รุ่ ง อ รุ ณ ท ่ี ส ุ ค ะ โ ต เหมอื นกบั เวลาเราเดนิ เทา้ ถา้ ใจเราไปอยทู่ เ่ี ปา้ หมายแลว้ ทงั้ ทเ่ี รา ยงั อยแู่ คก่ ลางทาง เราจะเหนอื่ ยไดง้ า่ ย ไมใ่ ชเ่ หนอื่ ยกายแตเ่ หนอ่ื ยใจ พอ เราไปคิดถึงอนาคตหรือจุดหมายปลายทางเม่ือไหร่ จะเกิดอะไรข้ึน เรา จะรสู้ กึ รน กงั วลวา่ เมอ่ื ไหรจ่ ะถงึ สกั ทนี ะ คนเราทกุ ขเ์ พราะเหตนุ เ้ี ยอะเลย ทกุ ขเ์ พราะการเดนิ ทกุ ขเ์ พราะการทำ� งาน เพราะเราไมอ่ ยกู่ บั ปจั จบุ นั แต่ ถา้ เราอยกู่ บั ปจั จบุ นั อยกู่ บั การเดนิ แตล่ ะกา้ ว อยกู่ บั การทำ� งานแตล่ ะขณะ ไม่ค่อยชะเง้อมองว่าเสร็จแล้วยังๆ เราจะไม่เหนื่อยกับการเดินหรือการ ทำ� งาน ยงิ่ ถา้ มสี ตจิ ดจอ่ กบั การเดนิ หรอื การท�ำงานอยา่ งตอ่ เนอ่ื งดว้ ยแลว้ จะเกดิ สมาธขิ ึ้น จติ สงบเป็นสุข ท�ำให้เพลนิ กับการเดนิ หรอื การทำ� งาน ขอใหร้ ะลกึ วา่ จดุ หมายอยทู่ ปี่ ลายเทา้ ไมใ่ ชอ่ ยขู่ า้ งหนา้ ให้เอาแต่ละก้าวเป็นจุดหมาย ย่างแต่ละก้าวก็เท่ากับถึง จุดหมายของแต่ละก้าวแล้ว สติจะช่วยให้เราตระหนักว่า เรา ถึงจุดหมายทุกย่างก้าว เดินอย่างมีสติ มันต่างจากการเดิน ของคนท่ัวไป ท่ีคิดจะไปให้ถึงไวๆ ก็เลยจ้�ำเอาๆ เลยเหนื่อย แต่ถ้าเดินอย่างมีสติทุกขณะ มันถึงอยู่แล้ว ในเวลา เดียวกันทุกขณะก็เป็นการผ่อนคลายไปในตัว ถึงทุกก้าว และไดพ้ ักทกุ กา้ ว 1 5 0 คุ ณ ค่ า แ ห ่ ง ป ั จ จ ุ บ ั น
รุ่ ง อ รุ ณ ท ่ี ส ุ ค ะ โ ต สมัยท่ีท่านอาจารย์พุทธทาสยังมีชีวิตอยู่ สวนโมกข์มีการก่อสร้าง ศาลาและตึก คนก็ชอบมาถามท่านว่าเมื่อไหร่จะสร้างเสร็จสักที ท่าน ก็ตอบว่า เสร็จทุกวันแหละ สร้างทุกวันก็เสร็จทุกวัน แต่ละขณะน่ีถ้าเรา มองใหเ้ ป็นก็เสรจ็ อยทู่ ุกขณะ เดนิ แตล่ ะกา้ วกถ็ งึ ทุกกา้ ว การท�ำงานถ้าเรามีสติก็เสร็จถึงทุกขณะ แต่เมื่อไหร่เราเผลอไผล ไถลไปคดิ ถงึ อนาคตวา่ เมอ่ื ไหรม่ นั จะเสรจ็ สกั ท ี กเ็ ตรยี มใจทกุ ขไ์ ดเ้ ลย ถา้ ใจเราอยกู่ บั ปจั จบุ นั เราจะมคี วามสขุ กบั กจิ นนั้ ๆ มคี วามสงบใจและเพลนิ กบั กจิ นน้ั ๆ แตเ่ พลนิ แลว้ อยา่ ลมื เวลำ�่ เวลา ลมื นดั หมาย ลมื นอน ถา้ ลมื ก็ ไมม่ สี ตแิ ลว้ การทำ� งานแมจ้ ะเพลนิ มสี มาธ ิ แตก่ ต็ อ้ งรวู้ า่ เมอ่ื ไหรค่ วรเลกิ การอยู่กับปัจจุบันให้เป็นจะท�ำให้เรามีความสุขในปัจจุบัน โดย ไมต่ อ้ งรอความสขุ จากอนาคต คนเดยี๋ วนท้ี ำ� งานกไ็ มเ่ ปน็ สขุ ในขณะทำ� งาน เพราะไปคอยความสุขเมื่อเสร็จงานแล้ว คิดว่าเสร็จงานแล้วจะได้พักบ้าง หรือได้เงินค่าจ้างบ้าง นี่เรียกว่าคอยความสุขจากอนาคต แต่อนาคตนั้น มันยังมาไม่ถึง ความสุขจากอนาคตมันจึงเป็นแค่ความคิดไม่ใช่ของจริง ขณะเดียวกันของจริงคือ ความสุขในปัจจุบันก็เข้าไม่ถึง เพราะใจไปอยู่ กับอนาคต เป็นอันว่าความสุขในปัจจุบันก็ไม่ได้ ความสุขในอนาคตก็ยัง มาไม่ถึง จงึ อดไดท้ ง้ั ๒ อยา่ ง พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 151
รุ่ ง อ รุ ณ ท ี่ ส ุ ค ะ โ ต ถ้าเราอยู่กับปัจจุบันเป็น คือสามารถชื่นชมและสัมผัสกับความสุข ซงึ่ รอเราอยแู่ ลว้ ขณะน ้ี ตรงน ี้ และจากงานทกี่ ำ� ลงั ทำ� อยตู่ อนน ้ี ตอ่ ไปเรา ก็จะสามารถช่ืนชมและเข้าถึงความสุขจากสิ่งท่ีเรามีอยู่ตอนนี้ เวลาน้ีได้ ไม่ยาก น้ีเป็นเร่ืองส�ำคัญส�ำหรับคนสมัยน้ี เพราะคนเด๋ียวน้ีไม่ค่อยพอใจ ในสิ่งท่ีตนมีตนเป็นเท่าไหร่ คอยคิดแต่ว่าถ้าฉันมีเงินมากกว่านี้ รูปหล่อ กว่านี ้ มีรถคนั ใหญ่กว่านี้ มีบา้ นท่ีหรูหรากวา่ นี้ มีแฟนทีส่ วยกว่าน ้ี มผี ัว ดกี วา่ น ้ี ฉนั จะมคี วามสขุ อยา่ งยงิ่ คนเราชอบคดิ ถงึ สงิ่ ทย่ี งั มาไมถ่ งึ ถา้ คดิ อย่างน้ีจะเกิดอะไรข้ึน สุขในปัจจุบันก็ไม่ได้ สุขในอนาคตก็ยังมาไม่ถึง เรยี กวา่ เสยี สองซอ้ นเลย สขุ ในปจั จบุ นั กไ็ มไ่ ด ้ เพราะไปคดิ เสยี แตแ่ รกแลว้ วา่ ทเี่ รามตี อนนม้ี นั ยงั ดไี มพ่ อ เสรจ็ แลว้ ไปคอยความสขุ จากอนาคต จากเงนิ ก้อนใหม่ จากรถคันใหม่ บ้านหลังใหม่ แฟนคนใหม่ จากต�ำแหน่งใหม่ ซง่ึ ลว้ นเปน็ สิ่งท่ยี ังมาไม่ถงึ สุขในอนาคตก็ยังมาไม่ถงึ สว่ นสขุ ในปัจจบุ ัน ก็ไม่สนใจ กเ็ ลยเสียทงั้ ๒ อยา่ ง มนั จะเหมอื นกบั นทิ านอสี ปทวี่ า่ หมาคาบเนอ้ื กำ� ลงั ขา้ มสะพาน พอ มันมองไปท่ีล�ำห้วย เห็นเงาของมันในน้�ำ ในเงาน้ันมีเนื้อช้ินท่ีคาบอยู่ ในปาก มนั อยากไดเ้ นอ้ื ชน้ิ นนั้ กเ็ ลยอา้ ปาก เพอื่ ทจ่ี ะไปงบั เนอื้ ในเงาน้�ำนน้ั พออา้ ปาก ชนิ้ เนอื้ ทคี่ าบอยกู่ ห็ ลดุ ตกนำ�้ เนอ้ื ในนำ้� กเ็ ลยหายไปเพราะเปน็ แค่เงา มันก็เลยอดทั้ง ๒ อย่าง นี่เป็นเพราะมันไม่พอใจในสิ่งที่มันมีอยู่ 1 5 2 คุ ณ ค่ า แ ห ่ ง ป ั จ จ ุ บ ั น
รุ่ ง อ รุ ณ ท ี่ ส ุ ค ะ โ ต ไปอยากได้เน้ือทเ่ี ป็นแคเ่ งา ถ้ามนั พอใจเนอ้ื ท่ีมนั คาบอยู ่ กส็ บายไปแล้ว คนเราตอ้ งระวงั ถา้ ไมอ่ ยกู่ บั ปจั จบุ นั กจ็ ะเปน็ อยา่ งนแ้ี หละ พลาดทง้ั สุขในปัจจุบันและสุขในอนาคต คนทุกวันนี้ส่วนใหญ่ก็มีความทุกข์เพราะ เหตุน้ี ทุกข์เพราะละเลยความสุขในปัจจุบัน สิ่งท่ีเรามีอยู่ในปัจจุบันถ้า ดูให้ดีมันเป็นสุขอยู่แล้ว แต่เราดูไม่เป็นก็เลยไม่รู้สึกเป็นสุข เราไม่คิด ไม่เฉลียวใจบ้างหรือว่าเราก�ำลังมีสุขอยู่แล้วด้วยสุขภาพขณะนี้ ถ้าเรา ลองล้มป่วยสักที เราถึงจะนึกเสียดายว่า โอ้ ตอนที่เรามีสุขภาพดีไม่เจ็บ ไม่ไข้น้ันเป็นสุขแล้ว พอเราเร่ิมปวดหัวเป็นไข้ถึงค่อยมาได้คิดว่าตอนที่ เราเปน็ ปกตนิ นั้ เปน็ ความสขุ พอความเปน็ ปกตเิ สยี ไป ถงึ เหน็ คณุ คา่ ของ ความปกตวิ า่ เปน็ สขุ ในทำ� นองเดยี วกนั ลมหายใจทเ่ี รามอี ยตู่ อนนเ้ี ปน็ สง่ิ มี ค่าอย่างยิ่ง แต่เราไม่ค่อยเห็นค่าเท่าไหร่ ต่อเม่ือลมหายใจของเราเริ่มจะ ขาดหายไป เราถึงนกึ ไดว้ า่ ทีเ่ รามลี มหายใจอยูน่ ัน้ เป็นสุขอยา่ งยิ่ง เราจะต้องรอให้สูญเสียไปอีกมากเท่าไหร่ ถึงจะค่อยมาเห็นคุณค่า ของสงิ่ ท่ีเรามีอย่ตู อนน ้ี นีเ่ ป็นค�ำถามท่อี ยากจะฝากไวใ้ หค้ ดิ กันดู พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 153
รุ่ ง อ รุ ณ ท ี่ ส ุ ค ะ โ ต คืนความปกติให้แก่จติ ใจ บรรยายวันท ่ี ๗ กนั ยายน ๒๕๔๕ น้�ำฝนช่วยบ�ำรุงเลี้ยงร่างกายได้ดีกว่าน�้ำหวานฉันใด สติก็บ�ำรุงเลี้ยงจิตใจ ไดด้ ีกว่าความคิดปรุงแตง่ ทีน่ า่ เพลดิ เพลนิ ยินดีมีสสี ันฉันน้ัน การมีสติ หมายถึง การอยู่กับปัจจุบันขณะ เป็นสิ่งท่ีพระพุทธเจ้า ทรงสรรเสริญ แต่การอยู่กับปัจจุบันขณะน้ี เราต้องเข้าใจให้ดี เพราะว่า ในบางกรณกี อ็ าจทำ� ใหเ้ รางงได ้ อยา่ งเชน่ เวลาเราเจบ็ ปว่ ย ความเจบ็ ปว่ ย หรอื ความทกุ ขท์ างกายไดเ้ กดิ ขนึ้ แลว้ ขณะน ี้ เชน่ ปวดหวั ปวดทอ้ ง บางคน ก็เลยเข้าใจว่าอยู่กับปัจจุบัน ก็คือการเอาจิตเข้าไปจดจ่ออยู่กับความเจ็บ ความปวด รับความเจ็บปวดเข้าไปจนทุกข์มากขึ้น เช่นน้ีแล้วจะพูดได้ อยา่ งไรวา่ การอยกู่ บั ปจั จบุ นั ขณะทำ� ใหเ้ ปน็ สขุ มนั จะสขุ ไดอ้ ยา่ งไร ในเมอ่ื พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 155
รุ่ ง อ รุ ณ ท ่ี ส ุ ค ะ โ ต จติ ใจไปอยกู่ บั ความเจบ็ ปวดเตม็ ท ี่ สนู้ กึ ถงึ สง่ิ สวยๆ งามๆ ปลอ่ ยใจไปอยู่ กับภาพวิวทิวทัศน์ท่ีงดงาม หรือเสียงเพลงที่ไพเราะไม่ดีกว่าหรือ มันจะ ท�ำให้เราสบายใจ ลืมความเจ็บปวด ดีกว่าท่ีเราจะเอาจิตไปจดจ่ออยู่กับ ความเจบ็ ปวดในแตล่ ะขณะ การอยกู่ ับปัจจบุ นั หมายถงึ การที่เรารับรคู้ วามเจบ็ ความปวดของ ร่างกาย แต่ไม่ใช่ไปจดจ่อ จนกระท่ังหลุดเข้าไปในความเจ็บความปวด ไม่ใช่กายปวด จิตก็ปวดด้วย อันน้ันไม่ใช่อยู่กับปัจจุบันแล้ว น่ีเรียกว่า เข้าไปในความเจ็บความปวดแล้ว เรากลายเป็นผู้ปวดเสียเอง ไม่ใช่เห็น ความปวด ถา้ อยกู่ บั ปจั จบุ นั จรงิ ๆ กค็ อื รบั รคู้ วามเจบ็ ความปวด รบั รอู้ ยู่ ชดั เจน แตข่ ณะเดยี วกนั กเ็ กดิ ความรตู้ วั ทวั่ พรอ้ มดว้ ย เมอื่ รตู้ วั ทว่ั พรอ้ มแลว้ ความเจบ็ ความปวดกเ็ ปน็ เพยี งอาการทเ่ี รารบั ร ู้ รวู้ า่ มนั เปน็ แคอ่ าการทเี่ กดิ ขนึ้ กบั กาย แตไ่ มใ่ ช่เข้าไปในความเจบ็ ปวดจนกระทั่งเปน็ ผ้เู จบ็ ปวดเสียเอง อนั นค้ี อื ความตา่ งระหวา่ งการมสี ตเิ หน็ ความเจบ็ ปวด กบั การหลดุ เขา้ ไปในความเจบ็ ปวด อนั หลงั นเี้ รยี กวา่ อาการทไ่ี มม่ สี ติ มนั เปน็ ความตา่ งระหว่างส่ิงทหี่ ลวงพ่อคำ� เขียนเรยี กวา่ ผ้เู หน็ กบั ผูเ้ ป็น 1 5 6 คื น ค ว า ม ป ก ต ิ ใ ห ้ แ ก ่ จ ิ ต ใ จ
รุ่ ง อ รุ ณ ท ี่ ส ุ ค ะ โ ต สตินี้แหละช่วยให้เราเป็นผู้เห็น เห็นปัจจุบัน อยู่กับปัจจุบัน รับรู้ ความเจ็บปวด แต่ไม่ใช่ให้ความเจ็บความปวดเข้าครอบง�ำจิตใจ เข้ามา ครอบงำ� ทัง้ เนอื้ ท้งั ตัว จนเป็นเน้อื เปน็ ตัว หรอื เปน็ อนั หนง่ึ อันเดยี วกบั มัน ความเจ็บปวดนั้นเป็นเวทนาในปัจจุบันก็จริง แต่เราไม่จ�ำต้องเข้าไปเป็น ความเจ็บความปวดเสยี เอง น้ีเป็นความแตกตา่ งท่ีเราต้องทำ� ความเข้าใจ เวลาเราเข้าไปในความเจ็บความปวดแล้ว ท�ำไมเราถึงเจ็บปวด ยง่ิ กวา่ เดมิ ถา้ เปน็ แคผ่ เู้ หน็ กไ็ มเ่ ปน็ ไร แตถ่ า้ เขา้ ไปในความเจบ็ ความปวด แล้ว มันปวดย่ิงกว่าเดมิ เหมือนกับโดนลูกศร ๒ ดอก พระพุทธเจ้าเคย ตรสั เปรยี บไว ้ คนเราถา้ มสี ตกิ โ็ ดนแคล่ กู ศรดอกเดยี ว คอื แคค่ วามเจบ็ ปวด ทางกาย แต่คนท่ีไม่มีสติจะเจอกับลูกศร ๒ ดอกเลย คือทุกข์กายด้วย ทกุ ขใ์ จด้วย พอเข้าไปในความเจ็บความปวดสิ่งที่ตามมาก็คือ การเขา้ ไป ยดึ ถอื ความเจบ็ ความปวดนน้ั ว่าเปน็ เราเป็นของเรา ยดึ ความปวดเปน็ เราเปน็ ของเรา หมายความวา่ เราไปสำ� คญั มนั่ หมาย ว่าเราเป็นผู้ปวด เราเป็นผู้เจ็บ น้ีแหละที่หลวงพ่อค�ำเขียนเรียกว่าเป็น ผเู้ ป็น คือไปยึดถอื ไปส�ำคญั มน่ั หมายว่าความเจบ็ ปวดเปน็ เราเปน็ ของเรา ตรงนแ้ี หละมนั เกดิ จากการไมม่ สี ต ิ เพราะถา้ มสี ต ิ สตจิ ะเปน็ ตวั ชว่ ยใหเ้ รา เป็นแค่ผู้เห็น ไม่ปล่อยให้เราหลุดเข้าไปในความเจ็บปวดหรือความทุกข์ พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 157
รุ่ ง อ รุ ณ ท ่ี ส ุ ค ะ โ ต หรือในความคิดต่างๆ สติจะเป็นผู้ดึงเราออกมาหรือเตือนเราไม่ให้เข้าใน อารมณต์ า่ งๆ ถา้ ไมม่ สี ตหิ รอื สตอิ อ่ น เรากจ็ ะหลดุ เขา้ ไปในความเจบ็ ความ ปวดนน้ั สง่ิ ทตี่ ามมาคอื ความสำ� คญั มน่ั หมาย วา่ ความเจบ็ ความปวดเปน็ เราเป็นของเรา เราเปน็ ผู้เจบ็ ผู้ปวด อนั นี้เรยี กวา่ อุปาทาน อุปาทาน คือความติดยึดว่าเป็นเรา เป็นของเรา พอมี อปุ าทานเกดิ ขนึ้ เมอ่ื ไหร ่ กเ็ ตรยี มทกุ ขไ์ วไ้ ดเ้ ลย เพราะไมม่ ี อะไรทเ่ี ปน็ ของเราจรงิ ๆ อปุ าทานในทรพั ยส์ มบตั กิ เ็ ปน็ ทกุ ข์ เพราะของเหล่านี ้ ใครๆ ก็อยากจะแย่งชงิ มนั ออกไปจากเรา ด้วยเหมือนกัน เช่น ท�ำให้มันเสื่อมโทรมผุกร่อนไป น่ีเรียกว่าธรรมชาติ พรากไปจากเรา ความจรงิ ไมต่ อ้ งรอใหธ้ รรมชาตพิ รากไปหรอก คนนแี่ หละ จะพรากมนั ไปจากเรา เชน่ ขโมยหรอื หยบิ ยมื แลว้ หายไป มนั เปน็ ของเรา จรงิ ๆ ไมไ่ ดเ้ ลย เพราะทกุ สง่ิ ในธรรมชาตพิ รอ้ มจะพรากมนั ออกไปจากเรา การมีอุปาทานยึดในส่ิงดีน่าปรารถนาก็ท�ำให้ทุกข์ การมีอุปาทาน ไปยึดเอาส่ิงที่ไม่ดี ก็ท�ำให้ทุกข์เช่นกัน เช่น ยึดเอาความเจ็บปวดว่า เปน็ เราเปน็ ของเรากท็ ำ� ใหท้ กุ ข ์ เพราะวา่ มนั เทา่ กบั เอาความเจบ็ ความปวด นนั้ มาทม่ิ แทงใจ แตก่ อ่ นมนั แคป่ วดทางกาย พอเราไปยดึ เอาเปน็ เราเปน็ ของเรา ความเจ็บปวดมันกเ็ ลยท่มิ ใจเข้าไปดว้ ย 1 5 8 คื น ค ว า ม ป ก ต ิ ใ ห ้ แ ก ่ จ ิ ต ใ จ
รุ่ ง อ รุ ณ ท ่ี ส ุ ค ะ โ ต เวลามีคนมาตำ� หนิเรา เราเอาค�ำต�ำหนินั้นมาครุ่นคิดซำ้� แล้วซ�้ำเลา่ ว่า มันด่ากูๆ คือเอาตัวตนออกรับ ก็เลยกลายเป็นเจ้าเข้าเจ้าของค�ำด่า ก็เลยเป็นทุกข์ นี่เรียกว่าอุปาทาน คือความส�ำคัญมั่นหมายว่าเป็นเรา ของเรา หรอื เปน็ ตวั กขู องกขู น้ึ มา สำ� คญั มน่ั หมายวา่ มนั ดา่ กๆู เวลาเกดิ ความเครียดขึ้นมา ก็รู้สึกเลยว่าตัวกูเครียด หรือว่าฉันเครียด แทนที่จะ เปน็ เพยี งผเู้ หน็ วา่ ความเครยี ดเกดิ ขนึ้ ในใจ เวลาเราเดนิ เหยยี บตะป ู แทนที่ จะคดิ วา่ ตะปทู มิ่ เทา้ เรากลบั ไปปรงุ แตง่ วา่ ตะปทู มิ่ เทา้ ฉนั เวลามดี บาดนวิ้ กไ็ มไ่ ดน้ กึ กวา่ มดี บาดนว้ิ แตก่ ลบั ไปคดิ วา่ มดี บาดฉนั นเี่ พราะไปตดิ ยดึ เปน็ อปุ าทานขน้ึ มา ไมว่ า่ ส่ิงดหี รอื ไมด่ ถี ้าไปมีอุปาทานเขา้ กเ็ ป็นทุกข์ ลองพจิ ารณาดคู วามทกุ ขท์ ง้ั หลายทงั้ ปวงทเ่ี กดิ ขนึ้ กบั เรา กล็ ว้ นเปน็ เพราะเราไปยึดเอาส่ิงทั้งหลายทั้งปวงว่าเป็นเรา เป็นของเราทั้งน้ัน ถ้า มันไม่เป็นไปตามใจเรา เราก็เป็นทุกข์กลัดกลุ้มเสียอกเสียใจ ลูกของเรา แฟนของเรา แมข่ องเรา ทรพั ยข์ องเรา ความปวดนข้ี องเรา ฉนั เปน็ ผปู้ วด ฯลฯ ลองดูเวลาเราเครียดหรือง่วงขณะปฏิบัติ ลองเห็นมันเสียบ้าง อย่า เข้าไปส�ำคัญม่ันหมายว่า เป็นเรา เป็นของเรา ที่จริงไม่ต้องรอให้ความ เครียดเกิดขึ้นหรอก เวลาเราเดินจงกรม สร้างจังหวะ ก็ให้มีแต่การเดิน การสร้างจังหวะ แต่อย่าไปส�ำคัญม่ันหมายว่าฉันเดินๆ ฉันสร้างจังหวะ อย่าไปบริกรรมหรือนึกในใจว่า ฉันเดินๆๆ อย่าไปเข้าใจว่านี้เป็นวิธีการ พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 159
รุ่ ง อ รุ ณ ท ่ี ส ุ ค ะ โ ต ที่จะท�ำให้เกิดความรู้ตัวทั่วพร้อม หรือเกิดสติ ความรู้ตัว ไม่ได้เกิดจาก การคดิ หรอื การบรกิ รรม การไปนกึ ในใจวา่ ฉนั เดนิ ๆๆ อนั นม้ี นั เปน็ ความคดิ แลว้ ไมใ่ ชค่ วามรสู้ กึ ตวั ความรสู้ กึ ตวั มนั ไมต่ อ้ งอาศยั ความคดิ เวลามคี น มาแตะหลังเรา เราก็รู้สึกขึ้นมาทันทีไม่ต้องมีใครมาบอก และไม่ต้อง คิดในใจว่า อ้อ มีคนมาแตะหลังฉัน ไม่ต้องอาศัยความคิดเลยก็รู้สึกได้ มีคนแตะหลังเรา เราก็รู้ตัวทันที ไม่ใช่สะดุ้งด้วยนะ สะดุ้งก็ไม่เรียกว่า ร้สู กึ ตัว แต่มาจากการลืมตวั ถา้ เราไมเ่ ขา้ ไปในความเครยี ด ไมเ่ ขา้ ไปในความทกุ ข ์ เรากจ็ ะเปน็ สขุ เปน็ ปกต ิ ปญั หาคอื วา่ เราชอบเขา้ ไปในความเครยี ด เขา้ ไปในความวติ ก กงั วลและอารมณต์ า่ งๆ อยเู่ สมอ มนั เรม่ิ ตง้ั แตเ่ ขา้ ไปในความสขุ ในความฝนั ฟุ้ง ปรุงแต่งน่ันแหละ พอเข้าไปในความสุขและปรุงแต่งจนเป็นนิสัย กง็ า่ ยทจี่ ะหลดุ เขา้ ไปในความทกุ ข ์ ความเครยี ดเหมอื นกนั เพราะทงั้ ๒ สง่ิ น้ี มแี รงดงึ ดดู พอๆ กนั ไมใ่ ชแ่ ตค่ วามสขุ เทา่ นน้ั ทมี่ แี รงดงึ ดดู ความทกุ ขก์ ม็ ี เหมอื นกนั คนเราทกุ ขเ์ รอ่ื งใด ใจกอ็ ยากจะหมกมนุ่ ครนุ่ คดิ อยใู่ นความทกุ ข์ เรอ่ื งนน้ั เวลาโกรธหรอื เศรา้ โศกเสยี ใจ ใครจะมาชวนใหไ้ ปไหนกไ็ มอ่ ยากไป นึกในใจว่าอย่ามายุ่งกับฉัน ฉันจะอยู่กับความโกรธความเศร้าน่ีแหละ มี เพ่ือนคนหน่ึงอกหักน่ังซึมอยู่ท่ีบ้าน พอได้ยินเสียงกร่ิงท่ีประตู ก็สงสัย ใครมาหา ปรากฏว่าเป็นเพื่อนมาชวนไปเที่ยว พอรู้เข้าก็รู้สึกฉุนขึ้นมา 1 6 0 คื น ค ว า ม ป ก ต ิ ใ ห ้ แ ก ่ จ ิ ต ใ จ
รุ่ ง อ รุ ณ ท ่ี ส ุ ค ะ โ ต เลย คดิ ในใจวา่ เวลาสขุ กม็ อี ปุ สรรค ครน้ั จะทกุ ขก์ ย็ งั มขี วากหนามเสยี อกี ทุกข์ไม่สมใจเลย คนเราเวลาทุกข์ก็อยากจะจมอยู่กับความทุกข์ ครุ่นคิด ในความทกุ ขอ์ ยนู่ น่ั แหละ ไมอ่ ยากทำ� อะไรไมอ่ ยากไปไหน อยากจะจอ่ มจม อยูใ่ นความทุกข์นัน้ มนั มรี สชาตนิ ะ ทง้ั ความสุขและความทุกข์ ฉะน้ันถ้าเราเป็นคนที่ชอบเพลิดเพลินในความสุข เวลาทุกข์ก็ง่าย ที่จะเข้าไปจมอยู่ในความทุกข์ เพราะจิตเรากลายเป็นจิตท่ีปล่อยตัวง่าย ไม่ชอบอยู่กับปัจจุบัน ก็จะหลุดเข้าไปในอดีตกับอนาคต ในความสุขกับ ความทกุ ข์ได้ง่าย เมอื่ เราหลดุ เขา้ ไปในอดตี กบั อนาคต ความสขุ กบั ความทกุ ข ์ ทำ� ยงั ไงถงึ จะออกมาได ้ สตนิ นั่ แหละ เปน็ ตวั ดงึ ออกมา สตเิ ปน็ ตวั ดงึ จติ ออกมาจากความ ทกุ ข ์ ความเศรา้ โศกเสยี ใจ ความทอ้ แท ้ ความโกรธ ความเกลยี ด สตเิ ปน็ ผดู้ งึ ออกมา แตส่ ตจิ ะดงึ ได ้ สติ ตอ้ งมพี ลงั และฉบั ไวรทู้ นั ทว่ งท ี ถา้ ไมร่ ทู้ นั ทว่ งท ี ความคดิ ปรงุ แตง่ กจ็ ะคอ่ ยๆ ลาม ค่อยๆ ลุกเข้มข้นไปเรื่อยๆ เหมือนกับไฟ ไฟถ้าปล่อยไว้ ก็จะลาม และแรงจนเอาไมอ่ ย ู่ ไฟทไ่ี หมป้ า่ เปน็ พนั ๆ ไร ่ กจ็ ะเรมิ่ ตน้ มาจากประกาย ไฟนอ้ ยๆ จากเปลวไฟเปลวเดียวเทา่ นั้นแหละ พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 161
รุ่ ง อ รุ ณ ท ี่ ส ุ ค ะ โ ต การจดั การกบั ไฟปา่ ทด่ี ที สี่ ดุ คอื ดบั ตอนทมี่ นั เพง่ิ เกดิ แตจ่ ะทำ� อยา่ งนน้ั ไดเ้ ราตอ้ งหตู าไว ฉนั ใดกฉ็ นั นน้ั จะจดั การกบั ความทกุ ขไ์ ดด้ ี เราตอ้ งอาศยั สตทิ ร่ี ทู้ นั ความทกุ ขอ์ ยา่ งรวดเรว็ ฉบั ไว ขณะทม่ี นั เพงิ่ กอ่ ตวั ถา้ สตเิ ชอ่ื งชา้ หรอื ไมม่ กี ำ� ลงั ความทกุ ขม์ นั กจ็ ะลามลกึ ไปเรอื่ ยๆ หรอื พดู อกี อยา่ ง ใจเรา ก็จะหลุดเข้าไปในความทุกข์จนไม่รู้ถึงไหนๆ แล้ว ถึงตอนน้ีจะดึงจิต ออกมานยี่ ากตอ้ งใชเ้ วลานาน ตอ้ งมกี ลั ยาณมติ รมาชว่ ย ตอ้ งมลี กู ไมเ้ ทคนคิ ต่างๆ มากมาย บางทีก็ต้องกินยานอนหลับ ให้มันเลิกคิดไปบ้าง ถึงจะ ค่อยดึงจิตออกมาจากความทุกข์น้ันได้ ถ้ามีสติไวพอ ความทุกข์เกิดข้ึน ก็รู้ปั๊บ จิตหลุดเข้าไปในความทุกข์ประเด๋ียวเดียว สติรู้ทัน ดึงจิตออกมา อยูก่ บั ความปกติ ความปกตินั้นแหละคือความแช่มช่ืนแล้ว ในตวั ของมนั นนั่ แหละคอื ธรรมชาตขิ องเรา คอื ความผอ่ งแผว้ ทเ่ี ราเปน็ ทกุ ขเ์ พราะเราปลอ่ ยให้ ความทุกข์เข้ามาครอบง�ำ ความทุกข์น้ันไม่ใช่ สง่ิ ทมี่ อี ยเู่ ดมิ มนั มาทหี ลงั สภาพตามธรรมชาติ ของจติ เรานนั้ คอื ความปกตผิ อ่ งแผว้ พระพทุ ธ- เจา้ เคยตรสั ไวว้ า่ จติ นน้ั มธี รรมชาตเิ ปน็ ประภสั สร แต่เศร้าหมองเพราะกิเลสมาเยือน เหมือนดวง 1 6 2 คื น ค ว า ม ป ก ต ิ ใ ห ้ แ ก ่ จ ิ ต ใ จ
รุ่ ง อ รุ ณ ท ี่ ส ุ ค ะ โ ต อาทติ ยท์ สี่ วา่ งไสวตลอดเวลา แตท่ ำ� ไมบางวนั อากาศถงึ ครมึ้ ไมใ่ ชเ่ พราะ ดวงอาทิตย์ลดความสว่างลงไป แต่เพราะมันมีเมฆมาบัง ดวงอาทิตย์ก็ สวา่ งอย่างนน้ั ตลอดเวลา บางครั้งดวงจันทร์ก็มาบังท�ำให้เกิดสุริยุปราคา แต่พอดวงจันทร์ เคลอื่ นออกไป กส็ วา่ งเปน็ กลางวนั เหมอื นเดมิ เหมอื นกบั ขณะนกี้ �ำลงั มดื ไมใ่ ชด่ วงอาทติ ยม์ นั ดบั ดวงอาทติ ยก์ ย็ งั สวา่ งอย ู่ แตเ่ ปน็ เพราะโลกดา้ นท่ี เราอยหู่ นั หลงั ใหด้ วงอาทติ ย ์ กเ็ ลยมดื แตด่ วงอาทติ ยก์ ย็ งั สวา่ งไสว ฉนั ใด กฉ็ นั นนั้ จติ ของเราสวา่ งไสวโดยธรรมชาต ิ มนั ผอ่ งแผว้ เปน็ ปกต ิ แตท่ เ่ี รา ทุกข ์ เพราะมีกิเลสมาเปน็ อาคนั ตุกะจรเข้ามา เมฆเมอื่ ลอยมาบงั ดวงอาทติ ยก์ เ็ กดิ เงามดื กเิ ลสเมอ่ื เขา้ มาครอบง�ำ จติ กเ็ กดิ ความทกุ ขเ์ ศรา้ หมอง จะหายเศรา้ หมอง กด็ ว้ ยการดงึ จติ ออกมา จากกเิ ลส จากอารมณอ์ กศุ ลทงั้ หลาย เมอื่ ดงึ ออกมาจติ กผ็ อ่ งแผว้ เปน็ ปกติ สวา่ งไสวใหเ้ ราสมั ผสั ได ้ เมอ่ื ใดทเ่ี รารบั รถู้ งึ ความประภสั สร หรอื ไดส้ มั ผสั กบั ความสวา่ งไสวของจติ เรากจ็ ะเปน็ สขุ ทเ่ี รารบั รคู้ วามประภสั สรของจติ ไม่ได้ก็เพราะ ความทุกข์หรืออารมณ์อกุศลต่างๆ มาบดบัง พูดอีกอย่าง คือจติ เข้าไปในความทุกข์ เราจงึ ต้องหาทางดึงจติ ออกใหไ้ ด้ พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 163
รุ่ ง อ รุ ณ ท ี่ ส ุ ค ะ โ ต สติ คือผู้ไถ่ถอน ผู้ดึงจิตออกมา แล้วกิเลสมันไปไหน ความทุกข์ มนั ไปไหน เมอื่ ดงึ จติ ออกมา มนั กค็ ลายหายไป เมอ่ื เราไมป่ รงุ แตง่ ฝนั ฟงุ้ ครนุ่ คดิ ในอารมณเ์ หลา่ นน้ั อารมณเ์ หลา่ นนั้ จะอยไู่ ดย้ งั ไง มนั กห็ ายคลาย ไป เหมอื นกบั ไฟ ถา้ เราไมเ่ ตมิ เชอ้ื ไมเ่ ตมิ ฟนื ใหม้ นั จะเกดิ อะไรขน้ึ มนั ก็ค่อยมอดดับไป เมื่อเราดึงจิตออกมา อารมณ์น้ันก็ไม่มีเชื้อให้ลุกลาม ต่อไป มันก็จางหายไป มันเป็นอนิจจัง เป็นธรรมชาติของมันอย่างนั้น อย่าไปห่วงว่ากิเลสเหล่านั้นจะอยู่ค้�ำฟ้า เพราะมันไม่ได้เป็นเนื้อเป็นตัว กบั จติ หรอื ฝงั อยใู่ นจติ ใจเรา มนั เพยี งแตอ่ าศยั จติ เปน็ ทเ่ี กดิ เหมอื นกบั ไฟ ถ้าเราเอาไม้มาขัดสีกันก็จะลุกเป็นไฟ เราจะบอกได้ไหมว่าไฟมันอยู่ใน เนื้อไม้ ไม่ได้ ไฟมันเพียงแต่อาศัยไม้เป็นที่เกิด เหมือนกับเป่าขลุ่ยแล้ว เกิดเสียง เราจะบอกได้ไหมว่าเสียงน้ันอยู่ในขลุ่ย เอามาเขย่าเท่าไหร่ก็ ไมม่ เี สยี งตกลงมา ไฟอาศัยเนื้อไม้เป็นที่เกิดก็จริง แต่ก็ต้องอาศัยเหตุปัจจัย หลายอย่างเข้ามาประกอบ เช่นความช้ืนไม่มากเกินไป มีออกซิเจน มีการขัดสีกันจนเกิดอุณหภูมิพอเหมาะ มนั ตอ้ งอาศยั เหตปุ จั จยั ถา้ เหตปุ จั จยั ไมม่ ี เชน่ ความชน้ื มากเกินไป ไม่มีอากาศก็เกิดไฟไหม้ไม่ได้ ในท�ำนอง เดยี วกนั ความทกุ ข ์ ความสขุ ความเครยี ด โกรธ เกลยี ด 1 6 4 คื น ค ว า ม ป ก ต ิ ใ ห ้ แ ก ่ จ ิ ต ใ จ
รุ่ ง อ รุ ณ ท ี่ ส ุ ค ะ โ ต เหงา หงอย ท้อแท้ สิ้นหวัง ก็ต้องอาศัยเหตุปัจจัยเหมือนกัน ถ้าไม่มี เหตปุ จั จยั มาหนนุ เสรมิ มนั กอ็ ยไู่ มไ่ ดต้ อ้ งดบั ไป ถา้ จติ ของเราไมไ่ ปเออออ ห่อหมกให้กับอารมณ์เหล่านั้น มันก็อยู่ไม่ได้ มันต้องดับไป สิ่งที่ตามมา กค็ อื เกดิ ความผอ่ งแผว้ ในจติ ใจขน้ึ มา ทง้ั นโ้ี ดยมสี ตเิ ปน็ ผปู้ อ้ งกนั เขาถงึ เรียกว่าสตเิ ป็นยามเฝ้าประตูเมือง จิตท่ีมีสติก�ำกับเป็นจิตที่ประเสริฐ ท่ีจะช่วยให้เรามีความสุข แต่ถ้า จติ ใดไม่มสี ติก�ำกบั จิตนนั้ กเ็ ปน็ รังของความทุกข์ พร้อมจะถกู ความทุกข์ มากระทำ� ยำ�่ ยตี ลอดเวลา ฉะนน้ั สขุ ทกุ ขอ์ ยทู่ เ่ี รา ไมใ่ ชอ่ ยทู่ อี่ น่ื พระพทุ ธ- เจ้าจึงได้ตรัสไว้ว่า ไม่มีใครท่ีจะน�ำความทุกข์มาให้แก่เรา นอกจากจิตท่ี ตง้ั ไวผ้ ดิ พดู งา่ ยๆ คอื เราทกุ ขก์ เ็ พราะจติ ของเรานน่ั แหละ เราสขุ กเ็ พราะ จิตใจของเราน่ันแหละ แต่ท่านไม่ได้ใช้ค�ำว่าจิตของเรา แต่ท่านใช้ค�ำว่า จิตท่ีตั้งไว้ผิด เพราะจิตไม่ใช่ของเราอยู่แล้ว ไม่มีอะไรท่ีจะท�ำร้ายหรือ นำ� ความทกุ ขม์ าให ้ นอกจากจติ ทตี่ งั้ ไวผ้ ดิ ไมใ่ ชค่ นอนื่ ไมใ่ ชด่ นิ ฟา้ อากาศ ไม่ใช่โชคชะตา ไม่ใช่เคราะห์กรรมอะไรทั้งสิ้น มันอยู่ที่ว่าเราจะตั้งจิตไว้ ถูกต้องหรือไม่ การต้ังไว้ถูกต้องคือตั้งอยู่บนฐานแห่งสติ ฐานแห่งความ รตู้ วั พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 165
รุ่ ง อ รุ ณ ท ี่ ส ุ ค ะ โ ต ถ้าตั้งจิตไว้บนฐานรู้ จึงจะกอบกู้จากอารมณ์ได้ ให้จดจ�ำไว้เลย ต้ังจิตบนฐานรู้ ถึงจะกอบกู้ใจจากอารมณ์ได้ ถ้าจิตต้ังอยู่บนฐานแห่ง ความหลงลมื มนั กจ็ ะอยอู่ ยา่ งสขุ ๆ ทกุ ขๆ์ ไปตลอด แตท่ จ่ี รงิ มนั ไมถ่ งึ กบั ตลอดกาล ธรรมชาตขิ องจติ นนั้ จะพยายามหลดุ จากอารมณ ์ สว่ นอารมณน์ น้ั ก็เป็นอนิจจัง มันเส่ือมได้ พอเสื่อม ใจก็หลุด เหมือนกับเมฆที่เม่ือจาง หายไปความสว่างก็กลับคืนมา ส�ำคัญมากนะ การท่ีเราเข้าไปยึดถือใน อารมณ ์ มนั เปน็ ตน้ ตอแหง่ ความทกุ ข ์ อารมณต์ า่ งๆ เราหา้ มไมใ่ หเ้ กดิ ได้ ยากมาก เพราะมปี จั จยั มากมายทเ่ี ราคมุ ไมไ่ ด ้ การหา้ มไมใ่ หค้ วามเครยี ด ความโกรธเกดิ ขน้ึ นน้ั เปน็ เรอ่ื งยากมาก แตส่ ง่ิ ทเ่ี รา ท�ำได้คือไม่เข้าไปยึดถือมัน หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ท่านเป็นศิษย์รุ่นแรกๆ ของพระอาจารย์มั่น หลายคนเชอ่ื วา่ ทา่ นเปน็ พระอรยิ ะ เคยมคี นถาม ท่านว่า หลวงปู่มีความโกรธไหม หลวงปู่ท่าน ตอบสนั้ ๆ วา่ “ม ี แตไ่ มเ่ อา” เทา่ นแี้ หละ “ม ี แตไ่ มเ่ อา” ทา่ นไมไ่ ดค้ ยุ โม้ ว่าไม่มีความโกรธ ไม่มีความทุกข์ ท่านถ่อมตัว ท่านว่า “มี แต่ไม่เอา” พอพูดอยา่ งนเ้ี ราฟงั แล้วกร็ ู้สึกว่าท�ำได้ มนั ไมไ่ กลเกนิ เอือ้ มเลยใช่ไหม เราท�ำได้ ทุกคนก็ท�ำได้ถ้ามีสติ ความโกรธมันเกิดข้ึนในใจ แต่เรา ไมเ่ อามนั เราวางมนั เลย คอื ไมเ่ ขา้ ไปในความโกรธ ตวั ทที่ �ำใหเ้ ราวางได้ 1 6 6 คื น ค ว า ม ป ก ต ิ ใ ห ้ แ ก ่ จ ิ ต ใ จ
รุ่ ง อ รุ ณ ท ่ี ส ุ ค ะ โ ต คอื สต ิ และตอ้ งมปี ญั ญามาชว่ ยดว้ ย เชน่ เหน็ วา่ ความโกรธนม่ี นั ไมด่ อี ยา่ งไร มนั ทำ� ลายเรา มนั บน่ั ทอนเรา เวลาเราโกรธคนโนน้ คนน ้ี นกึ อยากจะทำ� รา้ ย เขา คนที่เดือดร้อนเป็นคนแรกคือใคร ไม่ใช่เขาแต่คือเรา ขณะท่ีเรา พยาบาทคิดจะเล่นงานเขา คนท่ีถูกเล่นงานเป็นคนแรกคือเรา ไม่ใช่เขา ความโกรธมนั เลน่ งานเรากอ่ นคนอน่ื จติ ทต่ี ง้ั ไวผ้ ดิ นแ่ี หละ มนั เลน่ งานเรา เขายังไม่รู้เร่ืองอะไรเลย แต่เราโดนความโกรธในใจเล่นงานก่อนแล้ว ถ้าเรามีปัญญาเห็นอย่างนี้ เราไม่อยากจะยึดความโกรธไว้ในใจ เห็น ความโกรธเป็นขยะท่ีไม่น่าเอา ความเห็นแบบนี้คือปัญญาท่ีไปหนุนสติ ให้มีก�ำลังเอาชนะความโกรธได้ รางวัลท่ีตามมาคืออิสรภาพของจิต คือ ความปกตทิ แี่ มจ้ ะไมห่ วอื หวา แตก่ ท็ ำ� นองเดยี วกบั นำ้� จดื แมไ้ มอ่ รอ่ ยเทา่ น้ำ� หวาน แต่กม็ ีความส�ำคัญตอ่ ชวี ติ ตั้งแต่เกดิ จนตาย พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 167
จิตที่มีสติกำ�กับเป็นจิตที่ประเสริฐ ที่จะช่วยให้เรามีความสุข
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170