แผนการจดั การเรียนรู้ กลุม่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 1 นางสาวธัญญลักษณ์ ดิษฐ์ประสพ
แผนการจดั การเรียนรู้ วิชาวิทยาศาสตร์ (ว 21101) ช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ 1 เสนอ ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.พัชรภี รณ์ บางเขยี ว จัดทำโดย นางสาวธญั ญลักษณ์ ดษิ ฐป์ ระสพ เลขท่ี 8 หมู่เรยี น D5 คณะมนษุ ยศาสตรแ์ ละสังคมศาสตร์ สาขาวชิ าภาษาไทย (ค.บ.5 ปี) รายงานเล่มน้เี ป็นสว่ นหนง่ึ ของรายวชิ าการจัดการเรียนรแู้ ละการจัดการชนั้ เรียน รหสั 1100301 ภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2564 คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั บ้านสมเด็จเจา้ พระยา
คำนำ รายงานเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาการจัดการเรียนรู้และการจัดการชั้นเรียน (110301) โดยมีจดุ ประสงค์เพื่อศึกษากระบวนการเขียนแผนการจดั การเรียนรูจ้ ากแผนการเรียนรู้ ในสถานศึกษาต่าง ๆ เข้าใจการเขียน เพื่อตอบสนองการจัดการศึกษาในศตวรรษที่ 21 กล่าว คือ การจดั การเรยี นการสอนท่เี น้นผู้เรียนเปน็ สำคัญมีจดุ เนน้ ในเร่อื งของการไดล้ งมือปฏิบัติสามารถนำ องค์ความรู้ไปประยุกต์ใช้ได้ในชีวิตประจำวัน กำหนดขอบเขตการศึกษาเป็น 4 ประเด็นหลักคือ แผนจัดการเรียนรู้โครงสร้างรายวิชาตารางวิเคราะห์จุดประสงค์การเรียนรู้และแผนการจัดการ เรียนรู้ที่ 1 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 และ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 ทั้งนี้แผนการจัดการเรียนรู้ที่สำคัญ คือ ผนวกเนื้อหาให้สอดคล้องกับ ทฤษฎใี นหัวข้อตา่ ง ๆ เพื่อความสมบรู ณข์ องเน้ือหาและประสิทธิผลของการสอน ผ้จู ดั ทำได้เลือกหัวข้อน้ใี นการทำงานรายงาน เนอื่ งมาจากเป็นเร่ืองท่มี ีความน่าสนใจรวมถึง เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเรียนสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ด้วย ทั้งนี้ผู้จัดทำ ขอขอบพระคุณ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร. พัชรีภรณ์บางเขียว อาจารย์ประจำรายวิชา ซึ่งเป็นผู้ให้ ความรู้และแนวทางการศึกษาผู้จัดทำหวังว่ารายงานฉบับน้ี จะให้ความรู้และเป็นประโยชน์แก่ ผอู้ า่ นทกุ ๆ ท่าน ธญั ญลักษณ์ ดษิ ฐ์ประสพ ผู้จัดทำ
สารบญั หนา้ 1 เร่อื ง 12 แผนการจัดการเรยี นรรู้ ายปี 13 คำอธบิ ายรายวชิ า 15 ตารางโครงสร้างรายวชิ า 43 แผนการจดั การเรยี นรู้หนว่ ยที่ 1 92 แผนการจดั การเรียนรหู้ นว่ ยที่ 2 130 แผนการจัดการเรียนรู้หนว่ ยท่ี 3 บรรณานุกรม
1 แผนการจดั การเรยี นรู้รายปี สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ รายวิชาวิทยาศาสตร์ ชั้น มัธยมศึกษาปีท่ี 1 ภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2564 เวลา 60 ช่ัวโมง จำนวน 1.5 หน่วยกิต ครูผสู้ อน นางสาวธญั ญลักษณ์ ดษิ ฐป์ ระสพ 1. มาตรฐานการเรยี นรู้/ตวั ชวี้ ัด มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัตขิ องส่ิงมีชีวติ หน่วยพน้ื ฐานของสิ่งมีชวี ติ การลำเลียงสารเขา้ และ ออกจากเซลล์ ความสมั พนั ธข์ องโครงสรา้ งและหน้าทีข่ องระบบตา่ งๆของสัตว์และมนุษย์ที่ทำงานสมั พันธ์ กัน ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหนา้ ทข่ี องอวัยวะตา่ งๆ ของพืชท่ีทำงานสมั พันธ์กัน รวมท้ังนำความรู้ ไปใช้ประโยชน์ ตวั ชวี้ ดั ว 1.2 ม.1/2 ใช้กล้องจุลทรรศนใ์ ช้แสงศึกษาเซลลแ์ ละโครงสรา้ งต่างๆภายในเซลล์ ว 1.2 ม.1/3 อธิบายความสมั พันธร์ ะหวา่ งรูปร่างกับการทำหนา้ ทข่ี องเซลล์ ว 1.2 ม.1/4 อธิบายการจดั ระบบของสง่ิ มชี วี ิต โดยเริ่มจากเซลล์ เนื้อเยอื่ อวยั วะ ระบบ อวัยวะ จนเปน็ ส่งิ มชี ีวติ ว 1.2 ม.1/5 อธบิ ายกระบวนการแพร่และออสโมซสิ จากหลักฐานเชิงประจกั ษ์ และ ยกตวั อยา่ งการแพรแ่ ละออสโมซสิ ในชีวติ ประจำวัน ว 1.2 ม.1/6 ระบปุ ัจจยั ท่ีจำเป็นในการสงั เคราะห์ดว้ ยแสงและผลผลติ ที่เกิดข้ึนจากการ สังเคราะห์ด้วยแสงโดยใช้หลักฐานเชงิ ประจักษ์ ว 1.2 ม.1/7 อธบิ ายความสำคญั ของการสังเคราะหด์ ้วยแสงของพืชต่อส่ิงมีชวี ติ และ ส่งิ แวดลอ้ ม ว 1.2 ม.1/8 ตระหนกั ในคุณค่าของพืชที่มีตอ่ สิ่งมชี วี ิตและสิ่งแวดล้อม โดยการร่วมกันปลกู และดแู ลรักษาต้นไม้ในโรงเรยี น ว 1.2 ม.1/9 บรรยายลักษณะและหน้าท่ีของไซเล็มและโฟลเอม็ ว 1.2 ม.1/10 เขยี นแผนภาพที่บรรยายทิศทางการลำเลียงสารในไซเลม็ และโฟลเอ็มของพืช ว 1.2 ม.1/11 อธิบายการสบื พันธ์แบบอาศัยเพศ และไม่อาศยั เพศของพชื ดอก ว 1.2 ม.1/12 อธิบายลักษณะของโครงสรา้ งของดอกที่มีส่วนทำให้เกิดการถา่ ยเรณู รวมทัง้ บรรยายการปฏสิ นธิของพืชดอก การเกดิ ผลและเมล็ด การกระจายเมล็ด และการงอกของเมลด็
2 ว 1.2 ม.1/13 ตระหนักถึงความสำคัญของสตั ว์ทชี่ ว่ ยในการถา่ ยเรณขู องพืชดอก โดยการไม่ ทำลายชีวิตของสัตวท์ ี่ช่วยในการถา่ ยเรณู ว 1.2 ม.1/14 อธิบายถึงความสำคญั ของธาตุอาหารบางชนิดท่ีมผี ลตอ่ การเจรญิ เตบิ โตของ การดำรงชวี ติ ของพชื ว 1.2 ม.1/15 เลือกใช้ปยุ๋ ท่ีมีอาหารเหมาะสมกับพืชในสถานการณ์ที่กำหนด ว 1.2 ม.1/16 เลอื กวธิ กี ารขยายพันธุ์พชื ให้เหมาะสมกับความต้องการของมนุษย์ โดยใช้ ความรู้เกย่ี วกบั การสบื พนั ธข์ุ องพชื ว 1.2 ม.1/17 อธิบายความสำคญั ของเทคโนโลยีการเพาะเนอ้ื เย่อื พชื ในการใชป้ ระโยชน์ใน ดา้ นต่างๆ ว 1.2 ม.1/18 ตระหนักถึงประโยชนใ์ นการขยายพนั ธ์ุพชื โดยการนำความรู้ไปใชใ้ น ชีวิตประจำวัน มาตรฐานที่ ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสารองค์ประกอบสาร ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งสมบตั ิ ของสารกับโครงสรา้ งและแรงยดึ เหน่ยี วระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลยี่ นแปลง สถานะของสาร การเกิดสารละลาย และการเกิดปฏิกิริยาเคมี ตวั ชี้วัด ว 2.1 ม.1/1 อธิบายสมบตั ิทางกายภาพบางประการของธาตโุ ลหะ อโลหะ และกึ่งโลหะ โดย ใช้หลกั ฐานเชิงประจักษ์ท่ไี ดส้ ังเกตและการทดสอบและใชส้ ารสนเทศที่ไดจ้ ากแหล่งข้อมูลต่างๆ รวมท้ังจัดกลมุ่ เป็นธาตุโลหะ อโลหะ และก่ึงโลหะ ว 2.1 ม.1/2 วเิ คราะหผ์ ลจากการใช้ธาตโุ ลหะ อโลหะ ก่ึงโลหะ และธาตุกัมมนั ตรังสี ที่มตี ่อ สิง่ มชี วี ติ สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจและสังคม จากข้อมูลทรี่ วบรวมได้ ว 2.1 ม.1/3 ตระหนกั ถงึ คณุ คา่ ของการใชธ้ าตุโลหะ อโลหะ กึ่งโลหะ ธาตกุ ัมมันตรังสี โดย เสนอแนวทางการใช้ธาตอุ ย่างปลอดภยั ค้มุ คา่ ว 2.1 ม.1/4 เปรยี บเทยี บจดุ เดือด จุดเหลวของสารบรสิ ทุ ธิ์และสารผสม โดยการวัดอุณหภมู ิ เขยี นกราฟ แปลความหมายข้อมลู จากกราฟ หรือสารสนเทศ ว 2.1 ม.1/5 อธิบายและเปรียบเทยี บความหนาแน่นของสารบริสุทธล์ิ ะสารผสม ว 2.1 ม.1/6 ใช้เคร่ืองมือเพื่อวัดมวลและปริมาตรของสารบรสิ ุทธิ์และสารผสม ว 2.1 ม.1/7 อธิบายเก่ียวกบั ความสมั พันธร์ ะหว่างอะตอม ธาตุ และสารประกอบ โดยใช้ แบบจำลองและสารสนเทศ
3 ว 2.1 ม.1/8 อธิบายโครงสร้างอะตอมที่ประกอบดว้ ย โปรตอน นวิ ตรอน และอิเล็กตรอน โดยใชแ้ บบจำลอง ว 2.1 ม.1/9 อธิบายและเปรียบเทยี บการจัดเรยี งอนุภาคแรงยึดเหนีย่ วระหวา่ งอนภุ าค และ การเคลอ่ื นท่ีของอนุภาคของสสารชนิดเดยี วกันในสถานะของแข็ง ของเหลว และแก๊ส โดยใช้ แบบจำลอง ว 2.1 ม.1/10 อธิบายระหว่างความสมั พันธร์ ะหว่างพลงั งานความร้อนกบั การเปล่ยี นสถานะ ของสสาร โดยใชห้ ลกั ฐานเชิงประจักษ์และแบบจำลอง 2.จุดประสงค์การเรยี นรู้ 2.1 ดา้ นความรู้ (K) 2.1.1 นกั เรยี นสามารถอธิบายเร่อื งเซลล์ได้อย่างถูกต้อง 2.1.2 นักเรียนสามารถบอกโครงสร้างต่างๆภายในเซลลไ์ ด้อยา่ งถูกต้อง 2.1.3 นักเรยี นสามารถอธิบายความสัมพนั ธ์ระหวา่ งรปู ร่างกบั การทำหน้าทีข่ องเซลล์ ได้อย่าง ถกู ต้อง 2.1.4 นกั เรยี นสามารถอธิบายการจัดระบบของสิ่งมชี ีวิต โดยเร่ิมจากเซลล์ เนอ้ื เย่ือ อวัยวะ ระบบ อวยั วะ จนเป็นสงิ่ มีชีวติ ได้อย่างถกู ต้อง 2.1.5 นักเรยี นสามารถอธิบายกระบวนการแพร่และออสซิสโมซิสจากหลกั ฐานเชิง ประจักษ์ได้ 2.1.6 นักเรยี นสามารถอธิบายสมบัติทางกายภาพบางประการของธาตโุ ลหะ อโลหะ และกึ่งโลหะ ไดอ้ ย่างถูกต้อง 2.1.7 นกั เรยี นสามารถวิเคราะหผ์ ลจากการใช้ธาตโุ ลหะ อโลหะ กึ่งโลหะ และธาตุ กมั มันตรงั สี ที่มีตอ่ สง่ิ มชี ีวติ ส่งิ แวดลอ้ ม เศรษฐกิจและสงั คม จากข้อมูลที่รวบรวมได้ 2.1.8 นกั เรยี นสามารถเปรยี บเทยี บจุดเดอื ด จุดเหลวของสาบรสิ ทุ ธิแ์ ละสารผสม โดยการวดั อุณหภมู ิ เขียนกราฟ แปลความหมายข้อมูลจากกราฟ หรือสารสนเทศได้ อย่างถูกต้อง 2.1.9 นกั เรยี นอธบิ ายและเปรียบเทยี บความหนาแน่นของสารบริสุทธล์ิ ะสารผสมได้ อย่างถูกต้อง 2.1.10 นกั เรยี นสามารถบอกวิธีใช้เคร่ืองมือเพ่ือวัดมวลและปรมิ าตรของสารบริสุทธิ์ และสารผสมได้อย่างถกู ต้อง
4 2.1.11 นักเรียนสามารถอธิบายเกี่ยวกับความสัมพนั ธ์ระหว่างอะตอม ธาตุ และ สารประกอบ โดยใช้แบบจำลองและสารสนเทศได้อย่างถกู ต้อง 2.1.12นักเรียนสามารถอธิบายโครงสรา้ งอะตอมท่ีประกอบดว้ ย โปรตอน นวิ ตรอน และอิเล็กตรอน โดยใชแ้ บบจำลอง 2.1.13 นกั เรียนสามารถอธิบายและเปรยี บเทียบการจัดเรียงอนภุ าคแรงยึดเหนี่ยว ระหวา่ งอนภุ าค และการเคล่ือนทข่ี องอนุภาคของสสารชนิดเดยี วกันในสถานะ ของแขง็ ของเหลว และแก๊ส โดยใชแ้ บบจำลองไดอ้ ย่างถูกต้อง 2.1.14 นักเรยี สามารถอธิบายระหวา่ งความสัมพนั ธ์ระหว่างพลังงานความร้อนกบั การเปลย่ี นสถานะของสสาร โดยใชห้ ลักฐานเชิงประจักษ์และแบบจำลองได้อย่าง ถกู ต้อง 2.1.15 นกั เรียนสามารถปัจจัยในการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสงและผลผลิตทีเ่ กดิ ขน้ึ จาก การสงั เคราะห์ดว้ ยแสงโดยใช้หลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ได้ 2.1.16 นักเรียนสามารถอธบิ ายความสำคัญของการสังเคราะห์ด้วยแสงของพชื ตอ่ ส่ิงมีชวี ติ และสง่ิ แวดลอ้ ม 2.1.17 นกั เรยี นสามารถบอกวิธีการปลูกและการดูแลรกั ษาตน้ ไมใ้ นโรงเรียนได้อย่าง ถูกต้อง 2.1.18 นกั เรียนสามารถบอกลกั ษณะของไซเลม็ และโฟลเอ็มได้อย่างถูกต้อง 2.1.19 นักเรียนสามารถอธบิ ายการสืบพันธ์ุแบบอาศยั เพศ และไม่อาศัยเพศของพชื ดอก 2.1.20 นักเรยี นสามารถอธบิ ายลกั ษณะของโครงสร้างของดอกได้อย่างถูกตอ้ ง 2.1.21 นกั เรยี นสามารถอธิบายการปฏสิ นธิของพชื ดอกได้อยา่ งถูกต้อง 2.1.22 นักเรียนสามารถบอกการเกดิ ผลและเมลด็ การกระจายเมลด็ และการงอก งามของเมล็ด 2.1.23 นักเรียนสามารถอธิบายถึงความสำคัญของธาตุอาหารบางชนดิ ทมี่ ผี ลต่อการ เจรญิ เติบโตของการดำรงชวี ติ ของพชื 2.2 ทักษะ (P) 2.2.1 นกั เรียนสามารถศึกษาเซลล์และโครงสร้างของเซลล์โดยใชก้ ลอ้ งจลุ ทรรศนไ์ ด้ อย่างถูกต้อง 2.2.2 นกั เรียนสามารถอภปิ รายความสัมพนั ธร์ ะหว่างรปู ร่างกับการทำหน้าที่ของ เซลลไ์ ด้อยา่ งถูกต้อง
5 2.2.3 นกั เรยี นสามารถนำเสนอการจดั ระบบของสงิ่ มีชีวติ โดยเร่ิมจากเซลล์ เน้อื เยื่อ อวยั วะ ระบบอวยั ะ 2.2.4 นกั เรยี นสามรถยกตัวอยา่ งการแพรแ่ ละออสโมซิสในชวี ิตประจำวันได้อยา่ ง ถกู ต้อง 2.2.5 นกั เรยี นสามารถสังเกตและการทดสอบและใช้สารสนเทศที่ไดจ้ ากแหลง่ ข้อมลู ต่างๆ รวมทัง้ จดั กลุ่มเป็นธาตโุ ลหะ อโลหะ และก่งึ โลหะ 2.2.6 นักเรียนนำเสนอผลจากการใช้ธาตโุ ลหะ อโลหะ ก่ึงโลหะ และธาตุ กมั มันตรงั สีท่มี ตี ่อส่งิ มชี วี ติ สงิ่ แวดล้อม เศรษฐกจิ และสงั คม จากข้อมูลทรี่ วบรวมได้ 2.2.7 นักเรยี นเสนอแนวทางการใชธ้ าตุโลหะ อโลหะ กึ่งโลหะ ธาตุกมั มนั ตรงั สีได้ อย่างปลอดภัย คมุ้ ค่า 2.2.8 นักเรียนสามารถวัดอุณหภูมิ เขียนกราฟ แปลความหมายข้อมลู จากกราฟ หรอื สารสนเทศไดอ้ ยา่ งถูกต้อง 2.2.9 นักเรยี นพดู อภปิ รายความหนาแนน่ ของสารบรสิ ุทธิแ์ ละสารผสมได้อยา่ ง ถูกต้อง 2.2.10 นักเรยี นสามารถใชเ้ ครอื่ งมือเพื่อวดั มวลและปริมาตรของสารบรสิ ุทธแิ์ ละ สารผสม 2.2.11 นกั เรยี นนำเสนอความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งอะตอม ธาตุ และสารประกอบ โดยใช้ แบบจำลองและสารสนเทศ 2.2.12 นกั เรยี นนำเสนอโครงสรา้ งอะตอมทป่ี ระกอบดว้ ย โปรตอน นิวตรอน และ อิเลก็ ตรอน โดยใชแ้ บบจำลอง 2.2.13 นกั เรยี นสามารถนำเสนอการจัดเรยี งอนภุ าคแรงยดึ เหน่ียวระหวา่ งอนุภาค และการเคลื่อนที่ของอนุภาคของสสารชนดิ เดียวกันในสถานะของแข็ง ของเหลว และแกส๊ โดยใช้แบบจำลองได้อย่างถูกต้อง 2.2.14 นักเรยี นนำเสนอความสัมพันธ์ระหว่างพลังงานความรอ้ นกบั การเปลี่ยน สถานะของสสาร โดยใชห้ ลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์และแบบจำลองได้อย่างถูกต้อง 2.2.15 นกั เรยี นสามารถพดู อภิปรายเร่อื งการสบื พนั ธแ์ุ บบอาศัยเพศ และไม่อาศยั เพศ 2.2.16 นกั เรยี นสามารถนำความรใู้ นเรื่องการสังเคราะหด์ ้วยแสงไปใช้ได้ 2.2.17 นักเรียนมีสว่ นรว่ มในปลกู และดแู ลรักษาตน้ ไมใ้ นโรงเรียน
6 2.2.18 นักเรยี นสามารถเขียนแผนภาพทีบ่ รรยายทิศทางการลำเลียงสารในไซเล็ม และโฟลเอ็มของพชื 2.2.19 นกั เรยี นสามารถเลือกใช้ปุย๋ ท่มี อี าหารเหมาะสมกับพืชในสถานการณท์ ่ี กำหนด 2.2.20 นักเรยี นอธบิ ายวิธีการขยายพนั ธ์พุ ืชให้เหมาะสมกับความตอ้ งการของมนุษย์ โดยใช้ความรเู้ กี่ยวกับการสบื พันธขุ์ องพืชได้อยา่ งถูกต้อง 2.2.21 นกั เรียนสามารถอธิบายความสำคญั ของเทคโนโลยีการเพาะเนื้อเยือ่ พืชใน การใชป้ ระโยชน์ในดา้ นตา่ งๆไดอ้ ย่างถูกต้อง 2.3 ดา้ นเจตคติ (A) 2.3.1 นักเรียนเหน็ คณุ ค่าและประโยชนข์ องการใช้กล้องจุลทรรศน์ 2.3.2 นักเรียนเหน็ คณุ ค่าของระบบสิ่งมีชวี ติ 2.3.3 นักเรยี นตระหนกั ถึงคุณค่าของการใช้ธาตุโลหะ อโลหะ ก่งึ โลหะ ธาตุ กัมมันตรังสี โดยเสนอแนวทางการใช้ธาตุอยา่ งปลอดภัย คุ้มคา่ 2.3.4 นกั เรียนตระหนักในคุณคา่ ของพืชท่ีมีตอ่ ส่งิ มชี ีวิตและส่งิ แวดลอ้ ม โดยการ รว่ มกันปลกู และดแู ลรักษาตน้ ไม้ในโรงเรียน 2.3.5 นกั เรียนตระหนักถงึ ความสำคญั ของสัตวท์ ชี่ ว่ ยในการถา่ ยเรณูของพชื ดอก โดยการไมท่ ำลายชีวติ ของสัตวท์ ่ชี ว่ ยในการถา่ ยเรณู 2.3.6 ตระหนกั ถึงประโยชน์ในการขยายพันธ์พุ ชื โดยการนำความรไู้ ปใช้ใน ชีวติ ประจำวัน 3. สาระสำคัญ เซลล์ (cell) เป็นหน่วยทีเ่ ล็กทส่ี ดุ ของสง่ิ มีชีวิต ทั้งส่งิ มีชวี ติ เซลลเ์ ดียวและส่งิ มีชวี ิตหลายเซลล์ ซ่ึงเซลลแ์ ตล่ ะชนดิ มีรูปรา่ งลักษณะท่แี ตกต่างกนั โดยทั่งไปเซลลข์ องสิง่ มชี วี ิตจะมขี นาดเล็กไมส่ ามารถ มองาเห็นได้ด้วยตาเปล่า จึงต้องใชก้ ล้องจลุ ทรรศนใ์ นการศึกษารูปร่างและลักษณะของเซลล์ เซลล์ส่งิ มีชวี ติ มีส่วนประกอบสำคญั 3 ส่วนไดแ้ ก่ เย่ือหุ้มเซลล์ ไซโทพลาซึม และนวิ เคลยี สแต่ เซลลพ์ ชื และเซลล์สัตว์มบี างส่วนประกอบที่แตกตา่ งกัน เช่น เซลลพ์ ืชจะมผี นังหอ่ หุ้มเยอ่ื หุ้มเซลล์อีก หนึ่งชน้ั และมีคลอโรพลาสต์ ทำหนา้ ท่ีสรา้ งอาหารใหแ้ ก่เซลล์ ซึง่ ทัง้ ผนงั เซลลแ์ ละคลอโรพลาสตจ์ ะไม่ พบในเซลล์งสตั ว์ เซลลข์ องสิง่ มชี วี ิตต้องมีกระบวนการนำสารเข้าและออกจากเซลล์ เพอื่ ใชใ้ นกระบวนการ ดำรงชีวติ ของเซลล์ เช่น การแพร่เป็นกระบวนการเคลื่อนท่ีของอนุภาคสารจากบรเิ วณท่ีมคี วามเข้มข้น
7 สูงไปสู่บรเิ วณทม่ี ีความเข้มข้นต่ำ หรอื การออสโมซสิ เป็นกระบวนการเคล่ือนท่ีของโมเลกุลนำ้ จาก บรเิ วณทม่ี ีความเข้มข้นของสารละลายตำ่ ไปสบู่ รเิ วณท่ีมคี วามเขม้ ข้นของสารละลายสูง สารทีอ่ ยรู่ อบตัวเราลว้ นมลี ักษณะเฉพาะตวั ท่แี ตกต่างกันสารบางชนดิ สามารถสงั เกตไดจ้ าก ลักษณะภายนอกของสารได้เช่นสสี ถานะเป็นตน้ ซ่ึงเปน็ สมบตั ิทางกายภาพของสาร แตส่ มบตั ิบางชนิด ของสารเกิดจากการทำปฏิกริ ิยาเคมีทำให้เกดิ สารใหม่ที่มีองคป์ ระกอบแตกต่างไปจากเดิมเชน่ การเผา ไหมก้ ารเกิดสนมิ เป็นต้นซึง่ เป็นสมบตั ทิ างเคมขี องสารการระบวุ ่าสารแตล่ ะชนิดเปน็ สารประเภทใด จำเปน็ ตอ้ งใชส้ มบตั ิของสารมาวเิ คราะห์เชน่ การใช้สถานการณ์ใช้เนอ้ื สารและการใช้ขนาดของอนุภาค มาเป็นเกณฑใ์ นการจำแนกสาร สารท่อี ยรู่ อบตัวเราล้วนมสี มบตั ทิ างกายภาพและสมบตั ิทางเคมที แี่ ตกต่างกันซึ่ง อณุ หภมู ิภายนอกมผี ลต่อสถานะของสารซ่ึงเป็นสมบัตทิ างกายภาพของสารอยา่ งหนึง่ เชน่ น้ำแข็ง (ของแข็ง)เม่ือได้รับความร้อนจะละลายกลายเป็นน้ำ (ของเหลว) เมื่อน้ำได้รบั ความรอ้ นต่อเนือ่ งจะ เดอื ดและระเหยกลายเปน็ ไอ (แก๊ส) เป็นตน้ ซ่ึงความร้อนท่ีทำให้ของแขง็ เปลย่ี นสถานะเป็นของเหลว เรียกว่า ความรอ้ นแฝงของการหลอมเหลวและเรยี กความร้อนทีท่ ำให้ของเหลวเปล่ยี นสถานะเปน็ แกส๊ ว่าความรอ้ นแฝงของการกลายเปน็ ไอ สารทอ่ี ยู่รอบตัวลว้ นประกอบดว้ ยธาตแุ ละสารประกอบธาตุเปน็ สารทป่ี ระกอบด้วย อะตอม เพียงชนิดเดียวเม่ือธาตุมากกว่า 1 ชนดิ มารวมกนั ทางเคมใี นอัตราสว่ นโดยมวลคงท่จี ะได้ สารประกอบท่มี สี มบตั ิแตกต่างจากธาตุทีเ่ ปน็ องค์ประกอบเดมิ ธาตแุ ละสารประกอบจงึ จัดเป็นสาร บรสิ ทุ ธิ์ ธาตุบางชนดิ ท่ีมีเลขอะตอมสูงกว่า 83 สามารถแผ่รงั สีได้อย่างต่อเนื่องเรียกวา่ ธาตุ กัมมนั ตรงั สีเกิดจากนิวเคลยี สในอะตอมของธาตุไมเ่ สถยี รจงึ สลายตวั แลว้ เปลย่ี นไปเป็นธาตุท่ี มีความเสถยี รมากขนึ้ และปล่อยอนภุ าคภายในนวิ เคลียสออกมาในรูปของสีซง่ึ รงั สีทแ่ี ผ่ออกมาเรียกว่า กัมมนั ตภาพรงั สีซึ่งมี 3 ประเภท ได้แก่ อนุภาคแอลฟาอนุภาคบีตาและรงั สีแกมมาซึ่งก่อให้เกิด ประโยชน์และโทษต่อส่ิงมชี วี ิต สารประกอบคือสารบริสุทธท์ิ ่เี กดิ จากอะตอมของธาตุตั้งแต่ 2 ชนดิ ขน้ึ ไปมารวมกนั ทางเคมี โดยอตั ราส่วนโดยมวลคงท่ีและมีสมบัติของสารแตกต่างไปจากสมบตั ิของธาตทุ ี่เป็น องคป์ ระกอบซึง่ สามารถแยกออกเปน็ ธาตุได้ด้วยวธิ กี ารทางเคมี สารผสมเกิดจากสารตั้งแต่ 2 ชนดิ ข้ึนไปมาผสมกันโดยสารผสมบางชนิดผสมเป็น เนื้อเดียวกันเรียกว่าสารละลายซ่ึงประกอบด้วยตัวละลายและตัวทำละลายซ่งึ ตัวทำละลายจะมี ปรมิ าณมากกวา่ และมีสถานะเดยี วกับสารละลายนอกจากน้ีสารผสมบางชนดิ ผสมไม่เปน็ เนอ้ื เดยี วกัน เรียกวา่ สารเน้อื ผสมซ่ึงมี 2 ประเภท ไดแ้ ก่ สารแขวนลอยและคอลลอยด์
8 สารผสมเกดิ จากสารตั้งแต่ 2 ชนดิ ขึน้ ไปมาผสมกนั โดยสารผสมบางชนดิ ผสมเป็น เนอ้ื เดยี วกนั เรยี กวา่ สารละลายซง่ึ ประกอบด้วยตัวละลายและตัวทำละลายซึ่งตัวทำละลายจะมี ปรมิ าณมากกวา่ และมสี ถานะเดียวกับสารละลายนอกจากนี้สารผสมบางชนิดผสมไมเ่ ป็นเนอื้ เดียวกัน เรียกวา่ สารเนื้อผสมซ่ึงมี 2 ประเภทคือสารแขวนลอยและคอลลอยด์ กระบวนการสงั เคราะห์ด้วยแสง (photosynthesis) เปน็ กระบวนการผลิตอาหารของพืชโดย พชื จะใชส้ ารคลอโรฟลิ ล์ท่ีอยใู่ นใบดูดกลืนพลังงานแสงจากดวงอาทิตย์มาเปลย่ี นให้เป็นพลงั งานเคมีใน รปู ของสารอนิ ทรีย์จำพวกนำ้ ตาลโดยมนี ้ำและแก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์เปน็ สารตั้งและไดผ้ ลติ ภัณฑ์ เปน็ นำ้ ตาลกลโู คสน้ำและแกส๊ ออกซิเจนซึง่ สงิ่ มชี ีวติ นำแก๊สออกซเิ จนมาใชใ้ นกระบวนหายใจ พืชสามารถผลิตอาหารไดจ้ ากกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงเพอื่ เปน็ แหลง่ พลังงานให้กับ พชื เพ่ือใชใ้ นการเจริญเตบิ โตเชน่ การเพ่มิ จำนวนเซลลก์ ารขยายขนาดของเซลล์และการเปลี่ยนแปลง รปู ร่างของเซลลไ์ ปทำหน้าทีเ่ ฉพาะต่าง ๆ พชื ใบเลย้ี งเดียวและพืชใบเล้ยี งคู่มีลักษณะท่ีแตกต่างกนั เนื่องจากขัน้ ตอนการเจรญิ เติบโตของรากและลำต้นในพืชทัง้ สองชนิดแตกต่างกนั นอกจากนพ้ี ืช ต้องการธาตุอาหารทีจ่ ำเปน็ หลายชนิดสำหรับการเจรญิ เตบิ โตและการดำรงชวี ติ ของพืช การสบื พนั ธ์แุ บบไม่อาศยั เพศเป็นการขยายพนั ธข์ุ องพชื ท่ีไม่ได้มาจากการปฏิสนธริ ะหว่าง สเปิร์มกับเซลล์ไข่ทำให้พชื ต้นโหม่มลี กั ษณะคลา้ ยกบั ต้นเดิมทุกประการโดยมนุษย์อาศยั หลักการน้มี า ขยายพนั ธพุ์ ืชเพ่ือให้พชื มีลกั ษณะตามทีต่ ้องการโดยการนำส่วนต่าง ๆ ของพืชเช่นรากลำตน้ และโบ เป็นต้นมาทำให้เกิดเป็นตน้ ใหม่ ได้แก่ การปักชำการตดิ ตาการตอนกงิ่ การทาบกิ่งเป็นต้นเพ่ือเพิ่ม มลู คา่ ให้กบั ต้นพืชหรอื ปรับปรุงพนั ธ์ใุ ห้ดีขึ้นนอกจากน้ีพชื สามารถใช้โครงสรา้ งพิเศษจากรากลำต้น และโบขยายพันธ์ุได้ พชื ดอกมดี อกเปน็ อวัยวะสืบพันธุภ์ ายในมสี ่วนประกอบทที่ ำหนา้ ที่สร้างเซลลส์ บื พนั ธ์เุ พศผู้ (สเปริ ์ม) และเซลล์สบื พนั ธ์ุเพศเมยี (เซลล์ไข่) ซง่ึ การปฏสิ นธริ ะหว่างสเปิรม์ กับเซลลไ์ ขจ่ ะเกิดข้ึน ภายในรงั ไข่แลว้ เจริญเปน็ เมล็ดอย่ภู ายในผลเม่อื ถึงเวลาขยายพนั ธุ์เมลด็ ที่อยูภ่ ายในผลจะแตกออก และกระจายไปยังที่ตา่ ง ๆ เมื่ออยูใ่ นสภาวะแวดลอ้ มและมีปัจจัยทเ่ี หมาะสมเมล็ดจะงอกต้นออ่ นทม่ี ี ลักษณะท่ีหลากหลายหรือแตกต่างไปจากต้นพอ่ และตน้ แม่ เทคโนโลยชี ีวภาพของพชื เป็นการนำเอาความรูท้ างดา้ นวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้กบั พืช เพ่ือให้เป็นประโยชนแ์ ละเพียงพอต่อความตอ้ งการของมนุษยเ์ ชน่ การขยายพนั ธพ์ุ ืชด้วยการเพาะเล้ยี ง เนอ้ื เย่ือซ่งึ เปน็ การนำช้ินสว่ นเนือ้ เยื่อของพืชมาเลยี้ งในอาหารสงั เคราะห์การปรับปรุงพนั ธุพ์ ชื และการ ตดั แปรพนั ธุกรรมของพืชโดยใชย้ นื จากสงิ่ มชี วี ติ อ่ืนมาแทรกลงในสารพนั ธกุ รรมของพืชเพ่ือให้ไดผ้ ล ผลิตทม่ี ปี รมิ าณและคุณภาพมากขนึ้
9 4. สาระการเรยี นรู้ 4. 1. การปฏิบตั ใิ นชัน้ เรียนโดยใช้กล้องจุลทรรศน์ศกึ ษาเกีย่ วกับเซลลแ์ ละโครงสร้างของเซลล์ 4.2. ความสมั พนั ธ์รปู ร่างเซลล์และการทำหน้าทีข่ องเซลล์ 4.3. ระบบของส่ิงมชี วี ติ และระบบอวยั วะ จนเป็นสิ่งมีชีวิต 4.4. กระบวนการแพร่และออสโมซสิ จากหลกั ฐาน 4.5. การยกตัวอย่างการแพร่และออสโมซิสในชีวิตประจำวัน เช่น การแพรข่ องกลิน่ อยา่ ง น้ำมนั หอมระเหย ดอกไม้ อาหาร หรือการแพร่ของหยดสีลงบนกระดาษท่ีเปยี กน้ำ 4.6 สมบตั ิทางกายภาพบางประการของธาตุโลหะ อโลหะ และกง่ึ โลหะ 4.7 สมบัติทางกายภาพบางประการของธาตุโลหะ อโลหะ และกงึ่ โลหะ 4.8 การทดสอบและใชส้ ารสนเทศท่ีได้จากแหลง่ ข้อมลู ตา่ งๆ รวมท้งั จดั กลมุ่ เปน็ ธาตโุ ลหะ อโลหะ และก่ึงโลหะ 4.9 การวิเคราะห์ผลจากการใชธ้ าตโุ ลหะ อโลหะ กงึ่ โลหะ และธาตุกมั ตรงั สี 4.10 การปฏบิ ตั ิในช้นั เรยี นโดยการนำเสนอแนวทางการใชธ้ าตุโลหะ อโลหะ ก่ึงโลหะ และ ธาตุกัมมันตรังสี 4.11 การเขียนกราฟเปรยี บเทียบจุดเดอื ด จดุ เหลวของสารบริสทุ ธแ์ิ ละสารผสม 4.12 ความหมายข้อมูลจากกราฟ 4.13 ความหนาแน่นของสารบรสิ ทุ ธแ์ิ ละสารผสม 4.14 การปฏบิ ัติการในช้นั เรยี น โดยใชเ้ ครือ่ งมือเพ่ือวดั มวลและปริมาตรของสารบริสทุ ธแิ์ ละ สารผสม 4.15 ความสัมพันธ์ระหวา่ งอะตอม ธาตุ และสารประกอบ 4.16 การทดลองความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งอะตอม ธาตุและสารประกอบโดยใช้แบบจำลองและ สารสนเทศ 4.18 โครงสรา้ งอะตอมท่ปี ระกอบดว้ ย โปรตอน นวิ ตรอน และอิเล็กตรอน 4.19 การจดั เรียงอนุภาคแรงยดึ เหนี่ยวระหว่างอนภุ าคและการเคล่ือนทข่ี องอนุภาคของสาร ชนดิ 4.20 การอธิบายปัจจยั การสงั เคราะหด์ ้วยแสงโดยใชห้ ลกั ฐาน 4.21 การอธิบายผลผลิตท่ีเกิดข้ึนจากการสังเคราะห์ดว้ ยแสงโดยใช้หลักฐาน 4.22 การอธบิ ายความสำคัญของการสงั เคราะห์ด้วยแสงของพืชต่อสิ่งมชี ีวติ และส่ิงแวดล้อม 4.23 การอธบิ ายวิธีการปลกู และการดูแลรักษาต้นไม้ภายในโรงเรยี น การปฏิบตั ิงานรายกลุ่มรว่ มกันปลูกและดแู ลรักษาต้นไม้ภายในโรงเรียน
10 4.24 การอธบิ ายลักษณะและหน้าท่ขี องไซเล็มและโฟลเอม็ 4.25 การเขยี นแผนภาพทศิ ทางการลำเลียงสารในไซเลม็ และโฟลเอ็มของพืช 4.26 การอธิบายการสบื พันธ์ของพชื ดอก
11 คำอธิบายรายวชิ า ศึกษาเกีย่ วกับสารรอบตวั สมบัติของสารการจำแนกสารดว้ ยสถานะเน้ือสารและขนาด อนุภาคของสารการเปลยี่ นแปลงของสารสารบรสิ ทุ ธแิ์ ละสารผสมสมบัตขิ องสารบรสิ ุทธ์ิและสารผสม การใช้ความร้ทู างเคมีใหเ้ ป็นประโยชนต์ ่อการเลือกใชส้ ารเคมีในชีวิตประจำวนั ได้อย่างเหมาะสมและ ปลอดภยั การศึกษาชีววทิ ยาโดยอาศัยวิธีการทางวทิ ยาศาสตร์ศึกษาประเภทโครงสร้างและหน้าทข่ี อง ส่วนประกอบภายในเซลล์สิง่ มีชีวิตด้วยกลอ้ งจลุ ทรรศนศ์ ึกษากระบวนการลำเลียงสารเข้าและออกจาก เซลลด์ ว้ ยวิธกี ารแพร่และการออสโมซสิ ศึกษาการดำรงชวี ิตของพืชกระบวนการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสง การลำเลยี งสารในพืชการเจริญเตบิ โตของพืชการสืบพันธุ์ของพืชและเทคโนโลยชี ีวภาพของพชื ศึกษา เกยี่ วกบั อุณหภูมแิ ละการวัดผลของความร้อนที่มผี ลต่อการเปลยี่ นแปลงของสารการถ่ายโอนความ ร้อนการดูดกลนื และคายความร้อนสมดลุ ความรอ้ นองคป์ ระกอบของบรรยากาศการแบง่ ช้นั บรรยากาศผลของรังสีจากดวงอาทติ ย์ตอ่ บรรยากาศองค์ประกอบของบรรยากาศ ได้แก่ อุณหภูมิ อากาศความดนั อากาศความช้นื อากาศสมเมฆและฝนพายุฟ้าคะนองพายหุ มนุ เขตร้อนมรสมุ การ พยากรณอ์ ากาศและการเปลย่ี นแปลงภมู ิอากาศของโลก โดยอาศัยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์กระบวนการสบื เสาะหาความรู้การสบื คน้ ข้อมลู การ สงั เกตการวเิ คราะห์การทดลองการอภปิ รายการอธิบายและสรุป เพอ่ื ให้เกดิ ความรคู้ วามคดิ ความเข้าใจมีความสามารถในการตดั สินใจสอ่ื สารสิง่ ทเ่ี รียนร้แู ละ นำความรไู้ ปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวนั มีจติ วิทยาศาสตร์มคี ณุ ธรรมและจริยธรรม ตวั ชวี้ ดั ว 1.2 ม. 1/1 ม. 1/2 ม. 1/3 ม. 1/4 ม. 1/5 ม. 1/6 ม. 1/7 ม. 1/8 ม. 1/9 ม. 1/10 ม 1/11 ม. 1/12 ม 1/13 ม. 1/14 ม. 1/15 ม. 1/16 ม. 1/17 ม. 1/18 ว 2.1 ม. 1/1 ม. 1/2 ม. 1/3 ม. 1/4 ม. 1/5 ม. 1/6 ม. 1/7 ม. 1/8 ม. 1/9 ม. 1/10 ว 2.2 ม. 1/1 ว 2.3 ม. 1/1 ม. 1/2 ม. 1/3 ม. 1/4 ม. 1/5 ม. 1/6 ม. 1/7 ว 3.2 ม. 1/1 ม. 1/2 ม. 1/3 ม. 1/4 ม. 1/5 ม. 1/6 ม. 1/7 รวม 43 ตัวช้ีวัด
12 รายวชิ าวิทยาศาสตร์ โครงสรา้ งรายวชิ า กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ ช้ันมธั ยมศึกษาปที ี่ 1 หน่วยที่ รหสั วิชา ว21101 จำนวน 60 ช่ัวโมง/ 1.5 หน่วยกิต ปกี ารศกึ ษา 2564 ชอื่ หนว่ ยการเรยี นรู้ มาตรฐาน เวลา (ช่ัวโมง) การเรียนร้/ู ตัวช้ีวัด 1 สารรอบตวั 26 1.1 สารและการจำแนกสาร ว 2.1ม.1/9 4 1.2 การเปลยี่ นแปลงของสาร 1.3 ธาตุ ว 2.1ม.1/10 4 -ธาตโุ ลหะ ว 2.1ม.1/1 2 -ธาตอุ โลหะ -ธาตกุ ่งึ โลหะ ว 2.1ม.1/2 -ธาตกุ มั มนั ตรังสี 1.4 สารประกอบอะตอม ว 2.1ม.1/3 -โปรตอน -นิวตรอน ว 2.1ม.1/7 -อิเล็กตรอน 1.5 สมบตั ิของสารบรสิ ทุ ธแิ์ ละสารผสม ว 2.1ม.1/7 2 ว 2.1ม.1/8 2 หน่วยของส่ิงมีชวี ิต ว 2.1ม.1/4 12 2.1 เซลล์ของสิง่ มชี วี ติ ว 2.1ม.1/5 ว 2.1ม.1/6 12 2.2 เซลล์พืชและเซลลส์ ัตว์ 5 2.3 การแพร่และออสโมซสิ ว 1.2ม.1/2 3 การดำรงชวี ติ ของพชื ว 1.2ม.1/3 4 3.1 การสังเคราะดว้ ยแสง ว 1.2ม.1/4 3 ว 1.2ม.1/5 22 3.2 การลำเลียงสารในพชื 4 3.3 การเจริญเติบโตของพชื ว 1.2ม.1/6 ว 1.2ม.1/7 5 ว 1.2ม.1/8 ว 1.2ม.1/9 3 ว 1.2ม.1/10 ว 1.2ม.1/14
13 หนว่ ยที่ ชอ่ื หนว่ ยการเรยี นรู้ มาตรฐาน เวลา (ช่วั โมง) 3.4 การสืบพันธแุ์ บบไม่อาศยั เพศ การเรียนร/ู้ ตวั ช้ีวัด 3.5 การสืบพนั ธุ์แบบอาศยั เพศของพชื ว 1.2ม.1/15 3.6 เทคโนโลยชี วี ภาพของพชื ว 1.2ม.1/11 2 สอบกลางภาค สอบปลายภาค ว 1.2ม.1/16 รวม ว 1.2ม.1/18 ว 1.2ม.1/11 5 ว 1.2ม.1/12 ว 1.2ม.1/13 ว 1.2ม.1/16 3 ว 1.2ม.1/17 1 2 60
14 แผนการเรยี นรู้รายหน่วย หน่วยท่ี 1 เซลลข์ องส่ิงมชี วี ติ
15 แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 1 สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ รายวิชาวิทยาศาสตร์ ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 1 ภาคเรยี นที่ 1 ปกี ารศึกษา 2564 หน่วยการเรียนร้ทู ี่ 1 เรอื่ ง หนว่ ยของส่ิงมีชวี ติ เวลา 12 ช่ัวโมง 1. มาตรฐานการเรยี นร/ู้ ตวั ชีว้ ดั มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐานท่ี ว 1.2 เข้าใจสมบัตขิ องส่งิ มีชวี ติ หน่วยพนื้ ฐานของสง่ิ มีชีวติ การลำเลียงสารเข้า และออกจากเซลล์ ความสัมพันธข์ องโครงสร้างและหนา้ ที่ของระบบต่างๆของสตั ว์และมนษุ ย์ทที่ ำงาน สมั พนั ธ์กนั ความสัมพนั ธ์ของโครงสร้างและหน้าที่ของอวยั วะต่างๆ ของพืชทที่ ำงานสัมพันธ์กัน รวมทั้งนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ ตวั ชี้วดั ว 1.2 ม.1/2 ใชก้ ล้องจลุ ทรรศน์ใชแ้ สงศกึ ษาเซลลแ์ ละโครงสร้างตา่ งๆภายในเซลล์ ว 1.2 ม.1/3 อธบิ ายความสมั พันธ์ระหว่างรูปรา่ งกบั การทำหน้าท่ขี องเซลล์ ว 1.2 ม.1/4 อธบิ ายการจัดระบบของสงิ่ มชี วี ิต โดยเร่มิ จากเซลล์ เนือ้ เยอ่ื อวยั วะ ระบบ อวยั วะ จนเปน็ ส่ิงมชี วี ติ ว 1.2 ม.1/5 อธบิ ายกระบวนการแพร่และออสโมซสิ จากหลักฐานเชงิ ประจักษ์ และ ยกตวั อยา่ งการแพรแ่ ละออสโมซสิ ในชีวิตประจำวัน 2. จดุ ประสงค์การเรียนรู้ ดา้ นความรู้ (K) - นักเรียนสามารถอธบิ ายเร่ืองเซลลไ์ ดอ้ ยา่ งถกู ต้อง -นักเรยี นสามารถบอกโครงสร้างตา่ งๆภายในเซลลไ์ ดอ้ ยา่ งถูกต้อง -นักเรียนสามารถอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างรูปร่างกับการทำหน้าที่ของเซลล์ได้อย่าง ถกู ตอ้ ง -นักเรียนสามารถอธบิ ายการจดั ระบบของส่ิงมชี ีวิต โดยเริ่มจากเซลล์ เนื้อเยื่อ อวัยวะ ระบบ อวยั วะ จนเป็นสิ่งมชี วี ติ ไดอ้ ย่างถกู ต้อง -นักเรียนสามารถอธิบายกระบวนการแพรแ่ ละออสซิสโมซสิ จากหลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ได้ ดา้ นทกั ษะ (P) - นักเรยี นสามารถศกึ ษาเซลล์และโครงสรา้ งของเซลลโ์ ดยใช้กล้องจุลทรรศนไ์ ด้อย่างถูกต้อง
16 -นักเรียนสามารถอภิปรายความสัมพันธ์ระหว่างรูปร่างกับการทำหน้าที่ของเซลล์ได้อย่าง ถูกต้อง -นักเรียนสามารถนำเสนอการจัดระบบของสิ่งมีชีวิตโดยเริ่มจากเซลล์ เนื้อเยื่อ อวัยวะ ระบบอวัยะ -นกั เรียนสามรถยกตวั อย่างการแพรแ่ ละออสโมซสิ ในชวี ติ ประจำวันได้อยา่ งถูกต้อง ดา้ นเจตคติ (A) -นกั เรียนเห็นคุณค่าและประโยชนข์ องการใช้กลอ้ งจุลทรรศน์ -นกั เรียนเหน็ คุณค่าของระบบสิ่งมีชวี ติ 3. สาระสำคญั เซลล์ (cell) เป็นหน่วยท่ีเล็กทสี่ ุดของสิง่ มีชวี ิต ท้งั ส่งิ มีชีวิตเซลล์เดียวและส่ิงมชี ีวิตหลายเซลล์ ซง่ึ เซลลแ์ ตล่ ะชนิดมีรูปร่างลกั ษณะที่แตกต่างกัน โดยทั่งไปเซลล์ของสิง่ มชี วี ติ จะมีขนาดเลก็ ไม่สามารถ มองาเหน็ ได้ด้วยตาเปล่า จึงต้องใชก้ ล้องจลุ ทรรศน์ในการศกึ ษารปู ร่างและลักษณะของเซลล์ เซลล์สิง่ มชี วี ติ มีส่วนประกอบสำคัญ 3 สว่ นไดแ้ ก่ เยอ่ื หุ้มเซลล์ ไซโทพลาซมึ และนวิ เคลียสแต่ เซลล์พืชและเซลล์สัตว์มีบางส่วนประกอบที่แตกต่างกัน เช่น เซลล์พืชจะมีผนังห่อหุ้มเยื่อหุ้มเซลล์อีก หนง่ึ ชัน้ และมคี ลอโรพลาสต์ ทำหนา้ ทสี่ ร้างอาหารให้แกเ่ ซลล์ ซึ่งท้งั ผนงั เซลลแ์ ละคลอโรพลาสต์จะไม่ พบในเซลลง์ สัตว์ เซลล์ของสิ่งมีชีวิตต้องมีกระบวนการนำสารเข้าและออกจากเซลล์ เพื่อใช้ในกระบวนการ ดำรงชวี ติ ของเซลล์ เชน่ การแพรเ่ ป็นกระบวนการเคลอ่ื นท่ขี องอนุภาคสารจากบรเิ วณท่ีมีความเข้มข้น สูงไปสู่บริเวณที่มีความเข้มข้นต่ำ หรือการออสโมซิสเป็นกระบวนการเคลื่อนที่ของโมเลกุลน้ำจาก บรเิ วณทมี่ ีความเขม้ ขน้ ของสารละลายต่ำไปสบู่ รเิ วณท่มี ีความเข้มข้นของสารละลายสงู 4. สาระการเรยี นรู้ 1. การปฏบิ ัติในชนั้ เรยี นโดยใช้กล้องจลุ ทรรศน์ศึกษาเก่ยี วกบั เซลลแ์ ละโครงสรา้ งของเซลล์ 2. ความสมั พนั ธร์ ูปร่างเซลลแ์ ละการทำหนา้ ท่ขี องเซลล์ 3. ระบบของสิ่งมชี วี ิต และระบบอวยั วะ จนเปน็ ส่งิ มชี วี ิต 4. กระบวนการแพร่และออสโมซิสจากหลักฐาน 5. การยกตัวอย่างการแพร่และออสโมซิสในชีวิตประจำวัน เช่น การแพร่ของกลิ่นอย่างน้ำมันหอม ระเหย ดอกไม้ อาหาร หรอื การแพรข่ องหยดสีลงบนกระดาษที่เปยี กนำ้
17 5. สมรรถนะสำคญั ของผู้เรียน (เฉพาะทีเ่ กดิ ในหน่วยการเรียนรนู้ ้ี) ความสามารถในการสื่อสาร ความสามารถในการคดิ ความสามารถในการแกป้ ัญหา ความสามารถในการใชท้ ักษะชีวติ ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี 6. ทกั ษะของผเู้ รียนในศตวรรษท่ี 21 (3R 8C + 2L) (จุดเน้นสกู่ ารพฒั นาคณุ ภาพผู้เรียน) ทกั ษะการอา่ น (Reading) ทักษะการ เขยี น (Writing) ทักษะการ คิดคำนวณ (Arithmetic) ทกั ษะด้านการคดิ อย่างมีวจิ ารณญาณและทักษะในการแก้ปญั หา (Critical thinking and problem solving) ทักษะดา้ นการสร้างสรรค์และนวตั กรรม (Creativity and innovation) ทักษะดา้ นความรว่ มมือ การทำงานเป็นทีม และภาวะผู้นำ (Collaboration , teamwork and leadership) ทักษะดา้ นความเขา้ ใจต่างวฒั นธรรม ต่างกระบวนทัศน์ (Cross-cultural understanding) ทักษะดา้ น การส่ือสาร สารสนเทศ และรเู้ ท่าทนั ส่อื (Communication information and media literacy) ทกั ษะดา้ นคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอื่ สาร (Computing) ทกั ษะอาชีพและทักษะการเรียนรู้ (Career and learning self-reliance, change) ทักษะการเปล่ียนแปลง (Change) ทักษะการเรียนรู้ (Learning Skills) ภาวะผ้นู ำ (Leadership) 7.ชิ้นงานหรือภาระงาน ( หลกั ฐาน / รอ่ งรอยแสดงความรู้ ) - แบบทดสอบก่อนเรียน - ใบงาน - ใบงานบันทึกท้ายกิจกรรม
18 8. การจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ หนว่ ยที่ 1 หนว่ ยของสิ่งมีชีวิต ชัว่ โมงที่ 1- 5 (ใช้รปู แบบการเรียนรู้แบบสบื เสาะหาความรู้) ข้นั ท่ี 1 การสร้างความสนใจ (Engagement) 1. ครูใหน้ ักเรียนทำแบบทดสอบกอ่ นเรยี น เพ่อื วัดความรู้เดิมของนกั เรยี นกอ่ นเข้าสู่ บทเรยี น 2. ครกู ระตุน้ ความสนใจของนักเรียนเกี่ยวกบั เรื่องทจ่ี ะเรยี นวนั น้ี โดยใหเ้ รยี นดูภาพสง่ิ มีชีวติ เซลลเ์ ดียวและสิง่ มีชวี ติ หลายเซลล์ จาก PPT จากนัน้ ครตู ้งั คำถามวา่ สง่ิ ท่ีเลก็ ท่ีสดุ ใน รา่ งกายของเราคอื อะไร แลว้ ให้นักเรียนระดมความความคิดในการตอบคำถาม ขน้ั ท่ี 2 การสำรวจและค้นหา (Exploration) 1.การสำรวจและค้นหา 1.1 ครูตง้ั คำถามเพือ่ ทบทวนความรเู้ ดมิ วา่ สิ่งมชี วี ติ แตกต่างจากสง่ิ ไม่มชี วี ติ อยา่ งไร เพราะ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ 1.2 ครถู ามคำถามเพื่อโยงเขา้ สู่หวั ข้อทจ่ี ะเรยี นว่า ร่างกายของสิง่ มีชวี ติ แตล่ ะชนดิ จะมี โครงสรา้ งและจำนวนเซลลใ์ นการดำรงชวี ิตเหมอื นกันหรือไม่ 1.3 ครูใหน้ กั เรยี นศึกษาวีดิทัศนก์ ารเคลื่อนท่ีของพารามีเซียมกับการเคล่ือนทขี่ องสตั ว์ แล้ว ให้นกั เรยี นอภปิ รายเปรียบเทียบความแตกตา่ งระหว่างสิ่งมีชวี ติ ทั้งสองชนดิ ในประเด็นของจำนวน เซลลแ์ ละการทำงานรว่ มกนั ของเซลลท์ ม่ี ีผลต่อการเคลื่อนท่ี 1.4 ครูใหน้ กั เรยี นศึกษา เรื่อง ประเภทเซลล์ของส่งิ มชี ีวติ ในหัวขอ้ ส่ิงมชี ีวติ เซลล์ และ ยกตัวอย่างภาพสิ่งมีชีวติ จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ ม.1 เล่ม 1 หน้าท่ี 29 2.การสำรวจและค้นหา 2.1 ครถู ามคำถามเพ่ือโยงเข้าสูห่ ัวข้อถดั ไปว่าเซลลต์ า่ ง ๆ ท่ีอยูบ่ นร่างกายของเรามรี ูปร่าง และหน้าท่เี หมือนกันหรอื ไมอ่ ยา่ งไร 2.2 ครูให้นักเรียนศึกษาตัวอย่างสงิ่ มชี ีวติ หลายเซลลเ์ ช่นพืชสตั ว์เป็นต้นโดยใหน้ กั เรียนศกึ ษา รูปรา่ งและหนา้ ที่ของเซลลจ์ าก PPT หรือหนังสอื เรียนวิทยาศาสตร์ม. 1 เล่ม 1 หนา้ ที่ 30-31 2.3 ครใู ห้นกั เรียนจับกลุ่มกลุ่มละ 4-5 คนรว่ มกันยกตวั อย่างเซลลข์ องส่งิ มชี วี ิตมา 10 ชนดิ พร้อมอธิบายความสัมพันธร์ ะหว่างรูปรา่ งกบั หน้าที่ของเซลลช์ นดิ น้นั แลว้ ส่งตวั แทนออกมานำเสนอ หน้าชนั้ เรียน
19 3.การสำรวจและค้นหา 3.1 ครถู ามคำถามเกร่นิ นำเข้าสหู่ ัวข้อทจ่ี ะเรียนวา่ เราจะศึกษารปู ร่างและลักษณะเซลล์ของ สง่ิ มชี วี ติ เซลล์เดยี วและเซลล์ของสงิ่ มีชีวติ หลายเซลล์ไดอ้ ย่างไร 3.2 ครูนำเข้าสู่บทเรยี นโดยการเลา่ ประวัติของรอเบริ ์ตฮคุ พอสังเขป พร้อมทั้งอธิบาย เพิ่มเติมเก่ียวกบั กลอ้ งจลุ ทรรศน์ท่รี อเบริ ต์ ฮุค เปน็ ผูผ้ ลิตขน้ึ เพ่อื ใช้ในการศึกษาเซลล์จากนน้ั ครตู ง้ั คำถามเพื่อกระตนุ้ ความสนใจของนักเรยี นวา่ เซลล์ที่รอ เบริ ์ตฮคุ คน้ พบมลี ักษณะอย่างไร 3.3 ครูอธิบายสว่ นประกอบของกล้องจลุ ทรรศนจ์ าก PPT หรอื หนงั สือเรยี นวิทยาศาสตร์ม 1 เล่ม 1 หน้าท่ี 32 3.4 ครสู าธิตการใชง้ านกล้องจุลทรรศน์แบบใชแ้ สงตามขั้นตอนทถ่ี ูกต้องจาก PPT หรอื หนังสือเรยี นวิทยาศาสตร์ม. 1 เล่ม 1 หน้าที่ 33 3.5 ครูแจกใบงานที่ 2.1 เรอื่ งเซลล์ของส่ิงมีชวี ิตแลว้ ให้นกั เรยี นศกึ ษาคำช้ีแจงในโบงาน 3.6 ครใู หน้ ักเรยี นจบั กลุ่มกลุ่มละ 4-5 คนฝึกปฏิบตั ิใชง้ านกลอ้ งจลุ ทรรศน์โดยใชส้ ไลด์ ตวั อย่างทจี่ ดั เตรียมไวแ้ ลว้ ได้แก่ พารามีเซียมยูกลนี าเซลล์เมด็ เลอื ดแดงเซลลอ์ สุจิเซลล์ประสาทเซลล์ คมุ เป็นตน้ โดยแต่ละกลุม่ จะไดร้ ับสไลด์ตัวอยา่ งที่แตกตา่ งกันจากนัน้ ครูให้นักเรยี นแตล่ ะกลุ่มสงั เกต รปู ร่างแล้ววาดภาพและบรรยายลักษณะและหนา้ ทขี่ องเซลล์แตล่ ะชนิดลงในใบงานท่ี 2.1 เรือ่ งเซลล์ ของสิ่งมชี ีวิต ข้ันที่ 3 การอธิบายและลงข้อสรปุ (Explanation) 1. ครสู ุ่มเลอื กนักเรียน 4 คนออกมานำเสนอใบงานที่ 2.1 หนา้ ชน้ั เรยี นโดยนกั เรียนแตล่ ะคน นำเสนอในหัวข้อดังนี้ นักเรียนคนที่ 1 นำเสนอขัน้ ตอนการใช้กลอ้ งจลุ ทรรศน์ นกั เรยี นคนท่ี 2 นำเสนอความแตกตา่ งระหวา่ งสง่ิ มชี วี ติ เซลลเ์ ดียวกับส่งิ มีชวี ิตหลายเซลล์ นกั เรียนคนท่ี 3 และ 4 นำเสนอความสมั พนั ธ์ระหวา่ งรูปร่างของเซลล์ต่อการทำหนา้ ท่ีของเซลลจ์ าก สไลดต์ ัวอยา่ ง 2. ครูอธบิ ายเพิ่มเติมเพอ่ื เสริมความเขา้ ใจหลงั จากนักเรยี นแตล่ ะคนนำเสนอจบ ขัน้ ท่ี 4 การขยายความรู้ (Elaboration) 1. ครูให้นกั เรียนทำแบบฝกึ หัดลงในแบบฝึกหดั วิทยาศาสตร์ม. 1 เล่ม 1 ตรวจสอบผล (Evaluate)
20 ข้ันที่ 5 การประเมิณผล (Evaluation) 1. ครตู รวจใบงานที่ 2.1 เร่ืองเซลล์ของส่งิ มีชวี ิต 2. ครตู รวจแบบฝึกหัดในแบบฝกึ หัดวทิ ยาศาสตรม์ . 1 เล่ม 1 3. ครูประเมนิ พฤติกรรมการทำงานรายกล่มุ จากการศึกษาองค์ประกอบและการใช้งานของ กลอ้ งจุลทรรศน์ 4. ครูประเมนิ การนำเสนอใบงานโดยใช้แบบประเมินการนำเสนอผลงาน ช่ัวโมงท่ี 6 - 9 (ใชร้ ูปแบบการเรียนรู้แบบสบื เสาะหาความรู)้ ข้ันที่ 1 การสรา้ งความสนใจ (Engagement) 1. ครูตัง้ คำถามกระตนุ้ ความคิดนกั เรียนวา่ เซลลพ์ ืชและเซลล์สตั วม์ ลี กั ษณะเหมือนหรือ ตา่ งกันอย่างไรแล้วให้นักเรียนชว่ ยกนั ระดมความคดิ ในการตอบคำถาม ขั้นที่ 2 การสำรวจและค้นหา (Exploration) 1.สำรวจและคน้ หา 1. ครูให้นักเรยี นศึกษาแผนภาพโครงสรา้ งของเซลล์สิง่ มชี ีวิตทง้ั เซลลร์ และเซลลส์ ัตวจ์ าก PPT หรือหนังสอื เรยี นวทิ ยาศาสตร์ม. 1 เลม่ 1 หน้าที่ 34-35 จากน้นั ครูอธบิ ายเพ่ิมเตมิ เกีย่ วกับโครงสรา้ ง พน้ื ฐานสำคัญของสิง่ มีชวี ิตพอสังเขป 2. ครูถามคำถามทกั ษะการคิดขน้ั สงู (H.O.T.S.) วา่ ถ้าเซลล์ไมม่ นี วิ เคลยี ส สง่ิ มีชวี ติ จะ สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกตหิ รือไม่ 2.สำรวจและคน้ หา 1. ครูใชร้ ูปแบบการเรยี นรู้แบบสส่ี หายมา จดั กระบวนการเรียนรู้ โดยให้นกั เรียนแบง่ กลุ่ม กลุม่ ละ 4 คนทำกจิ กรรม รปู ร่างและส่วนประกอบของเซลล์พืชและเซลล์สัตวใ์ นหนงั สอื เรียน วทิ ยาศาสตร์ 1.1 เลม่ 1 หนา้ ที่ 36 37 เพ่ือสงั เกตรูปรา่ งลักษณะของเซลลภ์ ายใต้กล้องจุลทรรศน์ พรอ้ มวาดภาพสว่ นประกอบที่เห็นภายไดก้ ล้องจุลทรรศนแ์ ละเปรียบเทียบกับแผนภาพของเซลล์ ซง่ึ ระบุสว่ นประกอบสำคญั ของเซลล์ ดังนี้ สมาชกิ 2 คน: ศกึ ษาสไลด์ของเซลล์พืช เช่น เซลลใ์ บสาหรา่ ยหางกระรอกเซลล์เยื่อหอม เปน็ ตน้ สมาชิก 2 คนศึกษาสไลด์ของสงิ่ มีชวี ิตหลายเซลล์ เชน่ เซลลเ์ ยื่อบุข้างแก้ม เป็นต้น 2. ครใู หน้ กั เรยี นแตล่ ะกลุ่มเปรยี บเทยี บเซลลพ์ ืชและเซลลส์ ตั วท์ ่สี ังเกตเห็นภายใตก้ ล้อง จลุ ทรรศน์ และอภิปรายผลรว่ มกนั ว่าเซลลพ์ ชื และเซลล์สตั ว์มสี ว่ นประกอบใดทเ่ี หมอื นกัน และ ส่วนประกอบใดทแ่ี ตกต่างกนั และอธบิ ายหน้าทข่ี องสว่ นประกอบต่าง ๆ ของเซลล์ พรอ้ มทง้ั ตอบ คำถามทา้ ยกิจกรรมลงในแบบฝึกหดั วทิ ยาศาสตร์ ม. 1 เล่ม 1
21 ขน้ั ที่ 3 การอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) 1. ครูสุ่มเลอื กนักเรยี น 2-3 กลุม่ ออกมานำเสนอข้อมลู การเปรียบเทยี บเซลลพ์ ืชและเซลล์ สตั วแ์ ละอธบิ ายหนา้ ท่ีของสว่ นประกอบตา่ ง ๆ ของเซลลแ์ ละตอบคำถามท้ายกจิ กรรม 2. ครแู ละนกั เรยี นรว่ มกนั อภิปรายผลจากการทำกิจกรรมและเฉลยคำตอบจากคำถามท้าย กจิ กรรมในแบบฝกึ หัดวิทยาศาสตร์ ม. 1 เลม่ 1 ข้ันท่ี 4 การขยายความรู้ (Elaboration) 1. ครูต้ังคำถามเพ่ือต่อยอดการทำกิจกรรมวา่ นอกจากรูปร่างของเซลลท์ แี่ ตกต่างกันแล้ว นกั เรียนคดิ ว่าเซลล์พชื และเซลล์สตั ว์มอี ะไรทแี่ ตกต่างกนั 2. ครูใหน้ กั เรยี นรว่ มกันสรปุ และทำแผ่นพบั เรื่องเซลลพ์ ชื และเซลลส์ ัตว์ในประเดน็ ตา่ ง ๆ ดงั น้ีโครงสรา้ งและหน้าท่สี ว่ นประกอบต่าง ๆ ของเซลล์และความแตกตา่ งระหวา่ งเซลลพ์ ืชและเซลล์ สตั ว์ 3.ครูใหน้ ักเรียนทำแบบฝกึ หดั ในแบบฝกึ หัดวทิ ยาศาสตร์ม. 1 เล่ม 1 ขั้นท่ี 5 การประเมิณผล (Evaluation) 1. ครูตรวจแบบฝึกหัดในแบบฝึกหดั วทิ ยาศาสตร์ม. 1 เล่ม 1 2. ครูประเมินการทำกิจกรรมเรื่องรูปรา่ งและสว่ นประกอบของเซลล์พชื และเซลล์สัตว์โดยใช้ แบบประเมนิ การปฏิบตั ิการ 3. ครปู ระเมนิ พฤติกรรมการทำงานรายกล่มุ ช่ัวโมงที่ 10 - 12 (ใช้รูปแบบการเรยี นรู้แบบสบื เสาะหาความร้)ู ขน้ั ท่ี 1 การสรา้ งความสนใจ (Engagement) 1. ครถู ามคำถามเพื่อกระตุ้นความสนใจและทบทวนความรู้ของนักเรียนว่าพชื สามารถดดู น้ำและแรธ่ าตุจากดินเขา้ ส่ลู ำต้นผ่านอวัยวะใด ขั้นที่ 2 การสำรวจและค้นหา (Exploration) 1.การสำรวจและค้นหา 1. ครใู หน้ ักเรียนศึกษาหลักการแพรแ่ ละตัวอยา่ งการแพรท่ ่ีเกิดข้ึนในชีวติ ประจำวนั และใน สิ่งมชี ีวิต
22 2. ครูให้นกั เรยี นศึกษากระบวนการแพร่ของสารผา่ นเข้าและออกจากเซลลเ์ ม่ือความเขม้ ข้น ของสารภายนอกและภายในเซลล์แตกต่างกันรวมถงึ ปัจจัยทีม่ ผี ลต่อการแพร่ของสารในหนงั สอื เรียน วทิ ยาศาสตรม์ . 1 เลม่ 1 หนา้ ท่ี 39-40 จากนัน้ ครอู ธบิ ายเพ่ิมเตมิ 3. ครูใหน้ กั เรยี นแบ่งกลมุ่ กลุ่มละ 4-5 คนทำกิจกรรมการแพร่ของด่างทบั ทิมในน้ำตาม หนงั สือเรียนวิทยาศาสตรม์ . 1 เล่ม 1 หน้าท่ี 41 แล้วใหน้ กั เรยี นสงั เกตและบนั ทึกผลที่ได้จากกิจกรรม ลงในแบบฝกึ หัดวิทยาศาสตร์ม. 1 เลม่ 1 ขัน้ ท่ี 3 การอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) อธิบายความรู้ (Explain) 1. ครสู ุม่ เลอื กนักเรียน 2-3 กลมุ่ ออกมานำเสนอผลการอภิปรายจากกจิ กรรมการ แพร่ของดา่ งทบั ทิมในน้ำและตอบคำถามท้ายกิจกรรม 2. ครูและนกั เรียนรว่ มกันอภิปรายผลจากการทำกิจกรรมและเฉลยคำตอบของ คำถามทา้ ยกจิ กรรม สรุปขยายความเขา้ ใจ (Expand) 1. ครูให้นักเรยี นทำกิจกรรมท้าทายความคิดขั้นสูง (H.O.T.S. ) ในแบบฝกึ หัด วิทยาศาสตร์ม. 1 เล่ม 1 2.การสำรวจและค้นหา 1. ครูทบทวนความร้เู ดมิ จากชว่ั โมงทแ่ี ลว้ เกีย่ วกบั กระบวนการแพร่ของสารพอสงั เขป 2. ครใู ห้นักเรียนศึกษาหลกั การออสโมซสิ และตัวอย่างการออสโมซิสท่ีเกิดขึน้ ในส่งิ มชี ีวติ และ ในชีวติ ประจำวันรวมถงึ ปัจจยั ทมี่ ผี ลตอ่ การออสโมซิสของน้ำในหนังสอื เรยี นวทิ ยาศาสตร์ม. 1 เลม่ 1 หน้าท่ี 42 จากนนั้ ครูอธิบายเพิ่มเตมิ 3. ครูใหน้ กั เรียนแบ่งกลมุ่ กลุ่มละ 4-5 คนทำกิจกรรมการแพร่ผ่านเย่อื เลือกผ่าน เพ่ือศึกษา การออสโมซสิ ของน้ำในสารละลายซโู ครสผ่านเยอื่ เลือกผ่านตามหนงั สือเรยี นวทิ ยาศาสตร์ม. 1 เลม่ 1 หน้าที่ 43 แลว้ ให้นักเรียนสังเกตและบนั ทึกผลที่ไดจ้ ากกจิ กรรมลงในแบบฝกึ หัดวทิ ยาศาสตรม์ . 1 เลม่ 1 ข้ันที่ 3 การอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) 1. ครสู ่มุ เลือกกลมุ่ นกั เรียน 2-3 กลมุ่ ออกมานำเสนอผลจากการทำกจิ กรรมเร่อื งการแพร่ผา่ น เยือ่ เลอื กผา่ นแล้วใหน้ ักเรยี นตอบคำถามท้ายกจิ กรรมในแบบฝึกหัดวิทยาศาสตรม์ . 1 เล่ม 1 2. ครใู หน้ ักเรียนแตล่ ะกลมุ่ ร่วมกันอภิปรายถึงการออสโมซิสของน้ำในสารละลายซูโครสผา่ น เย่ือเลือกผ่านสาเหตุท่ที ำให้ระดบั ของเหลวในหลอดแกว้ เพิ่มข้ึนและสิง่ ท่สี งั เกตได้จากกิจกรรมพร้อม เฉลยคำตอบท้ายกจิ กรรมในแบบฝกึ หดั วิทยาศาสตรม์ . 1 เล่ม 1
23 ขนั้ ท่ี 4 การขยายความรู้ (Elaboration) 1. ครูถามคำถามนักเรยี นวา่ การแพร่และการออสโมซิสมีความแตกต่างกนั อย่างไร 2. ครูใหน้ ักเรียนแบ่งกลุม่ กลุ่มละ 4-5 คนจดั ทำรายงานเร่ืองการแพรแ่ ละการออสโมซสิ และ ยกตัวอย่างการแพรแ่ ละการออสโมซิสในชวี ิตประจำวนั มาอย่างนอ้ ย 5 เหตุการณ์ และอธิบายความ สอดคลอ้ งของเหตุการณ์ที่เกิดข้ึนกบั หลกั การของการแพร่และการออสโมซิส ลงในเลม่ รายงาน 3.ครูให้นกั เรียนทำแบบฝกึ หัดลงในแบบฝกึ หัดวทิ ยาศาสตร์ ม.1 เล่ม 1 ขั้นที่ 5 การประเมณิ ผล (Evaluation) 1. ครูตรวจสอบผลจากการทำรายงานในหัวขอ้ เรื่องการแพร่และการออสโมซสิ 2. ครูตรวจแบบฝึกหดั ในแบบฝกึ หัดวิทยาศาสตรม์ . 1 เล่ม 1 3. ครตู รวจแบบทดสอบท้ายหนว่ ยที่ 2 ในแบบฝึกหดั วิทยาศาสตรม์ . 1 เลม่ 1 4. ครตู รวจแบบทดสอบท้ายเล่มในแบบฝกึ หดั วทิ ยาศาสตร์ม. 1 เลม่ 1 9. ส่ือการสอน 1. หนังสือเรียนวทิ ยาศาสตร์ ม.1 เล่ม 1 2. แบบฝกึ หัดวิทยาศาสตร์ ม.1 เล่ม 1 3. ใบงานที่ 2.1 เร่ืองเซลล์ของสง่ิ มชี ีวติ 4. กล้องจลุ ทรรศน์ 5. PowerPoint นำเสนอภาพนงิ่ สิ่งมีชวี ติ หลายเซลล์ และรูปรา่ งของเซลลใ์ นสง่ิ มชี ีวติ หลาย เซลล์ 6. PowerPoint นำเสนอภาพส่วนประกอบและขนั้ ตอนการใชก้ ล้องจลุ ทรรศน์แบบใช้แสง 7. สไลด์สิ่งมีชวี ิตตวั อยา่ ง เช่น พารามเิ ซยี ม เซลล์เม็ดเลือดแดง เซลลอ์ สจุ ิ เปน็ ตน้ 8. สไลดต์ ัวอย่างของเซลล์พชื และเซลลส์ ัตว์ 9. อปุ กรณ์การทดลอง เรอ่ื ง การแพร่ของดา่ งทบั ทิมในน้ำ 10. อุปกรณ์การทดลอง เรอ่ื ง การแพร่ผา่ นเย่ือเลอื กผา่ น 10. แหล่งเรียนรใู้ นหรือนอกสถานท่ี 1. ห้องเรยี น 2. ห้องปฏบิ ตั กิ าร
24 11. การวดั และประเมนิ ผล ช้ินงาน / ภาระงาน วธิ ีวดั เครอ่ื งมือวดั เกณฑ์การให้คะแนน เกณฑก์ ารประเมนิ 1. แบบทดสอบก่อน-หลังเรยี น ตรวจ แบบทดสอบ ตอบคำถามถูกตอ้ งจงึ จะได้ คะแนน9–10= ดมี าก หน่วยท่ี 2 เรื่องหนว่ ยของ ส่ิงมชี วี ติ แบบทดสอบ กอ่ น-หลัง คะแนน คะแนน6–8= ดี กอ่ น-หลงั เรยี น เรยี น คะแนน3–5= พอใช้ คะแนน0–2= ปรบั ปรงุ ผ่านเกณฑใ์ นระดับดีขึ้นไป 2. ใบงาน2.1เรื่องเซลลข์ อง ตรวจใบงาน ใบงาน ตอบคำถามถกู ตอ้ งตามใบ คะแนน9–10= ดมี าก สง่ิ มชี วี ิต งานทม่ี อบหมาย คะแนน6–8= ดี คะแนน3–5= พอใช้ คะแนน0–2= ปรบั ปรงุ ผ่านเกณฑ์ในระดบั ดขี ึ้นไป 3. ใบงานท้ายกจิ กรรมเร่ืองเซลล์ ตรวจใบงาน ใบงาน ตอบคำถามถกู ต้องตามใบ คะแนน9–10= ดีมาก พชื และเซลล์สตั วแ์ ตกต่างกนั งานทม่ี อบหมาย คะแนน6–8= ดี อยา่ งไร คะแนน3–5= พอใช้ คะแนน0–2= ปรบั ปรงุ ผ่านเกณฑ์ในระดับดขี น้ึ ไป 4. ใบงานท้ายกิจกรรมเรื่อง ตรวจใบงาน ใบงาน ตอบคำถามถกู ตอ้ งตามใบ คะแนน9–10= ดมี าก อนุภาคสารมีการเคลอ่ื นไหว งานทมี่ อบหมาย คะแนน6–8= ดี อยา่ งไร คะแนน3–5= พอใช้ คะแนน0–2= ปรบั ปรุง ผา่ นเกณฑใ์ นระดับดีขน้ึ ไป 5. ใบงานทา้ ยกิจกรรมเรื่องนำ้ ตรวจใบงาน ใบงาน ตอบคำถามถูกต้องตามใบ คะแนน9–10= ดีมาก เคลือ่ นทผี่ า่ นเยือ่ เลอื กผ่านได้ งานท่มี อบหมาย คะแนน6–8= ดี อย่างไร คะแนน3–5= พอใช้
25 6. แผน่ พับเรื่องเซลล์พืชเซลล์ ตรวจแผ่นผบั แผ่นผบั คะแนน0–2= ปรบั ปรงุ สตั ว์ ผ่านเกณฑ์ในระดบั ดขี ้ึนไป พิจารณาความถูกต้องของ คะแนน9–10= ดมี าก 7.รายงานเรอ่ื งการแพร่และการ ตรวจรายงาน รายงาน ข้อมลู และความสวยงามใน คะแนน6–8= ดี ออสโมซสิ การตกแต่งแผน่ พบั คะแนน3–5= พอใช้ คะแนน0–2= ปรบั ปรงุ ผ่านเกณฑ์ในระดบั ดีขึ้นไป พจิ ารณาความถกู ตอ้ งของ คะแนน9–10= ดีมาก ขอ้ มลู และการนำความรูไ้ ป คะแนน6–8= ดี ใช้ คะแนน3–5= พอใช้ คะแนน0–2= ปรบั ปรุง ผ่านเกณฑ์ในระดับดีขน้ึ ไป
26 จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ วธิ วี ัด เคร่ืองมือวัด เกณฑก์ ารให้ เกณฑก์ ารประเมิน หรอื ส่งิ ท่ีตอ้ งการจะวดั และ คะแนน สังเกตพฤตกิ รรม แบบสังเกตพฤตกิ รรม ประเมนิ ผล รายบคุ คล ตารางเกณฑ์การ ผา่ นเกณฑต์ ั้งแต่ระดับปานกลาง 1. นักเรยี นสามารถอธิบายเร่อื ง ใหค้ ะแนน ขน้ั ไป เซลลไ์ ดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง พฤติกรรมการ เรียนรู้ ผา่ นเกณฑต์ ัง้ แต่ระดับปานกลาง 2. นกั เรยี นสามารถบอก สงั เกตพฤติกรรม แบบสงั เกตพฤติกรรม ตารางเกณฑ์การ ขน้ั ไป โครงสร้างตา่ งๆภายในเซลล์ได้ รายบุคคล ให้คะแนน อยา่ งถูกต้อง พฤติกรรมการ ผา่ นเกณฑต์ ั้งแตร่ ะดบั ปานกลาง เรยี นรู้ ขน้ั ไป 3. นักเรียนสามารถอธบิ าย สงั เกตพฤตกิ รรม แบบสงั เกตพฤตกิ รรม ตารางเกณฑ์การ ใหค้ ะแนน ผ่านเกณฑ์ตง้ั แต่ระดบั ปานกลาง ความสัมพันธ์ระหว่างรปู ร่างกับ รายบคุ คล พฤติกรรมการ ขั้นไป เรยี นรู้ การทำหนา้ ทขี่ องเซลลไ์ ดอ้ ย่าง ตารางเกณฑ์การ ให้คะแนน ถกู ต้อง พฤติกรรมการ เรียนรู้ 4. นักเรียนสามารถอธบิ ายการ สังเกตพฤติกรรม แบบสังเกตพฤตกิ รรม จัดระบบของสง่ิ มีชีวติ โดยเร่ิม รายบคุ คล จากเซลล์ เน้ือเยือ่ อวัยวะระบบ อวยั วะจนเปน็ สิ่งมีชวี ิตไดอ้ ยา่ ง ถกู ต้อง 5. นกั เรียนสามารถอธิบาย สังเกตพฤติกรรม แบบสังเกตพฤตกิ รรม ตารางเกณฑ์การ ผา่ นเกณฑ์ต้งั แตร่ ะดับปานกลาง ใหค้ ะแนน ขั้นไป กระบวนการแพรแ่ ละออสซสิ โม รายบุคคล พฤติกรรมการ เรียนรู้ ผา่ นเกณฑ์ตง้ั แตร่ ะดับปานกลาง ซิสจากหลกั ฐานเชงิ ประจักษไ์ ด้ ตารางเกณฑ์การ ขัน้ ไป ให้คะแนน 6. นกั เรียนสามารถศึกษาเซลล์ สังเกตพฤติกรรม แบบสังเกตพฤตกิ รรม พฤตกิ รรมการ เรียนรู้ และโครงสรา้ งของเซลลโ์ ดยใช้ รายบุคคล กลอ้ งจลุ ทรรศน์ได้อย่างถูกต้อง
27 7. นักเรียนสามารถอภปิ ราย สงั เกตพฤตกิ รรม แบบสังเกตพฤตกิ รรม ตารางเกณฑ์การ ผ่านเกณฑต์ ้งั แตร่ ะดบั ปานกลาง ความสมั พนั ธ์ระหว่างรปู ร่างกับ รายบุคคล ใหค้ ะแนน ขัน้ ไป การทำหน้าท่ีของเซลล์ได้อยา่ ง พฤตกิ รรมการ ถกู ตอ้ ง เรยี นรู้ ผ่านเกณฑต์ ัง้ แตร่ ะดบั ปานกลาง ตารางเกณฑ์การ ขนั้ ไป 8.นักเรียนสามารถนำเสนอการ สงั เกตพฤติกรรม แบบสังเกตพฤตกิ รรม ใหค้ ะแนน พฤตกิ รรมการ ผา่ นเกณฑ์ตง้ั แตร่ ะดบั ปานกลาง จัดระบบของสิ่งมีชีวิตโดยเริ่ม รายบุคคล เรยี นรู้ ขนั้ ไป จากเซลล์ เนื้อเยื่อ อวัยวะ ตารางเกณฑ์การ ให้คะแนน ผา่ นเกณฑ์ตง้ั แตร่ ะดบั ปานกลาง ระบบอวัยะ พฤตกิ รรมการ ขั้นไป เรยี นรู้ 9. นักเรยี นสามรถยกตัวอยา่ งการ สงั เกตพฤตกิ รรม แบบสงั เกตพฤตกิ รรม ตารางเกณฑก์ าร ผ่านเกณฑต์ ง้ั แตร่ ะดบั ปานกลาง ใหค้ ะแนน ขน้ั ไป แพร่และออสโมซิสใน รายบคุ คล พฤติกรรมการ เรียนรู้ ชวี ิตประจำวนั ไดอ้ ย่างถกู ต้อง ตารางเกณฑ์การ ให้คะแนน 10. นักเรยี นเห็นคณุ คา่ และ สังเกตพฤติกรรม แบบสงั เกตพฤติกรรม พฤติกรรมการ ประโยชน์ของการใชก้ ล้อง รายบุคคล เรียนรู้ จลุ ทรรศน์ 11. นักเรียนเหน็ คุณค่าของ สงั เกตพฤตกิ รรม แบบสังเกตพฤติกรรม ระบบสง่ิ มชี ีวติ รายบคุ คล
28 สมรรถนะสำคญั ของผูเ้ รยี น วธิ วี ดั เครื่องมือวดั เกณฑก์ ารให้ เกณฑ์การประเมิน คะแนน 1. ความสามารถในการส่ือสาร สังเกต แบบสังเกต ตารางเกณฑ์การให้ ผา่ นเกณฑต์ งั้ แต่ พฤตกิ รรมการ คะแนนสมรรถนะ ระดบั ปานกลางข้นึ ปฏบิ ตั งิ าน สำคญั ของผเู้ รียน ไป รายบุคคล 2. ความสามารถในการคดิ สงั เกต แบบประเมินใบงาน ตารางเกณฑ์การให้ ผา่ นเกณฑ์ต้ังแต่ คะแนนสมรรถนะ ระดับปานกลางขน้ึ สำคัญของผเู้ รียน ไป 3. ความสามารถในการแกป้ ญั หา สงั เกต แบบสงั เกต ตารางเกณฑ์การให้ ผ่านเกณฑ์ตง้ั แต่ พฤติกรรมการ คะแนนสมรรถนะ ระดบั ปานกลางข้ึน ปฏิบัตงิ าน สำคญั ของผเู้ รยี น ไป รายบุคคล 4. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี สงั เกต แบบสังเกต ตารางเกณฑ์การให้ ผ่านเกณฑ์ตง้ั แต่ พฤติกรรมการ คะแนนสมรรถนะ ระดบั ปานกลางขึ้น ปฏิบัตงิ าน สำคญั ของผ้เู รียน ไป รายบุคคล
29 ทกั ษะของผู้เรยี นในศตวรรษที่ 21 วิธีวัด เครอ่ื งมอื วดั เกณฑก์ ารให้ เกณฑก์ ารประเมนิ 1. ทักษะการอา่ น(Reading) สงั เกต คะแนน แบบประเมินด้าน ทักษะและ ตารางเกณฑก์ ารให้ ผา่ นเกณฑต์ ั้งแต่ กระบวนการ คะแนนของทกั ษะ ระดับปานกลางขน้ึ แบบประเมินดา้ น ทักษะและ ของผเู้ รยี นใน ไป กระบวนการ ทศวรรษท่ี 21 แบบประเมินดา้ น 2. ทกั ษะดา้ นการคิดอยา่ งมี สังเกต ทักษะและ ตารางเกณฑก์ ารให้ ผ่านเกณฑ์ตั้งแต่ วิจารณญาณและทกั ษะในการ สังเกต กระบวนการ แก้ปัญหา (Critical thinking and สงั เกต คะแนนของทกั ษะ ระดบั ปานกลางขึ้น problem solving) แบบประเมินดา้ น 3. ทักษะดา้ นความรว่ มมือการ ทกั ษะและ ของผเู้ รยี นใน ไป ทำงานเป็นทมี และภาวะผนู้ ำ กระบวนการ (Collaboration , teamwork and ทศวรรษท่ี 21 leadership) 4. ทกั ษะการเรยี นรู้ (Learning ตารางเกณฑ์การให้ ผ่านเกณฑ์ตั้งแต่ Skills) คะแนนของทกั ษะ ระดบั ปานกลางขนึ้ ของผเู้ รียนใน ไป ทศวรรษท่ี 21 ตารางเกณฑก์ ารให้ ผ่านเกณฑ์ตั้งแต่ คะแนนของทกั ษะ ระดบั ปานกลางขึ้น ของผู้เรยี นใน ไป ทศวรรษท่ี 21 12. กจิ กรรมเสนอแนะ ............................................................................................................................. .......................................... ......................................................................................... .............................................................. ................ ............................................................................................................................. ..........................................
30 13. บนั ทกึ ผลหลังการสอน สรุปผลการเรยี นการสอน นกั เรยี นท้งั หมดจำนวน.....................คน จุดประสงคก์ ารเรียนรขู้ อ้ จำนวนนกั เรยี นทผ่ี ่าน จำนวนนกั เรยี นที่ไม่ผา่ น ที่ จำนวนคน ร้อยละ จำนวนคน รอ้ ยละ 1 2 3 14. ปัญหา/อปุ สรรค/แนวทางแก้ไข ............................................................................................................................. .................................. ............................................................................................... ................................................................ ............................................................................................................................. .................................. ............................................................................................................................. ................................... 15. ข้อเสนอแนะ ............................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ................................... ลงชือ่ ........................................................................ () ตำแหน่ง ครู วทิ ยฐานะ ....................................... ลงชอ่ื ................................................................ หัวหนา้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ () ลงชอื่ .......................................................... รองผู้อำนวยการกลุ่มบริหารวิชาการ ()
31 ความเหน็ ของหัวหน้าสถานศกึ ษา ไดท้ ำการตรวจแผนการเรยี นรู้ของ....................................................แล้วมีความคิดเหน็ ดังน้ี 1. เป็นแผนการจัดการเรยี นรู้ที่ ดีมาก ดี พอใช้ ควรปรับปรุง 2. การจดั กิจกรรมได้นำเอากระบวนการเรยี นรู้ เน้นผู้เรยี นเป็นสำคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม ยังไมเ่ นน้ ผ้เู รยี นเป็นสำคัญ ควรปรับปรงุ พัฒนาต่อไป 3. ข้อเสนอแนะอ่นื ๆ ............................................................................................................................. ........................... ........................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ........................... ............................................................................................................................. ........................... ลงชอ่ื ............................................................................................... ( ………………………………………………… ) ผู้อำนวยการโรงเรียน…………………………………………………………..
32 แบบทดสอบก่อน-หลงั เรยี น หนว่ ยการเรียนร้ทู ี่ 2 คำชแี้ จง : ให้นักเรยี นเลือกคำตอบที่ถูกต้องทสี่ ุดเพยี งข้อเดยี ว 6. เซลลพ์ ืชแตกต่างจากเซลล์สัตวอ์ ยา่ งไร 1. สิ่งทีเ่ ล็กทส่ี ุดในร่างกายส่งิ มีชีวติ ทกุ ชนิด ก. เซลล์พชื มผี นงั เซลล์ คอื ข้อใด ข. เซลลพ์ ชื มีเย่อื หุ้มเซลล์ ก. เนื้อเยอื่ ค. อวัยวะ ค. เซลลม์ ผี นงั เซลล์ ข. เซลล์ ง. ระบบอวยั วะ ง. เซลล์พืชและเซลล์สตั วไ์ ม่มีส่ิง 2. ส่ิงมชี วี ติ ในข้อใด ไม่ใช่ สง่ิ มชี ีวติ เซลลเ์ ดยี ว ใดแตกต่าง ก. อะมบี า ค. ยกู ลีนา ข. พารามิเซียม ง. ไฮดรา 7. ออรแ์ กเนลล์ชนดิ ใดพบสิ่งมีชีวิต 3. ส่งิ มีชวี ิตชนิดใดแตกต่างจากพวก ทุกชนดิ ก. แบคทีเรีย ค. พยาธิ ข. พารามิเซียม ง. ไดอะตอม ก. นวิ เคลยี ส ค. ผนังเซลล์ 4. ขอ้ ใดกล่าวถึงลักษณะและหน้าทข่ี องเซลล์ ข. คลอโรพลาสต์ ง. เซนทริโอล ไดส้ ัมพนั ธ์กนั 8. เซลลใ์ นขอ้ ใดไม่พบคลอโรพลาสต์ ก. เมด็ เลอื ดแดงไม่มนี วิ เคลยี สเพ่ือจบั กบั ก. เซลลใ์ บว่านกาบหอย ออกซิเจน ข. เซลลใ์ บสาหร่ายหางกระรอก ข. เซลล์อสุจิมสี ่วนท่ียาวชว่ ยในการ ค. เซลล์เย่อื หวั หอมแดง เคลือ่ นที่ ง. เซลลใ์ บวา่ นหางจระเข้ ค. วิลลสั มีส่วนทีค่ ล้ายน้ิวมอื ช่วยเพ่มิ 9. ข้อใด ไมใ่ ช่ การแพร่ของสารในสง่ิ มชี วี ิต พ้นื ท่ีผวิ ในการดูดซมึ ก. การแพร่ของแกส๊ ออกสิเจน ง. เซลล์ประสาทเปน็ เส้นใยยาวทำหน้าที่ ข. การแพร่ของแกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ รบั -ส่งกระแสประสาท 5. อุปกรณใ์ ดที่ชว่ ยวนิ จิ ฉัยโรคทเี่ กดิ จาก ทีป่ ากใบพชื แบคทีเรีย ค. การดูดซึมแร่ธาตุในดินของพืช ก. แวน่ ขยาย ค. กลอ้ งจุลทรรศน์ ง. การเปดิ -ปดิ ปากใบพืช ข. กลอ้ งโทรทัศน์ง.กลอ้ งถา่ ยรูป 10. เย่อื เลอื่ นผ่านมรีสมบัตยิ อมใหส้ ารชนดิ ใดผ่านได้ ก. นำ้ ตาล ค. โปรตนี ข. นำ้ ง. โซเดียมไอออน
33 ใบงาน 2.1 เรือ่ ง เซลล์ของส่งิ มีชีวิต คำชแ้ี จง จงวาดภาพเซลล์ หรอื สิ่งมีชีวติ ภายใตก้ ล้องจุลทรรศน์ และอธิบายลักษณะหรือ หน้าท่ขี องเซลล์ ส่งิ มีชีวติ ชนดิ น้ันลงในตารางให้สมบูรณ์ ภาพทเี่ หน็ ภายใต้กล้องจุลทรรศน์ ประเภทของเซลล์ ลกั ษณะ/หนา้ ที่ของเซลล์ (เซลล/์ สิง่ มีชีวติ ) ภาพวาดรูปรา่ งของเซลล์ ช่ือ ช่ือ…………………………………………………นาสกุล……………………………….เลขท่ี…….ชน้ั …………………
34 คำถามทา้ ยกิจกรรม เรอ่ื ง เซลล์พืชและเซลล์สัตวแ์ ตกต่างกันอย่างไร คำช้ีแจง : ใหน้ กั เรียนสงั เกตเซลล์พืชและเซลล์สตั ว์จากกล้องจลุ ทรรศน์ แล้ววาดรูปลงชอ่ งส่ีเหลี่ยม เซลลพ์ ชื และเซลล์สัตว์ และตอบคำถามท้ายกิจกรรมให้ถูกตอ้ งสมบูรณ์ ตอนที่ 1 เซลล์พืช เซลล์เย่ือหอมแดง เซลลส์ าหร่ายหางกระรอก 1. เซลลพ์ ชื ทงั้ 2 ชนิด มีรูปร่างลกั ษณะเปน็ อยา่ งไร และมีโครงสรา้ งอะไรบา้ ง ตอบ............................................................................................................................. ..................... ............................................................................................................................. ............................ ....................................................................................... .................................................................. ............................................................................................................................. ............................. 2. เซลล์พืชท้ัง 2 ชนดิ เหมอื นหรือแตกต่างกันอยา่ งไร ตอบ.......................................................................................................................... .......................... ....................................................................................... ..................................................................... ............................................................................................................................. ............................... 3. จากกิจกรรมสรุปได้ว่าอย่างไร ตอบ.......................................................................................................................... ........................... ............................................................................................................................. ................................ .................................................................................................. ............................................................
35 ตอนท่ี 2 เซลล์สัตว์ เซลล์เยื่อบขุ ้างแก้ม 1. เซลล์สตั ว์มีรปู รา่ งลกั ษณะเป็นอย่างไร และมโี ครงสรา้ งอะไรบา้ ง ตอบ.......................................................................................................................... ........................ .......................................................................................................... ............................................... ............................................................................................................................. ............................ ......................................................................................................................................................... 2. จากกจิ กรรม สรปุ ได้วา่ อย่างไร ตอบ......................................................................................................................... ........................ ............................................................................................................................. ............................ ......................................................................................................................................................... 3. จากกิจกรรมทง้ั 2 ตอน สรุปได้วา่ อยา่ งไร ตอบ.......................................................................................................................... ........................ ............................................................................................................................. ............................ ...................................................................................................... .................................................... ............................................................................................................................. ............................. .......................................................................................................................................................... ชือ่ …………………………………………………นาสกลุ ……………………………….เลขที่…….ชนั้ …………………
36 คำถามทา้ ยกจิ กรรม เรอ่ื ง อนภุ าคสารมีการเคลอื่ นทอี่ ยา่ งไร คำช้แี จง : ให้นักเรียนทำกิจกรรมการแพรด่ า่ งทับทิม โดยสังเกตการณเ์ ปลย่ี นแปลงของสาร แล้ว นำมาตอบคำถามลงในใบงานใหส้ มบูรณ์ การแพร่ของดา่ งทับทิม 1. เมือ่ ใสเ่ กลด็ ด่างทับทิมลงในน้ำ มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรต้ังแตเ่ ร่ิมต้นจนครบเวลาท่ีกำหนด ตอบ.......................................................................................................................... ..................... ........................................................................................................ .............................................. …………………………………………………………………………………………………………………………………….. 2. การกระจายของสดี า่ งทบั ทิมมที ิศทางใดบ้าง ตอบ……………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………….. 3. ถา้ วางบีกเกอร์ท่ีมีเกลด็ ด่างทบั ทิมต่อไปอีก 2 ชว่ั โมง สารสะลายในบีกเกอร์มีลักษณะอย่างไร ตอบ………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………… 4. จากกิจกรรม สรปุ ได้ว่าอย่างไร ตอบ……………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………………………………………. ชื่อ…………………………………………………นาสกลุ ……………………………….เลขที่…….ชน้ั …………………
37 คำถามทา้ ยกจิ กรรม เรือ่ ง นำ้ เคลอ่ื นทผี่ ่านเยอื่ เลอื กผา่ นได้อยา่ งไร คำชี้แจง : ใหน้ กั เรียนทำกจิ กรรมการแพร่ผ่านเย่อื เลือกผ่าน โดยสังเกตการณ์เปลีย่ นแปลงของสาร แล้วนำมาตอบคำถามลงในใบงานใหส้ มบูรณ์ การแพรผ่ ่านเยื่อเลอื กผา่ น 1. หลังจากตง้ั ชุดการทดลองทง้ิ ไว้ 30 นาที ระดบั ของเหลวในหลอดแก้มมกี ารเปลย่ี นแปลงหรือไม่ อยา่ งไร ตอบ……………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. 2. ในกิจกรรมน้ีมีการเคลื่อนที่ของสารใด และเคลื่อนท่ีอย่างไร ตอบ ……………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. เขียนภาพการแสดงการเคล่อื นทข่ี องสารในชุดการทดลองได้อย่างไร ตอบ 4. จากกจิ กรรม สรุปได้ว่าอย่างไร ตอบ……………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ช่ือ…………………………………………………นาสกลุ ……………………………….เลขท่ี…….ชัน้ …………………
38 เกณฑก์ ารให้คะแนนการจดั ทำรายงาน ประเด็นการประเมิน คะแนน ดมี าก(4) ดี (3) พอใช้ (2) ปรับปรุง (1) 1. การกำหนดหวั ข้อให้ กำหนดหวั ขอ้ กำหนดหวั ขอ้ กำหนดหวั ขอ้ กำหนดหวั ข้อไม่ น่าสนใจ นา่ สนใจอย่างมาก คอ่ นขา้ งน่าสนใจ ค่อนข้างไมน่ ่าสนใจ น่าสนใจ 2. การจัดรูปแบบ จัดรูปแบบ จัดรูปแบบรายงาน จัดรปู แบบรายงาน จดั รูปแบบรายงาน รายงาน รายงานได้ดมี าก ไดด้ ี องคป์ ระกอบ คอ่ นข้างดี มี ไดไ้ ม่ดี มี องค์ประกอบครบ ถูกต้องเปน็ สว่ น องคป์ ระกอบท่ผี ิด องค์ประกอบทีผ่ ดิ ถูกตอ้ งครบถ้วน ใหญ่ บางประเดน็ เป็นสว่ นใหญ่ ทกุ ประเด็น 3. ความถกู ต้องของ เน้อื หาทใ่ี ชม้ ี เนื้อหาท่ีใชม้ คี วาม เน้ือหาท่ีมคี วาม เนอ้ื หาที่ใช่ไม่มี เน้อื หา ความถกู ตอ้ งและ ถูกตอ้ งและ ถกู ต้องและ ความถกู ต้องและไม่ สอดคล้องกับ สอดคล้องกบั หัวขอ้ สอดคลอ้ งกับขอ้ หวั สอดคล้องกับหัวข้อ หัวขอ้ ทกุ ประเด็น เป็นสว่ นใหญ่ ค่อนข้างน้อย 4.ระบุแหลง่ ข้อมูล มกี ารระบุ มีการระบุ มีการระบุ ไมม่ กี ารระบุ หรืออา้ งอิงในรายงาน แหล่งข้อมูลหรอื แหล่งขอ้ มลู หรือ แหลง่ ข้อมลู หรือ แหลง่ ข้อมูลหรอื อา้ งอิงทชี่ ักดเจน อ้างอิงทีค่ ่อนขา้ ง อ้างองิ ทไ่ี มช่ ดั เจน อา้ งอิงไวใ้ นรายงาน และนา่ เช่อื ถือ ชัดเจนและ และคอ่ นข้างไม่ มาก คอ่ นข้างน่าเช่อื ถือ น่าเช่อื ถือ 5. การสง่ งานตรงต่อ สง่ งานตามเวลาท่ี ส่งงานล่าช้ากวา่ ส่งล่างานชา้ กว่า สง่ งานล่าช้ากวา่ เวลา กำหนด กำหนด1-2วัน กำหนด3-5วัน กำหนดเกนิ 5วนั เกณฑก์ ารประเมนิ การจดั ทำรายงาน คะแนน ระดบั คุณภาพ 16-20 ดีมาก 11-15 ดี 6-10 พอใช้ 0-5 ปรับปรุง
39 เกณฑก์ ารประเมินพฤตกิ รรมการเรยี นรู้รายบคุ คล พฤติกรรมการเรียนรู้ ลำดับ ชอื่ - นามสกุล ความเขา้ ใจ คดิ คำนวณ นำความรูไ้ ปใช้ 543215432154321 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 ระดบั คณุ ภาพ : ดมี าก (5) ดี (4) ปานกลาง (3) พอใช้ (2) ปรบั ปรุง (1) เกณฑก์ ารประเมนิ : มีผลการประเมินในระดบั ปานกลางขนึ้ ไป จงึ จะผ่านเกณฑก์ ารประเมนิ ลงช่ือ....................................................................ผปู้ ระเมนิ วนั ท่.ี ............./............................/.................
40 เกณฑก์ ารให้คะแนนสมถนะสำคัญของผู้เรียน พฤติกรรมบ่งช้ี ดีมาก(5) คะแนน ดี (4) ปานกลาง(3) พอใช้ (2) ปรบั ปรงุ (1) 1. ความสามาถใน มคี วามสามารถใน มคี วามสามารถใน มคี วามสามารถใน มีความสามารถใน มคี วามสามารถใน การสื่อสาร การส่อื สารได้ดี การส่ือสารได้ การสอ่ื สารได้ การสอื่ สารได้ การส่อื สารไมด่ ี เย่ยี มชดั เจน คอ่ นขา้ งดี คอ่ นขา้ งไมด่ ี 2. ความสามารใน มีความสามารถใน มคี วามสามารถใน มีความสามารถใน มีความสามารถใน ไม่มมี ี การคิดอยา่ งมี การคดิ อย่างมี การคดิ อย่างมี การคดิ อยา่ งมี การคิดอยา่ งมี ความสามารถใน วิจารณญาณ วจิ ารณญาณ วจิ ารณญาณและ วจิ ารณญาณและ วจิ ารณญาณและ การคดิ อย่างมี สร้างสรรค์ และ ตดั สินใจได้ดี ตัดสนิ ใจได้ ตัดสนิ ใจได้ไมด่ ี วิจารณญาณและ ตัดสินใจได้ดี เท่าที่ควร ตัดสนิ ใจ เยีย่ ม 3. ความสามารถใน มีความสามารถใน มีความสามารถใน มคี วามสามารถใน มีความสามารถใน ไมม่ ีความสามารถ การแกป้ ญั หา การแกไ้ ข้ปัญหา การแกไ้ ข้ปญั หา การแกไ้ ข้ปญั หา การแกไ้ ข้ปัญหา ในการแกไ้ ข้ ได้ดเี ยีย่ มในทกุ ได้ดี ได้ ไดไ้ ม่ดีเทา่ ท่คี วร ปญั หา ถานการณ์ 4. ความสามารถใน มีความสามารถใน มีความสามารถใน มคี วามสามารถใน มคี วามสามารถใน ไมม่ คี วามสามารถ การใช้เทคโนโลยี การใชเ้ ทคโนโลยี การใช้เทคโนโลยี การใช้เทคโนโลยี การใช้เทคโนโลยี ในการใช้ ได้ดเี ยยี่ ม ได้ดี ได้ ไดไ้ มด่ ีเทา่ ทีค่ วร เทคโนโลยี
41 เกณฑก์ ารให้คะแนนทกั ษะของผเู้ รียนในศตวรรษท่ี 21 ทกั ษะของผ้เู รยี น ดีมาก (5) คะแนน ดี (4) ปานกลาง (3) พอใช้ (2) ปรับปรงุ (1) 1. ทกั ษะการอ่าน( มีความสามารถ มีความสามารถ มคี วามสามารถใน มีความสามารถใน ไมม่ ีความสามารถ Reading) ในการอา่ นได้ ในการอ่านได้ การอ่านได้ การอา่ นไดไ้ ม่ดี ในการอ่าน อยา่ งดเี ย่ียม อยา่ งดี และ ค่อนข้างดี และ เท่าทค่ี วร เข้าใจไดด้ ีมาก เขา้ ใจได้ดี เข้าใจได้ 2. ทกั ษะดา้ นการคิดอยา่ ง มคี วามสามรถใน มคี วามสามรถใน มีความสามรถใน มีความสามรถใน ไม่มีความสามรถใน มีวจิ ารณญาณและทกั ษะ การคดิ อยา่ งมี การคิดอยา่ งมี การคดิ อยา่ งมี การคิดอยา่ งมี การคดิ อย่างมี ในการแกป้ ญั หา(Critical วจิ ารณญาณ วิจารณญาณ วิจารณญาณและมี วิจารณญาณและมี วิจารณญาณและมี thinkingandproblem และมที ักษะใน และมที กั ษะใน ทักษะในการ ทักษะในการ ทกั ษะในการ solving) การแก้ปญั หาได้ การแก้ปัญหาได้ แกป้ ญั หาได้ แก้ปญั หาไดไ้ ม่ดี แก้ปัญหา ดเี ย่ยี มมีความ ดี มีความ ค่อนขา้ งดี เท่าทคี่ วร เป็นระบบและ เหมาะสม เหมาะสม 3. ทักษะด้านความ มที กั ษะดา้ น มที กั ษะดา้ น มที กั ษะดา้ นความ มที กั ษะดา้ นความ ไมม่ ีทกั ษะดา้ น รว่ มมือการทำงานเปน็ ทีม ความรว่ มมอื ของ ความรว่ มมอื ของ ร่วมมือของการ รว่ มมอื ของการ ความรว่ มมือของ ทำงานเป็นทมี การทำงานเป็นทีม และภาวะผนู้ ำ การทำงานเปน็ การทำงานเป็น ทำงานเปน็ ทีม และมภี าวะผู้นำได้ และภาวะผู้นำ ไม่ดเี ท่าท่คี วร (Collaboration , ทมี ดีเยยี่ มและมี ทมี และมภี าวะ และมภี าวะผู้นำ teamwork and leadership) ภาวะผนู้ ำอย่าง ผนู้ ำไดด้ ี ค่อนข้างดี ชัดเจน 4. ทกั ษะการเรยี นรู้ มที กั ษะการ มีทักษะการ มีทักษะการเรียนรู้ มีทักษะการเรยี นรู้ ไมม่ ีทักษะการ (Learning Skills) เรียนร้ดู เี ยย่ี ม เรียนรู้ดี และมี ทค่ี อ่ นข้างดี และ ไดไ้ มด่ เี ท่าทคี่ วร เรียนรู้ และมคี วาม ความเหมาะสม มคี วามเหมาะสม เหมาะสม
42 แผนการเรียนรรู้ ายหน่วย หนว่ ยท่ี 2 สารรอบตัว
43 แผนการจัดการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ รายวิชาวิทยาศาสตร์ ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 1 ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2564 หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 2 เร่อื ง สารรอบตัว เวลา 26 ชว่ั โมง 1. มาตรฐานการเรยี นร/ู้ ตวั ช้ีวดั มาตรฐานการเรยี นรู้ มาตรฐานที่ ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสาร องค์ประกอบสาร ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ ง สมบตั ิของสารกับโครงสรา้ งและแรงยึดเหนีย่ วระหวา่ งอนภุ าค หลักและธรรมชาตขิ องการ เปลย่ี นแปลงสถานะของสาร การเกิดสารละลาย และการเกดิ ปฏกิ ิริยาเคมี ตัวชีว้ ัด ว 2.1 ม.1/1 อธบิ ายสมบัตทิ างกายภาพบางประการของธาตุโลหะ อโลหะ และก่ึงโลหะ โดย ใชห้ ลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ทไ่ี ดส้ ังเกตและการทดสอบและใชส้ ารสนเทศท่ีได้จากแหลง่ ขอ้ มูลตา่ งๆ รวมท้ังจัดกลมุ่ เป็นธาตุโลหะ อโลหะ และกึ่งโลหะ ว 2.1 ม.1/2 วิเคราะหผ์ ลจากการใชธ้ าตุโลหะ อโลหะ ก่ึงโลหะ และธาตุกัมมันตรังสี ที่มีต่อ ส่งิ มชี ีวิต สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจและสังคม จากข้อมลู ที่รวบรวมได้ ว 2.1 ม.1/3 ตระหนกั ถึงคุณค่าของการใชธ้ าตโุ ลหะ อโลหะ ก่ึงโลหะ ธาตุกัมมันตรงั สี โดย เสนอแนวทางการใชธ้ าตอุ ย่างปลอดภยั คุ้มคา่ ว 2.1 ม.1/4 เปรียบเทียบจดุ เดอื ด จุดเหลวของสารบรสิ ุทธ์ิและสารผสม โดยการวัดอณุ หภูมิ เขียนกราฟ แปลความหมายข้อมลู จากกราฟ หรือสารสนเทศ ว 2.1 ม.1/5 อธบิ ายและเปรียบเทียบความหนาแน่นของสารบรสิ ุทธล์ิ ะสารผสม ว 2.1 ม.1/6 ใชเ้ ครอื่ งมอื เพ่ือวดั มวลและปริมาตรของสารบริสุทธ์ิและสารผสม ว 2.1 ม.1/7 อธิบายเกย่ี วกับความสัมพันธ์ระหวา่ งอะตอม ธาตุ และสารประกอบ โดยใช้ แบบจำลองและสารสนเทศ ว 2.1 ม.1/8 อธิบายโครงสร้างอะตอมท่ปี ระกอบด้วย โปรตอน นิวตรอน และอเิ ล็กตรอน โดยใชแ้ บบจำลอง
44 ว 2.1 ม.1/9 อธบิ ายและเปรียบเทยี บการจดั เรยี งอนุภาคแรงยดึ เหน่ยี วระหว่างอนุภาค และ การเคลื่อนทีข่ องอนุภาคของสสารชนดิ เดียวกนั ในสถานะของแข็ง ของเหลว และแกส๊ โดยใช้ แบบจำลอง ว 2.1 ม.1/10 อธิบายระหว่างความสมั พันธร์ ะหวา่ งพลงั งานความร้อนกับการเปล่ียนสถานะ ของสสาร โดยใชห้ ลกั ฐานเชิงประจักษ์และแบบจำลอง 2. จุดประสงค์การเรยี นรู้ ด้านความรู้ (K) -นกั เรียนสามารถอธิบายสมบัตทิ างกายภาพบางประการของธาตุโลหะ อโลหะ และก่ึงโลหะ ไดอ้ ยา่ งถูกต้อง -นักเรยี นสามารถวิเคราะหผ์ ลจากการใช้ธาตโุ ลหะ อโลหะ กงึ่ โลหะ และธาตุกมั มนั ตรังสี ทม่ี ี ต่อส่ิงมีชีวติ สง่ิ แวดลอ้ ม เศรษฐกิจและสังคม จากขอ้ มลู ท่ีรวบรวมได้ -นักเรียนสามารถเปรยี บเทียบจุดเดือด จุดเหลวของสาบริสทุ ธิแ์ ละสารผสม โดยการวัด อณุ หภมู ิ เขยี นกราฟ แปลความหมายข้อมลู จากกราฟ หรอื สารสนเทศได้อย่างถกู ต้อง -นกั เรียนอธิบายและเปรยี บเทียบความหนาแนน่ ของสารบริสุทธิล์ ะสารผสมไดอ้ ย่างถูกต้อง -นกั เรยี นสามารถบอกวธิ ใี ช้เครื่องมือเพ่ือวัดมวลและปริมาตรของสารบรสิ ทุ ธแ์ิ ละสารผสมได้ อยา่ งถูกต้อง -นกั เรยี นสามารถอธบิ ายเกี่ยวกับความสมั พนั ธร์ ะหว่างอะตอม ธาตุ และสารประกอบ โดยใช้ แบบจำลองและสารสนเทศได้อย่างถูกต้อง -นกั เรยี นสามารถอธิบายโครงสร้างอะตอมทป่ี ระกอบดว้ ย โปรตอน นวิ ตรอน และ อเิ ลก็ ตรอน โดยใชแ้ บบจำลอง -นักเรยี นสามารถอธบิ ายและเปรยี บเทียบการจดั เรียงอนุภาคแรงยดึ เหนย่ี วระหว่างอนภุ าค และการเคลอ่ื นที่ของอนภุ าคของสสารชนิดเดียวกันในสถานะของแข็ง ของเหลว และแก๊ส โดยใช้ แบบจำลองได้อย่างถูกต้อง -นกั เรียสามารถอธบิ ายระหว่างความสัมพันธร์ ะหวา่ งพลงั งานความรอ้ นกบั การเปลี่ยนสถานะ ของสสาร โดยใชห้ ลกั ฐานเชิงประจกั ษ์และแบบจำลองไดอ้ ย่างถูกต้อง ดา้ นทกั ษะ (P) -นักเรยี นสามารถสังเกตและการทดสอบและใช้สารสนเทศที่ได้จากแหล่งข้อมลู ตา่ งๆ รวมท้งั จัดกลมุ่ เป็นธาตุโลหะ อโลหะ และกง่ึ โลหะ
45 -นักเรยี นนำเสนอผลจากการใชธ้ าตโุ ลหะ อโลหะ กง่ึ โลหะ และธาตุกมั มันตรังสี ทมี่ ตี ่อ สงิ่ มีชวี ติ สง่ิ แวดลอ้ ม เศรษฐกิจและสงั คม จากข้อมลู ทรี่ วบรวมได้ -นักเรียนเสนอแนวทางการใชธ้ าตุโลหะ อโลหะ กงึ่ โลหะ ธาตกุ ัมมนั ตรังสไี ด้อยา่ งปลอดภยั คมุ้ ค่า -นักเรยี นสามารถวัดอุณหภูมิ เขียนกราฟ แปลความหมายข้อมูลจากกราฟ หรือสารสนเทศ ได้อย่างถกู ต้อง -นกั เรียนพูดอภปิ รายความหนาแนน่ ของสารบริสุทธ์แิ ละสารผสมไดอ้ ยา่ งถูกต้อง -นกั เรยี นสามารถใช้เคร่อื งมอื เพ่ือวดั มวลและปรมิ าตรของสารบริสทุ ธิ์และสารผสม -นักเรยี นนำเสนอความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งอะตอม ธาตุ และสารประกอบ โดยใช้แบบจำลอง และสารสนเทศ -นักเรยี นนำเสนอโครงสร้างอะตอมที่ประกอบด้วย โปรตอน นิวตรอน และอเิ ล็กตรอน โดย ใช้แบบจำลอง -นักเรยี นสามารถนำเสนอการจัดเรยี งอนุภาคแรงยึดเหน่ียวระหวา่ งอนุภาค และการเคล่ือนท่ี ของอนภุ าคของสสารชนิดเดียวกันในสถานะของแข็ง ของเหลว และแกส๊ โดยใชแ้ บบจำลองได้อยา่ ง ถูกต้อง -นกั เรยี นนำเสนอความสมั พันธร์ ะหว่างพลงั งานความร้อนกับการเปลี่ยนสถานะของสสาร โดยใชห้ ลกั ฐานเชงิ ประจักษ์และแบบจำลองได้อย่างถูกต้อง ดา้ นเจตคติ (A) -นกั เรยี นตระหนักถึงคณุ ค่าของการใช้ธาตุโลหะ อโลหะ กึ่งโลหะ ธาตกุ มั มนั ตรังสี โดยเสนอ แนวทางการใช้ธาตุอย่างปลอดภัย คมุ้ ค่า 3. สาระสำคัญ สารท่อี ยู่รอบตวั เราลว้ นมลี กั ษณะเฉพาะตวั ทีแ่ ตกต่างกันสารบางชนิดสามารถสงั เกตได้จาก ลักษณะ ภายนอกของสารไดเ้ ช่นสีสถานะเป็นตน้ ซ่ึงเปน็ สมบัตทิ างกายภาพของสาร แตส่ มบตั ิบางชนดิ ของสาร เกดิ จากการทำปฏกิ ริ ยิ าเคมีทำใหเ้ กิดสารใหม่ท่มี ีองคป์ ระกอบแตกต่างไปจากเดิมเช่นการเผา ไหม้การเกิดสนมิ เป็นตน้ ซ่ึงเป็นสมบตั ทิ างเคมขี องสารการระบวุ า่ สารแตล่ ะชนดิ เป็นสารประเภทใด จำเปน็ ตอ้ งใช้สมบัติของสารมาวิเคราะหเ์ ชน่ การใช้สถานการณ์ใชเ้ นอ้ื สารและการใช้ขนาดของอนุภาค มาเปน็ เกณฑใ์ นการจำแนกสาร
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135