ตอบแทน หลวงพ่อไม่ยอม เพราะเห็นว่าเป็นการไม่ยุติธรรมต่อ ผู้อ่ืน ยิ่งกว่านั้นก็คือวัดจะกลายเป็นผู้รับสินบน เห็นแก่ผล ประโยชน ์ แมจ้ ะมใิ ช่ผลประโยชน์สว่ นตัวกต็ าม วิธีของท่านคือให้ทุกคนจับฉลาก ใครได้พ้ืนท่ีตรงไหน กส็ รา้ งหอ้ งของตนตรงนน้ั ทแี รกคหบดเี หลา่ นนั้ ไมพ่ อใจ ถงึ กบั จะ ยกเลกิ การสรา้ งหอ้ งของพวกตน โดยคดิ วา่ ถา้ รวมหวั ถอนตวั กนั ไป หลายคน โครงการสร้างห้องแถวก็อาจต้องล้มเลิก แต่หลวงพ่อ ไม่ได้วิตกอะไร ใครจะสร้างหรือไม่ท่านไม่ว่า ในท่ีสุดตลาดก็สร้าง สำ� เรจ็ สว่ นพวกคหบดเี หลา่ นน้ั ตอ้ งยอมแพ ้ ยอมจบั สลากหอ้ งแถว ของตนเหมอื นคนอน่ื ๆ 100 ลํ า ธ า ร ริ ม ล า น ธ ร ร ม
พระเมธีธรรมสาร วดั บา้ นกรา่ ง อ.ศรปี ระจนั ต์ จ.สพุ รรณบรุ ี นามเดมิ ไสว จันทโสภา เกิดวนั ท่ี ๗ พ.ค. ๒๔๓๒ สถานทีเ่ กิด อ.ศรีประจันต์ จ.สพุ รรณบุรี อปุ สมบท ๒๓ เมษายน ๒๔๕๑ ณ วัดปลายนา อ.ศรปี ระจันต์ จ.สุพรรณบรุ ี มรณภาพ ๑๘ ส.ค. ๒๕๒๒ เวลา ๒๑.๒๓ น. รวมสริ อิ ายุ ๙๑ ปี เมื่อท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดบ้านกร่างน้ัน ความท่ีท่านมีความสามารถ ในการเทศน ์ การปกครอง และจรยิ าวตั รนา่ เคารพเลอ่ื มใส ทา่ นจงึ เปน็ ศนู ยร์ วม จติ ใจของชาวบา้ นใกลไ้ กลสามารถทำ� การอนั ไมน่ า่ เชอ่ื ได ้ เชน่ การยา้ ยเสนาสนะ ตา่ งๆของวดั หลายอาคารทย่ี งั อยใู่ นสภาพด ี กเ็ คลอื่ นยา้ ยดว้ ยวธิ ใี หป้ ระชาชน ช่วยกันยกไปทั้งหลัง กล่าวคือ เมื่อช่างไม้ขันไม้ไผ่ตรึงตัวอาคารและเตรียมที่ จบั ยกไว้พรอ้ มแลว้ ทางวัดก็นดั วันยกแก่ประชาชนท้ังตำ� บล หมบู่ า้ นตา่ งๆ ถงึ วนั นน้ั ประชาชนนบั พนั ๆคน กพ็ ากนั มาชมุ นมุ พรอ้ มกนั ทวี่ ดั ตามศรทั ธา เข้ายืนประจ�ำท่ีใต้ตัวอาคารเต็มทุกตารางฟุต เม่ือให้สัญญาณ ทุกคนก็ยก ไม้คันท่ีขันไว้แล้วก้าวเดินพร้อมกัน หอสวดมนต์หลังใหญ่โตก็เคลื่อนท่ีอย่าง ชา้ ๆ เรยี บรน่ื ไปบนพน้ื ดนิ เหมอื นอาคารนนั้ เดนิ ไปเอง ไปตงั้ อย ู่ ณ สถานทใี่ หม่ นอกจากหอสวดมนตแ์ ลว้ วธิ นี ี้ ทา่ นยงั ยา้ ยหอระฆงั และกฏุ อิ กี ประมาณ ๓ หลงั ไปอยู่อีกฟากทิศของวดั โดยไมต่ อ้ งร้อื ตะปสู ักตัวเดียว อีกหลายปีต่อมา ท่านยังไปด�ำเนินการย้ายหอสวดมนต์วัดพยัคฆาราม ดว้ ย พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 101
102 ลํ า ธ า ร ริ ม ล า น ธ ร ร ม
ก ร ะ ต่ า ย น้ อ ย น่ั ง ภ า ว น า ก่อนท่ีพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโฐ จะมาบุกเบิกสร้างวัด เจติยาคิริวิหารท่ีภูทอก ก่ิงอ�ำเภอศรีวิไล จังหวัดหนองคายน้ัน ท่านใช้ชีวิตเยี่ยงพระธุดงค์กรรมฐานอย่างไม่รู้จัดเหน็ดเหนื่อย เจริญรอยตามพระอาจารย์ใหญ่คือหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต จะอยู่ ประจ�ำท่ีใดท่ีหน่ึงก็จ�ำเพาะช่วงเข้าพรรษาเท่านั้น ออกพรรษา เมื่อใดก็ออกเท่ียววิเวก ถือเอาป่าเขาและเพิงถ้�ำเป็นที่พักพิง กระน้นั ก็มอี ยหู่ ลายปีท่ีทา่ นไดอ้ าศัยปา่ เป็นท่จี ำ� พรรษา พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 103
เมื่อ ๕๐ ปีก่อน อีสานท้ังภาคเต็มไปด้วยป่าทึบเป็นที่ สงิ อาศยั ของสตั วน์ านาชนดิ จงึ เปน็ ธรรมดาทพ่ี ระธดุ งคอ์ ยา่ งทา่ น จะตอ้ งพานพบสตั วร์ า้ ยนอ้ ยใหญ ่ บางครงั้ ชา้ งและเสอื กแ็ วะเวยี น ให้เห็นใกล้ๆ กุฏิที่พัก มีพรรษาหน่ึง ท่านและหมู่มิตรได้ร่วมกัน บ�ำเพ็ญเพียรที่ดงหม้อทองในจังหวัดสกลนคร ท่านเล่าว่า คราวหน่ึงอาหารเกิดผิดส�ำแดง ทั้งพระและเณรเกิดท้องเสีย กลางดกึ แตส่ ว้ มมไี มพ่ อ พระบางรปู จงึ ตอ้ งเลยี่ งเขา้ ปา่ แตไ่ มท่ นั จะไดถ้ ่ายทุกข ์ เสอื ตวั หนึ่งกเ็ กดิ ผลนุ ผลันโผล่มา แล้วกระโดดขา้ ม หัวท่าน ไปยังทางส้วมท่ีเณรก�ำลังอยู่ พอรู้ว่าเสือมาเท่านั้น เณร กก็ ระโจนออกจากป่า ว่ิงป่าราบเลยทเี ดยี ว บางวันช้างก็มาเดินเล่น พอมาถึงกระต๊อบของผ้าขาว ผู้หนึ่งก็ยื่นงวงเข้าไปหยิบรองเท้าออกมาเล่นแล้วโยนเข้าป่าไป เท่าน้ันไม่พอ ยังร้ือบันไดกุฏิออกมาอีกด้วย พอควานหาของเล่น พักใหญ่ก็เตรียมกลับ แต่ก่อนจะกลับก็เอางวงดุนฝาจนกุฏิโยก ตอนนั้นผ้าขาวอยู่กุฏิพอดี แต่ตอนท่ีช้างหยิบรองเท้า ถอนบันได นั้น แกคงไม่รู้สึกผิดปกติด้วยเป็นคนหูตึง แต่คร้ันรู้สึกว่ากุฏิโยก ก็เลยออกมาดู พอเห็นช้างป่าเต็มตาเท่านั้นแหละ ก็กระโจนหนี ออกจากกฏุ ิ 104 ลํ า ธ า ร ริ ม ล า น ธ ร ร ม
แตช่ วี ติ ในปา่ มไิ ดม้ แี ตเ่ รอื่ งนา่ กลวั ตวั สนั่ เทา่ นนั้ สง่ิ อภริ มย์ นา่ ชนื่ ชมกม็ ใี หเ้ หน็ อยเู่ นอื งๆ ในระหวา่ งจำ� พรรษาทถี่ ำ้� พวง จงั หวดั สกลนคร พระอาจารย์จวนเล่าว่า ทุกวันที่ท่านออกเดินจงกรม เวลาบ่ายแก่ๆ จะมีกระต่ายน้อยน่ารักตัวหน่ึงมาน่ังหลับตานิ่งอยู่ ห่างจากทางจงกรมเพียง ๑ ศอกเท่าน้ัน ท�ำเช่นน้ีเป็นประจ�ำ โดยไม่มีอาการตื่นกลัวท่านเลย อาการนั่งหลับตาพร้ิมเช่นนี้ ดูราวกับว่ามันจะขอมานั่งภาวนากับท่านด้วย แต่ถ้าได้ยินเสียง คนเดินมา กระต่ายกจ็ ะว่ิงเข้าป่าไปทนั ที ทา่ นเองกไ็ มแ่ นใ่ จวา่ จรงิ ๆ แลว้ กระตา่ ยตอ้ งการจะภาวนา กับท่านหรือไม่ แต่ท่านเชื่อว่า มันเคยมี “นิสัยวาสนา” ทางนี้ มาแล้ว กระตา่ ยมานงั่ หลบั ตาพรมิ้ ยามทา่ นเดนิ จงกรมอยหู่ ลายวนั ก่อนทีต่ ่างจะแยกย้ายไปตามวิถีทางของตน พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 105
106 ลํ า ธ า ร ริ ม ล า น ธ ร ร ม
ใ น ห ล ว ง ก ั บ ห ล ว ง ต า หลวงพ่อโตหรือสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ท่านเป็น ผู้ไม่ปรารถนายศศักดิ์ แม้จะเชี่ยวชาญทางพระปริยัติธรรม แต่ก็ไม่ยอมเข้าสอบเพ่ือเป็นเปรียญ เมื่อพระบาทสมเด็จ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงตั้งท่านเป็นพระราชาคณะ ท่านก็ทูล ขอตัว ว่ากันว่าท่านเกรงว่าจะได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ จึงมัก ธดุ งค์หลีกเรน้ ไปยงั จงั หวดั ห่างไกลเนืองๆ พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 107
ครั้นถึงรัชกาลที่ ๔ อาจเป็นเพราะหลวงพ่อโตมีอายุมาก แล้ว จึงไม่ขัดข้องที่จะรับพระราชทานสมณศักด์ิจากพระบาท สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในช่ัวเวลาไม่ถึง ๑๕ ปี ท่านได้รับ เลอื่ นเปน็ ถงึ สมเดจ็ พระพฒุ าจารย ์ ซง่ึ เปน็ พระราชาคณะชนั้ สงู แต่ แมก้ ระน้นั ทา่ นกย็ ังด�ำรงตนเปน็ พระธรรมดาสามญั ลักษณะพิเศษของท่าน นอกเหนือจากความสันโดษและ ไม่ถือยศถืออย่าง ก็คือความกล้าหาญ ท่านไม่เพียงสอนธรรม แก่ชาวบ้านเท่าน้ัน หากยังกล้าตักเตือนพระมหากษัตริย์ โดย ไมก่ ลวั ว่าจะทรงกรว้ิ หรือไมโ่ ปรดปราน คราวหนึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จ งานลอยกระทงหลวง ขณะที่ทรงประทับที่ต�ำหนักแพพร้อมด้วย ฝ่ายในเป็นอันมาก ก็ทอดพระเนตรเห็นหลวงพ่อโตแจวเรือข้าม ฟากมา เจ้ากรมเรือต้องไปขวางเอาไว้ คร้ันพระเจ้าอยู่หัวทรง ทราบวา่ เปน็ เรอื ของหลวงพอ่ โต กร็ บั สงั่ ถามวา่ จะไปไหน ทา่ นตอบ วา่ ตงั้ ใจมาเฝ้า 108 ลํ า ธ า ร ริ ม ล า น ธ ร ร ม
“ท�ำไมเปน็ ถงึ สมเดจ็ เจา้ แลว้ ตอ้ งแจวเรอื เอง เสยี เกยี รตยิ ศ แผน่ ดิน” หลวงพ่อโตตอบว่า “ขอถวายพระพร อาตมภาพทราบว่า เจา้ ชีวิตเสวยนำ้� เหลา้ สมเด็จกต็ อ้ งแจวเรือ” พระองค์พอทรงสดับเช่นนั้นก็ได้สติ ตรัสว่า “อ้อ จริง จริง การกินเหล้าเป็นโทษ เป็นมูลเหตุให้เส่ือมเสียเกียรติยศ แผน่ ดนิ ใหญโ่ ตทเี ดยี ว ตง้ั แตว่ นั นไ้ี ปโยมจะถวายพระคณุ เจา้ จกั ไม่ กนิ เหล้าอีกแลว้ ” อีกคราวหนึ่งท่านจุดไต้เข้าไปในพระราชวังเวลากลางวัน แสกๆ แลว้ เอาไตน้ นั้ ทมิ่ กำ� แพงวงั จนดบั กอ่ นกลบั วดั พระเจา้ อยหู่ วั ทอดพระเนตรเหน็ ตรสั วา่ “ขรัวโต เขารแู้ ล้วๆๆ” เรื่องของเร่ืองก็คือท่านวิตกว่าพระเจ้าอยู่หัวจะทรง หมกมุ่นมัวเมาในกามคุณมากเกินไป จึงท�ำอุบายถือไต้เข้าไป ในราชวังกลางวัน ประหนึ่งว่าในพระราชฐานนั้นก�ำลังมืดมิด ดงั กลางคนื พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 109
มีอีกหลายครั้งท่ีหลวงพ่อโตกล้าขัดพระราชหฤทัย คราว หนึ่งท่านได้ถวายเทศน์ในพระราชฐาน ๓ วันติดต่อกัน บังเอิญ วันท่ี ๒ น้ัน พระเจ้าอยู่หัวมีพระราชประสงค์จะทรงสดับแต่พอ สงั เขป ดว้ ยมพี ระราชกจิ อยา่ งอน่ื (นยั วา่ เจา้ จอมจะมปี ระสตู กิ าล) แต่หาได้ตรัสอย่างใดไม่ ปรากฏว่าท่านถวายพระธรรมเทศนา อย่างยืดยาว คร้ันวันต่อมาพอท่านต้ังนโมเสร็จก็กล่าวสั้นๆ วา่ “พระธรรมเทศนาหมวดใดๆ มหาบพติ รกท็ ราบหมดแลว้ เอวงั ก็มีด้วยประการฉะนี้” แล้วก็ลงธรรมาสน์ พระเจ้าอยู่หัวจึงตรัส ถามวา่ เหตใุ ดวนั กอ่ นจงึ ถวายเทศนม์ าก วนั นกี้ ลบั ถวายนอ้ ย หลวง พอ่ โตถวายพระพรวา่ “เมอ่ื วานนม้ี หาบพติ รมพี ระราชหฤทยั ขนุ่ มวั จะท�ำให้หายขุ่นมัวได้ด้วยทรงสดับพระธรรมเทศนาให้มาก วันน้ี มพี ระราชหฤทยั ผอ่ งใส จะไม่ทรงสดบั ก็ได”้ มีครั้งหนึ่ง พระเจ้าอยู่หัวทรงกริ้วท่านมาก เพราะท่าน ถวายเทศนเ์ กย่ี วกบั เมอื งกบลิ พสั ดว์ุ า่ พเี่ อานอ้ ง นอ้ งเอาพ ่ี เอากนั เรื่อยมาไม่ว่ากัน เพราะถือว่าบริสุทธิ์ไม่เจือไพร่ จนถึงประเทศ สยามก็เอาอย่าง เอาพี่เอาน้อง ขึ้นราชาภิเษกแล้วก็สมรสกันเป็น ธรรมเนยี มมา 110 ลํ า ธ า ร ริ ม ล า น ธ ร ร ม
พระเจ้าอยู่หัวไม่ทรงพอพระราชหฤทัย ไล่ลงธรรมาสน์ ตรสั วา่ “ไป ไป ไป ไปใหพ้ น้ พระราชอาณาจกั ร ไมใ่ หอ้ ยใู่ นดนิ แดน ของฟา้ ไปใหพ้ น้ ” หลวงพ่อโตออกจากวังแล้วกลับวัดระฆัง เข้าไปนอนใน โบสถ์ ไม่ออกมา บณิ ฑบาตในโบสถ์ ไม่ลงดิน คร้ันพระเจ้าอยู่หัวเสด็จถวายพระกฐินวัดระฆังพบท่าน กร็ ับสง่ั วา่ “อ้าว ไลแ่ ล้วไม่ใหอ้ ยูใ่ นราชอาณาจักร ท�ำไมยงั ขนื อยู”่ “ขอถวายพระพร อาตมภาพไมไ่ ดอ้ ยใู่ นพระราชอาณาจกั ร อาศัยอยู่ในพุทธจักรตั้งแต่วันมีพระราชโองการ ไม่ได้ลงดินของ มหาบพติ รเลย” “กก็ นิ ข้าวท่ไี หน ไปถานท่ีไหน” “ขอถวายพระพร บิณฑบาตบนโบสถ์น้ี ถานในกระโถน เทวดาเปน็ คนน�ำไปลอยน�ำ้ ” พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 111
“โบสถ์น้ีไมใ่ ช่อาณาจักรสยามหรือ” “โบสถเ์ ปน็ วสิ งุ คาม เปน็ สว่ นหนงึ่ แยกจากพระราชอาณาจกั ร กษัตริยไ์ มม่ ีอ�ำนาจขับไลไ่ ด ้ ขอถวายพระพร” “ขอโทษๆ” แล้วทรงถวายกฐิน รับส่ังใหม่ว่าให้สมเด็จโต อยูใ่ นสยามประเทศได้ โบสถ์เป็นของพระพุทธเจ้าฉันใด หลวงพ่อโตก็ถือว่า ท่านเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าฉันน้ัน หาใช่พระของในหลวงไม่ แม้ท่านจะเป็นพระราชาคณะก็ตาม ด้วยเหตุน้ีท่านจึงกล้าเตือน พระเจ้าอยู่หัวได้อย่างไม่หว่ันเกรงภัยใดๆ ท้ังนี้ด้วยกรุณาและ ปญั ญาของทา่ นเป็นสำ� คญั 112 ลํ า ธ า ร ริ ม ล า น ธ ร ร ม
พระบาทสมเดจ็ พระปรเมนทรมหามงกุฏฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยหู่ วั รชั กาลท ่ี ๔ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฏฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นรัชกาลที่ ๔ แห่งราชวงศ์จักรีวงศ์ ทรงมีพระนามเดิมว่า “เจ้าฟ้ามงกุฏ สมมติเทวาวงศ์พงษ์อิศรกษัตริย์” เสด็จพระราชสมภพในวันพฤหัสบด ี ขึ้น ๑๔ ค่�ำ เดือน ๑๑ ปีชวด ตรงกับวันที่ ๑๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๓๔๗ ใน สมัยรัชกาลที่ ๑ ณ นิวาสสถานในพระราชนิเวศน์เดิม ด้านใต้ของวัดอรุณ ราชวราราม เป็นพระราชโอรสองค์ท่ี ๔๓ และเป็นล�ำดับที่ ๒ ในพระบาท สมเดจ็ พระพุทธเลิศหลา้ นภาลยั กบั สมเดจ็ พระศรีสรุ เิ ยนทร์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสวยราชสมบัติในวันพุธ เดือน ๕ ข้ึน ๑ ค่�ำ ปีกุน ยังเป็นโทศก พ.ศ. ๒๓๙๔ รวมด�ำรงสิริราชสมบัติ ๑๖ ปี ๖ เดอื น และทรงมพี ระราชโอรส - พระราชธิดารวมทงั้ ส้ิน ๘๒ พระองค์ พระองคท์ า่ นเสดจ็ สวรรคตเมอื่ วนั พฤหสั บด ี เดอื น ๑๑ ขนึ้ ๑๕ คำ�่ ปมี ะโรง เวลาทมุ่ เศษตรงกบั วนั ท ี่ ๑ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๔๑๑ รวมพระชนมพรรษา ๖๕ พรรษา วดั ประจำ� รชั กาลของพระองคค์ อื วดั ราชประดษิ ฐส์ ถติ มหาสมี ารามราชวรวหิ าร พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 113
114 ลํ า ธ า ร ริ ม ล า น ธ ร ร ม
ท ุ น ท่ ี ไ ม่ ม ี ว ั น ห ม ด หลังจากที่หลวงพ่อชา สุภทฺโท ได้ริเร่ิมบุกเบิกวัดหนอง ปา่ พงแตพ่ .ศ. ๒๔๙๗ เปน็ ตน้ มา วดั นกี้ ค็ อ่ ยๆ เตบิ โตจนกลายเปน็ ส�ำนักปฏิบัติธรรมที่ส�ำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในจังหวัดอุบลราชธานี เป็นเหตุให้มีผู้คนหล่ังไหลมาจาริกบุญศึกษาธรรมที่วัดนี้อย่าง ต่อเน่ืองไม่ขาดสาย จนลูกศิษย์กลุ่มหนึ่งมีความคิดว่าวัดหนอง ปา่ พงควรมมี ลู นธิ เิ หมอื นอยา่ งวดั อนื่ บา้ ง เพอ่ื วดั จะไดม้ ที นุ ดำ� เนนิ งานอย่างมัน่ คง พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 115
เม่ือลูกศิษย์น�ำความดังกล่าวไปปรึกษาหลวงพ่อ ประโยค แรกทีท่ ่านตอบก็คอื “อย่างนั้นก็ดีอยู่ แต่ผมคิดว่ามันยังไม่ถูกต้อง” แล้วท่าน กใ็ หค้ วามเหน็ ตอ่ วา่ “ถา้ พวกทา่ นปฏบิ ตั ดิ ปี ฏบิ ตั ชิ อบแลว้ คงจะไม่ อด พระพทุ ธเจา้ ทา่ นกย็ งั ไมเ่ คยมมี ลู นธิ เิ ลย ทา่ นกโ็ กนหวั ปลงผม ท�ำอะไรเหมือนพวกเรา ท่านก็ยังอยู่ได้ ท่านได้ปูทางไว้ให้แล้ว เรา กเ็ ดนิ ตามทางก็น่าจะพอไปไดน้ ะ” แลว้ หลวงพอ่ ก็สรปุ วา่ “บาตรกับจีวรนี่แหละ มูลนิธิที่พระพุทธเจ้าต้ังไว้ให้ เรา กินไมห่ มดหรอก” หลวงพ่อชาเป็นอยู่อย่างมักน้อยสันโดษมาก กุฏิของท่าน แทบจะโลง่ เพราะมแี ตเ่ ตยี งนอนและของใชท้ จ่ี ำ� เปน็ เชน่ กระโถน ไม่มีของใช้ฟุ่มเฟือยเลย ส่วนวัตถุสิ่งของต่างๆ ที่ญาติโยมน�ำมา ถวายอยเู่ สมอนน้ั ทา่ นกส็ ง่ ตอ่ ไปใหล้ กู ศษิ ยต์ ามวดั สาขาตา่ งๆ หมด 116 ลํ า ธ า ร ริ ม ล า น ธ ร ร ม
ท่านไม่เคยมีบัญชีเงินฝากส่วนตัว ปัจจัยหรือเงินท�ำบุญ ที่โยมถวายน้นั ทา่ นให้เป็นของกลางหมด “เราพอกิน พออยแู่ ล้ว จะมากอะไรท�ำไมนะ กนิ ข้าวมือเดยี ว” ทา่ นเคยพูดให้ฟงั บ่อยครั้งที่โยมมาตัดพ้อต่อว่า เพราะได้ปวารณาถวาย ปัจจัยไว้ให้ท่านใช้ในกิจส่วนตัว แต่หลวงพ่อไม่เคยเรียกใช้สักที ทา่ นเคยปรารภกบั ลกู ศษิ ยว์ า่ “ยงิ่ เขามาปวารณาแลว้ ผมยง่ิ กลวั ” คราวหนึ่งมีผู้เอารถไปถวายหลวงพ่อ รบเร้าให้หลวงพ่อ รับให้ได้ โดยขับมาจอดหลังกุฏิท่าน แล้วเอากุญแจใส่ย่ามท่านไว้ แตป่ รากฏวา่ หลวงพอ่ ไมเ่ คยไปดรู ถคนั นน้ั เลย พอออกจากกฏุ ทิ า่ น จะเดนิ ไปทางอ่นื จะไปในเมือง ทา่ นก็ขน้ึ รถคนั อื่น หลังจากนัน้ ๗ วัน ทา่ นก็เรียกโยมคนหนึง่ มาหา แลว้ บอกว่า “ไปบอกเขาเอารถกลบั คนื ไปนะ เอามาถวายขอ้ ย ขอ้ ยกร็ บั ไปแล้ว เดย๋ี วนี้ขอ้ ยจะสง่ คืน มนั ไม่ใช่ของพระ” อกี ครง้ั หนงึ่ หลวงพอ่ จะไปวดั ถำ�้ แสงเพชร ลกู ศษิ ยท์ ม่ี รี ถ ส่วนตัวคันงามย่ีห้อดัง ต่างแย่งกันนิมนต์ให้ท่านขึ้นรถของตน พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 117
ซงึ่ จอดเรยี งรายอยทู่ ล่ี านวดั ใหไ้ ด ้ หลวงพอ่ กวาดตาดสู กั คร ู่ กช็ ม้ี อื ไปทร่ี ถเกา่ บโุ รทงั่ คนั หนงึ่ พรอ้ มกบั พดู วา่ “ไปคนั นน้ั ” เจา้ ของไดย้ นิ เช่นนน้ั กด็ ีใจสุดขดี รีบเปิดประตูนิมนตใ์ ห้หลวงพ่อนง่ั ว่ากันว่าการเดินทางวันนั้นใช้เวลานานกว่าปกติ เพราะ ขบวนรถคันงามความเร็วสูงต้องค่อยๆ ขับตามหลังรถโกโรโกโส ไปโดยดษุ ณภี าพ 118 ลํ า ธ า ร ริ ม ล า น ธ ร ร ม
หลวงพ่อชา สภุ ทฺโท วดั หนองป่าพง อ.วารนิ ชำ� ราบ จ.อุบลราชธานี นามเดมิ ชา ช่วงโชติ ก�ำเนิด ๑๗ มิถุนายน ๒๔๖๑ สถานที่เกิด อ.วารนิ ช�ำราบ จ.อบุ ลราชธาน ี อปุ สมบท อุปสมบท ณ วัดก่อใน อ.วารินช�ำราบ จ.อุบลราชธาน ี เมอ่ื วันท่ ี ๒๖ เมษายน ๒๔๘๒ มรณภาพ ๑๖ มกราคม ๒๕๓๕ รวมสริ ิอาย ุ ๗๔ ปี ๕๓ พรรษา หลวงปู่เกิดในครอบครัวท่ีอบอุ่น มั่งค่ัง และมักเก้ือหนุนสงเคราะห์ ผู้ยากไร้อยู่เสมอ ท่านเป็นเด็กวัดต้ังแต่ อายุยังน้อย และได้บรรพชาเป็น สามเณรทว่ี ดั บา้ นกอ่ เมอื่ อายไุ ด ้ ๑๓ ป ี ลาสกิ ขาเมอ่ื อายไุ ด ้ ๑๖ ป ี แตอ่ ยา่ งไร กต็ าม เมอื่ อายไุ ด ้ ๒๑ ป ี หลวงปไู่ ดเ้ ขา้ พธิ อี ปุ สมบทเปน็ พระภกิ ษ ุ ณ วดั กอ่ ใน จนกระทั่งต้นปีพ.ศ. ๒๔๘๙ หลวงปู่จึงได้เร่ิม ออกธุดงค์ไปยังสถานท่ี ตา่ งๆ เพอ่ื หาครบู าอาจารยเ์ ปน็ ทพี่ งึ่ และไดเ้ ขา้ กราบนมสั การ พระอาจารยม์ นั่ ภรู ทิ ตโฺ ตทวี่ ดั หนองผอื นาใน อ.พรรณานคิ ม จ.สกลนคร ขอ้ วตั รปฏบิ ตั ติ า่ งๆ ของพระอาจารยม์ นั่ ไดถ้ กู นำ� มาเปน็ แบบอยา่ งในการปฏบิ ตั สิ ำ� หรบั พระ-เณร เมื่อหลวงปู่ได้กลับมาพัฒนาวัดหนองป่าพงในช่วงบ้ันปลายชีวิต จนกระท่ังมีช่ือเสยี งขจรไกลไปถงึ ตา่ งแดน มชี าวตา่ งประเทศเลอื่ มใส ศรทั ธา ขอบวชกับหลวงปู่เป็นจ�ำนวนมาก ท่านจึงได้สร้างวัดป่านานาชาติ เพื่อให้ ภิกษุชาวต่างชาติ ได้มีโอกาสใช้เป็นท่ีพ�ำนักฝึกปฏิบัติธรรม นอกจากนั้นยัง ได้สร้างวัดสาขาของวัดหนองป่าพง เพื่อเผยแพร่พระศาสนาไปยังท่ัวทุกภาค ของประเทศ จงึ นบั ไดว้ า่ หลวงปเู่ ปน็ ผมู้ พี ระคณุ อยา่ งใหญห่ ลวงตอ่ ศาสนกิ ชน ท้ังหลาย ควรแกก่ ารเทดิ ทูนบชู ายิ่ง พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 119
120 ลํ า ธ า ร ริ ม ล า น ธ ร ร ม
ผ้ ู ม่ั น ค ง ใ น ธ ร ร ม ในสมยั รชั กาลท ี่ ๖ ไดเ้ กดิ เหตกุ ารณซ์ ง่ึ เปน็ ทกี่ ลา่ วขานกนั อยา่ งมากในแวดวงพระสงฆแ์ ละกลายเปน็ ประวตั ศิ าสตรห์ นา้ หนงึ่ ของเมืองไทย ในปี ๒๔๕๘ พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้า อยู่หัวได้มีพระบรมราชโองการให้ถอดสมณศักดิ์พระราชาคณะ รูปหน่ึง และให้ “กักบริเวณ” ไว้ท่ีวัดบวรนิเวศวิหาร แต่ไม่นาน กท็ รงเปลย่ี นพระทยั และใหเ้ ลอื่ นสมณศกั ดข์ิ องทา่ นเจา้ คณุ รปู นน้ั เปน็ พระธรรมธรี ราชมหามนุ ีในปถี ัดมา ท่านเจ้าคุณรูปนั้นคือพระเทพโมลี (จันทร์ สิริจนฺโท) เจ้าอาวาสวัดบรมนิวาส สาเหตุที่ท่านถูกถอดสมณศักด์ิก็เพราะ ค�ำเทศนาของท่านท่ีไม่เหมือนใคร แม้จะตรงตามพุทธวจนะ แต่ก็ “ไม่ต้องกับพระราชนิยม” เน่ืองจากสวนทางกับนโยบาย ของรัฐบาลในเวลานั้น ท่ีส่งทหารไปร่วมรบกับสัมพันธมิตรใน สงครามโลกครง้ั ที่หนง่ึ พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 121
ในคร้ังนั้นพระเทพโมลีได้แสดงพระธรรมเทศนาโดย ยกพุทธภาษิตว่า “ทุวิชาโน ปราภโว” แปลว่า วิชาชั่วเป็นสะพาน แห่งความเส่ือมโทรม จากนั้นท่านได้ขยายความว่า “วิชาทหาร วิชาฝึกหัดยิงปืนให้แม่นย�ำเปนต้น ก็ช่ือว่าทุวิชา เปนวิชาชั่ว โดยแท้ เพราะขาดเมตตากรุณาแก่ฝ่ายหนึ่ง” นอกจากนั้น ท่าน ยังได้ยกความหายนะของสงครามโลกครั้งท่ีหน่ึงมาเป็นตัวอย่าง พรอ้ มกับตำ� หนคิ สู่ งครามทงั้ สองฝา่ ย รัฐบาลไม่ว่ายุคใดสมัยใดย่อมต้องการให้พระสงฆ์เทศนา สนับสนุนนโยบายของตน แม้จะขัดกับหลักศาสนาก็ตาม แต่ พระเทพโมลีเป็นผู้ท่ีมั่นคงในหลักธรรม ไม่ยอมไกล่เกล่ียค�ำสอน ของพระพุทธเจ้าให้มารับใช้นโยบายรัฐบาล จึงย่อมสร้างความ ไม่พอใจให้แก่ผู้น�ำรัฐบาล แต่ด้วยอานุภาพแห่งธรรม ในที่สุด พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเปลี่ยนพระทัย กลับมายกย่องท่านเจ้าคุณรูปนี้ ซ่ึงภายหลังได้เจริญในสมณศักดิ์ เปน็ ที่พระอบุ าลคี ุณปู มาจารย์ พระอบุ าลคี ณุ ปู มาจารยน์ อกจากจะเปน็ ธรรมกถกึ ทเี่ ทศนา ได้อย่างสุขุมลุ่มลึก เป็นท่ียกย่องแม้กระท่ังปัจจุบันนี้แล้ว ท่าน 122 ลํ า ธ า ร ริ ม ล า น ธ ร ร ม
ยังมีบทบาทส�ำคัญในทางคันถธุระ ส่งเสริมให้การศึกษาแผนใหม่ แพร่หลายในวงการสงฆ์ สมกับที่เป็นศิษย์และผู้ใต้บังคับบัญชา ของสมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส แตท่ า่ น ยังมีความพิเศษอีกอย่างหน่ึงซ่ึงท�ำให้ท่านเด่นกว่าพระช้ันผู้ใหญ่ ในยุคน้ัน นั่นคือความใฝ่ในวิปัสสนาธุระ คุณสมบัติประการหลัง นี้เอง ท�ำให้ท่านสนิทสนมกับพระอาจารย์ม่ัน ภูริทัตโต ซ่ึงเป็น พระร่นุ หลัง ในยุคท่ีพระป่าถูกมองอย่างดูแคลนจากพระผู้ใหญ่ ซ่ึง ล้วนมีภูมิหลังทางด้านปริยัติธรรมช้ันสูง การท่ีพระราชาคณะ ชน้ั รองสมเดจ็ อยา่ งทา่ นเจา้ คณุ อบุ าลคี ณุ ปมู าจารยใ์ หก้ ารยกยอ่ ง สรรเสริญพระป่าที่ไร้คุณวุฒิทางการศึกษา จึงเป็นเรื่องที่ ไม่ธรรมดาเลย ในสมัยที่พระอาจารย์ม่ันยังไม่มีชื่อเสียงนั้น ท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์เป็นพระผู้ใหญ่องค์แรกๆ ท่ีกล่าว รบั รองในทปี่ ระชมุ สงฆว์ า่ “ทา่ นมนั่ เปน็ กลั ยาณมติ รควรสมาคม” ความท่ีมีท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์เป็นส่ือกลาง พระอาจารยม์ นั่ จงึ เปน็ ทร่ี จู้ กั และไดร้ บั ความยอมรบั จากผปู้ กครอง สงฆ์ในฝ่ายธรรมยุต เป็นผลให้ท่าทีต่อพระป่าเปลี่ยนไป แม้แต่ พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 123
สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) ซึ่งคร้ังหน่ึงเคยสั่งให้ เจ้าหน้าที่บ้านเมืองขับไล่ลูกศิษย์ของท่านท่ีก�ำลังธุดงค์อยู่ในป่า ให้ออกไปจากเขตของท่าน เม่ือครั้งที่ท่านเป็นเจ้าคณะมณฑล อีสาน (อุบลราชธานี) อีกทั้งห้ามไม่ให้ชาวบ้านใส่บาตร ภายหลัง กห็ นั มาให้ความนับถอื พระอาจารย์มั่นและลกู ศิษย์ของท่าน พระอุบาลีคุณูปมาจารย์มรณภาพในปี ๒๔๗๕ เม่ือวาระ สุดท้ายของท่านใกล้จะมาถึง ท่านได้ถามผู้ใกล้ชิดว่าเวลาเท่าไร ครั้นได้รับค�ำตอบแล้ว ท่านได้สั่งให้ผู้พยาบาลช่วยพยุงลุกขึ้นน่ัง สักครู่ก็ให้พยุงนอน แล้วกล่าวออกมาว่า “ทุกขเวทนามีหน้าตา อย่างน้ีเทียวหรือ” จากนั้นได้สั่งให้ก้ันฉาก และให้พยุงขึ้นนั่งตรง ยกมือประหน่งึ ข้นึ ประนม แล้วก็สนิ้ ลมแต่เพียงนั้น 124 ลํ า ธ า ร ริ ม ล า น ธ ร ร ม
พระอบุ าลคี ุณูปมาจารย์ วัดบรมนิวาส เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร นามเดมิ จนั ทร ์ ศุภสร บดิ ามารดา สอน-แก้ว ศุภสร เกดิ เป็นบุตรคนหัวปี ในจ�ำนวน ๑๑ คน วนั ศุกร ์ แรม ๑๐ ค�ำ่ เดอื น ๔ ปมี ะโรง พ.ศ. ๒๓๙๙ ทบี่ ้านหนองไหล จ.อบุ ลราชธานี การบรรพชาและอปุ สมบท อายุย่างได้ ๑๓ ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร เม่ือเดือนยี่ ปีมะโรง พ.ศ. ๒๔๑๑ ท่ีวัดบ้านหนองไหล บวชอยู่ได้ ๗ พรรษา ก็ต้องลาสิกขา เพราะมี กิจจ�ำเป็น และเม่ืออายุย่าง ๒๒ ปี ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ท่ีวัดศรีทอง ณ วันขึ้น ๘ ค�่ำ เดอื น ๖ ปฉี ลู พ.ศ. ๒๔๒๐ ไดเ้ ขา้ มาศกึ ษาปรยิ ตั ธิ รรมทก่ี รงุ เทพฯ ประมาณ พ.ศ. ๒๔๒๓, พ.ศ. ๒๔๒๘ สอบไดเ้ ปรยี ญ ๓ ประโยค ขณะเมอ่ื จำ� พรรษา อยวู่ ดั บปุ ผาราม พ.ศ. ๒๔๓๗ สอบไดเ้ ปรียญ ๔ ประโยค ขณะเมอื่ จำ� พรรษาอย่ทู ่วี ัดเทพศริ ินทร ์ การศกึ ษาในทางวปิ ัสสนาธรุ ะ ใน พ.ศ. ๒๔๓๘ ไดไ้ ปเรยี นวปิ สั สนากมั มฏั ฐาน กบั ทา่ นเจา้ คณุ ปญั ญา- พศิ าลเถระ (สิงห์) วัดสระปทุม และออกไปเจริญวิปัสสนา ท่ีเขาดอก และใน บริเวณแขวงเมอื งนครราชสีมา จนถึง พ.ศ. ๒๔๓๙ จงึ ไดก้ ลับมาวดั สระปทุม หลงั จากนนั้ กไ็ ดอ้ อกวิเวกทกุ ป ี เม่อื ออกพรรษาแล้ว ต้งั แต่ ปี พ.ศ. ๒๔๕๔ สมณศักด ิ์ วันท่ี ๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๘ ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรเลื่อน ข้นึ เป็น พระราชาคณะท ่ี พระอุบาลีคุณูปมาจารย ์ มรณภาพ ในเดอื นมถิ นุ ายน พ.ศ. ๒๔๗๕ และไดร้ บั พระราชทานเพลงิ ศพ เมอื่ วนั ท ่ี ๓๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 125
126 ลํ า ธ า ร ริ ม ล า น ธ ร ร ม
ร ู้ ธ ร ร ม จ า ก ค ว า ม ป ร ะ ห ย ั ด มศี ษิ ยเ์ พยี งไมก่ ค่ี นทรี่ วู้ า่ ทา่ นอาจารยพ์ ทุ ธทาสม ี “สมบตั ิ ชน้ิ เอก” อยชู่ น้ิ หนงึ่ สมบตั ชิ นิ้ นหี้ าในกฏุ กิ ไ็ มพ่ บเพราะอยขู่ า้ งกาย ท่านตลอดเวลา สมบตั ชิ ้ินท่วี า่ ก็คือ แหนบถอนหนวด แหนบดงั กลา่ วไมไ่ ดท้ ำ� ดว้ ยวสั ดพุ เิ ศษอะไรเลย ออกจะดอ้ ย คณุ ภาพด้วยซ้ำ� เพราะท�ำจากขาปนิ่ โตทลี่ กู ศิษยเ์ อามาถวาย ทา่ น เพยี งแตเ่ อามาพบั กเ็ ปน็ แหนบไดแ้ ลว้ หากจะมคี วามพเิ ศษกต็ รงที่ เปน็ ของทที่ า่ นใชม้ านานรว่ ม ๗๐ ป ี คอื ตง้ั แตบ่ วชมาได ้ ๒ พรรษา แมจ้ บบ้ันปลายชวี ิต ท่านกย็ งั ใช้แหนบดังกลา่ วอยู่ ท่านอาจารย์พุทธทาสเป็นพระที่ขึ้นช่ือในเรื่องความ ประหยัดและใช้สิ่งต่างๆ อย่างระมัดระวัง ท่านเคยเล่าว่าหาก ไมป่ ระหยดั สวนโมกขค์ งจะ “พนิ าศ” ไปนานแลว้ เนอื่ งจากตงั้ อยู่ ในปา่ ไกลจากแหลง่ ชมุ ชนมาก สงิ่ ของเครอื่ งใชต้ า่ งๆ จงึ หาไดย้ าก ไม่เหมือนปัจจุบัน แม้กระทั่งกระดาษช�ำระก็เป็นของมีค่าส�ำหรับ สวนโมกข ์ ทา่ นเคยเลา่ วา่ หากมคี นเอาวมิ านมาใหท้ า่ นหลงั หนง่ึ กบั พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 127
กระดาษช�ำระม้วนหนงึ่ ทา่ นขอเอากระดาษชำ� ระม้วนเดยี ว เพราะ กระดาษมปี ระโยชน ์ ตรงกันข้ามกบั วิมาน ซง่ึ ใช้ทำ� อะไรไม่ไดเ้ ลย เวลาฉันอยู่ หากมีแกงหก ท่านจะดึงกระดาษช�ำระ (แบบ ม้วน) มาใช้เพียงแผ่นเดียว เมื่อเช็ดเสร็จท่านจะไม่ท้ิง แต่วางไว้ บนโต๊ะ หากมีใครจะเก็บไปท้ิงท่านจะห้ามไว้ โดยให้เหตุผลว่า ปล่อยไว้สักครูก่ ระดาษกจ็ ะแห้ง สามารถเอามาเช็ดใหม่ไดอ้ กี กระดาษคาร์บอนท่ีใช้พิมพ์ส�ำเนาต้นฉบับ สมัยน้ีใช้ ๒-๓ คร้ังก็ท้ิงแล้ว แต่ท่านจะใช้พิมพ์ซ้�ำแล้วซ�้ำเล่า แม้คาร์บอนจะ จางแล้ว หากยงั พมิ พไ์ ดอ้ ยู ่ ทา่ นกย็ ังใชต้ อ่ จนกวา่ คาร์บอนจะจาง กระทั่งอ่านไม่ออก ท่ียิ่งแย่กว่าน้ันก็คือต้นฉบับพิมพ์ดีดหลาย พนั หนา้ ทอ่ี อกจากสวนโมกขส์ มยั ทที่ า่ นยงั มชี วี ติ อยนู่ นั้ เรยี กไดว้ า่ ไม่เคยได้สัมผัสกับยางลบหมึกเลย เวลาลูกศิษย์พิมพ์ผิด ท่านจะ แนะให้ใช้เข็มซ่อนปลายค่อยๆ เข่ียเอา การแก้ไขค�ำผิดด้วยวิธีน้ี ท�ำให้ลูกศิษย์ต้องพิมพ์ดีดอย่างระมัดระวัง พยายามไม่ให้ผิด นับ เปน็ การฝึกสติอยา่ งดี ท่านอาจารย์ไม่ได้ประหยัดเฉพาะกับอุปกรณ์ที่ต้อง ซ้ือหามาเท่าน้ัน กระท่ังของที่หาได้ง่ายๆ ในสวนโมกข์ท่านก็ใช้ 128 ลํ า ธ า ร ริ ม ล า น ธ ร ร ม
อยา่ งระมดั ระวงั เวลาฉนั นำ้� ทา่ นจะเตอื นใหล้ กู ศษิ ยใ์ สน่ ำ้� มาเพยี ง คร่ึงแก้ว อย่าใส่เต็มแก้ว ท่านว่าท่านฉันครึ่งแก้วแล้วต้องท้ิงอีก ครง่ึ แก้ว ไมเ่ ปน็ การประหยัด เรยี กว่าไม่ใชน้ �ำ้ ดว้ ยสติปัญญา ทุกวันน้ีเรามักได้ยินค�ำประกาศเชิญชวนให้ประหยัดน�้ำไฟ และอะไรต่ออะไรมากมาย แต่การรณรงค์ให้ประหยัดในปัจจุบัน มักเกิดจากความจ�ำเป็นบีบบังคับ เช่น เพราะว่าทรัพยากรก�ำลัง ขาดแคลน สงิ่ แวดลอ้ มกำ� ลงั วกิ ฤต แตส่ ำ� หรบั ทา่ นอาจารยพ์ ทุ ธ- ทาส ความประหยัดไม่ได้เกิดจากความจ�ำเป็นเท่านั้น หากยังเป็น คุณธรรมในตัวมันเอง นั่นหมายความว่าแม้สิ่งของจะมีมาก ก็ ไม่ควรใช้อย่างฟุ่มเฟือย การใช้อย่างประหยัดนอกจากจะเป็นการ ฝึกให้มีสติ ใช้ส่ิงของอย่างระมัดระวังและละเอียดลออแล้ว ยัง ท�ำให้พ่ึงพิงวัตถุน้อยลง และเอ้ือให้ชีวิตเป็นอิสระและโปร่งเบา มากขึน้ ท่านเคยเล่าว่าธรรมะเป็นของละเอียด ดังนั้นคนที่จะรู้ ธรรมะได ้ จงึ ตอ้ งเปน็ คนละเอยี ดลออ ความละเอยี ดลออนม้ี าจาก ไหน ส่วนหน่ึงกม็ าจากการใชส้ ิ่งตา่ งๆ อย่างระมัดระวงั น่นั เอง พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 129
130 ลํ า ธ า ร ริ ม ล า น ธ ร ร ม
เ ผ ชิ ญ เ ส ื อ โ ค ร่ ง หลวงปู่ชอบ ฐานสโม เป็นศิษย์ผู้ใหญ่ของหลวงปู่มั่น ภรู ทิ ตโฺ ต วปิ สั สนาจารยผ์ ยู้ ง่ิ ใหญแ่ หง่ ยคุ ปจั จบุ นั พระอาจารยช์ อบ เปน็ ผฝู้ กั ใฝใ่ นการเทย่ี วธดุ งคก์ รรมฐาน และนยิ มบำ� เพญ็ ปฏบิ ตั อิ ยู่ ในป่าเขามาโดยตลอด เม่ือ ๔๐-๕๐ ปีก่อน ป่าดงพงไพรปกคลุม พ้ืนท่ีส่วนใหญ่ของประเทศ สิงสาราสัตว์จึงมีอยู่อย่างชุกชุม พระอาจารยช์ อบจงึ มักพานพบสัตว์ป่านานาชนิดอย่ไู มข่ าด พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 131
มีคราวหนึ่งท่านไปเท่ียวธุดงค์ในประเทศพม่า ขณะน่ัง ภาวนาอยู่ในถ�้ำราว ๕ โมงเย็นก็เห็นเสือโคร่งใหญ่ลายพาดกลอน ตัวหน่ึงเดินมาหน้าถ�้ำ แม้ท่าทางดูน่ากลัว แต่เม่ือมันมองเข้ามา ในถ�้ำสบตาท่าน แทนท่ีจะแสดงอาการกลัวหรือค�ำรามตามวิสัย สตั วป์ ่า กลับมีอาการเฉยๆ เมอ่ื ข้นึ มาถงึ ถ้ำ� แล้วก็กระโดดขึ้นไปนง่ั อยู่บนก้อนหินด้านทางข้ึนถ�้ำสูงประมาณ ๑ เมตร ห่างจากท่าน ประมาณ ๖ เมตร แล้วก็น่ังเลียแข้งเลียขา โดยหาได้สนใจท่าน แต่อย่างใดไม่ ท่านว่ามันน่ังราวกับสุนัขบ้าน พอเลียแข้งเลียขา เหนอื่ ยกน็ อนหมอบแบบสนุ ขั อกี แลว้ กเ็ ลยี ขาแลว้ ลำ� ตวั ตอ่ โดยไม่ สนใจอะไร แม้ท่าทีของมันจะไม่ดุร้าย แต่ท่านก็ไม่วางใจ จึงงดออก ไปเดินจงกรมที่หน้าถ�้ำเหมือนอย่างเคย ในใจรู้สึกหวาดเสียว เล็กน้อย แต่ก็น่ังภาวนาต่อไปตามปกติ เสือโคร่งนานๆ ก็หันมา มองดทู า่ นสกั ครงั้ หนง่ึ เปน็ การมองอยา่ งธรรมดาๆ คลา้ ยกบั มติ ร แม้มันเลียแข้งเลียขาเสร็จนานแล้ว แต่ก็ไม่ไปไหนต่อ จนมืดแล้ว ทา่ นจึงเขา้ ไปในกลด ตกดึกท่านจะเข้านอน มันกย็ ังอยทู่ เ่ี ดมิ 132 ลํ า ธ า ร ริ ม ล า น ธ ร ร ม
ท่านต่ืนนอนราวตี ๓ มองไปที่หน้าถ�้ำก็ยังเห็นมันนอน อยทู่ า่ เกา่ จวบจนรงุ่ เชา้ กเ็ กดิ ปญั หาขน้ึ มาวา่ ทา่ นจะไปบณิ ฑบาต ได้อย่างไรในเมื่อมันนอนอยู่หน้าถ้�ำ แต่ท่านตัดสินใจว่าจะต้อง ออกไป แม้ว่าทางท่ีจะเดนิ ห่างตัวมันราว ๑ เมตรเศษๆ เท่านัน้ เมื่อท่านครองผ้าสะพายบาตรเสร็จก็ด�ำรงสติมั่น เจริญ เมตตาแลว้ พดู กบั มนั วา่ “นถ่ี งึ เวลาออกบณิ ฑบาตแลว้ เรากม็ ที อ้ ง มีปากมีความหิวกระหายเหมือนสัตว์โลกทั่วไป เราจะขอทางไป บณิ ฑบาตมาฉนั หนอ่ ยนะ จงใหท้ างเราบา้ ง ถา้ เจา้ อยากอยทู่ นี่ ตี่ อ่ ไปก็ได ้ หรอื จะไปเพื่อหาอยู่หากินทไ่ี หนก็ตามใจสะดวก เราไมว่ า่ ” ท่านว่า มันนอนฟังท่านเหมือนสุนัขนอนฟังเจ้าของพูด พอพดู จบทา่ นกเ็ ดนิ ผา่ นหนา้ มนั สว่ นมนั กน็ อนสบายปลอ่ ยใหท้ า่ น เดนิ ผา่ นออกไป พลางช�ำเลอื งดูดว้ ยสายตาออ่ นๆ เมื่อท่านบิณฑบาตกลับมา ก็ไม่พบมันแล้ว นับแต่วันน้ัน กไ็ ม่พบมันอกี เลย (อ่านประวตั ทิ ่าน หนา้ ๓๘) พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 133
134 ลํ า ธ า ร ริ ม ล า น ธ ร ร ม
จ ิ ต ง ด ง า ม ด อ ก ไ ม ้ ง า ม ผู้มีภูมิธรรมอันสูงส่ง ไร้ธุลีกิเลสในดวงใจย่อมยังความ สงบเย็นให้แก่ผู้อยู่รอบข้าง กระแสแห่งเมตตาบารมีมิเพียงแต่ จะแผ่ไปยังสรรพสัตว์เท่าน้ัน แม้พรรณไม้ก็อาจได้รับอานิสงส์ ดังกลา่ วดว้ ย ในช่วงปลายอายุขัยของหลวงพ่อชา สุภทฺโท ท่านป่วย ด้วยโรคน้�ำสมองไขสันหลังค่ัง จ�ำต้องมารับการตรวจรักษาท่ี โรงพยาบาลส�ำโรง โยมผู้หนึ่งจึงได้กราบนิมนต์ท่านไปพักฟื้น ยังที่พักสงฆ์ ซ่ึงสร้างเป็นเอกเทศภายในบริเวณบ้านของเธอ ซ่ึง ไมไ่ กลจากโรงพยาบาลนกั พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 135
ระหวา่ งทหี่ ลวงพอ่ พำ� นกั ณ ทพ่ี กั สงฆแ์ หง่ นน้ั ปรากฏวา่ พันธุ์ไม้ต่างๆ ภายในบริเวณบ้านพากันผลิดอกออกช่อสะพรั่ง พร้อมต่อเน่ืองกันเป็นท่ีอัศจรรย์ใจ โดยเฉพาะไม้ดอกต้นหนึ่ง ที่ช่ือพวงประดิษฐ์ ซ่ึงแห้งเห่ียวเฉา และไม่ออกดอกเลยมาเป็น เวลา ๘ ปีแล้ว นับแต่ปีที่บุตรชายของโยมเจ้าของบ้านได้เสียชีวิต แม้จะพยายามเอาใจใส่ดูแลรักษาเพียงใด แต่พวงประดิษฐ์ต้นนี้ ก็ไม่ชูช่ออีกเลย จนเมื่อหลวงพ่อเข้าพ�ำนัก ต้นพวงประดิษฐ์ต้นน้ี จึงกลับฟื้นตัว มีชีวิตชีวา แตกก่ิงก้านสาขาผลิใบงดงามอย่าง รวดเร็วจนเป็นไม้พุ่มใหญ่ ทั้งยังออกดอกสีชมพูสดใสเป็นพวง ระย้าทุกข้อทุกแขนง จนมองเห็นแต่พวงสีชมพูท่ีระพ้นหญ้าและ ปกคลุมล�ำต้นเร่ือยขึ้นไปจนถึงยอด เป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจแก่ ผพู้ บเห็น หลวงพ่อเองเมื่อทราบเรื่องน้ี ท่านก็ได้ออกมายืนใกล้ๆ ต้นพวงประดิษฐ์อยู่เป็นเวลานาน ราวกับจะแผ่เมตตา และนับ แต่นั้นมาพวงประดิษฐ์ต้นนี้ก็ออกดอกให้เจ้าของบ้านได้ชมทุกปี แตไ่ ม่มากมายสะพรั่งไปท้ังต้น เหมอื นคราวที่หลวงพ่อมาพกั 136 ลํ า ธ า ร ริ ม ล า น ธ ร ร ม
หลวงปดู่ ลู ย ์ อตโุ ล วัดบรู พาราม อ.เมอื ง จ.สรุ นิ ทร์ นามเดมิ เกดิ ในสกลุ เกษมสินธ์ เกดิ วนั ท่ี ๔ ตลุ าคม ๒๔๓๑ สถานท่ีเกิด ต.เฉนยี ง อ.เมอื ง จ.สรุ ินทร ์ อปุ สมบท อุปสมบท ณ วัดจมุ พลสทุ ธาวาส อ.เมือง จ.สุรนิ ทร์ ใน พ.ศ. ๒๔๕๓ โดยมีพระครวู ิมลศลี พรต เปน็ พระอปุ ชั ฌาย์ สมณศักดิ ์ พระราชวุฒาจารย ์ มรณภาพ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๒๖ รวมสริ อิ ายุ ๙๖ ปี ๗๔ พรรษา เมื่อแรกบวช หลวงปู่ได้พากเพียรศึกษาการปฏิบัติกรรมฐานอย่าง เครง่ ครดั มคี วามวริ ยิ ะ อตุ สาหะอยา่ งแรงกลา้ จนลว่ งเขา้ พรรษาท ่ี ๖ หลวงปู่ จึงหันมาศึกษาพระปริยัติธรรมที่วัดสุทัศน์ จ.อุบลราชธานี สอบได้นักธรรม ช้ันตรีเป็นรุ่นแรก ของจังหวัดอุบลราชธานี และได้ศึกษาบาลีไวยากรณ์ (มูลกัจจายน์) จนสามารถแปลพระธรรมบทได้ เน่ืองจากวัดสุทัศน์ เป็นวัด ทอี่ ยใู่ นสงั กดั ธรรมยตุ กิ นกิ าย หลวงปจู่ งึ ไดข้ อญตั ตเิ ปน็ ธรรมยตุ กิ นกิ ายในพ.ศ. ๒๔๖๑ ณ วัดสุทัศนฯ์ โดยมพี ระมหารัฐ เปน็ พระอปุ ชั ฌาย ์ ในพรรษาต่อมาหลวงปไู่ ดม้ โี อกาสพบ พระอาจารยม์ น่ั ภรู ทิ ตโฺ ต เมอื่ ได้ ฟงั ธรรมเพยี งครงั้ เดยี วจากพระอาจารย์มั่น ก็เกิดความอัศจรรย์ใจย่ิง จึงได้ เลิกศึกษาพระปริยัติแล้วออกธุดงค์ตามพระอาจารย์ม่ัน ไปยังที่ต่างๆ หลาย แห่ง จึงนับได้ว่าหลวงปู่เป็นศิษย์พระอาจารย์ม่ันในสมัยแรก ต่อมาเจ้าคณะ มณฑลนครราชสมี าขอใหห้ ลวงปกู่ ลบั จงั หวดั สรุ นิ ทร ์ เพอื่ บรู ณะวดั บรู พาราม หลวงปู่จึงจ�ำต้องระงับกิจธุดงค์และเร่ิมงานบูรณะตามที่ได้รับมอบหมาย หลวงปู่ได้อุทิศชีวิต เพ่ือพระศาสนาอย่างแท้จริง จนได้รับการยอมรับจาก สาธชุ นทง้ั หลาย วา่ เปน็ อรยิ สงฆท์ ่ีหาได้ยากย่งิ องค์หนง่ึ (อ่านเร่อื งหนา้ ๑๓๙) พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 137
138 ลํ า ธ า ร ริ ม ล า น ธ ร ร ม
ม ี แ ต่ ไ ม่ เ อ า หลวงปดู่ ลู ย ์ อตโุ ล ไดช้ อ่ื วา่ เปน็ แมท่ พั ธรรมคนสำ� คญั ทสี่ ดุ ของจังหวัดสุรินทร์ จวบจนมรณภาพเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๖ ด้วยอายุ ๙๖ ปี เมื่อคร้ังท่านยังมีชีวิตอยู่ วัดบูรพารามในอ�ำเภอเมือง เป็น จุดหมายปลายทางของผใู้ ฝธ่ รรม ทงั้ บรรพชติ และคฤหสั ถ์ หลวงปู่ดูลย์ หรือพระราชวุฒาจารย์ เป็นศิษย์รุ่นแรก ของหลวงปู่ม่ัน ภูริทตฺโต และเป็นสหายธรรมของหลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม ดังน้ันจึงเป็นที่เคารพนับถือของพระกรรมฐาน รุน่ หลังๆ เป็นอย่างมาก พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 139
แม้จะมีประสบการณ์โชกโชนในฐานะพระป่าเช่ียวชาญ ในกรรมฐานท้ังฝ่ายสมถะและวิปัสสนา แต่ท่านไม่เคยอ้างตน เป็น “ผู้วิเศษ” เวลามีใครมาชวนคุยเรื่องส่ิงศักดิ์สิทธ์ิ อิทธิฤทธิ์ และสิ่งอาถรรพ์ล้ีลับ ท่านจะตัดบทหรือไม่สนใจเอาเลย แม้จะมี ใครมาขอให้ท่านช่วยก�ำหนดฤกษ์ยาม เช่น หาวันดีที่จะบวช หรือ หาฤกษ์จัดงานมงคล ทา่ นมกั บอกว่า “วันไหนกไ็ ด ้ วันไหนก็ดี” อย่างไรก็ตาม ท่านยอมรับว่าวัตถุมงคลยังมีประโยชน์ อยู่บ้างส�ำหรับคนบางจ�ำพวก ดังท่านเคยกล่าวว่า “ส�ำหรับผู้มี จิตใจเพลิดเพลินอยู่ ยังยินดีในการเกิดตายในวัฏสงสาร ยัง ไมส่ ามารถหนั มาสกู่ ารปฏบิ ตั ธิ รรมได ้ กใ็ หอ้ าศยั วตั ถภุ ายนอก เชน่ วตั ถมุ งคลเชน่ นเ้ี ปน็ ทพี่ ง่ึ ไปกอ่ น” แตท่ า่ นกเ็ ตอื นวา่ วตั ถมุ งคลนน้ั “ไม่มีอะไร เปน็ เพียงช่วยดา้ นก�ำลงั ใจเทา่ นนั้ ” คราวหน่ึงมีคนเอาเคร่ืองรางของขลังออกมาอวดกันเอง ต่อหน้าท่าน คนหนึ่งมีเขี้ยวหมูตัน อีกคนมีนอแรด ต่างอวดว่า ของตนวิเศษ ดีอย่างนั้นอย่างนี้ มีคนหน่ึงถามท่านว่า อย่างไหน วเิ ศษกวา่ กัน 140 ลํ า ธ า ร ริ ม ล า น ธ ร ร ม
ท่านตอบว่า “ไม่มีดี ไม่มีวิเศษอะไรหรอก เป็นของสัตว์ เดรจั ฉานเหมือนกัน” นอกจากจะไมแ่ สดงตวั เป็นผ้วู เิ ศษแลว้ ท่านยังไมอ่ วดอา้ ง วา่ เปน็ พระอรยิ ะ แมจ้ ะมคี นจำ� นวนมากทเี่ ชอื่ เชน่ นนั้ แตถ่ งึ จะซกั ไซ้ ไล่เลียงถามถงึ คณุ วเิ ศษของทา่ นเพยี งใด ท่านก็ไมเ่ คยอวดตน เคยมคี นถามหลวงปู่สน้ั ๆ ว่า ทา่ นยังมคี วามโกรธอย่ไู หม แทนท่ีท่านจะตอบว่า หมดโกรธ หมดโลภ หมดหลงแล้ว ท่านตอบส้ันๆ วา่ “ม ี แต่ไม่เอา” พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 141
142 ลํ า ธ า ร ริ ม ล า น ธ ร ร ม
เ สี ย ง เ ก๊ี ย ะ ธรรมะนั้นไม่จ�ำเป็นต้องสอนด้วยการเทศน์เสมอไป หาก มองให้เป็น ทุกสิ่งทุกอย่างก็สอนธรรมแก่เราตลอดเวลา แต่ บางคร้ัง กต็ ้องมีผ้รู ูม้ ากระตนุ้ ใหฉ้ กุ คิด ครง้ั หนงึ่ หลวงปบู่ ดุ ดา ถาวโร ไดร้ บั นมิ นตไ์ ปฉนั เพลทบี่ า้ น โยมในกรุงเทพฯ เมื่อฉันเสร็จแล้ว เจ้าของบ้านเห็นหลวงปู่ เดินทางมาเหนื่อย จึงขอให้ท่านเอนกายพักผ่อน ก่อนเดินทาง กลบั วัดที่จงั หวัดสงิ หบ์ ุรี ระหวา่ งนนั้ ขา้ งหอ้ งซง่ึ เปน็ รา้ นขายของ มคี นเดนิ ลากเกย๊ี ะ กระทบพ้ืนบันไดเสียงดัง ศิษย์คนหน่ึงรู้สึกร�ำคาญเสียงเกี๊ยะ บ่น ข้ึนมาดังๆ วา่ “แหม เดินเสยี งดงั เชียว” หลวงปซู่ งึ่ นอนหลบั ตาอยจู่ งึ พดู เตอื นวา่ “เขาเดนิ ของเขา อย่ดู ๆี เราเอาหไู ปรองเกี๊ยะเขาเอง” พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 143
144 ลํ า ธ า ร ริ ม ล า น ธ ร ร ม
เ พ ร า ะ ถ ื อ จึ ง ห นั ก นาวาเอกผู้หน่ึงได้เข้าไปกราบสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ซึ่งทรงเคยเป็นอุปัชฌาย์เม่ือคร้ังเขา อุปสมบทท่ีวัดบวรนิเวศ หน้าตาของนาวาเอกดูหม่นหมองและ อิดโรย ท่าทางอมทุกข์ สมเด็จฯ จึงรับส่ังถามว่า “เป็นไงม่ัง พกั น้”ี “หนักครบั ” เขาทลู “ชว่ งนแี้ ยม่ ากเลยครับ” “หนักอะไร” สมเด็จฯ ถาม พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 145
แล้วนาวาเอกก็ทูลเล่าถึงปัญหาต่างๆ ที่ประดังประเด เข้ามาทั้งในเรื่องชีวิตและงานการ เขาบอกว่าตอนน้ีจวนจะแบก ไม่ไหวแลว้ จึงมาเฝ้าสมเด็จฯ เพอื่ ขอพระบารมเี ป็นที่พึ่ง สมเด็จฯ น่ังสักพัก ก็รับสั่งให้เขาน่ังคุกเข่าและย่ืนมือ ท้ังสองออกมาข้างหน้า แล้วพระองค์ก็หยิบเศษกระดาษชิ้นหน่ึง มาวางบนฝ่ามือทั้งสองของนาวาเอก จากน้ันพระองค์ก็เสด็จ ออกไปจากที่ประทับ พร้อมกับรับสั่งว่า “น่ังอยู่นี่แหละ อย่าขยับ หรอื ไปไหนจนกวา่ ขา้ จะกลบั มา จะเขา้ ไปข้างในสกั ประเดย๋ี ว” นาวาเอกนั่งอยู่ในท่าคุกเข่าและประคองกระดาษทั้งสอง มืออยู่เป็นเวลานาน ๑๐ นาทีก็แล้ว ๒๐ นาทีก็แล้ว สมเด็จฯ ก็ยัง ไมเ่ สดจ็ ออกมา เขาเรมิ่ เหนอื่ ย แขนกเ็ มอื่ ยลา้ กระดาษชน้ิ เลก็ ๆ ซงึ่ เบาหววิ ดูจะหนกั ขึ้นเร่ือยๆ จนเหงือ่ เริ่มออก ในทสี่ ดุ สมเดจ็ ฯ กเ็ สดจ็ เขา้ มาประทบั ทเ่ี ดมิ ทำ� ทเี หมอื นกบั ไมม่ อี ะไรเกดิ ขน้ึ สกั พกั กม็ องกระดาษทม่ี อื นาวาเอก แลว้ ทรงถาม วา่ “เป็นไง” 146 ลํ า ธ า ร ริ ม ล า น ธ ร ร ม
“หนกั ครับ พระเดชพระคุณ เมือ่ ยจนจะทนไม่ไหว” “อ้าว ท�ำไมไม่วางมันลงเสียล่ะ” สมเด็จฯ รับสั่ง “ก็ไป ยอมใหม้ นั อยอู่ ยา่ งนน้ั มนั กห็ นกั อยยู่ งั งน้ั นะซ ี มนั จะเปน็ อยา่ งอนื่ ไปได้ยังไง” กระดาษช้ินเล็กๆ ที่เบาหวิว หากไปถือนานๆ เข้า ก็ย่อม กลายเป็นของหนัก ตรงกันข้ามก้อนหินก้อนใหญ่ ถ้าไม่ไปแบก หรืออุ้มมัน ก็ไม่รู้สึกหนัก ฉะนั้นถ้าไม่อยากให้ชีวิตหรือจิตใจ หนกั อง้ึ ควรร้จู ักปล่อยวางเสยี บา้ ง แม้แต่ของท่ีมีประโยชน์ เราควรยึดถือก็ต่อเมื่อถึงเวลา ใช้งาน เม่ือใช้เสร็จ ก็ควรวางลงเสีย นับประสาอะไรกับของ ที่ไร้ประโยชน์ เช่น ความทุกข์ ความห่วงกังวล ยิ่งต้องวางทันที ทีรู้ตัวว่ามาครองใจ หาไม่แล้วจะกลายเป็นของหนักจนเอาตัว ไม่รอด พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 147
148 ลํ า ธ า ร ริ ม ล า น ธ ร ร ม
ต่ อ อ า ย ุ พ่ อ แ ม่ เมื่อคร้ังยังเป็นคฤหัสถ์ หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ เคยมี อาชพี เปน็ พ่อค้า ไปท�ำมาค้าขายทปี่ ระเทศลาวอยูเ่ ป็นประจำ� เมื่อ บวชแล้วท่านก็ยังได้รับนิมนต์ให้ไปสอนธรรมที่นั้นอยู่หลายครั้ง เน่ืองจากวัดป่าพุทธยานซึ่งเป็นส�ำนักแรกที่ท่านบุกเบิกท่ีจังหวัด เลยน้ัน อย่ไู มไ่ กลจากแมน่ ้�ำโขงเท่าใดนกั แนวการสอนธรรมของหลวงพ่อไม่เหมือนพระรูปอ่ืนๆ ท่านเน้นท่ีแก่นธรรมมากกว่ากระพ้ี จึงพยายามชักชวนผู้คน ใหป้ ฏบิ ตั ิธรรมแทนที่จะหมกมุน่ กบั พธิ รี ตี อง แตท่ ่านไม่ได้ชกั ชวน ดว้ ยการพูดเฉยๆ หากมกั จะท�ำใหเ้ ห็นเป็นแบบอยา่ ง พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 149
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168