Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Tangchewit

Tangchewit

Published by ชมรมกัลยาณธรรม, 2021-04-01 07:28:33

Description: Tangchewit

Search

Read the Text Version

ทางชีวิต ดร. สนอง วรอไุ ร

ท า ง ช ี ว ิ ต ดร.สนอง วรอไุ ร Dhammaintrend รว่ มเผยแพรแ่ ละแบง่ ปันเป็ นธรรมทาน

ท า ง ช ี ว ิ ต ดร.สนอง วรอไุ ร ชมรมกลั ยาณธรรม หนงั สอื ดีล�ำดับที่ ๓๓๓ สพั พทานงั  ธมั มทานัง ชินาติ การให้ธรรมะเป็นทาน ยอ่ มชนะการใหท้ ง้ั ปวง พมิ พ์ครั้งที่ ๑ : มกราคม ๒๕๕๙  จ�ำนวนพมิ พ ์ ๓,๐๐๐ เลม่ จัดพิมพโ์ ดย ชมรมกัลยาณธรรม ๑๐๐ ถนนประโคนชัย ต�ำบลปากน�ำ้  อำ� เภอเมือง  จงั หวัดสมุทรปราการ ๑๐๒๗๐ โทรศพั ท ์ ๐-๒๗๐๒-๗๓๕๓ และ ๐-๒๗๐๒-๙๖๒๔ ภาพปก/ภาพประกอบ สมุ ลฑา ประดงจงเนตร ออกแบบ คนขา้ งหลงั   พสิ จู นอ์ ักษร ทมี งานกัลยาณธรรม พิมพ์โดย บรษิ ัทขุมทองอุตสาหกรรมและการพิมพ์ จ�ำกัด  โทร.๐-๒๘๘๕-๗๘๗๐-๓ www.kanlayanatam.com Facebook: kanlayanatam.com

ค�ำ น�ำ ของผเู้ ขียน จากประสบการณ์ในการพัฒนาจิตที่วัดมหาธาตุฯ ท่าพระจันทร์  กรุงเทพฯ ได้รู้เห็นเข้าใจทางเดินของชีวิตตนเอง ท่ีวนเวียนอยู่ใน  วฏั สงสาร เมอื่ ไดพ้ ฒั นาปญั ญาเหน็ แจง้  จนเกดิ ขน้ึ กบั จติ ตวั เองได ้ แลว้  จงึ สงสารคนเปน็ จำ� นวนมากทเี่ หน็ ผดิ  นำ� พาชวี ติ สคู่ วามทกุ ข์  ยากอย่างไม่จบส้ิน คิดจะช่วยเหลือก็ได้แต่มองดูเพราะช่วยใคร  ไม่ได้ บุคคลมีชีวิตเป็นเอกสิทธ์ิเฉพาะตน ต้องช่วยตัวเอง จึงจะ  พ้นไปจากความทกุ ขย์ ากนนั้ ได้ หนังสือเล่มนี้ เปรียบเหมือนโคมส่องสว่างสู่การพ้นทุกข ์ ท่านผอู้ ่านต้องพสิ ูจน์ดว้ ยตัวเอง หากพบทางออกของชีวิตแลว้  ...  สาธุ ดร.สนอง วรอไุ ร 3

คำ�นำ� ของชมรมกัลยาณธรรม โลกน้ีเป็นเพียงบ้านช่ัวคราว หรือเป็นเพียงสะพานให้เราเดิน  ข้ามต่อไปยังจุดหมายปลายทาง ซึ่งเราอาจต้องย้อนมาถามใจ  ตัวเองว่า จุดหมายหรือเส้นชัยของเราอยู่ท่ีไหน และไกลจากจุดที ่ เรายืนอยู่นี้เพียงไร เราอาจจะมีการวางแผน การลงทุน ทั้งระยะ  ส้ัน ระยะยาว ส�ำหรับความก้าวหน้าและความส�ำเร็จในมิติต่างๆ  ของชีวิต ต้องด้ินรนต่อสู้แสวงหาเพ่ือให้ส�ำเร็จตามเป้าหมายและ  ไมข่ าดทุนในเรอ่ื งตา่ งๆ ทเ่ี ราลงทนุ ไว ้ จนถึงการลงทุนขา้ ม (ภพ)  ชาติ ...แล้วในที่สุด เราต่างก็พบว่า ทุกอย่างมันไม่มีอะไรเป็น  ของเราแทจ้ รงิ  มนั ลว้ นเปน็ สมบตั ขิ องโลกทงั้ นนั้  การเดนิ ทางไกล  ในแตล่ ะชวี ติ จบสน้ิ ปดิ ฉากไป แตจ่ ติ นย้ี งั ตอ้ งเดนิ ทางอกี แสนไกล  ในสงั สารวฏั  เพยี งเพอื่ ทจี่ ะยอมรบั วา่  ทกุ สงิ่ ลว้ นเปน็ อนตั ตา และ  ไมใ่ ช่อะไรท่จี ะยึดถือมัน่ หมายไดเ้ ลย 4

ด ร . ส น อ ง ว ร อุ ไ ร ทา่ นอาจารย ์ ดร.สนอง วรอไุ ร เปน็ ครบู าอาจารยผ์ เู้ มตตา  มากู่ร้องพวกเราให้พากันเร่งรีบเดินทางกลับบ้านอันแท้จริง อย่า  มัวหลงโลก มัวเมาในกามคุณกันอยู่เลย การศึกษาธรรมและ  น้อมน�ำมาปฏิบัตินับเป็นกุญแจส�ำคัญในการเดินทางชีวิตท่ีม ี สวัสดิภาพ การที่ผู้รู้มาบอกกล่าว นับว่าเป็นส่วนช่วยส�ำคัญให ้ ทางชีวิตของเราทุกคนลัดสั้นและตรงไปสู่จุดหมาย ไม่เน่ินช้า ด่ัง  พุทธพจน์เตือนใจว่า “ฑีฆา ชาครโต รตฺติ ฑีฆํ สนฺตสฺส โย  ชน ํ  ฑโี ฆ พาลาน สสํ าโร สทธฺ มมฺ  ํ อวชิ านต ํ ราตรหี นงึ่  ยาวนาน  ส�ำหรับคนผู้ต่ืนอยู่ ระยะทางโยชน์หนึ่งยาวไกลส�ำหรับผู้เม่ีอยล้า   สังสารวัฏยาวนานส�ำหรับคนพาลผู้ไม่รู้แจ้งสัทธรรม” ดังน้ันด้วย  สาระแหง่ ธรรมจากดวงจติ ของผรู้  ู้ หวงั วา่ ทกุ ทา่ นจะไดร้ บั ประโยชน ์ จากงานเขยี นอนั ทรงคุณค่าน้โี ดยทวั่ กัน ดว้ ยความเคารพและปรารถนาดตี อ่ ทกุ ท่าน ทพญ. อัจฉรา กล่ินสวุ รรณ์ ประธานชมรมกัลยาณธรรม 5

สารบัญ ๙ ประสบการณฝ์ ึกจติ ๑๕ บวั  ๔ เหล่า ๑๙ เร่อื งบอกเลา่ ๒๓ การพฒั นาท่แี ตกตา่ ง ๒๗ เปน็ เองหายเอง ๓๑ การเผยแผ่ธรรมในพทุ ธศาสนา ๓๕ ภทั รกัป ๓๗ พูดกบั พระป่า ๔๑ สง่ิ ทีเ่ จา้ คณุ โชดกบอก ๔๓ อายุของมนษุ ยห์ ดสนั้ ลง ๔๙ กาลามสตู ร ๕๕ กรรมนำ� เกิด ๕๙ ชีวิตทพ่ี น้ จากวัฏสงสาร ๖๒ คำ� ถามทา้ ยเล่ม ๖๔ บนั ทึกทา้ ยเลม่ ๗๐ ประวตั ขิ อง ดร.สนอง วรอุไร 6

เมื่อไปบวชเป็นภิกษุปฏิบัติธรรมแบบสมถกรรมฐาน  ปฏบิ ตั อิ ยนู่ าน ๗ วนั  จติ ไดเ้ ขา้ ถงึ ความตง้ั มน่ั เปน็ สมาธสิ งู สดุ   จิตได้ไปเห็นเทวดา  ได้  (ทิพพจักขุ)  และยิ่งไปเห็นภพภูมิ  หนหลังของตัวเอง  ด้วยปุพเพนิวาสานุสติญาณ  เวียนตาย  เวียนเกิดอยู่ในภพภูมิต่างๆ ของวัฏสงสาร ถึงกับน�้ำตาหยด  ได้ระลึกถึงความโง่ของตัวเอง จึงเวียนวนอยู่ในวัฏสงสารไม่รู้  จบสิ้น

ท า ง ชี วิ ต 8

ประสบการณ์ฝกึ จิต หลังจากส�ำเร็จการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์แล้ว ในปีพุทธ  ศักราช ๒๕๑๘ ผู้เขียนได้เดินทางกลับสู่ประเทศไทย พร้อมกับ  ปริญญาบัตรรับรอง และในปีเดียวกันนั้นก่อนเปิดเรียนภาคใหม ่ ผู้เขียนได้ไปบวชเป็นภิกษุที่วัดปรินายก กรุงเทพฯ โดยมีท่าน  เจ้าคุณโชดก (พระเทพสิทธิมุนี) เป็นอุปัชฌาย์ และในบ่ายของ  วันเดียวกันนั้นได้ย้ายมาจ�ำวัดอยู่ท่ีวัดมหาธาตุฯ ท่าพระจันทร ์ กรุงเทพฯ โดยมีท่านเจ้าคุณโชดกเป็นผู้สอนกรรมฐานให้ ท่าน  เจ้าคุณฯ ได้น�ำวิธีการสอน (พองหนอ-ยุบหนอ) มาจากประเทศ  9

ท า ง ชี วิ ต พม่า ท่านสอนอย่างไร ผู้เขียนศรัทธาและปฏิบัติตามท่ีท่านสอน  สิ่งท่ีพบคือการสอนในต่างประเทศ สอนให้พัฒนาสมอง สอน  ยาวนานถึง ๔ ปี พร้อมกับได้ปริญญาบัตรรับรอง แต่การสอน  กรรมฐานทว่ี ดั มหาธาตฯุ  สอนใหพ้ ฒั นาจติ ประมาณเดอื นเศษและ  ไม่มีส่ิงใดๆ รองรับการเข้าถึง เว้นแต่มีพฤติกรรมที่เปล่ียนไป  น่ีคือข้อแตกต่าง ของการพัฒนาความรู้ การพัฒนาสมองได ้ ความรู้ท่ีไม่จริงแท้ ได้ความรู้ท่ัวไปท่ีคนส่วนใหญ่นิยมพัฒนา  กัน ความรู้ท่ัวไปท่ีเกิดในสมอง เรียกว่า สัญญา (จำ� ได้) แต่  การพัฒนาจิตได้ความรู้ที่เป็นจริงแท้ (ปัญญา) และไม่เนื่อง  ด้วยกาลเวลา แม้กาลเวลาจะผ่าน เนิ่นนานไปเพียงไร ความ  จรงิ แท้ จะยงั คงเป็นความจรงิ แท้ตลอดไป คือไม่ลา้ สมัย ความรู้จากการพัฒนาสมอง  ลืมตาดูเห็นแต่ภพที่เป็น  มนุษย์ กับภพที่เป็นสัตว์เดรัจฉาน ภพอ่ืนๆ เช่น เทวดา พรหม  เปรต สตั วน์ รก ฯลฯ ไมส่ ามารถมองเหน็ ได ้ จงึ ท�ำใหไ้ มเ่ ชอ่ื ความร ู้ ในพุทธศาสนา แต่เมื่อไปบวชเป็นภิกษุปฏิบัติธรรมแบบสมถ  กรรมฐาน ปฏิบัติอยู่นาน ๗ วัน จิตได้เข้าถึงความต้ังมั่นเป็น  สมาธิสูงสุด จิตได้ไปเห็นเทวดา ได้ (ทิพพจักขุ) และยิ่งไปเห็น  ภพภูมิหนหลังของตัวเอง ด้วยปุพเพนิวาสานุสติญาณ เวียนตาย  เวียนเกิดอยู่ในภพภูมิต่างๆ ของวัฏสงสาร ถึงกับน้�ำตาหยด ได้  ระลึกถึงความโง่ของตัวเอง จึงเวียนวนอยู่ในวัฏสงสารไม่รู้จบสิ้น  10

ด ร . ส น อ ง ว ร อุ ไ ร เหตุเป็นเพราะได้ใช้ปัญญาจากสมอง (อวิชชา) ส่องน�ำทางให้กับ  ชีวิต การพัฒนาจิตตามแนวของสมถกรรมฐาน สามารถท�ำให้จิต  เขา้ ถงึ ปัญญาสูงสุด (ญาณ) ทางโลกทเี่ รียกว่า อภญิ ญา ๕ ได้ การพฒั นาปญั ญาจากสมองเปน็ สง่ิ ทท่ี างโลกนยิ มพฒั นากนั   ถอื วา่ เปน็ ปญั ญาโดยทว่ั ไป แตก่ ารพฒั นาจติ เปน็ การพฒั นาปญั ญา  สูงสุด ในทางวทิ ยาศาสตร์ระบุวา่ ที่ใดมพี ลังงาน ท่นี ัน้ ย่อมท�ำงาน  ได้ สมองมีพลังงานจิตก็เป็นตัวพลังงานอย่างเด่นชัด ทั้งสองจึง  สามารถพฒั นาใหเ้ กดิ เปน็ ความรไู้ ด ้ สงิ่ ใดยงั ไมม่  ี แลว้ ทำ� ใหเ้ กดิ มี  ขนึ้  สง่ิ ใดยงั ทำ� งานไดไ้ มด่  ี แลว้ ทำ� ใหด้ ขี นึ้  เรยี กการกระทำ� เชน่ นน้ั   ว่าพัฒนา แม้สมองจะมีพลังงาน ก็ไม่สามารถพัฒนาให้เห็นสิ่ง  อันเป็นทิพย์ได้  ผู้เขียนได้พัฒนาสมอง  มาทางด้าน  Elec-  tron microscopy ของเช้ือไวรัส แม้จะได้พัฒนาสมองจนมอง  เห็นโครงสร้างท่ีเล็กของเชื้อไวรัสแล้ว ก็ยังไม่สามารถสัมผัสกับ  ส่ิงอันเป็นทิพย์ได้ ยังมองไม่เห็นผี (สัมภเวสี) ยังมองไม่เห็น  เทวดา นค่ี อื จดุ ออ่ นของการพฒั นาสมอง ไมส่ ามารถเขา้ ถงึ  ความร้ ู ทส่ี มั ผสั กบั สง่ิ อนั เปน็ ทพิ ยไ์ ด ้ จงึ เรยี กความรทู้ เ่ี กดิ จากสมองวา่ เปน็   อวชิ ชา สว่ นการพฒั นาจติ ตามแนวของสมถกรรมฐาน เมอื่ พฒั นา  จนถงึ ระดบั สงู สดุ แลว้  สามารถมองเหน็ รปู รา่ งทเี่ ปน็ ทพิ ยด์ ว้ ยทพิ พ-  จักขุญาณ เห็นผี เห็นเทวดาได้ นี่คือข้อแตกต่างของความรู้ที่ได้  จากการพฒั นาสมองและความร้ทู ไี่ ดจ้ ากการพฒั นาจิต 11

ท า ง ชี วิ ต การพัฒนาสมอง ได้ความรู้ท่ีเป็นอวิชชา แต่การพัฒนา  จิต (ตามแบบสมถกรรมฐาน) ได้ความรู้สูงสุด (ญาณ) ที่ยังข้อง  เกี่ยวอยู่กับโลก เรียกว่า โลกิยญาณ แตกต่างกันดังนี้ (ดูบันทึก  ท้ายเล่ม ๑) ยงั มคี วามรสู้ งู สดุ อกี ประเภทหนงึ่  ทเี่ รยี กวา่  โลกตุ ตรญาณ  หรอื ญาณ ๑๖ เปน็ ความรทู้ เ่ี หน็ เหตเุ หน็ ผลทเี่ ปน็ จรงิ แท ้ ไมเ่ นอื่ ง  ด้วยกาลเวลา เรยี กความรสู้ งู สดุ ประเภทนวี้ ่า ปัญญาเห็นแจง้  ซึ่ง  มอี ย ู่ ๑๖ ตวั  และเกดิ ขน้ึ จากการพฒั นาจติ  ตามแนวของวปิ สั สนา  กรรมฐานเท่านั้น ปัญญาเห็นแจ้งสามารถเห็นเหตุเห็นผล ท่ีเป็น  ความจริงแท้ตลอดไป มีน้อยคนนักท่ีจะพัฒนาจิตให้เข้าถึงได้  ทง้ั นด้ี ว้ ยเหตอุ ดตี มบี ารมที สี่ ง่ั สมมานอ้ ย และปจั จบุ นั มไิ ดบ้ �ำเพญ็   ตอ่  จงึ ทำ� ใหจ้ ติ มบี ารมอี อ่ นสงั่ สมอยภู่ ายใน จงึ ท�ำใหย้ ากตอ่ การ  พัฒนาจิตจนเกิดปัญญาเห็นแจ้งได้ ค�ำว่า “บารมี” หมายถึง  ความดงี ามทบ่ี ำ� เพญ็  เพอ่ื จดุ หมายอนั สงู สดุ  (ดบู นั ทกึ ทา้ ยเลม่  ๒) 12

