-235-สี่เหล่ียมดา้ นหนา้ นาํ ไปเก็บไวใ้ นท่ีเยน็ รอนาํ ไปตดั ดว้ ยเครื่องไมโครโตมที่ความหนา 10-15ไมครอน 1.2.4 การติดชิ้นส่วนที่ตดั ไดล้ งบนสไลด์ (sectioning) โดยหยด Mayer’s adhesive(น้าํ ไข่ขาวผสมกบั กลีเซอรีน 1:1) ลงไปบนสไลด์ จากน้นั หยดฟอร์มาลิน เขม้ ขน้ 4% ใหท้ วั่ บริเวณที่ทา adhesive ใชม้ ีดตดั ชิ้นเน้ือเยอื่ ที่เป็ นริบบิ้นมาลอยบน ฟอร์มาลินแลว้ นาํ ไปวางบน Hot plate40-43°C จดั ให้ริบบิ้นอยใู่ นตาํ แหน่งท่ีตอ้ งการ รอจนริบบิ้นเหยียดตึง จึงยกสไลดม์ าเทและซบัฟอร์มาลินออก ผ่ึงสไลดไ์ วใ้ นท่ีไม่มีฝ่ ุนเพ่ือใหช้ ิ้นพชื ยดึ ติดแน่นกบั สไลด์ แลว้ จึงนาํ ไปยอ้ มสีในข้นั ตอนต่อไป 1.2.5 ยอ้ มสีเน้ือเยอื่ พืชที่ตดั ดว้ ยสี safranin O และ fast green และจดั ทาํ สไลดถ์ าวรโดยนาํ สไลดท์ ่ีมีเน้ือเยอ่ื พชื ติดอยมู่ าแช่ใน xylene นาน 5 นาที หรือจน paraffin ละลายออกมาจนหมด แลว้ แช่ชิ้นพืชในเอธิลแอลกอฮอลค์ วามเขม้ ขน้ 95% 70% และ 50% นานคร้ังละ 5 นาทีตามลาํ ดบั แลว้ แช่ชิ้นพชื ในสี safranin O นาน 1-12 ชว่ั โมง หรือจนเน้ือเยอ่ื ติดสี แลว้ นาํ มาลา้ งดว้ ยน้าํ กลน่ั 2 คร้ัง นานคร้ังละ 5 นาที แลว้ จึงแช่ในเอธิลแอลกอฮอลค์ วามเขม้ ขน้ 50% 70% และ 95%นานคร้ังละ 5 นาที ตามลาํ ดบั จุ่มใน absolute alcohol แลว้ ยอ้ มดว้ ยสี fast green นาน 5-30 วนิ าทีแช่ในส่วนผสมของ clove oil : absolute Alcohol : xylene = 2:1:1 นาน 15 นาที 2 คร้ัง แลว้ แช่ในxylene 15-30 นาที 2 คร้ัง ผ่งึ ลมสกั ครู่ แลว้ จึงหยดสาร permount ปิ ดดว้ ย cover slip 1.2.6 ศึกษาภายใตก้ ลอ้ งจุลทรรศนแ์ บบใชแ้ สง บนั ทึกภาพ 2. นาํ ขอ้ มูลกายวภิ าคศาสตร์ที่ไดม้ าวิเคราะห์ทางสถิติเพือ่ ศึกษาความสัมพนั ธ์ของลกั ษณะกายวภิ าคศาสตร์ของใบยางที่สัมพนั ธ์กบั ความตา้ นทานต่อโรคใบจุดกา้ งปลา เวลาและสถานที่ระยะเวลา ตุลาคม 2556 - กนั ยายน 2560สถานท่ีดาํ เนินการ ศนู ยว์ จิ ยั และพฒั นาการเกษตรสุราษฎร์ธานี อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี ผลการทดลองและวจิ ารณ์ลกั ษณะกายวิภาคศาสตร์ของใบยางของพนั ธ์ุยางชุด RRIT 400 (RRI-CH-38/1/1) จากการศึกษาลกั ษณะกายวิภาคศาสตร์ของใบยางของพนั ธุ์ยางชุด RRIT 400 (RRI-CH-38/1/1) ซ่ึงขณะน้ีเก็บตวั อยา่ งใบยางชุดดงั กล่าวท้งั หมด 60 สายพนั ธุ์ ผลจากการศึกษากายวิภาคศาสตร์ของใบยางภายใตก้ ลอ้ งจุลทรรศน์แบบใชแ้ สง (LM) และกลอ้ งจุลทรรศน์อิเล็กตรอนแบบส่องกราด (SEM) แสดงดงั ตารางท่ี 1 ซ่ึงมีรายละเอียดดงั น้ี
-236- ผวิ ใบและปากใบ ผิวใบของยางทุกสายพนั ธุ์มีลกั ษณะลวดลายคลา้ ยคลึงกนั เมื่อศึกษาภายใตก้ ลอ้ งจุลทรรศน์อิเลก็ ตรอนแบบส่องกราด (ภาพที่ 3-4) โดยผวิ ใบดา้ นบนหรือดา้ นทอ้ งใบ (ภาพที่ 3) จะไม่พบปากใบ และผิวใบจะมีลวดลาย 2 แบบ คือแบบสันตรง (striate) และแบบสันหยกั (regulate) โดยสายพนั ธุ์ที่มีลวดลายผิวใบดา้ นทอ้ งใบแบบสันตรง เช่น RRI-CH-38-0117, RRI-CH-38-0215, RRI-CH-38-0262 และ RRI-CH-38-0847 เป็ นตน้ ในส่วนของผิวใบด้านหลงั ใบหรือดา้ นล่าง (ภาพท่ี 4) ในยางทุกสายพนั ธุ์จะพบปากใบกระจายอยเู่ ป็นจาํ นวนมาก โดยมีค่าดชั นีปากใบเฉล่ียท้งั 60 สายพนั ธุ์ เท่ากบั 0.47 หรือคิดเป็ น 47เปอร์เซ็นต์ของพ้ืนที่เซลล์ผิวท้งั หมด โดยปากใบของยางทุกสายพนั ธุ์เป็ นแบบ paracyticประกอบดว้ ยเซลลข์ า้ งเคียง (subsidiary cells) ที่ประกบเซลลค์ ุม (guard cell) ตามแนวยาวท้งั สองดา้ น แต่เซลล์ขา้ งเคียงท้งั สองเซลล์มกจะมีขนาดไม่เท่ากนั ส่งผลให้ปากใบมีรูปร่างไม่สมมาตรปากใบมีความยาวเฉล่ีย 28.72 ไมโครเมตร ความกวา้ งเฉล่ีย 22.86 ไมโครเมตร โดยมีความยาวของช่องเปิ ดปากใบเฉลี่ยประมาณ 9.79 ไมโครเมตร นอกจากน้ีลวดลายของผิวใบดา้ นหลงั ใบน้ีมีลกั ษณะขรุขระ แต่ละเซลลจ์ ะมีแวกซ์เคลือบซ่ึงมีลกั ษณะเป็ นสันนูนข้ึนมาตรงกลางเซลล์ และมีลวดลายเป็นสนั เลก็ ๆ (striate) แบบห่างๆ รอบสนั นูนตรงกลางเซลล์ นอกจากน้ีเมื่อศึกษารูปร่างและขอบของเซลล์ผิวใบภายใตก้ ลอ้ งจุลทรรศน์แบบใช้แสง(ภาพท่ี 2) พบว่า รูปร่างของเซลลผ์ ิวใบของยางทุกสายพนั ธุ์มีความคลา้ ยคลึงกนั โดยรูปร่างเซลล์ผวิ ใบดา้ นทอ้ งใบเป็ นรูป (3)4-5 เหลี่ยม (หรือมากกวา่ ) มุมป้ านมน ขอบเซลลแ์ บ่งออกเป็ น 3 กลุ่มได้แก่ ขอบเรียบตรง ขอบเป็ นคล่ืน และขอบหยกั ส่วนรูปร่างเซลล์ด้านหลังใบมักเป็ นรูปส่ีเหลี่ยมผนื ผา้ ยาวหรือขอบขนาน ขอบเซลลม์ กั เรียบหรือเป็ นคล่ืนเลก็ นอ้ ย โดยเมื่อเปรียบเทียบผวิใบดา้ นทอ้ งใบจากการศึกษาดว้ ยกลอ้ ง LM และ SEM พบว่าสายพนั ธุ์ยางที่มีลวดลายผิวใบดา้ นทอ้ งใบแบบสันหยกั มกั มีขอบเซลลแ์ บบหยกั หรือแบบคลื่น ส่วนสายพนั ธุ์ที่มีลวดลายผิวใบแบบสันตรงมกั มีขอบเซลลผ์ ิวเป็ นแบบเรียบ เช่น RRI-CH-38-0127, RRI-CH-38-0321, RRI-CH-38-0885 เป็นตน้ ความยาวของเซลลผ์ ิวดา้ นหลงั ใบเฉล่ียประมาณ 27.49 ไมโครเมตร ความกวา้ งเฉลี่ย17.71 ไมโครเมตร ในขณะที่ความยาวและความกวา้ งของเซลลผ์ ิวดา้ นทอ้ งใบเฉลี่ยประมาณ 18.58และ 4.11 ไมโครเมตร ตามลาํ ดบั เนือ้ เยอื่ แผ่นใบ ใบยางทุกสายพนั ธุ์มีขอบใบงุ้มลง (ภาพท่ี 1b) เน้ือเย่ือแผ่นใบมีองค์ประกอบแต่ละช้ันเหมือนกนั ทุกสายพนั ธุ์ (ภาพท่ี 1a) คือ ช้นั เคลือบผวิ นอกสุด (cuticle) ดา้ นบนมีความหนานอ้ ยกวา่ดา้ นล่างของแผน่ ใบ โดยช้นั คิวติเคิลดา้ นบนคิดเป็ นเพียง 3 เปอร์เซ็นตเ์ ม่ือเทียบกบั ความหนาใบในขณะท่ีช้นั คิวติเคิลดา้ นล่างคิดเป็ นสัดส่วน 10 เปอร์เซ็นต์ ส่วนช้นั เซลลผ์ ิว (epidermis) ท้งัดา้ นบนและดา้ นล่าง ช้นั น้ีมีเซลลเ์ พียง 1 ช้นั ความหนาของช้นั เซลลผ์ ิวดา้ นบนและดา้ นล่างคิดเป็น
-237-สดั ส่วนดา้ นละ 10 เปอร์เซ็นตข์ องความหนาใบ ส่วนเน้ือเยอ่ื ช้นั พาลิเสด (palisade) มีท้งั ดา้ นบนและดา้ นล่าง แต่ละดา้ นมีเซลลเ์ พียงช้นั เดียว โดยเน้ือเยอ่ื พาลิเสดดา้ นบน (ภาพท่ี 1a, 1c) มกั หนากวา่ ดา้ นล่างอยา่ งชดั เจน คิดเป็น 41 เปอร์เซ็นตข์ องความหนาใบ ส่วนดา้ นล่างคิดเป็นสัดส่วนเพยี ง14 เปอร์เซ็นตข์ องความหนาใบ นอกจากน้นั ท่ีอยตู่ รงกลางของแผน่ ใบคือเน้ือเยือ่ spongy ประกอบไปดว้ ยเซลล์ 3-4 ช้นั แทรกกนั หลวมๆ ระหวา่ งเน้ือเยอ่ื ช้นั พาลิเสดบนและล่าง (ภาพท่ี 1d) พบช้นั น้ีมีสดั ส่วนความหนาประมาณ 12 เปอร์เซ็นตข์ องความหนาใบความสัมพนั ธ์ของลกั ษณะกายวภิ าคศาสตร์ของใบยางต่อความต้านทานโรคใบจุดก้างปลา จากการนาํ ขอ้ มูลลกั ษณะกายวิภาคศาสตร์ของใบยางท้งั 60 สายพนั ธุ์ดงั แสดงใน ตารางที่ 1มาวิเคราะห์หาความสัมพนั ธ์ต่อโรคใบจุดกา้ งปลาซ่ึงไดจ้ ากค่าดชั นีความตา้ นทานโรคจากการทดลองที่ 1 ซ่ึงเมื่อวเิ คราะห์ดว้ ยโปรแกรมทางสถิติแลว้ พบวา่ ลกั ษณะทางกายวิภาคศาสตร์ของใบยางไม่มีความสัมพนั ธ์อยา่ งมีนยั สาํ คญั ทางสถิติต่อดชั นีความตา้ นทานโรคใบจุดกา้ งปลา (PDI) ดงัแสดงในตารางที่ 2 จึงไม่สามารถสร้างสมการเพื่อแสดงความสัมพนั ธ์ของลกั ษณะทางกายวิภาคศาสตร์ของใบยางกบั ความตา้ นทานโรคได้ ท้งั น้ีอาจเน่ืองมาจากสายพนั ธุ์ยางท่ีนาํ มาศึกษาไม่มีความหลากหลายของระดบั ความตา้ นทานโรค โดยพบวา่ ความตา้ นทานต่อโรคใบจุดกา้ งปลาของยางลูกผสมชุด RRIT 400 (RRI-CH-38/1/1) ที่นาํ มาศึกษาน้ีมีความตา้ นทานต่อโรคในระดบัตา้ นทานไปจนถึงตา้ นทานมากเท่าน้นั ไม่พบสายพนั ธุ์ที่มีความตา้ นทานต่อโรคใบจุดกา้ งปลาในระดบั อ่อนแอถึงอ่อนมากรวมอยเู่ ลย จึงทาํ ให้เม่ือนาํ มาวิเคราะห์หาความสัมพนั ธ์กบั ลกั ษณะกายวภิ าคศาสตร์ของใบยางจึงไม่พบความสัมพนั ธ์ท่ีมีนยั สาํ คญั ทางสถิติ เพราะระดบั ความตา้ นทานต่อโรคมีความหลากหลายนอ้ ยเกินไป อย่างไรก็ตาม แม้ลกั ษณะทางกายวิภาคศาสตร์ของใบยางจะไม่มีความสัมพนั ธ์อย่างมีนยั สําคญั ทางสถิติต่อดชั นีความตา้ นทานโรคใบจุดกา้ งปลา (PDI) แต่เม่ือพิจารณาความสัมพนั ธ์ระหว่างลกั ษณะทางกายวิภาคศาสตร์ของใบยางแต่ละลกั ษณะในตารางที่ 2 พบว่า สัดส่วนความความหนาช้นั คิวติเคิลดา้ นบนต่อความหนาใบน้นั มีความสัมพนั ธ์อย่างมีนยั สาํ คญั ทางสถิติที่ระดบัความเช่ือมน่ั 99 เปอร์เซ็นต์ กบั สดั ส่วนความหนาช้นั spongy ต่อความหนาใบและความกวา้ งของเซลลผ์ วิ ใบดา้ นล่าง และยงั พบวา่ สัดส่วนความหนาช้นั epidermis ดา้ นล่างต่อความหนาใบน้นั มีความสัมพนั ธ์อยา่ งมีนยั สาํ คญั ทางสถิติที่ระดบั ความเชื่อมน่ั 99 เปอร์เซ็นตก์ บั สัดส่วนความหนาช้นัpalisade ดา้ นบนต่อความหนาใบ นอกจากน้ีสัดส่วนความหนาช้นั spongy ต่อความหนาใบยงั มีความสัมพนั ธ์อยา่ งมีนยั สาํ คญั ทางสถิติที่ระดบั ความเช่ือมน่ั 99 เปอร์เซ็นตก์ บั ความกวา้ งของเซลล์ผวิ ใบดา้ นล่างและสดั ส่วนความหนาช้นั คิวติเคิลดา้ นล่างต่อความหนาใบอกี ดว้ ย นอกจากน้ียงั พบว่า ความกวา้ งของเซลลผ์ ิวใบดา้ นล่างน้นั มีความสัมพนั ธ์อย่างมีนยั สาํ คญัทางสถิติท่ีระดบั ความเชื่อมน่ั 95 เปอร์เซ็นต์ กบั ลกั ษณะทางกายวิภาคศาสตร์ของใบยางถึง 4ลกั ษณะ ไดแ้ ก่ สัดส่วนความหนาช้นั คิวติเคิลดา้ นล่างต่อความหนาใบ ความกวา้ งของเซลลผ์ ิวใบ
-238-ดา้ นบน สัดส่วนความหนาช้นั spongy ต่อความหนาใบ และความยาวของเซลลผ์ ิวใบดา้ นบนนอกจากน้ียงั พบวา่ สัดส่วนความหนาช้นั palisade ดา้ นบนต่อความหนาใบ มีความสัมพนั ธ์อยา่ งมีนยั สาํ คญั ทางสถิติที่ระดบั ความเช่ือมน่ั 95 เปอร์เซ็นต์ กบั ลกั ษณะทางกายวิภาคศาสตร์ของใบยาง 3ลกั ษณะ ไดแ้ ก่ สัดส่วนความหนาช้นั คิวติเคิลดา้ นล่างต่อความหนาใบ สัดส่วนความหนาช้นัepidermis ดา้ นบนต่อความหนาใบ และ สดั ส่วนความหนาช้นั palisade ดา้ นลา่ งตอ่ ความหนาใบ จากผลการศึกษาดงั กล่าวแสดงใหเ้ ห็นว่า ลกั ษณะทางกายวภิ าคศาสตร์ของใบยางส่วนใหญ่มีความสมั พนั ธ์กนั อยา่ งมีนยั สาํ คญั ทางสถิติ ที่เห็นไดอ้ ยา่ งชดั เจน ไดแ้ ก่ ช้นั คิวติเคิลดา้ นบน ช้นั พาลิเสดดา้ นบน และช้นั spongy รวมไปถึงความกวา้ งของเซลลผ์ วิ ใบดา้ นล่างดว้ ยเช่นกนั
-239ตารางท่ี 1 แสดงค่าลกั ษณะกายวภิ าคศาสตร์ของใบยางท่ีมีดชั นีความตา้ นทาพนั ธ์ุ PDI up cu low cu up epi low epi up pa low pa spo den up0029 9.52 0.03 0.10 0.10 0.09 0.41 0.14 0.13 4.73 160047 10.86 0.02 0.09 0.10 0.09 0.45 0.14 0.11 4.22 170096 14.38 0.02 0.11 0.10 0.09 0.41 0.14 0.12 3.73 180117 13.57 0.03 0.08 0.09 0.08 0.47 0.13 0.12 3.68 160127 20.90 0.02 0.09 0.08 0.07 0.44 0.16 0.13 3.19 160156 14.48 0.03 0.12 0.10 0.10 0.37 0.15 0.13 4.04 160169 11.00 0.02 0.08 0.11 0.07 0.45 0.14 0.11 5.40 150195 7.05 0.03 0.10 0.10 0.09 0.40 0.14 0.14 3.05 190201 13.67 0.02 0.13 0.11 0.08 0.37 0.14 0.14 3.22 150215 11.43 0.03 0.10 0.09 0.09 0.43 0.14 0.12 3.07 180236 16.31 0.02 0.09 0.10 0.09 0.46 0.14 0.11 3.61 160262 11.03 0.03 0.10 0.11 0.08 0.42 0.15 0.11 3.94 170270 19.76 0.03 0.10 0.10 0.09 0.43 0.12 0.13 3.59 220271 15.19 0.03 0.11 0.11 0.10 0.37 0.14 0.14 3.41 200281 13.33 0.02 0.11 0.11 0.09 0.41 0.14 0.12 4.86 160286 10.33 0.03 0.12 0.12 0.08 0.38 0.14 0.13 4.29 170298 9.76 0.02 0.09 0.11 0.11 0.41 0.15 0.12 4.25 160311 31.19 0.03 0.11 0.10 0.10 0.42 0.14 0.12 3.72 180320 8.81 0.03 0.08 0.12 0.12 0.36 0.16 0.14 2.88 160321 23.69 0.04 0.08 0.09 0.07 0.45 0.14 0.11 5.48 150333 29.21 0.02 0.10 0.09 0.09 0.41 0.15 0.13 3.47 190344 5.24 0.03 0.11 0.11 0.11 0.39 0.14 0.12 6.07 16
9-านโรค จาํ นวน 60 สายพนั ธุ์ ขอบเซลล์ sto len sto wid por i -239- หยกั 28.84 21.06 9.89 0.48 wid up len low wid low len เรี ยบ 28.00 25.75 9.80 0.566.70 23.54 17.94 29.66 คลื่น 28.48 20.57 8.21 0.467.60 25.54 16.17 29.56 คล่ืน 28.82 22.31 10.33 0.478.79 30.19 20.42 35.67 เรี ยบ 30.94 23.75 11.18 0.456.15 27.93 19.53 34.79 หยกั 29.97 25.06 8.94 0.296.00 25.01 15.48 31.19 เรี ยบ 28.73 22.44 10.11 0.476.65 25.05 17.49 29.56 คลื่น 25.35 19.25 10.05 0.315.35 23.39 17.17 32.15 หยกั 26.60 21.08 9.06 0.609.61 32.88 18.48 33.16 คลื่น 26.46 19.97 9.65 0.365.92 23.89 15.24 29.25 เรี ยบ 31.49 24.37 11.61 0.448.44 30.59 18.43 31.62 คลื่น 25.00 18.88 9.17 0.626.38 25.53 16.79 30.88 หยกั 29.36 20.13 9.91 0.497.83 28.03 17.83 31.87 คล่ืน 25.72 20.48 9.51 0.412.27 33.13 20.66 38.09 หยกั 32.04 25.29 11.66 0.510.63 29.04 17.85 31.68 หยกั 31.56 24.99 10.18 0.256.80 26.17 17.34 34.76 เรี ยบ 32.16 26.07 10.85 0.487.53 26.18 18.62 30.75 เรี ยบ 23.33 18.49 8.83 0.416.58 24.98 17.18 33.57 หยกั 31.81 24.60 10.45 0.418.18 26.85 17.71 32.11 เรี ยบ 31.46 24.98 10.40 0.436.18 24.53 18.48 32.57 หยกั 23.70 19.07 8.05 0.425.87 24.62 14.47 31.53 คล่ืน 27.70 22.45 9.20 0.529.92 29.67 18.32 34.176.50 24.09 16.93 29.80
-240พนั ธ์ุ PDI up cu low cu up epi low epi up pa low pa spo den up0365 6.95 0.03 0.09 0.10 0.09 0.43 0.13 0.12 3.92 200372 20.12 0.03 0.10 0.11 0.10 0.43 0.14 0.10 6.98 150379 16.19 0.02 0.09 0.09 0.09 0.42 0.15 0.14 3.06 190408 19.14 0.02 0.09 0.09 0.09 0.45 0.14 0.11 4.92 160424 7.86 0.03 0.11 0.10 0.08 0.39 0.15 0.15 2.96 210691 12.62 0.03 0.11 0.12 0.09 0.40 0.14 0.11 5.16 180743 15.71 0.03 0.11 0.11 0.09 0.40 0.14 0.12 4.23 160745 36.67 0.03 0.11 0.11 0.10 0.34 0.15 0.16 2.99 180747 29.29 0.02 0.09 0.11 0.10 0.43 0.14 0.11 5.85 160761 10.52 0.02 0.10 0.09 0.09 0.41 0.16 0.13 3.65 180762 14.90 0.03 0.12 0.10 0.09 0.40 0.14 0.13 3.90 160783 7.10 0.02 0.10 0.09 0.09 0.47 0.12 0.11 4.95 150791 23.69 0.02 0.10 0.09 0.09 0.45 0.15 0.10 4.61 260802 28.33 0.03 0.10 0.11 0.09 0.42 0.16 0.10 6.27 270803 29.52 0.03 0.11 0.10 0.10 0.38 0.14 0.14 3.12 180821 12.10 0.03 0.12 0.11 0.11 0.36 0.15 0.13 3.44 210822 21.57 0.03 0.12 0.11 0.10 0.38 0.13 0.13 4.81 370847 20.67 0.03 0.11 0.10 0.10 0.39 0.15 0.14 3.15 180851 4.29 0.02 0.10 0.11 0.11 0.39 0.14 0.13 4.67 170860 22.67 0.03 0.10 0.08 0.08 0.43 0.14 0.14 2.92 180867 18.65 0.02 0.09 0.11 0.11 0.39 0.16 0.12 4.53 180885 12.62 0.03 0.10 0.09 0.09 0.43 0.14 0.13 3.18 200888 14.14 0.03 0.12 0.12 0.10 0.35 0.16 0.12 4.18 16
0- wid up len low wid low len ขอบเซลล์ sto len sto wid por i -240-0.37 28.97 17.65 32.39 คลื่น 27.26 22.44 9.01 0.445.96 26.96 15.59 33.87 หยกั 30.99 24.40 10.36 0.519.80 31.71 17.75 33.03 คลื่น 27.60 21.76 9.87 0.476.09 24.21 16.35 27.96 หยกั 31.18 24.97 10.45 0.391.88 32.20 22.13 37.62 หยกั 28.63 22.16 11.00 0.508.57 26.90 19.09 33.08 หยกั 33.72 29.02 11.33 0.436.33 23.62 18.65 30.20 หยกั 30.79 23.23 9.53 0.408.37 26.35 16.98 31.58 หยกั 27.56 19.95 10.05 0.526.56 23.49 15.62 32.03 คลื่น 30.15 24.41 9.41 0.518.44 27.58 19.23 36.35 หยกั 30.94 25.10 10.85 0.406.36 24.57 18.42 31.14 หยกั 29.25 23.83 10.24 0.515.11 21.69 15.10 28.56 หยกั 29.40 22.66 8.81 0.516.89 47.70 16.55 31.00 คล่ืน 29.43 25.11 8.70 0.517.71 47.29 16.44 29.30 เรี ยบ 27.34 23.14 9.41 0.488.21 26.14 16.10 29.89 คลื่น 24.65 18.63 9.11 0.391.31 30.86 20.12 35.37 คล่ืน 26.14 20.40 9.96 0.487.05 26.85 18.88 32.96 คลื่น 31.88 26.38 10.79 0.448.23 26.44 17.71 30.75 หยกั 24.99 19.81 9.26 0.577.40 25.39 17.90 30.47 หยกั 29.80 24.72 10.90 0.528.28 27.92 18.29 31.64 เรี ยบ 27.51 21.84 10.57 0.528.12 26.18 17.35 30.51 เรี ยบ 28.90 24.97 8.60 0.610.06 28.35 18.09 33.80 เรี ยบ 29.45 23.09 10.31 0.626.86 24.10 17.91 31.10 คลื่น 28.25 23.61 8.69 0.44
-241พนั ธ์ุ PDI up cu low cu up epi low epi up pa low pa spo den up0891 21.07 0.03 0.09 0.09 0.10 0.37 0.18 0.15 3.01 180897 9.24 0.03 0.08 0.10 0.08 0.44 0.15 0.12 3.23 190905 7.10 0.02 0.07 0.09 0.20 0.41 0.13 0.08 5.95 150908 9.17 0.03 0.10 0.10 0.09 0.40 0.15 0.14 3.03 210910 11.79 0.03 0.07 0.11 0.09 0.46 0.14 0.10 6.09 150926 14.52 0.02 0.08 0.08 0.08 0.48 0.13 0.12 3.05 180933 13.43 0.03 0.10 0.10 0.10 0.41 0.15 0.11 4.04 150953 32.38 0.03 0.11 0.10 0.11 0.35 0.15 0.15 2.74 190989 10.55 0.02 0.07 0.10 0.08 0.48 0.15 0.09 5.65 170997 13.57 0.03 0.10 0.10 0.08 0.43 0.15 0.12 4.83 161000 8.29 0.04 0.12 0.12 0.09 0.39 0.13 0.11 4.33 161043 9.95 0.03 0.11 0.11 0.10 0.39 0.14 0.12 4.05 191060 21.71 0.02 0.11 0.09 0.10 0.38 0.15 0.15 3.18 201066 16.05 0.03 0.11 0.09 0.09 0.40 0.14 0.14 3.35 211067 15.21 0.03 0.11 0.11 0.09 0.39 0.14 0.13 4.90 18เฉล่ีย 15.67 0.03 0.10 0.10 0.09 0.41 0.14 0.12 4.11 18หมายเหตุ: PDI = ดชั นีความตา้ นทานโรคจากการทดลองท่ี 1; up cu = สัดส่วนคเคิลดา้ นล่างต่อความหนาใบ; up epi = สดั ส่วนความหนาช้นั epidermis ดา้ นบนตใบ; up pa = สดั ส่วนความหนาช้นั palisade ดา้ นบนต่อความหนาใบ; low pa =ช้นั spongy ต่อความหนาใบ; den = สัดส่วนความหนาแน่นของเซลลต์ ่อความหนความยาวของเซลลผ์ ิวใบดา้ นบน (ไมโครเมตร); low wid = ความกวา้ งของเซ(ไมโครเมตร); sto len = ความยาวของปากใบ (ไมโครเมตร); sto wid = ความกดชั นีปากใบ (stomatal index = จาํ นวนปากใบ/จาํ นวนปากใบ+จาํ นวน epidermal
1-wid up len low wid low len ขอบเซลล์ sto len sto wid por i8.20 26.82 18.48 33.53 คล่ืน 27.32 20.58 8.94 0.459.76 28.45 17.73 34.77 เรี ยบ 24.66 20.25 8.68 0.595.83 24.89 16.19 32.36 เรี ยบ 31.40 25.06 9.95 0.621.60 31.10 18.33 35.41 หยกั 31.74 25.85 10.27 0.505.66 23.50 17.18 28.23 คล่ืน 27.32 21.71 8.97 0.588.45 27.73 18.44 35.14 คล่ืน 27.93 21.67 9.51 0.495.42 23.62 16.73 27.66 คลื่น 27.14 24.52 8.75 0.419.96 29.09 20.01 36.56 หยกั 26.95 21.75 8.60 0.367.12 25.91 15.75 31.31 เรี ยบ 29.57 23.72 9.32 0.586.34 23.74 15.88 31.35 เรี ยบ 29.24 22.76 11.24 0.626.87 24.68 17.45 32.06 คลื่น 31.08 23.92 9.95 0.41 -241-9.35 28.87 20.97 36.01 หยกั 31.93 25.50 11.14 0.430.44 28.79 18.48 36.07 คล่ืน 27.17 19.93 9.09 0.571.89 29.73 17.22 33.41 เรี ยบ 27.10 21.60 8.43 0.488.03 26.15 17.60 32.12 หยกั 29.25 26.31 10.17 0.338.58 27.49 17.71 32.32 28.72 22.86 9.79 0.47ความหนาช้นั คิวติเคิลดา้ นบนต่อความหนาใบ; low cu = สัดส่วนความหนาช้นั คิวติต่อความหนาใบ; low epi = สัดส่วนความหนาช้นั epidermis ดา้ นล่างต่อความหนาสัดส่วนความหนาช้นั palisade ดา้ นล่างต่อความหนาใบ; spo = สดั ส่วนความหนานาช้นั spongy; up wid = ความกวา้ งของเซลลผ์ ิวใบดา้ นบน (ไมโครเมตร); up len =ซลลผ์ ิวใบดา้ นล่าง (ไมโครเมตร); low len = ความยาวของเซลลผ์ ิวใบดา้ นล่างกวา้ งของปากใบ (ไมโครเมตร); por = ความยาวช่องเปิ ดปากใบ (ไมโครเมตร); i =cell (Stenglein et al., 2005))
-242ตารางที่ 2 ตาราง Correlations แสดงความสมั พนั ธ์ของลกั ษณะทางกายวภิ าคศPDI Pearson Correlation PDI up cu low cu up epi low epi sig. (2-tailed) 1 .116 .125 -.183 -.034 N .373 .336 .336 .792up cu Pearson Correlation 61 61 61 61 .223 61 -.156 sig. (2-tailed) 1 .084 .190 .230 N 61 .142 61low cu Pearson Correlation 61 1 61 -.096 .311* .463 sig. (2-tailed) 61 .015 61 N 61 .121up epi Pearson Correlation .353 sig. (2-tailed) 1 61 N 1low epi Pearson Correlation 61 61 sig. (2-tailed) Nup pa Pearson Correlation sig. (2-tailed) Nlow pa Pearson Correlation sig. (2-tailed) Nspongy Pearson Correlation sig. (2-tailed)
2-ศาสตร์ของใบยางต่อดชั นีความตา้ นทานโรคใบจุดกา้ งปลา (PDI)i up pa low pa spongy dens up wid up len low wid low len .007 -.143 .135 .235 -.104 .249 .236 -.145 .958 .272 .298 0.69 .426 .053 .067 .265 61 61 61 61 61 61 61 61 .040 -.237 -.081 .144 -.005 .008 .016 .157 .762 .066 .536 .269 .969 .952 .906 .227 61 61 61 61 61 61 61 61 .047 -.660* -.103 .478** -.241 .235 .051 .293* .719 .000 .430 .000 .061 .068 .699 .022 61 61 61 61 61 61 61 61 -.163 -.474* -.071 -.030 .305* -.003 -.203 .087 .208 -242- .000 .586 .816 .017 .984 .116 .504 61 61 61 61 61 61 61 61 -.004 -.363** -.101 -.196 .171 .019 -.064 -.008 .973 .004 .440 .129 .188 .882 .624 .949 61 61 61 61 61 61 61 61 -.125 1 -.280* -.634** .333** -.182 .030 -.343** .337 .029 .000 .009 .160 .816 .007 61 61 61 61 61 61 61 61 .004 1 .213 -.184 .023 .175 -.051 .977 .100 .156 .859 .178 .694 61 61 61 61 61 61 61 .321* 1 -.763** .154 -.023 .428** .012 .000 .235 .859 .001
-243 PDI up cu low cu up epi low epiNdens Pearson Correlationsig. (2-tailed)Nup wid Pearson Correlationsig. (2-tailed)Nup len Pearson Correlationsig. (2-tailed)Nlow wid Pearson Correlationsig. (2-tailed)Nlow len Pearson Correlationsig. (2-tailed)N * หมายถึง มีความสมั พนั ธ์กนั อยา่ งมีนยั สาํ คญั ทางสถิติท่ีระดบั ความเชื่อมน่ั 95 เ ** หมายถึง มีความสมั พนั ธ์กนั อยา่ งมีนยั สาํ คญั ทางสถิติท่ีระดบั ความเชื่อมนั่ 99 เหมายเหตุ: PDI = ดชั นีความตา้ นทานโรคจากการทดลองที่ 1; up cu = สดั ส่วนความหดา้ นล่างต่อความหนาใบ; up epi = สดั ส่วนความหนาช้นั epidermis ดา้ นบนต่อความหpa = สดั ส่วนความหนาช้นั palisade ดา้ นบนต่อความหนาใบ; low pa = สดั ส่วนความต่อความหนาใบ; den = สดั ส่วนความหนาแน่นของเซลลต์ ่อความหนาช้นั spongy; upเซลลผ์ วิ ใบดา้ นบน (ไมโครเมตร); low wid = ความกวา้ งของเซลลผ์ วิ ใบดา้ นล่าง (ไม
3-i up pa low pa spongy dens up wid up len low wid low len 61 61 61 61 61 61 1 -.107 -.108 -.468** -.377** .410 .405 .000 .003 61 61 61 61 61 1 .653** .320* .292* .000 .012 .022 61 61 61 61 1 .245 .279* .057 .029 61 61 61 1 .685 .000 -243- 61 61 1 61 เปอร์เซ็นต์ เปอร์เซ็นต์ หนาช้นั คิวติเคิลดา้ นบนต่อความหนาใบ; low cu = สดั ส่วนความหนาช้นั คิวติเคิล หนาใบ; low epi = สดั ส่วนความหนาช้นั epidermis ดา้ นล่างต่อความหนาใบ; upมหนาช้นั palisade ดา้ นล่างต่อความหนาใบ; spo = สดั ส่วนความหนาช้นั spongy p wid = ความกวา้ งของเซลลผ์ ิวใบดา้ นบน (ไมโครเมตร); up len = ความยาวของมโครเมตร); low len = ความยาวของเซลลผ์ วิ ใบดา้ นล่าง (ไมโครเมตร)
-244-ภาพที่ 1 a และ b แสดงภาคตดั ขวางของเน้ือเยอื่ ใบยาง (LM): a แสดงการเรียงตวั ของเน้ือเยอ่ื ใบยาง แต่ละช้นั โดย UP EPI = ช้นั epidermis ดา้ นบน (ทอ้ งใบ), UP PAL = ช้นั palisade ดา้ นบน (ทอ้ งใบ), SPON = ช้นั spongy, LOW PAL = ช้นั palisade ดา้ นล่าง, และ LOW EPI = ช้นั epidermis ดา้ นล่าง; b แสดงภาคตดั ขวางบริเวณขอบใบ; c แสดงช้นั palisade ดา้ นบนเม่ือ optical section ดว้ ยกลอ้ งจุลทรรศน์แบบใชแ้ สง; d แสดงช้นั spongy เมื่อ optical section ดว้ ยกลอ้ งจุลทรรศน์แบบใชแ้ สง (a,b,c สเกลบาร์ 50 ไมโครเมตร, b สเกล บาร์ 200 ไมโครเมตร)
-245-ภาพที่ 2 เซลลผ์ วิ ใบดา้ นบนและดา้ นล่าง (LM): A, C, E รูปร่างเซลลผ์ ิวใบดา้ นบน; B, D, F รูปร่าง เซลลผ์ วิ ใบดา้ นล่างและปากใบ, A, B: RRI-CH-38-0281; C,D: RRI-CH-38-0802; E, F: RRI-CH-38-0989 (สเกลบาร์ 50 ไมโครเมตร)
-246-ภาพท่ี 3 ลวดลายของผวิ ใบดา้ นบน (ทอ้ งใบ) (SEM); a: RRI-CH-38-0286, b: RRI-CH-38-0298, c: RRI-CH-38-0311, d: RRI-CH-38-0320, e: RRI-CH-38-0321, f: RRI-CH-38-0333, g: RRI-CH-38-0344, h: RRI-CH-38-0365, i: RRI-CH-38-0372, j: RRI-CH-38-0379, k: RRI-CH-38-0498, l: RRI-CH-38-0424, m: RRI-CH-38-0691, n: RRI-CH-38-0743, o: RRI-CH-38-0745 (สเกลบาร์ 10 ไมโครเมตร)
-247-ภาพท่ี 4 ลวดลายของผิวใบดา้ นล่าง (หลงั ใบ) และปากใบ (SEM); a: RRI-CH-38-0029, b: RRI- CH-38-0047, c: RRI-CH-38-0096, d: RRI-CH-38-0117, e: RRI-CH-38-0127, f: RRI- CH-38-0156, g: RRI-CH-38-0169, h: RRI-CH-38-0195, i: RRI-CH-38-0201, j: RRI- CH-38-0215, k: RRI-CH-38-0236, l: RRI-CH-38-0262, m: RRI-CH-38-0270, n: RRI- CH-38-0271, o: RRI-CH-38-0281 (สเกลบาร์ 10 ไมโครเมตร)
-248- สรุปผลการทดลองและข้อเสนอแนะลกั ษณะกายวภิ าคศาสตร์ของใบยางของพนั ธ์ุยางชุด RRIT 400 (RRI-CH-38/1/1) ผิวใบและปากใบ ผิวใบของยางทุกสายพนั ธุ์มีลกั ษณะลวดลายคลา้ ยคลึงกนั โดยจะไม่พบปากใบบริเวณผิวใบดา้ นบนหรือดา้ นทอ้ งใบ ผิวใบจะมีลวดลาย 2 แบบ คือแบบสันตรง (striate)และแบบสันหยกั (regulate) พบปากใบกระจายอย่เู ป็ นจาํ นวนมากในส่วนของผิวใบดา้ นหลงั ใบหรือดา้ นล่างในยางทุกสายพนั ธุ์ค่าดชั นีปากใบเฉลี่ยเท่ากบั 0.47 ปากใบเป็ นแบบ paracytic ปากใบมีความยาวเฉลี่ย 28.72 ไมโครเมตร ความกวา้ งเฉลี่ย 22.86 ไมโครเมตร โดยมีความยาวของช่องเปิ ดปากใบเฉลี่ยประมาณ 9.79 ไมโครเมตร นอกจากน้ีลวดลายของผิวใบดา้ นหลงั ใบน้ีมีลกั ษณะขรุขระ แต่ละเซลลจ์ ะมีแวกซ์เคลือบซ่ึงมีลกั ษณะเป็ นสันนูนข้ึนมาตรงกลางเซลล์ และมีลวดลายเป็นสนั เลก็ ๆ (striate) แบบห่างๆ รอบสันนูนตรงกลางเซลล์ รูปร่างและขอบของเซลลผ์ วิ ใบดา้ นทอ้ งใบเป็นรูป (3)4-5 เหล่ียม (หรือมากกวา่ ) มุมป้ านมนขอบเซลลแ์ บ่งออกเป็ น 3 กลุ่ม ไดแ้ ก่ ขอบเรียบตรง ขอบเป็ นคล่ืน และขอบหยกั ส่วนรูปร่างเซลล์ดา้ นหลงั ใบมกั เป็ นรูปส่ีเหลี่ยมผืนผา้ ยาวหรือขอบขนาน ขอบเซลลม์ กั เรียบหรือเป็ นคล่ืนเลก็ นอ้ ยความยาวของเซลล์ผิวดา้ นหลงั ใบเฉลี่ยประมาณ 27.49 ไมโครเมตร ความกวา้ งเฉล่ีย 17.71ไมโครเมตร ในขณะท่ีความยาวและความกวา้ งของเซลลผ์ ิวดา้ นทอ้ งใบเฉลี่ยประมาณ 18.58 และ4.11 ไมโครเมตร ตามลาํ ดบั เนื้อเยื่อแผ่นใบ ใบยางทุกสายพนั ธุ์มีขอบใบงุม้ ลง เน้ือเย่ือแผ่นใบมีองคป์ ระกอบดงั น้ี ช้นัเคลือบผิวนอกสุด (cuticle) ดา้ นบนมีความหนานอ้ ยกว่าดา้ นล่างของแผ่นใบ โดยช้นั คิวติเคิลดา้ นบนคิดเป็ นเพยี ง 3 เปอร์เซ็นตเ์ ม่ือเทียบกบั ความหนาใบ ในขณะที่ช้นั คิวติเคิลดา้ นล่างคิดเป็ นสดั ส่วน 10 เปอร์เซ็นต์ ส่วนช้นั เซลลผ์ วิ (epidermis) ท้งั ดา้ นบนและดา้ นล่าง ช้นั น้ีมีเซลลเ์ พียง 1ช้นั ความหนาของช้นั เซลลผ์ ิวดา้ นบนและดา้ นล่างคิดเป็นสัดส่วนดา้ นละ 10 เปอร์เซ็นตข์ องความหนาใบ ส่วนเน้ือเย่ือช้นั พาลิเสด (palisade) มีท้งั ดา้ นบนและดา้ นล่าง แต่ละดา้ นมีเซลลเ์ พียงช้นัเดียว โดยเน้ือเย่ือพาลิเสดดา้ นบนคิดเป็ น 41 เปอร์เซ็นตข์ องความหนาใบ ส่วนดา้ นล่างคิดเป็ นสัดส่วนเพียง 14 เปอร์เซ็นตข์ องความหนาใบ นอกจากน้ันท่ีอย่ตู รงกลางของแผ่นใบคือเน้ือเย่ือspongy ประกอบไปดว้ ยเซลล์ 3-4 ช้นั แทรกกนั หลวมๆ ระหวา่ งเน้ือเยอื่ ช้นั พาลิเสดบนและล่าง ช้นัน้ีมีสดั ส่วนความหนาประมาณ 12 เปอร์เซ็นตข์ องความหนาใบความสัมพนั ธ์ของลกั ษณะกายวิภาคศาสตร์ของใบยางต่อความต้านทานโรคใบจุดก้างปลา ลกั ษณะทางกายวภิ าคศาสตร์ของใบยางไม่มีความสมั พนั ธ์อยา่ งมีนยั สาํ คญั ทางสถิติต่อดชั นีความตา้ นทานโรคใบจุดกา้ งปลา (PDI) ดงั แสดงในตารางที่ 2 จึงไม่สามารถสร้างสมการเพ่อื แสดงความสัมพนั ธ์ของลกั ษณะทางกายวิภาคศาสตร์ของใบยางกบั ความตา้ นทานโรคได้ หากตอ้ งการ
-249-ศึกษาลักษณะน้ีจําเป็ นเลือกกลุ่มสายพนั ธุ์ที่มีระดับความรุนแรงของโรคที่หลากหลายและครอบคลุมทุกระดบั ความรุนแรงของโรค การนําผลงานวจิ ยั ไปใช้ประโยชน์ ไดข้ อ้ มูลกายวิภาคศาสตร์ของใบยางท่ีมีผลต่อการตา้ นทานเช้ือราสาเหตุโรคใบจุดกา้ งปลาเพ่ือประยกุ ตใ์ ชห้ าแนวทางในการสร้างความตา้ นทานต่อโรคในยางพาราเพื่อการควบคุมโรคและลดความเสียหายท้งั ดา้ นผลผลิตและการเจริญเติบโตของยางพาราต่อไป เอกสารอ้างองิพงษ์เทพ ขจรไชยกูล. 2531. โรคใบจุดกา้ งปลาของยางพารา. รายงานผลการวิจยั ยางพารา สถาบนั วิจยั ยาง กรมวชิ าการเกษตร. 12 หนา้ .พงษเ์ ทพ ขจรไชยกลู . 2533. โรคและศตั รูยาง. รวบรวมโดยกลุ่มโรงเรียนการยาง ศนู ยว์ จิ ยั ยาง สงขลา สถาบนั วจิ ยั ยาง. 49 หนา้ .พรทิพย์ วงศแ์ กว้ . 2533. โรคพืชวิทยาข้นั สูง. โครงการการผลิตส่ิงตีพมิ พท์ างการเกษตร คณะ เกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลยั ขอนแก่น โดยความช่วยเหลือจากสถานทูตคานาดาประจาํ ประเทศไทย. 282 หนา้ .ลกั ษณ์ วงศห์ ิรัญภิญโญ และ พฒั นา สนธิรัตน์. 2534. ลกั ษณะทางสัณฐานวิทยาและชนิดพืชอาศยั ของ Corynespora cassiicola สาเหตุโรคใบจุดกา้ งปลาของยางพารา. วารสารยางพารา 11(2): 81-99.อารมณ์ โรจน์สุจิตร, พงษเ์ ทพ ขจรไชยกูล และ เก็บ หนูศรี. 2543. ความตา้ นทานของโรคใบจุด กา้ งปลาของยางพนั ธุ์สถาบนั วิจยั ยาง 250 และสถาบนั วิจยั ยาง 251. รายงานผลการวิจยั ยางพารา สถาบนั วจิ ยั ยาง กรมวชิ าการเกษตร. 9 หนา้ .da Silva Mores, T.M., Barros, F.C., da Silva Neto, S.J., Gomes, V.M. and Cunha, M. 2009. Leaf blade anatomy and ultrastructure of six Simira species (Rubiaceae) from the Atlantic Rain Forest, Brazil. Biocell 33(3): 155-165.Kakkar, L. and Paliwal, G.S. 1972. Studies on the leaf anatomy of Euphorbia: V. Epidermis. Proc. Indian Nat. Sci. Acad. B. :55-65.Lee, S., Choi, H., Suh, S., Doo, I.I.S., Oh, K.Y., Choi, E.J., Schroeder Taylor, A.T., Low, P.S., and Lee, Y. 1999. Oligogalacturonic acid and chitosan reduce stomatal aperture by inducing the evolution of reactive oxygen species from guard cells of tomato and Commelina communis. Plant Physiology 121(1): 147–152.
-250-Manju M. J, Vinod K.K, ldicula S.P, Kuruvilla J.C., Nazeer M.A and Benagi V.I. 2010. Susceptibility of Hevea brsiliensis clones to Corynespora leaf fall disease. Journal of Mycology and Plant Pathology 40(4): 603-609.Martin J.T. 1964. Role of cuticle in the defense against plant disease. Annual Review of Phytopathology 2: 81-100.Mathew, J. 2006. Clonal resistance of Hevea brasiliensis to Corynespora leaf fall disease. In Corynespora Leaf Disease of Hevea brasiliensis: Strategies for Management. Jacob, C.K. (editor). Modern Graphics Cochin, Kerala: 188 pp.Mmbaga MT, Steadman JR, Roberts JJ. Interaction of bean leaf pubescence with rust Urediniospore deposition and subsequent infection density. Annals of Applied Biology. 1994;125:243–254.Olowokudejo, J.D. 1993. Comparative epidermal morphology of West African species of Jatropha L. (Euphorbiaceae). Botanical Journal of the Linnean Society 111(2): 139-154.Sena Gomes, A.R. and Kozlowski, T.T. 1988. Stomatal characteristics, leaf waxes, and transpiration rates of Thebroma cacao and Hevea brasiliensis seedlings. Annuals of Botany 61(4): 425-432.Smith, A.H., Pinkard E.A., Hunter G.C., Wingfield M.J. and Mohammed, C.L. 2006. Anatomical variation and defence responses of juvenile Eucalyptus nitens leaves to Mycosphaerella leaf disease. Australasian Plant Pathology 35(6): 725–731.Srinivasa Rao Uppalapati, Yasuhiro Ishiga, Vanthana Doraiswamy, Mohamed Bedair, Shipra Mittal, Jianghua, Jin Nakashima, Yuhong Tang, Million Tadege, Pascal Ratet, Rujin Chen, Holger Schultheiss, and Kirankumar S. Mysore. 2012. Loss of Abaxial Leaf Epicuticular Wax in Medicago truncatula irg1/palm1 Mutants Results in Reduced Spore Differentiation of Anthracnose and Nonhost Rust Pathogens. Plant Cell. 2012 January; 24(1): 353–370. Published online 2012 January 31. สืบคน้ จาก http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC3289574/ (18 พฤษภาคม 2556).Stenglein, S.A., Arambarria, A.M., del Carmen, M., Sevillanod, M. and Balatti, P.A. 2005. Leaf epidermal characters related with plant’s passive resistance to pathogens vary among accessions of wild beans Phaseolus vulgaris var. aborigineus (Leguminosae–Phaseoleae). Flora 200(3): 285-295.
ประเมนิ อตั ราป๋ ุยไนโตรเจนทเ่ี หมาะสมกบั ยางพนั ธ์ุใหม่ท่ี ให้ผลผลติ เนือ้ ไม้สูง Nitrogen Fertilizer Rate for Timber Clone เกษตร แนบสนิท1 ศจีรัตน์ แรมลี1 นภาวรรณ เลขะวพิ ฒั น2์ บทคดั ย่อ เนื่องจากปัจจุบนั ไมย้ างพารากาํ ลงั มีความสาํ คญั ต่อการพฒั นาอุตสาหกรรมไมข้ องประเทศไทยเป็ นอนั มาก สถาบนั วิจยั ยาง จึงไดแ้ นะนาํ พนั ธุ์ยางของไทยที่ใหผ้ ลผลิตเน้ือไมส้ ูง ไดแ้ ก่ พนั ธุ์สถาบนั วจิ ยั ยาง 401 และพนั ธุ์สถาบนั วจิ ยั ยาง 402 (ฉะเชิงเทรา 50) ซ่ึงนอกจากพนั ธุ์ยางแลว้ ป๋ ุยเคมีกเ็ ป็นปัจจยั หน่ึงท่ีมีผลต่อการเจริญเติบโตและการใหผ้ ลผลิตของยางพาราโดยยางพาราตอ้ งการธาตุอาหารไนโตรเจนและโพแทสเซียม ในปริมาณท่ีสูงกว่าฟอสฟอรัสและแมกนีเซียม อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีการจดั การสวนยางสําหรับการผลิตเน้ือไมย้ งั ไม่มีการศึกษาอย่างเฉพาะเจาะจง และไนโตรเจนเป็ นธาตุอาหารที่ยางพาราตอ้ งการเพ่ือการเจริญเติบโต ดงั น้นั จึงควรจะไดม้ ีการศึกษาการตอบสนองของป๋ ุยที่มีผลตอ่ การผลิตเน้ือไมข้ องยางพารา เพอื่ เพมิ่ ศกั ยภาพการผลิต และคุณภาพเน้ือไมส้ ูง และแนะนาํ แก่เกษตรกรท่ีตอ้ งการปลูกยางเพื่อเน้ือไม้ การศึกษาเร่ิมจาก การปลูกยางพาราพนั ธุ์เพื่อเน้ือไมจ้ าํ นวน 2 พนั ธุ์ คือ พนั ธุ์สถาบนั วิจยั ยาง 402 (ฉะเชิงเทรา 50) และพนั ธุ์สถาบนั วจิ ยั ยาง 401 พนั ธุ์ละ 7 ไร่ ในพ้นื ท่ี 14 ไร่ ในปี 2548 โดยใชร้ ะยะปลูก 4 x 4 เมตร ใส่ป๋ ุยไนโตรเจน 3 ระดบั คือ 10%N, 20%N และ 30%N ขณะท่ีทุกระดบั ใส่ป๋ ุยฟอสฟอรัส 10%P2O5 และใส่ป๋ ุยโพแทสเซียม 12%K2O วางแผนการทดลองแบบ Split plot design จาํ นวน 3 ซ้าํ โดยมีพนั ธุ์ยางเป็น Main plot และอตั ราการใชป้ ๋ ุยไนโตรเจนเป็น Sub plot จากผลการศึกษา พบว่า ต้งั แต่การเก็บขอ้ มูลช่วงแรก คือ 1 ปี ต้งั แต่เดือนสิงหาคม 2547 ถึงเดือนกรกฎาคม 2548 ซ่ึงไดม้ ีการบนั ทึกขอ้ มูลการเจริญเติบโตของตน้ ยางในแต่ละวิธีการ โดยการวดั ขนาดของเส้นผา่ ศูนยก์ ลางลาํ ตน้ ที่ความสูงระดบั 10 เซนติเมตร เหนือพ้ืนดินและความสูงของลาํ ตน้ พบว่า ตน้ ยางมีขนาดเส้นผ่าศูนยก์ ลางลาํ ตน้ ที่ความสูงระดบั 10 เซนติเมตรเหนือพ้ืนดิน เฉลี่ย 2.24 เซนติเมตร และมีความสูงของลาํ ตน้ เฉล่ีย 236.81 เซนติเมตร โดยท่ีในพนั ธุ์สถาบนั วิจยั ยาง 402 (ฉะเชิงเทรา 50)อตั ราป๋ ุยไนโตรเจนที่ 20%N มีขนาดเสน้ ผ่าศูนยก์ ลางลาํ ตน้ ที่ความสูงระดบั 10 เซนติเมตร เหนือพ้ืนดินและความสูงของลําต้นมากท่ีสุดตามลาํ ดับ ส่วนพันธุ์สถาบันวิจัยยาง 401 อัตราป๋ ุยไนโตรเจนท่ี 30%N มีขนาดเสน้ ผา่ ศนู ยก์ ลางลาํ ตน้ ท่ีความสูงระดบั 10 เซนติเมตร เหนือพ้นื ดินและ1ศนู ยว์ จิ ยั ยางหนองคาย ต.พระบาทนาสิงค์ อ.รัตนวาปี จ.หนองคาย 431202 กองวจิ ยั อุตสาหกรรม ฝ่ ายวิจยั และอุตสาหกรรมยาง การยางแห่งประเทศไทย จตุจกั ร กรุงเทพฯ 10900
-252-ความสูงของลาํ ตน้ มากที่สุดตามลาํ ดบั แต่เม่ือนาํ มาทาํ การวเิ คราะห์ทางสถิติ พบวา่ การเจริญเติบโตของพนั ธุ์ยางท้งั สองพนั ธุ์ และอตั ราป๋ ุยไนโตรเจนท่ีให้ ไม่มีความแตกต่างทางสถิติ และการเก็บขอ้ มลู ช่วงท่ีต่อมา คือในตน้ ยางอายุ 2 - 12 ปี โดยการเกบ็ ขอ้ มลู ความเจริญเติบโตท่ีตน้ ขอ้ มูลโดยวดัเสน้ รอบลาํ ตน้ ที่ระดบั ความสูง 170 เซนติเมตร เหนือพ้ืนดิน พบวา่ ตน้ ยางมีขนาดเส้นรอบลาํ ตน้ ท่ีระดับความสูง 170 เซนติเมตร โดยท่ีในพนั ธุ์สถาบนั วิจัยยาง 402 (ฉะเชิงเทรา 50) อตั ราป๋ ุยไนโตรเจนท่ี 20%N มีขนาดของลาํ ตน้ เฉลี่ยมากที่สุด ส่วนในพนั ธุ์สถาบนั วิจยั ยาง 401 อตั ราป๋ ุยไนโตรเจนท่ี 30%N มีขนาดของลาํ ตน้ มากท่ีสุด เม่ือทาํ การวเิ คราะห์ทางสถิติพบวา่ การเจริญเติบโตของยางท้งั สองพนั ธุ์และอตั ราป๋ ุยไนโตรเจนท่ีให้ ไม่มีความแตกต่างกนั ทางสถิติ และไม่พบปฏิกิริยาสมั พนั ธ์กนัคาํ สําคญั : ยางพารา, พนั ธุ์ยาง, อตั ราป๋ ุย, ป๋ ุยไนโตรเจน, ผลผลิตเน้ือไมส้ ูง บทนํา ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือเริ่มปลูกยางเป็ นทางการต้งั แต่ปี พ.ศ. 2521 ส่วนหน่ึงคือในช่วงปีพ.ศ. 2547 - 2549 มีการส่งเสริมของภาครัฐ ตามมติคณะรัฐมนตรีที่อนุมตั ิใหก้ ระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดาํ เนินการโครงการปลูกยางเพื่อยกระดบั รายไดแ้ ละความมนั่ คง ใหแ้ ก่เกษตรกรในแหล่งปลูกยางใหม่ระยะท่ี1 (ปี 2547 - 2549) ซ่ึงในภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือไดร้ ับการอนุมตั ิให้ขยายพ้ืนท่ีปลูกยางได้อีก 700,000 ไร่ ซ่ึงส่วนมากเป็ นสวนยางขนาดเล็ก ประมาณ 90,000 ราย มีเกษตรกรรายยอ่ ยเกี่ยวขอ้ งไม่นอ้ ยกวา่ 50,000 คน ปัจจุบนั จงั หวดั หนองคายมีพ้นื ท่ีปลกู ยางรวม คือ246,257ไร่ เดิมประโยชน์ที่ไดจ้ ากต้นยางพารา คือการเก็บผลิตในรูปน้ํายางเพ่ือนํามาแปรรูปเป็ นวตั ถุดิบเพ่อื จาํ หน่ายแต่เนื่องจากปัจจุบนั ไมย้ างพาราเริ่มมีความสาํ คญั เพราะสามารถสร้างรายไดใ้ ห้เกษตรกรผูป้ ลูกยางและเป็ นท่ีตอ้ งการต่อการพฒั นาอุตสาหกรรมส่งออกเฟอร์นิเจอร์ไมย้ างของประเทศเป็ นอนั มาก ทาํ ใหง้ านวิจยั ดา้ นปรับปรุงพนั ธุ์ยางของประเทศต่างๆ เช่น อินโดนิเชีย หรือมาเลเซีย หรือของประเทศไทย จึงมีแนวโน้มความตอ้ งการ ให้เกิดการปรับปรุงพนั ธุ์ยางที่ให้ผลผลิตเน้ือไมส้ ูงดว้ ย1. พนั ธ์ุยางพารา ปริมาณผลผลิตท่ีจะไดร้ ับจากสวนยางพารา ไม่วา่ จะเป็ นน้าํ ยางหรือเน้ือไม้ กต็ าม นอกจากจะข้ึนอยกู่ บั ปัจจยั แรก คือ ความเหมาะสมของพ้ืนที่ แลว้ พนั ธุ์ยางพารา และ การจดั การสวนยางคือสิ่งที่สาํ คญั ไมแ่ พก้ นั แต่ในเบ้ืองตน้ จะขอกล่าวถึงเรื่องพนั ธุ์ยางพาราก่อน ซ่ึงหน่วยงานของรัฐที่รับผดิ ชอบในเร่ืองการปรับปรุงพนั ธุ์ยางพารา ไดแ้ ก่ สถาบนั วิจยั ยาง กรมวิชาการเกษตร ซ่ึงไดเ้ ร่ิมจดั ทาํ คาํ แนะนาํ พนั ธุ์ยางแก่เกษตรกรต้งั แต่ปี 2504 และจะมีการเปล่ียนแปลงคาํ แนะนาํ พนั ธุ์ยางทุก
-253-4 ปี โดยพจิ ารณาจากพนั ธุ์ยางใหม่ท่ีไดร้ ับจากผลงานวิจยั การปรับปรุงพนั ธุ์ยางสภาพ แวดลอ้ มในพ้ืนท่ีปลูกยางที่เปล่ียนแปลงไป รวมท้งั การตอบสนองต่อวตั ถุประสงคก์ ารปลูกยางของเกษตรกรจากเดิมท่ีการปลูกยางจะมีวตั ถุประสงคใ์ นดา้ นการเพมิ่ ผลผลิตน้าํ ยางเป็นหลกั มาเป็ นการปลูกยางเพื่อน้ํายางและ/หรือเน้ือไม้ สําหรับปัจจุบันคือ คาํ แนะนําพนั ธุ์ยาง ปี 2554 ได้แบ่งพนั ธุ์ยางออกเป็ น 3 ช้นั ใน 2 เขตพ้ืนที่ปลูกยาง ไดแ้ ก่พ้ืนที่ปลูกยางเดิม คือ จงั หวดั ทางภาคใตท้ ้งั หมด 14จงั หวดั และจงั หวดั ทางภาคตะวนั ออก 3 จงั หวดั ไดแ้ ก่ ระยอง จนั ทบุรี และตราด และเขตพ้ืนที่ปลูกยางใหม่ ไดแ้ ก่ จงั หวดั ในภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือท้งั หมด 20 จงั หวดั จงั หวดั ในภาคเหนือท้งั หมด 17 จงั หวดั จงั หวดั ในภาคกลางท้งั หมด 22 จงั หวดั และและภาคตะวนั ออกจงั หวดั ท่ีเหลืออีก 3 จงั หวดั โดยกาํ หนดใหพ้ นั ธุ์ยางที่แนะนาํ แบ่งเป็ น 3 กลุ่ม คือ พนั ธุ์ยางเพ่ือผลผลิตน้าํ ยาง พนั ธุ์ยางเพ่ือผลผลิตน้าํ ยางและเน้ือไมแ้ ละพนั ธุ์ยางเพ่ือผลผลิตเน้ือไมใ้ ห้เกษตรกรเลือกพนั ธุ์ไดต้ ามวตั ถุประสงคข์ องการปลูกดงั น้ี พนั ธ์ุยางช้ัน 1 หมายถึง เป็นยางพนั ธุ์ดี ท่ีผา่ นการทดลองและศกึ ษาลกั ษณะต่างๆอยา่ งละเอยี ด แนะนาํ ใหป้ ลกู ไดโ้ ดยไม่จาํ กดั จาํ นวนเน้ือที่ปลกู 1. พนั ธ์ุยางช้ัน 1 ทีแ่ นะนําในพนื้ ที่ปลูกยางเดมิ พนั ธุ์ยางช้นั 1 กลุ่ม 1 พนั ธุ์ยางเพอ่ื ผลผลิตน้าํ ยางสูงไดแ้ ก่ พนั ธุ์สถาบนั วจิ ยั ยาง 251สถาบนั วจิ ยั ยาง 226 BPM 24 และ RRIM 600 พนั ธุ์ยางช้นั 1 กลุ่ม 2 พนั ธุ์ยางเพื่อผลผลิตน้าํ ยางและเน้ือไม้ ไดแ้ ก่ พนั ธุ์ PB 235PB 255 และ PB 260 พนั ธุ์ยางช้นั 1 กลุ่ม 3 พนั ธุ์ยางเพ่ือผลผลิตเน้ือไมส้ ูงไดแ้ ก่ พนั ธุ์ฉะเชิงเทรา 50AVROS 2037 และBPM 1 2. พนั ธ์ุยางที่แนะนําในพนื้ ท่ปี ลูกยางใหม่ พนั ธุ์ยางช้นั 1 กลุ่ม 1 พนั ธุ์ยางเพื่อผลผลิตน้าํ ยางสูงไดแ้ ก่ สถาบนั วิจยั ยาง 251สถาบนั วิจยั ยาง 226 BPM 24 RRIM 600 และสถาบนั วจิ ยั ยาง 408 พนั ธุ์ยางช้นั 1 กลุ่ม 2 พนั ธุ์ยางเพื่อผลผลิตน้าํ ยางและเน้ือไม้ ไดแ้ ก่ PB 235 PB 255และ PB 260 พนั ธุ์ยางช้นั 1 กลุ่ม 3 พนั ธุ์ยางเพ่ือผลผลิตเน้ือไมส้ ูงไดแ้ ก่ ฉะเชิงเทรา 50(สถาบนั วจิ ยั ยาง 402) AVROS 2037 และBPM 1 พันธ์ุยางช้ัน 2 หมายถึง เป็ นยางพนั ธุ์ดี ท่ีอยรู่ ะหวา่ งการทดลองและศึกษาลกั ษณะต่างๆบางประการเพมิ่ เติม แนะนาํ ใหป้ ลูกไดไ้ ม่เกินร้อยละ 30 ของเน้ือที่ถือครอง ซ่ึงแต่ละพนั ธุ์ ตอ้ งปลูกไม่นอ้ ยกว่า 7 ไร่ เกษตรกรที่มีความประสงคจ์ ะปลูกพนั ธุ์ยางช้นั น้ี ควรปลุกใตก้ ารแนะนาํ ของสถาบนั วจิ ยั ยาง พันธ์ุยางช้ัน 3 หมายถึง หมายถึง เป็ นยางพนั ธุ์ดี ท่ีอย่รู ะหว่างการทดลองและยงั มีขอ้ มูลศึกษาลกั ษณะต่างๆบางประการเพม่ิ เติม แนะนาํ ใหป้ ลูกไดไ้ มเ่ กินร้อยละ20 ของเน้ือที่ถือครอง และ
-254-แต่ละพนั ธุ์ ตอ้ งปลกู ไม่นอ้ ยกวา่ 7 ไร่ เกษตรกรที่มีความประสงคจ์ ะปลกู พนั ธุ์ยางช้นั น้ี ควรปลูกใต้การแนะนาํ ของสถาบนั วจิ ยั ยาง จะเห็นไดว้ า่ พนั ธุ์ยางแนะนาํ ช้นั 1 และ ช้นั 2 มีการแบ่งเป็ น 3 กลุ่ม ตามวตั ถุประสงคข์ องการปลกู โดยท่ีพนั ธุ์ยางแนะนาํ ช้นั 3 ไม่แบ่งกลุ่มพนั ธุ์ กลุ่ม 1 พันธ์ุยางเพ่ือผลผลิตนํ้ายาง เป็ นพนั ธุ์ยางที่ให้ผลผลิตน้าํ ยางสูงเป็ นหลกั การเลือกปลกู พนั ธุ์ยางในกลุ่มน้ี ควรม่งุ เนน้ ผลผลิตน้าํ ยาง กลุ่ม 2 พันธ์ุยางเพื่อผลผลิตนํ้ายางและเนื้อไม้ เป็ นพนั ธุ์ยางที่ใหท้ ้งั ผลผลิตน้าํ ยางและเน้ือไม้ โดยใหผ้ ลผลิตน้าํ ยางสูงและมีการเจริญเติบโตดี ลกั ษณะลาํ ตน้ ตรง ใหป้ ริมาตรเน้ือไมส้ ูง กล่มุ 3 กลุ่มพนั ธ์ุยางเพือ่ ผลผลิตเนื้อไม้ เป็นพนั ธุ์ยางท่ีใหผ้ ลผลิตเน้ือไมส้ ูงเป็นหลกั มีการเจริญเติบโตดีมาก ลกั ษณะลาํ ตน้ ตรง ใหป้ ริมาตรเน้ือไมส้ ูงมาก ส่วนผลผลิตน้าํ ยางจะอยใู่ นระดบัต่าํ กวา่ พนั ธุ์ยางในกลุ่ม 1 และ กลุ่ม 2 เหมาะสาํ หรับเป็นพนั ธุ์ท่ีจะปลกู เป็นสวนป่ าเพอ่ื การผลิตเน้ือไม้ โดยพนั ธุ์ยางท่ีนาํ มาศึกษาในงานวจิ ยั น้ีไดแ้ ก่ 1. สถาบันวจิ ัยยาง 401 ซ่ึงเป็ นพนั ธุ์ยางตามคาํ แนะนาํ สถาบนั วิจยั ยางกลุ่ม 3 พนั ธุ์ยาง เพ่ือผลผลิตเน้ือไม้ โดยเป็นพนั ธุ์ยางช้นั 2 ท้งั ในพ้นื ท่ีปลกู ยางเดิมและพ้ืนท่ีปลกู ยางใหม่ 2. สถาบันวจิ ัยยาง 402 หรือ ฉะเชิงเทรา 50 เป็นพนั ธุ์ยางตามคาํ แนะนาํ สถาบนั วจิ ยั ยางกลุ่ม 3 พนั ธุ์ยางเพื่อผลผลิตเน้ือไม้ โดยเป็ นพนั ธุ์ยางช้นั 1 ท้งั ในพ้ืนที่ปลูกยางเดิมและพ้นื ที่ปลกู ยางใหม่2. ป๋ ยุ เคมี ซ่ึงนอกจากการปรับปรุงพนั ธุ์ยางเพื่อการผลิตเน้ือไมแ้ ลว้ ป๋ ุยเคมีกเ็ ป็ นปัจจยั หน่ึงท่ีมีผลต่อการเจริญเติบโต และต่อการให้ผลผลิตของยางพารา โดยเฉพาะพืชยางพารามีตอ้ งการธาตุอาหารไนโตรเจนและโพแทสเซียมในปริมาณท่ีสูงกว่าธาตุอาหารฟอสฟอรัสและแมกนีเซียม อยา่ งไรก็ตามเทคโนโลยกี ารจดั การสวนยางสาํ หรับการผลิตเน้ือไมย้ งั ไม่มีการศึกษาอยา่ งเฉพาะเจาะจง และธาตุอาหารไนโตรเจนเป็ นท่ียางพาราตอ้ งการเพ่ือการเจริญเติบโต ดงั น้นั จึงควรจะไดม้ ีการศึกษาการตอบสนองของป๋ ุยเคมีท่ีมีผลตอ่ การผลิตเน้ือไม้ ซ่ึงปัจจยั ท่ีนาํ มาศึกษา ใน 2 ส่วนซ่ึง ความหมายของคาํ ว่า ป๋ ุย คือ สารท่ีใส่ลงไปในดิน เพ่ือเพ่ิมธาตุอาหารซ่ึงมีอยู่ในดินซ่ึงอาจไม่เพียงพอ จนถึงความตอ้ งการของพชื เพ่อื จะไดเ้ จริญเติบโตงอกงามและใหผ้ ลผลิตสูง โดยกระบวนการจะมีน้าํ และอากาศใหร้ ากพืชไดห้ ายใจ รากพืชจะดูดน้าํ และธาตุอาหารไปหล่อเล้ียงลาํ ตน้ รากพืชตอ้ งมีอากาศหายใจดินในบริเวณที่เปิ ดป่ าใหม่ๆเป็ นดินท่ีอุดมสมบูรณ์ เนื่องจากดินช้นั บนสะสมอินทรียวตั ถุและธาตุอาหารพชื อยเู่ ป็นจาํ นวนมาก ธาตอุ าหารพชื ถกู ปลดปล่อยออกมาเน่ืองจากการสลายตวั ของอินทรียวตั ถุและการผพุ งั ของหินและแร่ในดิน พืชที่ปลูกจึงงอกงาม และใหผ้ ลผลิตสูงในการปลูกยางพาราและเกบ็ เกี่ยวผลิตผลจากแต่ละคร้ัง เป็ นการเก็บเกี่ยวธาตุอาหารหรือป๋ ุยในดินออกไปดว้ ย
-255-เช่นกนั จึงทาํ ให้ดินสูญเสียธาตุอาหารพืช รวมท้งั อินทรียวตั ถุในดิน ในที่สุดจะทาํ ให้ดินทีความอุดมสมบรู ณ์ลดลง กลายเป็นดินขาดความอุดมสมบูรณ์ ดงั น้นั ในการปลูกพืชจึงควรใชป้ ๋ ุยปรับปรุงดิน เนื่องจากป๋ ุยที่ใส่ลงไปในดินจะปล่อยธาตุอาหารพืชชดเชยธาตุอาหารพืชเดิมท่ีสูญเสียไป และยงั สามารถเพิ่มธาตุอาหารใหพ้ ืชเม่ือปลูกในดินที่มีธาตุอาหารไม่พอเพียง ป๋ ุยเคมีจะปลดปล่อยธาตุอาหารอยา่ งเดียว เน่ืองจากเป็ นสารเคมีท่ีผลิตจากโรงงานอุตสาหกรรม แต่ป๋ ุยอินทรียน์ ้นั นอกจากจะปลดปล่อยธาตุอาหารแลว้ ยงั ช่วยปรับปรุงดินให้โปร่งและร่วนซุยอีกดว้ ย โดยป๋ ุยอินทรียม์ ีปริมาณธาตุอาหารนอ้ ยกวา่ ป๋ ุยเคมี และปลดปล่อยออกมาชา้ กวา่ เนื่องจากตอ้ งรอใหจ้ ุลินทรียใ์ นดินยอ่ ยสลายใหผ้ พุ งั เน่าเปื่ อยเสียก่อน การเขา้ ใจเรื่องป๋ ุยและการเลือกใชป้ ๋ ุยมาใชใ้ นทางเกษตรเป็ นวิธีหน่ึงที่ช่วยเพ่ิมผลผลิตให้สูงข้ึน ซ่ึงคาํ ว่า “ป๋ ุย” ตามพระราชบญั ญตั ิป๋ ุย พ.ศ. 2518 หมายความถึงสารอินทรียห์ รือสารอนินทรีย์ ไม่วา่ จะเกิดข้ึนโดยธรรมชาติหรือสงั เคราะห์ข้ึนกต็ าม สาํ หรับใชเ้ ป็นธาตุอาหารพืชได้ ไม่ว่าโดยวิธีการใดหรือทาํ ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางดินเพ่ือบาํ รุงความเจริญเติบโตของพืช ป๋ ุย หรือ Fertilizer มาจาก fertile (เฟอร์ไทร์) หมายถึง ความอุดมสมบูรณ์ดงั น้นั การใส่ป๋ ุยลงในดินกเ็ พื่อเพ่ิมปริมาณธาตุอาหารแก่พชื โดยเฉพาะธาตุไนโตรเจน ฟอสฟอรัสและโพแทสเซียม ซ่ึงพืชยงั ขาดอยใู่ หไ้ ดร้ ับอยา่ งเพยี งพอ ช่วยใหพ้ ชื เจริญเติบโตงอกงาม พร้อมท่ีจะใหผ้ ลผลิตมีคุณภาพและไดป้ ริมาณสูง ธาตุอาหารของพชื มีประมาณ 16 ธาตุดว้ ยกนั คือ ธาตุ C, H, O, N, P, K , Ca, Mg, S, Fe,Mn, B, Mo, Cu, Zn และ Cl สาํ หรับ 3 ธาตุแรกคือ C, H, O พืชสามารถรับไดจ้ ากน้าํ และคาร์บอนไดออกไซดใ์ นอากาศ ธาตุท่ีเหลือ 13 ธาตุไดจ้ ากดิน ในกรณีที่ดินไม่เพียงพอจะตอ้ งไดร้ ับจากป๋ ุยท่ีใส่ลงไป มิฉะน้นั จะทาํ ใหพ้ ืชไม่เจริญเติบโต โดยธาตุอาหารของพืชท่ีอยู่ในดินท้งั 13ธาตุจะมีความสาํ คญั ตอ่ พชื ไม่เท่ากนั สามารถแบ่งไดด้ งั น้ี กล่มุ ที่ 1 ธาตอุ าหารหลกั (Primary elements) พชื ตอ้ งการมากและมกั มอี ยใู่ นดินไม่เพียงพอตอ้ งใส่ป๋ ุยลงไป ไดแ้ ก่ N, P, K กลุ่มที่ 2 ธาตุอาหารรอง (Secondary elements) ไดแ้ ก่ Ca, Mg, S พืชตอ้ งการมาก แต่โดยปกติจะมีอยใู่ นดินค่อนขา้ งมากและเพยี งพอตอ่ ความตอ้ งการของพืช จึงมกั ไม่จาํ เป็ นท่ีจะตอ้ งใส่ป๋ ุยท่ีธาตุกลุ่มน้ี กลุ่มท่ี 3 ธาตุอาหารเสริม ไดแ้ ก่ Fe, Mn, B, Mo, Cu, Zn, Cl พชื ตอ้ งการในปริมาณนอ้ ยและมกั มีเพยี งพอในดินแลว้ หน้าที่สําคญั ของธาตอุ าหาร ธาตุไนโตรเจน พชื ทุกชนิดโดยทว่ั ไปมีความตอ้ งการธาตุไนโตรเจนเป็นจาํ นวนมาก ซ่ึงธาตุไนโตรเจน เป็นองคป์ ระกอบท่ีสาํ คญั ของกรดอะมิโน ซ่ึงประกอบข้ึนเป็ นโปรตีนที่มีอยใู่ นพืช ช่วยทาํ ให้พืชเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว พืชที่ไดร้ ับธาตุไนโตรเจนอยา่ งเพียงพอก็จะมีใบพืชที่มีสีเขียวสด แข็งแรง โตเร็ว ให้ดอกและผลที่สมบูรณ์ โดยเฉพาะพวกผกั ที่รับประทานใบ ถา้ ได้ธาตุ
-256-ไนโตรเจนมากจะทาํ ใหอ้ วบ กรอบ มีเสน้ ใยนอ้ ยและมีน้าํ หนกั ดี ในกรณีท่ีขาดธาตุไนโตรเจน พืชจะแคระแกรน ใบเหลืองผิดปกติและเห่ียวเฉา ออกดอกและผลช้า ในดินทั่วๆไปมักมีธาตุไนโตรเจนไม่เพียงพอจึงต้องใส่ป๋ ุยที่มีธาตุไนโตรเจนลงไป ซ่ึงจะไปช่วยเร่งให้ต้นและใบเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ถา้ พืชไดร้ ับธาตุไนโตรเจนมากเกินไปอาจจะเกิดผลเสีย เช่น ทาํ ให้อวบน้าํ มาก ลาํ ตน้ อ่อนลม้ ง่าย โรคและแมลงเขา้ รบกวนหรือทาํ ลายง่าย เป็นตน้ ธาตุฟอสฟอรัส เป็ นธาตุที่เป็ นองคป์ ระกอบที่สาํ คญั ของสารประกอบพวก Nucleoproteinและphospholipidsซ่ึงอยู่ในเมล็ดพืชทุกชนิดสารประกอบท้ังสองน้ี เป็ นส่วนประกอบของโครงสร้างของโปรตีนและเซลลพ์ ืชนอกจากน้ีธาตุฟอสฟอรัส(ยงั เป็ นองคป์ ระกอบท่ีสาํ คญั อย่ใู นเอนไซมห์ ลายชนิดที่จาํ เป็ นต่อกระบวนการเมตาบอลิซึม ส่วนใหญ่จะอย่ใู นรูปของฟอสเฟต เช่นH2PO4- และ HPO42- โดยละลายน้าํ ในดิน พชื ตอ้ งการธาตุฟอสฟอรัสนอ้ ยกวา่ ธาตุไนโตรเจน แต่ในดินมกั มีธาตุฟอสฟอรัสหรือฟอสเฟตท่ีละลายน้าํ ได้ ไม่เพยี งพอ จึงตอ้ งใส่ป๋ ุยท่ีมีธาตุฟอสฟอรัส ถา้พชื ไดร้ ับธาตุฟอสฟอรัสเพยี งพอจะมีระบบรากท่ีแขง็ แรง แพร่กระจายอยใู่ นดินอยา่ งกวา้ งขวาง ทาํให้พืชสามารถดูดน้ําและธาตุอาหารได้ดี การออกดอกและผลจึงเกิดเร็ว ในกรณีท่ีขาดธาตุฟอสฟอรัสพืชจะแคระแกรน ใบมีสีเขียวคล้าํ รากจะชะงกั การเจริญเติบโต ทาํ ใหไ้ ม่ออกดอกและผล ธาตุโพแทสเซียม เป็ นธาตุที่จาํ เป็ นในการสร้างแป้ ง และเป็ นส่วนท่ีช่วยให้ใบของพืชมีประสิทธิภาพในการดูดแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ มีส่วนร่วมในการสร้างคลอโรฟิ ลล์ ส่งเสริมการเจริญเติบโตของรากและหัว สร้างเน้ือไมท้ ่ีแข็งของลาํ ตน้ และทาํ ให้ผลไมม้ ีรสหวานคุณภาพดีเสน้ ใยนอ้ ย แต่ถา้ พืชขาดธาตุน้ี เมลด็ จะลีบและมีน้าํ หนกั เบาผดิ ปกติ หากเป็นไมผ้ ลเน้ือไมจ้ ะฟ่ ามรสชาติกร่อย ลาํ ตน้ แคระแกรน พืชจะใชธ้ าตุโพแทสเซียมไดเ้ มื่ออยู่ในรูปของไอออน K+ เท่าน้นัถา้ อยใู่ นรูปอ่ืนๆ ท่ีไม่ไดแ้ ตกตวั เป็น K+ ถึงแมว้ า่ พชื จะไดร้ ับเขา้ ไปกย็ งั คงนาํ ไปใชป้ ระโยชนไ์ ม่ได้ธาตโุ พแทสเซียมมีความสาํ คญั ในการสร้างและเคล่ือนยา้ ยอาหารพวกแป้ ง และน้าํ ตาลไปเล้ียงส่วนต่างๆ ของพชื ที่เจริญเติบโต และส่งไปเก็บไวท้ ่ีส่วนหวั หรือลาํ ตน้ ดงั น้นั พชื พวกออ้ ย มะพร้าวและมนั จึงต้องการธาตุโพแทสเซียมมาก ถ้าขาดธาตุโพแทสเซียมหัวจะลีบ เห่ียวง่าย แคระแกรนใบเหลือง แคลเซียม ทาํ หนา้ ที่สลายและละลายอาหารพืชในดินและช่วยเร่งให้เมล็ดงอก รากท่ีเร่ิมเกิดเจริญเติบโตเร็ว เป็ นการเพิ่มแคลเซียมให้รับพืชผลท่ีใชเ้ ป็ นอาหาร ถา้ พืชขาดธาตุน้ียอดพืชจะหยดุ ชะงกั การเจริญเติบโต และไมโ่ ผล่พน้ จากลาํ ตน้ แมกนีเซียม เป็ นองคป์ ระกอบสาํ คญั ของคลอโรฟิ ลล์ โดยท่ีทาํ หนา้ ท่ีในการเคลื่อนยา้ ยธาตุฟอสฟอรัสเขา้ ไปในเมล็ดพบว่าธาตุแมกนีเซียมจะทาํ งานร่วมกบั แคลเซียมในการหมุนเวียนธาตุอาหาร ขณะเดียวกนั ช่วยเร่งสร้างน้าํ มนั และไขมนั ถา้ พชื ขาดธาตุน้ี อาการท่ีเกิดจะเริ่มท่ีใบแก่ก่อนส่วนอ่ืน คือ ใบจะสูญเสียคลอโรฟิ ลลโ์ ดยมีลกั ษณะเป็นดวงระหวา่ งเส้นใบ และจะตายในท่ีสุด พชื
-257-ยนื ตน้ เมื่ออยรู่ ะหวา่ งฤดูออกดอกออกผล ใบอาจแสดงอาการขาดธาตุแมกนีเซียม เพราะแมกนีเซียมจะยา้ ยไปสร้างผลหมด ใบจึงร่วงผดิ ปกติ กํามะถัน เป็ นธาตุที่เป็ นองค์ประกอบที่สําคญั ของโปรตีนและกรดอะมิโน โดยท่ีจะช่วยสร้างโปรตีนและน้าํ มนั พชื ถา้ พชื ขาดธาตนุ ้ีจะมีอาการคลา้ ยๆ กบั ขาดธาตุไนโตรเจน เหล็ก เป็ นองคป์ ระกอบอยใู่ นกลุ่มเอนไซมห์ ลายชนิด โดยที่ทาํ หนา้ ที่เป็ นตวั เร่งปฏิกิริยาในกระบวนการต่างๆ เช่น หายใจ สังเคราะห์ดว้ ยแสง มีบทบาทสาํ คญั ในการสร้างคลอโรฟิ ลล์ ถา้ พืชขาดธาตุน้ี การสร้างคลอโรฟิ ลลจ์ ะหยดุ ชะงกั ใบจะเหลือง ใบท่ีผลิออกจะเลก็ ผดิ ปกติ แมงกานีส ช่วยเร่งปฏิกิริยาต่างๆ ในพืชใหเ้ กิดเร็วข้ึนและง่ายข้ึน เช่น ในการแปรสภาพหมู่ไนเตรตและหมู่ไฮดรอกซิลามีนให้เป็ นไนโตรเจนในรูปที่พืชนาํ ไปใช้ได้ เป็ นธาตุที่ร่วมอยู่ในกระบวนการสังเคราะห์ดว้ ยแสง สร้างโปรตีน และวิตามินซี ถา้ พืชขาดธาตุน้ีอาการจะเกิดข้ึนทางใบล่างก่อนคอื ใบช้นั ล่างของลาํ ตน้ จะเหลืองตามบริเวณระหวา่ งเสน้ ใบ เน่ืองจากเป็นบริเวณท่ีขาดคลอโรฟิ ลล์ สังกะสี มีบทบาทในกระบวนการสร้างคลอโรฟิ ลล์ และควบคมุ การสุกแก่ของผล ถา้ พืชขาดธาตุน้ี ตน้ จะเต้ียแคระแกรน ปลอ้ งของลาํ ตน้ และกิ่งกา้ นออ่ นจะส้นั โบรอน ธาตุน้ีจาํ เป็ นสําหรับการแบ่งเซลล์ การก่อตวั ของเซลล์ที่จะเป็ นดอก ผล และรากส่งเสริมกระบวนการเคลื่อนยา้ ยธาตุอาหาร และแร่ธาตุไปยงั ส่วนต่างๆ ของลาํ ตน้ ถา้ พืชขาดธาตุน้ีบริเวณ cortex จะเกิดการสะสมสารพวกเรซิน หรือที่เรียกว่า gummosis ซ่ึงจะทาํ ใหท้ ่อส่งน้าํ และอาหารอุดตนั ทาํ ให้การส่งน้าํ และอาหารดาํ เนินไปไม่สะดวก และมีจุดสีน้าํ ตาลหรือดาํ อยู่ภายในส่วนต่างๆ ของพชื ซ่ึงสงั เกตไดจ้ ากพืชพวกผกั กาดหวั กะหล่าํ ดอก เป็นตน้ ทองแดง เป็ นองคป์ ระกอบที่สาํ คญั อยใู่ นเอนไซมพ์ ืช ส่งเสริมการสร้างวิตามินเอ มีหนา้ ที่ทางออ้ มคอื มีส่วนร่วมในกระบวนการสร้างคลอโรฟิ ลล์ ถา้ พชื ขาดธาตนุ ้ีใบจะเหลือง โมลบิ ดนี ัม มีบทบาทในกระบวนการรีดกั ชนั ของไนเตรตใหเ้ ป็นแอมโมเนียม และกระบวน การสร้างคลอโรฟิ ลลแ์ ละเอนไซมพ์ ืช ถา้ พืชขาดธาตุน้ีขอบใบมว้ น บริเวณระหวา่ งเส้นใบจะมีสีเหลือง บางส่วนเขยี ว ปลายใบจะมีรอยไหม้ และตายไป คลอรีน เป็ นธาตุท่ีจาํ เป็นสาํ หรับการเจริญเติบโตของพชื ช้นั สูง (higher plants) หนา้ ท่ียงั ไม่ทราบแน่ชดั อยา่ งไรก็ตามถา้ พืชพวกยาสูบไดป้ ๋ ุยท่ีมีคลอไรดม์ าก จะเป็ นอุปสรรคใ์ นกระบวนการสร้างแป้ ง มีการสะสมแป้ งในใบมาก ทาํ ใหใ้ บหนาเปราะแทนที่จะเป็ นใบบาง เหนียว และยดื หยนุ่ได้ เม่ือบ่มสีจะไม่เหลือง การติดไฟจะเลวลง ประเภทของป๋ ยุ โดยทวั่ ไปป๋ ุยแบ่งออกเป็ นสองประเภท คอื ป๋ ุยอินทรียแ์ ละป๋ ุยวทิ ยาศาสตร์หรือป๋ ุยเคมี 1. ป๋ ุยอนิ ทรีย์ ไดแ้ ก่ ป๋ ุยคอก ป๋ ุยหมกั ป๋ ุยพืชสด ป๋ ุยอินทรียช์ ีวภาพ และวสั ดุท่ีเหลือใชจ้ ากโรงงานอตุ สาหกรรมบางชนิดซ่ึงเป็นพวกอินทรียส์ าร
-258- 1.1 ป๋ ุยคอก ท่ีสําคัญ ได้แก่ ข้ีหมู ข้ีเป็ ด ข้ีไก่ ฯลฯ เป็ นป๋ ุยคอกที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในบรรดาสวนผกั และสวนผลไม้ ป๋ ุยคอกโดยทวั่ ไปแลว้ ถา้ คิดราคาต่อหน่วยธาตุอาหารพืชจะมีราคาแพงกว่าป๋ ุยเคมี แต่ป๋ ุยคอกช่วยปรับปรุงดินให้โปร่งและร่วนซุย ทาํ ใหก้ ารเตรียมดินง่าย การต้งั ตวั ของตน้ กลา้ เร็วทาํ ใหม้ ีโอกาสรอดไดม้ าก 1.2 ป๋ ยุ หมัก ไดแ้ ก่ ป๋ ุยที่เราไดจ้ ากการหมกั เศษพชื เช่น หญา้ แหง้ ใบไม้ ฟางขา้ ว ฯลฯ ให้เน่าเปื่ อยเสียก่อน จึงนาํ ไปใส่ในดินเป็ นป๋ ุย ป๋ ุยเทศบาลท่ีบรรจุถุงขายในชื่อของป๋ ุยอินทรียเ์ บอร์ต่างๆ ซ่ึงไดจ้ ากการนาํ ขยะในเมือง พวกเศษพืช เศษอาหาร เขา้ โรงหมกั เป็ นข้นั ตอนจนกลายเป็ นป๋ ยุ ป๋ ุยหมกั สามารถทาํ เองได้ โดยการกองสุมเศษพืชสูงข้ึนจากพ้ืนดิน 30 - 40 เซนติเมตร แลว้ โรยป๋ ุยคอกผสมป๋ ุยเคมีสูตร 15-15-15 ประมาณ 1 - 1.5 กิโลกรัม ต่อเศษพืชหนกั 1,000 กิโลกรัม เสร็จแลว้ ก็กองเศษพืชซ้อนทบั ลงไปอีก แลว้ โรยป๋ ุยคอกผสมป๋ ุยเคมี ทาํ เช่นน้ีเรื่อยไปเป็ นช้นั ๆ จนสูงประมาณ 1.5 เมตร ควรมีการรดน้าํ แต่ละช้นั เพื่อใหม้ ีความชุ่มช้ืน และเป็ นการทาํ ใหม้ ีการเน่าเปื่ อยไดเ้ ร็วข้ึน กองป๋ ุยหมกั น้ีทิ้งไว้ 3 - 4 สปั ดาห์ กท็ าํ การกลบั กองป๋ ุยคร้ังหน่ึง 1.3 ป๋ ุยพืชสด ไดจ้ ากการปลูกพืชบาํ รุงดิน ไดแ้ ก่ พืชตระกลู ถว่ั ต่างๆ แลว้ ทาํ การไถกลบเม่ือพชื เจริญเติบโตมากท่ีสุด ซ่ึงเป็นช่วงที่กาํ ลงั ออกดอก พืชตระกลู ถวั่ ท่ีควรใชเ้ ป็นป๋ ุยพชื สดควรมีอายุส้ัน มีระบบรากลึก ทนแลง้ ทนโรคและแมลงไดด้ ี เป็ นพืชที่ปลูกง่าย และมีเมล็ดมาก เช่นถว่ั พมุ่ ถวั่ เขียว ถวั่ ลาย ปอเทือง ถว่ั ขอ ถวั่ แปบ และโสน ป๋ ุยอินทรียเ์ มื่อใส่ในดิน ซากสิ่งมีชีวิตเหล่าน้ีจะค่อยๆ สลายตวั และปล่อยธาตุอาหารออกมาใหพ้ ืชช่วยทาํ ใหด้ ินร่วนซุยและสามารถดูดซบั น้าํ และป๋ ุยไดด้ ีข้ึน แต่มีขอ้ เสียคือ มีธาตุอาหารนอ้ ยรวมท้งั มีปริมาณและสดั ส่วนไม่แน่นอน ตอ้ งใชป้ ริมาณมากจึงจะเพยี งพอต่อความตอ้ งการของพชื 2. ป๋ ุยเคมีหรือป๋ ุยวิทยาศาสตร์ ไดม้ าจากการผลิตหรือสังเคราะห์ทางอุตสาหกรรมจากแร่ธาตตุ ่างๆที่ไดต้ ามธรรมชาติ หรือเป็นผลพลอยไดข้ องโรงงานอุตสาหกรรมบางชนิด ป๋ ุยเคมี มี 2 ประเภท คือ แม่ป๋ ุยหรือป๋ ุยเดี่ยว และป๋ ุยผสม 2.1 แม่ป๋ ุย ได้แก่ ป๋ ุยพวกแอมโมเนียมซัลเฟต โพแทสเซียมคลอไรด์ ฯลฯ ซ่ึงเป็ นสารประกอบทางเคมี มีธาตุอาหารป๋ ุยคือ N หรือ P หรือ K เป็นองคป์ ระกอบอยดู่ ว้ ยหน่ึงหรือสองธาตุ แลว้ แต่ชนิดของสารประกอบที่เป็นแมป่ ๋ ุยน้นั ๆ มีปริมาณของธาตุอาหารของพชื คงท่ี 2.2 ป๋ ุยผสม ไดแ้ ก่ ป๋ ุยท่ีมีการนาํ เอาแม่ป๋ ุยหลายๆชนิดมารวมกนั เพ่ือให้ป๋ ุยที่ผสมไดม้ ีปริมาณและสัดส่วนของธาตุอาหาร N P และ K ตามท่ีตอ้ งการ ท้งั น้ีเพ่ือใหไ้ ดป้ ๋ ุยท่ีมีสูตรหรือเกรดป๋ ยุ เหมาะที่จะใชก้ บั พชื และดินที่แตกต่างกนั ป๋ ุยผสมน้ีจะมีขายอยใู่ นทอ้ งตลาดทว่ั ไปเพราะนิยมใช้กนั มาก ปัจจุบนั เทคโนโลยใี นการทาํ ป๋ ุยผสมไดพ้ ฒั นาไปไกลมาก สามารถผลิตป๋ ุยผสมใหเ้ ขา้ เป็ นเน้ือเดียวกนั อย่างสม่าํ เสมอ มีการป้ันเป็ นเม็ดขนาดสม่าํ เสมอสะดวกในการใส่ลงไปในไร่นา ป๋ ุยพวกน้ีเกบ็ ไวน้ านๆ จะไม่จบั กนั เป็นกอ้ นแขง็ สะดวกแก่การใช้ ป๋ ุยเคมีท่ีซ้ือขายกนั ในประเทศไทยมีมากมายหลายชนิด มีท้งั ที่เป็ นผลึก เม็ด เกล็ด และผงซ่ึงแลว้ แต่ผผู้ ลิตจะผลิตขายตามความตอ้ งการของตลาดซ่ึงใหธ้ าตุอาหารหลกั ไม่ เหมือนกนั ในป๋ ุย
-259-แต่ละชนิด นกั วิชาการจึงไดกาํ หนด “เกรดป๋ ุย” ข้ึนเพื่อประโยชน์ของผูใ้ ช้ ผขู้ าย และผคู้ วบคุมให้เป็ นไปตามกฎหมายหรือระเบียบที่วางไว้ เกรดป๋ ุยจะบอกใหท้ ราบว่าป๋ ุยน้นั จะใหธ้ าตุอาหารหลกัชนิดใด และธาตุอาหารชนิดน้นั จะมีปริมาณที่เป็ นประโยชน์ต่อพืชเป็ นปริมาณเท่าใด ทาํ ให้ผูใ้ ช้สามารถเลือกใชใ้ หเ้ หมาะสมตามชนิดของพืชท่ีปลูก เกรดป๋ ุยน้นั ประกอบดว้ ยเลข 3 ชุด แต่ละชุดจะมีเครื่องหมาย “-” แยกตวั เลขไว้ ตวั เลขแต่ละชุดจะเป็นตวั เลขจาํ นวนเตม็ ไม่มีจุดทศนิยม เช่น ป๋ ุยเกรด 46-0-0, 20-20-0, 13-13-21 เป็นตน้ ตวั เลขชุดแรก บอกปริมาณเป็นร้อยละของธาตุไนโตรเจน (N) ท้งั หมด ในป๋ ุย 100 กิโลกรัม ตวั เลขชุดท่ีสอง บอกปริมาณเป็นร้อยละของธาตฟุ อสฟอรัสในรูปของฟอสเฟต (PO4) ที่เป็นประโยชน์ (available P2O5) ในป๋ ุยหมกั 100 กิโลกรัม ตวั เลขชุดที่สาม บอกปริมาณเป็นร้อยละของธาตุโพแทสเซียมในรูปของโพแทสที่ละลายน้าํ(water soluble K2O) ในป๋ ุยหมกั 100 กิโลกรัม ข้อด-ี ข้อเสียของป๋ ุยอนิ ทรีย์และป๋ ุยเคมี 1. ป๋ ยุ อนิ ทรีย์ ข้อดี 1. ช่วยปรับปรุงดินใหด้ ีข้ึน ทาํ ใหด้ ินร่วนซุย น้าํ และอากาศถ่ายเทสะดวก 2. อยใู่ นดินไดน้ าน และค่อยๆ ปลดปลอ่ ยธาตุอาหารพชื อยา่ งชา้ ๆ 3. เมื่อใชร้ ่วมกบั ป๋ ุยเคมีจะช่วยเสริมคุณภาพของป๋ ุยเคมีใหด้ ีข้ึน 4. ส่งเสริมใหจ้ ุลินทรียใ์ นดินทาํ งานอยา่ งมีประสิทธิภาพมากข้ึน ข้อเสีย 1. มีปริมาณธาตุอาหารพชื ต่าํ 2. ใชเ้ วลานานในการปลดปล่อยธาตุอาหารใหแ้ ก่พชื 3. ราคาแพงกวา่ ป๋ ุยเคมี เมื่อเทียบกบั ราคาต่อหน่วยน้าํ หนกั ของธาตอุ าหาร 4. มีจาํ นวนจาํ กดั ไม่สามารถหาซ้ือในปริมาณมากๆได้ 2. ป๋ ุยเคมี ข้อดี 1. มีปริมาณธาตอุ าหารต่อหน่วยน้าํ หนกั ของป๋ ุยสูง จึงใชใ้ นปริมาณเพยี งเลก็ นอ้ ย 2. ราคาถกู สะดวกในการเกบ็ รักษาและการขนส่ง 3. หาซ้ือไดง้ ่าย เพราะสามารถผลิตจากโรงงาน 4. ใหธ้ าตุอาหารแก่พืชไดเ้ ร็ว ข้อเสีย 1. ไม่มีคุณสมบตั ิในการปรับปรุงดิน ไม่ทาํ ใหด้ ินร่วนซุยเหมือนป๋ ุยอินทรีย์ 2. ป๋ ุยไนโตรเจนในรูปแอมโมเนียม ถา้ ใชป้ ริมาณมาก และติดต่อกนั เป็ นระยะ เวลานานๆ จะทาํ ใหด้ ินเป็นกรดเพม่ิ ข้ึน 3. ถา้ ใชใ้ นอตั ราที่สูงเกินไปอาจเป็นอนั ตรายต่อพชื 4. ผใู้ ชต้ อ้ งมีความรู้เก่ียวกบั ป๋ ุยเคมีพอสมควร มิฉะน้นั อาจจะเกิดผลเสียหายมาก
-260- ป๋ ยุ ไนโตรเจน ป๋ ุยไนโตรเจนท่ีใชอ้ าจจดั เป็ น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ ป๋ ุยไนโตรเจนประเภทอินทรีย์ และป๋ ุยไนโตรเจนประเภทอนินทรีย์ หรือป๋ ุยเคมี 1.ป๋ ุยไนโตรเจนประเภทอินทรีย์ หมายถึง ป๋ ุยที่ไดจ้ ากส่ิงท่ีมีชีวิต เกิดการเน่าเปื่ อยผุพงั ไปเช่น ป๋ ุยหมกั ป๋ ุยคอก ป๋ ุยเทศบาล เป็ นตน้ ป๋ ุยประเภทน้ีจะมีปริมาณธาตุไนโตรเจนต่าํ ฉะน้นั ในการใชแ้ ต่ละคร้ังตอ้ งใชใ้ นปริมาณมาก แต่มีความจาํ เป็นตอ้ งใชเ้ พราะใหป้ ระโยชนใ์ นการปรับปรุงดินใหโ้ ปร่ง ร่วนซุย ซ่ึงเป็นสมบตั ิทางกายภาพท่ีสาํ คญั ของดินที่พชื ตอ้ งการ 2. ป๋ ุยไนโตรเจนประเภทอนินทรีย์หรือป๋ ุยเคมี ส่วนใหญ่ไดจ้ ากการสังเคราะห์ทางเคมีปัจจุบนั นิยมใชก้ นั อยา่ งแพร่หลายเพอื่ เพม่ิ ผลผลิตทางการเกษตร แบ่งเป็นหลายประเภท ไดแ้ ก่ 2.1 ป๋ ุยแอมโมเนีย (NH3) หรือ anhydrous ammonia หรือ liquid ammonia (แอมโมเนียมเหลว) มีไนโตรเจนท้งั หมด 82% เป็นป๋ ุยที่มีปริมาณไนโตรเจนสูงที่สุด 2.2 ป๋ ยุ ยูเรีย (CO(NH2)2) เป็ นเมด็ กลมสีขาว มีไนโตรเจนสูงรองจากป๋ ุยแอมโมเนีย คือ มีไนโตรเจนท้งั หมด 46% มีสมบตั ิดูดความช้ืนไดง้ ่าย 2.3 ป๋ ยุ แอมโมเนียมไนเตรต (NH4NO3) มีไนโตรเจนท้งั หมด 35% 2.4 ป๋ ุยแอมโมเนียมซัลเฟต (NH4)2SO4 มีไนโตรเจนท้งั หมด 21% 2.5 ป๋ ยุ แอมโมเนียมคลอไรด์ (NH4Cl) มีไนโตรเจนท้งั หมด 24-26% 2.6 ป๋ ุยโซเดยี มไนเตรต (NaNO3) มีไนโตรเจนท้งั หมด 16% 2.7 ป๋ ุยแคลเซียมไซยาไนด์ (CaCN2) มีไนโตรเจนท้งั หมด 21-22 % เป็ นอนั ตรายต่อคนและสัตว์ เวลาใชต้ อ้ งใชอ้ ยา่ งระมดั ระวงั อาจใชเ้ ป็ นยาฆ่าหญา้ และฉีดพ่นใหใ้ บฝ้ ายร่วงก่อนการเกบ็ เก่ียวไดด้ ว้ ย 2.8 ป๋ ุยแคลเซียมไนเตรต (Ca(NO3)2) มีไนโตรเจนท้งั หมด 15.5% 2.9 ป๋ ยุ แอมโมเนียมไนเตรตซัลเฟต (NH4 NO3 .(NH4)2SO4) มีไนโตรเจนท้งั หมด 30% 2.10 ป๋ ุยไนโตรเจนอื่นๆ เช่น ป๋ ุยแอมโมเนียมฟอสเฟต ป๋ ุยแอมโมเนียมฟอสเฟต-ซลั เฟตป๋ ยุ ยเู รีย-ซลั เฟอร์ ป๋ ุยยเู รีย-ฟอสเฟต เป็นตน้ ปกติธาตุไนโตรเจนในดินมีอยนู่ อ้ ยมาก ส่วนใหญ่เป็ นส่วนผสมอยใู่ นอากาศ ซ่ึงมีธาตุน้ีอยู่ถึง 78% ของปริมาณอากาศท้งั หมดที่ห่อหุม้ โลก โดยอย่ใู นรูปของโมเลกุลไนโตรเจน (N2) ซ่ึงพืชส่วนใหญ่ไม่สามารถนาํ มาใชไ้ ดโ้ ดยตรง นอกจากพืชตระกูลถวั่ เท่าน้นั ดงั น้นั ไนโตรเจนจะถูกเปล่ียนใหอ้ ยใู่ นรูปสารประกอบอนินทรียเ์ สียก่อน เช่น ในรูปของไนเตรต (NO3-) หรือแอมโมเนีย(NH4+) จึงจะนาํ ไปใชเ้ ป็นป๋ ุยได้ กรรมวิธีการผลิตป๋ ุยไนโตรเจน โรงงานอุตสาหกรรมผลิตป๋ ุยสามารถใชไ้ นโตรเจนจากอากาศมาผลิตเป็ นป๋ ุยไนโตรเจน ในที่น้ีจะเนน้ การผลิตป๋ ุยแอมโมเนียมซลั เฟต ((NH4)2SO4) และป๋ ยุ ยเู รีย (NH2CONH2) ป๋ ุย (NH4)2SO4 หรือป๋ ุยขาว เตรียมไดจ้ ากปฏิกิริยาระหวา่ งแก๊ส NH3 และสารละลาย H2SO4 2NH3 (g) + H2SO4 (aq) → (NH4)2SO4 (s)
-261- การผลติ ป๋ ุยยูเรีย (NH2CONH2) เตรียมไดจ้ ากปฏิกิริยาระหว่างแก๊ส NH3 กบั แก๊สCO2 โดยใชอ้ ุณหภูมิประมาณ 180 - 210องศาเซลเซียส และความดนั 140 - 250 บรรยากาศ จะไดแ้ อมโมเนียมคาร์บาเมต (NH2CONH4) กบัน้าํ ดงั สมการ 2NH3 (g) + CO2 (g) → NH2CONH4 (aq) NH2CONH4 (aq) → NH2CONH2 (aq) + H2O (l) NH3 กบั CO2 เตรียมไดจ้ ากก๊าซธรรมชาติ NH3 เตรียมจาก N2 และ H2 ในอากาศ โดยนาํ อากาศมากลนั่ ลาํ ดบั ส่วน คือ ลดอุณหภูมิลงมากๆ พร้อมกบั เพมิ่ ความดนั จนอากาศกลายเป็นของเหลว เริ่มตน้ เตรียม N2 จากอากาศโดยกระบวนการ liquefaction คือ ทาํ ให้อากาศกลายเป็ นของเหลวท้งั หมดก่อนโดยการลดอณุ หภมู ิลงมากๆ และเพม่ิ ความดนั สูงๆ จากน้นั นาํ อากาศเหลวซ่ึงมี N2 และ O2 เป็ นส่วนใหญ่มากลนั่ ลาํ ดบั ส่วนแยกออกจากกนั N2 ซ่ึงมีจุดเดือดต่าํ กว่า O2 จะแยกออกมาก่อนแลว้ O2 จึงกลนั่ ออกมา ภายหลงั การเตรียม H2 ในกรณีที่มีก๊าซปิ โตรเลียมหรือก๊าซธรรมชาติ โดยนาํ O2 ที่ไดจ้ ากการกลนั่ลาํ ดบั ส่วนอากาศมาทาํ ปฏิกิริยาดงั สมการ โดยใชภ้ าวะที่เหมาะสมและใช้ Niเป็นตวั เร่งปฏิกิริยา จะได้ H2 และCO2 ซ่ึงเรียกรวมกนั วา่ water gas 2CH4 (g) + O2 (g) --Ni-- → 2CO (g) + 4H2 (g) หรืออาจใชไ้ อน้าํ ทาํ ปฏิกิริยากบั ก๊าซ CH4 โดยตรง จะไดก้ ๊าซ CO และH2 เช่นเดียวกนั CH4 (g) + H2O (g) ---Ni- → CO (g) + 3H2 (g)\ เมื่อแยกก๊าซ H2 ออกจากก๊าซผสมแลว้ จึงนาํ ก๊าซ COที่เหลือไปทาํ ปฏิกิริยากบั ก๊าซ CH4 อีกภายใตอ้ ณุ หภมู ิสูง และมีตวั เร่งปฏิกิริยาเหมาะสม จะไดก้ า๊ ซ CO2 และH2 FeO,Cr2O3CH4 (g) + CO (g) →400°C CO2 (g) + H2 (g) ก๊าซผสมท้งั หมด (CO+H2) สามารถแยกออกจากกนั ไดโ้ ดยผ่านเขา้ ไปในหอคอยท่ีมีน้าํ พ่นลงมา กา๊ ซ CO2 ละลายน้าํ ได้ เกิดเป็ นกรด H2CO3 ไหลออกทางส่วนล่างของหอคอยพร้อมกบั น้าํ CO2 (g) + H2O (l) → H2CO3 (aq) สําหรับก๊าซ H2 ซ่ึงไม่ละลายน้ําจะผ่านข้ึนไปออกทางส่วนบนของหอคอย เก็บไวท้ าํปฏิกิริยากบั N2 เพอื่ เตรียมกา๊ ซ NH3 ต่อไป สาํ หรับกรด H2CO3 นาํ ไปแยกสลายใหก้ ลบั มาเป็ นกา๊ ซ CO2ได้ โดยนาํ H2CO3 ไปลดความดนั และเพ่มิ อณุ หภูมิ H2CO3 (aq) ลดความดนั /เพม่ิ อุณหภูมิ CO2 (g) + H2O (l) ก๊าซ N2 ที่เตรียมจากอากาศ และ H2 ที่ไดจ้ ากก๊าซธรรมชาตินาํ มาทาํ ปฏิกิริยากนั จะได้ NH3เนื่องจากเป็ นปฏิกิริยาที่มีภาวะสมดุลจึงต้องเลือกภาวะที่เหมาะสมเพื่อให้ได้ก๊าซ มากท่ีสุดโดยทวั่ ๆไปใชอ้ ุณหภมู ิประมาณ 300 องศาเซลเซียส 350 บรรยากาศ และใช้ เป็นตวั เร่งปฏิกิริยา
-262- เมื่อนาํ กา๊ ซ NH3ไปทาํ ปฏิกิริยากบั กา๊ ซ CO2 จะไดป้ ๋ ุยยเู รีย CH3 (g) + CO2 (g) → NH2CONH2 (s) + H2O (l) นอกจากน้ี ถา้ ใชถ้ ่านหินลิกไนตเ์ ป็ นวตั ถุดิบแทนก๊าซธรรมชาติ จะเตรียม CO2 และ H2 ได้โดยการเผารวมกบั O2 จะได้ CO2 9.4%,CO 59.9%, H2 28.6% และกา๊ ซอ่ืนๆ 2.1% เม่ือแยกก๊าซอ่ืนๆท่ีไม่ตอ้ งการ เช่น H2S และNO ออกไปแลว้ จึงทาํ ให้ CO กลายเป็ นCO2โดยนาํ ก๊าซผสมไปทาํ ปฏิกิริยากบั ไอน้าํ ท่ีความดนั สูงๆ และมีตวั เร่งปฏิกิริยาที่เหมาะสม CO จะรวมตวั กบั H2O ไดเ้ ป็นCO2 และ H2 หลงั จากไดก้ ๊าซผสม CO2 และ H2 แลว้ กระบวนการต่อๆไป สาํ หรับเตรียมป๋ ุยยเู รีย จะเหมือนกบั กรณีที่ใชก้ ๊าซธรรมชาติเป็นวตั ถุดิบ เห็นไดว้ ่า เน่ืองจากไนโตรเจนเป็ นธาตุอาหารที่สาํ คญั ต่อยางพารา โดยที่ยางพาราตอ้ งการปริมาณไนโตรเจนมากกว่าธาตุอื่นๆ เพ่ือการเจริญเติบโต แต่อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีการจดั การสวนยางสาํ หรับการผลิตเน้ือไมย้ งั ไม่มีการศึกษาอยา่ งเฉพาะเจาะจง ดงั น้นั จึงควรจะไดม้ ีการศึกษาการตอบสนองของป๋ ุยเคมีในส่วนของธาตุไนโตรเจนที่มีผลต่อการผลิตเน้ือไมต้ ่อไป ซ่ึงในงานวิจยัป๋ ุยเคมี 46-0-0 ใส่ป๋ ุยไนโตรเจน 3 ระดบั คือ 10%N, 20%N และ 30%N จารป๋ ุยยางเปิ ดกรีด ระเบียบวธิ ีการวจิ ยัอปุ กรณ์ 1. ยางพนั ธุ์ สถาบนั วจิ ยั ยาง 401 และสถาบนั วจิ ยั ยาง 402 2. อปุ กรณ์วสั ดุการเกษตร ไดแ้ ก่ ป๋ ุยเคมี 46-0-0 , 18-46-0 และ0-0-60 และป๋ ุยอินทรีย์ 3. อุปกรณ์คอมพวิ เตอร์ เช่น แผน่ บนั ทึกขอ้ มลู กระดาษบนั ทึกขอ้ มูล 4. สารเคมีกาํ จดั วชั พชืวธิ ีการ 1. วางแผนการทดลองแบบ Split plot design จาํ นวน 3 ซ้าํ มีพนั ธุ์ยางเป็น Main plotและอตั ราการใชป้ ๋ ุยไนโตรเจนเป็น Sub plot 2. ปลูกยางเม่ือวนั ที่ 1 มิถุนายน 2548 พนั ธุ์สถาบนั วิจยั ยาง 401 และสถาบนั วิจยั ยาง 402ระยะปลูก 4 x 4 เมตร ในพ้นื ที่ 18 ไร่ โดยปลกู ยางพนั ธุ์ละ 7 ไร่ ใส่ป๋ ุยหินฟอสเฟตรองกน้ หลุม 170กรัม (25%Total P2O5 )/หลุม จาํ นวนตน้ ทดสอบ 520 ตน้ รวมเมื่อรวมตน้ การ์ดโร พนั ธุ์ PB 235ดว้ ยเป็นจาํ นวนท้งั สิ้น 1,144 ตน้ การกาํ จดั วชั พชื และดแู ลรักษาตามคาํ แนะนาํ ของสถาบนั วจิ ยั ยาง 3. ใชอ้ ตั ราป๋ ุยไนโตรเจน 3 ระดบั คือ 10%N, 20%N และ 30%N ขณะท่ีทุกระดบั ใส่ป๋ ุยฟอสฟอรัส 10%P2O5 และป๋ ยุ โพแทสเซียม 12%K2O 4. เกบ็ ขอ้ มูลการเจริญเติบโต (Girth) ในทุก 6 เดือน 5. วเิ คราะห์สรุปผล
-263- เวลาและสถานท่ีระยะเวลา ตุลาคม 2547 - กนั ยายน 2560สถานที่ดาํ เนินการ ศนู ยว์ จิ ยั ยางหนองคาย จ.หนองคาย ผลการทดลองและวจิ ารณ์ ผลการทดลองในช่วงอายุ 1 ปี แรก ต้งั แต่เดือนสิงหาคม 2547 ถึงเดือนกรกฎาคม 2547 ไดม้ ีการบนั ทึกขอ้ มูลการเจริญเติบโตของตน้ ยางในแต่ละวิธีการ โดยการวดั ขนาดเส้นผ่าศนู ยก์ ลางลาํตน้ ที่ความสูงระดบั 10 เซนติเมตร เหนือจุดแตกตา และความสูงของลาํ ตน้ พบวา่ ตน้ ยางมีขนาดเส้นผ่าศูนยก์ ลางลาํ ตน้ ที่ความสูงระดบั 10 เซนติเมตรเหนือพ้ืนดินเฉล่ีย 2.24 เซนติเมตร และมีความสูงของลาํ ตน้ เฉลี่ย 236.81 เซนติเมตร ในพนั ธุ์สถาบนั วิจยั ยาง 401 อตั ราป๋ ุยไนโตรเจนที่30%N มีขนาดเสน้ ผา่ ศูนยก์ ลางลาํ ตน้ ที่ความสูงระดบั 10 เซนติเมตร เหนือพ้ืนดินและความสูงของลาํ ตน้ มากท่ีสุดคือเฉล่ีย 2.51 เซนติเมตรและ 230.24 เซนติเมตร ตามลาํ ดบั ส่วนในพนั ธุ์สถาบนั วิจยัยาง 402 (ฉะเชิงเทรา 50) อตั ราป๋ ุยไนโตรเจนที่ 20%N มีขนาดเส้นผ่าศูนยก์ ลางลาํ ตน้ ที่ความสูงระดบั 10 เซนติเมตร เหนือพ้ืนดินและความสูงของลาํ ตน้ มากท่ีสุดเฉล่ีย 4.24 เซนติเมตรและ273.77 เซนติเมตร ตามลาํ ดบั แต่เม่ือนาํ มาทาํ การวิเคราะห์ทางสถิติ พบว่า การเจริญเติบโตของพนั ธุ์ยางท้งั สองพนั ธุ์ และอตั ราป๋ ุยไนโตรเจนที่ใหไ้ ม่มีความแตกต่างทางสถิติ ดงั ตารางที่ 1 หลงั จากตน้ ยางอายุ 1 ปี ไดใ้ ชก้ ารเกบ็ ขอ้ มูลความเจริญเติบโต โดยวดั เส้นรอบลาํ ตน้ ท่ีระดบัความสูง 170 เซนติเมตร โดนเก็บขอ้ มูลโดยการวดั ความเจริญเติบโตทุก 6 เดือน ส่วน จาํ นวนป๋ ุยท่ีใชใ้ นแต่ละอตั รา เพ่ิมตามคาํ แนะนาํ การใชป้ ๋ ุยของสถาบนั วิจยั ยาง ซ่ึงผลการศึกษาเมื่อยางอายุ 2 ปี5 เดือน โดยการเกบ็ ขอ้ มูลความเจริญเติบโตที่ตน้ ขอ้ มูลโดยวดั เส้นรอบลาํ ตน้ ท่ีระดบั ความสูง 170เซนติเมตร เหนือพ้ืนดิน พบวา่ ตน้ ยางมีขนาดเสน้ รอบลาํ ตน้ ที่ระดบั ความสูง 170 เซนติเมตร เฉล่ีย12.35 เซนติเมตร โดยที่ในพนั ธุ์สถาบนั วจิ ยั ยาง 401 อตั ราป๋ ุยไนโตรเจนที่ 30%N มีขนาดของลาํ ตน้มากท่ีสุดคือเฉล่ีย 13.3 เซนติเมตร ส่วนในพนั ธุ์สถาบนั วิจยั ยาง 402 อตั ราป๋ ุยไนโตรเจนท่ี 20%N มีขนาดของลาํ ตน้ มากที่สุดคือ เฉลี่ย 12.4 เซนติเมตร และเม่ือทาํ การวิเคราะห์ทางสถิติพบวา่ การเจริญเติบโตของยางท้งั สองพนั ธุ์และอตั ราป๋ ุยไนโตรเจนท่ีให้ ไม่มีความแตกต่างกนั ทางสถิติ จากน้นั มีการปรับจาํ นวนของป๋ ุยเพม่ิ ตามอายยุ างที่เพ่มิ ข้ึนตามอายยุ างในปี ท่ี 3 เมื่อมีการเกบ็ขอ้ มูลความเจริญเติบโตที่ตน้ ขอ้ มูลโดยวดั เส้นรอบลาํ ตน้ ที่ระดบั ความสูง 170 เซนติเมตร เหนือพ้นื ดิน พบวา่ ตน้ ยางมีขนาดเสน้ รอบลาํ ตน้ ที่ระดบั ความสูง 170 เซนติเมตร เฉล่ีย 14.87 เซนติเมตรโดยในพนั ธุ์สถาบนั วจิ ยั ยาง 401 อตั ราป๋ ุยไนโตรเจนที่ 30%N มีขนาดของลาํ ตน้ มากที่สุดคือเฉลี่ย13.91 เซนติเมตร ส่วนในพนั ธุ์สถาบนั วิจยั ยาง 402 อตั ราป๋ ุยไนโตรเจนท่ี 20%N มีขนาดของลาํ ตน้
-264-มากที่สุดคือ เฉล่ีย 16.2 เซนติเมตร เมื่อทาํ การวิเคราะห์ทางสถิติพบวา่ การเจริญเติบโตของยางท้งัสองพนั ธุ์และอตั ราป๋ ุยไนโตรเจนท่ีให้ ไม่มีความแตกต่างกนั ทางสถิติ ดงั ตารางที่ 2 ผลการทดลองเม่ือตน้ ยางอายุ 4 ปี เมื่อมีการเก็บขอ้ มูลความเจริญเติบโตที่ตน้ ขอ้ มูลโดยวดัเส้นรอบลาํ ตน้ ท่ีระดบั ความสูง 170 เซนติเมตร เหนือพ้นื ดิน พบวา่ ตน้ ยางมีขนาดเส้นรอบลาํ ตน้ ท่ีระดบั ความสูง 170 เซนติเมตร เฉลี่ย 21.19 เซนติเมตร โดยในพนั ธุ์สถาบนั วิจยั ยาง 401 อตั ราป๋ ุยไนโตรเจนท่ี 30%N มีขนาดของลาํ ตน้ มากที่สุดคือเฉล่ีย 20.21 เซนติเมตรส่วนในพนั ธุ์สถาบนั วิจยัยาง 402 อตั ราป๋ ุยไนโตรเจนท่ี 20%N มีขนาดของลาํ ตน้ มากที่สุดคือ เฉล่ีย 21.87 เซนติเมตร เมื่อทาํการวเิ คราะห์ทางสถิติพบวา่ การเจริญเติบโตของยางท้งั สองพนั ธุ์และอตั ราป๋ ุยไนโตรเจนท่ีให้ ไม่มีความแตกตา่ งกนั ทางสถิติ ดงั ตารางที่ 3ตารางที่ 1 ขนาดเสน้ ผา่ ศนู ยก์ ลางลาํ ตน้ ท่ีความสูงระดบั 10 เซนติเมตร เหนือพ้นื ดิน ของพนั ธุย์ าง RRIT 401 และ RRIT 402 เมื่อใชร้ ะดบั ป๋ ยุ ไนโตรเจนต่างกนั 3 ระดบั ที่อายุ 1 ปี พนั ธ์ุ ระดบั ป๋ ุย ซํ้าท1ี่ ซํ้าที่2 ซํ้าท3ี่ รวม เฉล่ยี ไนโตรเจน (ซ.ม.) (ซ.ม.) (ซ.ม.) (Yi.k) (ซ.ม.)RRIT401(V1) 10%N(F1) 1.28 1.28 1.45 4.01 1.34 20%N(F2) 1.31 1.22 1.20 3.73 1.24 30%N(F3) 1.25 1.25 1.44 3.94 1.31 รวม 3.84 3.75 4.09RRIT402(V2) 10%N(F1) 1.19 1.04 1.2 3.43 1.14 20%N(F2) 1.19 1.23 1.09 3.51 1.17 30%N(F3) 1.16 1.14 1.18 3.48 1.16 รวม 3.54 3.41 3.47 grand mean = 1.22
-265-ตารางท่ี 2 ความเจริญเติบโตโดยวดั เส้นรอบลาํ ตน้ ท่ีระดบั ความสูง 170 เซนติเมตร เหนือพ้นื ดิน ของพนั ธุ์ยาง RRIT 401 และ RRIT 402 เม่ือใชร้ ะดบั ป๋ ยุ ไนโตรเจนต่างกนั 3 ระดบั ท่ี อายุ 3 ปี พนั ธ์ุ ระดบั ป๋ ุย ซํ้าท1ี่ ซํ้าที่2 ซํ้าท3่ี รวม เฉลยี่RRIT401(V1) ไนโตรเจน (ซ.ม.) (ซ.ม.) (ซ.ม.) (Yi.k) (ซ.ม.) 10.6 10.7 17.3 38.6 12.87RRIT402(V2) 10%N(F1) 10.3 15.2 15.9 41.4 13.80 20%N(F2) 15.8 13.2 16.2 45.2 15.07 30%N(F3) 12.24 13.03 16.45 41.72 13.91 รวม 14.1 15.0 15.5 44.6 14.87 16.3 16.7 17.1 50.1 16.70 10%N(F1) 15.6 16.6 15.5 47.7 15.90 20%N(F2) 30%N(F3) 15.33 16.08 16.05 47.46 15.82 รวมgrand mean = 14.87ตารางที่ 3 ความเจริญเติบโตโดยวดั เส้นรอบลาํ ตน้ ท่ีระดบั ความสูง 170 เซนติเมตร เหนือพ้นื ดิน ของพนั ธุย์ าง RRIT 401 และ RRIT 402 เมื่อใชร้ ะดบั ป๋ ยุ ไนโตรเจนต่างกนั 3 ระดบั ที่ อายุ 4 ปี พนั ธ์ุ ระดบั ป๋ ุย ซํ้าท1่ี ซํ้าท่2ี ซํ้าท่3ี ผลรวม เฉลยี่RRIT401(V1) ไนโตรเจน (ซ.ม.) (ซ.ม.) (ซ.ม.) (Yi.k) (ซ.ม.) 15.9 15.7 25.1 56.65 18.88 10%N(F1) 14.1 22.7 23.0 59.86 19.95 20%N(F2) 25.1 19.5 23.4 68.06 22.69 30%N(F3) 12.24 13.03 16.45 41.72 20.21RRIT402(V2) รวม 19.0 20.1 21.8 60.80 20.27 23.1 23.1 23.9 70.10 23.37 10%N(F1) 21.2 24.0 20.7 65.90 21.97 20%N(F2) 30%N(F3) 21.09 22.39 22.12 65.60 21.87 รวมgrand mean = 21.19
-266- ผลการทดลองเมื่อยางอายุ 5 ปี เม่ือมีการเก็บขอ้ มูลความเจริญเติบโตท่ีตน้ ขอ้ มูลโดยวดัเสน้ รอบลาํ ตน้ ท่ีระดบั ความสูง 170 เซนติเมตร เหนือพ้ืนดิน พบวา่ ตน้ ยางมีขนาดเส้นรอบลาํ ตน้ ที่ระดบั ความสูง 170 เซนติเมตร เฉลี่ย 26.61 เซนติเมตร โดยในพนั ธุ์สถาบนั วิจยั ยาง 401 อตั ราป๋ ุยไนโตรเจนท่ี 30%N มีขนาดของลาํ ตน้ มากที่สุดคือเฉลี่ย 26.15 เซนติเมตรส่วนในพนั ธุ์สถาบนั วิจยัยาง 402 อตั ราป๋ ุยไนโตรเจนที่ 20%N มีขนาดของลาํ ตน้ มากที่สุดคือเฉลี่ย 27.06 เซนติเมตร เม่ือทาํการวเิ คราะห์ทางสถิติพบวา่ การเจริญเติบโตของยางท้งั สองพนั ธุ์และอตั ราป๋ ุยไนโตรเจนท่ีให้ ไม่มีความแตกตา่ งกนั ทางสถิติ ดงั ตารางที่ 4ตารางที่ 4 ความเจริญเติบโตโดยวดั เส้นรอบลาํ ตน้ ที่ระดบั ความสูง 170 เซนติเมตร เหนือพ้นื ดิน ของพนั ธุ์ยาง RRIT 401 และ RRIT 402 เม่ือใชร้ ะดบั ป๋ ุยไนโตรเจนต่างกนั 3 ระดบั ท่ี อายุ 5 ปี พนั ธ์ุ ระดบั ป๋ ุย ซํ้าท1ี่ ซํ้าที่2 ซํ้าท่ี3 ผลรวม เฉลยี่RRIT401(V1) (ซ.ม.) (ซ.ม.) (ซ.ม.) (Yi.k) (ซ.ม.) ไนโตรเจน 19.2 19.2 31.9 70.22 23.41 18.1 30.0 29.9 78.03 26.01 10%N(F1) 32.0 26.2 28.9 87.14 29.05 20%N(F2) 30%N(F3) 23.09 25.14 30.24 78.46 26.15 21.9 24.8 27.3 74.08 24.69 รวม 28.2 28.8 29.7 86.70 28.90 25.6 30.3 26.9 82.80 27.60RRIT402(V2) 10%N(F1) 20%N(F2) 25.24 27.97 27.98 81.19 27.06 30%N(F3) รวมgrand mean = 26.61 ผลการทดลองเม่ือยางอายุ 6 ปี เม่ือมีการเก็บขอ้ มลู ความเจริญเติบโตท่ีตน้ ขอ้ มลู โดยวดั เส้นรอบลาํ ตน้ ที่ระดบั ความสูง 170 เซนติเมตร เหนือพ้ืนดิน พบว่า ตน้ ยางมีขนาดเส้นรอบลาํ ตน้ ที่ระดบั ความสูง 170 เซนติเมตร เฉลี่ย 32.72 เซนติเมตร โดยในพนั ธุ์สถาบนั วิจยั ยาง 401 อตั ราป๋ ุยไนโตรเจนท่ี 30%N มีขนาดของลาํ ตน้ มากที่สุดคือเฉล่ีย 33.10 เซนติเมตร ส่วนในพนั ธุ์สถาบนั วิจยัยาง 402 อตั ราป๋ ุยไนโตรเจนที่ 20%N มีขนาดของลาํ ตน้ มากท่ีสุดคือเฉลี่ย 32.34 เซนติเมตร เม่ือทาํการวเิ คราะห์ทางสถิติพบวา่ การเจริญเติบโตของยางท้งั สองพนั ธุ์และอตั ราป๋ ุยไนโตรเจนที่ให้ ไม่มีความแตกตา่ งกนั ทางสถิติ ดงั ตารางท่ี 5
-267-ตารางที่ 5 ความเจริญเติบโตโดยวดั เส้นรอบลาํ ตน้ ที่ระดบั ความสูง 170 เซนติเมตร เหนือพ้นื ดิน ของพนั ธุย์ าง RRIT 401 และ RRIT 402 เมื่อใชร้ ะดบั ป๋ ุยไนโตรเจนต่างกนั 3 ระดบั ท่ี อายุ 6 ปี พนั ธ์ุ ระดบั ป๋ ุย ซํ้าท1่ี ซํ้าท่2ี ซํ้าท3่ี ผลรวม เฉลยี่RRIT401(V1) (ซ.ม.) (ซ.ม.) (ซ.ม.) (Yi.k) (ซ.ม.) ไนโตรเจน 23.2 24.6 40.0 87.80 29.27 24.8 38.6 37.3 100.78 33.59 10%N(F1) 40.2 33.7 35.4 109.30 36.43 20%N(F2) 30%N(F3) 29.42 32.31 37.56 99.29 33.10 25.2 29.4 32.7 87.21 29.07 รวม 33.7 34.1 35.9 103.70 34.57 30.8 36.5 32.8 100.19 33.40RRIT402(V2) 10%N(F1) 20%N(F2) 29.91 33.34 33.79 97.03 32.34 30%N(F3) รวมgrand mean = 32.72 ผลการทดลองเมื่อยางอายุ 7 ปี เมื่อมีการเกบ็ ขอ้ มูลความเจริญเติบโตท่ีตน้ ขอ้ มูลโดยวดั เส้นรอบลาํ ตน้ ท่ีระดบั ความสูง 170 เซนติเมตร เหนือพ้ืนดิน พบว่า ตน้ ยางมีขนาดเส้นรอบลาํ ตน้ ท่ีระดบั ความสูง 170 เซนติเมตร เฉล่ีย 37.58 เซนติเมตร โดยในพนั ธุ์สถาบนั วิจยั ยาง 401 อตั ราป๋ ุยไนโตรเจนที่ 30%N มีขนาดของลาํ ตน้ มากท่ีสุดคือเฉล่ีย 38.51 เซนติเมตร ส่วนในพนั ธุ์สถาบนั วิจยัยาง 402 อตั ราป๋ ุยไนโตรเจนที่ 20%N มีขนาดของลาํ ตน้ มากท่ีสุดคือเฉล่ีย 36.64 เซนติเมตร เมื่อทาํการวเิ คราะห์ทางสถิติพบวา่ การเจริญเติบโตของยางท้งั สองพนั ธุ์และอตั ราป๋ ุยไนโตรเจนที่ให้ ไม่มีความแตกต่างกนั ทางสถิติ ดงั ตารางที่ 6 ผลการทดลองเมื่อยางอายุ 8 ปี เมื่อมีการเก็บขอ้ มลู ความเจริญเติบโตที่ตน้ ขอ้ มูลโดยวดั เส้นรอบลาํ ตน้ ท่ีระดบั ความสูง 170 เซนติเมตร เหนือพ้ืนดิน พบว่า ตน้ ยางมีขนาดเส้นรอบลาํ ตน้ ที่ระดบั ความสูง 170 เซนติเมตร เฉล่ีย 40.97 เซนติเมตร โดยในพนั ธุ์สถาบนั วิจยั ยาง 401 อตั ราป๋ ุยไนโตรเจนที่ 30%N มีขนาดของลาํ ตน้ มากท่ีสุดคือเฉลี่ย 42.18 เซนติเมตร ส่วนในพนั ธุ์สถาบนั วิจยัยาง 402 อตั ราป๋ ุยไนโตรเจนท่ี 20%N มีขนาดของลาํ ตน้ มากที่สุดคือเฉลี่ย 39.75 เซนติเมตร เมื่อทาํการวเิ คราะห์ทางสถิติพบวา่ การเจริญเติบโตของยางท้งั สองพนั ธุ์และอตั ราป๋ ุยไนโตรเจนที่ให้ ไม่มีความแตกต่างกนั ทางสถิติ ดงั ตารางท่ี 7
-268-ตารางที่ 6 ความเจริญเติบโตโดยวดั เส้นรอบลาํ ตน้ ที่ระดบั ความสูง 170 เซนติเมตร เหนือพ้นื ดิน ของพนั ธุ์ยาง RRIT 401 และ RRIT 402 เม่ือใชร้ ะดบั ป๋ ยุ ไนโตรเจนต่างกนั 3 ระดบั ท่ี อายุ 7 ปี พนั ธ์ุ ระดบั ป๋ ุย ซํ้าท1ี่ ซํ้าที่2 ซํ้าท3ี่ ผลรวม เฉลยี่RRIT401(V1) ไนโตรเจน (ซ.ม.) (ซ.ม.) (ซ.ม.) (Yi.k) (ซ.ม.) 29.5 30.3 44.6 104.33 34.78RRIT402(V2) 10%N(F1) 30.2 43.9 43.5 117.59 39.20 20%N(F2) 44.7 40.9 39.1 124.70 41.57 30%N(F3) 34.80 38.37 42.38 115.54 38.51 รวม 29.7 33.5 37.0 100.17 33.39 37.4 39.1 39.8 116.33 38.78 10%N(F1) 34.5 40.3 38.4 113.27 37.76 20%N(F2) 30%N(F3) 33.87 37.66 38.40 109.92 36.64 รวมgrand mean = 37.58ตารางที่ 7 ความเจริญเติบโตโดยวดั เสน้ รอบลาํ ตน้ ที่ระดบั ความสูง 170 เซนติเมตร เหนือพ้นื ดิน ของพนั ธุ์ยาง RRIT 401 และ RRIT 402 เมื่อใชร้ ะดบั ป๋ ุยไนโตรเจนต่างกนั 3 ระดบั ท่ี อายุ 8 ปี พนั ธ์ุ ระดบั ป๋ ุย ซํ้าท1่ี ซํ้าท2ี่ ซํ้าท3่ี ผลรวม เฉลย่ีRRIT401(V1) ไนโตรเจน (ซ.ม.) (ซ.ม.) (ซ.ม.) (Yi.k) (ซ.ม.) 33.0 34.8 47.2 114.98 38.33 10%N(F1) 34.0 47.3 47.1 128.43 42.81 20%N(F2) 47.4 45.0 43.9 136.24 45.41 30%N(F3) 38.11 42.37 46.07 126.55 42.18RRIT402(V2) รวม 33.5 36.9 38.8 109.17 36.39 41.6 42.9 42.4 126.90 42.30 10%N(F1) 38.2 42.3 41.1 121.67 40.56 20%N(F2) 30%N(F3) 37.76 40.70 40.78 119.25 39.75 รวมgrand mean = 40.97
-269- ผลการทดลองเมื่อยางอายุ 9 ปี เมื่อมีการเกบ็ ขอ้ มูลความเจริญเติบโตท่ีตน้ ขอ้ มูลโดยวดั เส้นรอบลาํ ตน้ ท่ีระดบั ความสูง 170 เซนติเมตร เหนือพ้ืนดิน พบว่า ตน้ ยางมีขนาดเส้นรอบลาํ ตน้ ท่ีระดบั ความสูง 170 เซนติเมตร เฉลี่ย 44.04 เซนติเมตร โดยในพนั ธุ์สถาบนั วิจยั ยาง 401 อตั ราป๋ ุยไนโตรเจนท่ี 30%N มีขนาดของลาํ ตน้ มากท่ีสุดคือเฉล่ีย 45.81 เซนติเมตร ส่วนในพนั ธุ์สถาบนั วิจยัยาง 402 อตั ราป๋ ุยไนโตรเจนที่ 20%N มีขนาดของลาํ ตน้ มากที่สุดคือเฉลี่ย 42.26 เซนติเมตร เม่ือทาํการวเิ คราะห์ทางสถิติพบวา่ การเจริญเติบโตของยางท้งั สองพนั ธุ์และอตั ราป๋ ุยไนโตรเจนที่ให้ ไม่มีความแตกตา่ งกนั ทางสถิติ ดงั ตารางที่ 8 ผลการทดลองเม่ือยางอายุ 10 ปี เม่ือมีการเก็บขอ้ มูลความเจริญเติบโตที่ตน้ ขอ้ มูลโดยวดัเสน้ รอบลาํ ตน้ ที่ระดบั ความสูง 170 เซนติเมตร เหนือพ้ืนดิน พบวา่ ตน้ ยางมีขนาดเส้นรอบลาํ ตน้ ท่ีระดบั ความสูง 170 เซนติเมตร เฉล่ีย 47.30 เซนติเมตร โดยในพนั ธุ์สถาบนั วิจยั ยาง 401 อตั ราป๋ ุยไนโตรเจนที่ 30%N มีขนาดของลาํ ตน้ มากท่ีสุดคือเฉล่ีย 49.70 เซนติเมตร ส่วนในพนั ธุ์สถาบนั วิจยัยาง 402 อตั ราป๋ ุยไนโตรเจนท่ี 20%N มีขนาดของลาํ ตน้ มากที่สุดคือเฉล่ีย 44.90 เซนติเมตร เมื่อทาํการวเิ คราะห์ทางสถิติพบวา่ การเจริญเติบโตของยางท้งั สองพนั ธุ์และอตั ราป๋ ุยไนโตรเจนท่ีให้ ไม่มีความแตกตา่ งกนั ทางสถิติ ดงั ตารางท่ี 9ตารางที่ 8 ความเจริญเติบโตโดยวดั เส้นรอบลาํ ตน้ ที่ระดบั ความสูง 170 เซนติเมตร เหนือพ้ืนดิน ของพนั ธุ์ยาง RRIT 401 และ RRIT 402 เมื่อใชร้ ะดบั ป๋ ุยไนโตรเจนต่างกนั 3 ระดบั ที่ อายุ 9 ปี พนั ธ์ุ ระดบั ป๋ ุย ซํ้าท1ี่ ซํ้าท่2ี ซํ้าท3่ี ผลรวม เฉลย่ีRRIT401(V1) ไนโตรเจน (ซ.ม.) (ซ.ม.) (ซ.ม.) (Yi.k) (ซ.ม.) 37.0 38.7 50.0 125.66 41.89RRIT402(V2) 10%N(F1) 38.4 50.6 49.9 138.89 46.30 20%N(F2) 52.3 48.2 47.2 147.71 49.24 30%N(F3) 42.57 45.81 49.05 137.42 45.81 รวม 35.7 40.3 41.9 117.81 39.27 43.4 44.3 45.4 133.06 44.35 10%N(F1) 41.0 44.6 44.0 129.51 43.17 20%N(F2) 30%N(F3) 40.00 43.03 43.76 126.79 42.26 รวมgrand mean = 44.04
-270-ตารางที่ 9 ความเจริญเติบโตโดยวดั เส้นรอบลาํ ตน้ ท่ีระดบั ความสูง 170 เซนติเมตร เหนือพ้ืนดิน ของพนั ธุ์ยาง RRIT 401 และ RRIT 402 เมื่อใชร้ ะดบั ป๋ ุยไนโตรเจนต่างกนั 3 ระดบั ที่ อายุ 10 ปี พนั ธ์ุ ระดบั ป๋ ุย ซํ้าท1่ี ซํ้าท่2ี ซํ้าท3ี่ ผลรวม เฉลยี่RRIT401(V1) ไนโตรเจน (ซ.ม.) (ซ.ม.) (ซ.ม.) (Yi.k) (ซ.ม.) 41.1 43.6 53.6 138.36 46.12RRIT402(V2) 10%N(F1) 43.3 53.9 53.6 150.68 50.23 20%N(F2) 56.0 51.7 50.6 158.28 52.76 30%N(F3) 46.79 49.73 52.60 149.11 49.70 รวม 38.7 43.4 44.8 126.90 42.30 45.5 46.4 48.2 140.01 46.67 10%N(F1) 43.5 47.0 46.7 137.17 45.72 20%N(F2) 30%N(F3) 42.56 45.58 46.55 134.69 44.90 รวมgrand mean = 47.30 ผลการทดลองเมื่อยางอายุ 11 ปี เมื่อมีการเก็บขอ้ มูลความเจริญเติบโตท่ีตน้ ขอ้ มูลโดยวดัเส้นรอบลาํ ตน้ ที่ระดบั ความสูง 170 เซนติเมตร เหนือพ้นื ดิน พบวา่ ตน้ ยางมีขนาดเส้นรอบลาํ ตน้ ที่ระดบั ความสูง 170 เซนติเมตร เฉล่ีย 37.58 เซนติเมตร โดยในพนั ธุ์สถาบนั วิจยั ยาง 401 อตั ราป๋ ุยไนโตรเจนที่ 30%N มีขนาดของลาํ ตน้ มากท่ีสุดคือเฉล่ีย 38.51 เซนติเมตร ส่วนในพนั ธุ์สถาบนั วิจยัยาง 402 อตั ราป๋ ุยไนโตรเจนที่ 20%N มีขนาดของลาํ ตน้ มากที่สุดคือเฉลี่ย 36.64 เซนติเมตร เมื่อทาํการวเิ คราะห์ทางสถิติพบวา่ การเจริญเติบโตของยางท้งั สองพนั ธุ์และอตั ราป๋ ุยไนโตรเจนที่ให้ ไม่มีความแตกตา่ งกนั ทางสถิติ ดงั ตารางที่ 10 ผลการทดลองเม่ือยางอายุ 12 ปี เมื่อมีการเก็บขอ้ มูลความเจริญเติบโตที่ตน้ ขอ้ มูลโดยวดัเสน้ รอบลาํ ตน้ ท่ีระดบั ความสูง 170 เซนติเมตร เหนือพ้นื ดิน พบวา่ ตน้ ยางมีขนาดเส้นรอบลาํ ตน้ ท่ีระดบั ความสูง 170 เซนติเมตร เฉล่ีย 50.61 เซนติเมตร โดยในพนั ธุ์สถาบนั วิจยั ยาง 401 อตั ราป๋ ุยไนโตรเจนที่ 30%N มีขนาดของลาํ ตน้ มากท่ีสุดคือเฉลี่ย 53.93 เซนติเมตร ส่วนในพนั ธุ์สถาบนั วิจยัยาง 402 อตั ราป๋ ุยไนโตรเจนท่ี 20%N มีขนาดของลาํ ตน้ มากท่ีสุดคือเฉล่ีย 47.30 เซนติเมตร เม่ือทาํการวเิ คราะห์ทางสถิติพบวา่ การเจริญเติบโตของยางท้งั สองพนั ธุ์และอตั ราป๋ ุยไนโตรเจนท่ีให้ ไม่มีความแตกตา่ งกนั ทางสถิติ ดงั ตารางท่ี 11
-271-ตารางที่ 10 ความเจริญเติบโตโดยวดั เส้นรอบลาํ ตน้ ที่ระดบั ความสูง 170 เซนติเมตร เหนือพ้ืนดิน ของพนั ธุ์ยาง RRIT 401 และ RRIT 402 เม่ือใชร้ ะดบั ป๋ ุยไนโตรเจนต่างกนั 3 ระดบั ที่ อายุ 11 ปี พนั ธ์ุ ระดบั ป๋ ุย ซํ้าท1ี่ ซํ้าที่2 ซํ้าท3่ี ผลรวม เฉลยี่RRIT401(V1) ไนโตรเจน (ซ.ม.) (ซ.ม.) (ซ.ม.) (Yi.k) (ซ.ม.) 43.4 47.3 55.1 145.91 48.64RRIT402(V2) 10%N(F1) 46.0 55.8 55.2 157.01 52.34 20%N(F2) 58.0 53.6 52.8 164.37 54.79 30%N(F3) 49.15 52.24 54.38 155.76 51.92 รวม 40.1 43.4 45.4 128.85 42.95 46.0 46.8 48.7 141.52 47.17 10%N(F1) 44.0 47.5 46.9 138.37 46.12 20%N(F2) 30%N(F3) 43.36 45.91 46.98 136.25 45.42 รวมgrand mean = 48.67ตารางที่ 11 ความเจริญเติบโตโดยวดั เส้นรอบลาํ ตน้ ที่ระดบั ความสูง 170 เซนติเมตร เหนือพ้นื ดิน ของพนั ธุ์ยาง RRIT 401 และ RRIT 402 เม่ือใชร้ ะดบั ป๋ ุยไนโตรเจนต่างกนั 3 ระดบั ท่ี อายุ 12 ปี พนั ธ์ุ ระดบั ป๋ ุย ซํ้าท1ี่ ซํ้าท่2ี ซํ้าท่3ี ผลรวม เฉลยี่RRIT401(V1) ไนโตรเจน (ซ.ม.) (ซ.ม.) (ซ.ม.) (Yi.k) (ซ.ม.) 45.1 49.4 57.1 151.68 50.56 10%N(F1) 48.6 58.0 57.2 163.70 54.57 20%N(F2) 60.2 55.5 54.3 169.95 56.65 30%N(F3) 51.30 54.28 56.20 161.78 53.93RRIT402(V2) รวม 42.4 45.1 47.3 134.76 44.92 47.4 48.7 50.6 146.74 48.91 10%N(F1) 45.6 49.9 48.6 144.19 48.06 20%N(F2) 30%N(F3) 45.16 47.89 48.85 141.90 47.30 รวมgrand mean = 50.61
-272- ผลการทดลองเมื่อยางอายุ 12 ปี 6 เดือน เม่ือมีการเก็บขอ้ มูลความเจริญเติบโตที่ตน้ ขอ้ มูลโดยวดั เส้นรอบลาํ ตน้ ท่ีระดบั ความสูง 170 เซนติเมตร เหนือพ้ืนดิน พบวา่ ตน้ ยางมีขนาดเส้นรอบลาํ ตน้ ท่ีระดบั ความสูง 170 เซนติเมตร เฉล่ีย 51.25 เซนติเมตร โดยในพนั ธุ์สถาบนั วิจยั ยาง 401อตั ราป๋ ุยไนโตรเจนที่ 30%N มีขนาดของลาํ ตน้ มากท่ีสุดคือเฉลี่ย 54.63 เซนติเมตร ส่วนในพนั ธุ์สถาบนั วิจยั ยาง 402 อตั ราป๋ ุยไนโตรเจนที่ 20%N มีขนาดของลาํ ตน้ มากที่สุดคือเฉล่ีย 47.86เซนติเมตร เมื่อทาํ การวิเคราะห์ทางสถิติพบว่า การเจริญเติบโตของยางท้งั สองพนั ธุ์และอตั ราป๋ ุยไนโตรเจนท่ีให้ ไม่มีความแตกต่างกนั ทางสถิติ ดงั ตารางที่ 12ตารางท่ี 12 ความเจริญเติบโตโดยวดั เส้นรอบลาํ ตน้ ที่ระดบั ความสูง 170 เซนติเมตร เหนือพ้นื ดิน ของพนั ธุ์ยาง RRIT 401 และRRIT 402เม่ือใชร้ ะดบั ป๋ ุยไนโตรเจนต่างกนั 3 ระดบั อายุ 12 ปี 6 เดือน พนั ธ์ุ ระดบั ป๋ ุย ซํ้าท1่ี ซํ้าท2ี่ ซํ้าที่3 ผลรวม เฉลยี่RRIT401(V1) ไนโตรเจน (ซ.ม.) (ซ.ม.) (ซ.ม.) (Yi.k) (ซ.ม.) 45.8 50.3 57.7 153.85 51.28RRIT402(V2) 10%N(F1) 49.2 58.7 57.9 165.78 55.26 20%N(F2) 60.9 56.1 55.1 172.08 57.36 30%N(F3) 51.96 55.04 56.90 163.90 54.63 รวม 43.2 45.8 47.8 136.81 45.60 48.5 49.0 51.1 148.57 49.52 10%N(F1) 46.3 49.8 49.3 145.35 48.45 20%N(F2) 30%N(F3) 45.98 48.17 49.42 143.57 47.86 รวมgrand mean = 51.25 สรุปผลการทดลองและคาํ แนะนํา จากผลการศึกษา พบวา่ ต้งั แต่การเกบ็ ขอ้ มูลช่วงแรก คือ 1 ปี ต้งั แต่เดือนสิงหาคม 2547 ถึงเดือนกรกฎาคม 2548 ซ่ึงไดม้ ีการบนั ทึกขอ้ มูลการเจริญเติบโตของตน้ ยางในแต่ละวิธีการ โดยการวดั ขนาดของเส้นผา่ ศูนยก์ ลางลาํ ตน้ ท่ีความสูงระดบั 10 เซนติเมตร เหนือพ้ืนดินและความสูงของลาํ ตน้ พบวา่ ตน้ ยางมีขนาดเส้นผา่ ศูนยก์ ลางลาํ ตน้ ที่ความสูงระดบั 10 เซนติเมตรเหนือพ้ืนดินเฉลี่ย 2.24 เซนติเมตร และมีความสูงของลาํ ตน้ เฉล่ีย 236.81 เซนติเมตร โดยท่ีในพนั ธุ์สถาบนั วจิ ยัยาง 402 (ฉะเชิงเทรา 50) อตั ราป๋ ุยไนโตรเจนที่ 20%N มีขนาดเส้นผ่าศูนยก์ ลางลาํ ตน้ ที่ความสูงระดบั 10 เซนติเมตร เหนือพ้ืนดินและความสูงของลาํ ตน้ มากท่ีสุดตามลาํ ดบั ส่วนพนั ธุ์สถาบนั วจิ ยัยาง 401 อตั ราป๋ ุยไนโตรเจนท่ี 30%N มีขนาดเสน้ ผา่ ศนู ยก์ ลางลาํ ตน้ ที่ความสูงระดบั 10 เซนติเมตร
-273-เหนือพ้นื ดินและความสูงของลาํ ตน้ มากที่สุดตามลาํ ดบั แตเ่ มื่อนาํ มาทาํ การวิเคราะห์ทางสถิติ พบวา่การเจริญเติบโตของพนั ธุ์ยางท้งั สองพนั ธุ์ และอตั ราป๋ ุยไนโตรเจนที่ให้ ไม่มีความแตกต่างทางสถิติและการเก็บขอ้ มลู ช่วงท่ีต่อมา คือในตน้ ยางอายุ 2 - 12 ปี โดยการเก็บขอ้ มูลความเจริญเติบโตท่ีตน้ขอ้ มลู โดยวดั เสน้ รอบลาํ ตน้ ท่ีระดบั ความสูง 170 เซนติเมตร เหนือพ้นื ดิน พบวา่ ตน้ ยางมีขนาดเส้นรอบลาํ ตน้ ท่ีระดบั ความสูง 170 เซนติเมตร โดยที่ในพนั ธุ์สถาบนั วิจยั ยาง 402 (ฉะเชิงเทรา 50)อตั ราป๋ ุยไนโตรเจนที่ 20%N มีขนาดของลาํ ตน้ เฉล่ียมากท่ีสุด ส่วนในพนั ธุ์สถาบนั วิจยั ยาง 401อตั ราป๋ ุยไนโตรเจนที่ 30%N มีขนาดของลาํ ตน้ มากที่สุด เมื่อทาํ การวิเคราะห์ทางสถิติพบว่า การเจริญเติบโตของยางท้งั สองพนั ธุ์และอตั ราป๋ ุยไนโตรเจนท่ีให้ ไม่มีความแตกต่างกนั ทางสถิติ และไม่พบปฏิกิริยาสัมพนั ธ์กนั แต่อยา่ งไรกด็ ีในปัจจุบนั มีแนวทางการใชป้ ๋ ุยยางตามค่าวเิ คราะห์ดิน ที่จะใส่ธาตุอาหารหลกัตามค่าวเิ คราะห์ดิน คือ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม แทนการใส่ป๋ ุยเคมีตามคาํ แนะนาํเดิมของสถาบนั วิจยั ยางในพ้ืนท่ีปลูกยางใหม่ คือสูตรก่อนเปิ ดกรีดในพ้ืนท่ีดินร่วนเหนียว คือสูตรN-P-K 20-10-12 (สถาบนั วิจยั ยาง, 2548) และในพ้นื ที่ดินร่วนทราย คือสูตร 20-10-17 (สถาบนั วิจยัยาง, 2553) ซ่ึงเราอาจนาํ การใชป้ ๋ ุยตามค่าวิเคราะห์ดิน สามารถนาํ มาขยายผลต่อการศึกษาเรื่องการจดั การป๋ ุยในพนั ธุ์ยางเพอื่ เน้ือไมใ้ นลาํ ดบั ต่อไปได้ การนําผลงานวจิ ยั ไปใช้ประโยชน์ สถาบนั วิจยั ยาง และหน่วยงานภาครัฐอ่ืนๆ สามารถนาํ ผลการศึกษาเป็ นขอ้ มูลสนบั สนุนเชิงนโยบาย ประกอบการพิจารณา กาํ หนดแนวทางกระบวนการพฒั นาคุณภาพการใส่ป๋ ุยยางพารากบัยางพนั ธุ์ที่ใหเ้ น้ือไมส้ ูง สาํ หรับการในเขตพ้นื ท่ีภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ ซ่ึงแนวโนม้ ของประเทศจะมีการส่งออกไมย้ างพารามากข้ึนในทุกปี เพราะเพราะมีความตอ้ งการใชข้ องตลาดโลกเพิม่ ข้ึน เอกสารอ้างองินุชนารถ กงั พิศดาร. 2554. คาํ แนะนาํ การใช้ป๋ ุยยางพารา. สถาบนั วิจัยยาง กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์. หนา้ 8-23.กรรณิการ์ ธีระวฒั นสุข ภทั รา กิณเรศ นภาวรรณ เลขะวิพฒั น์ พเยาว์ ร่มร่ืนสุขารมย์ กฤษดา สังขส์ ิงห์ รัชนี รัตนวงศ์ ศุภมิตร ลิมปิ ชยั นริสา จนั ทร์เรือง อารมณ์ โรจน์สุจิตร วิทยา พรหมมี กลั ยา ประพาน. 2554. คาํ แนะนาํ พนั ธุ์ยางปี 2554. สถาบนั วิจยั ยาง กรมวิชาการ เกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์. หนา้ 8-13.สถาบนั วจิ ยั ยาง. 2553. ขอ้ มลู วชิ าการยางพารา 2553. สถาบนั วจิ ยั ยาง กรมวชิ าการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์. หนา้ 58-61.นุชนารถ กงั พิศดาร. 2552. การจดั การสวนยางพาราอยา่ งยง่ั ยืน. สถาบนั วิจยั ยาง กรมวิชาการ เกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์. หนา้ 48-52.
โปรแกรมประยกุ ต์บนโทรศัพท์เคลอ่ื นทใ่ี นการคาํ นวณสูตรป๋ ุย ทเี่ หมาะสมสําหรับสวนยางพารา Mobile Application for Fertilizer Analysis of Rubber Farm นริสา จนั ทร์เรือง1 นิลวฒั น์ นิลสุวรรณ1 บทคดั ย่อ สถาบนั วิจยั ยางเป็ นหน่วยงานรับผิดชอบดา้ นการวิจยั ยางพาราซ่ึงเป็ นพืชเศรษฐกิจสําคญัของประเทศแต่ตลอดมาการเผยแพร่สารสนเทศของหน่วยงานยงั ไม่สามารถเขา้ ถึงเกษตรชาวสวนยางพาราไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพอนั เนื่องมาจากมีจุดบกพร่องหลายประการในการดาํ เนินการเผยแพร่สารสนเทศดงั กล่าว วตั ถุประสงคห์ ลกั ของงานวิจยั น้ีเพื่อแกป้ ัญหาการเผยแพร่สารสนเทศของหน่วยงานศูนยว์ ิจยั ยางสงขลาซ่ึงเป็ นหน่ึงในหน่วยงานของสถาบนั วิจยั ยาง โดยใชแ้ นวคิดลีนในการปรับปรุงกระบวนการเผยแพร่สารสนเทศดว้ ยการใชโ้ มบายแอพพลิเคชนั่ เป็นเครื่องมือ โดยการยกเอาโครงการการใชป้ ๋ ุยตามค่าวิเคราะห์ดินสาํ หรับยางพาราในการดาํ เนินการวิจยั ทดสอบแนวคิดลีน ผลที่ไดค้ ือโมบายแอพพลิเคชนั่ การคาํ นวณสูตรป๋ ุยท่ีเหมาะสมสาํ หรับสวนยางพารา ซ่ึงสามารถคาํ นวณสูตรป๋ ุยตามค่าวิเคราะห์ พร้อมท้งั เรียนรู้การใชป้ ๋ ุยตามคาํ แนะนาํ ของสถาบนั วิจยัยางได้ ซ่ึงระบบถูกพฒั นาดว้ ยแนวคิดการพฒั นาโมบายแอพพลิเคชนั่ ขา้ มแพลตฟอร์ม หรือไฮบริดแอพพลิเคชั่น ซ่ึงจากการประเมินความพึงพอใจของโมบายแอพพลิเคชั่นจากผูเ้ ชี่ยวชาญและผูใ้ ชง้ านอย่ใู นเชิงบวก ค่าความพึงพอใจอยู่ในระดบั ดี ค่าเฉลี่ยอยู่ท่ี 4.24 และ 4.47 ค่า S.D. อยู่ที่0.56 และ 0.62 ตามลาํ ดบั จากน้นั นาํ โมบายแอพพลิเคชนั่ ไปทดสอบแนวคิดลีนในการปรับปรุงกระบวนการในโครงการผลท่ีไดค้ ือสามารถปรับปรุงกระบวนการประสิทธิภาพไดถ้ ึง 36.4 %ดังน้ันโมบายแอพพลิเคช่ันท่ีถูกพฒั นาข้ึนน้ันถือได้ว่ามีประสิทธิภาพเป็ นที่ยอมรับ สามารถนาํ ไปใชใ้ นการคาํ นวณสูตรป๋ ุยที่เหมาะสมสําหรับสภาพแวดลอ้ มภายในสวนของเกษตรกร และสามารถนาํ ไปปรับปรุงประสิทธิภาพการเผยแพร่สารสนเทศไดจ้ ริง ท้งั ยงั นาํ ความรู้ที่ไดจ้ ากการวจิ ยั ไปใชต้ ่อยอดกบั การวจิ ยั อื่นได้คาํ สําคญั : ธาตุอาหารในดิน, ยางพารา, โมบายแอปพลิเคชนั่ , ป๋ ยุ ยางพารา, การใชป้ ๋ ุยตามค่าวเิ คราะห์1 ศนู ยว์ จิ ยั ยางสงขลา ต.คอหงส์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา 90110
-275- Abstract The Rubber Research Institute (RRI) has responsibility for research rubber. As we knownthat rubber is an important industrial drop in Thailand. However, the agriculturist cannot accessthe information effectively because of the fault in process of information dissemination. Themain objective in this research project is to solve the problem of information dissemination of theRubber Research Center that is one of the divisions of the RRI in Songkhla province. Leanconcept is used to improve the dissemination of information by applying of the mobileapplication. The researcher applied the project “The use of fertilizers based on soil analysis” fortesting lean concept. The result shown that this mobile application can calculate the fertilizerformulations accurately which is suitable for rubber plantation. Moreover, this application cancalculate the formula fertilizer analysis and learn how to use fertilizer as recommended by theRRI. The application was developed by the concept of the cross platform mobile application.After applying this application, the experts and the users rate their satisfaction in the positiveway, and the level of the satisfaction is good at the average scores of4.24 and 4.47, and S.D. =0.56 and 0.62, respectively. Furthermore, the mobile application was used to test the lean conceptfor improving the process in this project. The result shown that the process can be improvedeffectively up to 36.4%. Therefore, this mobile application is effective and acceptable forcalculating the formula fertilizer which is suitable for the environment in each area. In addition,this mobile application can improve the dissemination of information, appropriately, and theknowledge from this research can be developed for further research.Key Words : Para rubber, mobile application, fertilizer, formula fertilizer, soil analysis บทนํา เทคโนโลยีเขา้ มามีส่วนสาํ คญั ในการพฒั นาคุณภาพชีวิตมากข้ึน ส่วนหน่ึงของความสาํ คญัของเทคโนโลยีคือการลดกระบวนการในการทาํ งาน รวมถึงเทคโนโลยีผ่านอุปกรณ์ส่ือสารเคลื่อนท่ี คือสมาร์ทโฟน หรือ เทปเลต ซ่ึงผใู้ ชง้ านสามารถเขา้ ถึงขอ้ มูลสารสนเทศไดท้ ุกที่ทุกเวลาและยงั พกพาสะดวก มีระบบอินเตอร์เน็ตรองรับครอบคลุม ดว้ ยเทคโนโลยีที่สะดวกและเขา้ ถึงผใู้ ชง้ านน้ี ผวู้ จิ ยั จึงมีแนวคิดในการนาํ เทคโนโลยกี ารพฒั นาโปรแกรมประยกุ ตบ์ นโทรศพั ทเ์ คลื่อนที่หรือโมบายแอพพลิเคชน่ั (Mobile Application) มาช่วยในการเพ่ิมช่องทางในการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีของเกษตรกรซ่ึงจะช่วยยกระดบั การทาํ เกษตรกรรมโดยมีเทคโนโลยีสารสนเทศเป็ นสื่อกลางเนื่องจากยางพาราเป็ นพืชเศรษฐกิจหลกั ท่ีสําคญั ของประเทศ และประเทศไทยเป็ นผู้
-276-ส่งออกยางพาราเป็ นอนั ดบั 1 ของโลก มาต้งั แต่ปี 2534 ดว้ ยเล็งเห็นถึงความสําคญั ต่อการผลิตยางพาราในประเทศ กรมวชิ าการเกษตรและสถาบนั วจิ ยั ยางไดม้ ีการวจิ ยั เก่ียวกบั “การใชป้ ๋ ุยตามค่าวเิ คราะห์ดินสาํ หรับยางพารา” ข้ึน เพอื่ ใหเ้ กษตรกร สามารถใชส้ ูตรป๋ ุยท่ีแนะนาํ ใชใ้ นการบาํ รุงดินและปรับสภาพธาตุอาหารในดินให้เหมาะสมตามระยะเวลาเปิ ดกรีด, อายุของตน้ ยาง และตามสภาพพ้นื ท่ีของเกษตรกร ตามเขตปลูกยางน้นั ๆ แต่เนื่องจากการเผยแพร่สารสนเทศยงั เป็ นรูปแบบใชเ้ อกสารและการออกพ้นื ที่เพอ่ื ใหค้ าํ แนะนาํ จึงเป็ นการสิ้นเปลืองทรัพยากรบุคลากร งบประมาณและยงั ไม่สามารถเขา้ ถึงเกษตรกรไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพเท่าที่ควร จากประเด็นปัญหาดงั กล่าวผูว้ ิจยั เล็งเห็นว่าควรปรับปรุงวิธีการดาํ เนินการเดิมให้มีประสิทธิภาพย่ิงข้ึนโดยใชเ้ ทคโนโลยีโมบายแอพพลิเคชน่ั ในปัจจุบนั เป็นตวั สนบั สนุน วิธีการไดม้ าซ่ึงสูตรป๋ ุยตามค่าวิเคราะห์ดินสําหรับยางพาราน้ัน แต่เดิมเกษตรกรตอ้ งส่งตัวอย่างดินมายงั ศูนย์วิจัยยาง, ศูนยว์ ิจัยและพฒั นาการเกษตรแต่ละจังหวดั หรือหน่วยงานท่ีเก่ียวขอ้ งแต่ละพ้ืนท่ีเพื่อช่วยวิเคราะห์ดินของเกษตรกร และให้เจา้ หนา้ ท่ีเปรียบเทียบกบั สูตรป๋ ุยตามค่าวิเคราะห์ดินตามท่ีแนะนาํ ไว้ ในเวลาต่อมาไดม้ ีการพฒั นาเคร่ืองมือในการหาค่าวิเคราะห์ดินแบบพกพาข้นึ จึงลดปัญหาการเดินทางส่วนน้ีไป แต่กย็ งั มีเกษตรกรจาํ หน่วยหน่ึงที่ยงั จาํ เป็นตอ้ งเดินทาง นาํ ตวั อย่างดินใหท้ างหน่วยงานของรัฐช่วยวิเคราะห์เพื่อเป็ นการลดข้นั ตอนในการนาํ ค่าวิเคราะห์ดินไปใชใ้ นการผสมป๋ ุย สถาบนั วิจยั ยางไดม้ ีการเผยแพร่เอกสารขอ้ มูลการใชส้ ูตรป๋ ุยตามค่าวิเคราะห์ดิน และ แผน่ หมุนสาํ หรับการหาสูตรป๋ ุยตามค่าวิเคราะห์ ใหก้ บั เกษตรกรและผสู้ นใจไดศ้ ึกษา ดงั ตวั อยา่ งแผ่นหมุนรูปแผ่นหมุนสําหรับการใส่ป๋ ุยตามค่าวิเคราะห์ดินแต่อยา่ งไรก็ตามเครื่องมือดงั กล่าวยงั ขาดประสิทธิภาพในการใชง้ าน ทางดา้ นการแสดงผลลพั ธ์ท่ีไม่ครอบคลุม การทาํ ความเขา้ ใจในการใชง้ านค่อนขา้ งยาก ท้งั ยงั ผลิตไม่เพยี งพอต่อความตอ้ งการของเกษตรกร และชาํ รุดเสียหายง่าย รูปแผน่ หมุนสาํ หรับการใส่ป๋ ุยตามคา่ วเิ คราะห์ดิน
-277- ดงั น้นั ผูว้ ิจยั จึงไดส้ รุปประเด็นปัญหาเป็ นแผน่ ภูมิกางปลาแสดงใหเ้ ห็นถึงปัญหาที่กล่าวมาท้งั หมด ดงั รูปแผนภมู ิกา้ งปลา เคร่ืองมือ เจา้ หนา้ ท่ีชาํ รุดและเสียหายงา่ ย เน้ือหานอ้ ยและไม่เน่ืองจากเป็ นกระดาษ ครอบคลุมเครื่องมือใชง้ านและเขา้ ใจไดย้ าก เจา้ หนา้ ที่นอ้ ยจดั กิจกรรม การเผยแพร่ ไมท่ วั่ ถึง สารสนเทศการใช้ยดึ ถือแนวปฏิบตั ิเดิม ส่วนใหญค่ วามรู้นอ้ ยทาํ ให้ ป๋ ุยตามค่า ในการใชส้ ูตรป๋ ุย ยากในการเรียนรู้ วเิ คราะห์สาํ หรับ ยางพาราขาด ประสิทธิภาพ เกษตรกร รูปแผนภมู ิกา้ งปลาปัญหาของระบบเดิม จากการศึกษากระบวนการทาํ งานและการใชเ้ อกสารเผยแพร่งานวิจยั จากการพฒั นารูปแบบเดิมน้นั ไดม้ ีประเดน็ ปัญหา 3 ประการ ดงั น้ี 1. ปัญหาดา้ นข้นั ตอนการดาํ เนินงานและงบประมาณ ซ่ึงแต่เดิมข้นั ตอนการดาํ เนินการในการเผยแพร่ขอ้ มูลสารสนเทศน้นั จะเป็นไปในแนวทางท่ีเกษตรกรขอคาํ ปรึกษา หรือ มีจดั กิจกรรมส่งเสริมการเกษตร ซ่ึงทางศูนยว์ ิจยั จาํ เป็ นตอ้ งจดั ทาํ เอกสาร หรือ จดั กิจกรรม ต่าง ๆ เพื่อเป็ นการแนะนาํ เทคโนโลยที างการเกษตร หรือผลงานวจิ ยั เผยแพร่ออกไป ซ่ึงเป็นการใชง้ บประมาณจาํ นวนมากในการดาํ เนินงาน 2. ปัญหาดา้ นเทคนิคการใชเ้ ผยแพร่สารสนเทศเป็นแผน่ หมุนซ่ึงเน้ือหาไม่ครอบคลุม 3. ปัญหาเน่ืองจากเกษตรกรขาดอุปกรณ์สื่อสารทาํ ให้เกษตรกรยงั ใช้ป๋ ุยสูตรเดิม จากการศึกษาพบวา่ เกษตรกรยงั ใชป้ ๋ ุยสูตรเดิมจากคาํ แนะนาํ ของผผู้ ลิตป๋ ุย หรือ เกษตรกรดว้ ยกนั เอง จึง
-278-ทาํ ให้ธาตุอาหารในดินขาดความสมดุลของธาตุอาหารในการเจริญเติบโตของตน้ ยางให้เป็ นไปอยา่ งมีประสิทธิภาพ ระเบียบวธิ ีการวจิ ัย ข้นั ตอนการพฒั นาระบบและวธิ ีการประเมินงานวิจยั โดยพฒั นาในรูปแบบ แบ่งออกเป็น 3ส่วนสาํ คญั ไดแ้ ก่ 1 การวเิ คราะห์ปัญหาท่ีมาของปัญหาและเสนอแนวคิด 2 การออกแบบระพฒั นาระบบ 3 วธิ ีการประเมินงานวจิ ยั ดว้ ยเปรียบเทียบกระบวนการท้งั สองดว้ ยกระบวนการ LeanManagement และ ดงั รูปข้นั ตอนระเบียบวธิ ีวจิ ยักระบวนการวเิ คราะห์ • กรอบแนวคิดการทาํ วิจัยงานวิจัยเบือ้ งต้นและ • ศกึ ษาและรวบรวมข้อมลูเสนอแนวคิดปญั หากระบวนการพัฒนา • การออกแบบระบบ ระบบ • การพฒั นาระบบ • การทดสอบการใช้งานกระบวนการวิเคราะห์ • การวิเคราะห์และประเมนิ ผลและเสนอผลงานวิจยั • การเสนอแนะแนวทาง รูปข้นั ตอนระเบียบวธิ ีวจิ ยั1. กระบวนการวเิ คราะห์งานวจิ ยั เบือ้ งต้นและเสนอแนวคดิ กรอบแนวคดิ การทาํ วิจัย เพ่ือปรับปรุงกระบวนการทาํ งานเดิมผูว้ ิจัยจึงมีแนวคิดในการเผยแพร่สารสนเทศของศนู ยว์ จิ ยั ยางสงขลา ผา่ นทางโปรแกรมประยกุ ตบ์ นโทรศพั ทเ์ คล่ือนท่ี ซ่ึงช่วยปรับปรุงกระบวนการกิจกรรมในการเผยแพร่สารสนเทศ ทาํ ใหเ้ กษตรกรสามารถนาํ ไปใชป้ ระโยชน์ในการผสมสูตรป๋ ุยใหเ้ หมาะสมได้ และยงั เป็ นช่องทางหน่ึงในการส่งเสริมใหเ้ กษตรกรใชเ้ ทคโนโลยี ในการเกษตรมากข้ึน โดยกรอบแนวคิดการทาํ วจิ ยั ดงั รูปกรอบแนวคิดการพฒั นาระบบ
-279- รูปกรอบแนวคิดของการพฒั นาระบบ ซ่ึงจะประกอบไปดว้ ย ความรู้การใช้ป๋ ุยตามค่าวิเคราะห์ : ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับการใช้ป๋ ุยตามค่าวิเคราะห์คาํ แนะนาํ การใชง้ าน, ความรู้เร่ืองดินปลูกยางพารา, ความรู้เร่ืองป๋ ุย, ธาตุอาหารท่ีจาํ เป็นสาํ หรับพืช,การผสมป๋ ุย และการเกบ็ ตวั อยา่ งดินมาวเิ คราะห์ สูตรผสมป๋ ุยจากการคาํ นวณ : คาํ แนะนาํ การผสมป๋ ุยตามค่าวเิ คราะห์ท่ีไดจ้ ากการป้ อนขอ้ มลูในการคาํ นวณ ผูใ้ ชง้ าน : ผูใ้ ชง้ านในทีน้ีจะหมายถึงเกษตรกรและผูส้ นใจศึกษาเกี่ยวกบั การใชป้ ๋ ุยตามค่าวเิ คราะห์ตามคาํ แนะนาํ ของสถาบนั วจิ ยั ยาง ศึกษาและรวบรวมข้อมูล ในข้นั ตอนน้ีผูว้ ิจยั ไดศ้ ึกษาปัญหาเกี่ยวกบั การใชง้ านแผน่ หมุนการใชป้ ๋ ุยตามค่าวิเคราะห์เอกสารเผยแพร่ การใชป้ ๋ ุยตามค่าวิเคราะห์ และจากงานวิจยั ที่เกี่ยวขอ้ ง เพ่ือทาํ ความเขา้ ใจสภาพปัญหาที่เกิดข้ึน หลงั จากน้นั ไดท้ าํ การรวบรวมคุณสมบตั ิการใชง้ านของระบบโดยสอบถามจากเจา้ หนา้ ท่ีผูล้ งพ้ืนท่ีปฏิบตั ิงานโครงการเก่ียวกบั การเผยแพร่สารสนเทศการใชป้ ๋ ุยตามค่าวิเคราะห์ของศูนยว์ ิจยั ยางสงขลาจาํ นวน 5 คน และจากเกษตรกรชาวสวนยางในพ้ืนท่ีสงขลา จาํ นวน 7 คนและทาํ การรวบรวมข้อมูลความรู้ด้านการใช้ป๋ ุยตามค่าวิเคราะห์ จากหนังสือ วารสาร และอินเตอร์เน็ต อาทิ เช่น E-book การใชป้ ๋ ุยอย่างมีประสิทธิภาพกบั ยางพาราหลงั เปิ ดกรีดตามค่าวิเคราะห์ดิน เขียนโดย นุชนาถ กงั พิศดาร จดั พิมพโ์ ดยสถาบนั วิจยั ยาง ของห้องสมุดเฉลิมพระ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 485
Pages: