พระพทุ ธองคตรสั วา โยนโิ สมนสกิ าร การใสใ จโดยอุบาย อนั แยบคายและการกระทำใหม าก ปฏิบัตใิ หมาก พหุลกี าโร จะทำใหสมาธเิ กดิ ขึ้น เมือ่ สมาธิเกดิ ข้นึ แลว ก็จะทำใหส มาธิเกดิ ขนึ้ อยา งตอเน่อื ง
ชมรมกลั ยาณธรรม หนงั สอื ดอี ันดบั ที่ ๑๗๖ ชอื่ หนงั สอื : โพชฌงค พระกมั มัฏฐานาจริยะ อู บัณฑติ าภิวงั สะ จัดพิมพถวายเปนพุทธบูชาโดยชมรมกัลยาณธรรม ๑๐๐ ถ.ประโคนชยั ต.ปากนำ้ อ.เมอื ง จ.สมุทรปราการ โทร. ๐๒-๗๐๒๙๖๒๔ หรือ ชมรมกัลยาณธรรม ๘๙/๖-๗ ซอยศกึ ษาวทิ ยา ถ.สาธรเหนอื สีลม บางรัก กทม. โทร. ๐๒-๖๓๕๓๙๙๘ รูปเลมและจดั พิมพ สำนกั พมิ พก อ นเมฆ โทร. ๐๘๙ ๗๘๕-๓๖๕๐ พิมพค รั้งที่ ๑ : ๖,๐๐๐ เลม : พฤษภาคม ๒๕๕๕ สพั พทานงั ธมั มทานัง ชนิ าติ การใหธ รรมะเปนทาน ยอ มชนะการใหท ้ังปวง www.kanlayanatam.com
โพชฌงค พระกมั มัฏฐานาจริยะ อู บัณฑติ าภวิ ังสะ การรูแ จง บคุ คลไมอาจบรรลุธรรมได โดยการนัง่ มองทอ งฟา โดยการคิดคำนงึ โดยการอานศึกษาพระไตรปฎก หรือปรารถนาเองวาสภาวธรรมจะปรากฏขึน้ เองในใจ แทจริงแลวมเี ง่อื นไขสำคญั ที่เปน รากฐานของการบรรลธุ รรม ปจจัยเหลา นี้มชี ือ่ ในภาษาบาลีวา โพชฌงค ธรรมท่ีเปนองคแ หงการตรสั รู มอี ยู ๗ ประการ
๕ คำวา “โพชฌงค” ประกอบดว ย คำวา โพธิ ซงึ่ หมายถงึ ปญญาอนั เปน เครอื่ งตรสั รู หรือพระอรยิ บคุ คลผูบ รรลุธรรมแลว และ คำวา องคฺ หมายถึงปจ จยั ท่ีเปน เหตุ ดังน้ัน โพชฌงค จึงหมายถึงธรรมท่ีเปนองคของผู ตรสั รูหรอื เปนองคแ หง การตรัสรู ความหมายทส่ี องของคำวา โพชฌงคเ กดิ จากตัดความของรากศัพทท ้ังสองไปอกี ทางหน่ึง คำวา โพธิ ในอีกความหมายหน่ึงหมายถึงความรู แจง ในอรยิ สจั ส่ี กลา วคอื ความรทู ว่ี า ทกุ อยา งลว นแตเ ปน ทตี่ งั้ แหง ทุกข ความไมน า พงึ พอใจ ความจรงิ ทว่ี า ตณั หาเปน เหตุ ใหเ กดิ ทกุ ข และความไมพ งึ พอใจนน้ั ความจรงิ ทวี่ า ทกุ ขเ หลา นส้ี ามารถทำใหห มดสน้ิ ไปได และความจรงิ เกยี่ วกบั หนทางที่ จะนำไปสูความดบั ทุกขอ ันไดแ กอ รยิ มรรคมีองคแปดนั่นเอง ความหมายทสี่ องของ องคฺ คอื สว นหรอื องคป ระกอบ ดังน้ัน ความหมายท่ีสองของโพชฌงคคือองคประกอบของ ญาณปญ ญาท่ีหย่งั รูในอริยสจั ส่ี ผูปฏิบัติวิปสสนากรรมฐานทุกคนมีความเขาใจใน อริยสัจส่ีในระดับหนึ่ง แตความเขาใจอยางลึกซ้ึงนั้นจะเกิด ข้ึนโดยอาศัยมรรคจิตอันเปนผลของการเปลี่ยนแปลงของ
๖ จิตสำนึกในชวงเวลาใดเวลาหนึ่งโดยเฉพาะ นี่เปนหน่ึงใน ญาณทศั นะขน้ั ตา งๆ ทพี่ งึ บงั เกดิ ขนึ้ ระหวา งการปฏบิ ตั ิ ญาณ นนั้ รวมถงึ สภาวะของนิพพานดว ย เมื่อโยคีประจักษในสภาวะนี้แลวก็จะเขาใจอริยสัจสี่ อยางลึกซ้ึงและสามารถกลาวไดวาผูปฏิบัตินั้นประกอบดวย โพชฌงคอยใู นตนแลว บุคคลเชนนี้แหละกลาวไดวาเปนอริยบุคคล ดังน้ัน โพชฌงคหรือองคแหงการบรรลุธรรมน้ีจัดเปนคุณสมบัติ ของอริยบุคคลดวย คำวาโพชฌงคน้ี บางครั้งเรียกวา สัมโพชฌงค คำวา สมั หมายถงึ เตม็ บรบิ รู ณ ถกู ตอ ง หรอื แทจ รงิ การใชคำนำหนาน้ีเปนการยกยองและย้ำความ แตก็มิไดมี ความหมายใดเพิ่มขึ้นเปน พเิ ศษ ธรรมทง้ั เจด็ ทเ่ี ปน องคแ หง การตรสั รู หรอื คณุ สมบตั ิ เจด็ ประการของพระอริยบคุ คล ไดแก สติ ธรรมท่เี ปนองคแหงการตรัสรู คือ ความระลึกได ธมั มวจิ ยะ ธรรมท่ีเปนองคแ หง การตรสั รู คือการเลอื กเฟนธรรม
๗ วริ ยิ ะ ธรรมทเี่ ปน องคแ หง การตรัสรู ปติ คือความเพยี ร ปสสทั ธิ ธรรมทเี่ ปนองคแ หง การตรสั รู สมาธิ คือความอม่ิ ใจ อุเบกขา ธรรมทเ่ี ปน องคแหงการตรสั รู คอื ความสงบกายสงบใจ ธรรมท่เี ปนองคแหงการตรสั รู คือความต้งั มนั่ แหงจติ และ ธรรมทีเ่ ปน องคแหง การตรัสรู คือความวางเฉย องคธรรมท้ังเจ็ดน้ีสามารถพบไดในทุกข้ันตอนของ การเจริญวิปสสนา แตหากพิจารณาตามขั้นตอนของลำดับ ญาณแลวอาจกลาวไดวา องคธรรมท้ังเจ็ดจะปรากฏชัดใน ญาณที่ผูป ฏบิ ตั ิเร่มิ เหน็ ความเกดิ ดับของสภาวธรรมตางๆ ผูปฏิบัติควรจะทำอยางไรในการพัฒนาองคธรรม เหลานใี้ หเ กดิ ข้นึ กโ็ ดยการเจรญิ สตปิ ฏ ฐานน่ันเอง พระพุทธองคต รสั ไวว า “ดกู ร ภิกษทุ ง้ั หลาย หากฐานทั้งสีข่ องสติไดรบั การ ปฏิบัติอยางตอเนื่องและสม่ำเสมอ โพชฌงคเจ็ดก็จะเกิดขึ้น จนบรบิ รู ณ”
๘ การเจรญิ สตปิ ฏ ฐานมไิ ดห มายถงึ การศกึ ษา การคดิ คำนงึ การฟงเทศน หรือการสนทนาธรรมท่ีเกีย่ วกับสตปิ ฏ ฐาน แตสงิ่ ทพ่ี ึงกระทำก็คอื ลงมือปฏบิ ตั ิเพือ่ หาประสบการณ ทแ่ี ทจ รงิ โดยตรง ดว ยการระลกึ รใู นธรรมอนั เปน ทต่ี ง้ั แหง ฐาน ทง้ั สีข่ องสติ สตปิ ฏฐานสตู รกลา ววาฐานท้ังสีน่ ไี้ ดแ ก หนง่ึ ความรสู กึ ทางกาย สอง เวทนา กลาวคือความรูสกึ เจบ็ ปวด สบาย หรอื เฉยๆ ทเี่ กดิ ขนึ้ ทางกายและจิต สาม จิตและความคดิ และ ส่ี ธรรม กลา วคอื อารมณตา งๆ ท่ีเขา มา กระทบกบั จติ ไดแก สงิ่ ทมี่ องเห็น ไดย นิ ลิม้ รส และอนื่ ๆ นอกจากนี้พระพุทธองคยังไดตรัสวา บุคคลควร ปฏบิ ตั อิ ยางตอเนอื่ งและสมำ่ เสมอ โดยไมข าดตอน นีค่ อื ส่ิง ท่ีเราควรพากเพียรในระหวางการปฏิบัติวิปสสนากรรมฐาน แนวทางการสอนวิปสสนากรรมฐานที่ทานมหาสีสยาดอ พัฒนาข้ึนมาน้ัน มุงเนนการเจริญโพชฌงคเจ็ด เพ่ือดำเนิน ไปสกู ารเจริญมรรคตามคำสอนของพระพุทธองค
สติ ๑โพชฌงคอ งคทห่ี นึ่ง สติ ความระลกึ ได คือธรรมทีเ่ ปน องคแ หงการตรสั รอู งคทห่ี นึ่ง “ความระลึกได” เปนคำแปล อันเปน ท่ยี อมรับกันของคำวา สติ อยางไรกต็ าม มักมคี วามเขาใจกันผดิ ในนัยที่คอ นขางวางเฉย (passive) แทจ รงิ แลว สติ ตองมคี วามตื่นตวั และความเปนเฉพาะหนา ตออารมณ
๑๐ ในระหวา งการอบรม อาตมาสอนวา ควรสรา งความ มีสติดวยความกระตือรือรนในการกำหนดรูอารมณอยาง ครอบคลมุ และหยง่ั ลกึ ลงในกระบวนการทง้ั หมดอยา งสมบรู ณ และหมดจดโดยไมพ ลาดสว นประกอบใดๆ เลย เพอื่ แสดงให เหน็ ความรูส ึกอันมุงมัน่ นี้ อาตมาพอใจที่จะแปลคำวาสติเปน “อำนาจในการ เฝา ดู” มากกวาคำวา “ความระลึกได” อยางไรก็ตาม เพ่ือใหงายและสะดวก จะใชคำวา “ระลกึ ได” โดยตลอดในหนงั สอื เลม นี้ ถงึ อยา งไรกอ็ ยากให ผูอา นจดจำและเนน ถึงคณุ สมบัติท่ีต่ืนตวั ของสตดิ วย “ความระลกึ ได” นส้ี ามารถเขา ใจไดโ ดยการพจิ ารณา ลกั ษณะสามประการของลกั ษณะเฉพาะ (ลกขฺ ณ) หนา ที่ (รส) และอาการปรากฏ (ปจจฺ ุปฐาน) อนั เปนการแยกแยะตามนัยที่ใชในพระอภิธรรม ซึ่ง อธิบายองคประกอบของจิต เราจะใชอ งคประกอบเหลานใ้ี น การศึกษาโพชฌงคแตล ะองค
๑๑ การเฝาดอู ยา งจริงจัง ลักษณะเฉพาะ (ลกฺขณ) ของสติคอื การเฝา ดอู ยา ง จริงจัง ซงึ่ แสดงใหเหน็ วา สติมลี ักษณะคมชัดและหย่ังลกึ อปุ มาเหมือนการขวางจุกคอรกลงไปในลำธาร มนั จะลอย บางจมบา ง อยูบนผิวนำ้ แลวลอยไปตามกระแสนำ้ แตห าก เราโยนกอ นหนิ ลงไป มนั จะจมสูก นลำธารทันที ในทำนองเดียวกนั ความมีสตทิ ำใหแ นใจไดวา จิต จะหยง่ั ลึกลงสอู ารมณ ไมส ัมผสั อยา งผิวเผินแลว ผานเลยไป สมมุติวาผูปฏิบัติกำลังกำหนดดูทองเปนอารมณ ในการเจรญิ สติปฏฐาน ผูปฏิบัติพยายามเอาใจใสอ ยา งแรง กลาในการกำหนดรูเพ่ือใหจิตหย่ังลงสูกระบวนการของ อาการพองยบุ โดยไมใ หจติ หลุดลอยไป เม่ือจติ หยั่งลงสูกระบวนการเหลา น้ี ผปู ฏบิ ตั ิกจ็ ะ สามารถเขา ใจลักษณะทแ่ี ทจริงของความตงึ ความบบี คัน้ ความเคลอ่ื นไหว และในอาการอน่ื ๆ
๑๒ ความตอ เนอ่ื ง หนา ที่ (รส) ของสติคอื การระลึกรูอยตู ลอดเวลา โดยไมห ลงลืมหรอื ปลอ ยใหอารมณ [ของสติปฏ ฐาน] หาย ไป หากยงั มสี ติ การกำหนดอารมณที่กำลังเกิดในปจจุบันขณะจะ เปนไปโดยไมเผลอ เพ่ือปองกันลักษณะเฉพาะและการทำหนาท่ีของสติ อยา งผิวเผินหรอื ตกหลน ในระหวา งการปฏิบัติ ผปู ฏบิ ัติควร ทำความเขาใจและปฏบิ ตั เิ พ่ือเจรญิ ลกั ษณะท่สี ามของสติ อนั ไดแก อาการปรากฏ (ปจฺจุปฐาน) ซึ่งพัฒนาและกอให เกดิ ลกั ษณะอกี สองประการ ลกั ษณะสำคญั ของอาการปรากฏ แหงสติคือ ความเปนเฉพาะหนา สติทำใหจิตรับรูอารมณ โดยตรง ความเปนเฉพาะหนาตอ อารมณ ขณะท่ีผูปฏิบัติเดินไปตามถนนแลวอาจประจันหนา กบั คนทเ่ี ดนิ สวนทางมา ในทำนองเดยี วกนั ในระหวา งการ
๑๓ ปฏิบัติจิตของโยคีก็ควรจะสัมผัสกับอารมณในลักษณะเชนน้ี สตทิ แ่ี ทจ รงิ จะเกดิ ขนึ้ ไดก ด็ ว ยการพบกบั อารมณโ ดยประจกั ษ เทานั้น กลา วกนั วา ใบหนา เปน เครอื่ งหมายของลกั ษณะนสิ ยั ของมนุษย หากเราตองการจะรูจักบุคคลคนๆ หน่ึง เราก็ จะมองหนาบุคคลผูน้ันดวยความสังเกตพินิจพิเคราะห แลว จึงวินิจฉัยในเบ้ืองตนได แตหากเราไมพิจารณาดูใบหนาให ถ่ถี ว นกลับไปสนใจสว นอืน่ ของรางกาย การตัดสินใจนน้ั อาจ ผดิ พลาดได ในการปฏิบัติวิปสสนากรรมฐานก็เชนเดียวกัน ผู ปฏบิ ตั ติ อ งใชก ารพจิ ารณาอยา งใกลช ดิ ในการกำหนดอารมณ กรรมฐาน ความเขม งวดในการพจิ ารณาอารมณอ ยา งละเอยี ด ถถ่ี ว นเทา นนั้ ทจี่ ะทำใหผ ูปฏบิ ัตเิ ขา ใจลักษณะทแ่ี ทจรงิ ได เมื่อเราดูหนาใครคนหนึ่งเปนคร้ังแรกเราจะไดภาพ รวมโดยเร็ว และเมื่อเราดูอยางพินิจพิเคราะหเราจึงจะเห็น รายละเอยี ดตา งๆ เชน ค้ิว ตา และริมฝป ากชัดเจนขนึ้ แตใน เบอ้ื งแรกเราตอ งดใู บหนา ทงั้ หมดกอ น และตอ มากจ็ ะละเอยี ด ขน้ึ ชัดเจนข้นึ ในทำนองเดียวกันเม่ือผูปฏิบัติกำหนดรูอาการพอง
๑๔ ยุบของทอง เริ่มดวยการเฝาดูกระบวนการโดยรวมท้ังหมด กลา วคอื กำหนดจติ จดจอ อยทู อ่ี าการพองยบุ หลงั จากทำเชน นอี้ ยา งสมำ่ เสมอกจ็ ะพบวา สามารถกำหนดไดช ดั เจนขนึ้ ราย ละเอยี ดตา งๆ จะปรากฏขนึ้ โดยไมต อ งพยายามราวกบั เกดิ ขนึ้ เอง ผปู ฏบิ ตั จิ ะสงั เกตเหน็ อาการตา งๆ ของพองยบุ เชน ความ ตงึ ความกดดนั ความรอ น ความเยน็ หรอื อาการเคลอื่ นไหว ตางๆ เมอื่ ผปู ฏบิ ตั กิ ำหนดรอู ารมณท ซี่ ำ้ อยอู ยา งนน้ั ความ พยายามก็จะเริ่มใหผล สติจะถูกกระตุนและต้ังมั่นอยูกับ อารมณท่ีกำหนดโดยไมพลาด อารมณไมเลือนหาย หลุด ลอย หรอื ถูกลมื ไปโดยไมไดต งั้ ใจ กิเลสไมสามารถแทรกซมึ ปราการทเี่ ขม แขง็ ของสติ หากสามารถรกั ษาสตไิ วไ ดอ ยา งตอ เนอ่ื งเปน เวลานาน และผปู ฏบิ ตั จิ ะพบกบั ความบรสิ ทุ ธขิ์ องจติ ทปี่ ราศจากกเิ ลส การปอ งกนั การโจมตขี องกเิ ลสเปน ลกั ษณะทส่ี องของ ลกั ษณะทปี่ รากฏของสติ เมือ่ สติถกู สรา งขน้ึ อยา งตอ เนือ่ งและ สมำ่ เสมอ ปญ ญากจ็ ะเกดิ ขนึ้ ปญ ญาทเี่ ขา ไปรลู กั ษณะทแี่ ทจ รงิ ของกายและจติ กจ็ ะเกดิ ขนึ้ ไมเ พยี งแตผ ปู ฏบิ ตั จิ ะเขา ใจลกั ษณะ ของอาการพองยบุ ทต่ี นประสบไดจ รงิ ๆ แตผ ปู ฏบิ ตั จิ ะเขา ใจใน สภาวธรรมทางกายและจติ ที่เกดิ ขน้ึ ภายในตัวเองดว ย
๑๕ อรยิ สจั สี่ ผูปฏิบัติอาจเขาใจจากประสบการณโดยตรงวา สภาวธรรมทางกายและจติ ลวนประกอบดวยทกุ ข เมือ่ ความ เห็นเชนนี้เกิดขึ้นกลาวไดวา ผปู ฏิบตั ิเห็นอริยสจั ขอ แรกแลว เมื่อประจักษในอริยสัจขอท่ีหน่ึงก็เทากับไดเห็น อรยิ สจั ขอ ทเี่ หลอื อกี ทง้ั สามขอ น่คี อื สิง่ ทกี่ ลา วไวในพระบาลี และผปู ฏบิ ตั สิ ามารถประสบไดดว ยตนเอง เนื่องจากมีสติคอยระลึกรูในทุกขณะที่สภาวธรรม ทางกายและจิตเกดิ ขึ้น ตัณหาจึงไมอ าจเกิดขน้ึ ได เมอ่ื ละ ตณั หาไดอ ริยสจั ขอทีส่ องก็จะปรากฏขนึ้ ตัณหาเปน เหตใุ ห เกดิ ทกุ ข และเม่ือปราศจากตัณหา ความทกุ ขก็หายไป สำหรับอรยิ สจั ขอทีส่ าม ความดบั ทกุ ขจ ะปรากฏชดั เมอ่ื โมหะและกิเลสอ่ืนๆ ถูกทำลายไป ปรากฏการณเ หลา นี้จะเกิดข้ึนและดับลงอยางรวดเร็วเพียงเส้ียววินาทีขณะที่สติ และปญ ญาต้งั ม่ัน การเห็นอริยสัจขอที่สี่หมายถึงการเจริญมรรคมี องคแปดจะเกิดขึ้นพรอมกับการเจริญสติในแตละขณะจิต เราจะพูดถึงมรรคแปดโดยละเอยี ดอกี ครัง้ ในบทตอไป ใน หัวขอ “ราชรถสพู ระนิพพาน”
๑๖ ดวยเหตุนี้ เราอาจกลาวไดวา ผูปฏิบัติวิปสสนา กรรมฐานสามารถเห็นแจงในอริยสัจส่ีไดตราบเทาท่ีสติและ ปญ ญาตั้งม่ัน ประเด็นน้ีเช่ือมโยงกับความหมายสองประการของ โพชฌงคที่ไดกลาวไวแลวในตอนตน สตินี้เปนสวนหนึ่งของ จิตที่มีญาณหยั่งรูสภาพความเปนจริงของส่ิงตางๆ อันเปน สวนหนึ่งของการตรัสรูธรรม ซึ่งจะปรากฏขึ้นในจิตของผูที่ แจงในอริยสัจสี่ ดงั นั้นจงึ กลาวไดว า สติเปน โพชฌงค องค แหงการตรัสรธู รรม เจรญิ สตดิ วยการมสี ติ สาเหตเุ บอื้ งตน ของความมสี ตกิ ม็ ใิ ชอ ะไรอน่ื นอกจาก ตวั สตเิ อง เปน ธรรมดาทจ่ี ะตอ งมคี วามแตกตา งกนั ระหวา งสติ อยางออนท่ีปรากฏในระยะเริ่มแรกของการปฏิบัติวิปสสนา กรรมฐานกับสติในการปฏิบัติระดับสูงท่ีมีความแกกลาจน ทำใหเ กิดการตรัสรธู รรม ทจ่ี รงิ การเจรญิ สตกิ เ็ ปน กระบวนการสบื ทอดพลงั งาน แบบธรรมดา สตใิ นขณะหน่งึ เปน สาเหตใุ หส ติขณะตอมาเกดิ ขนึ้ น่ันเอง
๑๗ การเจริญสติ ๔ วธิ ี พระอรรถกถาจารยไ ดแ สดง แนวทางอีกสีว่ ิธใี นการพัฒนาสตใิ หเ ขมแข็งย่ิงขึน้ จนเกดิ คุณสมบตั ิทเ่ี หมาะสมกับชอ่ื โพชฌงค ๑. สติและสัมปชัญญะ วธิ หี นง่ึ ไดแ ก สตสิ มั ปชญั ญะ ซงึ่ มกั จะแปลวา “ความ ระลึกได และความรตู วั ทว่ั พรอม” สติในที่นี้คือความสังเกตพินิจพิเคราะหเอาใจใส เฝาดูอารมณหลักและอารมณอ่ืนๆ ที่เกิดขึ้นระหวางการนั่ง วปิ สสนากรรมฐาน
๑๘ สัมปชญั ญะ ความรูต ัวท่ัวพรอม หมายถงึ ความรูใน ขอบเขตทีก่ วา งกวา กลา วคอื ความรูในการเดนิ เหยยี ด คู หนั เหลียว และในกจิ กรรมตางๆ ในชีวิตประจำวัน ๒. เวนจากบุคคลผมู ีสติหลงลมื การเวน จากบคุ คลทข่ี าดสตเิ ปน วธิ ที ส่ี องในการพฒั นา สติที่จะนำไปสูการตรัสรูธรรม หากผูปฏิบัติพยายามอยาง สุดความสามารถในการรักษาสติ แตบังเอิญมาพบกับคนที่ ขาดสติ แลวบุคคลนั้นตอนใหผูปฏิบัติตองสนทนาดวยเปน เวลานาน เทา น้ีผูป ฏบิ ตั ิคงพอนึกออกวา สติหายไปไดรวดเร็ว อยา งไร ๓. คบหาสมาคมกับผไู ดเ จรญิ สตปิ ฏ ฐาน วธิ ที ส่ี ามในการเจรญิ สตคิ อื การคบหาสมาคมกบั ผทู ี่ มสี ติ บคุ คลดงั กลา วจะชว ยเปน ขมุ แหง แรงบนั ดาลใจ การอยู รว มกันในบรรยากาศท่ีมสี ตมิ คี วามสำคัญ ผปู ฏิบัติสามารถ สรา งสติใหเ จรญิ และมัน่ คงข้นึ
๑๙ ๔. นอมใจไปในอารมณกรรมฐาน วิธีที่ส่ีไดแก การนอมใจเขาหาการเจริญสติ วิธีน้ี หมายถึงต้งั ใจใหก ารเจริญสติเปน ส่งิ สำคัญสูงสดุ หมัน่ เตือน ใจใหห วนกลับมาหาสตทิ ุกโอกาส วิธีการนี้มีความสำคัญมาก ทำใหเกิดความไม หลงลืมหรือใจลอย ผูปฏิบัติพึงพยายามหลีกเล่ียงกิจกรรม ท้ังหลายที่ไมเอ้ือตอความเขมแข็งของสติซ่ึงมีอยูมากมายดัง ทรี่ ูกันอยู ผูปฏิบัติมีหนาที่อยางเดียวก็คือการระลึกรูสิ่งตางๆ ที่กำลังเกิดขึ้นในปจจุบัน ในระหวางการฝกอบรมวิปสสนา กรรมฐานที่เขมงวด ผูปฏิบัติตองหลีกเล่ียงความสัมพันธ ทางสังคม งดการเขียนและการอานแมกระท่ังการอาน พระไตรปฎก ผูปฏิบัติพึงระมัดระวังเปนอยางสูงในการรับ ประทานอาหาร ไมปลอยพฤติกรรมใหเปนไปตามความ เคยชิน กลาวคือผูปฏิบัติพึงพิจารณาอยูเสมอวา เวลากับ ปริมาณและประเภทของอาหารที่รับประทานนั้นจำเปนเพียง ใดหรือไม หากไมจำเปนแลวพึงหลีกเล่ียงการกระทำท่ีไม จำเปน
ธมั มวจิ ยะ ๒โพชฌงคองคท ่ีสอง กลาวกันวาจติ มนุษยถูกหอ หมุ ดว ยความมดื ญาณหรอื ปญ ญาทเี่ กดิ ขึ้น เปรยี บประดจุ แสงสวา ง ทีฉ่ ายเขา มา แสงนี้เผยใหเ ห็นสภาวธรรมทางกายและจติ เพ่ือใหจ ิตสามารถรบั รไู ดอ ยา งชัดเจน ราวกบั วาเราอยใู นหอ งมืดแลวมีผสู งไฟฉายมาให เราจึงเร่มิ มองเหน็ สงิ่ ตางๆ ท่ีอยูในหองได การอุปมานจ้ี ึงแสดงถงึ ธรรมที่เปน องคแหงการตรัสรู องคทีส่ องที่มีชื่อวา “การเลอื กเฟนธรรม” หรือ ธัมมวจิ ยสัมโพชฌงค ในภาษาบาลี
๒๑ อาจจะตอ งขยายความวา “การเลือกเฟน ธรรม” สกั เลก็ นอ ย ในการปฏบิ ตั วิ ปิ ส สนากรรมฐาน การเลอื กเฟน ธรรม น้มี ไิ ดเ กิดข้ึนในกระบวนการทางความคดิ หากแตเ ปน สงิ่ ทเ่ี กดิ ขน้ึ เองเหมอื นกบั ปญ ญาทสี่ ามารถ แยกแยะลกั ษณะท่ีแตกตา งของสภาวธรรมตา งๆ คำวา วิจยะ มกั จะแปลวา “การไตส วน” และยงั เปนช่อื “ปญญา” หรือ “ญาณ” ดังน้ันในการเจริญวิปสสนาจึงไมมีการวิจัยที่ไม ปรากฏผล เมอ่ื ใดกต็ ามทว่ี จิ ยะเกดิ ขน้ึ การไตส วนและปญ ญา ญาณกจ็ ะเกดิ ข้นึ พรอมๆ กนั เพราะเปนสงิ่ เดยี วกัน อะไรคือส่ิงท่เี ราวจิ ัยหรอื เลือกเฟน อะไรที่เราสำรวจ คำตอบกค็ อื ธรรมะนนั่ เอง ธรรมะเปน คำทมี่ คี วามหมายหลาก หลายซง่ึ ลว นประกอบไดดวยผูปฏบิ ตั ิเอง โดยทั่วไป เม่ือเรา กลา วถงึ คำวา “ธรรมะ” เรามักจะหมายถึงสภาวธรรมของ นามและรปู นอกจากนเี้ รายงั หมายถงึ กฎทกี่ ำหนดพฤตกิ รรม ของสภาวธรรมอกี ดว ย เมื่อคำวา “ธรรมะ” เขียนดวยอักษรตัวพิมพใหญ (ในภาษาองั กฤษ) มักหมายถึงคำสง่ั สอนของพระพทุ ธองคผู ตรสั รญู ายธรรม และชว ยใหผ อู ่ืนไดรตู าม อรรถกถาอธบิ ายไวว า คำวา “ธรรมะ” ในบรบิ ทของ ธัมมวิจยะ มคี วามหมายเฉพาะทเี่ พมิ่ เตมิ มา กลาวคือหมาย ถึงสภาวะหรือคุณสมบัติเฉพาะที่ปรากฏอยูในอารมณแตละ
๒๒ อยา ง (สภาวลกั ษณะ) รวมถงึ สามญั ลกั ษณะของแตล ะอารมณ ทมี่ ลี กั ษณะรว มกนั ดงั นน้ั สภาวลกั ษณะและสามญั ลกั ษณะจงึ เปนส่ิงทเี่ ราพึงพิจารณาในการปฏบิ ัตวิ ปิ สสนากรรมฐาน ลกั ษณะที่แทจ รงิ ของธรรมะ ลักษณะของธัมมวิจยะ คือ ความสามารถท่ีรูจัก ลักษณะท่ีแทจริงของธรรมโดยการเลือกเฟนธรรมที่มิไดเกิด จากความคิด ขจดั ความมดื หนา ทข่ี องธมั มวจิ ยะ คอื การขจดั ความมดื เมอื่ ธมั ม วิจยะปรากฏข้ึนจะจุดประกายใหกระบวนการรับรูสวางไสว และตื่นตัว สามารถมองเห็นอารมณที่กำหนดดูอยูไดอยาง ชัดเจน ทำใหจิตสามารถมองเห็นลักษณะและแทรกซึมเขา สูธรรมชาติท่ีแทจริงของอารมณระดับที่สูงข้ึนไป ธัมมวิจยะ มีหนาที่กำจัดความมืดใหหมดส้ินและปลดปลอยจิตเขาสู นิพพาน ดังน้ันจึงเห็นไดว า ธมั มวจิ ยะเปน ธรรมท่ีสำคญั ตอ การปฏบิ ตั วิ ปิ ส สนากรรมฐาน หากองคธ รรมนอ้ี อ นกำลงั หรอื ขาดหายไปกจ็ ะเปน ปญหา
๒๓ ขจัดความสับสน หากเราเดนิ เขา ไปในหอ งมดื เราอาจเตม็ ไปดว ยความ หวาดระแวงสงสยั “ฉันจะสะดุดอะไรไหมหนอ หนาแขงฉนั จะกระทบกับอะไรหรือเปลา ฉนั จะเดนิ ชนกำแพงหรือเปลา ” จติ ของเราจะเกดิ ความสบั สนเพราะเราไมร วู า มอี ะไรอยใู นหอ ง บา ง หรอื อยูท ่ีตรงไหน ในทำนองเดยี วกัน หากปราศจาก ธัมมวิจยะ ผูปฏิบัติก็จะอยูในสภาวะท่ีวาวุนสับสน เต็มไป ดว ยความสงสัยนานปั การ “มีใครอยูหรือเปลา หรอื วา ไมม ี มตี วั ตนอยหู รอื เปลา หรอื ไมม ี ฉนั เปน ปจ เจกบคุ คลหรอื เปลา วิญญาณมีอยหู รือวาไมมี ผมี ีอยหู รอื วาไมม ”ี ผอู า นเองกอ็ าจเคยผจญกบั ความสงสยั เหลา นม้ี าแลว บางทเี ราอาจสงสยั คำสอนเกยี่ วกบั อนจิ จงั ทกุ ขงั และอนตั ตา “ทา นแนใ จหรอื วา สงิ่ ทง้ั หลายไมเ ทยี่ ง” บางทอี าจมอี ะไรบาง อยา งทไี่ มถ งึ กบั ไมน า พอใจเอาเสยี เลย บางทอี าจมตี วั ตนของ ชวี ิตที่เราอาจยงั ไมคน พบก็เปน ได บางคนอาจคดิ วา นิพพาน เปน เพยี งนิทานท่อี าจารยค ิดข้นึ ไมไ ดมีอยจู ริง อาการปรากฏของธมั มวจิ ยะ จะทำใหค วามสบั สนทง้ั หลายหมดไป เมอ่ื ธมั มวจิ ยสมั โพชฌงคเ กดิ ขนึ้ ทกุ สง่ิ ทกุ อยา ง จะเรืองรองสวา งไสว จิตจะมองเหน็ สงิ่ ท่ีปรากฏอยางแจมชัด
๒๔ กระท่ังธรรมชาติของกายและจิต หมดความวิตกกังวลวาจะ เดนิ ชนกำแพงอกี ตอ ไป ความไมเ ทยี่ งเปน ทกุ ขแ ละความไมใ ช ตวั ใชต นจะปรากฏชดั แกผ ปู ฏบิ ตั ิ ในทสี่ ดุ ผปู ฏบิ ตั อิ าจบรรลถุ งึ สภาวะทแ่ี ทจ รงิ ของนพิ พาน ไมต อ งสงสยั วา นพิ พานมอี ยจู รงิ หรอื ไมอ ีกตอไป ปรมตั ถสัจจะ ธมั มวจิ ยะ แสดงลกั ษณะของปรมตั ถธรรมหรอื ความ จริงโดยความหมายสูงสุด ปรมัตถธรรมหมายถึงสภาวะซ่ึง สามารถประสบไดโ ดยตรงโดยไมใ ชก ารนกึ คดิ ปรมตั ถธรรม นี้สามารถแบง ออกเปน สามประเภท คอื สภาวธรรมทางกาย สภาวธรรมทางจติ และนิพพาน สภาวธรรมทางกายประกอบดวยธาตสุ ี่ คือดิน น้ำ ลม และไฟ แตล ะธาตุมีลักษณะพิเศษทซ่ี อ นเรน อยใู นตัวแตก ตางกันไป เมอ่ื เรากลา วถงึ “คณุ สมบตั เิ ฉพาะ…” เรากอ็ าจหมาย ถงึ “สามารถสมั ผสั ไดเ หมอื น…” เนอื่ งจากเราสามารถสมั ผสั ลกั ษณะตา งๆ ของแตละธาตุทง้ั สี่นี้ในรางกายโดยความรูสกึ ลกั ษณะเฉพาะ หรอื สภาวลักษณะ ของธาตุดนิ ก็คอื
๒๕ ความแขง็ ธาตนุ ำ้ มลี กั ษณะไหลและเกาะกมุ ลกั ษณะของธาตุ ไฟ คอื อณุ หภูมิ ความรอน และความเยน็ สวนธาตลุ ม หรือ อากาศมลี กั ษณะตึง เกรง็ เขมง็ เกลียว หรอื เสยี ดแทงรวมถึง ความไหวและเคล่ือนไหล สภาวธรรมทางจิตก็มีลักษณะเฉพาะเชนเดียวกัน ยกตวั อยางเชน จติ หรอื ใจ มีการรบั รอู ารมณเปนลกั ษณะ องคประกอบของเจตสิก คือ ผัสสะ หรือการสัมผัสซ่ึงมี ลกั ษณะของการกระทบ ตอไปนี้ขอใหผูปฏิบัติใสใจท่ีอาการพองยุบของทอง เมอ่ื ผปู ฏิบัตมิ ีสติ กำหนดดูการเคลื่อนไหวของทอง ผปู ฏิบตั ิ อาจสงั เกตเหน็ ไดว า อาการพองยบุ นก้ี ป็ ระกอบดว ยความรสู กึ อาการแนน ตงึ กดดัน เคลอื่ นไหว ซ่งึ เปน ปรากฏการณของ ธาตุลม ผูปฏิบัติอาจรูสึกถึงความรอนหรือความเย็นซ่ึงเปน ลกั ษณะของธาตไุ ฟไดด วย ความรูส กึ เหลานเี้ ปนอารมณของ จิต เปนธรรมะทผ่ี ูปฏิบตั พิ ึงพิจารณา หากผูป ฏิบัตสิ ามารถ รบั รคู วามรสู กึ เหลา นไี้ ดอ ยา งเฉพาะเจาะจงแลว เราอาจกลา ว ไดวาธมั มวิจยะกำลังปรากฏอยู นอกจากน้ีธัมวิจยะยังสามารถแยกแยะลักษณะอ่ืนๆ ของธรรมะไดอ กี เมอ่ื ผปู ฏบิ ตั เิ ฝา ดอู าการพองยบุ กอ็ าจสงั เกต ไดเ องวา มกี ระบวนการ ๒ อยา งกำลงั เกดิ ขน้ึ พรอ มๆ กนั ดา น
๒๖ หน่ึงไดแกกระบวนการทางรางกาย มคี วามตึงและความไหว เปนตน อกี ดา นหนึง่ คอื จิตที่กำลังทำหนาที่กำหนดรอู ารมณ เหลานีอ้ ยู น่ีเปนญาณหยั่งรูในสภาพท่ีแทจริง เม่ือการปฏิบัติ คบื หนา ตอ ญาณทศั นะอีกประเภทหน่งึ ก็จะเกิดขนึ้ ผูปฏบิ ตั ิ จะพบวาธรรมะทุกอยางลวนแสดงใหเห็นวาส่ิงตางๆ ลวน ประกอบดวยความไมเที่ยง เปนทุกขและไมใชตัวตน องค ธรรมของธมั มวจิ ยะจะชว ยใหม องเหน็ ลกั ษณะสากลของสภาว ธรรมตางๆ ทงั้ ทางกายและทางจติ เม่อื ญาณทีห่ ยง่ั รูลกั ษณะอนจิ จัง ทกุ ขงั อนตั ตา แก กลาขึ้น ปญญากจ็ ะสามารถหยง่ั ถงึ นพิ พานได ในกรณีนี้ คำ วา ธมั มวจิ ยะ จึงหมายถงึ การมญี าณหยั่งรนู พิ พานดว ย ลกั ษณะพเิ ศษของนพิ พานกค็ อื ไมมลี กั ษณะใดทเี่ รา สัมผัสสามารถเปรียบได อยางไรก็ตาม นิพพานมีลักษณะ เฉพาะตน คือความถาวร ความไมส้ินสุด ปราศจากทุกข ความสบาย และความสขุ เชนเดยี วกับอารมณอ ื่นๆ นิพพาน กเ็ ปนอนัตตา ปราศจากตวั ตน แตการปราศจากตัวตนของนิพพานนี้แตกตางจาก การปราศจากตวั ตนของสภาวธรรมปรกตอิ นื่ ๆ ตรงทน่ี พิ พาน
๒๗ มิไดต้ังอยูบนทุกขและความไมเท่ียง แตต้ังอยูบนความสุข และความถาวร เม่ือจิตบรรลุถงึ พระนิพพาน ขอ แตกตางนี้ก็ จะปรากฏชัดข้ึนดวยธัมมวิจยะอันเปนญาณที่ทำหนาที่ตรัสรู ธรรม จติ จะสามารถเขา ถงึ สภาวะดงั กลา วได จนกระทง่ั ทำให เราสามารถมองเหน็ สภาวะนิพพานไดอยา งชดั เจน ญาณปญ ญาเปนเหตุของธัมมวจิ ยะ ผูปฏิบัติอาจใครรูวาจะทำอยางไรใหธัมมวิจยะเกิด ขึน้ พระพทุ ธองคตรสั วามเี พียงวิธีเดยี วเทาน้ัน คอื จะตองมี ญาณทัศนะที่บังเกิดข้ึนจากการรูเห็นโดยตรง ความแจงใน สภาวญาณนผี้ ปู ฏบิ ตั จิ ะตอ งเจรญิ สตโิ ดยการกำหนดรอู าการ ทางกายและจิต ญาณปญญาที่สามารถหย่ังลึกลงสูลักษณะ ที่แทจริงของสภาวธรรมตางๆ จึงจะเกิดข้ึน ความหย่ังรูน้ี ตองอาศัยการสังเกตอยางชาญฉลาดและเหมาะสม ผปู ฏิบตั ิ ตอ งมสี ตใิ นการกำหนดอารมณอ ยา งแนว แน ญาณทห่ี นง่ึ หรอื การรบั รโู ดยตรงกจ็ ะเกิดขึ้น เม่ือมีธมั มวิจยะ ญาณปญ ญาก็ จะพัฒนาสูงขึ้นตามลำดับขั้น อุปมาเหมือนเด็กที่พัฒนาจาก โรงเรียนอนุบาลไปสรู ะดับมธั ยม และมหาวิทยาลยั จนสำเร็จ การศกึ ษาในทสี่ ดุ
๒๘ การเจริญธมั มวิจยสมั โพชฌงค ๗ วิธี พระอรรถกถาจารยไ ดก ลาวถงึ วธิ ีในการพัฒนาธัมมวจิ ยะ ๗ วธิ ี ในฐานะทีเ่ ปนองคแหง การตรัสรู ๑. หมน่ั สอบถาม ขอ แรกนคี้ ือการถามคำถามเก่ยี วกับธรรมะ และ การปฏบิ ัติ ในทนี่ ี้หมายถงึ การเขา หาครู อาจารย ผูมคี วาม รูในทางธรรม ขอนช้ี าวตะวนั ตกมกั ไมม ีปญหาเพราะเปนผู ใฝรแู ละชางซักถามซ่งึ เปนคณุ สมบัตทิ ่ีดี
๒๙ ๒. รกั ษาความสะอาด ความสะอาดแหงวัตถุภายในและภายนอกเปนอุปกา ระแกธัมมวิจยสัมโพชฌงค รางกายและส่ิงแวดลอมมีสวน สำคญั การรกั ษาความสะอาดวตั ถภุ ายใน กลา วคอื รา งกาย ดวยการอาบน้ำ ชำระลางรางกายเปนนิจ ดูแลผมและเล็บ ใหสะอาด รวมทั้งการดูแลการขับถายใหเปนปกติไมใหทอง ผูก การรักษาความสะอาดวัตถุภายนอกไดแก การสวมใส เสอ้ื ผา ทสี่ ะอาด หมนั่ เกบ็ กวาดและเชด็ ถบู รเิ วณทพ่ี กั สงิ่ เหลา น้ีทำใหจิตใจปลอดโปรง หากผูปฏิบัติทอดสายตาลง มอง เห็นฝุนละอองและความสกปรก ความวาวุนใจก็อาจเกิดข้ึน ได ในทางตรงกันขา ม ถาสงิ่ แวดลอ มสะอาดสะอาน จิตใจก็ ยอมปลอดโปรง ผอ งใส สภาวจติ เชน นี้แหละท่ีเหมาะแกก าร พฒั นาปญ ญา ๓. การปรับอนิ ทรีย อุปการะธรรมขอที่สามในการทำใหเกิดธัมมวิจยะ คือ ความสมดุลของอนิ ทรีย อนั ไดแ ก ศรัทธา ปญ ญา สติ วิรยิ ะ และสมาธิ ซ่ึงเราไดพ ดู ถึงโดยละเอียดแลว ในบททผี่ าน
๓๐ มา ในอินทรยี ท ัง้ ๕ มี ๔ ขอท่ีจัดเปนคกู ัน คอื ปญญา คู กับ ศรทั ธา และ วริ ยิ ะ คกู ับ สมาธิ ความสมดุลของทั้งสอง คูนเี้ ปนพ้ืนฐานในการปฏิบตั ิ หากศรัทธามีมากกวาปญ ญา ผูปฏบิ ัติก็จะมีใจโนม ไปในเรื่องของการทำกศุ ล ในทางกลบั กนั ถา ปญญามมี าก เกนิ ไป จิตกจ็ ะถูกหลอกลอ ไปในเร่ืองราวตางๆ ความสมดลุ ของวิริยะกับสมาธมิ ีลักษณะดังนี้ หาก ผูปฏิบัติมคี วามเพียรและตง้ั ใจมากเกินไป จิตจะดิ้นรนกระ สบั กระสาย ไมส ามารถต้งั มั่นอยกู ับอารมณ เม่อื จิตหลดุ ลอยไปทำใหเ กิดความหงุดหงดิ อยางไรก็ตาม สมาธิทีม่ าก เกินไปก็จะกอใหเกิดความเกียจครานและงวงเหงาหาวนอน เม่ือจิตน่ิงและรูสึกวาการกำหนดอารมณไมตองใชความ พยายามมากแลว ผปู ฏิบตั กิ ็อาจเร่ิมผอ นคลายและลดความ เพียรลง ไมชา ผปู ฏบิ ัตกิ ็จะหลับไป การรักษาสมดุลของอินทรียในการปฏิบัติวิปสสนา น้ี วิปสสนาจารยจะตองทำความเขาใจอยางถองแทเพ่ือที่ จะสามารถใหคำแนะนำแกลูกศิษย วิธีท่ีเปนพื้นฐานท่ีสุดใน การรักษาความสมดุลและการแกไขเม่ือเสียความสมดุลไปก็ คือการเจริญอนิ ทรียที่เหลืออยู คอื สตินนั่ เอง
๓๑ ๔.-๕. เวนจากบคุ คลผูมีปญญาทบึ คบหากับผูม ีปญญา อุปการะธรรมขอที่ ๔ และ ๕ ของธัมมวิจยะก็ คือ การเวนจากบุคคลผูมีปญญาทึบ คนท่ีขาดปญญาและ คบหาสมาคมกับผูมีปญญา บุคคลผูมีปญญาเปนอยางไร บางคนอาจจะไดร่ำเรียนพระไตรปฎกมาเปนอยางดี อีกคน หนง่ึ อาจสามารถวเิ คราะหเร่อื งตางๆ ไดอยางแจมแจง หาก ผูปฏิบัติไดคบหาสมาคมกับคนเหลานี้ ก็จะเพ่ิมพูนความรู ทางทฤษฎใี หดีขน้ึ อยา งแนนอน และผปู ฏิบตั ิกจ็ ะเริม่ ปลกู ฝง แนวคิดทางปรัชญา การกระทำดังกลาวมิใชส่ิงเลวราย แต ทวาบุคคลท่ีมีปญญาอีกจำพวกหนึ่งสามารถท่ีจะใหความ รูแกผูปฏิบัติไดเหนือไปกวาส่ิงท่ีมีอยูในตำรา พระไตรปฎก กลาวถงึ คณุ สมบัตขิ ัน้ ต่ำสำหรับผมู ีปญญา คอื การไดปฏบิ ัติ วิปสสนากรรมฐานจนเกิดญาณปญญาในข้ันที่เห็นความ เกิดดับของสภาวธรรมตางๆ หากบุคคลใดยังไมถึงข้ันน้ีก็ เปนที่รูกันวาผูน้ันยังไมควรสอนวิปสสนากรรมฐาน เพราะ การสง่ั สอนจะไมช วยใหศษิ ยเกิดธัมมวิจยะขนึ้ มาได
๓๒ ๖. พจิ ารณาถงึ ประเภทแหง ญาณอนั ลกึ ซงึ้ อุปการะธรรมขอที่หกของธัมมวิจยะก็คือ การ พิจารณาถึงประเภทแหงธรรมอันลึกซ้ึง การสอนใหคิดถึง บางส่ิงบางอยาง ในที่น้ีอาจดูเหมือนขัดแยงกัน แตแทจริง แลวปจจัยที่หกนี้หมายถึงการใครครวญถึงลักษณะของ สภาวธรรมทางกาย และทางจติ ในแงข องการเจรญิ วปิ ส สนา น่ันเอง กลาวคือ ในความเปนขันธ ธาตุและอินทรีย ที่ ปราศจากบุคคล ตัวตนเราเขา ๗. ความมุง มั่นสงู สดุ อุปการะธรรมประการสุดทายของธัมมวิจยะไดแก ความมุงม่ันสูงสุดในการท่ีจะเจริญองคธรรมน้ีเพื่อการตรัสรู ผูปฏิบัติควรมีใจท่ีนอมไปสูธัมมวิจยะและการหยั่งรูโดยตรง เสมอๆ โปรดระลกึ ไวเ สมอวา ผปู ฏบิ ตั ไิ มจ ำเปน ตอ งคดิ หาเหตุ ผลหรือวิเคราะหวิจารณประสบการณทั้งหลาย ขอเพียง ปฏิบัติไปเพื่อที่จะไดรับประสบการณโดยตรงของสภาวะทาง กายและจิตของตนเองเทานน้ั
ความเพยี ร ๓อยา งกลา หาญ โพชฌงคอ งคทสี่ าม ธรรมทเ่ี ปน องคแหง การตรัสรู องคท ีส่ ามไดแกวิรยิ ะ หรอื ความเพยี ร เปน พลังที่ใชใ นการประคองใจในการกำหนด รอู ารมณใ หสมำ่ เสมอและตอเนื่อง ในภาษาบาลี วริ ิยะ มาจากคำวา วรี านํ ภาโว ซง่ึ หมายถงึ “สภาวะของคนอาจหาญ” คำน้ี ทำใหเราไดพอมองเห็นรสชาติ คุณสมบตั ิ ของความพยายามในการปฏบิ ตั ขิ องเรา กลาวคอื ควรเปนการปฏิบัติอยางกลา หาญ
๓๔ บุคคลที่ทำงานหนักและขยันหมั่นเพียรมีความ สามารถที่จะเปนวีรบุรุษไดในทุกอยางที่เขาทำ เพราะความ เพยี รนน่ั เองทก่ี อ ใหเ กดิ คณุ สมบตั ขิ องความเปน วรี บรุ ษุ บคุ คล ท่ีถึงพรอมดวยความเพียรอยางกลาหาญจะไมคร่ันครามใน การกาวไปขางหนา ไมเกรงกลัวตอความยากลำบากท่ีจะ ตองเผชญิ ในการทำงานใหส ำเรจ็ พระอรรถกถาจารยก ลา ว ไววา ลกั ษณะของความเพียรคอื ความอดทนอยา งตอเนือ่ ง เม่ือเผชิญกับความทุกขหรือความลำบาก ความเพียรก็คือ ความสามารถทจี่ ะทำใหถ งึ ทส่ี ดุ ไมว า อะไรจะเกดิ ขน้ึ ถงึ แมว า จะตอ งขบกรามแนน ผู ปฏิบัติ ตอง ประก อบ ดวย ค วาม อดท น แ ล ะ ก าร ยอมรับตั้งแตเริ่มปฏิบัติ หากผูปฏิบัติเขารับการอบรม วิปสสนากรรมฐาน ผูปฏิบัติตองละนิสัยท่ีรักความสะดวก สบายและงานอดิเรกในชีวิตประจำวัน ตองนอนบนเสื่อ ธรรมดาๆ ในหองแคบๆ แลว ก็ตองตื่นข้นึ และใชเ วลาทงั้ วัน ไปกบั การนง่ั คบู ลั ลงั กน ง่ิ ๆ เปน ชว่ั โมงๆ นอกเหนอื จากความ เขม งวดของการปฏบิ ตั แิ ลว ผปู ฏบิ ตั ยิ งั ตอ งอดทนตอ ความไม พอใจของตนเองท่รี ำ่ รองถงึ ความสะดวกสบายทบี่ า น ยิง่ ไปกวา นน้ั ทกุ ครั้งที่ผูปฏบิ ัตลิ งมือเจรญิ วปิ ส สนา กรรมฐาน ผูปฏิบัติก็จะรูสึกถึงการตอตานของรางกายและ
๓๕ ความเจบ็ ปวดในระดบั ตา งๆ สมมตุ วิ า ผปู ฏบิ ตั กิ ำลงั พยายาม นง่ั สมาธใิ หไ ดส กั ๑ ชว่ั โมง โดยการนงั่ คบู ลั ลงั กอ ยู เพยี ง ๑๕ นาทีผา นไป ยุงรายตัวหนง่ึ บนิ มากัดเขา ผูปฏบิ ตั เิ ร่ิมรูสึกคัน นอกจากนั้นคอกเ็ รม่ิ รสู กึ ตงึ เทา กเ็ รม่ิ ชา ความหงดุ หงิดเริ่ม คบื คลานเขา มา ผปู ฏบิ ตั คิ นุ เคยกบั ชวี ติ ทสี่ ะดวกสบาย รา งกาย ไดร ับการทะนถุ นอมและอมุ ชูเสยี จนเกดิ ความเคยชนิ ที่จะตอ ง ปรับเปลี่ยนอิริยาบถทุกครั้งท่ีเกิดความรูสึกไมสบายเพียงเล็ก นอ ย และในทส่ี ดุ รา งกายของผปู ฏบิ ตั ติ อ งทนทกุ ขท รมาน และ เพราะรางกายเปนทุกข ใจของผปู ฏิบัติกท็ ุกขไปดว ย ความรูสึกที่ไมนาพึงพอใจมีความสามารถอยาง ประหลาดในการทำใหจ ิตใจหมดเรย่ี วแรงและเห่ยี วเฉา แรง จูงใจท่ีจะยอมพายแพน้ันมีมาก จิตอาจคิดหาเหตุผลตางๆ นานา “ฉันจะขยบั ขาแคน วิ้ เดยี ว จะไดทำใหส มาธดิ ขี ้ึน” ใน ไมชาผปู ฏิบัตกิ ็จะยอมแพ ความอดทนและอดกล้ัน ผูปฏิบัติจำตองมีความเพียรอยางกลาหาญพรอม ดว ยคณุ สมบตั ใิ นการอดกลน้ั ยามเผชญิ กบั ความยากลำบาก
๓๖ หากผปู ฏบิ ตั ิเรงความเพยี รใหส งู ขน้ึ จิตใจกจ็ ะมีพลังเขม แข็ง ความอดทนตอ ความเจบ็ ปวดจะเปย มดว ยขนั ตแิ ละความกลา หาญ ความเพยี รมีพลงั ในการทำใหจติ แจมใสและแข็งขันแม ในสถานการณท่ียากลำบาก ในการเรงความเพียรน้ัน ผู ปฏิบัติสามารถใหกำลังใจแกตนเองหรือแสวงหาแรงบันดาล ใจจากกัลยาณมิตร หรือครู อาจารย เมื่อเพ่ิมความเพียร จติ ก็จะกลบั มีความเขมแขง็ ขึน้ อีกครง้ั หนง่ึ การคำ้ จนุ จติ ทีอ่ อนกำลงั พระอรรถกถาจารยกลาวไววา ความเพียรมีหนา ที่อุปการะจิตในยามท่ีเหนื่อยลาจากการโจมตีของความ เจบ็ ปวด ลองคดิ ถึงบานเกาๆ หลังหนึ่งท่ีชำรุดทรดุ โทรมจวน จะพัง หากมีลมกรรโชกมาเพียงเบาๆ ก็จะทำใหบานพัง ครืนลงมา แตหากเราหนุนบานหลังนี้ดวยเสาท่ีแข็งแรงพอ สมควร บา นหลงั นีก้ ็ยังสามารถตงั้ อยไู ด ในทำนองเดียวกัน ความเพียรที่เขมแข็งสามารถเปนอุปการะแกจิตที่เหี่ยวเฉา
๓๗ เพราะความเจ็บปวด ผูปฏิบัติสามารถที่จะเจริญวิปสสนา กรรมฐานตอ ไปไดอยา งสดชน่ื และตื่นตัว บางทานอาจไดร ับ ประสบการณท ี่ดขี องความเพียรเชนนี้ดว ยตนเอง ผูปฏิบัติท่ีปวยเปนโรคเรื้อรังอาจมีปญหาในการ ปฏิบตั แิ บบปรกติ การเผชิญหนากบั ความเจ็บปวดคร้งั แลว คร้ังเลาทำใหพลังทางกายและทางจิตออนลาหมดเรี่ยวแรง และทอ ถอย จงึ ไมเปน ทนี่ า แปลกใจท่ีผูปฏิบัตทิ ี่มีอาการปว ย มกั จะมาสง อารมณด วยความรสู กึ ทอแทส้ินหวงั และรสู ึก วา การปฏิบตั ิของตนไมก า วหนา เหมอื นกบั การว่ิงชนกำแพง คร้ังแลว คร้งั เลา พวกเขาหมดกำลงั ใจ อยากจะยอมแพ และออกจาก การปฏบิ ตั ิ หรอื เลกิ เจรญิ กรรมฐาน บางครงั้ อาตมาสามารถ ชวยแกไขสถานการณแบบนี้ไดดวยการแสดงธรรมหรือให กำลงั ใจ ความแจม ใสเริม่ ปรากฏบนใบหนา พวกเขากก็ ลบั ไปปฏบิ ัติตอไปไดอีกสองสามวนั การใหกำลังใจและแรงบันดาลใจเปนสิ่งสำคัญ ไม เฉพาะจากตัวผูปฏิบัติเอง บุคคลอ่ืนก็สามารถชวยประคับ ประคองใหผ ปู ฏิบตั ิกาวเดนิ ตอไปเวลาทีผ่ ปู ฏิบัติรูสึกติดขัด
๓๘ จิตใจทกี่ ลา หาญ : เรอ่ื งจติ ตาภิกษณุ ี อาการปรากฏของความเพียร คอื ความองอาจ กลา หาญ และความเขมแขง็ ของจิต เพ่ือแสดงใหเห็นคุณสมบตั ิ ขอนี้ มีเรื่องเลาเกี่ยวกับภิกษุณีทานหนงึ่ นามวา จิตตา วนั หนง่ึ ขณะทกี่ ำลงั พจิ ารณาความทกุ ขท เี่ ปน ผลพวง ของรางกายและจิตใจแลวเกิดความรูสึกสลดสังเวชเปนอยาง ย่งิ ดงั นัน้ ทา นจงึ ตัดสนิ ใจละโลกออกบวช เพือ่ ความพน ทกุ ข แตโ ชคไมด ที ที่ า นมโี รคเรอื้ รงั ทแี่ สดงอาการโดยไมม กี ารเตอื น ลว งหนา วนั หนง่ึ ทา นอาจรสู กึ สบายดี แตแ ลว กอ็ าจลม ปว ยลง ไดท ันทที ันใด ทา นเปน ผทู มี่ ีจติ ใจมุง มน่ั ปรารถนาแตความ หลุดพนและไมยอมแพ คราวใดก็ตามที่ทานมีสุขภาพดีทาน กจ็ ะปฏบิ ตั อิ ยา งเตม็ ที่ และหากลมปว ยลงทานก็ยังคงปฏบิ ัติ ตอ ไป ในระดบั ทผี่ อ นคลายลง บางครง้ั การปฏบิ ตั ขิ องทา นจะ เปยมดวยพลังและความช่ืนบาน แตเม่ืออาการปวยมาเยือน การปฏิบัตขิ องทานก็จะถดถอยลง
๓๙ เหลาภิกษุณีเปนหวงวาจิตตาภิกษุณีพยายามเกิน กำลังของตน ทานเหลา นน้ั เตือนใหจ ติ ตาภิกษุณรี ะวงั รกั ษา สุขภาพ ไมควรเรงรัด แตทา นไมฟง ยังคงปฏิบัติตอไปวนั แลว วนั เลา เดอื นแลว เดอื นเลา ปแ ลวปเ ลา เมือ่ อายุมากขน้ึ ทา นตอ งใชไ มเ ทาในการเดิน รางกายของทานออนแอและ ผอมจนเห็นกระดูกแตจ ิตใจของทานเขมแขง็ และมพี ลัง วันหน่งึ จติ ตาภิกษุณรี ูสกึ เบอื่ หนา ยท่จี ะตองทนตอ อปุ สรรคเหลาน้ี จึงตัดสินใจอยางเดด็ ขาด ทา นกลา วกับ ตนเองวา “วันนฉ้ี นั จะปฏบิ ตั ิใหดีท่ีสดุ โดยไมค ำนงึ ถึงรางกาย เลย หากฉนั ไมตายในวนั นก้ี เิ ลสก็จะตอ งถกู ประหารไป” จิตตาภิกษุณีใชไมเทาค้ำเดินข้ึนเขาอยางมีสติทีละ กาวๆ ดว ยความชรา ซบู ผอมและกะปลกกะเปลยี้ บางครง้ั ทานถงึ กับตองนั่งลงแลวคลานไป แตจ ิตใจของทา นยนื หยัด และกลาหาญ ทานเชือ่ มนั่ ในพระธรรมอยา งสงู สุดและส้ิน เชิง ทานเจรญิ สติทกุ ๆ กา วท่ยี างไป ทกุ ๆ ทีท่ ค่ี บื คลานไป สูยอดเนินเขา พอถึงยอดเนินทานกห็ มดแรงแตกย็ งั เจรญิ สติ อยูอ ยางตอ เนื่องไมข าดสาย จิตตาภิกษุณีไดต้ังปณิธานอีกครั้งในการที่จะกำจัด กเิ ลสใหส ิน้ ไปในคราวเดียว หรือมิฉะน้นั ก็จะยอมตาย ทาน
๔๐ ปฏิบัตติ อไปอยา งหนักเทา ทีจ่ ะทำได และดเู หมอื นวาในวนั เดยี วกนั นนั้ เองท่ที านบรรลเุ ปา หมาย ทานเปยมไปดว ยปต ิ และความยินดีและเม่ือทานเดินลงจากเขาดวยความเขมแข็ง และเบิกบาน เปล่ยี นไปเปนคนละคนกับจติ ตาทีค่ ลานข้นึ เขา ทานสดชื่นและเขม แขง็ ผองใสและสงบ ทำใหเ หลา ภิกษุณที ง้ั หลายประหลาดใจ ทานเหลา นนั้ ถามถึงความมหัศจรรยท ี่ ทำใหทา นเปล่ยี นไป และเมื่อจิตตาภิกษุณเี ลา ถึงสิ่งทเี่ กิดขน้ึ เหลาภิกษุณตี า งพากันเกรงขามและชน่ื ชม พระพุทธองคตรสั วา “การมีชีวติ อยเู พยี งวนั เดียวใน การปฏบิ ตั ธิ รรม ดีกวาการมชี ีวิตอยูรอยปโดยมไิ ดป ฏิบตั ิ” ในภาคธรุ กิจ การเมือง สังคม และการศึกษา เรา มักจะพบวาผูนำเปนผูท่ีทำงานหนัก การทำงานหนักทำให เรากาวถึงจุดสูงสุดไดในทุกๆ ดาน น่ีคือความจริงของชีวิต บทบาทของความเพยี รกก็ ำหนดไวช ดั เจนเชน กนั ในการปฏบิ ตั ิ วปิ ส สนากรรมฐาน การปฏบิ ตั ธิ รรมตอ งอาศยั พลงั อยา งสงู ผู ปฏบิ ตั ติ อ งพยายามอยา งจรงิ จงั ในการทจี่ ะรกั ษาสตใิ หต งั้ มน่ั อยางตอเน่ืองและคงอยูจากวินาทีหน่ึงสูอีกวินาทีหน่ึงโดยไม ขาดตอน ในหนทางเชนนไี้ มมีทสี่ ำหรับความเกยี จคราน
๔๑ เพยี รเผากิเลส พระพุทธองคตรัสถึงความเพียรวาเปนความรอน ประเภทหนง่ึ กลา วคือ อาตาป เม่อื จติ เปย มดวยความเพยี ร จะมีพลังความรอน อุณหภูมิทางจิตนี้มีอำนาจในการเผา ผลาญกิเลสใหส้ินไป กิเลสอาจเปรียบไดกับความช้ืน จิตที่ ปราศจากความเพียรอาจถูกกิเลสทำใหอับช้ืนและจมลงได งาย แตถาความเพียรแกกลา จิตก็จะเผารนใหกิเลสระเหย หายไปไดกอนที่มันจะมากระทบกับจิต ดังน้ันยามใดที่จิตมี พลังแหงความเพียร ความเศราหมองก็มิอาจครอบงำหรือ แมแ ตเ ขา ใกลจ ิตได อกศุ ลธรรมก็มิอาจเขา แทรกแซงได ความรอ นของโมเลกลุ จะปรากฏออกในลกั ษณะของ การส่ันสะเทือน แทงเหล็กท่ีรอนแดงนั้นมีการสั่นสะเทือน อยา งรวดเรว็ ซงึ่ ทำใหม นั ออ นตวั และสามารถตใี หเ ปน รปู รา ง ได ในการเจรญิ กรรมฐานก็เชนเดียวกัน เมือ่ ความเพยี รกลา การสนั่ สะเทอื นของจติ จะปรากฏออกมาในลกั ษณะของความ กระฉับกระเฉง วองไว จิตมีพลังกำหนดรูจากอารมณหนึ่ง ไปสูอีกอารมณไดอยางงายดายและรวดเร็ว เม่ือจิตกำหนด
๔๒ รูอารมณตางๆ ที่มากระทบทำใหพลังงานความรอนสูงข้ึน จนหลอมละลายภาพลวงตาของอตั ตา ทำใหเ หน็ การเกดิ และ ดบั ชัดเจน บางครงั้ เมอ่ื การปฏบิ ตั มิ คี วามเขม แขง็ ตอ เนอ่ื งไปดว ย ดี ความเพยี รกส็ ามารถทจี่ ะประคบั ประคองตวั มนั เอง เหมอื น กับแทงเหล็กที่ยังคงรอนแดงอยูหลังจากที่ออกจากเตา เม่ือ กเิ ลสอยูห าง ความชัดเจนแจมใสก็ปรากฏขึ้นในจติ ใจ จิตมี ความบรสิ ทุ ธแิ์ ละแจม ใสในการกำหนดรสู งิ่ ตา งๆ ทก่ี ำลงั เกดิ ขน้ึ จติ มคี วามแมน ยำและตนื่ ตวั ในการเฝา ดสู ภาวธรรมตา งๆ ขณะทม่ี นั เกดิ ขน้ึ โดยละเอยี ด สตทิ เ่ี ปย มดว ยพลงั จะชว ยใหจ ติ สามารถหยั่งลึกลงสูอารมณท่ีเฝาดูอยู และสามารถที่จะคง สภาพอยูเชนน้ันโดยไมซัดสายและฟุงซาน และเมื่อสติและ สมาธติ ง้ั มนั่ ดแี ลว จะทำใหเ กดิ การรบั รทู ชี่ ดั เจนอนั เปน โอกาส ใหญาณปญญาเกิดข้ึนดวย ดว ยความเพยี รทีบ่ ากบัน่ กุศลธรรมอ่ืนๆ ไดแก สติ สมาธแิ ละปญ ญากจ็ ะเกดิ ขน้ึ และเขม แขง็ อนั นำมาซงึ่ สภาวะที่ บรสิ ทุ ธแิ์ ละเปน สขุ จติ กจ็ ะมคี วามกระจา งชดั และเฉยี บแหลม จนสามารถทจ่ี ะหยง่ั ลงสูส ภาวะแทจรงิ ของสง่ิ ตา งๆ ได
๔๓ ปญ หาของความเกยี จคราน และความสุขจากอสิ รภาพ ในทางตรงขาม หากผูปฏิบัติประกอบดวยความ เหลวไหล และเกียจครา น จติ ก็จะขาดความเฉยี บแหลมและ อกุศลธรรมกจ็ ะคบื คลานเขามา เมื่อขาดสมาธิผปู ฏิบัติจะไม ใสใ จในกุศลธรรมของสภาวจติ และอาจคดิ เอาวา การปฏบิ ัติ กา วหนา ไปไดโ ดยไมต อ งใชค วามพยายาม ความมทุ ะลุ ความ เกยี จครา นอยา งดอื้ ดา นนจ้ี ะหนว งเหนยี่ วใหผ ปู ฏบิ ตั กิ า วหนา ชาลง จติ จะอบั เฉา หนักอึ้ง ประกอบดวยความโนมเอยี งไป ในทางอกุศล ไมบรสิ ุทธิ์ เหมอื นผา หมท่ขี ึ้นราจากการถูกทงิ้ ใหต ากฝน โดยปรกตแิ ลว กเิ ลสจะชกั นำจติ ใหโ นม เขา ไปสคู วาม สุขทางรปู รส กลนิ่ เสยี ง โดยเฉพาะอยางยิ่งราคะ ความ ใคร ซ่ึงเปนตัณหาประเภทหน่ึง บุคคลที่ปราศจากความ เพียรอยา งกลา หาญจะไมอาจชว ยตัวเองไดเ ลย เม่อื ราคะเขา ครอบงำ เขาจะจมลงสหู ว งนำ้ แหง กามสขุ อยา งไรกต็ าม หาก เติมความเพียรเขาไปในจิต จิตก็จะสามารถตะเกียกตะกาย ขึ้นจากบอน้ำแหงอกุศลธรรมน้ีได จิตจะมีความเบาเหมือน
๔๔ กับจรวดท่ีสามารถพุงทะยานขึ้นสูชั้นบรรยากาศท่ีปราศจาก แรงดงึ ดดู ของโลกได เมอื่ ปลดเปลอื้ งภาระอนั หนกั ของตณั หา และโทมนสั แลว จติ กจ็ ะมแี ตป ต แิ ละความสงบตลอดจนสภาวะ ที่เปนสุขและอิสระ ความสุขประเภทนี้จะพบไดก็ดวยไฟแหง ความเพยี รของผปู ฏิบตั แิ ตละคนเทา น้นั ผูปฏิบัติอาจไดประสบอิสรภาพน้ีมาดวยตนเองแลว บางทีวันหนึ่งผูปฏิบัติอาจกำลังเจริญกรรมฐานอยูขณะที่มี คนกำลังอบขนมอยูใกลๆ กล่ินหอมชวนรับประทานลอย เขามากระทบจมูก หากผูปฏิบัติมีสติดีอยูก็จะกำหนดกล่ิน นน้ั เปน อารมณท ่นี า ปรารถนาแตกไ็ มเกดิ การยึดติด ผปู ฏบิ ัติ ไมรูสึกวาอยากลุกจากท่ีนั่งเพื่อไปขอขนมน้ันมารับประทาน ในทำนองเดียวกัน หากมีอารมณที่ไมนาปรารถนาเกิดข้ึน ผูปฏิบัติก็จะไมรูสึกรังเกียจ ความสับสนและความลุมหลง ก็อาจหายไปดวย เมื่อผูปฏิบัติเห็นลักษณะของรูปและนาม อยา งชัดแจงแลว ปจ จัยท่ีเปน อกศุ ลก็ไมอาจครอบงำได อาหารอาจเปนเร่ืองที่ลำบากท่ีสุดเรื่องหนึ่งสำหรับ นกั ปฏบิ ตั ิ โดยเฉพาะอยา งยงิ่ ในระหวา งการอบรมกรรมฐาน การละทิ้งความอยากโดยส้ินเชิงอาจทำใหผูปฏิบัติรูสึก ผะอืดผะอมกับอาหาร หากผูปฏิบัติเจริญสติไดอยางม่ันคง แลวก็จะประหลาดใจวา จริงๆ แลว อาหารไมมีรสชาตอิ ะไร
๔๕ เลยเวลาสมั ผสั กับล้นิ และเมอ่ื การปฏบิ ัตกิ า วหนา ผปู ฏบิ ตั ิ บางคนอาจพบวา อาหารเปน สงิ่ ไมน า ยนิ ดเี ลยและไมส ามารถ รบั ประทานไดเ กนิ ๑ - ๒ คำ หรอื ในอกี ทางหนงึ่ เมอ่ื ผปู ฏบิ ตั ิ ประสบกับปติอยางแรงกลา ปติน่ันเองจะกลายเปนอาหาร ของจิตจนกระทั่งผูปฏิบัติไมรูสึกหิวอะไรเลย อยางไรก็ตาม ผูปฏิบัติท้ังสองประเภทน้ีควรพยายามเอาชนะปฏิกิริยาเบ้ือง ตน ของสภาวะเหลา น้ี แลวพยายามรับประทานอาหารใหพอ เพียงเพอ่ื รกั ษากำลงั ของตนเอง หากรางกายขาดสารอาหาร แลว กจ็ ะขาดพละกำลงั และความอดทน และในทสี่ ดุ กจ็ ะทำให การปฏบิ ัตลิ มเหลว ผปู ฏบิ ตั อิ าจปรารถนาทจ่ี ะไดร บั ผลของวริ ยิ ะ แตห าก ไมไ ดล งมอื พยายามทจ่ี ะทำใหค วามเพยี รเกดิ ขนึ้ กก็ ลา วไดว า เขาคงจะตอ งจมปลกั อยูในความนาสะอดิ สะเอยี น ภาษาบาลี เรียกบคุ คลประเภทนวี้ า กุสตี ในทางโลกบคุ คลทีไ่ มทำงาน เพอ่ื เลี้ยงดตู นเองและครอบครวั กจ็ ะไดรับการถูกดหู ม่ิน และ อาจไดรับการขนานนามวาเจาตัวข้ีเกียจหรือถูกสบประมาท ตางๆ นานา คำวา กสุ ตี หมายเฉพาะคนซง่ึ ถกู ประทุษราย ดวยวาจา ในการปฏิบัติธรรมก็เชนเดียวกัน หลายๆ ครั้ง ความเพยี รเปน สงิ่ สำคญั ผปู ฏบิ ตั ทิ ไี่ มอ าจรวบรวมความเพยี ร
๔๖ เพื่อเผชิญหนากับสถานการณที่ยากลำบาก แตยอมจำนน อาจเรยี กไดว า เปน คนขลาด ไมม คี วามกลา หาญ ไมร จู กั ความ องอาจใดๆ ท้ังสน้ิ บุคคลที่เกียจครานมักมีชีวิตอยูดวยความทุกขและ หมนหมอง นอกจากจะไมเปนท่ีเคารพนับถือของคนท่ัวไป แลวกิเลสยังสามารถเกิดขึ้นไดงายเมื่อความเพียรต่ำ จาก นน้ั ก็จะถูกคุกคามดวยความคดิ ผิดๆ ๓ ประการ กลา วคอื ความอยากได การทำลาย และความโหดรายดุดัน สภาวะ จิตเชน นี้มีลกั ษณะกดดนั เจบ็ ปวด และไมนา พึงพอใจ บคุ คล ทเี่ กยี จครา น งา ยทจี่ ะตกเปน เหยอ่ื ของความงว งเหงา ซมึ เซา อันเปนสภาวะที่ไมน าพึงพอใจอกี ประการหนึ่ง ยงิ่ ไปกวา นน้ั เมอ่ื จติ ขาดพลงั กอ็ าจจะเปน การยากทจี่ ะรกั ษาศลี ไวใ หม น่ั คง และหากศีลขาดผปู ฏบิ ตั ิกจ็ ะเสียประโยชน ไมไดรบั ความสขุ และอานิสงสข องความบริสุทธทิ์ างจิต การเจรญิ วปิ ส สนากรรมฐานนอ้ี าจถกู ทำลายไดอ ยา ง รา ยแรงดว ยความเกยี จครา น มนั ทำใหผ ปู ฏบิ ตั หิ มดโอกาสที่ จะเหน็ ลกั ษณะทแ่ี ทจ รงิ ของสงิ่ ตา งๆ หรอื ยกระดบั จติ ใหส งู ขน้ึ ดงั นั้น พระพุทธองคจึงตรสั วา บุคคลผเู กียจครา นสูญเสยี สิง่ ท่ีเปนประโยชนหลายประการ
๔๗ ความไมย อ ทอ การที่ความเพียรจะพัฒนาไปจนถึงขั้นท่ีจะเปนองค แหงการตรัสรูนั้น ความเพียรจะตองมีคุณสมบัติของความ ไมย อ ทอ กลา วคอื จะตอ งมพี ลงั สมำ่ เสมอ ไมเสอ่ื มถอยหรือ เฉ่ือยชา นอกจากน้ันยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดวยความพยายาม อยางไมยอทอ จิตก็จะไดรับการปกปองจากความคิดผิดๆ เม่ือความเพียรกลาความงวงเหงาหาวนอนก็ไมอาจเกิดขึ้น ได ผูปฏิบัติจะรูสึกไดถึงความมั่นคงของศีลตลอดจนสมาธิ และปญ ญา และยงั ไดร บั ผลของความเพยี รเมอ่ื จติ ผอ งใสและ มีกำลงั คลอ งแคลว และกระปร้ีกระเปรา ความเขาใจเกี่ยวกับความเพียรท่ีเหมาะสม จะเริ่ม มีความชัดเจนมากข้ึนเม่ือผูปฏิบัติมีความกาวหนามากขึ้นใน การปฏิบตั ิ (แมเ พยี งคร้ังเดยี ว) เชนผูปฏบิ ัติอาจเฝาดคู วาม เจ็บปวดที่แรงกลา และสามารถกำหนดไดโดยไมมีปฏิกิริยา ตอ ตา นหรอื รสู กึ วา ถกู บบี คน้ั จติ กจ็ ะมคี วามรสู กึ พงึ พอใจและ ชนื่ ชมในวรี กรรมของตนเอง สามารถเลง็ เหน็ ไดช ดั ดว ยตนเอง วา ดว ยความพยายามดงั กลา ว จติ มไิ ดย อมจำนนตอ ความยาก ลำบากแตไดกา วขา มความลำบากน้นั อยางผูมชี ยั ชนะ
๔๘ โยนโิ สมนสกิ าร ท่ีมาของพลังแหงความเพยี ร พระพทุ ธองคต รสั เพยี งสังเขป ถึงทีม่ าของพลงั แหง ความเพยี ร พระพุทธองคตรัสวา พลังมาจากความใสใจโดยแยบคาย ที่กระตุนใหอ งคป ระกอบทงั้ สามของความเพยี รเกดิ ข้นึ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155