2 เอกสารสรุปเนอ้ื หาทต่ี อ งรู รายวิชาวิทยาศาสตร ระดบั ประถมศึกษา รหสั พว11001 หลกั สตู รการศึกษานอกระบบระดบั การศกึ ษาขั้นพน้ื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 สํานกั งานสงเสริมการศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั สํานักงานปลดั กระทรวงศกึ ษาธิการ กระทรวงศึกษาธกิ าร หา มจําหนาย หนงั สือเรียนนีจ้ ดั พมิ พด ว ยเงนิ งบประมาณแผนดนิ เพื่อการศกึ ษาตลอดชวี ติ สาํ หรบั ประชาชน ลขิ สทิ ธเิ์ ปนของสาํ นักงาน กศน.สาํ นักงานปลดั กระทรวงศึกษาธกิ าร
3
สารบัญ 4 คํานาํ หนา คําแนะนําการใชเอกสารสรปุ เนือ้ หาทต่ี อ งรู บทท่ี 1 ธรรมชาตขิ องวิทยาศาสตร 1 บทท่ี 2 โครงงานวทิ ยาศาสตร 4 บทที่ 3 ส่งิ มชี ีวิต 5 บทที่ 4 ระบบนิเวศ 12 บทที่ 5 ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอ มในทองถน่ิ 17 บทท่ี 6 ปรากฎการณท างธรรมชาติ 25 บทท่ี 7 สารและสมบัตขิ องสาร 31 บทท่ี 8 การแยกสาร 35 บทท่ี 9 สารในชีวติ ประจาํ วัน 39 บทที่ 10 แรงและการเคล่ือนทีข่ องแรง 43 บทที่ 11 พลงั งานในชีวิตประจําวนั และการอนุรกั ษพ ลงั งาน 47 บทที่ 12 ความสัมพันธร ะหวา งดวงอาทิตย โลก และดวงจันทร 51 บทที่ 13 อาชีพชา งไฟฟา 53 กจิ กรรมทายเลม 59 บรรณานกุ รม 83 คณะผูจัดทาํ 84
1 คําแนะนําการใชเอกสารสรุปเน้อื หาท่ีตองรู หนังสือเรียนสรุปเน้ือหา รายวิชาแบบเรียน กศน. หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับ การศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 เปนหนังสือสรุปเนื้อหาที่จัดทําข้ึน เพื่อใหผูเรียนที่เปน นักศึกษา กศน. สามารถทําความเขาใจ และเรียนรูในสาระสําคัญของเนื้อหารายวิชาสําคัญ ๆ ไดส ะดวก และสามารถเขาถงึ แกนของเนื้อหาไดดีขนึ้ ในการศึกษาหนังสือสรปุ เน้อื หารายวิชา ผูเรียนควรปฏิบตั ดิ งั นี้ 1. ศึกษาโครงสรางรายวิชาจากหนังสือใหเขาใจในหัวขอและสาระสําคัญ ผลการเรียนรู ที่คาดหวัง และขอบขา ยเนอ้ื หาของรายวชิ านนั้ ๆ เขา ใจกอน 2. ศกึ ษารายละเอยี ดเนอื้ หาของหนังสือสรปุ เนอื้ หาหนงั สอื เรยี นเลม นี้ โดยศึกษาแตละบท อยา งละเอยี ด ทําแบบฝกหดั หรอื กิจกรรมตามทีก่ าํ หนด และทําความเขาใจในเน้ือหาใหมใหเขาใจ กอนทีจ่ ะศกึ ษาเรอื่ งตอ ๆ ไป 3. หากตอ งการศึกษา รายละเอียดเนื้อหาเพ่ิมเติมจากหนังสือสรุปเนื้อหาหนังสือเรียนน้ี ใหผ เู รียนศึกษาเพ่มิ เตมิ จากหนงั สอื เรยี น หรอื ครูผูสอนของทาน
1 บทที่ 1 ธรรมชาตขิ องวทิ ยาศาสตร วทิ ยาศาสตรค ืออะไร วิทยาศาสตร คอื การศกึ ษาหาความรเู รอ่ื งราวหรือปรากฏการณธ รรมชาติ อยา งมรี ะบบ ขน้ั ตอนโดยใชก ระบวนการทักษะทางวิทยาศาสตร วทิ ยาศาสตร มีความสาํ คัญอยา งไร วิทยาศาสตรมีบทบาทสําคัญในการดําเนินชีวิต และมีนําความรูทางวิทยาศาสตรมาใชใหเกิด เทคโนโลยีสมยั ใหม และอํานวยความสะดวกมากมายแกมนุษย เชน ดานการสื่อสาร ปจจุบันที่ใชกนั ทั่วไป คือ โทรศัพทม ือถอื ดา นเทคโนโลยีทางการแพทย ปจจุบนั ท่ใี ชค อื เครื่องเอกซเ รยคอมพิวเตอร เปน ตน กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร หมายถึงอะไร กระบวนการทางวิทยาศาสตร หมายถงึ ขน้ั ตอนการเสาะหาความรอู ยา งมเี หตมุ ผี ล มขี นั้ ตอน อยา งเปน ระบบ มี 5 ขัน้ ตอน คอื 1. ขน้ั ระบุปญหา 2. ขน้ั ตั้งสมมตฐิ าน 3. ข้ันรวบรวมขอ มูล 4. ขั้นการวิเคราะหข อ มลู 5. ข้ันสรุปผล ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร คืออะไร ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร เปน สิ่งทจี่ ําเปน ในการเรียนวิทยาศาสตรซ ่งึ จะทําให นกั ศึกษาสามารถคิดและแกปญ หาไดด ว ยตนเอง จงึ ควรฝกฝนใหเ กดิ กระบวนการทางวิทยาศาสตร แบง ออกเปน 13 ทักษะ ไดแ ก
2 1. การสงั เกต 2. การวดั 3. การจาํ แนกประเภท 4. การใชต วั เลข 5. การหาความสมั พันธร ะหวา งสเปซกับสเปซ และสเปซกับเวลา 6. การจดั ทําและสอ่ื ความหมายขอมลู 7. การลงความคดิ เห็นขอ มลู 8. การพยากรณ 9. การตง้ั สมมตฐิ าน 10. การกาํ หนดนิยามเชิงปฏบิ ตั ิการ 11. การกาํ หนดนิยามและควบคมุ ตวั แปร 12. การทดลอง 13. การตคี วามหมายขอ มูลและการสรุปผล เจตคตทิ างวทิ ยาศาสตร คอื อะไร เจตคตทิ างวทิ ยาศาสตร หมายถึง ความรูท่ีดตี อ วชิ าวิทยาศาสตร มี 6 ลกั ษณะดังน้ี 1. มีเหตุผล 2. กระตือรอื รน คนหาความรู 3. อยากรูอยากเหน็ 4. มีความพยายามและอดทน 5. ยอมรับฟง ความคดิ เหน็ ของผอู น่ื 6. แกป ญหาโดยใชวธิ กี ารทางวิทยาศาสตร เทคโนโลยี หมายถึงอะไร เทคโนโลยี หมายถงึ การนาํ ความรดู า นวิทยาศาสตรไ ปประยุกตใชแ ละอาํ นวยความสะดวก ใหกบั มนษุ ย เชน โทรศพั ทมือถือที่ชว ยในการตดิ ตอสอ่ื สารไดร วดเร็วขน้ึ คอมพิวเตอรท่ชี ว ยเกบ็ ขอมลู
3 ไดเ ปน จาํ นวนมากและถูกตอ งแมน ยํา เปนตน ในการนําเทคโนโลยีมาใชค วรศึกษาผลดผี ลเสียกอน และควรใชเ ทคโนโลยอี ยางถูกตองและคมุ คา ทสี่ ุด อุปกรณทางวทิ ยาศาสตร ไดแ กอ ะไรบา ง อปุ กรณส าํ หรับการตวงสาร เชน บีกเกอร หลอดทดลอง กระบวกตวง ปเ ปตต เปน ตน อุปกรณส ําหรบั ช่ัง เชน เครอื่ งชั่งไฟฟา เคร่ืองชง่ั สองแขน เปนตน อปุ กรณส าํ หรบั วดั เชน ไมโครมิเตอร เวอรเนยี ร คาลเิ ปอร เปน ตน อุปกรณอ่นื ๆ เชน กลอ งจุลทรรศน แวน ขยาย เปน ตน
4 บทที่ 2 โครงงานวทิ ยาศาสตร ประเภทของโครงงานวทิ ยาศาสตร มอี ะไรบา ง 1. โครงงานวิทยาศาสตรป ระเภททดลอง 2. โครงงานวิทยาศาสตรประเภทสํารวจ 3. โครงงานวทิ ยาศาสตรป ระเภทสง่ิ ประดษิ ฐ 4. โครงงานวทิ ยาศาสตรป ระเภททฤษฎี จงบอกลาํ ดบั ขนั้ ตอนของการทาํ โครงงานวทิ ยาศาสตร 1. สาํ รวจและตดั สนิ ใจเลือกเร่ืองท่ีจะทําโครงงาน 2. ศึกษาขอ มลู ทีเ่ ก่ยี วของกบั เรื่องทจ่ี ะทําเอกสารและแหลงขอมูลตา ง ๆ 3. วางแผนทดลอง การใชว ัสดอุ ุปกรณ และระยะเวลาในการดาํ เนินงาน 4. เขยี นเคา โครงของโครงงานวทิ ยาศาสตร 5. ลงมอื ศกึ ษาทดลอง วเิ คราะหข อ มลู และสรปุ ผล 6. เขยี นรายงานโครงงานวทิ ยาศาสตร 7. เสนอผลงานของโครงงานวิทยาศาสตร
5 บทที่ 3 สิง่ มีชีวิต ส่ิงมีชวี ิตมลี ักษณะอยางไร ลกั ษณะของส่งิ มชี ีวิต 1. การกินอาหาร ส่ิงมชี ีวิตจะตองกินอาหารเพื่อความอยูรอดของตนเอง พืชสามารถสราง อาหารไดเ องโดยกระบวนการสงั เคราะหด วยแสงและดดู ซึมน้ําและแรธ าตจุ ากราก สวนคนและสัตวไม สามารถสรางอาหารไดเ องตองกินพชื หรือสัตวอ ่นื เปน อาหาร 2. การหายใจ กระบวนการหายใจของส่ิงมีชีวิตเปนวิธีการเปล่ียนอาหารที่กินเขาไปเปน พลังงาน เพ่ือใชในการดาํ รงชีวติ 3. การเคล่ือนไหว สิ่งมีชีวิตสามารถเคลื่อนที่ไดดวยตนเอง ยกตัวอยาง เชน คนและสัตว สามารถวิง่ และเดนิ ได สว นพชื ทเี่ ปนเถาสามารถเลอื้ ยเกาะผนังหรือตนไมอ ่นื ได เปนตน 4. การเจริญเติบโต สง่ิ มชี วี ิตจะมีการเจรญิ เตบิ โต สง่ิ มชี ีวิตบางชนิดขณะเจริญเตบิ โตไมมีการ เปลย่ี นแปลงรูปราง แตบางชนิดขณะเจริญเติบโตมีการเปลี่ยนแปลงรูปรา ง ซ่ึงสามารถสังเกตเห็นได อยา งชดั เจน 5. การขบั ถา ย เปน การกําจัดของเสียทีส่ ิง่ มีชีวติ นนั้ ไมตองการออกจากรางกาย พืชจะขับของ เสียออกมาทางปากใบ สัตวจ ะขับของเสียออกมาในรูปของเหงื่อ ปสสาวะ และปะปนออกมากับลม หายใจ 6. การตอบสนองตอสิ่งเรา สิ่งมีชีวิตจะมีการตอบสนองตอส่ิงเรา เพ่ือปรับตัวเองใหอยูรอด และปลอดภัยตอ อันตรายตา ง ๆ 7.การสบื พนั ธุ ส่ิงมีชีวิตจะมกี ารสบื พันธุและขยายพนั ธเุ พอื่ ไมใ หเ ผา พันธุของตนเองตองสญู พันธุ
6 เกณฑท ่ใี ชในการจัดกลมุ ส่งิ มีชีวิตมีกปี่ ระเภท อะไรบาง เกณฑทใี่ ชในการจดั กลมุ ส่งิ มีชีวติ แบง ออกเปน 5 ประเภท ไดแก 1. เปรยี บเทยี บลักษณะโครงสรา งภายนอกและภายใน คือ ส่ิงมีชีวิตทมี่ โี ครงสรา งของอวัยวะ ที่มีตน กําเนิดเดียวกัน แตอาจมีหนาท่ีเหมือนกันหรือตางกันก็ได จัดอยูในกลุมเดียวกัน ในขณะท่ี อวยั วะซึ่งทาํ หนา ทแี่ บบเดียวกนั แตตน กาํ เนดิ แตกตา งกนั จดั อยคู นละกลุมกัน 2. แบบแผนการเจริญเติบโต หากมีรูปแบบการเจริญเติบโต ตั้งแตตัวออนจนถึงตัวเต็มวัย เหมอื นหรอื คลายกนั จดั อยูในกลมุ เดียวกัน 3. การเปรียบเทยี บลกั ษณะรอ งรอยของซากดึกดําบรรพ ทําใหทราบวาสิ่งมีชีวิตใดมีบรรพ บรุ ษุ รว มกันจัดอยูในกลมุ เดยี วกัน 4. กระบวนการทางชีวเคมี และสรีรวทิ ยา พจิ ารณาจากชนิดสารเคมีที่สิ่งมีชีวิตสรางข้ึนวามี ความคลายคลงึ กันอยางไร 5. เปรียบเทียบพฤติกรรมความสัมพันธของส่ิงมีชีวิตกับส่ิงแวดลอม ตลอดจนการ แพรก ระจายทางภูมิศาสตรข องส่ิงมีชีวติ พชื คืออะไร พืช คอื สงิ่ มชี ีวติ ทสี่ ามารถสังเคราะหอ าหารไดเ อง โดยกระบวนการสังเคราะหด วยแสง สวนประกอบของพชื ประกอบดว ยอะไรบางและแตล ะสวนทําหนา ทอี่ ะไร 1. ราก เปน สวนของพชื ทง่ี อกออกจากเมล็ดกอนสวนอ่ืน และเจริญลงสูใตดิน รากมีหนาท่ียึด ลําตน ใหต งั้ บนดนิ ดดู นา้ํ และแรธ าตทุ ี่สะสมอยูใ นดนิ แลวลาํ เลยี งขึ้นไปยังสวนตางๆของพืช นอกจากนี้ รากของพืชบางชนดิ ทาํ หนา ท่ีสะสมอาหาร สงั เคราะหด วยแสง หายใจ ราก ของพชื แบงเปน 2 ประเภท คอื รากแกว เปน รากทีง่ อกออกจากเมล็ดกอนสว นอ่ืน ในพชื บางชนดิ รากแกวจะเจริญตอไป รากฝอย เปนรากเสนเลก็ ๆมากมาย งอกออกจากรอบๆ โคนตน แทนรากแกวท่ีหยดุ เตบิ โต
