Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แผนการจัดการเรียนรู้โครงงานอำเภอ

แผนการจัดการเรียนรู้โครงงานอำเภอ

Published by Suvalai S, 2020-04-17 04:17:45

Description: แผนการจัดการเรียนรู้โครงงานอำเภอ

Search

Read the Text Version

แผนการจัดกจิ กรรมการเรียนรโู้ ดยการทาโครงงาน ศนู ยก์ ารศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั อาเภอสามพราน สานักงานสง่ เสรมิ การศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศัยจังหวดั นครปฐม สานักงานสง่ เสรมิ การศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศัย สานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงศึกษาธิการ

แผนการจัดกจิ กรรมการเรยี นร้โู ดยการทาโครงงาน ศนู ยก์ ารศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัยอาเภอสามพราน สานกั งานสง่ เสรมิ การศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั จังหวดั นครปฐม สานักงานส่งเสรมิ การศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั สานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงศึกษาธิการ

คานา เอกสารแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยการทาโครงงาน จัดทาข้ึนเพื่อให้ครูผู้สอนได้ศึกษา ก่อนจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยการทาโครงงาน ได้ศึกษายึดเป็นแนวทางการปฏิบัติได้ถูกต้อง เพื่อให้ นกั ศึกษาไดเ้ กดิ ความรู้ ทักษะ และเจตคติทด่ี ตี อ่ การเรยี นรูโ้ ดยการทาโครงงาน เอกสารฉบับน้ี ประกอบด้วย (1) บทนา (2) แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ และ(3) แผนการพบ กล่มุ เอกสารฉบับนี้สาเร็จลงได้ด้วยดี เน่ืองจากได้รับคาแนะนาจาก นายสมมาตร คงชื่นสิน ผู้อานวยการศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอาเภอสามพราน และนางสุวลัย แจ่มจันทร์เกษม ข้าราชการครู วิทยฐานะ ครูชานาญการพิเศษ กศน. อาเภอสามพราน ขอขอบพระคุณ ทุกทา่ น มา ณ ทนี่ ีด้ ว้ ย กศน. อาเภอสามพราน

สารบญั หน้า บทนา……………….............................................................................................................................. 1 วัตถุประสงค์..................................................................................................................................... 2 แผนการจัดกจิ กรรมการเรยี นร.ู้ ...………………………………………………………………………….……………… 3 แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องท่ี 1 ความหมาย ความสาคญั และประเภทของโครงงาน…..………… 4 แผนการจดั การเรียนรู้เรื่องที่ 2 ขนั้ ตอนการทาโครงงาน…......................................................... 13 แผนการจดั การเรียนรู้เร่ืองท่ี 3 การคดิ และเลอื กหวั เรือ่ งโครงงาน………..……………………………. 18 แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องที่ 4 การเขียนเค้าโครงของโครงงาน................................................ 23 แผนการจดั การเรยี นรู้เรื่องที่ 5 การฝึกปฏิบัติการทาโครงงาน…..………..…………………………….. 30 แผนการจดั การเรยี นรู้เรื่องท่ี 6 การเขียนรายงานโครงงาน....................................................... 34 แผนการจดั การเรยี นรู้เรื่องท่ี 7 การจดั ทาแผงโครงงานและการจัดนิทรรศการประกอบ แผงโครงงาน........................................................................................................................ 60 แผนการจดั การเรยี นรู้เรื่องที่ 8 การนาเสนอผลงาน และการประเมินโครงงาน 65 แผนการพบกลุ่ม 78 คณะผจู้ ัดทา 79

1 บทนำ หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 เป็นหลักสูตรท่ีมุ่ง จัดการศึกษาเพื่อตอบสนองอุดมการณ์การจัดการศึกษาตลอดชีวิต และการสร้างสังคมไทยให้เป็นสังคม แห่งการเรียนรู้ ตามปรัชญา “คิดเป็น” เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตและสังคม มีการบูรณาการอย่างสมดุล ระหว่างปัญญาธรรม ศีลธรรม และวัฒนธรรม มุ่งสร้างพื้นฐานการเป็นสมาชิกที่ดีของครอบครัว ชุมชน สงั คม และพฒั นาความสามารถเพือ่ การทางานทีม่ ีคณุ ภาพ หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 กาหนดให้มีการวัด และประเมินผลเป็นรายวิชา ก่อนเรียน ระหว่างภาคเรียน และปลายภาคเรียน เพ่ือทราบสภาพและ ความก้าวหน้าทั้งด้านความรู้ ทักษะ เจตคติ และคุณธรรมจริยธรรม อันเป็นผลจากการจัดกิจกรรม การเรียนรู้ของสถานศึกษาในแต่ละรายวิชาด้วยวิธีการที่หลากหลาย เช่น การสังเกต การสัมภาษณ์ ประเมินจาแฟ้มสะสมงาน ประเมินจากการปฏิบัติตามมาตรฐานการเรียนรู้ ประเมินจากการปฏิบัติจริง ทดสอบย่อย แบบฝึกหัด โครงงาน การทดสอบ เป็นต้น โดยเลือกให้สอดคล้อง และเหมาะสมกับ ธรรมชาติของรายวิชา ควบคู่ไปกับกิจกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียน สานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัยกาหนดสัดส่วนคะแนนการวัดผลและประเมินผลระหว่างภาคเรียนและปลาย ภาคเรยี นเปน็ 60 ต่อ 40 ในส่วนของการวัดผลและประเมินผลระหว่างภาคเรียน ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษา ตามอัธยาศัยอาเภอสามพรานกาหนดสัดส่วนคะแนนการวัดผลและประเมินผลระหว่างภาค 60 คะแนน เป็น 3 ส่วน คือ บันทึกการเรียนรู้ 30 คะแนน โครงงาน 20 คะแนน และทดสอบย่อย 10 คะแนน โดย นกั ศึกษาต้องทาโครงงานหน่งึ โครงงานต่อภาคเรียน ซ่งึ โครงงานเป็นกิจกรรมทีท่ าใหผ้ ู้เรียนได้เรยี นรู้ด้วย ตนเองจากการลงมือปฏิบัติจริงในลักษณะของการศึกษา สารวจ ค้นคว้า ทดลอง ประดิษฐ์คิดค้น ซ่ึง ผู้เรียนเป็นผู้คิดหัวเรื่อง จัดหาข้อมูล ทดลอง สรุปผล เขียนรายงาน แสดงผลงาน และนาเสนอโครงงาน โดยมีครูเป็นผู้กระตุ้น แนะนา และให้คาปรึกษาอย่างใกล้ชิด โครงงานช่วยพัฒนาความสามารถในด้าน การคิดเปน็ ทาเป็น แกป้ ัญหาเป็นให้เกดิ ขึ้นกับผู้เรียน ดังน้ัน ครูผู้สอนทุกคนต้องจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยการทาโครงงาน โดยใช้เวลาในการพบกล่มุ แต่ละครงั้ 30 นาที กศน. ตาบลกระทมุ่ ล้มจึงจดั ทาแผนการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้โดยการทาโครงงานข้ึน เพ่ือเตรียมความพร้อมในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ และปฏิบัติตามอย่างครบถ้วนตามท่ีกาหนดใน แผนการจัดกิจกรรมการเรยี นร้นู ี้ จึงจะทาใหผ้ ูเ้ รียนเกดิ การเรียนรู้ และบรรลุผลตามตวั ชีว้ ัดไดอ้ ยา่ งแทจ้ ริง

2 วตั ถปุ ระสงค์ แผนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรโู้ ดยการทาโครงงานน้ี มวี ตั ถุประสงค์ ดังนี้ 1. เพอ่ื ใหค้ รูผสู้ อนมีความรู้ความเข้าใจในการจัดกจิ กรรมการเรยี นรโู้ ดยการทาโครงงาน 2. เพอ่ื ให้ครูผ้สู อนสามารถจัดกิจกรรมการเรียนโดยการทาโครงงานตามแผนได้

3 แผนกำรจดั กจิ กรรมกำรเรียนรโู้ ดยกำรทำโครงงำน แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยการทาโครงงาน กศน.ตาบลกระทุ่มล้ม ศูนย์การศึกษานอก ระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั อาเภอสามพราน มแี ผนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ จานวน 8 แผน ดังน้ี 1. แผนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้โดยการทาโครงงาน เร่ืองที่ 1 ความหมาย ความสาคัญ และ ประเภทของโครงงาน 2. แผนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้โดยการทาโครงงาน เร่ืองที่ 2 ข้นั ตอนการทาโครงงาน 3. แผนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้โดยการทาโครงงาน เร่ืองท่ี 3 การคดิ และเลือกหัวเรอ่ื ง โครงงาน 4. แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรโู้ ดยการทาโครงงาน เรื่องท่ี 4 การเขียนเค้าโครงของโครงงาน 5. แผนการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้โดยการทาโครงงาน เรื่องที่ 5 การฝกึ ปฏิบตั กิ ารทาโครงงาน 6. แผนการจดั กจิ กรรมการเรียนรูโ้ ดยการทาโครงงาน เรื่องท่ี 6 การเขียนรายงานโครงงาน 7. แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรโู้ ดยการทาโครงงาน เร่ืองที่ 7 การจดั ทาแผงโครงงานและ การจดั นิทรรศการประกอบแผงโครงงาน 8. แผนการจดั กจิ กรรมการเรียนรูโ้ ดยการทาโครงงาน เรื่องท่ี 8 การนาเสนอผลงาน และ การประเมนิ โครงงาน โดยมีรายละเอียด ดังน้ี

4 แผนกำรจดั กิจกรรมกำรเรยี นรู้โดยกำรทำโครงงำน เรื่องที่ 1 ควำมหมำย ควำมสำคญั และประเภทของโครงงำน เวลำ 30 นำที ............................................................................................................................. ........................................ สำระสำคญั โครงงานเปน็ กระบวนการคน้ คว้าหาคาตอบดว้ ยตนเอง อย่างมขี น้ั ตอน และเป็นระบบ ภายใน กรอบและระยะเวลาทกี่ าหนด ตวั ชว้ี ัด 1. อธบิ ายความหมาย และความสาคัญของโครงงานได้ 2. บอกประเภทของโครงงานได้ สำระกำรเรยี นรู้ 1. ความหมายของโครงงาน 2. ความสาคญั ของโครงงาน 3. ประเภทของโครงงาน กจิ กรรมกำรเรยี นรู้ ขน้ั นำ 1. ครสู ร้างความตระหนักใหผ้ ู้เรยี นเหน็ ความสาคญั การเรยี นรู้โดยการทาโครงงาน และ การ เรยี นรูเ้ รือ่ งที่ 1 ความหมาย ความสาคัญ และประเภทของโครงงาน และประโยชนท์ ไ่ี ดร้ ับ 2. ครแู จกแบบทดสอบก่อนและหลงั เรยี นให้นักศึกษาทาการทดสอบความรู้ก่อนเรียน ขัน้ จัดกจิ กรรมกำรเรียนรู้ 1. แบง่ กลุม่ นักศึกษาออกเป็นกลมุ่ ๆ ละ 5 คน 2. ครแู จกใบความรู้ท่ี 1 ความหมาย ความสาคัญ และประเภทของโครงงาน 3. ใหน้ ักศกึ ษาแต่ละกลุม่ ศึกษาใบความรู้ท่ี 1 ความหมาย ความสาคญั และประเภทของ โครงงาน 4. นักศกึ ษาอภปิ ราย แลกเปลยี่ นเรยี นรู้ และบันทกึ ลงในใบงานที่ 1 ความหมาย ความสาคัญ และประเภทของโครงงาน 5. ใหน้ ักศกึ ษาแตล่ ะกลุ่มนาเสนอใบงานท่ี 1 ความหมาย ความสาคัญ และประเภทของ โครงงาน 6. นักศึกษาสรปุ ผลการเรยี นรู้ทไี่ ด้ไปทาใบงานท่ี 1 ความหมาย ความสาคญั และประเภทของ โครงงาน ขัน้ สรุป ครแู ละนักศึกษาร่วมกันสรปุ การเรียนรู้ท่ีไดจ้ ากเรอ่ื งที่ 1 ความหมาย ความสาคัญ และประเภท ของโครงงาน

5 สอื่ กำรเรียนรู้ 1. ใบความรู้ท่ี 1 ความหมาย ความสาคัญ และประเภทของโครงงาน 2. ใบงานที่ 1 ความหมาย ความสาคญั และประเภทของโครงงาน กำรวัดและประเมินผล 1. ประเมนิ จากแบบทดสอบกอ่ น-หลงั เรียน 2. ประเมินจากใบงานที่ 1 ความหมาย ความสาคญั และประเภทของโครงงาน

6 แบบทดสอบกอ่ น-หลังเรยี น กำรเรยี นรู้โดยกำรทำโครงงำน คำชี้แจง ให้เลือกคาตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว โดยกาเคร่ืองหมาย × หรือฝนด้วยดินสอลงใน กระดาษคาตอบทีก่ าหนดให้ ขอ้ สอบมี 10 ข้อ ใหเ้ วลา 10 นาที 1. ขอ้ ใดคือสง่ิ สาคัญของการเรยี นร้โู ดยการทาโครงงาน ก. ทาใหม้ ีอาชีพ มรี ายได้ ข. ใชเ้ วลาว่างให้เกิดประโยชน์ ค. นาวสั ดุเหลอื ใช้มาทาให้เกดิ ประโยชน์ ง. ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการแก้ปญั หา/หาคาตอบ 2. ขอ้ ใดเป็นโครงงานประเภทสารวจข้อมูล ก. การถังดักไขมัน ข. กระดาษสาจากหญา้ แฝก ค. สมนุ ไพรกาจัดลกู นา้ ยุงลาย ง. การศึกษาวงจรชีวิตตวั หนอนแมลงศัตรขู ้าว 3. ชอ่ื โครงงาน ควรตง้ั อยา่ งไร ก. ต้ังให้สื่อความวา่ โครงงานศึกษาเร่อื งอะไร ข. ต้ังใหด้ งึ ดดู ความสนใจ ค. ต้งั ให้เก๋ๆ แปลกใหม่ ๆ ง. ตั้งให้เป็นปรศิ นา น่าค้นหา 4. วตั ถุประสงค์ของโครงงานควรเขยี นอย่างไร ก. เขียนว่าจะทาอะไร จะศกึ ษาอะไร ข. เขียนวา่ มปี ระโยชนอ์ ย่างไร ค. เขียนว่าทาแลว้ จะได้อะไร ง. เขยี นว่าทาไมถึงทา 5. การจัดทาเค้าโครงของโครงงานเพื่ออะไร ก. เพอื่ วางแผนการทาโครงงานล่วงหน้า ข. เพือ่ เตรยี มนาเสนอผลการศึกษาโครงงาน ค. เพื่อเตรียมความพรอ้ มก่อนลงมอื ปฏิบัตทิ าโครงงาน ง. เพือ่ กาหนดหวั ข้อการศกึ ษาเอกสารท่ีเก่ยี วข้อง

7 6. ทาไมต้องรวบรวมขอ้ มลู ท่ีเกย่ี วข้อง ก. เพ่ืออ้างองิ ให้โครงงานมคี วามนา่ เชอ่ื ถอื ข. เพื่อใหม้ ีความรู้ ความเขา้ ใจในเรอ่ื งที่ต้องการศึกษามากขึน้ ค. เพอ่ื เพิ่มเนื้อหารายละเอียดของโครงงานใหม้ คี วามสมบรู ณ์ ง. เพราะเปน็ หลักสากลของการเขียนรายงานการวจิ ัย ต้องมบี ทที่ 2 7. ผลการศึกษาโครงงานควรนาเสนอรูปแบบใดเพื่อให้เข้าใจง่าย ก. ตาราง ข. แผนภมู ิ ค. รูปภาพ ง. ถกู ทุกข้อ 8. ผลการศึกษาโครงงานต้องตรงกบั ข้อใด ก. วัตถปุ ระสงค์ ข. สมมตฐิ าน ค. ตวั แปรต้น ง. ตัวแปรตาม 9. บรรณานุกรม หมายถึงข้อใด ข. รายการเนื้อหาท่ีปรากฏอย่ใู นรายงานโครงงาน ก. การอธบิ ายศพั ทย์ ากท่ีจะปรากฏอยู่ในรายงานโครงงาน ค. รายการหนงั สือ เอกสารท่เี กี่ยวข้องกับการทารายงานโครงงาน ง. เนื้อหาทเี่ สริมเพิ่มเตมิ เพ่อื ให้รายงานโครงงานมีความสมบูรณย์ ิง่ ข้ึน 10. การประกวดโครงงานให้ความสาคญั กับประเดน็ ใดมากที่สดุ ก. ความแปลกใหม่ ข. ประโยชนใ์ ชส้ อย ค. การใช้วัสดุเหลือใช้ ง. การประหยัดพลังงาน

8 เฉลยแบบทดสอบก่อน-หลังเรยี น กำรเรียนรโู้ ดยกำรทำโครงงำน ข้อที่ คาตอบ ขอ้ ท่ี คาตอบ 1ง6ข 2ง7ง 3ก8ก 4ก9ค 5 ก 10 ข

9 ใบควำมรูท้ ่ี 1 ควำมหมำย ควำมสำคญั และประเภทของโครงงำน ควำมหมำยของโครงงำน โครงงาน เป็นกิจกรรมที่ทาให้ได้เรียนรู้ด้วยตนเองจากการลงมือปฏิบัติจริงในลักษณะของ การศึกษา สารวจ ค้นคว้า ทดลอง ประดิษฐ์คิดค้น ซ่ึงผู้เรียนเป็นผู้คิดหัวเร่ือง จัดหาข้อมูล ทดลอง สรปุ ผล เขียนรายงาน แสดงผลงาน โดยมีครูเปน็ ผูก้ ระตนุ้ แนะนา และใหค้ าปรึกษา อยา่ งใกลช้ ิด ควำมสำคญั ของกำรทำโครงงำน โครงงานมีความสาคัญ ดังนี้ 1. เพื่อส่งเสริมให้จุดมุ่งหมายของหลักสูตร และการเรียนประเภทวิชาต่าง ๆ สัมฤทธ์ิผลโดย สมบูรณ์ยง่ิ ขนึ้ 2. เพอ่ื ใหผ้ เู้ รยี นมโี อกาสเรียนรู้จากประสบการณต์ รงในกระบวนการแสวงหาความรดู้ ้วยตนเอง 3. เพื่อพฒั นาเจตคติทางด้านต่าง ๆ มเี จตคตทิ ี่ดตี ่อกลุ่มสาระการเรียนรู้ และความสนใจในกลุ่ม สาระการเรียนร้นู ้นั 4. เพื่อให้ผเู้ รยี นเขา้ ใจลักษณะและธรรมชาติของกลุ่มสาระการเรียนรู้น้นั ๆ ย่ิงขน้ึ เชน่ เข้าใจวา่ กลุ่มสาระการเรียนรู้น้ัน ๆ ประกอบด้วย ความรู้ กระบวนการแสวงหาความรู้ เจตคติ และค่านิยมท่ีเป็น วชิ านน้ั ๆ อีกด้วย 5. เพือ่ พัฒนาความคดิ รเิ รม่ิ สร้างสรรค์ และความเปน็ ผูม้ ีวิจารณญาณ 6. เพื่อพฒั นาความเช่ือม่นั ในตนเองให้กับผ้เู รียน 7. เพื่อพัฒนาความสามารถในด้านการคิดเป็น ทาเปน็ แก้ปัญหาเปน็ ให้เกดิ ข้ึนกบั ผูเ้ รียน 8. เพื่อพัฒนาความรบั ผิดชอบและสร้างวนิ ยั ในตนเองใหเ้ กดิ ขนึ้ กับผ้เู รียน 9. เพ่ือใหผ้ ูเ้ รียนได้ใชเ้ วลาว่างใหเ้ กิดประโยชนแ์ ละมีคุณค่า ประเภทของโครงงำน โครงงานแบ่งเปน็ 4 ประเภท ดงั นี้ 1. โครงงานประเภทสารวจและรวบรวมข้อมูล 2. โครงงานประเภททดลอง 3. โครงงานประเภทสิ่งประดิษฐ์ 4. โครงงานประเภทการศึกษาความรู้ ทฤษฎี หลกั การและแนวคิดใหม่ โครงงำนประเภทสำรวจและรวบรวมขอ้ มลู โครงงานประเภทน้ีมีวัตถุประสงค์เพ่ือสารวจ และรวบรวมข้อมูลเก่ียวกับเร่ืองใดเร่ืองหน่ึง แล้ว นาข้อมูลท่ีได้จากการสารวจน้ันมาจาแนกเป็นหมวดหมู่ และนาเสนอในรูปแบบต่าง ๆ อย่างมีระบบ เพื่อให้เห็นถงึ ลักษณะ หรือความสมั พนั ธข์ องเร่อื งดงั กล่าวใหช้ ัดเจนยิ่งขน้ึ การปฏบิ ัติในโครงงานน้ี ผู้เรยี น ต้องไปศึกษารวบรวมข้อมูลด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น สอบถาม สัมภาษณ์ สารวจ โดยใช้เคร่ืองมือ เช่น แบบสอบถาม แบบบนั ทกึ ฯลฯ ในการรวบรวมขอ้ มลู ท่ีต้องการศกึ ษา ตัวอยา่ งโครงงานประเภทน้ี ไดแ้ ก่ - ผ้ซู อื้ สมองใสตา้ นภยั เศรษฐกิจ

10 - การสารวจความกว้าง ยาวของใบไม้ภายในบรเิ วณโรงเรยี นเทศบาล 1 - การสารวจโบราณสถานในบริเวณองค์พระปฐมเจดยี ์ - การสารวจคาควบกล้าในหน้าหนงั สือพมิ พ์ - การสารวจนามหมบู่ ้านในตาบลไร่ขงิ โครงงำนประเภททดลอง โครงงานประเภทน้ีเป็นโครงงานท่ีมีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาเรื่องใดเร่ืองหนึ่งโดยเฉพาะ มี การออกแบบการทดลองเพื่อศึกษาว่าตัวแปรหนึ่งจะมีผลต่อตัวแปรที่ต้องการศึกษาอย่างไร และต้อง ควบคุมตัวแปรอ่นื ๆ ซง่ึ อาจมีผลตอ่ ตวั แปรที่ตอ้ งการศึกษาได้ การทาโครงงานประเภทนี้จะมีข้ันตอนการดาเนินงาน ประกอบด้วย การกาหนดปัญหา การต้ัง วตั ถุประสงค์ สมมติฐาน การออกแบบการทดลอง การรวบรวมข้อมูล การดาเนินการทดลอง การแปรผล และการสรปุ ผลการทดลอง ตวั อยา่ งโครงงานประเภทนไี้ ด้แก่ - การศึกษาความสัมพนั ธข์ องเสน้ กลางใบและพืน้ ท่ใี บไม้ - การศกึ ษาปรมิ าณวิตามนิ ซใี นสว่ นต่าง ๆ ของฝร่งั - การใช้ภมู ปิ ญั ญาชาวบา้ นในการล้างหอยแครง โครงงำนประเภทสิ่งประดิษฐ์ โครงงานประเภทน้ีเปน็ โครงงานที่มีวัตถุประสงค์ท่ีจะนาความรู้ ทฤษฎี หลักการ หรือแนวคิดมา ประยุกต์ใช้ในการประดิษฐ์เคร่ืองมือ เคร่ืองใช้ต่าง ๆ เพื่อเป็นประโยชน์ในด้านการเรียน หรือการใช้สอย อน่ื ๆ รวมท้ังการออกแบบจาลองต่าง ๆ เพ่ือประกอบการอธบิ ายแนวคดิ ต่าง ๆ ตวั อย่างโครงงานประเภท น้ี ไดแ้ ก่ - เคร่อื งเปลี่ยนเลขฐานสองใหเ้ ป็นเลขฐานสบิ - การประดิษฐเ์ ครอื่ งเกบ็ มะมว่ ง - การออกแบบลายมัดหมี่ โครงงำนประเภทกำรศึกษำควำมรู้ ทฤษฎี หลักกำรและแนวคดิ ใหม่ โครงงานประเภทน้ีมีวัตถุประสงค์เพ่ือเสนอความรู้ ทฤษฎี หลักการและแนวคิดใหม่ ๆ เกี่ยวกับ เรื่องใดเร่ืองหน่ึงท่ียังไม่มีใครเคยคิดมาก่อน หรือขัดแย้ง หรือขยายจากของเดิมที่มีอยู่ ซึ่งความรู้ ทฤษฎี หลักการ หรือแนวคิดที่เสนอต้องการพิสูจน์อย่างมีหลักการ หรือวิธีการท่ีน่าเชื่อถือตามกติกา ข้อตกลงที่ กาหนดขนึ้ มาเอง หรอื อาจใชก้ ตกิ า หรอื ข้อตกลงเดมิ มาอธิบายความรู้ ทฤษฎี หลกั การ แนวคดิ ใหม่ โครงงานนี้ ผู้จัดทาต้องมีความรู้ในเรื่องท่ีจะศึกษาอย่างลึกซึ้ง และต้องมีการศึกษาค้นคว้าข้อมูล มาประกอบอย่างลึกซ้ึง จึงทาให้สามารถกาหนดความรู้ ทฤษฎี หลักการ แนวคิดใหม่ ตัวอย่างโครงงาน ประเภทน้ี ได้แก่ - ความมหศั จรรยข์ องเลข 9 - E = ������������2

11 ใบงำนท่ี 1 ควำมหมำย ควำมสำคญั และประเภทของโครงงำน 1. โครงงาน มคี วามหมายวา่ อย่างไร ............................................................................................................................. ........................................ .......................................................................................... ........................................................................... ............................................................................................................................. ........................................ ........................................................................................................................................... .......................... ........................................................................................................ ............................................................. 2. โครงงานมคี วามสาคญั ดังนี้ (อย่างน้อย 5 ข้อ) ............................................................................................................................. ........................................ ............................................................................................................................. ........................................ ..................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ........................................ ............................................................................................................................. ........................................ .................................................................................... ................................................................................. 3. โครงงานแบง่ เปน็ กี่ประเภท อะไรบ้าง ............................................................................................................................. ........................................ .......................................................................................... ........................................................................... ............................................................................................................................. ........................................ ........................................................................................................................................... .......................... ........................................................................................................ ............................................................. ............................................................................................................................. ........................................

12 เฉลยใบงำนที่ 1 ควำมหมำย ควำมสำคัญ และประเภทของโครงงำน 1. โครงงาน มีความหมายวา่ อยา่ งไร โครงงาน เปน็ กิจกรรมทที่ าให้ได้เรยี นรู้ด้วยตนเองจากการลงมือปฏบิ ตั จิ รงิ ในลักษณะของการศึกษา สารวจ คน้ ควา้ ทดลอง ประดิษฐ์คิดคน้ ซ่ึงผู้เรยี นเป็นผ้คู ิดหัวเรอ่ื ง จดั หาข้อมลู ทดลอง สรุปผล เขียน รายงาน แสดงผลงาน โดยมคี รเู ป็นผกู้ ระตุ้น แนะนา และให้คาปรกึ ษา อยา่ งใกล้ชดิ 2. โครงงานมคี วามสาคญั ดงั นี้ (อยา่ งน้อย 5 ข้อ) โครงงานมีความสาคัญดังนี้ 1. เพ่ือส่งเสริมให้จุดมุ่งหมายของหลักสูตร และการเรียนประเภทวิชาต่าง ๆ สัมฤทธิ์ผลโดย สมบูรณย์ ง่ิ ขึน้ 2. เพ่ือใหผ้ ู้เรยี นมีโอกาสเรยี นรจู้ ากประสบการณ์ตรงในกระบวนการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง 3. เพือ่ พฒั นาเจตคติทางด้านต่าง ๆ มีเจตคตทิ ่ีดีต่อกลุ่มสาระการเรียนรู้ และความสนใจในกลุ่ม สาระการเรยี นรู้นน้ั 4. เพื่อให้ผเู้ รียนเข้าใจลักษณะและธรรมชาติของกลมุ่ สาระการเรียนร้นู นั้ ๆ ย่ิงขึ้น เช่น เข้าใจวา่ กลุ่มสาระการเรียนรู้น้ัน ๆ ประกอบด้วย ความรู้ กระบวนการแสวงหาความรู้ เจตคติ และค่านิยมท่ีเป็น วชิ าน้ัน ๆ อีกดว้ ย 5. เพ่ือพัฒนาความคดิ รเิ ร่มิ สร้างสรรค์ และความเป็นผู้มวี จิ ารณญาณ 6. เพอื่ พฒั นาความเช่ือมน่ั ในตนเองใหก้ บั ผู้เรยี น 7. เพื่อพฒั นาความสามารถในดา้ นการคิดเป็น ทาเป็น แก้ปัญหาเปน็ ใหเ้ กดิ ขน้ึ กับผเู้ รียน 8. เพอ่ื พฒั นาความรับผิดชอบและสรา้ งวินัยในตนเองใหเ้ กิดขนึ้ กับผเู้ รียน 9. เพอ่ื ให้ผู้เรียนได้ใชเ้ วลาว่างให้เกิดประโยชน์และมีคุณคา่ 3. โครงงานแบง่ เปน็ กี่ประเภท อะไรบา้ ง โครงงานแบ่งเป็น 4 ประเภท ดงั น้ี 1. โครงงานประเภทสารวจและรวบรวมข้อมูล 2. โครงงานประเภททดลอง 3. โครงงานประเภทส่งิ ประดิษฐ์ 4. โครงงานประเภทการศึกษาความรู้ ทฤษฎี หลกั การและแนวคดิ ใหม่

13 แผนกำรจดั กิจกรรมกำรเรยี นร้โู ดยกำรทำโครงงำน เรือ่ งท่ี 2 ข้นั ตอนในกำรทำโครงงำน เวลำ 30 นำที ............................................................................................................................. ........................................ สำระสำคญั โครงงานเป็นกจิ กรรมทต่ี ้องกระทาอยา่ งต่อเนอื่ ง ตัง้ แต่เริม่ ตน้ จนกระทั่งเสร็จสิน้ โครงงานซ่งึ ผูเ้ รียนจะต้องเปน็ ผดู้ าเนินการเองท้งั ส้นิ โดยมคี รูเป็นทป่ี รึกษา ให้คาแนะนา มีขัน้ ตอนท่ีสาคัญ 6 ขน้ั ตอน คอื การคดิ และเลือกหวั เรอื่ ง การศึกษาเอกสารทีเ่ กย่ี วข้อง การเขียนเค้าโครงของโครงงาน การลงมือทา โครงงาน การเขยี นรายงาน และการแสดงผลงาน ตัวชีว้ ดั อธบิ ายข้นั ตอนในการทาโครงงานได้ สำระกำรเรียนรู้ ขน้ั ตอนในการทาโครงงาน กิจกรรมกำรเรยี นรู้ ขั้นนำ 1. ครสู ร้างความตระหนักให้ผเู้ รยี นเหน็ ความสาคัญการเรยี นรู้ เรอ่ื งที่ 2 ข้ันตอนในการทา โครงงาน และประโยชน์ทไี่ ดร้ ับ พร้อมสรปุ ทบทวนเน้ือหาที่เก่ียวข้อง ขั้นจัดกิจกรรมกำรเรียนรู้ 1. แบ่งกลุ่มนกั ศึกษาออกเป็นกลุม่ ๆ ละ 5 คน 2. ครแู จกใบความรู้ที่ 2 ข้ันตอนในการทาโครงงาน 3. ให้นกั ศกึ ษาแต่ละกลุ่มศึกษาใบความรู้ที่ 2 ขน้ั ตอนในการทาโครงงาน 4. นักศกึ ษาอภิปราย แลกเปล่ยี นเรียนรู้ และบนั ทึกลงในใบงานที่ 2 ข้ันตอนในการทาโครงงาน 5. ให้นกั ศึกษาแต่ละกลมุ่ นาเสนอใบงานท่ี 2 ข้ันตอนในการทาโครงงาน 6. นักศกึ ษาสรุปผลการเรยี นรู้ที่ไดไ้ ปทาใบงานที่ 2 ขน้ั ตอนในการทาโครงงาน ข้ันสรุป ครูและนักศกึ ษารว่ มกันสรุปการเรยี นรทู้ ไี่ ด้จากเรือ่ งท่ี 2 ขนั้ ตอนในการทาโครงงาน สื่อกำรเรียนรู้ 1. ใบความรู้ที่ 2 ขั้นตอนในการทาโครงงาน 2. ใบงานที่ 2 ขนั้ ตอนในการทาโครงงาน กำรวัดและประเมนิ ผล ประเมินจากใบงานท่ี 2 ขนั้ ตอนในการทาโครงงาน

14 ใบควำมร้ทู ี่ 2 ข้นั ตอนในกำรทำโครงงำน โครงงานเป็นกจิ กรรมท่ีต้องกระทาอยา่ งต่อเนื่อง ต้งั แต่เริม่ ตน้ จนกระทั่งเสรจ็ ส้ิน โครงงานซงึ่ ผเู้ รียนจะต้องเป็นผดู้ าเนนิ การเองทั้งส้นิ โดยมีครเู ป็นที่ปรึกษา ให้คาแนะนา มขี น้ั ตอนที่สาคัญ ดังน้ี ขน้ั ที่ 1 การคดิ และเลือกหัวเรือ่ ง ข้ันที่ 2 การศึกษาเอกสารท่ีเกีย่ วขอ้ ง ขั้นท่ี 3 การเขยี นเค้าโครงของโครงงาน ขั้นท่ี 4 การลงมือทาโครงงาน ขั้นที่ 5 การเขยี นรายงาน ขัน้ ท่ี 6 การแสดงผลงาน ขั้นท่ี 1 กำรคิดและเลือกหัวเร่อื ง ในข้ันตอนน้ีเป็นข้ันตอนที่ยากท่ีสุด โดยให้ผู้เรียนได้สารวจตัวเองว่าตัวเองสนใจในเร่ืองใดที่ได้ เรียนมาแล้ว หรืออาจบูรณาการเร่ืองท่ีเรียนมาแล้ว หรืออาจศึกษาจากเอกสารต่าง ๆ ท่ีมีอยู่ในห้องสมุด หรือได้มาจากการสังเกตส่ิงแวดล้อมรอบตัวเอง หรือศึกษาจากโครงงานท่ีทามาแล้ว หรือได้มาจาก การมองเห็นสังคมทเ่ี ป็นอยู่ในปัจจบุ ันน้ี หรอื จากการฟังบรรยาย การศกึ ษาเอกสาร บทความ การสนทนา หรือจากการไปดงู าน ทัศนศึกษา ชมนิทรรศการ หวั เรื่องในการทาโครงงาน ต้องเป็นเร่อื งเฉพาะเจาะจง และชัดเจนว่าโครงงานนจ้ี ะทาอะไร และ ควรเน้นเร่ืองท่ีอยู่ใกล้ตัว หรือมีความคุ้นเคยกับเร่ืองดังกล่าว เป็นเร่ืองท่ีต้องใช้เวลาในการศึกษา พอสมควรทจ่ี ะใหไ้ ด้มาซึ่งคาตอบ เม่ือได้หัวเร่ืองแล้ว หรือได้เร่ืองที่ผู้เรียนสนใจแล้ว ผู้เรียนก็นาเร่ืองไปขอคาปรึกษาเพื่อขอ ความเห็นกับครูในการหาแนวทางในการทาโครงงานต่อไป หรอื บางทีปญั หา หรือเร่ืองท่ีสนใจอาจจะใหญ่ หรือเล็กเกนิ ไปก็ได้ ขั้นที่ 2 กำรศึกษำเอกสำรที่เกีย่ วข้อง เม่ือได้ปัญหาหรือหัวเร่ืองท่ีผู้เรียนสนใจแล้ว และท่ีปรึกษาเห็นว่าสามารถทาเป็นโครงงานแล้ว ผู้เรียนต้องไปศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับเร่ืองที่จะทาโครงงาน ซึ่งจะทาให้เกิดความรู้ ความเข้าใจใน รายละเอียดต่าง ๆ ทเี่ กีย่ วข้องเพมิ่ มากขน้ึ รวมท้ังทาให้เห็นถึงภาระงานท่ีจะดาเนินการของโครงงานที่จะ ทา เม่ือได้ศึกษาเอกสารท่ีเก่ียวข้องมามากพอสมควรแล้วจะได้ทราบขอบข่ายในการทาโครงงานของ ตวั เอง ดังนี้ ทาอะไร ทาไมตอ้ งทา ต้องการให้เกิดอะไร ทาอยา่ งไร ใช้ทรพั ยากรอะไร ทากับใคร เสนอผล อย่างไร ข้ันท่ี 3 กำรเขียนเคำ้ โครงของโครงงำน การดาเนินงานในขั้นตอนน้ี เป็นการสร้างแผนที่ความคิด เป็นการนาภาพของงาน และภาพ ความสาเร็จของโครงงานที่วิเคราะห์ไว้มาจัดทารายละเอียด เพื่อแสดงแนวคิด แผนงานและข้ันตอน การทาโครงงาน การดาเนินงานในข้ันนี้ต้องใช้พลังงานสมองของผู้ร่วมงานทุกคน ให้มองเห็นภาระงาน ของกลุ่มต้ังแต่เริ่มต้นจนเสร็จสิ้น รวมทั้งได้ทราบถึงบทบาท และระยะเวลาในการดาเนินงาน อย่าง

15 ชัดเจน แล้วจึงเขียนเป็นเค้าโครงของโครงงาน เค้าโครงท่ีเขียนขึ้นเป็นการวางแผนการทาโครงงาน อยา่ งคร่าว ๆ ซ่ึงจะช่วยใหก้ ารดาเนินการเป็นไปอย่างมีขนั้ ตอน ไม่สบั สนั ขัน้ ท่ี 4 กำรลงมือทำโครงงำน เม่ือผ่านข้ันตอนการวางแผนเรียบร้อยแล้ว ก็เร่ิมลงมือทาโครงงานตามท่ีระบุไว้ในเค้าโครงที่ เสนอต่อครูท่ีปรึกษา ในการลงมือทาโครงงานน้ัน ส่ิงท่ีผู้เรียนควรคานึงถึง ได้แก่ การเตรียมวัสดุอุปกรณ์ และสถานที่ให้พร้อมก่อนการทาโครงงาน ดาเนินการทาโครงงานก็ควรทาด้วยความระมัดระวงั รอบคอบ โดยเน้นความประหยัด และความปลอดภัยเป็นหลัก ทาการทดลองซ้าเพ่ือจะได้ข้อมูลท่ีน่าเชื่อถือมาก ย่ิงข้นึ ควรทางานในสว่ นทเ่ี ปน็ หลัก ๆ กอ่ นแล้วจึงค่อยมาตบแตง่ ภายหลัง ผู้ที่ทาโครงงานพึงระลึกไว้เสมอว่า การทาโครงงานนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าจะต้องได้ผลงานออกมา สาเร็จตามท่ีคาดหวังไว้ทุกประการ ผลงานท่ีออกมาอาจจะต้องได้ผลงานออกมาสาเร็จตามที่คาดหวังไว้ ทุกประการ ผลงานท่ีออกมาอาจจะไม่เป็นไปตามที่คาดหวังก็ได้ ซึ่งถือว่าการทาโครงงาน คร้ังน้ีมี ความสาเร็จเหมือนกัน เพราะความรู้ที่ได้มาถือว่ามีประโยชน์ท้ังน้ัน ข้อสาคัญคือ ผู้เรียนไม่ควรท้อถอย หรือเลิกกลางคัน ขัน้ ที่ 5 กำรเขียนรำยงำน การเขียนรายงาน เป็นการนาเสนอผลการศึกษาหรือผลการทาโครงงานให้ผู้อ่านเข้าใจถึง แรงผลักดัน ความสาคัญของปัญหาที่ก่อให้เกิดการค้นคว้า วิธีดาเนินการศึกษาและผลของการศึกษา การ เขยี นรายงานเป็นขน้ั สดุ ท้ายของการทาโครงงาน เพื่อบอกใหท้ ราบว่าเพราะเหตใุ ดจึงทา ทาอะไรบ้าง ทาแล้วได้ผลเป็นอย่างไร การเขียนรายงานท่ีดีต้องกะทัดรัด ชัดเจน สามารถสื่อให้ผู้อ่านเข้าใจได้เป็น อยา่ งดี ดังนนั้ การเขยี นรายงานจงึ ต้องอาศยั ความรู้ ทกั ษะ และประสบการณพ์ อสมควร ขน้ั ท่ี 6 กำรแสดงผลงำน การแสดงผลงานจัดได้ว่าเป็นขั้นตอนสาคัญอีกประการหน่ึงของการทาโครงงาน เรียกได้ว่าเป็น งานขั้นตอนสุดท้ายของการทาโครงงาน เป็นการแสดงผลิตผลของความคิด และการปฏิบัติการท้ังหมดท่ี ผู้ทาโครงงานได้ทุ่มเวลาไป และเป็นวิธีการท่ีจะทาให้ ผู้อ่ืนรับรู้และเข้าใจถึงผลงานนั้น มีผู้กล่าวกันว่า การวางแผน ออกแบบเพ่อื จดั แสดง ผลงานนัน้ มีความสาคญั เท่า ๆ กับการทาโครงงานน้ันเอง ผลงานทที่ า จะดียอดเยี่ยมเพียงใด แต่ถ้าการจัดแสดงผลงานทาได้ไม่ดี ก็เท่ากับไม่ได้แสดงถึงความยอดเยี่ยมของ ผลงานนนั้ น่นั เลย

16 ใบงำนท่ี 2 ขน้ั ตอนในกำรทำโครงงำน 1. ขน้ั ตอนในการทาโครงงาน มีกีข่ น้ั ตอน อะไรบ้าง …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. ข้นั ตอนในการทาโครงงาน ขน้ั ตอนใดเปน็ ขน้ั ตอนท่ยี ากท่สี ุด เพราะเหตุใด …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………

17 เฉลยใบงำนที่ 2 ขน้ั ตอนในกำรทำโครงงำน 1. ขน้ั ตอนในการทาโครงงาน มกี ี่ขน้ั ตอน อะไรบ้าง โครงงานมขี นั้ ตอนการทา 6 ขั้นตอน ดังน้ี ขน้ั ที่ 1 การคดิ และเลือกหวั เรอ่ื ง ขน้ั ที่ 2 การศึกษาเอกสารทีเ่ กี่ยวขอ้ ง ขั้นที่ 3 การเขียนเค้าโครงของโครงงาน ขน้ั ท่ี 4 การลงมือทาโครงงาน ขน้ั ที่ 5 การเขียนรายงาน ขน้ั ท่ี 6 การแสดงผลงาน 2. ขนั้ ตอนในการทาโครงงาน ข้ันตอนใดเปน็ ขั้นตอนท่ียากทีส่ ุด เพราะเหตใุ ด ขั้นตอนท่ียากที่สุด คือ ขั้นท่ี 1 การคิดและเลือกหัวเรื่อง เพราะผู้เรียนต้องสารวจตัวเองว่าตัวเอง สนใจในเรือ่ งใดที่ได้เรยี นมาแล้ว หรืออาจบูรณาการเร่ืองท่ีเรยี นมาแลว้ หรืออาจศึกษาจากเอกสารต่าง ๆ ท่ีมีอยู่ในห้องสมุด หรือได้มาจากการสังเกตส่ิงแวดล้อมรอบตัวเอง หรือศึกษาจากโครงงานที่ทามาแล้ว หรือได้มาจากการมองเห็นสังคมที่เป็นอยู่ในปัจจุบันน้ี หรือจากการฟังบรรยาย การศึกษาเอกสาร บทความ การสนทนา หรือจากการไปดูงาน ทัศนศึกษา ชมนิทรรศการ และหัวเรื่องในการทาโครงงาน ต้องเป็นเร่ืองเฉพาะเจาะจง และชัดเจนว่าโครงงานน้ีจะทาอะไร และควรเน้นเร่ืองท่ีอยู่ใกล้ตัว หรือมี ความคุน้ เคยกับเร่ืองดังกล่าว เป็นเร่ืองทต่ี ้องใชเ้ วลาในการศึกษาพอสมควรท่จี ะให้ไดม้ าซงึ่ คาตอบ

18 แผนกำรจัดกิจกรรมกำรเรยี นรโู้ ดยกำรทำโครงงำน เรือ่ งท่ี 3 กำรคดิ และเลือกหัวเร่ืองโครงงำน เวลำ 30 นำที ............................................................................................................................. ........................................ สำระสำคัญ โครงงานเปน็ กจิ กรรมท่ีต้องกระทาอยา่ งต่อเน่อื ง ตัง้ แต่เรม่ิ ตน้ จนกระท่ังเสรจ็ ส้นิ โครงงานซง่ึ ผู้เรียนจะตอ้ งเป็นผดู้ าเนินการเองทัง้ สิน้ โดยมีครเู ป็นทป่ี รึกษา ให้คาแนะนา มขี ั้นตอนท่ีสาคญั 6 ข้นั ตอน คอื การคดิ และเลือกหัวเร่ือง การศึกษาเอกสารท่ีเก่ยี วข้อง การเขยี นเค้าโครงของโครงงาน การลงมือทา โครงงาน การเขยี นรายงาน และการแสดงผลงาน ตวั ชว้ี ัด 1. สามารถอธบิ ายการคดิ และเลอื กหัวเรือ่ งในการทาโครงงานได้ 2. สามารถคิดและเลอื กหัวเร่ืองในการทาโครงงานได้ สำระกำรเรยี นรู้ การคดิ และเลือกหัวเรอ่ื งในการทาโครงงาน กิจกรรมกำรเรยี นรู้ ขั้นนำ 1. ครูสรา้ งความตระหนักให้ผู้เรยี นเห็นความสาคญั การเรียนรู้ เรอื่ งที่ 3 การคิดและเลอื กหวั เรอ่ื งในการทาโครงงาน และประโยชน์ท่ีได้รับ พร้อมสรปุ ทบทวนเน้ือหาทเี่ ก่ยี วขอ้ ง ขนั้ จัดกจิ กรรมกำรเรียนรู้ 1. แบง่ กลุ่มนกั ศึกษาออกเป็นกลมุ่ ๆ ละ 5 คน 2. ครูแจกใบความรู้ท่ี 3 การคดิ และเลือกหัวเรือ่ งในการทาโครงงาน 3. ให้นักศกึ ษาแต่ละกลุ่มศึกษาใบความรู้ที่ 3 การคิดและเลอื กหัวเร่อื งในการทาโครงงาน 4. นกั ศึกษาระดมสมองในการหาปัญหา และตดั สนิ ใจเลือกปญั หาของกลุ่ม บันทึกลงในใบงานที่ 3 การคดิ และเลือกหวั เร่ืองในการทาโครงงาน 5. ใหน้ กั ศึกษาแต่ละกลุม่ นาเสนอหวั เร่ืองของโครงงานแต่ละกลุ่ม 6. นกั ศึกษาสรปุ ผลการเรยี นรูท้ ่ีได้ไปทาใบงานที่ 3 การคดิ และเลอื กหัวเรือ่ งในการทาโครงงาน ขน้ั สรุป ครแู ละนกั ศกึ ษาร่วมกันสรุปการเรยี นรทู้ ีไ่ ด้จากเร่อื งที่ 3 การคดิ และเลือกหวั เรือ่ งในการทา โครงงาน สือ่ กำรเรียนรู้ 1. ใบความรู้ที่ 3 การคิดและเลอื กหัวเรื่องในการทาโครงงาน 2. ใบงานท่ี 3 การคดิ และเลือกหัวเรอื่ งในการทาโครงงาน กำรวัดและประเมนิ ผล ประเมินจากใบงานที่ 3 การคิดและเลือกหวั เรอื่ งในการทาโครงงาน

19 ใบควำมร้ทู ี่ 3 กำรคิดและเลอื กหวั เร่อื งโครงงำน ให้เร่ิมจากคาถาม เช่น อาชีพท่ีผู้เรียนทาอยู่มีปัญหาอะไรบ้าง ปัญหาไหนต้องแก้ไขก่อน เพราะ อะไร ต้องการพัฒนาอาชีพ หรือต่อยอดอาชีพเดิมที่ทาอยู่หรือไม่ หรือถ้าผู้เรียนไม่ได้ประกอบอาชพี ควร เร่ิมท่ี เร่ืองที่ผู้เรียนสงสัยอยากรู้ ซ่ึงอาจมาจากการอ่านหนังสือ จากการฟังผู้อ่ืนพูด จากการไปศึกษาดู งาน หรือจากเน้ือหาในวิชาที่ลงทะเบียนเรียน เช่น ปัญหาผลผลิตตกต่า ผลผลิตถูกโรคและแมลงทาลาย ผลผลติ ลน้ ตลาด สินคา้ ไมไ่ ด้มาตรฐาน ไมม่ เี งนิ ลงทุน ไมร่ จู้ ะทาอาชีพอะไรดี เป็นต้น แลว้ นามาเรียบเรียง เป็นที่มาและความสาคัญของโครงงาน โดยเขียนในรูปแบบความเรียงว่า มีปัญหาอะไร ปัญหามี ความรุนแรงระดับไหน ส่งผลเสยี หรือ ผลกระทบอะไรบา้ ง ตอ้ งการจะแกป้ ัญหาอย่างไร แก้แลว้ จะส่งผลดี อยา่ งไร ตวั อยำ่ งท่ีมำของหัวเรอ่ื งโครงงำน สถำนกำรณท์ ่ี 1 อรุณเรียนอยู่ กศน. ตาบลกระทุ่มล้ม ได้เรียนวิชาคณิตศาสตร์ในเรื่องการหาพื้นที่ อรุณมี ความสนใจมาก อยู่มาวันหนึ่งได้รดนาต้นไม้ท่ีบ้าน และเกิดความคิดในใจว่าเม่ือเราเรียนการคานวณเรอ่ื ง การหาพื้นท่ีมาแล้วน่าจะนามาทาประโยชน์อะไรได้บ้าง และเมื่อเหลือบไปเห็นใบไม้ที่มีรูปร่าง ขนาด แตกต่างกัน แล้วนึกข้ึนมาว่าจะทาอย่างไรท่ีจะหาความสัมพันธร์ ะหว่างเส้นกลางใบกับพื้นที่ของใบ ก็เลย นาเร่ืองนไี้ ปเสนออาจารย์ อาจารย์ใหค้ วามสนใจและแนะนาให้อรุณนาไปทาเปน็ โครงงานได้ หวั เร่อื งโครงงาน : การศึกษาความสัมพนั ธข์ องเสน้ กลางและพนื้ ที่ของใบไม้ สถำนกำรณ์ที่ 2 สมชายเรียนอยู่ใน กศน. ตาบลแห่งหน่ึง มีความสนใจในวิชาคณิตศาสตร์ ในช่วงภาวะเศรษฐกจิ ตกตา่ สมชายได้ไปซอ้ื ของกับพ่อแม่ทร่ี า้ นค้า ไดม้ โี อกาสพบเห็นคนทีม่ รี ายได้แตกตา่ งกนั ไปซ้ือของ คนท่ีมี รายได้ตาไปซื้อของก็ซ้ือได้ในปรมิ าณที่น้อย และราคาแพง ก็เลยเกิดความสนใจท่ีจะไปสารวจราคาสนิ คา้ เพื่อจะทาให้ทราบว่าสินค้าชนิดเดียวกันคนละย่ีห้อจะมีราคาต่างกันอย่างไร และย่ีห้อไหนมีราคาถูกกว่า กนั จงึ นาเร่อื งนีไ้ ปเสนออาจารย์ อาจารย์ใหค้ วามสนใจและแนะนาให้อรุณนาไปทาเปน็ โครงงานได้ หวั เร่อื งโครงงาน : ผซู้ อ้ื สมองใสต้านภัยเศรษฐกิจ สถำนกำรณ์ท่ี 3 ดนัยเป็นนักเรียนระดับมัธยมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนแห่งหน่ึงได้ตระหนักถึงปัญหาภาวะโลกร้อนท่ี เกิดข้ึนในปัจจุบัน จึงเกิดแนวความคิดที่จะทาโครงงานที่เก่ียวข้องกับการแก้ปัญหาภาวะโลกร้อน ได้ ออกไปสารวจแหล่งกาเนิดโลกร้อนในชุมชนแล้ว พบว่า คนไทยนิยมใช้ถ่านเพื่อประกอบอาหารกันมาก เช่น รา้ นหมูกระทะ ร้านไก่ยา่ ง หมยู ่าง เนอ้ื ย่าง เปน็ ตน้ เพราะถา่ นเป็นพลังงานเชื้อเพลิงท่ีมรี าคาถูกกว่า เชือ้ เพลิงชนดิ อ่ืน ๆ แตถ่ ่านเป็นอีกปัจจยั หนึ่งทีท่ าใหเ้ กดิ ภาวะโลกร้อน เพราะเมอ่ื ถ่านถูกเผาไหม้จะมีควัน ซงึ่ มีส่งประกอบของก๊าซคาร์บอนได้ออกไซด์ ซง่ึ เปน็ กา๊ ซสาคญั ทท่ี าให้เกิดปรากฏการณเ์ รือนกระจก ดนัย

20 จึงมีแนวความคิดท่ีจะนาเศษถ่านมารีไซเคิล ให้เป็นถ่านท่ีมีประสิทธิภาพสูงกว่าถ่านธรรมดาทั่วไป และ เพอ่ื ลดควันใหม้ ปี รมิ าณน้อยลง ซง่ึ เปน็ ปจั จัยหนึง่ ท่ชี ่วยเกิดภาวะโลกร้อน หัวเรื่องโครงงาน : ถ่านไมร้ ไี ซเคลิ

21 ใบงำนท่ี 3 กำรคิดและเลอื กหัวเรอ่ื งโครงงำน 1. ปัญหาท่ีพบในสถานการณ์ที่กาหนดให้ ปญั หาทีพ่ บในสถานการณท่ี 1 1. ........................................................................................................................................................ 2. ........................................................................................................................................................ ปญั หาที่พบในสถานการณที่ 2 1. ........................................................................................................................................................ 2. ........................................................................................................................................................ ปญั หาทพ่ี บในสถานการณที่ 3 1. ........................................................................................................................................................ 2. ........................................................................................................................................................ 2. ปัญหาจากการระดมสมองของกลุม่ ให้นักศึกษาแต่ละกลุ่ม เลือกประธาน เลขานุการ ต้ังชื่อกลุ่ม และดาเนินการระดมสมองของกลุ่ม เลอื กปญั หา และหัวเร่อื งโครงงาน ปัญหาทีก่ ลมุ่ ตดั สินใจเลอื ก คือ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… หวั เรือ่ งโครงงาน คือ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………

22 เฉลยใบงำนท่ี 3 กำรคิดและเลอื กหัวเรอื่ งโครงงำน 1. ปัญหาท่ีพบในสถานการณ์ท่ีกาหนดให้ ปญั หาทีพ่ บในสถานการณท่ี 1 1. การคานวณเร่อื งการหาพ้ืนท่ีมาแล้วน่าจะนามาทาประโยชน์อะไรได้บ้าง 2. จะทาอยา่ งไรทีจ่ ะหาความสัมพนั ธร์ ะหว่างเสน้ กลางใบกบั พืน้ ท่ีของใบได้ ปญั หาทพี่ บในสถานการณท่ี 2 1. คนท่มี ีรายได้แตกตา่ งกันไปซอ้ื ของ คนทีม่ รี ายได้ตาไปซ้ือของกซ็ ื้อไดใ้ นปริมาณท่นี ้อย และ ราคาแพง 2. สนิ ค้าชนดิ เดยี วกนั คนละยี่หอ้ จะมรี าคาต่างกนั อยา่ งไร และยีห่ อ้ ไหนมีราคาถูกกว่า ปญั หาที่พบในสถานการณท่ี 3 1. ถ่านเมื่อถูกเผาไหม้จะมีควัน ซึ่งมีสว่ นประกอบของก๊าซคารบ์ อนไดอ้ อกไซด์ ซึ่งเปน็ ก๊าซสาคัญท่ี ทาให้เกิดปรากฏการณเ์ รอื นกระจก 2. ถา่ นจะเผาไหม้เร็วและไม่สามารถนามาใชไ้ ด้อีก 2. ปัญหาจากการระดมสมองของกลมุ่ (คาตอบได้จากการระดมสมองของกล่มุ ) ปัญหาที่กลุ่มตดั สินใจเลอื ก คือ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… หัวเรอื่ งโครงงาน คือ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………

23 แผนกำรจัดกจิ กรรมกำรเรียนรโู้ ดยกำรทำโครงงำน เรอ่ื งท่ี 4 กำรเขียนเค้ำโครงของโครงงำน เวลำ 30 นำที ................................................................................................................... .................................................. สำระสำคญั เค้าโครงของโครงงาน หมายถึงโครงการเพ่อื ขอเสนอทาโครงงาน เปน็ การวางแผนการดาเนนิ งาน โครงงาน โดยกาหนดรายละเอยี ดลว่ งหน้าวา่ จะปฏบิ ัติการสง่ิ ใดบา้ ง กาหนดกิจกรรมของโครงงาน รวมทงั้ ระยะเวลา วสั ดอุ ปุ กรณ์ หรือสงิ่ ของต่าง ๆ ตามความจาเป็นทช่ี ่วยใหโ้ ครงงานไดร้ ับความสาเรจ็ โดยเขียน เปน็ โครงร่างหรือเคา้ โครง ก่อนนาเสนอครูทีป่ รกึ ษา เพื่อขอความเห็นชอบ ตวั ชว้ี ัด 1. สามารถเขยี นเคา้ โครงของโครงงานได้ สำระกำรเรียนรู้ การเขยี นเค้าโครงของโครงงาน กจิ กรรมกำรเรยี นรู้ ขัน้ นำ 1. ครูสร้างความตระหนักให้ผู้เรยี นเห็นความสาคญั การเรยี นรู้ เรอ่ื งที่ 4 การเขยี นเค้าโครงของ โครงงาน พร้อมสรปุ ทบทวนเน้อื หาท่เี กีย่ วขอ้ ง ขน้ั จัดกจิ กรรมกำรเรยี นรู้ 1. แบ่งกลุ่มนักศึกษาออกเป็นกลมุ่ ๆ ละ 5 คน (กลุ่มเดมิ จากแผนการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ เร่อื งที่ 3 ) 2. ครแู จกใบความรู้ท่ี 4 การเขียนเคา้ โครงของโครงงาน 3. ให้นักศึกษาแตล่ ะกลุ่มศึกษาใบความรู้ที่ 4 การเขียนเค้าโครงของโครงงาน 4. นักศกึ ษาวางแผนในการจัดทาโครงงานตามหวั เรือ่ งโครงงานของกลุ่มท่เี ลือกแลว้ จาก แผนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ เรอ่ื งท่ี 3 5. นกั ศึกษาเขียนเคา้ โครงของโครงงานในใบงานที่ 4 การเขียนเค้าโครงของโครงงาน 6. นกั ศึกษานาเสนอเค้าโครงของโครงงานให้ทีป่ รึกษาได้ตรวจเพ่ืออนุมัติใหจ้ ัดทา 7. นกั ศกึ ษาสรปุ ผลการเรยี นรู้ที่ได้ไปทาใบงานท่ี 4 การเขียนเค้าโครงของโครงงาน ขน้ั สรุป ครแู ละนักศกึ ษารว่ มกันสรปุ การเรียนรทู้ ไ่ี ด้จากเรื่องที่ 4 การเขยี นเคา้ โครงของโครงงาน โครงงาน สือ่ กำรเรยี นรู้ 1. ใบความรู้ท่ี 4 การเขียนเค้าโครงของโครงงาน 2. ใบงานท่ี 4 การเขยี นเคา้ โครงของโครงงาน กำรวดั และประเมนิ ผล ประเมินจากใบงานที่ 4 การเขยี นเคา้ โครงของโครงงาน

24 ใบควำมรู้ที่ 4 กำรเขียนเคำ้ โครงของโครงงำน เม่ือศึกษาข้อมูล และเลือกหัวเรื่องในการทาโครงงานแลว้ จึงเริ่มเขียนเค้าของโครงงาน โดยต้อง คานงึ ถึงความสะดวก กะทดั รดั และเหมาะสมกับลักษณะของโครงงาน คดิ ล่วงหนา้ ว่าจะทาอะไร อย่างไร เพือ่ ใหม้ คี วามเขา้ ใจในการทางานอย่างเป็นระบบขนั้ ตอน ไม่สับสนว่นุ วาย โดยช่วยกันคิดไวล้ ่วงหน้าว่าจะ ปฏบิ ัติการสิง่ ใดบ้าง กาหนดกจิ กรรมของโครงงาน รวมท้งั ระยะเวลา วัสดุอุปกรณ์ หรอื สง่ิ ของต่าง ๆ ตาม ความจาเป็นที่ช่วยให้โครงงานได้รับความสาเร็จ โดยเขียนเป็นโครงร่างหรือเค้าโครง ก่อนนาเสนอครูที่ ปรึกษา เพื่อขอความเห็นชอบ การวางแผนที่ดีจะนาไปสู่การทาโครงงานที่ราบร่ืน ได้ผลงานที่ดี ใช้เวลา น้อย มอี ปุ สรรคนอ้ ย ชว่ ยกาหนดทศิ ทางงานได้ถกู ต้อง เคา้ โครงของโครงงาน ประกอบด้วย 1. ชอ่ื เรือ่ ง (บอกให้ละเอยี ดว่าทาอะไร กับใคร เพอ่ื อะไร) 2. ช่ือผู้ทาโครงงาน (ช่ือผู้รับผิดชอบโครงงานนี้ อาจทาเป็นรายบุคคลหรือเป็นกลุ่มก็ได้ แต่ก็ไม่ ควรเกินกลุ่มละ 5 คนต่อ 1 โครงงาน ประมาณ 3 คน จะเหมาะสม เพราะถ้าคนมากจะเกี่ยงกันทางาน และความรับผิดชอบงานน้อยเกนิ ไป) 3. ชื่อที่ปรึกษา (จะเป็นครูหรือผู้ที่แนะนา กากับ ดูแล ผู้ทรงคุณวุฒิต่าง ๆ อาจมากกว่า 1 คน แตเ่ ปน็ ผูท้ ีม่ ีบทบาทดูแลนักเรยี นอย่างจริงจงั ) 4. ที่มาและความสาคัญของโครงงาน (เขียนเป็นความเรียง อธิบายว่ามีปัญหาอะไร ปัญหามี ความรุนแรงมากน้อยแค่ไหน ถ้ามีตัวเลขหรือข้อมูลอ้างอิงจะช่วยให้มีความน่าเชื่อถือมากข้ึน มีสาเหตุมา จากอะไร มีผลเสียอย่างไรบ้าง ต้องการแก้ไขแบบไหน แก้แล้วจะส่งผลดีอย่างไร ท้ังผลดีต่อตนเอง ครอบครวั ชมุ ชน หรือสงิ่ แวดลอ้ ม 5. วัตถุประสงค์ (สง่ิ ท่ีต้องการใหเ้ กดิ เม่อื ส้ินสุดโครงงานในเชิงปริมาณและคุณภาพ) 6. สมมติฐานและตัวแปร (ถ้ามี กรณีเป็นโครงงานประเภททดลองหรือโครงงานในกลุ่มสาระ วิทยาศาสตร์ ข้อตกลง ข้อกาหนด เง่อื นไข เปน็ แนวทางในการพิสูจน์ให้เปน็ ไปตามท่ีกาหนดหรอื สงิ่ ที่คาด วา่ จะเกิดเมอ่ื สิ้นสุดโครงงาน) 7. วธิ ีการศกึ ษา (เขยี นข้นั ตอนการศกึ ษาตั้งแต่ต้นจนจบ บอกรายละเอียด การทางาน เครื่องมือ วัสดอุ ุปกรณ์ สถานที่) 8. แผนการดาเนินงาน (วัน เวลา ท่ีเริ่มปฏิบัติงาน ข้ันตอนการดาเนินงานตามกิจกรรมที่ได้ กาหนดไว้ ตั้งแตเ่ ร่ิมลงมือทาจนสาเรจ็ ตามวตั ถุประสงค์) 9. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ (ประโยชน์ที่จะได้รับจากการทาโครงงาน จะมีอะไรเกิดข้ึน มี ปริมาณมากน้อยเพียงใด มีประสิทธิภาพหรือคุณภาพอย่างไร จะได้รับประโยชน์หลายลักษณะหรือ ลกั ษณะใดลักษณะหน่งึ จากการทาโครงงานคร้งั น้ีอย่างไร ทงั้ กบั ตนเอง เพอื่ น ๆ และบคุ คลทวั่ ไป)

25 ตวั อย่ำงกำรเขยี นเคำ้ โครงของโครงงำน ชื่อเร่อื ง โครงงานถา่ นไม้รไี ซเคลิ ชอ่ื ผทู้ ่ีทำโครงงำน 1. นางสาวนวลนภา ฐิตเวท 2. นายภูรชั ศรีเลศิ รส 3. นายพรี ะพงษ์ วงษ์ทวี ช่ืออำจำรย์ที่ปรกึ ษำ นางสาวชญานชุ ช้ินจนิ้ ทม่ี ำและควำมสำคญั ของโครงงำน ผู้จัดทาโครงงานเป็นนักศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย กศน. ตาบลกระทุ่มล้ม ได้ตระหนัก ถึงปัญหาภาวะโลกร้อนที่เกิดข้ึนในปัจจุบัน ซึ่งพวกเราต้องการที่จะเป็นส่วนหน่ึงของการแก้ไขปัญหา ภาวะโลกร้อนที่เกิดข้ึน จึงเกิดแนวความคิดที่จะทาโครงงานที่เก่ียวข้องกับการแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดย หลังจากท่ีได้ออกไปสารวจแหล่งกาเนิดโลกร้อนในชุมชนแล้ว พบว่า คนไทยนิยมใช้ถ่านเพื่อประกอบ อาหารกันมาก เช่น ร้านหมูกระทะ ร้านไก่ย่าง หมูย่าง เนื้อย่าง เป็นต้น เพราะถ่านเป็นพลังงานเชอ้ื เพลิง ท่ีมีราคาถูกกว่าเช้ือเพลิงชนิดอ่ืนๆ แต่ถ่านเป็นอีกปัจจัยหน่ึงท่ีทาให้เกิดภาวะโลกร้อน เพราะเมื่อถ่านถูก เผาไหม้จะมีควัน ซึ่งมีส่วนประกอบของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซ่ึงเป็นก๊าซสาคัญที่ทาให้ เกิดปรากฎการณ์เรือนกระจก ผู้จัดทาจึงมีแนวความคิดท่ีจะนาเศษถ่านมารีไซเคิล ให้เป็นถ่านที่มี ประสิทธิภาพสูงกว่าถ่านธรรมดาท่ัวไป และเพ่ือลดควันให้มีปริมาณน้อยลง ซ่ึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยเกิด ภาวะโลกร้อน วัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการนาถ่านไม้ท่ีใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่ โดยหาอัตราส่วนท่ี เหมาะสมของส่วนผสมต่าง ๆ ท่ีจะใหพ้ ลงั งานความร้อนดที ส่ี ดุ 2. เพื่อศึกษาชนิดของแป้งที่ใหพ้ ลงั งานความร้อนสูงสดุ เมื่อนามาผสมกับถ่านรีไซเคลิ สมมติฐำนของกำรศกึ ษำคน้ คว้ำ 1. อัตราสว่ นผสมระหว่างถา่ นไม้ แป้ง และน้า ท่ีแตกต่างกันมีผลตอ่ ประสิทธิภาพของถา่ น 2. แปง้ ชนดิ ตา่ ง ๆ เม่ือผสมกับถา่ น จะมผี ลต่อประสทิ ธภิ าพของถ่านแตกต่างกัน ตวั แปร ตวั แปรตน้ ได้แก่ 1. อตั ราสว่ นของสว่ นประกอบถ่าน (เศษถ่าน : แป้ง : นา้ ) 3 อัตราส่วน คือ 2:1:1 / 2:2:1 / 1:2:1 2. ชนิดของแปง้ (แป้งมนั แป้งขา้ วเจา้ แปง้ ขา้ วเหนยี ว แป้งข้าวโพด) ตัวแปรตาม ได้แก่ ประสทิ ธิภาพของถา่ น (ใหค้ วามร้อนสงู ควนั นอ้ ย ไฟติดงา่ ย) ตัวแปรควบคุม ได้แก่ แม่พิมพ์ ถ้วยตวง บีกเกอร์ อัตราส่วนต่างๆ ในการผลิตถ่าน ได้แก่ เศษ ถ่าน ปรมิ าณของแป้ง น้า และเปลอื กผลไม้

26 ขอบเขตกำรศกึ ษำคน้ ควำ้ 1. ถ่านรไี ซเคลิ จากการผสมของวัสดุชนดิ ต่าง ๆ เพือ่ เพ่ิมประสิทธิภาพการให้พลังงานความร้อน ในอตั ราส่วนระหว่างเศษถ่านตอ่ แป้งตอ่ น้าทแี่ ตกต่างกัน 3 อัตราส่วน ได้แก่ 2:1:1 / 2:2:1 / 1:2:1 2. ชนิดของแปง้ ในการเพม่ิ ประสทิ ธิภาพของถ่าน คอื แป้งมนั แปง้ ขา้ วเจ้า แป้งขา้ วเหนียว แปง้ ข้าวโพด วธิ ีดำเนินกำร วสั ดอุ ุปกรณ์ 1. กะละมงั 2. ทพั พี 3. ถ้วยตวง 4. ตราชง่ั 5. แม่พมิ พ์ 6. ท่อี ดั ถา่ น 7. บกี เกอร์ 8. กระดาษสา 9. เศษถา่ น 10. แปง้ ชนดิ ต่าง ๆ 11. น้า วธิ กี ำรศึกษำ ตอนที่ 1 ถ่านรีไซเคลิ จากการผสมของวสั ดชุ นิดตา่ งๆ เพอื่ เพมิ่ ประสิทธิภาพในการให้พลังงานความรอ้ น 1. นาเศษถา่ นมาตาให้เปน็ ผงละเอียด 200 กรัม หลังจากน้ันนามาผสมกับแป้งมัน 100 กรัม และนา้ 100 ml แลว้ คลกุ เคล้าให้เปน็ เนื้อเดียวกัน 2. นาสว่ นผสมทัง้ 3 ส่วนมาใส่ในท่ีอัดแท่งถา่ นทเี่ ตรยี มไว้ อดั จนแน่น ดันถา่ นที่อัดจนแน่น ออกมาจากท่ีอดั แล้วนาไปตากแดดจนแห้ง ก็จะไดแ้ ท่งถา่ นอัดแท่ง 3. ตวงนา้ 50 ml ลงในบกี เกอร์ขนาด 150 mk แล้วนามาต้ังบนเต่าถ่าน ที่มีถ่านอดั แท่ง ผสม แลว้ จับเวลาจนน้าเดือดทอ่ี ุณหภูมิ 80 c 4. ทาการทดลองซ้าข้อ 1-3 จานวน 4 ครั้ง พร้อมหาค่าเฉลี่ยของเวลาท่ีทาใหน้ า้ เดือด และ บนั ทกึ ผล 5. ตวงนา้ 50 ml ลงในบเี กอร์ 150 ml วัดอณุ หภมู ขิ องน้ากอ่ นนาไปต้มแลว้ นามาต้ังบนเตาถา่ น ทมี่ ีถา่ นอัดแทง่ ทผี่ สมแล้ว วดั อณุ หภมู ทิ ี่ทาใหน้ ้าเดือดในเวลา 4 นาที แลว้ นาผลที่ไดน้ ัน้ ไปบนั ทกึ ลงใน ตารางบนั ทกึ 6. ทาการทดลองซ้าจากข้อ 1 – 5 โดยเปล่ยี นอตั ราส่วนผสม เศษถ่าน : แปง้ : นา้ เปน็ 200 กรัม : 200 กรมั : 100 ml และอตั ราสว่ น 100 กรมั : 200 กรัม : 100 ml ทาการทดลองซา้ 4 ครง้ั แล้ว บนั ทึกผลลงในตารางบันทึกผล

27 ตอนท่ี 2 แป้งชนดิ ต่างๆ เม่ือผสมรวมกับถ่านเพื่อเพม่ิ ประสทิ ธิภาพในการให้พลังงานความร้อน 1. นาเศษถ่านมาตาให้เป็นผงละเอียด 200 กรัม หลังจากนั้นนามาผสมกับแป้งมัน 100 กรัม และนา้ 100 ml แล้วคลกุ เคล้าให้เป็นเนอ้ื เดียวกัน 2. นามาใส่ในที่อัดแท่งถ่านท่ีเตรียมไว้ อัดเข้าจนแน่น ดันถ่านที่อัดจนแน่นออกมาจากท่ีอัด นาไปตากแดดจนแห้ง ก็จะได้แท่งถ่านอดั แท่ง 3. ตวงน้า 50 ml ลงในบีกเกอร์ขนาด 150 ml แล้วนามาต้ังบนเตาถ่าน ที่มีถ่านอัดแท่งท่ีผสม แล้ว จับเวลาจนน้าเดอื ดทีอ่ ณุ หภูมิ 80°c 4. ทาการทดลองซ้าข้อ 1 – 3 จานวน 4 คร้ัง พร้อมหาค่าเฉลี่ยของเวลาที่ทาให้น้าเดือด และ บนั ทึกผล 5. ตวงนา้ 50 ml ลงในบีกเกอรข์ นาด 150 ml วัดอุณหภมู ิน้าก่อนนาไปต้ม แล้วนามาตง้ั บนเตา ถา่ นท่ถี ่านอัดแท่งทผ่ี สมแล้ว วัดอณุ หภมู ทิ าใหน้ ้าเดอื ดในเวลา 4 นาที แลว้ บันทกึ ผล 6. ทาการทดลองซ้าจากข้อ 1 – 5 โดยเปล่ียนแป้งมันเป็นแป้งต่างๆ คือ แป้งข้าวเจ้า แป้งข้าว เหนยี ว แป้งขา้ วโพด ทาการทดลองซ้า 4 ครง้ั แลว้ บันทกึ ผล แผนกำรดำเนนิ งำน 1. คิดและเลอื กหัวเร่อื งโครงงาน 15-30 พฤศจกิ ายน 2562 2. ศึกษาเอกสารที่เกีย่ วขอ้ ง 1-15 ธันวาคม 2562 3. เขียนเคา้ โครงของโครงงาน 15-30 ธนั วาคม 2562 4. ปฏิบตั กิ ารทาโครงงาน 1-15 มกราคม 2563 5. เขยี นรายงานโครงงาน 15-30 มกราคม 2563 6. จัดทาแผงโครงงาน 1-15 กุมภาพนั ธ์ 2563 7. นาเสนอโครงงาน 15-28 กมุ ภาพันธ์ 2563 ประโยชนข์ องกำรศกึ ษำ 1. สามารถผลติ ถ่านไม้ชีวภาพเปน็ พลงั งานทดแทนในอนาคตได้ 2. พลงั งานจากถ่านรีไซเคลิ ไม่กอ่ ให้เกดิ มลภาวะทางอากาศ และช่วยลดภาวะโลกร้อน 3. สามารถนาไปพัฒนาค้นหาวิธีการนี้นามาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อเน่ืองในท้องถ่ินจะเป็น การชว่ ยประหยัดทรพั ยากรปา่ ไมใ้ นการนามาทาถา่ นไม้ 4. ฝึกกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ รวมทั้งได้ศกึ ษาค้นควา้ แหลง่ เรยี นรู้ภมู ปิ ัญญาท้องถ่ิน

28 ใบงำนท่ี 4 กำรเขียนเคำ้ โครงของโครงงำน คำชี้แจง ใหก้ ลุ่มลงมอื เขยี นเค้าโครงของโครงงานตามหวั เรือ่ งของโครงงานทกี่ ลุ่มเลือกไว้ ช่อื เรื่อง ……………………………………………………………………………………………………………………………………................. ชอื่ ผทู้ ่ที าโครงงาน ……………………………………………………………………………………………………………………………………................. ……………………………………………………………………………………………………………………………………................. ……………………………………………………………………………………………………………………………………................. ชื่ออาจารยท์ ่ปี รึกษา ……………………………………………………………………………………………………………………………………................. ท่ีมาและความสาคัญของโครงงาน ……………………………………………………………………………………………………………………………………................. ……………………………………………………………………………………………………………………………………................. ……………………………………………………………………………………………………………………………………................. ……………………………………………………………………………………………………………………………………................. ……………………………………………………………………………………………………………………………………................. ……………………………………………………………………………………………………………………………………................. ……………………………………………………………………………………………………………………………………................. วัตถุประสงค์ ……………………………………………………………………………………………………………………………………................. ……………………………………………………………………………………………………………………………………................. ……………………………………………………………………………………………………………………………………................. ……………………………………………………………………………………………………………………………………................. สมมติฐานของการศึกษาคน้ คว้า (ถ้าม)ี ……………………………………………………………………………………………………………………………………................. ……………………………………………………………………………………………………………………………………................. ตัวแปร (ถา้ ม)ี ……………………………………………………………………………………………………………………………………................. ……………………………………………………………………………………………………………………………………................. ……………………………………………………………………………………………………………………………………................. ……………………………………………………………………………………………………………………………………................. …………………………………………………………………………………………………………………………………….................

29 วธิ ีดาเนนิ การ วัสดอุ ุปกรณ์ ……………………………………………………………………………………………………………………………………................. ……………………………………………………………………………………………………………………………………................. ……………………………………………………………………………………………………………………………………................. ……………………………………………………………………………………………………………………………………................. ……………………………………………………………………………………………………………………………………................. ……………………………………………………………………………………………………………………………………................. ……………………………………………………………………………………………………………………………………................. วิธีการศึกษา ……………………………………………………………………………………………………………………………………................. ……………………………………………………………………………………………………………………………………................. ……………………………………………………………………………………………………………………………………................. ……………………………………………………………………………………………………………………………………................. ……………………………………………………………………………………………………………………………………................. ……………………………………………………………………………………………………………………………………................. ……………………………………………………………………………………………………………………………………................. ……………………………………………………………………………………………………………………………………................. ……………………………………………………………………………………………………………………………………................. แผนการดาเนนิ งาน ……………………………………………………………………………………………………………………………………................. ……………………………………………………………………………………………………………………………………................. ……………………………………………………………………………………………………………………………………................. ……………………………………………………………………………………………………………………………………................. ……………………………………………………………………………………………………………………………………................. ……………………………………………………………………………………………………………………………………................. ……………………………………………………………………………………………………………………………………................. ……………………………………………………………………………………………………………………………………................. ……………………………………………………………………………………………………………………………………................. ประโยชน์ของการศึกษา ……………………………………………………………………………………………………………………………………................. ……………………………………………………………………………………………………………………………………................. ……………………………………………………………………………………………………………………………………................. ……………………………………………………………………………………………………………………………………................. ……………………………………………………………………………………………………………………………………................. …………………………………………………………………………………………………………………………………….................

30 แผนกำรจดั กจิ กรรมกำรเรยี นร้โู ดยกำรทำโครงงำน เรอ่ื งท่ี 5 กำรฝกึ ปฏิบัตกิ ำรทำโครงงำน เวลำ 30 นำที ............................................................................................................................. ........................................ สำระสำคญั การฝึกปฏิบัติการทาโครงงาน เป็นข้ันลงมือปฏิบัติงานตามแผนการดาเนินงานที่ระบุไว้ในเค้า โครงของโครงงาน โดยปฏิบัติตามแผนการดาเนนิ งาน อาจเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมจากแผนงานทวี่ างไว้ บา้ งกไ็ ด้ อยภู่ ายใต้การดแู ล กากบั ติดตาม และแนะนาอย่างใกลช้ ดิ ของครทู ป่ี รึกษา ตวั ชีว้ ดั 1. สามารถจัดทาโครงงานตามเค้าโครงของโครงงานได้ สำระกำรเรียนรู้ การฝึกปฏบิ ัตกิ ารทาโครงงาน กจิ กรรมกำรเรยี นรู้ ขน้ั นำ 1. ครูสร้างความตระหนักให้ผูเ้ รยี นเหน็ ความสาคญั การเรยี นรู้ เรอื่ งที่ 5 การฝึกปฏิบัตกิ ารทา โครงงาน พรอ้ มสรุปทบทวนเน้ือหาที่เก่ียวข้อง ข้นั จดั กจิ กรรมกำรเรยี นรู้ 1. แบง่ กล่มุ นกั ศึกษาออกเป็นกลุ่ม ๆ ละ 5 คน (กลมุ่ เดมิ จากแผนการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ เร่อื งท่ี 4 ) 2. ครแู จกใบความรู้ที่ 5 การฝกึ ปฏิบตั ิการทาโครงงาน 3. ใหน้ กั ศึกษาแต่ละกลมุ่ ศึกษาใบความรู้ที่ 5 การฝึกปฏบิ ัติการทาโครงงาน 4. นกั ศกึ ษาลงมือปฏิบัตติ ามแผนการดาเนินงานที่กาหนด 5. นกั ศึกษาบนั ทกึ ผลการศกึ ษาคน้ ควา้ 6. นักศกึ ษาวิเคราะหผ์ ล และสรปุ ผลการศกึ ษาค้นคว้า 7. บันทกึ ผลการศึกษาในใบงานท่ี 5 การฝกึ ปฏิบตั ิการทาโครงงาน 8. นักศกึ ษาสรุปผลการเรยี นรูท้ ไี่ ดไ้ ปทาใบงานที่ 5 การฝึกปฏบิ ัติการทาโครงงาน ขน้ั สรุป ครูและนกั ศึกษารว่ มกนั สรปุ การเรียนรู้ท่ไี ดจ้ ากเรอื่ งที่ 5 การฝึกปฏิบัติการทาโครงงาน สือ่ กำรเรียนรู้ 1. ใบความรู้ท่ี 5 การฝึกปฏิบตั กิ ารทาโครงงาน 2. ใบงานท่ี 5 การฝกึ ปฏิบตั ิการทาโครงงาน กำรวดั และประเมนิ ผล ประเมนิ จากใบงานท่ี 5 การฝึกปฏบิ ัติการทาโครงงาน

31 ใบควำมรทู้ ่ี 5 กำรฝกึ ปฏิบตั กิ ำรทำโครงงำน เม่ือเค้าโครงของโครงงานผ่านความเห็นชอบจากครูที่ปรึกษาเรียบร้อยแล้ว ก็เร่ิมลงมือ ดาเนินงานตามแผนท่ีระบุไว้ในเค้าโครง อาจเปลี่ยนแปลงหรือเพ่ิมเติมจากแผนงานที่วางไว้ในตอนแรก บ้างก็ได้ อยู่ภายใต้การดูแล กากับ ติดตาม และแนะนาอย่างใกล้ชิดของครูท่ีปรึกษา ควรปฏิบัติงานด้วย ความรอบคอบ คานึงถึงความปลอดภัยในการทางาน ตลอดจนคานึงถึงสภาพแวดล้อม มีการบันทึกผล การปฏิบัติเป็นระยะ ๆ ตามความเป็นจริง เพื่อรายงานความก้าวหน้าของโครงงานต่อผู้สอน จานวนครั้ง ของการรายงานน้ัน ผู้ที่ปรึกษาควรกาหนดโดยทาข้อตกลงร่วมกันระหว่างผู้เรียน มีการจดบันทึกข้อมูล ต่าง ๆ ไว้อย่างละเอียดว่าทาอย่างไร ได้ผลอย่างไร มีปัญหาอุปสรรค และมีแนวทางแก้ไขอย่างไร และ การบันทึกข้อมูล ควรจัดทาอย่างมีระบบระเบียบ เพ่ือนามาเป็นข้อมูลในการปรับปรุง และพัฒนาต่อไป ควรมีการแบ่งงานในกลุ่มให้ทุกคนมีส่วนร่วม ปฏิบัติการซ้าจนกว่าจะมั่นใจในคาตอบ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ น่าเชื่อถือ เมื่อดาเนินโครงงานครบถ้วนตามขั้นตอนได้ข้อมูลแล้ว ถ้าเป็นโครงงานวิทยาศาสตร์ควรมีการ ตรวจสอบผลการทดลองซา้ หลายๆ ครั้ง เพอื่ ใหไ้ ดผ้ ลทแ่ี น่นอน การฝึกปฏบิ ัติการทาโครงงาน ควรดาเนนิ การดังนี้ 1. เตรียมวสั ดุอุปกรณ์และสถานทใี่ หพ้ รอ้ มก่อนลงมือปฏบิ ัติ 2. มสี มุดบนั ทกึ กิจกรรมวา่ ได้ทาอะไรไป ได้ผลอยา่ งไร มปี ญั หา และข้อคิดเห็นอยา่ งไร 3. ปฏบิ ัตกิ จิ กรรมดว้ ยความรอบคอบ และบันทึกขอ้ มลู ไว้ให้เปน็ ระเบียบและครบถ้วน 4. คานงึ ถงึ ความประหยดั และความปลอดภยั ในการทางาน 5. พยายามทาตามแผนงานที่วางไว้ในตอนแรก แต่อาจเปล่ียนแปลงหรือเพิ่มเตมิ บ้างหลงั จากท่ี ได้เรม่ิ ตน้ ทางานไปแล้ว ถ้าคดิ วา่ จะทาให้ผลดีขึ้น 6. ถ้าเปน็ โครงงานวิทยาศาสตร์ควรปฏบิ ตั กิ ารทดลองซ้าเพอ่ื ให้ไดข้ ้อมลู ที่น่าเช่ือถือ 7. ควรแบ่งงานเปน็ ส่วนย่อยๆ และทาแตล่ ะสว่ นให้สาเรจ็ ก่อนทาสว่ นอ่นื ต่อไป 8. ควรทางานส่วนที่เป็นหลักสาคัญๆให้เสร็จ จึงทาส่วนท่ีเป็นสว่ นประกอบ หรือส่วนเสริม เพ่ือ ตกแต่ง 9. อยา่ ทางานต่อเนือ่ งจนเม่ือยลา้ จะทาใหข้ าดความระมัดระวัง 10. ถ้าเป็นโครงงานประเภทสง่ิ ประดิษฐ์ ควรคานงึ ถึงความคงทนแข็งแรง และขนาดท่เี หมาะสม

32 ตัวอยำ่ งแบบบนั ทกึ ผลกำรกำรศกึ ษำคน้ ควำ้ ลาดับ กจิ กรรม ผลการศึกษาคน้ คว้า ปัญหา/อปุ สรรค/ ครทู ป่ี รกึ ษา ขอ้ คิดเหน็ ของ ที่ แนวทางแก้ไข รบั ทราบ ครทู ป่ี รกึ ษา วัน/เดือน/ปี

33 ใบงำนท่ี 5 กำรฝึกปฏบิ ัติกำรทำโครงงำน คำช้แี จง ให้แต่ละกลุม่ ลงมือปฏิบตั ิตามท่เี ขยี นในเค้าโครง แล้วบนั ทกึ วิเคราะห์ สรุปผลการศกึ ษา คน้ คว้า บันทกึ ผลการศึกษาคน้ ควา้ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… วิเคราะห์และสรุปผลการศกึ ษาคน้ ควา้ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… อภปิ รายผลการศึกษาคน้ คว้า …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………

34 แผนการจดั กจิ กรรมการเรียนรโู้ ดยการทาโครงงาน เรอ่ื งท่ี 6 การเขียนรายงานโครงงาน เวลา 30 นาที ............................................................................................................................. ........................................ สาระสาคัญ การเขียนรายงานโครงงาน การเขียนรายงานโครงงานเป็นรูปแบบหน่ึงของการนาเสนอผลงาน ของโครงงานท่ีผู้เรียนได้ศึกษาค้นคว้าตั้งแต่ต้นจนจบ เพ่ือให้คนอ่านได้เข้าใจถึงแนวความคิด วิธีการ ดาเนินการศึกษาคน้ ควา้ ผลของการศกึ ษา ตลอดจนประโยชน์ และข้อเสนอแนะต่างๆ ทไ่ี ดจ้ ากโครงงาน ตัวชีว้ ดั 1. เขยี นรายงานของโครงงานได้ สาระการเรียนรู้ การเขียนรายงานโครงงาน กิจกรรมการเรียนรู้ ขนั้ นา 1. ครูสรา้ งความตระหนักให้ผู้เรียนเห็นความสาคญั การเรยี นรู้ เร่อื งที่ 6 การเขียนรายงาน โครงงาน พรอ้ มสรปุ ทบทวนเนือ้ หาทเ่ี กี่ยวข้อง ขน้ั จดั กจิ กรรมการเรียนรู้ 1. แบง่ กลมุ่ นกั ศึกษาออกเป็นกลมุ่ ๆ ละ 5 คน (กล่มุ เดิมจากแผนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ เรอ่ื งท่ี 5 ) 2. ครูแจกใบความรู้ท่ี 6 การเขยี นรายงานโครงงาน 3. ใหน้ กั ศกึ ษาแตล่ ะกลมุ่ ศึกษาใบความรู้ที่ 6 การเขยี นรายงานโครงงาน 4. นักศกึ ษาเขียนรายงานโครงงานตามรปู แบบที่กาหนด 5. นกั ศึกษาเสนอรายงานทเ่ี ขียนใหท้ ่ีปรกึ ษาเพือ่ ตรวจสอบความถูกต้อง 6. นักศกึ ษาสรปุ ผลการเรียนรทู้ ่ไี ดไ้ ปทาใบงานท่ี 6 การเขียนรายงานโครงงาน ข้ันสรปุ ครแู ละนกั ศกึ ษาร่วมกันสรุปการเรียนรูท้ ่ีได้จากเรอ่ื งที่ 6 การเขยี นรายงานโครงงาน ส่ือการเรียนรู้ 1. ใบความรู้ที่ 6 การเขยี นรายงานโครงงาน 2. ใบงานที่ 6 การเขยี นรายงานโครงงาน การวัดและประเมินผล ประเมนิ จากใบงานท่ี 6 การเขยี นรายงานโครงงาน

35 ใบความรูท้ ี่ 6 การเขียนรายงานโครงงาน เม่ือดาเนินการทาโครงงานจนครบขั้นตอน ได้ข้อมูล ทาการวิเคราะห์ข้อมูล พร้อมท้ังแปลผล และสรุปผลแล้วงานข้ันตอนต่อไปคือ การเขียนรายงานโครงงาน การเขียนรายงานโครงงาน คือการ นาเสนอผลการศึกษา หรือผลการทาโครงงานให้ผู้อ่านเข้าใจถึงแรงผลักดัน ความสาคัญของปัญหาท่ี ก่อให้เกิดการค้นคว้า วิธีดาเนินการศึกษา และผลของการศึกษา การเขียนรายงานเป็นขั้นสุดท้ายของ การทาโครงงาน เพ่ือบอกให้ทราบว่าเพราะเหตุใดจึงทา ทาอะไรบ้าง ทาแล้วได้ผลเป็นอย่างไร ลักษณะ การเขียนจะต้องใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย สั้น รัดกุม และสรุปได้ชัดเจนตรงไปตรงมา และครอบคลุมประเด็น สาคัญของโครงงาน สามารถส่ือให้ผู้อ่านเข้าใจได้เป็นอย่างดี ดังนั้นการเขียนรายงานจึงต้องอาศัยความรู้ ทักษะ และประสบการณ์พอสมควร ตามหลักสากลกาหนดให้รายงานโครงงานมีความหนาไม่เกิน 20 หน้า และภาคผนวกไม่เกิน 10 หน้า การเขียนรายงานโครงงาน มีองค์ประกอบ 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนนา สว่ นเนื้อเรอื่ ง และส่วนอา้ งองิ ดงั นี้

36 องค์ประกอบของรายงานโครงงาน 1. ส่วนนา 2. ส่วนเน้อื เรื่อง 3. ส่วนอ้างอิง สว่ นนา ประกอบดว้ ย สว่ นเนื้อเรื่อง ประกอบดว้ ย สว่ นอา้ งอิง ประกอบด้วย ปกนอก บทท่ี 1 บทนา บรรณานกุ รม ปกใน ภาคผนวก บทคดั ย่อ ทม่ี าและความสาคัญของโครงงาน กิตตกิ รรมประกาศ วัตถปุ ระสงค์ของการศึกษา สารบัญ สมมตฐิ านของการศกึ ษา (ถ้าม)ี สารบญั ตาราง ตวั แปรทีศ่ กึ ษา (ถา้ มี) สารบญั ภาพ ขอบเขตการศึกษา ประโยชนท์ ่คี าดว่าจะไดร้ บั นยิ ามปฏิบัตกิ าร บทท่ี 2 เอกสารทเี่ ก่ียวขอ้ ง บทที่ 3 วธิ ดี าเนินการศกึ ษา วสั ดอุ ปุ กรณ์ วิธดี าเนินการ บทท่ี 4 ผลการศกึ ษา บทที่ 5 สรปุ ผลการศกึ ษา อภิปรายผล และขอ้ เสนอแนะ สรปุ ผลการศึกษา อภิปรายผล ข้อเสนอแนะ (ปกนอกกระดาษส)ี

37 โครงงาน เร่ือง............................................................................... จัดทาโดย 1.................................................................... 2.................................................................... 3.................................................................... กศน. ตาบล................................................. ศูนย์การศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศัยอาเภอสามพราน สานักงานส่งเสรมิ การศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั จงั หวัดนครปฐม (ปกในกระดาษขาว)

38 โครงงาน เร่ือง............................................................................... จดั ทาโดย 1.................................................................... 2.................................................................... 3.................................................................... อาจารย์ท่ีปรกึ ษา 1.................................................................... 2.................................................................... 3.................................................................... กศน. ตาบล................................................. ศูนยก์ ารศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศัยอาเภอสามพราน สานักงานสง่ เสรมิ การศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศยั จงั หวัดนครปฐม

39 ก บทคดั ยอ่ ช่อื โครงงาน ..………………....………….............................................………………………………………………………… ช่อื ผจู้ ัดทาโครงงาน 1.............................................2................................................3.................................................... กศน.อาเภอ ............................................................................................................................................... .. อาจารยท์ ี่ปรึกษา 1……………........…………….........……………….2……………………..............….........……………… การศกึ ษา (ช่อื โครงงาน)………………………………………..................................................................... มีวัตถปุ ระสงค…์ ……………………………………………......................................................................................... ………………………………………………………………………………………………………………....….………….………………… มีวิธดี าเนินการดังน้ี (อยา่ งย่อ ๆ). ………………………..................................................................................... ………………………………………………………………………………………………………………....….………….………………… ………………………………………………………………………………………………………………....….………….………………… ผลการศกึ ษา พบว่า…..............................………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………....….………….………………… ………………………………………………………………………………………………………………....….………….………………… ………………………………………………………………………………………………………………....….………….………………… ………………………………………………………………………………………………………………....….………….………………… คาอธิบาย เป็นการสรุปผลการจัดทาโครงงานอย่างย่อ ๆ การเขียนบทคัดย่อประกอบด้วย ช่ือเรื่อง วัตถุประสงค์ของโครงงาน วิธีดาเนินการ และผลการศึกษา ซ่ึงผลการศึกษาจะสรุปเป็นประเด็นสาคัญ เพื่อตอบวัตถปุ ระสงค์ ความยาวของบทคดั ยอ่ ไมค่ วรเกิน 1 หนา้ กระดาษ

40 ข กิตติกรรมประกาศ โครงงานเรื่อง.................................................................ที่สาเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีก็เพราะได้รับ การช่วยเหลือจากคุณครู/อาจารย์............ท่ีให้คาปรึกษาและให้คาแนะนาตลอดเวลาของการดาเนินงาน ขอขอบคุณ .......(บุคคลท่ีเราไปเก็บข้อมูล) ที่ให้ความร่วมมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล จนทาให้โครงงาน บรรลตุ ามวตั ถปุ ระสงคท์ ไ่ี ดก้ าหนดไว้ คณะผู้จัดทาขอขอบพระคุณท่านท่ีให้ความช่วยเหลือในเร่ืองต่าง ๆ และหวังเป็นอย่างย่ิงว่า โครงงาน.....................................เรื่องนี้ จะเกิดประโยชน์ตอ่ วงการศึกษาตอ่ ไป คณะผูจ้ ดั ทา คาอธบิ าย เป็นการกลา่ วขอบคุณผูท้ ใี่ ห้ความชว่ ยเหลือในการทาโครงงานจนประสบผลสาเร็จ เพ่อื ใหผ้ ู้เขียน ไดแ้ สดงออกถึงความกตญั ญูรู้คุณ นอกจากนี้ ยังแสดงถงึ ความตั้งใจในการทาโครงงานอีกดว้ ย ข้อความ ดา้ นบนเปน็ เพียงตัวอย่างสามารถเขียนแตกตา่ งไปจากน้ีได้

สารบญั 41 ค บทคัดยอ่ หนา้ กิตติกรรมประกาศ ก สารบญั ข สารบญั ตาราง ค สารบัญภาพ (ถา้ ม)ี ง บทที่ 1 บทนา จ 1 1.1 ทม่ี าและความสาคัญของโครงงาน 1 1.2 วัตถปุ ระสงค์ 1.3 สมมตฐิ าน (ถา้ มี) 1.4 ตัวแปรท่ศี กึ ษา (ถ้ามี) 1.5 ขอบเขตการศกึ ษา 1.6 ประโยชน์ท่ีคาดวา่ จะได้รับ 1.7 นิยามปฏบิ ัตกิ าร บทที่ 2 เอกสารท่ีเกย่ี วขอ้ ง 2.1………………….. 2.2………………….. บทที่ 3 วิธีดาเนนิ การ 3.1 วัสดุอปุ กรณ์ 3.2 วธิ ีดาเนินการ บทท่ี 4 ผลการศึกษา บทที่ 5 สรุปผล อภปิ รายผลและข้อเสนอแนะ 5.1 สรปุ ผล 5.2 อภปิ รายผล 5.3 ข้อเสนอแนะ บรรณานกุ รม ภาคผนวก ภาคผนวก ก แบบประเมิน....... ภาคผนวก ข ภาพประกอบ คาอธบิ าย เป็นส่วนที่กล่าวถึงหัวข้อเร่ืองทั้งหมดที่มีอยู่ในรายงานโครงงาน ซ่ึงได้แก่ รายละเอียดของหัวข้อ รายงานทั้ง 5 บท หัวข้อในสารบัญต้องตรงกับในเล่ม โดยมีเลขหน้ากากับไว้ทางขวามือ เพ่ือบอกว่าแต่ ละหวั ขอ้ อย่ทู ่ีหน้าใดในรายงาน

สารบญั ตาราง 42 ง หนา้ ตารางที่ ....... ตารางที่ ....... ตารางท่ี ....... คาอธบิ าย หากในรายงานมีการนาเสนอข้อมูลในรูปของตารางไว้หลายตาราง ก็จะต้องนามาจัดทาเป็น รายการไวค้ ลา้ ยสารบัญ โดยบอกเลขที่ตาราง ชือ่ ตาราง พรอ้ มเลขหนา้ กากบั ไวท้ างขวามือ เพอ่ื ใหผ้ อู้ า่ น สามารถคน้ ควา้ ได้งา่ ยข้นึ เลขท่ีตาราง ชื่อตาราง และเลขหน้าต้องตรงกบั ในเล่ม

สารบัญภาพ 43 จ หนา้ ภาพที่ ....... ภาพท่ี ....... ภาพท่ี ....... คาอธิบาย เป็นการนาเสนอภาพประกอบและแผนภูมิต่าง ๆ ท่ีมีอยู่ในรายงาน โดยบอกเลขที่ภาพ ช่ือภาพ พร้อมเลขหน้ากากับไว้ทางขวามือ เพ่ือให้ผู้อ่านสามารถค้นคว้าได้ง่ายขึ้น เช่นเดียวกับสารบญั ตาราง เลขที่ภาพ ช่อื ภาพและเลขหนา้ ตอ้ งตรงกบั ในเลม่

44 บทท่ี 1 บทนา 1.1 ที่มาและความสาคญั ของโครงงาน ............................................................................................................................. .......................... ......................................................................................................... ............................................................ ............................................................................................................................. ........................................ .......................................................................................................................................................... ........... ....................................................................................................................... .............................................. ............................................................................................................................. ........................................ ..................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ........................................ ............................................................................................................................. ........................................ คาอธิบาย การเขียนท่ีมาและความสาคญั ของปญั หา เป็นการเขยี นเพอื่ ใหผ้ ้อู ่านมองเหน็ วา่ ทาไมจึงทา โครงงานเรื่องนี้ มีความจาเป็นอย่างไร มีความสาคัญอย่างไรจึงต้องศึกษา ดังน้ันการเขียนควรเริ่ม ด้วยการกล่าวถึง สภาพปัญหาและผลกระทบที่เกิดข้ึนจากปัญหาดังกล่าว แล้วเชื่อมโยงไปสู่ เหตุผลที่ต้องทาโครงงานนี้ มีอะไรเป็นมูลเหตุจูงใจ ได้แนวคิดในการทามาจากไหน หากไม่ทาจะ เกิดผลเสียอย่างไร ทาแล้วได้อะไร ซ่ึงมีหลักการเขียนคล้ายคลึงกับการเขียนเรียงความท่ัว ๆไป คอื มีคานา เนือ้ เรื่อง และสรปุ สว่ นท่ี 1 คานา เปน็ การบรรยายถึงสภาพปัญหา และผลกระทบท่เี กดิ ส่วนท่ี 2 เนื้อเรื่อง อธิบายถึงมูลเหตุจูงใจที่ทาโครงงาน โครงงานน้ี มีความจาเป็นและมี ความสาคัญอย่างไรจึงต้องศึกษา เชื่อมโยงให้เห็นหลักการ ทฤษฎี สนับสนุนเร่ืองที่ศึกษา ถ้าไม่ทา โครงงานเร่ืองนีจ้ ะเกิดผลทงั้ โดยตรงและโดยอ้อมอย่างไร สว่ นที่ 3 สรุป สรปุ ถงึ ความจาเป็นท่ีต้องทาโครงงาน ทาแลว้ ได้ประโยชน์อยา่ งไร ในการเขียนท่ีมาและความสาคัญของปัญหา ให้เขียนแบบความเรียง และควรมีการ อา้ งอิง สถิตขิ ้อมูลต่าง ๆ ท่จี ะชว่ ยให้มีนา้ หนักและน่าเช่อื มากยงิ่ ข้ึน

45 1.2 วัตถุประสงค์ ในการศึกษาคร้ังนี้ ผจู้ ดั ทาได้กาหนดวัตถปุ ระสงคไ์ ว้ดงั นี้ 1.2.1............................................................................................................................. .................. 1.2.2............................................................................................................................. .................. คาอธิบาย วัตถุประสงค์ เป็นเป้าหมายท่ีบอกให้รู้ว่าโครงงานกาลังจะศึกษาอะไร จะหาอะไร การเขียนวัตถุประสงค์ต้องเขียนให้ชัดเจนว่า โครงงานนี้จะทาอะไร ไม่ควรเขียนว่าทาแล้วได้ อะไร วัตถุประสงค์ท่ีดี อ่านแล้วต้องรู้ทันทีว่า โครงงานนี้จะทาอะไร อย่างไร วัตถุประสงค์ถือเป็น หัวใจของการทาโครงงาน เพราะเป็นตัวกาหนดรายละเอียดต่าง ๆ ตั้งแต่การตั้งสมมติฐาน การกาหนดตัวแปร การออกแบบการทดลองฯลฯ ดังน้ัน วัตถุประสงค์จึงมักเขียนว่าเพื่อศึกษา...... เพื่อเปรียบเทียบ....เพ่อื ผลิต....เพ่ือทดลองหา.....เพ่อื สารวจ.....ในการเขยี นวัตถุประสงคต์ ้องเขียนให้ ชัดเจน อ่านเข้าใจง่ายสอดคล้องกับช่ือโครงงาน หากมีวัตถุประสงค์หลายประเด็นให้ระบุเป็นข้อๆ ผลการศึกษาในบทท่ี 4 จะมคี วามสมบูรณ์ครบถว้ น ต้องสอดคลอ้ งกับวัตถุประสงค์ทกุ ๆ ขอ้ 1.3 สมมติฐาน (ถา้ มี) ............................................................................................................................. .......................... ......................................................................................................... ............................................................ ............................................................................................................................. ........................................ คาอธิบาย สมมติฐานเป็นคาตอบท่ีคาดการณ์ไว้ล่วงหน้า โดยยังไม่มีการทดสอบ การเขียนสมมติฐาน เพ่ือให้เห็นความสัมพันธ์ของตัวแปร เป็นการคาดการณ์ว่าตัวแปรเหล่าน้ันจะมีความสัมพันธ์กัน อย่างไร เมื่อผลการทดลองออกมาแล้ว อาจเป็นไปตามสมมติฐานหรือไม่ก็ได้ และที่สาคัญคือเป็น ข้อความที่มองเห็นแนวทางดาเนินการในการทดลอง หรือสามารถทดสอบได้ ส่วนใหญ่การเขียน รายงานโครงงานวิทยาศาสตร์ตอ้ งมสี มมตฐิ านของการศึกษา ยกเว้นโครงงานประเภทสารวจ

46 1.4 ตัวแปรทีศ่ กึ ษา (ถา้ มี) 1.4.1 ตวั แปรตน้ …………............................………………………………………………………………………….. 1.4.2 ตัวแปรตาม………...........................……………………………………………………………………………. 1.4.3 ตัวแปรควบคมุ .................................................................................................................... คาอธบิ าย การจดั ทาโครงงานโดยท่วั ไป แบ่งตวั แปรออกเปน็ 3 ประเภท คอื ตวั แปรตน้ คือ ส่งิ ทเี่ ป็นสาเหตุทาให้เกดิ ผลตา่ ง ๆ หรอื สิ่งท่เี ราศึกษาและทดลองดวู า่ เป็น สาเหตุทใ่ี ห้เกดิ ผลเช่นน้ันจริงหรือไม่ ตัวแปรตาม คือ สิ่งที่เป็นผลมาจากตัวแปรต้น เม่ือตัวแปรต้นหรือส่ิงท่ีเป็นสาเหตุ เปลีย่ นไป ตัวแปรตามกจ็ ะเปลยี่ นไปด้วย ตัวแปรควบคุม คือ ส่ิงอ่นื ๆ ทนี่ อกเหนือจากตวั แปรตน้ ทม่ี ผี ลต่อการศึกษา ซ่ึงจะต้องมี การควบคุมให้เหมอื นกนั มเิ ชน่ นน้ั แล้วอาจทาให้ผลการศกึ ษาคลาดเคลื่อนได้ การศึกษาโครงงานส่วนมาก มักเป็นการศึกษาความสัมพันธ์เชิงเหตุและผลหรือ ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร ตั้งแต่ 2 ตัวแปรขึ้นไป การบอกชนิดของตัวแปรอย่างถูกต้องและ ชัดเจน รวมท้ังการควบคุมตัวแปรที่ไม่สนใจศึกษาได้อย่างครอบคลุม ผู้ท่ีทาโครงงานต้องเข้าใจ ว่า ตัวแปรใดเป็นตัวแปรต้น ตัวแปรใดเป็นตัวแปรตาม และตัวแปรใดบ้างเป็นตัวแปรท่ีจะต้อง ควบคุม เพื่อเป็นแนวทางในการออกแบบการทดลอง ตลอดจนมีผลต่อการเขียนรายงานการทา โครงงานทีถ่ กู ตอ้ ง สอื่ ความหมายให้ผู้ฟังและผอู้ ่านใหเ้ ข้าใจตรงกนั 1.5 ขอบเขตการศึกษา ในการศกึ ษาครงั้ น้ี มีขอบเขตของการศึกษาดังน้ี 1.5.1 ส่ิงท่ศี กึ ษา…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. 1.5.2 กล่มุ ตัวอยา่ งท่ีใช้ในการศกึ ษาครัง้ นี้...................................................................................... 1.5.3 ระยะเวลา............................................................................................................................. 1.5.4 สถานท่ี……………………………………………………….............................………………………………… คาอธบิ าย เป็นการเขียนเพื่อให้เห็นว่า โครงงานนี้มีขอบเขตกว้างขวางแค่ไหน ครอบคลุมเรื่องอะไรบ้าง ส่วนใหญ่จะกาหนดขอบเขตในเร่ือง ตวั แปรทีศ่ ึกษา ประชากร กลมุ่ ตัวอย่าง ระยะเวลา/ช่วงเวลา และ สถานท่ี เพราะถ้าศึกษานอกเหนือจากขอบเขตน้ี ผลการศึกษาอาจแตกต่างไปจากนีไ้ ด้


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook