๑๐๐ บาดแผลจากอบุ ัติเหตุกบั บาดแผลจากการฆาตวั ตายนัน้ เหมอื นกันอยูอยา ง คอื ปลิดชีวติ คนๆหนง่ึ ลงได แตเ บือ้ งหลงั ท่ไี มเหมือนกันระหวางบาดแผลท้ังสองชนดิ ก็คือเจตนาและความรูตวั ทกุ อุบัตเิ หตไุ ม มีเจตนาซกุ ซอนอยใู นน้ัน สว นการฆาตวั ตายตองอาศยั เจตนาอนั เหี้ยมเกรียมกับตนเองเปน อยางยิง่ และ หลายคร้ังความเห้ียมเกรียมกเ็ กดิ ขึน้ จากความทกุ ข ความเครยี ด ความบีบคน้ั เกนิ ขดี ท่ีจะทน ผูฆา ตวั ตายสว นใหญจ ะอมทุกขจนซมซานมานานระยะหนึง่ กอนถงึ วบู มรณะทเ่ี กดิ แรงบันดาลใหกระทาํ อตั วนิ บิ าตกรรมกะทันหนั นอยรายทต่ี ระเตรยี มแผนการไวอยา งดีท้ังเวลา สถานที่ และวธิ ตี าย ทงั้ อุบตั ิเหตุและการฆา ตวั ตายเกดิ ข้ึนไดก บั คนทุกเพศทกุ วยั ยิ่งไปกวา นั้นรปู แบบการตายยงั อาจ เปน ไดท ้ังเฉียบพลนั และสน้ิ ลมหายใจในเวลาตอ มา ข้ึนอยูกับความรนุ แรงของบาดแผลและความแขง็ แรง ของรางกาย บาดแผลท่ีทาํ ใหเสยี ชวี ิตโดยเฉียบพลันนั้นมักเกดิ ขน้ึ กับสมอง ไขสันหลงั หวั ใจ หรือหลอดเลือด สาํ คญั ๆ หากพ้นื ทีส่ มองถูกทําลายไปมาก หรือเกดิ การหลัง่ เลือดมากเกนิ ขดี ทเ่ี จา ของบาดแผลจะทน เมอ่ื นั้นกแ็ ปลวามฤตยูไดไลต ามเขาทนั แลว สวนบาดแผลทีไ่ มทาํ ใหเ สียชีวิตฉบั พลนั ทันทนี ้ัน แบงเปน การขาดใจในระยะสัน้ และระยะยาว สําหรับการขาดใจในระยะส้นั เพราะทนพิษบาดแผลไมไหวจะหมายถงึ การตายในชวงเวลาสองช่ัวโมงแรก จากการไดร ับบาดแผลและมเี ลือดค่ัง เชน ท่ศี ีรษะ ปอด หรืออวัยวะภายในชองทอง แตถา ยังไมถึงฆาต เปน ผูเคยทํากรรมในทางเก้อื กูลผอู ื่นไวกอ น กจ็ ะไดพ บกับบุคคลหรือทมี งานรกั ษาทีฝ่ ก ฝนมาอยางดี และ/หรอื ไดห องฉกุ เฉนิ ที่มีอปุ กรณเพียงพอกับกรณีกชู ีพหนึ่งๆ สว นการขาดใจในระยะยาวหมายถงึ ผูส ามารถทนการบาดเจบ็ ไดหลายวันหรือหลายสัปดาห ท่ีตาย ก็มกั จะเพราะเกิดผลแทรกซอนเชนการติดเช้อื และการลมเหลวของอวัยวะสําคญั ไดแก ปอด ไต และตบั เหตทุ ีอ่ วัยวะทาํ งานลมเหลวกเ็ น่ืองจากลาํ ไสทะลุ มา มแตก ตับแตก หรือปอดบอบชาํ้ จนทํางานไมไ ด ตามปกติ หากปราศจากการผา ตดั หา มเลอื ดหรือซอ มแซมอวัยวะที่เสยี หาย ทูตแหง ความตายก็จะ ปรากฏในรปู ของการเปน ไข ปรมิ าณเลือดในระบบไหลเวยี นลดลงเพราะไปกระจกุ รวมอยใู นทไ่ี มเหมาะ ตดิ เชือ้ ในวงกวา ง (เลือดเปน พษิ ) ซง่ึ ยง่ิ นานเทา ไหรก็จะยง่ิ ดื้อยามากขนึ้ เร่อื ยๆ หากผปู วยตองจบชีวติ ลงดว ยภาวะชอ็ กจากการตดิ เชอื้ ก็แปลวาวาระสดุ ทา ยของเขาคืออาจตอง ตายทรมาน แรกสดุ จะมีไข ชพี จรเตนเรว็ และหายใจลาํ บาก หากไมไ ดร ับยากลอมประสาท ระดบั ความ รสู ึกตวั จะเร่มิ แปรปรวน หากทีมแพทยไ มสามารถหาตน เหตขุ องการตดิ เชอื้ ไดท ัน หรือมเี คร่อื งไม เครอื่ งมอื กูชพี ไมด พี อ เมอื่ ยอื้ กันไมไหวก็เปน อันสรปุ วา ตอ งคนื รางใหก ับธรรมชาติไป (ขอ มูลการแพทยจากหนงั สือ How We Die ของนายแพทยเ ชอรว ิน บี นแู ลนด หนงั สือแปลเปน ไทยชอ่ื ‘เราตายอยางไร’ โดยวเนช สํานกั พิมพมลู นิธโิ กมลคีมทอง)
๑๐๑ ๔) การจากไปดว ยโรคชรา เราไดยนิ กนั เสมอวา คนน้นั คนน้เี สยี ชีวิตลงอยางสงบดว ยโรคชราที่ หอ งไอซียู ความจริงก็คือมเี พียงคนตายเทานน้ั ที่ทราบวา ขณะ ‘ตายอยางสงบดวยโรคชรา’ น้ันเปน อยา งไร การแกช รามกั มากับความเส่อื มสภาพท่ีเห็นไดช ดั ดว ยตาเปลา นอกจากนัน้ กลไกภายในอันไม ปรากฏตอสายตาใครนนั้ ก็คอยๆถึงซงึ่ ความเหือดแหงลงทีละนอ ย อยา งเชนปริมาณเลอื ดที่ลดลง ไมวา จะในเสนเลอื ดแดงบางเสนทเ่ี ขา ไปเล้ียงสมอง หรอื ท่เี ขาไปเล้ียงหวั ใจ เมอ่ื สมองและหัวใจตอ งการ ปริมาณเลือดระดับหนงึ่ แตไ มไ ดเ ลอื ดเพยี งพอตอความตองการ กเ็ กดิ ผลบางอยาง เชน โรคลมปจ จบุ ัน (stroke) และโรคหัวใจ คนชราทมี่ ีความดนั โลหติ สงู มานานๆน้นั จะมีผนังหลอดเลือดออนแอ กระทั่งแตกหกั และมี เลือดออกไปกดทบั เน้ือสมอง นก่ี เ็ ปนส่ิงที่เหน็ ไมไดด ว ยตาเปลาเชน กนั บางคนหลบั แลว ไมไ ดต น่ื อกี เลย หรือท่ีเรียกวา เปน การจากไปอยา งสงบก็ดว ยเหตุน้ี ผูทีร่ ูตวั วากําลังจะตองจากไปบางคนรสู ึกเหมือนถกู ความตายกดั กนิ ทีละนอ ย อาจเริม่ จากอาการ ทัว่ ไปเชนมนึ งง เปน ลม หรอื เกดิ ความสบั สนกระวนกระวาย นน่ั เปน เครอ่ื งหมายวาชีวิตถูกแทะไปอกี หนึง่ ช้ิน กระทงั่ สวนท่เี หลือของชีวิตคงอยูน อยลงเรอ่ื ยๆ รางกายก็จะออ นเปลี้ย เดินชา ลง หลงลมื มากขึ้น ควบคมุ อวัยวะตา งๆโดยเฉพาะมอื ไดยากขึน้ มัจจุราชดูดพลังชวี ติ และความกระตอื รือรน ของเรากอ นจะเอาเราไปจริงๆเสมอ โดยเฉพาะคนชรา ที่ยอมเชือ่ วาเขาจะไมเหลอื พลังกายพลังใจอีกเลยในเรว็ วนั กเ็ หมอื นจะหมดพลังท้งั ปวงไปจริงๆ แตอาจ ตอ งนอนรอความตายอยา งไรก าํ ลังวังชานานพอๆกับชวงเวลาทีเ่ ร่มิ ออกจากทอ งแมจนกระทั่งโตขึน้ เปน วัยรนุ หรือวยั ทาํ งานไดเลยทเี ดยี ว ซง่ึ น่ันกแ็ ปลวาการเสียชีวิตดว ยโรคชราของบางคนน้ัน ไมใ ชม ี แคภ าพตายอยางสงบในหอ งไอซยี ใู หด ู แตย ังมปี ระสบการณสว นตัวของผูตกเปนเหย่อื ของโรค ชราเองดวย คือตองทนถูกกัดกรอนวันละนอยดว ยอาการทางจิตทห่ี ดหูส้นิ หวัง เม่อื ยอมเปน คนชรา เราจะเรมิ่ คิดถงึ แตอดีตและเลิกมองไปในอนาคต อาจจะเลิกมองแมก ระท่ัง นาทนี อ้ี ันเปนปจ จุบนั แตถา ไมย อมเปนคนชรา เราจะยังคงเปนผรู ับขาวสารของโลกวนั นีไ้ ดต ลอดเวลา รวมทง้ั ทาํ กิจกรรมทน่ี า สนุกหลายๆอยางไดเสมอ การมงุ สหู ลกั ประหารบนเสน ทางแหงโรคชราจงึ มีความเปน ไปไดทางประสบการณหลากหลาย ข้นึ อยูก ับพ้นื หลังของแตล ะคน วนิ าทแี หง การจบชวี ติ อาจไมส าํ คัญเทากบั วันเดือนปแ หงการเดนิ ทางเขา ใกลห ลักกิโลสุดทา ย ถา ปลอยใหค ดิ ถงึ แตอ ดตี กจ็ ะพบกับการตายทห่ี ดหยู ืดเยื้อ แตถาอยูก ับปจ จบุ ัน ก็ จะเปนผูพบกับการตายที่ส้นั แสนสนั้ โดยไมจําเปนตอ งรูตัวดว ยซาํ้ วาวันน้ันมาถงึ แลว
๑๐๒ ๕) การดบั ขันธปรนิ พิ พาน ดงั ท่กี ลาวแตต น บทแลว วา นยิ ามของมรณะคอื ‘ความเคลือ่ นจากภาวะ สตั วอ ยา งหน่ึงไปสูภาวะสตั วอ ีกอยา งหน่ึง’ ที่ตรงน้จี ะแสดงใหเ ห็นวายงั มสี ภาพทดี่ เู ผนิ ๆเหมอื นความตายท่ัวไป แตท ่แี ทแลวเปน การ ‘ยุติ ความเคล่ือน’ ไมม กี ารสรางภพใหมสบื ตอจากภพเดิมอกี ภาวะดังกลา วเรยี กวา ‘การดบั ขันธ’ ของผู บริสุทธจิ์ ากกิเลสในพุทธศาสนา สาํ หรบั คําวา ‘ขนั ธ’ นั้นขอใหค ิดงา ยๆวา กายใจน่แี หละ แตพระพทุ ธเจา ทา นไมเรียกกายใจอยาง คนทั่วไป ทัง้ นก้ี เ็ พราะทา นเหน็ ความจรงิ ท่ีลกึ ซงึ้ ไปกวา นั้น ความจรงิ คือ ‘ตัวเรา’ ไมมี มแี ตการประชุม กนั ขององคป ระกอบฝา ยรูปและฝา ยนาม ท้ังรปู และนามเปน ตา งหากจากกัน คอื สรุปงา ยๆวา สมองไมใช แหลง กําเนดิ ความรสู ึกนกึ คดิ และจิตใจ ขณะเดยี วกนั จติ เราไมอาจขาดสมองเปน เครื่องมอื ในการนกึ คดิ และจดจาํ แทจรงิ กายใจเปน ธรรมชาตทิ ี่เกดิ ดับอยางมเี หตุมีผล เหตคุ อื ใชกายใจในปจจุบนั กอกรรมดีรา ย เอาไว ผลคอื จะมกี ายใจในอนาคตทห่ี ยาบหรอื ประณตี ปรากฏขนึ้ อยางเหมาะสมกบั กรรมเกา ฉะนั้นทุก อยา งจึงเปน ของชวั่ คราว กายไมเ ที่ยง เปลีย่ นจากเดก็ เปนแกใ นชว่ั เวลาไมก ่สี ิบป จติ กไ็ มเ ทยี่ ง ไมใชด วง อมตะทล่ี องลอยไปเรื่อย เปลยี่ นสภาพจากกศุ ลเปนอกศุ ลบาง เปล่ียนสภาพจากรูส งิ่ หน่ึงไปรอู ีกสงิ่ หนงึ่ บางตลอดวันตลอดคนื พูดอีกแบบหนึ่ง คอื ความจรงิ แลวมีการดบั ของขันธอยูตลอดเวลา ไมตองไปทาํ ใหม ันดับมนั กด็ บั ไปเร่อื ยๆโดยไมม ีวนั หยุดราชการ แตก าร ‘ดบั ขันธปรินิพพาน’ น้นั หมายความวาเมอ่ื ดบั ครง้ั สุดทา ยแลว ไมม ีการเคลื่อน ไมม กี ารสบื ตอ ภพ ไมมกี ารสืบตอ กรรมวิบากใดๆอกี พูดโดยยนยอคอื ไมตองเสวยทกุ ข ดว ยอาการใดๆอีกเลยช่วั นริ นั ดร เพราะดบั สนทิ แลว ปราศจากภยั แลว ถงึ นพิ พานอนั เปนฝง แหง การ หยุดสนิทถาวรแลว สรุปวาถา ‘ตายธรรมดา’ กค็ อื ตอ งไปเกดิ ใหมเ พื่ออยใู นวงั วนกเิ ลส เวยี นวายอยใู นมหาสมทุ ร กรรมวิบาก สมุ ดสี ุมรายไมแนไมนอนตอ ไปเร่อื ยๆไรท่ีสน้ิ สุด แตถ า ‘ดับขนั ธปรินพิ พาน’ ละ กไ็ มตอ งเกดิ ใหมอกี แลว ลมหายใจดบั ไออนุ ดับ จติ ดบั ไมเหลอื รองรอยเหมือนเปลวไฟทีด่ บั แลวไมเหลอื เช้ือใหต อ เปลวใหมในที่ไหนๆอกี ผทู ี่จะตายแบบดับขนั ธปรนิ พิ พานไดตอ งบริสทุ ธ์ิหมดจดจากกเิ ลสเสยี กอน เพราะเง่อื นของการ เกดิ ใหมก ค็ ือกิเลสนนั่ เอง รื้อถอนกิเลสเสียได ลอยบุญลอยบาปเสียได กบ็ ริสุทธป์ิ ราศจากการขอ งแวะกับ ภพชาติดีรายท้ังปวง
๑๐๓ เมอ่ื บุคคลสามารถบริสทุ ธ์จิ ากกิเลส แมล วงเขา วัยชราท่ีกายเร่ิมชา ลงเหมือนไมใกลฝ ง ก็ตาม เขา ยอ มมีความสุขทางใจอยางถาวร แมเกดิ ความทกุ ขเพราะสังขารเปล้ยี เพลียเพยี งใด ใจก็จะไมเ ปนทุกข เพราะการกําเริบของกิเลสใดๆเลย พุทธลลี าในการดบั ขนั ธปรนิ พิ พานนัน้ งดงามยิง่ ในสายตาชาวโลกคอื การเสด็จบรรทมหลับเปน ครั้งสุดทายของพระศาสดา แตใ นสายตาของผมู ีทิพยจักขุยอมทราบชดั วาไมใ ชเชน นั้นเลย ดงั ที่ภิกษุ นาม ‘อนุรทุ ธะ’ เปนผูเ หน็ และระบุขณะแหง จิตตา งๆของพระพุทธองคเ ม่ือเสดจ็ ดบั ขันธปรินิพพานได อยา งละเอียด ขอเลา วาระแหง การ ‘ตายคร้ังสุดทา ย’ ของสมเด็จพระผมู พี ระภาคโดยสังเขป พระพุทธองคทา น ดาํ รงสติมั่นอยูตลอดเวลา เห็นไดจากการท่ีทรงตรัสสัง่ เสียไวมากมาย เอาเพยี งพระวจนะสดุ ทายกท็ รง ความหมายท่ีสะทอนถึงสติสัมปชญั ญะอนั บริบรู ณแหงพระบรมครไู ดช ดั เจนยิ่งแลว ดูกรภกิ ษุท้ังหลาย บัดนเ้ี ราขอเตือนพวกเธอวาสังขารทงั้ หลายมีความเสื่อมไปเปน ธรรมดา พวกเธอจงยังความไมป ระมาทใหถ งึ พรอ มเถิด ในจงั หวะที่จะละโลกนไ้ี ป พระองคยังถอื เปน โอกาสประทานพระปจ ฉิมโอวาทเพือ่ สะกิดใจผูอ ยู ใกลช ิดเหตุการณส ําคัญไดบ ังเกิดความสลดสงั เวชในความมีความเปน และเรง เราใหพระผยู งั มกี จิ ที่ตอง ทาํ ใหร บี ทําจนกวากจิ จะจบ ถดั จากวจนะสุดทา ยแลว พระผมู ีพระภาคทรงเขาฌานชนดิ ตา งๆ ซึ่งมปี ต ิสขุ ชัน้ สงู บาง มีสติอยาง ใหญทรงความเปนอเุ บกขาบา ง มีความกําหนดหมายในอากาศวา งเปน อนันตเทา จกั รวาลบา ง ตลอดไป จนกระท่ังเขา ถงึ จติ อนั สงบระงบั จากการปรงุ แตงอยางราบคาบบา ง ในการเขา ฌานลึกๆนั้น ลมหายใจจะขาดหว งไปช่ัวคราว ถา คนท่ปี ราศจากความชาํ นาญในทิพย จักขเุ ห็นเขากต็ อ งนึกวา ทา นละขนั ธไ ปแลว ดังเชน ทพี่ ระภิกษุนาม ‘อานนท’ ถามพระอนรุ ทุ ธะใน ขณะหนึ่งวาพระผมู พี ระภาคเสด็จปรนิ พิ พานแลวหรอื ? ทา นพระอนุรุทธะไดต อบวา ยงั แตพระองคท รง เขาสัญญาเวทยติ นิโรธอยู เม่อื พระพทุ ธองคอ อกจากฌานข้นั สูงสุด กไ็ ดทรงถอยกลบั มาสฌู านขั้นต่าํ ลงเรือ่ ยๆตามลําดับ จากน้นั ไลล ําดบั ฌานขน้ึ ไปอกี ครง้ั แตไ มถึงขัน้ สงู สดุ พอถึงฌานขัน้ ที่ทรงสติอยางใหญเปนมหาอเุ บกขา แลวถอนออกจากฌานนน้ั ก็ไมเ ขา ฌานใดๆตอ แตไ ดเสด็จปรินพิ พานในบัดนน้ั เอง กลาวมาทง้ั หมดก็เพ่อื ใหเหน็ วายังมกี ารตายอกี แบบหน่ึงทีส่ งู สง ย่งิ และมีขอสังเกตบางประการให พจิ ารณาดงั น้ี
๑๐๔ ๑) ผูบริสทุ ธจิ์ ากกิเลสยอมมสี ติบริบูรณแมใ นขณะแหงความตาย ๒) ผูบ ริสุทธิ์จากกิเลสยอมสามารถรูเวลาตายของพวกทา น ๓) หากทานเปนผเู จรญิ สมาธไิ ดถ ึงฌานข้นั สงู สดุ ก็ยอมยงั ประโยชนกับโลกเปน ครั้งสุดทา ยดวย การดบั ขนั ธปรินพิ พานดวยลลี าอนั เปนมหามงคล เปนทีบ่ อกเลากันในภายหลังไดว า พระผบู รสิ ทุ ธจ์ิ าก กิเลสยอมตายในอาการเสวยวมิ ตุ ตสิ ุข ไมม ีความทุกขใดๆปรากฏใหเห็นเลย ความจริงการเขา ฌานแลวถอนออกมาดบั ขนั ธปรนิ ิพพานน้ัน จะมีการคายพลงั อันเปน อัครมหา กศุ ลออกมาทวมโลก ตามกฎการแปรรูปจากสิง่ หนึง่ ไปเปน อกี ส่ิงหนึง่ เสมอ ไมมสี ่ิงใดดบั สญู โดย ปราศจากผลลพั ธต กคา ง และผลลพั ธใ นกรณนี ี้กจ็ ะปรากฏแกใจผเู ล่ือมใสศรัทธาในพระผมู พี ระภาคอยาง ลน พน กลา วคอื ถาผูใดหมน่ั ระลึกถึงบุญคณุ ของพระพุทธองคเ สมอๆ แมเ พยี งดว ยการสวดมนตก ราบ ไหวพ ระปฏมิ าอนั เปน รูปแทนพระองค ชวี ิตของผนู นั้ จะสวางไสว อยเู ปนสุขกับสัมผัสใน ‘พลงั พุทธคุณ’ อนั บรสิ ทุ ธิ์ยิง่ ใหญเ กินเปรยี บประมาณ วา กันวาหลงั จากมกี ารประกาศการดับขนั ธปรินพิ พานของพระพุทธองค ไดเกดิ แผน ดินไหวใหญ ยังความขนพองสยองเกลาใหเ กดิ ขนึ้ และแมก าลเวลาผา นลวงไปแลว เกอื บสามพนั ป ผูสดบั ตรบั ฟงถึง เหตุการณในครัง้ น้นั กย็ ังขนลุกกันอยมู ิรูหาย แตก ารเสดจ็ จากไปของพระผมู พี ระภาคก็เปนตวั อยางหนึ่ง ทช่ี ี้ใหพวกเราเหน็ วาผลงานอาจยืดอายมุ นุษยสกั คนใหยนื ยาวเปน ทร่ี ูจักไดหลายพนั ป ดังเชน ชาวพทุ ธ เรายังระลึกกันเสมอ ท่พี ระพุทธองคตรัสวา ธรรมทีเ่ ราแสดงและวินัยทีเ่ ราบัญญตั ิไวแ ลว จกั เปน ศาสดาของพวกเธอตอไป ตราบใดท่ยี ังมกี ารเรยี นรู จดจํา และเผยแผพระสัทธรรม กับทง้ั มภี ิกษุ ชว ยกนั รกั ษาวนิ ัยของพระพทุ ธองค ตราบน้นั ก็เสมอื นหนง่ึ วา พระศาสดายังไมลวงลับดบั ขันธไ ปแตอ ยาง ใด เพยี งพระองคอยูไ กลเกินกวา ทเ่ี ราจะเขาเฝา ดว ยกายเนือ้ นี้เทา นนั้ ประสบการณเ ฉยี ดตาย ในหัวขอ กอนเปนการกลา วถึงความตายจากมมุ มองภายนอก เราเห็นคนตายดวยวิธตี า งๆ รับรูว า มกี ารตายดี มกี ารตายรา ย มกี ารตายอยางสงบ มกี ารตายอยางทรมาน รวมท้งั อาจทราบแนน อนดว ยวธิ ี ทางการแพทยวาเขาตายอยา งไร สาเหตุจากอวัยวะสวนใดหยุดทาํ งาน ซึ่งกค็ งเปนทาํ นองเดียวกับการ เหน็ คนอน่ื น่ังรับประทานอาหารสตู รใหมทีไ่ มเคยมใี ครลิ้มลองมากอ น หากเราเหน็ เขาเคย้ี วอยาง เอร็ดอรอ ย สายตาจับจองอาหารในจานอยา งพงึ ใจ ไมเ ลง็ แลไปทางอ่ืน ก็คงพอประมาณไดวารสชาติ นา จะเปร้ียวหวานมนั เค็มดเุ ดด็ เผด็ มันสกั ปานใด
๑๐๕ แตหัวขอน้จี ะพูดถงึ ประสบการณอันเปนภายใน เปนมมุ มองของบุรุษทีห่ นง่ึ เปนการสัมผสั ความ ตายดวยตนเองโดยไมตอ งฟง คนอ่ืนพูดวา ดีหรือไมด ีแคไหน อึดอัดหรือปลอดโปรง ปานใด เปรยี บกับการ ไดล งนงั่ รับประทานอาหารสูตรใหม สมั ผสั อาหารดว ยล้ินของตนเอง เพ่อื รบั ทราบวารสอรอยหรอื ไม อรอยนน้ั เปน อยา งไร เปรย้ี วหวานมันเคม็ เยน็ รอนออนแขง็ แบบไหน กอนอน่ื ตองเขา ใจวา การ ‘ตายจริง’ กบั ‘ตายตามการวนิ ิจฉัยของแพทย’ (Clinical Death) นัน้ อาจ แตกตา งกนั ได กลาวคือตายตามการวนิ ิจฉยั ของแพทยหมายถงึ ภาวะท่ีบคุ คลไมอาจฟนคนื กลับมามีชีวติ อีกดว ยวิธที างการแพทยใ ดๆ หรอื อีกนัยหนงึ่ คอื การยุตกิ ารทาํ งานอยา งถาวรโดยไมอ าจหวนกลบั มา ทํางานใหมไดอ กี เลย การแพทยไมพดู เร่ืองปาฏหิ ารยิ เพราะฉะนนั้ ถาแคคลนื่ สมองเรยี บสนิทก็ถือวา เปนการตายตาม การวนิ ิจฉยั ของแพทยไ ดแ ลว แพทยจะไมมีความผดิ ใดๆหากลงความเหน็ วา ตาย แตศพกลับฟน คนื ชีพ ขนึ้ มาใหม ความจริงกค็ อื มผี กู ลบั มาจากความตายตามการวินิจฉัยของแพทยมากราย และนัน่ เองเปนท่มี า ของเร่อื งราวประสบการณหลงั ความตาย แทจรงิ แลวถาดตู ามนยิ ามที่พระพทุ ธเจาตรสั ไวเกี่ยวกับ มรณะ คนเหลา น้ันก็ยงั มิไดตายจรงิ เพราะยงั ไมข าดสมาชิกภาพในหมูสัตวเ ดิมไปเปนสมาชิก ใหมในหมสู ตั วอ ่นื อยา งถาวร อยางไรกต็ าม ผูท่เี ฉยี ดตายน้นั อาจไดร ับประสบการณขณะใกลต ายจรงิ ๆ ขาดไปเพยี งการ เคลือ่ นเขาสคู วามเปน สตั วอืน่ อยางถาวรเทา นั้น ประสบการณใ กลตายไมถ ึงขนาดเปนเรือ่ งลี้ลับ และคนมปี ระสบการณ ‘ผานความตายวบู เดียว’ ใน โลกน้ีกไ็ มไ ดหายากอยา งทีค่ ิด โดยเฉพาะในหองผาตดั ฉกุ เฉนิ เหลา มนุษยจาํ นวนหนึ่งพบกบั สง่ิ ท่ีไมเ คย พบมากอนตลอดท้งั ชวี ิต และมผี ลสะเทอื นใหเกดิ มมุ มองและพฤตกิ รรมทแ่ี ตกตา งอยางใหญหลวง คอื โดยมากจะหันมาศรทั ธาคําสอนเกี่ยวกับเรือ่ งชาติหนา ในศาสนาของตน และยดึ หลักปฏิบัติตนเพ่ือสรา ง ทางสสู รวงสวรรคตามอดุ มคตทิ ีต่ นเลื่อมใส ผูที่ไดร ับการวนิ ิจฉัยวา ‘ตายจริง’ ทางการแพทยและกลบั ฟน คืนชีวิตอกี คร้ังหนง่ึ มักกลับมาเลา วา เกิดประสบการณคลายคลงึ กัน พอสรปุ ไดเปน ขอๆคอื ๑) ความทกุ ขและความอดึ อัดกระสับกระสายแปรเปนความรสู กึ สงบและด่มื ด่าํ เปนลน พน ๒) เมื่อขาดจากความรูส กึ หยาบๆ เหมือนมีอกี รางท่โี ปรงบางหลดุ ลอยออกจากกายเน้อื โดยมี สายใยสีเงนิ โยงเชื่อมอยรู ะหวา งน้นั ๓) เขา ไปสอู ุโมงคม ดื แหงหนงึ่ ซง่ึ มแี สงสวางอยทู ่ปี ลายทาง
๑๐๖ ๔) แลนเขาหาแสงสวาง โดยมคี วามรูสกึ ประดุจแสงสวา งเปน แมเหล็กดึงดดู ตนเขา ไป ๕) พบผูท่ีอยูในแสงสวาง โดยมากจะเปนญาติมิตรท่ีตายไปแลว หรอื บคุ คลที่ตนเคารพเปน พเิ ศษ เมื่อครงั้ มีชีวติ ปกติ ๖) พบสถานท่ีที่แตกตา งจากโลกใบเดิม อาจจะสวยงามขึน้ หรอื นาเกลียดนา กลัวกวาทุกแหง ที่เคย เหน็ มากอน ๗) พบกับสิ่งกีดขวาง บางทเี ปน การหามเขา บางทีเปนการบอกวา ยังไมถงึ เวลา บางทีบอกวาให เลอื กระหวางเขา สูโลกใหมก ับกลับไปสโู ลกเกา ๘) การกลับสูรา งเดมิ โดยมากเหมอื นถกู อโุ มงคท ่ีมพี ลังดึงดดู ดว ยความเรว็ สูงกลบั มาเขา กายเนือ้ ๙) ปาฏิหาริยห ลังกลับเขาราง ไมว า จะเคยเชอ่ื แนวศาสนาไหนมากอน ประสบการณทดลองตาย จะกอใหเกิดศรัทธาอยา งใหญหลวง หลายคนกลายเปนผูมคี วามสามารถทางจติ หรอื กระทัง่ อางวา ตดิ ตอ กับเทพได อยา งไรกต็ าม กลมุ ผเู ฉยี ดปากประตมู รณาไมไ ดม ีประสบการณต รงกนั แมแ ตผ ปู วยในหอ งผาตดั ใหญซ ่ึงดมยาสลบเหมอื นๆกนั กไ็ มไ ดรสู กึ วาจิตลอยจากรางดวยกนั ทุกคน ซง่ึ ตรงนเี้ ปนจุดทย่ี ากจะ ตัดสินวาใครประสาทหลอน หรอื วาใครไปรูเห็นส่ิงที่มีอยจู ริงๆในมิตอิ ่ืนมา และความแตกตา งนีเ่ องท่ีทํา ใหผ ูม ีแนวโนม ไมเ ชอ่ื เรือ่ งโลกหนา ไดก ลายืนยันหนักแนนขึน้ วา ทงั้ หลายท้งั ปวงท่ีประสบพบเห็นกันลว น เปนเรื่องเหลวไหล เปนเรอ่ื งอาการทางจติ ของคนไมอ ยูใ นภาวะปกติ อยา งเชน ท่ีมีนักวทิ ยาศาสตรหลาย รายเสนอวา ประสบการณพ สิ ดารพันลกึ ขณะเฉียดตายเปน เพยี งการทาํ งานของสมองสวนหนงึ่ ที่ เก่ยี วของกับการรบั รูเทาน้นั เคยมีผหู ญิงคนหน่งึ ไดรับเสียงเตอื นจากประสบการณเฉยี ดตายวา โลกใหมท เ่ี ธอกาํ ลังรบั รูเ ปน เพยี งนมิ ติ ลวงใจ นัน่ ยิ่งเปน ขอ สนบั สนนุ แกนกั วิทยาศาสตรท ่มี ีแนวโนม จะเชอ่ื เชน นนั้ อยูกอนหนา ย่ิงไปกวานนั้ การพบกับแสงสวา งทส่ี ดใสและนมุ นวลแปลกประหลาดไปกวาแสงท้งั หมดท่ีเคยเห็น มา สําหรับนกั วิทยาศาสตรบ างคนท่มี ีความรูเกี่ยวกับสมองมากๆก็ไมใ ชเ รื่องนา แปลกใจนกั เพราะเปน ที่ ทราบกันวาหากกระตนุ บรเิ วณ Hippocampus, Amygdala และ Inferior Temporal Lobe กส็ ามารถทาํ ใหเ กดิ การเหน็ แสงสวางเชน นี้เชน กัน สรปุ คอื ไมใ ชตายแลว กลับมาเลาอะไรเลิศลอยจะกลายเปนเรอ่ื งนา ต่ืนเตน สําหรับนักวิทยาศาสตร เสมอไป เกอื บทุกขอถูกปดตกดวยคําอธิบายเก่ียวกับความรทู างสมองไดอ ยา งมหี ลักเกณฑไปเสยี ท้ังนนั้ แตเ หตผุ ลทีผ่ ูผานประสบการณเ ฉียดตายสวนใหญจ ะไมเชอ่ื วา เปนเพียงความฝน ก็เพราะโลกใน อกี มติ หิ น่ึงท่ปี ราศจากรา งกายหอหุมนั้น ชัดยงิ่ กวา ชดั จรงิ ยงิ่ กวา จริงยามรสู ึกลมื ตาต่ืนอยูในโลกมนุษย
๑๐๗ มากนัก ความทรงจาํ ทงั้ หมดเหมือนปรากฏใหเลอื กระลึกอยางปราศจากขีดจาํ กัด อยากนึกถึงเรื่องไหนก็ นกึ ออกตลอดสาย อีกประการหน่งึ ทีเ่ ปน เสมือนหลกั ฐานอนั แนน หนา คอื ถาสมองเปนทง้ั หมดของประสบการณ เหตุ ใดผปู ว ยหนักในหอ งไอซยี ูท่ดี มยาสลบเพื่อผาตดั บางรายจงึ เกดิ อาการประสาทหลอนไดแจมชัดนกั แถม ยังจดจาํ เร่ืองราวในนิมติ ตางๆไดอยางแมนยําตลอดสายอกี ตา งหาก สําหรบั นกั วิทยาศาสตรทตี่ อ งการขอ มูลสรุปเกยี่ วกับภาวะเฉียดตาย มกั อาศยั ประสบการณของ ผูปว ยท่ถี กู วางยาสลบนเ่ี อง แผนการทดลองโดยมากจะเปนการสืบหารายที่อางวาวิญญาณลอยจากรา ง ขึ้นสูงและเห็นความเปน ไปในหอ งผา ตดั ไดย นิ เสียงคนคยุ เร่ืองใดกนั บาง หากกลุมตัวอยางสามารถบอก รายละเอียดภายในหอ งผาตัดไดถ ูก กจ็ าํ เปน ตอ งยอมรับวามีอะไรอยางหนึ่ง ‘ลอยออกไปจากราง’ จรงิ ๆ ความตางระหวา งบงั เอญิ กบั จงใจเฉยี ดตาย คนสว นใหญม มี มุ มองวา ภาวะเฉยี ดตายหมายถึงการท่ีจิตวิญญาณเปน อิสระจากกายเนื้อ เพราะถา วิญญาณออกจากรางไดก็จะเกิดประสบการณ เกิดมุมมองทแ่ี ตกตา งไปจากเคยแทบส้ินเชงิ เชนบางราย มคี วามสามารถรูเหน็ รอบดานในคราวเดียวซึง่ เปน ไปไมไ ดด วยประสาทตาของมนุษย บางรายไดย นิ เสยี งในอีกแบบหนึ่งทไ่ี มเ คยไดย ินมากอ นดวยประสาทหูของมนษุ ย พูดงายๆคือเรามองวา การแยก จิตไปรับรอู กี ภาวะมติ หิ นงึ่ เปนการอยูในโลกหนา ถงึ ปจจุบนั การ ‘บงั เอญิ เฉียดตาย’ ยังมิใชขอ มูลทางวทิ ยาศาสตรทแี่ จม ชดั พอ แมจะมีสถาบันซ่ึง กอ ต้ังขึ้นเพอ่ื คน ควา และวจิ ยั ประสบการณเ ฉยี ดตายระดับนานาชาตจิ าํ นวนมาก รูปแบบการพิสจู นก ย็ ัง ไมช ัดเจนนกั ราวกับวาถาอยากเปดเผยเร่ืองโลกหลังความตายกันจรงิ ๆ กต็ อ งเหนื่อยยากงัดขอกบั ธรรมชาติมากหนอ ย เพราะด้ังเดิมเหมือนธรรมชาติไมเ ต็มใจใหเ รารบั รูเรื่องนอกเหนอื จากชาติ ปจจุบนั เทา ใดนัก หากรแู ละตระหนักกนั มากๆกอ็ าจจะตระหนก แลว หนั มาทําแตความดีกนั ดนิ แดนสวรรคก็จะผดุ ข้ึนเกนิ พ้นื ทีใ่ นนรก ผิดหลกั ‘ของดีมนี อ ย’ ไป นกั วิทยาศาสตรท่ีมคี วามโนมเอียงจะเชอื่ เรือ่ งโลกหนา จะเนน การนาํ เสนอขอ มูลวิจยั ที่ชใ้ี หเหน็ วา จิตกับกายแยกกนั ไดจริง สมองไมใชแ หลงผลิตความรูส กึ นึกคิดทงั้ หมด นักวทิ ยาศาสตรกลมุ นีเ้ ชอ่ื วา มี หลกั ฐานช้ขี าดเพียงเทา นี้ก็พอแลว สาํ หรับการยนื ยันความเชือ่ ของตน แตนกั วิทยาศาสตรอ กี กลุมหนึง่ ทม่ี คี วามโนมเอียงจะปฏเิ สธเร่อื งโลกหนา จะเนน การนําเสนอแบบ หักลา งทกุ ประเดน็ ท่ีชวี้ าจิตกบั กายสามารถแยกจากกัน มรี ายละเอียดเชงิ เทคนิคที่เหมือนอธบิ ายไดหมด กลา วโดยสรปุ คือนักวทิ ยาศาสตรกลมุ นเ้ี ชือ่ วาการรเู ห็นอีกมติ หิ นึ่งเปนการทํางานอันผิดปกติ ของสมองลว นๆ
๑๐๘ ดังนัน้ แทนท่จี ะไปรอผลวจิ ัยจากการบงั เอิญเฉียดตาย จงึ มกี ารระดมความคิดจากนกั วจิ ยั อกี กลุม หน่งึ วา ทําอยางไรจะ ‘จงใจเฉยี ดตาย’ ไดอ ยา งเปน วิทยาศาสตร เคยมที ฤษฎแี ปลกๆท่ยี ังเปนไปไมไ ดในความจรงิ แตนําเสนอในรปู ของภาพยนตรฮอลลวี ดู คอื สรา งปจ จยั ของความตายขึ้น โดยใชทั้งยา ทัง้ การลดอุณหภูมิในรา ง และทั้งการช็อกดวยไฟฟา เพ่อื ทาํ ใหหัวใจหยุดเตน และคลนื่ สมองเรยี บลง ซงึ่ ทางแพทยถือวาตายสนทิ ประสบการณท่ีเกิดข้นึ หลังจากน้ัน ถือวา เปน การสัมผสั โลกหลังความตายอนั เช่อื ถอื ได จากนั้นจงึ ใชเ ทคนิคกชู ีพตามปกติหลงั จากเวลาผาน ไปสกั สองสามนาที ซึง่ เปนระยะทส่ี มองยังไมข าดออกซเิ ยน จนเกิดความเสยี หาย แตสิ่งทนี่ ักวทิ ยาศาสตรในปจ จบุ ันทําไดจ รงิ คือกระตนุ อยางแรงท่ีบรเิ วณ Temporal Lobe ของ สมองดวยไฟฟา จะทําใหเ กิดความรสู ึกวา มีรางอกี สว นหนึง่ แยกออกไปจากรา งเดมิ ลองลอยอยูขางบน ระดับเพดาน และมองจองดเู หตกุ ารณข า งลางอยู แตป ระสบการณช นดิ นี้กไ็ มท ําใหไ ดข อสรปุ วา เกิดอะไร ข้ึนกนั แน เน่อื งจากการท่ีจิตลอยขน้ึ ไปดูเหตุการณช วั่ คราวกย็ งั รูเห็นแคบจาํ กัดอยใู นมิตเิ ดมิ ๆ และอีก อยา งหนง่ึ Temporal Lobe ก็เปน สว นของสมองท่ีมีกิจกรรมเก่ยี วกบั การสรา งภาพในฝนเสยี ดว ย การเอาสมองมาเปนตัวตง้ั หรอื เปน ตัวตดั สินเรอื่ งประสบการณข า มมิติจงึ ไมทําใหเกิดขอ สรปุ แต จะกอ ใหเ กิดขอกังขาวนเวยี นอยูในขอบเขตของสมอง เปนประเด็นถกเถียงทไ่ี มรจู บสําหรบั มุมมองของ นักวทิ ยาศาสตรท ่เี ช่อื และไมเช่อื แตห ากเปน พุทธศาสนิกชนทโ่ี นมเอียงไปทางจิตนยิ ม มคี วามรู มีความสามารถปฏิบัตธิ รรมจนเกิด สมาธถิ ึงระดบั ฌาน ก็จะยืนยนั ตามท่ีพระพทุ ธเจา ตรสั เก่ยี วกบั เรอ่ื งของการถอดจิตไวแลวคอื เปรยี บเสมือนบรุ ษุ จะพงึ ชักดาบออกจากฝก เขาเพยี งคิดวา ดาบกส็ ว นหนึ่ง ฝก ก็อีกสว น หนึง่ จึงสามารถชกั ดาบออกจากฝกได ฉนั ใดกฉ็ นั นนั้ เมือ่ จิตเปนสมาธิบรสิ ทุ ธ์ิผองแผว ไมม ี กิเลส ปราศจากกเิ ลสจร ออนควรแกการงาน ต้ังม่ันไมหว่ันไหวแลว เธอยอ มสามารถโนม นอ ม จิตไปเพื่อนริ มิตรปู อนั เกิดแตใ จ คือนิรมิตกายอ่ืนจากกายนี้ มีอวยั วะนอ ยใหญครบถวน มี อนิ ทรียไมบกพรอ ง หากเปน ผูส ามารถถอดจิตไดจ ริง ถอดไดห ลายๆคร้งั ความสงสยั เก่ยี วกับเร่ืองแยกกายแยกจิตจะ หายไปอยา งเดด็ ขาด และประสบการณขณะถอดจิตไดย อมบอกเราเองวา ‘มติ อิ ืน่ ’ มหี รอื ไม ถามมี ี อยางไร เหมอื นหรือตางจากโลกเดิมแคไหน ความตางระหวางผสู ามารถถอดจิตไดมอี ยูมาก สวนใหญเมือ่ ถอดออกสําเรจ็ เปนครั้งแรกๆจะ วนเวยี นรูเห็นอยใู นโลกวัตถเุ ดมิ ๆนีเ่ อง พสิ จู นไ ดช ดั จากการเขา ไปรเู ห็นสง่ิ ทพ่ี วกเขารบั รวู า มีอยูจรงิ อยู
๑๐๙ แลว รวมทั้งรเู ห็นสิง่ ท่ีเขายังไมเ คยเหน็ มากอ น แตต ื่นขึน้ ไปดสู ถานท่ีจริงก็พบวามใิ ชข องหลอก สาํ คญั กวานน้ั คือความรับรขู ณะถอดจติ จะชัดกวา เมื่อครง้ั ลมื ตาตืน่ ดว ยกายเน้อื กบั ทัง้ สามารถเห็นสิ่ง ตางๆท่ีตาเนอื้ ไมส ามารถเหน็ อกี ดว ย ไมว า จะเปนรัศมจี ากจิตวิญญาณของผูคน ตลอดไป จนกระทั่งจติ วญิ ญาณในภพภมู อิ ่นื ทีไ่ มอาจเหน็ ไดดว ยตาเปลา ผูถ อดจิตไดเปนปกติยอ มมีความรเู หนอื มนุษย เชนทราบชัดวาการถอดจติ มิใชป ระสบการณเฉียด ตาย แตเ หน็ เปน คนละเรอ่ื งกันอยา งสิ้นเชิง เน่อื งจากประสบการณท ี่เกดิ ขึ้นขณะถอดจิตคอื การมีสติ รวู า ‘รูปอันเกิดแตใ จ’ นน้ั ถูกนริ มิตขน้ึ และยางกา วเขา ไปสูมติ ทิ ่ลี ะเอียดกวา โลกหยาบ โดย ขณะนนั้ หัวใจมิไดหยดุ เตน และคลน่ื สมองกม็ ิไดเ ปนเสนเรียบแตอยางใด สง่ิ ทีอ่ าจแตกตา งไป บางกเ็ ชน ลมหายใจสงบลงช่ัวคราว โดยรางกายทาํ ตวั เปนแทงดดู พลงั ปราณจากรอบดานเขา มา หลอ เลยี้ งชวี ติ ไว เมื่อมมี มุ มองทชี่ ดั เจนวาประสบการณว ญิ ญาณหลุดจากรา งไมจ ําเปนตองหมายถึงประสบการณ เฉียดตาย ขน้ั ตอไปคงหายสบั สนเม่อื กลาวถงึ ประสบการณเ มื่อจะตองตายจริงๆ ประสบการณตายจรงิ ในเม่ือคนเราตายจรงิ ไดคร้งั เดยี ว นอกนั้นเปนขอ กงั ขาเกย่ี วกบั สมอง หรอื ไมก เ็ ปนเพยี งการถอด จติ ดว ยพลงั ฌาน อยางนมี้ แิ ปลวา คนเราไมม สี ทิ ธิล์ ว งรูความจริงเกีย่ วกับประสบการณขณะตายจริงบา ง เลยหรือ? คําตอบคอื มี! คอื ตองเปน ผูท่ฝี กวิชา ‘รตู ามจริง’ แบบพุทธศาสนามาอยางโชกโชน คือเหน็ กาย เหน็ จติ ท่แี สดงการเกิดดบั อยตู ลอดเวลานใี้ หช ดั กระทงั่ มีความเปนกลาง มสี มาธิตง้ั มั่นผองแผวปราศจาก อคติ และเปนอิสระจากการปรงุ แตงทางสมองใดๆ จากนัน้ ยอ มสามารถโนม นอ มไปกาํ หนดรภู าวะทางจติ ของผอู ่นื เปรยี บเทียบเห็นไดช ดั วาแทจริงก็ เหมือนของตน คือมสี ภาวจติ ใดๆเกดิ ขนึ้ ดวยเหตุ สภาวจิตน้นั ๆยอมตองดบั ลงเปน ธรรมดาเม่อื กาํ ลงั สง ของเหตุสิ้นสดุ ผฝู ก วชิ า ‘รตู ามจรงิ ’ ในพุทธศาสนายอ มเห็นวาท้งั ตนเองและใครๆวนเวียนอยใู นการเกิดสภาพจติ เพยี งไมก ่ชี นิด เชนจิตมีราคะแลวแปรเปน จิตไมม ีราคะ จิตมีโทสะแลวแปรเปนจติ ไมมโี ทสะ จิตมีความ หลงแลว แปรเปน จติ ไมม คี วามหลง จิตหดหูแลว แปรเปน จติ ตน่ื เตม็ สดใส จติ ฟงุ ซา นแลว แปรเปน จติ สงบ ท่ีเกดิ สภาพจิตหนง่ึ ๆก็เพราะมีเหตุ เชน จิตมีราคะก็เพราะโดนรูปหรอื เสยี งกระทบกอ น มีความ ตรึกนกึ ถงึ รูปหรือเสยี งในทางท่นี า ยนิ ดี แตพ อรปู หรือเสยี งหายไป หมดอาการตรกึ นึกถงึ รปู หรอื เสยี ง ในทางนา ยินดี เชน เพียงมีสตริ วู า ราคะเกดิ ข้นึ ในจติ และไมย ินดีตรึกนกึ ในทางกามตอ ราคะก็จะ หายไปเองเพราะหมดแรงสง จากเหตุเกา
๑๑๐ นอกจากนนั้ แลว ผฝู กวิชา ‘รูต ามจรงิ ’ ในพทุ ธศาสนายงั สามารถเห็นแจง วา ทัง้ ตนและทงั้ ใครตอ ใคร ตางกม็ สี ภาพของจติ อยหู ลกั ๆคอื ‘รูอ ะไรอยา งหน่ึง’ กบั พกั อยูใ นอาการ ‘ไมรอู ะไรเลย’ และในอาการ ไมรูอะไรเลยนัน้ ก็ใชวาจติ จะดับไปแตอ ยา งใด ทวา อยใู นสภาพเตรยี มพรอ มจะยกขน้ึ สูการรบั รูใหมเ มอื่ มี อะไรมากระตนุ ขอจําแนกความรปู ระการหลงั นใี้ หช ดั เจน คือ ๑) ภาวะรบั รผู สั สะกระทบได คอื สภาพท่ีปรากฏเมื่อตาประจวบรปู หปู ระจวบเสียง จมกู ประจวบ กลนิ่ ล้นิ ประจวบรส กายประจวบสมั ผัส และใจประจวบความนกึ คดิ แลวเกิดสภาพรูชัดเขาไปในสงิ่ กระทบนน้ั ๆ เชน อยูๆเรานึกไดข ึ้นมาวาวนั นี้ตอ งไปหาหมอตามนัด ตรงนั้นคือมีความจําเขามากระทบ จติ เราแลว เปน ผัสสะภายในชนดิ หน่งึ เกดิ ขน้ึ แลว ๒) ภาวะท่ีจิตไมรบั รผู ัสสะใดๆ คอื สภาพทปี่ รากฏหมดการรับรูจากรูป เสียง กล่นิ รส สมั ผัส และ ความนกึ คดิ ใดๆ เรียกเปนศัพทเ ฉพาะวา ‘ภวังคจติ ’ ยกตัวอยา งงายที่สุดคือคนสลบเหมือดจากการโดน ของแขง็ กระทบศีรษะ หรือขณะทเี่ รากําลังอยูใ นภาวะหดหมู ึนซมึ จนไมรูส กึ ตัวแมอ ยูทไี่ หนและกําลังทํา อะไร แตแมจ ะไมรบั รูผ สั สะกระทบใดๆ ภวังคจติ ก็ยังทํางานตามธรรมชาตขิ องมนั อยูตลอดเวลา ภาวะในแบบขอ ๒ นีแ่ หละท่ีนาสนใจ เพราะเก่ียวของกับความเปน ความตายโดยตรง เม่อื ผฝู กวิชา ‘รตู ามจริง’ ในพุทธศาสนานอมระลึกชาติอันเปน อดตี ของตน ซึง่ มกี ารเกดิ ตายมานับ ครั้งไมถว น ประกอบกบั การอาศัยทพิ ยจักขสุ อ งดูสัตวโลกทก่ี ําลังเกิดตายกันอยางครกึ โครมอยูทุกวนิ าที (ปจ จบุ นั คือเกิดวินาทีละ ๔ และตายวนิ าทลี ะ ๒) กย็ อมทราบขอ เท็จจรงิ เก่ียวกับประสบการณใกลต ายได อยา งกวา งขวางพิสดาร คือเหน็ วาจะกค่ี นๆ กต็ ายและเกิดดวยสภาพของภวังคจิตดวยกันทัง้ สิ้น พระพุทธเจา บญั ญตั ิเรียกจิตขณะแรกสุดของการเกดิ วา ‘ปฐมวิญญาณ’ แตสาวกในชัน้ หลังเรียกวา ‘ปฏสิ นธิจติ ’ สว นจติ ขณะทา ยทส่ี ดุ ของชวี ิตเรียกวา ‘จตุ ิจิต’ ดังท่กี ลา วแลววาภวงั คจิตนั้น แมไ มรบั รู กย็ ังมีการทํางาน ฉะนั้นถงึ เราจะไมค ดิ อา นกระทําการ ใดๆ ไมป รารถนาจะใหสงิ่ ใดเกดิ ขนึ้ ในขณะแหงปฏิสนธิจติ และจตุ จิ ติ กจ็ ะตองมบี างส่งิ ดาํ เนินไปอยู ตลอดเวลาตามกลไกธรรมชาตวิ ันยังคาํ่ จะมาบอกวา ฉันไมเชอ่ื เร่ืองการเกิดใหม จึงไมต องไปเกดิ ใหม อยางน้ีจุตจิ ติ เขาไมร บั รู ไมยกประโยชนใหตามความเชอื่ นน้ั ๆเลย
๑๑๑ ถามวาจุติจิตทาํ งานตามการกระตุนของอะไร? ตอ งตอบวากอนหนาน้นั จะเกดิ นมิ ติ หมายอยา งใด อยา งหน่งึ ข้ึน ไดแก ๑) การทบทวนกรรม คอื การท่ีจิตหวนระลกึ ไดว า เคยทําอะไรไวบ าง โดยเฉพาะทีห่ มน่ั ทาํ เปน ประจาํ จนเคยชิน ทําใหจิตเกิดความเศรา โศกกับบาปกรรม หรอื ทําใหจิตเกดิ โสมนสั กบั บุญกุศล ภาวะการทบทวนกรรมน้ันเกดิ ข้ึนทางใจอยางเดยี วเทานนั้ ไมเห็นดว ยตา ไมไ ดยนิ ดว ยหู และไมส มั ผสั ดวยประสาทหยาบอ่นื ๆ มกั มีขอ กังขาวาคนตายบางคนทําไมยงั วนเวียนอยกู ับที่เดิม หรือมาหาญาติทีบ่ า น หรอื สิงสถติ อยู ตามท่ที ี่เคยคุนสมัยยังเปน คน ความจริงวิญญาณเหลานกี้ ็อยูในภพๆหนึง่ แตก อนตายนนั้ จิตหนวงเอา ความกงั วล หนว งเอาความผูกพนั กบั บุคคลไวเปนเรือนตาย เขาขา ยนมิ ิตหมายการทบทวนกรรมนเ่ี อง พอจุตจิ ติ ปรากฏ เขาจะรสู กึ เหมอื นทกุ อยา งวบู หายไปชั่วขณะ แลว เกดิ จิตในภพใหมท ี่ยึดสภาพของ ความเปน คนเดมิ ไว คอื มีความทรงจาํ มีความผูกพัน มีความปรารถนาจะทําอะไรแบบเดมิ ๆอยูอีก ๒) กรรมนมิ ติ ไดแ กเครื่องหมายหรืออปุ กรณในการกระทํากรรม เชน ถาเคยฆา สตั วม ามากๆก็ อาจเหน็ สตั วกรมู าทวงชีวติ หรืออาจเหน็ ปนผาหนาไมท ่ีเคยใชสังหารสัตวก ็ได กรรมนิมิตน้ีอาจมาใหเห็น ทางตา หู จมูก ล้นิ กาย หรือใจก็ได โดยมากจะเกดิ ทางตา ทางหู และทางใจ สวนนอ ยจะเกดิ ขนึ้ ทอ่ี ื่น เชน บางคนเคยยดั เยยี ดอาหารขมๆใหพ อแมใ นชว งท่พี อ แมช วยตัวเองไมได ทง้ั ท่สี ามารถหาอาหารได ดกี วาน้นั แตม ีเจตนาประหยดั หรอื ใหอ ยางเสยี ไมไ ด ใหอ ยางคิดวา เมอ่ื ไหรจะตายพนๆไปเสียที อยา งน้ี อาจมรี สขมจัดทีส่ ุดแสนจะกลาํ้ กลนื เกดิ ขึ้นท่ีล้ินไดเ หมอื นกัน (แตถ า ยากจนจริงๆซอื้ อาหารไมคอ ยดี ก็ ถอื วา ทําดีทีส่ ุดแลว ตามฐานะ อยา งนไ้ี มเปน บาป แตเ ปนบุญ) ๓) คตนิ มิ ติ ไดแกเคร่อื งหมายหรือสภาพแวดลอมของคติหรือภพที่จะไปเกดิ ถาเปน คตนิ ิมติ ท่ีจะ นําไปสูสคุ ติ กจ็ ะปรากฏเปนปราสาทราชวงั วมิ านสถาน หรอื ความสวา งแหงทองฟาที่นุมนวลลออตา มี แตความเยน็ รนื่ นา พศิ วงอยางประหลาดล้าํ สําหรับคตินิมิตน้เี กดิ ขึ้นไดท ้งั ทางตา หู จมกู ล้ิน กาย และใจ หมายความวา ทงั้ ลืมตาอยูก็อาจเหน็ ยมทตู มายืนอยูขางๆญาติ อนั นไี้ มไดเปน การตาฝาด แตเ ปนการปรงุ แตงของจิตใกลว าระสุดทา ยทที่ าํ ใหเ ห็นไปตามอาํ นาจกรรมบันดาล สาํ หรับพวกใกลตายทีเ่ ห็นคตินิมิตน้นั ตวั ของนิมิตจะปรากฏเสมือนแมเหล็กท่ีมีพลงั ดึงดดู และจิต จะหนแี รงดงึ ดดู นนั้ ไปไหนไมได เชน ถาตาเหน็ ไก หูไดย นิ เสียงไกข นั หรอื เกดิ นมิ ิตรปู ไกข ึน้ ทางใจ ก็ จะตองไปเกดิ เปนไกต ามนน้ั พดู งา ยๆวาเห็นอะไรกเ็ คล่อื นเขาไปสคู วามเปนเชน นนั้ โดยไมมีสงิ่ ใดมาคนั่ ขวางได
๑๑๒ ความจริงประการหน่ึงของคนทีช่ วี ิตใกลดับคอื จะมกี ารทบทวนอดีตท่ผี านมาเปนฉากๆอยาง รวดเร็วนาอัศจรรย ขอใหทราบวาในขน้ั ของการทบทวนน้นั มใิ ชน ิมิตหมายอันจะเปนที่ไป นมิ ติ หมายอัน จะเปนทไ่ี ปนั้นเกิดขึน้ เพียงหนึง่ เดยี ว เปน แรงดึงดดู จติ ใหมุงไปตามทิศน้นั ๆ อาจมขี อ สงสัยวา อะไรเปนตวั สรางนมิ ิตหมายขึน้ มา พระสาวกผปู ฏิบตั ชิ อบกต็ อบวา ‘กรรม’ น่ัน แหละเปน ผูต ดั สนิ วา เราจะไดเจอกบั นมิ ิตหมายแบบไหน เรยี งตามลาํ ดบั ความหนกั เบาดงั นี้ ๑) ครกุ รรม ครุแปลวา หนัก ฉะน้นั ครกุ รรมจงึ หมายถงึ กรรมหนกั ชนดิ ทําครั้งเดยี วกใ็ หผ ลแนนอนเปน สุคตหิ รอื ทุคติ ตอใหทาํ กรรมในขว้ั ตรงขา มอื่นมากมายสกั เพียงใดก็ไมอ าจยับย้ังการใหผ ลทแี่ นน อนของกรรมซงึ่ ทาํ เพียงคร้งั เดียวนนั้ ได สาํ หรบั กรรมฝา ยจะสง ไปสทู คุ ติแนน อนน้นั คอื ทําส่งิ ทีพ่ ระพทุ ธเจา บญั ญัตเิ รียกวา เปน ‘อนนั ตรยิ กรรม’ ไดแ ก ฆา มารดา ฆา บิดา ฆา พระอรหนั ต ทํารายพระพทุ ธเจาจนถึงยังพระโลหิตใหหอ ขน้ึ และยงั สงฆใ หแ ตกจากกัน สวนกรรมฝายทจี่ ะสงไปสสู คุ ติแนน อนนน้ั คือทาํ สงิ่ ที่พระพุทธเจาบัญญตั เิ รยี กวา เปน ‘กรรมไมดาํ ไมขาว’ จนกระท่งั สําเรจ็ มรรคผล เปน พระโสดาบนั บคุ คลขน้ึ ไป หากทาํ กรรมน้สี ําเร็จเพียงครั้งเดียว เปน อันวา มีสคุ ติเปนท่ไี ปอยา งแนนอน นอกจากน้ี หากทาํ กรรมที่เปนมหัคคตกศุ ล คือบาํ เพ็ญเพยี รภาวนาจนไดฌ าน และฌานนั้นยงั ไม เสือ่ ม สามารถเขาออกไดเ ปนปกติ กอ นตายมกี าํ ลังใจหนกั แนนพอจะเขาถึงฌานขัน้ ใดข้ันหน่ึง ก็จะเปนผู แนน อนในการไปสูส คุ ติกอนเชนกนั แมว า อดีตจะเคยกอบาปกอกรรมไวมากมายเพียงใด เม่อื ใกลต ายจะ เห็นนมิ ิตหมายในทางดีปรากฏอยา งแนน อน สาํ หรับผูท ําอนันตรยิ กรรมเอาไว จะไมม ที างบรรลุมรรคผล และไมม ีทางทําสมาธไิ ดถ ึงฌานเลยจน ตาย เนือ่ งจากอนนั ตรยิ กรรมมีความหนักหนว งมาก ถว งจติ ไวไมใหร อดจากวิถนี รกไดด ว ยหนทางใดๆ เม่ือใกลตายจะเห็นนิมติ หมายในทางรายปรากฏอยางแนนอน ๒) อาสันนกรรม คอื กรรมที่ทาํ เม่อื เวลาใกลต าย โดยมากจะหมายถึงกรรมทางความคิด ทําใหจิตเกดิ พะวง หรอื ยังใหจิตบังเกิดปต ิ
๑๑๓ บางคนทําความดีมาจนชั่วชีวติ แตก อนตายไมน านเกิดความวติ กกงั วลถงึ กรรมช่ัวบางอยางท่ีเคย ทาํ ไวแ คหนสองหน จิตจงึ เกิดความระสํ่าระสาย หาความสุขสงบไมไ ด หรอื บางคนมปี กตไิ มเ บยี ดเบียน ใคร แตเกดิ เคราะหหามยามรา ยตอ งไปตอสูกบั โจร แทงโจรตาย ทวาก็โดนโจรแทงตายดว ย อยางน้จี ิต จะยดึ เหนย่ี วกรรมอน่ื ยาก มแี ตพ งุ ไปจับกรรมท่เี พง่ิ ทําสดๆรอ นๆทา เดียว เม่อื ใกลตายจงึ เหน็ นิมติ หมาย ในทางรา ยปรากฏกอ น สวนบางคนทาํ ชว่ั มาตลอดชีวติ หรือไมก็ทําบุญไวนอ ยกวาทําบาป ทวากอนตายไมนานมคี นอา น หนงั สือธรรมะใหฟ ง จิตเกิดความเลื่อมใส ยึดพระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆเ ปน ท่ีพง่ึ ไดท นั หรือกําลงั ต้ังใจเดนิ เอาของไปถวายพระภกิ ษสุ งฆแ ลว เปนลมตาย อยา งนี้จิตก็เหนีย่ วเอากรรมดที ี่ทําลา สุดไวเปน เรือน เม่ือใกลตายจึงเหน็ นิมิตหมายในทางดีปรากฏกอ น ๓) อาจณิ ณกรรม คอื กรรมที่ทาํ เปนประจาํ ในระหวางมชี ีวติ อาจมคี าํ ถามวา แตล ะคนมกี รรมท่ีทําเปน ประจาํ อยเู ยอะแยะ แลว จะทราบไดอ ยา งไรวากรรมประจาํ อนั ใดจะใหผ ลในข้ันสุดทา ย? ตอ งตอบวาถา อาจิณณกรรมฝา ย กศุ ลมนี ํา้ หนักมากกวาอาจิณณกรรมฝายอกุศล เมื่อใกลตายจะเห็นนมิ ิตหมายในทางดปี รากฏกอน และในบรรดาอาจิณณกรรมฝายกศุ ลดวยกัน กุศลกรรมท่ที าํ ไวบอยท่ีสุด หรอื มีตวั แปรใหสุกสวา ง สงู สดุ จะเปน ผูบันดาลนมิ ติ หมายเมื่อใกลตายกอ น เรื่องนํ้าหนักกรรมนี้อยา ไปคดิ ใหเสยี เวลา คนธรรมดาไมม ที างรูไ ด ตอเมื่อเปนผฝู กวชิ า ‘รตู ามจริง’ ของพระพุทธเจาจนกระทั่งเกิดสมาธิผอ งแผว ยอมนอ มไปรไู ดเ อง เหมอื นคนตาดสี ามารถเห็นไดวาแสง จากกระบอกไฟฉายใดสองสวางนําทางไดชดั กวา กัน อาจิณณกรรมนาสนใจกวา ครุกรรมและอาสันนกรรม เพราะมีโอกาสใหผ ลมากทส่ี ุด เปนแรง บนั ดาลใหเกิดนิมิตหมายสุดทา ยไดม ากท่ีสุด ทกุ คนตองมีอาจณิ ณกรรมหลายๆอยางแนนอน ในขณะที่ คนทวั่ ไปไมคอ ยทาํ ครุกรรมกนั และไมค อยมีอาสนั นกรรมทก่ี าํ ลังแรงพอจะใหผลขณะถูกเดด็ ชพี ยกตวั อยางเชน คนทีท่ ํากรรมดมี าท้งั ชวี ิต แตก รรมเกาบางอยางมาตดั รอนชวี ิตใหส้ันลงดว ย อบุ ัติเหตุอนั สุดวสิ ัยท่จี ะปอ งกนั แบบท่ีเรียกกนั วา ‘ตายโหง’ กะทันหันน้นั ดสู ภาพศพเผินๆแลวนา สยดสยอง ตามสามญั สาํ นึกของคนทัว่ ไปยอ มรูส กึ วาถา ตายรายยอ มไปราย แตค วามจริงกค็ ือวิบากกรรม ไมไดด วู ธิ ีตายของเราเหมอื นตามนษุ ย แตด แู บบชง่ั นาํ้ หนักวา ทท่ี าํ ๆมาทัง้ ชีวิตนัน้ น้ําหนกั เทไปทางใด หากเทไปทางดีแลวละ ก็ จะมกี ารประชมุ กนั กอ นมิ ติ หมายอนั เปน มงคลอยางแนนอน สภาพหลังท้ิงซาก ไปแลวอาจขัดแยง กับตัวซากศพแบบพลิกหลังมอื เปน หนามือกะทนั หนั เลยทเี ดียว!
๑๑๔ ๔) กตัตตากรรม คอื กรรมที่ทาํ โดยไมไดเจตนาใหเ ปนไปอยางน้นั หรืออีกนัยหน่งึ คือไมเ ตม็ ใจจะทํา ลกั ษณะของจิต จะไมเ ปนกุศลหรอื อกศุ ลชัดเจน อยา งเชน ลูกถูกพอ บังคับไปใสบ าตรพระ โดยท่ีลูกไมไ ดม คี วามเลื่อมใส อยูดว ยตนเอง และถาพอไมใ ชก็จะไมทําเลย เปนตน อยา งนแี้ มจัดเปน กรรมก็มนี ้าํ หนกั นอ ยแทบจะเทา น้ํามนั ฉาบกระทะทใี่ ชป รุงอาหารไมไ ด เน่อื งจากกรรมทุกชนดิ มีเจตนาเปนประธาน หากเจตนาของเด็ก เปนไปเพ่อื สกั แตทาํ ตามพอส่ัง ใจแทบไมยินดยี นิ รายเอาเลย กค็ ลายใหพ อ ยมื แขนขาตนมาใสบาตร โดย ทใี่ จตวั เองไปอยูเสียที่อ่ืน กรรมทใ่ี สบาตรจะใหผ ลเพียงเล็กนอ ยเทานน้ั (ในทางตรงขาม ถงึ โดนใชใ หใ ส บาตร แตมคี วามเลอื่ มใสในบุญ มกี าํ ลังใจยงิ่ กวา คนส่ัง ผลก็หนักแนน ย่งิ กวา คนส่งั ได ขอใหท ราบ วา กตตั ตากรรมอยูที่น้าํ หนกั เจตนาท่อี อน มิใชก รรมประเภททําเพราะคนอ่นื สั่ง) เปนไปไดนอ ยกวาหน่ึงในพันหน่งึ ในหมื่นราย ท่ีกตตั ตากรรมจะมาชิงใหผ ลกอ นอาสันนกรรมและ อาจณิ ณกรรม (ถา มีครุกรรมก็ไมตอ งพูดถงึ เพราะจะไมมกี รรมใดตดั หนา ไปไดอยูแลว) สวนใหญถ าทํา แคค ร้งั สองครัง้ จะไมม ที างมาเขารอบชิงชัยไดเลย กตัตตากรรมจะมาเปน ตวั กอนมิ ิตหมายเมอ่ื ใกลต ายได กเ็ พราะเราทาํ กตตั ตากรรมน้นั บอยๆ หรอื ไมก ็เพราะบุคคลซ่ึงถูกกระทําเปนผูทรงคณุ ใหญ จนกลายเปน กรรมทม่ี กี ําลังมากกวากรรมปกติ ยกตวั อยา งเดมิ สมมุตวิ า เดก็ ทีม่ าใสบ าตรเปนลูกบา นปา ทัง้ ชวี ติ วนเวยี นอยูกับการเลย้ี งสัตว ผา ฟน หุงขาว ใจไมค อยคิดอะไรมากไปกวา เล้ยี งตวั เอาใหร อดวันตอวนั แตเ ผอิญมพี ระธดุ งคบณิ ฑบาต ผานบานเปนระยะ แลว ก็ถกู พอ แมสั่งใหใ สบาตรหลายหน หากพระธดุ งคน น้ั เปน ผูท รงคณุ กแ็ ปลวา เดก็ สัง่ สมบุญใหญไ วโ ดยไมรตู วั ทํานองเดียวกบั คนตาบอดไมร ตู วั วา หยิบเหรียญทองใสกระเปา นึกวา เปน เหรยี ญบาทธรรมดา พอถงึ เวลาตอ งควักออกมา ถา โชคดเี จอคนมีใจเปนธรรม (ซึง่ หาไดย าก) บอกตาม จริงวานนั่ ไมใชเหรยี ญบาท แตเ ปน เหรียญทอง คนตาบอดก็อาจราํ่ รวยทันทีแบบไมต องลงทนุ เม่อื นมิ ิตหมายปรากฏแลว มวี าระสดุ ทา ยอันเปน ภวงั คจิตเคลือ่ นจากภพเดมิ แลว มีวาระแรกสดุ อันเปนภวงั คจติ อบุ ัตใิ นภพใหมแลว จะไมม ใี คร ‘กลับเขา รา งเดมิ ’ ไดอกี เลย หากใครบอกวาตายแลว แต ยังหวนกลับมาพดู จาและเดนิ เหนิ ไดใ หม กแ็ ปลวาเขายังไมไปเกิดใหมจ รงิ แมรางกายจะยตุ กิ ารทาํ งาน และถกู วินิจฉยั โดยแพทยวา ตายแลวก็ตาม เขายงั ไมถ ึงซง่ึ ภาวะแหงมรณะตามนิยามของพระพุทธองค เตม็ รอยเลย ประสบการณเ ฉียดตายของหลายตอ หลายคนจงึ เปนเพยี งนมิ ติ หมายอยา งหน่ึง ไมเชงิ วาเปนของ เกลวนๆ เพียงแตเ อามายดึ ม่นั ถอื ม่นั เปน คําบอกเลา ของ ‘ผูผ านความตายมาแลว’ ไมไ ด อาทเิ ชน ผูท่ี กลา วถงึ ภาวะการตายแตใ นแงดี เพยี งเพราะไปสมั ผัสมิตสิ ุขสงบด่มื ดา่ํ ลาํ้ ลึกมาน้นั ถือวาเปนการแจง ขาว ทผ่ี ิดพลาดกบั ชาวโลก และอาจทําใหบางคนหลงคดิ ไปวา ตายแลว วญิ ญาณจะอยูในเขตสนั ตสิ ขุ ถายเดียว เลยพานเกดิ ความคิดฆาตวั ตายหนีโลกไปเสยี กอ นวัยอันควร
๑๑๕ การดบั ขันธข องพระอรหนั ต บุคคลผูห มดกิเลสหรือท่ีทางพุทธศาสนาเรยี กกันวา ‘พระอรหนั ต’ นนั้ หมดจากความหลงสําคญั ผิด เชน เหน็ สง่ิ ทไ่ี มเ ที่ยงวาเทย่ี ง เหน็ ส่ิงท่ีไมใ ชต วั ตนวา เปนตัวตน จงึ สนิ้ ความทะยานอยากเขาไปยดึ ทะยานเขาไปติดใจในภพนอ ยภพใหญทงั้ ปวง เมื่อหมดความทะยานเขาไปยึด หมดความหลงเหน็ วา ภาวะอยางน้ันดี ภาวะอยางนีน้ าอภิรมย จิต ก็สะอาดบรสิ ทุ ธิ์ปราศจากการกอรา งสรางภพ ปลอดโปรง ออกมาจากแกน กลางภายในอยา งแทจริง สม ดงั ท่ีพระพทุ ธองคทรงตรสั วาถาภิกษสุ ําเรจ็ วิชา ‘รูต ามจริง’ ขน้ั สูงสดุ แลว พระพุทธองคต รัสเปรียบไว เหมือนตาลยอดดว นทไ่ี มอาจงอกเงยไดอ ีก คอื ทําลายกิเลสท้งั ปวงอันเปน เหตุใหเ กิดภพใหม หรอื อีกนยั หนึง่ คอื ทาํ ลายเครือ่ งเศรา หมองอันเปนเหตนุ ําไปสูท กุ ขท้ังปวงลงสนิ้ เชงิ เบ็ดเสรจ็ เดด็ ขาด ขณะสดุ ทา ยของชีวิตของผบู รสิ ุทธจ์ิ ากกเิ ลสนน้ั จะไมม ีนิมติ หมายใดๆปรากฏข้นึ ทั้งสน้ิ ไมวาจะ เขาฌานหรอื ไมเ ขา ฌานกต็ ามที และเมื่อเกดิ จุติจติ ก็จะไมเหลือรอ งรอยการสืบตอ องคแ หง ความทกุ ข ใดๆอีก คือจะไมม ีการอบุ ตั ิ ไมม กี ารไปปฏสิ นธใิ นภพใดๆ ไมเ ขาเปนพวกของหมูสัตวใ ดๆตลอดทัว่ ทง้ั ไตรภมู ิ บทสํารวจตนเอง ๑) เราเคยคดิ ถงึ เรื่องเกย่ี วกับความตายบอยเพยี งใด วนั ละครัง้ เดอื นละครง้ั ปล ะคร้ัง หรือไมเ คย คิดนานจนเกนิ จะนับวา เปน ระยะเวลาประมาณใด? ๒) เราเคย ‘เช่ือ’ หรอื อยางนอ ย ‘รูสกึ จริงๆ’ วาจะเปน หนึ่งในผูท่ตี อ งตายไปจากความเปน เชนน้ี หรอื ไม? ๓) เราเคยเตรยี มวางแผนหาทางหนีทไี ลแบบเผ่อื ขาดเผื่อเหลอื หรอื ถามไถผรู ูบางหรอื ไมวา ควร ตระเตรยี มเพ่ือวาระสดุ ทา ยอนั เปน จดุ สาํ คัญสงู สดุ ของชวี ติ อยางไร ชนิดท่ีถาตองออกเดนิ ทางไกลตอ แบบปุบปบ กะทนั หันกพ็ รอ มเลยทนั ที?
๑๑๖ สรปุ ความตายสาํ หรบั คนสว นใหญไ มใ ชเ รอื่ งนาพิสมยั เพราะกําลงั พอใจอยากเปน เชนนี้ไปนานๆ แต ความตายสําหรบั คนอกี สวนหน่ึงก็เปนท่ีนา ปรารถนา เพราะกําลงั ขัดเคอื งไมอยากเปนเชนนอี้ กี แลว แมแ ตน าทีเดยี ว จะเห็นความตายเปนเร่อื งนารักหรือนาชงั กต็ าม คนเกือบทงั้ หมดแทบไมมีโอกาสรูลวงหนา เลยวา ตนเองจะตายเมอื่ ไหร และท่สี าํ คัญคือไมร ูว าจะตายในอาการใด เกดิ ประสบการณภ ายในแบบไหน ขณะแหง ความตายมกั อยใู นสายตาของแพทยและพยาบาล ขณะแหงความเปนศพหลงั ความตายมักอยู ในสายตาของสัปเหรอและผูชว ย แตข ณะแหงความเปน ‘ผตู าย’ หลังมรณกาลผา นไปน้นั จะอยใู นสายตา ของผูฝก วิชา ‘รูต ามจรงิ ’ ของพระพทุ ธเจาเทานน้ั คนเราจะกลวั ตายในขณะกาํ ลังลืมตาตื่นอยูใ นการมชี วี ติ ปกตเิ ทานัน้ แตข ณะแหงการตายจริงจะไม หลงเหลือความกลวั ตายอยเู ลย เพราะความรูสกึ นกึ คดิ จะไมใชอยางนี้แลว จติ จะหมดความสําคญั ม่ัน หมายวา เคยเปนใคร ย่ิงใหญห รอื ต่าํ ตอ ยแคไหน แตห นั ไปใหความสาํ คญั กบั สิง่ อนื่ แทน นน่ั คอื ชวี ติ ท่ีผา น มาไดท าํ อะไรเดนๆไวเ ปน ประจาํ บา ง การรับทราบวาประสบการณใกลต ายเปนอยางไรอาจชวยใหเตรียมตัวเตรยี มใจไดด ขี ึน้ ขอแรกคอื ระลกึ เสียแตเ น่ินๆวา ความตายไมใ ชเรอ่ื งเลน ๆ หากปลอ ยจติ ปลอยใจมั่วซ่วั ไปเรอ่ื ยก็อาจไดต ายแบบม่วั ซั่วไมรเู หนอื รใู ตไดเ ชน กนั ขอ สองคือรูตามจรงิ วาวาระใกลต ายนัน้ เราชว ยตวั เองไมได แตข ณะมีชีวติ สามารถตระเตรียมเสบยี งไวล ว งหนา เพือ่ ความอุนใจและพรอมเผชิญจดุ วกิ ฤตสงู สดุ ในชาตินี้โดยไมต อ ง พะวงหลงกลัวอะไรอีกเม่ือวนิ าทีน้นั มาถงึ เขา จริงๆ
๑๑๗ Öบทท่ี ๘ - สภาพความเปนอยขู องสัตวในภพภมู ิตา งๆ ถงึ บทกอ นเราทราบพอเปนเคาเปน เลาวา ‘ตายแลว ไมจ บ’ แตย ังไมท ราบวา ‘ตายแลว ไปไหน’ สําหรบั บทนีจ้ ะพูดถงึ สภาพความเปนอยูของสัตวใ นภพภูมติ างๆท่ผี ู ‘ตายจริง’ ไดไปอยกู นั คนท่เี ห็นการทอ งเท่ียวเกดิ ตายของสัตวใ นสงั สารวัฏตา งเกิดมุมมองเดียวกนั ขนึ้ มาอยางหนง่ึ นน่ั คอื สัตวท้ังหลายไมเ คยตาย มีแตเ คย ‘เปล่ียนสภาพ’ หรอื ‘เคลือ่ นจากสภาพหน่ึงไปสอู ีกสภาพหน่งึ ’ เทา น้นั แตสําหรบั คนไมรู ไมมญี าณหย่ังเห็น ตอ งถือวา ไมมีความผดิ ทปี่ กใจเชื่อไดแ คต ามทป่ี ระสาทตา เนอื้ เออ้ื ใหเหน็ เมอ่ื ใดที่ใครเปน ศพ กเ็ หมือนเปนการโบกมอื ลาชัว่ นริ ันดร จะไมไดพบกนั อกี จะไมไดคุย กันอกี จะไมไดทาํ อะไรๆรวมกันอกี เราเลอื กไดท จ่ี ะไมเชือ่ แตเ ราไมมีสิทธิ์เลือกท่จี ะเปล่ียนแปลงความจรงิ เหมือนเชนเม่อื เรายังไมรู เรอ่ื งการประหารชวี ติ ทีน่ า ขนพองสยองเกลา เรากไ็ มอ ยากจะเช่อื เหมอื นกนั วา มีอะไรหฤโหดอยางน้ีอยู บนโลก แตถา มนั มมี ันกม็ ี นีเ่ ปนทาํ นองเดยี วกับทเ่ี รายังไมร ูสภาพความเปนไปในนรก เราอาจไมอยาก เชอ่ื วา มนั มี แตถามันมมี นั ก็มเี ชนกัน ทีส่ าํ คัญคือถา มันมจี ริงกแ็ ปลวาความหฤโหดทุกชนดิ บนโลก มนุษยเปน อนั ถกู ลมื ได เพราะจะไมมคี วามทุกขใดเทียบเทา ความทุกขท รมานในนรกเลยเปนอัน ขาด! เม่ือดาํ รงอยูใ นความเปนมนุษยด วยกันนี้ ทุกคนรูวา ระหวา งพวกเรามคี วามตาง แตจะรดู ีทีส่ ดุ วา ความตางน้นั มีความหมายอยางไรก็เมื่อเห็นภพภูมอิ ันเปนที่ไปของแตล ะคนนน่ั เอง ภพภมู ิ ‘ภพ’ คือโลกอนั เปนทีอ่ ยูของสตั ว จะเรยี กวา ภพ จะเรยี กวา สภาพ หรอื จะเรยี กวา ภาวะชวี ิตกไ็ ด ทงั้ สิ้น ท้งั น้เี พราะเนน สภาพแวดลอม หรอื ภาวะของอัตภาพทีส่ ัตวค รองอยูเ ปนสําคัญ เชนภพของมนษุ ย ยอมมแี ผน ดิน มีภูเขา มีทะเล มีแมนา้ํ โดยทีต่ วั มนษุ ยเองมหี นง่ึ หัว หนงึ่ ตวั สองแขน สองขา ยกตง้ั ขึ้น ดวยกระดกู สนั หลงั อันแสดงสภาพสตั วช นั้ สูง
๑๑๘ โดยคราวสุดมภี พอยู ๓ ระดับ รวมเรยี กวา ‘ไตรภพ’ ไดแก ๑) กามภพ ภพของผูท่ียงั เสวยกามคณุ หมายถงึ สภาพตาํ่ สุดตง้ั แตส ตั วน รก ไลม าถงึ สัตว เดรจั ฉาน เปรต มนษุ ย เรอ่ื ยไปจนกระทั่งสูงสดุ คอื เทวดาผยู ังพัวพนั กับความใครในรูปเสยี งกล่ินรส ๒) รูปภพ ภพของผูทเ่ี ขาถงึ รูปฌาน หมายถึงสภาพของผูพ น จากภพอันเกลือกกลว้ั ดวยกาม เพราะมสี มาธจิ ติ ต้ังมั่นถึงระดบั ฌาน พวกนีจ้ ะมีรูปกายทิพยท ส่ี ุขุมย่ิง สขุ มุ และประณตี ขนาดที่วาผสั สะ ภายนอกทั้งปวงปรากฏแผว จนไมอ าจทําใหรสู ึกรูสาวานา ติดใจแตอ ยางใดได พวกเขาพงึ ใจมชี ีวติ เพอ่ื เสพสขุ อันเปน ภายในจากสภาพฌานจติ อันยง่ิ ใหญลาํ้ ลกึ เกนิ จินตนาการ ๓) อรูปภพ ภพของผูทเ่ี ขา ถึงอรปู ฌาน หมายถงึ สภาพของผูพนจากความมรี ูป เพราะสมาธิจิต กาวลว งการสาํ คญั ในรปู ท้งั ปวงเสยี ได พวกนม้ี ีรูสึกในอีกระนาบหนึ่งซ่งึ เหนอื กวาสุขอันเปนทิพย (หมายเหตุ – คนสวนใหญเ ขาใจวาไตรภพคอื โลกนรก โลกมนษุ ย และโลกสวรรค ความจรงิ แลว ทั้งสามนีเ้ ปน เพยี งกามภพเทานั้น) สวน ‘ภมู ิ’ น้ันจะเปน สว นยอ ยของภพอีกที เพราะเนน ท่รี ะดบั ชัน้ แหงจติ มากกวา จะพูดถึง สงิ่ แวดลอมหรอื แมแ ตรางกายอนั เปนของภายนอกที่สัมผสั ไดงายกวา กนั ภมู ิแหง จติ วญิ ญาณมี ๔ ระดับ ไดแ ก ๑) กามาวจรภูมิ เปน ภูมิจิตท่ียังของแวะอยูก ับกามคุณ ๕ คือเสพผสั สะอันนา พงึ ใจทางตา หู จมูก ลิ้น กาย อยางใดอยางหนงึ่ หรือทั้งหมด ๒) รปู าวจรภมู ิ เปน ภูมิจติ ท่ียดึ เอารูปธรรมเชน ลมหายใจหรอื สีสันเปน ตวั ตรึงจติ ใหต ้ังมน่ั ถงึ ฌาน ๓) อรูปาวจรภมู ิ เปนภมู ิจิตท่ีกาํ หนดเอานามธรรมเชน อากาศอนันตเ ปน ตัวตรึงจิตใหตัง้ ม่ันถงึ ฌาน ๔) โลกุตตรภมู ิ เปน ภมู จิ ิตท่เี คยเหน็ แจง วา รปู นามไมใชต วั ตน และความเหน็ นน้ั จะตองเหนยี่ วนาํ จิตไดถ ึงฌาน ประจักษแ จงวา นพิ พานมจี ริง พนสภาพการมีการเปนทั้งปวงออกไป คงเห็นวา ‘ภูมิ’ นั้นจาํ แนกออกมาไดมากกวา ‘ภพ’ ท้ังน้ีกเ็ พราะหลายภพสามารถเปน ที่อยูของ ภูมจิ ิตระดับโลกุตตระไดน น่ั เอง สงั สารวฏั มไิ ดมีที่อยเู ฉพาะสาํ หรบั อรยิ บคุ คลแตอ ยางใด เวน แตอบายภูมิ แลว อรยิ เจา ปรากฏอยูไ ดท ั้งส้นิ ไมว า ในโลกมนุษยน ี้ ในโลกสวรรค ในโลกพรหม
๑๑๙ และทีค่ นไทยมักเรยี กรวมวา ‘ภพภมู ิ’ ควบคกู ันนนั้ ขอใหท ราบวา เปน ‘ภาพรวม’ ของชองชั้นท่ี อยู ทัง้ ลกั ษณะกายและระดับจติ ในระหวา งเวียนวายตายเกดิ น่ันเอง โดยมากจะนึกเหมาไปรวมๆไดเพยี ง โลกมนษุ ยใ นฐานะระดับท่ีตนเปน อยู เหน็ วา ชาตปิ จจุบันเปน อยางนี้ ชาตหิ นากค็ งจะราวๆเดยี วกนั นั่นเอง เพื่อใหเ ขาใจความหลากหลายระหวางภพภูมติ า งๆไดดีขนึ้ ลองมาดูกอนวา แค ‘โลกมนษุ ย’ อัน เปนภพๆหนึ่งน้ัน เรามคี วามเขาใจมากนอยแคไ หน ถายังเหมาวา ดาวเคราะหก ลมๆใบน้คี ือ ‘โลกของ มนุษย’ อยลู ะก็ ควรปรับความเขา ใจเสยี ใหม คอื ความจรงิ มนั เปน ท่ีอยูอาศยั เปน แหลงรวม เปน ศนู ยก ลางของสัตวในภพภูมิอืน่ อกี มากนัก กลาวคือดาวเคราะหกลมๆใบนี้เปน โลกของเดรจั ฉาน เปน โลกของผเี ปรต และเปน โลกของเทวดาชนั้ ตน ๆ อีกมากมายเหลอื คณานบั สัตวบ างภพภูมเิ ชนเดรจั ฉาน เรากม็ องเห็นดว ยตาเปลาและสามารถสมั ผสั แตะตองไดด วยมอื ไม ทวา สัตวบ างภพภูมิเชนเปรตนั้น เรา อาจบังเอญิ สัมผสั ไดด ว ยใจแลวขนลุก หรอื สตั วบางภพภมู ิเชนเทวดา เรากไ็ ดแ ตรสู กึ ถึงความอบอนุ สวา ง เบาจากกระแสวญิ ญาณพวกทา น ดงั นน้ั ดาวเคราะหดวงหน่ึงๆจงึ ไมจาํ เปน ตอ งเปนภพของสัตวหมใู ดเสมอไป แตอ าจเปนแหลง รวม เปนสภาพแวดลอ มใหก ับเหลาสัตวในชน้ั ภูมิตางๆไดหลากหลาย เม่ือความจริงเปนดังนี้ ฉะน้ันแมแ ตปถุ ุชนธรรมดาผูปราศจากญาณหยั่งรูใดๆก็อาจเปน ผูเช่ยี วชาญ เก่ียวกบั ภพภูมอิ นื่ ได อยา งเชนสตั วแพทยห รือคนรกั สัตวท ม่ี ีความรู ความเขา ใจ และความผกู พนั กบั สตั วม ากๆ หากเขาใจอยา งถูกตอ งกจ็ ะเริม่ ตอบคําถามข้นั พนื้ ฐานได เชน ๑) การสื่อสารขามภพภมู ิเปนจริงหรือไม? ตอ งตอบวาเปนไปไดจรงิ อยางเชน ผทู ่ีฝกสัตวสามารถ สั่งสัตวใ หท าํ สารพดั สง่ิ แมแตลิงชิมแปนซีกแ็ สดงใหเ ห็นวา เขา ใจภาษามนุษยเปนคาํ ๆ สามารถเลอื ก อักษรมาผสมเปนคําเพื่อสือ่ สารงายๆกับผฝู ก ได และผฝู ก สตั วห ลายคนกอ็ างวา ตนสามารถคุยกบั สัตวร ู เรื่องเปน อยางดี เพียงเห็นภาษากายหรือวิธีสง เสียงของพวกมัน ๒) การรบั รขู องสัตวในแตละภพภมู แิ ตกตางกันมากหรือนอย? ตอ งตอบวามากอยางเกนิ กวา ท่ีเรา จะจินตนาการถกู อยางเชน สุนัขจะไดย นิ เสียงที่มีความถสี่ งู เกนิ กวาแกวหมู นุษยจ ะสามารถรบั รู และ นอกจากจะมีความรทู างวิทยาศาสตรสมัยใหม คนเราจะไมท ราบเลยวามดมีสองตาก็จริง ทวา ตาแตล ะ ขา งประกอบดว ยตายอยๆอกี การเหน็ ผา นประสาทตาของพวกมันจึงเกินกวาท่ีเราจะนึกใหอ อกวาเปน อยา งไร ๓) หมูส ตั วอน่ื กอกรรมดชี วั่ ไดหรือไม? ตอ งตอบวา บางจาํ พวกกก็ อ กรรมได เชน สุนัขบางตวั ท่ถี กู ฝกแลวเปน อยา งดีสามารถชวยชวี ติ คนได แมวบางตวั ไดช ่ือวา เปนแมวอนั ธพาลเพราะไลกัดแมวอื่นแบบ นกั เลงโต พฤตกิ รรมเหลา นม้ี ไิ ดอ าศัยสญั ชาตญาณ แตต องมีแรงขับดันจากเจตนาซ่ึงเปนอาการทางจิต และปรุงแตง จิตใหเปน กศุ ลหรืออกศุ ลไดมาก แตสตั วบ างจําพวกกก็ อ กรรมไมได เชน มดทเ่ี อาแตข นของ ทา เดียว ไมมีปจจัยใหคดิ ทาํ ดีหรือทาํ ชัว่ แหวกแนวไปจากพวกเทา ใดนัก ถาไมใชม ดประเภททมี่ ีพิษและ
๑๒๐ คิดทาํ รายสตั วอื่น กพ็ ออนุโลมกลาววา มสี ตั วบางจาํ พวกเกดิ มาเพื่อรบั กรรมมากกวา ทจ่ี ะกอกรรม ซึ่งก็ คลายกับสัตวน รก แตส บายกวาสัตวน รกหลายเทา เมอ่ื สดบั ตรบั ฟง เก่ียวกบั เร่ืองของภพภมู ิ เราอาจจนิ ตนาการเปรียบเทยี บไดวาสงั สารวฏั นัน้ เสมือนคกุ แตล ะภพแตล ะภูมคิ ือกรงขัง ซง่ึ กม็ ที ้งั กรงขงั สาํ หรับพวกมโี ทษมาก และกรงขงั สาํ หรับพวกมี โทษนอ ย จะตา งจากกรงขงั ในโลกกต็ รงท่ีเม่อื ใครเขาสภู พภูมไิ หนแลว จะไมม ีการร้อื คดีเพอื่ พจิ ารณา ยอนหลงั กนั ใหมอกี เลย ใครเขาไปรบั กรรมในภพภมู ิใด กจ็ ะตอ งติดอยใู นภพภูมนิ ้ันๆไปจนกวาจะถึง กําหนดพนโทษตามเหตทุ ่ีกอ มา การแหกคุกในสังสารวฏั พอมใี หเหน็ ได เชน การฆา ตัวตายหนีจากสภาพความเปน มนษุ ยไป แตว า นั่นเปรยี บเหมือนการเพม่ิ โทษใหต ัวเองโดยพาตวั เองไปอยูในท่ีท่ีลําบากกวา เดมิ และคุกกไ็ มจาํ เปน ตอ ง มผี คู ุมไวค อยไลลาลากคอนักโทษกลับมาใหเหน่ือยแรง เนือ่ งจากพน เขตกกั ขังเดมิ ออกไป ก็เปน แดน เชือ่ มตอกบั เขตกักขงั ใหมท ันทอี ยูแ ลว ราวกบั สังสารวัฏเปน ทัณฑสถานทไี่ รท างออกอยา งสิ้นเชิงฉะนัน้ เราทุกคนตา งเปน นกั โทษประหาร โดยมีความผิดสถานเดยี วคือ ‘ไมร ูทางออก’ และ ‘มวั แตต ดิ ใจ เครือ่ งลอในคุก’ กนั อยูน เี่ อง คุกแหงนี้ประหารดว ยการเอาเขา เครอ่ื งลบความจําแลว เปลีย่ นแดนกักขงั เสียใหม ใชกลอุบายพสิ ดารลอใจใหหลงวนตดิ ใจอยูกบั การโดนประหารไปเรือ่ ยๆ ขอ เท็จจริงประการหนงึ่ ท่นี าสนใจ คือเรามสี ิทธร์ิ ูเร่อื งภพภูมิไดม ากกวาที่คดิ เพราะภายในรา งกาย และจติ ใจของมนุษยเพียงหนง่ึ เดียวนี้ เปนศนู ยรวมของภมู จิ ิตไดค รบถวนทุกภมู ิ นบั แตต่าํ สุดไปจนถึง สงู สดุ ! กลา วเชน นเ้ี พราะเหตุใด? เพราะถา ตดั เอารูปรางหนาตา เนื้อหนงั มงั สา หูตาจมูกปากออกไป เหลือไวแคเ พยี งสภาพของจิตที่เวียนเกดิ เวยี นดับอยอู ยางเดียว เราก็จะเหน็ จติ ชนิดตางๆภายในขอบเขต ดังตอไปนเ้ี ทา นั้น ๑) จิตอนั เปน ไปในกามาวจรภมู ิ คอื จติ ทมี่ ีเครอ่ื งลอเปนกามคณุ ๕ ทง้ั รูป เสยี ง กลนิ่ รส สัมผสั โดยเฉพาะอยางย่ิงเพศตรงขามอันยวนตายวนใจ ถา ไดเ สพสิ่งทร่ี ะคายสมั ผสั เชน ตากแดดรอนกระหาย นาํ้ อยูกลางทะเลทราย หรือถา ไมไดเ สพสง่ิ ทป่ี รารถนา เชน อยากนอนกบั ใครแลว เจอขอจํากดั ใหตอ งเรา รอ นทรมานใจ อยา งนน้ั พระพุทธเจาตรัสวา เปนนรกช่ือ ‘ผัสสายตนกิ ะ’ จะเรียกผสั สายตนิกนรกก็ได สวนถา ใครไดเ สพสิ่งที่นา บันเทิงเรงิ รมย เชนน่งั นอนบนฟกู นุมในหอ งปรบั อากาศเยน็ สบายดหู นัง ฟง เพลงตามตอ งการ หรือไดเสพสงิ่ ท่ีปรารถนา เชนไดส ามหี รือภรรยาถูกใจ ชวนอภริ มยช มชื่นทกุ วันคนื ไมตดิ ขดั อยางนนั้ พระพทุ ธเจาก็ทรงตรัสวา เปน สวรรคช ่อื ‘ผสั สายตนกิ ะ’ เชน กนั จะเรียกผัสสายตนกิ สวรรคก ็ได
๑๒๑ พดู งายๆวาคนเราเวียนวายตายเกิดระหวางนรกและสวรรคทชี่ ่อื ผสั สายตนิกะกันตงั้ แตเดก็ จนแก อยา งไรก็ตาม เรายังคงมีจิตเปนมนษุ ย แมขณะที่ตกภวังคไ มร เู รอ่ื งรรู าวอะไร ก็เปน สภาพภวงั คอ ันสืบ ตอ รกั ษาภพแหง ความเปนมนษุ ยไวอ ยูดี ถา ใครเปรยี บเทียบวา คนช่ัวเหมือนสตั วน รก เดรัจฉาน หรือ เปรต และเปรยี บเทียบวา คนดเี หมือนเทวดา พรหม ขอใหท ราบวาน่ันเปนเพยี งการอปุ มาอปุ ไมยทีข่ าด ความจริงทางจิตรองรบั เพราะตลอดชวี ิตเรานบั แตปฏสิ นธจิ นจุตินัน้ เปนไดอยางเดียวคอื มนุษย มนุษยเปน สตั วรกั สนกุ ชอบกอบโกยความสขุ เขาหาตวั ดังนน้ั ความสุขจึงเปนแรงผลักดนั ใหกอ กรรมอนั จะไดม าซง่ึ วัตถุบําเรอสขุ ซึง่ บางครัง้ ก็เปนกุศลกรรม แตโดยมากจะดวยวิถีแหง อกุศลกรรม เมอ่ื มนษุ ยก อ กรรมอนั ใดไวมาก กรรมน้นั ยอมพาเขาไปสภู พอนั สมควร ถานํ้าหนักกรรมเอียงไปทางดกี ็ลอ ง ลิว่ ขน้ึ สวรรคไป ถานาํ้ หนกั กรรมเอียงไปทางช่วั กพ็ งุ หลาวลงนรกกัน และคราวนจ้ี ะไมใชผัสสายตนกิ สวรรคหรือผัสสายตนกิ นรก แตเ ปน สวรรคมชี ่อื เปนตางๆ นรกมีช่ือเปน ตางๆ อันเปน ภพใหมท ่ีใหผ ัสสะ เย็นหรือผัสสะรอนเปน ทวีคูณต้งั แตอ ุบตั ขิ ้นึ ในภพนนั้ จวบจนถึงเวลาจุติไป ๒) จติ อนั เปนไปในรปู าวจรภมู ิ คอื จติ ท่ีมเี คร่ืองลอ เปนรปู ธรรมอยางใดอยางหนึ่งใหก าํ หนดหมาย โดยเครือ่ งกาํ หนดหมายนั้นไมเปนโทษ ไมก อใหเ กดิ ความครนุ คดิ ฟงุ ซา น อยา งเชน ลมหายใจอันเปน สมบตั ติ ิดตวั พวกเราทกุ คนมาตัง้ แตเกดิ เพยี งเฝาดูเลนๆวา มนั เขา มนั ออก เดยี๋ วมนั ยาว เดย๋ี วมนั สั้น ซา้ํ ไปซํา้ มาไมนานกจ็ ะเปลยี่ นภาวะคดิ สมุ ไรร ะเบยี บ กลายเปน คิดถงึ แตเ ร่อื งลมหายใจอยางเดยี ว และพบ ดว ยตนเองวา การคิดถึงแตล มหายใจ ระงับความพะวงหลงแสส า ยไปในเรื่องไรสาระตา งๆนัน้ ใหผลเปน ความปลอดโปรง เยือกเยน็ มีปต สิ ุขเพมิ่ ขึน้ เร่อื ยๆ กระท่งั ถงึ จดุ หน่ึงเม่ือคดิ ฟุง นอยลงๆจนหยดุ คดิ ถึงเรอ่ื งอ่ืนใดอยางสิ้นเชงิ เหลือไวแ ตการรบั รูในลม หายใจวาผานเขาผานออก ผา นเขา ผานออกอยูเชนนน้ั จิตก็แปรสภาพเปนภาวะสงบประณตี เหมอื น ดวงไฟใหญท่คี างน่งิ อยูกับการรบั รสู ิ่งเดยี ว ราวกบั ไมมีการเคลอื่ นของเวลา มแี ตการไหลเขาไหลออก ของสายลมหายใจยดื ยาว ตรงน้ันคอื สมาธริ ะดับฌานข้ันแรก เรยี กวา ‘ปฐมฌาน’ ผทู ่ถี ึงปฐมฌานไดช่อื วา รจู ักสภาพของจิตอันเปนไปในรปู าวจรภมู ิ เรม่ิ ฉลาดในธรรม คือเหน็ จติ ท่ี แนว นง่ิ ต้ังม่นั นั้นดีกวาจติ ท่สี น่ั ไหวโยกโคลง แตผ นู ้ันจะไดชือ่ วา อยใู นรูปาวจรภมู เิ ตม็ ขน้ั กต็ อ เมือ่ สามารถ เขาออกฌานไดต ามปรารถนา มจี ิตใจตัง้ มัน่ ไมหว่นั ไหวเปน ปกติ คือนกึ ถึงลมหายใจเพยี งไมนาน หรอื เพยี งแวบเดยี ว จติ ก็เปล่ยี นจากสภาพนกึ คดิ ธรรมดาเปน สภาพยุติความคิด สวา งโพลงเดน ดวงยิง่ ใหญ ยับย้งั อยใู นความรบั รลู มหายใจอยางเดยี วโดยไมม หี ลงซวนเซ ไมเ ปไ ปทางไหน การเปน ผูชํานาญเขาออกรูปฌานไดน นั้ แมยงั เกลอื กกลัว้ อยูก บั โลกหยาบ วถิ ีชวี ติ ก็ตอ ง เปลย่ี นแปลงไปพอสมควร อยา งนอยทีส่ ุดจะไมไ ยดใี นสภาพแวดลอ มอนั เอ้ือใหพ บกบั กามคุณ ๕ อันเผด็ รอ น เพราะกามคุณจะเปนตวั บน่ั ทอนความสะอาดของจติ และสนั่ คลอนความแนวนิ่งตงั้ มน่ั ไดม าก ผูทรง
๑๒๒ ฌานจะหวงกเ็ พียงสภาวจติ ท่ีตง้ั มั่นไดต ามปรารถนา เพราะสขุ อันลึกล้ําโอฬารน้ันคุมพอจะแลกกบั กาม อันเปน ของนอย ฉะนั้นจึงเปนปกตหิ ากผทู รงฌานจะท้งิ บานทิง้ เรือน ท้ิงความเจริญกา วหนา ในอาชพี การงานทั้ง ปวง ออกถอื เพศบรรพชิต อาจถอื วนิ ยั แบบสงฆ หรืออาจประพฤตธิ รรมแบบฤาษีชีไพร จะมีบางเพยี ง สว นนอ ยท่ียงั สามารถประพฤตธิ รรมไดท ง้ั ที่ยังเขาสังคม ทําหนา ท่ีการงานอยเู ปนปกติ จติ ทพี่ รากจากกามเพราะสามารถเขา ถงึ ภาวะแหง ฌานไดเปน ปกตนิ นั้ ยากจะหลงสติ กอนตายจะ อยูกับรูปฌานท่ตี นชินชาํ นาญ และแลว เม่อื ถงึ วาระสดุ ทา ย จิตจะวูบดบั จากความรูสึกทั้งมวล คือคลาย ออกจากรปู ฌานเปนจตุ ิจติ แลวเกิดปฏสิ นธจิ ิตขึน้ ใหม ถดั จากน้ันจงึ กลับเขาสูความรูสกึ ตวั วาอยใู นฌาน ภายใตก ารหอ หมุ ของรูปอตั ภาพใหมท ีล่ ะเอยี ดสขุ ุมกวา เทวดาและมนุษย ไดช ่ือวา เขาถงึ ความเปนหนงึ่ ในหมูส ตั วท เ่ี รยี ก ‘รูปพรหม’ ๓) จิตอนั เปนไปในอรูปาวจรภูมิ คอื จติ ทมี่ เี ครอื่ งลอ เปนอรปู ธรรมอยางใดอยา งหน่ึงใหกําหนด หมาย โดยเครือ่ งกาํ หนดหมายนั้นไมกอใหเกดิ การสาํ คญั ไปในรปู ธรรมทงั้ ปวง อยา งเชน ภาวะอากาศไม มีทส่ี ้ินสุด ไมม กี รอบจาํ กดั ทางสายตาวา กวางประมาณเทา นนั้ หรือยาวประมาณเทา น้ี มแี ตห นวงนึกดว ย ใจ สําคญั ดว ยใจถึงสภาวะแหง อากาศธาตอุ นั เวิง้ วา งวา งเปลาปราศจากขอบเขต การจะหนวงนกึ อยางนี้ไดจ ิตตอ งมีกําลัง มีความต้ังม่ันเปน พน้ื ฐานอยูกอน สวนใหญผ ูทีท่ ําไดจะ ผานรปู ฌานมากอนแลว มีความเปน กลางทางจติ ชนิดทเี่ รียกวา ‘มหาอุเบกขา’ เปนพน้ื ยนื อยูเปน ทุน เม่อื หนวงนึกถึงอากาศอนนั ตไดจ นจติ รวมลงเปนฌาน เขาจะรูสกึ ราวกบั เหน็ อากาศวางไพศาลเทา จักรวาล เปนสภาพเหนือจินตนาการ คลายยกจติ ขน้ึ ไปอยใู นอีกระนาบมติ หิ นึ่งที่มีจรงิ ดวยอํานาจฌาน ผทู สี่ ามารถเขาถึงอรูปฌานไดเปน ปกตจิ ะมจี ติ ทป่ี ราศจากเย่อื ใยในความมีรูปทั้งปวง เหน็ รปู ทง้ั ปวงเปน ของเล็กนอย ไมน า แยแส จิตคาํ นงึ ถึงแตน ามธรรมอนั โอฬารอยเู นืองๆ และเม่อื ตายลงเพราะ กายหยุดทาํ งาน เขากจ็ ะพรากจากสภาพความมีรูปทงั้ ปวงไปสูความไมม รี ปู มแี ตจิตอันทรงฌานตนื่ รอู ยู อยางยาวนานเกินจะนับวา กี่หมน่ื กี่แสน กีล่ านป การเปนผูชาํ นาญเขา ออกอรูปฌานไดเ ปน ปกตินน้ั ยากทจี่ ะเกลอื กกลั้วอยกู ับโลกหยาบ โดยมาก จะเปนนกั บวช ดาํ รงชีพอยดู ว ยการทอ งเที่ยวไปในปา เขาลําเนาไพร โลกท้ังโลกจะปรากฏเปนภาพลวง แตค วามวา งจะกลายเปนของจรงิ ขน้ึ มาแทน กอ นตายจะอยูกบั อรปู ฌานที่ตนชนิ ชํานาญ และแลวเม่ือถงึ วาระสดุ ทาย จติ จะวบู ดบั จาก ความรูสึกท้ังมวล คือคลายออกจากอรูปฌานเปนจุตจิ ติ แลวเกดิ ปฏสิ นธิจิตขึ้นใหม ถดั จากนัน้ จึงกลับเขา สคู วามรูสึกตวั วา อยูในอรูปฌาน โดยไมม รี ูปกายทิพยห อหมุ ไดช อื่ วาเขาถึงความเปน หนึ่งในหมูสตั วที่ เรยี ก ‘อรปู พรหม’ จติ สามารถไหวตัวรับรคู วามมีความเปน ในจักรวาลได แตเพกิ เฉยไมยินยลสนใจ
๑๒๓ เพราะไมทราบจะไปขอ งเก่ียวดว ยอยา งไร จึงพักการกอกรรมดรี ายแบบสัตวใ นภพลา งๆเปนเวลานาน แสนนาน ดวยความหลงเขาใจผดิ วาภาวะของตนคงเปน อมตะ เปนนริ นั ดรอ ยางแทจรงิ แทจริงไดช ่อื วา เปนเพียง ‘อรูปพรหม’ อนั จะตองเวยี นวา ยตายเกดิ อยูอีกเทานั้น ๔) จิตอันเปน ไปในโลกุตตรภมู ิ คอื จิตท่มี ีเคร่อื งลอ เปนอาการเกดิ ดับแหง รูปนาม หรอื อาการท่ีรูป นามแสดงความไมใชตวั ตนออกมาใหลวงรู อยา งเชน เมอ่ื ฝกสติรูลมหายใจไดเปน ปกติ ก็สามารถเห็นชดั วา ธาตุลมมเี ขา มีออก มีหยุด ไมใชส่ิงทเี่ ที่ยง เชน เดียวกบั อารมณสุขทุกขทง้ั ปวง เชน เดียวกบั สภาพจิต ทสี่ งบแลว กลับฟงุ และเชน เดียวกบั สรรพส่ิงท้งั ทีเ่ ปนรปู ธรรมนามธรรมทว่ั สากลจักรวาล ตา งก็แสดงตัว อยตู ลอดเวลาวาเกดิ ข้นึ ดวยเหตุ แลวมีอายขุ ัยทจ่ี ะตอ งดบั ลงเปนธรรมดา เมื่อจติ มปี กตเิ หน็ ทง้ั ตนเองและสรรพสงิ่ โดยความเปนของทตี่ องดับลง ไมม สี ิง่ ใดยัง่ ยืนค้ําฟา ก็จะ คอยๆถอดความเขา ใจผดิ และถอนตนออกจากหลม กาม ถอนตนออกจากอปุ าทานวา มสี งิ่ ใดสิ่งหนึ่งเปน ตวั เปน ตน กระทัง่ เกิดธรรมชาตลิ า งผลาญเครือ่ งรอ ยรัดจิตใหต ดิ อยูกับสงั สารวัฏ เปน ผบู ริสุทธห์ิ มดจด จากกิเลสทเ่ี รียกกนั วา ‘พระอรหันต’ ไมตอ งเวยี นกลับมาทกุ ขซ้าํ ทุกขซ าก เกดิ แลวแก แกแลวเจ็บ เจ็บ แลว ตายเหมือนอยางสัตวอ ่นื ท่ีไมร ูทางออกอีก พระอรหนั ตจะเปน ผไู มเห็นนิมิตหมายใดๆเมื่อใกลดับขันธ พวกทานมจี ติ สดุ ทายเปน ดับลงแลวไม มีจติ ใดเกดิ ขน้ึ สืบตออีก แตสาํ หรับผูท ี่เรม่ิ มีความเขา ใจความจรงิ เกยี่ วกับสังสารวัฏและทางออกจากสงั สารวัฏ เรม่ิ กําหนด สตดิ ูรูปนามเกิดดบั เริม่ มีความเพยี รอยางตอ เนือ่ ง จนกระทง่ั จติ ไมไ ยดีส่งิ อ่ืนนอกจากความเหน็ รปู นาม เกดิ ดับ ดงั น้กี ถ็ อื วา จติ เร่มิ เขามาอยูในโลกตุ ตรภมู แิ ลวเหมือนกนั เรยี กวาเปนผูพยายามเพอ่ื มี ‘ดวงตา เหน็ ธรรม’ ธรรมในที่นีค้ อื ความจรงิ สูงสดุ ธรรมในท่ีนีค้ อื ความวา งจากตวั ตน ธรรมในท่นี ี้คือพระนิพพาน อันปราศจากการเกดิ และการดบั มีแตค วามเปดเผยไรรอ งรอยนิมิตอนั ใดส้นิ ภพภูมใิ นมุมมองของผูม ีทิพยจกั ขุ ในมมุ มองของผูมจี กั ษอุ นั เปนทพิ ย ลว งประสาทตาสามญั ของมนษุ ยธรรมดา ภพภูมเิ ปนเครอ่ื ง จําแนกผลกรรมทใ่ี หญท ่สี ุด เปนภาพใหญท ี่สุดทีเ่ ห็นไดว า ใครเปนใคร ทาํ อะไรมาอยา งหนกั โดยมาก สภาพของภพภูมิตางๆนน้ั เปน คนละมิตกิ นั บางทเี ทียบเคยี งใหเ ขา ใจทั่วถงึ ไดย าก อยางเชนเขต แดนในสวรรคแ ละนรกน้ัน ไมใ ชแ ผนดินซงึ่ มีพ้นื ท่ตี ายตัว และไมใ ชเขตตอ เนื่องถงึ กนั เหมอื นดาวเคราะห อยางโลกเรา แตนมิ ิตแหง สภาพแวดลอ มเชน ความเปนปาเขา ลําธาร ตน ไม เปลวไฟ บานเรอื น ปราสาท
๑๒๔ ราชวงั พอจะเปรียบเทียบไดก บั ท่เี หน็ ๆในโลกเรา เพียงแตม คี วามหยาบและความประณตี ผดิ แผก แตกตา งจากกันตามลาํ ดับภพภมู ิ อยางไรก็ตาม จิตท่คี ิด จติ ท่เี หน็ ถกู จติ ทเี่ ห็นผิด จติ ทเี่ สวยสขุ จติ ทเ่ี สวยทกุ ข แมเ ทียบน้ําหนัก แลวหา งชัน้ กนั เพียงใด ก็สามารถอนมุ านเอาไดจากจติ แบบมนษุ ยนี้ ฉะนัน้ การชเี้ นนเขามาทส่ี ภาพแหง จิตยอ มกอใหเกิดความรูสึกสัมผัสถงึ ภพภมู ติ า งๆไดม ากกวา การกลาวถึงรูปทรงหรือสถาปต ยกรรมของ เคหสถานในภพอนื่ กนั ตรงๆ สัตวใ นแตละภพภูมจิ ะเหน็ วาทงั้ โลกมแี ตพวกของเขา และรูสกึ วาไมม สี ิ่งอน่ื สาํ คัญกวา พวกของ เขา ยกตวั อยา งงายท่ีสุดคือสัตวใ นภพมนษุ ย คือพวกเรานเ่ี อง ถึงแมจ ะรวมอาศัยในดาวเคราะหด วง เดยี วกนั กบั สัตวใ นภพอ่นื กจ็ ะมองไมเห็น ท้ังเปรตและเทวดา หนักไปกวา นั้นคือแมแ ตเหลา เดรจั ฉานท่ี ว่งิ กนั ใหเกลื่อน บางลทั ธิยงั อุตสาหส รางความเชอ่ื วา พวกมนั ไมมีจิตวิญญาณ หรือเปน เพยี งวตั ถทุ ่เี กดิ มา ใหมนษุ ยกดั กนิ โดยเฉพาะ การไรค วามสามารถเหน็ สัตวจุติและอุบัตดิ ว ยแรงกรรม การไรญ าณหยั่งรวู า ภพภูมิอ่นื มี โลกหนา มี อดตี ชาตมิ ี ลวนแลวแตตกี รอบ ครอบมมุ มองของพวกเราใหค บั แคบจาํ กดั มกี ารถกเถยี งกันท่ีโนนท่ีนี่ วาตายแลว ไปเกดิ ตอ หรือดบั สญู ทัง้ ๆท่ีเหลาวิญญาณกําลงั ทะลักเขาทะลักออก แลกเปล่ียนหมุนเวยี น จากฟากตา งๆไปสฟู ากตา งๆอยูทกุ วินาที แมแ ตม นุษยก ับเดรัจฉานก็มีการแลกฝงกันทโ่ี นนทน่ี ่ีอยตู ลอด ไมขาดสาย มนุษยตายกันวินาทีละประมาณ ๒ คน เราไมร ูหรอกวา แตละนาทมี คี นกลายรางเปน สตั วก นั ทั้งหมดกี่ราย! ความไมร ู ความไมเห็น ลว นเปนความมดื ทบึ ท่นี า สะพรงึ กลัวย่งิ เสียกวากนลึกสดุ ของถา้ํ คนสว น ใหญเริม่ ใชเหตุผลกนั ออกมาจากความไมร ู และทะนงหลงยึดเหตุผลของตนวาเปนส่งิ นา เลื่อมใส สวน ใหญคนที่ไดข อสรุปจากเหตุผลของตนเองวา ชาติหนาไมม ี ชาตกิ อนไมม ี ผลกรรมไมมี จะเปนพวกทท่ี าํ ทกุ สิง่ ไดต ามอาํ เภอใจ กเิ ลสสง่ั ใหท าํ อะไรกท็ าํ ไมตอ งกลัวผลกรรม ไมตอ งละอายตอ บาปใดๆทง้ั ส้ิน ขอเพียงศึกษาและฝก ‘วชิ ารตู ามจริง’ ของพระพทุ ธเจา จติ จะเหมอื นแสงสวางสอ งเขา ไปเห็นทม่ี ืด เดิม เริ่มต้งั แตอาณาบริเวณที่เราแตละคนอาศยั อยูน่ีเอง และสามารถเห็นไดว าภพภมู ใิ หมอ าจฉายเงาได ตั้งแตขณะยังมชี ีวิตอยูบ นโลกมนษุ ยทีเดียว อยางเชนคนทตี่ ระหนถ่ี เ่ี หนยี ว ละโมบโลภมาก คิดแตจะแสวงประโยชนเขาตัว จะมีเงามดื กอ ตวั ข้นึ เหมือนหลุมดาํ ที่คอยดึงดดู เอาความชวั่ รา ยทัง้ หลายเขา หาตวั แมแกลงทาํ ดมี เี มตตา กระแสจิตก็จะไม แผผ ายออกทําความรสู ึกอบอุน ใจใหแ กคนใกลช ดิ ไดส ักเทาใด บางครงั้ เขาอาจรูสึกอดึ อดั แตก ็ไมสนใจ เพราะกิเลสสง่ั ใหสนใจแตการกอบโกยทา เดยี ว แมขณะเปนมนุษยเ ขารํ่ารวยจากการคดโกง แตผ ูมที ิพยจักขยุ อมเห็นความราํ่ รวยของเขาเปน เพียงภพหลอกตา เพราะภพจรงิ ทจี่ ติ เขากอ ขึน้ น้นั คือความยากจนขนแคน เขาสรา งโซตรวนรดั ตนเองไว
๑๒๕ กับดนิ แดนแหงแลง ไรความอบอนุ ไวใหตัวเองไดอยอู าศยั เขาจะเปนผูถูกเอารัดเอาเปรยี บไดง าย หัน หนาไปหาความชว ยเหลอื จากทางใดก็จะถกู ปดกน้ั จากทางนนั้ การขาดแคลนนํา้ ใจตอ เพ่ือนรว มโลกก็คอื การสรางภพท่ขี าดแคลนความชมุ เย็นตอตนเอง แมจ ิต วญิ ญาณในปจ จุบนั กแ็ หง แลงเหมือนดอกไมข าดนํา้ ขอเพียงมีนา้ํ ใจ มีความคดิ สละ ยิง่ มากเทาไหร ใจ จรงิ กย็ ง่ิ รินเมตตาออกมาเทานัน้ กระแสความรูสกึ ที่ผายออกกวา งนั้นเองคอื ภพแหง ความสบายไมขัดสน ในเบ้ืองหนา หรอื อยา งเชนคนทปี่ ราศจากศลี ไมม คี วามซอ่ื สตั ย ไรค วามอดกลน้ั ตอสิง่ ยัว่ ยใุ หกระทาํ ผดิ จะมี เงามดื ทาบทับจิตวิญญาณของเขาเหมอื นยกกาํ แพงหนาทบึ ขนึ้ ต้งั บังแสงสวาง เร่ืองท่นี า จะรูไ ดดวย สามญั สํานึกวา ดี กลับเห็นเปนของเลว แตท ่ชี ัดเจนวา เลว กลบั เหน็ เปน ของดี ฤทธิข์ องกเิ ลสสามารถกลบั จิตใหเ หน็ นกเปนไม เหน็ ไมเ ปน นก ทาํ จติ ใหเ ห็นดําเปนขาว เห็นขาวเปนดาํ ไดอ ยางเหลอื เชื่อ แมข ณะเปนมนษุ ยเ ขาสะสวยหรอื หลอเหลาจากบุญเกา หรือจากการเสริมแตง ดว ยศัลยกรรม แตผู มที ิพยจักขุยอมเหน็ ความสวยหรอื หลอของเขาเปนเพียงภพหลอกตาชว่ั คราว เพราะภพจริงทจ่ี ติ เขากอ ข้นึ น้ันคือความหมน หมอง ปราศจากสงา ราศี ดูไมน า ชน่ื ตาช่ืนใจเหมอื นเปลือกนอกทห่ี อหุมอยู แมต ัว เขาเองจะทะนงในรูปลกั ษณท่ดี งึ ดดู เพศตรงขามได แตก็จะไมปล้มื ใจกบั ความอัปลักษณท ฉ่ี ายออกมา จากภายใน เปน ทีร่ อู ยูแกใ จตนเองเลย การขาดสงา ราศขี องศีลกค็ อื การสรา งภพทีข่ าดความงามสะอาดตา แมจ ิตวญิ ญาณในปจจบุ ันก็ มอมแมมเหมือนคนตกลงไปในบอ โคลน ขอเพียงมจี ิตใจใสสะอาด มีความคดิ ซื่อ ยง่ิ มากเทา ไหร ใจจริงก็ ยิง่ ปราศจากมลทนิ เทานัน้ กระแสความรสู กึ ท่ีหมดจดงดงามน้นั เองคอื ภพแหง ความดดู ีไมมที ต่ี ใิ นเบ้ือง หนา ธรรมดาคนสว นใหญจ ะครง่ึ ดีครึง่ ราย จะไมม ีหลมุ ดําดึงดูดความชวั่ รา ยเขา สูตวั ชดั เจน ขณะเดยี วกันกไ็ มไดม กี ระแสธารแหง ความเมตตาแผผ ายออกมาลน หลาม จึงเปนเร่ืองดูยาก ตดั สนิ ยาก สําหรบั คนธรรมดาทั่วไปที่ปราศจากญาณ หรือแมก ระท่ังผมู ญี าณเบ้อื งตนที่ไมถึงระดบั ทพิ ยจักขุ ก็ไม อาจสัมผัสไดแ นนอนวาผูใดมนี าํ้ หนกั เอนเอียงไปทางไหน และแมแตผูมที ิพยจักขซุ ่ึงเหน็ ภพอันเปน ที่ไปของใครสักคนแจมชดั เพราะราศีสวรรคแ จม จา ออกมาดูเรืองโรจนโชตชิ วง กไ็ มอาจทํานายชนดิ เอาคอเปนประกนั วา ใครคนนน้ั จะตอ งพุงขนึ้ สวรรคอยาง แนนอน เน่อื งจากภพของจิตเคล่อื นไดเรอ่ื ยๆ วันน้ีชอบทําความดี วนั หนา อาจเคลื่อนไปชอบทาํ ความชว่ั โดยไมรูเนือ้ รตู ัว วันน้ีทาํ สมาธไิ ดถงึ ฌาน วนั หนา อาจเคลื่อนหลนลงมาเปน คนฟงุ ซา นสตแิ ตก เพราะไป ทํากรรมบางอยาง เชนอวดโอโอหงั ลองดีกบั สิ่งศักด์สิ ิทธไิ์ ปท่ัว อยา งน้กี ็มใี หเหน็ มาก โลกปจ จุบนั เต็มไปดว ยกับดักหลมุ ดาํ ดงึ ดดู ผูคนใหลงตา่ํ ท้ังสอื่ ลามก ท้ังสงครามฆาฟน ทั้งการ แขงขนั แยง ความสาํ คัญกัน จงึ ไมน าสงสัยวาความรูความเห็นของคนทว่ั ไปทําไมวปิ ริตผดิ เพี้ยนกันใหญ
๑๒๖ บางทเี อาโจรมาเปนพระเอก บางทคี นดีเหนียมอายกับการทําดี บางทกี ารทําเร่อื งนาละอายกลายเปน การพิสูจนความใจถงึ ภพของคนสวนใหญจ งึ เปนภพทช่ี ่วั โดยไมร ูตัววา จิตของตนยดึ ตดิ อยูกบั ภพ ท่ีช่วั เพราะสภาพแวดลอ มท้ังมวลพากันตะลอ มหลอกวา ภพท่ชี ัว่ คือภพปกติของคนทั่วไป ตอเมอ่ื รจู กั พทุ ธศาสนา ศึกษาวิชา ‘รูตามจรงิ ’ ของพระพุทธเจา ก็จะไดเ ขา ใจอยา งถอ งแทวา อะไร คอื กุศล เปน ธรรมชาตดิ านสวา ง มคี วามรงุ เรอื ง เพื่อความสุขสบาย อะไรคอื อกุศล เปนธรรมชาตดิ า นมดื มคี วามอบั ทึบ เพื่อความทกุ ขร อน จงึ คอ ยสามารถดึงตวั เองออกมาจากหลมุ ดาํ ตางๆทตี่ นติดหลม อยไู ดท ี ละเปลาะ กาํ เนิด ๔ และคติ ๕ ภพนอยใหญน้ันมีมากมายเหลอื คณานบั และแมวธิ ีอบุ ัติข้นึ ในภพภูมทิ ัง้ หลายกผ็ ิดแผกแตกตาง กัน พระพทุ ธเจาจาํ แนกความตา งอนั สลับซบั ซอ นใหเ ปนของงาย โดยแบง กาํ เนิดออกเปน ๔ วธิ ี และคติ ออกเปน ๕ สถาน กาํ เนดิ ๔ รูปแบบวธิ ีมีดังน้ี ๑) อัณฑชะกําเนิด สตั วเกดิ โดยการชําแรกเปลอื กแหง ฟองไข ๒) ชลาพชุ ะกาํ เนดิ สตั วเ กดิ โดยชําแรกไส (ในมนุษยห มายถึงมดลูก) ๓) สงั เสทชะกําเนดิ สตั วเกิดในปลาเนา ในซากศพเนา ในขนมบดู หรอื ในน้าํ ครํา ในเถาไคล (คือ ในของสกปรกทง้ั หลาย) ๔) โอปปาตกิ ะกาํ เนิด เทวดา สัตวนรก มนุษยบ างจําพวก และเปรตบางจําพวก (ผดุ เกดิ ขึ้นเตม็ ตัวโดยมไิ ดอาศัยทางออกอื่น) สวนคติหรอื ท่ไี ปนัน้ พระพทุ ธเจา ทรงตรสั วาทานกาํ หนดรูใจบุคคลบางคนในโลกนีด้ ว ยใจ ทราบ ชดั วาผูใดปฏบิ ตั อิ ยางน้นั ดําเนนิ อยางนั้น และขนึ้ สหู นทางนนั้ เบื้องหนาแตตายเพราะกายแตก ทา น สามารถเล็งเห็นดวยทิพยจักขอุ ันลวงจักษขุ องมนษุ ย วา ผูน้นั จะเขาถงึ คติทเ่ี ปน ไปได ๕ สถาน ดังนี้
๑๒๗ ๑) วิสัยนรก ทั้งพระสาวกผูม ที พิ ยจกั ขุในอดีตและปจจบุ ัน ไดใ ชคําบรรยายตรงกันโดยมิไดน ัดหมายคือเปน สถานทท่ี ี่ ‘แออดั ยดั เยียด’ กันระหวางสัตวนรกท้งั ปวง ถาประมาณไมถูกก็ขอใหนึกถึงเหลาหนอนไหนท ่ี รมุ เจาะไชซากศพ แมจ ะมีปริมาณศพนบั ลา นรา ง กย็ งั ไมพ อรองรับเหลาหนอนที่มารุมไชกันเอาเลย! ผมู ี ทิพยจักขุยอ มเห็นสงั สารวัฏโดยความเปน ทุกขกเ็ พราะสัตวน รกนน้ั มีมากกวาภพอื่น ทาํ นองเดียวกับท่ี โลกนี้ปรากฏวา มคี นโงมากกวา คนฉลาดน่นั เอง เมอื่ โงเร่ืองกรรมเรอ่ื งเดยี ว ยอมเปน ผสู ง ตนไปนรกได งายดายนัก สภาพความเปนอยใู นนรกนั้น พระพทุ ธเจาทรงตรสั เปรียบไวกบั สภาพทพี่ วกเราพอนึกออกคือ เหมอื นมีหลมุ ลกึ ย่งิ กวา สวนสูงของบรุ ุษหลุมหนึ่ง ซ่งึ เตม็ ไปดว ยถานเพลงิ ปราศจากเปลว ปราศจากควัน ลาํ ดับนนั้ บุรุษผูม รี า งอันความรอนแผดเผาทัว่ สรรพางค มีความเหนด็ เหนื่อย สะทกสะทา น และกาํ ลงั หวิ กระหาย มงุ มาสหู ลุมถา นเพลงิ นน้ั (ดวยเสน ทางคือกรรมทท่ี าํ มา) และไดต กลงไปเสวยทกุ ขเวทนาอนั แรงกลา เผ็ดรอนโดยสว นเดยี ว สรปุ คือนรกคอื สถานทท่ี ีเ่ นนความแผดเผา และแปลวาวิบากกรรมอันสงสัตวเ ขาไปอยูในนรกตอง หนกั หนาสาหสั เอาการ ที่แนน อนคอื พวกทาํ อนนั ตรยิ กรรม ๕ ซ่งึ กลา วไวแลวในบทกอน และอีกประเภท หน่ึงคือพวกท่ีทาํ บาปเผด็ แสบ คือทาํ ความเดอื ดรอ นใหผ อู นื่ ไวมาก และไมมีบุญท่ชี ว ยประคองอยู บาปกรรมท่มี ีน้าํ หนักมหาศาลจึงถวงเขารวงลงทะลุถงึ พื้นนรกานตจ นได ๒) วิสยั เดรัจฉาน เราไดเ หน็ เดรจั ฉานกลาดเกลอื่ นบนดาวเคราะหดวงน้ี ซึ่งก็มสี ภาพความเปน อยหู ลากหลาย บาง พันธุไดใ กลชดิ มนุษย เชนสนุ ขั และแมว บางพันธุก ็อยูในปา ลึก เชน ชา งและเสือ เราเห็นดว ยตาเปลา วา สัตวแ ตละสายพนั ธมุ ีสตปิ ญ ญาแตกตา งกัน มอี ัตภาพทนี่ า อึดอดั และปลอดโปรง ผดิ แผกกัน แตใ นสายพระเนตรของพระพุทธองคผ หู ย่ังรูและสามารถเปรยี บเทียบเดรัจฉานกบั ภพภมู ิอน่ื ไดทวั่ ถงึ ทานตรัสไวว า เหมือนมหี ลมุ ซึ่งลกึ ยิง่ กวา สวนสงู ของบรุ ษุ หลุมหนง่ึ ซ่ึงเต็มไปดวย อุจจาระ ลําดบั น้ันบุรุษผูมรี างอันความรอ นแผดเผาทั่วสรรพางค มีความเหนด็ เหนื่อยสะทก สะทา น และกําลังหวิ กระหาย มงุ มาสหู ลุมอจุ จาระนั้น (ดว ยเสน ทางคือกรรมท่ที าํ มา) และไดต ก ลงไปเสวยทกุ ขเวทนาอันแรงกลา เผด็ รอนย่ิง สรุปคอื กาํ เนิดเดรจั ฉานน้นั โดยรวมแลวโสโครกนารังเกียจ ชวนใหอ ึดอดั ระอา วบิ ากกรรมอนั สง สตั วเ ขา ไปอยูในเดรัจฉานภมู ิไมหนักเทา วิบากท่ีสง ใหถงึ นรก แตกใ็ กลเ คยี ง อาจจาํ แนกไดครา วๆวาถา เปนพวก โลภมาก จะไปเกดิ ในสายพันธทุ ีอ่ ตั คดั ขดั สนเร่อื งอาหารและน้าํ ถา เปน พวกโทสะแรง จะไปเกดิ ในสาย
๑๒๘ พันธุที่ตอ งกัดกินกนั เองหรอื แยงชงิ อาหารกนั ดวยความดรุ า ย สวนถา เปน พวกที่ตายขณะมโี มหะครอบงาํ คอื หลงมาก แตยังมีบุญเกาประคับประคองอดุ หนุน ก็อาจไดม าเปน หมาแมวนารักท่มี คี นเอน็ ดูชุบเลี้ยง ๓) วสิ ยั เปรต เปรตในความรับรูของคนไทยสว นใหญม เี พียงจําพวกท่ีรา งสงู โยง ปากเลก็ จู และมคี วามหวิ กระหายเปนอาจิณ ความจรงิ แลวเปรตยังมีมากจาํ พวกกวานั้นเยอะ และสวนใหญก ไ็ มไดม ีสภาพนา ทเุ รศทรุ ังสถานเดยี ว บางพันธุมีภาพหลอกสงู สง กวา มนุษยเ สียอีก คอื บางกาลปรากฏโดยความเปน เทพ แตบ างกาลก็ปรากฏละมา ยสัตวใ นนรกภมู ชิ ้นั ตนๆ สาํ หรบั ความลําบากลําบนของพวกเปรตนนั้ โดยรวมพระพทุ ธองคตรสั เปรียบวา เหมือนตน ไม เกดิ ในพื้นทลี่ ุมๆดอนๆไมร าบเสมอกนั มใี บออ นและใบแกอนั เบาบาง มีเงาอันโปรง ลาํ ดบั นัน้ บรุ ษุ ผูม ีรา งอันความรอนแผดเผาทัว่ สรรพางค มคี วามเหน็ดเหนื่อยสะทกสะทาน และกาํ ลังหวิ กระหาย มงุ มาถึงตน ไมน นั้ (ดวยเสน ทางคอื กรรมทท่ี ํามา) แลว นั่งหรือนอนใตร มเงาตน ไมน ั้น เสวยทุกขเวทนาเปนอันมาก สรปุ คือกาํ เนดิ แหงเปรตนั้น โดยรวมแลวสภาพแวดลอ มไมไ ดเ ผาลน และมิไดสกปรกโสโครกเทา นรกและเดรจั ฉาน แตก็มีความไมแนนอน บางจุดบางเวลาอาจเรารอนขนึ้ ได (เชน ท่พี ระพุทธองคเ ปรยี บ เหมือนปาโปรง ท่ีมีใบบังแดดฝนเพียงเบาบาง) หรืออาจไมส บายเนื้อไมส บายตัวอยูดวยอัตภาพของ ตนเอง วิบากกรรมอันสงสัตวเ ขา ไปอยูใ นภมู เิ ปรตไมห นักเทาวิบากทสี่ ง ใหถึงเดรัจฉาน แตก็ใกลเคยี ง คอื ยงั อาจมีความรสู ึกถึงอตั ภาพทส่ี งู สงคลา ยมนษุ ยอยู แตกเ็ สวยสขุ แบบมนุษยไมไดอกี แลว ตวั อยา งเชนเปรตบางพันธนุ นั้ นา สงสาร เพราะความจรงิ มีบญุ มาก แตกอนขาดใจตายเกิด ผดิ พลาดทางใจ เหมอื นพระธดุ งคบางรูป ทา นกอ็ ยูใ นกรอบวนิ ัยพอสมควร แตประพฤตธิ รรมไมไดถึง ระดบั มคี ณุ วเิ ศษ เชน มรรคผลและฌานสมาบัติ ขณะใกลม รณภาพทานหวิ กระหายจดั ไมมอี าหารและ น้ําตกถงึ ทอง จิตไมมีที่ยดึ เหนี่ยวอันเปน กศุ ลอ่ืน แตป ก แนว เขาไปในความกระหายอยากอยา งรุนแรง เลยทําใหเกิดภพแหงการแสวงหาอาหาร เดินทอมๆอยูในราวปา ดว ยความนกึ วาทานยงั เปน พระกาํ ลงั ออกบณิ ฑบาตวนไปเวียนมา อตั ภาพยังมีเครือ่ งนุงหมเปนจีวรและบาตรเหมอื นพระอยู แตก ไ็ มไดม ไี ฟ แผดเผา ไมไดมขี องโสโครกมาแปดเปอนทา น เพราะไมไ ดกออกุศลกรรมหยาบชาเอาไว
๑๒๙ ๔) วสิ ัยมนุษย มนษุ ยก ็คือพวกเรานี่เอง กาํ ลงั มตี ัวเปนๆและลมหายใจเขาออกอยูสดๆรอ นๆนีแ่ หละ เรยี กวา ภพ มนุษย วสิ ยั มนุษย ตัดเอาเพศพนั ธุ รปู รา งหนา ตา ฐานะ และสติปญ ญาทง้ิ เอาเฉพาะสภาพแวดลอมและอตั ภาพ ความเปนกายทผ่ี วิ นอกแหงสะอาดนมุ นิ่มสบายตัวเหมอื นอยางน้ี เมอื่ เทียบกับภพอื่นลางๆลงไป พระพทุ ธเจา ตรสั เปรียบวา เหมอื นตน ไมเ กิดในพื้นทอี่ ันราบเสมอกนั มีใบออนและใบแกอ นั หนา มีเงารม คร้ึม ลาํ ดบั น้นั บุรษุ ผูมีรา งอันความรอนแผดเผาทั่วสรรพางค มคี วามเหนด็ เหนอ่ื ยสะทก สะทา น และกําลงั หวิ กระหาย มุงมาถึงตนไมน้ัน (ดว ยเสนทางคือกรรมท่ที ํามา) แลวนั่งหรือนอน ภายใตเ งาไมนน้ั เสวยสขุ เวทนาเปนอนั มาก สรุปคือกําเนดิ มนุษยน น้ั จดั วา เปนสขุ แลว เหมือนคนกาํ ลงั เหนือ่ ย กําลงั รอน กําลังหวิ กระหาย ไดม าพบท่ีราบรมรนื่ มีปาไมใ บบงั กันแดดกันฝนไดอ ยางดี ยอ มผอนคลาย หายลา และยิม้ ออก พอประมาณ แมคนทไี่ ดร บั ความทกุ ขจากเพศของตน รูปรา งหนาตาของตน ฐานะของตน และสติปญ ญา ของตน ก็ควรทราบวา เม่อื เปรยี บกับภพภมู อิ ่นื ท่ตี ่ํากวานแ้ี ลว ความเปน มนษุ ยยงั เหมอื นท่พี ักกลางทาง วิบากอนั นา ชื่นชมกวา กนั มากนัก ๕) วิสัยเทวดา เทวดามคี วามเปนอยใู กลเ คยี งกับมนุษย คอื ยังเสพสุขจากกามคณุ ๕ คือเห็นรูปอันยวนตา ไดย ิน เสยี งอันรื่นหู สูดกลนิ่ หอมอันเรา ใจ ล้ิมรสอรอยชวนนาํ้ ลายไหล และแตะตอ งเครือ่ งกระทบอันมีสัมผัส ออนนุมนา พสิ มยั ใครตอใครอยากไปสวรรคกนั เพราะเลา ลือวา สําราญนกั หอมหวานยวนอารมณนัก งดงามบาดตา เราใจนัก ซ่งึ กส็ มควรแกคําเลาลือเหลานน้ั เพราะพระพุทธองคก ็ทรงตรัสเปรยี บไว เหมือนปราสาท แหงหนงึ่ ซง่ึ มีเรือนยอด ฉาบทาแลว ท้ังภายในและภายนอก หาชองลมมิได มวี งกรอบอันสนทิ มี บานประตแู ละหนา ตา งอันหบั ปดดีในเรอื นยอดนัน้ มบี ลั ลงั กอันลาดดว ยโกเชาวขนยาว (ผา ทํา ดวยขนแพะ) ลาดดวยเครื่องลาดทาํ ดวยขนแกะสขี าว ลาดดว ยขนเจียมเปนแผนทึบ มเี ครือ่ ง ลาดอยา งดที าํ ดว ยหนังชะมด มีเพดานกัน้ ในเบื้องบนมีหมอนแดงวาง ณ ขางทัง้ สอง ลําดับนนั้ บุรษุ ผูมีรางอันความรอ นแผดเผาทว่ั สรรพางค มคี วามเหนด็ เหนอ่ื ยสะทกสะทาน และกาํ ลังหิว กระหาย มุงมาสปู ราสาทนนั้ (ดวยเสน ทางคอื กรรมทีท่ ํามา) แลว นงั่ หรือนอนบนบลั ลังกใ นเรือน ยอด เสวยสุขเวทนาโดยสว นเดยี ว
๑๓๐ สรปุ คอื กําเนิดแหงเทพน้ัน จดั เปน เขตแดนอันพงึ ถวิลถงึ สาํ หรับสัตวท ่ยี ังเวยี นวายตายเกิดอยูใ น สังสารวฏั ไมถงึ กบั เกินจนิ ตนาการมนษุ ยอยา งเรา เราเสพสุขในกามคณุ ๕ กนั อยา งไร เทวดากเ็ สพใน ทํานองเดยี วกนั น้นั เพียงแตว ามีความประณตี กวา มีความเยา ยวนกวา มีรสอนั เลศิ กวา กันอยา งเทียบ ไมได เชนทีพ่ ระพทุ ธองคท รงเปรียบภพมนุษยเหมอื นปา ไมใบบังหนา ในขณะทเ่ี ปรียบภพเทวดาเหมือน ปราสาทราชวงั น่นั เลยทเี ดยี ว ขอใหทราบวา วสิ ัยเทวดานี้ พระพุทธองคทรงเหมารวมต้งั แตเทพในกามาวจรชนั้ แรกๆตลอด ท่วั ไปจนถงึ พรหมทัง้ ทมี่ ีรูปและไมม รี ูป เพราะฉะนั้นปราสาทราชวังท่ีพระองคตรัสเปรยี บวา นาชน่ื มน่ื ยิ่ง สําหรบั คนกาํ ลงั เหนือ่ ย กาํ ลงั รอน กําลังหวิ ยงั มรี ะดับช้ันซอยยอยออกไปอกี มหาศาล เอาเปน วา พระองคทา นกรุณาเปรียบเปรยใหเ ปน ท่ีเขา ใจงาย จินตนาการตามไดแ กพ วกเราเพยี งคราวเทาน้ัน วิธีชท้ี างสวรรคแ กผปู วยใกลต าย ตัง้ แตโ บราณกาลนานมา พทุ ธศาสนกิ ชนในไทยปรารถนาจะไดร ับคาํ ตอบประการหนึ่งอยา ง ยิ่งยวด คือเม่อื ตวั เองใกลจ ะตาย หรือเมือ่ ญาติอันเปนท่รี กั เจบ็ หนัก ควรจะชว ยเหลอื กนั อยางไรเปน การ สงใหไปดี วธิ ีทนี่ ิยมกนั มากคอื ใหคนตายทองไววา ‘พระอรหันตๆๆ’ คอื จะใหก อดพระอรหันตผ ูหมดกิเลสไว แนนหนา ซึ่งกน็ ับวา ใชไดถ าผกู ําลงั จะตายเขาใจวา พระอรหนั ตเ ปนอยา งไร แตปญ หาคือคนเราถา ท้งั ชวี ติ ไมเ คยศกึ ษา ไมเ คยรจู กั พุทธธรรม จๆู จะใหท อ ง ‘พระอรหนั ตๆๆ’ แลวไปดีนน้ั ยาก เพราะจติ ไมรูวา พระอรหันตคอื ใคร บรรลุธรรมอนั ใดมา จงึ เปรยี บเหมือนเทวดาย่ืนเขม็ ทิศใหคนหลงปา โดยปราศจากการ แถมคูม ือใชง าน แมคนหลงปาควาเข็มทศิ ไวไ ด แตใ ชเขม็ ทิศไมเปน ไมรวู าเข็มทิศคอื อะไร ทํางาน อยา งไร อยางนกี้ ต็ อ งกลายเปนผูหลงทางตอ ไปอยดู ี มาฟงธรรมอันเปน ที่ตั้งแหง ความเบาใจ ๔ ประการท่พี ระพทุ ธเจา ตรสั ไวด กี วา เม่อื มกี ษัตรยิ องค หน่งึ เสด็จไปเขา เฝา พระผูมพี ระภาคถงึ ท่ีประทับ และไดก ราบทูลถามวา อบุ าสกผมู ีปญญาพงึ กลา วสอน ผูปวยซ่งึ มปี ญญาดว ยกนั แตกําลังไดเ สวยทกุ ขจากการเปนไขห นัก (ใกลต าย) วาอยา งไรดี พระพุทธ องคต รัสใหส อนอยา งน้ีคอื จงเบาใจเถดิ วาเธอมคี วามเล่อื มใสไมห วั่นไหวในพระพทุ ธเจา ในพระ ธรรม ในพระสงฆ มีศลี ทพ่ี ระอรยิ เจาใครแ ลว ไมขาด ไมท ะลุ ไมด าง ไมพรอย เปน ไท วิญชู น สรรเสรญิ มศี ลี อนั อยูเหนือความทะยานอยากทผ่ี ดิ และความเหน็ ผิดทงั้ ปวงแลว และเปนไปเพอ่ื ความตัง้ มัน่ แหง จิต อนั นีห้ มายความวา ถาใกลตายอยู มีความศรทั ธาเล่อื มใสในพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆอยาง ม่นั คง กับท้งั มีความเห็นชอบในเร่อื งคณุ และโทษ ในเรอ่ื งบญุ และบาป และนอ มใจรกั ษาศีลไดสะอาด
๑๓๑ บริสุทธ์จิ นจติ ไมแ สสายกังวลไปในบาปท้ังหลายแลว ก็ยอ มเกิดความตงั้ ม่ัน มีความเบาใจเปน ธรรมดาวา จะจากไปสูความปลอดภยั นอกจากนน้ั พระพุทธองคยังตรสั วา หลังจากปลอบเชนนี้แลว ใหถามผูปวย (ในกรณที พ่ี อแมยังมี ชวี ติ ) วา ยงั มคี วามหว งใยในมารดาและบิดาอยูหรือไม? ถา หากผูปวยตอบวายังหวงใย กใ็ หก ลา ววา ทกุ คนตอ งตายเปน ธรรมดาเหมือนกบั เรา ถงึ เราใสใจหวงใยหรือไมหวงใยในมารดาและบิดา พวกทา นก็ จะตองตายไปอยูดี ฉะน้นั ขอใหละความหวงใยในมารดาและบดิ าเสียเถิด หากเขารบั วา สามารถละความหวงใยในมารดาและบิดาไดแ ลว พงึ ถามเขาอกี (ในกรณที ่บี ุตรและ ภรรยายังมีชีวิต) วา ยงั มคี วามหวงใยในบุตรและภรรยาอยหู รือไม? ถาหากผปู วยตอบวา ยงั หวงใย กใ็ ห กลาววา ทุกคนตองตายเปนธรรมดาเหมอื นกับเรา ถงึ เราใสใจหวงใยหรอื ไมหว งใยในบตุ รและภรรยา พวกเขาก็จะตอ งตายไปอยูดี ฉะนนั้ ขอใหละความหว งใยในบุตรและภรรยาเสียเถิด หากเขารับวา สามารถละความหว งใยในบุตรและภรรยาไดแ ลว พงึ ถามเขาอีกวา ยงั มีความหว งใย ในกามคุณ ๕ อนั เปนของมนุษยอ ยูหรือ? (เชน ยงั อยากเสพกาม ยงั อยากเหน็ สาวสวยหรือหนุม หลอ ยงั อยากฟง เพลงโปรดจากสุดยอดเคร่ืองเสยี ง ฯลฯ) ถา หากผูปว ยตอบวายงั หว งใย ก็ใหก ลา ววากามอันเปน ทพิ ยยังดีกวา ประณตี กวา กามอนั เปน ของมนุษย ขอทานจงพรากจติ ใหอ อกจากกามอนั เปนของมนษุ ย แลวนอมจิตไปในเทวดาชั้นตางๆเถิด (คอื เลาพรรณนาตามที่พระพทุ ธองคต รสั ยนื ยัน ดังแสดงไวแลวใน หัวขอกอน วาความสขุ ระดบั เทพยดานนั้ เหนือกวา ความสุขแบบมนุษยเ พยี งใด ใหเ ขากาํ หนดใจเช่อื มน่ั ไวว า การเสพกามในภพมนษุ ยย ังสุขนอยไป กายอนั เปนทิพยช วนใหเ สพสมยงิ่ กวา นั้น รูปเสยี งบรรดามี ในโลกทนี่ า โปรดปรานที่สดุ ยงั นาพสิ มัยนอยไป รปู เสยี งอันเปน ทพิ ยยงั นาอภริ มยยิง่ กวาน้นั มากนกั ) หากเขารับวา สามารถละความหว งใยในกามคุณ ๕ อนั เปนของมนษุ ยไดแลว พงึ กลาววา ความสขุ แมทีเ่ หนอื กวากามคุณ ๕ ในภพเทวดายังมี คือความสขุ จากการเขา สมาธฌิ านในพรหมโลก แตแมจะได เปนถึงรูปพรหมและอรปู พรหมกไ็ มเท่ียง ไมยั่งยืน ยงั นบั เนื่องในความหลงผิดยึดมัน่ ถือมนั่ วา ภพนน้ั ๆ เปนตน (หรือตนเปน อมตะ) ขอจงพรากจิตใหออกจากเทวโลกและพรหมโลก แลวนําจิตเขาไปในความ ดบั จากการยึดมั่นถือม่ันเถดิ หากเขารับวา สามารถถอนความยดึ มัน่ แมใ นเทวโลกและพรหมโลกแลว และไดน ําจิตเขา ไปใน ความดบั จากอาการยดึ มนั่ ถอื มน่ั วาเปน อะไรๆแลว เชน นน้ั พระพทุ ธองคตรัสวาทานไมก ลา วถงึ ความตา ง อะไรกันระหวา งผมู ีจิตพน แลว อยางนี้ กับภิกษุผูพ นแลว ตั้งรอยป เพราะตา งกพ็ นดวยวิมุตติเหมอื นกัน ขอใหทราบวาชวงจงั หวะใกลต ายน้นั เปนโอกาสทอง จิตกําลงั หาทิศทางอันเปน ทไี่ ป ไมคอยอาลยั สิ่งทเ่ี หน็ วาตนกําลงั จะตองท้งิ ไวใ นโลกน้ีอีกแลว จึงมีความหนักแนนเปนพิเศษ หากเราพูดเหนยี่ วนําเขา ตามท่ีพระพุทธเจา ตรัสแนะไดล ะ ก็ ไมใชแคค นปวยหนกั จะเขา ถึงสุคติ แตอาจมจี ิตปลอยวางไดถงึ ทีส่ ุด จรงิ ๆ!
๑๓๒ หากชวงทายๆของผปู ว ยสามารถเขาใจธรรมะ สามารถยอมรับ สามารถเลือ่ มใสศรทั ธาเชือ่ ถอื วา นิพพานเปน ของดี เปน บรมสุขอันถาวรแลว ก็อาจสาํ ทับลงไปตามแนวทางเปรียบเทยี บคตติ า งๆของพระ พทุ ธองค คอื กลา วตามจรงิ วานรกนน้ั แผดเผา เดรจั ฉานนน้ั เนาเหมน็ เปรตนน้ั ลุมๆดอนๆ มนษุ ยนัน้ เรม่ิ สบาย สวนเทวดานนั้ สุขจรงิ แตก็ไมส ขุ ไดต ลอด ผมู ีปญ ญายอ มพจิ ารณาเห็นภยั แหงความไมเที่ยงในคติ ตางๆ และประมาณไดวา หากไมหลุดพน ไปจากวงั วนแหง การเวียนวา ยตายเกดิ ก็ยอมพลาดเขาสกั วัน สมดงั ที่พระพทุ ธองคทรงตรัสวา ถา คดิ จะทองเที่ยวเกดิ ตายไปเรอื่ ยๆ การหลกี เลยี่ งนรกมิใชว สิ ัยที่ จะเปนได พระพุทธองคไดตรสั สรปุ ไวช ัดวา ความสุขระดบั วมิ ุตติ คอื หลดุ พน จากความถือมน่ั ในภพท้งั ปวง นั้นเปนอยางไร เราสามารถนําไปพรรณนาใหผ ปู ว ยใกลตายไดฟงเพ่อื ความเลือ่ มใสหนักแนน ขึ้น คอื เปรียบแลว เหมือนสระโบกขรณี มีน้าํ อนั สะอาดใสเย็นอยตู ลอด กบั ท้ังมที า อันดี นา รืน่ รมย และ ในท่ีไมไ กลสระโบกขรณนี ัน้ มแี นวปา อนั ทบึ ลําดับน้นั บุรษุ ผูมีรา งอนั ความรอนแผดเผาทัว่ สรรพางค มคี วามเหน็ดเหนอ่ื ยสะทกสะทา น และกาํ ลงั หิวกระหาย มุงมาถึงสระโบกขรณนี ี้ ทเี ดยี ว เขาลงสนานกายและดม่ื ดับความกระวนกระวาย ระงับความเหน็ดเหน่ือยและความ รอนรมุ เสียได แลว จงึ ข้ึนไปนง่ั หรือนอนในแนวปานน้ั เสวยสุขเวทนาโดยสว นเดยี ว เพราะกิเลส เครื่องหมกั ดองทั้งหลายส้นิ ไปดวยปญญาอนั ยิ่งในปจจบุ นั สรุปวา วิมตุ ตสิ ขุ นัน้ เปนสขุ เดยี วทด่ี ับความกระหายไดส นิท ขอใหสังเกตการเปรยี บเทียบของพระ พทุ ธองควาวมิ ุตตหิ รอื ความหลุดพนจากกเิ ลสนัน้ เปน สถานทีเ่ ดียวท่ีมีนํา้ ใหดมื่ กินดับกระหาย ดับความ กระวนกระวาย ดับความรอ นรุม ไดส นทิ ขอเพียงผูปวยหนักใกลต ายมคี วามเลื่อมใสอยา งนี้ ปลอยวางภพภมู ิท้งั หลายดว ยปญ ญาอัน ถกู ตอ งอยา งนี้ แมจ ิตขาดกาํ ลังเพยี งพอจะเขา ถึงพระนิพพานอนั เปนความวา งจากภาวะทัง้ ปวง สงบจาก การปรงุ ประกอบทุกขทัง้ ปวง อยา งนอยที่สดุ กอนถงึ วาระแหงจตุ ิจิต เขายอมเหน็ นิมติ หมายอนั เปน มงคล เชนเหน็ องคพระปฏมิ าอรามเรอื ง หรอื เห็นพระพุทธนิมติ เสมอื นจริง หรือไดย ินเสยี งเทศนาธรรมเพอ่ื ความปลอ ยวาง กระทาํ จติ ใหแนวไปในความเปนมหากุศล เม่อื จิตสดุ ทายดบั ลง ยอมเกิดจติ ใหมส บื ตอ ใน สุคติภูมอิ ยางแนแ ท ไมมที างเลือนหลงพลัดตกลงไปสอู บายภมู ิไดเ ลยดวยประการใดๆทัง้ สิน้
๑๓๓ บทสาํ รวจตนเอง ๑) เราเปน ผมู คี วามอนุ ใจ สบายใจ มั่นใจ วา ตนเองพรกั พรอ มในการไปสโู ลกอ่ืนที่ดีกวา หรือไม? ๒) กรรมทีท่ าํ เปนประจาํ อันใด สรางความอุนใจ สบายใจ มน่ั ใจ วา เรากาํ ลงั จะไปสสู คุ ต?ิ ๓) กรรมที่ทําเปนประจาํ อันใด สรา งความกังวล สับสน กลบั ไปกลับมา วา เราอาจมที ุคตเิ ปนท่ีไป? ๔) เราเปน ผพู รอ มจะละกรรมอันเปน เหตใุ หไ ปทคุ ติ และพรอมจะเพม่ิ กรรมอนั เปนเหตใุ หไปสคุ ติ หรอื ไม? ๕) เราพรอ มจะตายพรอมกับความรูส ึกศรทั ธาในพระพทุ ธเจา หรือไม? สรุป มีหลายสิ่งที่เราไมอ ยากใหม ันเปนเรอื่ งจรงิ แตมันก็เปน เรอ่ื งจรงิ มาชวั่ กปั ช่ัวกลั ป ดงั เชน หลายคืน เราไมอ ยากตกอยูใ นหว งแหง ฝนรา ย แตเม่ือเหตุแหง ฝน รา ยมีอยู เราก็ตอ งนอนหลบั อยางทุกขทรมาน โดยไมอาจขดั ขืนจนกวา จะต่ืน ชวี ติ หลังความตายก็เชน กนั แมเ ราเชื่อวามนั ไมม ีดวยความทะนงตน หรือ แมเราภาวนาขออยา ใหมันมี หรอื แมเ ราสามารถรณรงคใหค นท้งั โลกเชือ่ วา ชาตหิ นาเปนนิทานเหลวไหล แตขอเพยี งมเี หตใุ หม นั มี อยางไรมันกต็ องมี มันจะมีหรอื ไมม ี ทางท่ีดีไมประมาทไวกอ น ดังทีพ่ ระพทุ ธองคท รงช้ีวาถา เราทําดแี ลว ยอ มเปนสุข ในปจ จุบัน และถาชาตหิ นา มี ก็จะตองไปดดี วย เรียกวาสําเร็จประโยชนทั้งปจ จุบันและอนาคตดว ยการ เพยี รละความชว่ั และสั่งสมความดเี ขาไว จะเปน ประกนั ชั้นเลิศสดุ การเปล่ียนภพเปล่ยี นภมู ิในแตล ะคร้ังอาจหมายถึงการแกต วั ใหมจากทเี่ คยผิดพลาด หรืออาจ หมายถึงการทดสอบซ้าํ วา เราดีทนแคไ หน ธรรมชาตจิ ะลบความจําเราเกี่ยวกบั ภพเดิมๆใหส ูญสิน้ ไป แต กรรมทท่ี ําเปนประจําจะทําใหเราเคยชินอยูกับนิสยั เดิมๆ การจะเปล่ยี นแปลงตนเองไดจ ําเปน ตองพบกบั ผูร ูแ จงแทงตลอดในกรรมวบิ ากทง้ั ปวงเชน องคสมเดจ็ พระสัมมาสัมพทุ ธเจา ดงั นั้นการปลกู ฝงความ เลื่อมใสไมห ว่นั ไหวในพระศาสดาจงึ เปน กุศโลบายทดี่ ีในการเดนิ ทางไกล ใครสามารถอนุ ใจไดว า เราจะ ตายพรอ มกับศรทั ธาในพระพุทธองค กไ็ ดช อื่ วาเปน ผูพกเอาเสบียงสําคัญทสี่ ดุ ตดิ ตวั ไปดว ยแลว ยาก แลว ท่จี ะพลัดไปมีครูผสู อนสัง่ เรือ่ งกรรมวบิ ากผิดๆ สาํ คญั คือการปลูกฝงศรัทธาในพระพทุ ธองคน ้ัน ไมมอี ะไรดีไปกวาลงมอื ปฏบิ ัติตามคําสอนของทาน ทั้งในแงของ การฝกเสียสละ รูจกั ใหท านเพือ่ ละความตระหน่ี และท้ังในแงข องการบําเพ็ญตนเปน ผูปลอดโปรงจากบาปอกศุ ลท้ังปวง รักษาศีลจนกลายเปน ที่รกั ยงิ่ กวาสิ่งยวั่ ยใุ ดๆ เมื่อประสบสุขทางใจเต็มอ่มิ แลว ก็จะบังเกิดความเลอื่ มใสวา พระพุทธเจา เปน ผสู อนความไมเบียดเบยี น เปน ผูช้ที างตรง ทางถูกทางไปสูสวรรคนิพพานไดจ ริง เมื่อนนั้ ศรทั ธาจะไมค ลอนแคลน และเราจะเปนผมู คี ติทไ่ี ปอันประเสรฐิ เสมอ
๑๓๔ สรปุ ทตุ ิยบรรพ สมยั ทพี่ ระพทุ ธองคยงั ทรงพระชนมน ้ัน เม่ือภิกษุ ภิกษณุ ี อุบาสก หรอื อุบาสกิ า คนใดคนหน่งึ ทาํ กาละ พระองคทา นมักจะตรสั พยากรณวาใครไดไ ปเกดิ ใหมในภพใด เม่อื มผี ูถ ามวาพระองคท รงมีพุทธ ประสงคอยา งไรในการพยากรณเชนนั้น ทา นก็ตรัสตอบวา ตถาคตพยากรณสาวกทั้งหลายผทู ํากาละ ไปแลว วาใครเกิดใหมใ นภพใดเชนนี้ จะเพ่อื ใหค นพิศวงก็หามิได จะเพื่อเกลยี้ กลอ มคนกห็ ามิได จะเพอื่ อานสิ งสเปนลาภสกั การะและคาํ สรรเสรญิ ก็หามไิ ด จะเพ่ือใหเ ราเปน ท่รี ูจักของมหาชนก็ หามิได ดกู อ นอนรุ ุทธะ มีกุลบุตรจาํ นวนหนึ่งจะเกดิ ศรทั ธามาก เกดิ ความยินดีมาก เกิดความ ปราโมทยมากหลงั จากไดฟง คําพยากรณห น่ึงๆแลว และจะนอมจติ เพือ่ ความเปน อยางนัน้ บาง นคี่ อื ประสงคของเรา ทพี่ ยากรณก็เพอื่ เปนประโยชนเกอื้ กูล เพอื่ ความสขุ แกก ลุ บตุ รเหลานนั้ ส้ิน กาลนาน การไดยนิ ไดฟ งเร่อื งเก่ียวกับสุคตเิ พอ่ื เปนศรัทธา เพอื่ เปน แรงบนั ดาลใจใหเชอ่ื มัน่ ในหนทางไปสู สคุ ติ คือกอ กรรมดี ละความตระหน่ี รกั ษาความสะอาดของจิต ยอมทาํ ใหเกิดความรูสกึ อนุ ใจและเช่อื มัน่ ในการชแ้ี นะของพระพุทธเจายิ่งๆข้นึ เพราะมหากศุ ลจิตยอ มใหค วามรูสึกปลอดภัยอันเปน ท่รี ูอยูกบั ตนเอง ผมู คี วามพรักพรอ ม ไมถ กู กลุมรุมดว ยความตระหนี่ ไมแปดเปอ นมลทนิ จากการละเมดิ ศีล ยอ มมี ความกลา เผชญิ ความตาย เพราะม่นั ใจเกินมนุษยอน่ื ๆวาถาภพหนา มีเขาตองไดไ ปดีกวา ทเี่ ปนอยูในภพ มนุษยแ นๆ พระพุทธองคท รงตรัสวา ถา รักตัวเองแลว กไ็ มค วรกอบาปทง้ั ปวง เพราะความสขุ น้นั ไมใ ช สง่ิ ท่ีคนทําชว่ั จะไดพบโดยงาย เมอื่ บคุ คลถูกมรณะครอบงํา ละท้งิ ภพมนุษยนไี้ ป กม็ อี ะไรเปน สมบัติของเขาเลา ? เขายอ มพาเอาอะไรไปดวยเลา? อะไรเลาจะตดิ ตามเขาไปประดุจเงาตดิ ตาม ตนไป? ผทู ่มี าเกิดแลว จาํ จะตอ งตายในโลกนี้ ไมว าจะทาํ กรรมอนั ใดไว ทง้ั ทเี่ ปน บญุ และเปน บาป บุญและบาปนัน้ แลเปนสมบัตขิ องเขา เขาจะพาเอาบุญและบาปนั้นไป บุญและบาปนั้นยอม ตดิ ตามเขาไปประดจุ เงาติดตามตนไป ฉะนั้นทกุ คนควรทาํ กรรมอนั ดีสะสมไวเ ปน สมบตั ิใน ปรโลก บุญท้ังหลายยอ มเปนทพ่ี ่ึงของสัตวท ัง้ หลายในปรโลก
๑๓๕ ¾ตติยบรรพ – ยงั อยูแลว ควรทําอะไรดี? ในบรรพกอน คงจะเห็นวา ใครกําลังเสวยกรรมดีหรือกรรมรายก็ดูงา ยๆจากภพภูมิทไี่ ปเกดิ การตก ไปอยใู นชั้นไหนแดนใด คอื ภาพใหญแ ทนตัวไดชดั เจน อยางเชน ตอนนก้ี ําลงั เปนมนุษยก แ็ ปลวากําลงั เสวยวิบากดอี ยู แมเ ถียงวา จะดไี ดอ ยางไรลาํ บากจะตายอยูแลว อันนนั้ ก็ตอ งไปเทียบกับการอยใู นนรก หรืออบายภูมิอ่ืนๆ แลว จะเหน็ วา ‘ลาํ บากจะตาย’ ในโลกน้ี ดีกวา ‘ตายจริงๆแลวเขา ไปอยูในกรงขัง’ ที่ กรรมชว่ั เตรียมไวท ําโทษเปนไหนๆ เมอ่ื เรม่ิ เชอื่ เรอ่ื งภพภูมิ การเวียนวา ยตายเกดิ และความจรงิ เก่ียวกับกรรมวิบาก มีชาวพทุ ธ จํานวนไมน อยท่ีเหมอื นจะดดู ายกับความเปน อยูในชีวิตปจจบุ นั แลวหนั ไปทุม เทกับการทาํ บุญ เรียกวา ตง้ั หนา ตงั้ ตากอบโกยกศุ ลกนั แบบโลภบุญเกินเหตุ ความจรงิ บุญไมไ ดมีเพยี งการใหท รพั ยเปนทาน กริ ยิ าอันเปนทางมาแหงบุญนน้ั จาํ แนกแลว กม็ อี ยู มากมาย ดังเชน หลักๆมีอยู ๑๐ อาการ ไดแ ก การใหท าน การรกั ษาศีล การปฏบิ ตั ิธรรมภาวนา การ ประพฤตอิ อนนอ ม การขวนขวายชวยเหลือในกิจอนั ควร การใหผ อู ่ืนมีสว นในบุญของเราดว ยการบอกให เขายนิ ดีหรือเตม็ ใจมาชวยเหลอื การมนี า้ํ จิตยินดใี นบญุ ของผูอ ่นื การฟง ธรรมตามกาล การสั่งสอนธรรม ดวยจิตอนเุ คราะห การทาํ ความเหน็ ใหถูกตรงทง้ั เรอื่ งบุญบาปและการออกจากทกุ ข กริ ยิ าอันเปนบุญทสี่ าํ คญั ที่สุด และพสิ จู นค วามมลี าภแหง การเกิดเปน มนุษยอยา งท่สี ดุ ก็ไดแกบ ุญ ขอสุดทาย คอื การทําความเห็นใหถูกตรงทั้งเร่ืองบุญบาปและการออกจากทุกข นี่เอง นบั เริ่มจาก การมองไกลไปขา งหนา ทาํ ความเขา ใจใหด ี มองใหเ หน็ ดวยปญญาวา แตละภพเปนภาพใหญ เปนฉาก หนง่ึ ๆ ทุกฉากตอ งมีจดุ เรม่ิ ตน และทกุ ฉากตอ งมจี ดุ จบ กจ็ ะเกิดภาพสรุปในจินตนาการวา ทุกสง่ิ ท่ีเรา เห็น ทกุ ส่าํ เสยี งที่เราไดยนิ จะตองแปรปรวนแลว เสื่อมสลายหายหนไปหมด ไมมอี ะไรหลงเหลือตกคาง อยูไ ดเลย และเมอ่ื มองยอนกลับมาเห็นภาพของการเกิดเปน มนษุ ยอ ยางในบัดนี้ ความเปน เพศอยา งน้ี รปู รางหนาตาอยางน้ี ฐานะความเปนอยอู ยา งน้ี และระดับสตปิ ญ ญาอยางน้ี ก็จะไดข อ สรปุ ประการหนึง่ คอื ทงั้ หมดนัน้ คือ ‘สวนประกอบฉาก’ ซ่งึ กรรมตกแตงข้นึ ใหด ูเลนครหู นึ่ง แลว ท่สี ดุ ก็ตองลมเลิกฉากน้ีไป ราวกบั ไมเ คยมมี นษุ ยอ ยา งเราเกดิ มา ราวกบั ไมเ คยปรากฏรูปชายหญิง ราวกับไมเ คยมหี นาตานารกั นา ชัง ราวกับไมเคยยากจนหรือร่ํารวย และราวกับไมมีใครเคยโงห รอื ฉลาด เพราะในทนั ทีที่ใครสาบสญู ไป จากโลก ความเปน เขาคนนน้ั ก็ไมต างจากรปู รอยความฝน หรอื สายลมแสงแดดสําหรบั ตวั เขาเองเลย มาอยใู นภพน้ีชว่ั คราวก็จริง แตก ็ไดช ื่อวา ‘เปนมนุษย’ ในจงั หวะท่ีจะ ‘พบพุทธศาสนา’ ซ่งึ เปนของ หาไดยาก ทั้งเปนมนษุ ยดว ย ทัง้ พบพุทธศาสนาดว ยนั้น ยากเย็นเพียงใดก็ขอใหด ทู ี่พระพทุ ธเจาทรงตรัส อุปมาอปุ ไมยไว
๑๓๖ เปรยี บเหมอื นมหาปฐพนี ีม้ ีน้ําเปน อันเดยี วกนั บรุ ุษโยนแอกซ่ึงมชี องเดยี วลงไปในมหา ปฐพีนั้น ลมจากทิศตะวันออกพดั เอาแอกน้นั ไปทางทิศตะวนั ตก ลมจากทศิ ตะวนั ตกพัดเอาไป ทางทิศตะวนั ออก ลมจากทศิ เหนือพดั เอาไปทางทิศใต ลมจากทิศใตพ ัดเอาไปทางทศิ เหนอื เตา ตาบอดซ่ึงอาศยั ในมหาปฐพนี น้ั ตอ เมื่อลวงรอยปม ันจึงโผลขน้ึ มาสกั ครั้งหนง่ึ เธอทัง้ หลายคิด วา มันจะสอดคอใหเ ขาไปในแอกมชี องเดียวนั้นไดหรอกหรือ? หมายความวา เม่อื เอาส่งิ ท่ีปรากฏไดยากมาประจวบกบั ส่งิ ที่ปรากฏไดยาก ซึ่งเทากบั ความยาก ยกกาํ ลังสองนน้ั เทียบแลวกค็ อื การที่สัตวจะไดเ ปนมนษุ ยด วย พระพุทธเจาอบุ ตั ใิ นโลกดว ย และ พระพุทธศาสนาของพระองครงุ เรอื งในโลกดวย แตค วามไมร ขู องพวกเราทาํ ใหเหน็ เปนเร่อื งธรรมดาทจ่ี ะ พบกับพุทธศาสนา ซ่ึงผวิ นอกเบ้ืองแรกก็ไมเหน็ จะตางจากศาสนาอน่ื อยางไร เพราะใครๆกบ็ อกวา ทุก ศาสนาสอนใหคนทาํ ดกี ันทั้งน้นั โดยเฉพาะอยา งยิ่งสมัยน้ไี มค อยมีคนบอกวา พทุ ธศาสนาสอนให คนรตู ามจริง ท้ังเรอ่ื งท่มี าทไี่ ปของเราเอง และท้งั เรอื่ งวธิ สี รา งความปลอดภัยอยางถาวรให ตัวเองดว ย สวนสดุ ทายของหนงั สือเลมน้ี จะไดเ รง เราใหท กุ คนตระหนกั วา ‘ศกั ยภาพของมนุษย’ นนั้ ใชใหค ุม ทสี่ ดุ กค็ อื การเอามาเขาใหถึงแกน ของพุทธศาสนา คอื ศกึ ษาวิชา ‘รตู ามจริง’ ของพระพทุ ธเจา ใหทะลุปรุ โปรง นนั่ เอง
๑๓๗ Öบทที่ ๙ - คําถามที่นา กลวั ทีส่ ุดในชวี ติ บางคนรสู ึกวา ความตายเปน ส่ิงที่นากลวั ที่สุดในชวี ติ บางคนเจาะจงลงไปกวา น้ัน คือรูสึกวา ความเจ็บปวดขณะกาํ ลังจะตายนากลัวทส่ี ุด แตบ างคนฟง เร่ืองเก่ียวกับนรก กร็ ูส กึ วา ไมมสี ง่ิ ใดในสากลจกั รวาลนา สะพรึงกลวั ยิง่ ไปกวา นรกอกี แลว แตความจรงิ ก็คอื ยงั มีส่ิงท่ีนา กลัวกวา นนั้ ! ความมดื อันใดนากลัวทีส่ ุด? ครั้งหนึ่งพระพุทธองคต รัสกะพระสาวกของพระองคว า ดกู รภิกษทุ ง้ั หลาย โลกันตนรกมแี ต ความทกุ ข มืดคลุม เปน หมอกมัว สัตวใ นโลกนั ตนรกนัน้ ไมไดร ับรศั มพี ระจนั ทรและพระอาทิตย ซงึ่ มีฤทธิม์ อี านุภาพมากถึงขนาดนี้ เม่ือพระองคทานตรัสแลว กท็ รงเงียบอยู กระทัง่ มีภกิ ษุรปู หนง่ึ ทูลถามพระผมู พี ระภาควา ขา แต พระองคผ เู จริญ ฟงแลวโลกันตนรกชา งมดื มากเหลอื เกนิ แตจะยงั มีความมดื อยา งอนื่ ท่ีย่งิ ไปกวานั้น นา สะพรึงกลวั ยิ่งไปกวา ความมดื แหง โลกนั ตนรกหรอื ไมพ ระเจา ขา ? พระพุทธองคตรสั ตอบวา ดกู รภกิ ษุ ความมืดอยา งอน่ื ทีม่ ากกวาและนากลัวกวา ความมืด แหงโลกนั ตนรกนน้ั มอี ยู แลว ทา นก็สาธยายมใี จความโดยสรปุ คอื ความไมร ตู ามจรงิ น่ันเองทม่ี ืดยิ่ง กวา โลกันตนรก พวกเราไมร ูอะไรตามจรงิ บาง? คือ… ๑) ไมร ูวา กายใจอนั เปนท่ีตัง้ ของอปุ าทานท้ังปวงนี้ เปนทุกข (นึกวาเปน สุข เปนของดที ่นี ามนี า เปน) ๒) ไมรวู า ความอาลัยยึดติดในกายใจน้ี เปน เหตุแหงทกุ ข (นึกวาจาํ เปน ตอ งหลงอยเู ชน นี้อยา งไม มีทางเลือก) ๓) ไมร ูวา ความพนขาดจากการหลงยึดผดิ ๆ เปนความดับทุกข (นกึ วา การดับทกุ ขเด็ดขาดถาวร ชนดิ ไมกลบั กาํ เรบิ ใหมเปนไปไมไ ด)
๑๓๘ ๔) ไมรวู า การตง้ั มมุ มองไวตรงตามจริง แลวเพยี รตั้งสติดูอยูจ นจติ ตงั้ ม่ันรแู จง เปน วิธดี บั ทกุ ข (นกึ วาคลายความกระวนกระวายไดเ พยี งดว ยการเสพกาม หรืออยางดีทส่ี ดุ คือการเขา ฌานไปเปน พรหม เพ่อื มีชีวติ อมตะชวั่ นริ ันดร) แคค วามไมร วู าอะไรเปนทุกข อะไรเปน ทางดับทกุ ขเทาน้ี เหตุใดจงึ ไดชอื่ วา เปนความมดื ท่นี า กลวั เสียย่ิงกวา โลกนั ตนรก? ขอใหพ ิจารณาวาความมดื ของโลกนั ตนรกนั้น ยังมวี นั สวาง ยงั มีทางเปดใหสตั ว ไปอุบัติในภพอื่นหลงั จากใชกรรมหมดส้ินแลว แตค วามไมร วู าอะไรเปน เหตุแหง ทกุ ข ไมรวู าอะไร เปนบญุ เปน บาปน้นั สง สัตวใหต กต่ําลงไปย่งิ กวา โลกันตนรก เชนถา พลาดทาํ อนันตริยกรรมก็มี หวังถึงอเวจีมหานรกได โลกนั ตนรกเปนแคภพแหงความทกุ ขภพหนึ่ง แตความไมร ู หรือความมีอวชิ ชานั่นแหละ นาํ ไปสูภพแหงความทุกขต างๆ ทงั้ ที่มืดมนกวา โลกนั ตนรก และท้งั ทแี่ ผดเผาเทาอเวจีมหานรก และสาํ คญั กวา อะไรคอื โลกันตนรกนน้ั วนั หนึง่ จะสน้ิ สุดสภาพเองเม่อื แรงสง ของวิบากกรรมหมด ลง แตอ วิชชาจะไมม ีวันสิ้นสดุ สภาพดว ยตนเองเลย หากปราศจากเหตุคือปญญารทู างดบั ทุกข เรากาํ ลังเปนหน่ึงในผตู ดิ กบั ดักแหง ความมืดอยูหรอื ไม? กับดกั มีอยูมากมายหลายชนิด แตไ มม กี ับดักใดนาพรนั่ พรงึ ยิง่ ไปกวากบั ดักที่เหนีย่ วเราไวใ หต ิด อยกู ับความเสยี่ งตอ นรกอยางไรว นั จบวันสนิ้ ระหวางการเดนิ ทางไกลอนั ไมเปน ที่รู เรามีโอกาสพลาดได ทุกขณะ ขอเพยี งคบคนพาลเปน มิตร หรอื เพียงมคี นคิดชวั่ อยูในเรอื น กับดกั อันนาํ ไปสภู พทม่ี ดื อยางยดื เยอื้ ไรวันจบส้ินกค็ ือความไมร ูตามจรงิ พอไมร ูก็เขาขางตวั เองวา นข่ี องเรา นัน่ ของเรา นัน่ เน่ืองดว ยเรา พอไมรกู เ็ ขาขางกเิ ลสวา เราควรไดส ่ิงน้ี เราไมควรไดส ิง่ นน้ั พอไมรกู ส็ าํ คัญมนั่ หมายวามีเราเปนอมตะ นา จะเคยเกดิ ในภพดีๆ และจะไปเกดิ ในภพสงู ๆ ลองถามตวั เองวา รูสกึ ถงึ ความมีอตั ตาอยูไหม? ถา ตองตอบตามจรงิ วา มี ลองถามตัวเองอีกวา อตั ตานจี้ ะมีอยูตลอดไปไหม? ถาตองตอบตามจรงิ คือรูสกึ วา มนั จะคงอยูต ลอดไป ขอใหบอกตัวเองเถดิ วา เราตดิ กบั แลว เปนผูหนง่ึ ท่ีตอ งเวยี นวายตายเกิดเส่ียงผดิ เสีย่ งถกู อยใู นสงั สารวฏั นแี้ ลว! ส่งิ ใดที่ไมเ ท่ียง เรากลับรสู กึ วามนั เทย่ี ง ยอมช่อื วา เรากาํ ลังอุปาทานไป สิ่งใดเปนทุกข แตเรากลบั รูสึกวา มนั เปนสุข กย็ อ มชื่อวาเรากาํ ลังอุปาทานไป
๑๓๙ สง่ิ ใดไมเท่ยี ง เปนทุกข มอี ันตองดับไปเปน ธรรมดา ยอมไมใ ชตัวตน ยอมไมอยใู นครอบครองของ ใคร แตเรากลบั รสู ึกวา เปน อตั ตา เปนตัวเราทีไ่ มควรตาย เชนนีก้ ็ยอมชื่อวา เรากาํ ลงั อุปาทานไป อุปาทานเปน ช่อื ของความหลงผดิ เปน ชอ่ื ของความมืดบอดทางใจ ท่ีนา สลดใจคอื ไมม ใี ครรูเลยวา ขอเพียงฝก ท่ีจะรตู ามจรงิ เปนขน้ั ๆ พวกเราไมต องมอี ปุ าทานกไ็ ด แตเ ม่อื ไมฝ ก รูตามจรงิ ก็ตอ งหลงวน อยูใ นโลกของอุปาทานกนั ตอไปอยา งไรท ่ีจบสิน้ อปุ าทานทาํ ใหเ รานึกวา กามเปน ของดีที่สุด อาจถึงขนั้ หลงคิดวาเปนความชอบธรรมท่ีจะฉุดครา ลกู เมียผูอืน่ มาสําเรจ็ ความใคร นค่ี อื บาปโทษอันอาจเกิดขึน้ เม่ือยังมีอุปาทานในกาม อปุ าทานทาํ ใหเรานกึ วา ส่งิ ท่เี ราปกใจเชอื่ นน้ั ถูกท่สี ดุ อาจถึงขัน้ หลงคดิ วาเมื่อเราไมเ ชอื่ วานรก สวรรคมี ก็ไมเ ปนผทู ตี่ อ งตกตายแลวไหลลงอบายแนๆ แมจ ะทําชัว่ เพยี งใดกต็ าม นีค่ ือบาปโทษทเ่ี ห็นได ชัดขณะยงั มีอุปาทานในทิฏฐิ อปุ าทานทาํ ใหเรานกึ วาธรรมเนยี มการปฏบิ ตั หิ รอื เคล็ดลางทเ่ี ราถอื มนั่ นั้นมีผลสงู ที่สดุ อาจถงึ ขั้น หลงคดิ วา ฆา แพะบชู าเทพเจา คอื การปลดปลอ ยพวกมันไปสูสคุ ติ นค่ี ือบาปโทษที่เห็นไดชดั ขณะยังมี อปุ าทานในวัตรปฏบิ ัติทสี่ ืบตอกันมาอยางงมงายไรเ หตผุ ล และสุดทา ย อปุ าทานทําใหเ ราหลงยึดวาตอ งมีตวั ตนของเราอยแู นๆ ไมสภาพน้กี อ็ ีกสภาพหน่งึ ไมอ ยูในโลกนี้ก็ตอ งอยใู นโลกหนา การหลงยึด การหลงอาลัย หรอื หลงทะยานอยากเปนนนั่ เปนนนี่ น่ั เอง คือการสืบเช้อื แหง การเกิดไมรูจบ นคี่ ือโทษทีเ่ ห็นไดช ัด และเปน โทษอนั รายแรงท่ีสุดเม่อื ยังมีอปุ าทานใน ตวั ตน หรืออปุ าทานในวาทะแบบใดแบบหนง่ึ วา ตัวตนเปน อยางน้ันอยางนี้ เวลาทอี่ ุปาทานหนาทบึ เราจะไมรูสึกเลยวา มีสิง่ อ่นื ย่ิงไปกวาสง่ิ ทกี่ าํ ลังยึด เหมอื นเอาเกราะมา ครอบ หรือเหมือนเอากาํ แพงมาลอม คลา ยคนหลงตดิ คกุ อยดู วยความเต็มใจย่ิง ลองเถอะ ถา ถาม ตวั เองเด๋ยี วนี้วา กาํ ลงั มอี ุปาทานอนั ใดบาง แทบทกุ คนจะตอบวา ไมม ีเลย เพราะเห็นทุกอยา ง ตามปกติอยู ใชชวี ติ ในสงั คมไดเปนปกตอิ ยู ย่ิงถาพยายามบอกวา สังคมโลกท้ังหมดนน่ั แหละ กําลงั ลุม หลงมัวเมาอยูในอปุ าทานทุก ชนดิ กนั คนบอกอาจเจอขอกลาวหาวาเปน จอมอุปาทานไปเสยี เองก็ได
๑๔๐ เรามีความละอายในการกระทาํ อันเปนบาปบางหรอื ไม? พระพทุ ธเจาตรัสวา ถา ใครสามารถกลา วมสุ าไดโดยปราศจากความละอาย ท้ังที่รูอยูแกใ จ วา ไมใชเ รื่องจรงิ กไ็ มมีบาปกรรมใดแมแตห น่งึ เดยี วท่เี ขาจะทําไมลง ความละอายจึงเปน ตัวแปรสาํ คัญทสี่ ดุ เปน องคป ระกอบสําคัญสงู สดุ ในการถอื กาํ เนิดเกดิ เปน มนษุ ย ตราบใดยงั มคี วามละอาย ไมอยากทําบาป ไมนึกสนกุ ตดิ ใจในกรรมชว่ั ก็เรยี กวา เขายังพอมพี ื้น ของความเปน มนุษยอยู แตห ากทาํ บาปไดแบบไมตองกะพรบิ ตา เชน พดู โกหกมดเทจ็ ปน นํา้ เปนตัวได คลองแคลว เปน ธรรมชาติ น่ันแหละคอื เขาขาดองคประกอบพน้ื ฐานของความเปน มนุษยไ ปแลว คนสว นใหญมองวา การโกหกเปนเรือ่ งเล็กนอ ย เพราะเปนเรอื่ งสามัญท่ที ุกคนตอ งทํา อาจจะโกหก นดิ ๆ หรอื อาจจะโกหกมากๆ ข้นึ อยูกับสถานการณบีบคั้น ไมตระหนกั กนั เลยวาถาทาํ เปนประจาํ จน ชิน ในที่สดุ ก็จะหมดความละอาย และเม่ือใดหมดความละอายในการโปปดมดเทจ็ เมือ่ นั้นจติ วญิ ญาณจะดา นชาตอ บาป เหมอื นมีอะไรมาบังตาไมใ หเ ห็นตามจรงิ ไปเสยี หมด ทต่ี ามมากค็ ือ การทําบาปไดไมเ ลือก เพราะตัวมสุ ามนั บอกตัวเองวา ไมเ ปนไร ขอใหเ อาดเี ขาตวั ไดเปนพอ หากถามตวั เองแลว ไดคาํ ตอบวาเราสามารถโกหกโดยไมละอาย ก็นับวา คําถามคําตอบน้นี ากลวั ย่ิง เพราะเราไมอ าจคาดคะเนไดเลยวา ตวั เองเผลอกอบาปกอกรรมหนักๆโดยรูเทา ไมถงึ การณม านานแค ไหน เมือ่ ไมม คี วามละอายบาปอันเปน คณุ สมบัตขิ น้ั พนื้ ฐานของมนษุ ย ก็แทบทํานายไดว า ตอง หลดุ รว งจากสุคตภิ มู แิ นอ ยแู ลว แตน ีไ่ ปกอ บาปกอกรรมโดยไมร ูวาเปนบาปกรรมเขาใหอ ีก มิ แปลวา มีสิทธ์ถิ กู เหว่ยี งลงต่ําไปถงึ พื้นนรกกันหรอกหรอื ? สรปุ คือการขาดความละอายตอบาปคือการไมอาจทํานายวาจะตองระหกระเหเรร อนไปสถติ อยใู น ภพไหนภูมิใดอนั เปนเบ้อื งลาง หากปราศจากความสะทกสะทา น หากยังทะนงหลงนึกวาไมเ ปน ไร นัน่ ก็ อาจเปนการทํางานชน้ิ ใหญอกี คร้ังของอุปาทานกไ็ ด! ใจจรงิ ของเราอยูตรงไหน? บางคนหาตัวเองยังไมเจอ ก็เทากบั ยงั ไมเจอใจจรงิ เพราะใจทยี่ ังไมร ูจักตวั เองอยา งถองแทอาจ แกวง ไปทางไหนก็ได เปลี่ยนทศิ ทางเปนตรงขา มกับเมื่อวานก็ยงั ได และบางทีเราก็ตอ งทรมานกบั ความคิดท่ขี ดั แยง กับใจตัวเอง เหมอื นมีสองคนคอยทุมเถยี ง คอย เตะสกดั คอยชักเยอดงึ กนั ไปดนั กนั มาจนเกิดความวุน วายสบั สนวาเราอยากเอาอยางไรแน
๑๔๑ ท่แี ทแ ลว ใจจรงิ อาจไมต รงกบั สงิ่ ที่เราคดิ แตใ จจรงิ ก็เปลยี่ นไปไดเ ร่ือยๆตามความคิดท่ีเกิดข้ึน บอ ยๆ แมย ังไมท ราบวา ใจจริงของตัวเองอยูทีไ่ หน แตทกุ คนตอ ง ‘มใี จ’ ใหกับสงิ่ ใดสง่ิ หนึ่งเฉพาะหนา เสมอ และนนั่ ก็เปนคาํ ตอบวาทําไมพวกเราถึงเลอื กเรียนสาขาอาชพี แตกตา งกนั เปนคําตอบวาทําไม พวกเราถึงเลอื กผูแ ทนราษฎรตางคนกัน เปน คําตอบวา ทําไมพวกเราถงึ เลือกนบั ถือศาสดาองคใดองค หนง่ึ ผิดแผกไปจากกัน คําถามคอื เรากาํ ลงั มีใจใหก บั อะไรละ? ถา ไดแนวคาํ ถาม ก็จะไดแ นวคําตอบ และเม่ือไดแนว คาํ ตอบ กจ็ ะเร่มิ มองเหน็ ทิศทางเสน ทางกรรมของตนเองไดเ ชนกนั ๑) ทุกวนั นี้เรามีชวี ติ อยูเพื่อใคร? คาํ วา ‘อยูเพื่อใคร’ นน้ั มีความหมายวา เราคิดวาชวี ติ ตวั เองมีคา มคี วามหมาย หรอื กระทง่ั มี ความสําคัญขนาดขาดไมไ ดส ําหรับใครบาง หากคิดออกในทันทีทนั ใดถอื วาเขาขาย แตถ าตอ งคอยๆนึก ทบทวนเปน เวลานาน อยางนน้ั ใหเอาชือ่ น้นั ออกไปจากบัญชกี อ น และขอใหระลกึ วาเราอาศัยอยกู บั ใครกีร่ อ ยก่ีพันคนไมส ําคญั สาํ คัญคือใจเรารูสึกวาตัวเองอยูเพอื่ ใครบางที่ยงั มชี ีวิตอยใู นโลกนี้ จะอาศัยพาํ นกั อยกู ับเราหรือไมกต็ าม หากคําตอบตามซอ่ื คอื ‘อยเู พือ่ ตัวฉันคนเดยี ว’ กอ็ ยา เพงิ่ ตอวาตวั เอง เพราะอยางนอยทีส่ ดุ เราก็ ซือ่ พอจะยอมรับอยเู งียบๆในใจ ไมบ ิดเบือนหรือหลอกตวั เอง เพอื่ ไดรบั ทราบวา มโี อกาสสงู ท่ีเราจะทาํ บาปทาํ กรรมโดยไมคดิ คาํ นงึ ถงึ ความเดอื ดรอนของใครๆทัง้ สนิ้ เรายอ มไมม ีขอ จาํ กดั วาควรทําประมาณ น้ี ไมควรทาํ ประมาณนั้น ทุกอยางข้ึนอยูกับสถานการณแ ละโอกาสเฉพาะหนา อยางเดยี ว หากคําตอบคือ ‘อยูเ พื่อตวั ฉนั และใครอีกคน’ พดู งายๆวา ชวี ติ น้มี คี วามหมายสาํ หรบั สองคน เรามี ความไยดีคดิ เกอ้ื กลู ใครอกี คนหน่ึง อยางนอ ยเราก็คดิ ถงึ คนอื่นเปน และอาจเริม่ ทําหลายสงิ่ หลายอยา ง ดวยความชั่งอกชง่ั ใจมากข้ึนกวา คําตอบขอแรกนดิ หนงึ่ เพราะถา ทาํ บาปโดยไมย้ังคิด อยา งนอ ยใครอกี คนอาจเสียใจ หรอื พลอยไดรับผลกระทบในทางรายไปดวย ใจท่ีพะวงหวงใยใครอกี คนจะชวยเตอื นสติ บางแลวเล็กๆนอ ยๆ คาํ ตอบนอ้ี าจจะยังช้วี าเราเปนคนครงึ่ ดีครึ่งรา ยได ตามแตสถานการณทีเ่ ออื้ ประโยชนใ หก ับเราและใครอีกคน หากคําตอบคอื ‘อยูเพื่อตวั ฉนั และคนอกี กลุมหน่ึงที่คุนเคยกัน’ คือถาคิดวา ตอ งมีคนอืน่ ตองพึง่ พา เรา หรือมสี วนไดส ว นเสยี กับเราตงั้ แตส องคนข้ึนไป และเรามีความไยดกี ับกลุมคนเหลาน้ันอยา งแทจ ริง ทกุ การกระทาํ ของเราจะเตม็ ไปดว ยการระมดั ระวังมากขน้ึ การตดั สินใจตามอธั ยาศยั หรือการทาํ อะไร ตามอาํ เภอใจจะนอยลง แมเบอ่ื งานก็จะไมล าออก แมอ ยากประชดใครกจ็ ะไมป ระชด แมอ ยากไปเท่ยี วก็
๑๔๒ จะไมไปเท่ยี ว คําตอบนอ้ี าจจะยงั ชว้ี า เราเปน คนครง่ึ ดีครึ่งรา ยได ตามแตส ถานการณทเี่ ออ้ื ประโยชน ใหก บั เราและคนอกี กลมุ หนึ่ง หากคําตอบคือ ‘อยูเ พื่อตวั ฉนั และคนกลุมใหญท อี่ าจจะไมเ คยรจู ักมักคนุ เลย’ อยา งเชนเปน นกั การเมอื งท่ีมีอดุ มคตแิ รงกลา หรอื เปน พวกที่พยายามปลดแอกจากทรราชผูนิยมการกดข่ี หรอื เปน พวกทพี่ ยายามเพยี รเผยแพรแ นวความเชอื่ ซ่งึ เหน็ วาเปน ประโยชนอ ยางแทจ ริง อยา งนีเ้ ราจะเริ่มรจู ักคํา วา ‘อยเู พ่อื คนอน่ื ’ บางแลว คาํ ตอบน้ีสามารถช้ีวาเราสามารถเปนคนดไี ดม ากกวา คนรายโดยไมจ าํ กัด สถานการณ หากคาํ ตอบคอื ‘อยเู พ่ือคนอน่ื ถา ยเดยี วโดยไมเ ลอื กหนา’ อันนีอ้ อกจะฟง ดเู ปน บคุ คลในอุดมคติ เกินมนุษยธรรมดาไปหนอย แตก ม็ อี ยูจ ริงๆ โลกนม้ี ีบุคคลไวเ ปนตัวอยา งทกุ ประเภท พวกท่มี ีแตใจคดิ สละออกอยางแทจ ริงไดแกพระพทุ ธเจา และพระอรหนั ตสาวกผหู มดความรูสกึ เก่ียวกับตัวตนแลว พวก ทา นอยูเหนอื การตดั สนิ ใจอันเปน กุศลและอกศุ ลแลว ทําอะไรไปไมตอ งรับผลจากกรรมนน้ั ๆแลว มี ความสุขสงบเปนนิรนั ดรแลว นอกจากนีย้ ังมมี นุษยอ กี ประเภทหนึ่ง ซ่ึงทาํ ดีเพื่อคนอ่ืนจนตดิ ใจในรส ความสขุ ยิง่ ใหญ จงึ อุทศิ ชีวติ ทงั้ หมดใหกับสงั คม หากบนั้ ปลายของการอุทิศตวั ไมหลงเหลิงไปกับอํานาจ วาสนาอนั เปน วบิ ากเหน็ ทันตาในชาติปจ จบุ นั เขากจ็ ะมชี วี ติ บนเสน ทางแหงความดีอนั ยากนักท่ปี ุถุชน ดว ยกนั จะดําเนินได กศุ ลกรรมของเขาจะสกุ สวางบรสิ ุทธ์ิ มองดวยตาเปลาของปถุ ุชนแลวอาจนึกวาเปน พระอรหันตเ ลยทเี ดยี ว ๒) ทกุ วนั น้ีเรามีชวี ิตอยเู พ่อื รบั ใชค วามเช่ือแบบใด? คนเราใชชวี ติ ตามสถานการณเ ปน อนั ดับแรก สิง่ ใดเขา มากระทบกต็ องมีปฏิกิรยิ าโตตอบสิง่ กระทบนัน้ แตเมอ่ื ใชชวี ติ ไปถึงจุดหนงึ่ เราจะพบวาชวี ติ ของเรากําลังยืนอยูบนความเชื่ออะไรสกั อยาง หากคาํ ตอบคอื ‘เราเชือ่ วาอยไู ปเรือ่ ยๆเหมอื นคนอ่ืนโดยไมตองคิดอะไรมากกไ็ ด’ อันน้เี ปน มุมมอง ท่ไี มเสยี่ งดี ถามีมมุ มองนีแ้ ละไมเปลย่ี นแปลงไปจนตาย เรากไ็ มตอ งขวนขวายอะไรเพม่ิ เติม นอกจากใช ชวี ติ ใหเ ปน ปกตสิ ุข ไมตอ งเขาโรงพยาบาลบา ไมตอ งแสวงหาสจั จะที่ไมรอู ยูตรงไหน และทีส่ ําคญั คือไม ตอ งเสียใจในภายหลังวาเชือ่ อะไรผดิ ๆ แตขอ เสียของการมีมมุ มองแบบนี้คอื ถา โลกกําลงั ถูกหอหุม ดวยความเหน็ ผดิ และดวยบาปอกุศลท่ีแพรระบาดยง่ิ กวาไวรัส ก็แปลวาการอยไู ปเร่อื ยๆ เหมอื นคนอนื่ อาจหมายถงึ การยอมรวมเหน็ ผดิ และทาํ บาปอกุศล สรา งทางเลวรายใหต วั เอง อยางนาใจหาย
๑๔๓ หากคาํ ตอบคือ ‘เราเชือ่ วาเปน คนดไี มเบยี ดเบียนใครก็พอ’ อันนกี้ ็เปนมุมมองทป่ี ลอดภัยกบั คนอื่น ดี และดูเหมอื นจะเพียงพอแลว กับชวี ิตหนง่ึ จะเอาอะไรมากไปกวา การไมเปนทีเ่ ดอื ดรอนของสงั คม แต การมีมุมมองวาแคไมเ บียดเบียนใครกพ็ อน้ัน อาจจะพอจริงเฉพาะทชี่ าตปิ จ จุบัน ถา ไมม ีชาติ หนา คงไมตองคาํ นงึ อะไรอีก แตถ าเผื่อชาตหิ นามนั มีข้ึนมา เราก็อาจไดช อ่ื วาไมยอมเตรียม เสบียงไวเ ผ่ือขาดเผอื่ เหลอื ไมเตรยี มการปอ งกนั ไวใ หร ดั กมุ แนนหนา หากคําตอบคือ ‘เราเช่ือวา คา ของคนอยูท่ีผลของงาน’ อนั นี้เปนมุมมองทที่ ําใหโลกหมุนไปไม ขดั ขอ ง เพราะการมคี นทมุ ชวี ติ ใหกับงานนัน้ ทาํ ใหเ กดิ ววิ ฒั นาการดานตา งๆ ท้ังวิทยาศาสตร การตลาด ตลอดจนกระทงั่ การศาสนา แตการมีมุมมองวา คา ของคนอยทู ี่ผลของงานนน้ั บางทีทาํ ใหเรา มองขามไปวางานของเราสง ผลสะเทือนดา นดหี รอื ดา นรายตอผูคนในวงกวาง ความจริงก็คือ หลายครัง้ โลกนพี้ ลิกโฉมไปโดยน้าํ มือของคนเพยี งไมก ี่คน โดยเฉพาะอยา งยิ่งคนในวงการบันเทิงทอี่ อก คอนเสิรต สรา งภาพยนตร อัดฉีดความคดิ มกั งา ยประการตางๆเขาสสู มองของเดก็ และวยั รนุ ท่ัวโลก หากคาํ ตอบคือ ‘เราเชื่อวาจดุ หมายสงู สดุ ของชวี ิตมีอยู และเราก็ควรวิ่งเขา ไปหามนั ’ อนั นี้เปน มมุ มองที่เรมิ่ ทาํ ใหจ ติ วญิ ญาณมคี วามผดิ แผกแตกตางจากคนธรรมดาสามญั ทว่ั ไป เพราะคนสว นใหญ เขาไมไดคดิ กนั อยางน้ี แตก ารมีมมุ มองวาเราควรแสวงหาจดุ หมายสูงสุดของชวี ิตดว ยตนเองนนั้ ถา บารมีเกาไมแกก ลาพอ ก็คงตอ งเสียเวลาในชวี ติ ไปชาตหิ น่งึ เพอื่ ควา น้ําเหลว หรอื อยางเกง ก็ ไปตดิ อยใู นภูมิใดภูมหิ นงึ่ ระหวา งเทวดากับพรหม ทง้ั นเี้ พราะสิ่งที่เรยี กวา ‘ความจรงิ สดุ ทาย’ หรอื ‘ยอดสุดแหงความจรงิ ’ ในธรรมชาติน้นั ไมใ ชว ิสัยที่ใครจะตง้ั โจทยใ หเกิดมมุ มองที่ถกู ตอ งจนไปถึง เปาหมายปลายทางไดงายๆ คนสว นใหญจะวนเวียนต้ังคําถามที่ทําใหเ กดิ ความคดิ หางไกลความจริงไป เรื่อยๆ หรือไมก็ประพฤตปิ ฏิบตั ติ นฉกี แนวจากผูบริโภคกาม แลวนั่งน่ิงสงบทื่อ หลีกหนีความวุน วายโดย ไมรอู ะไรมากไปกวาความสงบนงิ่ เปนบรมสขุ หากคาํ ตอบคือ ‘เราเช่อื วากายใจอนั เปนท่ตี ง้ั ของอปุ าทานนเ้ี ปนทุกข และมีหนทางที่ดบั อุปาทาน ในกายใจไดจ รงิ ’ อนั นเ้ี ปนมมุ มองตามพระพุทธองค ทที่ รงตง้ั โจทยไ วชดั เจนแลว กระชบั แลว รตู ามได งา ยแลว ไมจาํ เปน ตองเสยี เวลาคดิ คาํ ถามสรา งมุมมอง และไมจ าํ เปน ตองเสยี เวลาดุม เดนิ หาคําตอบจาก ที่ไหนอีก การมมี ุมมองอยางชัดเจนวาทุกขเ กิดจากอะไร เราจะดบั ทุกขไ ดอ ยางไร จะไมทําใหเรา เสียเวลาในชวี ิตไปเปลา ๆ เพราะเพยี งดวยเวลาอนั ไมนานเกนิ รอ เราก็สามารถพสิ จู นไดแ ลววา เรอ่ื งทุกขและการดบั ทุกขใ นพระพทุ ธศาสนาน้นั เปนเร่อื งจริงหรือของหลอก มกี ารยนื ยันไว ชดั เจนวา ถา ใครศึกษาและปฏบิ ตั ิตามวชิ า ‘รูต ามจรงิ ’ ของพระพุทธเจา อยางเต็มความสามารถ เขาจะถงึ ทส่ี ดุ ทุกขภายใน ๗ ปเปนอยา งชา แตถ า บารมีแกกลากวา น้ันกอ็ าจทําลายทุกขลงไดสน้ิ อยางรวดเร็ว ภายในเวลาเพยี ง ๗ วนั !
๑๔๔ หากสํารวจ หากชางสังเกต หากถามใจตวั เองหลายๆรอบ วา ทกุ วันน้ีเราอยูเพื่อใคร หรอื เพอ่ื รับใช ความเชอื่ แบบไหน ในทสี่ ดุ เราจะรจู กั ใจจริงของตัวเอง หาใจจรงิ ของตัวเองเจอ โดยไมจ ําเปนตอ งคน ตัวเองใหพบจากการประสบความสําเรจ็ ทางวชิ าชีพใดๆเสยี กอ น และเมือ่ ใดทห่ี าใจจริงของตัวเองเจอ ก็จะรวู าเราทาํ อะไรทง้ั หลายไปเพื่ออะไร หากรจู กั ใจจรงิ ของตนเองอยางถอ งแท เราจะไมกงั วลเลยวามคี วามคิดทบ่ี าดจติ บาดใจ แปลกปลอมเขามาในหวั มากมายขนาดไหน เพราะใจจริงของเราจะปดพวกมนั ทิ้งไปอยางไมไ ยดี และไม คาํ นึงแมแตน ิดเดียววาความคิดจรเหลาน้นั จะมามีอิทธิพลใดๆกับตวั เราเลย บทสาํ รวจตนเอง ๑) เรารจู กั ตวั เองดีแคไ หน? ๒) มีสิง่ ใดท่ีเราอยากรหู รืออยากไดค าํ ตอบมากท่ีสุด? ๓) เราจะแนใ จไดอ ยา งไร ใชเ กณฑแ บบไหนมาวัดวาสง่ิ ทเี่ ราอยากรูหรอื อยากไดค ําตอบนนั้ มีคา คมุ เพียงพอ? สรปุ ปจ จบุ นั มีอยหู ลายเร่ืองทีค่ วรเห็นกนั งา ยๆวาไมนา ทาํ แตก ท็ ํากนั เปนปกติ ท้ังลบั หลงั การเฝามอง ของสังคม และทั้งทเ่ี ปด เผยตอ หนาธารกาํ นัล เหมือนโลกเรากาํ ลงั เปลี่ยนไปเปนแหลงผลติ มนษุ ยพนั ธุไร ยางอายอยางเปนทางการ แตล ะคนสูญเสยี ความเปนตวั ของตวั เองไปทีละนอย หรอื กระท่ังเกิดมาไมเคยมีจุดยนื ของตัวเอง อยเู ลย นน่ั เปน เพราะอะไรถา ไมใ ชเ พราะพวกเราขาดเปา หมายทช่ี ัดเจนพอ ความไมรูตามจรงิ ความไมม ีชัยภูมิใหจติ วญิ ญาณต้งั ม่ันอยา งชัดเจน ความหลงคลําทางกันเอาเอง จนทอ แทโ รยแรง ลว นเปนเหตใุ หคนเราถกู ส่งิ แวดลอมอันเลวรายกลนื กนิ อยางงายดาย แตเ พราะเริม่ ศกึ ษาตนเอง เสาะหาใจจรงิ ของตวั เองใหพบ และรูใหท ันกอ นตายวาเรากาํ ลังมี อปุ าทานอันใดหอ หมุ อยูบา ง ก็จะเรมิ่ เหน็ ความจําเปน วา เราตองเรยี นวิชา ‘รูตามจริง’ ของพระพุทธเจา เสียกอนจะสาย
๑๔๕ Öบทที่ ๑๐ - วิชารูตามจรงิ ทก่ี ลาวมาทงั้ หมดในหนงั สอื เลมนี้ ความจรงิ แลว เปน เพยี งแผนทภ่ี พภูมิอยา งคราวๆเทานน้ั คง เปรยี บไดก ับแผนทีป่ ระเทศอนั ตรายประเทศหนึ่ง ซงึ่ บอกตําแหนง จังหวัดสําคญั ของประเทศไดไมครบ ยงั ขาดจังหวัดอื่นๆอีกมาก รวมทั้งไมส ามารถแสดงตําบล อาํ เภอ สถานท่ีทองเท่ียว เขตหวงหา ม หรือ กระทัง่ เสนแบงเขตประเภทและภาคตา งๆออกจากกันไดห มด นอกจากน้ัน แผนที่ยังแสดงเพยี งเสน ทางหลกั ไปสจู ังหวัดใหญๆที่บอกไวไ มก ี่สาย พอใหท ราบ เปน เคา เปนเลาวา ถา อยากข้ึนเหนอื ตอ งจบั ทางสายน้ันไวใ หมั่น แตถาอยากลงใตก เ็ ชญิ จบั ทางอีกสายท่ี เปน ตรงขามกแ็ ลวกนั เม่อื แลน ตามทางหลวงสายหลักไปเร่ือยๆแลว ก็จะพบดวยตาตนเองวาบรรดา จังหวดั ในทิศเหนือมีอยจู รงิ และบรรดาจงั หวัดในทิศใตก ม็ ีอยูจรงิ ดวย ไมใชแ คก ารร่ําลอื โดยปราศจาก สัจจะรองรับ รายละเอียดวิธเี ดินทางเปน ศลิ ปะทีแ่ ตละคนตอ งเรยี นรเู อาเอง แตผ ูส รา งแผนทค่ี อื พระพทุ ธเจานั้น ทานกบ็ อกไวเพียงพอตอ การทาํ ความเขาใจงา ยๆ กลา วคอื ทา นใหท ั้งมมุ มองท่ถี ูกตองวา จงั หวดั ในทศิ เหนือและทศิ ใตแตกตา งกนั เพยี งใด จะดูเขม็ ทศิ กันอยา งไร ควรใชพ าหนะแบบไหน ยง่ิ ไปกวา นนั้ ถา คิดสมคั รใจออกจากประเทศ พระองคก ต็ รัสไวช ดั วาตอ งอาศยั ‘วิธพี ิเศษ’ คือตอง ข้นึ อากาศยาน ลอยไปเหนือพ้ืนดนิ และเสน ทางขน้ึ เหนอื ลงใตท้ังปวง เพราะเสน ทางภายในประเทศนน้ั เปรยี บเหมือนเขาวงกตทีป่ ราศจากดานปลอยตวั ใหร อดพน แมเ สน ทางทข่ี น้ึ เหนือก็ยงั มจี ุดเช่ือมตอให กลับวกลงใตไดโดยไมร เู น้อื รตู ัว หรือแมร ะวงั ก็ยากหากจะแลน ลิ่วไปเร่ือยๆอยา งไรจดุ หมายปลายทาง การเดนิ ทางโดยอากาศยานเปนวธิ ที ีต่ องลงทนุ และตอ งจบั ทิศขึน้ เหนอื ไปใหถงึ สนามบินเสียกอน เพราะสนามบินมีอยูแตทางเหนอื ไมมีอยูทางใตเลย ย่งิ เหนือมากข้นึ เทาไหร สนามบนิ กจ็ ะย่ิงดขี ้ึน อากาศยานมคี วามแข็งแรงนา อุนใจยงิ่ ๆข้ึนเทาน้ัน แตส าระคือเพยี งขน้ึ เหนอื ใหเ จอสนามบินแรกก็ พอใชไ ด แมบริการยังไมอ บอุน นาประทบั ใจ อากาศยานของเขาก็พาเราข้ึนบินไดเ หมือนๆกนั เมอื่ ข้ึนไปอยูบนทองฟา แลว มุมมองทั้งหมดของเราจะแตกตางออกไปจากทีเ่ ปน อยูอยางส้ินเชงิ ท่ี เคยนกึ ๆมาตลอดชีวติ วา โลกมแี ตม ุมมองทางพ้ืนราบ ก็เขา ใจเสยี ใหม เหน็ ตามจรงิ วา ยงั มมี ุมมองจาก สายตาแบบนกทงี่ ดงามกวากันมาก ไปไหนตอ ไหนไดอยางรวดเร็วเปน อสิ ระกวา กนั มาก การรุดไป ขางหนา ขา งหลัง ขา งขวา ขา งซาย เหมอื นไมม ีขีดจํากัดใดๆอยเู ลย ทกุ อยา งเปนไปตามปรารถนา ทั้งสิ้น ท่บี นนน้ั เราจะเห็นภูมิประเทศทงั้ หมดอยางแจม ชดั เหน็ ตามจรงิ วาเสน ทางไหนพาไปสูจังหวัดใด ทิศใตหรือทศิ เหนอื เห็นตามจรงิ วาอยูบนฟาสามารถเลอื กไดมากกวา คลองแคลววองไวกวา เหน็ ตาม
๑๔๖ จริงวาทั้งประเทศมีแตความวุนวาย เสนทางเช่ือมกันวนเวยี นเปนเขาวงกต หลงงมกันในเขตทีป่ ราศจาก ทางออกยอมเหนือ่ ยเปลาไรวันจบส้ิน สลู ัดฟา หาทางออก หาเขตขามใหพนจากประเทศน้ไี ปไมไ ด ถึงแม จะยงั ไมทราบวาพน ประเทศอบุ าทวน ี้ไปแลว จะเปนเชน ใด อยางนอ ยกเ็ คยไดย นิ ผูรทู านยนื ยันไวว า ดีกวา เจรญิ กวา สุดสุขกวาอยา งไมอาจเทียบเทากันได อปุ มาอปุ ไมยมาทั้งหมดก็เพื่อจะกลาววาถาสามารถรูไ ดต ามจริง สง่ิ แรกสุดที่เราจะไดมาคอื ‘ความเห็นแจง ’ ตลอดท่ัว เรอ่ื งอจินไตยท่พี นความคดิ พน จนิ ตนาการ พน การถกเถียง จะไมเกนิ วิสยั ท่ี เราจะรอู ีกตอไป เพราะเมื่อฝก รูตามจรงิ ความจริงยอมแบออกมา แลวเราจะเหน็ วาทกุ สงิ่ ปรากฏเปด เผย ตัวอยูแลวตลอดเวลา กิเลสอันหนาแนนเทาน้นั ทีป่ ดบังจติ พวกเราไวจ ากความเห็นทง้ั หลาย พ้ืนฐานของวชิ ารูตามจริง การ ‘รตู ามจริง’ คือการข้ึนไปมีมุมมองอยูเหนอื เสน ทางทั้งสายบุญและสายบาป แตก อนจะรูต าม จรงิ ไดนนั้ พระพุทธเจาตรสั วา ตอ งมีจิตเปน สมาธิ ตงั้ ม่นั ไมเอยี งไปในทางใดทางหน่ึงเสียกอ น และตามธรรมชาติของจิตที่จะเปน สมาธิ ก็ตองการนํ้าใจสละออก คือไมต ระหน่ถี ีเ่ หนียว คิดเจอื จานสมบตั ิสวนเกนิ ของตนใหค นอื่นบา ง หากใครยังมคี วามตระหน่ีถเี่ หนยี ว จติ ใจจะคับแคบ เวลาระลกึ ถึงวัตถุอนั เปน เปาแหง สมาธอิ นั ใด กจ็ ะเพงคบั แคบดวยความโลภเอาความสงบ ไมใชระลกึ รูอ ยางมสี ติ พอดๆี ในแบบที่ทําใหเ กดิ สมาธขิ นึ้ ได และหากเปน ผผู กู พยาบาทแนนหนา ไมมีนํ้าใจใหอภยั ใครเสยี บาง พอมาฝกสมาธแิ ลว ไมสงบรวดเร็วดังใจ กจ็ ะเกิดความขัดเคืองรนุ แรงตามนสิ ัยเจา คิดเจา แคน ยงั ผลใหอดึ อดั คบั ของเสมอๆ แตหากเปน ผทู าํ ทานมาดี จติ จะเปด กวาง ไมเ พง คบั แคบดวยแรงบีบของนิสัยตระหน่ี และหากคดิ ใหอ ภยั ใครตอใครอยา งสมาํ่ เสมอ จติ จะเยือกเยน็ ไมก ระสบั กระสายเรารอ นงา ยๆ แมท ําสมาธลิ ม เหลวก็ ไมข ุน ใจ ไมโ กรธตวั เอง ไมแ คน เคืองวาสนาเหมอื นอยางหลายตอหลายคน นอกจากตอ งการความเปด กวางแบบทานแลว สมาธิยังตองการความสะอาดของจิตประกอบ พรอ มอยูดว ย ถายังสกปรกมอมแมมไปดวยกายทุจริต วจที จุ ริต และมโนทุจริตละก็ จะเหมอื นมีหมอกมัว มุงบงั ไมใหระลกึ รูว ตั ถุอันเปนเปาลอสมาธไิ ดนานเลย อันน้พี ระพทุ ธเจา จงึ ตรัสวา ใหถือศีล รักษาศลี จน สะอาด แลว จะทราบดวยตนเองวาผลท่ีตามมาคอื ความไมเ ดือดเนอื้ รอ นใจ เม่อื มคี วามไมเดอื ดเนอื้ รอ นใจ จติ กย็ อมมคี วามสวา งสบาย งา ยตอ การทําใหต ั้งม่นั เปน สมาธิรตู ามจรงิ ได
๑๔๗ ความจรงิ อันปรากฏงายดาย ธรรมดาเราจะเห็นลมหายใจเปนสมบัติอันไมนาสนใจอยางที่สดุ แตก็ลมหายใจนแี่ หละคอื บนั ไดขั้น แรกทีน่ าสนใจทีส่ ุด พระพทุ ธเจา ตรัสวาใหใสใ จมากทส่ี ุดเหนือสงิ่ อนื่ ใด เปน เชนน้ันเพราะอะไร? เพราะเพียงเริม่ ตนกท็ ราบตามจริงได วา เรากําลังหายใจเขา หรือ หายใจออก ความจริงมีเพียงสองดาน ไมมีทางผิดไปจากนี้ ดงั นัน้ ถา เราสามารถรูไดทนั ลมเขา หรือลมออกในแตละขณะ ก็แปลวา เรากําลงั ฝกรูต ามจริงข้ันตนแลว ไมมจี ิตทีแ่ ปรปรวนกลบั ไป กลบั มาตามการครอบงาํ ของอปุ าทานบางแลว เม่อื มสี ตดิ ีเยยี่ งผูท ําทานรักษาศีลจนจิตใจปลอดโปรง ดีแลว จะหลบั ตาหรือลืมตาก็ตาม ใหมสี ตริ วู า ขณะหน่ึงๆนั้น เรากาํ ลงั หายใจออก หรือวา เรากาํ ลังหายใจเขา อยา พยายามใหเ กิดความผดิ ปกติใดๆใน การรู คอื ไมต อ งใชก ําลงั เพง ใหเ กนิ กวาการบอกตัวเองไดว านห่ี ายใจออก น่หี ายใจเขา อยา หวงั ความสงบ เพราะการรตู ามจรงิ กับการขมใจใหสงบน้ันเปน คนละเรอื่ งกนั พอจิตจะเคลอื่ นจากลมหายใจไปผสมกับความฟุงซา นปน ปว น กค็ อยๆดงึ สตดิ วยทา ทีท่ีนมุ นวลไม ฝน ใจ กลับมารอู ยกู ับลมหายใจตอ พอจติ จะแปรจากอาการรเู บาสบาย ก็ดงึ สติกลบั มารูใ นลักษณะทเ่ี บา สบาย สลบั ยอ้ื กนั ไปยื้อกนั มาอยดู ว ยอาการงายๆเพียงเทา น้ี ในท่ีสดุ จติ กจ็ ะเกดิ ภาวะเงียบจากความคดิ ข้ึนมา และเหมอื นสายลมปรากฏเดนตอใจเราทกุ ครั้งที่มีการหายใจออก และทกุ ครั้งทมี่ กี ารหายใจเขา ไมตองพะวงอะไรทงั้ ส้ิน ถงึ มันจะยาวเรากร็ ู ถึงมันจะสั้นเราก็รู ไมม ีทา ทียินดยี นิ รายกบั ความสั้นหรือ ความยาวท่เี ราเหน็ ตามจรงิ เปนขณะๆ เมอื่ สามารถรลู มหายใจสนั้ ไดเ ปน ปกตเิ ทา ๆกบั รูลมหายใจยาว ก็แปลวา ขณะน้ันเรามสี ติทเี่ กนิ ธรรมดาทีผ่ านมามากแลว เนอื่ งจากสตขิ องคนปกติจะดีไดต อ เมอ่ื ลมหายใจยาวเทาน้นั ตรงจุดนเ้ี ราจะ เรม่ิ เหน็ สายลมหายใจเปนสิ่งนาสนใจ และพบความจรงิ อันไมเ คยทราบมากอน คือถาขนทกุ ส่งิ ออกไป จากใจเราใหห มดแลวเหลอื เพยี งการรับรูลมหายใจผานเขา ผา นออกอยา งเดียว จิตจะสงบสขุ อยาง ประหลาดลาํ้ ไมว า จะหลบั ตาเพือ่ ทาํ สมาธิโดยเฉพาะ หรือเปดตาดูโลกเพื่อทํากิจวตั รตามปกตกิ ็ตาม เปน ความสขุ งายๆทีเ่ ออขึ้นจากภายใน ไมตองแสวงหาจากภายนอกโดยแท และท่จี ุดนัน้ เชน กนั เราจะเหน็ ตามจรงิ วาสขุ อนั เกิดจากการมีใจนิง่ นี้ ดีกวาสขุ อันเกดิ จากใจ กระเพ่ือมตามแรงพดั พาของกเิ ลส บางทีจะนึกเสียดายท่ีนา จะรอู ยา งนี้เสียต้งั นานแลว ไมค วรปลอ ยเวลา ในชีวิตใหส ญู เปลาอยูกบั ความเชอ่ื วากามเปนของดีที่สดุ เลย
๑๔๘ ความจริงเบ้อื งตนทางกาย เรม่ิ ตนจากจดุ เล็กๆจุดเดียวคือลมหายใจนี้ ทเ่ี คยยึดวา เปนเรา เปน ของเรา พอรตู ามจริงวาเด๋ยี ว เขา เด๋ยี วออก เดี๋ยวยาว เดยี๋ วส้นั กบั ท้งั มีชว งหยดุ พกั เปนระยะ กจ็ ะทาํ ใหเ กดิ ความรูส กึ อน่ื เพ่ิมขึ้นมา นอกเหนือจากความสงบ น่ันคือเห็นตามจริงวา ลมหายใจไมเที่ยง มคี วามแปรปรวนเปน ธรรมดา พระพทุ ธเจา ใหถามตวั เองเสมอๆ วา สงิ่ ใดไมเ ที่ยง สงิ่ นน้ั เปนทุกขหรือเปน สขุ ? แนน อนวา เปน ทกุ ข ส่ิงใดไมเทยี่ ง เปนทกุ ข ควรตามเหน็ หรือไมว า นั่นเปน ตวั ตน? แนน อนวา ควรตอบตามซอ่ื วาไมใ ช ตัวตนเลย เมอื่ ถอดถอนความหลงเหน็ วา ลมหายใจเปนเราเสยี ได ก็สามารถขยับไปถอดถอนความเหน็ อนื่ ๆ ตอ ไดเชน กนั คอื เร่ิมตระหนกั หลายสิ่งท่ีไมเคยตระหนัก เชน กายน้ตี อ งการลมเขาลมออกหลอ เล้ยี งอยู ตลอดเวลา กายน้มี ีหัว มีสองแขน มีสองขาไวต้งั หยัดยืน มีหนึง่ ตวั ท่ียดื ขึ้นไดดว ยกระดกู สนั หลงั ดว ย อวัยวะตา งๆทาํ ใหเ กิดอิรยิ าบถหลกั ๆได ๔ แบบ คือยนื เดิน นั่ง นอน ไมร วมอิริยาบถยอ ยอกี มากมาย สารพนั ทัง้ หมนุ คอ ทั้งกลอกตา ทง้ั ยดื หดแขนขา ทั้งเอย้ี วตวั ฯลฯ เริ่มแรกๆเพยี งรเู ฉพาะขณะท่เี กิด การเปล่ียนแปลงอริ ยิ าบถ มคี วามเคลอื่ นไหวบางอยางเกดิ ข้นึ ก็พอ ไมตองพยายามติดตามให ตอเน่อื งตลอดเวลากไ็ ด ไมช าไมนานสติก็จะอยตู ดิ ตัว ติดกายไปเอง ดูไปธรรมดาๆ อยา คาดค้ัน ใหเห็นมากกวา ทีจ่ ะสามารถเหน็ มิฉะนัน้ แทนที่จะเกดิ สตกิ ลับจะกลายเปนสั่งสมความเครยี ดเสยี แทน หากตามดอู าการขยับไหวทางกายอยา งถกู ตองเปนธรรมชาติ ยงิ่ ดจู ะยิ่งเพลิน และเห็นวา ถา รลู ม หายใจ รคู วามเคล่ือนไหวทั้งหลายของกายเสมอๆ จติ จะสงบลง เมือ่ จติ สงบกายกจ็ ะไมก วดั แกวง แมนัง่ เฉยๆก็รูหวั รตู วั รับรถู งึ สองแขนทต่ี กลงแนบลาํ ตวั สบายๆไดงายนัก ถงึ จดุ น้นั เราจะเร่ิมสนใจรายละเอียดอืน่ มากยิง่ ขน้ึ เพราะกายในอริ ิยาบถตางๆปรากฏโดยความ เปน สง่ิ ถกู รูไดช ดั เจน สติย่งิ คมข้ึนเทา ไหร กายยง่ิ ปรากฏเปน ขณะๆตอ เนือ่ งมากขนึ้ ไปอีก โดยไมตองใช ความพยายามทเ่ี กินกําลังใดๆเลย ในแตล ะขณะแหง ความเหน็ ชัดนนั่ เอง เราจะรูส ึกถงึ ความสกปรกทางกายไดโ ดยไมตองใหใครบอก กายนี้ตองรบั ซากพืชซากสัตวเ ขา ไปทางชอ งรบั ดานบน แลวพน ออกมาเปน น้ําสกปรกและสงิ่ โสโครกเนา เหม็นทางรูทวารดานลา ง นเ่ี ปน กลไกทเ่ี ราไมเ คยมสี วนออกแบบไว แตเ รากย็ ึดวาเปน ของเรามานาน บงั คบั บัญชาขอเปล่ยี นแปลงแกไขใหเ ปนอ่ืนไมไ ด ขอใหม นั ไมห วิ มนั ก็หิวเมอ่ื ถึงเวลา ขอใหมันไมป วด ปสสาวะ มันกป็ วดปส สาวะเม่อื ถงึ เวลา ขอใหม ันไมปวดอจุ จาระ มนั กป็ วดอจุ จาระเมื่อถงึ เวลา โดยเฉพาะอยางย่งิ ถานั่นเปนความปวดชนิดปวดราวในสถานท่ีทไี่ มเหมาะสม โลกที่เคยสวางสวยกจ็ ะ มืดมนอนธการ ไมน าอยอู กี ตอ ไป กายนม้ี ปี ฏิกูลและกล่ินไมพ ึงประสงคอ อกมาตามหนอตามแนวตางๆ บางจุดเปนท่ีรวมของความ เหม็น บางจดุ แคส งกล่ินจางๆ ทาํ ใหเ ราไมไ ดก ล่ินถนัดนกั โดยเฉพาะถาชาํ ระลางขัดถเู ชา เย็นเปน ประจาํ
๑๔๙ แตถา เม่ือใดปลอ ยไวห ลายๆวนั นัน่ แหละถงึ จะแผลงฤทธ์ิ ต้ังแตห นงั หัวจดเล็บเทา จะไมมีสว นใดไมค าย กล่ินเหม็นแหลมคมรายกาจราวกบั กองขยะอันนา คล่นื เหียน มันนา ใหพะอืดพะอมส้นิ ดี ทเ่ี ราตองถูกขัง อยูกับซากอสุภะอนั นา รงั เกียจนตี้ ลอด ๒๔ ชั่วโมง องคประกอบสําคญั ของภพมนุษยเ ปน เสียอยางนี้ ยง่ิ ตามดูเรากจ็ ะย่ิงตาสวาง เห็นความจรงิ วา เรา ถูกลวงใหเสนห าอยูก ับทอ โสโครกขนาดใหญ มันจะไมสงกลน่ิ ตราบใดทย่ี งั อยูใ นวสิ ยั ท่ีเอื้อใหเ ชด็ ถชู าํ ระ ลางกันอยางสม่าํ เสมอ แตหากสามารถถอดจิตไปมชี วี ติ ขางนอกกายไดสักเดือนหน่ึง ยอนกลับมามอง ชีวติ ทมี่ กี ายเนื้อกายหนังหอหุมอยูน้ี จะเหน็ ถนัดวา พวกเราตองเชด็ ถูทําความสะอาดกายกันใหจ าละหวน่ั ไมเวน แตล ะเชาแตล ะคํ่า หามอู หา มข้เี กียจ หา มบิดพล้ิวผดั วันประกันพรงุ มฉิ ะน้นั เปน เจอดดี วยจมูก ตนเอง ชางเปน งานที่นาเหนือ่ ยหนักเสียเหลอื ประมาณ การเห็นตามจริงวา กายเปน ของสกปรก นารังเกียจ ไมควรพสิ มยั นน้ั จะทําใหจติ ใจเราผอ งแผว โนมนอ มทีจ่ ะต้งั ม่ันเปนสมาธไิ ดง าย และย่ิงต้ังมน่ั เปนสมาธไิ ดม ากข้ึนเทาไหร ความสามารถในการเหน็ ตามจริงก็จะย่ิงเพิ่มขึ้นเปน เงาตามตวั ไปดว ย เพราะไมถกู กามสง คลน่ื รบกวน ท้ังคลืน่ ในยานของการ ตรึกนึก และทง้ั คล่ืนในยานของการหลง่ั สารกระตุนตางๆจากภายใน ความจรงิ เบ้อื งตนเกี่ยวกับสุขทุกข เมือ่ ตามรูไ ปเรอื่ ยๆถงึ จุดหนึง่ จะเกดิ ความยอมรบั ออกมาจากจติ ทเ่ี ปน กลาง วา งจากความยดึ มั่น ถือมนั่ เหน็ วาความสขุ ทางใจนัน้ มีอายุยืนนานกวาความสขุ อนั เกิดจากผัสสะทีน่ า ชอบใจ ปกติการใชช วี ิตของคนในโลกที่ตะกลามหาเครื่องกระทบนาตอ งใจ ทงั้ รปู เสยี ง กลนิ่ รส และ สมั ผสั ตา งๆนัน้ เขามคี วามสุขกันแบบวบู ๆวาบๆไมตางอะไรจากไฟไหมฟ าง คนเราเหน็ อะไรเดยี๋ วเดียว ก็ตองเปลีย่ นสายตาไปทางอนื่ ฟงอะไรเดี๋ยวเดียวประสาทหกู เ็ หมอื นจะหยุดทาํ งานลงเฉยๆ ทุกประสาท สัมผัสมีความสามารถรบั รสู ง่ิ กระทบทเ่ี ขา คูกับตนไดเพยี งประเด๋ยี วประดาว เราจะเห็นตามจรงิ วาความสุขความทกุ ขท ี่เกิดขึน้ ในคนธรรมดานั้น มกั จะมาจากผสั สะทพ่ี เิ ศษ สวนใหญในเวลาปกตคิ นเราจะรูสึกเฉยๆ และเหมอื นมีจติ คดิ จอ งรอเสพผัสสะทีก่ ระตุนใหเกดิ ความสขุ แรงๆกวาปกติเสมอ ความสุขท่พี งุ ระดับข้ึนแรงน้นั นาติดใจ เพราะรสชาติของผสั สะมีความแหลมคมถึงอารมณเ ปนยิ่ง นัก ดูๆแลว เหมือนพวกเราเปนโรคอะไรบางอยา งทางกาย ท่ีตองเกา ตอ งคนั หรือกระทั่งตองผิงไฟเพื่อ ความเผด็ แสบ ยงิ่ เผ็ดแสบย่งิ มนั ย่ิงอยากเกาใหม าก พอเกาเดย๋ี วเดียวกย็ ้ังมือไวดว ยความเบ่ือหนา ย หรอื เจ็บปวด แลวกต็ องลงมือแกะเกาเอามนั กันใหม รอบแลวรอบเลา ไรท่สี ้นิ สุด
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165