-430-นยั สาํ คญั ทางสถิติท่ีระดบั 0.05 กล่าวคือ ผใู้ ชบ้ ริการที่มีพ้ืนท่ีสวนยางนอ้ ยกว่า 50 ไร่ มีความถี่ในการมาใชบ้ ริการขายยางเฉลี่ยมากกว่า 1 คร้ังต่อเดือน ในสัดส่วนที่สูงกวา่ ผทู้ ่ีมีพ้ืนที่สวนยางต้งั แต่50 ไร่ข้ึนไป อาจเน่ืองจากพ้นื ท่ีสวนยางนอ้ ยสามารถผลิตยางไดอ้ ยา่ งมีคุณภาพตามมาตรฐานตลาดกลางยางพารา กว่าผทู้ ี่มีสวนยางต้งั แต่ 50 ไร่ข้ึนไป ประกอบกบั ผทู้ ่ีมีพ้ืนท่ีสวนยางนอ้ ยส่วนใหญ่อยใู่ นบริเวณที่ใกลส้ าํ นกั งานตลาดกลางยางพารามากกว่าผทู้ ่ีมีสวนยางต้งั แต่ 50 ไร่ข้ึนไป จึงทาํ ให้มีความสะดวกในการเดินทางมาใชบ้ ริการ (ตารางที่ 20)ตารางที่ 20 ผลการวิเคราะห์ความสัมพนั ธ์ระหว่างปัจจัยดา้ นพ้ืนท่ีสวนยางกับพฤติกรรมดา้ น ความถี่ ในการใช้บริ การขายยางกับสํานักงานตลาดกลางยางพาราในเขตภา ค ตะวนั ออกเฉียงเหนือ พนื้ ท่ีสวนยาง ความถใ่ี นการใช้บริการขายยาง (คร้ังต่อเดอื น) รวมนอ้ ยกวา่ 50 ไร่ 1 >1 34 (100)ต้งั แต่ 50 ไร่ข้ึนไป 15(100)รวม 5(14.71) 29 (85.29) 49 (100) 6 (40.00) 9 (60.00) 11 (22.45) 38 (77.55)ทมี่ า : จากการคาํ นวณ (4) ปัจจยั ดา้ นประเภทสมาชิก ผลการวิเคราะห์พบว่า ประเภทสมาชิกของผูข้ ายยางกบั สํานักงานตลาดกลางยางพาราในเขตภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือไม่มีความสัมพนั ธ์กบั ความถ่ีในการใชบ้ ริการขายยาง(คร้ังต่อเดือน) อยา่ งมีนยั สาํ คญั ทางสถิติระดบั 0.10 (5) ปัจจยั ดา้ นระยะห่างจากสาํ นกั งานตลาดกลางยางพารา ระยะห่างจากสํานกั งานตลาดกลางยางพาราของผูใ้ ชบ้ ริการขายยางในเขตภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือมีความสัมพนั ธ์กบั ความถ่ีในการใชบ้ ริการขายยาง (คร้ังต่อเดือน) อย่างมีนยั สาํ คญั ทางสถิติท่ีระดบั 0.01 กล่าวคือ ผใู้ ชบ้ ริการท่ีมีระยะห่างไม่เกิน 39 กิโลเมตร มีความถี่ในการมาใชบ้ ริการขายยางเฉล่ียมากกว่า 1 คร้ังต่อเดือน ในสัดส่วนท่ีสูงกวา่ ผทู้ ี่มีระยะห่างมากกวา่ 39กิโลเมตร อาจเนื่องจากผทู้ ี่มีระยะทางห่างจากสาํ นกั งานตลาดกลางยางพาราไม่เกิน 39 กิโลเมตร มีความคุม้ ค่าในการขนส่งสินคา้ ยางพารามาขาย เพราะผใู้ ชบ้ ริการสาํ นกั งานตลาดกลางยางพาราในเขตภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือส่วนใหญ่เป็ นเกษตรกรชาวสวนยางรายยอ่ ย เม่ือมีการเดินทางขนส่งยางมาขายมากกวา่ 39 กิโลเมตร จึงมีสัดส่วนของความถ่ีในการมาใชบ้ ริการขายยางลดลง (ตารางที่21)
-431-ตารางท่ี 21 ผลการวเิ คราะห์ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งปัจจยั ดา้ นระยะห่างกบั พฤติกรรมดา้ นความถี่ในการ ใชบ้ ริการขายยางกบั สาํ นกั งานตลาดกลางยางพาราในเขตภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ ระยะห่างจาก สตก. ความถ่ีในการใช้บริการขายยาง (คร้ังต่อเดอื น) รวม ไม่เกิน 39 กม. 1 >1 34 (100) มากกวา่ 39 กม. 15(100) รวม 5(14.71) 29 (85.29) 49 (100)ที่มา : จากการคาํ นวณ 6 (40.00) 9 (60.00) 11 (22.45) 38 (77.55) 5.2 ผลการวเิ คราะห์ปัจจยั ด้านสังคมและเศรษฐกจิ ที่มีผลต่อพฤติกรรมด้านความถี่ในการใช้บริการซื้อยาง (ประมูล) 1) ความสัมพนั ธ์ระหว่างปัจจัยด้านสังคมและเศรษฐกจิ กบั พฤติกรรมด้านความถี่ในการใช้บริการซื้อยางในเขตภาคใต้ การวิเคราะห์ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งปัจจยั ดา้ นสังคมและเศรษฐกิจกบั พฤติกรรมดา้ นความถี่ในการใชบ้ ริการซ้ือยางในเขตภาคใต้ กาํ หนดใหป้ ัจจยั ดา้ นสังคมและเศรษฐกิจ ไดแ้ ก่ อายุระดบั การศึกษา การประกอบธุรกิจ และระยะทางจากสถานประกอบการถึงสาํ นกั งานตลาดกลางยางพารา เป็ นตวั แปรอิสระ และความถ่ีในการใชบ้ ริการซ้ือยาง เป็ นตวั แปรตาม ผลการวิเคราะห์มีรายละเอียดดงั น้ี (ตารางท่ี 22)ตารางท่ี 22 ผลการวเิ คราะห์ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งปัจจยั ดา้ นสังคมและเศรษฐกิจกบั พฤติกรรมดา้ น ความถี่ในการใชบ้ ริการซ้ือยางกบั สาํ นกั งานตลาดกลางยางพาราในเขตภาคใต้ ตัวแปรอสิ ระ ค่าสถติ ิ 2 Sig.อายุ 0.115 0.734nsระดบั การศึกษา 5.362การประกอบธุรกิจ 1.197 0.021**ระยะห่างจาก สตก. 1.314 0.274 ns 0.252nsหมายเหต:ุ ns ไม่มีนยั สาํ คญั ทางสถิติท่ีระดบั 0.10ที่มา : จากการคาํ นวณ
-432- (1) ปัจจยั ดา้ นอายุ ผลการวิเคราะห์พบวา่ อายขุ องผซู้ ้ือยางกบั สาํ นกั งานตลาดกลางยางพาราในเขตภาคใตไ้ ม่มีความสัมพนั ธ์กบั ความถ่ีในการใชบ้ ริการซ้ือยาง (คร้ังต่อเดือน) อย่างมีนยั สําคญั ทางสถิติระดบั 0.10 (2) ปัจจยั ดา้ นระดบั การศึกษา ระดบั การศึกษาของผใู้ ชบ้ ริการซ้ือยางในเขตภาคใตม้ ีความสมั พนั ธ์กบั ความถี่ในการใชบ้ ริการซ้ือยาง (คร้ังต่อเดือน) อยา่ งมีนยั สาํ คญั ทางสถิติที่ระดบั 0.05 กล่าวคือ ผใู้ ชบ้ ริการที่มีการศึกษาระดบั ไม่เกินปริญญาตรี มีความถ่ีในการมาใชบ้ ริการซ้ือยางเฉล่ียไม่เกิน 12 คร้ังต่อเดือนในสัดส่วนท่ีสูงกว่าผทู้ ่ีมีการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรี ในขณะที่ผูท้ ่ีมีการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรีมีความถี่ในการใชบ้ ริการซ้ือยางเฉล่ียมากกว่า 12 คร้ังต่อเดือน ในสดั ส่วนท่ีสูงกวา่ ผทู้ ่ีมีการศึกษาไม่เกินระดบั ปริญญาตรี อาจเน่ืองจากผซู้ ้ือยางที่มีระดบั การศึกษาสูงกวา่ ปริญญาตรีเป็ นคนรุ่นใหม่จึงเลือกที่จะรับซ้ือยางจากสํานักงานตลาดกลางยางพาราเพราะเป็ นแหล่งยางพาราที่มีคุณภาพประกอบกบั วิธีการซ้ือยางหรือประมูลเป็นระบบอิเลก็ ทรอนิกส์คนท่ีมีการศึกษาสูงกวา่ ปริญญาตรีอาจมีความถนดั ในการใชง้ านระบบมากกวา่ คนท่ีมีการศึกษาไม่เกินปริญญาตรี(ตารางที่ 23)ตารางที่ 23 ผลการวิเคราะห์ความสัมพนั ธ์ระหว่างปัจจยั ดา้ นระดบั การศึกษากบั พฤติกรรมดา้ น ความถี่ในการใชบ้ ริการซ้ือยางกบั สาํ นกั งานตลาดกลางยางพาราในเขตภาคใต้ ระดบั การศึกษา ความถใ่ี นการใช้บริการซื้อยาง (คร้ังต่อเดอื น) รวมไม่เกินปริญญาตรี ≤ 12 > 12 61 (100)สูงกวา่ ปริญญาตรี 14(100)รวม 34 (55.74) 27 (44.26) 75 (100) 3 (21.43) 11 (78.57) 37 (49.33) 38 (50.67)ทีม่ า : จากการคาํ นวณ (3) ปัจจยั ดา้ นการประกอบธุรกิจ ผลการวิเคราะห์พบว่า การประกอบธุรกิจของผูซ้ ้ือยางกบั สาํ นกั งานตลาดกลางยางพาราในเขตภาคใตไ้ ม่มีความสัมพนั ธ์กบั ความถี่ในการใชบ้ ริการซ้ือยาง (คร้ังต่อเดือน) อย่างมีนยั สาํ คญั ทางสถิติระดบั 0.10 (4) ปัจจยั ดา้ นระยะห่างจากสาํ นกั งานตลาดกลางยางพารา
-433- ผลการวิเคราะห์พบว่า ระยะห่างจากสํานักงานตลาดกลางยางพาราของผใู้ ชบ้ ริการซ้ือยางในเขตภาคใตไ้ ม่มีความสมั พนั ธ์กบั ความถี่ในการใชบ้ ริการซ้ือยาง (คร้ังต่อเดือน)อยา่ งมีนยั สาํ คญั ทางสถิติระดบั 0.10 2) ความสัมพนั ธ์ระหว่างปัจจยั ด้านสังคมและเศรษฐกจิ กบั พฤติกรรมด้านความถ่ใี นการใช้บริการซื้อยางในเขตภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ การวเิ คราะห์ความสัมพนั ธ์ระหว่างปัจจยั ดา้ นสังคมและเศรษฐกิจกบั พฤติกรรมดา้ นความถ่ีในการใชบ้ ริการซ้ือยางในเขตภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ กาํ หนดให้ปัจจยั ดา้ นสังคมและเศรษฐกิจ ไดแ้ ก่ อายุ ระดบั การศึกษา การประกอบธุรกิจ และระยะทางจากสถานประกอบการถึงสาํ นกั งานตลาดกลางยางพารา เป็ นตวั แปรอิสระ และความถี่ในการใชบ้ ริการซ้ือยาง เป็ นตวั แปรตาม ผลการวิเคราะห์พบว่า ปัจจยั ดา้ นสังคมและเศรษฐกิจไม่มีความสัมพนั ธ์กบั ความถ่ีในการใช้บริการซ้ือยางกบั สาํ นกั งานตลาดกลางยางพาราในเขตภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ อยา่ งมีนยั สาํ คญัทางสถิติที่ระดบั 0.10 (ตารางที่ 24)ตารางที่ 24 ผลการวเิ คราะห์ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งปัจจยั ดา้ นสงั คมและเศรษฐกิจกบั พฤติกรรมดา้ นความถ่ี ในการใชบ้ ริการซ้ือยางกบั สาํ นกั งานตลาดกลางยางพาราในเขตภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ ตวั แปรอสิ ระ ค่าสถติ ิ 2 Sig.อายุ 0.079 0.778nsระดบั การศึกษา 0.079 0.778nsการประกอบธุรกิจ 0.023 0.880 nsระยะห่างจาก สตก. 0.476 0.490nsหมายเหตุ: ns ไม่มีนยั สาํ คญั ทางสถิติท่ีระดบั 0.10ทมี่ า : จากการคาํ นวณ สรุปผลการวจิ ัยและข้อเสนอแนะ1. สรุปผลการศึกษา การศึกษาพฤติกรรมและส่วนประสมทางการตลาดท่ีมีผลต่อการใชบ้ ริการสาํ นกั งานตลาดกลางยางพาราของการยางแห่งประเทศไทย มีวตั ถุประสงค์ 1) เพ่ือศึกษาพฤติกรรมของผใู้ ชบ้ ริการสาํ นกั งานตลาดกลางยางพาราของการยางแห่งประเทศไทย 2) เพื่อศึกษาระดบั ความคิดเห็นของผูใ้ ชบ้ ริการที่มีผลต่อการใหบ้ ริการสาํ นกั งานตลาดกลางยางพาราของการยางแห่งประเทศไทย3) เพื่อศึกษาส่วนประสมทางการตลาดท่ีมีผลต่อการใชบ้ ริการสาํ นกั งานตลาดกลางยางพาราของการยางแห่งประเทศไทย4) เพ่ือศึกษาปัจจัยดา้ นสังคมและเศรษฐกิจท่ีมีผลต่อพฤติกรรมการใช้บริการสาํ นกั งานตลาดกลางยางพาราของการยางแห่งประเทศไทยโดยรวบรวมขอ้ มูลจากสมาชิกผชู้ ้ือและ
-434-ผูข้ ายยางของสาํ นกั งานตลาดกลางยางพาราจงั หวดั นครศรีธรรมราช สงขลา ยะลา สุราษฎร์ธานีบรุ ีรัมย์ และหนองคาย ท่ีมาใชบ้ ริการสาํ นกั งานตลาดกลางยางพารา ปี งบประมาณ 2559 จาํ นวน 449ราย โดยวเิ คราะห์ขอ้ มลู ดว้ ยสถิติเชิงพรรณนา และสถิติไคสแควร์ (Chi – Square test) สามารถสรุปไดด้ งั น้ี 1.1 ผู้ใช้บริการขายยาง ผูใ้ ชบ้ ริการขายยางมีจาํ นวนตวั อย่างท้งั หมด 364 ราย แบ่งเป็ น ผูใ้ ชบ้ ริการขายยางภาคใต้ จาํ นวน 315 ราย และภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ จาํ นวน 49 ราย 1) ข้อมูลทวั่ ไป (1) อายุ ผูใ้ ชบ้ ริการภาคใตส้ ่วนใหญ่มีอายุ 51 - 60 ปี รองลงมาอายุไม่เกิน 40 ปี คิดเป็นร้อยละ 32.06 และ 31.43ขณะที่ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือส่วนใหญ่อายุ 41 - 50 ปี รองลงมาอายุ51 – 60 ปี คิดเป็นร้อยละ 38.78 และ 36.73 ตามลาํ ดบั (2) ระดับการศึกษา ผูใ้ ช้บริการภาคใต้ส่วนใหญ่มีระดับการศึกษามธั ยม/ปวช.รองลงมาระดบั ปริญญาตรี คิดเป็นร้อยละ 39.68 และ 24.44 แต่ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือส่วนใหญ่มีการศึกษาระดับประถมศึกษา และระดบั มธั ยมศึกษา/ปวช. คิดเป็ นร้อยละ 40.82 และ 36.73ตามลาํ ดบั (3) สมาชิกในครัวเรือน ผใู้ ชบ้ ริการภาคใตแ้ ละภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือมีสมาชิกในครอบครัวเฉลี่ย 5 คนต่อครัวเรือน (4) แรงงานทาํ สวนยาง ผใู้ ชบ้ ริการภาคใตส้ ่วนใหญ่ใชแ้ รงงานจา้ ง รองลงมาแรงงานครอบครัวและจา้ ง คิดเป็ นร้อยละ 47.03 และ 30.48 ตามลาํ ดบั ส่วนภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือใช้แรงงานครอบครัว และแรงงานจา้ ง คดิ เป็นร้อยละ 53.06 และ 26.53 ตามลาํ ดบั (5) พ้นื ท่ีสวนยาง ผใู้ ชบ้ ริการภาคใตส้ ่วนใหญ่มีสวนยางนอ้ ยกวา่ 50 ไร่ รองลงมาอยู่ระหวา่ ง 50 – 250 ไร่ คิดเป็ นร้อยละ 66.67 และ 28.25 สอดคลอ้ งกบั ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือส่วนใหญ่มีสวนยางนอ้ ยกวา่ 50 ไร่ และ 50 -250 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 69.39 และ 28.57 ตามลาํ ดบั (6) ประเภทสมาชิก ผใู้ ชบ้ ริการภาคใตส้ ่วนใหญ่เป็นเกษตรกรชาวสวนยาง รองลงมาเป็ นสถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง คิดเป็ นร้อยละ 62.54 และ 23.81 สอดคล้องกับภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือเป็ นเกษตรกรชาวสวนยาง และสถาบนั เกษตรกรชาวสวนยาง คิดเป็ นร้อยละ95.92 และ 4.08 ตามลาํ ดบั (7) ระยะทาง ผใู้ ชบ้ ริการภาคใตส้ ่วนใหญ่มีระยะทางห่างจากสํานกั งานตลาดกลางยางพาราไม่เกิน 30 กิโลเมตร รองลงมา 31 – 60 กิโลเมตร คิดเป็ นร้อยละ 40.63 และ 33.65 ส่วนภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือมีระยะห่างไม่เกิน 10 กิโลเมตร คิดเป็ นร้อยละ 63.27 และมากกว่า 100กิโลเมตร คิดเป็นร้อยละ 22.48
-435- 2) พฤตกิ รรมการใช้บริการ (1) ชนิดยาง ผใู้ ชบ้ ริการภาคใตส้ ่วนใหญ่ขายยางแผ่นรมควนั รองลงมายางแผน่ ดิบคิดเป็ นร้อยละ 54.60 และ 43.81 แต่ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือส่วนใหญ่ขายยางกอ้ นถว้ ย รองลงมาเป็นยางแผน่ ดิบ คิดเป็นร้อยละ 65.31 และ 30.61 ตามลาํ ดบั (2) ความถ่ี ผใู้ ชบ้ ริการภาคใตส้ ่วนใหญ่ใชบ้ ริการนอ้ ยกว่า 5 คร้ังต่อเดือน รองลงมา5 – 10 คร้ังต่อเดือน คิดเป็นร้อยละ 57.96 และ 18.48 ส่วนภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือใชบ้ ริการ 2 – 3คร้ังต่อเดือน รองลงมา 1 คร้ังต่อเดือน คิดเป็นร้อยละ 73.40 และ 22.45 ตามลาํ ดบั (3) ปริมาณยาง ผใู้ ชบ้ ริการภาคใตส้ ่วนใหญ่ขายยางไม่เกิน 10 ตนั ต่อเดือน รองลงมา11 - 30 ตนั ต่อเดือน คิดเป็นร้อยละ 43.17 และ 20.32 ในขณะท่ีภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือส่วนใหญ่ขายยางไม่เกิน 1 ตนั ต่อเดือน รองลงมามากกว่า 7 ตนั ต่อเดือน คิดเป็ นร้อยละ 65.31 และ 16.33ตามลาํ ดบั (4) สถานท่ีขายยาง ผูใ้ ชบ้ ริการภาคใตส้ ่วนใหญ่ขายยางกบั สํานักงานตลาดกลางยางพาราแหล่งเดียว รองลงมาขายท่ีสาํ นกั งานตลาดกลางยางพาราและร้านคา้ คิดเป็ นร้อยละ 39.05และ 34.92 แต่ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือส่วนใหญ่ขายยางกบั สํานักงานตลาดกลางและร้านคา้รองลงมาขายที่สํานักงานตลาดกลางยางพาราแหล่งเดียว คิดเป็ นร้อยละ 59.19 และ 16.33ตามลาํ ดบั (5) สัดส่วนในการขาย ผูใ้ ชบ้ ริการภาคใตส้ ่วนใหญ่มีสัดส่วนการขายยาง 81 – 100ของปริมาณการผลิต รองลงมาสัดส่วนไม่เกิน 40 ของปริมาณการผลิต คิดเป็ นร้อยละ 47.62 และ26.63 แต่ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือส่วนใหญ่มีสัดส่วนการขายยาง 61 – 80 ของปริมาณการผลิตรองลงมาสัดส่วนไม่เกิน 40 ของปริมาณการผลิต คิดเป็นร้อยละ 51.02 และ 20.41 ตามลาํ ดบั 3) ปัจจยั ส่วนประสมทางการตลาดที่มีผลต่อการใช้บริการ (1) ปัจจยั ผลิตภณั ฑ์ มีผลต่อการใชบ้ ริการขายยางในเขตภาคใตเ้ ฉลี่ย 6.60 คะแนนซ่ึงมีระดบั ความสาํ คญั มากที่สุดสอดคลอ้ งกบั ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือมีคะแนนเฉล่ีย 6.18 คะแนนซ่ึงมีระดบั ความสาํ คญั มากท่ีสุด (2) ปัจจยั ราคา มีผลต่อการใชบ้ ริการขายยางในเขตภาคใตเ้ ฉลี่ย 6.68 คะแนน ซ่ึงมีระดบั ความสาํ คญั มากที่สุดสอดคลอ้ งกบั ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือมีคะแนนเฉล่ีย 6.21 คะแนน ซ่ึงมีระดบั ความสาํ คญั มากที่สุด (3) ปัจจยั ช่องทางการจาํ หน่าย มีผลต่อการใชบ้ ริการขายยางในเขตภาคใตเ้ ฉลี่ย 5.96คะแนน ซ่ึงมีระดบั ความสาํ คญั มากในขณะที่ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือมีคะแนนเฉลี่ย 6.80 คะแนนซ่ึงมีระดบั ความสาํ คญั มากท่ีสุด
-436- (4) ปัจจยั การส่งเสริมการตลาด มีผลตอ่ การใชบ้ ริการขายยางในเขตภาคใตเ้ ฉลี่ย 6.12คะแนน ซ่ึงมีระดบั ความสาํ คญั มากแต่ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือมีคะแนนเฉลี่ย 6.30 คะแนน ซ่ึงมีระดบั ความสาํ คญั มากที่สุด (5) ปัจจยั พนกั งาน มีผลต่อการใชบ้ ริการขายยางในเขตภาคใตเ้ ฉล่ีย 5.52 คะแนน ซ่ึงมีระดบั ความสาํ คญั มากสอดคลอ้ งกบั ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือมีคะแนนเฉลี่ย 5.34 คะแนน ซ่ึงมีระดบั ความสาํ คญั มาก (6) ปัจจยั ลกั ษณะทางกายภาพ มีผลต่อการใชบ้ ริการขายยางในเขตภาคใตเ้ ฉลี่ย 6.64คะแนน ซ่ึงมีระดบั ความสาํ คญั มากที่สุดสอดคลอ้ งกบั ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือมีคะแนนเฉล่ีย 6.90คะแนน ซ่ึงมีระดบั ความสาํ คญั มากที่สุด (7) ปัจจยั กระบวนการ มีผลต่อการใชบ้ ริการขายยางในเขตภาคใตเ้ ฉล่ีย 6.68 คะแนนซ่ึงมีระดบั ความสาํ คญั มากท่ีสุดสอดคลอ้ งกบั ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือมีคะแนนเฉลี่ย 6.60 คะแนนซ่ึงมีระดบั ความสาํ คญั มากท่ีสุด 4) ความคดิ เห็นที่มีต่อการให้บริการ (1) ข้ันตอนการให้บริการ ผูใ้ ช้บริ การในเขตภาคใต้เห็นด้วยกับข้ันตอนการใหบ้ ริการมีความถูกตอ้ ง คิดเป็ นร้อยละ 97.14 และไม่เห็นดว้ ย คิดเป็ นร้อยละ 2.86สอดคลอ้ งกบัผใู้ ชบ้ ริการภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือเห็นดว้ ยกบั การบริการ คิดเป็ นร้อยละ 97.96 และไม่เห็นดว้ ยคิดเป็นร้อยละ 2.04 (2) ภาพลกั ษณ์การให้บริการ ผูใ้ ชบ้ ริการในเขตภาคใตเ้ ห็นดว้ ยกบั ภาพลกั ษณ์การให้บริการน่าเช่ือถือ คิดเป็ นร้อยละ 97.78 และไม่เห็นดว้ ย คิดเป็ นร้อยละ 2.22สอดคล้องกับผูใ้ ชบ้ ริการภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือเห็นดว้ ยกบั ภาพลกั ษณ์การให้บริการ คิดเป็ นร้อยละ 97.96และไม่เห็นดว้ ย คิดเป็นร้อยละ 2.04 (3) การติดต่อส่ือสารผใู้ ชบ้ ริการในเขตภาคใตเ้ ห็นดว้ ยกบั การติดต่อสื่อสารวา่ มีความทนั สมยั รวดเร็ว และเขา้ ใจง่าย คิดเป็นร้อยละ 96.19 และไม่เห็นดว้ ย คิดเป็ นร้อยละ 3.81สอดคลอ้ งกบั ผใู้ ชบ้ ริการภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือเห็นดว้ ยกบั การติดต่อสื่อสาร คิดเป็ นร้อยละ 97.96 และไม่เห็นดว้ ย คิดเป็นร้อยละ 2.04 5) ผลการวเิ คราะห์ปัจจัยด้านสังคมและเศรษฐกจิ ที่มีผลต่อพฤติกรรมด้านความถี่ในการใช้บริการขายยาง (1) ปัจจยั ดา้ นอายุ ผใู้ ชบ้ ริการในเขตภาคใตท้ ี่มีอายมุ ากกวา่ 51 ปี มีความถ่ีในการมาใชบ้ ริการขายยางเฉลี่ยไม่เกิน 6 คร้ังต่อเดือน ในสัดส่วนที่สูงกว่าผูท้ ่ีมีอายุไม่เกิน 51 ปี อย่างมีนยั สาํ คญั ทางสถิติที่ระดบั 0.01 แต่ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนืออายขุ องผใู้ ชบ้ ริการไม่มีความสัมพนั ธ์กบั ความถ่ีในการใชบ้ ริการขายยาง
-437- (2) ปัจจยั ดา้ นระดบั การศึกษา ระดบั การศึกษาของผใู้ ชบ้ ริการในเขตภาคใตแ้ ละภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือไม่มีความสมั พนั ธ์กบั ความถ่ใี นการใชบ้ ริการขายยาง (3) ปัจจยั ดา้ นพ้ืนที่สวนยาง ผูใ้ ชบ้ ริการในเขตภาคใตท้ ่ีมีพ้ืนที่สวนยางต้งั แต่ 50 ไร่ข้ึนไป มีความถี่ในการมาใชบ้ ริการขายยางเฉลี่ยไม่เกิน 6 คร้ังต่อเดือน ในสัดส่วนท่ีสูงกว่าผูท้ ี่มีพ้ืนที่สวนยางน้อยกว่า 50 ปี อย่างมีนัยสําคญั ทางสถิติที่ระดับ 0.05 ในขณะท่ีผูใ้ ช้บริการภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือมีพ้ืนท่ีสวนยางน้อยกว่า 50 ไร่มีความถ่ีในการมาใช้บริการขายยางเฉล่ียมากกวา่ 1 คร้ังต่อเดือน ในสัดส่วนที่สูงกว่าผทู้ ่ีมีพ้ืนที่สวนยางต้งั แต่ 50 ไร่ข้ึนไป อย่างมีนยั สาํ คญัทางสถิติท่ีระดบั 0.05 (4) ปัจจยั ดา้ นประเภทสมาชิกผใู้ ชบ้ ริการในเขตภาคใตท้ ี่เป็ นเกษตรกรชาวสวนยาง มีความถี่ในการมาใชบ้ ริการขายยางเฉลี่ยไม่เกิน 6 คร้ังต่อเดือน ในสัดส่วนที่สูงสุด รองลงมาเป็ นพ่อคา้ และสถาบนั เกษตรกรชาวสวนยาง ส่วนสถาบนั เกษตรกรชาวสวนยางมีความถ่ีในการมาใช้บริการมากกวา่ 6 คร้ังต่อเดือนในสัดส่วนท่ีสูงสุด รองลงมาเป็ นพ่อคา้ และเกษตรกรชาวสวนยางอยา่ งมีนยั สาํ คญั ทางสถิติที่ระดบั 0.01แต่ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือประเภทสมาชิกของผใู้ ชบ้ ริการไม่มีความสมั พนั ธ์กบั ความถ่ีในการใชบ้ ริการขายยาง (5) ปัจจยั ดา้ นระยะห่าง ระยะห่างจากสาํ นกั งานตลาดกลางยางพาราของผขู้ ายยางในเขตภาคใต้ไม่มีความสัมพนั ธ์กับความถี่ในการใช้บริการขายยาง ในขณะท่ีผูใ้ ช้บริการภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือที่มีระยะห่างไม่เกิน 39 กิโลเมตร มีความถ่ีในการมาใชบ้ ริการขายยางเฉล่ียมากกว่า 1 คร้ังต่อเดือน ในสัดส่วนท่ีสูงกว่าผทู้ ี่มีระยะห่างมากกว่า 39 กิโลเมตร อย่างมีนยั สาํ คญัทางสถิติที่ระดบั 0.01 1.2 ผู้ใช้บริการซื้อยาง ผใู้ ชบ้ ริการขายยางมีจาํ นวนท้งั หมด 85 ราย แบ่งเป็ น ผใู้ ชบ้ ริการซ้ือยางภาคใต้ จาํ นวน75 ราย และภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ จาํ นวน 10 ราย 1) ข้อมูลทัว่ ไป (1) อายุ ผใู้ ชบ้ ริการในเขตภาคใตส้ ่วนใหญ่มีอายุ 41 – 50 ปี รองลงมาอายุ 31 – 40 ปีคิดเป็ นร้อยละ 41.33 และ 33.33 สอดคลอ้ งกบั ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือส่วนใหญ่อายุ 41 – 50 ปีรองลงมาอายุ 31 – 40 ปี คิดเป็นร้อยละ 40.00 และ 30.00 ตามลาํ ดบั (2) ระดบั การศึกษา ผใู้ ชบ้ ริการในเขตภาคใตส้ ่วนใหญ่มีการศึกษาระดบั ปริญญาตรีรองลงมาระดบั สูงกว่าปริญญาตรี คิดเป็ นร้อยละ 57.33 และ 18.67 แต่ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือส่วนใหญ่มีการศึกษาระดบั ระดบั มธั ยมศึกษา/ปวช. รองลงมาระดบั ปริญญาตรี คิดเป็ นร้อยละ60.00 และ 30.00 ตามลาํ ดบั (3) ลกั ษณะการประกอบธุรกิจ ผใู้ ชบ้ ริการในเขตภาคใตส้ ่วนใหญ่ประกอบธุรกิจขายยางในประเทศเป็ นหลักคิดเป็ นร้อยละ 59.15 และส่งออกเป็ นหลัก คิดเป็ นร้อยละ 40.85
-438-เช่นเดียวกบั ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือส่วนใหญ่ประกอบธุรกิจขายยางในประเทศเป็ นหลกั คิดเป็ นร้อยละ 70.00 และส่งออกเป็นหลกั คิดเป็นร้อยละ 30.00 (4) ระยะทาง ผใู้ ชบ้ ริการในเขตภาคใตส้ ่วนใหญ่มีสถานประกอบการจากสาํ นกั งานตลาดกลางยางพาราไม่เกิน 50 กิโลเมตร รองลงมามากกวา่ 200 กิโลเมตร คิดเป็นร้อยละ 38.66 และ24.00 ตามลาํ ดบั ขณะท่ีภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือมีระยะห่างไม่เกิน 50 กิโลเมตร คิดเป็ นร้อยละ50.00 รองลงมาระยะทาง 51 - 100 กิโลเมตร คดิ เป็นร้อยละ 30.00 2) พฤตกิ รรมการใช้บริการ (1) ความถี่ ผใู้ ชบ้ ริการในเขตภาคใตส้ ่วนใหญ่มีความถ่ีในการซ้ือยางมากกวา่ 15 คร้ังต่อเดือน รองลงมานอ้ ยกว่า 5 คร้ังต่อเดือน คิดเป็ นร้อยละ 44.01 และ 33.33 ตามลาํ ดบั แต่ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือส่วนใหญ่มีความถ่ีในการซ้ือยางนอ้ ยกวา่ 5 คร้ังต่อเดือน รองลงมา 5 – 10 คร้ังต่อเดือน คิดเป็นร้อยละ 70.00 และ 20.00 ตามลาํ ดบั (2) ชนิดยางที่ซ้ือ ผูใ้ ชบ้ ริการในเขตภาคใตส้ ่วนใหญ่ซ้ือยางแผ่นดิบและยางแผ่นรมควัน รองลงมา เป็ นยางแผ่นรมควัน คิดเป็ นร้อยละ 50.67 และ 40.00 แต่ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือส่วนใหญ่เป็ นยางกอ้ นถว้ ย รองลงมาเป็ นยางแผน่ รมควนั และยางแผน่ รมควนัคิดเป็นร้อยละ 40.00 และ 20.00 ตามลาํ ดบั (3) ปริมาณยาง ผูใ้ ชบ้ ริการในเขตภาคใตส้ ่วนใหญ่ซ้ือยางไม่เกิน 500 ตนั ต่อเดือนรองลงมามากกว่า 2,500 ตันต่อเดือน คิดเป็ นร้ อยละ 45.33 และ 17.33 ส่ วนภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือส่วนใหญ่ซ้ือยางไม่เกิน 500 ตนั ต่อเดือน รองลงมา 501 – 1,000 ตนั ต่อเดือนคิดเป็นร้อยละ 50.00 และ 30.00 ตามลาํ ดบั 3) ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดทม่ี ีผลต่อการใช้บริการ (1) ปัจจยั ผลิตภณั ฑ์ มีผลต่อการใชบ้ ริการซ้ือยางในเขตภาคใตเ้ ฉลี่ย 6.49 คะแนน ซ่ึงมีระดบั ความสําคญั มากท่ีสุดสอดคลอ้ งกบั ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือมีคะแนนเฉล่ีย 6.30 คะแนนซ่ึงมีระดบั ความสาํ คญั มากท่ีสุด (2) ปัจจยั ราคา มีผลต่อการใชบ้ ริการซ้ือยางในเขตภาคใตเ้ ฉล่ีย 6.38 คะแนน ซ่ึงมีระดบั ความสาํ คญั มากที่สุดสอดคลอ้ งกบั ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือมีคะแนนเฉล่ีย 6.42 คะแนน ซ่ึงมีระดบั ความสาํ คญั มากที่สุด (3) ปัจจยั ช่องทางการจาํ หน่าย มีผลต่อการใชบ้ ริการซ้ือยางในเขตภาคใตเ้ ฉลี่ย 6.28คะแนน ซ่ึงมีระดบั ความสาํ คญั มากท่ีสุดในขณะที่ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือมีคะแนนเฉลี่ย 5.89คะแนน ซ่ึงมีระดบั ความสาํ คญั มาก (4) ปัจจยั การส่งเสริมการตลาด มีผลต่อการใชบ้ ริการซ้ือยางในเขตภาคใตเ้ ฉลี่ย 6.08คะแนน ซ่ึงมีระดบั ความสาํ คญั มากสอดคลอ้ งกบั ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือมีคะแนนเฉล่ีย 5.97คะแนน ซ่ึงมีระดบั ความสาํ คญั มาก
-439- (5) ปัจจยั พนกั งาน มีผลต่อการใชบ้ ริการซ้ือยางในเขตภาคใตเ้ ฉลี่ย 5.89 คะแนน ซ่ึงมีระดบั ความสําคญั มากสอดคลอ้ งกบั ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือมีคะแนนเฉลี่ย 5.98 คะแนน ซ่ึงมีระดบั ความสาํ คญั มาก (6) ปัจจยั ลกั ษณะทางกายภาพ มีผลต่อการใชบ้ ริการซ้ือยางในเขตภาคใตเ้ ฉล่ีย 6.46คะแนน ซ่ึงมีระดบั ความสาํ คญั มากท่ีสุดสอดคลอ้ งกบั ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือมีคะแนนเฉล่ีย 6.28คะแนน ซ่ึงมีระดบั ความสาํ คญั มากท่ีสุด (7) ปัจจยั กระบวนการ มีผลต่อการใชบ้ ริการซ้ือยางในเขตภาคใตเ้ ฉล่ีย 6.52 คะแนนซ่ึงมีระดบั ความสาํ คญั มากที่สุดสอดคลอ้ งกบั ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือมีคะแนนเฉล่ีย 6.34 คะแนนซ่ึงมีระดบั ความสาํ คญั มากท่ีสุด 4) ความคดิ เห็นที่มีต่อการให้บริการ (1) ข้ันตอนการให้บริการ ผูใ้ ช้บริ การในเขตภาคใต้เห็นด้วยกับข้ันตอนการใหบ้ ริการมีความถูกตอ้ ง คิดเป็ นร้อยละ 100ส่วนผใู้ ชบ้ ริการภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือเห็นดว้ ยกบัการบริการ คิดเป็นร้อยละ 90.00 และไม่เห็นดว้ ย คิดเป็นร้อยละ 10.00 (2) ภาพลกั ษณ์การใหบ้ ริการ ผใู้ ชบ้ ริการในเขตภาคใตแ้ ละภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือทุกรายเห็นดว้ ยกบั ภาพลกั ษณ์การใหบ้ ริการ คิดเป็นร้อยละ 100 (3) การติดต่อส่ือสารผใู้ ชบ้ ริการในเขตภาคใตเ้ ห็นดว้ ยกบั การติดต่อส่ือสารวา่ มีความทันสมัย รวดเร็ว และเข้าใจง่าย คิดเป็ นร้อยละ 68.67 และไม่เห็นด้วย คิดเป็ นร้อยละ 1.33สอดคลอ้ งกบั ผูใ้ ชบ้ ริการภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือเห็นดว้ ยกบั การติดต่อสื่อสาร คิดเป็ นร้อยละ90.00 และไม่เห็นดว้ ย คิดเป็นร้อยละ 10.00 5) ผลการวเิ คราะห์ปัจจยั ด้านสังคมและเศรษฐกจิ ที่มีผลต่อพฤติกรรมด้านความถี่ในการใช้บริการซื้อยาง (1) ปัจจยั ดา้ นอายุ อายขุ องผใู้ ชบ้ ริการในเขตภาคใตแ้ ละภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือไม่มีความสมั พนั ธ์กบั ความถี่ในการใชบ้ ริการซ้ือยาง (2) ปัจจยั ดา้ นระดบั การศึกษา ผูใ้ ชบ้ ริการในเขตภาคใตท้ ่ีมีระดบั การศึกษาไม่เกินปริญญาตรี มีความถ่ีในการมาใชบ้ ริการซ้ือยางเฉลี่ยไม่เกิน 12 คร้ังต่อเดือน ในสดั ส่วนที่สูงกวา่ ผทู้ ่ีมีการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรี ในขณะที่ผทู้ ่ีมีการศึกษาสูงกวา่ ปริญญาตรีมีความถี่ในการใชบ้ ริการซ้ือยางเฉล่ียมากกว่า 12 คร้ังต่อเดือน ในสัดส่วนท่ีสูงกว่าผทู้ ี่มีการศึกษาไม่เกินระดบั ปริญญาตรีอยา่ งมีนยั สาํ คญั ทางสถิติที่ระดบั 0.05 แต่ระดบั การศึกษาของผใู้ ชบ้ ริการภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือไม่มีความสมั พนั ธ์กบั ความถี่ในการใชบ้ ริการซ้ือยาง (3) ปัจจยั ดา้ นการประกอบธุรกิจประเภทการประกอบธุรกิจของผูใ้ ชบ้ ริการในเขตภาคใตแ้ ละภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือไมม่ ีความสัมพนั ธ์กบั ความถี่ในการใชบ้ ริการซ้ือยาง
-440- (4) ปัจจยั ดา้ นระยะห่าง ระยะห่างจากสาํ นกั งานตลาดกลางยางพาราของผใู้ ชบ้ ริการในเขตภาคใตแ้ ละภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือไม่มีความสมั พนั ธ์กบั ความถ่ีในการใชบ้ ริการซ้ือยาง2. ปัญหาและอุปสรรคในการใช้บริการสํานักงานตลาดกลางยางพารา 2.1 ผู้ขายยาง 1) การจ่ายเงินค่ายางค่อนขา้ งล่าชา้ ตอ้ งรออย่างนอ้ ย 1 – 2 วนั หลงั จากขายยางทาํ ให้ผขู้ ายโดยเฉพาะเกษตรกรชาวสวนยางที่มีโรงรมส่วนตวั มีสภาพคล่องทางการเงินลดลงและหนั ไปขายยางกบั เอกชนมากข้ึน 2) สาํ นกั งานตลาดกลางยางพารามีกระจายไม่ทว่ั ถึง ทาํ ใหผ้ ขู้ ายยางท่ีมีระยะทางไกลไม่มีความสะดวกและความคุม้ ค่าในการขนส่งยางมาขาย ประกอบกบั ราคาประมูลยางของสาํ นกั งานตลาดกลางยางพาราไม่คอ่ ยแตกต่างกบั ราคารับซ้ือยางของเอกชน 3) มีระยะเวลาในการปิ ดลงทะเบียน 11.00 น. เกษตรกรชาวสวนยางรายย่อยท่ีมีโรงรมส่วนตวั จะมาขายยางไม่ค่อยทนั เวลา เน่ืองจากช่วงเช้าตอ้ งรับซ้ือน้ํายางสด ซ่ึงปิ ดรับซ้ือเวลาประมาณ 10.30 น. หลงั จากปิ ดรับซ้ือน้าํ ยางสดจึงจะสามารถนาํ ยางไปขายได้ 4) สาํ นกั งานตลาดกลางยางพาราจงั หวดั สุราษฎร์ธานี ยะลา บุรีรัมย์ และหนองคาย มีปริมาณยางเขา้ ตลาดนอ้ ยทาํ ใหม้ ีผเู้ ขา้ ประมูลนอ้ ยรายส่งผลใหร้ าคาประมูลต่าํ บางคร้ังราคาต่าํ กว่าร้านคา้ เอกชน 5) ระบบซ้ือขายยางล่วงหนา้ ของสาํ นกั งานตลาดกลางยางพาราจงั หวดั นครศรีธรรมราชมีความยงุ่ ยากในการใชง้ าน ผใู้ ชบ้ ริการขายยางยงั ไม่มีความพร้อมในการใชบ้ ริการ 2.2 ผ้ซู ื้อยาง 1) ปริมาณยางดิบค่อนขา้ งนอ้ ยในทุกสาํ นกั งานตลาดกลางยางพาราไม่ค่อยมีความคุม้ ค่าในการขนส่งและสาํ นกั งานตลาดกลางยางพาราจงั หวดั สุราษฎร์ธานี ยะลา หนองคาย และบุรีรัมย์ มีปริมาณยางนอ้ ยไม่เพยี งพอกบั ความตอ้ งการของผซู้ ้ือ 2) สาํ นักงานตลาดกลางยางพาราจงั หวดั หนองคายและบุรีรัมยไ์ ม่มีระบบประมูลทางอิเลก็ ทรอนิกส์ทาํ ใหไ้ ม่สะดวกในการใชบ้ ริการ ส่วนสาํ นกั งานตลาดกลางยางพาราจงั หวดั อื่นๆ ที่มีการประมลู ระบบอิเลก็ ทรอนิกส์กรณีระบบประมูลมีปัญหาขดั ขอ้ งการโทรติดตอ่ แจง้ ราคาประมลูคอ่ นขา้ งยาก 3) สาํ นักงานตลาดกลางยางพาราจงั หวดั สงขลาน้าํ หนกั ยางประมูลกบั น้าํ หนักยางส่งมอบคอ่ นขา้ งคลาดเคลื่อน
-441-3. ข้อเสนอแนะ 3.1 สาํ นกั งานตลาดกลางยางพาราควรมีเงินทุนหมุนเวียนทดรองจ่ายค่ายางเพื่อเสริมสภาพคล่องในการใหบ้ ริการตลาดกลางยางพารา และสามารถตอบสนองตอ่ ความตอ้ งการของผใู้ ชบ้ ริการเนื่องจากเหตุผลประการแรกที่ผูใ้ ชบ้ ริการเลือกขายยางนอกสาํ นกั งานตลาดกลางยางพาราเพราะไดร้ ับเงินสดทนั ทีหลงั จากขายยาง 3.2 สาํ นกั งานตลาดกลางยางพาราควรมีการขยายเวลาการใหบ้ ริการยางแผน่ รมควนั ถึงเวลา14.00 น. เพอื่ ใหเ้ กษตรกรชาวสวนยางรายยอ่ ยท่ีดาํ เนินกิจการรับซ้ือน้าํ ยางสดสามารถนาํ ยางมาขายได้โดยผูท้ ี่ตอ้ งการขายยางหลงั เวลา 11.00 น. ตอ้ งโทรมาแจ้งช่ือและน้าํ หนักยางก่อนเวลาปิ ดประมูล 11.00 น. แต่สามารถนาํ ยางเขา้ ตลาดกลางยางพาราไดถ้ ึงเวลา 14.00 น. เพื่อเป็ นการเพิ่มปริมาณยางเขา้ ตลาดกลางยางพารามากข้ึน และสอดคลอ้ งกบั วถิ ีชีวติ ของเกษตรกรชาวสวนยางรายยอ่ ย 3.3 สาํ นกั งานตลาดกลางยางพาราในเขตภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือควรปรับวิธีการประมูลยางเป็ นแบบอิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากผูใ้ ชบ้ ริการขายยางไม่ค่อยมีความเช่ือมนั่ ในระบบประมูลประกอบกบั ราคาประมลู บางคร้ังต่าํ กวา่ ราคานอกสาํ นกั งานตลาดกลางยางพารา 3.4 สาํ นกั งานตลาดกลางยางพาราจงั หวดั สุราษฎร์ธานี ยะลา หนองคาย และบุรีรัมย์ ควรศึกษาความตอ้ งการของผใู้ ชบ้ ริการเพิม่ เติมเพือ่ นาํ มาปรับกลยทุ ธ์การใหบ้ ริการตลาดใหส้ ามารถดึงความสนใจผูใ้ ชบ้ ริการขายยางและซ้ือยางมาใชบ้ ริการเพ่ิมข้ึนเนื่องจากมีผใู้ ชบ้ ริการค่อนขา้ งนอ้ ยและปี งบประมาณ 2559 มีปริมาณยางเขา้ สาํ นกั งานตลาดกลางยางพาราท้งั 4 แห่ง เพียง 11,932.54ตนั 3.5 สาํ นกั งานตลาดกลางยางพาราจงั หวดั ยะลาและบุรีรัมย์ ควรมีตลาดเครือข่ายตลาดกลางยางพาราในพ้ืนท่ีเพ่ือรับซ้ือยางกอ้ นถว้ ยจากเกษตรกรชาวสวนยางเนื่องจากเกษตรกรชาวสวนยางส่วนใหญ่ปรับเปลี่ยนไปผลิตยางกอ้ นถว้ ยมากข้ึน แต่สาํ นกั งานตลาดกลางยางพาราท้งั 2 แห่ง ไม่สามารถเปิ ดรับซ้ือยางกอ้ นถว้ ยไดเ้ พราะสถานท่ีต้งั สาํ นกั งานอยใู่ นแหล่งชุมชน 3.6 จากผลการศึกษาปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่มีผลต่อการใช้บริการ พบว่าผูใ้ ชบ้ ริการท้งั ผูซ้ ้ือและผูข้ ายให้ความสําคญั กบั ปัจจยั ดา้ นผลิตภณั ฑ์ ราคา ลกั ษณะทางกายภาพ(เครื่องมือ อปุ กรณ์) และกระบวนการบริการ ในระดบั ที่สาํ คญั มากท่ีสุด มีคะแนนสูงกวา่ ปัจจยั ดา้ นอ่ืนๆ ดงั น้นั ในการใหบ้ ริการตลาดกลางยางพาราควรเนน้ ใหค้ วามสาํ คญั กบั ปัจจยั ส่วนประสมทางการตลาดเหล่าน้ีเพ่ือให้ผูใ้ ชบ้ ริการมีความพึงพอใจในการใชบ้ ริการและมีความภกั ดีต่อองคก์ รส่งผลใหม้ าใชบ้ ริการอยา่ งต่อเน่ือง 3.7 ผลการศึกษาผูใ้ ชบ้ ริการสํานักงานตลาดกลางยางพาราในเขตภาคใต้ พบว่า ผูท้ ี่มีอายุมากกว่า 51 ปี มีความถี่ในการมาขายยางไม่เกิน 6 คร้ังต่อเดือน ในสัดส่วนร้อยละ 71.15 ดงั น้นัสํานักงานตลาดกลางยางพาราควรไปแนะนาํ เกี่ยวกบั การผลิตยางพาราให้ไดม้ าตรฐานและให้ขอ้ มลู การบริการกบั บุคคลกลุ่มน้ีใหม้ ีความถี่ในการมาใชบ้ ริการมากข้ึน
-442- 3.8 ผูท้ ี่มีสวนยางต้งั แต่ 50 ไร่ข้ึนไป มีความถี่ในการมาใช้บริการสํานักงานตลาดกลางยางพาราน้อยกว่าผูท้ ี่มีสวนยางนอ้ ยกว่า 50 ไร่ ดงั น้ัน สํานกั งานตลาดกลางยางพาราควรไปให้คาํ แนะนาํ เก่ียวกบั การผลิตยางให้ไดค้ ุณภาพตามมาตรฐานตลาดกลางยางพารา หรือออกพ้ืนท่ีไปสอบถามขอ้ มูลปัญหาและอุปสรรคท่ีทาํ ใหม้ าใชบ้ ริการสาํ นกั งานตลาดกลางยางพารานอ้ ยคร้ังกว่าผทู้ ี่มีสวนยางนอ้ ย 3.9 สาํ นกั งานตลาดกลางยางพาราในเขตภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือควรไปส่งเสริมและให้คาํ แนะนาํ ใหผ้ ใู้ ชบ้ ริการขายยางสามารถผลิตยางไดต้ ามคุณภาพมาตรฐานตลาดกลางยางพารา และควรมีเครือข่ายตลาดกลางยางพารากระจายอย่ทู ว่ั ไปในพ้ืนที่รับผิดชอบในระยะห่างท่ีมากกว่า 40กิโลเมตร เพอ่ื ใหผ้ มู้ าใชบ้ ริการมีความถ่ีในการมาใชบ้ ริการเพมิ่ ข้ึนเนื่องจากในปัจจุบนั ผใู้ ชบ้ ริการมีความถี่ในการใชบ้ ริการนอ้ ยมาก เฉลี่ย 1.90 คร้ังต่อเดือน โดยระยะทางมากกว่า 39 กิโลเมตร มีสัดส่วนความถ่ีในการมาใชบ้ ริการมากกว่า 1 คร้ังต่อเดือน ร้อยละ 60.00 นอ้ ยกว่าผูใ้ ชบ้ ริการท่ีมีระยะห่างไม่เกิน 39 กิโลเมตร มีความถ่ีในการใชบ้ ริการมากกวา่ 1 คร้ังต่อเดือน ร้อยละ 85.29 3.10 สํานักงานตลาดกลางยางพาราในเขตภาคใตค้ วรส่งเสริมให้เกษตรกรชาวสวนยางสามารถผลิตยางให้ไดต้ ามคุณภาพมาตรฐานตลาดกลางยางพารามากข้ึน เพราะผูใ้ ชบ้ ริการส่วนใหญ่เป็ นเกษตรกรชาวสวนยางถึงร้อยละ 62.54 แต่มีความถี่ในการใชบ้ ริการขายยางกบั สาํ นกั งานตลาดกลางยางพาราในเขตภาคใต้ ไม่เกิน 6 คร้ังต่อเดือน ในสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 69.54 และควรมีตลาดเครือข่ายในพ้ืนที่ท่ีมีระยะห่างจากสํานักงานตลาดกลางยางพารามากกว่า 50 กิโลเมตรเน่ืองจากผูท้ ่ีมาใชบ้ ริการขายยางมีระยะห่างจากสํานักงานตลาดกลางยางพาราเฉล่ียเพียง 50.07กิโลเมตร ซ่ึงถา้ ระยะห่างจากสาํ นกั งานตลาดกลางยางพารายงิ่ มากข้ึนแนวโนม้ ความถี่ในการมาใช้บริการยง่ิ ลดลง เอกสารอ้างองิกัลยา วานิชย์บัญชา. 2550. การใช้ SPSS for Windows ในการวิเคราะห์ขอ้ มูล. พิมพค์ ร้ังที่ 10. ภาควิชาสถิติ คณะพาณิชยศาสตร์และการบญั ชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั . กรุงเทพฯ.การะเกด แกว้ มรกต. 2554. ปัจจยั ส่วนประสมทางการตลาดท่ีมีผลต่อการเลือกใชบ้ ริการโรงแรม ของนกั ท่องเที่ยวชาวไทยในจงั หวดั กระบี่. วิทยานิพนธ์ปริญญาบริหารธุรกิจมหาบณั ฑิต มหาวทิ ยาลยั ราชภฎั สุราษฎร์ธานี สุราษฎร์ธานี.ฐิตาภา พรหมสวาสด์ิ. 2555. ปัจจยั ดา้ นส่วนประสมทางการตลาดท่ีมีผลต่อพฤติกรรมการซ้ือ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบาํ รุงสมองและความจาํ ของผูบ้ ริโภคในเขตกรุงเทพมหานคร. ปริ ญญานิพนธ์ หลักสูตรปริ ญญาบริ หารธุรกิจมหาบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการ มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวโิ รฒ กรุงเทพ.
-443-ธงชยั สนั ติวงษ.์ 2540. พฤติกรรมผบู้ ริโภคทางการตลาด. กรุงเทพฯ : ไทยวฒั นาพานิช.ธานินทร์ ศิลป์ จารุ. 2550. การวิจยั และวิเคราะห์ขอ้ มูลทางสถิติดว้ ย SPSS. กรุงเทพฯ : บริษทั วี. อินเตอร์ พริ้นท์ จาํ กดั .ธีรกิติ นวรัตน ณ อยธุ ยา. 2548. การตลาดสาํ หรับการบริการ : แนวคิดและกลยทุ ธ์. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยับุญธรรม กิจปรีดาบริสุทธ์ิ. 2540. ระเบียบวิธีการวิจยั ทางสังคมศาสตร์. (พิมพค์ ร้ังที่ 7). ฉบบั ปรับปรุงใหมล่ ่าสุด. กรุงเทพฯ: เจริญผลประภาเพญ็ สุวรรณ. 2526. ทศั นคติ : การวดั การเปลี่ยนแปลงและพฤติกรรมอนามยั . พิมพค์ ร้ังท่ี 2. กรุงเทพมหานคร : โอเดียนสโตร์.มทั วนั กศุ ลอภิบาล. 2555. ปัจจยั ส่วนประสมทางการตลาดที่มีผลต่อพฤติกรรมการใชบ้ ริการร้าน กาแฟสดของผูบ้ ริโภคในอาํ เภอเมือง จงั หวดั ราชบุรี. การศึกษาอิสระปริญญาบริหารธุรกิจ มหาบณั ฑิต มหาวทิ ยาลยั สยาม. กรุงเทพฯ.มลั ลิกา บุนนาค. 2537. สถิติเพอ่ื การตดั สินใจ. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั . กรุงเทพฯรุ่งนภา บุญคุม้ . 2536. ทศั นคติของพฒั นากรต่อนโยบายการจดั ต้งั ศูนยส์ าธิตการตลาด: กรณีศึกษา ศูนย์ช่วยเหลือทางวิชาการพฒั นาชุมชน เขตท่ี 3. วิทยานิพนธ์ปริญญาโท. สถาบัน บณั ฑิตพฒั นบริหารศาสตร์. กรุงเทพฯ.ลวน สายยศ. 2530. เทคนิคการวดั เจตคติ. กรุงเทพฯ : ภาควชิ าพ้นื ฐานการศึกษา.วิเชียร เกตุสิงห์. 2524. หลกั การสร้างและวิเคราะห์เครื่องมือท่ีใชใ้ นการวิจยั . กรุงเทพฯ : เรือน อกั ษร.ศิริวรรณ เสรีรัตน์ และคณะ. 2541. การบริหารการตลาดยคุ ใหม่. พิมพค์ ร้ังท่ี 1. กรุงเทพฯ: บริษทั ธีระฟิ ลม์ และไซเทก็ ซ์.สมจิตร ลว้ นจาํ เริญ. 2538. พฤติกรรมผบู้ ริโภค. พมิ พค์ ร้ังท่ี 1. กรุงเทพฯ : สาํ นกั พิมพม์ หาวทิ ยาลยั รามคาํ แหง.สราวธุ บุญเก้ือ. 2553. ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งการใชส้ ่วนประสมทางการตลาดกบั พฤติกรรมการใช้ บริการธนาคารไทยพาณิชย์ จาํ กดั (มหาชน) ในเขตจงั หวดั ชยั ภูมิ. วิทยานิพนธ์ปริญญา บริหารธุรกิจมหาบณั ฑิต มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั ชยั ภมู ิ. ชยั ภมู ิ.สาํ นกั งานตลาดกลางยางพารา การยางแห่งประเทศไทย. 2559. สมาชิกผมู้ าใชบ้ ริการสาํ นกั งาน ตลาดกลางยางพารา การยางแห่งประเทศไทย.เสรี วงษม์ ณฑา. 2542. การวเิ คราะห์พฤติกรรมผบู้ ริโภค. กรุงเทพฯ: บริษทั ธีระฟิ ลม์ และไซเทก็ ซ์.
-444-เสรี วงษม์ ณฑา. 2548. การวเิ คราะห์พฤติกรรมผบู้ ริโภค. กรุงเทพฯ: บริษทั ธีระฟิ ลม์ และไซเทก็ ซ์.อทุ ยั หิรัญโต. 2526. สารานุกรมศพั ทส์ ังคมวทิ ยา - มนุษยวิทยา. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์.Allport, G. W. 1968. Reading in attitude theory and measurement. New York: John Welley & Sons.Best, J. W. 1977. Research in education (3rded.). New Jersey: Prentice Hall.Bovee, L. C. 1993. Management. New York: McGraw - Hill.Foster, Charles R.F., & Richard, C. 1952. Psychology of life adjustment. Chicago: America Technical.Freeman, L. 1995. Ogranization Behavioral (7thed.). Singapore.: McGraw Hill.Good, C. V. Ed. 1973. Dictionary of education (3rded.). New York: McGraw-Hill.Hoyer, Wayne D. and Deborah J. MacInnis. 2010. Consumer Behavior (5th Edition). China : SouthWestern CENGAGE Learning.Kolasa, B. J. 1969. Introduction to behavior Science for business. New York: John Wiley & Sons.Kotler, P. 1997. Marketing management : analysis, planning, implementation and control (9thed). New Jersey : A simon& Schuster Company.Kotler, P. 2003. Marketing management (11thed). Upper Saddle River, NJ: Prentice–Hall.Kotler, P. and Gary A. 1996. Principles of Marketing (8thed). Prentice-Hall, Inc.Loudon, D. &Bitta, A.J. 1993. Consumer behavior. (4thed.). New York: McGraw-Hill.Oskamp, S. 1977. Attitude and option. New Jersey: Prentice-Hall.Schiffman, L. G., &Kanuk, L. L. 2000. Consumer behavior (7thed.). Upper Saddle River, N.J Prentice Hall.Triandis H.C. (1971). Attitude and Attitude Change . New York : John Wiley & Sons Inc.
