Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore lamtharn2

lamtharn2

Published by ชมรมกัลยาณธรรม, 2021-03-14 08:28:15

Description: lamtharn2

Search

Read the Text Version

50 านธรรม ๒ ลํ า ธ า ร ริ ม ล

นิ่งได้ ไมห่ วั่นไหว กอ่ นอปุ สมบท หลวงพอ่ ประสทิ ธ์ิ ถาวโร อดตี เจา้ อาวาส  วดั ถ�้ำยายปริก เกาะสชี งั  จ.ชลบรุ  ี เคยเปน็ ชาวนาชาวไร่  ต่อมาได้  ผันตัวมาเป็นพ่อค้า  มีร้านเล็กๆ อยู่ท่ี อ. บ้านบึง จ. ชลบุรี  เม่ือ  อายุได้ ๓๘ ปี ชะตาชีวิตก็พลิกผัน วันหนึ่งเกิดลุแก่โทสะ ขาดสต ิ ถึงกับฆ่าภรรยาตายคามือ เน่ืองจากระแวงว่าเธอจ้างคนมาฆ่า  เหตกุ ารณค์ รง้ั นน้ั ทำ� ใหท้ า่ นถกู ตดั สนิ จำ� คกุ  ๑๒ ป ี  หลงั จากพน้ โทษ  ท่านได้ตัดสินใจออกบวช และครองเพศบรรพชิตจนวาระสุดท้าย  ของชวี ติ ชีวิตของท่านเป็นชีวิตท่ีโลดโผน มิใช่แต่ตอนเป็นฆราวาส  เทา่ นนั้  แมค้ รองเพศสมณะแลว้  กย็ งั มเี หตกุ ารณร์ า้ ยๆ หลายอยา่ ง  51 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล

เกดิ ขน้ึ กับท่านอยา่ งทีพ่ ระนอ้ ยรปู จะได้รับ เช่น ถกู นักเลงทอ้ งถน่ิ   รงั ควาน ทง้ั ดา่ วา่ และกลนั่ แกลง้  ตา่ งๆ นานา เพราะอยากไดท้ ด่ี นิ   วัด  แต่ส่ิงที่เปล่ียนไปจากเดิม คือท่านมีความสงบน่ิงเพราะมีสต ิ มน่ั คง ไมห่ วน่ั ไหวไปตามสง่ิ ทม่ี ากระทบ แมบ้ างครงั้ จะตอ้ งเจอสง่ิ   ทีส่ ร้างความทกุ ขเวทนาให้อยา่ งมาก ทา่ นเลา่ วา่ คราวหนงึ่ ถกู  “พระนกั เลง” ทำ� รา้ ยรา่ งกายดว้ ย  ไม้หน้าสาม  ก่อนจะตีพระรูปนั้นถามว่า “ท่านแน่หรือ” ท่านไม ่ อยากมเี รอื่ งจงึ ตอบไปวา่  “ผมไมแ่ น”่  ขนาดยอมถงึ อยา่ งนนั้  พระ  รปู นนั้ กย็ งั เอาไมห้ นา้ สามมาตที า่ นอยา่ งแรง แตท่ า่ นมสี ตติ ามทนั   ทันทีที่ถูกไม้ฟาดจนแผลแตกเลือดอาบก็พิจารณาว่า เนื้อหนัง  มังสาเป็นของเน่าเปื่อย ตอนนั้นไม่มีความคิดจะโต้ตอบกลับเลย  ยืนน่ิงให้พระรูปนั้นฟาดกระหน�่ำ แทนท่ีจะโกรธ ท่านกลับมองดู  จีวรของท่านท่ีชุ่มเลือด แล้วนึกในใจว่า “เออ ดีเหมือนกัน เอา  เลอื ดเราออก จะได้ล้างธรณสี งฆ์” สักพักโยมท่ีวัดก็มาเห็น จึงดึงพระรูปน้ันออกมา แล้วพา  หลวงพ่อประสิทธิ์ไปส่งโรงพยาบาล  ท่านถูกเย็บสิบเข็ม  ส่วน  พระรปู นน้ั ถกู จบั สกึ   ภายหลงั มาขอกราบเทา้ ทา่ น ทา่ นไมไ่ ดถ้ อื โทษ  52 านธรรม ๒ ลํ า ธ า ร ริ ม ล

โกรธเคอื งแตอ่ ยา่ งใด ไดแ้ ตบ่ อกเขาไปวา่  “โยม เวรยอ่ มระงบั ดว้ ย  การไม่จองเวร อาตมาไม่ถือโทษหรอก  แต่กรรมมันย่อมสนอง  กรรมเปน็ ธรรมดานะ” เวลาลูกศิษย์ลูกหา ไม่ว่าพระเณร แม่ชี หรือญาติโยม  ทะเลาะกัน ท่านก็ใช้หลักเดียวกันน้ีตักเตือนเพื่อให้หยุดท�ำร้ายกัน  ท่านเคยพูดว่า “หากขัดแย้งกันเมื่อไร ลองถามกันดูซิว่า มึงต้อง  ตายไหม แล้วถามตัวเองว่า กูต้องตายไหม  ในเม่ือท้ังสองฝ่ายก ็ ตอ้ งตายดว้ ยกนั ทง้ั ค ู่ แลว้ ทะเลาะกนั ท�ำไม มนั ไดอ้ ะไรขนึ้ มา  ค�ำพดู   ที่ด่ากันก็เป็นลมเป็นแล้งสูญสลายไปหมดแล้ว แม้แต่ด่ากันอยู ่ เวลาน้นั  มันก็ดบั ทุกคราวทพี่ ดู จบ” คนส่วนใหญ่มักมีปฏิกิริยาต่อผู้คนหรือสิ่งต่างๆ สุดแท้  แตว่ า่ จะมอี ะไรมากระทบ  หากเขาดา่ มา กด็ า่ ไป  เขาโกรธเรา เราก ็ โกรธเขากลับคืน  พูดง่ายๆ คือ แรงมาก็แรงไป โดยไม่สนใจว่า  ปฏิกิริยาท่ีสะท้อนกลับไปนั้นจะก่อปัญหาหรือสร้างทุกข์แก่เรา  และผู้อ่ืนมากน้อยเพียงใด  ดังนั้นผู้คนส่วนใหญ่จึงมีชีวิตเสมือน  ตกอยู่ภายใต้การครอบง�ำก�ำหนดของส่ิงรอบตัว  ทั้งๆ ท่ีในความ  เป็นจริงเราสามารถเลือกได้ว่าเมื่อมีอะไรมากระทบ เราจะตอบโต ้ 53 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล

หรอื นง่ิ สงบ จะหวน่ั ไหวหรอื เปน็ ปกต ิ จะโกรธหรอื ไมโ่ กรธ รวมทงั้   จะทกุ ขห์ รอื สขุ   เราเลอื กไดเ้ พราะมที งั้ สตแิ ละปญั ญา  ใชห่ รอื ไมว่ า่   น้ีคอื ส่ิงส�ำคัญทที่ ำ� ใหม้ นษุ ยแ์ ตกต่างจากสัตว์ หลวงพ่อประสทิ ธ์ ิ ถาวโร วัดถำ้� ยายปริก อ. เกาะสชี ัง จ. ชลบุรี นามเดิม ประสทิ ธ์ิ คำ� ประเสรฐิ   ก�ำเนดิ  วันเสารท์ ี่ ๑๔ มกราคม ๒๔๖๖ สถานท่ีเกิด บา้ นคอน อ. มโนไพร แขวงนครจ�ำปาศกั ด ์ิ ประเทศลาว  อุปสมบท ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๑๒ ณ วัดนมิ มานราษฎรบ์ ำ� รุง  อ. บา้ นบึง จ. ชลบุรี  มรณภาพ ๙ มีนาคม ๒๕๕๐  สริ ิอายุ ๘๔ ปี ๓๘ พรรษา แม้ผ่านมรสุมชีวิตมามากมายสมัยเป็นฆราวาส หลวงพ่อประสิทธ์ิได ้ ออกบวชเม่ืออายุ ๔๖ ปี เพื่อขัดเกลากิเลสให้เบาบาง  ท่านฝึกสมาธิภาวนา  ท่ีวัดนิมมานราษฏร์บ�ำรุง  ต่อมาได้ออกเดินทางเพื่อไปสอบอารมณ์กับพระ  อาจารยต์ า่ งๆ และไดจ้ ารกิ วเิ วกไปทางภาคตะวนั ออก ภาคอสี าน และภาคเหนอื แมจ้ ะออกธดุ งคแ์ สวงหาความวเิ วกไปตามสถานทตี่ า่ งๆ แตท่ า่ นกม็ กั จะ  กลับมาจ�ำพรรษาอยู่ท่ีถ้�ำยายปริกเสมอๆ  บริเวณถ้�ำน้ีเป็นสถานท่ีเหมาะสม  แก่การเจริญสมณธรรม  ต่อมาท่านได้เปิดอบรมปฏิบัติภาวนาแก่ผู้สนใจท ี่ วดั ถำ้� ยายปรกิ นี้จนกระทง่ั ทา่ นมรณภาพ 54 านธรรม ๒ ลํ า ธ า ร ริ ม ล

พระเมธีธรรมสาร (ไสว ธมมฺ สาโร) วัดบ้านกรา่ ง อ. ศรปี ระจนั ต ์ จ. สพุ รรณบรุ ี นามเดิม ไสว จันทโสภา กำ� เนิด วนั ท่ี ๗ พฤษภาคม ๒๔๓๒ สถานทเี่ กิด อ. ศรปี ระจันต ์ จ. สุพรรณบุรี อุปสมบท ๒๓ เมษายน ๒๔๕๑ ณ วัดปลายนา อ. ศรปี ระจันต์  จ. สพุ รรณบรุ ี มรณภาพ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๒๒ เวลา ๒๑.๒๓ น.  สิริอายุ ๙๐ ปี ทา่ นมคี วามสามารถในการเทศน ์ การปกครอง และมจี รยิ าวตั รนา่ เคารพ  เลอื่ มใส จงึ เปน็ ศนู ยร์ วมจติ ใจของชาวบา้ นใกลไ้ กล สามารถทำ� การใหญใ่ หส้ ำ� เรจ็   ได้ เช่นการย้ายเสนาสนะต่างๆ ของวัด หลายอาคารท่ียังอยู่ในสภาพดี ก็  เคลอ่ื นยา้ ยดว้ ยวธิ ใี หป้ ระชาชนชว่ ยกนั ยกไปทง้ั หลงั  กลา่ วคอื เมอื่ ชา่ งไมข้ นั ไมไ้ ผ่  ตรงึ ตวั อาคารและเตรยี มทจ่ี บั ยกไวพ้ รอ้ มแลว้  ทางวดั กน็ ดั วนั ยกแกป่ ระชาชน  ทัง้ ต�ำบล หม่บู า้ นตา่ งๆ ถึงวันนัด ประชาชนนับพันๆ คนก็พากันมาชุมนุมพร้อมกันที่วัดตาม  ศรัทธา เข้ายืนประจ�ำท่ีใต้ตัวอาคารเต็มพื้นที่  เมื่อให้สัญญาณ ทุกคนก ็ ยกไม้คันท่ีขันไว้แล้วก้าวเดินพร้อมกัน หอสวดมนต์หลังใหญ่โตก็เคลื่อนที่  ได้อย่างช้าๆ เรียบรื่นไปบนพ้ืนเดินเหมือนอาคารน้ันเดินไปเองยังสถานที่ใหม ่ ดว้ ยวธิ นี ท้ี า่ นยงั ยา้ ยหอระฆงั และกฏุ อิ กี  ๓ หลงั  โดยไมต่ อ้ งรอ้ื ตะปสู กั ตวั เดยี ว 55 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล

56 านธรรม ๒ ลํ า ธ า ร ริ ม ล

ภาวนา ทใ่ี จ เมื่อคร้ังยังเป็นพระหนุ่ม หลวงพ่อชา สุภทฺโท ได้ใช้เวลา  หลายปใี นการเสาะหาครบู าอาจารยผ์ รู้ แู้ จง้ ในธรรม  ทา่ นเคยเดนิ   ธุดงค์จากลพบุรีไปยังนครพนมเพ่ือศึกษาธรรมจากหลวงปู่มั่น  ภรู ทิ ตโฺ ต  แมม้ เี วลาฟงั ธรรมโอวาทจากทา่ นเพยี งแคส่ ามวนั  แตก่  ็ บงั เกดิ ความอม่ิ เอบิ ในธรรมอยา่ งยง่ิ   มกี ำ� ลงั ใจในการปฏบิ ตั อิ ยา่ ง  ไม่รู้จกั เหน็ดเหนอื่ ย ในพรรษาทเี่ กา้ ทา่ นไดฝ้ ากตวั เปน็ ศษิ ยห์ ลวงปกู่ นิ ร ี จนทฺ โิ ย  ท่ีนครพนม หลวงปู่กินรีเป็นพระวิปัสสนาจารย์ซ่ึงเปี่ยมด้วย  57 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล

ภูมิธรรมและมีประสบการณ์การภาวนาตามป่าเขาอย่างโชกโชน  เม่ือทา่ นชราภาพได้มาเป็นหลักเปน็ ประธาน ณ วัดปา่ หนองฮี ในพรรษานนั้ พระภกิ ษชุ าทำ� ความเพยี รอยา่ งไมล่ ดละ เดนิ   จงกรมท้ังวันท้ังคืน โดยไม่ระย่อต่อแดดฝนหรืออุปสรรคใดๆ จน  พ้ืนดินเป็นร่องลึก  แต่มีสิ่งหน่ึงท่ียังความสงสัยแก่ท่านมากก็คือ  หลวงปกู่ นิ รนี น้ั กลบั ไมค่ อ่ ยเดนิ จงกรมนง่ั สมาธ ิ  วนั หนงึ่ ๆ ทา่ นเหน็   หลวงปเู่ ดนิ เพยี งไมก่ เี่ ทย่ี ว  เวลานอกนน้ั ทา่ นทำ� กจิ อนื่  เชน่  เยบ็ ผา้   ปะจีวร ดทู า่ นมงี านจปิ าถะทำ� ทัง้ วัน เมื่อเห็นเช่นนี้พระภิกษุชาจึงคิดในใจว่า “ครูบาอาจารย์จะ  ไปถงึ ไหนกนั  เดินจงกรมก็ไม่เดนิ  น่งั สมาธินานๆ กไ็ ม่เคยนง่ั  คอย  แตท่ �ำนน่ั ท�ำนตี่ ลอดทง้ั วนั   แตเ่ รานป่ี ฏบิ ตั ไิ มห่ ยดุ เลย  ถงึ ขนาดนนั้   ก็ยงั ไม่รู้ไม่เห็นอะไร ส่วนหลวงปูป่ ฏบิ ัตแิ คน่ ั้นจะเห็นอะไร” แตห่ ลงั จากทไี่ ดอ้ ยปู่ ฏบิ ตั กิ บั หลวงปนู่ านๆ และไดฟ้ งั ธรรม  อนั ลมุ่ ลกึ จากทา่ น พระภกิ ษชุ ากร็ วู้ า่ เปน็ ความเขลาของทา่ นเองท่ี  คดิ เชน่ นน้ั  ทา่ นพดู ถงึ บทเรยี นทที่ า่ นไดจ้ ากประสบการณค์ รง้ั นนั้ วา่ 58 านธรรม ๒ ลํ า ธ า ร ริ ม ล

“เรามันคิดผิด หลวงปู่ท่านรู้อะไรๆ มากกว่าเราเสียอีก  ค�ำเตือนของท่านส้ันๆ และไม่ค่อยมีให้ฟังบ่อยนัก เป็นส่ิงท่ีลุ่มลึก  แฝงไวด้ ว้ ยปญั ญาอนั แยบคาย  ความคดิ ของครบู าอาจารยก์ วา้ งไกล  เกนิ ปญั ญาเราเปน็ ไหนๆ  ตวั แทข้ องการปฏบิ ตั คิ อื ความพากเพยี ร  ก�ำจัดอาสวกิเลสภายในใจ  ไม่ใช่ถือเอากิริยาอาการภายนอกของ  ครูบาอาจารย์เปน็ เกณฑ์” ท่านมาได้ตระหนักชัดอีกครั้งว่า การปฏิบัติธรรมน้ัน  ไม่ได้อยู่ท่ีรูปแบบ แต่อยู่ท่ีการวางใจให้ถูกต้อง  ไม่ว่าท�ำอะไร  กส็ ามารถเป็นการภาวนาได้ คราวหน่ึงพระภิกษุชาน่ังปะชุนจีวรที่ขาดว่ิน ใจนั้นนึกถึง  การภาวนาอยตู่ ลอดเวลา  อยากรบี ปะชนุ ใหเ้ สรจ็ เรว็ ๆ เพอ่ื จะไดไ้ ป  ภาวนาตอ่   ขณะนน้ั เองหลวงปกู่ นิ รเี ดนิ ผา่ นมา สงั เกตเหน็ อาการ  ของพระหนมุ่  จงึ พดู ข้นึ มาวา่ “ทา่ นชา จะรีบร้อนไปท�ำไมเล่า” “ผมอยากใหเ้ สรจ็ เร็วๆ ครับหลวงป”ู่ “เสรจ็ แลว้ ทา่ นจะท�ำอะไรละ่ ” “จะไปท�ำอันน้ันอกี ” 59 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล

“ถ้าเสร็จอนั น้ันแล้ว ท่านจะท�ำอะไรอีกละ่ ” “ผมก็จะท�ำอย่างอน่ื อีก” “เมื่อท�ำอยา่ งอืน่ เสรจ็ แล้ว ท่านจะไปท�ำอะไรอกี เลา่ ” เม่ือเห็นว่าใจของพระภิกษุชาไม่ได้อยู่กับงานท่ีก�ำลังท�ำ  แต่คิดถึงงานช้ินอ่ืนๆ ที่อยู่ข้างหน้า และรีบร้อนจะท�ำให้เสร็จไวๆ  ทั้งหมดน้กี เ็ พ่ือไปภาวนาตอ่  หลวงปู่กนิ รจี ึงเตอื นพระหนมุ่ วา่ “ท่านชา ท่านรู้ไหม นั่งเย็บผ้าผืนน้ีก็ภาวนาได้  ท่านดูจิต  ตวั เองสวิ า่ เปน็ อยา่ งไร แลว้ กแ็ กไ้ ขมนั   ทา่ นจะรบี รอ้ นไปท�ำไมเลา่   ท�ำอย่างน้ีเสียหายหมด  ความอยากมันเกิดข้ึนท่วมหัว  ท่านยัง  ไม่รู้เรอื่ งของตนอีก” คำ� พดู ของหลวงปกู่ นิ รกี ระตกุ ใจของพระภกิ ษชุ าอยา่ งแรง  ท�ำให้ท่านได้สติ และเกิดความเข้าใจชัดเจนว่า ไม่ว่าอยู่ท่ีไหน  ท�ำอะไร ก็ภาวนาได้ทั้งน้ัน  ขอให้หม่ันดูใจของตนอย่างต่อเน่ือง  จนเกดิ ความรสู้ กึ ตวั ทว่ั พรอ้ ม  นเ้ี ปน็ บทเรยี นทปี่ ระทบั ใจทา่ นมาก  และถอื เป็นหลักปฏิบตั ขิ องทา่ นตลอดมา 60 านธรรม ๒ ลํ า ธ า ร ริ ม ล

ดังน้ันจึงไม่น่าแปลกใจเลยเมื่อท่านได้กลายเป็นพระ  วปิ สั สนาจารยช์ น้ั ผใู้ หญ ่  หากฆราวาสคนใดบอกทา่ นวา่  ไมม่ เี วลา  ปฏบิ ตั ธิ รรม ทา่ นกจ็ ะถามกลบั ไปวา่  “แลว้ มเี วลาหายใจหรอื เปลา่   ละ่ ” หลวงพ่อชา สุภทโฺ ท วัดหนองป่าพง อ. วารนิ ชำ� ราบ จ. อุบลราชธานี นามเดมิ  ชา ช่วงโชต ิ  กำ� เนิด ๑๗ มถิ นุ ายน ๒๔๖๑ สถานทเี่ กิด อ. วารินชำ� ราบ จ. อบุ ลราชธานี อปุ สมบท ณ วัดกอ่ ใน อ. วารนิ ชำ� ราบ จ. อบุ ลราชธาน ี เม่อื  ๒๖ เมษายน ๒๔๘๒ สมณศักดิ์ พระโพธญิ าณเถร มรณภาพ ๑๖ มกราคม ๒๕๓๕  สิรอิ ายุ ๗๔ ป ี ๕๓ พรรษา ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณรท่ีวัดบ้านก่อเม่ืออายุได้ ๑๓ ปี ลาสิกขา  เม่ืออายุได้ ๑๖ ปี ต่อมาเม่ืออายุได้ ๒๑ ปี ท่านได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็น  พระภิกษุ ณ วัดก่อใน จนกระทั่งต้นปี ๒๔๘๙ ท่านจึงได้เร่ิมออกธุดงค์ไปยัง  สถานที่ต่างๆ เพ่ือหาครูบาอาจารย์เป็นท่ีพึ่ง และได้เข้ากราบนมัสการพระ อาจารย์ม่ัน ภูริทตฺโต ที่วัดหนองผือนาใน อ. พรรณานิคม จ. สกลนคร  จนกระท่ังมีช่ือเสียงขจรไกลไปถึงต่างแดน มีชาวต่างประเทศเลื่อมใสศรัทธา  ขอบวชกับทา่ นเปน็ จำ� นวนมาก ทา่ นจงึ ไดส้ รา้ งวดั ปา่ นานาชาตขิ น้ึ เพอ่ื ใหภ้ กิ ษุ  ชาวตา่ งชาตไิ ดม้ โี อกาสใชเ้ ปน็ ทพี่ ำ� นกั ฝกึ ปฏบิ ตั ธิ รรม นอกจากนนั้ ยงั ไดส้ รา้ งวดั   สาขาของวดั หนองปา่ พง เพอื่ เผยแพรพ่ ระศาสนาไปยงั ทวั่ ทกุ ภาคของประเทศ หลวงพอ่ ชาไดบ้ กุ เบกิ กอ่ ตงั้ วดั หนองปา่ พงตง้ั แตป่ ี พ.ศ. ๒๔๙๗ 61 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล

62 านธรรม ๒ ลํ า ธ า ร ริ ม ล

ก่อนมาเป็น หลวงพอ่ เทยี น หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ ซึ่งได้รับการยกย่องจากนาย  แพทยป์ ระเวศ วะส ี วา่ เปน็ ปรมาจารยแ์ หง่ การเจรญิ สตนิ นั้  ชอ่ื เดมิ   ของทา่ นคอื พนั ธ ์ อนิ ทผวิ   สว่ น “เทยี น” นน้ั เปน็ ชอ่ื บตุ รชายของ  ทา่ น  ธรรมเนยี มของเชยี งคานบา้ นเกดิ ของทา่ น นยิ มเรยี กผใู้ หญ่  ตามช่ือของลูกคนหัวปี (หรือคนโตท่ียังมีชีวิตอยู่)  ใครต่อใครจึง  รู้จกั ทา่ นในนามของ “หลวงพอ่ เทยี น” 63 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล

พนั ธ ์ อนิ ทผวิ เปน็ คนทใี่ ฝใ่ นการทำ� บญุ ตงั้ แตเ่ ลก็   เมอ่ื โตขน้ึ   ได้รับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้าน ก็เป็นผู้น�ำชาวบ้านในการท�ำบุญเสมอ  มา  นอกจากน้ันความท่ีท่านเป็นพ่อค้า มีเรือค้าขายข้ึนล่องตาม  ลำ� นำ�้ โขงไปจนถงึ เมอื งลาว ประสบความส�ำเรจ็ พอสมควร จงึ เปน็   ทีเ่ คารพนับถอื ของชาวบ้านมาก เมอื่ อายรุ าว ๔๐ ป ี ไดเ้ กดิ จดุ เปลย่ี นในชวี ติ ทที่ ำ� ใหท้ า่ นหนั   มาสนใจปฏิบัติกรรมฐานอย่างจริงจัง  ครั้งนั้นท่านเป็นเจ้าภาพ  ทอดกฐนิ ทเ่ี มอื งลาว  ในงานมมี หรสพตา่ งๆ มากมาย เชน่  หมอลำ�   ภาพยนตร์  ท่านได้ตกลงกับภรรยาว่า การใช้จ่ายต่างๆ ตลอดจน  การจดั อาหารเลย้ี งแขก ยกใหเ้ ปน็ หนา้ ทขี่ องภรรยา  สว่ นตวั ทา่ น  เองจะรับอโุ บสถศีลและรบั แขกทางไกล คร้ันถึงเวลาเช้า ภรรยาของท่านมาถามว่าจะต้องจ่าย  คา่ หมอลำ� เปน็ จำ� นวนเทา่ ใด  ทา่ นรสู้ กึ โกรธมาก ทา่ นเลา่ ความรสู้ กึ   ตอนนนั้ วา่  “มนั หนกั จนลกุ แทบจะไมไ่ ด ้ มนั ต�ำเขา้ ในใจ” แตท่ า่ นก ็ ข่มอารมณ์ไว้ และตอบด้วยสีหน้าปกติว่าเป็นหน้าที่ของภรรยา  ท่าน  อย่างไรก็ตามความโกรธน้ันยังคงคุกรุ่นในจิตใจของท่าน  เมื่อเสร็จงานกฐิน ระหว่างรับประทานอาหารมื้อเย็นกับภรรยา  64 านธรรม ๒ ลํ า ธ า ร ริ ม ล

ท่านเปรยถึงเร่ืองที่เกิดขึ้นตอนเช้าว่า “คนไม่รู้จักเคารพนับถือ  ก็อย่างนี้แหละ”  ท่านกล่าวซ�้ำหลายหนจนภรรยาเอะใจ  เมื่อ  สอบถามจนรู้ว่าสาเหตุเกิดจากอะไร ภรรยาท่านก็พูดข้ึนว่า  “เจ้าไม่พอใจละสิ ...โอ เจ้าตกนรกแล้ว แม้ท�ำกองกฐินก็บ่ได้บุญ  ดอกเจ้า” ค�ำพูดของภรรยากระทบใจท่านมาก ท�ำให้ได้คิดขึ้นมาว่า  การท�ำบุญให้ทานน้ันไม่ได้ช่วยให้ท่านหายทุกข์เลย ท่านจึงหันมา  สนใจการทำ� กรรมฐาน และตงั้ ใจวา่ หากยงั เอาชนะความทกุ ขไ์ มไ่ ด ้ ก็จะไมเ่ ลิกละการท�ำกรรมฐาน นับแต่นั้นท่านได้ตัดสินใจว่าจะเลิกท�ำมาค้าขายเพื่อท�ำ  กรรมฐานอยา่ งเดยี ว  แตก่ วา่ จะสะสางการงานและจดั การเรอ่ื งเงนิ   ทองต่างๆ จนแล้วเสร็จก็ใช้เวลาถึงสามปี  จากนั้นท่านก็แสวงหา  ครูบาอาจารย์เพ่ือแนะน�ำการปฏิบัติธรรม แต่ก็ไม่พบวิธีท่ีจะช่วย  แก้ทุกข์ของท่านได้  จนได้ทดลองปฏิบัติตามแบบของท่านเอง  ด้วยการยกมือเคล่ือนไหวเป็นจังหวะ พร้อมกับมีสติรู้กายตาม  ไปดว้ ย  ในยามทใ่ี จเผลอไปคดิ นกึ เรอ่ื งราวตา่ งๆ กม็ สี ตริ ทู้ นั อาการ  ของใจแล้วพาใจกลับมารู้กาย จนเกิดความรู้สึกตัวอย่างต่อเนื่อง  65 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล

ท่านท�ำเช่นน้ีอยู่นาน จนเช้าวันหนึ่งขณะท่ีก�ำลังน่ังเจริญสติอยู ่ จู่ๆ แมงป่องแม่ลูกอ่อนตัวหนึ่งตกมาท่ีขาของท่าน แล้วลูกมัน  ก็ออกมาวิ่งตามขาของท่าน  พอท่านเอาไม้มาแตะขา แมงป่องก็  เกาะไม้น้ันไว้  ระหว่างที่ท่านเอาไม้และแมงป่องไปวางไว้ที่คันนา  ความเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้นที่ใจของท่าน เกิดปัญญาเห็นรูปนาม  รสู้ มมต ิ เขา้ ใจไตรลกั ษณ ์  เมอ่ื ถงึ ตอนเยน็ กเ็ กดิ ความเปลยี่ นแปลง  อีกจนทา่ นร้ชู ัดในอรยิ สจั และปรมตั ถสภาวะ นับแต่วันนั้นท่านก็ม่ันใจว่าได้พบสิ่งท่ีแสวงหามานาน  ความทุกข์ใจท่ีเคยมีดับไปอย่างสิ้นเชิง ท่านจึงหยุดการแสวงหา  และเร่ิมแนะน�ำญาติมิตรให้รู้จักการเจริญสติด้วยวิธีดังกล่าว  ในเวลาต่อมาก็มีคนมาเรียนกับท่านมากขึ้น แต่ท่านก็เห็นความ  จ�ำกัดของเพศคฤหัสถ์ในการสอนผู้คน  ในท่ีสุดจึงได้อุปสมบท  เป็นพระภิกษุเมื่อปี ๒๕๐๓ ด้วยวัย ๔๘ ปี  เป็นเวลา ๒๘ ปีที่ท่าน  สอนลูกศิษย์อย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อยด้วยวิธีการที่เป็น  แบบฉบบั ของทา่ นเอง จนมรณภาพเมอื่ ป ี ๒๕๓๑ สริ อิ ายไุ ด ้ ๗๗ ป ี หากทา่ นยงั ไมล่ ะสังขาร ก็จะมีอายคุ รบ ๑๐๑ ปใี นป ี ๒๕๕๕ นี้ 66 านธรรม ๒ ลํ า ธ า ร ริ ม ล

หลวงพ่อเทียน จิตฺตสโุ ภ ส�ำนักปฏบิ ตั ิธรรมทับม่งิ ขวญั  อ. เมือง จ. เลย นามเดิม พนั ธ ์ อนิ ทผวิ กำ� เนดิ  ๕ กนั ยายน ๒๔๕๔ สถานที่เกดิ  บา้ นบฮุ ม ต. บฮุ ม อ. เชยี งคาน จ. เลย มรณภาพ ๑๓ กันยายน ๒๕๓๑  สริ ิอาย ุ ๗๗ ปี ปี ๒๕๐๐ เม่ืออายุได้ ๔๕ ปีเศษ ท่านได้ออกจากบ้านโดยตั้งใจแน่วแน่  จะไม่กลับจนกว่าจะพบธรรมะที่แท้จริง โดยท�ำกรรมฐานวิธีง่ายๆ คือท�ำการ  เคลอ่ื นไหว ทา่ นเพยี งใหท้ �ำความรสู้ กึ ถงึ การเคลอ่ื นไหวของรา่ งกายและจติ ใจ  เทา่ นนั้  ในชวั่ เวลาเพยี ง ๒-๓ วนั  ทา่ นกส็ ามารถหลดุ พน้ จากความทกุ ขไ์ ดอ้ ยา่ ง  เดด็ ขาด โดยปราศจากพธิ รี ตี องหรอื ครบู าอาจารย ์ ในเวลาเชา้ มดื ของวนั จนั ทรท์ ่ ี ๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๐   ค�ำสอนของท่านได้แพร่หลายออกไป มีผู้ปฏิบัติตามเพิ่มจ�ำนวนมาก  ขึ้นเร่ือยๆ ท่านได้อุทิศชีวิตให้กับการสอนธรรมะอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหน่ือย  จนกระทงั่ อาพาธเมอ่ื ป ี พ.ศ. ๒๕๒๕ แตท่ า่ นกย็ งั คงท�ำงานของทา่ นตอ่ ไปจนถงึ   วาระสดุ ทา้ ยของชีวิต ท่านได้ละสังขารอย่างสงบ ณ ศาลามุงแฝกบนเกาะพุทธธรรม ส�ำนัก  ปฏิบัติธรรมทับม่ิงขวัญ ต. กุดป่อง อ. เมือง จ. เลย และได้ใช้เวลาอบรม  สงั่ สอนธรรมะแกค่ นทงั้ หลายเปน็ เวลา ๓๑ ปี 67 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล

68 านธรรม ๒ ลํ า ธ า ร ริ ม ล

พระของชาวบา้ น ผูน้ ำ� ของศาสนา ชาวอ�ำเภอศรีประจันต์ จ. สุพรรณบุรี หากเป็นผู้เฒ่า  ผู้แก่แล้ว น้อยคนจะไม่รู้จัก “หลวงพ่อวัดบ้านกร่าง” หรือ พระ เมธีธรรมสาร (ไสว ธมฺมสาโร) อดีตเจ้าคณะอ�ำเภอศรีประจันต์  ซ่ึงมรณภาพนานกว่า ๓๐ ปีแล้ว  ท่านเป็นท่ีเคารพนับถือของ  ชาวบา้ นแมจ้ นทกุ วนั น ี้ ไมใ่ ชเ่ พราะวตั ถมุ งคลหรอื เครอ่ื งรางของขลงั   (ซ่ึงท่านท�ำอยู่บ้างแต่น้อยมาก) หากเป็นเพราะศีลาจารวัตรของ  ท่านนั้นน่าเลื่อมใส  นอกจากมีความเท่ียงธรรมและมั่นคงใน  พระธรรมวนิ ยั แลว้  ทา่ นยงั มคี วามเสยี สละอทุ ศิ ตนเพอ่ื ประโยชนส์ ขุ   ของชาวบ้านและเพือ่ ความเจรญิ งอกงามของพระศาสนา 69 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล

ในยุคของท่านมีการสร้างสาธารณูปการมากมาย โดย  เฉพาะดา้ นการศกึ ษาทง้ั สำ� หรบั เยาวชนและพระสงฆ ์ แตท่ ปี่ ระทบั   ใจคนไมน่ อ้ ยกค็ อื ปฏปิ ทาของทา่ นซงึ่ มงุ่ ความถกู ตอ้ งเปน็ ทตี่ ง้ั  โดย  ไมเ่ ห็นแก่ประโยชนส์ ว่ นตน อีกท้ังไม่เกรงกลัวอิทธิพลใดๆ มนี ายอำ� เภอศรปี ระจนั ตค์ นหนงึ่ เปน็ คอสรุ า ชอบตงั้ วงกนิ   เหลา้ ในสถานทแี่ หง่ หนงึ่ ซงึ่ อยใู่ นพนื้ ทว่ี ดั เปน็ ประจำ�   เทา่ นนั้ ไมพ่ อ  ยงั รอ้ งรำ� ทำ� เพลงสง่ เสยี งดงั รบกวนผอู้ นื่   ทา่ นเหน็ วา่ เขาคงไมเ่ ลกิ   ง่ายๆ จึงเข้าไปเอ็ดว่า ในเขตวัดห้ามคนมากินเหล้าส่งเสียงอึกทึก  นายอ�ำเภอควรเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ประชาชน  นับจากวันนั้น  นายอำ� เภอผนู้ น้ั กไ็ มก่ ลา้ ไปกนิ เหลา้ สง่ เสยี งเฮฮาในเขตวดั อกี   ทา่ น  เล่าภายหลังว่า ถ้าเตือนแล้วไม่ฟัง ท่านจะเอาเรื่องให้ถึงกรมการ  ปกครอง คราวหน่ึงท่านได้รับนิมนต์เป็นกรรมการสร้างอนุสาวรีย ์ ชาวบ้านบางระจัน มีผู้แทนจากกรมศิลปากรน�ำหุ่นจ�ำลอง  อนุสาวรีย์เสนอต่อท่ีประชุม  มีหุ่นพระอาจารย์ธรรมโชติยืนอยู ่ กลางหมวู่ รี ชนคนอน่ื ๆ  เมอ่ื ประธานถามความเหน็  กรรมการทกุ คน  กเ็ หน็ ดว้ ย  แตท่ า่ นนง่ิ อย ู่ ไมอ่ อกความเหน็ สนบั สนนุ   ประธานจงึ   70 านธรรม ๒ ลํ า ธ า ร ริ ม ล

ถามวา่  “ท�ำไมหลวงพอ่ ไม่ออกความเห็นเลยครับ” ท่านช้ีแจงว่า “ถ้าให้อาตมาออกความเห็น ก็จะเป็นการ  คดั คา้ นความเหน็ ชอบของทกุ คน”  แลว้ ทา่ นกอ็ ธบิ ายวา่  ตามพระ  วนิ ยั  พระไปดหู รอื ไปในกระบวนทพั ไมไ่ ด ้ เวน้ แตม่ เี หตจุ ำ� เปน็  แตก่ ็  อยไู่ ดไ้ มเ่ กนิ สามวนั   ระหวา่ งทอ่ี ยใู่ นกองทพั ตามก�ำหนดนนั้  ถา้ ไปดู  เขารบกันก็ดี ดูเขาตรวจพลก็ดี ดูเขาจัดกระบวนทัพก็ดี หรือดูหมู่  เสนาทจ่ี ดั เปน็ กระบวนแลว้ กด็  ี ตอ้ งอาบตั ปิ าจติ ตยี  ์ จงึ ไมค่ วรมรี ปู   พระอาจารยธ์ รรมโชตอิ ยใู่ นหมนู่ กั รบชาวบา้ นบางระจนั   อกี ทงั้ ตาม  ประวตั ทิ า่ นกไ็ มไ่ ดอ้ อกไปกบั กองทพั  เพยี งแตร่ บั นมิ นตม์ าอยทู่ ว่ี ดั   โพธเิ์ กา้ ตน้  แจกผา้ ยนั ต ์ รดนำ้� มนตใ์ หเ้ ปน็ ขวญั และกำ� ลงั ใจเทา่ นน้ั ท่านจึงเสนอว่าอนุสรณ์ของพระอาจารย์ธรรมโชติจึงควร  แยกไปอยู่ท่ีวัด จึงจะถูกต้องตามพระวินัย และไม่เสียหายแก่พระ  ศาสนาและตวั พระอาจารยธ์ รรมโชตเิ องดว้ ย  กรรมการทกุ คนฟงั   แลว้ กเ็ หน็ ดว้ ยกบั ทา่ น  ดว้ ยเหตนุ อี้ นสุ าวรยี ช์ าวบา้ นบางระจนั จงึ   ไม่มหี นุ่ พระอาจารย์ธรรมโชตอิ ยดู่ ว้ ย 71 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล

ในด้านวัตรปฏิบัติส่วนตัว ท่านก็ถือเคร่งครัด อาทิ ไม่เอา  ของสงฆ์มาเป็นของส่วนตัว มีการแยกแยะอย่างเด็ดขาด แม้บาง  เรือ่ งดเู ป็นเรอ่ื งเลก็ น้อยในสายตาของคนทัว่ ไป อาจารย์ผู้หนึ่งเล่าว่าเคยบวชเรียนอยู่กับท่าน ท่านจึงเอา  ปิ่นโตที่เป็นของสงฆ์มาให้ยืมใช้  เมื่อใกล้วันลาสิกขา ท่านสั่งว่า   พรงุ่ นีพ้ อฉนั เชา้ เสรจ็  กอ่ นลาสกิ ขา ให้เอาป่นิ โตมาคนื  เพราะเปน็   ของสงฆ์ ไม่ใชข่ องๆ ทา่ น อาจารยท์ า่ นนย้ี งั เลา่ อกี วา่  เมอ่ื ลาสกิ ขาแลว้  กอ่ นออกจาก  วัด ได้ยืมหนังสือท่ีอยู่ในกุฏิท่านสองเล่ม ท่านหยิบไปดูแล้วบอก  ว่า “ยืมเอาไปอ่านก็แล้วกัน หลวงตาต้องทบทวนดูก่อนว่าเป็น  หนงั สือของวัดหรือของหลวงตาเอง” ไมก่ ชี่ วั่ โมงหลงั จากนน้ั  ทา่ นเขยี นหนงั สอื ใหล้ กู ศษิ ยถ์ อื มา  ให้อาจารย์ท่านนี้ว่า “หนังสือสองเล่มนั้น หลวงตาตรวจสอบดู  แล้ว ไม่ใช่เป็นของวัด เป็นหนังสือของหลวงตาเอง ฉะน้ันไม่ต้อง  เอามาคนื  หลวงตาให้เลย” 72 านธรรม ๒ ลํ า ธ า ร ริ ม ล

ในสว่ นทเ่ี ปน็ เงนิ ของวดั นนั้  ทา่ นละเอยี ดลออมาก ไมย่ อม  ให้ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย เช่น ห้ามเปิดไฟหรือนำ้� ท้ิงไว้  นอกจากกำ� ชับ  พระเณรแล้ว ท่านยังออกตรวจตราอยู่เสมอ ใครไม่ปฏิบัติตาม  จะถูกทา่ นดุ ท่านย้�ำนักหนาว่าวัดอยู่ด้วยเงินที่ชาวบ้านถวาย ชาวบ้าน  ท�ำงานเหนื่อยยาก พระจะเอาเงินชาวบ้านมาใช้ฟุ่มเฟือยไม่ได้  แต่จะต้องประหยัดยิ่งกว่าชาวบ้าน  ไม่ควรมีความเป็นอยู่ฟุ้งเฟ้อ  หรหู รากว่าชาวบา้ น ด้วยปฏิปทาดังกล่าว ท่านจึงเป็นที่ศรัทธาของชาวบ้าน  และสามารถชักชวนชาวบ้านมาร่วมแรงร่วมใจพัฒนาชุมชนคร้ัง  แล้วคร้งั เลา่ จนเจริญกา้ วหนา้  ดงั ปรากฏใหเ้ หน็ กระท่งั ทกุ วันน้ี 73 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล

74 านธรรม ๒ ลํ า ธ า ร ริ ม ล

สนุกป่วย หลวงพ่อคำ� เขียน สุวณฺโณ เป็นศิษย์รุ่นแรกๆ ของหลวง  พอ่ เทยี น จติ ตฺ สโุ ภ ทา่ นมอี ธั ยาศยั ตา่ งจากเพอื่ นสหธรรมกิ ในสาย  เดยี วกนั ตรงทท่ี า่ นชอบอยปู่ า่  จงึ ไดม้ าชว่ ยบกุ เบกิ วดั ปา่ สคุ ะโตบน  ภแู ลนคาหลงั จากบวชไดไ้ มก่ พ่ี รรษา และเปน็ หลกั ของทนี่ นั่ ตง้ั แต ่ ปี ๒๕๑๙ จนกลายเป็นสถานปฏิบัติธรรมท่ีส�ำคัญแห่งหน่ึงของ  จงั หวัดชัยภูมิ หลวงพ่อค�ำเขียนมักสอนลูกศิษย์ให้หม่ันมีสติรู้กายรู้ใจ  โดยให้หลักว่า “เห็น อย่าเข้าไปเป็น” นั่นคือมีอะไรก็สักแต่ว่ารู ้ ไมย่ ดึ ตดิ ถอื มนั่ หรอื มปี ฏกิ ริ ยิ าตอ่ มนั   ไมว่ า่ ชอบหรอื ชงั  เหมอื นกบั   ทห่ี ลวงพอ่ เทยี นสอนวา่  “ร้ซู อื่ ๆ” หรือรเู้ ฉยๆ 75 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล

เม่ือปี ๒๕๔๙ ท่านป่วยหนักด้วยโรคมะเร็งต่อมน�้ำเหลือง  ถึงกับต้องเข้ารักษาตัวในห้องไอซียูโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์  กอ้ นมะเรง็ ไมเ่ พยี งทำ� ใหค้ อบวมเกอื บเทา่ หนา้  หากยงั บบี หลอดลม  จนหายใจไม่สะดวก แต่ท่านก็ไม่มีอาการกระสับกระส่าย  ท่านว่า  “หายใจแบบแหลมลมเอา” ญาติโยมหลายคนตกใจเมื่อรู้ว่าท่าน  เปน็ มะเรง็ และอยใู่ นระยะลกุ ลาม  บางคนถงึ กบั เกาะกระจกรอ้ งไห้  หนา้ หอ้ งไอซยี  ู จนทา่ นตอ้ งเขยี นจดหมายมาปลอบใจคนเหลา่ นน้ั   ว่า ท่านสบายดี ไม่ต้องเป็นห่วง  ผลการตรวจต่อมาพบว่าท่านม ี ก้อนเนื้อในมะเร็งตับอ่อนด้วย  เมื่อหมอกดท้องของท่าน พระ  อปุ ฏั ฐากเลา่ วา่  เปน็ ครง้ั แรกทเ่ี หน็ หลวงพอ่ แสดงอาการเจบ็   หมอ  ถามท่านว่าเจ็บก่ีเปอร์เซ็นต์ ท่านตอบว่า “เกินร้อย”  พยาบาล  แปลกใจถามวา่ แลว้ ทำ� ไมไมร่ อ้ ง ทา่ นตอบวา่  “ปวดแลว้ จะรอ้ งอกี   ท�ำไมใหข้ าดทนุ ”  แลว้ ทา่ นกพ็ ดู ตอ่ วา่  “มนั เปน็ เพยี งอาการเอาไว้  ดู  ไม่ได้เอาไวเ้ ป็น” ในช่วงท่ีหลวงพ่อค�ำเขียนรักษาตัวท่ีโรงพยาบาลน้ัน  ทุกขเวทนารบกวนท่านตลอดเวลา ไม่เว้นแม้แต่ตอนรักษาด้วย  เคมบี ำ� บดั และการฉายแสง  แตท่ า่ นไมม่ อี าการทกุ ขร์ อ้ น ทา่ นพดู   ในเวลาต่อมาว่า “การปวดน่มี นั ก็ไม่ได้ลงโทษเรา ไม่เท่าไหร่หรอก  76 านธรรม ๒ ลํ า ธ า ร ริ ม ล

แตเ่ ราเปน็ ผปู้ วด นม่ี นั ลงโทษเรา กเ็ หน็ มนั ปวด ไปลงโทษอะไรมนั   (ท�ำไม)  เหมอื นเรานอนไมห่ ลบั กไ็ มม่ ปี ญั หา  กนิ ไมไ่ ดก้ ไ็ มม่ ปี ญั หา  แตเ่ ราไปคดิ วา่ เรานอนไมห่ ลบั  ตวั นอ้ี นั ตราย  เราคดิ วา่ เรากนิ ไมไ่ ด้  นก่ี อ็ นั ตราย” แลว้ ทา่ นขมวดวา่  “ตวั คดิ ตา่ งหากทท่ี �ำใหเ้ ราเปน็ ภพ  เป็นชาติ ต้องอยู่กับความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ถ้า  เราไม่ไปอยกู่ ับมนั ก็ไม่มอี ะไร ท�ำอะไรไมไ่ ด”้ ท่านเล่าว่าตอนนอนป่วยอยู่โรงพยาบาลน้ัน “มันแสน  สบายหนอ เพราะมคี นท�ำใหท้ กุ อยา่ ง”  ทา่ นยงั พดู อกี วา่  “ตอนนนั้   ไม่ตอ้ งท�ำอะไรหรอก เห็นไตรลกั ษณ์อย่างเดียวพอแล้ว มนั โชวใ์ ห้  เราเอง” เปน็ เวลาแปดเดอื นทท่ี า่ นไดร้ บั การรกั ษาอยา่ งเขม้ ขน้  เขา้ ๆ  ออกๆ โรงพยาบาลหลายคร้ัง  สิ้นปี ๒๕๔๙ การรักษาก็ยุติ ท่าน  พูดถึงความรู้สึกในช่วงน้ันว่า “ไม่ทุกข์เลย ความเจ็บปวดแทนท่ี  จะเปน็ เรอ่ื งทุกข ์  เอ้า...เป็นเรือ่ งสนกุ ” แล้วท่านก็สรปุ ว่า “สนกุ ป่วยเกอื บป”ี   (อ่านประวตั ิท่านหนา้ ๑๕๓) 77 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล

78 านธรรม ๒ ลํ า ธ า ร ริ ม ล

ขนุ เขา ทีบ่ างเบา ในสายตาของคนท่ัวไป หลวงพ่อพุทธทาส เป็นพระที ่ ดนุ า่ เกรงขาม จนไมค่ อ่ ยมใี ครกลา้ โตเ้ ถยี งหรอื ถามทา่ นตรงๆ  แต ่ ในความเปน็ จรงิ แลว้ ทา่ นชอบเวลามคี นมาซกั ถามหรอื โตแ้ ยง้ ทา่ น  หากมเี หตผุ ล ทา่ นกร็ บั ฟงั   แมก้ ริ ยิ าอาการของผถู้ ามจะดไู มส่ ภุ าพ  ท่านก็ไม่โกรธ กลับน่ิงสงบ และตอบเป็นปกติเพ่ือประโยชน์ของ  ผฟู้ ัง 79 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล

เทพศิริ สุขโสภา นักเขียนและศิลปินช่ือดัง เล่าว่าคราว  หนง่ึ ไดถ้ ามท่านว่า “อาจารย์ครับ อาจารย์สอนเร่ืองจิตว่างมานาน ท่านไม่  โกรธไม่เกลียดใคร ผมกเ็ ชอ่ื  แต่เคยนกึ พอใจไหม” “ถา้ เผลอกม็ ี” ทา่ นตอบเรยี บๆ “แล้วท่านเผลอบ่อยหรือเปล่า” เทพศิริถามพลางชี้หน้า  ท่าน แต่ท่านกลับไม่ว่าอะไร ท่านพูดน�้ำเสียงปกติ พูดว่า “ของ  อยา่ งนปี้ ฏบิ ัตมิ ากเทา่ ไร โอกาสเผลอก็มนี ้อยลงเทา่ นัน้ ” ท่านมีความปกติแม้กระทั่งเวลาได้ฟังปัญหาต่างๆ ที่ชวน  ให้หดหหู่ รือโกรธแคน้ เทพศริ เิ ลา่ วา่ คราวหนงึ่ ไดเ้ ลา่ ใหพ้ ระทส่ี วนโมกขฟ์ งั ถงึ การ  ทำ� ลายโบราณสถาน โดยเฉพาะเจดยี เ์ กา่ ๆ  มกี ารเอารถแทรกเตอร์  ท�ำลายพระเจดีย์เพื่อหากรุพระ  หลายคนได้ฟังก็ไม่พอใจ แม้แต่  พระก็รู้สึกโกรธเคืองโจรเหล่าน้ัน  แต่หลวงพ่อพุทธทาสฟังเป็น  80 านธรรม ๒ ลํ า ธ า ร ริ ม ล

ปกตริ าวกบั ไมไ่ ดย้ นิ เรอื่ งเลา่   จนในทส่ี ดุ เทพศริ ซิ ง่ึ เปน็ นกั เลา่ นทิ าน  ตวั ยงกค็ อ่ ยๆ ลดเสยี งลง แลว้ เลกิ เลา่ ไปกลางคนั เลย  เมอื่ เหน็ ทา่ น  ไมม่ อี ารมณร์ ว่ ม  มองดเู หมอื นวา่ ทา่ นไมส่ นใจเรอ่ื งเหลา่ น ้ี หรอื ไม ่ เหน็ คณุ คา่ ของโบราณสถาน  แตท่ จ่ี รงิ นา่ จะเปน็ เพราะทา่ นเหน็ วา่   มันเป็นธรรมดาโลก ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะโกรธเคืองพฤติกรรม  ของคนเหลา่ น้ี ความซ่ือตรงกับตัวเอง กล้าท่ีจะยอมรับความผิดพลาด  หรอื ขอ้ จำ� กดั ของตนเองเปน็ คณุ ลกั ษณะประการหนงึ่ ของหลวงพอ่   พุทธทาสที่ประทับใจผู้ใกล้ชิด  เขมานันทะ (โกวิท เอนกชัย) ซ่ึง  เคยบวชกบั ทา่ นนานนบั สิบปีเล่าวา่ “วันหนึ่งพวกเราพระเณร ก�ำลังกวนปูนกันอยู่ ท่าน  อาจารยเ์ ดนิ มาพดู วา่  ‘พวกคณุ โงอ่ ยไู่ ด ้ คณุ ไปกวนท�ำไมใหเ้ สยี เวลา  ท�ำไมไม่เอาปูน เอาทราย เอาหิน เอานำ�้ เทรวมในถังน�้ำมันปิดฝา  แลว้ กก็ ลง้ิ มนั ไปในสนามหญา้ ’  ทกุ คนกส็ วา่ งไสว พดู กนั วา่  เออจรงิ ๆ  แลว้ ทกุ คนกป็ ฏบิ ตั ติ าม  กลงิ้ กนั ไปกลงิ้ กนั มาจนเหงอื่ ตก  พอเปดิ   ฝา หินอยู่หิน ทรายอยู่ทราย ปูนอยู่ปูน  พวกเราก็ชักมีอารมณ์  ทงั้ เหนื่อยทั้งผิดหวัง  อาจารย์เห็นเข้าท่านก็หัวเราะ บอกว่า ‘ผม  81 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล

จะไปรอู้ ะไร ผมไมเ่ คยท�ำ’ ” นอกจากไม่สร้างภาพให้ตนเองดูดีแล้ว ท่านยังชอบล้อตัว  เอง ดงั มกั เรยี กตวั เองวา่ เปน็  สนุ ขั ปากรา้ ย หรอื กลา่ วหาวา่ ตวั เอง  ชอบใช้ค�ำว่าโสกโดก กล่าวได้ว่าท่านไม่ยอมพะนอหรือปรนเปรอ  อตั ตาตนเองเลย สมกบั ทเ่ี นาวรตั น์ พงษไ์ พบลู ย์ ประพนั ธไ์ ว้วา่ “พุทธทาส” นามทา่ นปานขุนเขา ทว่าเบาสบายอย่างว่างน�ำ้ หนัก และตวั ตนของท่านน้นั ใหญ่นัก ใหญ่ดว้ ยหลักใหส้ ละละตวั ตน 82 านธรรม ๒ ลํ า ธ า ร ริ ม ล

ท่านพุทธทาส อนิ ฺทปญฺโ วดั ธารน�้ำไหล (สวนโมกขพลาราม) อ. ไชยา จ. สรุ าษฎรธ์ านี นามเดมิ  เงื่อม พานชิ   กำ� เนิด ๒๗ พฤษภาคม ๒๔๔๙ สถานทเี่ กิด ต. พมุ เรียง อ. ไชยา จ. สุราษฎร์ธานี อุปสมบท ณ วัดอบุ ล อ. ไชยา จ. สรุ าษฎรธ์ านี เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๙  สมณศักดิ ์ พระธรรมโกศาจารย์ มรณภาพ ๘ กรกฎาคม ๒๕๓๖  สิรอิ ายุ ๘๗ ป ี ๖๗ พรรษา ทา่ นอปุ สมบทเมอื่ อาย ุ ๒๐ ป ี ไดร้ บั ฉายาวา่  “อนิ ทปญโฺ ” ไดเ้ ดนิ ทางมา  ศึกษาต่อท่ีวัดปทุมคงคา กรุงเทพมหานคร สอบได้นักธรรมเอกและเรียน  ภาษาบาลีได้เปรียญ ๓ ประโยค สร้างส�ำนักปฏิบัติธรรมท่ีวัดตระพังจิก  อ. ไชยา จ. สรุ าษฎรธ์ าน ี เมอื่  ๑๒ พฤษภาคม ๒๔๗๕ ใหช้ อื่ วา่  “สวนโมกขพลา-  ราม”  ตอ่ มาเมอ่ื ป ี พ.ศ. ๒๔๘๗ ไดย้ า้ ยสวนโมกขพลาราม มายงั สถานทแี่ หง่ ใหม ่ คอื วดั ธารนำ้� ไหลในปจั จบุ นั  ทา่ นสรา้ งผลงานทางธรรมไวม้ ากมาย ไดอ้ ทุ ศิ ตน  เพื่องานพระศาสนาและท�ำงานช่วยเหลือเพ่ือนมนุษย์ เพื่อให้ได้พบสันติสุข  โดยมสี นั ตภิ าพ  ท่านได้รับการนับถือยกย่อง จากพุทธศาสนิกชนท้ังในประเทศและจาก  ตา่ งประเทศ ผลงานของทา่ นไดร้ บั การเผยแพรอ่ ยา่ งกวา้ งขวาง ทงั้ ทเี่ ปน็ ภาษา  ไทยและภาษาตา่ งประเทศ กระทง่ั ไดร้ บั การยอมรบั จากชาวโลกวา่ เปน็  “สมณ  ปราชญ์ผู้ย่งิ ใหญ”่  ผมู้ บี ทบาทอย่างสูงต่อพุทธศาสนา 83 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล

84 านธรรม ๒ ลํ า ธ า ร ริ ม ล

เคล็ดลบั ของ สมเด็จพระวนั รตั พดู ถงึ สมเดจ็ พระวนั รตั  วดั มหาธาต ุ คนเฒา่ คนแกท่ ใี่ กลช้ ดิ   วดั สกั หน่อย มกั จะนกึ ถงึ สมเดจ็ พระวนั รตั  (เฮง เขมจารี) ซ่งึ เปน็   ผสู้ นองงานคนส�ำคญั ฝา่ ยมหานกิ ายของสมเดจ็ พระมหาสมณเจา้   กรมพระยาวชิรญาณวโรรส  แต่ท่ีจริงยังมีสมเด็จพระวันรัต  อีกองค์หนึ่ง ซ่ึงเจ้าคุณสมเด็จเฮงถือเป็นอาจารย์ นั่นคือ สมเด็จ พระวนั รตั  (ฑติ  อทุ โย) 85 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล

เมอื่ เจา้ คณุ สมเดจ็ ฑติ ลว่ งสวู่ ยั ชรา ทา่ นไดม้ อบอ�ำนาจการ  บรหิ ารและการศกึ ษาของวดั ใหอ้ ยใู่ นมอื ของเจา้ คณุ สมเดจ็ เฮง (ซง่ึ   ตอนนนั้ เปน็ พระเทพเมธ)ี  หมด แตแ่ มอ้ ายถุ งึ  ๘๐ ป ี ทา่ นกไ็ มห่ ลง  มอี าจาระงดงาม เปน็ ทเ่ี คารพนับถือของพระเณรในวดั คราวหนึง่ มพี ระหน่มุ ขน้ึ ไปกราบเรียนถามท่านว่า ท่านทำ�   อย่างไรจึงมีศีลาจารวัตรและสติสัมปชัญญะบริบูรณ์แม้อายุปูนนี ้ แลว้   แทนทที่ า่ นจะตอบ กลบั เปรยขนึ้ มาวา่  “หมนู่ เี้ วลาพระตรี ะฆงั   หมาหอนกนั แปลกเหลอื เกนิ   มหาสงครามในยโุ รป (สงครามโลก  ครง้ั ทห่ี นงึ่ ) จะเปน็ อยา่ งไรกไ็ มร่  ู้  สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ ประชวร  จะหายหรอื ไม ่ กไ็ มร่ ไู้ ด ้  ถา้ พระองคท์ า่ นเปน็ อะไรไป การพระศาสนา  จะกระทบกระเทอื นเพยี งใด ก็เหลอื ทจี่ ะเดาได”้ พระหนุ่มได้ฟังก็นึกว่าเจ้าคุณสมเด็จท่านจะเร่ิมหลงเสีย  แลว้ กระมงั  เพราะทท่ี า่ นพดู มานน้ั ไมเ่ กย่ี วขอ้ งกบั คำ� ถามทตี่ รงไหน  แต่สกั พัก ท่านก็หันมาแลว้ พดู ว่า “ทีเ่ ธอถามฉนั ว่ามกี จิ วัตรอันใด  ที่ช่วยค�้ำจุนใจ ให้ประพฤติพรหมจรรย์มาได้จนทุกวันนี้นั้น ฉันจะ  บอกให้ ว่าฉันถือหลักอยู่สามสูตร ท่องขึ้นใจอยู่เสมอ  ถ้าอยู ่ คนเดยี วแลว้  เปน็ ตอ้ งทอ่ งเอาไว ้ ทอ่ งถอยหนา้ ถอยหลงั ไดโ้ ดยตลอด  86 านธรรม ๒ ลํ า ธ า ร ริ ม ล

ถา้ มแี ขกกห็ ยดุ ไว ้ มกี จิ อนื่ ตอ้ งทำ� กท็ ำ�  เชน่  อา่ นหนงั สอื พมิ พ ์ เซน็   หนงั สอื  ตอบปญั หา เมอ่ื หมดกจิ แลว้  ทอ่ งคา้ งไวทไี่ หน กท็ อ่ งตอ่   ไปจากน้นั  โดยร�ำลกึ นึกตามขอ้ ความนน้ั ไปตลอดเวลา” สตู รทัง้ สามได้แก ่ ๑. พระภิกขุปาฏิโมกข์  ท่านขยายความว่า ท่านท่องพระ  ปาฏโิ มกขเ์ ปน็ นจิ  เพอ่ื ตรวจตราดวู า่ ไดล้ ว่ งสกิ ขาบทขอ้ ใดบา้ ง  เมอ่ื   รู้ว่าผิดพลาด ก็ทรงจ�ำไว้ แล้วน�ำไปปลงอาบัติ  ถ้าไม่ถือตาม  พระปาฏิโมกข์อย่างเคร่งครัด ก็เป็นพระอลัชชี อยู่ในพรหมจรรย ์ ไมไ่ ด้ถงึ อยไู่ ป ก็เป็นคนลวงโลก ๒. มลู กัจจายน ์ หรือต�ำราภาษาบาล ี ทา่ นอธบิ ายว่า ท่าน  เรยี นภาษาบาลแี บบเกา่  อาศยั คมั ภรี น์ เี้ ปน็ แมบ่ ท ทรี่ พู้ ระไตรปฎิ ก  แตกฉาน กอ็ าศยั คมั ภรี น์  ้ี  ทา่ นวา่ ทา่ นตอ้ งทอ่ งสตู รและแมบ่ ทแหง่   ภาษาบาลใี หค้ ลอ่ งแคลว่   หากมพี ระรนุ่ ใหมม่ าถาม แลว้ ทา่ นตอบ  เขาไม่ได้ เขาก็จะหาว่าเจ้าคุณสมเด็จหลงแล้ว หรือความรู้สู้เขา  ไม่ได้แล้ว  ถ้าเขาเกิดความคิดเช่นนี้ จะเป็นบาปแก่เขา เพราะการ  ไม่เคารพผู้ใหญ่ 87 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล

๓. มหาสติปัฏฐานสูตร พระพุทธเจ้าตรัสว่า สติปัฏฐาน  เป็นทางเอกที่จะช่วยให้เราพ้นจากวัฏสงสาร ที่ท่านมาบวชก็เพื่อ  ท�ำตนให้พ้นทุกข์  ดังนั้นจึงท่องพระสูตรน้ีเป็นประจ�ำ พร้อมกับ  พจิ ารณา กาย เวทนา จติ  ธรรม อยเู่ ปน็ ประจำ�   ทา่ นขยายความวา่   ถึงแม้จะไม่ได้เป็นพระอริยบุคคล แต่ท่านก็เพียรพยายามตามนั้น  อยตู่ ลอดเวลา “ยศถาบรรดาศกั ด ์ิ อคั รฐาน เพยี งชว่ ยใหฉ้ นั บรหิ าร  งานพระศาสนา เพอื่ ประโยชนแ์ ละความสขุ ของมหาชนเทา่ นน้ั  แต่  ฉนั กไ็ ม่ลมื ทีจ่ ะท�ำหนา้ ทอี่ นุเคราะห์ตวั เองด้วยเชน่ กัน” ท่านกล่าวกับพระหนุ่มว่า วัตรปฏิบัติดังกล่าวท่านทำ� เป็น  ประจำ�  สมำ่� เสมอ จนบดั นจ้ี งึ ยงั ไมห่ ลงใหล โลกธรรมไมอ่ าจกลำ�้ กราย  ได ้  ทผี่ า่ นมายงั ไมเ่ คยบอกใครเรอื่ งน ี้  แตเ่ มอื่ ถกู ถาม จงึ บอกใหร้ ู้ เคล็ดลับดังกล่าวประทับแน่นในใจของพระหนุ่มรูปน้ัน  กาลเวลาล่วงเลยมาหลายสิบปีจนพระหนุ่มได้กลายเป็นชายชรา  กลับไปครองเพศฆราวาสที่อุทัยธานีบ้านเกิด  เร่ืองราวดังกล่าว  คงจะหายไปพร้อมกับชีวิตของชายชราผู้น้ัน หากมิใช่เป็นเพราะม ี ชายหนมุ่ คนหนง่ึ มาสนทนาพดู คยุ ดว้ ย  ชายหนมุ่ รเู้ รอื่ งวดั วาอาราม  ด ี เมอ่ื คยุ กนั ถงึ เจา้ คณุ สมเดจ็ เฮงและเจา้ คณุ สมเดจ็ ฑติ  ชายชราจงึ   88 านธรรม ๒ ลํ า ธ า ร ริ ม ล

เลา่ เรอ่ื งนใี้ หฟ้ งั  นนั่ เปน็ ป ี พ.ศ. ๒๕๐๗  เวลาผา่ นไป ๑๔ ป ี เรอื่ งน ี้ จึงได้ถูกถ่ายทอดเป็นข้อเขียนโดยชายหนุ่มผู้นั้น ซ่ึงเวลาน้ันได ้ กลายเปน็ นกั เขยี นช้ันนำ� แลว้  มีนามปากกวา่  ส.ศิวรกั ษ์ ๓๐ กวา่ ปผี า่ นไป ทกุ วนั นคี้ งแทบไมม่ ใี ครรจู้ กั ขอ้ เขยี นชนิ้ นน้ั   แลว้  เพอ่ื ไมใ่ หเ้ รอ่ื งนสี้ ญู หายไปจงึ ขอนำ� มาเลา่ ซำ�้ อกี ครง้ั  (อา่ นประวตั ทิ า่ น  หน้า ๑๓๑) 89 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล

90 านธรรม ๒ ลํ า ธ า ร ริ ม ล

ทนี่ ่ี มืดจริงหนอ กอ่ นหลวงพอ่ โตจะไดร้ บั สถาปนาเปน็  สมเดจ็ พระพฒุ าจารย์ น้ัน ท่านมีสมณศักดิ์เป็นพระเทพกวี เม่ือถึงปลายสมัยรัชกาล  พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั  ทา่ นจงึ ไดร้ บั เลอ่ื นสมณศกั ดเิ์ ปน็ ชน้ั สมเดจ็   ตอนนน้ั ทา่ นชราภาพมากแลว้  คืออายุ ๗๘ ปี สามปหี ลงั จากนน้ั พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั กส็ วรรคต  พระ  ราชโอรสขึ้นครองราชย์ เป็นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า  เจ้าอยู่หัว  ตอนนั้นพระองค์ยังมีพระชนมายุเพียง ๑๕ ปีเท่านั้น  ฐานะยังง่อนแง่นมาก เพราะขุนนางและพระบรมวงศานุวงศ์  ลว้ นอยใู่ นอำ� นาจของสมเดจ็ เจา้ พระยาบรมมหาศรสี รุ ยิ วงศ ์ (ชว่ ง  บนุ นาค) ซ่ึงเป็นผู้สำ� เร็จราชการ เวลานน้ั เปน็ ทหี่ วน่ั เกรงกนั มากจนมเี สยี งล�่ำลอื วา่ จะมกี าร  กอ่ กบฏเพอื่ ยดึ อำ� นาจจากพระยพุ ราช  เมอื่ หลวงพอ่ โตทราบเรอ่ื ง  91 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล

ดงั กลา่ ว วนั หนง่ึ จงึ ถอื ไตพ้ รอ้ มตาลปตั รไปทจี่ วนสมเดจ็ เจา้ พระยาฯ  ตอนกลางวนั แสกๆ แล้วเดนิ รอบบา้ น สมเด็จเจา้ พระยาฯ เหน็ เชน่ นัน้ จึงถามหาสาเหตุ หลวงพ่อโตตอบว่า “อาตมภาพได้ยินว่าทุกวันน้ีแผ่นดิน  มืดมัวนัก ด้วยมีคนคิดร้ายจะเอาแผ่นดิน ไม่ทราบเท็จจริงจะเป็น  ประการใด  ถ้าแม้เป็นความจริงแล้วไซร้ อาตมภาพก็ใคร่จะขอ  บิณฑบาตเขาเสียสักครงั้ หนึง่ เถิด” สมเดจ็ เจา้ พระยาฯ จึงตอบวา่ “โยมไม่สู้มืดดอกเจ้าคุณ  โยมนี้มีใจแน่นแฟ้นในพระพุทธ  ศาสนาแน่นอนมั่นคงเสมอ  อนึ่งโยมทะนุบ�ำรุงแผ่นดินโดยเที่ยง  ธรรม และตงั้ ใจประคบั ประคองสนองพระเดชพระคณุ โดยตรงโดย  สุจริต เป็นที่ต้ังตรงอยู่เป็นนิตย์  ขอเจ้าคุณอย่าปริวิตกให้ย่ิงกว่า  เหต ุ  นมิ นตก์ ลับได้” สมเด็จเจ้าพระยาฯ ได้รักษาค�ำพูด มิได้ก่อเหตุเภทภัยต่อ  ยวุ กษตั รยิ จ์ นทวิ งคตในป ี ๒๔๒๕  สว่ นหลวงพอ่ โตนน้ั ไดม้ รณภาพ  ๑๐ ปกี ่อนหนา้ นน้ั แล้วคือป ี ๒๔๑๕  สิริอาย ุ ๘๔ ปี 92 านธรรม ๒ ลํ า ธ า ร ริ ม ล

พระพรหมคณุ าภรณ ์ (ประยทุ ธ์ ปยุตฺโต) วดั ญาณเวศกวัน อ. สามพราน จ. นครปฐม นามเดมิ  ประยุทธ์ อารยางกรู   กำ� เนิด ๑๒ มกราคม ๒๔๘๑ สถานทเ่ี กิด อ. ศรปี ระจนั ต ์ จ. สพุ รรณบรุ ี อุปสมบท ณ วัดพระศรรี ตั นศาสดาราม กรุงเทพมหานคร  เม่ือ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๐๕ ในฐานะนาคหลวง สมณศักด ์ิ พระพรหมคณุ าภรณ์ ท่านจบการศึกษาทางโลกในระดับมัธยมศึกษาโดยได้รับทุนเรียนดีของ  กระทรวงศกึ ษาธกิ าร บรรพชาเปน็ สามเณร เมอื่  พ.ศ. ๒๔๙๔ สอบไดน้ กั ธรรม  ชั้นตรี โท เอก และเปรียญธรรม ๓ ถึง ๙ ประโยคขณะยังเป็นสามเณร จึง  ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์ ให้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในฐานะ  นาคหลวง ณ อโุ บสถวดั พระศรรี ตั นศาสดาราม  เมอ่ื จบการศกึ ษาพทุ ธศาสตร ์ บัณฑิต (เกียรตินิยมอันดับ ๑) จากมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.)  และสอบไดว้ ชิ าชดุ คร ู พ.ม. ทา่ นไดร้ บั แตง่ ตงั้ ใหเ้ ปน็ รองเลขาธกิ าร มจร.ทา่ น  ได้สร้างความเจริญให้แก่ มจร. ท้ังด้านบริหารและวิชาการเป็นอย่างมาก  โดยเฉพาะการพฒั นาหลกั สตู รทเี่ นน้ บทบาทและภาวะสงั คมทเ่ี พม่ิ ขนึ้ ของสงฆ ์ รวมทั้งสอดแทรกความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาชุมชนไว้ในหลักสูตร ท่านได้รับ  การแตง่ ตง้ั ใหเ้ ปน็ เจา้ อาวาสวดั พระพเิ รนทร ์ ในป ี ๒๕๑๕-๒๕๑๙ จากนน้ั จงึ ได ้ มาด�ำรงต�ำแหน่งเจา้ อาวาสวัดญาณเวศกวัน อ. สามพราน จ. นครปฐม ท่านอุทิศตนให้กับการเผยแผ่พระศาสนา ตลอดจนงานด้านนิพนธ ์ เอกสารวชิ าการ และตำ� ราตา่ งๆ จำ� นวนมาก ทงั้ ภาษาไทยและภาษาตา่ งประเทศ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ หนังสือพุทธธรรม ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็น “มรดก  ธรรมอนั ลำ้� คา่ แหง่ ยคุ ” และทา่ นยงั ไดร้ บั การอาราธนาใหเ้ ปน็ ผแู้ สดงปาฐกถา  ในการประชมุ นานาชาตขิ ององคก์ รระดบั โลกตา่ งๆ หลายครง้ั  และเปน็ คนไทย  คนแรกท่ีได้รับเกียรติให้รับรางวัลการศึกษาเพ่ือสันติภาพจากยูเนสโกในป ี พ.ศ. ๒๕๓๗ (อ่านเร่ืองหนา้ ๙๕)

94 านธรรม ๒ ลํ า ธ า ร ริ ม ล

ปราชญ์ ผสู้ นั โดษ พระพรหมคณุ าภรณ ์ (ป.อ. ปยตุ โฺ ต) เปน็ พระมหาเถระท ี่ ได้รบั การยกย่องว่าเปน็ ปราชญท์ ีส่ ำ� คัญทส่ี ุดของพทุ ธศาสนาไทย  ในปัจจุบัน  ว่าจ�ำเพาะสมณศักดิ์ของท่านก็จัดว่าสูงมาก คือเป็น  พระราชาคณะขั้นรองสมเด็จ แต่ท่านมีความเป็นอยู่อย่างสมถะ  มาก พึงพอใจในการอยู่อย่างเรียบง่าย และเสมอต้นเสมอปลาย  ในเรอ่ื งนม้ี าโดยตลอด ตั้งแต่เป็นพระช้ันผูน้ อ้ ยจวบจนถงึ ปจั จบุ ัน เมื่อคร้ังท่ีท่านยังเป็นเจ้าอาวาสวัดพระพิเรนทร์ แม้ได้รับ  สมณศักดิ์เป็นพระราชวรมุนี และเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง โดย  เฉพาะเมือ่ หนังสอื  พุทธธรรม ฉบับขยายความ ไดต้ ีพมิ พเ์ ผยแพร ่ 95 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล

แต่ชีวิตความเป็นอยู่ของท่านแทบไม่ได้แตกต่างไปจากตอนเป็น  พระหนุ่มเมื่อ ๒๐ ปีก่อนหน้านั้นเลย  กุฏิของท่านมีหนังสือกับ  อุปกรณ์ท่ใี ชเ้ ขยี นหนงั สอื เปน็ หลัก ดูโลง่ และเปน็ ระเบียบ  คราวหนึ่งมีญาติโยมขออนุญาตติดเครื่องปรับอากาศให ้ ทา่ น เนอื่ งจากรอบวดั เปน็ ยา่ นชมุ ชน มมี ลภาวะมาก มหิ นำ� ซำ้� ขา้ ง  วดั ยงั เปน็ รา้ นทำ� ทอง กลนิ่ นำ้� ประสานทองโชยมาทก่ี ฏุ ขิ องทา่ นทกุ   วนั  ทำ� ใหท้ า่ นมอี าการภมู แิ พ ้ หอบ เหนอ่ื ย ทา่ นกป็ ฏเิ สธไปทกุ ครง้ั   แต่ญาติโยมก็ไม่ละความพยายาม  ในที่สุดก็สามารถพาช่างมา  ติดเคร่ืองปรับอากาศให้ท่านจนได้ แต่ท่านก็ได้ใช้น้อยมาก เพราะ  ไมน่ าน กย็ า้ ยออกไป  เมอื่ ทา่ นไปยงั วดั ญาณเวศกวนั  ทา่ นกย็ งั ไม่  ยอมตดิ เครอ่ื งปรบั อากาศเชน่ เดมิ  คงใชแ้ ตพ่ ดั ลมชว่ ยระบายความ  รอ้ น เหมอื นเมอ่ื ครง้ั อยูว่ ดั พระพิเรนทร์ ท่านเป็นพระเถระท่ีไม่สะสม ท้ังๆ ท่ีได้รับอติเรกลาภใน  โอกาสต่างๆ เป็นประจ�ำ โดยเฉพาะเวลามีญาติโยมมาจัดงานท�ำ  บญุ ถวายทา่ น เนอื่ งในวนั คลา้ ยวนั เกดิ บา้ ง ในวนั สำ� คญั ทางศาสนา  บ้าง หรือแสดงมุทิตาจิตที่ได้รับพระราชทานเล่ือนสมณศักดิ์บ้าง  ของทน่ี ำ� มาถวายนน้ั เปน็ สง่ิ ของเครอื่ งใชม้ ากมาย แตเ่ มอ่ื เสรจ็ งาน  96 านธรรม ๒ ลํ า ธ า ร ริ ม ล

แลว้  ทา่ นจะเกบ็ แตเ่ ฉพาะหนงั สอื ไว ้ สว่ นของอน่ื ๆ ทา่ นจะแจกตอ่   ให้แก่พระเณรในวดั ของถวายบางอยา่ งบรรจใุ สก่ ลอ่ งสวยงาม บางกลอ่ งกห็ อ่   เปน็ ของขวญั  ทา่ นกไ็ มเ่ ปดิ ดดู ว้ ยซำ้� วา่ ขา้ งในเปน็ อะไร  วธิ กี ารแจก  ของท่านก็คือติดหมายเลขท่ีกล่องเหล่านั้น แล้วท�ำสลากให้พระ  เณรแต่ละรูปมาจับ  ใครได้สลากตรงกับของกล่องใด ก็รับของ  กลอ่ งนนั้ ไป  วา่ กนั วา่ การแจกแบบนสี้ ามเณรในวดั ชอบมาก เพราะ  อาจไดข้ องใชด้ ีๆ ซ่ึงตามปกติไมม่ ีโอกาสได้รับ นอกจากของขวัญ ค่าลิขสิทธ์ิหรือค่าตอบแทนจากงาน  เขียน ท่านก็ไม่เคยรับ หากแต่บริจาคให้แก่สถาบัน มูลนิธิ หรือ  สาธารณกุศลต่างๆ  ท้ังน้ีเพราะท่านถือว่างานเขียนเหล่าน้ันเป็น  การบำ� เพญ็ ธรรมทาน อนั เปน็ หนา้ ทอี่ ยา่ งหนง่ึ ของบรรพชติ   งาน  บรรยายกเ็ ชน่ กนั  ไมว่ า่ ทไี่ หน เมอื่ เจา้ ภาพถวายซองปจั จยั แกท่ า่ น  ทา่ นกจ็ ะมอบคนื เพ่ือเปน็ ทุนดำ� เนินงานขององค์กรเหล่าน้ันตอ่ ไป  โดยไมเ่ คยเปดิ ดเู ลยวา่ ในซองนน้ั มเี งนิ เทา่ ไร  หากมผี มู้ าถวายปจั จยั   ใหแ้ กท่ า่ นทวี่ ดั  ทา่ นกจ็ ะมอบใหเ้ ปน็ สมบตั ขิ องสงฆ ์ ไมเ่ กบ็ ไวแ้ มแ้ ต ่ บาทเดยี ว (อา่ นประวตั ิทา่ นหน้า ๙๓) 97 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล

98 านธรรม ๒ ลํ า ธ า ร ริ ม ล

รวย บญุ ญาบารมี หลวงพอ่ ปาน โสนนโฺ ท แหง่ วดั บางนมโค เปน็ ทรี่ จู้ กั กนั ดี  ในฐานะพระเกจอิ าจารยช์ อ่ื ดงั แหง่ อยธุ ยา  ลกู ศษิ ยข์ องทา่ นหลาย  รูปเป็นพระท่ีมีช่ือเสียงมาก อาทิ หลวงปู่บุดดา ถาวโร และพระ  ราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษลี งิ ดำ� )  ท่านเป็นคนสมัยรัชกาลท่ี ๕ ถือก�ำเนิดเมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๘  ท่านมีใจใฝ่ในเพศพรหมจรรย์ตั้งแต่ยังเด็ก เม่ืออายุครบบวชได ้ อุปสมบท ณ วัดบางนมโค  ท่านเป็นผู้ใฝ่ในการศึกษามาก จึงได ้ 99 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook