันจะกนิ เนอื้ วัว เน้อื หม ู ชนิดไมต่ ิดมนั ใน ๑๐๐ กรมั มคี อเลสเตอรอล ๗๐ มก. ส่วนเน้อื ไก ่ ม ี ๖๐ มก. ส�ำหรับผู้สูงอายุที่ไม่ต้องการอ้วน ไม่ควรกินมาก เมื่อกินเนื้อ ววั หรอื เนอื้ หม ู กค็ วรแยกเอาสว่ นทเี่ ปน็ มนั ออกเสยี ไมต่ อ้ งเสยี ดาย ที่ จริงการกินท้ังมันน้ัน อร่อยกว่ากินเน้ือไม่ติดมันมาก คนจึงชอบ แต่ ถ้าตามใจล้ินจะล�ำบากภายหลัง ล�ำบากกับร่างกายส่วนอื่นๆ ส่วนคน 244
ค ว า ม เ ข้ า ใ จ เ กี่ ย ว กั บ ชี วิ ต อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ผอม กินไดต้ ามสมควร อยา่ มากนกั ไก่และเป็ด (เป็ดมีคอเลสเตอรอล ๗๐ มก. เหมือนกัน) ผู ้ ไม่ต้องการอ้วน ไม่ต้องการให้มีไขมันในเลือดสูง นอกจากกินแต่พอ ประมาณแลว้ ควรลอกหนงั ออก (ทอี่ รอ่ ยของมนั อกี แหละ) กนิ แตเ่ นอ้ื เพราะหนงั มสี ว่ นทเี่ ปน็ ไขมนั มาก อยา่ เสยี ดายของ ถา้ มวั เสยี ดายของ อยู่และกินเข้าไปมากชื่อว่าไม่รักษาตน ไม่รักษาสุขภาพของตน เม่ือ สุขภาพเสียไปมาก อีกหน่อยจะกินอะไรไม่ได ้ ไม่มีใครลงโทษหรอก แตธ่ รรมชาติลงโทษเอง เพราะเราไปล่วงกฎธรรมชาตเิ ข้าบอ่ ยๆ เน้ือ หมู เป็ดไก่ เหล่าน้ี ถ้าต้มควรกินน�้ำต้มให้หมดเท่าที่ตัก มาแตล่ ะครง้ั เพราะนำ�้ ของมนั มปี ระโยชนม์ าก สารอาหารดๆี อยใู่ นนำ้� ของมนั เหมอื นนำ�้ ขา้ ว คนเมอื่ กอ่ นหงุ ขา้ วเชด็ นำ�้ คอื พอเดอื ด ขา้ วสกุ แล้วเทน�้ำข้าวทิ้งให้หมากินบ้าง ทิ้งเสียเฉยๆ บ้าง หมาเลยอ้วนท้วน สมบูรณ์ คนเจ้าของข้าวกินแต่กากของมันกับปลาแห้ง ตัวเลยแห้ง ไมม่ นี ำ้� มนี วล แถมยงั ทำ� งานออกแรงมากเสยี ดว้ ย (เดย๋ี วจะคยุ กนั เรอ่ื ง อาหารของคนใชแ้ รงงานสกั หนอ่ ย) โชคดสี มยั นม้ี หี มอ้ หงุ ขา้ วไฟฟา้ สกุ ในตัว ตัดไฟในตัว น�้ำข้าวจึงแห้งอยู่กับข้าวสุกอย่างสมบูรณ ์ ส�ำหรับ แกงน้นั ถา้ เป็นแกงกะทกิ ค็ วรระวงั ไวบ้ ้าง ควรกินน�้ำแกงแตน่ ้อย สำ� หรบั พระอาพาธนนั้ พระพทุ ธเจา้ ทรงอนญุ าตใหฉ้ นั นำ้� เนอ้ื ตม้ ตอนเยน็ ได ้ (รวมนำ�้ ตม้ หม ู เปด็ ไก ่ ดว้ ย) บบี มะนาวได ้ เพราะมะนาว ฉันได้อยู่แล้ว ห้ามเติมน�้ำปลา ส่วนพริกขี้หนูฉันได้ น้�ำเนื้อต้มส�ำหรับ พระป่วยฉันนี้ต้องกรองเสียก่อนให้เหลือแต่น�้ำจริงๆ ไม่ให้เศษเน้ือติด เขา้ ไปดว้ ย แตถ่ า้ เปน็ เนอ้ื มนษุ ย ์ หา้ มเดด็ ขาด ฉนั เขา้ ไปเปน็ อาบตั ถิ ลุ - ลัจจัย (แปลว่า ช่วั , หยาบ) 245
ท ํ า อ ย ่ า ง ไ ร จ ึ ง จ ะ ทุ ก ข ์ น ้ อ ย แ ก ่ ช ้ า แ ล ะ อ า ย ุ ย ื น เคยมีเรื่องสมัยพุทธกาล นางสุปปิยา เม่ือฟังเทศน์ของพระ- พุทธเจ้าตอนเย็นแล้ว เท่ียวเดินถามภิกษุในวัดเชตวันว่า ท่านรูปใด ตอ้ งการสง่ิ ใดบา้ ง นางจะจดั ถวาย ภกิ ษรุ ปู หนง่ึ อาพาธ จงึ ขอนำ้� เนอื้ ตม้ กับนาง วันน้ันนางหาเน้ือไม่ได้ ปรากฏว่าเป็นวันอุโบสถ งดขายเนื้อ ท่ัวเมือง นางจึงเข้าห้อง ตัดเนื้อขาของตนเอง ให้คนใช้ต้มแล้วนำ� น้�ำ เนอ้ื ตม้ ไปถวายพระ พระไมร่ จู้ งึ ฉนั ตอ่ มาพระพทุ ธเจา้ ทรงทราบเรอื่ งน ้ี จงึ ตรสั ถามภกิ ษผุ อู้ าพาธนนั้ วา่ เมอื่ ฉนั นำ�้ เนอื้ ตม้ นน้ั ไดพ้ จิ ารณาหรอื ไม ่ ภกิ ษุรูปนั้นทลู ตอบวา่ “มิไดพ้ จิ ารณา” ตรสั ตเิ ตยี นและตรสั วา่ “ภกิ ษฉุ นั เนอ้ื โดยมไิ ดพ้ จิ ารณาเปน็ อาบตั ิ ทุกกฎ ถา้ เป็นเนือ้ มนุษย์เป็นอาบตั ถิ ุลลัจจยั ” (ทุกกฎแปลวา่ ไมด่ ี ไม่งาม ไมเ่ หมาะ ไม่ควร) คราวนขี้ อพดู ถงึ เรอ่ื ง อาหารสำ� หรบั คนใชแ้ รงงาน ทจ่ี รงิ ทกุ คน ใชแ้ รงงานทง้ั นน้ั มากบา้ ง นอ้ ยบา้ ง นงั่ อยเู่ ฉยๆ กใ็ ชแ้ รงงานเหมอื นกนั แต่ใช้น้อย คนใช้แรงงานท่ีหมายถึงในท่ีน้ี คือผู้ท�ำงานโดยใช้แรงกาย มาก เชน่ กรรมกรแบกหาม ชา่ งไม ้ ชา่ งกอ่ สรา้ ง นกั เรยี นทตี่ อ้ งเดนิ เทา้ ไปเรยี นไกลๆ เกษตรกร นกั กฬี า ฯลฯ คนใชแ้ รงงานสว่ นใหญใ่ นบา้ น เรากินแต่ข้าว (มาก) กับข้าวเพียงเล็กน้อยใส่มากับข้าว เช่น ปลา แหง้ ไขเ่ คม็ เพราะสะดวกในการพกพา อาหารพวกขา้ ว แปง้ นำ�้ ตาล นนั้ มโี ปรตนี วติ ามนิ และแรธ่ าตนุ อ้ ยมาก คนใชแ้ รงงานจ�ำเปน็ ตอ้ งได้ สารอาหารพวกโปรตีน ไขมัน และแร่ธาตุต่างๆ อย่างเพียงพอด้วย ทต่ี อ้ งการมากเปน็ พเิ ศษสำ� หรบั ผใู้ ชแ้ รงงานคอื อาหารพวกแปง้ นำ้� ตาล และไขมัน ส่วนโปรตีนจะน้อยลงหน่อยก็ได้ คนใช้แรงงาน ถ้า น้�ำหนักตัว ๕๐ กก. เขาควรได้อาหาร ๒,๐๐๐ (สองพัน) แคลอรี (calorie) ต่อวัน (แคลอรีคือหน่วยของก�ำลังงานจากอาหาร; หรือ 246
ค ว า ม เ ข้ า ใ จ เ กี่ ย ว กั บ ชี วิ ต อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ หนว่ ยของความรอ้ นจากอาหารทบี่ ริโภคเขา้ ไป) อตั ราส่วนของอาหาร ควรเป็นดงั น้ี คาร์โบไฮเดรต รอ้ ยละ ๕๕-๖๐ โปรตีน รอ้ ยละ ๑๕-๒๐ ไขมนั ร้อยละ ๒๐-๒๕ รวมความวา่ ควรเปน็ พวกแปง้ นำ้� ตาล มากทส่ี ดุ (ยกเวน้ คนมี โรคประจำ� ตวั ทจี่ ะตอ้ งลดอาหารพวกแปง้ น้�ำตาลอยโู่ ดยปกตแิ ลว้ ) รอง ลงมาคือไขมัน ต่อจากนั้นจึงเป็นโปรตีน นอกจากน้ียังมีวิตามินและ แร่ธาตุอย่างเพียงพอด้วย วิตามินและแร่ธาตุจะได้จากพวกผักและ ผลไม้ตามฤดูกาล ผักกินไว้มากๆ ดี กินสดไม่ชอบ ก็ลวกนิดหน่อย ท�ำให้รสชาติดีข้นึ ดว้ ย ไมท่ ำ� ใหค้ ุณสมบตั ิเสียไป ส�ำหรับข้าวน้ัน เม่ือก่อนเรากินข้าวซ้อมมือ ธรรมชาติได้ให้ วติ ามนิ บ ี ๑ มากบั เมลด็ ขา้ วดว้ ย อยใู่ นสว่ นของเยอ่ื หมุ้ ขา้ วสารนนั่ เอง วติ ามนิ บ ี ๑ เปน็ ตวั สำ� คญั ในการเปลยี่ นคารโ์ บไฮเดรต (แปง้ และนำ้� ตาล) ใหเ้ ปน็ พลงั งาน แตใ่ นปจั จบุ นั เรามโี รงสสี ขี า้ วจนขาว วติ ามนิ บี ๑ จึง ออกไปอยกู่ บั รำ� ขา้ วเสยี หมด รำ� ขา้ วเอาไปใหห้ มกู นิ เราจงึ ตอ้ งตามไป กินหมูอีก เพื่อให้ได้วิตามินบี ๑ ในกรณีที่หมูถูกเล้ียงด้วยร�ำข้าว วิตามินบี ๑ ช่วยไม่ให้เป็นโรคเหน็บชา คนกินข้าวโรงสี จึงต้องกิน วิตามินบี ๑ ไว้บ้างตามสมควร กินชนิด ๑๐ มก. ก็น่าจะพอราคาก ็ ไม่แพง ร้อยหน่ึงไม่กี่บาทแต่จะกินเท่าไร อย่างไรขอให้ไปถามหมอ หรือเภสัชกร บี ๑ ยังใช้ได้กับความดันเลือดต่�ำอีกด้วย ในถั่วเหลือง ถั่วเขียว บี ๑ ก็มีมากพอสมควร แต่อย่ากินมากนัก บี ๑ กินมาก เกนิ ไปดเู หมอื นจะทำ� ใหต้ าแขง็ นอนไมค่ อ่ ยหลบั ขอใหร้ กั ษาความพอด ี ไว้ในทกุ ๆ เร่อื ง จะดีเสมอ 247
ท ํ า อ ย ่ า ง ไ ร จ ึ ง จ ะ ทุ ก ข ์ น ้ อ ย แ ก ่ ช ้ า แ ล ะ อ า ย ุ ย ื น คราวน ี้ พดู ถงึ เรอื่ งผกั และผลไม้ บา้ ง บรรดาผกั หรอื ผลไมแ้ ละ เมลด็ พชื ทม่ี ใี ยอาหารมาก เมลด็ แมงลกั มใี ยอาหารมากทส่ี ดุ สารทม่ี ี ใยอาหารมาก มีประโยชน์ ช่วยลดไขมันในเลือด และช่วยลดน�้ำตาล ในเลอื ดดว้ ย อยา่ งนอ้ ยชว่ ยใหน้ ำ้� ตาลและไขมนั ถูกดดู ซมึ ช้าลง เมลด็ แมงลกั ราคาถกู เปน็ อาหารทอ่ี รอ่ ยอยา่ งหนง่ึ ถา้ ปรงุ เปน็ ของหวานทกุ คนรจู้ กั ดี แตท่ จี่ ะพดู ถงึ นพี้ ดู ในฐานะเปน็ ยาสมนุ ไพร ผทู้ ี ่ กนิ อาหารมาก เจรญิ อาหาร อว้ นเอาๆ ใหก้ นิ เมลด็ แมงลกั กอ่ นอาหาร ทกุ มอื้ โดยใชเ้ มลด็ แมงลกั ๒ ชอ้ นชาพนู ๆ (ประมาณ ๑๐ กรมั ) แช่ นำ้� ใหพ้ องดแี ลว้ แบง่ กนิ เปน็ ๓ มอ้ื จะกนิ มอื้ เดยี วกไ็ ด ้ ถา้ กนิ ได ้ ไมต่ อ้ ง เติมน้�ำตาล เมล็ดแมงลักจะเข้าไปกินเนื้อท่ีในกระเพาะอาหารเสียพอ สมควร ทำ� ใหก้ นิ อาหารไดน้ อ้ ยลง ถา้ กนิ กอ่ นนอนยงั เปน็ ประโยชนก์ บั การขบั ถา่ ยอกี ดว้ ย ถ้ากินหลังอาหารจะช่วยให้น้�ำตาลและไขมันดูดซึมช้าลง เป็น ประโยชนไ์ ปอกี ดา้ นหนง่ึ เวลานม้ี ที ำ� เปน็ ผงขายอยา่ งนอ้ ย ๒ ยห่ี อ้ แลว้ สะดวกในการกินมาก เพราะบรรจุเป็นซอง เพียงใส่แก้วน้�ำธรรมดา หรือถ้วยชาแล้วรินน�้ำใส่หรือใส่น้�ำก่อน แล้วเทเมล็ดแมงลักลงทีหลัง ก็ได้เหมือนกัน ใช้ช้อนชาตีให้เข้ากัน มันจะพองตัวทันที ทิ้งไว้สัก ๕-๑๕ นาที ก็ดื่มได้ จะใช้น�้ำร้อนหรือน�้ำเย็นก็ได้ แต่มีข้อแปลกอยู่ อย่างหนึ่งคือ ถ้าชงกับกาแฟหรือน้�ำผ้ึงท่ีละลายน�้ำแล้ว เมล็ดแมงลัก จะไมพ่ องตวั คงเปน็ เมด็ เลก็ ๆ อยอู่ ยา่ งนนั้ โดยธรรมดาเมลด็ แมงลกั จะพองตัวถึง ๑๐ เท่าของเมล็ดที่ยังไม่ได้แช่น้�ำ เมล็ดแมงลักแบบ ซองน้ี บอกไว้ว่าได้สกัดเอาส่วนที่เป็นไขมันและแป้งออกแล้ว ผู้ที่กิน เมลด็ แมงลกั เปน็ ประจำ� ตอ้ งดมื่ นำ้� มากๆ มฉิ ะนนั้ อาจทำ� ใหล้ ำ� ไสอ้ ดุ ตนั ได ้ (หมอบอก) ในกรณนี ี้ เมลด็ แมงลกั ทเ่ี ปน็ ผงบรรจซุ องดจู ะปลอดภยั 248
ค ว า ม เ ข้ า ใ จ เ ก่ี ย ว กั บ ชี วิ ต อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ กว่า เพราะละเอียดเกือบจะไม่ต้องย่อยเลย ไม่ว่าอะไรต้องระลึกถึง คุณถึงโทษของมนั เสมอ อาหารอกี ตวั หนง่ึ ของคนไทยทอ่ี อกฤทธเิ์ ปน็ ยา คอื กระเทยี ม ซงึ่ คนไทยชอบใส่ผสมในอาหารหลายอย่าง จากการค้นคว้าของท่ัวโลก ปรากฏวา่ กระเทยี มเปน็ อาหารทมี่ คี ณุ คา่ สงู ในการชว่ ยปอ้ งกนั และรกั ษา โรค เชน่ ชว่ ยลดความดนั เลอื ด ลดนำ้� ตาลในเลอื ด และไขมนั ในเสน้ เลอื ด แกห้ ลอดลมอกั เสบและหดื ทำ� ใหเ้ ลอื ดไมแ่ ขง็ ตวั แกโ้ รคผวิ หนงั กลากเกลอื้ น ทำ� ใหก้ ระชมุ่ กระชวย กระปรกี้ ระเปรา่ ฯลฯ นอกจากนี้ ยงั ทำ� ใหว้ ิตามินบี ๑ ออกฤทธ์ิไดด้ ีข้ึนถึง ๒๐ เทา่ แต่ถึงอย่างไร ก็ต้องอาศัยหลักสายกลางเอาไว้ อย่ากินมาก เกนิ ไป และอยา่ กนิ เวลาทอ้ งวา่ ง เพราะกระเทยี มมฤี ทธร์ิ ะคายเคอื งสงู จะท�ำให้ระคายเคืองกระเพาะและล�ำไส้ ท�ำให้ปวดท้องได้ ถ้ากินมาก เกินไปอาจไปท�ำลายเม็ดเลือดแดงได้เหมือนกัน เพราะ สารอัลลิซิน ในกระเทยี ม ไปทำ� ใหเ้ มด็ เลอื ดแดงแตกออก ยงั ทำ� ใหต้ บั ทำ� งานไมเ่ ตม็ ที ่ และกระเทียมอาจไปกวนม่านตา ท�ำให้ตาสู้แสงจ้าได้น้อยลง แต่โทษ เหล่านี้จะเกิดข้ึนก็ต่อเมื่อกินมากเกินไป ไม่เพียงแต่กระเทียมเท่านั้น อาหารท่ีมีคณุ คา่ ทกุ อยา่ ง ให้โทษไดท้ งั้ นนั้ เมือ่ กนิ มากเกนิ ไป พูดถึงอาหารการกินมาพอสมควรแล้ว แม้จะมีเรื่องท่ีจะคุยกัน ไดอ้ กี หลายอยา่ ง แตข่ อหยดุ ยง้ั ไวก้ อ่ น ขอพดู ถงึ เรอ่ื งอนื่ บา้ ง เชน่ เรอ่ื ง ยา เพราะยาก็เป็นปัจจยั หนงึ่ ของชีวิตในปจั จยั ๔ คนเราเกิดมา ต้องมีการเจ็บป่วยบ้าง ซ่ึงหายได้เองบ้าง ต้อง อาศยั ยาบ้าง ดังทพี่ ระพุทธเจ้าทรงตรสั ว่า 249
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258