7 2. ลําตน เปนสวนของพืชท่ีอยูตอจากรากข้นึ มา พืชสวนมากจะมีลําตนอยูบนดิน แตพืชบาง ชนิดมีลําตนอยูใตดิน ลําตนมีหนาท่ีชูกาน ใบ และดอกใหไดรับแสงแดด เปนทางลําเลียงน้ําและแร ธาตุ และลาํ ตนบางชนิดสะสมน้าํ และอาหาร ขยายพันธุ 3. ใบ เปนสว นของพชื ท่เี จรญิ เตบิ โตยื่นออกมาทางขางของลําตน มีลักษณะแบน มีสีเขียว ใบ จะมีเสนใบซ่ึงมี 2 ลักษณะ คอื เสนใบขนาน และเสน ใบเปนรางแห ทําหนาที่สรา งอาหาร คายน้ําและ หายใจ บางชนิดทาํ หนาที่สะสมอาหาร ขยายพันธุ ลอ แมลง ดักและจบั แมลง 4. ดอก เปนสวนของพืชที่ทําหนาที่ในการสืบพันธุ ดอกโดยท่ัวไปประกอบดวยสว นตางๆ ดงั นี้คือ กลีบเล้ียง กลีบดอก เกสรตัวผู เกสรตัวเมีย กานดอก และฐานรองดอกดอกไมมีอยูมากมาย หลายชนิด บางชนิดมีสสี ันสวยงามบางชนดิ มกี ลิ่นหอมชวนดม 5. ผล เปน สว นที่เจริญมาจากรงั ไขหลงั จากดอกไดร บั การผสมแลว ผนังรังไขชั้นนอกสุด เจริญ เปน เปลอื กของผล ปจจยั ทีจ่ าํ เปน ตอ การเจริญเตบิ โตของพืชมีอะไรบาง ปจจยั ท่ีมีผลตอ การเจรญิ เติบโตของพชื ไดแ ก 1. ดนิ ใหทีย่ ึดเกาะแกพ ืช และเปนแหลง ธาตอุ าหาร นํา้ และอากาศ 2. นาํ้ ชว ยละลายแรธ าตอุ าหารในดนิ เพื่อใหร ากลําเลยี งนํา้ และแรธาตุ ดดู ไปเลีย้ งสวนตางๆ ของลําตน 3. ธาตอุ าหารหรอื ปุย ชวยในกระบวนการตาง ๆ ในการดาํ รงชวี ิตของพชื และชวยสรา ง คลอโรฟล ล 4. อากาศ พชื ใชแกสออกซเิ จนในการหายใจ และใชแกส คารบ อนไดออกไซดใ นการสรา ง อาหาร 5. แสงสวาง พชื ตอ งการแสงแดดมาใชในการสรา งอาหาร 6. อณุ หภมู ิ อณุ หภมู ิทพี่ อเหมาะอยรู ะหวาง 20–30 องศาเซลเซยี ส ชว ยในกระบวนการ สงั เคราะหดว ยแสง การงอกของเมล็ดและการทาํ งานของเอนไซม
8 การขยายพนั ธพุ ชื หมายถงึ อะไร การขยายพันธุพืช หมายถึง วิธีการที่ทําใหเกิดการเพิ่มปริมาณของตนพืชใหมากข้ึน เพื่อดาํ รงสายพนั ธุ พชื ชนดิ ตา ง ๆ ไวไ มใ หส ญู พนั ธุ การขยายพนั ธุพชื มีกปี่ ระเภทอะไรบาง การขยายพนั ธุพืชทนี่ ิยมปฏบิ ัติโดยทั่วไป มี 5 วิธี คอื 1. การตอนก่ิง คอื การทาํ ใหก่งิ หรือตนพืชเกิดรากขณะตดิ อยกู บั ตนแม จะทาํ ใหไดต น พชื ใหม ท่มี ลี ักษณะทางสายพนั ธุ เหมือนกบั ตนแมทกุ ประการ 2. การทาบกง่ิ คือ การนาํ ตนพชื 2 ตน เปนตนเดียวกัน โดยสว นของตน ตอท่ีนํามาทาบกง่ิ จะ ทาํ หนาท่ีเปน ระบบรากอาหารใหกับตนพนั ธดุ ี 3. การตดิ ตา คือ การเชอื่ มประสานสวนของตนพืชเขาดวยกนั เพื่อใหเจรญิ เปนพืชตน เดยี วกัน โดยการนาํ ตาจากกง่ิ พันธุดไี ปตดิ บนตนตอ 4. การเสียบยอด คอื การเช่ือมประสานเน้อื เยื่อของตน พืช 2 ตนเขาดว ยกัน เพ่ือให เจรญิ เติบโตเปนตนเดียวกัน 5. การตดั ชาํ คือ การนาํ สว นตาง ๆ ของพชื พันธดุ ี เชน ใบ และ ราก มาตัดและปกชาํ ในวสั ดุ เพาะชาํ เพือ่ ใหไดพ ืชตน ใหมที่นํามาตดั ชํา พืชในทอ งถ่นิ จําแนกพืชไดก ปี่ ระเภท อะไรบา ง พืชในทอ งถน่ิ แบงไดเ ปน 2 ประเภท ไดแ ก 1. พืชมดี อก คือพืชที่เจริญเตบิ โตเตม็ ที่แลว มีสวนของดอกสาํ หรบั ใชในการผสมพันธุ 2. พืชไมม ดี อก คอื พชื ที่ไมมดี อกเลย ตลอดการดาํ รงชีวิต ไมวาจะเจริญเติบโตเต็มที่แลวก็ตาม พืชจาํ พวกนจ้ี ึงไมมีดอกสาํ หรับใชใ นการผสมพันธุ แตจะสืบพันธุโดยการสรางสปอรซ่ึงจะงอกเปนพืช ตน ใหม
9 นอกจากจะเอาดอกมาเปนเกณฑในการจําแนกแลว เรายังสามารถใชลักษณะสวนประกอบ ของใบเล้ียงมาใชใ นการจําแนกพชื ไดเปน 2 ประเภท ไดแ ก 1. พชื ใบเลยี้ งเดี่ยว คือ พืชทมี่ ใี บเลี้ยงใบเดี่ยว ลักษณะเสนใบเรียงกันแบบขนาน มีระบบราก ฝอยลําตน มองเหน็ ขอปลอ งชัดเจน ไมม กี ารเจริญทางดานขาง กลีบดอก มจี ํานวนเปน 3 หรือทวีคูณ ของ 3 2. พืชใบเล้ยี งคู คอื พชื ท่มี ใี บเลี้ยงสองใบ ลักษณะเสนใบเปนรางแห มีระบบรากแกว ลําตน มองเหน็ ขอปลอ งไมช ดั เจน มกี ารเจริญออกทางดานขาง กลีบดอกมีจาํ นวนเปน 4-5 หรือ ทวีคูณของ 4-5 สตั วแ บงออกเปน กป่ี ระเภทอะไรบา ง สตั วแ ตล ะชนิดที่อาศัยอยตู ามธรรมชาติ มีลกั ษณะโครงสรางภายนอก และภายในแตกตางกัน ทําใหเ ราสามารถจาํ แนกประเภทของสตั วออกเปน 2 ประเภทใหญ ๆ คอื 1. สัตวท ่มี ีกระดกู สันหลัง คือ สัตวที่มีกระดูกตอกันเปนขอๆ อยูเปนแนวยาวไปตามดานหลัง ของรา งกาย มีหนาท่ชี วยพยุงรางกายใหเปนรปู รางอยูไดและยังชวยปองกันเสนประสาทอีกดวย เชน คน สนุข แมว ควาย เสอื เปน ตน 2. สัตวที่ไมมีกระดูกสันหลัง คือ สัตวไมมีกระดูกเปนแกนของรางกาย สัตวบางชนิดจะสราง เปลือกแขง็ ขนึ้ มาหอ หมุ รางกายเพอื่ ปองกนั อันตราย เชน แมลงชนดิ ตาง ๆ เปน ตน โครงสรา งและหนา ที่ของระบบตาง ๆ ในรางกายสตั วม ีความจาํ เปน ตอการดาํ รงชีวติ ของสตั ว มีอะไรบา ง โครงสรางและหนา ที่ของระบบตา งๆ มีความจาํ เปน ตอ การดํารงชวี ติ ของสัตว ดังนี้ 1. ระบบยอ ยอาหาร ทําหนา ท่นี ําสารอาหารตาง ๆ เขาสูรางกาย เพอ่ื เปนวัตถุดิบสําคัญในการ เจรญิ เตบิ โต
10 2. ระบบหมนุ เวียนเลือด ทําหนาที่หมุนเวียนเลือด นําสารตาง ๆ ท่ีมีประโยชนไปยังเซลลท่ัว รางกาย และนําสารที่เซลลไมตอ งการไปยงั อวัยวะขบั ถายเพ่อื กาํ จดั ออกนอกรา งกาย 3. ระบบหายใจ ทาํ หนาท่ี นาํ กา ซที่เซลลตอ งการเขาสูรางกายและกาํ จดั กาซท่ีเซลลไ มตอ งการ ออกนอกรา งกาย นอกจากน้ียังทําหนาท่ีสรางพลังงานใหแกเซลล ทําใหเซลลสามารถนําไปใชใหเกิด ประโยชน 4. ระบบขบั ถาย ทําหนาทกี่ ําจดั ของเสียทเ่ี ซลลไมตอ งการออกนอกรางกาย 5. ระบบประสาท ทาํ หนาทค่ี วบคมุ กลไกลการทาํ งานของทุกระบบในรางกาย 6. ระบบโครงกระดูก ถามีโครงรางแข็งที่อยูภายนอกรางกาย จะชวยปองกันอันตรายภายใน ไมใหไดร ับอันตราย แตถา มีโครงรา งแขง็ ท่อี ยภู ายใน จะชวยในการเคลอื่ นไหวหรอื เคลื่อนท่ี 7. ระบบสืบพนั ธุ เมื่อสตั วเ จรญิ เติบโตเปน ตัวเตม็ วัยก็พรอมท่ีสะสืบพนั ธุเพื่อที่จะเพ่ิมลูกหลาน ทําใหสัตวแ ตละชนิดสามารถดาํ รงเผา พนั ธุไ วได ปจ จยั ทีจ่ าํ เปนตอ การดาํ รงชวี ติ ของสตั วมีอะไรบา ง ปจจยั ทจ่ี ําเปนตอ การดาํ รงชวี ติ ของสตั ว ไดแก 1. อาหาร เพ่อื จะไดม ีพลงั งานในการทํากจิ กรรมตาง ๆ สัตวแ ตล ะชนดิ กินอาหารท่ีแตกตางกัน ไป บางชนดิ กนิ พชื เปน อาหาร บางชนดิ กินสตั วเปน อาหาร และบางชนดิ กนิ ทัง้ พืชและสตั วเปนอาหาร 2. นํ้า ชว ยใหรา งกายสดช่นื ชวยดบั กระหาย เปน ท่ีอาศยั ของสตั วบ างชนดิ 3. อากาศ สัตวทุกชนิดตองใชกาซออกซิเจนในกระบวนการหายใจ พืชตองการกาซ คารบ อนไดออกไซดในการสรางอาหาร 4. ทีอ่ ยอู าศัย เพือ่ ความอบอนุ และปลอดภยั จากศตั รู และดํารงชีวิตดานตาง ๆ ท่ีแตกตางกัน ไป สัตวบางชนิดอาศัย บนบก บางชนิดอาศยั บนตน ไม บางชนดิ อาศัยในนํ้า
11 การสบื พนั ธขุ องสตั วม ีกปี่ ระเภทอะไรบา ง การสืบพนั ธขุ องสัตวม ี 2 ประเภท ไดแก 1. การสืบพันธุแบบไมอาศัยเพศ คือ การเพ่ิมจํานวนของสิ่งมีชีวิตโดยไมมีการผสมระหวาง เซลลสบื พนั ธุ ซง่ึ การสบื พนั ธุแบบนจี้ ะไมม กี ารกลายพันธุ เชน การแตกหนอ สิ่งมชี วี ติ ตัวใหมงอกออกมาจากตวั เดิม แลว หลุดออกมาเปนส่ิงมชี วี ติ ตวั ใหม การแบงตวั ส่งิ มชี วี ิตตวั หน่งึ แบงเปนสิ่งมีชวี ิตตัวใหมแบบเทา ๆกัน การแบง สว น สว นทห่ี ลุดไปจากสิ่งมีชวี ติ หนึ่งพฒั นาไปเปนสิ่งมชี วี ติ ตวั ใหมได 2. การสืบพันธุแบบอาศัยเพศ คือ การสืบพันธุที่ตองมีการรวมกันของเซลลสืบพันธุเพศผู (สเปร ม ) และเซลลส บื พนั ธเุ พศเมีย (ไข) แลว เกิดเปนส่ิงมีชวี ิตหนว ยใหม
12 บทท่ี 4 ระบบนิเวศ คําวา ระบบนเิ วศ (Ecosystem) มคี วามหมายอยางไร ระบบนเิ วศ (Ecosystem) หมายถึง ความสมั พันธข องกลมุ สงิ่ มชี ีวิตในแหลง ที่อยู และมี ความสมั พนั ธซ ่งึ กนั และกัน องคป ระกอบพนื้ ฐาน 2 อยา ง ในระบบนเิ วศ มีอะไรบา ง 1. องคประกอบท่ีไมม ชี ีวิต ไดแ ก สารประกอบอินทรีย อนินทรีย และสภาพแวดลอ มทาง กายภาพ 2. องคประกอบท่มี ีชวี ิต ไดแก ผผู ลิต ผูบ รโิ ภค และผูยอ ยสลาย ความสัมพันธข องส่งิ มีชีวติ ในระบบนิเวศ มีแบบใดบาง และสมั พนั ธก ันอยา งไร ความสมั พนั ธของสงิ่ มีชีวิตในระบบนเิ วศ มี 2 แบบ คือ 1. ความสมั พนั ธร ะหวา งส่งิ มชี ีวติ ดว ยกันเอง ใชคําวา ภาวะนําหนา ตัวอยาง เชน 1) ภาวะไดประโยชนรวมกัน (protocooperation +/+) คือ สิ่งมีชีวิตทั้ง 2 ฝาย ตางได ประโยชนดวยกนั ท้ังคู เชน ผ้ึงกับดอกไม เพล้ยี กบั มดดํา นกเอย้ี งกับควาย 2) ภาวะพึ่งพากนั (mutualism +/+ ) คอื สง่ิ มีชีวิตทั้ง 2 ฝายไดประโยชนรวมกัน แตตองอยู รวมกัน ตลอดเวลา หากแยกกันอยูจะทําใหอีกฝายไมสามารถดํารงชีวิตอยูได เชน ไลเคน โพรโทซวั ในลําไสปลวก แบคทีเรยี ในปมรากพชื ตระกูลถ่วั
13 3) ภาวะอิงอาศยั (commensalism +, o) สงิ่ มชี วี ิตฝายหนง่ึ ไดประโยชน อีกฝายหน่ึงไมไ ด และไมเ สยี ประโยชน เชน เถาวลั ยเกาะบนตน ไมใหญ กลวยไมก ับตนไม นกทํารงั บนตนไม เหาฉลาม กับปลาฉลาม เพรียงหินท่ีเกาะบนตวั ของสัตวท ะเล 2. ความสัมพนั ธระหวางสง่ิ มชี วี ติ กับสิ่งแวดลอ ม เชน 1) แสงสวา ง พืช ใชแ สงเปนพลังงานในกระบวนการสังเคราะหแสงเพอื่ สรางสารอาหาร 2) อุณหภูมิ ส่ิงมีชีวิตจะเลือกแหลงที่อยูอาศัยท่ีมีอุณหภูมิเหมาะสมกับตัวเอง สิ่งมีชีวิตจะ ปรับตัวใหมีชีวิตรอด เชน นกนางแอนจากประเทศจีนจะอพยพมาหากินในประเทศไทย ในฤดูหนาว และการจําศีลของกบ 3) แรธาตุและแกส พืช และสัตว นําแรธาตุและแกสตาง ๆ ไปใชในการสรางอาหาร และ โครงสรางของรางกาย ความตอ งการแรธาตุ และแกส ของสิ่งมชี ีวติ จะมีความแตกตา งกัน 4) ความเปนกรด-เบสของดนิ และนํา้ สง่ิ มีชวี ิตจะอาศัยในแหลงท่ีอยู ท่ีมีความเปนกรด-เบส ท่ี เหมาะสมกบั การดาํ รงชวี ติ ของตนเอง หว งโซอ าหาร (Food Chain) มีความหมายอยางไร หว งโซอ าหาร (Food Chain) หมายถงึ การถายทอดพลังงานในส่ิงมชี วี ิต โดยถา ยทอดในรปู ของอาหารตอเน่ืองกันเปนทอด ๆ ตามลาํ ดบั ของการกิน สวนใหญห ว งโซอ าหารจะเร่ิมถา ยทอดจาก ผผู ลิตไปสผู บู ริโภคตามลาํ ดับขน้ั ในการกินอาหาร ตัวอยาง เชน ขา้ ว ตกั แตน กบ เหยยี ว ผ้ผู ลติ ผู้บรโิ ภค ผู้บริโภค ผู้บรโิ ภค ลําดบั ที 1 ลําดบั ที 2 ลําดบั ที 3
14 หวงโซอาหาร มหี ลกั การเขียนอยา งไร หลักการเขยี นหว งโซอ าหาร มีดงั น้ี 1. หวงโซอ าหารแบบจบั กนิ 1) หวงโซที่มีผูผลิต เร่ิมการเขียนโดยต้ังตนจากผูผลิต และตามดวยผูบริโภคลําดับท่ี 1 ผบู ริโภคลําดบั ที่ 2 ผูบริโภคลําดับท่ี 3 และตอไปเรื่อย ๆ ตามลําดับขั้นของการบริโภค จนถงึ ผูบริโภคลําดบั สดุ ทาย 2) ตองเขียนลกู ศรแทนการถายทอดพลงั งานจากผูผลิต ไปสูผูบริโภคตามลําดับขั้นดังกลาว โดยเขยี นใหหัวลกู ศรหนั ไปทางผูทีไ่ ดร บั สารอาหารเทานั้น ในท่ีน้ี คือ หัวลูกศรหัน ไปทางผทู ีบ่ รโิ ภค หรือเขยี นใหหวั ลกู ศรชีไ้ ปทางผูลานนั่ เอง 2. หวงโซอาหารแบบอน่ื ๆ ใหเ ขยี นโดยเริม่ จากสิ่งมีชวี ติ ทเ่ี ปนจุดเรมิ่ ของการถา ยทอด สารอาหาร เชน ซากสตั ว หนอน นก งู เหย่ยี ว ดังตัวอยาง ซากสตั ว์ หนอน นก งู เหยยี ว ซาก ผ้บู รโิ ภค ผู้บริโภค ผู้บริโภค ผู้บริโภค สิงมีชีวติ ลําดบั ที 1 ลําดบั ที 2 ลําดบั ที 3 ลําดบั สดุ ท้าย สายใยอาหาร (Food Web) มีความหมายอยา งไร สายใยอาหาร หมายถงึ หวงโซอ าหารหลาย ๆ หว งโซ ทมี่ คี วามสมั พนั ธก ันอยางซบั ซอน ในธรรมชาติ เราจะพบการถายทอดพลังงานในรปู แบบของสายใยอาหาร มากกวา หว งโซ อาหารแบบเดย่ี วๆ เน่ืองจากสิง่ มีชวี ิตแตล ะชนิดกินอาหารไดห ลายชนิด *** สามารถดูแผนภาพตวั อยา งสายใยอาหารไดในหนังสอื เรยี น กศน. หนา 89 ***
15 ในระบบนิเวศมีการถา ยทอดพลงั งานอยา งไร ดวงอาทติ ยเ ปนแหลงพลงั งานสําหรบั สิ่งมีชีวิต กลมุ สิง่ มชี ีวติ ท่เี ปน ผูผลติ จะเปล่ียนพลังงานแสง ใหเปนพลังงานที่สะสมไวในโมเลกุลของสารอาหาร โดยกระบวนการสังเคราะหดวยแสง ซึ่งไดผลผลิตเบื้องตน คือ นํา้ ตาลกลูโคส สะสมไว ในกระบวนการนี้ไดปลอยกาซออกซิเจนออกสู บรรยากาศดวย พลงั งานในโมเลกุลของสารอาหารทส่ี ะสมไว จะถกู ถา ยทอดจากผผู ลติ ไปสูผบู ริโภคลาํ ดับตา งๆ จนถงึ ผยู อ ยสลายอนิ ทรยี สาร ซ่ึงพลังงานที่ถายทอดนั้นจะมีคาลดลงตามลําดับ เพราะสวนหน่ึงถูกใช ในการผลิตพลังงานใหแกรางกายโดยกระบวนการหายใจ อีกสวนหนึ่งสูญเสียไปในรูปของพลังงาน ความรอน การถายทอดพลังงานในระบบนิเวศมีความสําคัญมากเพราะไมเพียงแตสารอาหารเหลาน้ันมี การถายทอดแตสารทุกชนิดที่ปนเปอนอยูในระบบนิเวศ ทั้งที่เปนประโยชน และเปนโทษจะถูก ถา ยทอดไปในโซอาหารดวย ตัวอยางเชน การใชสารเคมีกําจัดศัตรูพืช การถายเทของเสยี จากท่ีอยู อาศยั และกจิ กรรมตางๆของมนษุ ย ทาํ ใหมีของเสียทป่ี ลอย และสารตางๆ ดงั กลา วจะตกคาง ในผูผลิต และถา ยทอดและไปสูผูบ รโิ ภคตามลําดบั ในโซอ าหารและจะเพ่ิมความเขม ขนขนเรอ่ื ย ๆ ในลําดับชั้นท่ี สูงขึ้นๆ รวมถงึ กลบั มาสตู ัวมนุษยด ว ย สภาพแวดลอ มมีความสมั พนั ธกบั การดํารงชีวิตของส่ิงมชี ีวติ อยางไรบา ง สภาพแวดลอมมีความสัมพันธกับการดํารงชีวิตของส่ิงมีชีวิต ในลักษณะตางๆ เน่ืองจาก สิ่งมีชีวติ ทกุ ชนิดตอ งใชสภาพแวดลอ ม เปนท้ังแหลงที่อยู และเปนปจจัยท่ีสําคัญในการดํารงชีวิตรอด และแพรพันธุได ดังนั้นส่ิงมีชีวิตจึงตองมีการปรับตัวใหสามารถอยูรอดไดในสภาพแวดลอมและ ในสภาพทมี่ ปี จจยั จํากดั
16 การปรบั ตัวหมายถงึ อะไร การปรบั ตวั หมายถึง กระบวนการทีส่ งิ่ มชี ีวิตมีการเปลยี่ นแปลงหรือปรับลักษณะบางประการ ใหเ ขากับ สภาพแวดลอ มทอ่ี าศัยอยู ซึ่งลักษณะที่เปลี่ยนแปลงไปดังกลาวจะอํานวยประโยชนแกชีวิต ในการอยูรอดและสามารถสบื พนั ธตุ อ ไปได สิง่ มีชีวิตที่ปรบั ตัวไดดีจะสามารถดํารงชวี ิตและแพรพนั ธตุ อไปได ปจ จัยใดบา งที่มผี ลตอ การดํารงชีวติ ของส่ิงมีชีวติ ปจ จัยทม่ี ผี ลตอ การอยดู าํ รงชวี ติ ของส่งิ มีชวี ติ ไดแ ก อาหาร การสบื พันธุ ศัตรู และส่งิ แวดลอ ม เปนตน สง่ิ มีชวี ิตมีการปรบั ตัวอยา งไรบา ง สงิ่ มชี วี ิตมกี ารปรบั ตวั ดงั นี้ 1. การปรบั รปู รา ง สรรี ะ และสี สิ่งมีชวี ติ ตา งๆ จะมีการปรบั สรรี ะ ปรบั รางกาย หรือเปลย่ี นสี ใหค ลา ยคลงึ กับสภาพแวดลอ ม หรอื อยใู นแหลงอาศยั ได เพอื่ อําพรางศัตรู ลา เหย่อื และ สืบพนั ธุ เชน - การปรับสี เชน จิง้ จก ก้งิ กา - การปรบั สรรี ะ รปู ราง เชน ต๊กั แตนกงิ่ ไม ต๊ักแตนใบโศก นกเปด น้าํ มีพังผืดระหวางน้ิว หมี ขั้วโลกมีขนยาว การเปล่ียนใบเปน หนามของตนกระบองเพชร - การปรบั ปากของแมลงชนิดตางๆ เชน ปากกัด ปากเลยี ปากเจาะ และปากดูด - การรําแพนของนกยงู - กานใบทีก่ ลวงและพองออกเปนกระเปาะของผกั ตบชวา กานใบกลวงของผักบุง 2. การปรบั พฤตกิ รรม เชน - การอพยพยา ยถน่ิ และการจําศีล ในฤดหู นาว - การหากนิ ในเวลากลางคนื
17 บทท่ี 5 ทรพั ยากรธรรมชาติส่ิงแวดลอมและการอนรุ กั ษ ทรพั ยากรธรรมชาติ คืออะไร ทรพั ยากรธรรมชาติ หมายถึง สิ่งตา ง ๆ ทเี่ กดิ ขึ้นเองตามธรรมชาติ และมนษุ ยสามารถ นํามาใชประโยชนได เชน ดิน นา้ํ อากาศ ปาไม สง่ิ แวดลอ ม หมายถงึ อะไร ส่ิงแวดลอม หมายถงึ ส่งิ ตา ง ๆ ท่ีอยูรอบตัวเรา ทัง้ สงิ่ ท่ีมีชวี ิตและไมม ีชวี ิต รวมทั้งสิง่ ทเ่ี กิดข้ึน เองตามธรรมชาติ และสิ่งทม่ี นษุ ยสรา งมา ทรัพยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดลอม แบง ออกตามความสําคัญไดก ีล่ กั ษณะ ทรพั ยากรธรรมชาติและสิง่ แวดลอม สามารถแบงออกตามความสาํ คัญได 3 ลกั ษณะ 1. ดานเศรษฐกจิ ประเทศใดทีม่ ีทรัพยากรธรรมชาตอิ ุดมสมบูรณ จะสง ผลใหค ณุ ภาพชวี ติ ของ ประชากรและเศรษฐกจิ ของประเทศนั้นดีขึ้น 2. ดา นสังคม ทรัพยากรธรรมชาติ เปน ปจจัยสาํ คัญในการพฒั นาประเทศใหท ัดเทียมนานา อารยประเทศไดเ ร็วขึ้น 3. ดานการเมือง ประเทศทม่ี ีทรพั ยากรธรรมชาตอิ ุดมสมบรู ณ จะสงผลตอการสรางอาํ นาจ ตอ รอง การยอมรับของอารยประเทศ และเวทรี ะดบั โลกได ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอ ม แบง ออกเปน กป่ี ระเภท ทรพั ยากรธรรมชาติและส่งิ แวดลอม แบงไดเปน 2 ประเภท
18 1. ทรพั ยากรท่ีใชแ ลวหมดไป คอื ทรัพยากรที่ใชแลวเมือ่ นานไปไมส ามารถเกิดขน้ึ ใหม หรือถา จะเกดิ ขนึ้ ใหมตองใชเ วลานานหลายลานป เชน แรธาตุ กาซธรรมชาติ นํ้ามัน 2. ทรัพยากรทใ่ี ชไ มหมดส้นิ เชน ดนิ นํา้ อากาศ ปาไม สัตวป า ฯลฯ ทรัพยากรแร หมายถึงอะไร ทรัพยากรแร หมายถงึ แรธ าตุตาง ๆ ท่มี อี ยใู นโลก ท้ังบรเิ วณสว นท่เี ปนพ้นื นา้ํ แหลงกาํ เนิดแร มสี าเหตุหลัก ๆ อะไรบา งแรตา ง ๆ มีแหลงกาํ เนิดมาจาก 1) ปรากฏการณธ รรมชาติ เชน การระเบดิ ของ ภูเขาไฟ การเคล่อื นท่ขี องแผนเปลือกโลก 2) การแปรสภาพทางเคมีของหินประเภทตา ง ๆ ทอ่ี ยูบนเปลือกโลก เชน ถานหิน หินน้าํ มนั เกลือหิน แร การอนุรกั ษท รพั ยากร มวี ิธีอยา งไรบา ง การอนุรกั ษแรมีหลายวธิ ี ดงั น้ี 1. ใชส ่งิ ของเคร่ืองใชต า ง ๆ อยา งรูคณุ คา โดยใชใหเกิดประโยชนส งู สุด 2. ใชแ รธาตุใหต รงกับความตอ งการและตรงกับสมบัตแิ รธาตุน้ัน ๆ 3. แยกขยะที่จะทง้ิ ออกตามประเภทของขยะ เพอ่ื ใหการนาํ ขยะไปผลิตเปน ผลติ ภัณฑใ หมได งา ยขนึ้ และลดการขุดใชแรธาตตุ า ง ๆ ลง ทรัพยากรดนิ เกดิ จากอะไร ทรัพยากรดิน เกิดจากการสลายและผุพังของหินชนิดตาง ๆ คลุกเคลาปะปนกับอินทรียสาร ชนิดตา ง ๆ รวมทั้งนํ้าและอากาศ ลักษณะความแตกตา งของดนิ จะตางกันตามพนื้ ที่ ๆ พบ ไดแกอ ะไรบาง
19 1. บริเวณที่ราบ น้ําทวมถึงสองฝงแมน้ํา เปนดินตะกอนท่ีมีอายุนอย ลักษณะของดินเปนดิน เหนยี ว เน้อื ละเอียด เชน บรเิ วณพนื้ ดินสองฝง แมน ้าํ ในจงั หวัดปทมุ ธานี จังหวดั พระนครศรอี ยุธยา 2. บริเวณท่ีราบลุมต่ํามาก เปนบริเวณที่มีนํ้าทวมขัง มีซากพืช ซากสัตวทับถมกันเปนช้ัน ๆ เปน ดนิ ทีม่ ีอิทรยี ว ัตถปุ ะปนอยูม าก เชน ชายฝง จังหวัดนราธิวาส บงึ บอระเพ็ด จงั หวัดนครสวรรค 3. บริเวณท่เี ปนชายฝง ทะเล มีลักษณะเปนเนินทรายหรือหาดทราย ความอดุ มสมบูรณ คอนขางนอย เชน ชายฝงทะเล จังหวัดประจวบครี ขี ันธ 4. บรเิ วณที่หางจากสองฝง แมน ํา้ สว นมากเปน ดนิ เหนียวและคอย ๆ ลดความอดุ มสมบูรณลง ไปเร่อื ย ๆ เน่อื งจากโดนชะลา งจากการไหลของน้ํา 5. บริเวณภเู ขาไมส งู ชัน เปนดินทม่ี อี ินทรยี สารสะสมอยู เนื่องจากถกู ปกคลุมดว ยปา ไมตาม ธรรมชาติ 6. บริเวณดินทม่ี คี ุณสมบตั เิ ปนเบสปะปนอยูมาก เชน หินปนู ดนิ มารล เปนตน เมือ่ สารเหลา น้ี สลายตวั ลงจะทาํ ใหดินมคี วามอุดมสมบูรณ ปญหาทรพั ยากรดนิ ในประเทศไทย มกี ี่แบบอะไรบา ง ปญ หาทรพั ยากรดินในประเทศไทยมี 2 แบบ คือ ปญหาท่เี กิดขึ้นจากธรรมชาติและปญหาท่ี เกิดจากการกระทําของมนุษย ปญหาทเี่ กดิ ข้ึนโดยธรรมชาติ การชะลา ง ปญ หาการสกึ กรอน และ แรธ าตใุ นดิน การพังทลายของดนิ ปญหาทเ่ี กดิ ข้ึนจากการกระทาํ ของมนุษย การปลกู พชื นิด การปลูกพชื โดย การทาํ ลายปา เพ่ือ การเผาปา เดียวกนั ซาํ้ ซาก ไมบ าํ รงุ ดิน การอุตสาหกรรม
20 ทรพั ยากรนา้ํ แบง ออกเปน กี่ประเภท 1. น้ําบนดนิ ไดแ ก นา้ํ ในแมนา้ํ ลําคลอง หนอง บึง อางเก็บนํ้า น้ําจากแหลง นี้จะมีปรมิ าณมาก หรอื นอยข้ึนอยกู ับปจจัยตอ ไปน้ี - ปริมาณของนํ้าฝนทไ่ี ดร ับ - อัตราการสูญเสยี ของน้าํ ซ่ึงมีสาเหตมุ าจากการระเหยและการคายนํ้า - ความสามารถในการกักเก็บนํ้า 2. นํ้าใตดิน เปนน้ําท่ีแทรกอยูใตดิน ไดแก นํ้าบาดาล การท่ีระดับนํ้าใตดินจะมีปริมาณมาก หรือนอยเพียงใดขึน้ อยกู ับปจจยั ตอ ไปน้ี - ปรมิ าณน้าํ ทีไ่ หลจากผวิ ดิน - ความสามารถในการกกั เกบ็ นํ้าไวในชัน้ หนิ นํา้ มคี วามสําคัญอยางไรบาง ความสาํ คัญของนา้ํ นํ้ามีความสาํ คญั ตอส่ิงมชี ีวิตมากมายดงั นี้ - ดานเกษตรกรรม เพือ่ การเพาะปลกู เลี้ยงสัตว ฯลฯ - ดานการคมนาคมขนสง ทางนา้ํ - ดานการอุตสาหกรรม - ดานการอุปโภคและการบรโิ ภค การอนุรกั ษทรพั ยากรนา้ํ มแี นวทางในการปฏบิ ตั อิ ยางไรบา ง การอนุรักษทรพั ยากรนํา้ มีแนวทางในการปฏบิ ัตดิ ังน้ี - การพัฒนาแหลงน้ํา โดยการขดุ ลอกแหลง น้าํ ตาง ๆ ท่ีตืน้ เขนิ - ใชนา้ํ อยางประหยัด ไมป ลอยใหน้าํ ทใี่ ชเสียไปโดยเปลาประโยชน
21 - ไมตัดไมทาํ ลายปา - ปอ งกันไมใ หเกดิ มลพิษกบั แหลงนาํ้ ทานมีความเขาใจเก่ียวกบั ทรพั ยากรปาไมอยา งไร ปาไมเปนสวนท่มี ีความสาํ คัญตอระบบนเิ วศเปน อยา งย่ิง เปนตนน้าํ เปนที่อยูอาศัยของสัตวปา มากมาย ชวยปองกันการชะลางหนาดิน เปนสวนสําคัญที่ทําใหเกิดการหมุนเวียนของสารตาง ๆ ใน ธรรมชาติ ฯลฯ การอนุรกั ษท รพั ยากรปา ไม มแี นวทางในการอนรุ กั ษอยางไรบา ง 1. การทาํ ความเขาใจถงึ ความสาํ คญั ของปาตอการดํารงชีวิตของมนุษย สัตว และส่ิงตาง ๆ ท่ี อยใู นโลก 2. การสรา งจิตสํานกึ รวมกันในการดูแลรกั ษาปาไมใ นชุมชน ซึ่งแนวทางหน่งึ คือการเปดโอกาส โดยภาครัฐในการออกพระราชบัญญัตปิ า ชุมชน 3. การออกกฎหมายเพื่อคมุ ครองพืน้ ทป่ี า และการออกกฎเพือ่ ปอ งกนั การตัดไมท ําลายปา ชวยกันปลูกปาในพ้ืนที่ปาเส่ือมโทรม โดยอาจจะเปนการวมมือกับสมาชิกในชุมชนเพื่อปลูกปาใน โอกาสตาง ๆ 4. ติดตามขาวสารเก่ียวกับสิ่งแวดลอมเปนประจํา เพื่อจะไดทราบความเคลื่อนไหวเก่ียวกับ การรว มอนรุ กั ษป า ไมรวมถึงสิ่งแวดลอมในดานอื่นดว ย หลกั การอนุรกั ษทรพั ยากรธรรมชาติ ไดแกอ ะไรบา ง 1. การอนุรักษแ ละการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ตอ งคาํ นงึ ถึงทรัพยากรธรรมชาติอ่ืนควบคู กนั ไป เพราะทรัพยากรธรรมชาตติ างก็มคี วามเกีย่ วขอ สัมพันธและสง ผลตอ กนั อยางแยกไมได
22 2. การวางแผนการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอยางชาญฉลาด ตองเชื่อมโยงกับการพัฒนา สงั คม เศรษฐกจิ การเมอื ง และคุณภาพชีวิตอยา งกลมกลนื ตลอดจนรกั ษาไวซ ง่ึ ความสมดุลของระบบ นเิ วศควบคูกนั ไป 3. การอนุรักษทรัพยากรธรรมชาติ ตองรวมมือกันทุกฝาย ท้ังประชาชนในเมือง ในชนบท และผูบริหาร ทุกคนควรตระหนักถงึ ความสําคญั ของทรพั ยากรและสิ่งแวดลอมตลอดเวลา โดยเริ่มตน ท่ีตนเองและทอ งถิน่ ของตน รวมมอื กันทัง้ ภายในประเทศและทั้งโลก 4. ความสําเร็จของการพัฒนาประเทศข้ึนอยูกับความอุดมสมบูรณและความปลอดภัยของ ทรพั ยากรธรรมชาติ ดังน้ันการทําลายทรัพยากรธรรมชาตจิ ึงเปน การทําลายมรดกและอนาคตของชาติ ดวย 5. ประเทศมหาอาํ นาจท่เี จรญิ ทางดานอตุ สาหกรรม มีความตองการทรัพยากรธรรมชาติเปน จาํ นวนมาก เพอ่ื ใชปอนโรงงานอตุ สาหกรรมในประเทศของตน ดังนั้นประเทศที่กําลังพัฒนาท้ังหลาย จงึ ตองชวยกันปอ งกันการแสวงหาผลประโยชนข องประเทศมหาอํานาจ 6. มนุษยสามารถนําเทคโนโลยีตาง ๆ มาชวยในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติได แตการ จัดการน้ันไมควรมงุ เพียงเพอ่ื การอยูดกี นิ ดเี ทา นัน้ ตองคาํ นงึ ถงึ ผลดีทางดา นจิตใจดว ย 7. การใชทรัพยากรธรรมชาติในแตละแหงน้ัน จําเปนตองมีความรูในการรักษา ทรัพยากรธรรมชาติทจ่ี ะใหป ระโยชนแ กมนษุ ยท กุ แงม ุม ทั้งขอดีและขอเสีย โดยคํานึงถึงการสูญเปลา อนั เกิดจากการใชทรพั ยากรธรรมชาตดิ วย 8. รักษาทรัพยากรธรรมชาติที่จําเปนและหายากดวยความระมัดระวัง พรอมท้ังประโยชน และการทําใหอยใู นสภาพทเ่ี พิ่มท้ังทางดา นกายภาพและเศรษฐกิจเทาทีท่ ําได รวมทั้งจะตองตระหนัก เสมอวาการใชท รัพยากรธรรมชาตทิ ี่มากเกนิ ไปจะไมเ ปนการปลอดภัยตอ สงิ่ แวดลอม 9. ตอ งรกั ษาทรพั ยากรท่ีทดแทนได โดยใหมีอัตราการผลิตเทากับอัตราการใชหรืออัตราการ เกดิ เทา กับอัตราการตายเปนอยางนอย 10. หาทางปรับปรุงวิธีการใหม ๆ ในการผลิตและการใชทรัพยากรธรรมชาติอยางมี ประสิทธิภาพ อีกทง้ั พยายามคนควาสิง่ ใหมมาใชท ดแทน 11. ใหก ารศกึ ษาเพอื่ ใหประชาชนเขาใจถึงความสําคญั ในการรกั ษาทรพั ยากรธรรมชาติ
23 สงิ่ แวดลอมคืออะไร สิ่งแวดลอม คือ ทุกส่ิงทุกอยางท่ีอยูรอบตัวมนุษยท้ังท่ีมีชีวิตและไมมีชีวิต รวมท้ังรูปธรรม (สามารถจบั ตอ งและมองเห็นได) และนามธรรม (ตัวอยางเชน วัฒนธรรม แบบแผน ประเพณี ความ เชื่อ) ท้ังที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและที่มนุษยสรางขึ้น มีความสัมพันธเช่ือมโยงกัน เกื้อหนุนซึ่งกัน และกนั สาเหตุหลกั ของปญ หาส่ิงแวดลอมมีกป่ี ระการ 1. การเพิ่มของประชากร (Population growth) ปริมาณการเพม่ิ ของประชากรกย็ งั อยูใ น อัตราทวคี ูณ (Exponential Growth) เมือ่ ผคู นมากข้ึนความตองการบริโภคทรพั ยากรกเ็ พม่ิ มากข้ึน ทกุ ทางไมว าจะเปนเรอื่ งอาหาร ทอี่ ยูอาศยั พลงั งาน 2. การขยายตัวทางเศรษฐกิจและความกาวหนาทางดานเทคโนโลยี (Economic Growth & Technological Progress) ความเจริญทางเศรษฐกิจน้ันทําใหมาตรฐานในการดํารงชีวิตสูงตามไป ดวย มีการบรโิ ภคทรัพยากรจนเกนิ กวา ความจาํ เปนขนั้ พืน้ ฐานของชีวิต มีความจําเปนตองใชพลังงาน มากข้ึนตามไปดวย ในขณะเดียวกันความกาวหนาทางดานเทคโนโลยีก็ชวยเสริมใหวิธีการนํา ทรพั ยากรมาใชไ ดงายขึน้ และมากขนึ้ ผลทไ่ี ดรบั จากปญ หาสง่ิ แวดลอ มไดแ กอ ะไรบา ง 1. การเปลย่ี นแปลงสิ่งแวดลอมในทองถ่ินโดยธรรมชาติ ไดแก การเกิดอุทกภัยจากนํ้าปาไหล หลาก ทําใหส่ิงมีชีวิตโดยเฉพาะพืชถูกนํ้าทวม พืชบางชนิดไมสามารถดํารงชีวิตอยูไดในท่ีท่ีมีน้ําทวม จงึ ตายไปในทส่ี ดุ และอทุ กภัยยงั กอใหเกดิ ความเสยี หายตอส่ิงมชี วี ิตทุกชนิด โดยเฉพาะสตั วแ ละมนุษย 2. การเกดิ ลมพายุก็เปน สาเหตุทที่ ําใหส ่ิงแวดลอมเกิดการเปลี่ยนแปลง โดยลมพายุอาจพัดพา รุนแรงจนทําใหตนไมสูง ๆ บางตนตานแรงลมไมไหว จึงโดนลมลงไป ทําใหเกิดความเสยี หายตาง ๆ ตามมาทาํ ใหส ่ิงแวดลอ มเปลยี่ นไป
24 3. การเกดิ ภูเขาไฟระเบิดกเ็ ปน สาเหตทุ ี่ทําใหส่ิงแวดลอมเกิดการเปลี่ยนแปลง ความรอนของ ลาวาที่ไหลออกมาจากปลองภเู ขาไฟ ทาํ ใหส ิ่งมชี ีวติ ไมสามารถดํารงชีวิตได อีกทั้งกาซตาง ๆ ท่ีปลอย ออกมาจากปลองภูเขาไฟทําใหส ภาพอากาศเปลี่ยนไป 4. การเปล่ียนแปลงส่ิงแวดลอมในทองถิ่นโดยมนุษย ไดแก มนุษยทําใหภูเขาไมมีตนไม กลายเปนภูเขาหัวโลน ตนไมในปาถูกตัดโคนทําลาย สัตวปาไมมีที่อยูอาศัยและขาดอาหาร นํ้าเสีย อากาศเปนพิษ ดินเสยี และเสอื่ มสภาพ
25 บทที่ 6 ปรากฏการณทางธรรมชาติ เมฆเกดิ จากอะไร “เมฆ” เปนไอน้ําท่ลี อยตัวอยใู นอากาศ เมอ่ื ไดร ับความรอ นจากดวงอาทติ ยกจ็ ะลอยตัวสงู ขึน้ จนไปกระทบกับมวลอากาศเย็นที่อยูดา นบนทาํ ใหกลั่นตัวเปนละอองน้ําขนาดเล็กและเมอ่ื ละอองน้ํา เหลานนั้ รวมตัวกันก็จะเปนเมฆ นักอตุ นุ ยิ มวทิ ยา แบงเมฆออกเปน กช่ี นดิ 1. เมฆช้ันสูง เปน เมฆทก่ี อตวั ทรี่ ะดับความสูงมากกวา 6 กโิ ลเมตร เมฆในชั้นนี้สว นใหญม กั จะมี ลักษณะเปนกอนเลก็ ๆ และมกั จะคอนขางโปรง ใส เมฆชั้นสงู แบงออกเปน 3 ชนิด คือ 1.1 เมฆเซอโรควิ มูลสั เมฆสีขาว เปนผลึกนํา้ แขง็ มีลักษณะ เปนร้ิว คลื่นเล็กๆ มักเกดิ ข้ึนปก คลุมทอ งฟา บรเิ วณกวา ง 1.2 เมฆเซอโรสเตรตสั มีลักษณะคลา ยกบั เมฆเซอรสั แตจะแผ ออกเปนแผนบางๆ ตาม ทศิ ทางของลม แผนบาง สีขาว เปนผลึกน้าํ แขง็ ปกคลุมทองฟา เปน บริเวณกวาง โปรง แสง ตอ แสงอาทติ ย บางคร้งั หกั เหแสง ทาํ ใหเ กดิ ดวงอาทติ ยท รงกลด และดวงจันทร ทรงกรด 1.3 เมฆเซอรสั เมฆร้ิว สีขาว รปู รา งคลา ยขนนก เปนผลกึ น้าํ แขง็ มกั เกิดข้ึนในวันท่ีมอี ากาศดี ทองฟาเปนสฟี าเขม 2. เมฆชั้นกลาง เปนเมฆท่กี อตัวขึ้นจากหยดน้ําหรอื ผลึกนํา้ แข็ง อยทู ร่ี ะดับความสูงจากพื้นดนิ 2 - 6 กโิ ลเมตร เมฆช้ันกลาง แบงออกเปน 2 ชนดิ คือ 2.1 เมฆอลั โตคิวมลู ัส เมฆกอน สีขาว ลกั ษณะเปนกลุมกอ นเลก็ ๆ คลา ยฝงู แกะมีชองวาง ระหวา งกอนเลก็ นอย บางครงั้ อาจกอตัวตํา่ ลงมาดคู ลาย ๆ กบั เมฆสเตรโตควิ มูลสั