ผเู้ ขยี นเดนิ ทางไปบรรยายธรรม ณ ทแ่ี หง่ ใด มกั พดู อย ู่ เสมอวา่ ทกี่ ลา่ วนเี้ ปน็ เรอื่ งจรงิ  แตอ่ ยา่ พงึ ปลงใจเชอื่  ตามหลกั   กาลามสูตร  ทั้งนี้มีจุดประสงค์ให้ผู้ฟังธรรม  ไปพิสูจน์ด้วย  ตัวเอง ด้วยการปฏิบตั ธิ รรม

ท า ง ชี วิ ต 14

บวั  ๔ เหลา่ ผู้เขียนได้พิจารณาค�ำพูดของครูบาอาจารย์  ว่าคนที่ปฏิบัติ  ธรรมแล้วเข้าถึงธรรมได้มีเป็นจ�ำนวนน้อย คนที่มาบวชเป็นภิกษุ  แลว้ ปฏบิ ตั ธิ รรม หากเขา้ ถงึ ธรรมไดร้ อ้ ยละ ๒ กน็ บั วา่ เปน็ บญุ ของ  พระพุทธศาสนาแล้ว ผู้เขียนได้พิจารณาคำ� พูดของครูบาอาจารย ์ แล้วพิจารณาดูพฤติกรรมของตัวเอง เห็นว่าท่านกล่าวไว้ถูกตรง  ตามธรรมยง่ิ นกั ผเู้ ขยี นโชคด ี ทไ่ี ดพ้ บบคุ คลทงั้  ๔ ประเภทนแ้ี ลว้  ประเภท  หลังสุดมีมาก ดังจะเห็นได้จากกิจกรรม countdown แล้ว  ดม่ื สรุ าฉลอง หรอื แจกสรุ าใหด้ มื่  กอ่ นทจี่ ะมกี ารประชมุ นานาชาติ  15

ท า ง ชี วิ ต ดังที่เป็นข่าวให้เห็นทางจอโทรทัศน์ ท่านผู้อ่านเป็นคนประเภทใด  ในพุทธศาสนา ก็พึงเลือกเอาตามจรติ ที่ถนดั ของตนเองเถิด ขณะปฏิบัติธรรมอยู่ท่ีวัดมหาธาตุฯ ผู้เขียนได้พัฒนาจิต  ต า ม ค� ำ ชี้ แ น ะ ข อ ง ค รู บ า อ า จ า ร ย ์   ข ณ ะ เ ป ็ น ภิ ก ษุ ป ฏิ บั ติ ธ ร ร ม  ฉันข้าววันละ ๑๐ ช้อนก็อิ่ม ทั้งนี้เพ่ือจุดประสงค์ให้ร่างกาย  ทรงอยู่ได้และไม่เกิดความก�ำหนัด ได้ก�ำหนดลมหายใจแบบ  พองหนอ-ยุบหนอ ของหน้าท้อง วันละประมาณ ๒๐ ช่ัวโมง  ต่อเนื่องยาวนาน ๓๐ วัน โดยน่ังภาวนาหันหน้าเข้ามุมห้อง เพื่อ  มิให้จิตฟุ้งไปไกล ผลปรากฏว่า การกระท�ำดังกล่าว จิตได้ต้ังมั่น  เป็นสมาธิแบบประเด๋ียวประด๋าว (ขณิกสมาธิ) จิตได้เข้าถึงความ  ตงั้ มนั่ เปน็ สมาธจิ วนแนว่ แน ่ (อปุ จารสมาธ)ิ  และจติ ไดเ้ ขา้ ถงึ ความ  ต้ังมั่นเป็นสมาธิแน่วแน่ (อัปปนาสมาธิ) หรืออาจเรียกได้ว่าจิต  ทรงฌานนน่ั เอง หลงั จากเขา้ ถงึ สมาธสิ งู สดุ แลว้  ไดน้ �ำจติ ออกจาก  ความทรงฌาน ความรหู้ รอื ปญั ญาสงู สดุ ทเ่ี รยี กวา่ อภญิ ญา ๕ หรอื   โลกิยญาณจึงได้เกดิ ข้นึ นสิ ยั การนอนนอ้ ยไดต้ ดิ ตวั มาจนทกุ วนั น ้ี พรอ้ มกบั มไิ ดร้ บั   ประทานอาหารในตอนเยน็  ตดิ ตอ่ กนั เปน็ เวลานานเกอื บ ๓ ปแี ลว้   ผลปรากฏวา่  นอนหลบั สบายดไี มห่ วิ และไมน่ อนฝนั รา้ ย ไมป่ รงุ รส  อาหาร รสเปรี้ยว หวาน เค็ม เผ็ด ใดๆ กับอาหารที่รับประทาน  16

ด ร . ส น อ ง ว ร อุ ไ ร เพราะรู้ว่าคนปรุงอาหารปรุงรสมาพอดีแล้ว จึงไม่ต้องเติมส่ิงใด  ลงไปอีก ท้ังนม้ี ไิ ด้บรโิ ภคอาหารทป่ี รงุ จากเนือ้ ววั  เน้อื ควาย ดว้ ย  เหตุเจ้าแม่กวนอิมขอไว้ ผลปรากฏว่าสบายดี ได้พิจารณาส่ิงที่  เจ้าแมก่ วนอิมขอไวจ้ ึงได้รวู้ ่า ชาวไรช่ าวนาได้ประโยชนจ์ ากการใช้  แรงงานวัวควาย แล้วยังประพฤติเนรคุณด้วยการบริโภคเนื้อวัว  ควายอีก เป็นการไม่สมควรกับนักปฏิบัติธรรม หลังจากรับปาก  กับเจ้าแม่กวนอิมว่าจะไม่บริโภคเน้ือวัวเนื้อควายอีก มีอยู่วันหน่ึง  ได้เดินทางไปทางสถานีรถไฟเชียงใหม่ ไปเห็นคนปรุงก๋วยเต๋ียว  มีหัวเป็นควายเขาโง้ง จึงหยุดบริโภคก๋วยเตี๋ยวลูกช้ินเน้ือวัว เน้ือ  ควายตงั้ แต่วันนน้ั เปน็ ต้นมา ได้รู้ต่อไปว่า ความศักดิ์สิทธ์ิของสัจจบารมี เป็นส่ิงจ�ำเป็น  ของผปู้ ฏบิ ัตธิ รรม แลว้ น�ำพาให้เข้าถึงธรรมในพทุ ธศาสนา ตั้งแต่ไปฝึกกรรมฐานท่ีวัดมหาธาตุฯ ได้เข้าถึงอภิญญา ๕  และญาณ ๑๖ (วปิ สั สนากรรมฐาน) พอออกจากวดั มาแลว้ จงึ เลกิ   ด่ืมสุราโดยเด็ดขาด มีศีล ๕ คุมใจอยู่ทุกขณะต่ืน เลิกร้องเพลง  เลกิ กลวั ผหี รอื กลวั รปู นามทเี่ ปน็ ทพิ ย ์ พรอ้ มกนั นน้ั ยงั ไดค้ บผ ี คบ  เทวดาเปน็ เพอื่ น 17

ท า ง ชี วิ ต 18

เรื่องบอกเล่า มีเร่ืองบอกเล่าอยู่สองเร่ือง ในครั้งที่ไปถวายงานอยู่กับพระเจ้า  อยู่หัว  โดยแม่ทัพภาคท่ี  ๓  ได้เชิญไปเป็นที่ปรึก ษาที่จังหวัด  แม่ฮ่องสอน มีอยู่วันหน่ึงจ�ำได้ว่า เป็นวันศุกร์ตอนบ่าย ต้อง  เดินทางโดยเฮลิคอปเตอร์โดยล�ำพังเพียงคนเดียว คืนน้ันได้นอน  อยู่กลางป่าท่ีต�ำบลปางมะผ้า ในคืนวันนั้น เทวดาผู้ชาย (รุกข-  เทวดา) แต่งชุดสีขาว ได้เดินออกมาจากต้นไม้ใหญ่ ท่ีห่างจาก  หัวนอนประมาณ ๒๐ เมตร ได้ออกจากต้นไม้มาพูดคุยด้วย  ผู้เขียนจึงสอนธรรมะให้เทวดาฟังเมื่อประมาณ  ๒๑  นาฬิกา  19

ท า ง ชี วิ ต รกุ ขเทวดาฟงั ธรรมอยไู่ มน่ านไดข้ อลากลบั ไป พรอ้ มทง้ั เลน่ ดนตร ี (มโหรี) ให้ฟังเป็นการตอบแทนที่ให้ธรรมะ ผู้เขียนได้ฟังดนตรี  ของเทวดาแลว้  ไดก้ ลบั มาฟงั ดนตรที มี่ นษุ ยแ์ สดง รสู้ กึ วา่ ไมไ่ พเราะ  เทา่ ของเทวดา จึงเลิกฟังดนตรที ีม่ นษุ ย์แสดงตั้งแตน่ นั้ เป็นต้นมา เร่ืองท่ีสองท่ีจะบอกเล่า คือมีอยู่วันหนึ่งผู้เขียนได้รับเชิญ  ไปบรรยายธรรม ณ สถานทแ่ี หง่ หนง่ึ  หลงั จากบรรยายแลว้ เขาให ้ พักค้างแรมในบ้านผีสิง ซึ่งปลูกไว้เป็นเรือนไม้สองชั้น มีเสา  ตะเคียนตกน�้ำมันอยู่สามต้น ก่อนท่ีผู้เขียนจะเข้านอน ได้ใช้มือ  เคาะทเี่ สาทง้ั สามตน้ แล้วพูดวา่  “จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด วนั นี้ขอพัก  ค้างแรมหน่ึงคืน ช่วยดูแลรักษาคุ้มครองให้ด้วย” ผลปรากฏว่า  นอนหลับสบายดี ผีนางตะเคียนไม่หลอก เรื่องนี้มิได้บอกเล่าให้  เจ้าของบ้านฟัง ว่าผู้เขียนได้ท�ำอย่างไรก่อนนอน รุ่งขึ้นตอนเช้า  เจ้าของบ้านถามว่า “นอนหลับดีไหม?” จึงตอบเขาไปว่า “หลับ  สบายดี” โดยมิได้บอกเล่าให้เขาทราบว่า ก่อนนอนผู้เขียนได้ท�ำ อยา่ งไร? 20

ยิ่งพัฒนาสมองให้มีความรู้มากข้ึนเพียงใด  โอกาสท ่ี จะท�ำให้ความเห็นแก่ตัวย่อมมีมากข้ึนเท่าน้ัน ตามที่ฝรั่งเขียน  บอกว่า  มนุษย์ท่ีมี  IQ  สูง  แต่มี  EQ  ต�่ำ  น�ำมาใช้บริหาร  กจิ การสงั คมแลว้ เปน็ โทษ ดว้ ยเหตแุ หง่ การพฒั นาสมอง เพอ่ื   ให้มี  IQ  สูงจ�ำเป็นต้องมีการประพฤติจริยธรรท่ีเกี่ยวข้อง  ควบคู่กนั ไปด้วย เพ่ือใหค้ วามเห็นแก่ตวั ลดนอ้ ยลง

ท า ง ชี วิ ต 22

การพัฒนา ท่ีแตกตา่ ง ย้อนกลับมาพูดถึงเรื่องการปฏิบัติธรรมท่ีวัดมหาธาตุฯ หลังจาก  ปฏิบัติสมถกรรมฐานแล้ว  ครูบาอาจารย์ได้แนะน�ำวิธีปฏิบัต ิ วิปัสสนากรรมฐานต่อไป ขณะท่ีผู้เขียนยังเป็นภิกษุบวชใหม่ ได้  รับเชิญให้ไปบรรยายผลของการปฏิบัติธรรมให้ฆราวาสฟัง ที ่ ลานต้นอโศก (บัดน้ีไม่มีแล้ว) การบรรยายใช้เวลานานประมาณ  ๓ ชัว่ โมง พรอ้ มกับการซักถามจากผเู้ ข้าปฏิบัติธรรม เมอื่ กลับมา  ปฏิบัติธรรมอีกคร้ังหน่ึง ต้องเสียเวลาอยู่นานกับการปรับจิตให้  สงบระงับจากอารมณ์ปรุงแต่งญาติธรรมได้ซักถามถึงอภิญญา ๕  23

ท า ง ชี วิ ต ว่าเป็นอย่างไร ผู้เขียนได้พูดตอบญาติธรรมไปว่าการไปพัฒนา  ความรู้มาจากต่างประเทศ เพ่ือพัฒนาสมอง ต้องใช้เวลาในการ  พฒั นายาวนานถงึ  ๔ ป ี จงึ ไดป้ รญิ ญาเอกทางวทิ ยาศาสตรร์ องรบั   การเขา้ ถงึ  ซงึ่ ตรงกนั ขา้ มกบั การพฒั นาจติ ทว่ี ดั มหาธาตฯุ  เปน็ การ  พฒั นาจติ ใหเ้ ขา้ ถงึ ความรสู้ งู สดุ คอื อภญิ ญา ๕ ซงึ่ ระบบการท�ำงาน  ของประสาท ไมส่ ามารถสมั ผสั ได ้ คอื มองไมเ่ หน็ วา่ ผมี จี รงิ  เทวดา  มีจริง  แต่เมื่อมาพัฒนาจิตตามแนวของสมถกรรมฐาน  ที่วัด  มหาธาตุฯ จนเข้าถึงสมาธิระดับฌาน เมื่อถอยจิตออกจากความ  ทรงฌาน โลกยิ ญาณหรอื อภญิ ญา ๕ จงึ ไดเ้ กดิ มขี นึ้  ซงึ่ ทกุ ทา่ นท่ี  น่ังฟังบรรยายธรรมอยู่ ณ สถานที่แห่งน้ี สามารถพัฒนาจิตให ้ เกิดข้ึนได้ แต่ท้ังนี้ต้องมีศีลคุมใจให้ได้ก่อน จึงจะพัฒนาจิต  (สมถกรรมฐาน) ให้ตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ ตามคำ� ช้ีแนะของครูบา  อาจารย์ คนท่ีปฏิบัติสมถกรรมฐานแล้วจิตไม่ตั้งม่ันเป็นอัปปนา  สมาธิ เหตุเป็นเพราะรูว้ า่ ศลี คอื อะไร? แตไ่ ม่มศี ลี คุมใจตนเอง  จงึ เขา้ ไมถ่ งึ ธรรมทปี่ ฏบิ ตั  ิ นคี่ อื จดุ ออ่ นของคนทป่ี รารถนาจะเขา้   ถงึ ธรรม ตอ้ งแกไ้ ขเปน็ เบอื้ งตน้  การปฏบิ ตั สิ มถกรรมฐานจงึ ตอ้ ง  รู้และมีศีลคุมใจอยู่ทุกขณะต่ืน หลังจากน้ัน ต้องมีขันติ มีสัจจะ  และมีความเพียรในการปฏิบัติธรรมเป็นแรงสนับสนุน การเข้า  ถึงอัปปนาสมาธิหรือจิตทรงฌานจึงจะเกิดข้ึนได้ ฆราวาสทุกคน  ท่ีนั่งฟังธรรมอยู่ ณ ที่นี้ สามารถท�ำได้ หากได้รับการแก้ไขสิ่งที่  ประพฤติบกพรอ่ ง ต้องท�ำเหตุเบอ้ื งตน้ ให้ถูกตรง 24

ด ร . ส น อ ง ว ร อุ ไ ร เมื่อผู้เขียนพัฒนาจิตจนเข้าถึงอภิญญา ๕ ได้แล้ว ท่าน  เจ้าคุณโชดก ได้สอนวิปัสสนากรรมฐานต่อ โดยมิได้บอกให้รู้ตัว  ล่วงหน้า ให้พิจารณาสติปัฏฐาน ๔ จนเห็นผัสสะที่เข้ากระทบจิต  ดำ� เนินไปตามกฎไตรลกั ษณ์ 25

ท า ง ชี วิ ต 26

เป็นเองหายเอง ในคืนวันหน่ึง  หลังจากท่ีครูสอนให้พิจารณาผัสสะตามกฎ  ไตรลักษณ์แล้ว คืนน้ันประมาณสองทุ่มเศษ เม่ือภิกษุผู้ปฏิบัต ิ ธรรมมาชุมนุมกันพร้อมแล้ว ผู้เขียนได้ยกมือข้ึนถามปัญหากับ  ครูบาอาจารย์ผู้ส่งั สอนธรรม ในท�ำนองทว่ี ่า ผเู้ ขยี น (ภกิ ษบุ วชใหม)่  : ทา่ นเจา้ คณุ อาจารยค์ รบั  วนั น ี้ ผมท้องเดินอยา่ งแรงครบั ทา่ นเจา้ คณุ โชดก : นง่ิ  พรอ้ มกบั หวั เราะ ห ึ ห ึ มไิ ดต้ อบ  ปญั หานีแ้ ต่ประการใด ในที่สุดผู้เขียนจึงรู้ได้ด้วยตัวเองว่า การท่ีท้องเดินและม ี เหงื่อพร่ังพรูออกจากร่างกาย เป็นการก�ำจัดส่ิงแปลกปลอมท่ีมี  มากในร่างกาย แล้วท�ำให้ ดิน-น้�ำ-ลม-ไฟอยู่ในสภาพที่สมดุล  รา่ งกายกจ็ ะแขง็ แรงเปน็ ปกต ิ กอ่ นทน่ี �้ำจะพรงั่ พรอู อกจากรา่ งกาย  ได้สังเกตเห็นว่า การหายใจเข้าออกจากร่างกายลดน้อยลงอย่าง  27

ท า ง ชี วิ ต เหน็ ไดช้ ดั  ขณะเดยี วกนั นนั้ นำ�้  (เหงอ่ื ) ไดพ้ รง่ั พรอู อกจากรา่ งกาย  อยา่ งมาก ดว้ ยการกำ� จดั สงิ่ ทม่ี เี กนิ พอใหอ้ อกจากรา่ งกาย พลงั งาน  (ไฟ) ลดน้อยลงจนเห็นได้ชัด ของแข็ง (ดิน) ที่ประกอบข้ึนเป็น  ส่วนของร่างกาย ก�ำลังจะสลายลงกองอยู่กับพ้ืน ทันใดน้ัน ดิน  น้�ำ ลม ไฟ มีก�ำลังรวมกันข้ึนอีกครั้ง เป็นร่างใหม่ท่ีมีรูปขันธ์อยู ่ ในสภาพที่สมดุล อาการท้องเดินหายไปเป็นปลิดท้ิง โดยไม่ต้อง  รับประทานยารกั ษาโรคแตอ่ ย่างใด ความรจู้ ากสมองรวู้ า่  นำ้�  (เหงอื่ ) ทพี่ รงั่ พรอู อกจากรา่ งกาย  น้ัน เป็นการก�ำจัดส่ิงที่มีมากเกินพอ ทำ� ให้ร่างกายขาดสมดุล จึง  เกิดอาการท้องเดินอย่างแรง เม่ือของแข็งหรือส่ิงท่ีมีมากเกินพอ  ถูกขับออกจากร่างกายทางเหงื่อ จึงท�ำให้ดิน น�้ำ ลม ไฟ อยู่ใน  สภาพที่สมดุล ไม่จ�ำเป็นต้องรับประทานยารักษาโรคแต่อย่างใด  ครูบาอาจารย์คงรู้สภาวธรรมเช่นนี้จึงไม่ตอบค�ำถาม แต่หัวเราะ  หึหึ ดังท่ีได้เขียนบอกไว้ข้างต้น ยิ่งกว่าน้ันผู้เขียนยังได้รู้ว่า  โลกุตตรญาณตัวท่ีหน่ึง (นามรูปปริจเฉทญาณ) ได้เกิดข้ึนแล้ว  จากการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน  ความรู้เช่นน้ี  รู้ได้ด้วยจิต  (สนทฺ ฏิ ฐฺ โิ ก) ทเี่ ขา้ ถงึ โลกตุ ตรญาณทหี่ นง่ึ  โดยทคี่ รบู าอาจารยม์ ไิ ด ้ บอกให้รูต้ วั ลว่ งหนา้  เพอื่ ใหผ้ ู้เขยี นเข้าถึงดว้ ยจิตของตัวเอง ดว้ ย  การเร่งความเพียร พัฒนาจิตตามแนวของสติปัฏฐาน ๔ และ  มีสัจจะในการปฏิบตั ธิ รรม 28

ด ร . ส น อ ง ว ร อุ ไ ร ผเู้ ขยี นไดป้ ฏบิ ตั วิ ปิ สั สนากรรมฐานไปเรอื่ ยๆ ตามแนวของ  สติปัฏฐาน ๔ จนจิตเข้าถึงความรู้สูงสุด จิตได้เข้าถึงญาณตัวท ี่ ๑๖ (ปจั จเวกขณญาณ) ซงึ่ สามารถดจู ติ ตนเองวา่  กเิ ลส (สงั โยชน ์ ๑๐) ที่ละได้แล้วและกิเลสที่ยังคงมีอยู่ในดวงจิต มีอะไรบ้าง  ปัจจเวกขณญาณสามารถรูเ้ หน็ เขา้ ใจ (สนฺทฏิ ฺฐิโก) สภาวธรรมใน  ดวงจติ ของการเปน็ อรยิ บคุ คล ทม่ี อี ยใู่ นบทสวดมนตเ์ จรญิ สงั ฆคณุ   ผู้เขียนสามารถหยั่งรู้ความเป็นพระโสดาบัน แต่พระสกทาคาม ี พระอนาคามี และพระอรหันต์เพียงแค่รู้แต่ยังไม่มีสภาวธรรม  เช่นนั้น ยังเป็นอริยบุคคลสามขั้นสุดท้ายไม่ได้ ด้วยเหตุน้ีผู้เขียน  จงึ ยงั ตอ้ งเวยี นตาย-เวยี นเกดิ  อยใู่ นสคุ ตภิ พอนื่ อกี  ซง่ึ จะยาวนาน  แคไ่ หนไมส่ ามารถบอกได ้ ทง้ั นเี้ ปน็ เพราะเหตทุ ตี่ อ้ งรแู้ ละมคี วามร้ ู ขั้นโลกุตตรญาณก่อนทิ้งรูปขันธ์ของการเกิดเป็นมนุษย์ ขณะ  ปัจจุบันมีจิตจดจ่ออยู่กับการไปเกิดเป็นเทวดาหรือพรหม  ท ี่ สามารถพัฒนาจิตให้มีสภาวธรรมเช่นนั้นได้ โดยมิได้เอาจิตไป  เป็นทาสของสภาวธรรมท่ีเป็นอกุศลมูล (ราคะ โลภะ และโทสะ)  ท้ังสามซึ่งอกุศลมูลทั้งสามมีก�ำลังผลักดันจิตไปสู่ทุคติภพ คือ  ภพท่ีเป็นสัตว์เดรัจฉาน สัตว์เปรต สัตว์อสุรกาย และสัตว์นรก  ส่วนท่ีจะบอกว่าต้องรออีกนานเท่าไร ไม่สามารถตอบได้ ท้ังน้ี  เป็นด้วยเหตุการณ์มีชีวิตของสัตว์ในวัฏสงสาร ต้องด�ำเนินไป  ตามแรงผลักของกรรม ขออภัยผู้ที่เข้าถึงญาณตัวท่ี ๑๖ จึงจะ  เข้าใจสภาวธรรมเช่นน้ี 29

ท า ง ชี วิ ต 30

การเผยแผธ่ รรม ในพทุ ธศาสนา พุทธศาสนาไดอ้ ุบตั ิขึ้นในชมพทู วปี  เม่อื ประมาณ ๒ ศตวรรษ  ครึ่ง โดยมีพระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกอีก ๖๐ รูป เร่ิม  เผยแผ่ธรรมอยู่ในคร้ังพุทธกาล การเผยแผ่ธรรมแบ่งออกเป็น  ๒ สาย คือ สายเหนือ (มหายาน) เผยแผ่ไปยังประเทศธิเบต  จีน ญ่ีปุ่น ฯลฯ ส่วนพุทธศาสนาสายใต้ (หินยาน) เผยแผ่ไปยัง  ประเทศลังกา พม่า ไทย ฯลฯ พุทธศาสนาสายเหนือมีเป้าหมาย  ของการเป็นพระพุทธเจ้า แต่สายใต้มีเป้าหมายในการพัฒนาจิต  31

ท า ง ชี วิ ต ใหเ้ ปน็ พทุ ธสาวกหรอื พระอรหนั ต ์ การจะเปน็ เชน่ นน้ั ได ้ พระพทุ ธ-  โคดมจึงห้ามนักบวชพูดคุยเดรัจฉานกถา และห้ามนักบวชนำ� เอา  ความรู้ทางโลก (เดรัจฉานวิชา) ไปใช้ด�ำเนินชีวิต เพราะท้ังสอง  เป็นการกระท�ำท่ีขวางทางพระนิพพาน นักบวชผู้ใดประพฤติแล้ว  ไม่สามารถพัฒนาจิตให้เข้าถึงนิพพานได้ เช่นเดียวกับฆราวาส  ท่ีประสงค์พัฒนาจิตให้เข้าถึงพระนิพพานต้องเว้นประพฤติ ส่วน  ฆราวาสที่ปรารถนามีชีวิตอยู่กับวัฏสงสารโดยมีทุกข์เท่าที่จ�ำเป็น  สามารถประพฤติได้ ดังตัวอย่างของหมอชีวกโกมารภัจจ์ ใช้  เดรัจฉานวิชาในการรักษาโรคปวดศีรษะให้ภรรยาเศรษฐี ใช้  เดรัจฉานวิชารักษาโรคริดสีดวงทวารให้พระเจ้าพิมพิสาร แห่ง  แคว้นมคธ ใช้เดรัจฉานวิชารักษาโรคสมองอักเสบให้เศรษฐีชาว  เมอื งราชคฤห ์ ใหเ้ ดรจั ฉานวชิ ารกั ษาโรคผอมเหลอื งใหก้ บั พระเจา้   จณั ฑปชั โชตแิ หง่ กรงุ อชุ าชน ี รวมถงึ พระสงฆใ์ นพทุ ธศาสนา ตา่ งๆ  เหลา่ นเ้ี ปน็ หลกั ฐานยนื ยนั วา่ สามารถทำ� ได ้ แตห่ มอชวี กฯ โสดาบนั   จะบวชเปน็ ภกิ ษไุ มไ่ ด ้ ตายแลว้  หมอชวี กฯ ยงั ไปเกดิ เปน็ เทพบตุ ร  โสดาบัน ในสวรรคช์ ้ันดุสิตอกี ด้วย สรุปแล้วจะเป็นได้ว่าพระพุทธเจ้าห้ามนักบวชประพฤติ  เดรัจฉานวิชาและเดรัจฉานกถา เพราะหากประพฤติแล้ว ไม่  สามารถพัฒนาจิตสภู่ าวะพระนิพพานได้ 32

ด ร . ส น อ ง ว ร อุ ไ ร พระพุทธโคดม สอนฆราวาสให้เว้นประพฤติอกุศลธรรม  แตท่ รงใหป้ ระพฤตกิ ศุ ลธรรม กส็ ามารถดำ� เนนิ ชวี ติ อยใู่ นวฏั สงสาร  โดยมที กุ ขเ์ ทา่ ทจ่ี �ำเปน็ ได ้ ทกุ ขเ์ ทา่ ทจ่ี �ำเปน็ ไดแ้ ก ่ การเกดิ เปน็ ทกุ ข์  การแกเ่ ปน็ ทกุ ข ์ การตายเปน็ ทกุ ข ์ ขณะนป้ี ระชากรโลกมปี ระมาณ  เจด็ พนั ลา้ นคน เมอ่ื เกดิ มาเปน็ มนษุ ยแ์ ลว้  ทกุ คนตอ้ งตายแนน่ อน  ดงั นนั้ การเกดิ และการตาย เปน็ ทกุ ขอ์ ยา่ งเห็นไดช้ ัด มนุษย์ที่ด�ำรงเพศเป็นฆราวาสและปรารถนาพัฒนาจิตให้  เข้าถึงสภาวะพระนิพพาน ต้องเว้นการพูดคุยดิรัจฉานกถา ต้อง  เว้นประพฤติเดรัจฉานวิชา เหมือนกับนักบวชในพุทธศาสนา จึง  จะพัฒนาจิตให้เข้าสู่สภาวะของพระนิพพานได้ ในคร้ังพุทธกาล  ได้มบี คุ คลทเ่ี ป็นฆราวาส เช่นพาหิยะ พระนางเขมา อำ� มาตยข์ อง  พระเจ้าจัณฑปัชโชติ (อ�ำมาตย์กัจจายนะ) บรรลุอรหัตตผลก่อน  บวช ดว้ ยการพจิ ารณาธรรมโดยแยบคาย (โยนโิ สมนสกิ าร) เมอื่   จติ บรรลอุ รหตั ตผลแลว้ ทง้ั สองคนสดุ ทา้ ย จงึ ไดข้ อบวชในภายหลงั   ส่วนพาหิยะมิได้บวช เพราะถูกเจ้ากรรมนายเวรสิงเข้าร่างแม่วัว  ขวดิ ตาย 33

ท า ง ชี วิ ต 34

ภทั รกปั ค�ำว่า กัป หรือ กัลป์ เป็นสมมติบัญญัติของชาวฮินดู หมายถึง  ระยะเวลาทโ่ี ลกประลยั ครงั้ หนงึ่  (อา่ นหนงั สอื เรอ่ื ง พทุ ธนั ดร ของ  ดร. สนอง วรอุไร จัดพิมพ์โดยชมรมกัลยาณธรรม) มนุษย์ท ่ี มาเกดิ อยใู่ นปจั จบุ นั นบั วา่ เปน็ ผมู้ โี ชคด ี เพราะมาเกดิ อยใู่ นภทั รกปั   ซ่ึงหมายถึงกัปท่ีมีพระพุทธเจ้าอุบัติข้ึนถึง ๕ พระองค์ (พระ  กกสุ นั ธะ พระโกนาคมน ์ พระกสั สปะ พระโคตมะ และพระศรี-  อาริยเมตไตรย) ท้ัง ๕ พระองค์ มาอุบัติข้ึนในกัปเดียวกัน แต ่ พระพุทธเจ้าองค์สุดท้าย (พระศรีอารยเมตไตรย) มิได้เกิดข้ึน  ในตระกูลกษัตริย์  ทรงเกิดในตระกูลพราหมณ์  แต่ยังอยู่ใน  ภัทรกัปน้ี เปรียบได้กับเต่าตาบอดท่ีว่ายน�้ำอยู่ในมหาสมทุ รใหญ ่ ทกุ  ๑๐๐ ป ี จะโผลห่ วั ขน้ึ มาหายใจสกั ครง้ั หนงึ่  โอกาสที่เต่าทิพย์  จะโผล่หัวมาตรงกับรูไม้ที่เจาะไว้เป็นเรื่องยาก ซ้�ำร้ายไม้เจาะร ู มิได้อยู่น่ิง ยังถูกลมเหนือ-ลมใต้พัดพาให้ไม้ลอยน�้ำไปในทิศ  ทั้งส่ีอย่างสะเปะสะปะ จึงเป็นเร่ืองยากที่เต่าทิพย์ตาบอดจะโผล ่ ขน้ึ มาตรงรไู มท้ ีเ่ จาะไว้ ซ่ึงประมาณวา่ กปั หนงึ่ ยาวนานกวา่ นัน้ 35

ท า ง ชี วิ ต 36

พูดกบั พระป่า ผู้เขียนได้มีโอกาสสนทนาอยู่กับพระ ที่ปฏิบัติธรรมอยู่ในป่า  จากการพูดคุยกันในวันน้ัน สรุปลงได้ว่า “ผมจะไม่น�ำพาชีวิตไป  เกิดเป็นสาวกของท่าน ผมจะน�ำพาชีวิตไปเกิดอยู่ในสุคติภพ จะ  ไปบอกเทวดาและพรหมวา่  อยา่ เอาจติ ไปรองรบั ความเปน็ ทาสของ  อกุศลมูล ๓ หลังจากนั้นจงึ จะพฒั นาจติ ใหพ้ ้นไปจากวฏั สงสาร” ผู้เขียนไม่ประมาทที่ได้กล่าววาจาเช่นนั้นออกไป เพราะมี  ความมั่นใจในการก�ำจัดกามราคะและปฏฆิ ะ ใหห้ มดไปจากใจได ้ กอ่ นตายทงิ้ รปู ขนั ธใ์ นการเปน็ มนษุ ยท์ ม่ี กี ายหยาบ เหตทุ จี่ ะไปบอก  กบั เทวดาและพรหม เพราะทงั้  ๒ เพศ สามารถพฒั นาจติ ใหม้ ศี ลี   ไมข่ าด ไมท่ ะล ุ ไมด่ า่ ง ไมพ่ รอ้ ยได ้ แตไ่ มไ่ ปสอนสตั วใ์ นอบายภมู  ิ เพราะยังต้องเสวยอกศุ ลวิบากของการประพฤติทุศีลมาก่อน 37

ท า ง ชี วิ ต เมอ่ื เขยี นมาถึงตอนนไ้ี ดร้ ะลึกถึงรปู นามทเี่ ป็นมนษุ ยว์ ่าเป็น  ผู้มีโชคดีจริงหรือ ได้เขียนบอกไว้ในตอนต้นว่า มนุษย์เปรียบ  ได้เหมือนบัว ๔ เหล่า ทุกประเภทผู้เขียนได้พบและพูดคุยมา  แล้วปรากฏว่า เป็นจริงและมีอยู่จริง แต่ผู้ที่เป็นปทปรมะมีมาก  จึงยากที่จะเป็นผู้มีโชคดีตามหลักของพระพุทธศาสนา ยิ่งพัฒนา  ส ม อ ง ใ ห ้ มี ค ว า ม รู ้ ม า ก ข้ึ น เ พี ย ง ใ ด   โ อ ก า ส ที่ จ ะ ท�ำ ใ ห ้ ค ว า ม  เห็นแกต่ วั ยอ่ มมีมากข้นึ เท่าน้นั  ตามทฝี่ ร่ังเขยี นบอกว่า มนษุ ย์  ที่มี IQ สูง แต่มี EQ ต่�ำ น�ำมาใช้บริหารกิจการสังคมแล้ว  เปน็ โทษ ดว้ ยเหตแุ หง่ การพฒั นาสมองเพอ่ื ใหม้  ี IQ สงู จำ� เปน็   ต้องมีการประพฤติจริยธรรมท่ีเก่ียวข้องควบคู่กันไปด้วย เพ่ือ  ให้ความเห็นแก่ตัวลดน้อยลง วิธีการเช่นนี้มิได้เป็นการก�ำจัด  อัตตา (ego) แต่การประพฤติจริยธรรม เป็นการห่อหุ้มอัตตา  มใิ หแ้ สดงออกเทา่ นนั้  ดงั จะเหน็ ไดจ้ ากคนทม่ี  ี IQ สงู แตม่  ี EQ ตำ่�   ประพฤติบุกรุกป่าสงวนหรือที่สาธารณะกันเป็นจ�ำนวนมากอยู ่ ในขณะน้ี เมื่อใดท่ีจริยธรรมอ่อนแอ การประพฤติเบียดเบียน  (คอร์รัปชั่น)  ย่อมมีมากข้ึนเป็นเงาตามตัว  ตรงกันข้าม  การ  พฒั นาจติ ใหเ้ กดิ ปญั ญาเหน็ แจง้ ตามแนวของพทุ ธศาสนา เปน็ การ  ก�ำจัดอัตตาหรือความเห็นแก่ตัวให้หมดไป ด้วยการพัฒนาจิต  ตามแนวของสตปิ ฏั ฐาน ๔ (กาย เวทนา จติ  ธรรม) ขณะเดยี วกนั   ปญั ญาเห็นแจ้งคือโลกตุ รญาณ (ญาณ ๑๖) จึงจะเกิดข้ึนได้ (ด ู บันทกึ ทา้ ยเลม่  ๔) 38

ด ร . ส น อ ง ว ร อุ ไ ร ผทู้ พี่ ฒั นาจติ ตามแนวของวปิ สั สนาธรุ ะ จนถงึ สจั จานโุ ลมกิ -  ญาณ (ญาณ ๑๒) ยังมีสภาวธรรมในดวงจิตเป็นปุถุชน หาก  เมื่อใดได้พัฒนาจิตจนเข้าถึงโคตรภูญาณ (ญาณ ๑๓) จะไม ่ สามารถขดั ขวางความกา้ วหนา้ ของจติ ได ้ จติ จะพฒั นาอยา่ งรวดเรว็   จนถึงญาณตัวท่ี ๑๔ ญาณตัวที่ ๑๕ และญาณตัวท่ี ๑๖ จนม ี สภาวธรรมในดวงจิตเป็นอริยบุคคล ดังที่มีกล่าวอยู่ในบทสวด  มนต์เจริญสังฆคุณ มนต์บทน้ีใช้สวดสรรเสริญคุณของพระสงฆ ์ ผมู้ สี ภาวธรรมในดวงจติ เปน็ พระอรยิ บคุ คล (พระโสดาปตั ตมิ รรค  พระโสดาปัตติผล พระสกทาคามิมรรค พระสกทาคามิผล พระ  อนาคามิมรรค พระอนาคามิผล พระอรหัตตมรรค และพระ  อรหัตตผล) หากท่านผู้อ่านเข้าใจตามน้ีแล้ว จะพิถีพิถันในการ  สวดบทมนต์เจรญิ สังฆคุณมากยิง่ ขึ้น 39



สิ่งทเ่ี จ้าคุณโชดกบอก ทา่ นเจา้ คณุ โชดก ไดบ้ อกกบั ผเู้ ขยี นวา่  การพฒั นาจติ ตามแนว  ของสมถกรรมฐานและการพัฒนาจิตตามแนวของวิปัสสนา  กรรมฐาน เปน็ บญุ ใหญ ่ สามารถน�ำพาชวี ติ ใหพ้ น้ ไปจากวฏั สงสาร  ได้ ดังนั้นทุกครั้งท่ีปฏิบัติธรรมแล้วเสร็จในรอบวัน ต้องอุทิศบุญ  ใหญ่ให้กับเจ้ากรรมนายเวรด้วย ผู้เขียนเห็นด้วยอย่างยิ่งว่า ค�ำ  พูดของครูบาอาจารย์ พูดได้ถูกตรงย่ิงนัก จนเกิดเป็นแรงศรัทธา  ในการปฏิบัติธรรมและเข้าถึงธรรมได้ง่าย  หากท่านผู้อ่านมี  บญุ บารมสี ง่ั สมมามากพอ แลว้ ใชข้ นั ตบิ ารม ี ใชส้ จั จบารม ี และใช ้ วิรยิ บารมีสนับสนุน ย่อมเข้าถงึ ธรรมได้งา่ ยเช่นกัน 41



อายุของมนษุ ย์ หดสน้ั ลง ญาติธรรมขอร้องให้ผู้เขียนมีอายุยืนยาวถึง ๑๒๐ ปี เพื่อจะ  ได้เผยแผ่ธรรมะในพระพุทธศาสนาไปนานๆ ผู้เขียนมิได้รับปาก  แต่ไปอธิษฐานกับส่ิงศักดิ์สิทธ์ิที่พระธาตุดอยตุงจังหวัดเชียงราย  ว่า หากมีอายุยืนยาวตามที่ญาติธรรมขอร้อง และไม่เป็นภาระแก่  ผู้อ่ืนก็จะอยู่ถึง ๑๒๐ ปี ตามที่ขอ ผู้เขียนได้พิจารณาดูแล้วว่า  อายุขัยของมนุษย์หดส้ันลง ๑ ปี ทุกๆ ๑๐๐ ปี เป็นด้วยเหตุ  ของอาหารท่ีบริโภคไม่เหมาะสมตามวัยที่ควรจะเป็น การหายใจ  เอาอากาศที่มีมลพิษปนเปื้อนเข้าสู่ร่างกาย การมีพฤติกรรมเร่งรีบ  ของคนในยุคปัจจุบัน ฯลฯ ต่างๆ เหล่าน้ีเป็นสาเหตุให้อายุขัย  43

ท า ง ชี วิ ต ของมนุษย์หดสั้นลง หลวงปู่ค�ำคะนิงได้พบฤๅษีปากทางเข้าเมือง  บาดาล มีอายุยืนยาวถึง ๓,๐๐๐ ปี ผู้เขียนได้พบและพูดคุยอยู่  กับพระปัจเจกพุทธเจ้า มีอายุยืนยาวถึงประมาณ ๒๕๐ ปี ซึ่ง  ทะเบียนการเกิดยังมิได้มีการจัดท�ำขึ้น คือเกิดก่อนการสร้างกรุง  รัตนโกสินทร์ ต่างๆ เหล่าน้ีต้องท�ำเหตุให้ถูกตรง ฤๅษีปากทาง  เข้าเมืองบาดาลท�ำจิตทรงฌานอยู่เป็นประจ�ำ พระปัจเจกพุทธเจ้า  ได้ท�ำจิตเป็นอิสระต่อโลกธรรมและวัตถุอยู่เสมอ คือไม่สนใจใน  โลกธรรมและวัตถุนั่นเอง ผู้ใดท�ำตาให้เป็นเสมือนคนตาบอด ท�ำหูให้เป็นเสมือนคน  หูหนวก ท�ำปากให้เป็นเสมือนคนเป็นใบ้ แต่หายใจเข้าออกยาวๆ  และไม่ใหห้ ยุด อายขุ ยั จะยืนยาว ในครงั้ พทุ ธกาลพระพทุ ธเจา้ ได้  ตรัสกับพระเจ้าปเสนทิโกศลในทำ� นองที่ว่า “การบริโภคอาหารแต ่ พอควร ย่อมท�ำให้มีสุขภาพดีและมีอายุยืนยาว” ซ่ึงเมื่อปีท่ีผ่าน  มา ผู้เขียนได้พบกับภรรยาของคุณหมอรายหน่ึง แล้วพูดว่าสาม ี (หมอ) ทุกวันนี้หายใจอ่อนลงๆ ซึ่งผู้เขียนได้ตอบภรรยาของ  คุณหมอไปว่า “โปรดบอกสามีให้หายใจเข้ายาวๆ เข้าไว้ และ  หายใจออกยาวๆ เขา้ ไว้ ถา้ ไม่หยดุ หายใจ จะมอี ายยุ ืนยาวได้” พระพุทธโคดมหายใจเข้าออกเพ่ือพัฒนาจิตให้มีสติ แล้ว  ปัญญาเห็นแจง้ จึงได้เกดิ ข้ึน 44

ด ร . ส น อ ง ว ร อุ ไ ร พระพทุ ธเจา้  : ถามภกิ ษรุ ปู ท ่ี ๑ วา่  เธอหายใจ (อานาปาน  สต)ิ  บ่อยแคไ่ หน ? ภิกษรุ ปู ท ่ี ๑ : ตอบว่า เจรญิ อานาปานสติวันละครง้ั ภกิ ษรุ ูปท่ ี ๒ : ตอบวา่  หายใจเขา้ ออก กำ� หนดจติ ใหม้ สี ต ิ ทุกครั้งทอ่ี อกบิณฑบาต ภกิ ษุรูปที่ ๓ : ตอบวา่  หายใจเจรญิ อานาปานสต ิ ทกุ ครงั้   ทเ่ี คยี้ วคำ� ขา้ ว พระพุทธองค์ตรัสว่า เธอท้ังสามยังเป็นผู้ประมาท ตถาคต  เจริญอานาปานสติทุกครั้งที่หายใจเข้า แล้วไม่หายใจออกก็ตาย  หายใจออกแตไ่ มห่ ายใจเขา้ กต็ าย ตถาคตเจรญิ สตทิ กุ ครง้ั ทหี่ ายใจ  เข้า เจริญสติทุกครั้งท่ีหายใจออก จะเห็นได้ว่าพระพุทธเจ้าโคดม  เป็นผู้มีสติก�ำกับจิตอยู่ทุกลมหายใจเข้า-ออก ผู้เขียนไม่สามารถ  ประพฤติเช่นนั้นได้ แต่ระลึกได้ส่วนใหญ่เมื่อได้รับสัมผัสจากสิ่ง  กระทบภายนอก จิตจะมีสตกิ ำ� กับอยูเ่ สมอ ในการปฏบิ ตั ธิ รรมอยทู่ วี่ ดั มหาธาตฯุ  เมอ่ื จติ ไดเ้ ขา้ ถงึ ปญั ญา  สูงสุดที่เรียกว่า ปุพเพนิวาสานุสติญาณ แล้วท�ำให้น�้ำตาหยดได ้ ยงั ตดิ ตาตรงึ ใจอยไู่ มร่ ลู้ มื ถงึ เหตกุ ารณใ์ นวนั นน้ั  จงึ เขา้ ใจวา่  ปญั ญา  จากสมองเป็นอวิชชาดังไดก้ ลา่ วไวข้ ้างตน้ 45

ท า ง ชี วิ ต หลังจากท่ีปฏิบัติธรรมแบบวิปัสสนากรรมฐานจนเข้าถึง  โลกุตตรญาณหรือญาณ ๑๖ ได้แล้ว จึงได้ระลึกถึงการเผยแผ ่ ธรรมของพระพุทธองค์ ที่ท�ำให้เห็นการเดินทางของชีวิตอย่าง  ถ่องแท้ ได้คิดตอบแทนคุณ (กตัญญูกตเวที) ของพระพุทธองค์  อย่างไม่มีวันจบสิ้น พร้อมกับมีเสียงกระซิบท่ีหูข้างขวาว่าต้อง  ตอบแทนคุณของพระพทุ ธเจ้าไปจนตาย ผเู้ ขยี นไดพ้ จิ ารณาถงึ เรอื่ งนอี้ ยา่ งแยบคายและไดร้ วู้ า่ ในครง้ั   พทุ ธกาล การแสดงธรรมของพระพทุ ธโคดมตอ้ งเดนิ ทางไกลดว้ ย  เท้า ไปเผยแผ่ธรรมทั่วชมพูทวีป พระพุทธเจ้าได้เสด็จสู่สวรรค ์ ช้ันดาวดึงส์เพื่อโปรดพุทธมารดา (สิริมหามายาเทพบุตรจากดุสิต  สวรรค์) จนสภาวธรรมในดวงจิต ของเทพบุตรเป็นพระโสดาบัน  ได้ ท้ังนี้ยังเสด็จสู่สวรรค์เพ่ือโปรดพระพรหมจนมีความเห็นถูก  ตามธรรมได ้ ผเู้ ขยี นไมส่ ามารถประพฤตเิ ชน่ นนั้ ได ้ แตส่ ามารถพดู   ออกไปได้ไกลท่ัวโลก โดยอาศัยเทคโนโลยี (internet) เป็นสื่อ  ในการแผ่กระจายธรรมะในพุทธศาสนา คิดว่าการกระทำ� เย่ียงนี ้ เป็นการตอบแทนคุณของพระพุทธโคดมได้ ทั้งนี้ต้องพิถีพิถันใน  การดูแลร่างกายให้มีสุขภาพสมบูรณ์และแข็งแรงเพื่อใช้ในการน ้ี ผู้เขียนยังไม่ลืมและยังไม่ถึงเวลาท่ีจะไปบอกเทวดาและพรหม  ผู้ศรัทธา มิให้เอาจิตไปเป็นทาสของอกุศลมูลท้ังสามดังท่ีกล่าวไว้ ข้างต้น 46

คนที่ปฏิบัติสมถกรรมฐานแล้วจิตไม่ตั้งม่ันเป็นอัปปนา  สมาธิ เหตุเป็นเพราะรู้ว่าศีลคืออะไร? แต่ไม่มีศีลคุมใจตนเอง  จึงเข้าไม่ถึงธรรมท่ีปฏิบัติ  น่ีคือจุดอ่อนของคนท่ีปรารถนา  จะเขา้ ถงึ ธรรม ตอ้ งแกไ้ ขเป็นเบือ้ งต้น



กาลามสตู ร มีอยู่วันหนึ่งที่วิหารเชตวันเมืองสาวัตถี พระพุทธโคดม พร้อม  ภิกษุบริวารได้เสด็จสู่เกสปุตตนิคมท่ีอยู่ในแคว้นโกศล และถาม  ชาวกาลามะว่า เธอทั้งหลายนับถือใครเป็นครูสอนใจหรือยัง ซ่ึง  ชาวกาลามะตอบว่า ทุกคนท่ีโคจรมาสู่หมู่บ้านแห่งน้ี มักจะยกคำ�   สอนของตนวา่ ถกู ตอ้ ง พรอ้ มกบั ตำ� หนคิ ำ� สอนของคนอนื่ วา่ ไมเ่ ปน็   ความจริง ข้าพเจ้า (ชาวกาลามะ) จึงไม่ได้นับถือใครเป็นครูสอน  ใจตนเอง พระพุทธเจ้าจงึ ตรัสวา่ ดแี ลว้  ดังนี้ 49


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook