Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore องค์ความรู้และภูมิปัญญาของปราชญ์ชาวบ้าน

องค์ความรู้และภูมิปัญญาของปราชญ์ชาวบ้าน

Description: ภูมิปัญญาชาวบ้าน

Search

Read the Text Version

สบื สานปณิธานของพอ่



“...พอเพยี ง มคี วามหมายกว้างขวางยิง่ กว่านอ้ี ีก คอื ค�ำ วา่ พอ กพ็ อเพียงกพ็ อแค่นัน้ เอง คนเราถ้าพอในความตอ้ งการกม็ ีความโลภน้อย เมือ่ มคี วามโลภน้อยก็เบียดเบียนคนอื่นน้อย ถ้าประเทศใดมีความคิดอนั นี้ มคี วามคิดวา่ ท�ำ อะไรต้องพอเพียง หมายความวา่ พอประมาณ ซื่อตรง ไมโ่ ลภอยา่ งมาก คนเรากอ็ ยเู่ ปน็ สขุ พอเพียงน้ีอาจมมี ากอาจจะมขี องหรูหรากไ็ ด้ แตว่ า่ ต้องไม่เบียดเบียนคนอน่ื ...” พระราชดำ�รสั เนอื่ งในโอกาสวนั เฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดสุ ดิ าลยั วันท่ี 4 ธันวาคม 2551



ตามรอยของพอ่

6

คำ�นำ� กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้จัดท�ำหนังสือ “องค์ความรู้และภูมิปัญญาของ ปราชญ์ชาวบ้าน” ประจ�ำปี 2561 โดยได้รวบรวมองค์ความรู้ของปราชญ์ชาวบ้าน ได้แก่ ระบบเกษตรกรรมย่ังยืน การเพาะปลูกและการเล้ียงสัตว์ การปรับปรุงบ�ำรุงดินเพื่อลดต้นทุน การผลิต การแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร ผลิตภัณฑ์เพ่ือใช้ในครัวเรือน พลังงานทดแทน สมุนไพรไทย การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม และองค์ความรู้อ่ืนๆ เพ่ือเผยแพร่ ให้แก่เกษตรกรที่เข้ารับการอบรมภายใต้โครงการพัฒนาการเกษตรตามแนวทฤษฏีใหม่ โดยยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ตลอดจนผู้ที่สนใจที่จะน�ำไปประยุกต์ใช้ให้สอดคล้อง เหมาะสมกับภูมินิเวศและภูมิสังคมของตนเอง ก่อให้เกิดการพ่ึงตนเองท้ังในระดับครัวเรือนและ ชุมชน ตามแนวทางของปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง การจัดท�ำหนังสือองค์ความรู้และภูมิปัญญาของปราชญ์ชาวบ้านฉบับน้ี ได้รับการ อนุเคราะห์ข้อมูลองค์ความรู้ รวมถึงการประสานงานในการจัดเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นอย่างดีจาก ปราชญช์ าวบา้ นและเจา้ หนา้ ทส่ี ำ� นกั งานเกษตรและสหกรณจ์ งั หวดั ทวั่ ประเทศ กองนโยบายเทคโนโลยี เพื่อการเกษตรและเกษตรกรรมยั่งยืน ขอขอบพระคุณทุกท่านท่ีมีส่วนช่วยในการจัดท�ำหนังสือ องคค์ วามรู้และภมู ปิ ญั ญาปราชญ์ชาวบา้ นสำ� เร็จลุลว่ งตามวตั ถปุ ระสงค์ ณ โอกาสน้ีดว้ ย กองนโยบายเทคโนโลยเี พ่ือการเกษตรและเกษตรกรรมยงั่ ยนื พฤษภาคม 2562

สารบัญ 1 1 บทน�ำ 3 เร่ืองที่ 1 การเพาะปลูกและการขยายพันธุ์พชื 5 1.1 การเพาะถว่ั งอกตดั ราก 7 1.2 การปลูกผักยกแคร ่ 11 1.3 การเพาะกล้วยดว้ ยตาหนอ่ 12 1.4 การปลูกดาวเรืองเพอ่ื สร้างรายได้ 14 1.5 การทำ� นาแบบโยนกลา้ 14 1.6 แบบปกั ชำ� แบบควบแน่น 17 เรื่องท่ี 2 การเลี้ยงสตั ว ์ 19 2.1 การเลีย้ งปลาดุกในบอ่ พลาสตกิ 21 2.2 การเพาะเล้ยี งจิ้งหรดี 21 2.3 การเลี้ยงไกไ่ ข่ (อนิ ทรีย์) 22 เรอื่ งท่ี 3 ผลติ ภัณฑเ์ พ่อื ใช้ในครัวเรือน 23 3.1 นำ้� ยาล้างจาน 25 3.2 การทำ� แชมพูสมนุ ไพร 26 3.3 การทำ� สบ่จู ากสมุนไพร 28 3.4 น�้ำยาปรบั ผ้านุ่ม 28 3.5 การท�ำน�้ำยาอเนกประสงค ์ 28 เร่อื งท่ี 4 ปุย๋ อนิ ทรีย์และสารชวี ภาพ 31 4.1 การกลัน่ สมนุ ไพรไลแ่ มลง 32 4.2 สมนุ ไพรยาแรงกำ� จัดแมลงชนดิ ดดู ซึม 34 4.3 สูตรสมนุ ไพรก�ำจดั หนอและเพลย้ี ออ่ น 35 4.4 การท�ำหวั เชือ้ จุลินทรยี ์จากดินปา่ 36 4.5 จลุ ินทรยี ช์ ีวภาพ สตู รดินระเบดิ 38 4.6 การทำ� ก้อนบ�ำบดั น้�ำเสยี (ดงั โหงะ) 39 4.7 การขยายเช้อื ราไตรคเดอมาร์จาก พด.3 40 4.8 การทำ� จุลนิ ทรยี ส์ ตู รขยาย 43 4.9 จลุ นิ ทรีย์หนอ่ กลว้ ย 43 4.10 น�้ำส้มควันไม ้ 4.11 น�ำ้ หมักขยะหอม 4.12 การท�ำนำ้� หมกั จากผลไม้รสหวาน 8

4.13 การท�ำน้�ำหมักจากพืชสีเขียว 44 4.14 น�ำ้ หมัก สูตรนำ�้ ซาวข้าว 45 4.15 การท�ำน�้ำหมักฮอร์โมนจากหัวปลี 45 4.16 การทำ� ปยุ๋ กอ้ น (ดินระเบดิ ) 46 4.17 ปุ๋ยหมักชวี ภาพ จาก พด. 1 47 4.18 การท�ำปุ๋ยหมักเรง่ ดว่ น 7 วัน (โบกาฉิ) 49 4.19 ปุ๋ยหมักจานด่วน 51 4.20 การทำ� ปุ๋ยอินทรยี ช์ วี ภาพอัดเมด็ 52 4.21 การทำ� ป๋ยุ น�ำ้ ชีวภาพสูตรส�ำหรับพืชผักสวนครัว 54 4.22 ปุ๋ยน�้ำบำ� รงุ ผลเร่งหวาน 56 4.23 ฮอร์โมนไข ่ 57 4.24 ฮอรโ์ มนหมกั ปลาหรอื ผัก และผลไม ้ 58 4.25 ฮอร์โมนหมกั เศษอาหาร 59 4.26 ฮอร์โมนน้�ำพ่อ 60 4.27 ฮอร์โมนน�ำ้ แม่ 61 เรื่องที่ 5 การแปรรูปผลผลติ ทางการเกษตร 62 5.1 กล้วยฉาบสามรส 62 5.2 กล้วยม้วน 63 5.3 การท�ำนำ้� ขา้ วกล้องงอกผสมธัญพืช 63 5.4 น�้ำเหม้ยี ง 65 เร่ืองที่ 6 พลังงานทดแทน 67 6.1 การเผา่ ถา่ นด้วยถงั นำ้� มัน 200 ลติ ร และการเก็บน�ำ้ สม้ ควนั ไม ้ 67 6.2 เตาแกส๊ ชวี มวลพลังงานแกลบ 71 เรื่องท่ี 7 สมนุ ไพรและการแปรรปู สมุนไพร 74 7.1 การทำ� น้�ำมนั ไพล 74 7.2 นำ้� มันมะพร้าวบริสทุ ธ์ิ 75 7.4 สมนุ ไพรสำ� หรับท�ำลกู ประคบ (2 ลกู ) 77 เรื่องท่ี 8 องคค์ วามร้อู ่ืนๆ 79 8.1 วิถชี ุมชนของคนกับปา่ น�ำสูค่ วามพอเพยี ง 79 8.2 ธนาคารต้นไม้ (Tree Bank) ในรปู แบบปราชญช์ าวบา้ น 81 8.3 ภมู ิปัญญาบ้านดนิ สูก่ ารพ่งึ ตนเอง 82 8.4 นำ�้ จำ� ต้นไผ่ 84 รายชอ่ื และที่อยู่ศูนย์เครอื ขา่ ยปราชญช์ าวบา้ น 86

10

บทนำ� “เศรษฐกิจพอเพียง” เป็นปรัชญาท่ีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระราชด�ำริ ชี้แนะแนวทางการด�ำเนินชีวิตแก่ประชาชนชาวไทยมาโดยตลอดนานกว่า 25 ปี ตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤตการณ์ ทางเศรษฐกจิ และไดท้ รงเนน้ ยำ้� แนวทางการแกไ้ ขเพอ่ื ใหร้ อดพน้ และสามารถดำ� รงอยไู่ ดอ้ ยา่ งมนั่ คงและยง่ั ยนื ภายใตก้ ระแสโลกาภวิ ฒั นแ์ ละการเปลีย่ นแปลงต่าง ๆ ท่เี กิดขึ้น เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาชี้ถึงแนวทางการปฏิบัติตนในการด�ำเนินชีวิตของประชาชน ในทุกระดับ ตัง้ แตร่ ะดบั ครอบครวั ระดบั ชุมชน จนถงึ ระดบั รัฐ โดยรวมถงึ การพัฒนาและบริหารประเทศให้ ด�ำเนินไปในทางสายกลาง การพฒั นาเศรษฐกิจเพื่อใหก้ า้ วทันต่อโลกยคุ โลกาภิวตั น์ ความพอเพยี ง หมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจ�ำเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควร ต่อการมีผลกระทบที่จะเกิดจากการเปล่ียนแปลง ท้ังน้ี จะต้องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบ และความ ระมัดระวังในการน�ำวิชาการต่าง ๆ มาใช้ในการวางแผนและการด�ำเนินการทุกขั้นตอน ในขณะเดียวกัน จะต้องเสริมสร้างพื้นฐานจิตใจของคนในชาติ โดยเฉพาะเจ้าหน้าท่ีของรัฐ นักทฤษฎี นักธุรกิจและ ประชาชนทุกระดับให้มีจิตส�ำนึกในคุณธรรม ความซื่อสัตย์สุจริต และให้มีความรอบรู้ท่ีเหมาะสม ด�ำเนินชีวิตด้วยความอดทน ความเพียร มีสติปัญญาและความรอบคอบ เพื่อให้สมดุลและพร้อมรองรับ การเปล่ยี นแปลงทงั้ ดา้ นวัตถุ สงั คม สง่ิ แวดลอ้ ม และวฒั นธรรมจากโลกภายนอกไดเ้ ป็นอยา่ งดี (ส�ำนักงาน คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแหง่ ชาติ พ.ศ. 2554) แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาชี้แนวทางการด�ำรงชีวิตและการปฏิบัติตนบนพื้นฐานจาก วิถีชีวิตด้ังเดิมของสังคมไทย และสามารถน�ำมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับการด�ำเนินชีวิตของประชาชน ในทกุ ระดบั โดยเนน้ การพฒั นาอยา่ งเป็นข้นั เป็นตอนเพ่อื ใหร้ อดพ้นจากวิกฤตการณ์ และนำ� ไปสคู่ วามสมดุล ความม่ันคงและย่งั ยืน โดยมหี ลกั การปฏบิ ัตดิ งั น้ี ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดีท่ไี ม่น้อยและไม่มากเกนิ ไป โดยไมเ่ บียดเบยี นตนเองและ ผูอ้ ื่น ด�ำเนนิ การผลติ และพฒั นาอย่างสมดลุ ไม่เรง่ รีบ ไมล่ งทนุ จนเกินตัว ไมก่ ่อหนีส้ ิน และไมท่ �ำตามกระแส ของการเปลย่ี นแปลง ความมเี หตผุ ล หมายถงึ การตดั สนิ ใจเกย่ี วกบั ระดบั ของความพอเพยี ง ซงึ่ ตอ้ งเปน็ ไปอยา่ งมเี หตผุ ล บนพ้ืนฐานศกั ยภาพทีม่ อี ยู่ของทรัพยากรธรรมชาติ สง่ิ แวดลอ้ มวฒั นธรรมและภมู ิปัญญาท้องถิ่นทม่ี อี ยู่เดมิ การมีภูมิคุ้มกันท่ีดี หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงท่ีเกิดข้ึน ไม่ประมาท การออมทรัพย์ และมีทุนทางสังคมท่ีเข้มแข็ง รวมท้ัง มีทางเลือกพร้อมรับการปรับตัวได้อย่าง เหมาะสม นอกจากหลกั การปฏบิ ตั ิขา้ งต้นแล้ว ยังประกอบด้วย 2 เงอื่ นไขของการตัดสินใจและด�ำเนินกจิ กรรม ตามแนวเศรษฐกจิ พอเพียง ดังน้ี ความรู้ หมายถึง ความรอบรู้เก่ียวกับวิชาการและความรอบคอบในการน�ำความรู้มาพิจารณา ประกอบการวางแผนเพ่ือการปฏิบัติอยา่ งระมดั ระวัง คุณธรรม หมายถึง ความตระหนักในคุณธรรมจริยธรรม ความซ่ือสัตย์ อดทน มีความเพียร ส�ำนกึ รบั ผดิ ชอบและใชส้ ตปิ ญั ญาในการดำ� รงชวี ิต

การพฒั นาการเกษตรตามแนวทฤษฎใี หม่ โดยยดึ ปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง แนวทางการพัฒนาการเกษตรตามแนวพระราชด�ำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภายใต้ ช่ือ “ทฤษฎใี หม”่ เปน็ แนวทางการพฒั นาทใ่ี หเ้ กษตรกร มคี วามเปน็ อยทู่ ด่ี แี ละสามารถพง่ึ พาตนเองไดต้ ามแนวทาง การพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยเน้นการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะดินและน�้ำให้เกิด ประโยชน์สงู สุด บนพน้ื ฐานการพ่ึงตนเองและมีคุณธรรม การพัฒนาการเกษตรทฤษฎีใหม่ เป็นตัวอย่างหนึ่งของการพัฒนาการเกษตรที่ได้น้อมน�ำหลัก ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มาประยกุ ต์และปฏิบัตใิ ชอ้ ย่างเปน็ รปู ธรรม ได้อยา่ งเหมาะสมตามสภาพภมู นิ เิ วศ และภูมิสังคมของแต่ละพื้นท่ี เพื่อพร้อมรับต่อความไม่แน่นอนและการเปลี่ยนแปลงท่ีเกิดข้ึน ทั้งจาก ภัยธรรมชาติและสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ ซ่ึงแนวทางดังกล่าวตั้งอยู่บนพื้นฐานของความพอประมาณ มเี หตุผล มีระบบภูมิค้มุ กนั ท่ีดี โดยมีการด�ำเนนิ การพฒั นาการเกษตรอย่างเปน็ ขน้ั ตอนใน 3 ล�ำดับ ดงั นี้ ข้ันท่ี 1 การผลิตในระดับบุคคลและครัวเรือน การด�ำเนินการผลิตในท่ีดินของเกษตรกร เพื่อให้ เกษตรกรพึ่งตนเองและพัฒนาไปสู่ขั้นพออยู่พอกิน เกษตรกรปลูกข้าวและพืชผัก เลี้ยงสัตว์และเลี้ยงปลา ในท่ีดินของตนเพ่ือการบริโภคภายในครัวเรือน เม่ือมีส่วนที่เหลือ จึงแบ่งปันให้กับเครือญาติและเพื่อนบ้าน รวมทง้ั จำ� หนา่ ย เพอ่ื นำ� มาเปน็ รายไดส้ ำ� หรบั ใชเ้ ปน็ คา่ ใชจ้ า่ ยภายในครวั เรอื น ทไ่ี มส่ ามารถผลติ เองได้ โดยทำ� การผลติ ทเี่ นน้ ความสมดุลในระบบนเิ วศและสงิ่ แวดล้อม รวมทงั้ การจัดสรรทรัพยากรในไร่นาอยา่ งเปน็ ระบบ ขนั้ ท่ี 2 การรวมพลังกันในรูปกลุ่มหรือสหกรณ์ เมื่อเกษตรกรมีความเข้าใจในหลักการเกษตร ทฤษฎีใหม่ และได้ปฏิบัติในที่ดินของตนจนได้ผลผลิตและรายได้มากขึ้น เกษตรกรในชุมชนควรมีจิตส�ำนึก ท�ำประโยชน์เพ่ือชุมชนร่วมกัน โดยการรวมกลุ่มกันในรูปกลุ่มหรือสหกรณ์ ในเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดข้ึนภายใน ชุมชน เช่น การผลิต การตลาด ความเป็นอยู่และปัจจัยพื้นฐานการด�ำรงชีวิต สวัสดิการ สาธารณสุข การอบรม การศกึ ษา สงั คม และศาสนา เปน็ ตน้ ซง่ึ สง่ิ ตา่ ง ๆ ภายในชมุ ชนเหลา่ นจี้ ะตอ้ งเปน็ สง่ิ จำ� เปน็ ของชวี ติ และ ความเป็นอยู่ภายในชุมชน ซึ่งไม่อาจกระท�ำด้วยตนเองเพียงล�ำพังได้ ดังนั้น จึงต้องอาศัยความร่วมมือ รว่ มใจ ระหวา่ งเกษตรกร/สมาชกิ ในชุมชน และหน่วยงานอื่น ๆ ทเ่ี ก่ยี วขอ้ ง ข้ันท่ี 3 การสร้างเครือข่ายระหว่างกลุ่มหรือการสร้างความร่วมมือด้านแหล่งเงินทุน การตลาด การผลิต การจัดการข้อมูลข่าวสารกับภาคธุรกิจ องค์การพัฒนาเอกสาร และภาครัฐ เพื่อน�ำไปสู่การ ลดต้นทุน และเพิ่มผลประโยชน์ให้กับกลุ่ม รวมท้ังพัฒนาคุณภาพชีวิต ตลอดจนมีการสืบทอดภูมิปัญญา และการแลกเปลีย่ นเรยี นรูร้ ว่ มกันโดยประยกุ ต์ใช้เทคโนโลยีท่มี อี ยู่ได้อย่างเหมาะสม การเกษตรยง่ั ยนื ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง การเกษตรยั่งยืน เป็นระบบการเกษตรท่ีตั้งบนพื้นฐานการผลิตทางการเกษตรที่มีความ สมดุล มีความสัมพันธ์เกื้อกูลกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของแต่ละภูมินิเวศ สร้างผลผลิต การเกษตรที่หลากหลาย เพียงพอต่อการด�ำรงชีวิต และมีความปลอดภัยต่อสุขภาพ ลดการพึ่งพา ปัจจัยภายนอกเน้นการพ่ึงพาวัตถุดิบท่ีมีอยู่ภายในพ้ืนที่ รวมทั้งจะต้องจัดกระบวนการเรียนรู้ บนพื้นฐานกระบวนการมีส่วนร่วมของเกษตรกรเพื่อสร้างชุมชนให้เข้มแข็ง มีความเอ้ืออาทรซ่ึงกันและกัน 12

ที่สอดคล้องกับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยเน้นให้เกษตรกรมีจิตส�ำนึกถึงความสุขและ ความพอใจในการด�ำรงชีวิตทางการเกษตรอย่างพอดี มีความพอเพียงในการประกอบอาชีพบนพื้นฐาน การพง่ึ พาตนเองและไมเ่ บียดเบยี นผูอ้ น่ื ระบบเกษตรกรรมอย่างย่ังยืน จึงเป็นแนวทางเลือกหนึ่งของการท�ำการเกษตรของเกษตรกร รายย่อย ท่ีต้องการปรับเปลี่ยนแนวคิดและวิถีการผลิตจากเดิมท่ีมุ่งให้ความส�ำคัญกับการเพ่ิมผลผลิต เพ่ือตอบสนองต่อความต้องการของตลาดและเพิ่มรายได้ โดยไม่ค�ำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดข้ึนกับ ภาคการเกษตร ให้หันมาด�ำรงชีวิตและพึ่งพาตนเองเพื่อความอยู่รอด ปลอดภัยทางสุขภาพ มีจิตส�ำนึก ในการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ท้ังยังเป็นระบบท่ียึดหลักความยืดหยุ่น ในการปรับตัวให้เหมาะสมกับภูมินิเวศ ท้ังสภาพ ดิน น้�ำ อากาศ และความหลากหลายทางชีวภาพ และปจั จัยทางสงั คม ความเชอื่ ทางวัฒนธรรม ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถิ่นโดยระบบเกษตรกรรมยัง่ ยืนมีแนวทางทเี่ ปน็ พ้ืนฐานและสอดคล้องกบั หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ดังน้ี 1. เป็นระบบการผลิตท่ีมีเหตุผลทางวิชาการท่ีสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมในไร่นา มีการ ดำ� เนนิ กจิ กรรมการผลติ ทไ่ี ดผ้ ลจรงิ ตามสภาพธรรมชาติ โดยไมต่ อ้ งพง่ึ พาปจั จยั ภายนอก และเปน็ ระบบการผลติ ทางการเกษตรท่ีตอบสนองต่อความต้องการพ้ืนฐานด้านอาหารที่เพียงพอต่อการบริโภคภายในครัวเรือน ไดเ้ ปน็ อย่างดี 2. มกี ารจัดสรรพน้ื ทีก่ ารผลิตทางการเกษตรท่พี อดี เกอื้ กลู ตอ่ สภาพแวดลอ้ มใชท้ รัพยากรธรรมชาติ ทีม่ ีอยอู่ ยา่ งมีประสทิ ธิภาพเกื้อกลู กันและไมเ่ บียดเบียนกนั เพือ่ รักษาสมดุลของระบบนเิ วศทางธรรมชาติ 3. เปน็ ระบบการผลติ ทมี่ คี วามหลากหลายของผลผลติ ทง้ั พชื และสตั ว์ สามารถสรา้ งภมู คิ มุ้ กนั ตนเอง จากความเสยี่ งทางเศรษฐกจิ ภยั ธรรมชาติ และการเปลย่ี นแปลงตา่ ง ๆ ทเี่ กดิ ขน้ึ การสรา้ งความมน่ั คงทางอาหาร ใหก้ บั ครวั เรอื นและมีรายได้จากการขายผลผลิตที่เหลอื ตามสมควร 4. เป็นระบบการผลิตท่ีเน้นการสร้างกระบวนการเรียนรู้และเสริมสร้างความรู้ในการอนุรักษ์และ ฟ ื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ ความหลากหลายทางชีวภาพและส่ิงแวดล้อม ควบคู่กับกระบวนการแลกเปล่ียน เรยี นร้กู ันและมสี ว่ นรว่ มในการตดั สนิ ใจอยา่ งเทา่ เทียม กอ่ ให้เกิดสตปิ ัญญาที่รอบรู้และรอบคอบ เพอื่ น�ำไปสู่ การพึ่งตนเองและย่งั ยนื 5. เป็นระบบท่ีต้ังบนพ้ืนฐานคุณธรรมของเกษตรกร ท่ีมีความเพียร อดทน ขยัน ไม่เสี่ยง ไม่โลภ และไม่ประมาท เพ่ือให้เกิดการเก้ือกูลกันและก่อให้เกิดประโยชน์ท้ังกับเกษตรกรและประชาชน ผู้บรโิ ภค ทมี่ า : สำ� นกั งานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประมวลจากพระราชด�ำรสั ของพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อย่หู วั เรือ่ งเศรษฐกิจพอเพยี ง โดยได้รบั พระบรมราชานุญาต ให้เผยแพร่ เมือ่ วนั ท่ี 21 พฤศจกิ ายน พ.ศ.2542

คำ�นิยามระบบเกษตรกรรมย่ังยิน “ระบบการท�ำการเกษตรในเชิงผสมผสานและเกื้อกูลกัน ค�ำนึงถึงระบบนิเวศและ ความหลากหลายทางชีวภาพ โดยหลีกเลี่ยงและปฏิเสธการใช้สารเคมีสังเคราะห์ที่เป็น อนั ตรายตอ่ สง่ิ แวดลอ้ ม เพอื่ กอ่ ใหเ้ กดิ ความมน่ั คงและความปลอดภยั อาหาร สรา้ งความสมดลุ ทางเศรษฐกิจ สังคม สงิ่ แวดลอ้ มและระบบนเิ วศ ซึ่งน�ำไปสกู่ ารพงึ่ ตนเอง การมีภูมิคุ้มกัน ภายใต้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกรและ ผู้บริโภค รวมทั้งส่งผลให้ระบบเกษตรกรรมมีความเข้มแข็งและย่ังยืน โดยมีรูปแบบของ เกษตรกรรมย่งั ยนื ประกอบดว้ ย 5 รปู แบบ คือ วนเกษตร เกษตรธรรมชาติ เกษตรอนิ ทรยี ์ เกษตรผสมผสาน และเกษตรทฤษฎใี หม่ เป็นตน้ ” 14













โคก หนอง นา โมเดล… ทา่ มกลางปญั หาการเปลย่ี นแปลงสภาพภมู อิ ากาศ ทมี่ สี าเหตหุ ลกั มาจากการใชท้ รพั ยากรธรรมชาติ อยา่ งไรข้ อบเขตของมนษุ ย์ ไดส้ ง่ ผลกระทบในวงกวา้ งตอ่ สมดลุ ระบบนเิ วศและสง่ิ แวดลอ้ ม การเกดิ ปรากฎการณต์ า่ งๆ ที่เป็นภัยคุกคามต่อแหล่งผลิตอาหาร เช่น ความแห้งแล้ง น�้ำท่วม โรคระบาดศัตรูพืช และอ่ืนๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาวะวิกฤตท่ีส่งผลกระทบต่อภาคการเกษตรอย่างมาก คือ การเกิดภัยแล้งท่ีนับวัน จะมคี วามรนุ แรงเพ่ิมขน้ึ ในทุกปี ท่ีผ่านมา ประเทศไทยรับมือกับปัญหาภัยแล้งในหลากหลายรูปแบบ เช่น การสร้างอ่างเก็บน้�ำ การสร้างเข่ือน หรือ การจัดท�ำระบบชลประทาน ซึ่งรูปแบบเหล่านี้สามารถใช้แก้ไขปัญหาได้ในบางพื้นท ี่ ของประเทศไทยเท่านัน้ สำ� หรับพ้นื ทห่ี ่างไกลนอกเขตชลประทานท่ีมีพนื้ ท่ีถึง 121,200,000 ไร่ ยังคงตอ้ ง ประสบกบั ปญั หาการขาดแคลนน�้ำเพอ่ื ใชใ้ นการเกษตร รูปแบบ “โคก หนอง นา” โมเดล “โคก หนอง นา โมเดล” จงึ เปน็ รปู แบบหนง่ึ ของการแกไ้ ขปญั หาเรอื่ งการจดั การนำ้� ทส่ี ถาบนั เศรษฐกจิ พอเพียงและมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ ได้น้อมน�ำพระราชด�ำรัสในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล อดุลยเดช รัชกาลท่ี 9 ด้านการท�ำเกษตรทฤษฎีใหม่ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง มาใช้บริหารจัดการน�้ำ และพนื้ ทกี่ ารเกษตรโดยมกี ารผสมผสานกบั ภมู ปิ ญั ญาพนื้ บา้ นใหส้ อดคลอ้ งกนั โดยแบง่ พน้ื ท่ีเปน็ สดั สว่ น30:30 : 30 : 10 ดังน้ี 30% ส�ำหรับแหล่งน�้ำ โดยการขุดบ่อท�ำหนองและคลองไส้ไก่ 30% ส�ำหรับท�ำนา ปลกู ขา้ ว 30% ส�ำหรบั ท�ำโคกหรอื ป่า ปลูกปา่ 3 อยา่ ง ประโยชน์ 4 อยา่ ง ก็คือปลกู ไม้ใช้สอย ไมก้ ินได้ และไม้เศรษฐกิจ เพอื่ ให้ไดป้ ระโยชน์ คอื มีกนิ มอี ยู่ มใี ช้ มีความสมบูรณ ์ และความรม่ เยน็ และ 10% สำ� หรับท่อี ยูอ่ าศยั เลีย้ งสัตว์ เช่น ไก่ ปลา วัว ควาย เป็นตน้ การออกแบบท่คี ำ� นงึ ถึง “ภมู สิ ังคม” การออกแบบพ้ืนท่ี โคก หนอง นา โมเดล จะค�ำนึงถงึ “ภมู ิสังคม” เปน็ สำ� คญั “ภมู ”ิ คือ สภาพ ทางกายภาพ เช่น สภาพดิน น้ํา ลม สังคม คือ วัฒนธรรม ความเชื่อ ภูมิปัญญาด้ังเดิมท่ีอยู่ในพ้ืนท่ีน้ัน ซง่ึ ในการออกแบบจะใหค้ วามสำ� คญั กบั “สงั คม” มากกวา่ “ภมู ”ิ คอื ตอ้ งออกแบบตามสงั คมและวฒั นธรรม ของคนท่ีอยู่ แม้วา่ ภมู ิประเทศจะเหมือนกันก็ตาม หากสังคมต่างกันการออกแบบกจ็ ะต่างกนั โดยสน้ิ เชิง

การกักเกบ็ น้ำ� ของ “โคก หนอง นา” โมเดล หลกั การสำ� คญั ของโคก หนอง นา โมเดล คอื การเกบ็ กกั นำ�้ ไวใ้ ชอ้ ยา่ งเพยี งพอ ซงึ่ การออกแบบพนื้ ที่ จะใหค้ วามส�ำคญั ตอ่ การเกบ็ นำ้� 3 ส่วนหลักๆ ไดแ้ ก่ 1. เก็บน�้ำไว้ในหนอง : การขุดหนองจะต้องขุดให้คดโค้ง และมีระดับตื้นลึกแตกต่างกันไป ในแตล่ ะจดุ ซ่ึงกอ่ นขดุ ต้องมีการค�ำนวณปรมิ าตรน้าํ ท่สี ามารถเกบ็ ได้ในหนองเพ่อื ใหพ้ อใช้งาน 2. เก็บนำ�้ ไวบ้ นโคก : ท�ำได้โดยการปลกู ป่าและเก็บในระบบรากของต้นไม้ที่ปลกู ไว้ 5 ระดบั ได้แก่ ไมร้ ะดบั สงู ไมช้ น้ั กลาง ไม้ชน้ั เตย้ี ไม้เร่ียดิน และไม้หัวใตด้ ิน ไมแ้ ตล่ ะระดบั ควรจะมอี ย่างน้อยไมน่ อ้ ยกว่า 21 ชนิด เพือ่ สร้างความหลากหลายของระบบราก เม่ือฝนตกลงมาระบบรากจะชว่ ยอุม้ นำ�้ ไวใ้ นดนิ 3. เก็บไว้ในนา : ยกคันนาให้สูงและกว้าง สามารถเก็บน้�ำไว้ใช้ในช่วงฝนท้ิงช่วง นอกจากน้ี เรายังสามารถปลกู พืชผกั ไวบ้ นคันนาได้อกี ด้วย

ตัวอย่างแนวคิดการจัดการน�้ำ “โคก หนอง นา โมเดล” เพอ่ื กักเก็บน�ำ้ ไว้ท้งั บนดนิ (ด้วยหนอง คลองไสไ้ ก่ และคันนา) และ ใตด้ นิ (ด้วยปา่ 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อยา่ งตามแนวพระราชดำ� ร)ิ โดย คณะสถาปตั ยกรรมศาสตร์ สถาบนั พระจอมเกลา้ เจา้ คณุ ทหาร ลาดกระบงั อา้ งอิง FB : สถาบันเศรษฐกจิ พอเพยี ง – ISE https://www.nectec.or.th/news/news-pr-news/khoknongna.html https://talk.mthai.com/inbox/445505.html



องค์ความรู้และภูมิปัญญา



1. การเพาะปลูกและการขยายพันธพุ์ ืช 1.1 การเพาะถ่วั งอกตัดราก บทน�ำ ถั่วงอกตัดรากได้ท�ำกันมาเป็นเวลานานแล้วแต่ขณะเดียวกันการท�ำถั่วงอกตัดรากเป็นนวัตกรรม ท่ีเราได้คิดค้นเป็นรายแรก ซึ่งเป็นการเริ่มจากการเพาะไร้สารพิษในตะกร้าหรือพลาสติกเพ่ือใช้ในครัวเรือน และใช้ในร้านอาหาร เป็นการลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือนและสร้างรายได้ให้กับครอบครัว และอีกท้ังยังเป็น สมนุ ไพรอีกดว้ ยและเปน็ วิธที ง่ี า่ ยประหยดั และลดต้นทนุ อกี ด้วย อุปกรณ์ ตะกรา้ พลาสตกิ หรือวงบอ่ ซเี มนตห์ รือถงั พลาสติกทบึ เมล็ดถ่วั เขยี ว ตะแกรงรองพื้นก้นตะกร้า ใช้ตะแกรงเหล็กหรพิ ลาสตกิ ทมี่ รี ูขนาด 1x1 เซนตเิ มตร ตะแกรงเกล็ดปาล เป็นตะแกรงพลาสติกทม่ี ีรูละเอยี ดที่มีขนาดกวา้ ง 4x5 มิลลเิ มตร กระสอบปา่ น กะละมงั หรอื ถงั น�้ำส�ำหรับรองน้�ำ ขั้นตอน/วิธีท�ำ ชนั้ ท่ ี 1 ฐานรองก้นตะกร้า กระสอบป่าน ตะแกรงพลาสติก เมล็ดถว่ั เขยี ว ชัน้ ท่ี 2 กระสอบปา่ น ตะแกรงพลาสตกิ เมลด็ ถั่วเขียว ช้ันท่ ี 3 กระสอบป่าน ตะแกรงพลาสตกิ เมล็ดถวั่ เขียว ชน้ั ท ่ี 4 กระสอบปา่ น ตะแกรงพลาสติก เมล็ดถ่วั เขียว กระสอบป่าน ข้อควรระวงั ควรระวงั อย่างให้อบั จนเกนิ ไปจะท�ำใหถ้ ัว่ งอกทอ่ี ยถู่ ังเกิดเชอ้ื ราได้ การใชป้ ระโยชน์ 1. ถั่วงอกเป็นผักที่เหมาะอย่างมากส�ำหรับผู้ท่ีเป็นโรคเบาหวาน หรือผู้ที่ต้องการลดน�้ำหนัก หรือควบคุมน้ำ� หนักเปน็ พิเศษ เนื่องจากถ่วั งอกมีน้�ำตาลทน่ี อ้ ยมาก ๆ 2. ธาตุซิลิกาในถ่ัวงอกมีส่วนช่วยป้องกันการหลุดร่วงของเส้นผมได้เป็นอย่างดี เพราะช่วย ในการดูดซับวิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ ท่ีเรารับประทานเข้าไป ถ้าหากไม่มีซิลิกา การรับประทาน วิตามนิ และแร่ธาตุอน่ื ๆ ก็จะไมม่ ปี ระโยชนเ์ ลย 3. นอกจากน้ยี ังมกี ารน�ำมาใชใ้ นการรกั ษาสวิ และจดุ ด่างดำ� อีกด้วย 1

4. ประโยชนถ์ วั่ งอกกบั การนำ� มาใชป้ ระกอบอาหาร เมนถู ว่ั งอกหรอื อาหารทปี่ ระกอบไปดว้ ยถว่ั งอก เช่น ย�ำถ่ัวงอกกุ้งสด ผัดถั่วงอก ผัดผักต่าง ๆ แกงจืดถ่ัวงอกหมูสับ แกงส้ม ก๋วยเตี๋ยวต่างๆ ถั่วงอกดองกินกบั น�้ำพริก เป็นต้น ต้นทนุ การผลติ และผลตอบแทน อุปกรณ์ชุดละ 300 บาทสามารถท�ำถั่วงอกตัดตลอดการใช้งาน ครั้งต่อไปใช้การลงทุนแต่ ถัว่ งอกส�ำหรบั 1 ถัง ใช้ถ่วั งอก 4 ขีดทนุ ถ่วั งอก 14 บาท สามารถไดถ้ ่ัวงอก 1 กโิ ลกรัม 6 ขดี จำ� หนา่ ยได้ 38-40 บาท ท่มี า : ศูนยฝ์ ึกอบรมสร้างชวี ติ ใหม่ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง จังหวดั อตุ รดติ ถ์ 2

1.2 การปลกู ผกั ยกแคร่ บทน�ำ เป็นการน�ำหลักการทรงงานหัวข้อ “ประหยัด เรียบง่าย ได้ประโยชน์สูงสุด” และ “ท�ำให้ง่าย” มาปรบั ใชใ้ นการเรยี นรู้ เกดิ การใช้ทรพั ยากรอยา่ งคุม้ ค่าและช่วยลดรายจา่ ยได้ วัสดุอปุ กรณ์ 1. ภาชนะเก่าๆ ทท่ี ้งิ แล้ว เช่น กลอ่ งโฟม ลงั เก่า กะละมังที่เจาะรู เปน็ ตน้ 2. ดนิ ทผ่ี สมปยุ๋ ชวี ภาพ ขั้นตอน/วิธที �ำ 1. น�ำภาชนะเก่าๆ ทที่ ้งิ แล้ว เช่น นำ� วัสดุเก่าเหลือใช้มาเป็นภาชนะปลูกตน้ ไม้ 2. นำ� ดินผสมกบั ใบไม้ทีย่ อ่ ยสลายแล้ว คุลกเคล้าให้เขา้ กัน 3. ปลกู พืชผักท่ีต้องการลงในภาชนะ 4. รดน�ำ้ ท่ีไดจ้ ากโรงปุ๋ยมีชีวิตอยา่ งสมำ่� เสมอ และฉดี พน่ ด้วยน้ำ� พชื /สมนุ ไพรกลั่น ขอ้ ควรระวัง ไมส่ ามารถกนั เพลี้ยไฟได้ 100% แกไ้ ขโดย ใช้แผน่ พลาสติกสีเหลอื ง ทากาวป้องกันแมลง การใชป้ ระโยชน์ 1. เปน็ การน�ำของทีท่ ิ้งแล้วนำ� กลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์ 2. เป็นการปอ้ งกันเชอ้ื ราในดนิ ท่จี ะ เป็นผลกระทบกบั พืชผักที่เราปลกู ตน้ ทนุ การผลติ และผลตอบแทน 1. คนในเมอื งสามารถปลูกได้ และสามารถปลกู ได้ตลอดปี 2. สามารถอยู่รว่ มกบั ตน้ ไมช้ นดิ อื่นได้ 3

ที่มา : ศนู ย์เรยี นรู้เศรษฐกจิ พอเพียง จงั หวดั นครสวรรค์ 4

1.3 การเพาะกลว้ ยด้วยตาหน่อ วัสดุอุปกรณ์ 1. หน่อกล้วย อายุ 3-4 เดอื น ขึน้ ไป 2. มดี ปลายแหลม 3. ค้อน 4. กะปิ 5. เครือ่ งดืม่ ชกู �ำลงั เช่น กระทงิ แดง , M 150 6. น�้ำหมักเรง่ ราก 7. น้�ำสม้ ควันไม้ 8. ดิน 9. แกลบเผา 10. ปุ๋ยหมกั 11. ขยุ มะพร้าว 12. ผา้ พลาสติก 13. ปูนแดง 14. โรงเรอื นไวส้ ำ� หรับเพาะปลูก ข้ันตอน/วธิ ที �ำ 1. น�ำดิน แกลบเผา ขุยมะพร้าว ปุ๋ยหมกั คลุกเคล้าใหเ้ ขา้ กนั 2. นำ� กะปิ เครอ่ื งดมื่ ชกู �ำลัง น�้ำหมกั น�้ำสม้ ควนั ไม้ มาละลายนำ้� ให้เข้ากนั 3. น�ำหน่อกล้วยมาตัดรากออกให้หมด แล้วผ่าให้ตาอยู่ตรงกลางออกเป็นชิ้นๆ ปาดต้นกล้วย เหลอื ใหบ้ างประมาณ 2-3 เซนติเมตร หากตาโผลข่ นึ้ มาให้ตดั ยาวไม่เกนิ 1 เซนติเมตร ใหใ้ ช้มีดปลายแหลม จ้มิ ลงตรงกลางของตากล้วยใหเ้ ปน็ ตวั กากบาท 4. นำ� หนอ่ กล้วยไปแชน่ �ำ้ ทีไ่ ดเ้ ตรยี มไวใ้ นข้ันตอนที่ 1 โดยแช่ทงิ้ ไว้ 30 นาที 5. นำ� หนอ่ กลว้ ยทผ่ี า่ แลว้ มาเพาะลงในดนิ ทเี่ ตรยี มไว้ โดยใหด้ นิ กลบจนทว่ มหนอ่ กลว้ ย แลว้ นำ� ไปไว้ ในโรงเรอื นทีค่ วบคมุ ดว้ ยอุณหภูมทิ เ่ี หมาะสมทงิ้ ไว้ 14 – 20 วัน 6. หลงั จากทง้ิ ไวจ้ นถงึ วนั ทก่ี ำ� หนด หนอ่ กลว้ ยกจ็ ะเรมิ่ งอกขนึ้ มา จากนนั้ ใหต้ ดั หนอ่ กลว้ ยยาวไมเ่ กนิ 1 เซนติเมตร แลว้ ใชม้ ดี ปลายแหลมจ้มิ ตรงกลางหน่อเป็นตัวกากบาทเหมอื นขั้นตอนท่ี 3 7. นำ� ไปเก็บไว้ในโรงเรอื นทค่ี วบคุมดว้ ยอณุ หภมู ิทเี่ หมาะสม ท้ิงไว้ 14 – 20 วนั อีกคร้งั 8. นำ� หน่อกล้วยที่เพาะตดิ แล้วมาแยกออกเป็นหนอ่ ๆ แล้วมาเพาะลงในถุงดำ� อีกครั้ง 9. น�ำหน่อกล้วยในถุงด�ำ ไปเก็บไว้ในโรงเรือนท่ีมีอุณหภูมิที่เหมาะสม ทิ้งไว้อีก 14 – 20 วัน กจ็ ะได้หน่อกล้วยที่สมบูรณ์ สามารถนำ� ไปเลย้ี งใหต้ ดิ ก่อน จงึ น�ำไปปลูกไดต้ อ่ ไป 5

ข้อควรระวัง 1. ในช่วงท่ีท�ำการผ่าหน่อกล้วยควรตรวจดูดีๆ เพราะอาจท�ำให้ไปโดนตากล้วยซึ่งจะท�ำให้ หนอ่ กลว้ ยไมแ่ ตกหนอ่ 2. การเพาะหน่อกล้วยควรอยู่ในอุณหภูมิท่ีเหมาะสมถ้าน�ำไปเก็บในโรงเรือนท่ีไม่ได้อุณหภูมิ จะทำ� ใหห้ น่อกล้วยแตกหนอ่ ออกมาไม่ดนี กั การใชป้ ระโยชน์ สามารถนำ� ไปสกู่ ารค้าออกตลาดได้ เชน่ การเพาะกล้วยเพอ่ื จ�ำหนา่ ย ต้นทุนในการผลิตและผลตอบแทน ต้นทุนการผลติ สว่ นมากจะเป็นวสั ดุจากธรรมชาติ จงึ ไมจ่ ำ� เป็นค่าใช้จ่ายสักเทา่ ไร ผลตอบแทน ผลการตอบแทน สามารถนำ� หน่อกลว้ ยทีท่ ำ� การเพาะไปจ�ำหน่ายเพือ่ เพม่ิ รายได้ในครวั เรือน ที่มา : ศูนยป์ ราชญ์เกษตร (สวนอษุ า) จังหวดั ชยั ภูมิ 6

1.4 การปลกู ดาวเรืองเพอ่ื สร้างรายได้ บทนำ� การปลูกดอกดาวเรืองนั้น ควรท�ำความเข้าใจถึงความต้องการว่าต้องการปลูกเพ่ือตัดดอกขาย หรอื ปลกู เพอื่ ขายเปน็ ไมป้ ระดบั พนั ธส์ุ ำ� หรบั ปลกู ดอกดาวเรอื งเพอ่ื การขายนน้ั จะเปน็ พนั ธเ์ุ ฉพาะตดั ดอกขาย หรอื ไมป้ ระดบั ถา้ ปลกู เปน็ ไมป้ ระดบั กค็ วรจะเลอื กพนั ธต์ุ น้ เตยี้ กา้ นดอกแขง็ แรงดอกใหญเ่ พอ่ื ความตอ้ งการ ของตลาด ง่ายต่อการขนส่ง ถ้าปลูกเพ่ือตัดดอกขายก็เลือกพันธุ์ ท่ีล�ำต้นแข็งแรง ดอกใหญ่และเก็บ ผลผลิตได้นาน เพื่อจะได้มีรายได้จากการปลูกดาวเรืองอย่างงดงามเลยทีเดียว ก่อนลงมือปลูกควรศึกษา ใหเ้ ข้าใจกอ่ นลงทุน เร่ิมปลูกทีละน้อยเมอ่ื มีความช�ำนาญดีแล้วจงึ ค่อยขยาย วสั ดุอุปกรณ์/อปุ กรณ์ 1. ถาดเพาะ 200 หลมุ 2. พีทมอส (วัสดุเพาะ) 3. เมล็ดพนั ธดุ์ าวเรอื ง 4. บัวรดนำ้� 5. ถงั พน่ สารเคมี 6. สารป้องกนั และกำ� จดั เชื้อราไตรโคเดอรม์ าหรือพาโมคารบ์ เมทาแลกซิล 7. ปุ๋ยเคมี สูตร 15-15-15 8. ดินรว่ น 9. แกลบดำ� 10. ปยุ๋ หมักหรือปุ๋ยคอกเกา่ 11. แกลบดิบ 12. ถังดำ� ปลูกต้นไมห้ รอื ถงุ ดำ� ขนาด 4*8 นวิ้ - ขนาด 5*9 นิ้ว ข้นั ตอน/วธิ ที �ำ วธิ กี ารเพาะ 1. น�ำวัสดุเพาะท่ีเตรียมไว้ใส่ถาดเพาะ 200 หลุม โดยใส่ให้เต็มหลุม และกระแทกถาดเพาะ 1 ครงั้ เพือ่ ใหว้ สั ดุเพาะลงถงึ กน้ หลุม ทำ� การเติมวัสดเุ พาะใหเ้ ตม็ และปาดให้เรียบพอดกี ับหลุม 2. น�ำถาดเพาะเปล่ามาวางบนถาดเพาะที่ใส่วัสดุเพาะแล้ว จากน้ันกดถาดเปล่าเพ่ือท�ำหลุม โดยหลุมท่กี ดควรมขี นาด ลกึ พอดกี ับเมลด็ ประมาณ 0.5 ซม. 3. ท�ำการหยอดเมลด็ ดาวเรอื ง 1 เมล็ดต่อ 1 หลมุ 4. นำ� วสั ดเุ พาะ ท่ยี ังไม่ไดผ้ สมน�ำ้ มาใสต่ ะกรา้ เพือ่ รอ่ น กลบเมลด็ โดยกลบให้มิดเมลด็ แต่ไม่หนา จนเกินไป เนื่องจากดาวเรอื งไม่ตอ้ งการแสงในการงอกและเปน็ การรักษาสภาพความช้ืน 7

5. น�ำถาดเข้าไปในบริเวณที่พรางแสง ตามระยะต้นกล้า รดน�้ำท่ีผสมเช้ือราไตรโคเดอร์มา อย่าให้ ถาดเพาะแห้ง หรือแฉะจนเกินไปเพราะจะท�ำให้เมล็ดไม่งอก หรือแฉะเกินไป อาจท�ำให้ เป็นโรครากเนา่ คอดนิ การเตรียมวสั ดุ 1. ดินรว่ น 1 ส่วน 2. แกลบดำ� 1 สว่ น 3. ถ่านแกลบดบิ 1/2 ส่วน 4. ปยุ๋ หมักหรือปยุ๋ คอกเก่า 1/2ส่วน 5. ปยุ๋ สูตร 15-15-15 อตั รา 1 ก.ก. / ดนิ ผสม 500 ก.ก. 6. นำ� ส่วนผสมท้ังหมดคลกุ เคลา้ ให้เขา้ กัน แล้วน�ำไปบรรจถุ งุ ดำ� หรือกระถาง 7. รดน�ำ้ ให้ชุ่มก่อนปลูก วิธีการย้ายปลูก ควรย้ายต้นกล้าดาวเรืองที่มีอายุไม่เกิน 20 วัน หรือมีจ�ำนวนใบจริง 2-3 คู่ ไม่ควรย้ายต้นกลา้ ทม่ี อี ายุมาก เกนิ ไปเพราะระบบรากจะแผ่กระจายไดช้ า้ เนือ่ งจากระบบรากนน้ั แก่เกินไป ดงั นน้ั ควรยา้ ยกลา้ ในขณะที่รากยังไม่แกเ่ กนิ ไปจะท�ำให้รากของตน้ กลา้ มกี ารพัฒนาได้ดกี วา่ การหาอาหาร ของราก ก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้นเจาะหลุมในวัสดุปลูก ให้ลึกพอสมควร แล้ววางต้นกล้าลงไปให้ลึก จนชดิ ใบเล้ียง แล้วกลบหลมุ เพื่อปอ้ งกันต้นกล้าหักลม้ และเพอ่ื พัฒนาระบบรากให้มมี ากยิ่งขน้ึ ช่วงเวลาที่ เหมาะสม แกก่ ารยา้ ยปลกู คือช่วง เยน็ (แดดไม่แรง) เพ่อื ชว่ ยลดการสญู เสยี นำ้� ของต้นกลา้ สง่ ผลใหต้ น้ กล้า มกี ารตงั้ ตัวไดด้ ี หลงั การยา้ ยปลกู การให้น�้ำ ช่วงหลังการย้ายปลูกควรให้น้�ำสม่�ำเสมอจนต้นฟื้นตัว ใช้ระยะเวลาประมาณ 1 สัปดาห์ หลังจากนัน้ ควรรกั ษาความช้นื ในวสั ดปุ ลกู ให้เหมาะสม ไม่แหง้ จนต้นเหี่ยว และไมแ่ ฉะหรือนำ�้ ขัง เป็นเวลานานเกินไป หากดินขาดความชื้น จะท�ำให้แมลงพวกเพล้ียไฟ ไรแดง ระบาดได้ง่ายและหากดิน มนี ้ำ� ขังหรอื แฉะจนเกินไปก็จะท�ำให้เกดิ โรคได้งา่ ยเชน่ กนั การให้ปุ๋ย เป็นวิธีท่ีนิยมส่วนใหญ่ใช้กับปุ๋ยที่ละลายน�้ำได้ไม่ดี การให้ปุ๋ยวิธีนี้ส่วนใหญ่จะให้เพียง สปั ดาหล์ ะ 1-2 ครง้ั เนอ่ื งจากปยุ๋ จะคอ่ ยๆ ละลายใหก้ บั ตน้ พชื และตอ้ งระวงั อยา่ ใหช้ ดิ โคนหรอื ใหใ้ นปรมิ าณ ทม่ี ากเกินไปเพราะจะท�ำให้ต้นหรอื ใบไหมไ้ ด้ เทคนิคแนะน�ำ การให้ปุ๋ยแบบเม็ดหลังย้ายปลูก 1 สัปดาห์ ควรท�ำหลุมแล้วหยอดปุ๋ย เม่อื หยอดเสรจ็ ควรกลบหลุมเพื่อปอ้ งกนั การระเหิดของป๋ยุ อาจทำ� ใหพ้ ชื ไมไ่ ดร้ ับธาตุอาหารได้ 8

วิธกี ารให้ปุ๋ยแบบน�้ำ -การผสมปยุ๋ เม็ดกับน้�ำในอตั ราท่กี �ำหนด สูตรปุ๋ย (N:P:K) ช่วงระยะเวลา ปรมิ าณการให้ 15-15-15 ชว่ งหลังยา้ ยปลูก 1 สัปดาห ์ ครึง่ ชอ้ นชาสปั ดาห์ละ 2 คร้ังจนตน้ โต ชนขอบกระถางคอ่ ยเพ่มิ เป็น 1 ช้อนชา 13-13-21 ควรให้ในระยะตมุ่ ดอก 1 ชอ้ นชา สัปดาห์ละ 1 คร้งั ช่วงระยะเวลา สตู ร อัตราส่วนผสม ความถ่ี การเจริญเตบิ โต 15-0-0 1 กิโลกรมั สปั ดาห์ละ 1 ครง้ั ทางลำ� ตน้ และใบ 25-7-7 อกี 6 วันให้น�้ำเปล่า หรือ 15-15-15 ตอ่ นำ้� 200 ลิตร ต่มุ ดอก 15-15-15 สปั ดาหล์ ะ 1 ครง้ั + 8-24-24 8-24-24 = 1 กก. อีก 6 วนั ให้น้ำ� เปลา่ ผสมกับนำ้� 200 ลติ ร ออกดอก 15-15-15 = 0.5 กก. สัปดาหล์ ะ 1 คร้งั 14-14-21 1.5 – 2.0 กโิ ลกรมั อีก 6 วนั ให้น้�ำเปลา่ ต่อน�ำ้ 200 ลิตร ขอ้ ควรระวัง การให้ป๋ยุ ละลายนำ�้ ควรรดบริเวณโคนตน้ โดยการหยอด ไม่ควรรดโดนใบ แตห่ ากโดนใบควรรดน้�ำ ตามเพอ่ื ลา้ งป๋ยุ ท่ีตกค้าง การใช้ประโยชน์ การปลูกดาวเรืองเพื่อตัดดอกขาย หรือการปลูกดาวเรืองในถุงด�ำหรือในกระถาง สามารถสร้าง รายไดอ้ ย่างงดงาม ทำ� เปน็ อาชีพหลักและอาชีพเสรมิ ไดเ้ ป็นอยา่ งดี สามารถปลูกได้ตลอดปี ต้นทนุ การผลติ และค่าตอบแทน การปลูกดาวเรืองในถุงดำ� ต้นทุนอยทู่ ่ี 5 บาท/ถงุ สามารถ ขายไดร้ าคา ต้งั แต่ 8 - 15 บาท เลยทีเดียว 9

ทมี่ า : ศนู ย์เรียนรเู้ ศรษฐกจิ พอเพยี งไรน่ าสวนผสมบา้ นวงั ไผ่สงู จงั หวัดสโุ ขทยั 10

1.5 การทำ� นาแบบโยนกล้า บทนำ� “นาโยนกล้า” นวัตกรรมการท�ำนาแบบใหม่ที่เหมาะสมกับพื้นที่ท�ำนาภาคกลาง หรือพื้นที่ ท่ีจัดการเร่ืองน้�ำได้ การท�ำนาแบบโยนกล้าจะใช้เมล็ดพันธุ์ประหยัดกว่าการท�ำนาหว่านน�้ำตม และนาด�ำ ท�ำให้ลดต้นทุนค่าเมล็ดพันธุ์ได้มาก อีกท้ังยังง่ายไม่เปลืองแรง ผลผลิตท่ีได้ไม่ต่างจากการท�ำนาหว่าน หรือนาด�ำ นอกจากน้ียังช่วยควบคุมวัชพืชได้ดีกว่า และหากท�ำนาด้วยเกษตรอินทรีย์ หรือ เกษตรปลอดสารพิษแล้ว ต้นทุนในการทำ� นายงิ่ ลดลงอย่างชัดเจน วัสดแุ ละอปุ กรณ์ เมล็ดพนั ธข์ุ า้ ว ถาดพลาสตกิ หลุมสำ� หรบั เพาะตน้ กล้า ดนิ เลน ส�ำหรบั เพาะกลา้ ขั้นตอน/วธิ ีทำ� ปล่อยน�้ำเข้าพ้ืนท่ีนาหลังจากเก็บเก่ียว (โดยมิต้องเผาตอซังข้าว) ให้เกิดขบวนการย่อยสลาย ไปตามธรรมชาติ หรืออาจเติมหัวเช้ือจุลินทรีย์ลงไปในนาข้าวเพื่อเป็นการช่วยย่อยสลายและ คนื สมดุลใหก้ ับดิน น�ำดินเลนมาเทราดให้ท่ัวถาดหลุมที่เตรียมไว้ จากนั้นใช้ไม้หรือมือปาดดินเลนให้ได้ระดับ ไม่สูงเกนิ ไป (พอดีกบั หลุม) นำ� เมลด็ ขา้ วเปลือกที่แชน่ ำ้� ไวจ้ นเรม่ิ งอกราก มาหยอดใสถ่ าดหลุม ๆ ละประมาณ 2-3 เมล็ด เม่ือต้นกล้ามีความสูงประมาณ 5-8 นิ้ว ให้ค่อย ๆ แกะออกจากถาดหลุมแล้วน�ำไปโยน ลงในนาท่เี ตรยี มไว้ โดยเว้นระยะความหา่ งของกล้าเหมอื นการดำ� นา ขอ้ ควรระวงั เมื่อโยนกล้าข้าวไปแล้ว พอวันท่ี 3 สามารถเร่ิมไขเอาน้�ำเข้านาได้ ซ่ึงพบปัญหาเรื่องวัชพืชน้อย การท�ำนาแบบโยนกล้าจะเป็นการช่วยควบคุมการโตของวัชพืชได้ รวมทั้งข้าววัชพืชหรือข้าวดีดด้วย อีกประมาณ 7- 10 วนั ต้นข้าวจะเขียวโดยทไี่ มต่ ้องไปใสป่ ยุ๋ อะไรเลยกไ็ ด ้ การใช้ประโยชน์ สามารถประหยดั เมล็ดพนั ธขุ์ า้ วเปลือกได้มาก ใช้เมล็ดพันธเ์ุ พียง 3 กโิ ลกรมั /ไร่ สามารถประหยัดเวลา และแรงงานไดม้ าก ใน 1 วนั สามารถโยนกลา้ ได้มากถงึ 5 ไร่/1 คนโยน หมดปัญหาเร่ืองตน้ หญ้าแยง่ กนิ อาหารของขา้ ว ตน้ ทุนการผลติ และผลตอบแทน ถาดพลาสตกิ หลุมส�ำหรับเพาะต้นกล้า แผงละ 7 บาท 11

ทม่ี า : ศนู ย์เรยี นรชู้ ุมชนปลกั ไมล้ าย จังหวดั นครปฐม 1.6 การปักช�ำแบบควบแนน่ บทน�ำ วิธีนี้ใช้ได้กับพืชผักและผลไม้ 30 กว่าตัวอย่าง สามารถขยายได้ทีละมากๆ เมื่อเกิดน�้ำท่วมหรือ ลมพัดต้นแม่พันธุ์เสียหาย สามารถใช้วิธีนี้อนุรักษ์พันธุ์พืชได้การขยายพันธุ์พืชผักพื้นบ้านแบบควบแน่น อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นวิธีการที่สามารถลดเวลา ต้นทุนและการดูแลรักษา สามารถก�ำหนดปริมาณ ของผลผลติ ให้ตรงกับความตอ้ งการของตลาดและการบรโิ ภคได้อยา่ งแม่นยำ� อปุ กรณ์ 1. แก้วนำ้� หรือกระบอกน�้ำ 2. กรรไกร 3. ถุงพลาสติก 4. ยางวง ขน้ั ตอน/วธิ ีท�ำ 1. เก็บดนิ จากบริเวณทม่ี ีอินทรวี ัตถุน้อย ท�ำดินใหร้ ่วนซยุ 2. พรมน้ำ� คลกุ เคลา้ ให้เข้ากัน แลว้ ปน้ั ดู พอตดิ มือ (ก�ำพอเปน็ กอ้ น) 3. น�ำดินใส่ให้เต็มแก้วพลาสติกหรือภาชนะกระถางท่ีจะใช้ โดยแบ่งใส่ 3 คร้ัง แต่ละครั้งกดดิน ให้แน่น ระดบั 80% 12

4. ใชไ้ มแ้ หลมหรอื กรรไกรเสียบตรงกลางภาชนะทใ่ี ส่ดนิ ให้ลกึ ไม่เกิน 3 ใน 4 สว่ นของแก้ว 5. ใชก้ รรไกรคม ตดั ยอดมะนาวตามทต่ี ้องการ ตดั ใหย้ าวประมาณ 12– 18 เซน็ ติเมตร ข้อสำ� คัญ อยา่ ให้แผลทตี่ ดั เปลอื กฉกี จะออกรากไม่ดี 6. ใชก้ รรไกรตดั หนามออกใหห้ มด ปอ้ งกนั หนามแทงถุง ถา้ อากาศเขา้ จะออกรากยาก 7. น�ำยอดมะนาวเสยี บลงในรูทเี่ สยี บไว้ ใหส้ ดุ 8. กดดนิ รอบกิ่งมะนาวใหแ้ นน่ อย่าใหห้ ลวม จะออกรากยาก 9. น�ำถุงพลาสติกครอบลงแล้วรัดด้วยยางวงจ�ำนวน 2 เส้น แล้วดึงก้นถุงให้ยางไปรัดอยู่ท่ี ขอบปากแก้ว 10. น�ำไปเก็บไวใ้ นทร่ี ม่ รำ� ไร หลงั จากน้ัน 15– 20 วนั ให้ตรวจดรู าก พอพบรากใหป้ ล่อยจนราก มสี ีน�้ำตาลคอ่ ยกลบั ถงุ ยางวงเสน้ เล็ก หรือเชอื ก ขอ้ ควรระวงั ไมค่ วรไวต้ ากแดดจนเกนิ ไป การใชป้ ระโยชน์ วิธีนี้ใช้ได้กับพืชผักและผลไม้ 30 กว่าตัวอย่าง สามารถขยายได้ทีละมากๆ เมื่อเกิดน�้ำท่วม หรอื ลมพดั ตน้ แมพ่ นั ธเ์ุ สยี หาย สามารถใชว้ ธิ นี อี้ นรุ กั ษพ์ นั ธพ์ุ ชื ไดก้ ารขยายพนั ธพ์ุ ชื ผกั พน้ื บา้ นแบบควบแนน่ อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นวิธีการที่สามารถลดเวลา ต้นทุนและการดูแลรักษา สามารถก�ำหนดปริมาณ ของผลผลิตให้ตรงกับความต้องการของตลาดและการบริโภคได้อยา่ งแม่นยำ� ตน้ ทนุ การผลิตและผลตอบแทน แก้ว 1 ใบ ราคา 1 บาท สามารถปักช�ำได้ 1 ต้น หรือเอาขวดท่ีใช้แล้วก็ไดสามารถรถต้นทุน และเปน็ การขยายพันธ์ุพืชไดด้ ีประหยัดเวลาไม่ตอ้ งรดนำ� ทมี่ า : ศูนยฝ์ กึ อบรมสรา้ งชีวติ ใหม่ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง จังหวดั อตุ รดติ ถ์ 13

2. การเลีย้ งสตั ว์ 2.1 การเลี้ยงปลาดกุ ในบ่อพลาสตกิ บทนำ� การเลย้ี งปลาดกุ ในบอ่ พลาสตกิ มเี ปา้ หมายเพอื่ เปน็ การสง่ เสรมิ การประกอบอาชพี โดยใชห้ ลกั การ ของปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี งทจ่ี ะสามารถทำ� ใหเ้ กษตรกรสามารถพงึ่ พาตนเองได้ ประหยดั ตน้ ทนุ ลดรายจา่ ย เพิ่มรายได้ในครัวเรือน และที่ส�ำคัญที่สุดคือเน้นการจัดสรรพื้นที่ท่ีมีอยู่อย่างจ�ำกัดมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ให้มากท่ีสุด เนื่องจากการเล้ียงปลาดุกในบ่อพลาสติกเป็นการเล้ียงที่ใช้พ้ืนท่ีน้อย ไม่เปลืองพื้นที่ ในการ ขุดบ่อปลาเพ่ิมขึ้น และสามารถท�ำการเกษตรอย่างอื่นบนพื้นที่ว่างรอบขอบบ่อได้อีกด้วย เช่น ตะไคร้ ใบเตย พรกิ เปน็ ตน้ และจากการทำ� กจิ กรรมต่างๆ ขา้ งต้น ถือเปน็ การลดรายจ่ายการบริโภคในครัวเรือน นอกจากน้ียังถือเป็นการเพ่ิมรายได้อีกทางหน่ึงด้วย การน�ำส่วนที่เหลือจากการบริโภคในครัวเรือน ไปจำ� หนา่ ย เนอื่ งจากปลาดกุ ทเี่ ลย้ี งดว้ ยวธิ ดี งั กลา่ วนเี้ ปน็ สง่ิ ทต่ี ลาดมคี วามตอ้ งการสงู เนอ่ื งจากเปน็ การเลยี้ ง แบบธรรมชาติและปลอดสารพิษ วสั ดุอปุ กรณ์ 1. กระสอบปา่ น 2. พลาสตกิ สำ� หรบั ปูนพ้ืน 3. นำ�้ หมกั ชีวภาพ (EM) 5 ลติ ร 4. กาโบกาชิ 3 กิโลกรัม 5. ดนิ 10 กโิ ลกรมั 6. ขว้ี ัว 5 กิโลกรมั 7. พนั ธุป์ ลาดกุ ขนาด 5 - 7 เซนติเมตร 8. อาหารสำ� หรบั เล้ียงปลาดุก ข้นั ตอน/วธิ ีท�ำ 1. ขุดบอ่ ขนาดกว้าง 2 เมตร x ยาว 4 เมตร x ลกึ 0.5 เมตร และน�ำดินทข่ี ุดขน้ึ มาท�ำเป็นคนั บ่อ อาจใชด้ ินทอ่ี ื่นมาถมเพอ่ื เพมิ่ ท�ำคันดินให้ใหญข่ น้ึ ส�ำหรับปลกู ผกั สวนครวั ได้ 2. รองพน้ื บอ่ ด้วยกระสอบปา่ นแล้วจึงคอ่ ยน�ำพลาสติกปูทบั เพอ่ื ปอ้ งกันกนั ไมใ่ ห้พลาสตกิ ส�ำหรบั ปบู ่อฉกี ขาดจากเศษกอ้ นหินและเศษขยะต่างๆ 3. น�ำดิน 10 กิโลกรมั ผสมกบั โบกาชิ 3 กโิ ลกรัม ข้ีววั 5 กิโลกรมั เทลงใหท้ ว่ั บอ่ แล้วเติมนำ้� หมกั ชีวภาพ (EM) 5 ลติ ร ท้งิ ไวป้ ระมาณ 5 นาทแี ลว้ เตมิ น้ำ� ให้เต็มบอ่ จากนน้ั พกั ไว้ 3 - 4 วัน 4. นำ� พันธ์ปุ ลาดกุ ขนาด 5 - 7 เซนตเิ มตร ปลอ่ ยลงในบ่อทเี่ ตรยี มไวอ้ ัตราส่วน 1,000 ตวั /บอ่ ขนาด 4 x 2 เมตร 14

อาหารและการให้อาหาร ในช่วง 1 - 2 เดือนแรกจะให้อาหารส�ำหรับปลาดุกขนาดเล็ก และจะฝึกให้ปลาข้ึนมากินอาหาร บนขอบบอ่ เพอื่ เปน็ การป้องกันไมใ่ หน้ ้�ำเน่าเสีย เม่ือเข้าสู่ช่วงที่ 2 จะให้อาหารท�ำเองโดยมีสูตร คือ เส้นก๋วยเตี๋ยวต้มสุก 1 กิโลกรัม ร�ำหยาบ 2 กโิ ลกรมั หวั อาหารหมู 2.5 ขีด และ EM 2 ช้อนโตะ๊ โดยจะผสมให้เข้ากนั เพื่อเปน็ การลดตน้ ทุนในการ เลยี้ งปลา การเตมิ นำ้� หมักชีวภาพ (EM) เพอื่ เป็นการป้องกันไม่ใหน้ �้ำในบอ่ ปลาเนา่ เสยี ต้องหมน่ั เตมิ นำ�้ หมัก ชวี ภาพลงไปในบอ่ ทกุ 10 วนั โดยจะเตมิ ครงั้ ละ 5 ลติ ร เพอ่ื ปอ้ งกนั ไมใ่ หน้ ำ้� เสยี และไมเ่ กดิ กลน่ิ คาวในตวั ปลา ข้อควรระวงั 1. หากใสน่ ้ำ� ประปาควรพักนำ้� ไวอ้ ย่างนอ้ ย 2 - 3 วัน เพอื่ ให้ฤทธคิ์ ลอรีนระเหยหมดกอ่ นจึงค่อย ด�ำเนนิ การตามข้ันตอนที่ 3 2. รอบคันบ่ออาจปลูกผักสวนครัวได้ และสามารถน�ำน้�ำในบ่อขึ้นมารดผักได้ แต่เติมน�้ำลงบ่อ ให้ความสงู เทา่ เดมิ และควรล้อมรอบบ่อดว้ ยมุ้งฟ้าเก็บชายฝงั ดนิ เพ่อื กันงแู ละสัตวอ์ ื่นมากินปลา 3. ผ้าพลาสติกใช้ผ้าพลาสติก PVC มีความหนาประมาณ 1 - 2 มิลลิเมตร อายุการใช้งาน ประมาณ 5 ปี 4. นอกจากขุดบอ่ ขนาดกวา้ ง 2 เมตร x ยาว 4 เมตร x ลกึ 1 เมตร แลว้ ยังสามารถขุดบอ่ ขนาด กว้าง 3.5 เมตร x ยาว 3.5 เมตร x ลกึ 30 เซนตเิ มตร หรอื ขุดบ่อขนาดกว้าง 1 เมตร x ยาว 8 เมตร x ลึก 50 เซนตเิ มตร เลี้ยงปลาดุกจ�ำนวน 400 ตวั ท่ีเหมาะส�ำหรบั เลี้ยงปลาแบบบ่อตื้น การใช้ประโยชน์ 1. ประหยดั พืน้ ทแี่ ละใช้พน้ื ทวี่ ่างให้เกิดประโยชน ์ 2. ง่ายต่อการดแู ล ลดการวา่ งงาน เลี้ยงไดต้ ลอดท้งั ปี 3. มอี าหารไว้กนิ ลดรายจา่ ยหรือขายเพมิ่ รายไดใ้ หก้ บั ครอบครวั 4. รอบข้างบอ่ สามารถปลูกผกั สวนครวั ไวเ้ ป็นอาหาร ใชน้ �้ำในบอ่ ปลารถผกั ประหยดั พ้นื ที่ ตน้ ทนุ การผลติ และผลตอบแทน 1. ระยะเวลาการเลีย้ งประมาณ 3 - 4 เดอื น ได้ปลาขนาด 100 - 250 กรัม/ตัว 2. อัตรารอดประมาณ 80 - 95 % 3. ได้ผลผลิตประมาณ 30 - 50 กิโลกรัม/บ่อคิดเป็นมูลค่าปลาประมาณ 1,200 - 2,500 บาท (กิโลกรัมละ 40 - 50 บาท) 15

การเลย้ี งปลาดุกในบ่อพลาสติก การทำ� อาหารปลาดกุ ดว้ ยตนเอง หัวอาหารปลาดกุ เส้นก๋วยเต๋ียว การผสมอาหารปลาดุกกบั เสน้ กว๋ ยเตย๋ี ว เพือ่ เป็นการลดตน้ ทุนในการใหอ้ าหารปลาดกุ เนอื่ งจาก เส้นก๋วยเตี๋ยวจะช่วยในเร่ืองของการเพ่ิมปริมาณแป้ง และหัวอาหารปลาดุกจะช่วยในเรื่องของสารอาหาร จำ� พวกโปรตนี การใหอ้ าหารปลาดุกบนขอบบอ่ เพื่อเปน็ การปอ้ งกันไม่ให้นำ้� ในสระน�้ำในสระเนา่ เสีย ทม่ี า : ศูนยเ์ ครอื ข่ายปราชญ์ชาวบา้ นบ้านเด่นเจริญ จงั หวัดแพร่ 16

2.2 การเพาะเลยี้ งจิง้ หรดี บทน�ำ จิ้งหรีดเป็นแมลงที่พบโดยท่ัวไปตามธรรมชาติ มีขนาดตัวโตเต็มที่ประมาณ 1-3 เซนติเมตร มีสีน้�ำตาลปนเหลือง ชอบกระโดด กินพืชเป็นอาหาร ปัจจุบันคนนิยมบริโภคเป็นอาหาร โดยการทอด คั่ว แกง ย�ำ เป็นต้น เพราะจ้ิงหรีดมีสารอาหารโปรตีนสูง ปลอดสารพิษ เล้ียงง่าย ขยายพันธุ์เร็ว ใหผ้ ลผลติ สงู เหมาะสำ� หรบั เกษตรกรจะนำ� มาเลย้ี งไวบ้ รโิ ภคและเลย้ี งไวจ้ ำ� หนา่ ย เพอ่ื เพม่ิ รายไดใ้ หค้ รวั เรอื น เพราะการเลย้ี งจ้ิงหรดี สามารถใชเ้ วลาว่างจากการเพาะปลกู มาดแู ลจงิ้ หรีดได้ วัสดอุ ปุ กรณ์ : 1) กระเบ้อื งแผน่ เรยี บ 1 แผน่ 5) ถาดไข่ (ชนดิ กระดาษ) 2) ไม้โครง ขนาดเส้นผา่ ศนู ยก์ ลาง 2 นิ้ว 6) ถาดอาหารหรือถาดนำ้� 3) ซิลิโคน 7) ถ้วยรองขา 4) ตะปเู ลก็ 8) มุ้งหรอื ตาข่าย ข้ันตอน/วธิ ีท�ำ 1) ตัดกระเบ้ืองแผ่นเรียบออกเป็น 5 แผ่น (ขนาด 120 x 60 เซนติเมตร จ�ำนวน 3 แผ่น, ขนาด 60 x 60 เซนตเิ มตร จำ� นวน 2 แผ่น) 2) ตัดไม้โครง ยาว 80 เซนตเิ มตร จำ� นวน 4 ทอ่ น 3) นำ� ขอ้ 1) และข้อ 2) มาประกอบเป็นรปู สเี่ หลยี่ มผนื ผา้ 4) นำ� ซิลิโคนปดิ ตามแนวรอบโรงเรอื น ขอ้ ควรระวัง 1) สถานท่ีเลยี้ งต้องโลง่ อากาศถ่ายเทไดส้ ะดวก 2) โรงเรอื นต้องไม่มีรู เพอื่ กันไม่ใหล้ กู จ้ิงหรดี ออกจากโรงเรือน 3) ต้องระวังไม่ให้มด จิ้งจก และนก เข้ามาในโรงเรอื นเลย้ี งจงิ้ หรดี 4) น�ำสก๊อตไบรท์ใสล่ งในถาดใส่น�ำ้ เพอ่ื ป้องกนั ลกู จิง้ หรดี พลัดตกลงไปในถาดใสน่ �้ำ 17

การใช้ประโยชน์ นำ� จิง้ หรดี ไปบรโิ ภค โดยการทอดกบั สมุนไพร ต�ำใส่น้ำ� พริก นำ� จ้ิงหรดี ไปเป็นอาหารสัตว์ เชน่ ปลาต่างๆ ไก่ เปด็ ห่าน ฯลฯ ต้นทนุ การผลิตและผลตอบแทน ตน้ ทนุ ในการประกอบโรงเรือน ประมาณ 800 บาท/โรงเรือน อาหาร ประมาณ 300 บาท/รอบการเล้ียง ผลตอบแทนทไ่ี ด้ ประมาณ 900 บาท/โรงเรอื น/รอบการเล้ียง ท่มี า : ศูนยเ์ รียนรูเ้ ศรษฐกจิ พอเพียงชมุ ชนบ้านปา่ ศรี จงั หวดั ปตั ตานี 18

2.3 การเลี้ยงไก่ไข่ (อนิ ทรยี ์) บทน�ำ การเลี้ยงสัตว์โดยยึดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเน้นการพึ่งพาตนเอง น�ำวัสดุอุปกรณ์ที่หาได้ ภายในท้องถ่ินตลอดจนการอาศัยภูมิปัญญาที่ได้จากการสืบทอดมาต้ังแต่บรรพบุรุษ อาศัยหลักการ พ่ึงพาธรรมชาติในการเล้ียง ในแต่ละภูมิภาคของประเทศไทยมีความแตกต่างกันในด้านวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี ความเป็นอยู่และการด�ำรงชีพ ดังน้ันการเลี้ยงสัตว์จึงมีความแตกต่างกัน ตามสภาพพื้นที่ การเลี้ยงไก่ไข่ท่ีศูนย์ฯ เป็นการเล้ียงในแปลงไผ่ล้อมรั้วด้วยตาข่ายมุ้งไนลอน พ้ืนที่ 1 ไร่ จำ� นวนไก่ไข่ 150 ตัว การให้อาหาร ร�ำละเอียดผสมหยวกกล้วยวันละ 1 ม้ือ, หญ้าขนสับละเอียดหรือเศษผัก, ใบไผ่สดให้ไก่ จิกกินเองและใบไผ่สดบด/สับผสมร�ำละเอียด, ใบกระถินสด, เพาะเล้ียงตัวปลวก, ปุ๋ยคอกกองหมักไว้ ในแปลงเป็นกอง ๆ ให้ไกค่ ยุ้ เขีย่ กินแมลง วธิ ีการเพาะเล้ียงตัวปลวก ขดุ ดินเป็นหลมุ กว้าง 1 เมตรยาว 2 เมตร ลึก 20 เซนตเิ มตร, ใสเ่ ศษไม้ ต้นไมแ้ ห้ง ใบไมแ้ หง้ ลงในหลุมให้เต็มคลุมด้วยฟางหรือกระดาษลังลูกฟูก รดน้�ำให้ชุ่มดินปิดบางๆ 1-2 อาทิตย์ตัวปลวก จะมีมาก ควรท�ำหลุมเพาะตัวปลวกไว้หลาย ๆ หลุมการน�ำปลวกไปเป็นอาหารสัตว์น้ันจะต้องเวียนกัน วันละ 1 หลุม เพอื่ ที่วันตอ่ ไปจะได้มปี ลวกเป็นอาหารสัตวต์ ลอด ควรท�ำอย่างนอ้ ย 7 หลมุ ส�ำหรับเวียน ใช้ใหไ้ ดค้ รบ 1 อาทิตย์ 19

การทำ� รังไข่ ท�ำรังไขด่ ว้ ยตะกรา้ ผูกแขวนไว้ตามกอไผใ่ หท้ ั่วทั้งแปลงรองก้นรงั ไข่ดว้ ยฟางและหญ้าหรือใบไม้ พนั ธ์ุไก่ไข่ ควรคัดเลือกพันธุ์ไก่ที่ให้ไข่ดกและผสมผ่านพันธุ์พ้ืนเมืองเพ่ือให้มีความทนต่อโรคและปรับตัว กับธรรมชาติไดด้ ี การท�ำโรงเรอื น ควรท�ำแบบง่าย ๆ กันฝนไดพ้ อสมควรเพอ่ื ลดต้นทนุ ไกจ่ ะอาศยั ร่มไมโ้ ดยเฉพาะรม่ ไผซ่ ึ่งเป็นแหล่ง อาหารของไกเ่ ป็นอยา่ งดแี ละมลู ไกก่ เ็ ปน็ ปุย๋ ให้กับไผไ่ ดอ้ กี ด้วย ท่ีมา : ศนู ย์เรียนรูช้ มุ ชนปลกั ไมล้ าย จงั หวดั นครปฐม 20

3. ผลิตภณั ฑเ์ พอื่ ใช้ในครวั เรอื น 3.1 น้�ำยาลา้ งจาน วตั ถุดิบ อตั รา คณุ สมบตั ิ 1. TEXANPON N70 T 1 กิโลกรมั ช�ำระลา้ ง,ท�ำความสะอาด 2. TEXAN LA 40 ½ กิโลกรัม ขจดั ความมัน 3. TEXAN K 12 R1-N 1 ขีด เพิ่มฟองช�ำระล้าง 4. Sodium Chloride (เกลือ) 3 ขีด ปรับความเขม้ ขน้ 5. Water (น้ำ� ) 8 ลติ ร 6. BRONIDOX LT 5 ซีซ ี กนั เสีย 7. Perfume 10 ซซี ี น้�ำหอม 8. สผี สมอาหาร ตามต้องการ เพมิ่ สี ขน้ั ตอนการทำ� 1. กวน N 70 และเกลอื ใหเ้ ข้ากนั (ใสเ่ กลอื ทลี ะนอ้ ย ค่อย ๆ ใส)่ 2. น�ำ TEXAN LA 40 ผสมลงไปกวนให้เข้ากัน 3. นำ� ผงฟองละลายน้ำ� โดยใสน่ ้ำ� ใหท้ ว่ มผงฟองและคนให้แตกตวั หากใสน่ ำ�้ มากจะทำ� ให้แตกตวั ยาก เมื่อละลายแล้วผสมลงไป กวนใหเ้ ข้ากัน 4. เตมิ สารกนั เสีย และสีผสมอาหารละลายดว้ ยน�้ำ ผสมลงไป 5. พักไว้เพื่อใหฟ้ องยุบตวั 6. เตมิ น�้ำหอม กวนให้เขา้ เบา ๆ เพ่อื มิใหเ้ กิดฟอง 7. บรรจุขวดน้ำ� ท่มี า : ศูนย์ไรน่ าสวนผสมมหาวิทยาลยั ชวี ติ แบบยง่ั ยนื และศูนย์เครือข่ายปราชญ์ชาวบ้านบ้านโคกเจริญ จังหวัดอ�ำนาจเจริญ 21

3.2 การทำ� แชมพสู มุนไพร บทน�ำ แนวทางหนงึ่ ในการชว่ ยใหเ้ กษตรกรสามารถลดรายจ่ายในครวั เรือนได้ คอื การท�ำเครอ่ื งอปุ โภคไว้ ใช้เองในครวั เรือน การทำ� แชมพูสมุนไพรสามารถช่วยใหเ้ กษตรกรลดรายจา่ ยทีไ่ ม่จ�ำเป็นได้ วสั ดอุ ุปกรณ ์ 1 กโิ ลกรัม 1. N.70 200 ซีซี 2. K.D.(หวั เชอื้ เขม้ ขน้ ) 200 ซซี ี 3. K.T.(ท�ำใหผ้ มนม่ิ และเงางาม) 4. ลาโนลนี (ใชน้ ้ำ� รอ้ นละลาย 1 แกว้ ) 1 ขีด 5. นำ�้ สมุนไพร 15 ลิตร 6. สารกนั เสยี 20 ซีซี 7. น้�ำหอม 20 ซีซ ี 8. เกลอื 1/2 กโิ ลกรมั ขัน้ ตอน/วิธีทำ� 1. น�ำ N.70 ใส่ภาชนะ ใส่เกลือประมาณคร่งึ สว่ น แลว้ กวนให้เป็นเนอ้ื ครีม 2. ใส่สว่ นผสมตามขอ้ 3 ลงไป แล้วกวนให้เข้ากัน 3. เติมนำ�้ สมุนไพรลงทลี ะลติ ร กวนให้เข้ากนั จนครบ 15 ลติ ร 4. ปรบั ความขน้ ด้วยเกลือส่วนทเี่ หลือ 5. แชมพูดอกอญั ชัน ใช้ดอกอญั ชันแห้ง 1 ขีด ต้มน�ำ้ 15 ลิตร 6. แชมพมู ะกรดู ใชผ้ วิ ป่ันมะกรูด 20-25 ลกู ต้มน้�ำ 15 ลติ ร 7. แชมพูหวา่ นหางจระเข้ ใช้วุน้ วา่ นหางระเขป้ ั่น ต้มนำ้� 15 ลิตร ขอ้ ควรระวงั อยา่ ใหแ้ ชมพเู ข้าตา ถา้ เขา้ ตาแล้วลา้ งด้วยน�้ำสะอาดทันที ควรเก็บรักษาไวท้ รี่ ม่ และหา่ งจากมือเด็ก การใชป้ ระโยชน์ ใชส้ ระผมในกรณที ่คี ัน หรอื มีแผลพพุ องบนศรี ษะ ต้นทุนการผลิตและผลตอบแทน ท่ีมา : ชมุ ชนบุญนิยมศรีโคตรบรู ณ์อโศก จังหวดั นครพนม สามารถน�ำไปสรา้ งรายไดไ้ ด้ 22

3.3 การทำ� สบจู่ ากสมนุ ไพร วสั ดอุ ุปกรณ์ 1 กิโลกรัม 1. เกล็ดสบู่ 1 ช้อนชา 2. กวาวเครอื ขาว 1 ขีด 3. ใบบัวบก 1 ขดี 4. ว่านนางคำ� 1 ขีด 5. ว่านหน้าขาว 1 ขีด 6. มะขามเปียก 1 ลิตร 7. นำ�้ 1 ช้อนชา 8. นำ้� ผ้ึง 1 ขวด 9. น�้ำหอม 2 ช้อนชา 10. ผงฟอง 11. กระทะ 12. กะละมัง 13. เตาไฟ 14. ทพั พีหรอื ตะหลิว 15. แม่พิมพ์ ขน้ั ตอน/วธิ ีท�ำ 1. ล้างทำ� ความสะอาดสมนุ ไพร แลว้ หั่นเป็นช้ินบางๆ 2. น�ำมาปัน่ ให้ละเอียด แลว้ กรองเอาแตน่ ้�ำ 3. ตีผงฟองให้แตก ผสมกบั น้ำ� สมุนไพร แล้วเตมิ น้ำ� หอมและน�ำ้ ผึ้งลงไป 4. ต้ังกระทะบนเตาไฟ ใส่น�้ำหอมพอประมาณ น�ำกะละมังมาวางบนน�้ำ เทเกล็ดสบู่ลงไปแล้ว คนให้เข้ากัน เทน�ำ้ สมุนไพรทเ่ี ตรียมไว้ลงในกะละมงั แล้วคนใหเ้ ข้ากันอกี ครั้ง 5. หลังจากคนให้เข้ากันแล้ว น�ำมาเทลงในแม่พิมพ์ จากน้ันให้น�ำไปเก็บไว้ในร่ม พอสบู่แข็งตัวให้ แกะออกจากแม่พมิ พ์ ข้อควรระวงั ไม่มี 23