26 2.2 เมฆอัลโตสเตรตสั มีลกั ษณะเปนแผน ปกคลุมบรเิ วณทองฟา บริเวณกวา ง สวนมากมกั มสี ี เทา เนื่องจากบังแสงดวงอาทิตยหรอื ดวงจนั ทร ไมใหลอด 3. เมฆชัน้ ตํา่ เปนเมฆท่เี กดิ ข้ึนท่ีระดับความสูงจากพ้นื ดนิ ไมเ กิน 2 กโิ ลเมตร ซึ่งสามารถจําแนกตาม ลักษณะรูปรางไดด งั น้ี 3.1 เมฆสเตรตสั เปนเมฆแผน บาง สีขาว ปกคลุมทองฟาบริเวณกวาง และอาจทาํ ใหเ กดิ ฝน ละอองได มักเกดิ ขึ้นตอนเชา หรือหลังฝนตก บางครั้งอาจลอยต่ําปกคลุมพ้ืนดนิ เรยี กวา “หมอก” 3.2 เมฆสเตรโตคิวมูลัส เมฆกอน ลอยติดกนั เปนแพ ไมม ีรูปทรงที่ชัดเจน มชี อ งวา งระหวาง กอนเพยี งเล็กนอ ย มักเกดิ ขนึ้ เวลาที่อากาศไมดี 3.3 เมฆนมิ โบสเตรตัส เมฆแผนหนาสเี ทาเขม คลายพื้นดินที่เปยกนํ้า ทาํ ใหเ กิดฝนตกพราํ ๆ หรอื ฝนตกแดดออก ไมม พี ายฝุ นฟา คะนอง ฟารองฟาผา มกั ปรากฏใหเ ห็นสายฝนตกลง มาจากฐานเมฆ 4. เมฆกอตวั ในแนวต้ัง เปนเมฆท่ีอยูสูงจากพ้ืนดินตงั้ แต 500-20,000 เมตร แบงออกเปน 2 ชนดิ คือ 4.1 เมฆควิ มลู สั เมฆกอ นปุกปุย สีขาว รูปทรงคลา ยดอกกะหล่าํ ฐานเมฆเปนสเี ทาเน่อื งจากมี ความหนามากพอท่ีจะบดบงั แสง จนทาํ ใหเกดิ เงา มักปรากฏใหเหน็ เวลาอากาศดี ทองฟา เปนสฟี า เขม 4.2 เมฆคิวมโู ลนิมบสั เมฆกอตวั ในแนวต้งั พัฒนามาจากเมฆควิ มลู ัส มีขนาดใหญม ากปก คลุมพ้ืนท่ีครอบคลุมทง้ั จังหวัด ทาํ ใหเ กิดปรากฏการณท างธรรมชาตติ า งๆ เชน ฟาแลบ ฟารอ ง พายฝุ นฟา คะนอง และบางคร้ังอาจมีลกู เห็บตก สีของเมฆนน้ั สามารถใชในการบอกสภาพอากาศไดห รอื ไม 1. เมฆสีเขียวจางๆ นัน้ เกิดจากการกระเจงิ ของแสงอาทิตยเมือ่ ตกกระทบนํา้ แขง็ 2. เมฆสเี หลอื ง ไมค อ ยไดพบเห็นบอ ยคร้งั แตอ าจเกิดขึ้นไดใ นชวงปลายฤดูใบไมผลไิ ป จนถึงชวงตนของฤดูใบไมรวง ซง่ึ เปนชวงทเ่ี กดิ ไฟปาไดงาย โดยสเี หลืองนั้นเกิดจากฝนุ ควนั ในอากาศ 3. เมฆสแี ดง สสี ม หรอื สีชมพู โดยปกตเิ กิดในชวงพระอาทิตยข ึ้น และพระอาทติ ยต ก
27 หมอกเกดิ จากอะไร หมอกเกิดจากกล่ันตัวของไอนํ้าในอากาศ เมื่อไปกระทบกับความเย็นจะเปล่ียนสถานะ ควบแนนเปนละอองนํ้า คลายควันสีขาว ลอยติดพน้ื ดิน บางครั้งจะหนามากจนเปนอุปสรรคในการ คมนาคม ซ่ึงในวันที่มีอากาศชื้น และทองฟาใส พอตกกลางคืนพ้ืนดินจะเย็นตัวอยางรวดเร็ว ทําใหไ อนาํ้ ในอากาศเหนือพนื้ ดนิ ควบแนนเปนหยดน้ํา หมอกซ่ึงเกิดข้ึนโดยวิธีนี้จะมีอุณหภูมิต่ําและมี ความหนาแนนสงู เคลื่อนตัวลงสูท่ีต่ํา และมีอยูอยางหนาแนนในหุบเหว แตเมื่ออากาศอุนมีความช้ืน สงู ปะทะกับพืน้ ผิวที่มีความหนาวเย็น เชน ผิวน้ําในทะเลสาบ อากาศจะควบแนนกลายเปนหยดนํ้า ในลักษณะเชน เดียวกบั หยดน้ําซ่ึงเกาะอยูรอบแกวนํา้ แข็ง นาํ้ คา งเกดิ จากอะไร น้ําคางเปนหยดน้ําขนาดเล็กเกาะติดพื้นดินหรือตนไม เกิดจากการควบแนนของไอนํ้าบน พ้นื ผิวของวัตถุ ซึง่ มีการแผร ังสีออกจนกระท่ังอุณหภมู ิลดตํ่าลงกวา จดุ น้ําคางของอากาศซ่ึงอยู รอบ ๆ เนอื่ งจากพ้ืนผิวแตละชนิดมีการแผรังสีที่แตกตางกัน ดังนั้นในบริเวณเดียวกัน ปริมาณของน้ําคางท่ี ปกคลุมพ้ืนผิวแตละชนิดจึงไมเทากัน เชน ในตอนหัวคํ่า อาจมีนํ้าคางปกคลุมพื้นหญา แตไมมี นาํ้ คา งปกคลุมพนื้ คอนกรีต เหตผุ ลอีกประการหน่ึงซึ่งทําใหนํ้าคางมักเกิดขึ้นบนใบไมใบหญาก็คือ ใบ ของพชื คายไอนํา้ ออกมา ทําใหอ ากาศบริเวณนนั้ มคี วามช้ืนสูง ฝนเกิดจากอะไร ไอนํ้าที่กลั่นตัวเปนหยดนํ้า แลวตกลงมาบนพื้นผิวโลก ซ่ึงเปนรูปแบบหนึง่ ของการตกลงมา จากฟาของนาํ้ นอกจากฝนแลวยงั มกี ารตกลงมาในรูป หมิ ะ เกล็ดน้ําแข็ง ลูกเห็บ น้ําคาง ฝนน้ันอยูใน รปู หยดนาํ้ ซ่ึงตกลงมายังพืน้ ผวิ โลกจากเมฆ ลกั ษณะของการเกดิ ฝน สามารถแบงตามสาเหตุการเกดิ ได ดงั นี้ 1. ฝนเกดิ จากการพาความรอน มวลอากาศรอ นลอยตัวสงู ขึน้
28 2. ฝนภูเขา มวลอากาศทอี่ มุ ไอนํา้ พดั จากทะเล ปะทะภูเขา จะลอยตัวสูงข้นึ 3. ฝนพายุหมุน ความกดอากาศสงู เคลอื่ นไปสบู รเิ วณความกดอากาศตา่ํ มวลอากาศในบรเิ วณ ความกดอากาศตา่ํ ลอยตัวสงู ขนึ้ 4. ฝนในแนวอากาศ มวลอากาศรอนปะทะมวลอากาศทม่ี ีอุณหภูมิเยน็ มวลอากาศรอ น ลอยตัวสูงขน้ึ ลกู เหบ็ เกดิ จากอะไร หยดนํา้ ทก่ี ลายสภาพเปนนํา้ แขง็ เกิดจากมวลอากาศรอนท่ีลอยตัวสูงขึ้นพัดพาเม็ดฝนลอยขึ้น ไปปะทะกับมวลอากาศเย็นที่อยูดานบน ทําใหเม็ดฝนจับตัวกลายเปนนํ้าแข็ง เมื่อตกลงมายังมวล อากาศรอนทีอ่ ยดู า นลาง ความช้ืนจะเขาไปหอหุมเม็ดนํ้าแข็งใหเพ่ิมขึ้น จากน้ันกระแสลมก็จะพัดพา เมด็ นาํ้ แขง็ วนซํ้าไปซ้าํ มาหลายครัง้ จนเมด็ น้ําแขง็ มีขนาดใหญขึ้น และกระแสลมไมสามารถพยุงเอาไว ไดจึงตกลงมายังพ้นื ดนิ สว นใหญจ ะมีขนาดเสน ผา ศนู ยก ลางประมาณ 2-3 มิลลิเมตร ซ่ึงมักจะเกิดขึ้น ในเขตพ้ืนทีท่ ี่มอี ากาศรอ นมาก และเกดิ ในชวงเปลีย่ นจากฤดรู อ นไปเปนฤดฝู น ทําใหเ กิดความเสียหาย ตอการเล้ยี งสัตว เรอื กสวนไรนา บา นเรือน และเคร่ืองบนิ กรณศี ึกษาน้ําคา งแข็ง“แมค ะนิ้ง” เกดิ จากอะไร นา้ํ คา งแข็ง หรอื “แมค ะนิ้ง” และ“เหมยขาบ” เกิดจากไอน้ําในอากาศท่ีใกลๆกับพ้ืนผิวดิน ลดอุณหภูมิลงจนถึงจุดน้าํ คา ง จากนั้นก็จะกลัน่ ตัวเปนหยดนํ้า โดยอุณหภูมิยังคงลดลงอยางตอ เนื่อง จนถึงจดุ ตาํ่ กวา จดุ เยือกแขง็ จากน้นั น้าํ คางก็จะเกิดการแข็งตัวกลายเปนน้ําคางแข็งเกาะอยูตามยอด ไมใบหญา ซ่ึงการเกิดแมคะน้ิงน้ันไมใชจะเกิดขึ้นไดงา ยๆ แตจะเกิดก็ตอเม่ือมีอากาศหนาวจัดจน นา้ํ คา งยอดหญา หรอื ยอดไมแข็งตัว ในอุณหภมู ปิ ระมาณศนู ยอ งศาเซลเซียสหรอื ติดลบเล็กนอ ย
29 ผลกระทบของนา้ํ คา งแขง็ “แมคะนงิ้ ”ทําใหเ กิดอะไรบา ง การเกดิ แมค ะน้งิ อาจจะนาสนใจสําหรบั ใครหลายๆคน แตก็มที งั้ ผลดี และผลเสีย ซ่ึงถามองใน ดานการทองเท่ียวก็เปนตัวกระตุนนักทองเที่ยว แตในทางตรงกันขามจะมีผลกระทบโดยตรงทาง การเกษตร เพราะสรางความเสียหายแกพืชไรและผักตางๆ เชน ขาวท่ีกําลังออกรวงก็จะมีเมล็ดลีบ พชื ไรช ะงักการเจรญิ เติบโต พชื ผักใบจะหงิกงอ ไหมเ กรียม สว นพวกกลวย มะพราว และทุเรียนใบจะ แหงรวง เปนตน ซ่ึงหากแมคะนิ้งเกิดติดตอกันยาวนาน ถือวาชาวนา ชาวไร ชาวสวนเดือดรอน แนน อน การพยากรณอ ากาศหมายถึงอะไร การคาดหมายสภาพลมฟาอากาศ และปรากฏการณทางธรรมชาติในอนาคต เชน การคาดหมายสภาพอากาศของวันพรุง น้ี เปนตน การท่ีจะพยากรณอ ากาศไดต องมอี งคประกอบอะไรบาง 1. ความรูความเขาใจในปรากฏการณและกระบวนการตาง ๆ ที่เกิดข้ึนในบรรยากาศ โดยไดม าจากการเฝา สังเกตและบนั ทึกไว ซ่งึ มนษุ ยไดมกี ารสังเกตลมฟาอากาศมานานแลว 2. สภาวะอากาศปจจุบัน ซึ่งจําเปนตองใชเปนขอมูลเริ่มตนสําหรับการพยากรณอากาศ โดยขอมลู น้ไี ดม าจากการตรวจสภาพอากาศ ซึง่ มที ั้งการตรวจอากาศผวิ พ้ืน การตรวจอากาศช้ันบนใน ระดับความสูงตาง ๆ ส่ิงสาํ คญั ทตี่ อ งทาํ การตรวจเพื่อพยากรณอากาศไดแก อุณหภูมิความกดอากาศ ความช้นื ลม และเมฆ
30 อณุ หภูมขิ องอากาศ หมายถึงอะไร ระดับความรอนของอากาศ ซ่ึงมีความสําคัญตอการหมุนเวียนของอากาศ โดยอากาศจะ เคล่ือนที่จากบรเิ วณที่มีอุณหภูมิต่ําไปยังบริเวณที่มีอุณหภูมิสูงกวา ทั้งน้ีอุณหภูมิของอากาศในแตละ บริเวณนน้ั จะมีลักษณะทีแ่ ตกตา งกนั ออกไป และสามารถเปลี่ยนแปลงไดตลอดเวลา ความกดอากาศ หมายถึงอะไร น้ําหนักของอากาศท่กี ดทับเหนอื บริเวณน้ันๆ สามารถวัดไดโ ดยใชเครอื่ งมือที่เรียกวา \" บารอมเิ ตอร \" มหี นว ยเปน มิลลิบาร หรือ ปอนดต อตารางนวิ้ ความกดอากาศแบง ไดกี่ชนิดอะไรบาง 1. บริเวณความกดอากาศต่าํ หรือ หยอมความกดอากาศต่ํา หมายถึง บริเวณซ่ึงมีปริมาณ อากาศอยูนอย ซ่ึงจะทําใหนํ้าหนักของอากาศนอยลงตามไปดวย ทําใหอากาศเบาและลอยตัวสูงขึ้น เกดิ การแทนทีข่ องอากาศทําใหเกิดลม 2. บรเิ วณความกดอากาศสงู หรอื หยอมความกดอากาศสูง หมายถึง บริเวณที่มีคาความ กดอากาศสูงกวาบริเวณโดยรอบ เรียกอีกอยางหนึ่งวา \"แอนติไซโคลน\" เกิดจากศูนยกลางความกด อากาศสูงเคล่ือนตัวออกมายังบริเวณโดยรอบ ทําใหอากาศขางบนเคล่ือนตัวจมลงแทนที่ ทําให อณุ หภมู สิ ูงขน้ึ ไมเกิดการ กล่ันตัวของไอน้ํา สภาพอากาศโดยท่วั ไปจงึ ปลอดโปรง ทอ งฟา แจม ใส
31 บทที่ 7 สารและสมบตั ขิ องสาร สารคืออะไร สาร หมายถึง สิ่งที่มีตัวตน มีมวล ตองการท่ีอยู และสัมผัสได สารแตละชนิดจะมีสมบัติ เฉพาะตัว ซ่ึงแตกตางจากสารอน่ื เชน นํ้ามีจุดเดือด 100๐ C เอทิลแอลกอฮอล มีจุดเดือด 78.5๐ C และติดไฟได กรดบางชนิดมรี สเปรีย้ ว สามารถกัดกรอนโลหะบางชนิดได เบสบางชนิดมีรสฝาด และ กดั กรอ นโลหะบางชนดิ เปน ตน สมบตั สิ ําคญั ของสาร มีอะไรบา ง สมบตั ิของสารแบงออกเปน 2 ประเภท 1) สมบัติทางกายภาพ หมายถึง สมบัติของสารท่ีแสดงใหเห็นลักษณะภายนอกของสาร สามารถสงั เกตไดงาย เชน รปู รา ง สี กลิ่น รส สถานะของสาร จุดเดือด จุดหลอมเหลว เปน ตน 2) สมบัติทางเคมี หมายถึง สมบัติของสารที่แสดงลักษณะภายในของสารโดยอาศัยการ เปล่ยี นแปลงทางเคมี เชน กรดมีความสามารถในการกัดกรอนโลหะ กาซออกซิเจนมีสมบัติทําใหสาร อ่ืนที่เปนเช้ือเพลิงสามารถตดิ ไฟได กา ซฮเี ลยี ม เปนกาซเฉ่อื ย คือไมทําปฏิกริ ิยากับสารใด ๆ เปน ตน สถานะของสารมีอะไรไดบ า ง ยกตวั อยางสารทอี่ ยูสถานะตาง ๆ สาร มี 3 สถานะ คอื 1) ของแขง็ (solid) เชน โลหะเหลก็ โลหะทองคาํ โลหะทองแดง กอนถาน เพชร ผงกํามะถนั แกว ไม ผงการบูร นํ้าแขง็ 2) ของเหลว (liquid) เชน นํา้ กล่ัน น้าํ เชือ่ ม โลหะปรอท นาํ้ มันเช้ือเพลงิ แกสหุงตม (เม่ือถูก อัดลงในถงั เกบ็ ) น้าํ มนั พืช ทินเนอร
32 3) แกส (gas) เชน อากาศ ไอนาํ้ กาซออกซเิ จน กา ซไนโตรเจน กา ซคารบ อนไดออกไซด กา ซ หงุ ตม (ขณะพงุ ออกจากถังเขาสหู ัวเตา) การจัดเรียงอนุภาคของสารใน 3 สถานะ ขา งตนดังกลา ว แตกตางกันอยา งไร 1) ของแข็ง อนุภาคชิดกันเปนระเบียบ มีความหนาแนนและแรงยึดเหนี่ยวระหวางโมเลกุลสูง อนุภาคของสารถูกตรึงใหอยูกับที่ (แตสามารถหมุนได) ของแข็งจึงมีรูปรางแนนอน ไมเปล่ียนตาม ภาชนะบรรจุ 2) ของเหลว อนุภาคอยูใกลชิดกันไมเปนระเบียบ แตมีแรงยึดเหน่ียวระหวางกันสามารถ เคลอ่ื นท่ไี ดใ นชว งแคบ ๆ จึงมีการชนกันตลอดเวลา การที่อนุภาคสามารถเคลื่อนที่ได หมุนได สั่นได โมเลกลุ ของของเหลว จึงมพี ลงั งานสงู กวา โมเลกุลของของแขง็ (เม่ือเปรียบเทียบสารชนิดเดียวกัน เชน อนุภาคของน้ํามีพลังงานสูงกวาอนุภาคของนํ้าแข็ง) การที่อนุภาคเรียงไมเปนระเบียบเทาของแข็ง จงึ ทําใหของเหลว ไหลได รูปรางของของเหลวจงึ เปลีย่ นตามรปู รางของภาชนะบรรจุ 3) แกส อนภุ าคอยูห า งกันเปน อิสระแกก นั โดยสิ้นเชิง แตละอนุภาคสามารถเคล่ือนที่ไดอิสระ จึงมีการชนกันตลอดเวลา การท่ีอนุภาคสามารถเคล่ือนท่ีได อยางอิสระนี้ อนุภาคของแกสจึงมี พลงั งานสูงกวาอนุภาคของของเหลวและของแข็ง (เม่ือเปรยี บเทียบสารชนดิ เดียวกัน เชน อนุภาคของ ไอนา้ํ น้าํ มพี ลังงานสูงกวาอนุภาคของนํา้ และอนภุ าคของน้าํ แขง็ ) การทอี่ นภุ าคเรยี งไมเ ปนระเบียบและ ฟงุ กระจายตลอดเวลาน้ี จึงทําใหแกสไหลได มีรูปรางของตามรูปรางของภาชนะบรรจุและบรรจุเต็ม ภาชนะเสมอ มีปจจัยใดบางทท่ี าํ ใหสารมกี ารเปลยี่ นแปลงสถานะ ปจ จัยท่ที ําใหสารเปลยี่ นแปลงสถานะ มี 2 ปจจยั คือ 1) การเปลีย่ นแปลงอณุ หภมู ิ การใหค วามรอนแกสารหรือสารที่ไดรับความรอน ทําใหสารมี อุณหภูมิสูงข้ึน มีผลทําใหสารเปลี่ยนสถานะจาก ของแข็ง ของเหลว และ ของเหลว แกส เชน การเกิดภาวะโลกรอน ทําใหนํา้ แข็งข้วั โลกมอี อุณหภูมิสงู ขึ้น ผลคือ น้ําแขง็ เปล่ียนเปนนํ้า
33 ในทางกลบั กัน ถาบังคบั ใหส ารสูญเสียความรอนหรือดึงความรอนออกจากสาร เปนการทําใหสารมี อุณหภูมิลดลง สารจะเปล่ียนสถานะจาก แกส ของเหลว (เชนการใหไอน้ําปะทะกับบริเวณที่เย็น กวา ไอน้ําจะควบแนนเปนหยดนํ้า) ของเหลว ของแข็ง (เชนการนํานํ้าใสในชองแชแข็ง นํ้าจะ เปล่ียนเปนน้ําแข็ง หรือในวันท่ีอากาศหนาวจัด เมื่ออุณหภูมิลดลงตํ่ากวา 0๐C น้ําคางบนยอดหญา เปล่ยี นเปนนํา้ คางแข็ง 2) การเปลย่ี นแปลงความดัน การเพ่ิมความดนั มาก ๆ เปน การบีบใหอนุภาคของสารอยูชิดกัน มากขน้ึ มีผลทําใหแ กสมีโอกาสเปลียนเปนของเหลวได ตัวอยางเชน การอดั แกสหุงตมดวยความดันสูง มาก ๆ ทาํ ใหแกส หุงตมเปล่ียนเปนของเหลวไดเม่ืออยูในถังเก็บ การอัดนํ้าหอมดวยความดันสูงลงใน ขวดหรอื กระปอ งของผลติ ภณั ฑสเปรย ทําใหน ้ําหอมนั้นอยใู นสถานะของเหลว แตเมื่อพนออกมานอก กระปอง คาความดนั ลดลงเปนคาความดันปกติ ทําใหของเหลวในกระปองสเปรยเปล่ยี นเปน แกส ทนั ที ในบางกรณี มคี วามจาํ เปน ตอ งเปล่ียนแปลงทงั้ อณุ หภมู ิและเปลีย่ นแปลงความดันไป พรอม ๆ กัน เชน ในการผลิตนํ้าแข็งแหง (Dry ice) ซึ่งหมายถึงคารบอนไดออกไซดที่ถูกทําใหเปนของแข็ง โดยการนําเอากาซคารบอนไดออกไซดที่ทําใหบริสุทธ์ิแลว มาลดอุณหภูมิพรอมกับการเพิม่ ความดัน การลดอหุ ณหภมู ิ เมอื่ อณุ หภมลิ ดลง อนภุ าคของคารบอนไดออกไซด จะมพี ลังงานลดลง จะอยูช ิดกัน มากข้ึน การเพ่ิมความดัน ชวยบีบใหอนุภาคชิดกันมากขึ้น จึงทําใหกาซคารบอนไดออกไซดเปล่ียน สถานะจากแกส ไปเปน ของแข็ง ท่เี รยี กวานา้ํ แข็งแหง น่ันเอง ใหยกตัวอยางคําท่ีใชเ รียกการเปลยี่ นแปลงสถานะของสาร คาํ ท่ใี ชเรยี กการเปล่ียนแปลงสถานะของสาร ไดแก คาํ ตอ ไปน้ี 1. การกลายเปนไอ (vaporization) การกลายเปนไอเปนคําเรียกรวม ๆของการเปล่ียน สถานะของสารจากของเหลวเปนแกส 2. การระเหย (Evaporation) หมายถึง การเปล่ียนสถานะจากของเหลวกลายเปนแกส โดยการสง ผานพลังงานจากการชนกนั ของอนภุ าคที่อยูภายในของของเหลวจนถึงอนุภาคท่อี ยูผิวหนา ของของเหลว การระเหยจึงเกิดข้ึนไดในทุก ๆ ชวงอุณหภูมิ เชน นํ้าสามารถระเหยได ท้ังในท่ีท่ี อุหณภูมิสงู และอณุ หภมู ติ า่ํ (แตจ ะระเหยไดเร็วชาตา งกัน-เม่อื อณุ หภูมสิ งู จะระเหยไดเร็วกวา)
34 3. การเดือด (Boiling) หมายถงึ การท่ีของเหลวเปลี่ยนเปนแกส เมื่อของเหลวถูกทําใหรอนข้ึน จนมีอุณหภูมิเทากับจุดเดอื ดของของเหลวน้ัน เชน ถาทําใหนํ้ารอนข้ึนจนถึง 100๐C นํ้าจะเดือด และเปลี่ยนสถานะเปนไอนํ้า ถาทําใหเอทิลแอลกอฮอลรอนข้ึนจนถึง 78.5 ๐C เอทิลแอลกอฮอลจะ เดือด และเปลีย่ นสถานะเปนไอของเอทิลแอลกอฮอล 4. การหลอมเหลว (Melting) หมายถึงการที่ของแข็งไดรับความรอนแลวเปล่ียนสถานะเปน ของเหลว เชน เม่ือนํากอนน้ําแข็งออกจากชองชแข็งมาวางทิ้งไว ณ อุณหภูมิหองนํ้าแข็งจะคอย ๆ หลอมกลายเปน นํา้ การนําแทงเทียนไขใสลงในภาชนะแลวใหความรอน เทียนไขจะหลอทกลายเปน ของเหลว เปนตน 5. การแข็งตัว (Freezing) หมายถึงการท่ีของเหลวสูญเสียความรอน แลวเปล่ียนเปนของแข็ง เชน การนํานํ้าเช่ือมเขา แชในถงั เก็บไอศกรีม ซ่ีงมีอุณหภูมิต่ํามาก นํ้าเช่ือมจะสูญเสียความรอนใหกับ บริเวณรอบ ๆ ในถังเก็บ จนในท่ีสุดนํ้าเช่ือมแข็งตัว เม่ือหยุดใหความรอนแกเทียนท่ีเปนของเหลว เทยี นเหลวน้ันจะคอย ๆ คายความรอนออกมาอยา งชา ๆ จนในท่ีสุด เทียนเหลวกลับเปนไขอยางเดิม ในฤดหู นาว น้าํ มนั พืชบางชนิด เชน นา้ํ มนั มะพราว เปลี่ยนเปนไข 6. การระเหิด (Sublimation) หมายถึง การท่ีของแข็งเปลี่ยนสถานะเปนไอโดยไมตองผาน การเปน ของเหลวกอ น เชน แนฟธาลนี (ลูกเหมน็ )ในตเู ส้ือผา เปล่ียนสถานะเปนไอของลูกเหม็น ไอของ ลูกเหม็นน้ีมีสมบัติเปนสารไลแมลง (Insect repellant) ไอโอดีน ซ่ึงมีลักษณะเปนเกล็ดสีนํ้าตาล เปลยี่ นเปน ไอของไอโอดีน มีลกั ษณะเปน ไอสมี วง เปนตน 7. การควบแนน (Condensation) หมายถึง การท่ไี อของสารหรือสารในสถานะแกสถูกบังคับ ใหสูญเสียความรอ น(เชน ใหป ะทะกบั บรเิ วณท่เี ย็นกวา) ไอของสาร หรือแกส เปลยี่ นเปนของเหลว
35 บทท่ี 8 การแยกสาร การแยกสารมคี วามสําคญั อยางไร ทําไมจึงตอ งมีการแยกสาร ในธรรมชาติสารมักอยูในรูปของผสม กลาวคือ มีสารหลาย ๆ ชนิดรวมกันหรือปนกันอยู แตเรามคี วามจําเปนตอ งใชป ระโยชนจ ากสารบางชนิดท่ีปนอยูในของผสมนั้น จึงจําเปนตองมีการแยก เอาสารนั้น ๆ ออกมาก เชน เราตองการเกลือแกง(โซเดียมคลอไรด)ท่ีปนอยูกับนํ้า และสารอ่ืน ๆ ในน้ําทะเล เราตองการดินประสิว (โพแทสซียมไนเตรต) จากดินมูลคางคาวท่ีเก็บจากถํ้า เราตองการนํ้าตาลทราย(นาํ้ ตาลซโู ครส) จากตนออ ย เปนตน หลักการสาํ คญั ของการแยกสาร มหี ลกั สําคญั อยางไร ในการแยกสารน้ัน ตองอาศัยสมบัติของสารเปนสําคัญ กลาวคือ ตองทราบวาสารที่เรา ตองการน้นั มีสมบตั สิ ําคัญตา งจากสารอื่นที่ผสมกันอยูน้ันอยา งไร ตวั อยาง - ตอ งการแยกเกลือแกงซงึ่ ผสมอยกู บั ผงถา น เกลือแกงกับผงถาน สาร 2 ชนิดน้ี ละลายในน้ําได แตกตา งกนั เกลอื แกงละลายนา้ํ ไดด ี ผงถา นไมล ายนํา้ ดงั นน้ั เราใชสมบัติเรื่องการละลายน้ํา ในการแยก เกลือแกงกับผงถานจากกัน คือ นําของผสมใสภาชนะ เชน บีกเกอรหรือถวยแกว เติมน้ําลงไปเพียง เพอ่ื ใหล ะลายเกลือแกงไดห มด ผงถานไมล ะลายนา้ํ นําไปกรองดวยกรวยแกวและกระดาษกรอง ผงถาน ติดอยูทกี่ ระดาษกรอง เกลอื ท่ีละลายอยูในนา้ํ ผานกระดาษกรองไปได ขน้ั ตอนนีเ้ รียกวา การกรอง เมอื่ วางทิง้ ไวใ หนาํ้ ระเหยไป จะไดเ กลอื บรสิ ุทธอิ์ อกมา การทเี่ กลือแกงที่เคยละลายในน้ําได ตอมาเมื่อน้ํา ระเหยไป เกลือสว นที่ไมล ะลาย แยกออกมาจากน้าํ เกลือเขมขน น้ี เรียกวา การตกผลึก หรือหากตองการ ใหน าํ้ ระเหยออกไปอยางรวดเร็ว ก็ใหความรอนชวย โดยการตมก็ได หลักการนี้เปนหลักการท่ีใชในการ ทาํ เกลือสนิ เธาว คอื การแยกเกลืออกมาจากดนิ เคม็ - ตอ งการน้าํ บริสุทธิ์ จากน้ําทีม่ สี ารอ่นื ละลายปนอยดู วย ถาสารอื่นท่ีละลายปนอยูนั้น ระเหยได ยาก คือ มจี ุดเดือดสูง เชน นาํ้ ปนกับเกลือแกง เราสามารถแยกออกจากกนั โดยการกลน่ั กลาวคอื
36 นําของผสมใสใ นขวดแกว ท่ปี ด สนทิ มีชองทางใหไ อออกไดทางเดียว เมื่อใหความรอนน้ําระเหยกลายเปน ไอผานทางชองทางออก เขาสูสวนที่เย็นกวา เรียกวา คอนเดนเซอร (Condensor) แปลวา สวนท่ีทําให เกิดการควบแนน ไอน้ํา จะเปล่ียนเปนหยดนํ้า หยดลงสูภาชนะรองรับ สวนสารอื่น ๆ ที่ไมระเหยยังคง คา งในขวดแกว เราเรียกการแยกสารโดยวิธนี ว้ี า การกล่ัน (Distillation) - ตองการแยกนํ้าตาลทรายออกมาจากตนออ ย เมอื่ นาํ ลําตน ออ ย มาทาํ ความสะอาดใชแ รงกล ในการบบี หรือหีบออ ยใหนํ้าออ ยแยกออกมา แยกสว นทเี่ ปนของแข็งออกจากน้ําออยโดยการกรอง ไดผล เปนน้ําออ ย เมอื่ ทาํ ใหรอน น้ําระเหยไปจนไดนํ้าออยท่ีเขมขน นาํ้ ตาลทรายท่ีละลายในน้ําออยสวนท่ีเคย ละลายได จะละลายไดนอยลง จะแยกตวั ออกมา โดยการตกผลกึ ผลึกที่ไดน ี้ คือ นํ้าตาลทราย การกล่นั ลาํ ดับสว น มีหลกั การสาํ คัญอยา งไร แตกตา งจากการกลน่ั แบบธรรมดาอยางไร ในกรณีท่ีของผสมเปนของเหลว ซ่ึงมีจุดเดือดแตกตางกัน ผสมกันอยู การกลั่นธรรมดา ไมอาจแยกของเหลวที่ผสมกันนั้นออกจากกันได เน่ืองจากในขณะที่ใหความรอนของเหลวชนิดหน่ึง ระเหย ของเหลวชนดิ อ่นื ๆ ก็ระเหยไดด วย จงึ มคี วามจําเปนตองเพ่ิมอุปกรณบางอยางเขาไป เพ่ือทํา ใหไอของของเหลวท่ีมีจุดเดือดสูงกวา ระเหยออกมาทีหลัง ตามลําดับของคาจุดเดือด กลาวคือ ของเหลวที่มีจดุ เดอื ดต่ํา ระเหยไดง ายกวา จะกลายเปนไอและเขา สูคอนเดนเซอร(สวนที่ทําใหเกิดการ ควบแนน)กอน จงึ เกบ็ ของเหลวทีก่ ลนั่ ไดก อน สวนของเหลวทมี่ ีจุดเดอื ดสงู กวา กลายเปนไอออ/กมาที หลัง เขาสูคอนเดนเซอร และเก็บไดเปนลําดับถัดมา ของเหลวที่กลั่นได จะถูกเก็บแยกเปนสวน ๆ ตามลาํ ดับของจุดเดอื ด จึงเรยี กการกลน่ั แบบน้วี า การกลัน่ ลําดับสว น (Fractional Distillation) อปุ กรณท ี่เพิ่มจากการกลน่ั ธรรมดา คือ กระบอกแกว ทรงสูง บรรจุดว ยลูกแกว เศษแกว หรือแกว ท่ีพับทบ ไปทบมาเพื่อเพ่ิมพื้น ที่ ผิวสัมผัส ทําใ หไอ ขอ ง ของเหลวที่มีจุดเดือดสูง กวาผานออกไปไดยากขึ้น เรียกก ระบอกแกวน้ีวา คอมลมั นกลน่ั ลาํ ดับสว น
37 ในการกล่ันลําดับสวนปโตรเลียม ไดประยุกตหลักการนี้ โดยการดัดแปลงใหมีชองทางออก สําหรับไอของของเหลวหลาย ๆ ชอ ง ตามระดับความสงู ตาง ๆ กัน (ดูภาพหอกลั่นนํ้ามันดิบประกอบ) ของเหลวที่มจี ดุ เดอื ดต่าํ กลายเปนไอกอน เม่ือใหความรอนจนของเหลวท่ีมีจุดเดือดสูงกวากลายเปน ไอตามมา ไอของของเหลวเหลาน้ีจะลอยอยูที่ความสูงแตกตางกัน สารท่ีมีจุดเดือดตํ่าสุดลอยอยูท่ี สงู สดุ ของหอกล่ัน สว นสารท่มี ีจุดเดือดต่าํ กวา จะลอยต่าํ ลงมาตามลําดับ เมื่อตอทอใหไอเขาสูเครื่อง ควบแนน ที่ระดบั ความสูงแตกตา งกัน จะไดของเหลวที่มีจุดเดือดแตกตางกันออกมาเปนสวน ๆ เรียก การกล่ันแบบน้ี วา การกล่ันลําดับสวน เชนกัน ซ่ึงใชในการแยกนํ้ามันเช้ือเพลิงชนิดตาง ๆ ออกจาก น้าํ มันดบิ ไอของสารท่มี จี ุดเดอื ดตาํ่ กวา ระเหยงา ยกวา ลอยอยสู งู กวา ในหอกลัน่ ไอของสารที่มจี ดุ เดอื ดสูงกวา ระเหยยากกวา ลอยอยูตา่ํ กวา ในหอกลน่ั โครมาโทกราฟ คอื อะไร มอี งคประกอบสําคญั อะไรบา ง แยกสารผสมออกจากกนั ไดอยา งไร โครมาโทกราฟ แปลตามศพั ทแปลวาแยกออกเปน สี ๆ เปน วธิ กี ารแยกสารทีอ่ าศยั สมบัติท่ีแตกตา ง กันของสารใน 2 ประการ คอื 1. สมบัตใิ นการละลายในตัวทําละลาย (ทใี่ ชใ นโครมาโทกราฟคร้ังน้นั ) ไดแ ตกตา งกนั 2. สมบัตใิ นการถูกดดู ซบั โดยตวั กลาง (ทีใ่ ชในการทาํ โครมาโทกราฟค รั้งนัน้ ) ไดแตกตางกัน
38 องคป ระกอบในการทําโครมาโทกราฟ ประกอบดว ยอะไรบา ง - องคป ระกอบท่ี 1 สว นท่ีอยกู ับท่ี หรือตัวดดู ซับ - องคป ระกอบท่ี 2 สว นท่ีเคลอื่ นที่ หรือตัวทาํ ละลายที่ใช กลไกการแยกเกิดขึ้นเมื่อปลอยใหสารผสมเคล่ือนท่ีผานตัวดูดซับ สารแตละชนิดจะละลายในตัวทํา ละลายทใี่ ชไ ดต า งกัน และถูกดดู ซับโดยตัวดดู ซับไดแ ตกตางกนั สารท่ีละลายไดดีและถูกดูดซับไดน อย จะเคลื่อนที่ไปไดม ากกวา ในทางกลับกัน สารที่ละลายไดไมคอยดีและถูกดูดซับไดมากจะเคล่ือนที่ไป ไดนอ ยกวา การแยกจงึ เกิดขึ้น ในปจจุบันมีเทคนิคทางโครมาโทกราฟทส่ี ามารถใชแ ยกสารไดหลากหลาย ท้ังสารที่มสี ีและไม มสี ี และเปนวธิ ีการท่ีสาํ คญั มากที่ใชท้ังกระบวนการแยกสารและกระบวนการตรวจวิเคราะห เพ่ือบง บอกชนดิ ของสาร
39 บทที่ 9 สารในชีวิตประจาํ วัน สารเขาสรู า งกายไดอ ยางไร ในชีวิตประจําวนั สารมีโอกาสเขา สูร า งกายในทางตอ ไปนี้ 1. ทางปาก โดยการกินจะกินโดยต้ังใจ หรือสารปนเปอนกับอาหาร เปอนมือมาในขณะที่จับ สารพิษแลวไมไดลางทําความสะอาดกอนหยิบจับอาหารมารับประทาน ตัวอยาง ผูที่ทํางานในภาค การเกษตร หยิบจับปุย ยาฆาแมลง สารกําจัดวัชพืช แลวไมลางมือ ทําความสะอาดใหดี เมอ่ื มารบั ประทานอาหาร โอกาสทีจ่ ะสารเหลานจี้ ะเขาสรู างกายโดยการกนิ จงึ มโี อกาสเกดิ ขน้ึ ได 2. ทางจมูก โดยการสูดดมเอาไอของสารน้ัน ๆ เขาไป เชน ผูท่ีทํางานในปมน้ํามัน ในขณะท่ี เติมน้าํ มันน้นั ไอระเหยของน้าํ มนั เชอ้ื เพลิงมโี อกาสเขา สูรา งกายได 3. ทางผิวหนัง โดยการสัมผัสกับสารเคมีเหลานั้น เชน ผูที่ทํางานในภาคการเกษตรในขณะ หยบิ จบั สารพิษท่ใี ชฆ าแมลงหรือยาปราบวัชพืช ในขณะสมั ผัสโดยไมใชถ งุ มือปองกันท่ีดีพอ สารพิษมี โอกาสซึมผานผิวหนังได ใหยกตัวอยา งสารทพ่ี บในชวี ิตประจาํ วนั และวกี ารใชส ารน้นั ๆ อยา งปลอดภัย ในชวี ิตประจาํ วนั เราพบและใชส ารกลมุ ตา ง ๆ มากมาย ขอยกตัวอยางสารกลมุ ตางๆ ทสี่ ําคญั ๆ ดังน้ี 1. กลุม ผลิตภัณฑจากการกลั่นปโตรเลียมและตัวทําละลายอินทรีย ไดแก น้ํามันเชื้อเพลิง ชนิดตา ง ๆ ไดแก นํ้ามันเบนซิน น้ํามันดีเซล น้ํามันกาด ตัวทําละลาย เชน ทินเนอรผสมสี น้ํามันสน น้าํ ยาลา งเล็บ แอลกอฮอลจ ดุ ไฟ กาวบางชนดิ สารกลมุ นี้มีสมบตั ิที่สําคญั คือ ไมล ะลายนํ้าหรือละลาย ไดน อ ยมาก เมอื่ ผสมกบั นาํ้ จะแยกชั้น มีสมบัตเิ ปน เชอ้ื เพลิง ตดิ ไฟไดดี 2. สารกลุมละลายน้ําไดและมีฤทธ์ิกัดกรอน ไดแก สารกลุมที่เปนกรด เชน นํ้าสมสายชู นํ้ามะนาวสังเคราะห (กรดซิตริก) น้ํากรดในแบตเตอรีรถยนต (กรดซัลฟวริก) กรดเกลือ (กรดไฮโดรคลอริก) ในผลติ ภัณฑล า งพืน้ หอ งน้าํ บางชนดิ กรดกดั แกว ในการกัดกระจกใหเปนลายแบบ
40 ตาง ๆ สารกลมุ ทเี่ ปนเบส (ดาง) เชน โซดาไฟทีใ่ ชในการลางทอที่อุดตันใชในการทําสบู และใชในการ ผลติ แกส ไฮโดรเจนเพื่ออดั เขา สลู กู โปงชนดิ ลอยได แอมโมเนียในผลติ ภัณฑเ ชด็ กระจก 3. กลุม สารเคมที ่ใี ชใ นการทําความสะอาด สบู แชมพสู ระผม (นับเปนสบูชนดิ หนึง่ ) ผงซกั ฟอก นาํ้ ยาขจดั คราบ ยาสีฟน 4. สารเคมที ่ใี ชใ นการเกษตร ไดแ ก สารฆา แมลง (Insecticide) สารกันรา (Fungicide) สาร ปราบวชั พืช (Herbicide) เปนตน 5. กลุมสารทใ่ี ชใ นการขบั ไลแ มลง เชน สเปรยฉ ีดกนั ยงุ /แมลงสาบ โลชัน่ ทากนั ยงุ ยาจดุ กัน ยุง แนฟธาลีน (ลกู เหมน็ ) สารกลุมทกี่ ลาวมาขา งตน ตอ งใชด ว ยความเขา ใจ ระมัดระวัง เนือ่ งจากอาจกอ ใหเกิดอนั ตราย โดยตรง เกดิ ผลกระทบตอ สง่ิ แวดลอม โดยมีรายละเอยี ดเพมิ่ เตมิ ในแตละกลมุ 1. กลุมผลติ ภัณฑจากการกลั่นปโตรเลียมและตัวทําละลายอินทรีย ไดแก นํ้ามันเชื้อเพลิง ชนิดตาง ๆ ไดแ ก น้าํ มันเบนซิน นํา้ มันดีเซล น้ํามนั กา ด ตัวทําละลาย เชน ทินเนอรผสมสี นํ้ามันสน นํา้ ยาลางเล็บ แอลกอฮอลจ ุดไฟ กาวบางชนดิ สารกลุมน้มี สี มบตั ิทสี่ าํ คัญ คือ ไมละลายนํ้าหรือละลาย ไดนอยมาก เมอื่ ผสมกับนํ้า จะแยกช้ัน มีสมบัติเปนเช้ือเพลิง ติดไฟไดดี กอใหเกิดความระคายเคือง ตอ เนอ่ื เยือ่ ของรางกาย หากสดู ดม เผลอกินเขาไป หรือสัมผัส ในการใชสารกลุมน้ี จึงตองระมัดระวัง เก็บในภาชนะท่ีเหมาะสม เชน นํ้ามันเบนซินไมควรเก็บในขวดพลาสติก เน่ืองจากพลาสติกสามารถ ละลายในน้ํามันเบนซินได ภาชนะที่เก็บตองปดสนิทเพ่ือไมใหไอระเหยออกมาได เก็บใหหางจาก บรเิ วณที่รอน มีเปลวไฟหรือประกายไฟ เก็บใหพนมือเด็ก เก็บไวในที่มืด แหง และเย็น และอากาศ ระบายถายเทไดดี ในขณะใชควรสวมถุงมือ มีผาปดจมูก เปนตน การชําระลางสิ่งท่ีปนเปอนดวยสาร กลมุ น้ี ตอ งใชสารกลุมผงซักฟอกหรือสบู ชว ย เนอ่ื งจากสารกลมุ นไ้ี มล ะลายในนาํ้ แตละลายปนกับนํ้า ไดดีข้นึ เม่อื มีผงซักฟอกหรือสบชู วย 2. สารกลุมละลายน้ําไดและมีฤทธิ์กัดกรอน ไดแก สารกลุมท่ีเปนกรด เชน นํ้าสมสายชู นํ้ามะนาวสังเคราะห (กรดซิตริก) น้ํากรดในแบตเตอรีรถยนต (กรดซัลฟวริก) กรดเกลือ (กรดไฮโดรคลอริก) ในผลิตภณั ฑลา งพื้นหองนํา้ บางชนิด กรดกดั แกวในการกัดกระจกใหเปนลายแบบ ตา ง ๆ สารกลมุ ทเี่ ปนเบส (ดา ง) เชน โซดาไฟทใี่ ชใ นการลา งทอท่ีอดุ ตันใชใ นการทําสบู และใชในการ
41 ผลิตแกสไฮโดรเจนเพ่ืออัดเขาสูลูกโปงชนิดลอยได แอมโมเนียในผลิตภัณฑเช็ดกระจก สารกลุมนี้ ละลายนํ้าไดดี สามารถเขาสูรางกายไดท้ังทางปาก ทางจมูกและโดยการสัมผัส และมีฤทธ์ิกัดกรอน อยา งรนุ แรง โดยเฉพาะบรเิ วณเย่อื บุ เชน เยื่อบุตา หากเขาตาจะเปนอันตรายมาก ดงั นั้นในการใชจึง ตองระมดั ระวังเปนพเิ ศษ หากเขา ตา ตองลางดวยนาํ้ สะอาดปรมิ าณมาก ๆ ทันทแี ละตอ งรบี พบแพทย พรอ มนาํ ขวดท่ีบรรจุผลิตภัณฑน ้ัน ๆ ไปดว ย 3. กลุมสารเคมีท่ีใชในการทําความสะอาด สบู แชมพูสระผม(นับเปนสบูชนิดหน่ึง) ผงซักฟอก น้ํายาขจัดคราบ ยาสีฟน สมบัติเฉพาะของสบูและผงซักฟอกคือ บางสวนของโมเลกุล ละลายไดใ นนาํ้ ในขณะที่อีกบางสวนของโมเลกุลละลายไดใ นนํ้ามัน จึงทําใหเมื่อใสสบูหรือผงซักฟอก ลงไปในของผสมระหวางน้ํากับนา้ํ มนั มีผลทาํ ใหนํ้ามันแตกออกเปนอนุภาคท่ีเล็กมากและกระจายอยู ในนํ้า เราจึงใชส บแู ละผงซกั ฟอกเปนสารทําความสะอาดและซักลาง ขอแตกตา งที่สําคัญระหวางสบู กบั ผงซกั ฟอกคือ สบูไมใชท าํ ความสะอาดไดใ นน้าํ ออ น แตไมสามารถทําความสะอาดไดในนํ้ากระดาง (นา้ํ ทม่ี ไี อออนของธาตุแคลเซียมละลายอยู) สวนผงซกั ฟอกสามารถใชไ ดท ง้ั ในนํา้ ออ นและนา้ํ กระดาง สารกลมุ นี้ มคี วามระคายเคอื ง ตอรางกาย เน่ืองจากสามารถทําละลายไขมันไดดี การสัมผัสเปน เวลานาน ๆ จะทําใหผิวแหง แตก และอักเสบได ดังน้ัน เม่ือใชสบูห รือผงซักฟอกติดตอกันนาน ๆ ควร ลางทําความสะอาดผิวหนงั และใชครีม หรอื โลชน่ั ถนอมผิวทา เพ่ือมใิ หผิวแหง การใชส ารกลุมนใี้ นปริมาณมาก ๆ สง ผลกระทบตอสง่ิ แวดลอ ม กลาวคือ เม่ือนํ้าผงซักฟอกถูก ถายเทลงแหลงน้ําในปริมาณมาก ๆ ฟอสเฟตท่ีปนมากับผงซักฟอก จะทําใหพืชน้ํา เชน ผักตบชวา สาหรา ย จอก แหน เจรญิ ไดรวดเรว็ เปน ตนเหตใุ หเกิดน้ําเนาเสียได 4. สารเคมีทใ่ี ชในการเกษตร ไดแ ก สารฆาแมลง (Insecticide) สารกันรา (Fungicide) สาร ปราบวัชพชื (Herbicide) สารกลมุ น้ีเปน สารอินทรยี สงั เคราะหท ม่ี พี ิษ (Toxic) ตอ รางกายอยางรุนแรง ตองใชอยางระมดั ระวงั ตามคูมือและวธิ กี ารทผ่ี ูผ ลิตแนะนาํ บนกลอ งหรอื ขวดบรรจุภณั ฑอยางเครงครัด และใชเมือ่ มีการระบาดของโรคพชื แมลงศตั รูพชื อยา งรนุ แรง ใชเ ทาทจี่ ําเปน และไมมีวิธีการอื่นใหเปน ทางเลือก ภายใตการดูแลและคําแนะนําของผูท่ีมีความรูเฉพาะ เชน เจาหนาท่ีการเกษตร นัก พษิ วทิ ยา เปน ตน เน่อื งจากสารเคมีกลุมนี้ นอกจากเปนพิษโดยตรงตอผูใช ผูที่สัมผัสแลว เน่ืองจากมี ฤทธิ์ตกคางนานกวา สารจากธรรมชาติ จึงตกคางในสิ่งแวดลอม ตกคางในผลผลิตทางการเกษตรไปสู ผูบรโิ ภคผลผลติ น้ัน ๆ ไดด ว ย
42 5. กลุมสารที่ใชในการขับไลแมลง หรือฆาแมลงที่อาศัยในบาน แมลงท่ีอาศัยในบาน (Household Insect) เชน ยงุ แมลงสาบ เปนพาหะของโรคและทําความรําคาญ การใชสารไลแมลง เชน สเปรยฉ ีดกนั ยุง/แมลงสาบ โลชน่ั ทากันยงุ ยาจุดกันยุง แนฟธาลีน (ลกู เหม็น) ท่ีใชไลแมลงสาบใน ตูเสื้อผา สารเหลานไี้ มเพียงแตเปนพิษตอแมลงเทานั้น แตเปนพิษโดยตรงตอมนุษย จึงตองใชเทาท่ี จาํ เปน และหลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยตรง การสูดดมเอาไอ หรือควนั ของสารเหลาน้ี ยกตวั อยา งผลกระทบที่อาจเกดิ ขน้ึ จากการใชสารตอ ชีวติ และสิ่งแวดลอ ม ในชีวิตประจําวัน เราตองเก่ียวของกับสารมากมายหลายชนิดและเขาสูรางกายไดหลายทาง ดงั ท่ไี ดกลา วแลว การใชสารอยางขาดความเขาใจและขาดความระมัดระวังอาจกอใหเกิดอันตรายได อยา งมหาศาล ทง้ั ตอ ชวี ิตมนุษยโ ยตรง ตอ พืชและสตั วตาง ๆในระบบนิเวศหรอื ส่งิ แวดลอม นอกจากท่ี ไดกลาวแลว ขอยกตัวอยางอันตรายท่ีอาจเกิดขึ้นจากการใชสารอยางขาดความเขาใจและไม ระมดั ระวงั ดังตอไปน้ี 1. กลุมสารที่ติดไฟได (Flamable) มีสมบัติเปนเช้ือเพลิงอยางดี เชน ทินเนอร นํ้ามันสน น้ํามันเชื่อเพลิงชนิดตาง ๆ น้ํายาลางเล็บ แอลกอฮอล สารกลุมนี้ตองเก็บใหมิดชิด ในบริเวณท่ีแหง เย็น อากาศระบายไดด ี เก็บใหหางจากแหลงท่ีมีความรอน ประกายไฟ เพราะหากไมระมัดระวังแลว อาจเปน สาเหตุของการเกดิ อัคคีภัยรุนแรงได และหากรั่วไหลลงสูส่ิงแวดลอม จะเปนพิษตอพืชและ สัตว 2. กลุมสารเคมีทางการเกษตร ทําใหเกิดอันตรายตอผูใ ชโดยตรงตอผูใชโดยตรง เปนพิษตอ ประชาชนทั่วไป ตกคางในสิ่งแวดลอม ตกคางในสัตวนํ้า สัตวอ่ืน ๆ ที่สามารถเขาสูรางกายมนุษย ตอไปไดเม่ือจับสัตวเหลา นั้นมาเปนอาหาร หรืออาจทําใหสัตวบางชนิดตายไปในปริมาณเกินสมดุล เชน ทําใหนกตายไปปริมาณมาก ๆ ปกติแมลงเปนอาหารของนก นกเปนผูควบคุมปริมาณแมลงใน ระบบนิเวศแมลง เมื่อนกตายไปมาก ๆ ทําใหแมลงศัตรูพืชระบาดได เปนตน นอกจากนี้ การใช สารเคมีกลุมนเี้ กินความจําเปน ทําใหเกิดการสูญเสียทางเศรษฐกิจ เนื่องจากสวนใหญเราตองนําเขา สารกลมุ นจี้ ากตางประเทศ
43 บทท่ี 10 แรงและการเคล่อื นทข่ี องแรง จงอธิบายความหมายของแรง และประเภทของแรงโดยสงั เขป แรง หมายถงึ อาํ นาจภายนอกทสี่ ามารถทําใหว ัตถเุ ปล่ยี นสถานะได เชน ทําใหว ัตถทุ อ่ี ยนู ิ่ง เคล่ือนท่ไี ป ทําใหวัตถุท่ีเคลอ่ื นที่อยแู ลว เคลอ่ื นทเี่ รว็ หรือชา ลง ทาํ ใหว ัตถมุ กี ารเปล่ยี นทศิ ตลอดจนทํา ใหว ัตถมุ กี ารเปล่ยี นขนาดหรอื รูปทรงไปจากเดมิ ได แรงเปนปรมิ าณเวกเตอรทีม่ ีท้งั ขนาดและทศิ ทาง การรวมหรือหักลางกนั ของแรงจงึ ตอ งเปนไปตามแบบเวกเตอร ประเภทของแรง แรงมีหลายประเภท ไดแก แรงยอย แรงลพั ธ แรงกิรยิ าและแรงปฏิกริ ยิ า แรงขนาน แรงคูค วบ แรงตงึ แรงสูศูนยกลาง แรงตาน แรงเสียดทาน จงอธิบายความหมาย ประโยชน และโทษของแรงเสียดทาน แรงเสยี ดทาน หมายถงึ แรงทเี่ กิดจากการเสียดสรี ะหวา งผิววตั ถทุ ีม่ ีการเคลื่อนที่หรือพยายาม ท่ีจะเคลื่อนที่ แรงเสียดทานเปนแรงตานการเคลื่อนที่ของวัตถุ มีทิศทางตรงขามกับทิศทางการ เคล่ือนทีเ่ สมอ แรงเสียดทานมี 2 ชนดิ คือ 1. แรงเสยี ดทานสถติ คือ แรงเสยี ดทานทีเ่ กดิ ข้ึนขณะวตั ถุเริม่ เคล่อื นท่ี 2. แรงเสียดทานจลน คือ แรงเสียดทานทีเ่ กดิ ขึ้นขณะท่วี ตั ถุเคล่อื นที่ ปจจยั ท่ีมีผลตอแรงเสียดทาน 1. น้ําหนกั ของวตั ถุ คือวตั ถุทมี่ นี ้าํ หนกั กดทับลงบนพนื้ ผวิ มากจะมีแรงเสียดทานมากกวาวัตถุท่ี มนี า้ํ หนักกดทับลงบนพื้นผวิ นอย 2. พน้ื ผิวสัมผสั ผิวสัมผัสท่เี รียบจะเกดิ แรงเสยี ดทานนอยกวาผวิ สัมผัสท่ีขรุขระ ประโยชนข องแรงเสยี ดทาน ไดแก แรงทที่ าํ ใหว ัตถทุ ่กี ําลังเคล่อื นท่ี หยุด หรือเคล่ือนทชี่ า ลง เชน - ระบบเบรคปอ งกันการเกดิ อบุ ัติเหตุทางรถยนต - รองเทา ปองกนั การหกลม
44 โทษของแรงเสียดทาน ไดแก แรงทฉี่ ดุ รัง้ ไมใ หวัตถุเคล่อื นท่ี หรอื เคลอ่ื นท่ไี ดช า เชน - ถา ลอ รถยนตก ับพนื้ ถนนถา มีแรงเสียดทานมากรถยนตจะแลนชา ตองใชนํ้ามันเช้ือเพลิงมาก ขนึ้ เพือ่ ใหร ถยนตมีพลังงานมากพอท่ีจะเอาชนะแรงเสียดทาน - การเคลื่อนตูขนาดใหญ ถาใชว ิธีผลักตปู รากฏวา ตูเคลือ่ นทยี่ ากเพราะเกิดแรงเสยี ดทาน จะตอ งออกแรงผลกั มากข้ึนหรอื ลดแรงเสยี ดทาน โดยใชผา รองขาตเู พอื่ ลดแรงเสยี ดทาน จงอธบิ ายถึงความหมายและประโยชนข องแรงลอยตัว แรงลอยตวั คือ แรงลัพธที่ของไหลกระทําตอ ผวิ ของวัตถทุ จ่ี มบางสว นหรอื จมท้ังชิ้นวัตถุซึ่งเปน แรงปฏิกิริยาโตตอบในทิศทางข้ึนเพ่ือใหเกิดความสมดุลกับการท่ีวัตถุมีนํ้าหนักพยายามจมลงอัน เนื่องมาจากแรงโนมถวงของโลก ขนาดของแรงลอยตัวมีคาเทากับนํ้าหนักของของไหลท่ีมีปริมาตร เทากบั วัตถุสวนท่จี ม ซึ่งสามารถพสิ ูจนไ ดโ ดยพจิ ารณาวตั ถุท่จี มในของไหล “แรงลอยตัวจะเทา กบั นา้ํ หนกั ของของเหลวท่ีถกู แทนท”่ี ปจจยั ทีเ่ กีย่ วของกบั แรงลอยตัว ไดแ ก 1. ชนิดของวัตถุ วัตถุจะมีความหนาแนนแตกตา งกนั ออกไปยิง่ วตั ถุมีความหนาแนนมาก ก็ยงิ่ จมลงไปในของเหลวมากยงิ่ ขนึ้ 2. ชนิดของของเหลว ยงิ่ ของเหลวมีความหนาแนนมาก ก็จะทาํ ใหแ รงลอยตัวมขี นาดมากขึ้นดว ย 3. ขนาดของวัตถุ จะสง ผลตอ ปรมิ าตรท่จี มลงไปในของเหลว เม่อื ปรมิ าตรที่จมลงไปใน ของเหลวมาก กจ็ ะทําใหแ รงลอยตวั มีขนาดมากขึ้นอีกดวย ประโยชนข องแรงลอยตวั - ใชใ นการประกอบเรอื ไมใหจมนา้ํ - ใชท าํ ชูชีพในการชวยเหลือผูประสบภัยทางน้าํ - ใชทําเครื่องมอื วัดความหนาแนนของวัตถุ
45 จงอธิบายกฎการเคล่อื นทข่ี องนวิ ตนั และประโยชนท ี่นาํ มาใช นวิ ตนั ไดค นพบทฤษฎีโดยบังเอิญ เหตุการณเกดิ ข้นึ ในวันหนงึ่ ขณะที่นิวตันกําลังนั่งดูดวงจันทร แลว ก็เกิดความสงสยั วาทําไมดวงจันทรจงึ ตอ งหมุนรอบโลก ในระหวา งท่ีเขากําลังน่ังมองดวงจันทรอยู เพลิน ๆ ก็ไดย นิ เสียงแอปเปล ตกลงพ้ืน เมื่อนิวตันเห็นเชนน้ันก็ให เกิดความสงสัยวาทําไมวัตถุตาง ๆ จึงตองตกลงสูพ้ืนดินเสมอทําไมไมลอยขึ้นฟาบาง ซึ่งนิวตันคิดวาตองมีแรงอะไรสักอยางท่ีทําใหแอป เปล ตกลงพื้นดิน จากความสงสัยขอนี้เอง นิวตันจึงเร่ิมการทดลองเกี่ยวกับแรงโนมถวงของโลก การ ทดลองครง้ั แรกของนวิ ตนั คือ การนาํ กอ นหนิ มาผกู เชือก จากนั้นก็แกวงไปรอบ ๆ ตัว นิวตนั สรุปจาก การทดลองคร้ังนี้วาเชือกเปนตัวการสําคัญที่ทําใหกอนหินแกวงไปมารอบ ๆ ไมหลุดลอยไป ดังน้ัน สาเหตุที่โลก ดาวเคราะหตองหมุนรอบดวงอาทิตยและดวงจันทรตองหมุนรอบโลก ตองเกิดจากแรง ดึงดูดที่ดวงอาทิตยท่ีมีตอโลก และดาวเคราะห และแรงดึงดูดของโลกที่สงผลตอดวงจันทร รวมถึง สาเหตทุ ี่แอปเปลตกลงพนื้ ดนิ ดว ยกเ็ กิดจากแรงดงึ ดดู ของโลก นิวตนั จงึ สรุปไดว า เมอ่ื แรงถกู กระทํากบั วัตถหุ นง่ึ วัตถุนนั้ สามารถไดร ับผลกระทบ 3 ประเภทดงั น้ี 1. วัตถุที่อยูนงิ่ อาจเร่มิ เคลื่อนท่ี 2. ความเรว็ ของวัตถุที่กําลงั เคลอ่ื นทอ่ี ยเู ปลีย่ นแปลงไป 3. ทิศทางการเคลอื่ นทขี่ องวัตถอุ าจเปล่ียนแปลงไป กฎการเคล่อื นทีข่ องนิวตนั มีดว ยกนั 3 ขอ 1. วัตถุจะหยุดน่ิงหรือเคล่ือนท่ีดวยความเร็วและทิศทางคงท่ีไดตอเน่ืองเม่ือผลรวมของแรง (แรงลัพธ) ที่กระทําตอวัตถเุ ทากบั ศนู ย 2. เม่ือมีแรงลัพธที่ไมเปนศูนยมากระทําตอวัตถุ จะทําใหวัตถุที่มีมวลเกิดการเคลื่อนท่ีดวย ความเรง โดยขนาดของแรงจะเทา กับมวลคูณความเรง 3. ทุกแรงกริ ิยายอ มมีแรงปฏกิ ิริยาทม่ี ขี นาดเทากนั แตท ศิ ทางตรงกันขามเสมอ ประโยชนของแรงดงึ ดูด ทงั้ ประโยชนโดยตรงและประโยชนโดยออ ม เชน
Search