Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore RungArunSukato

RungArunSukato

Published by ชมรมกัลยาณธรรม, 2021-03-16 07:25:34

Description: RungArunSukato

Search

Read the Text Version

รุ่ ง อ รุ ณ ท ่ี ส ุ ค ะ โ ต ภาพนม้ี าเพง่ หมอื นกสณิ  คนทม่ี สี มาธดิ  ี เทพนจ่ี ะออกมารา่ ยรำ� ตอ่ หนา้ เลย เขาต้องท�ำให้ได้ถึงข้ันนั้น คือให้เทพหลุดจากภาพออกมาร่ายรำ� ต่อหน้า อนั นเ้ี รียกวา่ ปฏิภาคนิมติ กไ็ ด้ ตอ้ งมสี มาธสิ ูงมากถึงจะท�ำแบบนั้นได้ แต่อันน้ันทางทิเบตยังถือว่าไม่เก่ง  ไม่ยากเท่ากับการพิจารณาจน ท�ำให้เทพที่ร่ายร�ำอยู่ต่อหน้าคืนกลับสู่ภาพพระบฏได้  ท�ำได้อย่างน้ีถือว่า เกง่  คนทเ่ี อาเทพในภาพออกมารา่ ยรำ� น ี่ ยงั ไมเ่ กง่ เท่ากับเอาเทพที่ร่ายร�ำ กลับไปเป็นภาพเหมือนเดิม  พูดอีกอย่างหนึ่งคือ  สร้างนิมิตให้เกิดขึ้น ไม่ยากเท่ากับท�ำนิมิตให้หายไป  ท�ำอย่างแรก ตอ้ งอาศยั กำ� ลงั สมาธสิ งู  แตจ่ ะท�ำอยา่ งหลงั น้ี ได้ต้องอาศัยสติมาก  สติจะบอกให้รู้ว่าเทพ ทร่ี า่ ยรำ� นเี้ ปน็ มายา ไมใ่ ชข่ องจรงิ สตชิ ว่ ยใหไ้ มต่ น่ื ตกใจหรอื หลงใหล กบั นมิ ติ  ไมว่ า่ นา่ กลวั หรอื สวยงาม กต็ าม สตทิ ำ� ใหจ้ ติ เปน็ ปกต ิ และทำ� ใหภ้ าพนมิ ติ หมดฤทธเ์ิ ดช และกลบั คนื สู่สภาพเดิม  ถ้าท�ำได้อย่างนี้ทางทิเบต  ถือว่าท�ำได้ยากกว่า  ต้องอาศัย ประสบการณ์และสภาวธรรมช้นั สงู 1 0 0 ช ํ า ร ะ ใ จ

รุ่ ง อ รุ ณ ท ี่ ส ุ ค ะ โ ต คนทไี่ มเ่ ขา้ ใจกรรมฐานแบบพทุ ธมกั เขา้ ใจวา่  การทำ� ภาพนงิ่ ใหอ้ อกมา รา่ ยรำ� นน้ั เปน็ เรอื่ งยาก ใครท�ำไดต้ อ้ งถอื วา่ เกง่ และนา่ นบั ถอื  แตท่ จ่ี รงิ ทาง พุทธน้ันถือว่าการท�ำส่ิงธรรมดาให้เป็นสิ่งไม่ธรรมดานั้น  ไม่ใช่ เรอ่ื งยาก ทย่ี ากกค็ อื การทำ� สงิ่ ไมธ่ รรมดาใหก้ ลบั เปน็ ธรรมดา นี้คือปฏิหาริย์แบบพุทธ  ซึ่งต้องอาศัยก�ำลังสติอย่างสูง ในทางพทุ ธศาสนาถอื วา่  การทำ� อทิ ธปิ าฏหิ ารยิ น์ นั้ ไม่ประเสริฐเท่ากับการยืนเดินนั่งนอนอย่างมีสติ ท่านติช  นัท  ฮันห์  บอกว่าการเดินบนพ้ืนโลกอย่าง มีสติน้ันเป็นปาฏิหาริย์อยู่แล้วในตัว  ด้วยเหตุน้ีเองจึง ถอื วา่ สตเิ ปน็ พ ่ี สมาธเิ ปน็ นอ้ ง ถา้ เอาสมาธเิ ปน็ พ ่ี ระวงั สตจิ ะถูกละเลยจนหายไปเลย สง่ิ ทตี่ อ้ งทำ� ความเขา้ ใจอกี อยา่ งหนงึ่ คอื  สมาธภิ าวนาในพทุ ธศาสนา ไมไ่ ดม้ งุ่ ทคี่ วามสงบในใจหรอื คลายเครยี ดเทา่ นนั้  คนมกั เขา้ ใจวา่ สมาธภิ าวนา แบบพุทธน้ันท�ำไปเพ่ือความสงบ  อันน้ันเป็นแค่ผลพลอยได้  หรือเป็น เพียงแค่ขั้นตอนหน่ึงเท่าน้ันเอง  เราไม่ได้ท�ำสมาธิหรือเจริญสติปัฏฐาน เพอ่ื ความสงบ เรามงุ่ สง่ิ ทสี่ งู กวา่ นน้ั คอื  “ท�ำใหเ้ กดิ ปญั ญา” เจรญิ สตแิ ลว้ ไม่เกิดปัญญา  ได้แต่ความสงบก็ดีเหมือนกัน  ช่วยให้หายเครียดหายทุกข์ ไปช่ัวคราว  ก็ดีแต่ยังไม่พอ  เราต้องท�ำให้เกิดปัญญาด้วย  ปัญญาอะไร พพรระ ไะพไ พศศา ลา ล ว ิ สวิ สา โาลโ ล 101

รุ่ ง อ รุ ณ ท ี่ ส ุ ค ะ โ ต ปัญญาคือความเข้าใจเรื่องไตรลักษณ์  เห็นความเกิดดับของความรู้สึก นกึ คดิ ตา่ งๆ สตชิ ว่ ยใหเ้ ราเหน็ จติ เหน็ ใจของเรา เหน็ ความคดิ และความรสู้ กึ ของเรา  จนกระทั่งเห็นธรรมชาติของมันเลย  รู้จักธรรมชาติของมัน  ว่า เออ มนั เกดิ ขน้ึ แลว้ กด็ บั ไปๆ เหมอื นกบั คลน่ื ในทะเลทกี่ อ่ ตวั แลว้ กส็ งบลง ก่อตวั แล้วคนื กลบั สู่สภาพเดมิ  เหน็ เกิดดับ เกิดดบั  เห็นจนกระทง่ั เห็นวา่ ความรสู้ กึ นกึ คดิ ของเรานนั้ ไมใ่ ชต่ วั เราของเรา กอ่ นหนา้ นไี้ มเ่ หน็ อยา่ งนน้ั ก็เลยไปเอาจริงเอาจังกับความคิด  เป็นบ้าเป็นหลังกับมัน  กอดมันเอาไว้ ใครมาค้านก็โมโห  เวลาเกิดอารมณ์ก็เช่นกัน  โกรธก็โกรธเป็นบ้าเป็นหลัง เกลยี ดกเ็ กลยี ดนา่ ด ู ทจ่ี รงิ ความรสู้ กึ นกึ คดิ เหลา่ นม้ี นั กแ็ คส่ ายลมทพ่ี ดั ผา่ น เขา้ มา ไมน่ า่ ไปจรงิ ไปจงั เอาเปน็ เอาตายกบั มนั  มนั เปน็ เพยี งสงิ่ ทผี่ ดุ ขน้ึ มา ในจติ ใจของเราแลว้ กด็ บั ไป สตทิ �ำใหเ้ กดิ ปญั ญา รธู้ รรมชาตขิ องมนั ท�ำให้ เหน็ วา่ ความรสู้ กึ นกึ คดิ เหลา่ นไี้ มน่ า่ เอาไมน่ า่ เปน็  ไมค่ วรยดึ ถอื เปน็ ตวั เปน็ ตนมากข้ึน  ที่เรียกว่าเกิดปัญญาเห็นไตรลักษณ์  ปัญญาเช่นน้ีแหละท่ีจะ ทำ� ให้เราปลดเปลอ้ื งความทุกข์ไปจากจติ ใจได้ เมอื่ เราเหน็ ความคดิ จนรจู้ กั ธรรมชาตขิ องมนั  รวู้ า่ มนั ไมใ่ ชเ่ รา ไมใ่ ช่ ของเราก็จะรู้จักปล่อยรู้จักวางได้  ปัญญาท�ำให้เราสามารถปล่อยวาง ความรสู้ กึ นกึ คดิ ตา่ งๆ ได ้ เฝา้ ดมู นั เฉยๆ เปน็ ผเู้ หน็  ไมใ่ ชเ่ ปน็ ผเู้ ปน็  เคย มีคนมาถามหลวงพอ่ คำ� เขยี นวา่  “หลวงพอ่  ทำ� ยงั ไงดหี นเู ครยี ดเหลอื เกนิ ” 1 0 2 ช ํ า ร ะ ใ จ

รุ่ ง อ รุ ณ ท ี่ ส ุ ค ะ โ ต หลวงพอ่ ตอบว่า “ถามไม่ถูก ให้ถามใหม่” เขานึกข้ึนได้เลยถามว่า “ท�ำ ยังไงดีหลวงพ่อ  ความเครียดมันเกิดข้ึนเยอะเหลือเกิน”  สองประโยคน้ี ต่างกันนะ  “หนูเครียดจังเลย”  กับ  “ความเครียดมันเกิดขึ้นเยอะจังเลย“ “หนเู ครยี ดเหลอื เกนิ ” หมายถงึ ไปยดึ เอาความเครยี ดมาเปน็ ฉนั  เปน็ ของฉนั แต่คนที่บอกว่าความเครียดเกิดขึ้นน้ัน  เขาเห็นความเครียด  แต่ไม่ได้ ไปยึดว่ามันเป็นฉันของฉัน  มันเป็นเพียงส่ิงที่เกิดขึ้นในใจ  อันน้ีเรียกว่า เปน็ ผเู้ ห็น ไม่ใช่เป็นผูเ้ ปน็ “หนเู ครยี ดเหลอื เกนิ  หนเู กลยี ดเหลอื เกนิ ” นคี่ อื ผเู้ ปน็  สว่ นผเู้ หน็ คอื ผทู้ เี่ หน็ ความเครยี ดเกดิ ขนึ้ ในใจ เราตอ้ งไปใหถ้ งึ จดุ นนั้  ความเครยี ดเกดิ ขน้ึ ในใจหนู อนั น้ีถูกต้อง คอื ไม่ไปยึดเอาวา่ ความเครียดเป็นฉนั เป็นของฉัน ตรงนี้เป็นจุดส�ำคัญมากเลย  ฉะน้ันขอให้มีแต่ความเครียด  แต่อย่ามี ผเู้ ครยี ดนะ มคี วามโกรธ แตอ่ ยา่ มผี โู้ กรธ เราตอ้ งเหน็ ตรงนใ้ี หไ้ ด ้ มนั มแี ต่ ความเครียด แต่ไม่มผี ู้เครยี ด มแี ต่ความคิด แต่ไม่มผี ูค้ ดิ พ ร ะ ไ พ ศ า ล  วิ ส า โ ล 103



รุ่ ง อ รุ ณ ท ี่ ส ุ ค ะ โ ต ทุกข์พาให้พน้ ทุกข์ บรรยายวนั ท ่ี ๓๐ สงิ หาคม ๒๕๔๕ “เราทง้ั หลายเป็นผู้มีความทกุ ขเ์ ปน็ เบ้ืองหน้าแล้ว” ประโยคนี้เราสวดทุกเช้า  ความป่วย  ความตาย  ความพลัดพราก จากคนรัก  ประสบกับสิ่งไม่เป็นที่รัก  นี้คือความทุกข์ท่ีอยู่เบื้องหน้าเรา ก�ำลังรอเราอยู่  เราต้องเจอแน่นอน  แต่ความทุกข์ไม่ได้อยู่เบื้องหน้าเรา เท่าน้ัน  หากยังหยั่งเข้าไปในเน้ือตัวเราเลยทีเดียว  ดังบทสวดท่ีว่า  “เรา เปน็ ผถู้ กู ความทกุ ขห์ ยงั่ เอาเลว้ ” ความทกุ ขท์ อ่ี ยเู่ บอื้ งหนา้  หมายถงึ  สง่ิ ท่ี เรายงั ไมป่ ระสบแตเ่ ราจะตอ้ งเจอ แตว่ า่ ความทกุ ขม์ นั ไมไ่ ดอ้ ยแู่ คข่ า้ งหนา้ มนั อยกู่ บั เนอื้ กบั ตวั เราเลย ในตวั เรานนั้ มคี วามเสอ่ื ม ความขดั แยง้  กดดนั บีบคั้นอยู่ทุกขณะ  เพียงแต่มันอาจยังไม่แสดงอาการออกมาเท่าน้ัน  เช่น พ ร ะ ไ พ ศ า ล  วิ ส า โ ล 105

รุ่ ง อ รุ ณ ท ี่ ส ุ ค ะ โ ต ความเจ็บป่วยอาจก�ำลังรอท่ีจะแสดงอาการออกมา  แต่จะออกมาหรือไม่ ความทุกข์มันอยู่กับเราทุกขณะอยู่แล้ว  ไม่มีชีวิตใดและไม่มีส่ิงใดท่ีจะหนี ความทุกข์ไปได้  แม้แต่ส่ิงไม่มีชีวิต  เช่น  ศาลา  เสาเรือน  บาตร  จีวร พวกนี้ก็มีความทุกข์ของมันอยู่  เป็นทุกข์ประจ�ำสังขาร  ไม่ใช่ทุกขเวทนา ความทุกข์นั้นไม่ได้หมายถึงทุกขเวทนาอย่างเดียว  แต่หมายถึง  สภาพ ที่มีความกดดันขัดแย้งอยู่ในตัว  พร่องอยู่เป็นนิจ  ท�ำให้อยู่ในสภาพเดิม ไม่ได้  ต้องเปล่ียนไป  เสาเรือนก็ต้องผุพังไป  จีวรก็ต้องเน่าเปื่อยไป  ไม่มี อะไรท่ีจะหนีความทุกข์ไปได้ แต่พูดอย่างนี้ก็ไม่ได้หมายความว่า  คนเราไม่สามารถท่ีจะหลุดพ้น จากความทกุ ขไ์ ด ้ พระพทุ ธเจา้ ตรสั วา่  เราสามารถหลดุ พน้ จากความทกุ ข์ อนั นไ้ี มไ่ ดข้ ดั แยง้ กบั ทพ่ี ระองคว์ า่  สงั ขารทง้ั ปวงเปน็ ทกุ ข ์ ไมไ่ ดข้ ดั แยง้ กนั ก็เหมือนกับท่ีเขาบอกว่า  ไม่มีส่ิงใดๆ  ในโลกนี้จะหนีจากแรงดึงดูดได้ ทุกอย่างต้องตกลงสู่ที่ต่�ำ  ไม่ว่าจะป็นขนนกหรือก้อนหิน  แม้แต่อากาศ ก็หนีแรงดึงดูดของโลกไม่ได้  อย่างไรก็ตาม  เราก็ยังเห็นนกบินอยู่ได้ ในอากาศ เครอื่ งบนิ สามารถลอยอยบู่ นฟา้ ได ้ นกและ เคร่ืองบินลอยได้  ไม่ตกลงมายังพื้นโลกเพราะอะไร กเ็ พราะเหตปุ จั จยั ทที่ ำ� ใหห้ ลดุ พน้ หรอื เอาชนะ แรงดงึ ดูดได้ 1 0 6 ท ุ ก ข ์ พ า ใ ห ้ พ้ น ท ุ ก ข ์

รุ่ ง อ รุ ณ ท ่ี ส ุ ค ะ โ ต ในทำ� นองเดยี วกนั  การหลดุ พน้ จากความทกุ ขข์ องคนเรากเ็ ปน็ ไปได้ เหมือนกัน  ท้ังๆ  ที่ความทุกข์นั้นอยู่กับเนื้อกับตัวเราและแสดงฤทธิ์เดช อยตู่ ลอดเวลากต็ าม ความทุกข์น้ีไม่ใช่ว่าเราสามารถจะเป็นอิสระจากมันได้เท่านั้น  แต่ เรายังสามารถที่จะใช้ความทุกข์ให้เป็นประโยชน์ในการท่ีจะเป็นอิสระจาก ความทกุ ขไ์ ด ้ ฟงั ดกู แ็ ปลกนะ เราสามารถใชค้ วามทกุ ขเ์ พอ่ื ใหเ้ ราเปน็ อสิ ระ จากความทกุ ขไ์ ด ้ จะเรยี กวา่ หนามยอกกเ็ อาหนามบง่ ก็ได้  หนามมันยอก  เราก็เอาหนามนี่แหละบ่งเอา หนามออกมา ในสมยั พทุ ธกาลมตี วั อยา่ งเยอะเลย คนทเี่ จอความทกุ ขแ์ ลว้ กอ็ าศยั ความทกุ ขน์ แี่ หละชว่ ยใหจ้ ติ หลดุ พน้ จากความทกุ ขไ์ ด ้ ตวั อยา่ งทร่ี จู้ กั กนั ดี กค็ อื  นางปฏาจารา นางกสี าโคตม ี ทงั้  ๒ คนตอนทเ่ี ปน็ ฆราวาส ไดป้ ระสบ กับความทุกข์เต็มที่เลย  แต่ว่าความทุกข์น้ีแหละท่ีเป็นตัวหนุนส่งตัวผลัก ให้หลดุ จากความทกุ ข์ได ้ คอื ท�ำใหม้ ดี วงตาเห็นธรรม นางปฏาจาราเคยเป็นคนท่ีมีความสุขความสบายมาก  เพราะเป็น ลกู เศรษฐ ี เรยี กวา่ คาบชอ้ นทองออกมาจากทอ้ งแม ่ โตขน้ึ กไ็ ปแตง่ งานกบั พ ร ะ ไ พ ศ า ล  วิ ส า โ ล 107

รุ่ ง อ รุ ณ ท ี่ ส ุ ค ะ โ ต คนทม่ี ฐี านะตำ่� ตอ้ ย จงึ ตอ้ งออกจากคฤหาสนไ์ ปอยใู่ นชนบท เสรจ็ แลว้ วนั ดี คนื ด ี ผวั กถ็ กู งกู ดั ตาย ตอ้ งเอาลกู นอ้ ย ๒ คนกลบั บา้ น ระหวา่ งเดนิ ทาง กลับบ้าน  ข้ามแม่น�้ำซึ่งไหลเชี่ยว  จึงวางลูกคนน้อยไว้บนฝั่ง  ขณะท่ีอุ้ม ลกู คนโตขา้ มแมน่ ำ้�  พอถงึ ฝง่ั กใ็ หล้ กู คนโตรอทฝ่ี ง่ั  แลว้ กลบั ไปรบั ลกู คนเลก็ ถงึ กลางแมน่ ำ้�  กเ็ หน็ เหยยี่ วบนิ มาโฉบเอาลกู คนเลก็ ไป นางเลยยกมอื โบก และตะโกนไลเ่ หยยี่ ว แตช่ ว่ ยลกู ไมท่ นั  สว่ นลกู ชายคนโตเหน็ แมย่ กมอื ขน้ึ นึกว่าแม่ร้องเรียกก็กระโจนลงน้�ำไปหาแม่  เลยถูกกระแสน�้ำพัดหายไป เปน็ อนั วา่ นางเสยี ลกู ทงั้  ๒ คนในชวั่ เวลาไมก่ ่ี นาท ี เสยี อกเสยี ใจมาก แต่ความทุกข์ยังไม่ได้หยุดแค่น้ัน  เสียผัว แล้ว  เสียลูกแล้ว พอกลับไปถึงบ้านก็พบว่าบ้านถูกฟ้าผ่า เกิดไฟไหม้ทั้งพ่อ และแมถ่ กู ไฟคลอกตาย ทรพั ยส์ นิ สญู สนิ้ หมด  เลยเป็นลม ฟื้นขึ้นมาก็กลายเป็นคนเสียสติ  เดินไป ตามท้องถนนไม่มี จดุ หมาย ผา้ ผอ่ นหลดุ ลยุ่  จนกระทงั่ มาเจอ พระพทุ ธเจา้  พระพทุ ธเจา้ ทา่ นกท็ รงมเี มตตา เตือนสติว่า  “น้องหญิงจงกลับได้สติเถิด” แลว้ ทรงปลอบโยนไมใ่ หโ้ ศกเศรา้  และสอน ใหน้ างรจู้ กั ทำ� ตนใหเ้ ปน็ ทพ่ี งึ่  ไมห่ วงั พง่ึ ใคร จะได้ไม่เสียน้�ำตาอีก  พอนางบรรเทาความ โศกเศรา้  พระองคก์ แ็ สดงธรรม พอนางฟงั 1 0 8 ท ุ ก ข ์ พ า ใ ห ้ พ้ น ท ุ ก ข ์

รุ่ ง อ รุ ณ ท ่ี ส ุ ค ะ โ ต จบกบ็ รรลเุ ปน็ โสดาบนั เลย ทง้ั หมดนก้ี นิ เวลาไมน่ านเลย นางกเ็ ปลยี่ นจาก คนบา้ มาเปน็ อรยิ บคุ คล อนั นเี้ ปน็ เพราะแรงผลกั จากความทกุ ขแ์ สนสาหสั ยามที่คนเราเจอความทุกข์  ถ้ามีสติหรือฉุกคิดขึ้นได้ว่า  ชีวิตน้ีมันทุกข์ เหลอื เกนิ  สงั ขารนไ้ี มน่ า่ เอา ไมน่ า่ ยดึ เลย การปลอ่ ยวางจากความยดึ ถอื ในตัวในตนกเ็ กิดขน้ึ ได้ง่าย ก็ทำ� ให้บรรลธุ รรม นตี่ อ้ งเรยี กวา่ ความทกุ ขเ์ ปน็ ตวั หนนุ สง่ ใหบ้ รรลธุ รรม เมอื่ บรรลธุ รรม ก็หลุดพ้นจากความทุกข์ไปได้ระดับหนึ่ง  แม้ยังไม่ถึงข้ันพ้นทุกข์ส้ินเชิง เพราะยังไมถ่ งึ กับเปน็ พระอรหนั ต์ นางกีสาโคตมีก็เหมือนกัน  เจอความทุกข์มาก  ลูกตายท้ังๆ  ที่อายุ ไมม่ าก นางรอ้ งไหเ้ ศรา้ โศกจนสตฟิ น่ั เฟอื น อมุ้ ศพลกู เดนิ ไปเดนิ มา พบใคร กถ็ ามวา่ มยี าชว่ ยใหล้ กู ฟน้ื ไหม ในทสี่ ดุ กม็ คี นแนะน�ำใหไ้ ปหาพระพทุ ธเจา้ พระพทุ ธเจา้ กบ็ อกวา่  มยี ารกั ษาแตใ่ หน้ างไปหาเมลด็ ผกั กาดมาหนงึ่ กำ� มอื โดยมเี งอ่ื นไขวา่ ตอ้ งเอามาจากบา้ นทไี่ มม่ คี นตาย ทกุ บา้ นกม็ เี มลด็ ผกั กาด แต่พอนางถามว่าบ้านน้ีเคยมีคนตายไหม  ก็ได้ค�ำตอบว่ามีคนตายท้ังน้ัน เลย  ไม่มีบ้านไหนที่ไม่มีคนตาย  สมัยก่อนคนตายในบ้าน  ไม่ได้ตาย โรงพยาบาลอย่างในสมยั น้ี ฉะนนั้ ทกุ บา้ นก็ตอ้ งเคยมีคนตายแลว้ ท้ังนัน้ พ ร ะ ไ พ ศ า ล  วิ ส า โ ล 109

รุ่ ง อ รุ ณ ท ่ี ส ุ ค ะ โ ต นางกีสาโคตมีหาเท่าไหร่ก็ไม่พบบ้านท่ีไม่เคยมีใครตายเลย  จึงเริ่ม มสี ตไิ ดค้ ดิ ขนึ้ มาวา่  ความตายนน้ั เปน็ สง่ิ ทไี่ มม่ ใี ครหนพี น้  ความตายไมไ่ ด้ เกิดกับลูกนางคนเดียว  แต่เกิดกับทุกคนรวมทั้งนางด้วย  นางจึงหาย โศกเศร้า  เอาศพลูกไปเผาแล้วเข้าไปหาพระพุทธองค์  พระพุทธองค์เลย แสดงธรรมส้ันๆ  ให้ฟัง  เป็นโศลกธรรมส้ันๆ  ไม่กี่บรรทัดเกี่ยวกับเร่ือง ความตายว่าเป็นดุจกระแสน�้ำที่พัดพาชีวิตของผู้คนที่นอนหลับใหล  พอ แสดงธรรมเสร็จ  นางกีสาโคตมีก็บรรลุโสดาปัตติผลเป็นพระโสดาบัน ในทันที  ท้ังๆ  ท่ีก่อนหน้าไม่กี่ชั่วโมงยังเป็นคนบ้าอยู่เลย  เหมือนกับนาง ปฏาจาราซ่ึงเป็นโสดาบัน  ทั้งที่ก่อนหน้าน้ันยังฟั่นเฟือน ฟูมฟาย ถูก ความทกุ ขท์ ว่ มทบั กลมุ้ รมุ  ไมม่ สี ต ิ แตพ่ อเรยี กสตกิ ลบั มา แลว้ กส็ อนธรรม ให้ไมน่ านเลย กพ็ ้นทกุ ขไ์ ปได้ ๖๐-๗๐ เปอรเ์ ซน็ ต์ ถา้ จะวัดเปน็ ปริมาณ นจี่ ะเหน็ ไดว้ า่ ความทกุ ขก์ บั วมิ ตุ ตมิ นั ใกลก้ นั มากเลย คนทที่ กุ ขม์ ากๆ ถา้ ใชค้ วามทกุ ขใ์ หเ้ ปน็ ประโยชน ์ หรอื มคี นมาสะกดิ ใหร้ จู้ กั ความทกุ ขจ์ รงิ ๆ ก็หลุดจากทุกข์ไปไดเ้ ลย มีบางท่านไม่ใช่เป็นแค่โสดาบันเท่าน้ัน  แต่สามารถบรรลุถึงข้ัน อรหตั ตผลเลย ทง้ั ๆ ทย่ี งั เปน็ ฆราวาส เชน่  สนั ตตอิ ำ� มาตย ์ คนนเ้ี ปน็ มหา อำ� มาตยข์ องพระเจา้ ปเสนทโิ กศล คราวหนงึ่ ปราบกบฏได ้ พระเจา้ ปเสนท-ิ 1 1 0 ท ุ ก ข ์ พ า ใ ห ้ พ้ น ท ุ ก ข ์

รุ่ ง อ รุ ณ ท ี่ ส ุ ค ะ โ ต โกศลจึงปูนบ�ำเหน็จให้ครองราชย์แทนพระองค์  ๗  วัน  ตลอด  ๗  วันน้ัน ก็สนุกสนานเต็มท่ี  ให้ผู้หญิงรูปร่างงดงามมาร่ายร�ำตลอด  ๗  วัน  สันตติ อำ� มาตยช์ มไปกด็ มื่ สรุ าไปจนเมามาย พอถงึ วนั ท ี่ ๗ ผหู้ ญงิ นกั ฟอ้ นคนนนั้ เนื่องจากร่ายร�ำตลอด  ๗  วันไม่ได้พักเลย  จึงเหนื่อยถึงขั้นขาดใจตาย สนั ตตอิ ำ� มาตยร์ เู้ ขา้  กห็ ายเมาเปน็ ปลดิ ทง้ิ  เกดิ ความเศรา้ โศกอยา่ งยง่ิ  จงึ ไปหาพระพทุ ธเจา้  พระองคก์ แ็ สดงธรรมเปน็ โศลกสน้ั ๆ มคี วามวา่  อยา่ ยดึ มนั่ ในขันธ์  ๕  สันตติอ�ำมาตย์ก็พิจารณาตาม  พอตรัสจบ  ก็บรรลุเป็นพระ อรหนั ตท์ นั ท ี โดยทย่ี งั เปน็ ฆราวาสอย ู่ คนทบี่ รรลอุ รหนั ตก์ อ่ นบวชมไี มก่ ค่ี น มีคนเคยนบั ไดป้ ระมาณ ๒๑ คน น้ีเป็นตัวอย่างที่ชี้ว่า  ความทุกข์น้ันสามารถผลักให้เราพ้นทุกข์ได้ ถ้าหากรู้จักใช้ความทุกข์น้ันให้เป็นประโยชน์  คือเอาความทุกข์มาเป็น เคร่ืองสอนธรรมให้เกิดปัญญา  ไม่ใช่เจอทุกข์ก็เอาแต่กลุ้มๆๆ  คนเราเจอ ความทุกข์แล้วกลุ้ม ความทกุ ข์นี่มันพยายามฉดุ เราสูท่ ีต่ ำ�่  แตถ่ า้ เรามีสติ และสามารถรู้จักมองความทุกข์ให้เป็น  ไม่ใช่ผู้เป็น  แต่เป็นผู้เห็น  ถ้า เราเห็นความทุกข์จนกระจ่างแก่ใจว่า  ความยึดมั่นถือม่ันเป็นบ่อเกิดแห่ง ความทกุ ขน์ ะ อปุ าทานขนั ธท์ ง้ั  ๕ นม่ี นั ทำ� ใหท้ กุ ขน์ ะ กจ็ ะหลดุ จากอำ� นาจ ของความทุกขไ์ ด้ พ ร ะ ไ พ ศ า ล  วิ ส า โ ล 111

รุ่ ง อ รุ ณ ท ี่ ส ุ ค ะ โ ต เท่าที่ดูจากประวัติของพระสาวก  ท้ังพระเถระพระเถรีในสมัยพุทธ กาล  ส่วนใหญ่ก็ว่าได้ท่ีบรรลุธรรมด้วยความทุกข์  หรือบรรลุธรรมได้ ในขณะทย่ี งั ไมส่ รา่ งจากความทกุ ขเ์ ลย หรอื ก�ำลงั ถกู ทกุ ขร์ มุ เรา้  บางทา่ น กเ็ ปน็ ภกิ ษณุ พี กิ ารทพุ พลภาพตวั สน่ั ตลอดเวลา เวลาเดนิ ไปบณิ ฑบาตตอ้ ง ถือไม้เท้ากะย่องกะแย่ง  คราวหน่ึงได้ล้มลง  ขณะล้มก็เห็นโทษในสังขาร รา่ งกาย จิตกเ็ ลยหลดุ พ้นตรงนนั้ ความทุกข์น้ันมีประโยชน์คือ  มาสอนให้เห็นสัจธรรม  ความแก่ ความเจ็บ  ความชรา  สามารถสอนเราให้เห็นธรรมจนหลุดพ้นได้ อยา่ งภกิ ษณุ ที า่ นนจี้ ติ หลดุ พน้ ทง้ั ทย่ี งั ไมล่ กุ ขนึ้ มาเลย มสี ว่ นนอ้ ย ที่หลุดพ้นในสภาวะปกติธรรมดา  ส่วนใหญ่ต้องเจอความทุกข์ มาซง่ึ ๆ หน้า หรอื ยังไม่ทันจะสรา่ งจากความทุกข์ ความทกุ ขน์ ด้ี า้ นหนงึ่ กเ็ หนยี่ วดงึ คนใหห้ มนุ วนอยใู่ นวฏั ฏ สงสาร เวยี นวา่ ยตายเกดิ ไมจ่ บไมส่ น้ิ  บางทกี ด็ งึ สนู่ รกอเวจเี ลย เชน่  โกรธอาฆาตพยาบาทขณะใกลต้ าย ถา้ ใชค้ วามทกุ ขใ์ หเ้ ปน็ ความทุกข์ก็หนุนส่งให้เราพ้นจากแรงดึงของความทุกข์ได้  ก็ เหมือนกับแรงดึงดูดหรือแรงโน้มถ่วง  มันพยายามดึงทุกส่ิง ทุกอย่างให้อยู่ในอ�ำนาจของมัน  ไม่มีอะไรท่ีจะหลุดพ้นจาก 1 1 2 ท ุ ก ข ์ พ า ใ ห ้ พ้ น ท ุ ก ข ์

รุ่ ง อ รุ ณ ท ่ี ส ุ ค ะ โ ต อำ� นาจของมนั ได ้ แตถ่ า้ เราใชแ้ รงดงึ ดดู ใหเ้ ปน็  มนั ก็สามารถผลักใหห้ ลดุ ออกไปจากแรงดงึ ดดู ของมนั ได ้ อยา่ งนกั บนิ อวกาศทเี่ ดนิ ทางไปยงั ดวงจนั ทร์ เขาก็ใช้แรงโน้มถ่วงนี้แหละ ตอนขาไป จะออกจากแรงดงึ ดดู ของโลกเพอื่ ไปดวงจนั ทร ์ เขากจ็ ะบงั คบั ยานอวกาศใหห้ มนุ วนรอบโลกด้วยความเร็วสูง จนเกิดแรงเหวี่ยง  แล้วก็ใช้แรงเหว่ียงผลักให้ยานอวกาศหลุดออกไปจาก โลกตรงไปยังดวงจันทร์  แรงเหวี่ยงน้ีก็เกิดจากแรงดึงดูดของโลกน้ันเอง เวลาจะกลับมายังโลก  เขาก็บังคับยานอวกาศหมุนวนรอบๆ  ดวงจันทร์ จนเกิดแรงเหวี่ยง  ท�ำให้ยานอวกาศหลุดจากแรงดึงดูดของดวงจันทร์ได้ นเ่ี รยี กวา่ ใชแ้ รงดงึ ดดู ของดวงจนั ทรใ์ นการผลกั ใหพ้ น้ จากแรงดงึ ดดู ของมนั ความทุกข์น่ีถ้าเราใช้ให้เป็นก็มีคุณมากเลย  มันจะมีแรงผลักให้ หลุดออกไปได้  ถึงบอกว่าความทุกข์กับวิมุตตินี่มันใกล้กันมาก  ฉะนั้น เวลาเราเจอความทุกข์  เจอความทุกข์มากๆ  นี่  อย่าไปกลุ้มกับมัน  ทุกข์ ไม่ได้มีไว้กลุ้ม  ทุกข์มีไว้แก้  ทุกข์มีไว้เพื่อให้เราหาทางหลุดทางรอด มันก็เหมือนกับทุกขเวทนาในชีวิตประจ�ำวัน  ความหิว  ธรรมชาติให้ ความหิวมา  ก็เพ่ือที่เราจะได้ขวนขวายหาอาหารมาใส่ท้อง  เวลาร่างกาย ขาดพลังงาน  ก็ต้องมีความหิวเกิดข้ึน  เพ่ือกระตุ้นให้คนไปหาอาหาร ถา้ ไมม่ คี วามหวิ เลย ก็ย่อมไม่มีแรงกระตุ้นให้ไปหาอาหาร ก็อาจจะแน่น่ิง ตายไปเหมือนนาฬิกา  หรือค่อยๆ  หมดแรงไป  แต่ว่าธรรมชาติ พ ร ะ ไ พ ศ า ล  วิ ส า โ ล 113

รุ่ ง อ รุ ณ ท ี่ ส ุ ค ะ โ ต ให้อาการหิวมาเพื่อผลักให้เราดิ้นรนขวนขวายหาอาหารมา  ชีวิตถึงจะ ได้อยู่รอด  ธรรมชาติให้ความเจ็บเพื่อเราจะได้หลีกหนีจากสิ่งท่ีไม่เป็น ประโยชน์  เช่น  เวลาเจอไฟ  ธรรมชาติให้ความเจ็บมา  ให้ทุกขเวทนา เพอ่ื ทเี่ ราจะไดร้ จู้ กั ดงึ นิ้วออกจากไฟ ออกจากความร้อน คนทไ่ี มม่ ที กุ ขเวทนา เวลาสมั ผสั กบั อนั ตรายนนี่ า่ สงสารมาก ไปเจอ ไฟ  เจอของมีคม  ก็ไม่รู้จักหนีเพราะไม่รู้สึกเจ็บ  อย่างคนที่เป็นโรคเรื้อน คนเปน็ โรคเรอ้ื นเพราะอะไร เพราะประสาททรี่ บั รคู้ วามเจบ็ ปวดมนั เสยี ไป เจออะไรมากระทบผวิ หนงั กไ็ มร่ สู้ กึ เจบ็  กเ็ ลยใชร้ า่ งกายหรอื อวยั วะบางสว่ น อยา่ งสมบกุ สมบนั จนกระทงั่ มนั เสยี ไป เกดิ แผลขน้ึ มาแลว้ กย็ งั ใชม้ นั ตอ่ ไป จนอาการหนกั ขน้ึ  หรอื เมอื่ มอื ถกู มดี เปน็ แผลไมร่ สู้ กึ เจบ็  กเ็ ลยไมด่ แู ลรกั ษา ปล่อยให้มันถูกโน่นถูกน่ีจนเป็นแผลใหญ่  เวลานอนหนูมาแทะ ก็ไม่รู้สึกปล่อยให้มันแทะ  นิ้วก็เลยกุดไปเรื่อยๆ เทา้ กเ็ ลยกดุ ไปเรอ่ื ยๆ ไมร่ สู้ กึ  เมอื่ ไมร่ สู้ กึ เจบ็ กเ็ ลย ไม่ดูแล  ไม่ยอมหลบหนีออกจากส่ิงคุกคาม  หรือ สิ่งท่ีเป็นอันตราย  ไม่ว่าจะเป็นเช้ือโรค  ไม่ว่าจะ เปน็ ไฟ ไมว่ า่ จะเปน็ ของมคี มหรอื วา่ สตั ว ์ อวยั วะ ก็เลยกดุ ไปทลี ะอยา่ งสองอยา่ ง นเี่ พราะไม่รู้สกึ เจบ็ 1 1 4 ท ุ ก ข ์ พ า ใ ห ้ พ้ น ท ุ ก ข ์

รุ่ ง อ รุ ณ ท ี่ ส ุ ค ะ โ ต ฉะน้ันความเจ็บหรือความทุกข์มันมีประโยชน์ มันทำ� ให้เราหาทาง หนอี อกจากสง่ิ ทเ่ี ปน็ อนั ตราย อนั นเี้ ปน็ เรอื่ งทกุ ขเวทนาทางกาย ซง่ึ ธรรมชาติ ใหม้ าเพ่ือใหเ้ ราหนจี ากสง่ิ คกุ คามทางกาย ทุกขเวทนาทางใจก็เหมือนกัน ธรรมชาติให้มาเพอื่ เราจะได้รู้จกั หนี ออกจากส่ิงที่คุกคามบั่นทอนจิตใจ  เพื่อท่ีเราจะได้หลุดพ้นเป็นอิสระ  แต่ ทีน้ีคนธรรมดาอาจจะไม่รู้จักวิธีหนี  จึงต้องมีกัลยาณมิตรมาช่วย  เช่น  มี ครบู าอาจารยม์ าเตอื นสต ิ แตถ่ า้ เรามคี วามรคู้ วามเขา้ ใจแลว้  แมจ้ ะเปน็ แค่ ปรยิ ตั  ิ เมอ่ื เจอความทกุ ขก์ บั ตวั  รจู้ กั เอาความรมู้ าใชจ้ ดั การกบั ความทกุ ข์ หรือจดั การกับตนเอง กส็ ามารถหลดุ รอดจากความทุกข์ได้ จริงๆ  คนเราสามารถหลุดรอดได้โดยไม่ต้องเจอกับความทุกข์ก็ได้ เพียงแค่มีคนมาสอนว่าชีวิตมันไม่เที่ยง  ความเจ็บความตายเป็นส่ิงท่ีหนี ไมพ่ น้  คนทมี่ ปี ญั ญาพอมคี นมาบอก หรอื พจิ ารณาเหน็ จากประสบการณ์ ท่ีเกิดข้ึนกับคนอ่ืนก็หันมาเรียนรู้ฝึกฝนตน  จนเผชิญกับความทุกข์ด้วย ใจสงบไม่ทุรนทุราย  แต่คนส่วนใหญ่แม้จะมีคนมาบอกก็ไม่ขวนขวาย เพราะยงั ไมร่ สู้ กึ เจบ็  คอื มแี คค่ วามรแู้ ตย่ งั ไมร่ สู้ กึ  ตอ่ เมอื่ รสู้ กึ เจบ็ หรอื เจอ เขา้ กบั ตวั ถึงจะดนิ้ รนขวนขวาย ถงึ จะเขา้ หาธรรมะฝกึ ฝนจริงจัง พ ร ะ ไ พ ศ า ล  วิ ส า โ ล 115

รุ่ ง อ รุ ณ ท ่ี ส ุ ค ะ โ ต คนส่วนใหญ่เป็นแบบน้ี  คือท�ำด้วยความรู้สึก  ไม่ใช่ท�ำด้วยความรู้ เช่น  พ่อแม่สอนลูกว่าให้ขยันขันแข็งนะ  จะเจริญ  ชีวิตจะสุขสบาย  เด็ก ส่วนใหญ่ก็ยังไม่สนใจ  ต่อเมื่อถูกพ่อแม่ลงโทษหรือถูกตี  รู้สึกเจ็บจึง ค่อยขยันขันแข็ง  หรือไม่พอโตขึ้นแล้ว  ชีวิตเจอความยากล�ำบากเพราะ เกยี จครา้ นมาตลอด ถงึ ตอนนนั้ ถงึ จะเรมิ่ ขวนขวายทำ� มาหากนิ  คนจำ� นวน มากจะเปน็ อยา่ งน ้ี คอื ตอ้ งเจอกบั ความทกุ ขเ์ สยี กอ่ นถงึ จะดน้ิ รนขวนขวาย ใครๆ  ก็รู้ว่าความตายจะต้องเกิดข้ึนกับเรา  แต่เมื่อยังไม่เกิด  เราก็ ไมส่ นใจทจี่ ะเตรยี มตวั  ตอ่ เมอ่ื เจอความตายของคนใกลต้ วั  ของญาตมิ ติ ร ของเพอ่ื น หรอื เหน็ ความตายต่อหน้าต่อตาถึงจะขวนขวายด้นิ รน พระพทุ ธเจา้ เคยเปรยี บไวว้ า่  คนเรานเี่ หมอื นกบั มา้  มา้ มี ๔ ประเภท ประเภทแรก แค่เห็นเงาปฏักก็สำ� นึกตัว ประเภท ท ี่ ๒ ตอ้ งถกู ปฏกั แทงขมุ ขนถงึ ส�ำนกึ ตวั  ประเภทท ่ี ๓ ตอ้ งถกู ปฏกั แทงถงึ หนังจึงส�ำนกึ ตน ประเภทสุดทา้ ย ต้องถูกปฏกั แทงถงึ กระดกู จึงส�ำนึกตน  อันน้ีหมายถึงคน  ๔  ประเภท  ประเภทแรกเพียงได้ยินว่า คนอื่นตายก็เกิดความสังเวช  ต้ังความเพียรฝึกฝนตนจนบรรลุธรรม ประเภทท่ี  ๒  ต้องเห็นเองจึงเกิดความสังเวชแล้วเร่ิมฝึกฝนตน  ประเภท ท ่ี ๓ ตอ่ เมอื่ ญาตมิ ติ รของตนตาย จงึ ทำ� ความเพยี ร ประเภทสดุ ทา้ ย ตวั เอง 1 1 6 ท ุ ก ข ์ พ า ใ ห ้ พ้ น ท ุ ก ข ์

รุ่ ง อ รุ ณ ท ี่ ส ุ ค ะ โ ต ได้รับทกุ ขเวทนาเจ็บปวด ถงึ ค่อยขวนขวายฝึกฝนตน คนส่วนใหญ่ต้องเจอทุกข์กับตัว  ถึงค่อยหันมาสนใจธรรมะสนใจ ปฏิบัติ ถ้ายังสุขสบายอยู่ ก็ไม่สนใจธรรมะเท่าไหร่ มาวัดก็มาแค่ทำ� บุญ ให้ทานหรืออย่างมากก็รักษาศีล  แต่ไม่สนใจลงมือปฏิบัติ  คนท่ีมาวัด ส่วนใหญ่ก็รู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร  รู้ว่าชีวิตเป็นอนิจจัง  แต่ว่าไม่สนใจ ท่ีจะปฏิบัติให้พร้อมเผชิญกับความพลัดพรากความสูญเสีย  ต่อเมื่อเจอ ความพลัดพรากสูญเสียเข้ากับตัว  เกิดความทุกข์  ถึงมาเข้าวัดปฏิบัติ ธรรม คนทมี่ าปฏบิ ัติธรรมโดยไมม่ ีความทกุ ขเ์ ลยนัน้ มนี อ้ ย ส่วนใหญ่เจอ ความทุกข์กับตัวแล้วถึงมาเข้าวัด  ตอนท่ีมีความสุขก็รู้อยู่ว่าคนเราทุกคน ตอ้ งตาย ตอ้ งทกุ ขแ์ ตก่ ไ็ มส่ นใจ ยงั เพลดิ เพลนิ สนกุ สบาย ไป  ไม่ได้เตรียมตัวเผชิญรับกับความทุกข์ท่ีจะเกิดข้ึน ไม่เตรียมเผชิญกับความตายที่จะเกิดขึ้น  แต่พอ ประสบกับความพลัดพรากสูญเสีย  คนรักตาย ลกู ตาย เอาละ่  ตอนนถ้ี งึ ไดม้ าหาธรรมะ มาหา การปฏิบัติธรรม  ความรู้ไม่ท�ำให้คนเราดิ้นรน ขวนขวายเทา่ ไหร ่ ตอ้ งรสู้ ึกเสยี ก่อนถึงจะขยบั พ ร ะ ไ พ ศ า ล  วิ ส า โ ล 117

รุ่ ง อ รุ ณ ท ่ี ส ุ ค ะ โ ต ความทุกข์มันมีประโยชน์ก็ตรงน้ี  ท�ำให้คนเข้าหาธรรมะ  แต่คนที่ มปี ญั ญา เขาไมต่ อ้ งรอใหค้ วามทกุ ขม์ าเกดิ กบั ตวั  หรอื คนใกลต้ วั เสยี กอ่ น มันยังไม่ทันเกิดก็เตรียมตัวรับมือกับมันแล้ว  แต่คนส่วนใหญ่ต้องเจอ ความทกุ ขก์ บั ตวั ถงึ จะเรมิ่ ขยบั เขยอื้ น ตนื่ จากความหลบั ใหล และทห่ี ลบั ใหล กเ็ พราะมคี วามสขุ กบั การนอน การเพลดิ เพลนิ กบั ความสขุ มนั ทำ� ใหค้ นเรา หลับใหลประมาท จะวา่ ไปแล้วความสุขนีม่ ันน่ากลัวกวา่ ความทกุ ขม์ าก คนท่ีจะวิมุตติหลุดพ้นขณะท่ีมีความสุขความเพลิดเพลินยินดีน่ี หายากมาก  มีน้อยมาก  แทบจะไม่มีเลยก็ว่าได้  มีแต่คนท่ีทุกข์  อย่าง ยสะ เปน็ ลกู เศรษฐ ี แตเ่ บอื่ หนา่ ยชวี ติ  เดนิ ออกจากคฤหาสนก์ ลางดกึ เอาแต่พูดว่า  “ที่นี่วุ่นวายหนอ  ท่ีน่ีขัดข้องหนอ”  พอมาพบพระ- พุทธเจ้า  พระพุทธเจ้าแสดงธรรมกัณฑ์เดียวก็บรรลุธรรม เลย  คนที่บรรลุธรรมขณะก�ำลังเพลิดเพลินกับความสุข ไม่มีเลยเท่าท่ีนึกออก  มีพระสาวกบางท่าน  เห็นหญิงงาม ฟอ้ นรำ� อยขู่ า้ งหนา้  แตท่ า่ นกไ็ มไ่ ดเ้ พลดิ เพลนิ  กลบั พจิ ารณา วา่ เปน็ ของนา่ เกลยี ดจนเกดิ ความเบอ่ื หนา่ ย แลว้ กบ็ รรลธุ รรม เลย 1 1 8 ท ุ ก ข ์ พ า ใ ห ้ พ้ น ท ุ ก ข ์

รุ่ ง อ รุ ณ ท ่ี ส ุ ค ะ โ ต มีบางท่านที่บรรลุธรรมก�ำลังผ่อนคลาย  อย่างพระอานนท์  หลัง พระพุทธเจ้าปรินิพพาน  คณะสงฆ์จะท�ำสังคายนา  คณะสงฆ์ต้องการ ให้พระอานนท์มาร่วมสังคายนา  เน่ืองจากเป็นผู้ทรงจ�ำฟังค�ำสอนของ พระพุทธเจ้ามาก  แต่ท่านยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์  การสังคายนาครั้งน้ัน มแี ตพ่ ระอรหนั ตเ์ ทา่ นนั้ ทจี่ ะรว่ มได ้ ตอนนน้ั มพี ระอรหนั ตท์ ม่ี ี ก�ำหนดจะร่วมสังคายนา  ๔๙๙  รูป  ขาดอีก  ๑  รูป  ด้วย เหตุนี้พระอานนท์จึงระดมความเพียรอย่างเต็มที่  เพื่อ จะได้ร่วมสังคายนา  แต่ท�ำเท่าไหร่ก็ไม่บรรลุอรหัตตผล จนกระทงั่ คนื สดุ ทา้ ยกอ่ นวนั สงั คายนา ทา่ นรสู้ กึ เหนอื่ ยจากการปฏบิ ตั มิ าก จงึ หยดุ พกั ผอ่ นชว่ั คราว ขณะทกี่ �ำลงั เอนนอน เทา้ ไมท่ นั พน้ พนื้  ศรี ษะยงั ไมท่ นั ถงึ หมอน ทา่ นกบ็ รรลอุ รหตั ตผล แตก่ ารบรรลใุ นลกั ษณะผอ่ นคลายนี้ รู้สึกจะมีน้อย  ส่วนใหญ่ต้องเจอกับความทุกข์ไม่มากก็น้อย  แล้วพอมีสติ เหน็ ความทกุ ข ์ ปญั ญากเ็ กดิ  เรยี กวา่ ความทกุ ขม์ นั ผลกั ใหห้ ลดุ จากอำ� นาจ ของวฏั ฏสงสารไปเลย ความทุกข์ที่จริงมันมีประโยชน์มากกว่า ความสขุ ดว้ ยซำ�้  สำ� หรบั นกั ปฏบิ ตั ธิ รรม ความสขุ ต่างหากที่มันน่ากลัว  มีนักปราชญ์ชาวฝรั่งเศส ช่ือวอลแตร์  เขาบอกว่า  ขอให้พระเจ้าปกป้อง พ ร ะ ไ พ ศ า ล  วิ ส า โ ล 119

รุ่ ง อ รุ ณ ท ่ี ส ุ ค ะ โ ต ขา้ พเจา้ จาก....จากอะไรรไู้ หม “จากเพอื่ น” ไมใ่ ชจ่ ากศตั ร ู เขาขอใหพ้ ระเจา้ ปกป้องเขาจากเพ่ือน  แทนท่ีจะปกป้องจากศัตรู  ท�ำไม  ก็เพราะศัตรูน่ี ขา้ พเจา้ คอยระวงั อยแู่ ลว้  แตว่ า่ เพอ่ื นนข่ี า้ พเจา้ ไมค่ อ่ ยระวงั เทา่ ไหร ่ บางที เพ่ือนก็มาชวนท�ำในส่ิงท่ีเป็นโทษเป็นภัย  คนเราง่ายที่จะท�ำตามเพ่ือนอยู่ แล้วโดยไมค่ ่อยพิจารณาเทา่ ไหร่ ดูอย่างทุกวันน้ี  เพื่อนของคนสมัยนี้เป็นอะไร  สิ่งที่คนสมัยนี้ถือว่า เป็นมิตร  คือศูนย์การค้า ผับ บาร์ คาราโอเกะ แหล่งบันเทิงเริงรมย์ พวกน้ีวัยรุ่นสมัยนี้ถือเป็นมิตร  เสร็จแล้วมันเป็นยังไง  ก็พาไปสู่หายนะ คนเราตกต�่ำก็เพราะไม่ค่อยระมัดระวังกับมิตรของตัวเท่าไหร่  คนเรามัก ถือเอาความสุขสบายคือมิตร  เราอยากเข้าหาความสุขสบาย  อยากกอด เอาไว้แน่นๆ  แต่ความสุขสบายมักท�ำให้เราประมาทหลงลืม  ท�ำให้ชีวิต ตกต�่ำได้ง่าย  น่ีเป็นเพราะเราไม่ค่อยระวังประมาทหลงลืม  ท�ำให้ชีวิต ตกตำ่� ไดง้ า่ ย นเี้ ปน็ เพราะเราไมค่ อ่ ยระวงั มติ รเทา่ ไหร ่ ดว้ ยเหตนุ วี้ อลแตร์ ถงึ ขอให้พระเจ้าปกปอ้ งเขาจากมิตร ในทางตรงข้าม  เราเกลียดความทุกข์ถือว่าความทุกข์เป็นศัตรู เรากลัวความทุกข์แต่เราไม่กลัวความสุข  ท้ังที่ความสุขมันน่ากลัวกว่า การมกี นิ มใี ชอ้ ยา่ งสขุ สบายฟมุ่ เฟอื ยเปน็ สงิ่ ทตี่ อ้ งระวงั มาก อยา่ งพระเราน้ี 1 2 0 ท ุ ก ข ์ พ า ใ ห ้ พ้ น ท ุ ก ข ์

รุ่ ง อ รุ ณ ท ่ี ส ุ ค ะ โ ต พระพุทธเจ้าเตือนว่าให้ระวังลาภสักการะ  เพราะมันเป็นภัยคุกคามต่อ การประพฤตพิ รหมจรรย ์ ลาภสกั การะดเู ผนิ ๆ กเ็ หมอื นเพอ่ื น เพราะทำ� ให้ เราสุขสบาย ใครๆ ก็อยากได้ลาภสักการะ มีสิ่งเสพ มีของอำ� นวยความ สะดวกสบาย ใครๆ ก็ชอบ แต่นแี่ หละคอื สิ่งนา่ กลัวมาก ความทุกข์ความล�ำบากกลับไม่น่ากลัว  เพราะมันมีคุณประโยชน์ ท่ีสามารถท�ำให้เราเติบโตก้าวหน้าในทางจิตวิญญาณได้  ที่จริงไม่เฉพาะ ความกา้ วหนา้ ในทางจิตวญิ ญาณเทา่ นั้น แม้แต่ความกา้ วหนา้ ในทางวตั ถุ กต็ อ้ งอาศยั ความทกุ ขย์ ากลำ� บากไมน่ อ้ ย อยา่ งประเทศยโุ รป เขาขาดแคลน ทรัพยากรต่างๆ  มากมาย  ฝรั่งเวลามาเมืองไทย  เขาเห็นประเทศเรามี ความอุดมสมบูรณ์  มีทรัพยากรธรรมชาติเยอะแยะ  เขาอิจฉาคนไทย ท่ีสบาย  มีกินมีใช้ตลอดปี  ผิดกับเมืองฝรั่งที่ยาก ล�ำบาก  ภูมิอากาศก็โหดร้ายในบางฤดู  แต่ เดยี๋ วนปี้ ระเทศเหลา่ นเี้ ขารดุ หนา้ ไปแลว้  สว่ น เมืองไทยยังล้าหลัง  เพราะเราไปเพลินกับความสุข สบาย  เพลินกับบุญเก่า  เลยไม่สนใจสร้างทุนใหม่ขึ้นมา  ตอนน้ีก็เลย ลำ� บาก เพราะบุญเก่ากำ� ลังจะหมดแล้ว พ ร ะ ไ พ ศ า ล  วิ ส า โ ล 121

รุ่ ง อ รุ ณ ท ี่ ส ุ ค ะ โ ต ลองพจิ ารณาด ู ความสขุ สบายมนั มโี ทษไมน่ อ้ ย เราตอ้ งมองเสยี ใหม่ ว่าความทุกข์มีประโยชน์อย่างไรบ้าง  และเราควรรู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์ และความสุขมันมีโทษอย่างไรบ้าง  ที่เราควรระวังและไม่ควรเข้าไป ส้องเสพหมกมุน่ กบั มนั มาก เวลาจะเสพก็ตอ้ งมสี ตมิ ีความระมัดระวงั เป็น พเิ ศษ อยา่ ไปหลงตวั ลมื ตน เพราะมนั ทำ� ใหห้ ลงงา่ ย ทำ� ใหป้ ระมาท ทำ� ให้ เสพติดได้ง่าย  คนเราไม่ค่อยเสพติดความทุกข์เท่าไหร่  แต่คนท่ีเสพติด ความสขุ มเี ยอะมาก เดย๋ี วนค้ี นรนุ่ ใหมเ่ สยี ผเู้ สยี คนกนั มาก เพราะไปเสพตดิ ความสขุ  เพราะไมร่ จู้ กั ระแวดระวงั ความสขุ  อนั นเ้ี ปน็ เรอื่ งทเ่ี ราตอ้ งเอาใจ ใส่ให้ดี 1 2 2 ท ุ ก ข ์ พ า ใ ห ้ พ้ น ท ุ ก ข ์

คนเราต้องระวัง ถ้าไม่อยู่กับปัจจุบัน ก็จะเป็นอย่างนี้แหละ พลาดทั้งสุขในปัจจุบันและสุขในอนาคต คนทุกวันนี้ส่วนใหญ่ ก็มีความทุกข์เพราะเหตุนี้ ทุกข์เพราะละเลย ความสุขในปัจจุบัน



รุ่ ง อ รุ ณ ท ี่ ส ุ ค ะ โ ต ไปพน้ จากการแบง่ แยก บรรยายวันท่ี ๓๑ สงิ หาคม ๒๕๔๕ มเี รอื่ งเลา่ วา่  มเี กาะอยเู่ กาะหนงึ่ กลางทะเล ทงั้ เกาะมคี นอยคู่ นเดยี ว เขา ไปติดเกาะอยู่นานมาก  ไม่มีใครมาช่วยก็เลยฝังตัวที่เกาะน้ัน  สร้างบ้าน ทำ� ไรท่ ำ� สวน เลย้ี งสตั ว ์ จบั ปลา เรยี กวา่ พงึ่ ตนเองไดแ้ ทบทง้ั หมด หลายปี ต่อมาก็มีคนมาพบเขาที่เกาะน้ี  คนท่ีมาพบเขาแปลกใจมากท่ีพบว่า  ใน เกาะน้ีมีวัดอยู่  ๒  วัด  ก็เลยถามว่า  ท�ำไมเขาถึงสร้างวัดไว้ถึง  ๒  วัด เขาตอบวา่  “วัดหนึง่ ผมเข้า อีกวดั ผมไม่เข้า” เรอื่ งนม้ี าจากเมอื งฝรง่ั  จะเขา้ ใจเรอ่ื งนเี้ ราตอ้ งเขา้ ใจภมู หิ ลงั ของฝรง่ั ศาสนาของฝรง่ั  มกี ารแบง่ แยกออกเปน็  ๒ นกิ าย คอื  คาทอลกิ กบั โปร- เตสแตนท์  ทั้ง  ๒  นิกาย  ทะเลาะเบาะแว้งกันมากเมื่อ  ๔๐๐  ปีก่อน เคยทำ� สงครามสรู้ บกนั นานหลายสบิ ป ี ทง้ั ๆ ทน่ี บั ถอื พระเจา้ องคเ์ ดยี วกนั บางประเทศอย่างไอร์แลนด์เหนือ  เวลาน้ีก็ยังฆ่าฟันกันอยู่  เร่ืองเล่าที่ว่า เปน็ เรอื่ งแตง่  ทส่ี ะทอ้ นความรสู้ กึ ของฝรงั่ บางพวก ทจี่ รงิ มองใหด้  ี เรอื่ งน้ี ยงั สะทอ้ นจติ ใจของมนษุ ยเ์ ราไดเ้ ปน็ อยา่ งด ี คอื วา่ คนๆ นเ้ี ขานบั ถอื นกิ าย พ ร ะ ไ พ ศ า ล  วิ ส า โ ล 125

รุ่ ง อ รุ ณ ท ี่ ส ุ ค ะ โ ต หน่ึง  แต่เกลียดอีกศาสนาหนึ่ง  เกลียดเข้ากระดูกด�ำเลย  ถือว่าเป็นศัตรู แตว่ า่ พอมาตดิ เกาะ ทง้ั ๆ ทอี่ ยคู่ นเดยี ว ยงั อดคดิ ถงึ ศตั รทู ตี่ นเกลยี ดไมไ่ ด้ กเ็ ลยสร้างส่ิงที่เป็นตวั แทนของศตั รูทตี่ วั เองเกลยี ดเอาไว้ดูตา่ งหนา้ เรอื่ งนตี้ อ้ งการบอกอะไร เขาตอ้ งการบอกเราวา่ คนนล่ี กึ ๆ ตอ้ งการ ศัตรู  อยู่คนเดียวก็ต้องหาศัตรูมาไว้ใกล้ๆ  น่าคิดนะว่าคนเราท�ำไมถึง ตอ้ งการศตั ร ู ทง้ั ๆ ทตี่ วั เองเกลยี ด พอไปอยคู่ นเดยี วกอ็ ดคดิ ถงึ ศตั รไู มไ่ ด้ ต้องหาศัตรูมาไว้ใกล้ๆ  สร้างศัตรูมาไว้ให้ระลึกถึง  เรื่องนี้น่าคิด  เพราะ ปกติคนเราต้องการมิตร  เพราะมิตรช่วยเหลือเก้ือกูลตนเอง  แต่ศัตรูน่ี มันมีแต่จะบั่นทอน  กระน้ันคนเรามักขาดศัตรูไม่ได้  แม้อยู่คนเดียวก็ต้อง สร้างศัตรูขึ้นมา  เพ่ืออะไร  จะโดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม  เราต้องการศัตรู ประการแรกสดุ  เพอื่ เปน็ ทร่ี ะบายความโกรธความเกลยี ดออกไป เวลามโี ทสะ เราจะระบายใสต่ วั เองกไ็ มถ่ นดั  ตอ้ งหาทางระบายออกไปขา้ งนอก ระบาย ไปทไ่ี หน กร็ ะบายไปทศี่ ตั ร ู ดงั นนั้ จงึ ตอ้ งหาศตั รขู นึ้ มาเปน็ ตวั รองรบั โทสะ นนั้  ถา้ ไมม่ กี ส็ รา้ งขนึ้ มาโดยอาจไมร่ ตู้ วั กไ็ ด ้ ประการท ี่ ๒ เราตอ้ งการศตั รู ก็เพ่ือจะได้โยนความผดิ ไปให้ คนเราเวลาทำ� ผดิ พลาดข้ึนมา ยากนักที่จะ ยอมรับว่าตัวเองทำ� ผิด เวลาท�ำอะไรผิดพลาดข้ึนมาก็เลยต้องหาทางโทษ คนอน่ื  การมศี ตั รทู ำ� ใหเ้ ราสะดวกทจ่ี ะโทษวา่ คนนน้ั เปน็ ตน้ เหต ุ ดว้ ยเหตนุ ้ี เราจึงจำ� ตอ้ งมศี ัตรูขน้ึ มาไวร้ ะบายโทสะและเพื่อโยนความผิดให้ 1 2 6 ไ ป พ้ น จ า ก ก า ร แ บ ่ ง แ ย ก

รุ่ ง อ รุ ณ ท ่ี ส ุ ค ะ โ ต สังเกตดูนะทุกประเทศต้องมีศัตรู  ถ้าไม่มีก็ต้องสร้างข้ึนมา  สร้าง ขึ้นมาจนเป็นเร่ืองเป็นราวใหญ่โต  สมัยก่อนอเมริกาก็มีโซเวียตเป็นศัตรู พอโซเวียตล่มสลาย  คอมมิวนิสต์พังทลาย  ก็ต้องหาศัตรูใหม่  พักหนึ่ง กเ็ อาญปี่ นุ่ ขนึ้ มาเปน็ ศตั รแู ทน หาวา่ เปน็ ตวั การทำ� ใหเ้ ศรษฐกจิ อเมรกิ าตกตำ่� แตพ่ อเศรษฐกจิ อเมรกิ าดขี นึ้  กห็ าศตั รตู วั ใหม ่ กม็ าเจอพวกมสุ ลมิ หวั รนุ แรง ซงึ่ มบี นิ ลาเดนหรอื อลั เคดา้ เปน็ ตวั แทน นคี่ อื ศตั รตู วั ใหมข่ องอเมรกิ า คน มุสลิมในอเมริกา  เด๋ียวนี้ต้องอยู่แบบระวังตัว  เพราะอาจโดนรัฐบาลหรือ คนขาวเลน่ งาน สว่ นคนมสุ ลมิ จากประเทศอนื่ เวลาจะเขา้ มาอเมรกิ า เดย๋ี วน้ี ตอ้ งถกู ตรวจสอบมากเป็นพิเศษ เร่ิมตง้ั แตท่ ี่สนามบินเลยทเี ดียว เรอื่ งแบบนน้ี กั การเมอื งชอบ เพราะมศี ตั รตู วั ใหม ่ จะไดง้ บประมาณ ทหารเพม่ิ  ไดค้ า่ คอมมชิ ชนั่ งา่ ย ยงิ่ ศตั รดู รุ า้ ยนา่ กลวั เทา่ ไหร ่ งบประมาณ ก็จะยิ่งเพิ่ม  ได้ค่าคอมมิชชั่นง่าย  ด้านหนังสือพิมพ์หรือส่ือมวลชนก็ชอบ พ ร ะ ไ พ ศ า ล  วิ ส า โ ล 127

รุ่ ง อ รุ ณ ท ่ี ส ุ ค ะ โ ต ทมี่ ศี ตั รตู วั ใหม ่ เพราะขา่ วจะขายด ี ใครๆ กต็ ดิ ตามอา่ น วนั ไหนถา้ มขี า่ ว เกี่ยวกับบินลาเดนหรืออัลเคด้าหนังสือพิมพ์จะขายดี  โทรทัศน์และวิทยุก็ มีคนติดตามมากข้ึน  ค่าโฆษณาก็เพ่ิม  ส่วนฮอลลีวู้ดก็ถือโอกาสเอาเรื่อง พวกนม้ี าท�ำเปน็ หนังขายได้ เห็นไหมว่าศัตรูน้ีมีประโยชน์  ทุกคนต้องมีศัตรู  บ้านเราก็เหมือนกัน  สมัยก่อนมีพม่าเป็นศัตรู  ต่อมาก็ คอมมวิ นสิ ต ์ พอคอมมวิ นสิ ตห์ ายไปกต็ อ้ งมอี ะไรมาแทน  ช่วงหน่ึงได้แก่  จอร์จ  โซรอส  ถูกกล่าวหาว่า เป็นตัวการท�ำให้เศรษฐกิจตกต�่ำ  มาตอนนี้ พม่าก็ก�ำลังจะ มาแทนที่  แต่ในบางวงการ  เช่น  แวดวงพระสงฆ์หรือชาวพุทธจ�ำนวน ไม่น้อยก็มองว่าศัตรูท่ีส�ำคัญเวลานี้คือศาสนาคริสต์ซึ่งก�ำลังแฝงตัว มาบ่อนท�ำลายพุทธ  ตอนน้ีศาสนาคริสต์ถูกหาว่าอยู่เบ้ืองหลังข่าวคราว ท่อี อื้ ฉาวเกย่ี วกับพระสงฆร์ วมทง้ั ความตกต่�ำด้านอ่นื ๆ ของพุทธศาสนา สญั ชาตญาณในสว่ นลกึ ของคนเราตอ้ งการสรา้ งศตั รขู นึ้ มา หรอื ชอบ โทษคนน้ันคนน้ีเป็นศัตรู  เราต้องหาคนท่ีเราจะเกลียด  หรือระบายความ เกลียดออกไป  จะได้รู้สึกสบายใจว่า  เออ  ท่ีบ้านเมืองเป็นอย่างน้ี  ไม่ใช่ เป็นเพราะเรา แตเ่ ปน็ เพราะศัตรมู นั ท�ำใหเ้ ปน็  ทค่ี นไทยตดิ ยาบา้ กนั เยอะ 1 2 8 ไ ป พ้ น จ า ก ก า ร แ บ ่ ง แ ย ก

รุ่ ง อ รุ ณ ท ี่ ส ุ ค ะ โ ต กเ็ พราะพวกพมา่ มนั ผลติ ยาบา้ สง่ เขา้ มาขาย นอี่ าจเปน็ ความจรงิ สว่ นหนงึ่ แต่จริงไม่ทั้งหมด  เพราะสาเหตุส�ำคัญน้ันอยู่ท่ีคนไทยด้วย  ตั้งแต่นักการ เมือง  ต�ำรวจทหารระดับสูง  ที่ช่วยกันผลิต  ช่วยกันขาย  หรือเอาหูไปนา เอาตาไปไร่  เพราะไม่อยากไปขัดขวางผลประโยชน์ผู้มีอิทธิพล  ตัวการน้ี รวมไปถงึ พอ่ แม ่ ทปี่ ลอ่ ยปละละเลยลกู ของตวั ทำ� ใหเ้ ขาเขา้ หายาบา้  ตง้ั แต่ ระดบั หมบู่ า้ นจนถงึ ระดบั ประเทศ มคี นไทยเขา้ ไปเกยี่ วขอ้ งกบั ปญั หายาบา้ ทงั้ นนั้  แตว่ า่ เรากไ็ มอ่ ยากจะยอมรบั วา่ เปน็ ความผดิ ของเรา สโู้ ยนความผดิ ให้พมา่ ไม่ได้ ในท�ำนองเดียวกันเวลาประชาชนไม่พอใจรัฐบาล  ออกมาประท้วง รัฐบาล  รัฐบาลแทนที่จะพิจารณาตัวเองว่า  ท�ำผิดพลาดอะไรบ้าง  ก็ชอบ กล่าวหาต่างชาติ  หรือพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามว่าหนุนหลัง  หรือไม่ก็ กลา่ วหาเอน็ จโี อวา่ อยเู่ บอื้ งหลงั การประทว้ ง คนไทยชอบกลา่ วหามอื ทสี่ าม เสมอ รฐั บาลตอ้ งการมอื ทส่ี าม ใครๆ กต็ อ้ งการ เพราะจะไดโ้ ยนความผดิ ไปได้สะดวก  น่าแปลกก็ตรงท่ีเราไม่เคยจับมือที่สามได้คาหนังคาเขา หลักฐานก็ไม่เคยพบ  แต่คนไทยกลับเช่ือเร่ืองมือที่สามอย่างง่ายดาย เป็นแบบน้ีมาหลายสิบปีแล้ว  เราเช่ือเร่ืองมือท่ีสามก็เพราะเราจะได้โยน ความผดิ ให้พน้ ตัวงา่ ยๆ พ ร ะ ไ พ ศ า ล  วิ ส า โ ล 129

รุ่ ง อ รุ ณ ท ่ี ส ุ ค ะ โ ต เราเป็นแบบน้ีกันหมดแม้กระท่ังในหมู่บ้าน  ทุกคนก็ต้องพยายาม สรา้ งศตั รขู น้ึ มา ศตั รอู าจจะไดแ้ กค่ นในหมบู่ า้ นอนื่ ทมี่ าลกั ลอบตดั ไมใ้ นปา่ แยง่ นำ้� ในลำ� หว้ ย หรอื มาทำ� รา้ ยวยั รนุ่ ในหมบู่ า้ นเรา ในทท่ี ำ� งานเรากต็ อ้ ง สรา้ งศตั รขู นึ้ มา เชน่  มองบรษิ ทั คแู่ ขง่ เปน็ ศตั ร ู มองหนว่ ยงานกรมกองอนื่ วา่ เปน็ ศตั ร ู เปน็ คแู่ ขง่ ทจี่ ะมาแยง่ ชงิ ผลงานจากเรา แยง่ ชงิ สว่ นแบง่ ตลาด จากเรา  เป็นต้น  การมีศัตรูแบบนี้มีข้อดีอีกอย่างหนึ่งคือ  ท�ำให้คนใน หน่วยงานหรือบริษัทมีความสามัคคีกลมเกลียวกัน  เพราะมีศัตรูร่วมกัน ในท�ำนองเดียวกันทุกประเทศก็ต้องการศัตรูแบบน้ี  จะได้กลมเกลียวเป็น หนงึ่ เดยี วกนั  ไมท่ ะเลาะกนั  รฐั บาลจะไดท้ ำ� งานสะดวก ฝา่ ยคา้ นกไ็ มก่ ลา้ ตีรวนเพราะเด๋ยี วจะถูกหาวา่ ไมร่ กั ชาติ คนเราหลีกเลี่ยงได้ยากที่จะไม่มีศัตรู  นอกจากเหตุผลที่ว่ามาแล้ว เหตผุ ลทสี่ ำ� คญั ทส่ี ดุ กค็ อื  มนษุ ยเ์ ราชอบมกี ารถอื เราถอื เขา เมอ่ื มเี ราขนึ้ มา กต็ อ้ งมเี ขาเกดิ ขน้ึ  เขานก้ี ค็ อื คนอน่ื ทไี่ มใ่ ชเ่ รา และเขาหรอื คนอนื่ นแ้ี หละ ทจี่ ะถกู วาดภาพใหเ้ ปน็ ศตั รขู องเราไดง้ า่ ยมาก มนั เปน็ ธรรมชาตขิ องมนษุ ย์ แม้กระทั่งในชุมชนเล็กๆ  อย่างเช่นหมู่บ้าน  การถือเราถือเขาก็เกิดขึ้น ได้ง่ายมากโดยไม่รู้เน้ือรู้ตัว  เม่ือถือเราถือเขา  แบ่งเป็นเราเป็นเขาข้ึนมา กม็ ชี อบมชี งั  ใครเปน็ พวกเรา  เราก็ชอบ ใครเป็นพวกเขา เราก็ชัง จากชงั กก็ ลายเปน็ โกรธเกลยี ด ในทสี่ ดุ 1 3 0 ไ ป พ้ น จ า ก ก า ร แ บ ่ ง แ ย ก

รุ่ ง อ รุ ณ ท ่ี ส ุ ค ะ โ ต ตามหมบู่ า้ นกม็ กี ารแบง่ วา่  คมุ้ นเ้ี ปน็ เรา คมุ้ โนน้ เปน็ เขา ใครทเ่ี ปน็ เครือญาติของเรา  ก็ถือว่าเป็นพวกเรา  ถ้าไม่ใช่เครือญาติ  ก็เป็นพวกเขา ถ้าไปอยู่ในเมืองก็แบ่งว่าภาคเดียวกันเป็นพวกเรา  ภาคอื่นเป็นพวกเขา อาตมาไปญ่ีปุ่นมา  คนไทยที่น่ันจะแบ่งเราแบ่งเขากันชัดมาก  แบ่งเป็น คนเหนือ  คนอีสาน  คนอีสานก็เห็นคนเหนือเป็นพวกเขา  ไม่ใช่พวกเรา คนเหนอื กม็ องคนอสี านเปน็ คนละพวกกนั  ตา่ งฝา่ ยตา่ งหาเรอ่ื งคอ่ นแคะกนั เวลาอยดู่ ว้ ยกนั จะแบง่ เปน็ พวกแบบน ี้ บางทกี แ็ บง่ ซอยเปน็ จงั หวดั  ถงึ แม้ จะเปน็ อีสานด้วยกัน แต่คนละจงั หวดั  กถ็ อื วา่ คนละพวกกม็ ี แต่พอคนเหนือคนอีสานไปเจอคนญ่ีปุ่น  คนอีสานคน เหนือก็จะรู้สึกว่าเป็นพวกเดียวกัน  คือเป็นคนไทย  ส่วนญี่ปุ่น ถกู มองวา่ เปน็ คนอนื่  เปน็ พวกเขาไมใ่ ชพ่ วกเรา เสน้ แบง่ เราแบง่ เขา มนั ยดื ไดห้ ดได ้ อยา่ งในหมบู่ า้ นกเ็ หมอื นกนั  ถา้ เราอยคู่ นละคมุ้ ก็เป็นคนละพวก  แต่ถ้ามีคนจากหมู่บ้านอื่นหรือคนกรุงเทพฯ เขา้ มาในหมบู่ า้ น พวกทอ่ี ยคู่ นละคมุ้ ทเ่ี คยรสู้ กึ วา่ เปน็ คนละพวก กจ็ ะ เปล่ียนมารู้สึกว่าเราเป็นพวกเดียวกัน  คนจากหมู่บ้านอ่ืนหรือคน กรงุ เทพฯ ถกู มองวา่ เปน็ เขา แตถ่ า้ มฝี รง่ั เขา้ มากบั คณะคนกรงุ เทพฯ ด้วย  คนในหมู่บ้านก็จะถือว่าคนกรุงเทพฯ  เป็นพวกเรา  ส่วนฝร่ังเป็น พวกเขา การเป็นเราเปน็ เขามันไม่แน่นอน สุดแท้แตจ่ ะมอี ะไรมาเทียบ พ ร ะ ไ พ ศ า ล  วิ ส า โ ล 131

รุ่ ง อ รุ ณ ท ี่ ส ุ ค ะ โ ต เพราะเหตุท่ีเส้นแบ่งเราแบ่งเขามันยืดได้หดได้  ข้ึนอยู่กับการ เปรยี บเทยี บนเ้ี อง คนเราจงึ ตอ้ งสรา้ งศตั รหู รอื พวกเขาขนึ้ มา เชน่  ดงึ เอา คนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย  เพราะพอมีเขา  ความเป็นเราก็เกิดขึ้นในหมู่ คนทอ่ี ยใู่ นแวดวงขอบขา่ ยเดยี วกนั  เกดิ เปน็ ความสามคั คขี นึ้ มาในหมบู่ า้ น ในภาค  ในประเทศ  ถ้าไม่มีเขาโผล่เข้ามา  คนที่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน ภาคเดียวกัน ประเทศเดียวกนั ก็จะทะเลาะกันไดง้ ่าย เพราะมีการแบ่งเรา แบง่ เขาในพวกเดยี วกนั วิธีท�ำให้คนในชาติซึ่งแตกแยกกันมาสามัคคีกัน  ก็คือสร้างศัตรูจาก ภายนอกขนึ้ มา ในยามทมี่ เี ขมรหรอื พมา่ เปน็ ศตั ร ู คนไทยกส็ ามคั คกี นั งา่ ย แต่ถ้าไม่มีศัตรูจากภายนอกเม่ือไหร่  คนไทยก็จะกลับมาทะเลาะกันใหม่ เพราะเสน้ แบง่ เราแบง่ เขา มนั กจ็ ะเลอ่ื นเขา้ มา กลายเปน็ การแบง่ คนในชาติ ให้เป็นเราเปน็ เขาแทน นี้เป็นเร่ืองที่เราต้องระวัง  ความเป็นเราเป็นเขา  มันเกิดขึ้นได้ง่าย โดยท่ีเราไม่รู้ตัว  พวกเราอยู่ในวัดกันไม่ก่ีคนน่ีก็สามารถแบ่งเป็นเราเป็น เขากนั ไดง้ า่ ยๆ อยกู่ นั แค ่ ๓ คน ยงั แบง่ เปน็ เราเปน็ เขาไดเ้ ลยถา้ ไมร่ ะวงั คนไทยมีช่ือในเร่ืองนี้มาก  ไม่ว่าอยู่ที่ไหนมักจะแบ่งเป็นพวกเป็นเหล่า อาจารย์ประเวศ  วะสีเคยเล่าว่า  ในมหาวิทยาลัยมหิดล  มีภาควิชาหนึ่งมี 1 3 2 ไ ป พ้ น จ า ก ก า ร แ บ ่ ง แ ย ก

รุ่ ง อ รุ ณ ท ่ี ส ุ ค ะ โ ต อาจารยอ์ ย ู่ ๘ คน ปรากฏวา่ มกี ารแบง่ เปน็  ๗ กก๊  ดว้ ยเหตนุ เี้ ราจงึ ตอ้ ง สงั วรระวงั ไว ้ อยใู่ นวดั นพี้ ยายามอยา่ ใหม้ กี ารแบง่ เราแบง่ เขา การแบง่ พวก แบง่ กลมุ่ ในวดั เดยี วกนั นนั้ เกดิ ขนึ้ ไดง้ า่ ย เพราะมนั เปน็ สญั ชาตญาณของคน นอกจากสัญชาตญาณแล้ว  ปัจจัยแวดล้อมก็มีส่วนด้วย  เช่นเรา อยู่กันแต่ในวัด  ไม่ค่อยได้เก่ียวข้องกับคนอื่น  ความเป็นเขา  มันก็เลย ไมส่ ามารถจะเกิดกบั คนขา้ งนอกได ้ ดงั นน้ั มนั จงึ มาเกดิ กบั พวกเรากนั เองแทน ตรงกนั ข้าม  ถ้ามีคนภายนอกเข้ามาเก่ียวข้อง หรือมาก่อกวน  ความเป็นเราเป็นเขาก็ เปล่ียนไป  คือคนในวัดก็กลายเป็นพวก เดียวกัน  เกิดความกลมเกลียวกัน  ส่วน คนภายนอกกก็ ลายเป็นพวกเขาหรอื พวกอ่ืน อีกสาเหตุหนึ่งที่ท�ำให้การแบ่งเราแบ่งเขามันเกิดข้ึนง่ายก็คือ  การ ที่พระเราอยู่อย่างไม่ค่อยมีเรื่องมากระทบ  ไม่ค่อยมีเร่ืองสลักส�ำคัญให้ ครนุ่ คดิ  คอื ถา้ เปน็ ฆราวาส เรามเี รอื่ งทต่ี อ้ งคดิ เยอะ เรอ่ื งสำ� คญั ทงั้ นนั้  เชน่ การท�ำมาหากิน  การดูแลครอบครัว  และมีเรื่องหน้ีสิน  มีเร่ืองใหญ่ๆ  ท่ี ตอ้ งคดิ  มนั ไมค่ อ่ ยมเี วลาวา่ งมาคดิ เรอื่ งหยมุ หยมิ  แตพ่ ออยใู่ นชมุ ชนเลก็ ๆ พ ร ะ ไ พ ศ า ล  วิ ส า โ ล 133

รุ่ ง อ รุ ณ ท ี่ ส ุ ค ะ โ ต อยา่ งน ี้ ไมค่ อ่ ยมเี รอื่ งส�ำคญั ๆ หรอื เรอื่ งใหญๆ่  มารบกวนจติ ใจ เรากเ็ ลย มาสนใจเรอ่ื งหยมุ หยมิ แทน เรอ่ื งอะไรกต็ ามพอเราสนใจมนั มากๆ ครนุ่ คดิ กบั มนั มากๆ กก็ ลายเปน็ เรอ่ื งใหญข่ น้ึ มางา่ ยๆ ทที่ �ำใหต้ ดิ คา้ งในความรสู้ กึ เช่น  สวดมนต์ไม่เข้ากัน  บางคนเสียงสูง  บางคนเสียงต�่ำ  หรือว่าเวลา ฉันอาหาร  คนหน่ึงฉันดัง  อีกคนหนึ่งฉันไม่ดัง  เร่ืองอย่างนี้  มันอาจเป็น เรื่องเล็กน้อยส�ำหรับสังคมฆราวาส  ซ่ึงมีเร่ืองมากมายให้ครุ่นคิด  แต่ที่นี่ มันอาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา  เพราะว่ามันไม่มีเรื่องอะไรอย่างอื่นมา อยู่ในความสนใจ  เร่ืองเล็กเลยกลายมารบกวนจิตใจแทน ก็เหมือนกับ เมด็ ทรายทอี่ ยบู่ นพน้ื บา้ นมนั ไมค่ อ่ ยสะดดุ ใจเทา่ ไหร ่ เพราะพน้ื บา้ นมขี อง เยอะแยะที่จะดึงความสนใจไป  แต่พอเม็ดทรายนั้นมาอยู่บนผ้าปูท่ีนอน มันกส็ ะดุดตาขึ้น เหน็ เดน่ ชัด และกลายเปน็ ปญั หาท่ตี อ้ งจดั การ ถ้าไม่จัดการก็นอนไม่หลับ หรือเหมือนกับจุดดำ� ในผ้าสีมันไม่ค่อย สะดุดตา  แต่พอมาอยู่ที่ผ้าขาว  มันก็กลายมาเป็นปัญหาน่าร�ำคาญข้ึนมา อะไรท�ำนองน้ัน  คนท่ีนิสัยแตกต่างกันเล็กๆ  น้อยๆ  ถ้ามาอยู่ด้วยกันในท่ี เลก็ ๆ จำ� กดั แบบน ี้ มเี รอื่ งทต่ี อ้ งมาเจอะเจอหนา้ กนั ทกุ วนั ๆ ความแตกตา่ ง เล็กๆ  น้อยๆ  หรือเร่ืองไม่เป็นเรื่องก็อาจกลายมาเป็นเร่ืองใหญ่ขึ้นมาได้ การแบง่ เขาแบ่งเรากเ็ ขม้ ข้นขึน้ 1 3 4 ไ ป พ้ น จ า ก ก า ร แ บ ่ ง แ ย ก

รุ่ ง อ รุ ณ ท ่ี ส ุ ค ะ โ ต แม้คนในครอบครัวเดียวกัน  คู่ผัวตัวเมียถ้าไปท�ำงานนอกบ้านทั้งคู่ มเี รอื่ งนอกบา้ นใหค้ รนุ่ คดิ  กอ็ าจไมม่ อี ะไรในบา้ นทจี่ ะมาเปน็ เหตใุ หท้ ะเลาะ กัน  แต่พออยู่ในบ้านนานๆ  เห็นหน้ากันทั้งวันทั้งคืน  เรื่องเล็กๆ  น้อยๆ ก็กลายเป็นเร่ืองใหญ่ขึ้นมา  เรื่องหยุมหยิม  เช่น  พูดจาไม่ไพเราะ  เปิด โทรทัศน์ดัง  หรือว่าท�ำอาหารเช้าไม่ถูกปาก  ก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา บางคร้ังถึงกับหย่าร้างกันไป  ก็เพราะพอไม่ได้เกี่ยวข้องกับผู้คนภายนอก มาก  ความเป็นเราเป็นเขา  มันก็เลยเลื่อนมาแบ่งระหว่างผัวกับเมีย  แต่ ถ้ามีคนอ่ืนมาวุ่นวายกับเรื่องราวในบ้าน ความสนใจของผวั กบั เมยี กจ็ ะไปอยทู่ คี่ นนนั้ แทน คนนน้ั กลายเปน็ เขา สว่ นผวั กบั เมยี กเ็ กดิ ความรสู้ กึ เปน็ เราเปน็ พวกเดยี วกนั ทีนี้ก็จะกลมเกลียวไม่ทะเลาะกันแล้ว เป็นอยา่ งนน้ั ไป อยา่ งทบ่ี อกแลว้ วา่  การแบง่ เราแบง่ เขามนั พรอ้ มจะเกดิ ขน้ึ ตลอดเวลา เราต้องไม่เผลอ  ปล่อยให้เส้นแบ่งเราแบ่งเขา  มันตีวงแคบลงเร่ือยๆ  แต่ จะตอ้ งพยายามขยายความเปน็ เราใหก้ วา้ งขน้ึ เรอ่ื ยๆ ใหค้ ลมุ ถงึ คนหมบู่ า้ น อ่ืน  จังหวัดอ่ืน  ภาคอ่ืน  ประเทศอ่ืน  ทวีปอื่น  ศาสนาอ่ืน  เช้ือชาติอื่น เพศอนื่  ลทั ธกิ ารเมอื งอนื่ ดว้ ย และทส่ี �ำคญั กค็ อื คลมุ ไปถงึ ชวี ติ อนื่ ดว้ ย คอื พ ร ะ ไ พ ศ า ล  วิ ส า โ ล 135

รุ่ ง อ รุ ณ ท ี่ ส ุ ค ะ โ ต รวมถึงสรรพสัตว์  ไม่จ�ำกัดเฉพาะมนุษย์เท่านั้น  เห็นสรรพสัตว์  รวมทั้ง สรรพชีวิตเป็นเพือ่ นเกิด แก่ เจบ็  ตาย ร่วมสงั สารวฏั เวลาแผ่เมตตา  สวด สัพเพสัตตา  เราไม่ได้แผ่ความปรารถนาดีไป ใหแ้ กค่ นในชาตเิ ดยี วกนั เทา่ นนั้  แตย่ งั แผไ่ ปใหค้ นทง้ั โลก สตั วท์ ง้ั โลกรวม ทงั้ ในภพนแี้ ละภพอน่ื ดว้ ย เราควรขยายความเปน็ เราออกไป และจะดที ส่ี ดุ ถ้าขยายออกไปจนกระทงั่ ไม่มีความเป็นเราเป็นเขาเลย จะท�ำอย่างน้ันได้ ก็ต้องทำ� ใหไ้ ม่มคี วามเป็นตัวฉัน หรอื ตวั กขู องกูเกิดข้ึนมา ท้ังหมดน้ีถ้าจะพูดแล้ว  ตัวการส�ำคัญท่ีสุดที่ท�ำให้เกิดการแบ่งเรา และเขาก็คือสัญชาตญาณส่วนลึก  อันได้แก่ความรู้สึกเป็นตัวกูของกู หรอื ความสำ� คญั มนั่ หมายในอตั ตา ทเ่ี รยี กวา่ อตั วาทปุ าทาน น่ีเอง  บางทีเราก็เรียกสั้นๆ  ว่าอัตตา  พอมีความรู้สึก ตัวกูของกูขึ้นมา  มันก็พร้อมจะแบ่งเป็นเราเป็นเขา ข้ึนมา  เร่ิมจากแบ่งว่า  น่ีฉัน  นั่นคนอื่น  เป็นคนละ พวกกัน  จากน้ันก็ขยายไปยึดว่า  น่ีครอบครัวของ ฉัน  ครอบครัวคือฉัน  พ้นไปจากน้ันคือคนอ่ืน พวกอ่ืน  ถ้าไปโรงเรียน  อัตตามันก็จะไปยึดว่าน่ี โรงเรียนของฉัน  โรงเรียนเป็นตัวฉัน  ใครมาด่า 1 3 6 ไ ป พ้ น จ า ก ก า ร แ บ ่ ง แ ย ก

รุ่ ง อ รุ ณ ท ่ี ส ุ ค ะ โ ต โรงเรียนฉันก็เท่ากับด่าตัวฉันด้วย  แต่ถึงไม่ด่า  ถ้าไม่อยู่โรงเรียนเดียว กับฉัน  ก็เป็นคนละพวก  จะเห็นได้ว่า  อัตตาพอมันเกิดข้ึนหรือพอเกิด ความส�ำคัญม่ันหมายในตัวกูของกูแล้ว  มันก็พร้อมจะแบ่งเป็นกูเป็นมึง เป็นพวกกูพวกมึง  เป็นเราเป็นเขา  มันหาเรื่องแบ่งได้ตลอด  เพียงแค่อยู่ คนละวัยกัน  ก็ถือว่าเป็นพวกอ่ืน  ถ้าอยู่วัยเดียวกัน  ก็เป็นพวกเดียวกัน เปน็ พวกกู การแบง่ เราแบง่ เขานีม้ ันเกิดขน้ึ ตลอดเวลา ตราบใดที่มคี วาม สำ� คญั มน่ั หมายในอัตตา ในตวั กูของกู ดว้ ยเหตนุ จ้ี งึ อยากจะเชญิ ชวนพวกเรามาทำ� ลายความเปน็ ตวั กขู องกู ให้หมดไป  ตรงน้ีมันจะเป็นฐานให้เกิดสันติภาพ  คือความสงบสุขอย่าง แทจ้ รงิ ทง้ั ในโลกและในชวี ติ เรา ขอใหต้ ระหนกั วา่  ตราบใดทตี่ วั ฉนั ยงั มอี ยู่ กย็ งั ไมป่ ลอดภยั  แมจ้ ะพยายามขยายความเปน็ ตวั ฉนั ใหก้ วา้ งขวางขนาด ไหน แต่วันดีคืนดีเส้นแบ่งเราแบ่งเขาก็อาจหดกลับทำ� ให้เกิดเราเกิดเขา ขึ้นมา  แม้กระทั่งในวัดเดียวกันหรือในครอบครัวเดียวกัน  เกิดเป็นการ ทะเลาะววิ าทบาดหมางกนั ขน้ึ มาใหม ่ ตอ่ เมอื่ ละเลกิ ความรสู้ กึ วา่ ตวั กขู องกู เสียได ้ ถงึ จะมสี ันติสุขอยา่ งแท้จริง พ ร ะ ไ พ ศ า ล  วิ ส า โ ล 137



รุ่ ง อ รุ ณ ท ่ี ส ุ ค ะ โ ต คุณค่าแหง่ ปัจจุบัน บรรยายวนั ที่ ๖ กนั ยายน ๒๕๔๕ การปฏิบัติภาวนาตามหลักพุทธศาสนาท่ีเราเรียกว่าท�ำกรรมฐาน  สมาธิ ภาวนาหรือการบ�ำเพ็ญเพียรทางจิต  จุดหมายเบื้องต้นก็คือหาท่ีพัก ให้กับจิตใจของเรา  จิตใจของเราที่ผ่านมาอาจจะระเหเร่ร่อนไปโน่นไปน่ี ดน้ิ รนกระเสอื กกระสน เรยี กวา่ เรร่ อ่ นจรจดั กว็ า่ ได ้ หลวงพอ่ ค�ำเขยี นทา่ น เรยี กหนกั ยงิ่ กวา่ นน้ั  ทา่ นเรยี กวา่  จติ สำ� สอ่ น หรอื โสเภณจี ติ  เรามาปฏบิ ตั ิ ก็เพื่อหาที่พักให้กับจิตใจของเรา  เขาจะได้ไม่ตะลอนๆ  ออกไปข้างนอก แล้วก็ไปติดกับดักแห่งโลภะ  โทสะ  โมหะ  ถึงแม้จะหลุดมาได้  แต่ก็ไม่ได้ หลดุ มาเปลา่ ๆ มกั จะควา้ เอาความทกุ ขก์ ลบั มาใหเ้ รา เอาไฟโทสะ ไฟโลภะ ไฟโมหะมาเผาลนจติ ใจของเราจนหาความสงบไม่ได้ พ ร ะ ไ พ ศ า ล  วิ ส า โ ล 139

รุ่ ง อ รุ ณ ท ี่ ส ุ ค ะ โ ต ในการปฏิบัติน่ีเราต้องการหาท่ีพักเพื่อให้จิตใจของเราได้กลับมา อยู่เป็นท่ีเป็นทาง  เพื่อให้เกิดความต้ังมั่น  ความสงบและพบกับความสุข ทีน้ีบ้านซึ่งเป็นที่พักจิตคืออะไร  ถ้าพูดแบบรวบรัดก็คือ  ปัจจุบันขณะ ปัจจุบันขณะหมายถึงอะไร  หมายถึงท่ีน่ี  หมายถึงตรงน้ี  รวมถึงส่ิงที่เรา กำ� ลงั ทำ� ในขณะนด้ี ว้ ย การทำ� ใหจ้ ติ กลบั มาสปู่ จั จบุ นั ขณะ ใหก้ ลบั มาสทู่ นี่ ี่ เดย๋ี วน ้ี และสง่ิ ทก่ี ำ� ลงั ทำ� ขณะนเี้ ปน็ เรอื่ งสำ� คญั มาก มนั เปน็ หวั ใจของการ มชี วี ติ ทผ่ี าสกุ  และมกี ำ� ลังในการท�ำสิ่งต่างๆ ให้บรรลผุ ลด้วยดี ท�ำไมจึงพูดอย่างน้ัน  ก็เพราะถ้าเราพิจารณาดูความทุกข์ที่เกิดขึ้น กบั เราสว่ นใหญ ่ ลว้ นเปน็ เพราะเราไปอยกู่ บั อดตี  หรอื ไมก่ ไ็ ปอยกู่ บั อนาคต ความทกุ ขข์ องคนเราน ี่ มกั เกดิ จากการไปหมกมนุ่ กบั อดตี  หรอื ไมก่ ก็ งั วล เร่ืองอนาคต  เช่น  กังวลเร่ืองงานการ  ห่วงว่าเม่ือไหร่จะเสร็จ  อีกตั้งนาน กว่าจะถึง  เสร็จแล้วก็ไม่รู้เป็นไง เจา้ นายเขาจะวา่ หรอื เปลา่  หรอื ไมก่ ็ ไปกลุ้มอกกลุ้มใจกับเร่ืองที่ผ่านมา ท�ำไมเขาต้องว่าฉันอย่างนั้นด้วย  โธ่! ไม่น่าท�ำพลาดเลย”  โทษตัวเองไม่เลิก หรือไม่ก็ยังโทษคนอ่ืนอยู่  น่ีเรียกว่า ไมไ่ ดอ้ ยกู่ บั ปจั จบุ นั  บางทกี ไ็ ปกงั วลกบั 1 4 0 คุ ณ ค่ า แ ห ่ ง ป ั จ จ ุ บ ั น

รุ่ ง อ รุ ณ ท ่ี ส ุ ค ะ โ ต เรื่องนอกตัวที่ไกลเกินเอื้อม  เช่น  อยู่ท่ีนี่แต่ไปห่วงกังวลลูกหลานท่ีบ้าน ห่วงการงานที่ค่ังค้างอยู่ขณะน้ี  แต่มันคนละท่ีกับเราท่ีเราอยู่ตอนน้ี  น่ีก็ ไม่เรยี กวา่ เปน็ ปจั จบุ นั ปัจจุบันคือที่นี่  ขณะนี้  และส่ิงที่เราท�ำอยู่ตอนน้ี  ท�ำอะไรอยู่ตอนนี้ ตอนนกี้ ำ� ลงั นงั่ อย ู่ กำ� ลงั ฟงั อย ู่ เรากม็ จี ติ จดจอ่ อยกู่ บั สง่ิ ทเี่ ราไดย้ นิ  ถา้ เรา ปล่อยใจฟุ้งซ่านเม่ือไร  ปล่อยใจออกจากศาลานี้เมื่อไหร่  นั่นก็ไม่เรียกว่า อยู่กับปัจจุบัน  และพอไม่ได้อยู่กับปัจจุบันเม่ือไหร่  ความทุกข์ก็ตามมา บางคนบอกวา่ ไมท่ กุ ข ์ สขุ ตา่ งหาก เพราะใจไปนกึ ถงึ ความสนกุ เมอื่ อาทติ ย์ ท่ีแล้ว  ได้ไปเที่ยวโน่นเที่ยวน่ี  นึกถึงท่ีท่ีเคยไป  เช่น  ตะรุเตา  เขาใหญ่ ภูหลวง  นึกถึงภาพวิวทิวทัศน์งดงามท่ีน่ัน  จิตใจก็สบาย  อันนั้นก็จริงอยู่ มันสุขแต่ก็สุขช่ัวคราว  เพราะถ้าปล่อยใจให้มันฟุ้งซ่านไปได้ง่าย  ต่อไป มนั กอ็ าจจะฟงุ้ ไปในเรอื่ งทไี่ มน่ า่ พอใจ ทำ� ใหเ้ ปน็ ทกุ ข ์ จะหา้ มกห็ า้ มไมไ่ ด้ เพราะมันมีนิสัยชอบฟุ้งเสียแล้ว  จิตที่ฟูง่าย  มันก็ฟุบง่ายเหมือนกัน  ถ้า ลอยอยู่บนฟ้าสูงมากเท่าไร  เวลาตกลงพ้ืนมันก็เจ็บมากเท่าน้ัน  แต่ถ้าอยู่ บนพื้นก็ไม่ต้องกลัวว่าจะตกมาเจ็บ  จิตท่ีไม่ฟูไม่แฟบเป็นปกติ  เป็นจิตที่ มีความสุขลึกๆ  เรียบๆ  เหมือนกับเรากินน้�ำเปล่า  น้�ำเปล่าไม่มีรสชาติ ไมม่ สี สี นั แตม่ นั กนิ ไดน้ าน นำ�้ หวานนำ้� อดั ลมกนิ มากๆ เปน็ อยา่ งไร ฟนั ผุ ความดนั ขนึ้  เบาหวานถามหา คนเราถงึ ทสี่ ดุ กห็ นไี มพ่ น้ นำ�้ จดื หรอื นำ้� ฝน พ ร ะ ไ พ ศ า ล  วิ ส า โ ล 141

รุ่ ง อ รุ ณ ท ่ี ส ุ ค ะ โ ต นเี้ ปน็ ของแทท้ ชี่ วี ติ ตอ้ งการ ความปกตจิ ากการอยกู่ บั ปจั จบุ นั  ไมฟ่ ไู มแ่ ฟบ ก็เช่นกนั  มันชนื่ ใจและยั่งยืนกว่า สำ� หรบั ผปู้ ฏบิ ตั ใิ หม ่ การอยกู่ บั ปจั จบุ นั  อยกู่ บั อริ ยิ าบถหรอื งานการ ทเ่ี รากำ� ลงั ทำ� ขณะนไ้ี มใ่ ชเ่ รอ่ื งงา่ ย ใจมนั มแี ตจ่ ะฟงุ้  ทำ� งานประเดยี๋ วเดยี ว มนั กแ็ วบไปเลว้  กำ� ลงั กนิ ขา้ วอย ู่ แทนทจี่ ะอยกู่ บั การกนิ ขา้ วซง่ึ เปน็ ปจั จบุ นั มันกลับฟุ้งไปโน่นไปน่ี  ส�ำหรับคนใหม่  การมีสติอยู่กับงานการเป็นเร่ือง ยาก  ด้วยเหตุนี้เราจึงสร้างอิริยาบถง่ายๆ  ข้ึนมา  ได้แก่  การเคล่ือนไหว การสร้างจังหวะ  การเดินจงกรม  อันนี้เรียกว่า  การสร้างปัจจุบันเพ่ือให้ เปน็ ทอี่ ยขู่ องจติ  ใหถ้ อื เอาวา่  การสรา้ งจงั หวะ การเดนิ จงกรม เปน็ ปจั จบุ นั ที่เราสร้างข้ึนมาเพ่ือให้จิตมาอยู่  อยู่ดีๆ  จะให้เรามีสติอยู่กับงานการ หรือกิจวัตรต่างๆ  มันท�ำยาก  เพราะงานการหรือกิจวัตรเหล่านี้  ไม่ว่าจะ เป็นการล้างจาน  ถูบ้าน  ซักผ้า  กินข้าว  เราคุ้นกับการฟุ้งซ่านเวลาท�ำ กิจกรรมเหล่าน้ีมานานแล้ว  ลงมือท�ำเมื่อไหร่ก็ฟุ้งเมื่อนั้น  ฉะน้ันจึงต้อง เอาอริ ยิ าบถท่งี า่ ยๆ พื้นๆ มาเป็นบ้านให้จติ ได้พกั พงิ ฟุ้งซ่านเม่ือไหร่ให้กลับมาที่ความรู้สึกจากการเดินและการสร้าง จังหวะ  จะฟุ้งซ่านแค่ไหน  คิดไปไกลแค่ไหน  มากน้อยแค่ไหนไม่ส�ำคัญ ขอให้กลับมาก็แล้วกัน  ความก้าวหน้าในการปฏิบัติของเราไม่ได้อยู่ท่ีว่า 1 4 2 คุ ณ ค่ า แ ห ่ ง ป ั จ จ ุ บ ั น

รุ่ ง อ รุ ณ ท ี่ ส ุ ค ะ โ ต จิตมันสงบแค่ไหน  จิตคิดน้อยแค่ไหน  น่ันไม่ใช่ตัววัดความก้าวหน้าของ การปฏบิ ตั  ิ ความกา้ วหนา้ ของการปฏบิ ตั แิ บบเจรญิ สต ิ อยทู่ ว่ี า่ จติ ไดก้ ลบั มาสู่อิริยาบถปัจจุบันแค่ไหน  ฟุ้งไปมากแต่ว่ากลับมาไว  กลับมาบ่อยๆ จะเป็นโอกาสให้สติได้เติบโตไวขึ้น  เพราะหน้าที่ของสติคือ  การระลึกได้ แล้วกลับมาเร็ว  สติคือความระลึกได้  เมื่อจิตระลึกได้ว่าก�ำลังฟุ้ง  ก�ำลัง หลุดออกจากปัจจุบัน  ไปอยู่กับอดีตหรืออนาคต  เม่ือระลึกได้ก็กลับมาสู่ การเคลื่อนไหว  การเดินจงกรม  สร้างจังหวะ  หรือตามลมหายใจ  การ กลับมานี้แหละจะช่วยให้สติเจริญงอกงามมากขึ้น  เป็นการฝึกสติให้ไว เป็นการสร้างนิสัยใหม่คือ  นิสัยที่อยู่กับปัจจุบัน  นิสัยท่ีไม่ลืม  รู้สึกตัว ทว่ั พร้อมอย่เู สมอ ตอนนี้เราก�ำลังอยู่ในสภาวะที่ว่าก�ำลังลบล้างนิสัยเดิมที่สะสมกัน มาหลายสิบปี  ตลอดช่ัวอายุของเราจนถึงปัจจุบันก็ว่าได้  การละนิสัยเก่า ไม่ใช่เร่ืองง่าย  ฉะน้ันจึงไม่ต้องแปลกใจที่ใจมันลอยออกข้างนอกตลอด เวลา ไปอดตี บา้ ง ไปอนาคตบา้ ง กลบั ไปกรงุ เทพฯ บา้ ง ไปบา้ นบา้ ง การ ทวนนิสัยเดิมๆ  ไม่ใช่เรื่องง่าย  ต้องใช้เวลาต้องใช้ความพยายาม  ความ อดทน มนั ฟงุ้ ออกไป กใ็ หค้ ดิ วา่ ไมเ่ ปน็ ไร หนา้ ทขี่ องเราคอื  “รสู้ กึ ตวั ” รวู้ า่ เผลอเม่ือไหร่  ก็ให้กลับมา  การกลับมาบ่อยๆ  น้ีแหละ  จะช่วยลบล้าง นสิ ยั เกา่ ๆ เพราะเมอื่ จติ กลบั มาสปู่ จั จบุ นั บอ่ ยๆ จติ กจ็ ะเรร่ อ่ นจรจดั นอ้ ยลง พ ร ะ ไ พ ศ า ล  วิ ส า โ ล 143

รุ่ ง อ รุ ณ ท ี่ ส ุ ค ะ โ ต อยู่กับเนื้อกับตัวมากขึ้น  เกิดเป็นความรู้ตัวทั่วพร้อมมากข้ึน  ความคิดท่ี เผลอคิดจะเร่ิมส้ันลง  จากที่เคยฟุ้งยาวเป็นขบวนรถไฟ ก็ค่อยๆ  หดสั้น  จาก  ๑๕  ขบวน  ก็เหลือ  ๑๔,  ๑๓, ๑๒, ๑๑ ขบวน จนกระทง่ั เหลอื ไมก่ ข่ี บวน พอคดิ ปบุ๊ ก็รู้ปั๊บ  แล้วกลับมา  กลับมาที่ไหน  กลับมาที่อิริยาบถปัจจุบัน เมอ่ื จติ กลบั มาบอ่ ยๆ จนกระทงั่ เปน็ ความเคยชนิ  เปน็ นสิ ยั  ความฟงุ้ กจ็ ะ ลดลงไปเร่อื ยๆ นหี่ มายถงึ จิตมที ี่พกั แล้ว จิตมีบา้ นแล้ว เม่ือมีบ้านแล้วเป็นยังไง  ก็เกิดความอบอุ่นขึ้นมา  เกิดความสงบ มีก�ำลังเพราะได้พักผ่อน  แต่ก่อนมันคิดฟุ้งตลอดเวลา  คิดเร่ียราด  มันก็ เหนอื่ ยส ิ คนทเ่ี รร่ อ่ นจรจดั ตะลอนไมร่ จู้ กั หยดุ  กย็ อ่ มเหนอ่ื ยลา้  แตพ่ อจติ อยู่เป็นท่ีเป็นทาง  ก็เร่ิมสงบมีก�ำลังสดชื่นแจ่มใส  จะท�ำอะไรก็ท�ำได้ด้วย ความตัง้ มั่นและมปี ระสิทธภิ าพ ในการปฏบิ ตั อิ ยา่ งทหี่ ลวงพอ่ เทยี นสอน เราไมไ่ ดเ้ นน้ ความสงบ ถา้ เน้นความสงบ  ก็จะพยายามห้ามความคิด  ไม่ให้มันคิด  ไม่ให้มันฟุ้ง  แต่ การไปห้ามความคิดน่ี  ถามว่าช่วยให้สติมันโตไหม  มันไม่ช่วย  เพราะสติ ไมไ่ ดถ้ กู ใช ้ ไมไ่ ดถ้ กู ฝกึ ใหท้ �ำงานบอ่ ยๆ มนั กเ็ ลยออ่ นแอ เหมอื นนกั มวย ที่ไมค่ อ่ ยได้ซ้อมเลย กช็ กไมเ่ ก่ง 1 4 4 คุ ณ ค่ า แ ห ่ ง ป ั จ จ ุ บ ั น

รุ่ ง อ รุ ณ ท ี่ ส ุ ค ะ โ ต จิตท่ีสงบไม่มีความคิด  ใช่ว่าจะดีเสมอไป  เพราะว่าอาจเป็นความ สงบทข่ี าดสตกิ ไ็ ด ้ หมายความวา่ กำ� ลงั สงบอยดู่ ๆี  พอมเี สยี งฟา้ รอ้ ง เสยี ง กิ่งไม้ตกลงมากระแทกหลังคาก็ตกใจสะดุ้ง  หรือพอมีคนมาเรียกกลางดึก ขณะก�ำลังเพลินกับความสงบในสมาธิก็สะดุ้งข้ึนมา  อย่างน้ีเรียกว่าเป็น สมาธิทไ่ี มม่ สี ติ เราอย่าเพ่ิงเอาสมาธิตอนน้ี  เราเอาสติไว้ก่อน  คือ  ความระลึกได้ ความรู้ตัว  ความระลึกได้และความรู้ตัวนี่จะน�ำไปสู่ความสงบเอง  เป็น ความสงบที่เกิดจากสติ  เป็นความสงบท่ีเกิดจากละวาง  ความคิดฟุ้งซ่าน แค่ไหนก็ไปไม่ไกล  เพราะถูกสติเรียกกลับมา  เป็นความสงบเพราะจิตมี ท่พี ักอยกู่ บั ปจั จุบนั  ดว้ ยการกำ� กบั ดแู ลของสติ ฉะน้ันอย่าไปกังวลว่าท�ำท้ังวันท�ำไมมีแต่ความคิด  นั่นไม่เป็นไร คดิ เมอื่ ไหรก่ ลบั มากแ็ ลว้ กนั  ปฏบิ ตั ไิ ปเถดิ  บางคนไมม่ คี วามคดิ ออกมาเลย หลวงพอ่ เทยี นทา่ นกจ็ ะแนะใหท้ ำ� ความเคลอ่ื นไหวใหเ้ รว็ ขนึ้  เพอ่ื ใหค้ วามคดิ มนั ออกมา สตจิ ะไดม้ งี านทำ�  เหมอื นนกั มวยทมี่ คี ซู่ อ้ มเสมอ สตกิ ต็ อ้ งการ คู่ซ้อม  คู่ซ้อมคืออะไร  ก็คือความคิดฟุ้งซ่าน  พอมันฟุ้งไป  รู้ตัวกลับมาๆ ทำ� แบบนบี้ อ่ ยๆ สตจิ ะไว คณุ สมบตั ขิ องสตทิ ดี่ คี อื  “เคลอ่ื นไหวเรว็ ” เหมอื น ลกู ศรแลน่ ไปไดเ้ รว็  ตา่ งจากสมาธ ิ ซึ่งมีลักษณะตั้งม่นั น่ิงสงบมีก�ำลงั  สติ พ ร ะ ไ พ ศ า ล  วิ ส า โ ล 145

รุ่ ง อ รุ ณ ท ี่ ส ุ ค ะ โ ต มลี กั ษณะวอ่ งไว รวดเรว็  ระลกึ ไดไ้ ว รทู้ นั ความคดิ และอารมณค์ วามรสู้ กึ ไดร้ วดเรว็  จะรทู้ นั ได ้ กเ็ พราะมคี ซู่ อ้ มอยบู่ อ่ ยๆ แตใ่ นขณะทเี่ ราเรมิ่ ปฏบิ ตั ิ ใหมๆ่  อยา่ เพง่ิ หาคซู่ อ้ ม เพราะเพยี งแคใ่ หอ้ ยกู่ บั อริ ยิ าบถเฉยๆ กห็ นกั หนา สาหัสอยู่แลว้  ส่วนความคดิ จะฟ้งุ ไปแค่ไหน อย่าเพ่ิงสนใจมัน อย่างไรก็ตามเพ่ือช่วยการปฏิบัติ  ที่น่ีเราพยายามสร้างเหตุปัจจัย ให้ความคิดแล่นช้าลง  ไม่ฟุ้งง่ายเกินไป  การที่เรามีข้อก�ำหนดให้ไม่พูด ไม่คุยกัน  ไม่ต้องอ่านหนังสือ  ไม่มีโทรทัศน์ให้ดู  เหล่าน้ีก็เพื่อช่วยท�ำให้ ความคิดช้าลง  การอยู่ในบรรยากาศแบบนี้  ความคิดจะช้าลงโดยปริยาย เพราะสิ่งกระตุ้นผัสสะมีน้อย  เมื่อจิตมีสิ่งกระตุ้นน้อยก็ฟุ้งซ่านน้อยลง ความคดิ แลน่ ชา้ ลงไมอ่ อกมามาก สตทิ ง่ี มุ่ งา่ มเชอื่ งชา้ กพ็ อจะสกู้ บั มนั ไหว คอื พอจะไลต่ ามทนั มนั บา้ ง เรยี กวา่ พอฟดั พอเหวย่ี งกนั  ถา้ มสี ง่ิ กระตนุ้ จติ มาก  ความคิดจะออกมามากและเร็ว  สติที่งุ่มง่ามจะไล่ตามไม่ทัน  มันก็ จะแพ้อยู่รำ่� ไป ผปู้ ฏบิ ตั ิก็จะเกดิ ความท้อถอยได้ง่าย แต่ถ้าพยายามท�ำให้ ความคดิ มนั เฉอื่ ยลง สตกิ จ็ ะตามทนั ความคดิ และมกี ำ� ลงั มากขนึ้  จนกระทง่ั ความคดิ เพยี งแคโ่ ผลอ่ อกมา ไปไมถ่ งึ ไหนกถ็ กู สตติ ามทนั  จนไมอ่ ยากจะ ออกมาเลย  ถึงตอนน้ันเราค่อยกระตุ้นความคิดให้ออกมาบ้าง  เช่น  เดิน ให้ไวข้ึน  สร้างจังหวะให้เร็วขึ้น  แต่น่ันมันส�ำหรับผู้ที่มีประสบการณ์แล้ว เปน็ การฝกึ ในข้ันตอนต่อไป 1 4 6 คุ ณ ค่ า แ ห ่ ง ป ั จ จ ุ บ ั น

รุ่ ง อ รุ ณ ท ่ี ส ุ ค ะ โ ต ถ้าเราปฏิบัติอย่างถูกวิธี  การสร้างจังหวะการเดินจงกรมมันจะเป็น บ้านของเรา  เป็นท่ีพักเป็นเสาหลักเป็นเสาพิง  มันไปไหน  มันออกไป ขา้ งนอกเมอื่ ไหร ่ มนั ร ู้ มนั กก็ ลบั มา พอเหน็ ไมม่ ที พี่ งิ ทยี่ ดึ มน่ั  มนั กไ็ ปตอ่ อันนค้ี อื เหตผุ ลว่า ทำ� ไมตอ้ งสร้างอิรยิ าบถเคลอ่ื นไหวเสมอ อยา่ ไปยดึ ตดิ อยแู่ คอ่ ริ ยิ าบถ ๒ อยา่ ง คอื สรา้ งจงั หวะกบั เดนิ จงกรม เท่านั้นไม่พอ  เพราะเวลาเรากินข้าวถูฟันเราสร้างจังหวะไม่ได้  เราก็ต้อง ใชก้ ารเคลอื่ นไหวในอริ ยิ าบถนนั้ ๆ แหละเปน็ ทใ่ี หจ้ ติ มาเกาะ เวลาอยเู่ ฉยๆ ก�ำลังคลายอิรยิ าบถ อย่าอย่เู ปล่าๆ ใหค้ ลงึ นิว้ ไปด้วย ใหจ้ ิตมที เ่ี กาะที่ยึด ถ้าอยู่เฉยๆ  จิตไม่มีท่ียึด  มันก็จะหนีไปเท่ียว  แล้วคราวน้ีก็ต้องเสียเวลา ไปตามมาอกี  ตอนปฏบิ ตั ใิ หมๆ่  เรากใ็ ชอ้ ริ ยิ าบถการเคลอ่ื นไหว ทง้ั ทจ่ี งใจ สร้างและท่ีเกิดข้ึนเองโดยธรรมชาติให้เป็นที่เกาะของจิต  แล้วถ้าจิตของ เราเปล่ียนนิสัยใหม่  คือหมั่นกลับมาอยู่กับปัจจุบันได้  ถึงตอนน้ันแล้ว เวลาเราเปลี่ยนจากการท�ำงานทางกาย  หรือการเคลื่อนไหวอิริยาบถ มาเป็นการท�ำงานทางความคิด  เราก็สามารถใช้ความคิดอย่างมีสติได้ คือก�ำกับใจให้อยู่กับเร่ืองที่คิดไม่วอกแวกไปไหน  หรือเวลาเราพูดเราคุย ตอนคุยกันก็ไม่ต้องสร้างจังหวะ  ไม่ต้องคลึงน้ิว  ให้จิตมาจับอยู่ที่ค�ำพูด มสี ตคิ อยก�ำกบั จติ ใหอ้ ยทู่ ค่ี �ำพดู  ไมใ่ หป้ รงุ ไปทางอน่ื  ไมใ่ ชว่ า่ เขาก�ำลงั คยุ กบั เราอย ู่ ใจเรากลบั ไมไ่ ดฟ้ งั ไมร่ ไู้ ปอยไู่ หน อยา่ งนแี้ สดงวา่ เราไมม่ สี ตแิ ลว้ พ ร ะ ไ พ ศ า ล  วิ ส า โ ล 147

รุ่ ง อ รุ ณ ท ่ี ส ุ ค ะ โ ต หรือว่าก�ำลังอ่านหนังสืออยู่  ปัจจุบันขณะตอนนั้นก็คืออ่านหนังสือ  ไม่ใช่ อ่านไปคลึงนิ้วไป  ไม่ใช่  เราก็เอาการอ่านน้ันเป็นปัจจุบัน  คือมีสติอยู่กับ การอา่ น ไมใ่ ชฟ่ งุ้ ซา่ นไปทางอน่ื  หรอื อา่ นแลว้ เกดิ ความตน่ื เตน้ สยดสยอง กล็ มื ตวั เตลดิ ไปกบั อารมณน์ น้ั  หรอื เพลนิ จนลมื เวลา ไมร่ เู้ วลำ�่ เวลา ไมอ่ ยาก นอนไม่อยากไปทำ� งาน นี่เรียกวา่ ไม่มีสติ อ่านอย่างมีสติคือมีใจจดจ่ออยู่กับการอ่านน้ัน  เวลาเผลอฟุ้งไป ทางอน่ื  กด็ งึ จติ กลบั มาทหี่ นงั สอื  ขณะเดยี วกนั กร็ กั ษาจติ ใจเปน็ ปกต ิ ไมเ่ สยี สมดุล  ไม่จมอยู่กับความเครียด  หรือเผลอไปกับอารมณ์ท่ีเกิดขึ้นจาก การอ่าน  ถึงเวลานอนหรือเวลาท�ำงาน  ก็ปิดหนังสือ  ไปนอน  ไปท�ำงาน เสรจ็ ธุระ กค็ ่อยกลับมาอา่ นใหมก่ ไ็ ด ้ ส่ิงที่เป็นปัจุบันน้ันมันจะเปล่ียนไปเร่ือยๆ  สุดแท้แต่เหตุการณ์  แต่ ถ้าเรารู้หลักการปฏิบัติ  ท�ำอะไรก็ตาม  ไม่ว่าเป็นการใช้อริยาบถทางกาย หรือการใช้ความคิด  ก็ให้เอาส่ิงนั้นเป็นปัจจุบัน  แล้วให้มีสติอยู่กับส่ิงน้ัน เวลาเราจะทบทวนการงานท่ีเคยท�ำในอดีต  เราก็ท�ำได้อย่างมีสติ  อย่างนี้ ไม่เรียกว่าอยู่กับอดีต  การอยู่กับปัจจุบัน  ไม่ได้หมายความว่า  ห้ามกลับ ไปทบทวนเรื่องที่ผ่านมา  หรือห้ามการวางแผนในอนาคต ถ้าเราท�ำอย่างมีสติ  การกลับไปประเมินผลงานในอดีต  หรือ 1 4 8 คุ ณ ค่ า แ ห ่ ง ปั จ จ ุ บ ั น

รุ่ ง อ รุ ณ ท ี่ ส ุ ค ะ โ ต การกลับไปวางแผนส�ำหรับอนาคต  ก็ถือว่าเป็นปัจจุบัน  คือ  เป็นงานท่ี เรากำ� ลงั ทำ� อยใู่ นปจั จบุ นั ขณะ ถา้ มสี ตจิ ะชว่ ยใหท้ บทวนอดตี หรอื วางแผน อนาคตได้ดี  ไม่วอกแวกกังวล  หรือวิตกว่าจะผิดพลาดอย่างอดีต  ไม่เอา ความผดิ พลาดในอดตี มาหลอกหลอนจนเกร็งไปหมด การอยู่กับปัจจุบันน้ีเป็นเร่ืองส�ำคัญ  ถ้าเราอยู่กับปัจจุบันอย่างนี้ได้ การท�ำงานท�ำการจะสนุกมากเลย  คนท่ีท�ำงานไม่สนุกก็เพราะชอบคิดถึง อนาคต  คิดอยู่นั่นแหละว่าเม่ือไหร่จะเสร็จสักที  จะได้ไปเท่ียวหรือจะได้ เงินค่าตอบแทน  บางทีก็ไปห่วงล่วงหน้าว่าถ้างานออกมาไม่ดีเราจะต้อง โดนเล่นงานแน่ๆ  คิดแบบน้ีก็ท�ำให้เครียดได้  หรือไม่เวลาปฏิบัติก็คิดอยู่ น่ันแหละว่าอีก  ๒  วัน  เราก็ต้องกลับบ้านแล้ว  ตอนนี้ ยังปฏิบัติได้ไม่ถึงไหนเลย  ไปห่วงกับอนาคตแบบนี้ก็ ท�ำให้ทุกข์กับการปฏิบัติได้  คนท่ีปฏิบัติโดยไม่พะวงถึง วนั กลบั  คดิ แตว่ า่ จะทำ� ตอนนใี้ หด้  ี แบบนจี้ ะปฏบิ ตั โิ ดยไมเ่ ครยี ด หรือเวลาท�ำงานก็คิดแต่ว่าจะท�ำตอนนี้ให้ดี  ข้างหน้าจะเป็น อย่างไรไม่สนใจ  งานจะเหลืออีกมากเท่าไหร่ก็ไม่เอา มาเปน็ อารมณ ์ ถา้ ท�ำใจไดแ้ บบนก้ี จ็ ะสนกุ กบั การท�ำงาน พ ร ะ ไ พ ศ า ล  วิ ส า โ ล 149


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook