Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore กลับมารู้สึกตัว

กลับมารู้สึกตัว

Published by ชมรมกัลยาณธรรม, 2021-05-16 03:21:33

Description: กลับมารู้สึกตัว

Search

Read the Text Version

กลบั มา...ร้สู ึกตวั พระอธิการครรชิต อกิญฺจโน พระอธิการครรชิต อกญิ จฺ โน

“ สดุ ทา้ ยเราอาจวางไดจ้ นถงึ ทส่ี ดุ ถา้ ตงั้ ใจ ปฏบิ ตั ดิ ๆี แลว้ มสี ตคิ อยเฝ้าดขู ณะทเ่ี รากาลงั จะหลบั แลว้ เฝ้าเหน็ เฝ้าเรยี นรู้ เหมอื นอยา่ งท่ี พระอาจารยบ์ อกพระทว่ี ดั วา่ “ซอ้ มตาย” กไ็ มแ่ น่นะ เราอาจเป็นผทู้ ป่ี ล่อยวางไดถ้ งึ ทส่ี ดุ ในขณะท่ี ลมหายใจเฮอื กสดุ ทา้ ยของเราจบลงกไ็ ด้ ”

กลบั มา...รสู้ ึกตวั พมิ พแ์ จกเป็ นธรรมทาน พมิ พท์ ่ี ……………………………………………………………………… ……………………………………………………………………… ภาพประกอบ ศศิมนสั หุน่ สวุ รรณ Dhammaintrend รว่ มเผยแพรแ่ ละแบ่งปันเป็ นธรรมทาน

คานา ทกุ ขแ์ ละการดบั ทกุ ขเ์ ป็นคาสอนหลกั ขององคส์ มเดจ็ พระ- สมั มาสมั พทุ ธเจ้า ทป่ี ระทานไวใ้ หแ้ กช่ าวโลกผา่ นกาลเวลามาสอง พนั หกรอ้ ยปีลว่ งมาแลว้ การปฏิบตั ิเพื่อการกาหนดร้ทู กุ ขแ์ ละดบั ทุกขจ์ ึงเป็ นหนทางแห่งการเดินตามรอยบาทพระศาสดา ซ่งึ หนังสือเล่มน้ีได้พยายามส่อื ให้ผูอ้ ่านได้เขา้ ใจว่าการเข้าถึงการ กาหนดรทู้ กุ ขแ์ ละการดาเนินไปเพอ่ื ดบั ทกุ ขน์ นั้ เป็นไปไดจ้ รงิ ดว้ ย กระบวนการการเจรญิ สตอิ ยา่ งตอ่ เน่ือง ซง่ึ นนั่ หมายถงึ การดาเนิน บนเสน้ ทางแหง่ สตปิ ฏั ฐานนนั่ เอง การร้อู ยกู่ บั อิริยาบถหรอื การเคลื่อนไหว แม้ว่าจะเป็ น อิริยาบถประดิษฐ์ ก็ด้วยต้องการให้เกิดความตงั้ ใจทาหรือ เจตนาที่จะทาการเคล่ือนไหวนัน้ เป็นการตงั้ อารมณ์กรรมฐาน เพื่อให้จิตกลบั คืนมาส่สู ภาวะเดิมของจิต คือ แค่ร้เู ฉยๆ นัน่ กลบั เป็ นการทาให้เรามองเห็นความเป็ นไปต่างๆของสภาวธรรม

อนั เกิดขึน้ กบั กายและจิตใจของเราอยา่ งชดั เจนและแจม่ แจ้ง มนั เป็นการเหน็ ชดั เจนจากการเฝ้ าสงั เกตกบั ส่ิงท่ีเกิดขึน้ ทงั้ จากการ กระทบอารมณ์ภายนอกหรืออารมณ์ที่เกิดขึน้ ภายในเอง แค่เหน็ ว่าเม่ือเราถอนจากความหลงเข้าไปยึด การปรงุ แต่งกย็ ุติ ความทุกข์ท่ีเกิดในขณะนัน้ กด็ บั ลงในขณะนัน้ เช่นเดียวกนั ดงั นัน้ เม่ือเราเจริญสติ เหน็ ความคิดที่มนั ผดุ มามากๆ จิตกจ็ ะเบอ่ื หน่ายคลายกาหนัด เหน็ ความไร้สาระ เรากไ็ ม่เข้า ไปยึดให้เป็นสาระ เรากห็ ลดุ จากทกุ ขแ์ ละเหน็ ว่ามนั เป็ นอยา่ ง นัน้ ของมนั เอง แล้วมนั กด็ บั ไป ดงั นัน้ เราสามารถดบั ทกุ ขไ์ ด้ ทกุ ขณะแม้ไมใ่ ช่การดบั โดยสมจุ เฉท แต่กเ็ ป็ นการดบั ทกุ ขท์ ี่ ทาให้เราได้สมั ผสั รสชาติของการดบั ลงแห่งทกุ ข์ เพราะฉะนัน้ ถ้าเราร้ทู นั กระบวนการท่ีมนั ทาให้เกิดทกุ ข์ เรากจ็ ะสามารถดบั ทกุ ขข์ ณะนัน้ ได้ แล้วจิตกจ็ ะยืนยนั ว่า การดบั ทกุ ขข์ อง พระพทุ ธเจ้านัน้ ทาได้จริง แม้มนั จะไม่สมจุ เฉท คือ ไม่โดย สิ้นเชิงกต็ าม แต่มนั กด็ บั เป็ นขณะๆ ถ้าจิตได้สมั ผสั รสชาติ แห่งการดบั ทกุ ขน์ ี้ไปเร่อื ยๆแล้วโยนิโสมนสิการ นัน่ แหละสดุ ยอดแห่งความร้ทู ี่เราจะเอาไปใช้ในการเดินทางของเราต่อไป

การเจริญสติตามแนวทางของหลวงป่ เู ทียน จิตตฺ สโุ ภ และ หลวงพ่อคาเขียน สวุ ณฺโณ เป็ นแนวทางการปฏิบตั ิที่เรียบงา่ ย ไม่ซบั ซ้อนด้วยความร้จู ากคมั ภีรห์ รือตารา แต่เป็ นกระบวนการ ศึกษาคมั ภีรห์ รือตาราจากสิ่งท่ีมีอยแู่ ล้ว คือ กาย - ใจ ของตวั เราเอง ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความทกุ ข์ ความสขุ ทุก อยา่ งมนั มอี ยแู่ ลว้ เราจึงไม่จาเป็นที่จะต้องไปค้นหาความหมาย ของมนั ผา่ นสมมติบญั ญตั ิของภาษา (สมมติสจั จะ) แต่เรา สามารถสมั ผสั กบั ส่ิงนัน้ ได้ด้วยการร้กู บั มนั ตรงๆผา่ นปรมตั ถ- สจั จะเพื่อเข้าส่อู ริยสจั จะได้โดยตรง เป็นการรแู้ บบสมั ผสั ไดจ้ รงิ ซง่ึ นนั่ จะทาใหก้ ารปฏบิ ตั เิ พอ่ื การกาหนดรทู้ กุ ขแ์ ละการดบั ทุกขเ์ กดิ ขน้ึ ได้ ในระยะเวลาอนั สนั้ ท่ีหลวงป่ เู ทียน จิตตฺ สโุ ภ บอกว่า อึดใจเดียว หนังสือเล่มน้ีเป็นการถอดคาบรรยายในคอร์สท่ีจดั ข้นึ ท่ี วดั พระธาตุผาเงา จงั หวดั เชยี งราย โดยกลมุ่ ญาตธิ รรมกลมุ่ หน่ึง เป็นคาบรรยายทม่ี เี น้ือหาต่อเน่ืองกนั ตงั้ แตบ่ ทแรกจนถงึ บทสดุ ทา้ ย ดงั นัน้ จึงสามารถเป็นคู่มอื ในการปฏบิ ตั ิการเจริญสติได้อยู่ในตวั ตอ้ งขออนุโมทนากบั คุณชาลณิ ี (ตุม้ ) ทไ่ี ดจ้ ดั การอบรมใน ครงั้ นนั้ ขน้ึ ขออนุโมทนาคุณสุชาตแิ ละคุณเมยท์ ช่ี ่วยบนั ทกึ เสยี ง

และจดั ทาเป็นซดี ธี รรมะแจกเป็นธรรมทาน อนุโมทนากบั คุณปิยะดา และครอบครวั ทใ่ี หค้ วามศรทั ธาและชว่ ยเกอ้ื หนุนในทุกเร่อื งของการ เผยแผธ่ รรมะ ขออนุโมทนากบั คุณศริ นิ ทร (ปเู ป้) ทท่ี มุ่ เทเวลากบั การฟงั และถอดคาบรรยายออกมาเป็นตวั หนงั สอื รวมทงั้ เป็นธุระ กบั การจดั พมิ พ์ และขออนุโมทนากบั คณะผปู้ ฏบิ ตั ธิ รรมในครงั้ นนั้ ทกุ ๆคน ทต่ี งั้ ใจกบั การเรยี นรแู้ ละปฏบิ ตั จิ นไดร้ บั ผลการปฏบิ ตั ไิ ป ตามกาลงั สตปิ ญั ญาของตน หวงั เป็นอย่างยงิ่ ว่าหนังสอื เลม่ น้ีคงมปี ระโยชน์ต่อผอู้ ่าน จะมากหรือน้อยก็อยู่ท่ไี ดน้ ้อมนาไปประพฤตปิ ฏบิ ตั อิ ย่างจรงิ จงั หรอื ไมน่ นั่ เอง ขอความสขุ ความเจรญิ ในธรรมจงบงั เกดิ แก่ทุกทา่ น พระอธิการครรชิต อกิญฺจโน วดั ป่ าสนั ติธรรม อทุ ยานแห่งชาติตาดโตน ชยั ภมู ิ

คานยิ ม รจู้ กั พระอาจารยค์ รรชติ จากสภาวธรรม เรากเ็ ป็นศษิ ยท์ ค่ี รู สอนมา เรากส็ อนผอู้ ่นื ตามทค่ี รสู งั่ สอน ผทู้ ส่ี อนกท็ าตามคาสอน ก็ ไดฟ้ งั คาพดู จากผทู้ ส่ี อนพดู ใหฟ้ งั อนั เกดิ จากการปฏบิ ตั นิ นั้ เรากร็ ู้ วา่ ผดิ ถกู อยา่ งไร กบ็ อกใหแ้ ก่ผปู้ ฏบิ ตั ฟิ งั ถา้ ผดิ กใ็ หแ้ กไ้ ขเอาเอง ถา้ ถกู กท็ าไป ผปู้ ฏบิ ตั กิ จ็ ะรเู้ องทาเอง ไดป้ ระสบการณ์เองกจ็ ะรู้ ธรรมทค่ี วรรคู้ วรเหน็ ตามสมควรแก่ผปู้ ฏบิ ตั ิ พระอาจารยค์ รรชติ ทา่ นกพ็ ดู ใหฟ้ งั จากสภาวธรรมทท่ี า่ นรทู้ า่ น เหน็ สภาวธรรมทเ่ี ป็นสจั ธรรมตอ้ งเป็นอนั เดยี วกนั น่ีเรากร็ จู้ กั พระ อาจารยค์ รรชติ ดว้ ยสภาวธรรมเชน่ น้ี

สภาวธรรมทท่ี า่ นพดู ใหฟ้ งั นนั้ ทา่ นกส็ อนผอู้ น่ื ตามทท่ี า่ น พดู ใหเ้ ราฟงั การสอนธรรมการปฏบิ ตั ธิ รรมของทา่ นกลายมาเป็น หนงั สอื เลม่ น้ี สมควรแก่การศกึ ษาแก่ผแู้ สวงหาธรรมอนั เป็นสจั จะ และหนงั สอื เลม่ น้ียงั เป็นเรอ่ื งทท่ี า่ นพดู ใหเ้ ราฟงั และยงั มกี ารทาให้ ดู สมั ผสั ไดจ้ นถงึ วนั น้ี ยงั คงเสน้ คงวาเสมอมา ทา่ นพดู ทา่ นสอนอยา่ งไร เรากพ็ ดู กส็ อนอยา่ งทา่ น ขออนุโมทนาด้วยพระอาจารย์ครรชติ ท่มี คี วามตงั้ ใจ พากเพยี รสงั่ สอนผู้อ่นื มานานจนมาถึงบดั น้ี และจงเพยี รสอน ต่อไปก็จะเกิดกุศลร่วมกนั ทุกถ้วนหน้าและยิ่งๆข้นึ ไปนัน้ เทอญ หลวงพ่อคำเขียน สวุ ณฺโณ วดั ป่ ำสคุ ะโต ท่ำมะไฟหวำน ชยั ภมู ิ

สารบญั ๔ ๘ คำนำ ๑๒ คำนยิ ม ๑๖ บทนำ ๒๓ ๓๔ ๑. จงั หวะสละทกุ ข์ ๔๖ ๒. ตงั้ ใจคดิ กบั หลงคดิ ๕๕ ๓. เห็นอยำ่ เป็ น ๖๕ ๔. เจรญิ สตดิ ยี อ่ มมที อี่ ำศัยชดั เจน ๗๑ ๕. รแู ้ ลว้ วำงยอ่ มถงึ ทำงพน้ ทกุ ข์ ๘๑ ๖. ทำสบำยๆ ใหต้ อ่ เนอื่ ง ๙๓ ๗. รสู ้ กึ ตวั เป็ นมรรคผล ๘. สรำ้ งรอ่ งรอยเอำไว ้ ๙. ทฏิ ฐสิ มบรู ณไ์ รอ้ ปุ ำทำน

สารบญั ๑๐๓ ๑๑๐ ๑๐. อำนสิ งสข์ องกำรเจรญิ สติ ๑๑๙ ๑๑. ยดึ มนั่ สำคญั หมำยเป็ นทกุ ข์ ๑๒๔ ๑๒. รอ่ งรอยกำรดบั ทกุ ข์ ๑๓๒ ๑๓. ธรรมะเป็ นทพ่ี งึ่ ไดจ้ รงิ ๑๔๔ ๑๔. เกยี่ วเนอื่ งดว้ ยเหตปุ ัจจยั ๑๔๘ ๑๕. ยอ่ มรไู ้ ดด้ ว้ ยตนเอง ๑๕๒ ๑๖. สตทิ ร่ี ทู ้ ัน ๑๗. กลับมำ...รสู ้ กึ ตวั ๑๖๓ ประวัตพิ ระอธกิ ำรครรชติ อกญิ ฺจโน ๑๖๗ คำขอบคณุ

๑๒ กลบั มา...รสู้ กึ ตวั บทนา เจรญิ พร ทา่ นผเู้ ขา้ รว่ มอบรมทกุ ทา่ น หลายทา่ นคงเคยนงั่ สมาธแิ ละปฏบิ ตั ธิ รรมกนั มาบา้ งแลว้ ในหลากหลายรปู แบบ ซง่ึ นนั่ ก็ บง่ บอกวา่ ทา่ นเป็นผใู้ ฝใ่ นการศกึ ษาอนั เป็นคณุ สมบตั ขิ องผไู้ ดส้ งั ่ สม บารมมี าก่อน จงึ ไดม้ โี อกาสในการทากจิ เหลา่ น้ี แน่นอนวา่ ในความ แตกต่างของวธิ กี ารกอ็ าจทาใหผ้ ลการปฏบิ ตั ทิ แ่ี ตกตา่ ง บางวธิ กี ็ อาจทาใหเ้ รารสู้ กึ วา่ จติ ของเรานิ่งสงบ บางวธิ อี าจทาใหเ้ ราสมั ผสั ได้ ถงึ ความต่นื รู้ บางวธิ อี าจใชก้ ารกาหนดรทู้ ล่ี มหายใจเขา้ ออก บางวธิ ี อาจใชก้ ารกาหนดกบั คาบรกิ รรม แต่ทพ่ี ระอาจารยจ์ ะสอนพวกเราใน วนั น้ีคอื การเจรญิ สตดิ ว้ ยการเคลอ่ื นไหวตามแนวทางการปฏบิ ตั ขิ อง หลวงปู่เทยี น จติ ฺตสุโภ ซ่งึ เป็นการปฏบิ ตั ติ ามหลกั การสติปฏั ฐาน ดว้ ยการตงั้ อารมณ์กรรมฐาน ผา่ นการยกมอื สรา้ งจงั หวะ ๑๔ จงั หวะ ในขณะทเ่ี ราฟงั พระอาจารยพ์ ดู อยนู่ ้ี จติ ใจเราเป็นอยา่ งไร เฉยๆ แลว้ เรารไู้ หม แลว้ ถา้ ลองเอามอื ไวข้ า้ งหลงั แลว้ กามอื เรารไู้ หมวา่

พระอธกิ ารครรชติ อกญิ ฺจโน ๑๓ กามอื แบมอื เรารไู้ หมวา่ เราแบมอื เหน็ ไหมวา่ เรารวู้ า่ เราทาอยา่ งนนั้ โดยทเ่ี ราไมต่ อ้ งมองเหน็ มอื ของเราดว้ ยซ้าเพราะมนั ไมไ่ ดอ้ าศยั การรู้ ดว้ ยตาแต่มนั อาศยั รดู้ ว้ ยอะไรบางอยา่ งทเ่ี กดิ ขน้ึ จากภายในใชห่ รอื ไม่ เอาหล่ะ คราวน้ีเรามาทาการสร้างจังหวะโดยการตัง้ อารมณ์กรรมฐาน ๑๔ จงั หวะ โดยการใชเ้ จตนาในการทา เจตนา ในการเคล่ือนไหว ให้เรา “รบั รู้” ไปกับการเคล่ือนไหวของมือ ๑. เอามือวางไว้ที่ขาทงั้ สองข้าง... ๒. พลิกมอื ขวาตะแคงขนึ้ ... ๓. ยกมือขวาขนึ้ ครึง่ ตวั .. ควา่ ไว้ ทาช้าๆ... ให้ร้สู ึก. ให้ร้สู ึก มนั หยดุ กใ็ ห้ร้สู ึก ๔. เอามือขวามาที่สะดอื ... ๕. พลิกมือซ้ายตะแคงขนึ้ ... ๖. ยกมือซ้ายขนึ้ ครึ่งตวั ... ให้รสู้ ึก ให้ร้สู ึก ให้มีความรสู้ ึก

๑๔ กลบั มา...รสู้ กึ ตวั ๗. เอามือซ้ายมาท่ีสะดือ... ๘. เลื่อนมือขวาขนึ้ หน้าอก... ๙. เอามือขวาออกตรงข้าง... ให้ร้สู ึก ให้รสู้ ึก ให้ร้สู ึก ๑๐. ลดมอื ขวาลงท่ีขาขวา ๑๑. ควา่ มือขวาลงที่ขาขวา... ๑๒. เล่ือนมือซ้ายขนึ้ ที่ ตะแคงไว้... ให้รสู้ ึก ให้ร้สู ึก หน้าอก... ให้มีความร้สู ึก ๑๓. เอามือซ้ายออกมาตรงขา้ ง... ๑๔. ลดมือซ้ายลงที่ขาซ้าย. ๑๕. ควา่ มือซ้ายลงที่ขาซ้าย ให้ร้สู ึก ให้มีความร้สู ึก ตะแคงไว้…. ทาต่อไปเรอื่ ยๆ...ให้ร้สู ึก ให้มีความรสู้ ึก

พระอธกิ ารครรชติ อกญิ ฺจโน ๑๕ เอาหล่ะ ทีน้ีเรามาลองทากนั ให้เราใส่ความตงั้ ใจในการ เคล่อื นไหวมอื ในแต่ละครงั้ แต่ละจังหวะ ทาไปเร่อื ยๆ แล้วก็ อย่าลมื สงั เกตใจของเราด้วยว่าเป็นอย่างไร การสร้างจงั หวะไม่ มจี งั หวะตายตวั ทุกคนจะมจี งั หวะของตวั เอง โดยใช้การรู้สึก กบั การเคล่อื นไหวท่ชี ดั เป็นตวั ช้วี ดั ว่าประมาณไหน เอาหล่ะมา ลองทากนั ดู

๑๖ กลบั มา...รสู้ กึ ตวั ๑. จงั หวะสละทุกข์ ขณะน้ีเรามายกมอื สรา้ งจงั หวะกนั ขณะทเ่ี รามาปฏบิ ตั กิ ม็ ี การปวดการเม่อื ยเราควรจะมกี ารเปลย่ี นอริ ยิ าบถ เพอ่ื การปฏบิ ตั ิ ของเราจะไดเ้ กดิ ความตอ่ เน่ือง กอ่ นทจ่ี ะเขา้ สกู่ ารเดนิ จงกรม มา ทวนกนั นิดนึง ในบทนาพระอาจารยไ์ ดใ้ หพ้ วกเราตงั้ อารมณ์ กรรมฐาน ๑๔ จงั หวะ ดว้ ยการใชเ้ จตนาในการทา เจตนากบั การ เคลอ่ื นไหวทาใหจ้ ติ ไปอยทู่ ต่ี รงนนั้ รไู้ ดอ้ ยา่ งไรวา่ มนั อยู่ รไู้ ดเ้ พราะมนั รู้ เพราะธรรมชาตขิ องจติ คอื ธาตุรู้ เมอ่ื อยกู่ บั สง่ิ ใดเขาจะรกู้ บั สง่ิ นนั้ เพราะฉะนนั้ ขณะทเ่ี ราตงั้ ใจยกมอื สรา้ งจงั หวะเราจะรทู้ นั ทวี า่ มอื ของ เราเคล่อื นไหว แลว้ พระอาจารยก์ ส็ อนพวกเราเกย่ี วกบั จิตท่ีอยใู่ น

พระอธกิ ารครรชติ อกญิ ฺจโน ๑๗ อารมณ์กรรมฐาน กบั หลงออกจากอารมณ์กรรมฐาน มนั มอี ยู่ จริงใช่หรอื ไม่ ในขณะทม่ี นั รอู้ ยใู่ นสง่ิ ทต่ี นเองทานนั่ แปลว่ามนั อยใู่ น อารมณ์กรรมฐานนนั้ ๆ อกี ขณะหน่ึงแทนทม่ี นั จะรูใ้ นสงิ่ ทต่ี นเอง ทา มนั กลบั ไปรอู้ ยา่ งอน่ื เราจะใชค้ าวา่ “มนั หลง” ขอใหเ้ ขา้ ใจตามน้ี ก่อนวา่ การรอู้ ยใู่ นอารมณ์กรรมฐานแปลวา่ “มนั ร้อู ย”ู่ และการท่ี ออกไปรอู้ ยา่ งอน่ื ทไ่ี มใ่ ชส่ งิ่ ทเ่ี รากาหนดแปลวา่ “มนั หลง” เพอ่ื ให้ แยกแยะระหว่างความรอู้ ยู่และความหลงออกไป เพราะจะทาให้ เราเรยี นรไู้ ดง้ า่ ยขน้ึ เพราะการทจ่ี ติ ใจเรารอู้ ยใู่ นอารมณ์กรรมฐานมนั ไมไ่ ดส้ รา้ งปญั หาอะไร แตก่ ารทจ่ี ติ หลงออกจากอารมณ์กรรมฐาน มนั จะสรา้ งปญั หาในอนาคต ซง่ึ จะเป็นอยา่ งไรนนั้ เราจะเรยี นรกู้ นั ตอ่ ไป กข็ อใหเ้ ขา้ ใจตามน้ีกอ่ นวา่ มนั มอี ยู่ ๒ อยา่ งเป็นพน้ื ฐาน ทกุ ครงั้ ทพ่ี ระอาจารยไ์ ปเทศน์กบั หลวงพอ่ หลวงพอ่ จะให้ พระอาจารยเ์ ทศน์ก่อนในเรอ่ื งพน้ื ฐาน แลว้ หลวงพอ่ คอ่ ยเทศน์ ไมอ่ ยา่ งนนั้ จะฟงั ไมเ่ ขา้ ใจในเร่อื งลกั คดิ หลงคดิ การรใู้ นอารมณ์ กรรมฐานหรอื การออกจากอารมณ์กรรมฐาน ทนี ้ีเรามาเปลย่ี นอริ ยิ าบถกนั คอื การเดนิ จงกรมเปลย่ี นจาก การนงั่ สรา้ งจงั หวะ มาใชก้ ารเคลอ่ื นไหวในรปู แบบการเคลอ่ื นไหว

๑๘ กลบั มา...รสู้ กึ ตวั ของเทา้ สมั ผสั กบั พน้ื เราอาจจะเคยเดนิ จงกรมกนั มา ไมว่ า่ ใครจะ ปฏบิ ตั แิ นวทางใดกต็ าม การเดนิ จงกรมจะเป็นเร่อื งคลา้ ยๆ กนั อยู่ แลว้ ตอนนี้อยากให้กาหนดร้เู บาๆแค่กระทบ แค่ฝ่ าเท้า กระทบพืน้ พอไม่ต้องไปร้ลู ะเอียด เอาแค่รบั รู้ รบั ร้พู อ แตถ่ า้ ใครสามารถกาหนดรบั รลู้ ะเอยี ดไดก้ ท็ าไป สว่ นคนทย่ี งั ไมเ่ คยกเ็ อา งา่ ยๆ กอ่ น กค็ อื แค่ แปะ แปะ แปะ เอางา่ ยทส่ี ุด แตใ่ ครเคยปฏบิ ตั ิ มาแลว้ สามารถกาหนดละเอยี ดไดก้ ไ็ มว่ า่ กนั เวลาเราเปลย่ี นจาก นงั่ มาเดนิ เวลาจะลกุ เอามอื เทา้ พน้ื นิดนึงแลว้ ยกตวั ขน้ึ มา นงั่ ทบั สน้ เทา้ ไว้ การทเ่ี ราสามารถลกุ ขน้ึ เป็นจงั หวะไดม้ นั จะเป็นผลดตี ่อ การเซฟรา่ งกายของเราอยา่ งทห่ี น่ึง อยา่ งทส่ี องจะเป็นการเจรญิ สตเิ ป็นจงั หวะ เป็นจงั หวะ จงั หวะทห่ี น่ึงเรานงั่ ทบั สน้ เทา้ จงั หวะท่ี สองยดื ตวั ขน้ึ จงั หวะทส่ี ามกต็ งั้ เขา่ ขน้ึ จงั หวะทส่ี ก่ี ย็ กตวั ขน้ึ จงั หวะ ทห่ี า้ ชดิ เทา้ คราวน้ีลองขยบั เทา้ สารวมมอื ไว้ รฝู้ า่ เทา้ กระทบพน้ื แตล่ ะ ครงั้ พอเดนิ มาสดุ ทางหมนุ ตวั กลบั เดนิ สบายๆ รบั รกู้ บั ฝา่ เทา้ ของเรา ตามองทางเดนิ เพราะตาเราจะทาใหห้ ลงไปไดง้ า่ ยกบั สง่ิ ทผ่ี า่ นมา คราวน้ีเราพยายามจะตะลอ่ มใหจ้ ติ เขากลบั คนื มาอยเู่ ป็นทเ่ี ป็นทาง คอื กลบั มาอยใู่ นอารมณ์กรรมฐานนนั่ เอง เราแคป่ ระคองแค่ “รู้ รู้ ร้”ู

พระอธกิ ารครรชติ อกญิ ฺจโน ๑๙ เป็นการเขยา่ ธาตุรใู้ หม้ นั ต่นื ขน้ึ มา เพอ่ื ความฉบั ไวในการเหน็ สภาวธรรม ในขณะทร่ี ้กู บั ฝ่ าเท้าที่กระทบพืน้ นัน้ แค่รบั ร้เู ฉยๆ และถา้ จิตเราแวบ๊ คิดเร่ืองอ่ืนไป หลงออกไปกร็ บั รู้ การรบั รไู้ ป เรอ่ื ยๆ นนั้ จะทาใหเ้ ราตระหนกั รู้ ดงั นนั้ การทเ่ี ราเผลอออกไปกไ็ ม่ เป็นไร ระลึกร้แู ล้วกลบั มาเท่านัน้ เอง คอื ใหก้ ลบั มารบั รทู้ อ่ี ารมณ์ กรรมฐานของเรา อย่าหวงั ว่าจิตจะอย่กู บั อารมณ์กรรมฐาน ตลอดเวลา แตข่ อใหแ้ คม่ นั หลงแลว้ กลบั มาร้แู ล้วกลบั มาอย่เู รื่อยๆ เวลาเราเดนิ ดว้ ยความเจตนาใหเ้ ดนิ เตม็ ๆ ฝา่ เทา้ ใสค่ วามตงั้ ใจลง ไป มีเจตนาแต่ไม่เพ่ง ถา้ รสู้ กึ เพง่ หรอื หนกั ศรี ษะใหม้ องไกล ออกไปนิดนึง ใหร้ บั รอู้ ยา่ งสบายๆ จะสงั เกตวา่ เราเดนิ ไปเดนิ มา เราจะเรม่ิ เพลนิ นิวรณ์จะเรม่ิ แทรกได้ เพราะเราเผลอจะเดนิ ดว้ ย ความเคยชนิ เพราะฉะนนั้ ขบวนการของการเจริญสติเราต้องคอย เฝ้ าดตู วั เอง เฝ้ าดคู วามร้สู ึกตวั เองว่าความร้สู ึกตวั ของเราชดั ไหมหรอื ความรสู้ กึ ของเราเบลอๆ พอเรมิ่ เบลอปุ๊บเรากใ็ สเ่ จตนาลง ไป ในระยะแรกในการเดนิ จงกรมควรเดนิ เตม็ ๆฝา่ เทา้ เพราะปกติ เราจะไม่เดินอย่างนัน้ มนั ก็จะทาให้เกิดความตงั้ ใจในการทา เหมอื นการยกมอื สรา้ งจงั หวะ มนั ไมใ่ ชอ่ ริ ยิ าบถธรรมชาติ ไมม่ ใี ครทา

๒๐ กลบั มา...รสู้ กึ ตวั ดงั นนั้ การทาอริ ยิ าบถอยา่ งน้ีมนั ตอ้ งใสค่ วามตงั้ ใจลงไป เพราะฉะนนั้ ขบวนการแหง่ การเจรญิ สตเิ ราตอ้ งคอยดคู อยเชค็ อยเู่ ร่อื ยๆ วา่ ความรสู้ กึ ตวั ของเราชดั ไหม ถา้ มนั ไมช่ ดั มนั เบลอๆ ควรเน้นดว้ ย ความเจตนา เพมิ่ เจตนาลงไป ในเร่อื งของการเดนิ สาคญั อยา่ งหน่ึง อยา่ ไปกม้ ศรี ษะมาก เกนิ ไป อยา่ ไปกงั วลมากเกนิ ไป เดนิ สบายๆ คอตงั้ ปรกติ แต่ สายตาหลุบต่าลง เพราะถา้ กม้ มากๆ มนั จะลา้ เกดิ ทุกขเวทนาทาง กายมากขน้ึ เราไมต่ อ้ งเพม่ิ ใหม้ นั เพราะเดยี๋ วมนั จะแสดงตวั มนั เอง มเี รอ่ื งหน่ึงพระอาจารยจ์ ะเลา่ ใหฟ้ งั พระอาจารยเ์ ดนิ ตงั้ ใจ มากขณะบณิ ฑบาต เดนิ กม้ หน้ากม้ ตาไมม่ องอะไรเลย มนั กเ็ หมอื น มคี นมานงั่ รอใสบ่ าตร พระอาจารยก์ เ็ ดนิ เขา้ ไปเตรยี มเปิดบาตร อะไรรไู้ หม หมามนั นงั่ อยขู่ า้ งทาง เพราะความทเ่ี รากม้ หน้ากม้ ตาไม่ มองใหเ้ ตม็ ๆ เหน็ อยไู่ กลๆ กเ็ ราเหน็ ไมช่ ดั พอเดนิ เขา้ ไปใกลๆ้ เป็น หมาซะน่ี

พระอธกิ ารครรชติ อกญิ ฺจโน ๒๑ ดงั นนั้ เราเดนิ สบายๆ พอรสู้ กึ อดึ อดั ใหห้ ายใจเขา้ ลกึ ๆ ผอ่ น ลมหายใจชา้ ๆ ลองดถู า้ เมอ่ื ยกม็ องไกลๆ ซกั นิดหน่ึง เวลาเราเดนิ นานๆ นิวรณ์ก็แทรกเข้ามาก็ให้เราหายใจเขา้ ลึกๆ ผ่อนสายตา ออกไป มนั จะชว่ ยได้ จติ จะสดช่นื ขน้ึ มา

๒๒ กลบั มา...รสู้ กึ ตวั ดงั นนั้ เราตอ้ งหมนั่ คอยสงั เกตจติ เพราะเวลาเราเดนิ ไปเดนิ มาจติ ของเราเพง่ มนั จอ้ งทฝ่ี า่ เทา้ มาก รบั รทู้ ฝ่ี า่ เทา้ กระทบพน้ื ตอ่ เน่ืองมากๆ มนั ตกเขา้ ไปขา้ งใน มนั จะเขา้ สคู่ วามสงบ แลว้ ความ รสู้ กึ ตวั กจ็ ะเบลอๆ ดงั นนั้ ตอ้ งออกมา บางทมี นั ฟุ้งออกไปกด็ งึ ลม หายใจชว่ ย มนั หนั มาสนใจลมหายใจ กจ็ ะกลบั ขน้ึ มาได้ ดงั นนั้ ขบวนการตอ้ งคอ่ ยเรยี นรคู้ อ่ ยๆ ดไู ป

พระอธกิ ารครรชติ อกญิ ฺจโน ๒๓ ๒. ตงั้ ใจคิดกบั หลงคิด เร่อื งของการปฏบิ ตั เิ ป็นเรอ่ื งทเ่ี ราตอ้ งใหค้ วามใสใ่ จ ตอ้ งใหเ้ วลา กบั ตวั เองใหม้ ากขน้ึ เพราะบางทผี ปู้ ฏบิ ตั หิ ลายคนมกั จะหวงั พง่ึ ครู- บาอาจารยจ์ นไมค่ ดิ ทจ่ี ะหาคาตอบดว้ ยตวั เอง มนั กจ็ ะไมไ่ ดส้ มั ผสั เอง มนั จะไมช่ ดั เจน ตวั เองไมป่ ระจกั ษแ์ จง้ กบั มนั ไมไ่ ดช้ มิ รสชาตขิ อง มนั ดงั นนั้ ต้องทาด้วยตวั เองให้มนั ประจกั ษ์แจ้งในตวั คณุ เอง มนั จะไมค่ ลาดเคลอ่ื น ไมเ่ คลอ่ื นคลอ้ ย ดงั นนั้ เวลาปฏิบตั ิต้องคอยสงั เกตสิ่งท่ีมนั เกิดขึน้ พระ- อาจารยไ์ มอ่ ยากใชค้ าวา่ “ พจิ ารณา ” เพราะเวลาใชค้ าน้ีคนมกั จะคดิ

๒๔ กลบั มา...รสู้ กึ ตวั วา่ ไปคดิ ๆเอา ซง่ึ มนั ไมใ่ ชค่ าวา่ “ สงั เกต ” เหมอื นคณุ ทดลองทาง วทิ ยาศาสตร์ เชน่ ถา้ คุณอยากรวู้ า่ สาร A ผสมกบั สาร B มนั จะเป็น ยงั ไง คณุ ตอ้ งเอาสารทงั้ สองมาผสมกนั แลว้ ก็ “ดมู นั สงั เกตมนั ” แลว้ ก็จดบนั ทกึ สงิ่ ท่สี งั เกตว่ามกี ารเปล่ยี นแปลงเป็นอย่างไรบ้าง ขบวนการปฏบิ ตั ธิ รรมกไ็ มแ่ ตกต่างจากนนั้ คาว่า “สงั เกต” จงึ เป็นสง่ิ จาเป็นมากสาหรบั ผปู้ ฏบิ ตั ิ เพราะการสงั เกตเป็น “โยนิโส มนสิการ” คอื การพจิ ารณาเฝ้าสงั เกตอยา่ งแยบคายกบั สงิ่ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ภายในใจกายของเรา ขบวนการทม่ี นั เกดิ ขน้ึ ทงั้ หมดมนั เกดิ ขน้ึ อยใู่ น ตวั ของเราเอง มนั ไมไ่ ดอ้ ยขู่ า้ งนอกเพราะถา้ เราเฝ้าสงั เกตอาการต่างๆ ทม่ี นั เกดิ ขน้ึ ทางกายทางใจของเรา ในขณะทเ่ี ราปฏบิ ตั ไิ ป มนั จะทาให้ เราไดป้ ระสบการณ์ ซง่ึ มนั สาคญั มากๆ จาไวว้ า่ ปญั ญาไมใ่ ชส่ ง่ิ ท่ี เราจะไปยดั เยยี ดใหก้ นั ได้ ต่อใหพ้ ระอาจารย์อธิบายธรรมะขนาด ไหนกต็ ามกไ็ ม่ใชป่ ญั ญาแทๆ้ ทค่ี ณุ จะไดร้ บั มนั ไมใ่ ช่ของจรงิ ปญั ญามนั เป็นกระบวนการทใ่ี หจ้ ติ ของเรานนั้ ไดร้ บั ประสบการณ์ สงั่ สมๆๆ มากๆ เขา้ แลว้ ปญั ญากจ็ ะคอ่ ยๆสวา่ งขน้ึ มาเอง เพราะฉะนนั้ กระบวนการทเ่ี ราเรยี กวา่ “วิปัสสนา” นนั้ แปลวา่ “ อบุ ายในการทาให้ปัญญามนั เรอื งขนึ้ ”

พระอธกิ ารครรชติ อกญิ ฺจโน ๒๕ ดงั นนั้ วปิ สั สนาไมใ่ ชต่ วั ปญั ญา แตเ่ ป็นกระบวนการทต่ี อ้ งสรา้ ง ขน้ึ มา พยายามใหจ้ ติ เราไดป้ ระสบการณ์ การทเ่ี ขาสามารถเหน็ สภาวธรรมครงั้ ท่ี ๑ กเ็ ป็นประสบการณ์ ๑ ครงั้ ทเ่ี ขาเหน็ ครงั้ ท่ี ๒ ท่ี ๓ หรอื เม่อื จติ อยใู่ นอารมณ์กรรมฐาน จติ กจ็ ะรวู้ า่ เวลาทเ่ี ราอยใู่ น อารมณ์กรรมฐานเป็นอยา่ งไร และเวลาทเ่ี ราหลงออกไปจากอารมณ์ กรรมฐานเป็นอยา่ งไร การหลงออกไปนนั้ แลว้ เรารสู้ กึ ตวั กลบั มาได้ จติ เขากจ็ ะไดป้ ระสบการณ์วา่ การทห่ี ลงออกไปจากอารมณ์กรรมฐาน แลว้ กลบั มาไดอ้ ยา่ งไร การทเ่ี ขาสามารถมองเหน็ ๒ อยา่ ง วา่ ทอ่ี ยู่ ในอารมณ์กรรมฐานและการหลงออกไปเป็นอยา่ งไร เราเหน็ ทงั้ ๒ สว่ น ทาใหเ้ หน็ ความแตกต่างและสามารถแยกแยะไดด้ ้วยตวั เองว่า อะไรใช่ อะไรไม่ใช่ อะไรควร อะไรไม่ควร ดงั นนั้ กระบวนการปฏบิ ตั ใิ นการเจรญิ สติ เราจงึ ไมก่ ลวั เรอ่ื ง ความหลง ใหห้ ลงไป ยงิ่ หลงใหเ้ รายง่ิ รกู้ บั มนั ยิ่งหลงแล้วเราร้ตู วั ว่ามนั หลง นัน่ แหละปัญญาย่ิงจะคมเหมือนการลบั มีด เวลา ลบั มดี เขาจะไถไปดงึ กลบั เหมอื นหลงไปดงึ กลบั มาทกุ ครงั้ ทม่ี นั หลงไป รวู้ า่ มนั หลงไปป๊บุ ดงึ กลบั มาไดป้ บั๊ ประสบการณ์ทผ่ี า่ นพบเหน็ แลว้

๒๖ กลบั มา...รสู้ กึ ตวั ดงั นนั้ เวลามนั หลงเราอย่าไปเอาเรื่องราวของมนั เอา แต่อาการของมนั เกดิ อะไรขน้ึ กต็ ามอยา่ เอาเรอ่ื งเอาราว เอา อาการของมนั ถา้ เอาเรอ่ื งราวของมนั กแ็ ปดหมน่ื สพ่ี นั เรอ่ื ง แต่ถ้า เอาอาการของมนั กม็ ีแค่เกิดแล้วกด็ บั คอื ตอนทม่ี นั หลงมนั จะ หลงไปเร่อื งอะไรกต็ าม พอมนั กลบั มาไดม้ นั กด็ บั อยา่ ไปเอา เรอ่ื งราวใหเ้ หน็ อาการของมนั ดงั นนั้ ในขณะทย่ี กมอื สรา้ งจงั หวะหรอื เดนิ จงกรมหรอื ปฏบิ ตั ิ อยา่ งไรกต็ าม สงิ่ ทจ่ี ะเกดิ กค็ อื ๑. จิตตงั้ อย่ใู นอารมณ์กรรมฐานเบอื้ งต้น ๒. คือจิตหลงออกจากอารมณ์กรรมฐาน ๓. เม่ือร้ตู วั ว่าจิตหลงออกไป เม่ือร้ตู วั มนั ทาให้จิต กลบั คืนมา สติมนั ระลึกได้ พอกลบั มาปุ๊บ การปรุงแต่งความนึกคิด อารมณ์ต่างๆ เหล่านัน้ มนั ก็ดบั ประสบการณ์ท่มี นั เห็นว่าจติ มนั หลงออกไป สตริ ะลกึ ไดม้ นั ก็ดบั เหน็ ซ้าๆอยา่ งน้ีมนั จะเกดิ เหน็ ความไมเ่ ทย่ี ง มองเหน็ สง่ิ ต่างๆเหลา่ นนั้ มนั ชวั่ คราว เกดิ มาดว้ ยเหตุ

พระอธกิ ารครรชติ อกญิ ฺจโน ๒๗ ปจั จยั ชวั ่ คราวและกด็ บั ไป การทเ่ี หน็ บอ่ ยขน้ึ ชดั ขน้ึ ซง่ึ แต่ละคนจะ ใชเ้ วลาไมเ่ ทา่ กนั บางคนอาจจะเหน็ ไมก่ ค่ี รงั้ กส็ ามารถกะเทาะเปลอื ก ไขอ่ อกมาได้ เราไมส่ ามารถทาใหม้ นั กะเทาะออกมาได้ เหมอื นแม่ ไก่กแ็ ค่ให้ความอบอ่นุ เท่านัน้ ลกู ไก่ต้องกะเทาะออกมาเอง แต่ แม่ไก่ต้องสร้างเหตปุ ัจจยั ให้ลกู ไก่กะเทาะออกมา ดงั นัน้ ขบวนการวปิ สั สนาของเราเป็นเหมอื นแม่ไก่ต้อง ทะนุถนอม อยา่ งเวลาแมไ่ ก่ฟกั ไข่ ถา้ รสู้ กึ วา่ มนั รอ้ นเกนิ ไป เขา จะยกตวั ขน้ึ ใหล้ มผา่ น ไมใ่ ชว่ า่ นอนฟกั ทงั้ วนั ทงั้ คนื เขาจะพยายาม ปรบั อุณหภมู ิ ตอนแมไ่ กย่ กตวั เขาจะใชป้ ากพลกิ ไขเ่ พอ่ื ใหค้ วาม รอ้ นอยา่ งทวั่ ถงึ ดงั นนั้ การปฏบิ ตั ธิ รรมกเ็ ป็นลกั ษณะนัน้ ต้องคอย สงั เกตต้องปรบั ตอ้ งเปล่ยี นแปลง เพอ่ื ใหจ้ ติ ไดป้ ระสบการณ์ พอ ประสบการณ์มากๆเขา้ มนั จะเจาะออกมาเอง เจาะเปลอื กไขท่ ข่ี งั ไว้ ออกมาคอื ปญั ญาจะสวา่ งขน้ึ มาดว้ ยตวั มนั เอง เพราะฉะนนั้ จงึ จาเป็นอยา่ งยง่ิ ทต่ี อ้ งทาใหม้ าก เจรญิ ใหม้ าก เพอ่ื ใหไ้ ดป้ ระสบการณ์มากๆสงั่ สมมากๆ จะเป็นตวั ผลกั ดนั ใหเ้ กดิ การ เปลย่ี นแปลงดว้ ยตวั ของเขาเอง เราไมม่ สี ทิ ธไิ ์ ปเปลย่ี นแปลงเขา เขา จะเป็นของเขาเอง แตต่ อ้ งอาศยั เราเป็นผปู้ ระคบั ประคองสรา้ งประสบการณ์

๒๘ กลบั มา...รสู้ กึ ตวั ใหก้ บั เขา เออ้ื ต่อการทจ่ี ะเกดิ ประสบการณ์ใหก้ บั เขา เพราะฉะนนั้ ถา้ เราสงั เกตใหด้ ี การทเ่ี ราไดป้ ระสบการณ์ชว่ ยจนเหน็ ความไมเ่ ทย่ี ง กเ็ หมอื นครงั้ ทท่ี า่ นโกณฑญั ญะฟงั เทศน์พระพทุ ธเจา้ แลว้ พจิ ารณาตาม แลว้ เหน็ การเกดิ ดบั ในจติ ของตน แล้วก็ร้องออกมาว่า “ยงั กิญจิ สมทุ ยธมั มงั สพั พญั ตงั นิโรธะธมั มนั ติ ” ส่ิงใดสิ่งหนึ่งมีการ เกิดขึน้ เป็นธรรมดาสิ่งใดส่ิงนัน้ มีการดบั เป็ นธรรมดา นนั่ คอื พระอญั ญาโกณฑญั ญะนนั่ เอง เพราะฉะนนั้ กระบวนการแหง่ การ เจรญิ สตจิ ะตอ้ งทาใหจ้ ติ น้มี นั ต่นื ขน้ึ มา คอื ตอ้ งใชข้ บวนการเขยา่ เขยา่ ใหม้ นั ต่นื โดยการเคลื่อนไหวให้มาก แล้วให้จิตมนั “ รบั รู้ ” กบั การเคล่ือนไหวให้มาก ใหส้ ตมิ นั อยกู่ บั การเคล่อื นไหวใหม้ าก

พระอธกิ ารครรชติ อกญิ ฺจโน ๒๙ เพราะเรามกั จะหลงไปกบั การหลบั ดงั นัน้ หลวงป่ ูเทียนกับหลวงพ่อคาเขียนจึงเน้นให้ มีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอด จะไม่อยากให้นัง่ นิ่งๆ เพราะเวลา นงั่ น่ิงๆ หลายคนมกั จะไหลเขา้ ไปสคู่ วามสงบ แลว้ จติ กจ็ ะงา่ ยทจ่ี ะ ไปตดิ อยทู่ ่คี วามสุข จงึ ไม่แปลกหรอกว่า ทาไมกามฉันทะคือ นิ วรณ์ตวั แรก เพราะคนมกั จะติดสขุ งา่ ย เพราะฉะนนั้ แนวทาง การเจรญิ สตขิ องหลวงปเู่ ทยี น ทา่ นจะสอนใหเ้ ราเดนิ ทงั้ วนั ยกมอื สรา้ งจงั หวะทงั้ วนั ในขณะทเ่ี ราเดนิ ทงั้ วนั เรากต็ อ้ งคอยดดู ว้ ย คอยปรบั เพราะบางทเี ดนิ ไปเดนิ มามนั เพลนิ จงั หวะเดมิ ๆ ซ้าๆ จะทา ใหเ้ กดิ ความเพลนิ และความเคยชนิ พอเกดิ ความเคยชนิ ความรสู้ กึ ตวั ไมเ่ กดิ แต่มนั กไ็ ปได้ จงั หวะมอื กไ็ ปได้ เหมอื นเวลาเรากนิ ขา้ ว ใคร ตงั้ ใจตกั ขา้ วใสป่ าก ไมม่ ี เราทาดว้ ยความเคยชนิ แต่เราไมเ่ คย พลาดเป้า บางทหี นั มองอยา่ งอ่นื กต็ กั ใสป่ ากได้ เพราะเราทาดว้ ย ความเคยชนิ กจ็ ะทาใหส้ ตไิ ม่เขม้ แขง็ ความต่นื ตวั กไ็ ม่เกดิ ขน้ึ ดงั นัน้ ขบวนการของการปฏบิ ตั มิ นั จงึ ตอ้ งการการขยบั ปรบั เปลย่ี นจงั หวะอยตู่ ลอดเวลา คอื มคี วามเพยี รในการเฝ้าสงั เกต

๓๐ กลบั มา...รสู้ กึ ตวั เป็นหลกั จะทาชา้ ทาเรว็ ไมม่ ผี ล เอาความร้สู ึกเป็นตวั หลกั ความร้สู ึกตวั ที่มนั ร้ชู ดั กบั การกระทาของเรา ถา้ ทาไปนานๆ เกดิ ความเคยชนิ กต็ อ้ งปรบั เปลย่ี นจงั หวะ ดงั นัน้ หลกั สาคญั คือ การเหน็ อาการท่ีมนั เกิดขึน้ จริงๆ โดยที่เราไม่สนใจว่ามนั จะ เรียกว่าอะไรกต็ าม แต่เราสนใจแคว่ า่ เหน็ อาการทม่ี นั เกดิ ขน้ึ ดงั นนั้ ในขณะทเ่ี ราเดนิ จงกรม หรอื ยกมอื สรา้ งจงั หวะ แลว้ เกดิ มนั หลงปรุงแตง่ ไป เราจะไม่ใสช่ ่อื ใหม้ นั วา่ มนั เป็นอะไร รแู้ ต่วา่ มนั เป็นภาวะทผ่ี ดิ ปรกตไิ ปกก็ ลบั มา แลว้ เราจะเหน็ ภาวะเป็นปรกติ กลบั คนื มา ซง่ึ เราจะเหน็ ๒ อยา่ ง คอื ความเป็ นปรกติกบั ความ เปลี่ยนแปลง ไมต่ อ้ งสนใจวา่ เป็นกุศล อกุศล เป็นความโกรธ ความ โลภ ความชงั ไมต่ อ้ งสน เพราะถา้ เรามวั แตไ่ ปสนวา่ มนั คอื อะไรมนั จะเกดิ ความ “ยดื เยอื้ ” เพราะเราไปมเี ยอ่ื ใย ดงั นนั้ ใหเ้ รารแู้ คน่ ้ีก่อน ร้ภู าวะปรกติและหลงออกไป เพราะความหลงนนั้ แหละทท่ี าใหเ้ กดิ ความโลภ ความชงั ความรกั ต่างๆมากมาย ดงั นัน้ ถา้ เราร้เู ท่าทนั ความหลง เรากจ็ ะสามารถ กลบั มา ถ้าเราร้ไู ม่เท่าทนั เรากจ็ ะไหลไปกบั ความหลง

พระอธกิ ารครรชติ อกญิ ฺจโน ๓๑ คราวน้ีเราจะมาลองทดสอบกนั เอากระดาษกบั ปากกามา เขยี นหวั ขอ้ กลางกระดาษวา่ “เร่ืองท่ีใจหลงคิด” แลว้ ใหย้ กมอื สรา้ งจงั หวะ แลว้ เม่อื ใดก็ ตามทใ่ี จมนั หลงออกไป ใหม้ าเขยี น เชน่ ขณะยกมอื สรา้ งจงั หวะไป มนั แว๊บคดิ ถงึ บา้ นกใ็ หเ้ ขยี นวา่ คดิ ถงึ บา้ น แลว้ กลบั มายกมอื สรา้ ง จงั หวะอกี แว๊บไปอกี คดิ ถงึ หมากเ็ ขยี นวา่ คดิ ถงึ หมา ขอใหท้ ุกคน ตงั้ ใจ เชญิ เรมิ่ ได้ ยกมอื สรา้ งจงั หวะพอมนั หลงไปกเ็ ขยี น ลองมาดู กนั วา่ ไดก้ เ่ี ร่อื ง ถา้ ทกุ ครงั้ ทม่ี นั หลงไปมสี ตริ ทู้ นั จะดมี ากๆ เลย ( ผา่ นไป ๑๐ นาที ) เอาหละ คราวน้ีพระอาจารยจ์ ะใหก้ จิ กรรมท่ี ๒ ขอ้ ท่ี ๑ อาหารทช่ี อบ เขยี นอาหารทช่ี อบ ๑ อยา่ ง ขอ้ ท่ี ๒ สว่ นประกอบ วตั ถุดบิ มอี ะไรบา้ ง ขอ้ ท่ี ๓ วธิ ที า ใครไมเ่ คยทากล็ องคดิ เอง คาดการณ์เอง (ผา่ นไป๑๐ นาท)ี เสรจ็ แลว้ ลองมาดซู ิ ระหวา่ งอนั แรกเป็นการเขยี นจากหลงคดิ อนั ท่สี องเป็นการเขยี นจากตงั้ ใจคิด แลว้ เราจะสรุปว่ายงั ไง มนั แตกต่างกนั อย่างไร อยา่ งแรกคอื ความหลงคิด อยา่ งท่ี ๒ คอื

๓๒ กลบั มา...รสู้ กึ ตวั ความตงั้ ใจคิด ถา้ เราสรุปไดเ้ ราจะเขา้ ใจบทเรยี นน้ีเลย ซง่ึ มผี ลต่อ การเจรญิ ทางจติ มผี ลต่อการบาเพญ็ ทางจติ สงั เกตว่าอนั ดบั แรก มนั หลงคิดไม่เป็นเร่ืองเป็นราวสะเปะสะปะ ส่วนตงั้ ใจคิดมนั มีการเรียงลาดบั เป็นเร่ืองราวมีขนั้ ตอน ดงั นนั้ ในชีวิตของคนเรามนั จะเก่ียวข้องกบั ความคิด อยู่ ๒ อย่าง คือ หลงคิดกบั ตงั้ ใจคิด แลว้ ลองคดิ ดวู า่ วนั หน่ึงเรา อยกู่ บั การตงั้ ใจคดิ หรอื หลงคดิ มากกวา่ กนั ลองดซู วิ า่ ความตงั้ ใจ คดิ มนั จะเกดิ ขน้ึ ไดต้ อ้ งทาอยา่ งไรคอื ตอ้ งมเี ป้าหมาย มกี ระบวนการ ตอ้ งทา มปี ญั หาตอ้ งแก้ ซง่ึ ในแต่ละวนั มนั มสี ง่ิ ทเ่ี ราตอ้ งทาอยา่ งนนั้ เยอะไหม มนั กไ็ มเ่ ยอะเทา่ หลงคดิ แลว้ ดซู วิ า่ ตงั้ ใจคิดจบเป็นไหม มนั จบเป็น แต่หลงคิดมนั จบไม่เป็ น มนั โดดไปเร่อื ยๆ จากเรอ่ื ง โน้นไปเร่อื งน้ี แต่ในความตงั้ ใจคดิ มนั เรยี งของมนั มนั จบ ใน ความตงั้ ใจคิด มนั มีความร้สู ึกตวั เพราะมนั มีสติในการคิด ดงั นนั้ มนั เป็นความคดิ ทเ่ี ราควบคุมได้ ดงั นัน้ ในเร่อื งความทุกขจ์ งึ ไม่มใี ครตงั้ ใจให้ตวั เองทุกข์ เพราะฉะนัน้ ในการตงั้ ใจคดิ มนั จงึ ไม่มปี ญั หา เพราะการคดิ แบบ ตงั้ ใจคดิ มนั มสี ติ มคี วามรูส้ กึ ตวั ในการคดิ เพ่อื แก้คาว่ามนั

พระอธกิ ารครรชติ อกญิ ฺจโน ๓๓ มคี วามรูส้ ึกตวั เฉพาะการเคล่อื นไหวเทา่ นนั้ หรอื ผดิ หละ่ แมใ้ น ความคดิ ถา้ เรามคี วามตงั้ ใจมสี ตมิ นั กม็ คี วามรสู้ กึ ตวั เพราะฉะนนั้ สง่ิ ทเ่ี ราตอ้ งเขา้ ไปจดั การเรยี นรใู้ หเ้ ขา้ ใจคอื ตวั หลงคิด นนั่ คอื สง่ิ ท่ี เราตอ้ งไปเรยี นรใู้ หเ้ ขา้ ใจ เพราะถา้ เราไมเ่ ขา้ ใจมนั กส็ รา้ งปญั หาให้ เราได้ ดงั นนั้ เราตอ้ งเจรญิ สตแิ ละเฝ้าเรยี นรกู้ บั การหลงคดิ เพอ่ื ให้ เหน็ ความจรงิ แลว้ จะเรยี นรไู้ ดเ้ องวา่ ในการหลงคดิ บางความคดิ ก็ ไม่ไดส้ รา้ งปญั หา มเี พยี งบางเร่อื งบางครงั้ และบางคราวท่มี ี ปญั หาเพราะ ความคิดมนั เป็ นขนั ธ์ มนั มีของมนั อย่แู ล้ว แต่ เป็ นอปุ าทานขนั ธ์ต่างหากท่ีเป็ นทุกข์

๓๔ กลบั มา...รสู้ กึ ตวั ๓. เหน็ อยา่ เป็น เราเป็นนกั ปฏบิ ตั เิ หน็ มนั ปวด เหน็ มนั เมอ่ื ย เราเหน็ มนั เป็น อยา่ เอาเราไปเป็น ถา้ เอาเราไปเป็นเมอ่ื ไร เรากเ็ ป็นไปกบั มนั เม่อื นนั้ มคี นหน่ึงเขยี นวา่ “ เมอ่ื หลงคดิ กเ็ อาปัจจยั ๕ ตวั ทพ่ี ระอาจารย์ สอนมารกู้ ช็ ว่ ยใหห้ ายไปได้ ” พระอาจารยก์ ง็ งมาก วา่ สอนตอนไหน เราวา่ เราสอนปจั จยั ๔ เอามาดวู า่ อา่ นผดิ จงั หวะหรอื เปลา่ ตอ้ งอา่ น วา่ เม่อื หลงคดิ กเ็ อาปัจจยั ๕ ตวั ทพ่ี ระอาจารยส์ อน เอออยา่ งน้ี คอ่ ยเขา้ ใจถูกหน่อย ซง่ึ มอี ะไรบา้ งนะ

พระอธกิ ารครรชติ อกญิ ฺจโน ๓๕ ๑. สติมนั อ่อน สติยงั ไม่มีกาลงั ๒. มีความร้สู ึกมนั เป็นอตั ตา ว่าเป็ นเร่ืองของเรา ๓. มีความเพลิน ๔. มีความอยาก มีความเสียดาย ๕. เข้าไปเป็นกบั มนั ซ่ึงเราเข้าไปเหน็ เอง เหตุปจั จยั เยนิ่ เยอ้ ทท่ี าใหเ้ ราเป็นไปกบั มนั ทเ่ี ราไมส่ ามารถ สลดั ทง้ิ ไดอ้ นั ดบั แรก คอื ๑. สติ ยังไม่มีกาลังทาให้เกิดความยืดเย้ือ จะใช้ สัญลักษณ์ เปรยี บเทียบกบั สติ คอื แมวท่ีมนั ยงั ตวั เล็กตาม ภาษาหลวงปู่เทียน มนั ยงั ไม่สามารถสู้กบั หนูท่อกรุงเทพฯ ตวั ใหญ่ คอื ความหลงคิด ท่เี ข้าไปมนั ทาให้มคี วามยดื เย้อื เกิดการ ปรุงแต่งทางจิตและไม่สามารถสลดั ได้ ๒. คือเรื่องท่ีมนั เผลอคิดขึ้นมา ความร้สู ึกนึกคิดท่ี เกิดขึน้ มามนั มีตวั เรา เรามีได้มีเสีย มนั เป็นเร่ืองของเรา ตวั เรา ของเรา พอมนั มคี วามรสู้ กึ แบบน้ีขน้ึ มามนั กอ็ อกไดย้ าก แต่ถ้าจติ ปรุงแต่งเร่อื งสพั เพเหระ มนั จะสละท้งิ ไดง้ ่ายมากเลยมนั จะสลดั

๓๖ กลบั มา...รสู้ กึ ตวั ท้งิ ไดเ้ องดว้ ยตวั ของมนั โดยพน้ื ฐานสติมนั จะเขย่ี ท้งิ อย่แู ลว้ ซ่งึ แตกต่างจากการปรุงแต่งท่มี ตี วั เราของเรา มนั เกิดอตั ตาตวั ตน มนั จะสลดั ท้งิ ไดย้ าก มนั จะเกดิ ความยดื เยอ้ื ต่อไป ๓. เมื่อมนั มี “นันทิ” คือ มีความเพลิน ติดในรสชาติ ของการปรุงแต่งนัน้ การท่จี ะออกได้ง่ายๆ ก็เป็นไปได้ยาก แม้ทุกข์มนั มีรสชาติแบบทุกข์ ความหลงเพลิดเพลินในรสชาติ มันหลงข้ามภพข้ามชาติได้อย่างท่ีบอกว่า เพราะมนั ติดใน รสมนั จึงเกิดชาติ บรรพบุรุษของเราจึงกาหนดคาว่า รสชาติ ข้นึ มา จะเหน็ ว่าบรรพบุรุษของเราท่านใช้ปรมตั ถธรรม ทา่ นใช้ ธรรมชนั้ สงู ในการบญั ญตั ศิ พั ทอ์ ยา่ ง “คณุ ค่ากบั มลู ค่า” ต่างกนั ลบิ ลบั คุณคา่ คอื ค่าทบ่ี ง่ บอกถงึ ความมคี ุณ แต่มูลคา่ มนั ผดิ ตงั้ แต่มนั ขน้ึ ตน้ วา่ มลู แลว้ มลู เป็นของต่า ซง่ึ มลู คา่ เราตคี วามหมายเป็นเรอ่ื ง ของราคา ราคากม็ าจากคาวา่ ราคะ อยา่ งของทม่ี รี าคามากกค็ อื ของท่ี มนั ยวั่ ราคะเราไดม้ าก มนั สามารถดงึ ราคะเราไดม้ ากนนั่ เอง ดงั นนั้ คาวา่ รสชาติ เพราะมรี สจึงเกิดชาตะ คือ ต้องเวียนว่ายตาย เกิด เพราะติดในรส เป็นชาตแิ ลว้ ชาตเิ ลา่ เพราะตดิ ในรส

พระอธกิ ารครรชติ อกญิ ฺจโน ๓๗ มเี ร่อื งหน่ึงในชาดก พระพทุ ธองคท์ รงตรสั เรอ่ื งน้ี มกี วางตวั หน่ึงสวยมาก พระราชามาเหน็ อยากได้ คนสวนบอกจะจบั มาให้ เลยเอา หญา้ ไปจมุ่ น้าผง้ึ กห็ ลอกลอ่ มาเร่อื ยๆ จนมนั ตดิ ในรสชาติ เลยตามมา จนจบั ได้ ทา่ นทรงตงั้ ใจจะบอกวา่ เพราะการติดในรสชาติทาให้นา ภยั มาให้ตนเอง และภยั ท่ีใหญ่หลวงท่ีสดุ คือ ภยั ในวฏั ฏสงสาร พระอาจารยข์ อยกตวั อยา่ งวา่ หลวงปมู่ นั ่ บาเพญ็ เพยี รอยู่ ทถ่ี ้าสาลกิ า แลว้ ท่านสงั เกตว่าเวลาเขา้ สมาธทิ ไี รจะมนี ิมติ เป็น ลูกหมามาเกาะแขง้ เกาะขา สงสยั วา่ มนั คอื อะไร เมอ่ื ทา่ นพจิ ารณา ดแู ลว้ จงึ รวู้ า่ อดตี ชาตขิ องทา่ น ทา่ นเคยเกดิ เป็นลกู หมาถงึ ๗ ชาติ

๓๘ กลบั มา...รสู้ กึ ตวั เพราะตดิ ใจในรสชาติของความเป็นหมา ก็เลยต้องเวยี นว่าย ในความเป็นหมา ซ่งึ ความติดใจในรสชาตนิ ัน้ ทาใหเ้ ราถอน ออกมาไดย้ าก ไม่สามารถสลดั ความรูส้ กึ นึกคดิ นัน้ ออกมาง่ายๆ มนั เกดิ ความอยาก เสยี ดาย มนั จงึ ทาใหไ้ หลออกไปกบั สงิ่ นนั้ เราจงึ กลายเป็ นผเู้ ป็ นกบั ความร้สู ึกนึกคิดอารมณ์ต่างๆเหล่านัน้ ตก เขา้ หลมุ พรางในเวทนา จติ และธรรม ความรสู้ กึ คอื เวทนา ความคดิ คอื จติ ตา และธรรมารมณ์ตา่ งๆหรอื อารมณ์ตา่ งๆ คอื ธรรมานุปสั สนา หลมุ พรางเหลา่ น้ีมนั เป็นหลมุ พรางทจ่ี ติ เรามกั จะเผลอ และกต็ กเขา้ ไป อยเู่ รอ่ื ยๆ พอเราตกเขา้ ไปป๊บุ เรากก็ ลายเป็นผเู้ ป็น เป็นผอู้ ยใู่ นเวทนา นนั้ เป็นผอู้ ยใู่ นจติ ตานนั้ เป็นผอู้ ยใู่ นความคดิ เหลา่ นนั้ เป็นผอู้ ยใู่ น ธรรมารมณ์เหลา่ นนั้ กลายไปเป็นผเู้ ป็น ดงั นนั้ พระพทุ ธเจา้ สอนเราวา่ ใหเ้ ราเป็นผเู้ หน็ เหน็ เวทนา ในเวทนา เหน็ จิตในจิต เหน็ ธรรมในธรรม ทา่ นไมไ่ ดบ้ อกให้ เราไปเป็น ทา่ นบอกใหเ้ ราเหน็ ดงั นนั้ เราจะเป็นผเู้ หน็ คือ ภาวะเราหลดุ ออกมา แล้ว เป็นผดู้ ู ผเู้ หน็ มนั แลว้ อะไรทจ่ี ะเป็นตวั นาพาใหเ้ ราหลดุ ออกมา คอื สติ สติสมั ปชญั ญะจะเป็นตวั นาพาใหเ้ ราหลุดออกมา

พระอธกิ ารครรชติ อกญิ ฺจโน ๓๙ แลว้ มองยอ้ นกลบั ไปเหน็ มนั เพราะขณะทเ่ี รามะรุมมะตุ้มอยู่ในมนั เราจะไม่เหน็ มนั เพราะเวลาเกิดอะไรขึ้นมาแล้วเราเข้าไปเป็น กบั มนั เราจะไมเ่ หน็ เพราะเราอยใู่ นกระแสของมนั เหมอื นลกู ศษิ ย์ พระอาจารยท์ ช่ี อ่ื แอนดด์ รู เขาบอกเพงิ่ รจู้ กั วดั แมว้ า่ อยวู่ ดั มาตงั้ นาน จนเขาเขา้ ไปในเมอื งเจอความวุน่ วายในเมอื ง จงึ รวู้ า่ วดั น้ีมนั สงบ อยา่ งน้ีน่ีเอง กเ็ หมอื นกบั ตอนทเ่ี ขามาอยเู่ มอื งไทย เขาจงึ เพงิ่ รวู้ า่ เยอรมนีเป็นอยา่ งไรแลว้ เมอ่ื เขาออกจากเมอื งไทยเขาถงึ จะเหน็ เมอื งไทย คอื ขบวนการทเ่ี ราไปอยทู่ า่ มกลางมนั เราไปเป็นกบั มนั เมอ่ื ไร เราไมม่ ี ทางรจู้ กั มนั เราตอ้ งออกไปกอ่ น ดงั นนั้ ขบวนการแห่งการเจริญ สตินี่เอง ทาให้เราออกไปก่อน เราถึงจะมองยอ้ นกลบั เข้ามาได้ ครงั้ หน่ึงพระอาจารยไ์ ปเทย่ี วกบั หลวงพอ่ ไปเพชรบรุ ขี น้ึ ไป บนยอดเขา โยมบอกวา่ จะพาไปดทู ะเลหมอก ทงั้ พระอาจารยก์ บั หลวงพอ่ กไ็ ปยนื ตรงหน้าผากนั โยมคนทพ่ี าไปกบ็ อกวา่ หลวงพอ่ ครบั ถา้ เรามาชา้ กวา่ น้ีหมอกมนั จะขน้ึ มาถงึ เราเลยนะครบั เน่ีย เรา จะอยทู่ า่ มกลางมนั เลย หลวงพอ่ กเ็ ลยบอกวา่ ดแี ลว้ หละ่ ถา้ เราอยู่ ทา่ มกลางมนั เรากไ็ มเ่ หน็ มนั เราจะเหน็ ทะเลหมอกไดย้ งั ไง ถา้ เรา อยทู่ า่ มกลางมนั เพราะฉะนนั้ เมอ่ื เราอยขู่ า้ งนอกมนั เรากจ็ ะเหน็ วา่

๔๐ กลบั มา...รสู้ กึ ตวั มนั มลี กั ษณะรปู รา่ งอยา่ งไร นนั่ คอื ลกั ษณะทจ่ี ะใหเ้ รารวู้ า่ เมอ่ื เกดิ อะไร ขน้ึ เกิดความร้สู ึกนึกคิดอะไรกต็ าม ส่ิงท่ีเราต้องทากค็ ือ เจริญ สติ เม่อื เราเจรญิ สติ รูส้ กึ ตวั มสี ตสิ มั ปชญั ญะ เราจะหลุดออกไป พอเราหลุดออกไป เรากจ็ ะมองยอ้ นกลบั มาเหน็ เมอ่ื เรายอ้ นกลบั มา เหน็ เรากจ็ ะเหน็ ธรรมชาตขิ องเวทนาวา่ เป็นอยา่ งไร คอื เหน็ เวทนาในเวทนาเหน็ ความเป็นจรงิ ในเวทนานนั่ เอง เหน็ จติ ในจติ คอื เหน็ ธรรมชาตขิ องการปรุงแตง่ ทางจติ คอื ความคดิ ทม่ี นั ปรงุ แต่งกนั ขน้ึ มาตามความเป็นจรงิ พระพทุ ธเจา้ ทา่ นสอนใหเ้ ราเหน็ ตามความ เป็นจรงิ ดงั นนั้ ขบวนการทเ่ี ราจะเหน็ ตามความเป็นจรงิ ได้ คอื เรา ตอ้ งไมเ่ ขา้ ไปเป็นกบั มนั หลวงพอ่ คาเขยี น จงึ พดู วลที ่ี ๒ วา่ “ผดู้ ู ผู้ เป็น” คอื เม่อื เราเป็นผดู้ ู เราจะไมเ่ ป็นผเู้ ป็น แต่ถา้ เราเป็นผเู้ ป็นเรา กไ็ มม่ วี นั เป็นผดู้ ไู ด้ เพราะฉะนนั้ ขบวนการเจรญิ สตอิ ยา่ งต่อเน่ือง แลว้ ทาใหค้ วามรสู้ กึ ตวั ชดั ขน้ึ เรอ่ื ยๆ และทาใหค้ วามร้สู ึกตวั นัน้ เป็นวิหารธรรมขน้ึ มา คอื เมอ่ื เราเจรญิ สตดิ แี ลว้ คอื การทเ่ี รามี ความรูส้ กึ ตวั ดี รูต้ วั ทวั่ พรอ้ ม มนั จะกลายเป็น “วิหารธรรม” ธรรมอนั เป็นเคร่อื งอาศยั แลว้ มนั จะอยตู่ รงกลางระหวา่ งทม่ี นั จะ

พระอธกิ ารครรชติ อกญิ ฺจโน ๔๑ มองเหน็ ทงั้ ขา้ งในและขา้ งนอก ไม่ตกเข้าไปข้างใน ไม่ฟ้ งุ ออกไปข้าง นอก ซง่ึ อยตู่ รงกลาง และตรงน้ีแหละคอื เคลด็ ทท่ี าใหเ้ จา้ ชายสทิ ธตั ถะ คน้ พบในค่าคนื วนั เพญ็ เดอื น ๖ และทา่ นใชต้ วั น้ีแหละเฝ้าดสู งิ่ ท่ี เกดิ ขน้ึ ตลอดค่าคนื นนั้ สมยั ก่อนเจา้ ชายสทิ ธตั ถะฝึกเป็นผเู้ ป็นหมด เลย ไดส้ มาบตั ิ ๘ คอื รปู ฌาน ๔ อรปู ฌาน ๔ ไดส้ ง่ิ นนั้ แลว้ เกดิ อะไร ขน้ึ คอื เกดิ ภาวะของผเู้ ป็น คอื เขา้ ไปเสวยความรสู้ กึ ของฌาน อารมณ์ของฌาน ฌานคอื ความเป็นผู้เป็น วิปสั สนาญาณทาให้ไม่ เป็น ญาณ คอื ผูด้ ูผูเ้ ห็น ฌานคอื ผูเ้ ป็น ถา้ ยงั ตดิ ในอารมณ์ของ ฌาน แปลวา่ ยงั เป็นผเู้ ป็น แต่ถา้ เป็นญาณ แปลวา่ มนั หลุดออก มาแลว้ มนั พน้ ออกมาแลว้ ถงึ จะมองเขา้ ไปเหน็ เพราะฉะนนั้ ในขณะท่ที า่ นไดส้ มาบตั ิ ๘ ทา่ นกย็ งั เป็ นผเู้ ป็ นอยู่ ยงั เขา้ ไปเป็น ภายในดาดง่ิ ลงไป พอมาเปลย่ี นมาทรมานกายยงิ่ ไปกนั ใหญ่ จนกระทงั่ ทา่ นเปลย่ี นมาเป็นขบวนการเจรญิ สติ ในวนั เพญ็ เดอื น ๖ ทา่ นประคองจติ เฉยๆ ไมใ่ หต้ กเขา้ ไปขา้ งในไม่ใหฟ้ ุ้งออกไปขา้ งนอก แต่ใชล้ มหายใจเขา้ หายใจออกเป็นฐานทต่ี งั้ ถา้ เราดอู านาปานสติ สตู ร จะเหน็ วา่ รอู้ ยแู่ ละแลเหน็ รลู้ มหายใจเขา้ รลู้ มหายใจออก รลู้ มหายใจเขา้ ยาว รลู้ มหายใจออกยาว รลู้ มหายใจเขา้ สนั้ รลู้ มหาย

๔๒ กลบั มา...รสู้ กึ ตวั ใจออกสนั้ รกู้ ารปรุงแต่งของลมกบั กายวา่ เป็นอยา่ งไร รจู้ ติ วา่ เป็น อยา่ งนนั้ อยา่ งน้ี เพราะฉะนนั้ ภาวะความเป็นผรู้ ไู้ ดเ้ กดิ กบั ทา่ น นนั่ คอื สติ ทต่ี งั้ มนั่ และประคองจติ เอาไว้ ไมใ่ หต้ กเข้าไปภายใน และไม่ใหฟ้ ุ้งออกไปขา้ งนอก แต่รบั รูท้ ุกสิง่ ทุกอยา่ งทเ่ี กดิ ขน้ึ มองเหน็ ความสมั พนั ธก์ นั ระหวา่ งกายกบั จติ อยา่ งต่อเน่ือง ทา่ น มองเหน็ วา่ เม่อื กายระงบั จติ กร็ ะงบั เม่อื ลมละเอยี ดกายกล็ ะเอยี ด ไม่ได้เป็นกบั มนั ท่านมองเหน็ มนั เป็น ขบวนการน้ีเองทาใหท้ า่ น เขา้ ใจตามความเป็นจรงิ นนั่ แหละ เพราะฉะนนั้ การทเ่ี ราปฏบิ ตั แิ ลว้ เขา้ ไปด่มื ด่ากบั ความสขุ สงบ กไ็ มผ่ ดิ เป็นไปเพอ่ื ใหจ้ ติ มกี าลงั บา้ ง นนั่ คอื การพกั แต่ทถ่ี ูกกวา่ แม้แต่ความสงบและความสขุ เหล่านัน้ เรากเ็ ป็นเพียงแค่เหน็ เหน็ วา่ มนั มี เหน็ วา่ มนั เป็น มนั จะมอี าการสงบลงไปเรากร็ วู้ า่ มนั เป็นอยา่ งนนั้ กระบวนการแห่ง การเจริญสติ เราจะเฝ้ าดจู ิตของเราแปรเปลี่ยนเป็ นอาการต่างๆ แมแ้ ต่ความสงบทเ่ี กดิ ขน้ึ กเ็ ป็นอาการหน่ึงของจติ ฟุ้งซ่านกเ็ ป็น อาการหน่ึงของจติ มนั เป็นอยา่ งไรกต็ าม มนั กเ็ ป็นอาการทเ่ี ปลย่ี นไป ของจติ ถา้ เรามผี รู้ ู้ ตวั ความรสู้ กึ ตวั ชดั เจน เรากลายเป็นผดู้ ู มนั จะมองเหน็ ขบวนการการเปลย่ี นแปลงไปของจติ แต่ภาวะผดู้ มู นั จะ

พระอธกิ ารครรชติ อกญิ ฺจโน ๔๓ ทาให้มองเหน็ ว่า แม้ว่ามนั จะเปล่ียนเป็นอาการใดกต็ าม สดุ ท้ายอาการท่ีเปล่ียนไปเหล่านัน้ มนั กห็ าย มนั กด็ บั จะเหน็ อยอู่ ยา่ งนนั้ ซง่ึ เหน็ ตามธรรมชาตขิ องมนั เหน็ ตามความจรงิ เห็น ไม่ผดิ จากพระไตรลกั ษณ์ ถ้าเห็นผดิ จากพระไตรลกั ษณ์เรา เรียกว่า “วิปลาส” มคี าพดู ของหลวงปสู่ ายวดั ปา่ กลา่ ววา่ “เหน็ กาน้า ๑ ใบ ร้จู กั กาน้า ๑ ใบ มีร้อยมีพนั กา มนั กเ็ ป็นอย่างเดียวกนั ” เมอ่ื จติ มองเหน็ ความไมแ่ ตกตา่ ง มนั จะเกดิ การวางเฉยต่อการหลง เขา้ ไปยดึ คลายจากการหลงเขา้ ไปยดึ มนั กเ็ ป็นอยา่ งน้ีเอง มนั จะไม่ หลงไปเอาสง่ิ นนั้ มคี ่าความหมายอกี ไม่ใหค้ วามหมายมนั อกี ต่อไป มนั ก็เท่านัน้ แต่สงิ่ นัน้ มนั ก็ยงั มอี ยู่ แต่ความรสู้ กึ ในการใหค้ า่ ให้ ความหมาย มนั ไมม่ ี นนั่ กค็ อื สงิ่ ทพ่ี ระพทุ ธเจา้ สอน และวางแนว ทางการปฏบิ ตั ใิ หเ้ ราไปพบสง่ิ น้ี ไปเขา้ ใจอยา่ งน้ี เพอ่ื ใหเ้ ราใชช้ วี ติ ไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งจรงิ ๆ เราจะเกย่ี วขอ้ งทุกอยา่ งไดอ้ ยา่ งเป็นปรกติ มากๆ ตามเหตุปจั จยั ของมนั ตามสมมตบิ ญั ญตั ขิ องมนั กไ็ มแ่ ปลก เพราะพระพทุ ธองคท์ รงตรสั วา่ พระองคไ์ ม่ได้ปฏิเสธโลก ไม่ได้มอง โลกในแงร่ ้าย แต่มองเหน็ โลกตามความเป็ นจริง จงึ เหน็ วา่ แม้

๔๔ กลบั มา...รสู้ กึ ตวั โลกจะเปลย่ี นไป แตค่ าสอนของพระพทุ ธศาสนากย็ งั ใชก้ บั โลกได้ ตลอดไปเพราะมนั เป็นจรงิ ไมม่ อี ะไรหนีพน้ กฎพระไตรลกั ษณ์ได้ ดงั นนั้ ชาวพทุ ธจึงเป็นผปู้ รบั ตวั เข้ากบั โลกเพราะร้เู ท่าทนั ว่า นัน่ มนั ต้องเป็นไปตามเหตตุ ามปัจจยั ดงั นัน้ เราต้องสร้างความรูส้ กึ ตวั ให้มนั เด่นข้นึ มา ขอเน้น อีกทีว่าความร้สู ึกตวั เกิดขึ้นได้ในทุกๆอิริยาบถ เพียงแค่เรา ใส่เจตนาท่ีจะทามนั และร้กู บั สิ่งท่ีทาในปัจจุบนั ขณะนัน้ ใน บทภทั เทกะรตั ตะคาถา “แม้ผ้ใู ดเห็นธรรมเกิดขึ้นเฉพาะหน้า ในที่นัน้ ๆอย่างแจ่มแจ้ง ไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน เขาควร พอกพนู อาการนัน้ ไว้ ” แลว้ เราควรทาใหม้ นั เจรญิ ใหม้ ากขน้ึ ดว้ ย วธิ ยี กมอื สรา้ งจงั หวะกร็ สู้ กึ เดนิ จงกรมรสู้ กึ หายใจเขา้ หายใจออกรสู้ กึ ทอ้ งยบุ เขา้ พองออกรสู้ กึ กะพรบิ ตา กลนื น้าลายรสู้ กึ กบั มนั ได้ อยา่ เป็น แคร่ กู้ บั สงิ่ นนั้ อะไรกเ็ ป็นฐานทต่ี งั้ ในการเจรญิ สตไิ ดห้ มดเลย แมล้ มพดั มากระทบโดนผวิ เรา เราก็รู้ บางครงั้ ไม่ต้องแทนดว้ ย ภาษาก็ได้ มเี ร่อื งเลา่ ทา่ นเจา้ คุณกบั หลวงตาวดั ปา่ เทศน์ ๒ ธรรมาสน์ วนั น้ีเราจะมาสาธยายให้ญาตโิ ยมได้ฟงั พอสดบั สติปญั ญาว่าดว้ ย

พระอธกิ ารครรชติ อกญิ ฺจโน ๔๕ อาทติ ตปรยิ ายสตู ร ความโลภมนั รอ้ นเป็นไฟ ความโกรธมนั รอ้ น เป็นไฟ ความหลงมนั รอ้ นเป็นไฟ ทา่ นเจา้ คณุ ป.ธ. ๙ อธบิ ายกอ่ น ความโลภมนั รอ้ นเป็นไฟ ทา่ นกอ็ ธบิ าย ดว้ ยภาษาสดุ ยอด ดว้ ย ความรทู้ เ่ี รยี นมา ชาวบา้ นกส็ รรเสรญิ วา่ ทา่ นอธบิ ายชดั เจนแจม่ แจง้ เสรจ็ แลว้ ทา่ นเจา้ คณุ กห็ นั มาทางหลวงตา เอา้ หลวงตาชว่ ย อธบิ ายใหโ้ ยมเขา้ ใจหน่อยซิ ความโกรธมนั รอ้ นเป็นไฟมนั เป็น อยา่ งไร ทา่ นหลวงตากน็ งั่ เฉย ทา่ นเจา้ คณุ กว็ า่ หลวงตาไดย้ นิ ไหม หลวงตากน็ งั่ เฉย ไดย้ นิ ไหมเน่ีย เสยี งเรมิ่ หว้ น หลวงตายงั เฉย หลวงตาไดย้ นิ ไหม หลวงตากห็ นั ไปมองหน้าแลว้ เฉย ทา่ นเจ้าคุณก็ เรม่ิ หงดุ หงดิ ซกั พกั หลวงตากห็ ยบิ ไมคม์ า แลว้ พดู สนั้ ๆ ๒ พยางค์ “สน้ ตนี ” ลองคดิ ดวู า่ จะเกดิ อะไรขน้ึ ทา่ นเจา้ คณุ เดอื ดปดุ ๆ หลวงตา เป็นใครบงั อาจมาวา่ เรา ปากสนั่ หลวงตาหนั ไปมองแลว้ กพ็ ดู วา่ “ นี่ไงความโกรธมนั รอ้ นเป็นไฟ ไม่ต้องอธิบายหรอกมนั มี อย่แู ล้วแต่วา่ เราจะไปเหน็ มนั หรือเปลา่ หรือเราจะไปเป็นกบั มนั ” พดู แคน่ ้ีจบคอื ถา้ เหน็ กแ็ ปลวา่ เราทนั ถา้ เป็นคอื เราไมท่ นั ดงั นนั้ เรากม็ าเจรญิ สตเิ พอ่ื เหน็ จะไดไ้ มเ่ ป็น เรม่ิ เลย

๔๖ กลบั มา...รสู้ กึ ตวั ๔. เจริญสติดียอ่ มมีท่ีอาศยั ชดั เจน ถา้ เป็นผเู้ จรญิ สตทิ ด่ี จี ะนอนหลบั งา่ ยมาก สามารถตดั สวติ ช์ เรว็ เพราะจะไม่ฟุ้งไมม่ เี รอ่ื งตอ้ งคดิ อะไร เร่อื งลกั คดิ ทม่ี นั โผล่ขน้ึ มา เรากจ็ ะทง้ิ ไดเ้ รว็ แลว้ หลบั ไปเลย ถา้ เราสามารถเจรญิ สตไิ ปเร่อื ยๆ จนกระทงั่ เหน็ มนั หลบั ยงิ่ ดใี หญ่ เพราะถา้ เราสามารถมองเหน็ ในขณะจะหลบั มนั จะทาใหเ้ ราเขา้ ใจอะไรบางอยา่ งซ่งึ ชว่ งน้ีเป็น ชว่ งเวลาทว่ี เิ ศษมากๆ ทเ่ี ราเหน็ ในกระบวนการทจ่ี ะหลบั ลงไป ซง่ึ วเิ ศษอยา่ งไรเราจะเขา้ ใจบางอยา่ งทเ่ี กย่ี วขอ้ ง ทเ่ี ขาบอกวา่ เวลา ใกลต้ ายมนั จะเกดิ อะไรขน้ึ การเหน็ ภาวะจะหลบั ของเราจะสามารถ

พระอธกิ ารครรชติ อกญิ ฺจโน ๔๗ เขา้ ใจสภาวะนนั้ ได้ แลว้ จะรเู้ องวา่ ทาไมพระพทุ ธเจา้ จงึ บอกวา่ สพั พะปาปัสสะอะกะระณัง พึงละเว้นจากการทาบาปทงั้ ปวง กสุ ะลสั สปู ะสมั ปะทา พึงทากศุ ลให้ถึงพร้อม สะจิตตะปะริโย ทะปะนัง ชาระจิตของตนให้ผอ่ งแผว้ จะเขา้ ใจวา่ ถา้ เราไมม่ สี ตทิ ่ี เพยี งพอ สง่ิ ทเ่ี ราทามาทงั้ หมดมนั จะยอ้ นมาใหเ้ ราเหน็ จะเรยี งหน้า มาในรปู แบบของความคดิ ทงั้ กรรมดแี ละกรรมไมด่ ี เพราะฉะนนั้ ถา้ เราสามารถทจ่ี ะรทู้ นั และวางจติ เป็นกลางต่อสงิ่ ทม่ี นั เรยี งหน้าเขา้ มาเหลา่ นนั้ ได้ สุดทา้ ยเราอาจจะวางไดจ้ นถงึ ทส่ี ุด ถา้ เราตงั้ ใจปฏบิ ตั ดิ ๆี แลว้ มสี ตคิ อยเฝ้าดู ขณะทม่ี นั จะ หลบั แลว้ เฝ้าเหน็ เรยี นรเู้ หมอื นอยา่ งทพ่ี ระอาจารย์ บอกพระทว่ี ดั วา่ “ซ้อมตาย” กไ็ มแ่ น่นะ เราอาจจะเป็นผปู้ ล่อยวางไดถ้ งึ ท่สี ุด ในขณะท่ลี มหายใจเฮอื กสุดทา้ ยของเราจบลงก็ได้ อย่าลืมว่าผู้ท่ี สามารถบรรลุในวาระสดุ ทา้ ยนนั้ มเี ยอะในสมยั พทุ ธกาล พระอรหนั ต์ หลายรปู ทส่ี าเรจ็ ขณะทก่ี าลงั จะหมดลมหายใจ เพราะฉะนนั้ มนั เป็นหนทางหน่ึงจงึ อยากใหม้ าตงั้ ใจเจรญิ สตใิ หด้ ๆี อยากใหห้ งาย มอื คว่ามอื เบาๆ ประคองไปจนกวา่ เราจะหลบั มนั จะทาใหเ้ ราหลบั ไดง้ า่ ยขน้ึ เพราะจติ ไมม่ กี งั วล จติ ไมไ่ ปฟุ้งซา่ น เอาเร่อื งโน้นเรอ่ื งน้ี

๔๘ กลบั มา...รสู้ กึ ตวั มาคดิ มนั จะรบั รใู้ นอารมณ์กรรมฐานของตวั เองอยา่ งต่อเน่ือง พระอาจารยอ์ ยากทบทวนเรอ่ื งทเ่ี ราทาเมอ่ื วานคอื ความ แตกตา่ งระหวา่ งหลงคดิ กบั ตงั้ ใจคดิ ถา้ เรามานงั่ มองมนั จรงิ ๆ แลว้ พยายามคน้ หาคาตอบกบั มนั พระอาจารยบ์ อกเลยวา่ มนั จะเฉลยบาง สง่ิ บางอยา่ งใหเ้ ราเหน็ ไดช้ ดั มาก โดยเฉพาะสง่ิ แรกเลย เม่อื หนั กลบั ไปมองมนั อกี ครงั้ หน่ึงจะเหน็ ความไรส้ าระของความหลงคดิ จะรู้ จะเหน็ เลยวา่ มนั คดิ ไปไดอ้ ยา่ งไร ดซู นิ งั่ อยทู่ น่ี ่ีดๆี มนั กค็ ดิ เร่อื งอะไร กไ็ มร่ เู้ ดยี๋ วกไ็ ปโน้นเดยี๋ วกเ็ ป็นนนั่ เป็นน่ี ถา้ เรามองเหน็ อยา่ งน้ี มองยอ้ นกลบั ไปภาวะของการได้มองยอ้ นกลบั ไปเหน็ คอื ภาวะน้ี สาคญั มากๆ มเี ดก็ ฝรงั่ คนหน่ึงมาบวชอยกู่ บั พระอาจารยช์ ่อื แอนดด์ รู คนฝรงั่ น่ีดอี ยา่ งหน่ึง คอื เขาจรงิ จงั เวลาเขาอยากเรยี นรูอ้ ะไร เขาจะ จรงิ จงั กบั มนั ใสใ่ จ เขาอยกู่ บั พระอาจารยน์ านพอสมควร วนั หน่ึงบอกแอนดด์ รู พระอาจารยจ์ ะไปอบรมผปู้ ว่ ย HIV จะ ไปไหม ไปครบั อยากไปฟงั ดว้ ย พระอาจารยก์ พ็ าเขาไป วนั นนั้ เป็น วนั ทอ่ี ากาศรอ้ นมากๆ จวี รเขาหนากว่าของพระอาจารย์ เขากย็ งิ่ รอ้ น มากแตก่ ท็ าอะไรไมไ่ ด้ พระอาจารยก์ เ็ หน็ แลว้ วา่ เขาอดึ อดั จาก โรงพยาบาล พระอาจารยก์ ็พาไปโรงเรยี นท่พี ระอาจารยส์ อน

พระอธกิ ารครรชติ อกญิ ฺจโน ๔๙ นกั เรยี นเหน็ ฝรงั่ บวช กส็ นใจ กเ็ ขา้ มาคยุ มะรมุ มะตุม้ ทนี ้ีมารยาท เขาดนี ะ เขากค็ ยุ ดว้ ย แต่เรากเ็ หน็ วา่ เขาอดึ อดั มากเพราะมนั รอ้ น พอกลบั ถงึ วดั แอนดด์ รถู อดจวี รออก ไมไ่ หวๆ รอ้ น วุน่ วายมากพระ อาจารย์ ถา้ กลบั ไปเยอรมนีแลว้ มนั วุน่ วายอยา่ งน้ีจะบวชตลอดชวี ติ น่ีเพงิ่ จะรจู้ กั วดั ครบั พระอาจารย์ เป็นอยา่ งไรหรอื ผมอยวู่ ดั ตงั้ นานยงั ไมร่ จู้ กั วดั เลย วนั น้ีผมเพงิ่ รจู้ กั วดั วา่ สงบครบั เมอื งวุน่ วาย ครบั เหมอื นตอนน้ีผมเพง่ิ รจู้ กั เยอรมนีเพราะผมมาอยเู่ มอื งไทย และ ตอนน้ีผมยงั ไมร่ จู้ กั ประเทศไทย ผมตอ้ งกลบั ไปเยอรมนีซะกอ่ น ผม ถงึ จะรจู้ กั ประเทศไทย คาพดู ของเขาเขา้ ทา่ นะ พระอาจารยเ์ ลยบอก เขาวา่ ใชแ่ ลว้ หละ่ ถา้ เรายงั อยใู่ นสงิ่ ใดกต็ าม เราจะไมร่ จู้ กั สงิ่ นนั้ แต่ ถา้ เราออกจากมนั เมอ่ื ไหร่ เรามองยอ้ นกลบั มาเราจะรูจ้ กั สง่ิ นัน้ ความรู้สกึ ความนึกคิดอารมณ์ต่างๆ เชน่ เดยี วกนั ถา้ เรายงั อยใู่ น เขา เราจะไมร่ จู้ กั เขา เพราะถา้ เรายงั อยกู่ บั เขา เรากต็ กอยใู่ น กระแสเขา และเม่อื ใดกต็ ามเราหลดุ ออกจากกระแสเขาได้ เรา ยอ้ นกลบั มองเขา้ มา เราจะรจู้ กั เขา และเหน็ เขาตามความเป็นจรงิ เพราะฉะนนั้ คนทอ่ี ยใู่ นความโกรธจะไมร่ จู้ กั ความโกรธเพราะตวั เอง อยใู่ นกระแสของมนั แต่เม่อื ออกจากมนั ได้คุณจะขนหวั ลุกเม่อื

๕๐ กลบั มา...รสู้ กึ ตวั เห็นความโกรธมนั เป็นอย่างน้ี มนั มอี ทิ ธพิ ลต่อจติ ใจเราอยา่ งไร เราจะมองเหน็ มนั เพราะฉะนนั้ กระบวนการแรกทพ่ี ระอาจารยพ์ าไป ทา คอื ใหเ้ หน็ การออกจากสงิ่ นนั้ แลว้ ยอ้ นกลบั มามอง คอื การ มองเหน็ การลกั คดิ ของตนเอง มองเหน็ ขยะทม่ี นั เยอะมากและสง่ิ เหลา่ น้ีมนั เขา้ มาในชวี ติ ของเราตลอดเวลา บางเรอ่ื งบางอยา่ งบาง ทกี ไ็ หลเขา้ ไปเผลอไปกบั มัน ดังนั้นเม่ือมองย้อนกลับไป เรา จะเห็นความไร้สาระมากมายของมัน ประการต่อมาคอื เม่อื เราเจรญิ สตจิ ะเหน็ มนั ชดั ในขณะท่ี เม่อื กอ่ นเราไมเ่ คยรจู้ กั มนั ไมเ่ คยสนใจ แต่เมอ่ื วานพระอาจารยพ์ า คณุ กลบั ไปดเู ขา ซง่ึ มนั มคี วามสาคญั อยา่ งยงิ่ ทจ่ี ะตอ้ งรจู้ กั เขา เหน็ เขา เหน็ ความหลงคดิ เหลา่ นนั้ เพราะกระบวนการการปรุงแต่งทาง จติ ทม่ี นั จะปรุงแต่งกนั สคู่ วามรสู้ กึ ความนึกคดิ อารมณ์ต่างๆนนั้ มนั มี จดุ เรม่ิ ตน้ ทต่ี รงหลงคดิ ตรงนนั้ ความรกั ความหลง ความโกรธ ความชงั อาฆาต พยาบาท สขุ ทุกข์ อะไรกต็ ามมนั เรมิ่ ตน้ ทต่ี รง นนั้ จากการทจ่ี ติ มนั แวบออกไปจากอารมณ์กรรมฐาน ภาวะแหง่ การทม่ี นั ผดุ ขน้ึ มาน้ี จากจติ ใจเราน่ีแหละ มนั เป็นตวั เรมิ่ ตน้ ใหเ้ รา ไหลไปสคู่ วามรสู้ กึ ความนึกคดิ อารมณ์ตา่ งๆ ถา้ ตามสตปิ ฏั ฐาน


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook