อ.วศนิ อินทสระ ทางของผู้ปรารถนาความสงบ
คุณสมบตั ขิ อง ผูม้ ุ่งสนั ตบท ทางของผู้ปรารถนาความสงบ อ.วศิน อินทสระ
ชมรมกลั ยาณธรรม หนงั สือดลี �ำดับท ่ี ๑๖๒ คณุ สมบัติของ ผู้มุ่งสนั ตบท อ.วศนิ อนิ ทสระ พมิ พค์ รั้งท ่ี ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ จำ� นวนพิมพ ์ ๗,๐๐๐ เลม่ จดั พมิ พโ์ ดย ชมรมกลั ยาณธรรม ๑๐๐ ถนนประโคนชยั ตำ� บลปากนำ�้ อำ� เภอเมอื ง จงั หวดั สมทุ รปราการ ๑๐๒๗๐ โทรศพั ท ์ ๐-๒๗๐๒-๗๓๕๓ และ ๐-๒๗๐๒-๙๖๒๔ ภาพประกอบ ปน่ิ นชุ ปน่ิ จนิ ดา จดั รปู เลม่ คนขา้ งหลงั ชว่ ยแกค้ ำ� อะตอ้ ม พสิ จู น์ อักษร หะนู ศิลปกรรม ต้นกล้า พิมพ์โดย บริษัท ส�ำนักพิมพ์สุภา จ�ำกัด ๑๑๘ ซอย ๖๘ ถนนจรญั สนทิ วงศ ์ เขตบางพลดั กรงุ เทพฯ ๑๐๗๐๐ โทร. ๐-๒๔๓๕-๘๕๓๐ สัพพทานงั ธัมมทานงั ชนิ าติ การใหธ้ รรมะเป็นทาน ยอ่ มชนะการใหท้ ั้งปวง www.kanlayanatam.com
ขอมอบเปน็ ธรรมบรรณาการ แด่ จาก
คํ า อ นุ โ ม ท น า หนงั สอื เรอื่ งนพ้ี มิ พค์ รง้ั แรกเมอ่ื พฤศจกิ ายน พ.ศ. ๒๕๔๕ โดย ขวญั เพยี งหทยั แหง่ สำ� นกั พมิ พเ์ รอื นธรรม ซง่ึ หนงั สอื ไดห้ มด ไปนานแลว้ บดั นชี้ มรมกลั ยาณธรรมโดยทนั ตแพทยห์ ญงิ อจั ฉรา กลน่ิ สวุ รรณ ์ ผเู้ ปน็ ประธานชมรม ไดข้ ออนญุ าตจดั พมิ พข์ น้ึ ใหม ่ เพื่อเผยแผ่ให้แพร่หลายในชุมชนต่างๆ ข้าพเจ้าอนุญาตและ อนุโมทนาด้วยความยินดียิ่ง ปลื้มใจท่ีหนังสือท�ำนองน้ีจะได ้ แพรห่ ลายออกไปเพ่ือประโยชนส์ ขุ แกม่ หาชน “คุณสมบัติของผู้มุ่งสันตบท” คือคุณสมบัติของผู้ด�ำเนิน ไปเพื่อความสงบ ได้มีรายละเอียดอยู่ในกรณียเมตตสูตรตามท ี่ คำ� นำ� ชมรมไดก้ ลา่ วถงึ แลว้ ผตู้ อ้ งการความสงบควรมคี ณุ สมบตั ิ ของผสู้ งบ ดงั ทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงในกรณยี เมตตสตู ร ขา้ พเจา้ ไดอ้ าศยั หลกั ในพระสตู รนข้ี ยายความตามทเี่ หน็ สมควร จงึ ออกมา
เป็นหนังสือดังที่ท่านเห็นอยู่นี้ ข้อความท่ีควรกล่าวข้าพเจ้าได ้ พูดไว้บ้างแล้วในค�ำน�ำในการพิมพ์คร้ังแรก ซึ่งพิมพ์ไว้ต่อจาก ค�ำอนุโมทนานี้ ข้าพเจ้าขอขอบคุณชมรมกัลยาณธรรมที่เห็นคุณค่าของ หนงั สอื น ี้ ขอคณุ พระศรรี ตั นตรยั และอานภุ าพแหง่ กรณยี เมตต- สูตรซึ่งผู้เห็นคุณค่าปฏิบัติตามแล้ว พึงคุ้มครองให้ผู้ปฏิบัติพ้น จากทกุ ข ์ โศก โรค ภยั อนั ตรายตา่ งๆ ประสบแตค่ วามสขุ สวสั ด ี ในท่ีทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ และขออนุโมทนาอย่างยิ่งต่อกุศล เจตนาของชมรมกัลยาณธรรม ขอให้ชมรมฯ พึงตั้งมั่นสถิต สถาพรช่วั กาลนาน ด้วยความปรารถนาดอี ยา่ งยิ่ง ๗ กันยายน ๒๕๕๔
คํ า นํ า ใ น ก า ร พิ ม พ์ ค ร้ั ง แ ร ก สนั ตบท หมายถงึ ทางดำ� เนนิ แหง่ ผสู้ งบ “สนั ตะ” แปลวา่ สตั ตบรุ ษุ หรอื คนดกี ไ็ ด ้ สภุ าษติ โบราณทา่ นวา่ แมลงวนั ชอบแผล (มกขฺ กิ า วณมจิ ฉฺ นตฺ )ิ , เศรษฐชี อบทรพั ย ์ (ธนมจิ ฉฺ นตฺ ิ เสฏฐฺ โิ น), คนพาลชอบทะเลาะ (พาลา กลหมิจฺฉนฺติ), บัณฑิตชอบสันติ (ความสงบ) (สนตฺ ิมิจฉฺ นตฺ ิ ปณฺฑิตา) พุทธศาสนสุภาษิตบางแห่งกล่าวว่า “สัตบุรุษหรือคนด ี ยนิ ดใี นการเกอื้ กลู แกส่ ตั วท์ งั้ ปวง” (สนโฺ ต สพพฺ หเิ ต รตา), พระ พทุ ธภาษติ บางแหง่ ตรสั ถงึ สภาวธรรมวา่ “ทใี่ ดไมม่ สี ตั บรุ ษุ ทนี่ นั้ ไมม่ สี ภา ผพู้ ดู ไมเ่ ปน็ ธรรมกไ็ มช่ อื่ วา่ เปน็ สตั บรุ ษุ (คนด)ี (เนสา สภา ยตถฺ น สนตฺ ิ สนฺโต สนโฺ ต น เต เย น วทนฺติ ธมมฺ )ํ พระพุทธพจน์และพุทธศาสนสุภาษิตที่เก่ียวกับสัตบุรุษมี หลากหลาย ขอนำ� มากลา่ วอกี แหง่ หนง่ึ วา่ “เมอ่ื สตั บรุ ษุ ใหส้ ง่ิ ทใี่ ห้
ไดย้ าก ทำ� สงิ่ ทที่ ำ� ไดย้ ากอย ู่ อสตั บรุ ษุ ทำ� ตามไมไ่ ด ้ เพราะธรรม หรือทางด�ำเนนิ ของสัตบรุ ษุ ท�ำตามไดย้ าก” (ททุ ฺทท ํ ททมานาน ํ ทุกฺกรํ กมฺมกุพฺพตํ อสนฺโต นานุกุพฺพนฺติ สตํ ธมฺโม ทุรนฺวโย) “เพราะฉะนั้นทางด�ำเนินหรือทางไปของสัตบุรุษและอสัตบุรุษ จึงต่างกนั อสัตบุรุษไปทางเสอื่ ม สัตบุรษุ ไปทางเจริญ” หนงั สอื เลม่ นกี้ ลา่ วถงึ คณุ สมบตั ขิ องผดู้ ำ� เนนิ สสู่ นั ตบท คอื ทางแห่งผู้สงบหรือทางแห่งคนดี ตามนัยแห่งกรณียเมตตสูตร ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ ในพระไตรปิฎก เล่ม ๒๕ หน้า ๑๓ ข้อ ๑๐ หวังว่าท่านผู้อ่านด้วยโยนิโสมนสิการคงได้รับประโยชน ์ ไมน่ อ้ ยเลยทเี ดยี ว ขอขอบใจบคุ ลากรทกุ ฝา่ ย ผมู้ สี ว่ นชว่ ยเหลอื ให้หนังสอื เลม่ นอี้ อกมาอยา่ งท่ีเหน็ อย่นู ้ี ดว้ ยความปรารถนาดีอยา่ งยิง่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๕
คํ า นํ า ข อ ง ช ม ร ม กั ล ย า ณ ธ ร ร ม หากพดู ถงึ การสาธยายมนต ์ ขา้ พเจา้ เหน็ วา่ มนตบ์ ท “กรณยี - เมตตสูตร” เป็นบทพระปริตรท่ีน่าสวดสาธยายมากเป็นพิเศษ บทหนึ่ง เพราะนอกจากเน้ือหาสาระธรรมดี มีท�ำนองเสียง ไพเราะแล้ว ยังมีแนวทางปฏิบัติส�ำหรับผู้มุ่งปรารถนาทางแห่ง ความสงบ โดยแยกแยะเป็นข้อๆ ละเอียด ครอบคลุม เหมือน ได้สอนตัวเองด้วยท้ังสมถะและวิปัสสนาภาวนาทุกวัน ด้วยบท สาธยายมนตก์ รณียเมตตสูตรนี้ ไม่นานมาน้ีได้มีโอกาสฟังเสียงรวมธรรมบรรยายของ ทา่ นอาจารยว์ ศนิ อนิ ทสระ ซง่ึ ในตอนหนง่ึ เปน็ รายการ “ธรรมะ ร่วมสมัย” ท่ีท่านอาจารย์ได้สนทนาธรรมกับพลตรีทองขาว พว่ งรอดพนั ธ ์ุ และคณะ ถงึ “คณุ สมบตั ขิ องผมู้ งุ่ สนั ตบท” ซงึ่ เมอื่
ฟงั แลว้ กร็ สู้ กึ คนุ้ ห ู นา่ สนใจตดิ ตามฟงั มาก เพราะเนอ้ื หาทง้ั หมด ทที่ า่ นสนทนากนั ลว้ นคอื คณุ คา่ ความหมายและรายละเอยี ดของ กรณียเมตตสูตร บทสวดพระปริตรท่ีอยู่ในดวงใจมาเน่ินนาน ท�ำให้เกิดธรรมฉันทะในการต้ังใจสดับฟัง ท�ำความเข้าใจและ ปรารถนาประพฤติปฏิบัติให้คุณสมบัติเหล่าน้ีมีในตน ทั้งยิ่ง ชน่ื ชมในทา่ นอาจารยว์ ศนิ อนิ ทสระ ทท่ี า่ นชา่ งเลอื กหวั ขอ้ ธรรม ที่มีสารประโยชน์และประทับใจผู้ฟัง พร้อมสามารถอธิบาย อย่างละเอียดพิสดารกว้างขวางชัดเจน สมเป็นธรรมเจดีย์แห่ง ยุคสมัย ด้วยลีลานำ้� เสียงท่ีสงบเยือกเย็นชวนฟัง ข้าพเจ้าอยาก ใหเ้ พอื่ นรว่ มปฏบิ ตั ไิ ด้มโี อกาสฟังธรรมเชน่ น้บี า้ ง ทราบวา่ แตแ่ รกเวบ็ ไซตเ์ รอื นธรรมไดจ้ ดั พมิ พห์ นงั สอื คณุ - สมบัติของผู้มุ่งสันตบท แล้ว แต่ยังเผยแพร่อยู่ในวงจำ� กัด และ หนงั สอื ไดห้ มดไปนานแลว้ ขา้ พเจา้ จงึ กราบขออนญุ าตทา่ นอาจารย์ จัดพิมพ์เผยแพร่ให้กว้างขวางอีกครั้ง ด้วยความเอื้อเฟื้อจาก เพ่ือนๆ เหล่าศิลปินผู้ร่วมทางธรรมช่วยกันรังสรรค์จัดรูปเล่ม ใหม่ให้ชวนอ่านและดูทันสมัยมากข้ึน ท้ังนี้ด้วยเห็นประโยชน ์ แห่งคุณค่าสารธรรมที่ท่านอาจารย์ได้เมตตาถ่ายทอดไวอ้ ยา่ ง กระจา่ งแจม่ แจง้ ยากจะหาใครเปรยี บได ้
ในนามชมรมกัลยาณธรรม ซ่ึงมุ่งม่ันปณิธานแห่งการให ้ ธรรมะเปน็ ทาน ตามพทุ ธพจนท์ ว่ี า่ “สพั พทานงั ธมั มทานงั ชนิ าต ิ การให้ธรรมะเป็นทาน ย่อมชนะการให้ท้ังปวง” ข้าพเจ้าขออ้าง ถงึ อานสิ งสแ์ ห่งธรรมทานอันถูกตรง และอ้างถึงอานุภาพแห่ง กรณยี เมตตสตู ร ซง่ึ เปน็ แนวทางแหง่ สมั มาปฏบิ ตั นิ ้ี ตา่ งชอ่ มาลา บูชาคุณพระรัตนตรัยและน้อมกราบบูชาพระคุณท่านอาจารย ์ วศนิ อนิ ทสระ ครผู สู้ อ่ งประทปี โคมธรรมสวา่ งสใู่ จมวลชนอยา่ ง ตอ่ เนอ่ื งมาตลอดชวี ติ ทงั้ หวงั ใหท้ กุ ทา่ นทไี่ ดอ้ า่ นไดศ้ กึ ษา จงไดพ้ บ แนวทางแหง่ ความสงบและความพน้ ทุกข์ทั่วกัน ทพญ. อจั ฉรา กลิ่นสวุ รรณ์ ประธานชมรมกัลยาณธรรม
ส า ร บั ญ ๑๓ ๒๕ ๑. สกั โก เป็นผู้องอาจ กล้าหาญ ๓๓ ๒. อุชุ เป็นผซู้ อ่ื ตรง สหุ ชุ ุ ซ่ือตรงด้วยดี ๔๕ ๓. สวุ โจ เป็นคนวา่ งา่ ย ๔๗ ๔. มุทุ เปน็ ผู้อ่อนโยน ๖๓ ๕. อนติมานี ไม่ดหู มิ่นผู้อ่นื ๗๓ ๖. สันตุสสโก เป็นผสู้ นั โดษ ๘๓ ๗. สภุ โร การเปน็ ผู้เลีย้ งงา่ ย ๘๗ ๘. อปั ปกจิ โจ เปน็ ผ้มู ีกิจน้อย ๘๙ ๙. สัลลหุกวุตติ ประพฤตติ นเป็นผ้เู บากาย เบาใจ ๙๓ ๑๐. สนั ตรนิ ทรโี ย มีอนิ ทรยี ์สงบ ๑๐๓ ๑๑. นปิ โก ผู้มีปัญญารักษาตน ๑๐๙ ๑ ๒. อปั ปคพั โภ เป็นผไู้ ม่คะนองกาย วาจา มจี ิตสงบ ๑๑๓ ๑ ๓. กเุ ลสุอนนคุ ิทโธ ไม่ติดพนั ในตระกูลทั้งหลาย ๑๒๑ ๑๔. อนูปวาโท ไมก่ ลา่ วรา้ ย ๑๕. เมตตวา มเี มตตา
๑ สกั โก เปน็ ผู้องอาจ กลา้ หาญ นี่กผ็ ่อนอธบิ ายลงมาได้ทง้ั ทางโลกและทางธรรม อธบิ าย ทางธรรมใหเ้ ขม้ งวด ใหอ้ กุ ฤษณก์ ไ็ ด ้ อธบิ ายทางโลกผอ่ นอธบิ าย ลงมาใหค้ นทวั่ ๆ ไปปฏบิ ตั กิ ไ็ ด ้ ถา้ เผอื่ อธบิ ายแบบอกุ ฤษณ ์ เรยี ก ว่ามีจติ ใจกลา้ หาญท่จี ะเลอ่ื ยความชั่ว และกลา้ ทำ� ความดี ถ้าผ่อนลงมาส�ำหรับคนท่ัวไปอีกหน่อยหน่ึงก็คือ กล้าจะ ตดั สนิ ใจทำ� สง่ิ ทถี่ กู ทค่ี วรทต่ี อ้ งการจะท�ำ อยา่ งถา้ จะบอกวา่ กลา้ ท�ำในสิ่งท่ีต้องการจะท�ำ เช่น กล้าไปปล้น อย่างน้ีก็ไม่ใช่ผู้ท่ีมา ในทางสันตบท แต่เป็นอสันตบท คือทางแห่งความวุ่นวาย หรือ บางคนทรี่ วู้ า่ สง่ิ ทต่ี นกำ� ลงั ทำ� เปน็ ความชวั่ แตไ่ มก่ ลา้ เลกิ ความชว่ั
ยิ่งเคยท�ำชั่วกันเป็นกลุ่มมาด้วยแล้วละก็ยิ่งไม่กล้าใหญ่ เกรง เพื่อนจะต�ำหนิว่าทิ้งเพื่อน เคยเล่นไพ่มาด้วยกัน เคยกินเหล้า สรวลเสเฮฮามาดว้ ยกนั มนั กต็ อ้ งท�ำกนั ตอ่ ไป ไมก่ ลา้ เลกิ เรยี ก วา่ กอดคอกนั เสอื่ ม เรยี กวา่ เกรงใจเพอื่ นมากกวา่ เกรงใจความชว่ั ยิ่งพวกมิจฉาชีพ บางทีต้องการจะปลีกตัวออกมากลัวเพื่อน มาตามเก็บปิดปาก ก็มาปรึกษาว่าจะท�ำอย่างไรดี ถ้าเผื่อความ เหน็ ผม ผมจะใหเ้ ขากลา้ ตดั สนิ ใจทจี่ ะออกมาเลย เปน็ ไงเปน็ กนั คือยอมเส่ียงเอา จะตายก็ตาย จะเป็นก็ให้เป็นอยู่ดีๆ ข้างหน้า ต้องกล้าตัดสินใจ ใช้ธรรมะข้อนี้คือ สักโก ไม่เกรงใจเพ่ือน มากกว่าเกรงใจความชั่ว บางคนว่าท�ำไมไม่เลิกสูบบุหรี่ ตอบว่าลงทุนมาเยอะแล้ว คอื หวนคดิ ถงึ รสของมนั ไมก่ ลา้ สลดั ออก ถงุ ลมโปง่ พองจะมาถงึ เมื่อไหร่ก็เม่ือน้ัน เดินก็เหนื่อย น่ังก็เหนื่อย เหนื่อยไปหมด ถึง ตอนนั้นกต็ ้องเลกิ ในด้านตรงกันข้าม บางคนรู้ว่าอะไรเป็นความดี แต่ก็ไม่ กล้าท�ำ ไมร่ ู้วา่ เพราะอะไร อาจกลวั ถกู หาวา่ เชย ครึ หรอื ถกู หา 14 ผคุ ณู้ มสุ่ งม บสั ตั นิ ข อตงบ ท
ว่าท�ำความดีมากเกินไป อย่างเวลาคนเดินเข้าบาร์เสียงดังเชียว พอจะเขา้ วัดต้องแอบ กลัวคนเหน็ เหมือนเข้าโรงจำ� นำ� เลย ฉะนนั้ ๒ ขอ้ น ี้ กลา้ เลกิ ความชว่ั กลา้ ทำ� ความด ี มนั ตอ้ ง อาศยั คณุ ธรรมขอ้ จาคะ คอื สละ การเสยี สละความชว่ั ความไม ่ ด ี และกลา้ ท�ำความดี และมีความกล้าอย่างหน่ึงน่าสนใจมาก คือกล้าตัดสินใจ เลือกด�ำเนินชีวิตตามความเหมาะสมแก่ตน ไม่ใช่ตามท่ีคน ทั้งหลายนึก ถ้าเผ่ือใครไปด�ำเนินชีวิตตามที่คนอื่นเขาบงการ หรือก�ำหนดให้ โดยท่ีตัวเองไม่ชอบก็จะมีความทุกข์ทรมานไป ตลอดชาติ ไม่ได้ผลท้ังทางผลงานและด้านจิตใจ โดยเฉพาะ อย่างยิ่งทางด้านจิตใจก็จะเสื่อมลง สุขภาพจิตเป็นส่ิงท่ีควร หวงแหนมากทสี่ ดุ กจ็ ะเสอื่ มลง เพราะทำ� สง่ิ ทต่ี วั ไมช่ อบ ในทส่ี ดุ ก็จะเสยี ไปหมด ที่ว่าภาวะผู้น�ำต้องกล้าตัดสินใจ คือเรื่องนี้น่ีเอง อย่าง จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัตน์ ท่านเป็นคนกล้ามาก ท่านจะบอกว่า อ. ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ 15
“ข้าพเจ้าขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว” คือจะเป็นไงก็เป็นกัน ค่อยแก้ปัญหากันอีกที แต่ท่านกล้าตัดสินใจ สมมุติว่าจะผิด กเ็ ปน็ เรอ่ื งธรรมดา การตดั สนิ ใจกต็ อ้ งผดิ บา้ ง ถา้ ไมม่ ากเกนิ ไป แตถ่ า้ ไมก่ ลา้ ตดั สนิ ใจ มนั กท็ ำ� อะไรไมไ่ ดเ้ ลย แตก่ ารกลา้ ตดั สนิ ใจมันต้องดูสถานการณ์ดว้ ย อีเมอร์สัน นักปราชญ์ชาวอเมริกัน ท่านได้กล่าวไว้ตอน หนึ่งว่า “ส่ิงที่ข้าพเจ้าท�ำ ก็คือสิ่งที่เก่ียวข้องกับข้าพเจ้า ไม่ใช ่ สิ่งที่คนท้ังหลายคิด” What I must do is concern me, not what the people think. น่ีคือการแสดงความกล้าหาญใน การตดั สนิ ใจ ถ้าเผื่อเราไปท�ำตามท่ีคนท้ังหลายคิด ถ้าเผื่อ ๑๐ คนก็ คิดไป ๑๐ อย่างก็ลังเล เราไม่สามารถจะตัดสินใจได้ว่าจะทำ� อย่างไรดี ต้องดูว่ามันเก่ียวข้องกับเรา แค่ไหน อย่างไร คนอื่น บางทีไมร่ ู้ขอ้ มูลตา่ งๆ เหมือนกับตวั เราเอง 16 ผคุ ณู้ มสุ่ งม บสั ตั นิ ข อตงบ ท
ปัจจุบนั แตล่ ะคนในรฐั บาลกจ็ ะมีทีม หรอื คณะทปี่ รกึ ษา ผลการตดั สนิ ใจจะอยทู่ คี่ ณะทป่ี รกึ ษาหรอื วา่ อยทู่ ต่ี วั เอง นก่ี แ็ ลว้ แตบ่ างทา่ น บางทา่ นกป็ ลอ่ ยใหเ้ ปน็ ไปตามทค่ี ณะทป่ี รกึ ษาตกลง กัน บางท่านก็ฟังความเห็นของคณะท่ีปรึกษา แล้วตัดสินใจเอง อกี ครง้ั หนง่ึ อาจจะไมต่ รงกบั ทค่ี ณะทปี่ รกึ ษาเขาแสดงความเหน็ ก็ได้ อันน้ันก็ต้องเป็นคนที่จิตใจเข้มแข็ง เฉลียวฉลาดมากพอ ทีจ่ ะเป็นตัวของตัวเองได้ ในแง่ของทหารท่ีเขามีฝ่ายเสนาธิการ เขาจะท�ำการ วิเคราะห์เหตุการณ์ต่างๆ เสร็จแล้วจะมาสรุปเป็นข้อเสนอแนะ เป็น ๒ แนวทาง แล้วแต่ท่านจะเลือกเอาแนวทางไหน ผู้บังคับ บญั ชากเ็ ลอื กไป กต็ อ้ งถามดว้ ยวา่ ถา้ ปฏบิ ตั ติ ามแนวนๆี้ จะมผี ลด ี ผลเสยี อยา่ งไร ตอ่ ไปกเ็ ลอื กแลว้ ยอมรบั ผลดหี รอื เสยี ทจ่ี ะเกดิ ขน้ึ ผบู้ งั คบั บญั ชาตอ้ งกลา้ ตดั สนิ ใจเลอื กเอาอยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ และ ตอ้ งกล้ารบั ผดิ ชอบดว้ ย ไม่ใช่โยนความรับผดิ ชอบใหค้ นอ่นื บางคนมีวิชาความรู้ดี มีโครงการยอดเยี่ยม แต่ไม่กล้า ตัดสินใจท�ำอะไรตามวิชาความรู้ของตัว ตามหลักการท่ีคิดแล้ว อ. ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ 17
คดิ อกี ว่าดี ความกลวั นจ้ี ะทำ� ใหเ้ ขาไมส่ ามารถเขา้ ไปสคู่ วามสำ� เรจ็ ได ้ ไมเ่ ปน็ สกั โก หากวา่ ไดต้ ดั สนิ ใจทำ� แลว้ แตพ่ ลาดไปกย็ งั ด ี อยา่ ง น้อยความล้มเหลวน้ันก็เป็นบทเรียนให้ได้เรียนรู้ประสบการณ์ ตรงว่าอย่างนี้มันผิด เป็นช่องทางให้ค้นหาทางใหม่ต่อไป ก็เร่ิม ดำ� เนินการใหม ่ ก็จะคน้ พบชอ่ งทางที่ดเี ขา้ วนั หนงึ่ พระพทุ ธเจา้ ทา่ นทรงกลา้ ลองผดิ ลองถกู ทดลองทกุ อยา่ ง ว่าอะไรเป็นอะไร และได้ผลยังไง ทีหลังท่านจึงสามารถตรัสได้ เต็มพระโอษฐ์ว่า ความทุกข์ยากอย่างนี้ พระองค์ได้ผ่านมาทุก อย่างแล้ว แต่ก็ไม่ส�ำเร็จ พระพุทธเจ้าท่านมุ่งเอาอุดมคติเป็น ที่หมาย ไม่ได้มุ่งเอาสิ่งที่คนทั้งหลายเขาคิด อย่างปัญจวัคคีย ์ หลีกหนีจากพระพุทธเจ้าไป เพราะว่าคิดอย่างท่ีคนท้ังหลาย เขาคิดว่านักบวชจะต้องอยู่อย่างทุกข์ทรมาน จึงจะส�ำเร็จผลท่ี ต้องการ 18 ผคุ ณู้ มสุ่ งม บสั ตั นิ ข อตงบ ท
แต่พระพุทธเจ้าไม่ได้คิดอย่างที่คนทั้งหลายคิด ท่านคิด ตามแนวอุดมคติของท่าน ว่าหนทางทั้งหมดได้ทดลองเดินมา เยอะแลว้ ไมม่ ที างทจี่ ะไปถงึ อดุ มคตไิ ด ้ ทา่ นกเ็ ปลยี่ นวธิ กี ารโดย ไมค่ ำ� นึงถึงเสียงของคนรอบข้างวา่ จะคดิ อย่างไร ในแง่ของหลักการ มันมีปรโต โฆสะ แต่ปรโต โฆสะน้ี มีท้ังดีและเสีย เราต้องฟังไว้บ้างเป็นการเก็บข้อมูล ฉะนั้นก็อยู ่ ท่ีโยนิโสมนสิการ ในหลักธรรมของเราท่ีพูดถึงสัมมาทิฐิ กับ มิจฉาทิฐิ ก็มีปรโต โฆสะเหมือนกัน ถ้าปรโต โฆสะเสีย และมี อโยนิโสมนสิการดว้ ยกเ็ ป็นมิจฉาทิฐิ เหน็ ผดิ ไป ถา้ ไดป้ รโต โฆสะทด่ี ี แลว้ ไดโ้ ยนโิ สมนสกิ ารทด่ี ี ทถี่ กู ตอ้ ง ก็จะเป็นเหตใุ หเ้ กดิ สัมมาทิฐ ิ ความเห็นถกู และตดั สินใจถูก ปรโต โฆสะ ความหมายมนั กวา้ งมาก หมายถงึ สง่ิ แวดลอ้ ม ทง้ั หมด ทงั้ ตำ� รา ครบู าอาจารย ์ เพอื่ นฝงู ดนิ ฟา้ อากาศ รวมหมด อ. ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ 19
เกย่ี วกบั เรอื่ งความกลา้ หาญน ้ี มนั มปี ระการหนงึ่ ทสี่ �ำคญั กค็ อื ขอใหม้ น่ั คงในอดุ มคตขิ องเราพอสมควร จบั ทำ� อะไรเขา้ ก็อย่าเลิกง่าย เม่ือเห็นว่าทางน้ีเป็นทางของเราถูกใจเรา ถูก อัธยาศัยของเรา แม้จะล้มเหลวบ้างในเบ้ืองต้น ก็ต้องพยายาม ต่อไป ความสำ� เรจ็ ก็คงคอยอยู่ข้างหนา้ พอ่ คา้ วาณชิ ใหญๆ่ โตๆ ลองศกึ ษาประวตั ขิ องเขาด ู เขาจะ ตอ้ งเคยลม้ เหลวมาไมน่ อ้ ย จนกวา่ จะมาจบั อะไรเขา้ ถกู ทางของ ตัว แล้วก็ประสบความสำ� เรจ็ ดว้ ยดี มคี วามกลา้ อกี ชนดิ หนงึ่ ทดี่ มี าก คอื ความกลา้ เผชญิ หนา้ กบั ความทกุ ข ์ กลา้ เผชญิ หนา้ อปุ สรรค เหน็ อปุ สรรคเปน็ สงิ่ ทา้ ทาย นา่ ทดลอง เหน็ ความทกุ ขเ์ ปน็ เทพธดิ าทปี่ ลอมแปลงมาในรปู ของ มารร้าย และกล้าเผชิญหน้าความทุกข์ว่าท้าทายดี เหมือนการ เรียนก็เรียนกันหามรุ่งหามค�่ำ ต่อมาเทพธิดาก็เผยตัวจริงออก มาให้เหน็ เมื่อเรยี นส�ำเรจ็ 20 ผคุ ณู้ มสุ่ งม บสั ตั นิ ข อตงบ ท
อีกเร่ืองหนึ่งท่ีน่าสงสารส�ำหรับเด็กของเราคือไม่กล้า แสดงออกนอกแถวเพอื่ น เวลานเี้ ดก็ วยั รนุ่ ของเราจะทำ� อะไรตาม กัน มแี ฟชน่ั ตามกนั ไม่กลา้ เดินออกนอกแถว เคยพูดกับเด็กว่าท�ำไมเราไม่เป็นผู้น�ำในทางดีเสียบ้าง ทำ� ไมตอ้ งไปตามเขาในสง่ิ ทต่ี วั เองกร็ สู้ กึ ไมด่ ี แตไ่ มก่ ลา้ ฝนื ตอ้ ง ท�ำตามเขาไป เช่น สมัยท่ีเด็กเขาไว้ผมยาว ถือย่าม นุ่งกางเกง ยีน เอ๊ะ ท�ำไมเราไม่ท�ำแบบอย่างในทางที่ดี ท�ำไมต้องไปเอา อย่างเขาเร่ือยๆ แม้ในสิ่งที่เราเห็นว่าไม่ถูก แต่ไม่กล้าแตกแถว ออกมา กลัวเพ่ือนว่าเชย แต่เด็กบางคนเม่ือได้รับค�ำแนะน�ำ จากผู้ใหญ่ก็ท�ำได้ ไม่กลัว เลยกลายเป็นผู้น�ำในทางที่ดี บางที กส็ งสารเดก็ เหมอื นกนั คอื เดก็ ไมไ่ ดย้ นิ ไดฟ้ งั ในสง่ิ ทดี่ ี ปรโต โฆสะ ไมด่ ี ผใู้ หญไ่ มไ่ ดย้ นื ยนั ในสง่ิ ทดี่ ี เขากเ็ ลยลงั เล เลยไปตามเพอื่ น น่นี ่าเสียดาย นี่คือความไม่กล้าหาญที่จะตัดสินใจท�ำในสิ่งที่ควรจะท�ำ และถกู ชักจูงไปด้วยปรโต โฆสะทไ่ี ม่ดี อ. ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ 21
ความรู้สึกบางอย่างท่ีไม่กล้าเพราะกลัวถูกว่าเชย ไม่กิน เหลา้ กลวั เพอื่ นวา่ เชย ความรสู้ กึ อยา่ งนที้ �ำใหเ้ สยี คนกนั ไปเยอะ แลว้ อยากจะมาถงึ จดุ ทว่ี ่า แม้จะเชย แตก่ ็ไมท่ �ำชว่ั นา่ จะดีกว่า ยอมเชยดกี วา่ ยอมชว่ั อยา่ ยอมชว่ั เพราะกลวั เชย อยา่ งบางคนวา่ ถา้ มวั สนั โดษกจ็ นตาย แตจ่ ะใหแ้ สวงหาในทางทจุ รติ ไมส่ นั โดษ หรือเป็นข้าศึกกับสันโดษ ไม่เอา จนเป็นจน มันต้องกล้าหาญ อย่างนี้ 22 ผคุ ณู้ มสุ่ งม บสั ตั นิ ข อตงบ ท
ทุททฺ ท ํ ททาติ ...ให้ ส่ิงทใ่ี หไ้ ด้ยาก ทุกกฺ รํ กโรต ิ ...ท�ำ ส่ิงที่ท�ำได้ยาก ทุกฺขม ํ ขมติ ...อดทน สง่ิ ท่ีอดทนได้ยาก ทุชชฺ ห ํ ชหาต ิ ...สละ สง่ิ ทส่ี ละได้ยาก ทุชชฺ ยํ ชยติ ...เอาชนะ สง่ิ ทช่ี นะได้ยาก ทุลลฺ ภ ํ ลภติ ...ยอ่ มได ้ สง่ิ ท่ไี ดโ้ ดยยาก ...พทุ ธพจน์
๒ อชุ ุ เป็นผ้ซู ื่อตรง สุหชุ ุ ซื่อตรงดว้ ยดี อรรถกถาของพระสตู รน ี้ ทา่ นอธบิ ายวา่ ซอื่ ตรงคอื วา่ เวน้ จากมารยา ไม่มีมารยา อุชุ เว้นจากการคดทางกาย ทางวาจา สุหุชุ เว้นจากการคดทางใจ ที่แยกตัวน้ีเพราะบางคนอาจรักษา ศลี ทางกาย ทางวาจาได ้ แตส่ มาธทิ างใจไมม่ น่ั คง ยงั วอกแวกอย ู่
ความซื่อตรง กซ็ อื่ ตรงต่อตนเอง และซอื่ ตรงตอ่ ผู้อ่นื คนซ่ือตรงต่อตนเอง ไม่สามารถท�ำอะไรที่ขัดความรู้สึก ของตนเองได้ ตนมีความรู้สึกอย่างหนึ่ง แล้วให้ไปท�ำอะไรที่ขัด กบั ความรสู้ กึ นท่ี ำ� ไมไ่ ด ้ ถา้ ชมใครกช็ มจรงิ ถา้ จติ ใจไมน่ ยิ มชมชอบ กช็ มไมไ่ ด ้ เรยี กวา่ เปน็ คนซอื่ ตรงต่อตนเอง อย่าง มาร์ติน ลูเธอร์ คนท่ีตั้งนิกายโปรเตสแตนต์ ท่าน บอกว่าถ้าทางสังฆราชจะตัดหัวท่านก็ยอม อย่าว่าแต่มีหัวเดียว เลย มสี กั ๕๐๐ หวั กจ็ ะใหต้ ดั ใหห้ มดเลย แตจ่ ะใหพ้ ดู ตรงกนั ขา้ ม กบั ความรสู้ กึ จะไมพ่ ดู ทา่ นไมเ่ หน็ ดว้ ยกบั การกระทำ� ของสงั ฆราช กรงุ โรม จะใหพ้ ดู วา่ เหน็ ดว้ ย ทา่ นทำ� ไมไ่ ด ้ นเี่ รยี กวา่ ซอื่ ตรงตอ่ ตวั เอง มคี วามนบั ถอื ตวั เอง อนั นอ้ี ชุ ุ และสหุ ชุ ดุ ว้ ย อนั นไี้ ปดว้ ย กันเลย คือใจก็ตรง อย่างที่นายเปสสะ บุตรของนายควาญช้าง ได้กราบทูล พระพุทธเจ้าประโยคที่ว่า คหนํ นาเมตํ มนุสฺสา มนุษย์น้ีรกชัฏ ไมเ่ หมอื นกบั สตั วเ์ ดรจั ฉานซงึ่ ตน้ื มคี วามรสู้ กึ อยา่ งไร มนั กแ็ สดง 26 ผคุ ณู้ มสุ่ งม บสั ตั นิ ข อตงบ ท
อาการอยา่ งนนั้ มนษุ ยน์ รี้ กชฏั ดยู าก พดู อยา่ งหนง่ึ ใจอยา่ งหนงึ่ ความคดิ อยา่ งหน่งึ พูดไปอยา่ งหนง่ึ ก็กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า แม้แต่คนงานท่ีบ้านของเขา เขากไ็ มร่ วู้ า่ เขาคดิ อยา่ งไร เขาพดู ออกมาอยา่ งหนง่ึ แตว่ า่ ไมร่ เู้ ขา คิดอย่างไร แต่สัตว์เดรัจฉานที่เขาเล้ียงไว้นี่ มันแสดงความโกง ออกมาให้ชัดเจนถ้ามันโกง ถ้ามันเชื่องมันก็แสดงความเช่ือง ออกมาอยา่ งชดั เจน นเี่ รยี กวา่ สตั วเ์ ดรจั ฉานนนั้ ตนื้ มนษุ ยร์ กลกึ ท�ำนองน้ัน แลว้ เขากช็ มพระพทุ ธเจา้ วา่ มนษุ ยเ์ ปน็ อยา่ งน ้ี พระพทุ ธเจา้ กท็ รงฝกึ ใหด้ ไี ด ้ เขาเปน็ คนฝกึ ชา้ ง ไมส่ ามารถฝกึ คนได ้ แตพ่ ระ- พทุ ธเจา้ ฝกึ คนได้ โดยไม่ต้องใช้อาชญาเลย ไมต่ อ้ งใช้ศสั ตรา น่ีเป็นข้อความที่ปรากฏใน กันฑรกสูตร มัชฌิมนิกาย มชั ฌิมปัณณาสก์ อ. ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ 27
ซอ่ื ตรงตอ่ ผู้อ่นื น่ีก็มีความจ�ำเป็นมาก ในการติดต่อเกี่ยวข้อง เวลาไปท�ำ อะไรกับคนอ่ืน เช่น ไปซ่อมอะไรสักอย่าง ก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าเขา ซ่อมให้เราจริงหรือเปล่า หรือเขาเพียงแต่ดูๆ แล้วก็ส่งมา ไม่รู้ ซ่อมหรือเปล่าเพราะเราดูไม่เป็น อย่างรถยนต์เป็นต้น ถ้าคน ซ่อมเป็นคนซื่อสัตย์ไว้ใจได้ ซ่ือตรงต่อลูกค้าก็มีความสุขกันขึ้น เยอะ อยา่ งรา้ นนาฬกิ า ความจรงิ ซอ่ มนดิ เดยี ว แตบ่ อกวา่ พรงุ่ น้ี ถงึ จะมารบั ได ้ และคดิ ๖๐๐ บาท ฟงั ดเู หมอื นมนั เสยี มาก อยา่ ง นี้ก็ไมซ่ อื่ ตรงตอ่ ลูกคา้ หรอื ขายของลงทนุ ๑๐๐ บาท ถา้ อยากไดก้ ำ� ไร ๒๐% ก็ ให้ตั้งราคาไปเลย คืออย่าเอาก�ำไรเกินไป และของที่เอามาขาย ต้องเปน็ ของแท้ 28 ผคุ ณู้ มสุ่ งม บสั ตั นิ ข อตงบ ท
ความจริงค�ำพูดก็บอกอยู่แล้ว พ่อค้า แม่ค้า เขาเรียกพ่อ หรอื แม ่ ลกู คา้ กเ็ หมอื นลกู พอ่ คา้ แมค่ า้ คา้ ขายดว้ ยจติ อนเุ คราะห์ วา่ เขาไดร้ บั ความสะดวกในการคา้ ขาย อยา่ งรา้ นอยใู่ กลบ้ า้ น เรา ก็สะดวกเวลาซื้อ และก็เกื้อกูลกันว่าเขาอยู่ได้เราอยู่ได้ ลูกค้าก็ ทำ� ตวั เหมอื นลกู คบกนั อยา่ งนนั้ กซ็ อ่ื ตรงสบายใจ ทกุ คนอยไู่ ด ้ ไมใ่ ช่พ่อคา้ รวยเหลือเกนิ แตล่ ูกคา้ ยงั แห้งเหมอื นเดิม ยง่ิ พระยง่ิ ตอ้ งมเี รอ่ื งน ี้ ในบทสวดสงั ฆคณุ กม็ อี ยแู่ ลว้ สปุ ฏ-ิ ปนฺโน อุชุปฏิปนฺโน ส่วนมากก็จะไปนึกถึง สุปฏิปนฺโน เสีย มากกวา่ ความจรงิ อชุ ปุ ฏปิ นโฺ น นส่ี ำ� คญั ไมน่ อ้ ยทเี ดยี ว ยงิ่ เปน็ พระย่งิ จ�ำเป็นตง้ั ใจเด็ดเด่ียว เปน็ ไงเป็นกัน ซ่อื ตรงต่อหน้าท่กี ารงาน การงานในบา้ นเมอื ง ไมค่ อ่ ยมปี ระสทิ ธภิ าพ เพราะคนไม่ คอ่ ยซอ่ื ตรงตอ่ การงาน ถอื เอาการงานเปน็ เพยี งเครอื่ งมอื หาเงนิ มากกว่าที่จะรักงาน คือถามหาเงินมากกว่าถามหางาน ถามว่า อ. ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ 29
ให้เงินเท่าไหร่ แทนที่จะถามว่ามีอะไรให้ท�ำบ้าง หรือว่าท�ำน้อย ให้เงินมากย่ิงดี คนที่ท�ำงานมากได้เงินน้อยแล้วพอใจ ไม่ค่อยม ี เทา่ ไหร่ เรอ่ื งโทรศัพทม์ อื ถือ ต่างประเทศเขาขาย ๑๐,๐๐๐ บาท มาเมอื งไทยก ็ ๓๐,๐๐๐-๔๐,๐๐๐ บาท แพง กถ็ ามวา่ ทำ� ไมเปน็ อยา่ งนนั้ จรงิ ๆ แลว้ มาดเู มอื งไทยมนั มตี น้ ทนุ หลายอยา่ ง การคา้ ในเมอื งไทยทมี่ นั แพงกวา่ ปกต ิ สมมตุ วิ า่ จะอนมุ ตั ใิ หเ้ ซน็ กเ็ ขา้ ไป ๒๐-๓๐% แล้ว แล้วยังบรรดาเสมียนไต่ข้ึนไปอีกไม่รู้เท่าไหร ่ เขากไ็ ปบวกกบั คนซอื้ ทำ� ใหข้ องแพง เรยี กวา่ ไมซ่ อื่ ตรงตอ่ หนา้ ท่ี พูดถึงงบประมาณ ถ้าได้มาเท่าไหร่ก็ใช้หมดไปเท่าน้ัน บา้ นเมอื งกเ็ จรญิ เรว็ นะ มนั ไมพ่ งั อยา่ งทพี่ อ่ คา้ ทส่ี รา้ งถนน บอกวา่ ทจี่ รงิ คา่ สรา้ งถนนไมถ่ งึ ๕๐% อยา่ ง ๑๐๐ บาท ไมถ่ งึ ๕๐ บาท อยา่ งพอ่ คา้ จะไปทำ� ถนน เวลาผา่ นคนอนมุ ตั กิ ็ ๒๐% แลว้ เหลอื เงนิ ๘๐ บาท กเ็ อางานไปใหบ้ รษิ ทั อน่ื รบั เหมาต่อ ตวั เองเอาไว้ ๒๐% แลว้ กผ็ า่ นอะไรอกี หลายตอ่ อยา่ งถนนเสน้ หนงึ่ ๑๐๐ ลา้ น คา่ ถนนจรงิ ๆ ๔๐ ลา้ นอยา่ งน้ี มันถงึ ไมไ่ ดค้ ณุ ภาพเทา่ ทีค่ วร 30 ผคุ ณู้ มสุ่ งม บสั ตั นิ ข อตงบ ท
เปรยี บเหมอื นสง่ นำ้� ผง้ึ ไปแลว้ กถ็ า่ ยหลายท ี ตดิ ขวดไปหมด หรือเหมือนไอศกรีม ผ่านหลายท ี ไปถงึ ปลายทางเหลอื แตไ่ ม้ ญป่ี นุ่ เขาเกง่ อยา่ งเงนิ มยิ าซาวา่ ทเ่ี ขา้ มา เขาบอกวา่ ถา้ จะ ซ้ือของต้องเป็นของญี่ปุ่น ห้ามซื้อของชาติอื่น ก็หมายความว่า เงินเขาก็มาเราก็เป็นหนี้เขา แล้วก็ไปซื้อสินค้าญี่ปุ่น เงินกลับ ญป่ี นุ่ หมดแหละ ดังน้ันปัญหาของคนไทยก็คือซ่ือตรงต่อหน้าท่ีเท่านั้นเอง แลว้ มนั สมั พนั ธก์ นั ทง้ั ๓ ประการน ้ี ซอื่ ตรงตอ่ ตนเอง ซอ่ื ตรงตอ่ ผู้อื่น ซ่ือตรงต่อหน้าท่ี มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด ถ้าคน ซื่อตรงตอ่ อะไรสักอยา่ งหนึ่ง กพ็ ลอยใหอ้ ยา่ งอื่นดไี ปดว้ ย พระพทุ ธเจา้ ตรสั วา่ อตั ตสมั มาปณธิ ิ ถา้ ตง้ั ตวั ถกู การพดู การท�ำอะไรก็จะดีไปหมด อ. ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ 31
๓ สวุ โจ เปน็ คนว่าง่าย พระพุทธเจ้าทรงแสดงเอาไว้ถึงพุทธบริษัทที่เป็นผู้ว่ายาก คอื ไมเ่ ชอื่ คำ� สอนของพระพทุ ธเจา้ กจ็ ะพลดั ตกไปจากพระพทุ ธ- ศาสนา แต่ถ้าเป็นพุทธบริษัทผู้ว่าง่าย ก็จะเชื่อฟังค�ำสอนของ พระพุทธเจ้า เป็นผู้ว่าง่ายกับผู้ว่ายากมันผิดกันเยอะ คือบางท ี เวลาพูดก็ฟังแต่ไม่ยอมท�ำตาม ไปท�ำอย่างอ่ืน ไม่ท�ำตามพระ- พทุ ธเจ้าสอน อย่างพระฉันนะก็อยู่ในข่ายเหมือนกัน คือพระพุทธเจ้า ตรัสก็ฟัง แต่ไม่ท�ำตาม ลูกที่ดื้อ พ่อแม่เรียกมาอบรมสั่งสอน นงั่ ตาแปว๋ พอกลบั ไป ปรากฏวา่ เหมอื นเดมิ อยา่ งนเ้ี รยี กดอ้ื ดา้ น
อยา่ งนด้ี อ้ื คนเดยี ว อกี พวกหนงึ่ ดอื้ ดงึ คอื ไมด่ อื้ คนเดยี ว ดงึ คนอน่ื ไปดว้ ย มพี น่ี อ้ งเพอ่ื นกด็ งึ ไปหมดเลย ทำ� ใหเ้ หมอื นอยา่ งทเี่ ขาทำ� ลักษณะของการเป็นผู้ว่าง่าย พระพุทธเจ้าแสดงไว้ใน นาถกรณธรรมสูตร ธรรมที่ส�ำหรับท�ำที่พึ่งแก่ตน แก่ผู้อื่นด้วย ม ี ๑๐ ขอ้ ใน ๑๐ ขอ้ นน้ั มขี อ้ หนง่ึ คอื สวุ โจ อยดู่ ว้ ย ประกอบดว้ ย ธรรมที่ท�ำให้เป็นผู้ว่าง่าย ขโม เป็นผู้อดทน ปทกฺ ขิณคฺ คาห ิ อนสุ าสนนิ รบั โอวาทดว้ ยมอื ขา้ งขวา นเี่ ปน็ idiom คอื รบั โอวาท ด้วยความเคารพ ท่ีว่าประกอบด้วยธรรมท่ีท�ำให้เป็นผู้ว่าง่าย คือเป็นคน มักน้อย สันโดษ มีความอดทน มีความเพียร อันน้ีเป็นธรรม ทที่ �ำให้เปน็ คนว่างา่ ย ถ้าเป็นคนว่ายาก ก็ตรงข้ามคือเป็นคนมีความมักมาก มี ความปรารถนาเลว ไม่สนั โดษ ไมม่ คี วามอดทน เกียจครา้ น 34 ผคุ ณู้ มสุ่ งม บสั ตั นิ ข อตงบ ท
คนโง่มักจะส�ำคัญตนว่าฉลาด ใครเตือนก็ไม่ได้ มักโกรธ แตค่ นฉลาดกจ็ ะรอ้ งขอใหเ้ ตอื น รบั คำ� เตอื น ทำ� ตามทร่ี บั คำ� เตอื น ไป ไม่ดอ้ื ดา้ นและไม่ดอื้ ดึง ปกตพิ ระเวลาออกพรรษา กจ็ ะมกี ารปวารณาวา่ ทฏิ เฐน- วา สเุ ตน วา ปรสิ ง ฺ กาย วา วทนตฺ ุ ม ํ ถา้ หากวา่ การกระทำ� ของ กระผมถ้าหากท่านสงสัย เห็นก็ดี ไม่เห็นก็ดี สงสัยก็ดี ด้วย ความอนเุ คราะหก์ ข็ อใหว้ า่ กลา่ วตกั เตอื น อนั นถ้ี อื วา่ เปน็ คณุ ธรรม ของผวู้ า่ งา่ ย ให้ว่ากล่าวตกั เตอื น แตถ่ า้ พอมผี ไู้ ปวา่ กลา่ วตกั เตอื นกลบั โกรธ อนั นจี้ ะไปเขา้ ใน อนมุ านสตู ร ในมชั ฌิมนิกาย มูลปณั ณาสก์ ทพ่ี ระพุทธเจ้าท่าน ทรงแสดงเอาไวว้ า่ ถา้ แมภ้ กิ ษจุ ะปวารณา เปดิ โอกาสใหต้ กั เตอื น ว่าท่านจงกล่าวตักเตือนผมเถิด แต่พอใครตักเตือนเข้าก็กลับ เปน็ คนวา่ ยากสอนยากไมอ่ ดทน ไมร่ บั คำ� เตอื นโดยเคารพ เพอ่ื น พรหมจรรยท์ งั้ หลายกจ็ ะเบอ่ื หนา่ ย ไมอ่ ยากจะวา่ กลา่ วตกั เตอื น อีกต่อไป เพราะว่าท�ำตนเป็นคนไม่ควรกับการตักเตือนสั่งสอน แลว้ กไ็ ม่ตอ้ งการจะคบหาสมาคมและคุ้นเคยกับเธอ อ. ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ 35
แตถ่ า้ ภกิ ษบุ างรปู แมจ้ ะไมป่ วารณาวา่ ทา่ นผมู้ อี ายจุ งกลา่ ว ตกั เตอื นผมเถดิ ผมซง่ึ ทา่ นตกั เตอื นแลว้ สง่ั สอนแลว้ กจ็ ะมคี วาม ปีติพอใจ พอเขาเตือนก็เป็นคนมีความว่าง่าย มีความอดทน อยา่ งนี้ใชไ้ ด้ ตัวอย่างพวกว่ายาก เช่น พระอัสสชิ บุนัพพสุกะ ไม่ใช่ พระอสั สชใิ นปัญจวัคคีย์ ก็อยใู่ นกิฏาคีร ี แถวเมอื งราชคฤห ์ น่กี ็ เรื่องเยอะ พระฉัพพัคคีย์ ก็มี พวกนี้มีท้ังด้ือด้านและด้ือดึง ก็ม ี เยอะในสมยั พุทธกาล ตัวอย่างผู้ท่ีเม่ือตักเตือนแล้วก็รับด้วยดี ก็มีพระราธะ ที ่ ยกตัวอย่างกันบ่อย พระอานนท์ก็มี พระมหากัสสปตำ� หนิท่าน ๔-๕ เรอื่ งตอนปรนิ พิ พาน แตพ่ ระอานนทก์ ข็ อบคณุ บอกวา่ ผม ไม่เห็นโทษในเรื่องนี้ แต่เมื่อท่านเห็นว่าผมผิด ผมก็ยอมแสดง อาบัติ น่ีก็ถือว่าเป็นผู้ว่าง่าย และพระมหากัสสปก็รักท่านมาก จนพระอานนท์ศีรษะหงอกแล้ว พระมหากัสสปยังเรียกท่านว่า เดก็ นอ้ ยอย ู่ เพราะชอบพอ พระมหากสั สปแกก่ วา่ กเ็ หมอื นคน หนงึ่ อายุ ๘๐ อีกคน ๖๐ ก็ดูยังเด็กอยเู่ รื่อย 36 ผคุ ณู้ มสุ่ งม บสั ตั นิ ข อตงบ ท
คนว่าง่าย ไม่เหมือนกับพวกคนหัวอ่อน พวกน้ีจะไม่ม ี หลกั การ ไมม่ จี ดุ มงุ่ หมาย คอื ใครชกั ไปไหนกไ็ ด ้ จงู ไดง้ า่ ย ลมเพ ลมพัดหรือที่เขาว่ายอดไผ่ต้องลม หรือไม้หลักปักขี้เลน น่ีพวก หัวออ่ น ถา้ เปน็ คนวา่ งา่ ย จะเปน็ คนทมี่ หี ลกั การและมจี ดุ มงุ่ หมาย คอื คนพวกนถ้ี า้ ผดิ หลกั การและจดุ มงุ่ หมาย จะแขง็ ขนึ้ มาทนั ที ดปู กตเิ ปน็ คนสภุ าพ กค็ อื ออ่ นนอกแขง็ ใน กก็ ลายเปน็ ไมว่ า่ งา่ ย แล้วถ้าผิดหลักการ ไม่เอาด้วยแล้ว ถึงใครจะไม่สนับสนุนให ้ ก้าวหน้าก็ยอม แต่มีความภูมิใจ มีความสุข เพราะมีหลักการ และมีจดุ มุง่ หมาย คนว่าง่ายเพราะเห็นแก่ปัจจัย ๔ กับคนว่าง่ายเพราะเห็น แกธ่ รรม อนั นต้ี า่ งกนั นข่ี อ้ ความปรากฏใน กกจปู สตู ร มชั ฌมิ - นกิ าย มูลปณั ณาสก ์ พระไตรปิฎก เล่ม ๑๒ คนว่าง่ายเพราะเห็นแก่ปัจจัย ๔ ก็ถือว่า ถ้าได้ปัจจัย ๔ ถงึ จะเปน็ คนวา่ งา่ ย ถา้ ไมไ่ ดป้ จั จยั ๔ จะเปน็ คนวา่ ยากขน้ึ มาทนั ที อ. ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ 37
แต่คนว่าง่ายเพราะเห็นแก่ธรรม สักการธรรม เคารพ ธรรมนเี้ ปน็ อกี แบบหนง่ึ คอื ถงึ เอาปจั จยั ๔ มาลอ่ กไ็ มเ่ อา แตถ่ า้ ทำ� ไปเพอื่ ความถูกตอ้ งตามธรรมแล้วกเ็ อา มผี ถู้ ามเสมอวา่ ดอ้ื กบั พอ่ แม ่ ถอื วา่ เปน็ คนดไี หม ดกู ว็ า่ นา่ จะไม่เป็นคนดี แต่ผมก็ถามกลับว่า สิ่งท่ีพ่อแม่สอนน้ันถูกหรือ ผดิ ถา้ เผอ่ื สงิ่ ทพ่ี อ่ แมส่ อนนน้ั ผดิ กด็ อื้ ได ้ เพราะถา้ ไปทำ� ตามพอ่ แม่ ทสี่ อนผดิ กแ็ ยก่ วา่ ดอื้ เสยี อกี อยา่ งพอ่ แมส่ อนใหเ้ ปน็ โจร ถา้ ลกู ปฏบิ ตั ิตามก็กลายเปน็ แย่ ต้องไม่ปฏิบัตติ าม อนั นค้ี อื ความมเี งอื่ นไขของธรรมะ ไมไ่ ดห้ มายความวา่ จะ วา่ ไปตามตวั จะวา่ งา่ ยกค็ อื ใครสอนอะไรกท็ ำ� ตาม มนั มเี งอ่ื นไข คือวา่ ใครสอนผดิ หรือสอนถกู หรอื โดยท่สี ดุ ครบู าอาจารย์หรอื สำ� นกั สอนผิดหรอื สอนถกู ถ้าสอนผิดกไ็ มเ่ อา ถา้ สอนถกู กเ็ อา ในพระไตรปิฎกก็มีพูดถึงเร่ืองนี้ ศาสดาที่สอนผิด ถ้า สาวกปฏิบตั ิตามมากเทา่ ใด ก็ช่ัวมากเทา่ นัน้ ถ้าศาสนาสอนถกู สาวกปฏบิ ตั ติ ามมากเทา่ ใด กด็ มี ากเทา่ นนั้ ฉะนน้ั กด็ เู หมอื นวา่ 38 ผคุ ณู้ มสุ่ งม บสั ตั นิ ข อตงบ ท
จะด้ือกับศาสดา แต่สาวกที่เป็นคนมีโยนิโสมนสิการและฉลาด เขารวู้ า่ ศาสดาสอนผดิ เขากไ็ มเ่ อา สาวกคนอน่ื ทไ่ี มฉ่ ลาด กน็ กึ วา่ คนน้ดี ื้อ เปน็ ผวู้ ่ายากสอนยาก ทีจ่ ริงไมใ่ ช่ ในเร่ืองท�ำนายฝันของพระเจ้าปเสนทิโกศล ๑๖ ข้อ พระพุทธเจ้าท่านเล่าให้ฟังว่า มีลูกศิษย์อยู่คนหน่ึง ไม่ท�ำตาม อาจารยท์ ห่ี ลอกลวง หมายถงึ อาจารยต์ อ้ งการจะหลอกลวงพระ ราชาในการทจ่ี ะไปทำ� พธิ บี ชู ายญั เพราะพระราชาฝนั รา้ ย ไดท้ ลู พระราชาไวว้ า่ ฝันแบบนตี้ ้องบูชายัญดว้ ยแพะดว้ ยสัตวต์ า่ งๆ แตม่ ศี ษิ ยค์ นหนงึ่ ของคณะพราหมณ ์ บอกวา่ ทา่ นอาจารย ์ ในต�ำราของเราเคยมีบอกไหมว่า การท่ีจะสะเดาะเคราะห์เอา ชีวิตของเรารอด ด้วยการเอาชีวิตของสัตว์อื่นมาแทน อาจารย์ บอกไม่มี ถ้าอย่างนั้นอาจารย์กราบทูลพระราชาท�ำไมให้บูชายัญ อาจารยบ์ อกวา่ แกยงั เดก็ ไมร่ อู้ ะไร นเ่ี ปน็ ทางไดล้ าภของพวกเรา อ. ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ 39
ลกู ศษิ ยก์ บ็ อก แลว้ แตอ่ าจารยเ์ ถอะ ผมไมเ่ อาดว้ ย ขอลา แลว้ น่ีพระพุทธเจ้าก็ตรัสเล่าให้ฟังว่า ในอดีตก็เคยมีเรื่อง อยา่ งนม้ี าแล้ว เพราะฉะนั้นสรุปว่าความด้ือความว่าง่ายน้ีมันก ็ อยทู่ คี่ วามถกู ตอ้ งดว้ ย การหลอกลวงไมใ่ ชม่ แี ตใ่ นพทุ ธกาล ปจั จบุ นั กย็ งั ม ี สำ� คญั คือวา่ ทางศาสนาก็ดี ทางผู้ใหญก่ ็ดที ี่ปกครองบ้านเมืองต้องสาด แสงสว่างทางปัญญาให้กับประชาชน ให้เขามีปัญญา ให้เขาได้ แสงสว่าง แล้วเขาก็จะไม่เชื่อ ไม่งมงาย ถ้าคนฉลาดแล้ว ความ งมงายมันหมดไปได้ คนมนั มจี ดุ บอดอยทู่ วี่ า่ คนมที ฐิ มิ านะ จะมที ฐิ อิ ยวู่ า่ เราก ็ เกง่ เหมอื นกนั เรากร็ เู้ หมอื นกนั กไ็ มย่ อมใหส้ อน นเี่ ปน็ จดุ บอด อนั หนง่ึ แขง่ ดแี ละไมย่ อมฟงั สง่ิ ทถี่ กู ตอ้ ง ไปตามกระแสเสยี มาก 40 ผคุ ณู้ มสุ่ งม บสั ตั นิ ข อตงบ ท
มีเรือ่ งที่เล่ากันซ�้ำๆ ก็เรอื่ งฝนตกขหี้ มไู หล กม็ ีคนบอกวา่ อยา่ งนนั้ ถกู อยา่ งนผ้ี ดิ พระเจา้ ปยาสกิ ย็ อมรบั ยอมแพพ้ ระกมุ าร กัสสป เมื่อถกปัญหาทางปรัชญากันเรื่องตายแล้วเกิด ตายแล้ว สญู ชาตเิ ดยี วหรอื หลายชาต ิ พระเจา้ ปยาสกิ ย็ อมแพ ้ แตบ่ อกวา่ ผมเปลยี่ นความคดิ ไมไ่ ด ้ เพราะวา่ ใครๆ เขากร็ กู้ นั มานานแลว้ วา่ พระเจา้ ปยาสคิ ิดอย่างนเ้ี ห็นอยา่ งน ้ี เปล่ียนไม่ได้ พระกุมารกัสสปก็เล่านิทานให้ฟัง คนไปหาอาหารหมูไป เจอขี้หมู นึกว่าเป็นอาหารหมู ก็ใส่กระสอบแบกกลับบ้าน เดิน มากลางทางฝนตกขี้หมูไหลก็ไม่ยอมท้ิง บอกว่าแบกมานาน แล้วเสยี ดาย เหมอื นคนทม่ี ที ฐิ มิ านะ มอี หงั การจดั ถอื มานานแลว้ คดิ มานานแล้ว กไ็ ม่ยอมปล่อยไมย่ อมทง้ิ พระกุมารกัสสปก็เทียบว่าพระองค์แบกทิฐิผิดมานาน แล้ว และก็ไม่ยอมทิ้งไม่ยอมปล่อย ก็เทียบหลายเร่ือง จนใน ทีส่ ุดพระเจา้ ปยาสกิ ย็ อมเปลย่ี นความเหน็ อ. ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ 41
อกี รายหนงึ่ คอื สญชยั ปรพิ าชก อาจารยข์ องพระสารบี ตุ ร น่ีก็แบกขี้หมูเหมือนกัน แต่เหตุผลท่านก็เข้าที ยังใช้ได้จนบัดนี ้ คือว่าคนฉลาดก็ไปหาพระพุทธเจ้า คนโง่ก็มาหาเรา ตราบใดท ี่ ยงั มคี นโง่อยู่ อาจารย์กย็ ังมีทางหากนิ อยู่ หลักการในพุทธศาสนาของเราน่ีลึกซ้ึงอย่างน้ี พอมี ประสบการณ์แล้วกลับไปดูค�ำพูดต่างๆ เอามาคิดแล้วชัดเจน อยา่ งทว่ี า่ “มนั เปน็ ชอ่ งทางหาลาภของเรา” คอื อาจารยก์ ร็ วู้ า่ มนั ไมถ่ กู แตเ่ ปน็ ชอ่ งทางทำ� มาหากนิ กเ็ ลยรกั ษาไว ้ ใจไมส่ งู พอทจี่ ะ ละทง้ิ สิ่งท่เี หน็ ว่าไมถ่ ูกต้อง แลว้ ก็มาทำ� สิง่ ที่ถกู ตอ้ ง เคยมเี รอ่ื งเลา่ ทลี่ กู ศษิ ยไ์ ปเรยี นวชิ ากบั อาจารยพ์ อจะจบแลว้ อาจารยบ์ อกวา่ มอี กี วชิ าหนง่ึ จะเรยี นไหม ท�ำอะไรกไ็ ดใ้ หเ้ ปน็ ทอง ลกู ศษิ ยก์ บ็ อกวา่ มนั เปน็ ทองแลว้ อยไู่ ดก้ ปี่ ี อาจารยบ์ อกวา่ อยไู่ ด ้ ๕๐๐ ป ี ลกู ศษิ ยก์ บ็ อกวา่ ถา้ อยา่ งนน้ั ผมไมเ่ รยี น อาจารยบ์ อกวา่ ถ้าอยา่ งนั้น เธอเรยี นสำ� เร็จแลว้ กลับได้ 42 ผคุ ณู้ มสุ่ งม บสั ตั นิ ข อตงบ ท
ทำ� ไมอาจารยจ์ งึ บอกวา่ จบแลว้ อาจารยต์ อ้ งการจะทดลอง ลกู ศษิ ย ์ ถามเหตผุ ลวา่ ทำ� ไมถงึ ไมเ่ รยี น ลกู ศษิ ยก์ บ็ อกวา่ ทำ� ไปแลว้ ถา้ มนั เปน็ ทองไป ๕๐๐ ป ี มนั กก็ ลายเปน็ เหลก็ ตอนอกี ๕๐๐ ป ี ไมร่ มู้ นั ไปอยใู่ นมอื ใคร ทองมนั เปลยี่ นมอื อยเู่ รอื่ ย ถา้ ไปอยใู่ นมอื ใคร คนนน้ั จะขาดทนุ แย่ เพราะทองกลายเป็นเหลก็ ไป อาจารย์ก็มองเห็นคุณธรรมของลูกศิษย์ว่ามีคุณธรรมสูง และมองเหน็ การณไ์ กล ไมไ่ ดม้ องแคป่ นี ี้ ถา้ มวี ชิ าความรอู้ ยา่ งน ้ี และมีคุณธรรมอย่างน้ี ก็ใช้ได้ตรงกับท่ีเราสวดมนต์สรรเสริญ พระสังฆคุณที่ว่า วิชฺชา จรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุเส ขตฺติโย เสฏฺโฐ ชเนตสฺมึ โคตตปฏิสาริโน ในบรรดาคนที่ยัง รังเกียจกันด้วยโคตร ยังถือโคตรอยู่ ผู้ที่เป็นกษัตริย์ประเสริฐ ทสี่ ดุ แตค่ นทถ่ี งึ พรอ้ มดว้ ยความรแู้ ละความประพฤต ิ ประเสรฐิ ทั้งในเทวดาและมนุษย์ อย่างท่านเจ้าคุณพระธรรมปิฎกพูดอยู ่ เสมอวา่ ธรรมตอ้ งเหนอื เทพ คนบชู าเทพกนั มาก แตเ่ ทพกต็ อ้ ง ยอมให้แก่ผูม้ ธี รรม อ. ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ 43
๔ มทุ ุ เปน็ ผูอ้ อ่ นโยน ออ่ นโยน นเี่ ปน็ กริ ยิ าทางกาย ออ่ นหวานเปน็ กริ ยิ าทางวาจา มสี ภุ าษติ บทหนง่ึ กลา่ ววา่ คนทก่ี ลา้ หาญทส่ี ดุ คอื คนทอ่ี อ่ น โยนทส่ี ดุ คนทเี่ ปน็ ผดู้ ที สี่ ดุ ยอ่ มจะสภุ าพทสี่ ดุ หรอื คนกลา้ หาญ ท่ีสุดย่อมอ่อนหวานท่ีสุด คนที่เป็นผู้ดีท่ีสุด ย่อมอ่อนโยนท่ีสุด นเ่ี ปน็ การขยายใหเ้ หน็ ภาพของผู้ออ่ นโยนไดด้ ขี ้นึ อ่อนโยนเปน็ กายกรรม อ่อนหวานเปน็ วจีกรรม ความออ่ นโยนหรอื ออ่ นนอ้ ม เปรยี บเหมอื นรวงขา้ วทเี่ มลด็ เตม็ มนั กจ็ ะนอ้ มลง สว่ นเมลด็ ขา้ วลบี กจ็ ะตงั้ โดข่ นึ้ ไป เหมอื นคน ที่มีคุณธรรม มีคุณสมบัติมากก็จะน้อมลงมา อ่อนน้อมถ่อมตัว ท�ำนองนั้น แต่ถ้าแข็งกระด้างก็จะเป็นคนที่ไม่ค่อยมีอะไร ท่าน เปรยี บเอาไว้อย่างนั้น
๕ อนตมิ านี ไม่ดหู มิ่นผ้อู ่นื กิริยาที่อ่อนโยนหรือวาจาที่อ่อนหวานเป็นเคร่ืองหมายที่ บ่งให้รู้ถึงสภาพจิตใจท่ีราบเรียบสงบ ลองเทียบดูว่าเวลาโกรธ จิตใจก็ไม่อยู่ในสภาพที่ราบเรียบ อาการทางกายทางวาจาก็จะ ผดิ ปกตไิ ป หยาบขน้ึ ถา้ จติ ใจราบเรยี บ กจ็ ะออ่ นโยนออ่ นหวาน คือ ไม่มกี ิเลสประเภทดหู ม่นิ ดูถูก ดูแคลนผอู้ ่ืน ในเรอ่ื งอรยิ วงั สะ ปฏปิ ทา ปฏปิ ทาของผทู้ เ่ี ดนิ ตามอรยิ วงศ ์ มี ๔ ข้อ คอื
๑. สันโดษด้วยอาหาร ถ้าเป็นพระก็คืออาหารบิณฑบาต ถ้าเปน็ ฆราวาส กค็ ืออาหารทวั่ ไป ๒. สนั โดษในจวี ร หรอื เสื้อผา้ ๓. สันโดษในทอ่ี ยูอ่ าศยั หรือเสนาสนะ ๔. ยินดีในภาวนา ตอนสุดท้าย ท่านจะบอกไว้ทุกข้อว่า แม้จะเป็นผู้สันโดษ อยา่ งน ้ี มคี ุณสมบตั ิอยา่ งน ้ี เมอื่ ไม่ได้กไ็ มไ่ ด้เดือดร้อน เมอื่ ไดก้ ็ ไมห่ มกมุ่น ไมต่ ดิ อยู่ในปจั จัยท่ีไดน้ ั้น และไม่ดหู มิ่นผู้อนื่ ไม่ยก ตนข่มผู้อื่น เพราะคุณธรรมอันนั้น เนวตฺตานุกฺกํเสติ โน ปร ํ วมเฺ ภติ ไม่ยกตนข่มผูอ้ ืน่ พระพุทธเจ้าท่านเปรียบเหมือนภิกษุบางรูปท่ีออกไป บณิ ฑบาต แลว้ กไ็ ดบ้ ณิ ฑบาตเตม็ บาตร ยงั ไดร้ บั นมิ นตว์ นั รงุ่ ขน้ึ อีก กลับมาวัดก็มาดูหมิ่นภิกษุท่ีมีลาภน้อย มีอาหารน้อย ไม ่ เหมือนตวั พระพทุ ธเจา้ กเ็ ปรยี บวา่ เหมือนแมลงกดุ จขี่ ี ้ ท่มี นั กนิ อจุ จาระจนเตม็ ทอ้ ง แลว้ ปน้ั เปน็ กอ้ นกลมๆ หอบตดิ หนา้ ทอ้ งไว ้ อกี ไปไหนกห็ อบไปดว้ ย พระพทุ ธเจา้ ทา่ นกท็ รงแสดงเพอื่ ไมใ่ ห้ 48 ผคุ ณู้ มสุ่ งม บสั ตั นิ ข อตงบ ท
ภิกษหุ รอื ใครก็ตามทจ่ี ะยกตนขม่ ขู่หรอื ดูหม่นิ ผอู้ น่ื เป็นข้อหนึ่งในสันตบท หรือธรรมท่ีเป็นไปเพื่อสันตบท เพ่ือจะไม่ดูหม่ินผู้อื่น แม้ในคุณสมบัติที่ตนมี ไม่ต้องพูดถึงไม่มี คุณสมบัติ มสี ภุ าษติ ทเี่ รามกั จะไดย้ นิ กนั อยเู่ สมอวา่ คนทเ่ี หน็ คนเปน็ คนน่ันแหละคน คนที่เห็นคนไม่เป็นคนใช่คนไม่ ก็คือว่าเมื่อเรา เปน็ คนเหมอื นกนั ถา้ ไมเ่ หน็ คนอน่ื เปน็ คน กไ็ มใ่ ชค่ นดว้ ย คอื ไป ด่าลูกน้องว่าไอ้ควายอย่างน้ีนะครับ คนที่ปกครองควายจะเป็น ใคร ก็ต้องเป็นควายด้วย บางคนก็ดูหม่ินผู้อื่น เพราะเห็นว่าเขามีการศึกษาน้อย กวา่ มยี ศนอ้ ยกวา่ มตี ำ� แหนง่ ฐานะนอ้ ยกวา่ ยากจนกวา่ หรอื วา่ ความสวยงามทางร่างกายน้อยกว่า มีชาติตระกูลท่ีต�่ำกว่า เป็นต้น ก็ดหู ม่นิ เขาดว้ ยเหตเุ หลา่ นี้ อตมิ าน ี คอื ยกตนขม่ ผอู้ ่ืน อนตมิ าน ี คอื ไมย่ กตนขม่ ผูอ้ ่ืน อ. ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ 49
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132