ก๊าซทม่ี กี ลน่ิ เหมน็ จากโรงงานอตุ สาหกรรมยางดบิ ทสี่ ่งผลต่อชุมชนและสภาวะส่ิงแวดล้อม Obnoxious Ador Gases from Rubber Industry Effect on Community and Environment ปรีด์ิเปรม ทศั นกลุ 1 สายใจ วารี1 อนุรักษ์ บุญมาก1 บทคดั ย่อ ทาํ การศึกษาก๊าซท่ีมีกลิ่นเหมน็ จากโรงงานน้าํ ยางขน้ ดว้ ยการเก็บตวั อยา่ งดิน ใบยาง น้าํ และอากาศ จากบริเวณสวนยางของชุมชนที่ติดกบั โรงงานน้าํ ยางขน้ เพ่ือวิเคราะห์สาเหตุจากก๊าซแอมโมเนียท่ีอาจส่งผลกระทบต่อสภาพดิน ชุมชนและสิ่งแวดลอ้ มในพ้ืนท่ีจงั หวดั สงขลา ทาํ การทดลองระหว่างเดือนตุลาคม 2558 – กนั ยายน 2559 เก็บตวั อย่างดิน ใบ น้าํ และอากาศ เป็ นระยะทางต่าง ๆ กนั พบวา่ ดินท่ีอยใู่ กลเ้ คียงกบั โรงงานมีค่า pH โดยเฉล่ีย 3.95 ซ่ึงมีสภาพค่อนขา้ งเป็ นกรด แสดงว่า ก๊าซแอมโมเนียในอากาศไม่ได้ส่งผลกระทบต่อสภาพดินปลูกแต่อย่างไรเน่ืองจากก๊าซแอมโมเนียในอากาศหากทาํ ปฏิกิริยากบั ไอน้าํ ในอากาศหรือหากมีฝนจะทาํ ให้น้าํ มีสภาพเป็ นด่าง จะส่งผลให้ดินมีสภาพเป็ นด่างตามไปดว้ ย จากการเก็บตวั อย่างใบยางพบความผิดปกติของธาตุอาหาร 2 ชนิดคือ ธาตุไนโตรเจน มีอยู่ในระดับสูงมากถึง 5.09 % โดยค่าที่เหมาะสม ไม่เกิน 3.7 % แต่อาจมีผลทาํ ให้ตน้ ยางหกั โค่น เนื่องจากเซลลไ์ ม่แขง็ แรงเพียงพอ และปริมาณแมงกานีส อยู่ในระดบั สูงเช่นกนั มีสะสมในใบถึง 303.52 mg/kg โดยค่าที่เหมาะสมอยู่ระหว่าง 45-150 mg/kg แต่ระดบั ที่เป็ นพิษจะอย่ทู ี่มากกว่า 500 mg/kg ผลการสุ่มเก็บตวั อย่างน้าํบริเวณปากท่อที่ออกจากโรงงาน บริเวณคูน้าํ หนา้ โรงงานและน้าํ ทิ้งก่อนปล่อยลงคลองพบว่าค่าpH อย่ใู นเกณฑม์ าตรฐานน้าํ ทิ้ง (5.5 – 9) ส่วนค่าความสกปรกในเทอม BOD5, COD ปริมาณของแขง็ ในรูปของ TS, TDS และ SS ของน้าํ ท้งั 3 จุดอยใู่ นเกณฑม์ าตรฐานน้าํ ทิ้ง สาํ หรับผลการวิเคราะห์ปริมาณก๊าซแอมโมเนียที่อย่ใู นบรรยากาศพบว่าที่ระยะห่างจากโรงงาน 15 เมตร และ 9เมตร พบปริมาณก๊าซแอมโมเนียเฉลี่ยที่ระดบั 480 mg/l และ 528 mg/l ตามลาํ ดบั ถึงแมว้ า่ บริเวณสวนยางจะอยหู่ ่างจากโรงงานผลิตน้าํ ยางขน้ ไม่มากนกั พบคา่ ปริมาณแอมโมเนียเกินกวา่ มาตรฐานท่ีกาํ หนดในสถานท่ีประกอบการซ่ึงกาํ หนดไวไ้ ม่เกิน 50 mg/l ถึง 10 เท่า นอกจากน้ีบุคคลในครอบครัวของผทู้ ่ีไดร้ ับผลกระทบจาํ นวน 2 ราย พบผวิ หนงั บวมแดง อกั เสบและมีรอยไหมเ้ ร้ือรังซ่ึงมีอาการตรงกบั ขอ้ มลู อนั ตรายท่ีเกิดจากแอมโมเนียโดยกรมโรงงานอตุ สาหกรรม1 ศนู ยบ์ ริการทดสอบรับรองภาคใต้ ต.คอหงส์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา 90110
-446-คาํ สําคญั : อตุ สาหกรรมยางดิบ, โรงงานน้าํ ยางขน้ , กลิ่นเหมน็ บทนํา ปั ญ ห า ก ลิ่ น เ ห ม็น จ า ก โ ร ง ง า น อุ ต ส า ห ก ร ร ม ย า ง ดิ บ ท่ี มัก ส่ ง ผ ล ก ร ะ ท บ ต่ อ ชุ ม ช น แ ล ะสิ่งแวดลอ้ มมากที่สุดมาจากโรงงานน้าํ ยางขน้ รองลงมาคือโรงงานยางแท่ง STR20 สาํ หรับโรงงานน้าํ ยางขน้ กลิ่นเหมน็ เกิดข้ึนจากการใชแ้ อมโมเนียในกระบวนการผลิตและกลิ่นจากบ่อบาํ บดั น้าํ เสียส่วนโรงงานยางแท่งกลิ่นเหม็นเกิดจากการอบยางและจากการหมกั ยางท่ีใชว้ ตั ถุดิบเป็ นเศษยางคุณภาพต่าํ จากขอ้ มูลในปี 2555 ของกรมควบคุมมลพิษมกั ไดร้ ับขอ้ ร้องเรียนกลิ่นเหม็นจากโรงงานอุตสาหกรรมน้าํ ยางขน้ ซ่ึงเป็ นกล่ินเหม็นจากอากาศและจากน้าํ เน่าเสีย พบว่าไดร้ ับขอ้ร้องเรียนติดอนั ดบั 2 จากขอ้ ร้องเรียน 5 อนั ดบั แรกที่มีผรู้ ้องเรียนมากที่สุดและยงั พบวา่ กล่ินเหมน็จากโรงงานยางที่ครอบคลุมท้งั โรงงานยางแท่งและโรงงานยางแผ่นคิดเป็ นร้อยละ 8 ของโรงงานท้งั หมดจากจาํ นวนเกือบ 400 ขอ้ ร้องเรียนที่มกั ปล่อยกลิ่นเหมน็ สร้างความรําคาญซ่ึงส่งผลกระทบดา้ นสุขภาพและสิ่งมีชีวิตใหก้ บั ชุมชนที่อยใู่ กลเ้ คียง ปัจจุบนั พบวา่ มีโรงงานน้าํ ยางขน้ และโรงงานยางแท่งต้งั อยทู่ วั่ ประเทศจาํ นวน 116 แห่งและ 93 แห่ง ตามลาํ ดบั (สถาบนั วิจยั ยาง, 2556) เพิ่มข้ึนจากในช่วง 4 ปี ท่ีผา่ นมา ร้อยละ 17 และร้อยละ 30 ตามลาํ ดบั เน่ืองจากการขยายตวั ดา้ นอุตสาหกรรมยางที่สอดรับกบั ปริมาณการใชย้ างทว่ั โลก จากกระบวนการผลิตน้าํ ยางขน้ ที่มกั ใชแ้ อมโมเนียเป็ นสารรักษาสภาพน้าํ ยาง เนื่องจากมีสมบตั ิในการยบั ย้งั การเจริญเติบโตของแบคทีเรียและช่วยเสริมสถานะแขวนลอยใหน้ ้าํ ยาง ท่ีสาํ คญัแอมโมเนียมีราคาถูกและยงั ไม่ทาํ ใหน้ ้าํ ยางธรรมชาติเปลี่ยนสี แต่ขณะเดียวกนั แอมโมเนียมีขอ้ ดอ้ ยคือเป็ นสารระเหยง่าย เน่ืองจากจุดเดือดสารประมาณ -33°C และมีกลิ่นฉุนรุนแรงเม่ือสารระเหยสู่บรรยากาศ (กรมควบคุมมลพิษ, 2555) นอกจากจะทาํ ใหเ้ กิดมลภาวะทางกลิ่นในสิ่งแวดลอ้ มแลว้ยงั ตอ้ งใชเ้ ป็ นปริมาณมากเพื่อใหส้ ามารถยบั ย้งั การเจริญของแบคทีเรียไดส้ มบูรณ์ อีกท้งั เม่ือไอแอมโมเนียที่ระเหยออกจากน้าํ ยางลอยไปสัมผสั กบั โลหะจึงทาํ ให้โลหะเกิดการกดั กร่อนยิ่งในระบบบาํ บดั น้าํ เสียจากกระบวนการผลิตน้าํ ยางขน้ จะส่งกลิ่นเหม็นของก๊าซไฮโดเจนซัลไฟด์ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ และไนโตรเจนออกไซด์ อีกดว้ ย (ปรีด์ิเปรม, 2554) จากขอ้ เสียดงั กล่าวจึงส่งผลต่อแหล่งชุมชนที่อยใู่ กลเ้ คียง จากการสาํ รวจของปรีด์ิเปรมและคณะ, 2558 พบวา่ ท่ีระยะห่างจากโรงงานน้าํ ยางขน้ เพยี ง 10 เมตร พบระดบั ความเขม้ ขน้ ของก๊าซแอมโมเนียถึง 400 ppm ที่ระดบัดงั กล่าวทาํ ใหร้ ู้สึกไดถ้ ึงกล่ินเหมน็ ท่ีสร้างความรําคาญ นอกจากน้ีมีการปล่อยน้าํ ทิ้งที่มีเศษยางปนอย่ลู งคลองสาธารณะอีกดว้ ย และเมื่อเปรียบเทียบกบั ค่ามาตรฐานของกรมโรงงานอุตสาหกรรม,2553 พบวา่ หากระดบั แอมโมเนียความเขม้ ขน้ ที่ 400 - 700 ppm ส่งผลใหร้ ู้สึกระคายเคือง แสบตาและจมูก กลา้ มเน้ือเกร็ง และหายใจไม่ออก นอกจากน้ีจากการเกบ็ ตวั อยา่ งดินบริเวณที่เกิดอาการผดิ ปกติของใบยางเพือ่ ตรวจสอบปริมาณไนไตรเจนไม่พบปริมาณไนโตรเจนท่ีสูงผดิ ปกติอยา่ งไรก็ตามยงั ตอ้ งมีการตรวจสอบเพิ่มเติม จากการสาํ รวจของคณะผูว้ ิจยั ยงั พบอีกว่าสุขภาพผคู้ นท่ีอาศยัติดกบั โรงงานน้าํ ยางขน้ มีอาการระคายเคือง เป็ นผื่นเร้ือรังบริเวณผิวหนัง ปวดแสบ ปวดร้อน
-447-นอกจากน้ีผลการสาํ รวจเบ้ืองตน้ ของปรีด์ิเปรม, 2558 พบวา่ ตน้ ยางที่อยตู่ ิดกบั โรงงานน้าํ ยางขน้ มีลกั ษณะหกั โค่น เปลือกแตก ทาํ ใหน้ ้าํ ยางไหลเป็นทางต้งั แต่บริเวณเปลือกดา้ นบนลงมาถึงโคนตน้ใบยางเหลือง ร่วงเป็ นจาํ นวนมาก นอกจากน้ีตน้ หญา้ ที่อยู่บริเวณน้ันใบเหี่ยวและเป็ นสีน้าํ ตาลและจากการที่ทรงเมท และคณะ ไดท้ าํ การเก็บตวั อย่างใบยางบริเวณที่ติดกบั โรงงานน้าํ ยางขน้ทดสอบความผิดปกติของธาตุอาหาร 2 ธาตุคือ ธาตุไนโตรเจนและแมงกานิส พบปริมาณไนโตรเจนสะสมในใบถึง 5.09 % ซ่ึงอยู่ในระดับสูงมากโดยค่าท่ีเหมาะสมสําหรับการปลูกยางพาราคือ ไม่เกิน 3.7 % (Pushparajah, 1977) แต่อาจมีผลทาํ ใหต้ น้ ยางหกั โค่น เน่ืองจากเซลลไ์ ม่แข็งแรงเพียงพอ และ ปริมาณแมงกานิส อยู่ในระดบั สูงเช่นกนั มีสะสมในใบถึง 303.52 mg/kgโดยค่าท่ีเหมาะสมอยู่ระหว่าง 45-150 mg/kg แต่ระดับท่ีเป็ นพิษจะอยู่ที่มากกว่า 500 mg/kg(Pushparajah, 1977) นอกจากน้ีงานวิจยั ของ Vines และ Wedding, 1960 รายงานว่า แอมโมเนียที่มีผลโดยตรงต่อกระบวนการเมตาบอลิซึมและกระบวนการหายใจในระดบั เซลลพ์ ืช ซ่ึงเป็นผลทาํ ให้เกิดอาการผดิ ปกติกบั พชื ได้ ระเบียบวธิ ีการวจิ ยัอปุ กรณ์ - Spectrophotometer รุ่น1601 uv/vis ยห่ี อ้ Shimadzu - impinger สาํ หรับเกบ็ ตวั อยา่ งกา๊ ซ - เคร่ืองแกว้ เช่น volumetric flask, beaker, stirring rod, tube, pipette เป็นตน้วธิ ีการ - แผนการปฏิบตั ิงาน (Action Plan) - กรรมวธิ ีการทดลอง 1. เก็บขอ้ มูลโรงงานน้าํ ยางขน้ โดยศึกษากาํ ลงั การผลิต ระยะเวลาการผลิต ทิศทางลมและขอ้ มูลอ่ืน ๆ ที่สาํ คญั 2. เกบ็ ตวั อย่างก๊าซชนิดต่าง ๆ ตามกรรมวธิ ีของ Roger Perry and Robert J. Young,1977 โดยการเก็บตวั อยา่ งอากาศผา่ นสารละลายดูดกลืนปริมาตร 10 มิลลิเมตร ปริมาตรของอากาศที่อณุ หภูมิและความดนั มาตรฐาน (STP) 13.66 ลิตร เป็นเวลา 20 นาที เกบ็ ตวั อยา่ งอากาศทุกชว่ั โมงเป็นเวลา 6 ชว่ั โมง ดงั น้ี แอมโมเนีย โดยวธิ ี Indophenol-blue, ก๊าซ NO2 ดว้ ยวธิ ี TGS – ANSA ,ก๊าซ H2S ดว้ ยวิธีเมทธิลลีนบูล และ SO2 ในอากาศดว้ ยวิธีพาราโรซานิลีน ในบริเวณท่ีติดกบั โรงงานและระยะทางห่างจากโรงงานท่ี 50, 200, 500 เมตร และ 1 กม. ตามลาํ ดบั ตามทิศทางลม ทาํ การเปรียบเทียบกบั สารละลายมาตรฐานแลว้ วิเคราะห์ค่าการดูดกลืนแสงดว้ ยเคร่ืองสเปกโตรโพโตมิเตอร์ 3. วเิ คราะห์ขอ้ มลู ระดบั ความเขม้ ขน้ ของก๊าซแอมโมเนีย, NO2 และ SO2 เปรียบเทียบกบัคุณภาพอากาศ WHO และประกาศของกระทรวงมหาดไทย
-448- เวลาและสถานที่ระยะเวลา ตุลาคม 2557 - กนั ยายน 2560สถานที่ดาํ เนินการ โรงงานน้าํ ยางขน้ จ.สงขลา ผลการทดลองและวจิ ารณ์ข้อมูลทว่ั ไป สวนยางของผูท้ ่ีไดร้ ับผลกระทบต้งั อย่ทู ี่ตาํ บลสาํ นกั ขาม อาํ เภอสะเดา จงั หวดั สงขลา มีขนาด 26 ไร่ อยทู่ างทิศตะวนั ตกเฉียงใตต้ ิดกบั บริษทั แห่งหน่ึงซ่ึงเป็ นผูผ้ ลิตน้าํ ยางยางขน้ (ภาพที่ 1)สวนยางประกอบดว้ ยยางพนั ธุ์ RRIM 600 และพนั ธุ์ GT 1 ร้อยละ 24.4 และ 75.6 ของพ้ืนท่ีท้งั หมด คิดเป็นตน้ ยางรวม 1,276 ตน้ ตน้ ยางดงั กล่าวมีอายปุ ระมาณ 30 ปี และไดม้ ีการปลูกสร้างก่อนที่บริษทั จะไดก้ ่อต้งั ข้ึนเม่ือปี 2537 ซ่ึงก่อนหนา้ น้ีบริษทั ไดผ้ ลิตยางแผน่ รมควนั จากการสาํ รวจสภาพทว่ั ไปพบว่าบริเวณสวนยางที่อยตู่ ิดกบั โรงงานในส่วนท่ีผลิตน้าํ ยางขน้ และยางสกิมจะไดร้ ับกลิ่นแอมโมเนียอยา่ งชดั เจน ถึงแมว้ า่ ตน้ ยางที่อยหู่ ่างจากโรงงานเป็นระยะถึง 140 เมตร แลว้ กต็ ามมีสภาพยนื ตน้ ตาย หลุมวา่ ง เปลือกบริเวณลาํ ตน้ และก่ิงแตก น้าํ ยางไหลเป็ นทางต้งั แต่ก่ิงดา้ นบน(ภาพที่ 2) บางตน้ ก่ิงขนาดใหญ่หกั โค่น เปลือกดาํ บางตน้ ลาํ ตน้ หกั ท้งั น้ีหลุมวา่ งสาเหตุจากตน้ ตายปลูกซ่อมแต่ก็ตายอีกถึงร้อยละ 26.8 ตน้ ที่มีอาการเปลือกแห้ง และยนื ตายมีสัดส่วนร้อยละ 13.9และ 2.3 ตามลาํ ดบั กรีดไดแ้ ต่ลาํ ตน้ หกั ร้อยละ 3.2 รวมท่ีมีอาการดงั กล่าวร้อยละ 46.2 ส่วนตน้ ยางท่ีกรีดไดม้ ีร้อยละ 53.8 คิดเป็ นตน้ ยางที่กรีดไดน้ ้าํ ยางมาก ปานกลาง และนอ้ ย ในสัดส่วนร้อยละ0.47, 3.5 และ 49.8 ตามลาํ ดบั (ตารางท่ี 1) อยา่ งไรกต็ ามผลกระทบของตน้ ยางดงั กล่าวไม่สามารถระบุได้ว่าเกิดจากก๊าซแอมโมเนียหรือไม่ ควรให้ผูท้ ี่มีความเชี่ยวชาญทาํ การตรวจสอบเพ่ือหาขอ้ เทจ็ จริงต่อไป การวิจยั ไดท้ าํ การเก็บตวั อยา่ งก๊าซแอมโมเนียในอากาศจาํ นวน 2 จุด จุดแรกเก็บตวั อย่างก๊าซแอมโมเนีย ณ บริษทั แห่งน้ี เวลา 08.30 น., 09.30 น., 10.30 น., 11.30 น. และ 12.30 น. รวม5 คร้ัง โดยเก็บบริเวณสวนยางด้านทิศตะวนั ตกเฉียงใต้ของโรงงานห่างจากผนังโรงงานเป็ นระยะทาง 15 เมตร จุดที่สองเกบ็ ตวั อยา่ งก๊าซแอมโมเนีย เวลา 08.30 น. 09.30 น. 10.30 น. 11.30 น.และ 12.30 น. รวม 5 คร้ัง เช่นเดียวกนั โดยเกบ็ ห่างจากโรงงานเป็นระยะทาง 9 เมตรผลการสํารวจดินบริเวณสวนยางกบั ความสัมพนั ธ์ของก๊าซแอมโมเนียในอากาศ จากการสุ่มเกบ็ ตวั อยา่ งดินรวมจาํ นวน 5 ตวั อยา่ งที่ระดบั ความลึก 15 - 30 เซนติเมตร (ภาพท่ี 3)และส่งตวั อย่างวิเคราะห์ที่สาํ นกั วิจยั และพฒั นาการเกษตร เขตท่ี 8 จงั หวดั สงขลา พบวา่ ดินมี pHอยรู่ ะหว่าง 3.70 – 4.05 เฉล่ีย 3.95 ซ่ึงมีสภาพค่อนขา้ งเป็นกรดเมื่อเทียบกบั ดินท่ีเหมาะสมกบั การ
-449-ปลูกยางพาราควรมี pH ระหว่าง 4.5 – 5.5 แสดงวา่ ก๊าซแอมโมเนียในอากาศไม่ไดส้ ่งผลกระทบต่อสภาพดินปลกู แต่อยา่ งไร ปริมาณอินทรียวตั ถุในดินท่ีทาํ การวิเคราะห์อยู่ในช่วง 0.50 – 1.45% เฉลี่ย 0.89% ซ่ึงปริมาณอินทรียวตั ถุท่ีเหมาะสมควรอยู่ที่ระดับ 1.0 – 2.5% โดยจะมีความสัมพนั ธ์กับปริมาณไนโตรเจนดว้ ยเช่นกนั ท้งั น้ีปริมาณไนโตรเจนที่ทาํ การสาํ รวจอยใู่ นช่วง 0.02 – 0.07% เฉล่ีย 0.04% ซ่ึงปริมาณไนโตรเจนที่เหมาะสมควรอยทู่ ่ีระดบั 0.11 – 0.25% ดงั น้นั สภาพดินโดยทวั่ ไปจะมีท้งั ปริมาณอินทรียวตั ถุและปริมาณไนโตรเจนต่าํ กว่าค่าความเหมาะสมของดินที่ใชป้ ลูกยางพาราสวนยางแห่งน้ีจึงให้ผลผลิตน้าํ ยางที่ค่อนขา้ งนอ้ ย ปริมาณฟอสฟอรัสและปริมาณโพแทสเซียมอยู่ในช่วง 1.56 – 3.03 mg/kg เฉลี่ย 2.36 mg/kg และในช่วง 1.0 – 5.0 mg/kg เฉลี่ย 3.34 mg/kg ตามลาํ ดบัท้งั น้ีปริมาณฟอสฟอรัสจะมีความสมั พนั ธ์โดยตรงกบั ปริมาณโพแทสเซียม หากปริมาณฟอสฟอรัสมีค่าสูงปริมาณโพแทสเซียมจะมีคา่ สูงตามไปดว้ ย สวนยางแห่งน้ีมีค่าปริมาณฟอสฟอรัสค่อนขา้ งต่าํมากเมื่อเปรียบเทียบกบั สภาพดินทว่ั ไปทางภาคใตซ้ ่ึงมีค่าเฉล่ีย 189 mg/kg และระดบั ปริมาณฟอสฟอรัสที่เหมาะสมควรอยทู่ ่ีระดบั มากกวา่ 30 mg/Kg ขณะท่ีปริมาณโพแทสเซียมที่เหมาะสมควรอยใู่ นช่วง 40 – 60 mg/Kg สาํ หรับปริมาณแคลเซียมและปริมาณแมกนีเซียมในดินแปลงน้ีมีคา่ โดยเฉลี่ย 0.08 cmol/kgและ 0.028 cmol/kg ตามลาํ ดบั ขณะท่ีค่าปริมาณแคลเซียมและปริมาณแมกนีเซียมที่เหมาะสมควรอยทู่ ่ีระดบั มากกวา่ 0.30 cmol/Kg และมากกวา่ 0.30 cmol/Kg ตามลาํ ดบั ซ่ึงธาตุอาหารท้งัสองชนิดน้ีจะมีความสัมพนั ธ์กบั pH ของดิน ถา้ ดินมี pH ต่าํ กวา่ 4.5 ความสามารถในการละลายของธาตอุ าหารในดินกจ็ ะต่าํ มากตามไปดว้ ย (นุชนารถ, 2556) ดงั ตารางท่ี 2 ดงั น้นั กา๊ ซแอมโมเนียในอากาศหากทาํ ปฏิกิริยากบั ไอน้าํ ในอากาศหรือหากมีฝนจะทาํ ใหน้ ้าํมีสภาพเป็ นด่าง และจะส่งผลให้ดินมีสภาพเป็ นด่างตามไปดว้ ยและจะมีความสัมพนั ธ์กบั ธาตุอาหารที่อยู่ในดินไม่ว่าจะเป็ นแคลเซียม โพแทสเซียม และแมกนีเซียมรวมท้ังจุลธาตุท่ีเป็ นประโยชนต์ ่อพชื ดว้ ยผลการเกบ็ ตัวอย่างใบยาง ปริมาณธาตุอาหารในใบยางจากรายงานของสถาบนั วิจยั ยาง, 2556 กล่าวว่าปริมาณธาตุอาหารในดินมีความสัมพนั ธ์ กบั ปริมาณธาตุอาหารในใบยาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งปริมาณธาตุไนโตรเจน ฟอสฟอรัส แคลเซียม แมกนีเซียม และสังกะสี ที่มีอยใู่ นดินมีความสัมพนั ธ์ในทิศทางเดียวกนั อยา่ งมีนยั สาํ คญั ทางสถิติกบั ปริมาณธาตุอาหารเหล่าน้ี ในใบยาง จากการสุ่มเกบ็ ตวั อยา่ งพืชรวมจาํ นวน 5 ตวั อยา่ ง เกบ็ ตามวธิ ีมาตรฐาน (สถาบนั วจิ ยั ยาง, 2556) โดยมีระยะห่างจากโรงงาน 1,5, 10, 20 และ 150 เมตร พบวา่ ปริมาณไนโตรเจนท่ีทาํ การเกบ็ อยใู่ นช่วง 4.24 – 5.98% เฉลี่ย5.09 % ซ่ึงมีค่าสูงมาก โดยค่าที่เหมาะสมอยรู่ ะหวา่ ง 3.3 – 3.7 % ปริมาณฟอสฟอรัสท่ีทาํ การเก็บอยู่ในช่วง 0.11 – 0.3% เฉลี่ย 0.18 % โดยค่าท่ีเหมาะสมอยู่ระหว่าง 0.2 – 0.25 % มีปริมาณฟอสฟอรัสในแปลงค่อนขา้ งต่าํ ปริมาณโพแทสเซียมที่ทาํ การเก็บอยู่ในช่วง 0.5 – 3.13% เฉล่ีย1.29 % โดยค่าที่เหมาะสมอย่รู ะหว่าง 1.35 – 1.65 % มีปริมาณโพแทสเซียมในแปลงค่อนขา้ งต่าํ
-450-ปริมาณแคลเซียมที่ทาํ การเกบ็ อยใู่ นช่วง 0.68 – 0.95% เฉล่ีย 0.83% โดยค่าท่ีเหมาะสมอยรู่ ะหวา่ ง0.2 – 1.0 % มีปริมาณแคลเซียมในระดบั ที่เหมาะสมกบั การปลูกยาง ปริมาณแมกนีเซียมท่ีทาํ การเก็บอยใู่ นช่วง 0.14 – 0.32% เฉลี่ย 0.23 % โดยค่าท่ีเหมาะสมอย่รู ะหว่าง 0.2 – 0.25 % มีปริมาณแมกนีเซียมในระดบั ท่ีเหมาะสมกบั การปลูกยาง ปริมาณเหลก็ ท่ีทาํ การเก็บอยใู่ นช่วง 75.45 – 102.35mg/kg เฉล่ีย 87.22 mg/kg โดยค่าท่ีเหมาะสมอยรู่ ะหวา่ ง 50 – 250 mg/kg มีปริมาณเหลก็ ในระดบัที่เหมาะสมกบั การปลูกยาง ปริมาณแมงกานีสที่ทาํ การเก็บอยใู่ นช่วง 136.87– 454.94 mg/kg เฉล่ีย303.52 mg/kg โดยค่าที่เหมาะสมอยรู่ ะหวา่ ง 45 - 150 mg/kg มีปริมาณแมงกานีสในระดบั ที่สูงปริมาณสงั กะสีท่ีทาํ การเกบ็ อยใู่ นช่วง 21.68 – 39.79 mg/kg เฉล่ีย 28.76 mg/kg โดยค่าท่ีเหมาะสมอยรู่ ะหวา่ ง 25 – 150 mg/kg มีปริมาณสงั กะสีในระดบั ที่เหมาะสมกบั การปลกู ยาง ปริมาณทองแดงที่ทาํ การเกบ็ อยใู่ นช่วง 4.85 – 8.80 mg/kg เฉล่ีย 6.73 mg/kg โดยค่าท่ีเหมาะสมอยรู่ ะหวา่ ง 4 – 20mg/kg มีปริมาณทองแดงในระดบั ท่ีเหมาะสมกบั การปลูกยาง ปริมาณธาตุอาหารในใบส่วนใหญ่จะอย่ใู นระดบั ค่อนขา้ งต่าํ และเหมาะสมต่อการปลูกยางพารา มีเพียง 2 ธาตุคือ ไนโตรเจน และแมงกานีส ที่มีระดบั ธาตุอาหารค่อนขา้ งสูงมาก (ตารางท่ี 3)ผลการวเิ คราะห์นํ้าเสียทป่ี ล่อยออกจากโรงงานนํ้ายางข้น ทาํ การเก็บตวั อยา่ งน้าํ เสียที่ออกจากโรงงานน้าํ ยางขน้ 3 จุด จุดแรกคือ น้าํ บริเวณปากท่อท่ีออกจากโรงงาน จุดท่ี 2 น้าํ บริเวณคูน้าํ หนา้ โรงงาน (ภาพที่ 4) จุดที่ 3 น้าํ ทิ้งก่อนปล่อยลงคลองหน่าํ ฮว่ั เพ่ือมาวเิ คราะห์ค่า pH ค่าความสกปรกในเทอม BOD5 และ COD ปริมาณของแขง็ท้งั หมด (TS) ปริมาณของแขง็ ท่ีละลายได้ (TDS) และปริมาณตะกอนแขวนลอย (SS) เพ่ือนาํ มาเปรียบเทียบกบั สมบตั ิตามมาตรฐานน้าํ ทิ้ง ผลการสุ่มเกบ็ ตวั อยา่ งน้าํ พบวา่ ค่า pH ของน้าํ บริเวณปากท่อที่ออกจากโรงงาน น้าํ บริเวณคูน้าํ หนา้ โรงงานและน้าํ ทิ้งก่อนปล่อยลงคลองมีค่าอยใู่ นช่วง 5.7 – 6.9 ซ่ึงอยใู่ นเกณฑม์ าตรฐานน้าํทิ้ง (5.5 – 9) ผลจากการวิเคราะห์ค่า pH ของตวั อยา่ งน้าํ ดงั กล่าวสามารถสรุปไดว้ ่า น้าํ เสียจากโรงงานน้าํ ยางขน้ ไม่มีส่วนทาํ ให้ดินบริเวณสวนยางของนายวชิรพงษ์ วิสุทธิกุลพนั ธ์ เกิดสภาพความเป็ นกรด ส่วนค่าความสกปรกในเทอม BOD5 ของน้าํ เสียบริเวณปากท่อท่ีออกจากโรงงานและน้าํ เสียหนา้ โรงงานมีค่าเท่ากบั 306 mg/l และ24 mg/l ตามลาํ ดบั สาํ หรับน้าํ ทิ้งก่อนปล่อยลงคลองเท่ากบั 12 mg/l ซ่ึงอยใู่ นเกณฑม์ าตรฐานน้าํ ทิ้ง (<20 mg/l) ส่วนค่า COD ของน้าํ เสียบริเวณปากท่อที่ออกจากโรงงานและน้าํ เสียหนา้ โรงงานมีค่าเกินมาตรฐานโดยอยทู่ ่ีระดบั 481 mg/l และ190 mg/l ตามลาํ ดบั แต่ท้งั น้ี COD ของน้าํ ทิ้งก่อนปล่อยลงคลองเท่ากบั 81.6 mg/l ยงั อยใู่ นเกณฑ์มาตรฐานน้าํ ทิ้ง (<120 mg/l) นอกจากน้ีคา่ ปริมาณของแขง็ ในรูปของ TS, TDS และ SS ของน้าํ ท้งั3 จุดอยใู่ นเกณฑม์ าตรฐานน้าํ ทิ้ง (ตารางท่ี 4)ผลการวเิ คราะห์ก๊าซแอมโมเนียในอากาศ ทาํ การเกบ็ ตวั อยา่ งก๊าซแอมโมเนียในอากาศจาํ นวน 2 จุด (ภาพที่ 5) จุดแรกเกบ็ ตวั อยา่ งก๊าซแอมโมเนียวนั ท่ี 12 ธนั วาคม 2558 เวลา 08.30 น., 09.30 น., 10.30 น., 11.30 น. และ 12.30 น. รวม5 คร้ัง โดยเก็บบริเวณสวนยางดา้ นทิศตะวนั ตกเฉียงใตข้ องโรงงานห่างจากผนังโรงงานเป็ น
-451-ระยะทาง 15 เมตร จุดท่ีสองเก็บตวั อย่างก๊าซแอมโมเนียวนั ที่ 13 ธันวาคม 2558 เวลา 08.30 น.09.30 น. 10.30 น. 11.30 น. และ 12.30 น. รวม 5 คร้ัง เช่นเดียวกนั โดยเก็บห่างจากโรงงานเป็ นระยะทาง 9 เมตร ทาํ การวเิ คราะห์ปริมาณก๊าซแอมโมเนียโดยวิธี Indophenol-blue (Roger Perry,1977) ผลการวิเคราะห์ปริมาณก๊าซแอมโมเนียในอากาศจากบริเวณห่างจากโรงงานเป็ นระยะทาง15 เมตร พบปริมาณก๊าซแอมโมเนียโดยเฉลี่ย 480 mg/l ที่อุณหภูมิและปริมาณความช้ืนสัมพทั ธ์โดยเฉลี่ย 30.2°C และ 79.6%RH ตามลาํ ดบั (ตารางที่ 5) และบริเวณห่างจากโรงงานเป็นระยะทาง9 เมตร พบปริมาณแอมโมเนียโดยเฉลี่ย 528 mg/l ที่อณุ หภมู ิและปริมาณความช้ืนสัมพทั ธ์โดยเฉล่ีย30.5°C และ 67.4%RH ตามลาํ ดบั (ตารางท่ี 6) อย่างไรก็ตามกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้ มไม่ไดก้ าํ หนดมาตรฐานคุณภาพอากาศจากแหล่งกาํ เนิดสาํ หรับปริมาณก๊าซแอมโมเนียไว้ แต่ประกาศของกระทรวงมหาดไทย (2515) ไดก้ าํ หนดค่าปลอดภยั ในการทาํ งานเกี่ยวกบั ภาวะแวดลอ้ ม (สารเคมี) กาํ หนดให้ปริมาณความเขม้ ขน้ ของสารเคมีไวใ้ นหมวด 1 ขอ้ 2 “ตลอดระยะเวลาทาํ งานปกติภายในสถานท่ีประกอบการที่ใหล้ ูกจา้ งทาํ งานจะมีในบรรยากาศของการทาํ งานโดยเฉลี่ยเกินกวา่ ท่ีกาํ หนดไวใ้ นตารางหมายเลข 1 ทา้ ยประกาศน้ีมิได”้ท้งั น้ีปริมาณก๊าซแอมโมเนียที่อย่ใู นบรรยากาศบริเวณสวนยางที่อย่ตู ิดกบั โรงงานน้าํ ยางขน้ ซ่ึงใช้แอมโมเนียเป็ นสารรักษาสภาพน้นั ไดก้ ระจายไปทวั่ ยงั บริเวณสวนยางของนายวชั รพงค์ วิสุทธิกุลพนั ธ์ โดยพบว่าที่ระยะห่างจากโรงงาน 15 เมตร และ 9 เมตร พบปริมาณก๊าซแอมโมเนียเฉล่ียท่ีระดบั 480 mg/l และ 528 mg/l ตามลาํ ดบั ถึงแมว้ า่ บริเวณสวนยางจะอยหู่ ่างจากโรงงานผลิตน้าํ ยางขน้ ไม่มากนกั ยงั พบค่าปริมาณแอมโมเนียเกินกว่ามาตรฐานท่ีกาํ หนดในสถานท่ีประกอบการซ่ึงกาํ หนดไวไ้ ม่เกิน 50 mg/l (ตารางท่ี 7)ผลกระทบต่อสุขภาพจากการสัมผสั ก๊าซแอมโมเนีย ในโรงงานผลิตน้ํายางข้นนิยมใช้แอมโมเนียเป็ นสารรักษาสภาพน้ํายางเนื่องจากมีประสิทธิภาพสูงสามารถรักษาสภาพน้าํ ยางสดไดน้ านกว่า 48 ชว่ั โมงที่ระดบั ความเขม้ ขน้ 0.4%และสามารถรักษาสภาพน้าํ ยางขน้ ไดน้ านนบั ปี ท่ีระดบั ความเขม้ ขน้ มากกว่า 0.6% (ปรีด์ิเปรม,2556) นอกจากน้ียงั มีราคาถูกเม่ือเปรียบเทียบกับสารรักษาสภาพน้ํายางชนิดอ่ืน ๆ แต่การนําแอมโมเนียมาใชจ้ ะตอ้ งระมดั ระวงั เป็นพเิ ศษเน่ืองจากมีความเป็นพิษในตวั เอง ทาํ ใหผ้ ทู้ ่ีปฏิบตั ิงานในบริเวณใกลเ้ คียงไดร้ ับผลกระทบต่อสุขภาพได้ แอมโมเนียในสถานะก๊าซเป็ นก๊าซที่ไม่มีสี มีกลิ่นฉุนรุนแรงและละลายน้าํ ไดด้ ี มีฤทธ์ิกดั กร่อนสูง ก๊าซแอมโมเนียจะเบากว่าอากาศแต่เมื่อรวมตวั กบั ความช้ืนในอากาศจะหนกั กวา่ อากาศ แต่ก๊าซแอมโมเนียท่ีตรวจพบในอากาศอยทู่ ่ีระดบั480 mg/l - 528 mg/l สูงกวา่ มาตรฐานที่กาํ หนดในสถานท่ีประกอบการประมาณ 10 เท่า นอกจากน้ีอตั ราความเขม้ ขน้ ที่ตรวจพบไดส้ ่งผลกระทบต่อสุขภาพของบุคคลที่อยใู่ กลเ้ คียง ซ่ึงมีความรู้สึกได้ถึงกลิ่นท่ีค่อนขา้ งรุนแรงแสบตา แสบจมูกและรู้สึกระคายเคือง (ตามตาราง 8) อยา่ งไรกต็ ามพบบคุ คลในครอบครัว 2 ราย รายที่หน่ึงเพศชายอายุ 27 ปี มีอาการบวมแดง ผิวหนงั อกั เสบบริเวณหนา้แขง้ ขา้ งขวา หวั เลบ็ ดาํ มีอาการต้งั แต่อายุ 15 ปี ปัจจุบนั ยงั อาศยั อยกู่ บั นายวชิรพงค์ วิสุทธิกลุ พนั ธ์(ภาพที่ 6) รายท่ีสองเพศหญิงอายุ 30 ปี มีอาการบวมแดง ผิวหนังอกั เสบและมีรอยไหมบ้ ริเวณ
-452-นิ้วกลางดา้ นซา้ ย โดยมีอาการต้งั แต่อายุ 17 ปี ปัจจุบนั ยงั อาศยั อย่กู บั นายวชิรพงค์ วิสุทธิกุลพนั ธ์(ภาพที่ 7) ท้งั สองรายไดไ้ ปพบแพทยเ์ ป็นระยะ ๆ แต่แพทยไ์ ม่สามารถระบุสาเหตุของอาการได้ ซ่ึงท้งั สองรายไดพ้ บอาการเช่นเดียวกบั ที่ระบุไวใ้ นตารางที่ 9 สรุปผลการวจิ ยั และข้อเสนอแนะ บริเวณสวนยางของผทู้ ่ีไดร้ ับผลกระทบมีขนาด 26 ไร่ ต้งั อยตู่ ิดกบั บริษทั แห่งหน่ึงในตาํ บลสาํ นกั ขาม อาํ เภอสะเดา จงั หวดั สงขลา ไดร้ ับผลกระทบจากก๊าซแอมโมเนียในโรงงานท่ีใชใ้ นการรักษาสภาพน้าํ ยาง ไดป้ ล่อยกลิ่นสร้างความรําคาญ ความเดือดร้อนและอาการเจ็บป่ วยของบุคคลที่อยู่ในบา้ น จากการตรวจสอบพบว่าตน้ ยางบริเวณเปลือกลาํ ตน้ และก่ิงแตก น้าํ ยางไหลเป็ นทางต้งั แต่กิ่งดา้ นบน บางตน้ กิ่งขนาดใหญ่หกั โค่น เปลือกดาํ บางตน้ ลาํ ตน้ หกั และอาการเปลือกแหง้รวมร้อยละ 46.2 ท่ีเหลือเป็ นตน้ ยางกรีดไดแ้ ต่ใหน้ ้าํ ยางค่อนขา้ งนอ้ ยถึงร้อยละ 49.8 นอกจากน้ีผวู้ จิ ยั /1(1-4) ไดท้ าํ การเกบ็ ตวั อยา่ งดิน น้าํ และอากาศเพอื่ วเิ คราะหส์ าเหตจุ ากก๊าซแอมโมเนียท่ีอาจส่งผลกระทบต่อสภาพดิน ชุมชนและสิ่งแวดลอ้ มหรือไม่อยา่ งไร จากการสุ่มเก็บตวั อยา่ งดินพบว่าดินมีค่า pH โดยเฉล่ีย 3.95 ซ่ึงมีสภาพค่อนขา้ งเป็ นกรดเม่ือเทียบกบั ดินท่ีเหมาะสมกบั การปลูกยางพาราควรมี pH ระหว่าง 4.5 – 5.5 แสดงว่า ก๊าซแอมโมเนียในอากาศไม่ไดส้ ่งผลกระทบต่อสภาพดินปลูกแต่อยา่ งไร เนื่องจากก๊าซแอมโมเนียในอากาศหากทาํ ปฏิกิริยากบั ไอน้าํ ในอากาศหรือหากมีฝนจะทาํ ให้น้ํามีสภาพเป็ นด่าง จะส่งผลให้ดินมีสภาพเป็ นด่างตามไปด้วยและจะมีความสัมพนั ธ์กบั ธาตุอาหารท่ีอยใู่ นดินไม่วา่ จะเป็ นแคลเซียม โพแทสเซียม และแมกนีเซียมที่เป็นประโยชนต์ ่อพชื ดว้ ยเช่นกนั นอกจากน้ีคา่ pH ของตวั อยา่ งน้าํ เสียจากโรงงานน้าํ ยางขน้ ไมม่ ีส่วนทาํใหด้ ินบริเวณสวนยางของนายวชิรพงค์ วสิ ุทธิกลุ พนั ธ์ เกิดสภาพความเป็นกรด ผลจากการเก็บตวั อยา่ งใบยาง ในแปลงยางพาราแปลงน้ี ก๊าซแอมโมเนียในอากาศไม่ไดเ้ ขา้ไปรบกวนสมดุลธาตุอาหารท่ีพืชสามารถนาํ ไปใชไ้ ดใ้ นดินและพืช ส่วนในพชื มีความผดิ ปกติของธาตุอาหาร 2 ธาตุคือ ธาตุไนโตรเจนในใบ มีอยู่ในระดบั สูงมากโดยมีไนโตรเจนสะสมในใบถึง5.09 % โดยค่าท่ีเหมาะสมสาํ หรับการปลกู ยางพาราคือ ไม่เกิน 3.7 % (Pushparajah, 1977) แต่อาจมีผลทาํ ใหต้ น้ ยางหกั โค่น เนื่องจากเซลลไ์ ม่แขง็ แรงเพียงพอ และ ปริมาณแมงกานิส อยใู่ นระดบั สูงเช่นกนั มีสะสมในใบถึง 303.52 mg/kg โดยค่าที่เหมาะสมอยู่ระหว่าง 45-150 mg/kg แต่ระดบั ท่ีเป็นพษิ จะอยทู่ ่ีมากกวา่ 500 mg/kg (Pushparajah, 1977) ผดู้ าํ เนินการเกบ็ ตวั อยา่ ง 1/(5) มีความเห็นวา่ ก๊าซแอมโมเนียที่มีอยใู่ นอากาศที่มีอยใู่ นปริมาณท่ีค่อนขา้ งสูงภายในสวนยางพาราของผทู้ ่ีไดร้ ับผลกระทบไม่ไดเ้ ป็ นสาเหตุหลกั ของการเปลี่ยนแปลงสมดุลธาตุอาหารในดิน และในพืช แต่ตามรายงานของ Vines และ Wedding, 1960 รายงานวา่ แอมโมเนียที่มีผลโดยตรงต่อกระบวนการเมตาบอลิซึมและกระบวนการหายใจในระดบั เซลลพ์ ชื ซ่ึงเป็นผลทาํ ใหเ้ กิดอาการผดิ ปกติกบั พชื ได้ ผลการสุ่มเก็บตวั อยา่ งน้าํ บริเวณปากท่อที่ออกจากโรงงาน บริเวณคูน้าํ หนา้ โรงงานและน้าํทิ้งก่อนปล่อยลงคลองพบวา่ ค่า pH อยใู่ นเกณฑม์ าตรฐานน้าํ ทิ้ง (5.5 – 9) ส่วนค่าความสกปรกในเทอม BOD5, COD ปริมาณของแขง็ ในรูปของ TS, TDS และ SS ของน้าํ ท้งั 3 จุดอยใู่ นเกณฑ์มาตรฐานน้าํ ทิ้ง
-453- สาํ หรับผลการวเิ คราะห์ปริมาณกา๊ ซแอมโมเนียที่อยใู่ นบรรยากาศบริเวณสวนยางที่อยตู่ ิดกบัโรงงานน้าํ ยางขน้ น้นั ก๊าซแอมโมเนียไดก้ ระจายไปทว่ั ยงั บริเวณสวนยางของผทู้ ี่ไดร้ ับผลกระทบโดยพบว่าท่ีระยะห่างจากโรงงาน 15 เมตร และ 9 เมตร พบปริมาณก๊าซแอมโมเนียเฉลี่ยที่ระดบั480 mg/l และ 528 mg/l ตามลาํ ดบั ถึงแมว้ า่ บริเวณสวนยางจะอยหู่ ่างจากโรงงานผลิตน้าํ ยางขน้ ไม่มากนกั พบค่าปริมาณแอมโมเนียเกินกวา่ มาตรฐานท่ีกาํ หนดในสถานท่ีประกอบการซ่ึงกาํ หนดไว้ไม่เกิน 50 mg/l ถึง 10 เท่า นอกจากน้ีบุคคลในครอบครัวของผทู้ ่ีไดร้ ับผลกระทบจาํ นวน 2 รายพบผิวหนังบวมแดง อกั เสบและมีรอยไหมเ้ ร้ือรัง ซ่ึงมีอาการตรงกบั ขอ้ มูลอนั ตรายท่ีเกิดจากแอมโมเนียโดยกรมโรงงานอุตสาหกรรม การนําผลงานวจิ ยั ไปใช้ประโยชน์ 1. ทราบระดบั ความเขม้ ขน้ ของสารท่ีมีกล่ินเหม็นชนิดต่าง ๆ จากโรงงานน้าํ ยางขน้เปรียบเทียบกบั คา่ มาตรฐานคุณภาพอากาศขององคก์ ารอนามยั โลกและของกระทรวงมหาดไทย 2. ทราบผลกระทบของก๊าซที่มีกลิ่นเหม็นจากโรงงานอุตสาหกรรมต่อชุมชนและสิ่งแวดลอ้ มเพ่ือเป็ นการเฝ้ าระวงั มิใหโ้ รงงานอุตสาหกรรมยางดิบปล่อยก๊าซที่มีกลิ่นชนิดต่าง ๆ ที่อาจสร้างความเดือดร้อนให้กบั ชุมนชนรวมกบั ผูค้ นที่ทาํ งานในโรงงานอุตสาหกรรมเพื่อสิทธิประโยชนข์ องผทู้ ่ีเกี่ยวขอ้ งโดยตรง 3. ไดแ้ นวทางใหโ้ รงงานน้าํ ยางขน้ แกไ้ ขในส่วนที่ก่อใหเ้ กิดมลภาวะทางอากาศและน้าํ เอกสารอ้างองิกรมควบคุมมลพิษ ศูนย์ข้อมูลวัตถุอันตรายและเคมีภัณฑ์. 2555. เขา้ ถึงได้จาก http://msds.pcd.go.th/searchName.asp?vID=95.กรมโรงงานอุตสาหกรรม. 2553. คู่มือการจดั การสารเคมีอนั ตรายสูง: แอมโมเนีย. โครงการจดั ทาํ คู่มือกํากับดูแลสถานประกอบการ (คู่มือด้านความปลอดภัยโรงงาน) กรมโรงงาน อตุ สาหกรรม กระทรวงอตุ สาหกรรม.กระทรวงอตุ สาหกรรม. 2539. มาตรฐานน้าํ ทิ้งท่ีระบายออกจากโรงงานอุตสาหกรรม. ตามประกาศ กระทรวงอุตสาหกรรม ฉบบั ท่ี 2 (พ.ศ. 2539) ออกตามความในพระราชบญั ญตั ิโรงงาน พ.ศ. 2535.นุชนารถ กงั พิศดาร และคณะ. 2556. การพฒั นาเทคโนโลยีการจดั การธาตุอาหารพืชสําหรับ ยางพาราเฉพาะพ้ืนท่ี. เอกสารวิชาการ สถาบนั วิจยั ยาง กรมวชิ าการเกษตร กระทรวงเกษตร และสหกรณ์.ประกาศกระทรวงมหาดไทย. 2515. ประกาศกระทรวงมหาดไทยเร่ืองความปลอดภยั ในการทาํ งาน เก่ียวกบั สภาวะแวดลอ้ ม(สารเคมี). อาศยั อาํ นาจตามความในขอ้ 2 (7) แห่งประกาศของคณะ ปฏิวตั ิ ฉบบั ที่ 103 ลงวนั ท่ี 16 มีนาคม 2515.
-454-ปรีด์ิเปรม ทศั นกุล. 2554. รายงานประจาํ ปี 2555 ผลกระทบของแก๊สพิษจากโรงงานน้าํ ยางขน้ . ศนู ยว์ จิ ยั ยางสงขลา กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์.ปรีด์ิเปรม ทศั นกุล และ จกั รี เลื่อนราม. 2556. แนวทางการลดตน้ ทุนการแปรรูปยางดิบ. วารสาร ยางพารา ปี ที่ 34 ฉบบั ที่ 4 ตุลาคม - ธนั วาคม 2556. ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศ ไทย จาํ กดั กรุงเทพฯ.ปรีด์ิเปรม ทศั นกุล. 2558. รางานความกา้ วหนา้ แก๊สที่มีกล่ินเหม็นจากโรงงานแปรรูปยางดิบ. ศนู ยว์ จิ ยั ยางสงขลา กรมวชิ าการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์.สถาบนั วิจยั ยาง. 2555 . การจดั การสวนอยา่ งยงั่ ยนื . เอกสารวิชาการ. สถาบนั วิจยั ยาง กรมวิชาการ เกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์.Roger Perry and Robert J. Young. 1977. Handbook of Air Pollution Analysis. Analysis of NH3 by the catalysed Indophenol-blue Method. Edit by Roger Perry and Robert J. Young, London, Chapman and Hall, John Wiley and Son, New York.PUSHPARAJAH, E. 1977. Nutrition and fertilizer use in Hevea and associated covers in Peninsular Malaysia. A review. Quarterly Journal Rubber Research Institute of Sri Lanka 54, 270-283.VINES. H.M and Wedding. R. T. 1960. Some Effects of Ammonia on Plant Metabolism And A Possible Mechanism for Ammomia Toxicity. Department of Plant Biochemistry. University of California Citrus Experiment Station p.1-6.
-455-ตารางท่ี 1 สภาพสวนยางท่ีไดร้ ับผลกระทบกา๊ ซแอมโมเนียจากโรงงานน้าํ ยางขน้ หน่วย : ตน้ยางพนั ธ์ุ กรีดนํ้ายางได้ กรีดได้แต่ เปลอื ก ยนื หลมุ ว่าง รวม มาก ปานกลาง น้อย ลาํ ต้นหัก แห้ง ตายRRIM 600 4 27 130 1 19 8 121 310GT1 2 17 504 40 158 21 220 962รวม 6 44 634 41 177 29 341 100ร้อยละ 0.47 3.5 49.8 13.9 27.8 4.6 26.8 100หมายเหตุ: กรีดน้าํ ยางไดม้ ากเฉลี่ย 536.6 มิลลิลิตร คิดเป็นเน้ือยางแหง้ เฉล่ีย 214.64 กรัม/ตน้ /คร้ังกรีด กรีดน้าํ ยางไดป้ านกลางเฉล่ีย 161.62 มิลลิลิตร คิดเป็นเน้ือยางแหง้ เฉล่ีย 64.65 กรัม/ตน้ /คร้ังกรีด กรีดน้าํ ยางไดน้ อ้ ยเฉลี่ย 60.87 มิลลิลิตร คิดเป็นเน้ือยางแหง้ เฉล่ีย 24.35 กรัม/ตน้ /คร้ังกรีด เปอร์เซ็นตเ์ น้ือยางแหง้ เฉล่ีย 40%ตารางท่ี 2 สมบตั ิทางเคมีของดินจากแปลงสวนยางเกษตรกรในเขต อาํ เภอสะเดา จงั หวดั สงขลาสมบัตทิ างเคมี 1 ตวั อย่างที่ เฉลยี่ ค่าเหมาะสม* 2 3451. pH 4.04 4.05 3.98 3.70 3.97 3.95 4.5-5.5 0.50 1.45 1.03 0.54 0.89 1.0-2.52. อินทรียวตั ถุ (%) 0.94 0.02 0.07 0.05 0.03 0.04 0.11-0.25 1.82 2.79 3.03 1.56 2.36 >303. ไนโตรเจน (%) 0.05 2.90 5.00 3.80 1.00 3.34 >40 0.06 0.14 0.10 0.05 0.08 >0.304. ฟอสฟอรัส (mg/Kg) 2.60 0.02 0.04 0.03 0.02 0.03 >0.305. โพแทสเซียม (mg/Kg) 4.006. แคลเซียม (cmol/Kg) 0.077. แมกนีเซียม (cmol/Kg) 0.03* อา้ งอิงจาก นุชนารถ กงั พศิ ดาร, 2556
-456-ตารางท่ี 3 สมบตั ิทางเคมีของใบยางสมบัติทางเคมี 1 ตัวอย่างที่ 5 เฉลยี่ ค่าเหมาะสม* 2341. ไนโตรเจน (%) 5.98 5.34 4.59 4.24 5.34 5.09 3.3-3.72. ฟอสฟอรัส (%) 0.11 0.11 0.18 0.23 0.30 0.18 0.20-0.253. โพแทสเซียม (%) 1.24 0.60 0.50 1.00 3.13 1.29 1.35-1.654. แคลเซียม (%) 0.68 0.95 0.87 0.95 0.71 0.83 0.2-1.05. แมกนีเซียม (%) 0.14 0.25 0.24 0.32 0.21 0.23 0.20-0.256. เหลก็ (mg/Kg) 93.80 75.45 87.03 77.48 102.35 87.22 50-2507. แมงกานีส (mg/Kg) 136.87 302.9 454.94 408.98 214.34 303.52 45-1508. สงั กะสี (mg/Kg) 26.06 21.68 21.88 34.39 39.79 28.76 25-1509. ทองแดง (mg/Kg) 6.32 4.85 5.75 7.95 8.80 6.73 4-20* เอกสารการจดั การสวนยางพาราอยา่ งยง่ั ยนื สถาบนั วจิ ยั ยาง 2556* PUSHPA RAJAH, E. 1977ตารางท่ี 4 สมบตั ิน้าํ เสียท่ีปล่อยออกจากโรงงานน้าํ ยางขน้ อาํ เภอสะเดา จงั หวดั สงขลาจุดเกบ็ มาตรฐาน* pH BOD5 COD TDS SS TS Conductivity (mg/l) (mg/l) (mg/l) (mg/l) (mg/l) (S/cm) ปากท่อ 120 3,000 150 5,000 หนา้ โรงงาน 5.5 - 9 <20 ก่อนลงคลอง 481 484 416 900 965 5.68 306 190 201 39 240 562 6.65 24 82 267 80 347 523 6.90 12หมายเหตุ * มาตรฐานน้าํ ทิ้งตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบบั ที่ 2 (พ.ศ.2539) ออกตามความ ในพระราชบญั ญตั ิโรงงาน พ.ศ. 2535
-457-ตารางท่ี 5 ผลการวเิ คราะหป์ ริมาณกา๊ ซแอมโมเนียในอากาศโดยวธิ ี Indophenol-blue ที่ความยาว คล่ืน 635 nm โดยเกบ็ ตวั อยา่ งอากาศห่างจากโรงงานน้าํ ยางขน้ 15 เมตรตัวอย่าง ความเข้มข้น ค่าการดูด ความเข้มข้นของ อุณหภูมิ ความชื้นสัมพทั ธ์ คลนื่ แสง NH3(mg/l) (°C) (% RH) Std 1 ที่ตรวจวดั Std 2 0.0020 495 28.4 83 Std 3 (mg/l) 0.0208 474 29 80 Std 4 0 0.0410 436 30.8 79 Std 5 0.5 0.0763 481 31.2 78 Std 6 1.0 0.1144 516 31.4 78 Blank 2.0 0.1838 480 30.2 79.6S1 08.30 3.0 0.0026S2 09.30 5.0 0.0499*S3 10.30 0 0.0481*S4 11.30 6.48 0.0444*S5 12.30 6.20 0.0489* 5.70 0.0519* 6.30 6.75 เฉลยี่หมายเหตุ R = 0.9988 * = ค่าการดูดคลื่นแสงที่เจือจาง 5 เท่า
-458-ตารางที่ 6 ผลการวเิ คราะหป์ ริมาณก๊าซแอมโมเนียในอากาศโดยวธิ ี Indophenol-blue ที่ความ ยาวคล่ืน 635 nm โดยเกบ็ ตวั อยา่ งอากาศห่างจากโรงงานน้าํ ยางขน้ 9 เมตรตวั อย่าง ความเข้มข้น ค่าการดูด ความเข้มข้นของ อณุ หภูมิ ความชื้นสัมพทั ธ์ ท่ีตรวจวดั คลน่ื แสง NH3(mg/l) (°C) (% RH) Std 1 (mg/l) Std 2 0.0000 447 29 81 Std 3 0 0.0239 527 28.8 75 Std 4 0.5 0.0342 550 29.7 72 Std 5 1.0 0.0822 588 31.1 58 Std 6 2.0 0.1164 528 33.7 51 Blank 3 0.1851 528 30.5 67.4S1 08.30 5 0.0004S2 09.30 -0.16 0.0458*S3 10.30 5.85 0.0536*S4 11.30 6.90 0.0559*S5 12.30 7.20 0.0598* 7.70 0.0585* 7.55 เฉลยี่หมายเหตุ R = 0.9988 * = ค่าการดูดคลื่นแสงที่เจือจาง 5 เท่า
-459-ตารางท่ี 7 ประเทศกระทรวงมหาดไทย เร่ืองความปลอดภยั ในการทาํ งานเก่ียวกบั ภาวะแวดลอ้ ม (สารเคมี) อาศยั อาํ นาจตามความในขอ้ 2 (7) แห่งประกาศของคณะปฏิวตั ิ ฉบบั ท่ี 103 ลงวนั ท่ี 16 มีนาคม 2515 บัญชีท้ายประกาศกระทรวงมหาดไทย ตารางหมายเลข 1ลาํ ดบั ที่ ช่ือสารเคมี ppm ปริมาณสารเคมี 29 (mg/l) (mg/M3) แอมโมเนีย (Ammonia) 50 35ตารางท่ี 8 ระดบั ความเขม้ ขน้ ของแอมโมเนียที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ ระดบั ความเข้มข้น ผลกระทบต่อสุขภาพ (mg/l) กล่ินรุนแรงมากจนรู้สึกอึดอดั 50 แสบตาและจมกู รู้สึกระคายเคือง 400 - 700 กลา้ มเน้ือเกร็ง และหายใจไม่ออก อาจเสียชีวติ ภายใน 2 - 3 นาที 5,000ทีม่ า : กรมโรงงานอุตสาหกรรม, 2553.ตารางท่ี 9 อนั ตรายท่ีเกิดข้ึนจากแอมโมเนียสถานะ อาการที่เกดิ ขนึ้ไอระเหย - เกิดการระคายเคืองและเกิดแผลไหม้ของเหลว - ต่อระบบหายใจ มีเสมหะ หายใจส้นั ๆ เจบ็ หนา้ อก ชกั หมดสติ เสียชีวติ ได้ - ผวิ หนงั และตาไหม้ สูญเสียการมองเห็น - เกิดแผลไหม้ เนื่องจากความเยน็ จดัที่มา : กรมโรงงานอุตสาหกรรม, 2553.
-460- 8 9 สวนยาง N 4 5 10 คลองหน่ําฮ้วัโรงงานน้ํายางข้น 6 7121 จุดเกบ็ น้าํ ออกจากปากท่อของโรงงาน2 จุดเกบ็ น้าํ บริเวณคหู นา้ โรงงาน3 จุดเกบ็ น้าํ ก่อนลงคลอง4 จุดเกบ็ ตวั อยา่ งกา๊ ซแอมโมเนียเป็นระยะทางห่างจากโรงงาน 9 เมตร5 จุดเกบ็ ตวั อยา่ งกา๊ ซแอมโมเนียเป็นระยะทางห่างจากโรงงาน 15 เมตร6-10 จุดเกบ็ ตวั อยา่ งดิน ภาพท่ี 1 แผนผงั การเกบ็ ตวั อยา่ งน้าํ ดิน และอากาศ
-461-ภาพที่ 2 เปลือกบริเวณลาํ ตน้ และก่ิงแตกส่งผลใหน้ ้าํ ยางไหลเป็นทางภาพที่ 3 เกบ็ ตวั อยา่ งดินเพ่อื วเิ คราะห์ผลกระทบจากกา๊ ซแอมโมเนีย
-462- ภาพท่ี 4 จุดเกบ็ ตวั อยา่ งน้าํ เพอ่ื วเิ คราะห์สมบตั ิของน้าํ เสียภาพท่ี 5 เกบ็ ตวั อยา่ งอากาศเพื่อวเิ คราะห์ปริมาณกา๊ ซแอมโมเนีย
-463-ภาพที่ 6 เกิดอาการบวมแดง ผวิ หนงั อกั เสบบริเวณหนา้ แขง้ ขา้ งขวาอยา่ งต่อเน่ือง ภาพที่ 7 ผวิ หนงั อกั เสบ บวมแดง รอยไหมอ้ ยา่ งต่อเน่ือง
เอกสาร: รายงานผลการวจิ ยั เรื่องเตม็ ประจาํ ปี 2560จดั ทาํ : กองวจิ ยั และพฒั นาการผลิตยาง สถาบนั วิจยั ยาง การยางแห่งประเทศไทยพมิ พ์/เผยแพร่: สถาบนั วิจยั ยาง การยางแห่งประเทศไทย ถนนพหลโยธิน เขตจตุจกั ร กรุงเทพฯ 10900 โทร. 0-2579-1576, 0-2579-7557-8 โทรสาร 0-2561-4744 www.raot.co.thจํานวนหน้า : 463 หนา้พมิ พ์จาํ นวน: 80 เลม่สงวนลขิ สิทธ์ิ: พ.ศ. 2560 สถาบนั วิจยั ยาง การยางแห่งประเทศไทยพมิ พ์ท:่ี บริษทั นิวธรรมดาการพมิ พ์ (ประเทศไทย) จาํ กดั 202 ซอยเจริญกรุง 57 แขวงยานนาวา เขตสาทร กรุงเทพฯ 10120 โทร. 0-2675-6062-4 โทรสาร. 0-2211-4113
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 485
Pages: