Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore lamtharn2

lamtharn2

Published by ชมรมกัลยาณธรรม, 2021-03-14 08:28:15

Description: lamtharn2

Search

Read the Text Version

เดินทางไปตามส�ำนักต่างๆ เพ่ือเล่าเรียน  สมัยนั้นนอกจากพระ  ปริยัติธรรมแล้ว วิชาคาถาอาคมก็ถือกันว่าเป็นอีกวิชาหน่ึงท่ีพระ  ควรเรยี นร ู้  ทา่ นจงึ ไปศกึ ษากบั หลวงพอ่ สนุ่ ซงึ่ ไดช้ อ่ื วา่ แกก่ ลา้ ทาง  คาถาอาคมและรักษาโรคภัยไข้เจบ็ ค�ำสอนข้อหนึ่งท่ีท่านได้รับจากหลวงพ่อสุ่นก็คือ อย่า  หวน่ั ไหวในโลกธรรม อยา่ อยากรวย อยา่ อยากมยี ศถาบรรดาศกั ดิ ์ เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่เท่ียง  หากสูญเสียทรัพย์และยศก็จะเป็นทุกข์  พระน้นั ถ้ารวยก็ไม่ใชพ่ ระ พระตอ้ งรวยด้วยบุญญาบารมี หลวงพ่อสุ่นได้ประสิทธ์ิประสาทวิชาความรู้แก่ท่าน ท้ัง  คาถาอาคม วชิ าแพทยแ์ ผนโบราณและวปิ สั สนากรรมฐานจนหมด  สนิ้ ทกุ กระบวน แตท่ า่ นกย็ งั คงแสวงหาครบู าอาจารยต์ อ่ ไป เพราะ  ทราบดีว่าวิชาหนง่ึ ที่ยังขาดไปคอื วชิ าปรยิ ตั ิธรรม ท่านจึงเดินทางไปเรียนกับพระอาจารย์จีนแห่งวัดเจ้าเจ็ด  ตามค�ำแนะน�ำของหลวงพ่อสุ่น  ชาวบ้านแถวนั้นพูดตรงร่�ำลือว่า  พระอาจารยจ์ นี เปน็ คนโมโหรา้ ยมาก  เวลาโมโหแลว้ ยง้ั ไมอ่ ย ู่ ปาก  วา่ มอื ถงึ  จนลกู ศษิ ยห์ วาดกลวั มาก  พระอาจารยจ์ นี เองกร็ ตู้ วั  และ  100 านธรรม ๒ ลํ า ธ า ร ริ ม ล

กลวั วา่ ตนจะไปทำ� รา้ ยลกู ศษิ ยเ์ วลาสอนหนงั สอื   ทา่ นจงึ สง่ั ใหส้ รา้ ง  กรงใหญข่ นึ้ สำ� หรบั ขงั ตวั ทา่ นเองเวลาสอนหนงั สอื  แลว้ ใหล้ กู ศษิ ย ์ คนหนง่ึ เกบ็ กญุ แจไว ้  เวลาสอนหนงั สอื ลกู ศษิ ยค์ นใดไมต่ ง้ั ใจเรยี น  หรือตอบคำ� ถามไม่ถูกต้อง ท่านจะโมโหจนคุมไม่อยู่ ถึงกับเอามือ  จับลูกกรงเหล็กเขย่าจนลูกศิษย์ขวัญหนีดีฝ่อ  แต่พอท่านคลาย  โทสะลงแล้ว ทา่ นก็กลายเปน็ พระอาจารย์จีนรูปเดมิ หลวงพ่อปานเป็นผู้ใฝ่เรียน มีความเพียรเป็นที่ตั้ง  พระ  อาจารย์จีนถามอะไร ท่านก็ตอบได้ถูกต้อง จึงเป็นที่พอใจแก่พระ  อาจารย์มาก  ไม่นานพระอาจารย์จีนก็สิ้นความรู้ที่จะสอนให้ท่าน  ทา่ นจงึ เขา้ มาเรยี นตอ่ ทก่ี รงุ เทพฯ กบั พระอาจารยเ์ จน่ิ  วดั สระเกศ ระหวา่ งอยทู่ วี่ ดั สระเกศนนั้  ทา่ นเลา่ วา่ อตั คดั มาก  บณิ ฑ-  บาตบางครงั้ กไ็ มพ่ อฉนั  ไดแ้ ตข่ า้ วเปลา่ ๆ  หาไมก่ เ็ ดด็ ยอดกระถนิ มา  จม้ิ นำ�้ ปลา นำ้� พรกิ  ฉนั แทบทกุ วนั   กจิ นมิ นตก์ แ็ ทบไมม่  ี  เปน็ เชน่ น้ ี อยู่หลายปี  ปีสุดท้ายก่อนท่ีท่านจะกลับวัดบางนมโค ท่านเล่าว่า  คนื หนง่ึ เทวดามาหาทา่ นถงึ กฏุ เิ พอื่ บอกหวย  บอกเสรจ็ กเ็ ขยี นใหด้ ู  แล้วย้�ำว่าจ�ำได้ไหม  ท่านก็ตอบว่าจ�ำได้ แทนท่ีจะดีใจ ท่านกลับ  คร่นุ คิดจนนอนไมห่ ลับ 101 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล

รุ่งเช้าท่านตัดสินใจไม่แทงหวย เพราะเห็นว่าไม่ใช่กิจของ  สงฆ ์  ทา่ นระลกึ ถงึ คำ� ของหลวงพอ่ สนุ่ ทว่ี า่  “ถา้ รวยกไ็ มใ่ ชพ่ ระ พระ  ต้องรวยด้วยบุญญาบารม”ี   ปรากฏวา่ วนั นัน้ หวยออกตรงตามท ี่ เทวดาบอก  หากทา่ นแทงหวยตามทเี่ ทวดาบอก กจ็ ะได้ลาภกอ้ น  ใหญ่  แม้โชคลาภหลุดลอยไปต่อหน้า แต่ท่านก็หาเสียใจไม่ กลับ  รสู้ ึกสบายใจดว้ ยซ้ำ� ทใ่ี จไม่หวั่นไหวตอ่ ลาภ หลวงพ่อปานได้เรียนรู้หลายวิชา รวมท้ังคาถาอาคม  สามารถสะเดาะกุญแจให้หลุดได้อย่างง่ายดาย  แต่วิชาเหล่านั้น  เทียบไม่ได้กับวิชาสะเดาะกิเลสให้หลุดจากใจ  วิชาน้ีท�ำให้ชีวิต  สงบเย็นและเป็นอิสระ ไม่เบียดเบียนท้ังตนและผู้อื่น  ขณะที่พระ  อาจารย์จีนต้องมีกรงเหล็กไว้ควบคุมตนท้ังๆ ท่ีมีความรู้มากมาย  แต่หลวงพ่อปานเพียงแต่มีสติรักษาใจและมีปัญญาเห็นโทษของ  โลกธรรม กส็ ามารถปอ้ งกนั ใจไมใ่ หท้ กุ ขค์ รอบง�ำได ้ แมท้ กุ ขน์ นั้ จะ  มาในคราบของสุขหรือโชคลาภก็ตาม  วิชานี้ท�ำให้ท่านรวยอย่าง  แท้จริงคือรวยดว้ ยบญุ ญาบารมี 102 านธรรม ๒ ลํ า ธ า ร ริ ม ล

หลวงพ่อปาน โสนนฺโท วัดบางนมโค ต. บางนมโค อ. เสนา จ. พระนครศรอี ยุธยา ก�ำเนิด วนั ศกุ รท์ ี ่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๔๑๘ สถานที่เกดิ  ต. บางนมโค อ. เสนา จ. พระนครศรีอยุธยา อปุ สมบท ณ วดั บางนมโค วนั จันทร์ท่ ี ๑ เมษายน ๒๔๓๘ สมณศกั ด์ ิ พระครวู หิ ารกิจจานุการ มรณภาพ ๒๖ กรกฎาคม ๒๔๘๑ สริ ิอาย ุ ๖๓ ปี ๔๓ พรรษา พ.ศ. ๒๔๓๘ เมอื่ อาย ุ ๒๐ ปที า่ นไดอ้ ปุ สมบทเปน็ พระภกิ ษ ุ ณ วดั บางนมโค  โดยมหี ลวงพอ่ สนุ่ เปน็ พระอปุ ชั ฌาย ์  หลงั จากทศี่ กึ ษาและปฏบิ ตั ธิ รรมอยกู่ บั   หลวงพอ่ สนุ่ พอสมควรแลว้ จงึ ไดเ้ ดนิ ทางไปศกึ ษาพระปรยิ ตั ธิ รรม ณ วดั สระเกศ  กรุงเทพฯ และวัดเจ้าเจ็ดใน จ. พระนครศรีอยุธยา เรียนแพทย์แผนโบราณ  จากวดั สงั เวชฯ ศกึ ษาเพม่ิ เตมิ กบั หลวงพอ่ เนยี ม วดั นอ้ ย และพระอาจารยโ์ หนง่   อณิ ฑสวุ ณโฺ ณ เรยี นวชิ าสรา้ งพระเครอื่ งดนิ  เปน็ ตน้  หลงั จากนนั้  ทา่ นจงึ ไดม้ า  อยทู่ ว่ี ดั บางนมโค  กจิ วตั รของทา่ นหลงั จากทา่ นฉนั ภตั ตาหารเพลแลว้  ทา่ นก ็ จะมาสงเคราะหช์ าวบ้านท่เี จบ็ ปว่ ยตลอดท้ังวัน 103 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล

104 านธรรม ๒ ลํ า ธ า ร ริ ม ล

ใจหนอใจ ในปี ๒๕๒๐ หลวงพ่อชา สุภทโฺ ท แห่งวัดหนองปา่ พง ได ้ รบั นมิ นตใ์ หไ้ ปแสดงธรรมทป่ี ระเทศองั กฤษ  นบั เปน็ ครงั้ แรกทที่ า่ น  เดนิ ทางไปตา่ งประเทศดว้ ยเครอื่ งบนิ   คราวนนั้ มเี หตกุ ารณร์ ะทกึ   ขวัญเกิดขึ้น เนื่องจากขณะที่เครื่องก�ำลังร่อนลง ได้เกิดอุบัติเหตุ  ยางระเบดิ หนงึ่ เสน้ กลางอากาศ  กปั ตนั จงึ ประกาศใหผ้ โู้ ดยสารรดั   เข็มขัดอยู่กับที่ พร้อมทั้งถอดรองเท้าและแว่นตา แม้กระทั่งฟัน  ปลอมก็ต้องถอดออก  เม่ือทุกคนท�ำตามเสร็จก็น่ังเงียบกริบท้ัง  เคร่ืองบนิ  ดว้ ยกงั วลว่าวาระสดุ ทา้ ยใกล้จะมาถึงแล้วหรือน่ี 105 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล

หลวงพ่อชาได้พูดถึงความรู้สึกนึกคิดตอนนั้น “เป็นครั้ง  แรกท่ีเราได้เดินทางมาเมืองนอกเพื่อสร้างประโยชน์แก่ศาสนา  จะเปน็ ผมู้ บี ญุ อยา่ งนเ้ี ทยี วหรอื   เมอ่ื ระลกึ ไดเ้ ชน่ นนั้ แลว้ กต็ ง้ั สตั ย ์ อธษิ ฐานมอบชวี ิตใหพ้ ระพุทธ พระธรรม พระสงฆ ์ แลว้ กก็ �ำหนด  จิตรวมลงในสถานท่ีควรอันหน่ึง แล้วก็ได้รับความสงบเยือกเย็น  ดูคล้ายกับไม่มีอะไรเกิดขึน้  พกั ในที่ตรงนั้น” สกั พกั เครอ่ื งบนิ กล็ ดระดบั และถงึ พนื้ ดนิ โดยสวสั ดภิ าพ พอ  รวู้ า่ ปลอดภยั ผโู้ ดยสารกป็ รบมอื ดงั ลน่ั ดว้ ยความดใี จ  หลวงพอ่ ชา  เหน็ พฤตกิ รรมของคนเหลา่ นน้ั แลว้ รสู้ กึ แปลก ดงั ทา่ นตงั้ ขอ้ สงั เกต  ว่า “ขณะเมื่อเคร่ืองบินเกิดอุบัติเหตุ ต่างคนก็ร้องเรียกว่า หลวง  พ่อช่วยปกป้องคุ้มครองพวกเราทุกคนด้วย  แต่เม่ือพ้นอันตราย  แล้วเดินลงจากเคร่ืองบิน เห็นประณมมือไหว้พระเพียงคนเดียว  เท่าน้ัน นอกนั้นไหว้แอร์โฮสเตสทงั้ หมด” เวลามีภัยคุกคาม คนเราอดไม่ได้ที่จะนึกถึงส่ิงศักด์ิสิทธ ์ิ พรอ้ มทำ� ทกุ อยา่ งเพอื่ ใหร้ อดตาย  แตเ่ มอ่ื พน้ ภยั แลว้  กม็ กั ลมื ไปวา่   ไดส้ ญั ญาหรอื วงิ วอนอะไรไว ้  จะวา่ ไปมใิ ชแ่ ตอ่ นั ตรายถงึ ตายเทา่ นนั้   แมก้ ระทงั่ เวลามคี วามทกุ ขใ์ จ กน็ กึ ถงึ พระธรรม  แตพ่ อความทกุ ข์  106 านธรรม ๒ ลํ า ธ า ร ริ ม ล

หายไป ใจกเ็ ปลยี่ น หลวงพอ่ ชาเล่าวา่ ทวี่ ดั หนองป่าพง มกั มีโยมผู้หญงิ มาขอ  บวชชคี นละหลายเดอื น  บา้ งกว็ า่ จะขออยวู่ ดั ตลอดชวี ติ  เพราะเบอ่ื   โลกเหลือเกิน  ส่วนใหญ่เป็นเพราะมีเรื่องทะเลาะกับสามี  กับคน  เหลา่ นห้ี ลวงพอ่ มกั จะแนะวา่  ใหม้ าทดลองอยสู่ กั พกั กอ่ น แลว้ คอ่ ย  ตัดสินใจ  อย่าเพ่ิงปักใจว่าจะอยู่นานๆ  แต่หลายคนก็ยืนยันว่าจะ  ขอบวชไปจนตาย ไม่มีวันกลับบ้านแน่นอน  แต่หลังจากอยู่ได้ไม ่ กวี่ นั  พอสามมี างอนงอ้  กห็ อบผา้ หอบผอ่ นกลบั บา้ นทนั ท ี  บางคน  อยู่ได้แค่ไม่ก่ีเดือน เกิดคิดถึงลูกและสามีขึ้นมา ก็ท้ิงวัดกลับไปอยู่  กับครอบครวั ตามเดมิ หลวงพ่อชาจึงมักเตือนคนเหล่านี้เสมอว่า “อย่าไปเช่ือนะ  จติ ของเราน่ะ” 107 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล

108 านธรรม ๒ ลํ า ธ า ร ริ ม ล

นำ้� มนต์ของ หลวงพ่อเทียน ในช่วงเจ็ดปีสุดท้ายของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ ท่าน  ต้องเข้าโรงพยาบาลอยู่หลายคร้ังเน่ืองจากมีมะเร็งในล�ำไส้ เป็น  โอกาสให้นายแพทย์วัฒนา สุพรหมจักร ได้รู้จักท่านอย่างใกล้ชิด  ในขณะทห่ี มอวฒั นารกั ษากายของหลวงพอ่ ดว้ ยการใหย้ า หลวงพอ่   กไ็ ด้รกั ษาใจของหมอวัฒนาดว้ ยการให้ธรรม หมอวัฒนาเล่าว่าตอนที่รู้จักหลวงพ่อเทียนใหม่ๆ ก�ำลัง  สนใจพระเคร่ืองมาก  วันหน่ึงได้เอาพระนางพญาพิษณุโลกมาให้  ท่านดู พร้อมกับอวดว่าพระเครื่ององค์น้ีเก่าแก่มากสร้างมาต้ัง  ๗๐๐ ปแี ลว้ “พระองคน์ ที้ �ำจากอะไร” ทา่ นถาม 109 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล

หมอวัฒนาอธิบายว่า “ท�ำจากเน้ือดินเผา แกร่งสีเน้ือ  มะขามเปียก มีแรต่ า่ งๆ ปรากฏอยู่เตม็ ” ไดย้ นิ เชน่ นนั้  ทา่ นกพ็ ดู เรยี บๆ วา่  “ดนิ นน้ั เกดิ มาพรอ้ มกนั   ตั้งแต่สร้างโลก พระองค์น้ีไม่ได้เก่าแก่ไปกว่าดินที่เราเหยียบก่อน  เข้ามาในบา้ นนี้หรอก” เพียงประโยคนี้ประโยคเดียว หมอวัฒนาก็ “ตาสว่าง”  ตัดสินใจถอดพระเคร่อื งออกจากคออยา่ งไมล่ งั เล  เคยมีคนถามท่านว่าแขวนพระดีหรือไม่ ท่านตอบว่า “ดี  แตม่ ีสงิ่ ท่ดี ีกว่าแขวนพระจะเอาไหม” อีกคราวหนึ่งมีคนถามท่านด้วยความสงสัยว่า เครื่องราง  ของขลังของเขามีอานุภาพตามที่เล่าลือหรือไม่ ท่านไม่ตอบ แต ่ ถามกับว่า “คนท�ำตายหรือยงั ” เมื่อได้ค�ำตอบว่าคนที่ท�ำได้ตายแล้วเพราะเป็นของมรดก  ตกทอดกันมา ท่านจึงตอบวา่ 110 านธรรม ๒ ลํ า ธ า ร ริ ม ล

“คนทที่ �ำยงั ตายเลย แลว้ เราจะหวงั สง่ิ น ้ี ชว่ ยไมใ่ หเ้ ราตาย  ได้อยา่ งไร” แมห้ ลวงพอ่ เทยี นเปน็ หลวงตาทพี่ ดู นอ้ ย นำ�้ เสยี งเบา  แต่  ถา้ พดู ถงึ การสอนธรรมแลว้  ทา่ นมน่ั คง พดู ตรง ไมอ่ อ้ มคอ้ ม และ  ไมย่ อมประนปี ระนอมเลย โดยเฉพาะเมอื่ ตอ้ งเกยี่ วขอ้ งกบั พธิ กี รรม  ท่ีคนเชื่อว่าศักด์ิสิทธ์ิ  ท่านเห็นว่านั้นกลับท�ำให้คนมีความหลง  งมงายมากขน้ึ  และเป็นอุปสรรคต่อการเขา้ ถงึ ธรรม ท่านเคยได้รับนิมนต์ไปสวดในงานบุญแห่งหนึ่ง เจ้าภาพ  อยากให้ท่านพรมน�้ำมนต์ให้ ท่านจึงขอให้เจ้าภาพเตรียมกาละมัง  ขนาดใหญ่ใส่น้�ำให้เต็มเพ่ือท�ำน้�ำมนต์แทนที่จะท�ำจากน้�ำในบาตร  เม่ือท�ำเสร็จแล้ว แทนท่ีจะประพรมน�้ำมนต์ ท่านกลับเอาน้�ำมนต ์ ในกาละมงั สาดไปทว่ั บา้ นแลว้ บอกวา่ “ชว่ ยกันเก็บชว่ ยกนั ถ ู  อนั นีแ้ หละเปน็ มงคล  การที่เราใช้  น้�ำมนต์ประพรมตัวเรา อาจจะแพ้ลูกไม้ใบหญ้าที่ใส่ไว้ในน�้ำมนต์  มอี าการผนื่ คนั ขน้ึ มา ตอ้ งเปลอื งเงนิ ทองซอ้ื หยกู ยารกั ษาอกี  แลว้   มนั จะเปน็ มงคลไดอ้ ยา่ งไร” 111 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล

112 านธรรม ๒ ลํ า ธ า ร ริ ม ล

ถูกดา่ แคไ่ หน กไ็ มท่ ุกข์ หลวงพ่อประสิทธ์ิ ถาวโร เป็นผู้บุกเบิกวัดถ�้ำยายปริก  เกาะสชี งั  จ. ชลบรุ  ี  ทา่ นเลา่ วา่  ตอนทท่ี า่ นไปธดุ งคท์ เ่ี กาะแหง่ นน้ั   คร้ังแรก มีหญิงชราปรากฏในนิมิตมาอาราธนาให้ท่านจำ� พรรษา  ทถี่ ำ้� ดงั กลา่ ว  เมอ่ื ทา่ นขนึ้ ไปดแู ลว้  เหน็ วา่ ถ�้ำยายปรกิ เปน็ สถานท ่ี เหมาะแกก่ ารเจรญิ สมณธรรม จงึ มาจ�ำพรรษาทน่ี นั่ เปน็ หลกั  และ  ได้พัฒนาถ้ำ� ยายปริกจนยกฐานะข้ึนเป็นวัดอยา่ งสมบูรณ์ ตอนที่ท่านมาบุกเบิกถ�้ำยายปริกน้ัน ช่วงแรกๆ ประสบ  ความลำ� บากมาก เพราะนอกจากน�้ำกนิ นำ�้ ใชจ้ ะหายากแลว้  ยงั มกั   ถกู เบยี ดเบยี นจากนกั เลงเจา้ ถนิ่ บนเกาะสชี งั ทตี่ อ้ งการครอบครอง  113 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล

ทด่ี นิ ของวดั  จงึ หาเรอ่ื งกบั ทางวดั เสมอ  ทา่ นเองกถ็ กู คนเหลา่ นน้ั   ดา่ วา่ บอ่ ยๆ  แตท่ า่ นกต็ ง้ั อยใู่ นขนั ตธิ รรม อกี ทงั้ ยงั มเี มตตาตอ่ คน  เหล่านี้เสมอ ท่านเคยแนะน�ำลูกศิษย์ลูกหาว่า เวลาถูกใครด่าว่าหรือ ตฉิ นิ นนิ ทา “ใหพ้ นมมอื เหนอื หวั พดู ไปเลยวา่  เจา้ ประคนู้  ขอใหค้ ณุ   จงเจริญๆ เถอะ แล้วในใจก็อุทิศให้เขาไปเลย”  ท่านให้เหตุผลว่า  “พูดบ่อยๆ เนืองๆ เข้า จิตเราจะอ่อนโยนลงเองหรอก ไม่ถือโทษ  โกรธเคอื ง” ทา่ นยงั แนะใหท้ ำ� จติ ดว้ ยวา่  “ถา้ เขาดา่ เราวา่ เราเปน็ คนไมด่  ี กใ็ หย้ อมรบั ไปเลยวา่ จรงิ   เพราะทกุ วนั นแี้ มแ้ ตต่ วั หลวงพอ่ กย็ งั ไมด่ ี  ถ้าดีแล้ว จะต้องมาอาบน้�ำ ล้างหน้า แปรงฟัน อะไรต่างๆ ท�ำไม  กร็ า่ งกายนมี้ แี ตข่ องสกปรกเนา่ เปอ่ื ย  เดย๋ี วเจบ็  เดย๋ี วไข ้ เดย๋ี วรอ้ น  เด๋ียวหนาว เดี๋ยวปวดข้ี ปวดเย่ียว  จะว่ามันดีได้ที่ไหน  ฉะน้ันใคร  ดา่ วา่ เราไมด่  ี ใหร้ บั ค�ำกบั เขาเลยวา่  ครบั  ผมมนั ไมด่  ี  คะ่  ฉนั มนั ไมด่  ี ตัวฉันน้ีมนั ไมม่ ีอะไรดีเลยสักอย่าง แค่น้นั แหละ” 114 านธรรม ๒ ลํ า ธ า ร ริ ม ล

ทา่ นไมเ่ พยี งสอนผอู้ นื่ เทา่ นนั้  หากยงั ท�ำเปน็ แบบอยา่ ง แต่  ใช้อุบายที่เป็นแบบฉบับของท่าน  คราวหน่ึงหลวงพ่อเดินผ่าน  หน้าบ้านของนักเลงคนหนึ่ง เขาจึงออกมายืนด่าหลวงพ่อทันที  แทนทท่ี า่ นจะทำ� หทู วนลม ทา่ นเดนิ เขา้ ไปหาแลว้ จบั แขนเขา ท�ำทา่   ขงึ ขังแล้วพดู วา่ “มงึ ดา่ ใคร มงึ ดา่ ใคร” “กด็ า่ มงึ นะ่ สิ” เขาตอบกลับ หลวงพอ่ ยม้ิ รบั แลว้ พดู วา่  “ออ๋  แลว้ ไป ทแ่ี ทก้ ด็ า่ มงึ  ดแี ลว้   อย่ามาดา่ กูก็แลว้ กนั ” วา่ แลว้ ทา่ นกเ็ ดนิ ออกมา ปลอ่ ยใหน้ กั เลงผนู้ นั้ ยนื งงอยพู่ กั   ใหญ่ ค�ำด่าว่าไม่ว่าออกจากปากใครก็ตาม ถ้าเราไม่รับ ก็ไม่ม ี อะไรตอ้ งทกุ ขร์ อ้ น  แตถ่ า้ จะรบั  กร็ บั อยา่ งฉลาด คอื เพอ่ื ใชเ้ ตอื นตน  หาไม่กเ็ พือ่ เจรญิ กุศลธรรมใหง้ อกงามย่งิ ข้ึน 115 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล

116 านธรรม ๒ ลํ า ธ า ร ริ ม ล

เมื่อหลวงพ่อโต รบั จ้างเทศน์ สมเดจ็ พระพฒุ าจารย์ (โต) หรอื หลวงพอ่ โตนนั้  ไดช้ อื่ วา่   เป็นพระนักเทศน์ท่ีแสดงธรรมได้อย่างไพเราะ ลุ่มลึก อีกท้ังยังม ี ปฏภิ าณทเี่ รยี กรอยยม้ิ จากผฟู้ งั  ทา่ นจงึ ไดร้ บั นมิ นตใ์ หแ้ สดงธรรม  อยู่เนอื งๆ คราวหนง่ึ ทา่ นไดร้ บั อาราธนาใหไ้ ปเทศนท์ บ่ี า้ นคหบด ี กอ่ น  จะขนึ้ ธรรมาสนเ์ จา้ ภาพไดเ้ ขา้ มากราบเรยี นวา่  “วนั นข้ี อใหพ้ ระเดช  พระคณุ เทศนใ์ หเ้ พราะๆ สกั หนอ่ ยคะ่   ดฉิ นั มศี รทั ธาตดิ กณั ฑเ์ ทศน์  117 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล

๑๐๐ บาท”  สมยั นน้ั เงิน ๑๐๐ บาทนบั วา่ สูงมาก แตท่ า่ นฟังแลว้   ก็ไม่ว่าอะไร พอขึ้นธรรมาสน์ ท่านก็ให้ศีล ต้ังนโม ตามด้วย “พุทธัง  ธมั มงั  สงั ฆงั ” จากนน้ั กว็ า่  “เอวงั  กม็ ดี ว้ ยประการฉะน”ี้   พดู จบก ็ อนโุ มทนาให้พร แลว้ ลงจากธรรมาสนท์ ันที เจ้าภาพไม่พอใจมาก แต่ไม่กล้าพูดอะไร ได้แต่ต�ำหนิในใจ  ว่า “เทศน์อะไร ฟังไม่รู้เรื่องรู้ราว เสียแรงติดกัณฑ์เทศน์ต้ัง ๑๐๐  บาท” วันรุ่งข้ึน ท่านกลับไปเทศน์ที่บ้านน้ันอีก ท้ังๆ ท่ีเขาไม่ได ้ นิมนต์  ทา่ นใหเ้ หตุผลวา่  “เม่อื วานน้ ี ฉนั รับจ้างเทศน ์ วนั นฉ้ี นั จะ  มาให้ธรรมเป็นทานนะจะ๊ ” วนั นน้ั ทา่ นเทศนอ์ ยา่ งเตม็ ท ี่ สมบรู ณท์ ง้ั อรรถทง้ั รส เนอ้ื หา  และสำ� นวนเปน็ ทช่ี นื่ ชอบอยา่ งมากของคหบดแี ละเพอื่ นบา้ น  ทกุ   คนได้รับความปีติทั่วกัน  หลวงพ่อโตเป็นพระท่ีมีเมตตาสูงมาก  พร้อมเก้ือกูลทุกผู้คน  แต่ในเวลาเดียวกันท่านก็กล้าที่จะเตือนสต ิ 118 านธรรม ๒ ลํ า ธ า ร ริ ม ล

ญาติโยมหากท�ำสิ่งท่ีไม่ถูกต้อง  ใครที่อวดรวยหรือต้องการ  ประกาศตนวา่ เปน็ ผเู้ ปย่ี มศรทั ธา ทา่ นกพ็ รอ้ มจะทกั ทว้ งเขาโดยไม ่ กลัวเขาโกรธ  ย่ิงมองว่าท่านเห็นแก่เงิน หรือเข้าใจว่าธรรมะตีค่า  เป็นตัวเงินดว้ ยแล้ว ท่านก็พรอ้ มที่จะท�ำให้เขาผดิ หวังได้ทกุ เมอื่ สมเด็จพระพฒุ าจารย ์ (โต) วดั ระฆงั โฆษิตาราม เขตบางกอกนอ้ ย กรุงเทพมหานคร ทา่ นถอื กำ� เนดิ ท ่ี จ. พระนครศรอี ยธุ ยา เมอ่ื ป ี ๒๓๓๑  ตรงกับสมัยรัชกาลที่ ๑  พออายุ ๑๒ ปี ก็บรรพชาเป็น  สามเณร  เม่ืออายุครบบวช รัชกาลที่ ๑ โปรดเกล้าฯ ให้  อุปสมบทเป็นนาคหลวง ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม  ต่อมารัชกาลท่ี ๒ ทรงรับท่านไว้เป็นพระภิกษุในพระบรม  ราชปู ถมั ภ์ สมเดจ็ ฯ ไดศ้ กึ ษาพระธรรมวนิ ยั จนแตกฉานและออกธดุ งคไ์ ปยงั สถานท่ ี ตา่ งๆ มากมาย  ครน้ั  พ.ศ. ๒๓๙๕ รชั กาลท ่ี ๔ โปรดเกลา้ ใหท้ า่ นเปน็ เจา้ อาวาส  วดั ระฆังโฆษติ าราม ขณะทที่ ่านอายุ ๖๔ ปี ท่านรอบรู้ท้ังพระธรรมวินัยและธรรมปฏิบัติ เป็นเลิศทางสติปัญญา  ปฏภิ าณโวหาร และการเทศนา เปย่ี มดว้ ยจติ เมตตากรณุ า มอี ธั ยาศยั มกั นอ้ ย  สันโดษ และถือปฏิบัติข้อธดุ งควตั รทกุ ประการ ทา่ นมรณภาพในสมยั รชั กาลท ่ี ๕ เมอื่ วนั ท ่ี ๒๒ มถิ นุ ายน ๒๔๑๕  สริ อิ ายุ  ๘๔ ปี 119 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล

120 านธรรม ๒ ลํ า ธ า ร ริ ม ล

นาทีสดุ ท้าย ของหลวงปูเ่ สาร์ ในแวดวงพระกรรมฐานสายวัดป่า โดยเฉพาะภาคอีสาน  ส่วนใหญ่แล้วยกย่องนับถือหลวงปู่ม่ัน ภูริทตฺโต เป็นบูรพาจารย ์ จำ� นวนไมน่ อ้ ยสามารถสบื สายครบู าอาจารยย์ อ้ นหลงั ไปถงึ หลวงป ู่ ม่ัน  แต่หากถามว่าใครเป็นอาจารย์ของหลวงปู่มั่น ค�ำตอบก็คือ  หลวงปูเ่ สาร์ กนฺตสีโล 121 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล

หลวงตามหาบวั  าณสมปฺ นโฺ น ยกยอ่ งหลวงปเู่ สาร ์ วา่   เป็น “พ่อพระกรรมฐานภาคอีสาน” ท่านมีอัธยาศัยน้อมในทาง  สมาธิภาวนา และใฝ่ความสงบวิเวก จึงออกธุดงค์เป็นประจ�ำ ปัก  กลดอยู่ในป่าหรือในถ�้ำเป็นนิจ  หลังจากท่ีประสบความก้าวหน้า  ในการปฏิบัติ ท่านก็มาเปิดส�ำนักปฏิบัติธรรมท่ีวัดเลียบ อ. เมือง  จ. อุบลราชธาน ี อันเปน็ บ้านเกิดของท่าน หลวงปู่เสาร์เป็นพระมหาเถระที่ไม่ชอบพูด เวลาเทศน์ก็  กลา่ วเพยี งไมก่ ปี่ ระโยค กล็ งจากธรรมาสน ์  วา่ กนั วา่ ทง้ั วนั ทา่ นพดู   กับใครไม่เกินสองประโยค  แต่ท่านมีเมตตาสูงมาก ไม่เคยแสดง  อาการโกรธเคอื งใครเลย  ใครไดพ้ บเหน็ กร็ สู้ กึ เยน็ ใจ ทา่ นจงึ เปน็ ท ่ี เคารพเลอื่ มใสของพระเณรมาก ศษิ ยข์ องทา่ นผหู้ นง่ึ กค็ อื หลวงปมู่ น่ั   หลวงปมู่ น่ั เคยประสบ  อุปสรรคในการปฏิบัติถึงกับเกิดสัญญาวิปลาส ก็ได้อาศัยหลวงปู ่ เสารช์ ว่ ยแกว้ ปิ ลาสใหจ้ นสำ� เรจ็ เปน็ ทอ่ี ศั จรรยแ์ กล่ กู ศษิ ย ์  อยา่ งไร  ก็ตามท่านเป็นพระท่ีถ่อมตนมาก ไม่อวดคุณวิเศษ  หลวงพ่อพุธ  านโิ ย เลา่ วา่ คราวหนง่ึ ระหวา่ งทไ่ี ดอ้ ปุ ฏั ฐากทา่ น ไดย้ นิ ทา่ นเปรย  ขน้ึ มาวา่  “เวลานจ้ี ติ ขา้ มนั ไมส่ งบ มนั มแี ตค่ วามคดิ ”  หลวงพอ่ พธุ   122 านธรรม ๒ ลํ า ธ า ร ริ ม ล

แปลกใจ จงึ ถามวา่  “จติ มนั ฟงุ้ ซา่ นหรอื ไงอาจารย”์   หลวงปเู่ สาร์  ตอบสนั้ ๆ วา่  “ถา้ ใหม้ นั หยดุ นง่ิ มนั กไ็ มก่ า้ วหนา้ ”  หลวงพอ่ พธุ เลา่   ว่ากว่าจะเข้าใจความหมายของท่านก็ใช้เวลาหลายปี  กล่าวคือ  ทา่ นหมายความวา่  เวลาปฏบิ ตั ถิ า้ จติ มนั หยดุ นงิ่ กป็ ลอ่ ยใหม้ นั หยดุ   น่ิงไป อย่าไปรบกวนมัน  ถ้ามันจะคิดก็ให้มันคิดไป  เราเอาสติตัว  เดยี วเป็นตัวต้งั ตวั ตี หลวงปู่เสาร์มีวัตรปฏิบัติอยู่ข้อหนึ่งคือ เม่ือออกพรรษา  ท่านจะพาศิษย์ออกธุดงค์เป็นเวลาหลายเดือน ส่วนใหญ่มักไปที่  ประเทศลาว แลว้ กลบั มาจำ� พรรษาทเ่ี มอื งไทย จนแมช้ ราแลว้ ทา่ น  กย็ งั บำ� เพญ็ ธดุ งควตั รดงั กลา่ ว  ในป ี ๒๔๘๔ ขณะทท่ี า่ นอาย ุ ๘๒ ปี  ท่านได้พาศิษย์ไปธุดงค์ท่ีจ�ำปาศักดิ์และปากเซ ประเทศลาว เช่น  เคย แตป่ นี น้ั ทา่ นอาพาธตง้ั แตก่ อ่ นออกพรรษาแลว้   เรอ่ื งของเรอื่ ง  กค็ อื บา่ ยวนั หนงึ่ ขณะทท่ี า่ นนงั่ สมาธอิ ยใู่ ตโ้ คนตน้ ยาง  มเี หยยี่ วตวั   หนง่ึ โฉบเอารงั ผงึ้ ซง่ึ อยบู่ นตน้ ยางตน้ นนั้   รวงผง้ึ สว่ นหนงึ่ ตกลงมา  ใกลๆ้  กบั ทท่ี า่ นนงั่ อย ู่  ผงึ้ จงึ รมุ กดั ตอ่ ยทา่ นหลายตวั  จนทา่ นตอ้ ง  เข้าไปหลบในมงุ้ กลด นบั แตน่ ัน้ ท่านกอ็ าพาธมาโดยตลอด 123 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล

เมอื่ ทา่ นออกธดุ งคเ์ ขา้ ไปในเมอื งลาวไดพ้ กั ใหญ ่ กป็ ว่ ยหนกั   ศษิ ยจ์ งึ พาทา่ นกลบั มายงั นครจำ� ปาศกั ด ์ิ  ระหวา่ งนน้ั ทา่ นนง่ั หลบั   ตามาตลอด เมื่อถึงที่หมาย ท่านลืมตาขึ้นแล้วพูดว่า “ถึงแล้วใช ่ ไหม ให้น�ำเราไปยังอุโบสถเลย เพราะเราจะไปตายที่น่ัน”  ศิษย์ได้  ประคองท่านเข้าไปในอุโบสถ แล้วท่านส่ังให้เอาผ้าสังฆาฏิมาพาด  นั่งสมาธิพักใหญ่ แล้วท่านก็กราบพระสามคร้ัง  พอกราบครั้งท ี่ สาม ท่านก็นิ่งงัน ไม่ขยับเขย้ือน  ลูกศิษย์เห็นท่านกราบนานผิด สงั เกต จงึ เอามอื แตะทจ่ี มกู ทา่ น ปรากฏวา่ ทา่ นหมดลมหายใจแลว้ ๘ กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. ๒๔๘๔ คอื วนั ท่หี ลวงปูเ่ สาร์มรณภาพ  เป็นการมรณภาพที่แปลกไม่เหมือนใคร คือมรณภาพในท่านั่ง  กราบหนา้ พระพุทธรปู 124 านธรรม ๒ ลํ า ธ า ร ริ ม ล

หลวงป่เู สาร์ กนตฺ สีโล วัดเลยี บ อ. เมือง จ. อุบลราชธานี กำ� เนดิ  ๒ พฤศจกิ ายน ๒๔๐๒ สถานทเ่ี กดิ  บา้ นขา่ โคม ต. หนองขอน อ. เมือง จ. อุบลราชธานี อปุ สมบท ณ วัดใต้ ต. ในเมอื ง อ. เมอื ง จ. อุบลราชธานี มรณภาพ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๔  สริ อิ ายุ ๘๒ ปี ได้ญัตติเป็นพระธรรมยุตที่วัดศรีทอง ภายหลังได้มาอยู่ท่ีวัดเลียบ  จ. อุบลราชธาน ี ท่านมีความเพียรเป็นเลิศ มีความสงบเสงี่ยมกิริยามารยาทอ่อนน้อม  สุขุมพูดน้อย มีอัธยาศัยน้อมไปทางวิปัสสนาโดยเคร่งครัด ได้เดินธุดงค ์ เจรญิ สมณธรรม และจ�ำพรรษาตามปา่ เขาในถน่ิ ตา่ งๆ ทว่ั ภาคอสี านเปน็ เวลา  หลายพรรษา  เม่ือกลับจากธุดงค์ ท่านได้น�ำความรู้มาเผยแพร่สั่งสอนและ  ได้เปิดส�ำนักปฏิบัติธรรมข้ึน ณ วัดเลียบ ลูกศิษย์ของท่านท่ีมีชื่อเสียง เช่น  พระอาจารยม์ นั่  ภูริทตโฺ ต  ท่านมรณภาพในอิริยาบถน่ัง ท่ีวัดมหาอ�ำมาตยาราม นครจ�ำปาศักด์ ิ ประเทศลาว และได้อัญเชิญสรีระกลับมาจัดงานฌาปนกิจท่ีวัดบูรพาราม  อ. เมือง จ. อบุ ลราชธาน ี โดยมีพระอาจารยม์ น่ั  ภูรทิ ตโฺ ต เปน็ กำ� ลงั ส�ำคญั 125 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล

126 านธรรม ๒ ลํ า ธ า ร ริ ม ล

บทพสิ ูจน์ ของชายหนมุ่ หลวงพ่อปาน โสนนฺโท แห่งวัดบางนมโค เป็นพระมหา  เถระร่วมสมัยเดียวกับหลวงปู่ม่ัน ภูริทตฺโต แต่ท่านมีช่ือเสียงใน  ฐานะเกจิอาจารย์แห่งภาคกลาง ในขณะท่ีหลวงปู่ม่ันมีกิตติศัพท์  เลอ่ื งลือทวั่ ภาคอีสานในดา้ นวปิ ัสสนากรรมฐาน 127 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล

ประวัตขิ องทา่ นมีเกร็ดน่าสนใจหลายตอน  ตอนทอ่ี ายุสัก  ๓-๔ ขวบ คุณยายของท่านป่วยหนักใกล้เสียชีวิต  ใครก็ตามท่ีไป  ดูใจท่านล้วนพูดกรอกหูท่านว่า “แม่ แม่ อรหันนะ ภาวนาไว้  อรหัน พระอรหัน จะช่วยแม่”  ทุกคนพูดเสียงดังจนท่านได้ยิน  ขณะเล่นอยู่ใต้ถุนเรือน  ท่านจึงข้ึนไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น พอผู้ใหญ่  เห็นท่านกไ็ ลล่ งมา ตอนเย็นได้เวลากินข้าว ท่านกินแกงฉู่ฉี่แล้วรู้สึกอร่อย  ครึ้มอกครึ้มใจขึ้นมาจึงพูดดังๆ ว่า “อรหัน อรหัน” ปรากฏว่าได้  เร่ืองทันที  มารดาของท่านโกรธมาก ลุกพรวดแล้วจับตัวท่านไป  วางไวน้ อกชาน แลว้ ตะโกนสดุ เสยี งวา่  “เอา้  มงึ จะตายโหง ตายหา่   กต็ ายคนเดยี ว  มนั จะมาวา่ อรหงั ทนี่ ไี่ ดห้ รอื   ค�ำวา่  อรหงั  พทุ โธ น ่ี คนเขาจะตายเทา่ นน้ั แหละเขาวา่ กนั   นด่ี นั มาวา่  อรหงั  ทนี่  ่ี ท�ำเปน็   ลางรา้ ยให้คนอื่นเขาพลอยตายด้วย” ทา่ นงนุ งงวา่ เกดิ อะไร ทำ� ไมแมถ่ งึ โกรธขนาดนนั้   นบั แตน่ น้ั   ทา่ นกไ็ มก่ ลา้ พดู คำ� นเี้ ลย  ตอ่ เมอื่ ทา่ นไดบ้ วชพระ จงึ รโู้ ยมแมเ่ ขา้ ใจ  ผิด “อรหัง” นั้น เป็นค�ำที่ดี แสดงถึงองค์คุณของพระพุทธองค ์ และเปน็ อดุ มคตขิ องชาวพทุ ธ  ทา่ นเคยพดู วา่  “ถา้ ใครภาวนาค�ำนไ้ี ด้  128 านธรรม ๒ ลํ า ธ า ร ริ ม ล

ตกนรกไมไ่ ด”้   ดว้ ยเหตนุ ที้ า่ นจงึ ชแ้ี จงใหโ้ ยมแมเ่ ขา้ ใจ และแนะน�ำ  ใหท้ า่ นวา่ คำ� นที้ กุ วนั   ทา่ นกท็ ำ� ตาม  จนกระทงั่ เมอื่ จะหมดลม โยม  แมข่ องทา่ นก็ยังยดึ พุทโธและอรหงั  เปน็ อารมณภ์ าวนา ทา่ นยงั เล่าอีกว่าเมอื่ อายคุ รบบวช โยมพ่อโยมแมอ่ ยากให้  ท่านบวช  ท่านก็ยินดีท�ำตามความประสงค์ของท่าน แต่มีความ  สงสัยอยู่ข้อหนึ่งว่า เหตุใดบุรุษเพศจึงหลงใหลใฝ่ฝันในสตรีเพศ  มากนัก  อะไรที่เป็นแรงดึงดูดของผู้หญิง  ท่านอยากรู้ค�ำตอบ  เนอ่ื งจากไมเ่ คยยงุ่ เกย่ี วกบั ผหู้ ญงิ มากอ่ น  ทา่ นตงั้ ใจวา่ ถา้ สตรเี พศ  นน้ั นา่ หลงใหล บวชครบพรรษากจ็ ะสกึ ออกมาแตง่ งาน  แตถ่ า้ ไม ่ เหน็ มีอะไรน่าสนใจก็จะไมส่ กึ ท่ีบ้านของท่านมีทาสคนหน่ึงเป็นหญิงรับใช้ ช่ือว่าพี่เขียว  อายุประมาณ ๒๕ ปี  วันหน่ึงขณะท่ีอยู่ด้วยกันสองต่อสองตอน  กลางวนั ในครวั  ทา่ นเหน็ เปน็ โอกาสทจี่ ะคลายความสงสยั  จงึ บอก  กับพ่ีเขียวว่า ตั้งแต่เกิดมานอกจากแม่กับพ่ีแล้ว ไม่เคยจับเนื้อผู้  หญงิ คนไหนเลย  อยากรจู้ รงิ ๆ วา่ เนอ้ื ผหู้ ญงิ มดี ที ตี่ รงไหน  วา่ แลว้   ก็ยกมือไหว้และพูดต่อว่า “พี่เขียว ขออภัยเถอะ ฉันขอจับเน้ือพี ่ เขยี วดหู นอ่ ยไดไ้ หมวา่  เนอ้ื ผหู้ ญงิ นะ่ มนั ดยี งั ไง เขาถงึ ชอบกนั นกั ” 129 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล

พ่ีเขียวก็แสนดี อนุญาต  แล้วท่านก็เลือกจับตรง “กล้าม  เน้ือสองกล้ามที่หน้าอก” ของพ่ีเขียว  ท่านจับตรงนั้นเสร็จ ก ็ ลงมาจับที่น่อง  รู้สึกแปลกใจจึงพูดข้ึนว่า “เอ๊ะ! มันคล้ายกันนี่”  พเี่ ขยี วกพ็ ยกั หนา้ รบั วา่  ใช ่ มนั กค็ ลา้ ยกนั   ทา่ นจงึ ถามพเ่ี ขยี วตอ่ วา่   “แล้วท�ำไมผู้ชายเขาถึงชอบเนื้อผู้หญิงนัก”  พี่เขียวตอบว่า ไม่รู้ เหมอื นกนั แลว้ ทา่ นกย็ กมอื ไหวพ้ เ่ี ขยี วพรอ้ มกบั พดู วา่  “ขอโทษ ทขี่ อ  จับเนื้อนไ่ี มไ่ ดด้ ูถกู ดหู ม่ิน อยากจะพิสจู นเ์ ท่านั้นว่ามันดีอยา่ งไร” ผลจากการพสิ จู นค์ รงั้ นนั้ ท�ำใหท้ า่ นหมดความสงสยั   ทา่ น  จึงก็ตกลงใจว่าเม่ือบวชแล้วก็จะไม่สึกหาลาเพศ แล้วท่านก็ได้ท�ำ  อยา่ งทต่ี ้ังใจไว้ หลวงพ่อปานมรณภาพในผา้ เหลืองเมอื่ ป ี พ.ศ. ๒๔๘๑ 130 านธรรม ๒ ลํ า ธ า ร ริ ม ล

สมเด็จพระวนั รัต (ฑติ  อทุ โย) นามเดมิ  ก๋ง  กำ� เนิด พ.ศ. ๒๓๘๐ ณ บา้ นรัว้ ใหญ่ อ. บางปะอนิ   จ. พระนครศรีอยุธยา อุปสมบท วันพฤหสั บดี เดอื น ๔ ข้นึ  ๘ คำ่�  ปมี ะเสง็  พ.ศ. ๒๔๐๐ สมณศักด ิ์ สมเด็จพระวนั รตั มรณภาพ วนั ที ่ ๑๔ สิงหาคม ๒๔๖๖  สริ ิอายุ ๘๖ ป ี ๖๖ พรรษา ท่านเป็นสงฆ์ผู้อุตสาหะศึกษาจนมีความรู้กว้างขวางแตกฉานในคัมภีร ์ พระไตรปิฏกและอรรถกถาเป็นอย่างดี จนรัชกาลท่ี ๕ ได้ทรงแต่งต้ังให้เป็น  พระพิมลธรรม และให้ดูแลวัดมหาธาตุซึ่งทรุดโทรมเป็นอย่างมาก ทั้งด้าน  สง่ิ กอ่ สรา้ งและธรรมวนิ ยั  นอกจากน ี้ ยงั ทรงใหย้ า้ ยราชบณั ฑติ บอกพระปรยิ ตั -ิ   ธรรม จากวัดพระศรีรัตนศาสดาราม มาจัดตั้งเป็น บาลีวิทยาลัยข้ึนในวัน  มหาธาตุ เรียกว่า “มหาธาตุวิทยาลัย” เป็นครั้งแรกในประเทศไทยท่ีมีการใช้  นามว่า “วิทยาลัย”  ท่านได้รับการเลื่อนสมณศักดิ์ข้ึนเป็น สมเด็จพระวันรัต  เมื่อวนั ท ่ี ๒๗ กุมภาพนั ธ ์ ๒๔๔๓ ท่านยังมีผลงานอื่นๆ อีกมาก ที่ส�ำคัญคือ ท่านได้เป็นผู้ช�ำระต้นฉบับ  พระไตรปิฎกให้ถูกต้อง รวมท้ังเป็นธุระในการจัดพิมพ์ด้วย  คัมภีร์ท่ีท่านได ้ ชำ� ระจดั พมิ พ ์ ไดแ้ ก ่ ฝา่ ยสตุ ตนั ตปฎิ ก ๙ คมั ภรี  ์ และฝา่ ยอภธิ รรมปฎิ ก ๒ คมั ภรี  ์ และยงั ไดแ้ ตง่ ไวยากรณแ์ บบเรยี นภาษาบาล ี เรยี กวา่  “มลู นอ้ ยอาศยั มลู ใหญ”่   ซ่ึงอาศัยคัมภีรม์ ลู กจั จายน ์ เพอื่ เปน็ คมู่ อื ของศษิ ยภ์ ายในมหาธาตุวิทยาลยั ท่านเป็นผู้มองการณ์ไกล จึงได้เลือกเฟ้นหาศิษย์ท่ีเหมาะสม จนได้พระ  มหาเฮง (เขมจารี) และได้สนับสนุนให้ศิษย์ผู้น้ีได้มีความรู้และความก้าวหน้า  จนไดเ้ ปรยี ญ ๙ ประโยค เปน็ พระราชาคณะ ไดร้ บั มอบหมายใหด้ แู ลวดั มหาธาตุ  และมหาธาตุวิทยาลัยสืบต่อจากท่าน ท้ังยังได้รับสมณศักด์ิเป็นสมเด็จพระ  วันรตั เชน่ เดียวกันดว้ ย (อา่ นเรอ่ื งหน้า ๘๕) 131 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล

132 านธรรม ๒ ลํ า ธ า ร ริ ม ล

ถ้าเชื่อ ก็โง่ เมื่อหลวงพ่อชา สุภทฺโท ก่อตั้งวัดหนองป่าพงเมื่อป ี ๒๔๙๗ นนั้  ทา่ นยงั ไมเ่ ปน็ ทร่ี จู้ กั กวา้ งขวาง  แตใ่ นชวั่ เวลาไมถ่ งึ สบิ ป ี กติ ตศิ พั ทข์ องทา่ นกเ็ ปน็ ทเ่ี ลอื่ งลอื ในหมผู่ ปู้ ฏบิ ตั ธิ รรม จนตอ่ มาได้  มชี าวตา่ งประเทศมาบวชและปฏบิ ตั กิ บั ทา่ น ทง้ั ๆ ทท่ี า่ นไมส่ ามารถ  พดู ภาษาของเขาได ้  แตป่ ฏปิ ทาอนั งดงามของทา่ น รวมทง้ั ค�ำสอน  ที่ง่ายแต่ลึกซึ้ง ก็สามารถจูงใจให้เขาเกิดศรัทธาในพระรัตนตรัย  และทุ่มเทใหก้ ับการปฏบิ ตั ิแม้มขี อ้ วตั รทเ่ี ขม้ งวดก็ตาม 133 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล

อย่างไรก็ตามในสายตาของคนไทยจ�ำนวนไม่น้อย หลวง  พอ่ ชาคอื พระเกจอิ าจารยท์ ม่ี อี ทิ ธปิ าฏหิ ารยิ  ์  ดงั นน้ั จงึ มคี นมาถาม  ทา่ นเรือ่ งทำ� นองนเี้ สมอ แต่มักได้คำ� ตอบทีค่ าดไมถ่ งึ ครงั้ หนงึ่ มคี นถามทา่ นวา่  “เขาวา่ หลวงพอ่ เปน็ พระอรหนั ต ์ เป็นจรงิ เหาะได้หรอื เปลา่ ” ท่านตอบว่า “เรื่องเหาะบินนี่ไม่ส�ำคัญหรอก แมงกุดจ่ีมัน  กบ็ ินได้” ครคู นหนงึ่ ถามทา่ นวา่  จรงิ หรอื ไมท่ พ่ี ระอรหนั ตส์ มยั พทุ ธ  กาลสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้  ค�ำตอบของท่านก็คือ “ถาม  ไกลตัวเกนิ ไปแล้วล่ะครู  มาพูดถึงตอส้นั ๆ ท่จี ะต�ำเทา้ เรานี่ดีกว่า” ค�ำถามอีกประเภทหนึ่งที่ท่านได้รับเป็นประจ�ำก็คือ “ชาต ิ หน้ามีจริงไหม” ท่านไมต่ อบ แตถ่ ามกลบั วา่  “ถา้ บอกจะเชอ่ื ไหมล่ะ” 134 านธรรม ๒ ลํ า ธ า ร ริ ม ล

“เช่ือครับ” “ถา้ เช่ือคณุ กโ็ ง”่  คือค�ำตอบของท่าน แลว้ ทา่ นกอ็ ธบิ ายวา่  “ทค่ี ณุ เชอื่ เพราะคณุ เชอ่ื ตามเขา  คน  เขาว่าอย่างไร คณุ ก็เชอ่ื อยา่ งนัน้   คณุ ไมร่ ูช้ ัดด้วยปญั ญาของคณุ   เอง  คณุ กโ็ งอ่ ยรู่ ำ�่ ไป  ทนี ถี้ า้ อาตมาตอบวา่  คนตายแลว้ เกดิ หรอื วา่   ชาตหิ นา้ ม ี  อันน้คี ุณตอ้ งถามตอ่ ไปอีกวา่  ถา้ มีพาผมไปดหู น่อยได้  ไหม  เรอ่ื งมนั เปน็ อยา่ งน ้ี  มนั หาทจี่ บลงไมไ่ ด ้  เปน็ เหตใุ หท้ ะเลาะ  ท่มุ เถยี งกันไปไมม่ ีท่สี ้ินสุด” แล้วท่านก็แนะว่า “คนตายแล้วจะเกิดหรือไม่เกิด อันนั้น  ไม่ใช่ปัญหา มันไม่ใช่หน้าที่ของเรา  หน้าที่ของเราคือ เราจะต้อง  รเู้ รอื่ งราวของตนในปจั จบุ นั   เราตอ้ งรวู้ า่  เรามที กุ ขไ์ หม  ถา้ ทกุ ข์  มันทุกข์เพราะอะไร  นี้คือส่ิงท่ีเราต้องรู้ และเป็นหน้าท่ีโดยตรงท่ี  เราจะต้องรูด้ ้วย” 135 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล

136 านธรรม ๒ ลํ า ธ า ร ริ ม ล

ทักท้วง ความคิด ตอนที่หลวงพ่อค�ำเขียน สุวณฺโณ ได้รับนิมนต์เป็นเจ้า  อาวาสวัดภูเขาทอง เมื่อปี ๒๕๒๐ นั้น บ้านท่ามะไฟหวานได้ชื่อว่า  เป็น “ดงเลือด” เพราะนอกจากจะดกดื่นดว้ ยอบายมุข โดยเฉพาะ  สุราและการพนันแล้ว ยังมีการตีรันฟันแทงและชกต่อยกันเป็น  ประจ�ำ เน่ืองจากเป็นบ้านป่าบนหลังเขา ไกลหูไกลตาเจ้าหน้าท ี่ จึงมีโจรผู้ร้ายมาหลบซ่อนพักพิงและก่อเรื่องทะเลาะวิวาทกันอยู่  เสมอ  แตเ่ มอ่ื หลวงพอ่ ไปเปน็ ประธานสงฆท์ นี่ นั่  ไดพ้ ยายามชกั นำ�   ชาวบา้ นใหต้ ง้ั อยใู่ นธรรม  มที ง้ั ชกั ชวนใหเ้ ขา้ วดั ถอื ศลี  และออกไป  สอนธรรมในหมบู่ า้ น  บอ่ ยครงั้ ทา่ นยงั ท�ำหนา้ ทไ่ี กลเ่ กลย่ี ชาวบา้ น  ทว่ี ิวาทบาดหมางให้คืนดกี นั 137 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล

ความที่ท่านมีศีลาจารวัตรงดงาม เปี่ยมด้วยเมตตากรุณา  และมีจิตใจเยือกเย็นหนักแน่นมั่นคง อันเป็นผลจากกรรมฐานท ่ี ทา่ นบำ� เพญ็ อยา่ งชำ่� ชอง  หลวงพอ่ คำ� เขยี นจงึ เปน็ ทน่ี บั ถอื ศรทั ธา  ของชาวบา้ นและไดร้ บั การเคารพเชอื่ ฟงั   แมก้ ระทง่ั ในหมคู่ นทเี่ คย  เป็นผู้ร้ายมาก่อน  ความสุขสงบที่เกิดข้ึนได้ท�ำให้ท่ามะไฟหวาน  เติบใหญ่  จนทุกวันน้ีได้รับการยกฐานะเป็นต�ำบลหนึ่งของ  อ. แกง้ คร้อ จ. ชยั ภูมิ หลวงพอ่ คำ� เขยี นมวี ธิ กี ารทนี่ มุ่ นวลในการชกั จงู ผคู้ น  ขณะ  เดียวกันก็มีความเข้าใจในจิตใจของผู้คนเป็นอย่างดี จึงสามารถช้ี  ทางออกหรือเตือนสติให้แก่ชาวบ้านในยามที่ประสบปัญหาได ้ คราวหนง่ึ มชี ายหนมุ่ วยั ฉกรรจม์ าบวชและพำ� นกั กบั ทา่ น  หลวงพอ่   จงึ สอนกรรมฐานและแนะนำ� ใหพ้ ระรปู นน้ั หมนั่ เดนิ จงกรม  ไมก่ วี่ นั   พระรูปน้ันก็มาขอลาสิกขา โดยให้เหตุผลว่า ไม่อยากปฏิบัติธรรม  เพราะไมไ่ ดม้ าบวชเพอ่ื เดนิ จงกรม แตท่ มี่ าบวชกเ็ พราะพม่ี าขอใหบ้ วช หลวงพอ่ ปฏเิ สธทจี่ ะทำ� ตามคำ� ขอของพระรปู นนั้  และแนะ  ใหไ้ ปเดนิ จงกรมตอ่   พระใหมอ่ อกไปเดนิ ไดส้ กั พกั  กก็ ลบั มาขอสกึ   อีก  หลวงพอ่ ทำ� ทไี มส่ นใจ ไลใ่ ห้กลับไปเดนิ ต่อ 138 านธรรม ๒ ลํ า ธ า ร ริ ม ล

ทีนพ้ี ระใหมย่ นื กรานขอสกึ ให้ได้ หลวงพ่อจงึ ถามวา่ “อะไรพาให้คณุ มาหาผม?” “ความคิดครบั ” พระใหมต่ อบ “มนั คดิ แลว้ ตอ้ งท�ำตามความคดิ ทกุ อยา่ งหรอื ?  ถา้ คณุ ท�ำ  ตามความคดิ ทุกอย่าง ไมแ่ ย่หรอื ?” หลวงพ่อแนะให้พระใหม่ดูความคิดและคอยทักท้วงความ  คดิ ในใจตนบา้ ง ไดย้ นิ เชน่ นนั้ พระรปู นน้ั กเ็ ดนิ หายไป  รงุ่ เชา้ กม็ าหาหลวงพอ่   พร้อมท้ังกราบหลวงพ่ออย่างนอบน้อม และเปิดเผยว่า ถ้าหลวง  พอ่ ไมท่ ดั ทานเขาเมอื่ วนั กอ่ น เขากจ็ ะตอ้ งฆา่ คนแน ่ เพราะตง้ั ใจวา่   จะสกึ ไปฆา่ คนสองคนใหห้ ายแคน้   เขาวางแผนแลว้ วา่  จะไปเอาปนื   และรถทไ่ี หนเพอ่ื จดั การกบั สองคนนน้ั   แตเ่ มอื่ หลวงพอ่ แนะใหเ้ ขา  ดูความคิด เขาจึงได้สติขึ้นมา เปลีย่ นใจไม่สกึ ดกี วา่ พระรปู นนั้ จงึ บวชตอ่   เวลาผา่ นไปรว่ ม ๒๐ ปกี ย็ งั ครองเพศ  บรรพชติ อย ู่  มชี วี ติ ทส่ี งบเยน็  ทงั้ นเ้ี พราะมจี ดุ เปลยี่ นสำ� คญั ในวนั ท่ี  หลวงพ่อแนะน�ำให้เขาทักท้วงความคิดนัน่ เอง 139 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล

140 านธรรม ๒ ลํ า ธ า ร ริ ม ล

ผ้าข้รี ิว้ หอ่ ทอง หลวงปเู่ จยี๊ ะ จนุ โฺ ท เปน็ ศษิ ยร์ นุ่ หลงั ของหลวงปมู่ นั่  ภรู -ิ   ทตฺโต  ท่านได้มีโอกาสกราบหลวงปู่ม่ันเป็นครั้งแรกเม่ือบวชได้  สามพรรษาเท่าน้ัน  ประสบการณ์คร้ังน้ันไม่เพียงตอกย้�ำศรัทธา  ของท่านให้ม่ันคงในการปฏิบัติ หากยังท�ำให้ท่านพบค�ำตอบใน  การเจรญิ กรรมฐาน จนมคี วามก้าวหนา้ อย่างตอ่ เนือ่ ง หลวงปู่เจี๊ยะหรือ “ผ้าขี้ริ้วห่อทอง” ของหลวงปู่ม่ันนั้น  เปน็ พระทมี่ กี ริ ยิ าอาการไมเ่ หมอื นใคร อยนู่ งิ่ ไมค่ อ่ ยได ้ ชอบทำ� งาน  โดยเฉพาะการก่อสร้างและงานใช้แรง  หากอยู่ว่างๆ เม่ือใดเป็น  ต้องขยับเนื้อขยับตัวอยู่ตลอดเวลา  อีกทั้งยังชอบพูดจาโผงผาง  สง่ เสยี งเอะอะ  ดอู าการภายนอกแลว้ กไ็ มส่ เู้ รยี บรอ้ ย  มเี รอ่ื งเลา่ วา่   คราวหนึ่งท่านได้รับนิมนต์ไปสวดในงานแต่งงาน เม่ือถึงบ้านเจ้า 141 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล

ภาพ แทนท่ีจะข้ึนบันไดตามปกติ ท่านกลับโหนตัวขึ้นทางลูกกรง  พอนั่งเสร็จ ท่านก็ถามเจ้าภาพว่า “จะสวดหรือไม่สวดล่ะ  เอ้า  ประเคนกนิ กันเลย” เวลาไปบิณฑบาต พอถึงบ้านญาติโยมท่ีคุ้นเคย ท่านถือ  วิสาสะเดินเข้าไปในบ้านเลย แล้วพูดกับเจ้าของบ้านว่า “เฮ้ย ชง  กาแฟถว้ ยซ”ิ   ระหวา่ งทจี่ บิ กาแฟกน็ ง่ั ไขวห่ า้ งกระดกิ เทา้  สบู บหุ ร่ี  วันไหนอยากฉันอะไรก็พูดว่า “เฮ้ย ต�ำน้�ำพริกกุ้งแห้งเกลือให้กู  หนอ่ ย” วันหน่ึงท่านขาเจ็บ ต้องน่ังรถไปบิณฑบาต  พอถึงบ้าน  ศษิ ยท์ ใ่ี กลช้ ดิ  ทา่ นกส็ งั่ ทนั ท ี “เอา้  เอาขา้ วมาใหก้ กู นิ ”  วา่ แลว้ กต็ ง้ั   บาตรแลว้ นงั่ อา่ นหนงั สอื พมิ พ ์  พอลกู ศษิ ยท์ กั  ทา่ นกว็ า่  “ขากเู จบ็   นหี่ วา่ ”  ลกู ศษิ ยจ์ งึ วา่  “ทา่ นอาจารยไ์ มต่ อ้ งมาบณิ ฑบาตเลย นอน  อยู่เฉยๆ เลย จะจัดไปถวายท่ีวัดเอง”  “ไม่ได้เดี๋ยวเขาจะด่า หาว่า  ขี้เกียจบิณฑบาต” ท่านตอบ  ลูกศิษย์จึงพูดต่อหน้าท่านว่า “น่ัน  ละ่  เขาจะดา่ หนกั ละ่ ไปอยา่ งนน้ั ”  ทา่ นฟงั แลว้ กไ็ มไ่ ดเ้ คอื งศษิ ยแ์ ต่  อย่างใด 142 านธรรม ๒ ลํ า ธ า ร ริ ม ล

ท่านจะไปไหนมาไหน ไม่มีพิธีรีตองมาก เรียกว่าไปง่ายมา  งา่ ย  พาหนะทท่ี า่ นใชเ้ ดนิ ทางไปกรงุ เทพฯ เปน็ ประจำ�  หาใชร่ ถยนต ์ ไม ่ แตเ่ ปน็ รถสบิ ลอ้   เวลาจะเดนิ ทาง พรอ้ มเมอื่ ใดทา่ นกอ็ อกไปโบก  รถทันที  รถคันไหนท่ีท่านหมายตาไว้ เป็นต้องจอดทุกคัน เพราะ  ท่านไม่ได้โบกริมถนน แต่ยืนโบกกลางถนนเลย  บางคร้ังท่านรีบ  มาก ควา้ จวี รควา้ ยา่ มไดก้ อ็ อกจากวดั เลย  แลว้ คอ่ ยหม่ จวี รขณะที ่ ยนื โบกอยู่กลางถนน  บางทไี ม่ได้โบกเฉยๆ ยกเทา้ โบกดว้ ย ลกู ศษิ ยเ์ ลา่ วา่ คราวหนงึ่ มารอรบั ทา่ นทกี่ รงุ เทพฯ เหน็ ทา่ น  นั่งอยู่บนหลังคารถสิบล้อ พร้อมกับตะโกนว่า “หนาวโว้ยๆ ...  หนาว”  ท่านว่าข้างล่างน้ันมีคนเต็ม มีผู้หญิงมาด้วย ท่านจึง  ขน้ึ มาน่งั บนหลงั คา ท่านเป็นพระที่ไม่ถือเนื้อถือตัว พระอาจารย์วัน อุตฺตโม  ซงึ่ เปน็ วปิ สั สนาจารยช์ อื่ ดงั ภาคอสี าน เลา่ วา่ เคยไดร้ บั นมิ นตไ์ ปฉนั   ในงานพระราชทานเพลงิ ศพหลวงปฝู่ น้ั  อาจาโร  ระหวา่ งทฉี่ นั อย ู่ บนปะรำ� พธิ  ี กส็ งั เกตเหน็ หลวงปเู่ จย๊ี ะนงั่ ฉนั ปะปนกบั พระหนมุ่ เณร  นอ้ ยดา้ นลา่ ง  หลวงปเู่ จยี๊ ะนน้ั เปน็ พระทพี่ ระอาจารยว์ นั เคารพมาก  พอฉันเสร็จ จึงมาขอขมาต่อหลวงปู่เจี๊ยะว่า “ครูอาจารย์ เกล้าฯ  143 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล

ขอขมาที่นั่งสูงกว่า”  พระเณรท้ังหลายตกใจกันใหญ่เพราะคิดว่า  หลวงปูเ่ จ๊ยี ะเป็นพระหลวงตาธรรมดาๆ  อีกคราวหน่ึงพระอาจารย์วันไปงานฉลองพระท่ีจังหวัด  ขอนแกน่  ทา่ นไดร้ บั นมิ นตใ์ หน้ ง่ั บนแทน่ ใหญใ่ นพธิ  ี  พอเหน็ หลวงป่ ู เจี๊ยะน่ังข้างล่าง ท่านก็รีบกระโดดลงมาขอขมาหลวงปู่ หลวงปู่  ตอบวา่  “วัน...ไปๆ  ไมเ่ ปน็ ไร” คนส่วนใหญ่มองเห็นหลวงปู่เจี๊ยะว่าเป็นพระหลวงตา  ธรรมดาๆ  อาจจะนึกดูหม่ินหรือค่อนแคะอยู่ในใจด้วยก็ได้ท่ีเห็น  อากปั กริ ยิ าของทา่ นไมเ่ รยี บรอ้ ย  แตเ่ ขาเหลา่ นนั้ หารไู้ มว่ า่ หลวงป่ ู เจี๊ยะเป็นท่ีนับถือของพระอาจารย์องค์ส�ำคัญๆ สายหลวงปู่ม่ัน  ท่านเหล่าน้ีมาเย่ียมและกราบคารวะท่านสม่�ำเสมอ เช่น หลวงปู่  หลยุ  หลวงปชู่ อบ หลวงปสู่ าม หลวงปตู่ อ้ื  หลวงตามหาบวั  หลวง  พอ่ พธุ  และพระอาจารยส์ ิงห์ทอง เปน็ ต้น แมว้ า่ ทา่ นจะเปน็ คนโผงผาง เอะอะตงึ ตงั อยเู่ สมอ แตท่ า่ น  นอบนอ้ มในธรรมยงิ่ นกั   บางคราวขณะทกี่ �ำลงั คยุ กบั พระเณร สง่   เสียงดัง หรือมีเสียงเฮๆ เป็นระยะๆ  แต่ทันทีมีพระเณร ผู้ใหญ ่ 144 านธรรม ๒ ลํ า ธ า ร ริ ม ล

หรอื เดก็  พดู เรอ่ื งธรรมะ ทา่ นจะนงิ่ ฟงั  แสดงความเคารพในธรรม  จนศษิ ยบ์ างคนตงั้ ขอ้ สงั เกตวา่  “กริ ยิ าในธรรมกบั กริ ยิ าในโลกของ  ทา่ นต่างกันนกั ” หลวงปจู่ นั ทา ถาวโร เคยถามหลวงปเู่ จยี๊ ะวา่  กริ ยิ าอาการ  ของหลวงปเู่ ป็นอยา่ งนี ้ ทา่ นไม่กลัวคนตำ� หนิบ้างหรือ  ท่านตอบ  ว่า “อันว่ากิริยาภายนอกน้ันจะเป็นอย่างใดก็ตามเถอะ แต่ถ้าหาก  เรามุ่งม่ันปั้นใจจนเท่ียงดี ก็ยังดีกว่าคนที่กิริยางามแต่ใจไม่เที่ยง  เพราะนิสัยวาสนาคนเรามันไม่เหมือนกัน  เขาก็ยังมีค�ำพูดอยู่มิใช่  หรอื วา่  แขง่ อะไรกแ็ ข่งได้ แตแ่ ขง่ วาสนาแขง่ กนั ไมไ่ ด้  เราจงึ ไม่ไป  แข่งวาสนากับใคร  เราเป็นอย่างนี้จึงพอใจอย่างนี้ เพราะนิสัย  วาสนาเป็นมาอยา่ งนี”้ ในยคุ ทผ่ี คู้ นตดิ ยดึ อยกู่ บั รปู ลกั ษณภ์ ายนอก และตดั สนิ คน  จากส่ิงท่ีเห็นด้วยตานั้น หลวงปู่เจี๊ยะได้เตือนใจให้เราตระหนักว่า  สิ่งส�ำคัญกว่าคือคุณธรรมภายใน  หากเราไม่หลงเข้าใจว่าเปลือก  เปน็ แกน่ แลว้  กย็ อ่ มเรยี นรสู้ ง่ิ ดๆี  ไดม้ ากมายจากหลวงปเู่ จยี๊ ะ  นา่   เสยี ดายกต็ รงทท่ี า่ นไดล้ ะสงั ขารไปแลว้ ตงั้ แตป่  ี ๒๕๔๗ คงเหลอื แต่  เรือ่ งราวมากมายทส่ี อนใจเราและอนุชนรุ่นหลงั 145 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล

146 านธรรม ๒ ลํ า ธ า ร ริ ม ล

ทำ� ตัว ให้เหมือนหมา สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) หรือ หลวงพ่อโต เป็นพระ  มหาเถระทข่ี น้ึ ชอื่ ในดา้ นเมตตา เปน็ ทพ่ี งึ่ พาของผทู้ กุ ขย์ าก  ใครม ี ปัญหา ไมร่ ู้จะแก้อยา่ งไร ก็มกั นึกถึงหลวงพ่อโต คราวหน่ึงพระเทศ แห่งวัดชนะสงคราม มีเร่ืองผิดใจกับ  พระครูอุดมฌานผู้เป็นเจ้าอาวาส รู้สึกรุ่มร้อนใจจนอยู่วัดน้ัน  ไม่ไหว จึงพายเรือข้ามแม่นำ�้ เจ้าพระยามาท่ีวัดระฆัง ด้วยหวังหนี  ร้อนมาพึ่งเย็น 147 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล

เมื่อพบหลวงพ่อโต พระเทศก็แนะน�ำตัวและแจ้งความ  ประสงคว์ า่  “เกลา้ กระผมมเี รอื่ งไมส่ บายใจ พยายามระงบั ความรมุ่   รอ้ นในใจกไ็ มส่ �ำเรจ็  จนรอ้ นผา้ เหลอื ง จงึ ขอความกรณุ าจากใตเ้ ทา้   ขอพักที่วดั ระฆงั สกั ระยะหนงึ่ ” ไดฟ้ งั เพยี งเทา่ น ้ี หลวงพอ่ กพ็ ดู ขนึ้ มาวา่  “อยากสบายกใ็ ห้  ท�ำตวั เหมือนหมาซจี ๊ะ” พระเทศงงงนั นง่ั อง้ึ อยนู่ าน เพราะไมเ่ ขา้ ใจคำ� พดู ของหลวง  พ่อ หลวงพ่อจึงถามว่า “ท่านทะเลาะกับพระครูอุดมฌานมา  ใชไ่ หม” พระเทศฟังแล้วก็สะดุ้ง อดสงสัยไม่ได้ว่าหลวงพ่อรู้เร่ืองน้ี  ได้อยา่ งไร ทั้งๆ ท่ียังไมไ่ ด้เลา่ อะไรให้ท่านฟงั เลย แลว้ หลวงพอ่ กข็ ยายความวา่  “เขา้ ใจไหมจะ๊  ธรรมดาหมา  เมื่อเกิดกัดกันขึ้นแล้ว ถ้าตัวหนึ่งท�ำแพ้และนอนหงายเสีย ปล่อย  ให้เจ้าตัวชนะคร่อมอยู่ข้างบน ให้มันค�ำรามท�ำอ�ำนาจเสียก็หมด  เรื่อง” 148 านธรรม ๒ ลํ า ธ า ร ริ ม ล

พระเทศฟงั แลว้ กเ็ ขา้ ใจ จงึ เปลย่ี นใจไมข่ ออยวู่ ดั ระฆงั  พาย  เรอื กลบั วดั ชนะสงคราม นบั แตน่ นั้ กท็ ำ� ตามทหี่ ลวงพอ่ แนะนำ�  คอื   ยอมเจ้าอาวาส ท่านจะว่าอะไรก็ไม่โต้เถียง ไม่นานความขัดแย้งก ็ ยตุ  ิ พระเทศอยู่วัดชนะสงครามได้อย่างมคี วามสุข หลวงพ่อโตมิได้มีแต่เมตตาเท่าน้ัน ท่านยังเปี่ยมด้วย  ปญั ญา จงึ รวู้ า่ ความขดั แยง้ นนั้ มอิ าจระงบั ไดห้ ากตา่ งฝา่ ยตา่ งแขง็   เขา้ หากนั   ยงิ่ ฝา่ ยหนงึ่ เปน็ ผนู้ อ้ ยดว้ ยแลว้  กย็ ากทจ่ี ะลงเอยดว้ ยดี  ท่านจึงแนะให้พระเทศยอมโอนอ่อน ซ่ึงช่วยให้อีกฝ่ายลดความ  แข็งกร้าว ท�ำให้มีอคติต่อกันน้อยลง สามารถเปิดใจรับฟังกันได้  มากขึ้น ท่ีจริงอย่าว่าแต่ผู้น้อยกับผู้ใหญ่เลย แม้เพ่ือนกับเพ่ือน  สามกี บั ภรรยา หากมเี รอ่ื งทะเลาะเบาะแวง้ กนั  ยากทจี่ ะคลค่ี ลายได้  ดว้ ยการเอาผดิ เอาถกู  หรอื ใชเ้ หตผุ ลยนื ยนั ความถกู ของตน (หรอื   ชชี้ ดั ความผดิ ของอกี ฝา่ ย) เพราะตา่ งฝา่ ยตา่ งไมย่ อมเปดิ ใจกนั   ตอ่   เมอ่ื ลดอคตแิ ละความเปน็ ปฏปิ กั ษต์ อ่ กนั กอ่ น ดว้ ยการทฝี่ า่ ยใดฝา่ ย  หนง่ึ ยอมโอนออ่ น การรบั ฟงั เหตผุ ลของกนั และกนั จงึ จะเกดิ ขนึ้ ได ้ และสามารถระงับความขดั แยง้ ได้ในทีส่ ุด 149 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook