ประกาศคุณูปการ วิจัยในชัน้ เรยี นฉบบั น้ีสำเรจ็ ลุล่วงอยา่ งสมบูรณ์ได้ ดว้ ยความกรุณาและช่วยเหลือเป็นอย่า งดีจาก จ่าสิบเอกเสวก ฉุนหอม ผู้อำนวยการโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 56 จังหวัดน่าน นายชัยภัทร ใจดี รองผู้อำนวยการโรงเรยี น กลุ่มบริหารวชิ าการ นางดวงเดอื น โพธิ์ทอง รองผอู้ ำนวยการโรงเรยี น กลุ่มบริหาร ท่วั ไป นางสภุ างค์ สารเถ่อื นแก้ว รองผู้อำนวยการโรงเรียน กล่มุ บรหิ ารงบประมาณ นางภริ ญา สอนศิริ รองผ้อู ำนวยการโรงเรียน กลุ่มบรหิ ารงานบคุ คล และนางมลฤดี พรมเอย่ี ม หัวหน้ากล่มุ สาร ะการ เรียน รู้ การงานอาชพี ทกี่ รุณาให้ความช่วยเหลือ ให้คำแนะนำและให้คำปรึกษา ตลอดจนตรวจสอบแกไ้ ขข้อบกพร่อง ตา่ งๆ ตั้งแต่ตน้ จนจบ ผู้วจิ ยั ขอกราบขอบพระคุณทกุ ท่านเปน็ อย่างสูงไว้ ณ โอกาสนี้ คุณคา่ และประโยชน์ของวิจยั ในชั้นเรียนฉบับน้ี ผวู้ จิ ัยขอมอบบูชาพระคุณบิดา มารดา ตลอดจน บรู พาจารย์ ทีใ่ หก้ ารอบรมสั่งสอน ผวู้ จิ ยั จนประสบความสำเรจ็ ในชวี ิต และหน้าท่กี ารงาน พริ ยิ พงษ์ ลอยเลิศ
ชือ่ เรื่อง พัฒนาคณุ ภาพผลสมั ฤทธ์ิการจัดกิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบโครงงาน เรอื่ ง การปลกู ผักปลอด สารพิษตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง กลุม่ สาระการเรยี นร้กู ารงานอาชีพ ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1/4 ผศู้ ึกษาค้นควา้ นายพิรยิ พงษ์ ลอยเลศิ โรงเรยี น โรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ 56 จงั หวัดนา่ น ปีทพ่ี มิ พ์ 2564 บทคัดย่อ การจัดกจิ กรรมแบบโครงงานมุง่ เน้นให้ผู้เรียนได้ปฏบิ ัติเหมือนกับการทำงานในชีวติ จรงิ ร้จู กั วธิ ี การแก้ปัญหาดว้ ยตนเองและค้นหาคำตอบอย่างเป็นระบบ รู้จกั วางแผน คิดวิเคราะห์ ประเมินผลการ ปฏบิ ัตงิ านได้ดว้ ยตนเอง การศึกษาค้นควา้ ครัง้ นี้มีความมุ่งหมายเพ่ือพฒั นาแผนการจัดกจิ กรร มการเรียนรู้ รูปแบบโครงงาน กลมุ่ สาระการเรียนรกู้ ารงานอาชีพ เรื่อง การปลกู ผักปลอดสารพิษตามหลักปรัชญา ของ เศรษฐกจิ พอเพียง ชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี 1/4 ทีม่ ปี ระสิทธภิ าพตามเกณฑ์ 80/80 เพ่ือหาค่าดชั นปี ระสิทธิผลของ แผนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้แบบโครงงาน เรอ่ื ง การปลูกผกั ปลอดสารพิษตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียง และเพอ่ื ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อการเรยี นรู้ดว้ ยการจดั กิจกรร มการ เรียนรู้แบบ โครงงาน เรอ่ื ง การปลูกผักปลอดสารพษิ ตามหลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง กลุ่มตวั อย่าง เปน็ นักเรียนช้ัน มัธยมศกึ ษาปีท่ี 1/4 โรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ 56 จงั หวดั นา่ น สังกดั สำนักบริหารงานกา รศึกษาพิเศษ ภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศึกษา 2564 นกั เรยี นจำนวน 27 คน โดย เครื่องมอื ท่ีใชม้ ี 3 ชนดิ คอื แผนการจดั กจิ กรรม การเรยี นรแู้ บบโครงงาน เร่อื งการปลูกผกั ปลอดสารพษิ ตามหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง ชั้นมัธยมศึกษา ปีท่ี 1/4 จำนวน 9 แผน เวลาท่ใี ช้สอน 18 ช่วั โมง ซง่ึ มีคณุ ภาพอยู่ในระดบั เหมาะสมมากที่สุด โดยมีค่าเฉล่ีย เทา่ กบั 4.63 แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนแบบปรนัย ชนดิ เลือกตอบ 4 ตัวเลอื ก จำนวน 30 ขอ้ มี คา่ อำนาจจำแนกระหว่าง 0.21 ถงึ 0.89 และมีค่าความเชื่อม่ันทั้งฉบบั เท่ากับ 0.82 และ แบบวัดความพงึ พอใจ ของนกั เรยี นท่ีมีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบโครงงานเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่า อำนาจจำแนกรายขอ้ ต้ังแต่ 0.35 ถงึ 0.82 และมีค่าความเชอื่ มน่ั เทา่ กับ 0.87 สถิตทิ ี่ใช้ในการวเิ คราะห์ข้อมูล ได้แก่ คา่ เฉลย่ี สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน และร้อยละ ผลการศึกษาคน้ คว้าปรากฏ ดงั น้ี 1. แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรูแ้ บบโครงงาน เร่อื ง การปลูกผักปลอดสารพษิ การปลูกผัก ปลอดสารพษิ ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง กลมุ่ สาระการเรียนร้กู ารงานอาชีพ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/4 ทีผ่ ้ศู ึกษาคน้ ควา้ พฒั นาขึ้น มีประสทิ ธภิ าพเท่ากบั 83.39/81.11 ซ่ึงสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ท่ีตัง้ ไว้ 2. ค่าดชั นีประสิทธผิ ลของแผนการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้แบบโครงงาน เร่อื ง การปลูกผัก ปลอดสารพิษตามหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง กลุม่ สาระการเรียนรู้การงานอาชพี มคี ่าเท่ากบั 0.6546 แสดงวา่ นกั เรียนมีความกา้ วหนา้ ในการเรียนคิดเปน็ รอ้ ยละ 65.46 3. นกั เรยี นชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี 1/4 มีความพงึ พอใจต่อการเรยี นด้วยการ จัดกิจ กร รมการ เรียนรแู้ บบโครงงาน เร่ือง การปลกู ผักปลอดสารพษิ ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยรวมอยู่ใน ระดับมาก โดยสรุป แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบโครงงาน เรื่อง การปลูกผักปลอดสารพิษตามหลัก ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง กล่มุ สาระการเรียนรู้การงานอาชีพ ชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 1/4 มีประสิทธิภาพ
ประสทิ ธผิ ลเหมาะสม และนักเรยี นมคี วามพึงพอใจอยู่ในระดับมากถึงมากที่สุด จึงควรสนบั สนนุ ใหค้ รนู ำไปใช้ ใน การจดั การเรยี นการสอนตอ่ ไป
สารบญั บทที่ หนา้ 1 บทนำ ................................................................................................................................................ 1 ที่มาและความสำคญั ............................................................................................................... 1 ความมุง่ หมายของการศึกษาค้นคว้า ........................................................................................ 3 ความสำคัญของการศกึ ษาคน้ ควา้ ............................................................................................ 4 ขอบเขตของการศกึ ษาคน้ คว้า .................................................................................................. 4 นิยามศัพท์เฉพาะ ..................................................................................................................... 4 2 เอกสารและงานวิจัยทเ่ี ก่ียวข้อง .......................................................................................................... 6 เอกสารทีเ่ กยี่ วข้อง .................................................................................................................... 6 หลักสูตรกลมุ่ สาระการงานอาชพี พุทธศกั ราช 2551(ปรบั ปรงุ พทุ ธศกั ราช 2560).................. 6 การจดั กจิ กรรมการเรียนร้แู บบโครงงาน ................................................................................. 17 แผนการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ ................................................................................................ 26 การหาประสิทธภิ าพของเครอ่ื งมอื ........................................................................................... 32 ดัชนีประสทิ ธิผล ....................................................................................................................... 33 ความพึงพอใจในการเรยี นรู้ ...................................................................................................... 36 ความรู้เกย่ี วกับการปลูกผกั สวนครัว ......................................................................................... 38 งานวิจัยทเ่ี กย่ี วข้อง ................................................................................................................... 45 3 วธิ ดี ำเนินการศกึ ษาคน้ คว้า .................................................................................................................. 49 ประชากร .................................................................................................................................. 49 เครอ่ื งมือทใ่ี ชใ้ นการศึกษาค้นควา้ ............................................................................................. 49 การสร้างและการหาคณุ ภาพของเครือ่ งมือ ............................................................................... 49 ขัน้ ตอนดำเนินการศึกษาค้นคว้า ............................................................................................... 53 การวิเคราะหข์ อ้ มลู ................................................................................................................... 55 สถิตทิ ่ีใชใ้ นการวเิ คราะหข์ ้อมูล ................................................................................................. 55 4 ผลการวิเคราะห์ขอ้ มูล ........................................................................................................................ 59 สญั ลกั ษณ์ทใี่ ช้ในการเสนอผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู .................................................................... 59 ลำดับขั้นตอนในการเสนอผลการวิเคราะหข์ ้อมูล ..................................................................... 59 ผลการวิเคราะหข์ ้อมลู .............................................................................................................. 59
สารบญั (ต่อ) บทท่ี หนา้ 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ ............................................................................................ 69 ความมุ่งหมายของการศกึ ษาค้นควา้ ...................................................................................... 69 สรุปผล ................................................................................................................................... 69 อภปิ รายผล ............................................................................................................................ 70 ข้อเสนอแนะ .......................................................................................................................... 72 บรรณานกุ รม ................... ..................................................................................................... 74 ภาคผนวก ............................................................................................................................................ 78 ภาคผนวก ก ตัวอย่างแผนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้แบบโครงงาน ...................................... 79 ภาคผนวก ข แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ........................................................... 94 ภาคผนวก ค แบบประเมนิ แผนการจัดกิจกรรมการเรยี นรแู้ บบโครงงาน สำหรับผู้เช่ียวชาญและแบบวดั ความพงึ พอใจ ...................................................................... 99 ภาคผนวก ง ผลการวิเคราะห์หาคุณภาพของเคร่ืองมอื ....................................................... 104 ภาคผนวก จ ตวั อย่างโครงงานนกั เรยี น ............................................................................... 110 ประวตั ิยอ่ ของผู้ศึกษาค้นควา้ ............................................................................................................. 128
สารบัญตาราง ตาราง หน้า 1 ระยะเวลาทีใ่ ชใ้ นการทดลองและเกบ็ รวบรวมข้อมูล ......................................................................... 54 2 แบบแผนการทดลอง ......................................................................................................................... 54 3 คา่ เฉล่ีย ส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐาน และรอ้ ยละของคะแนนกระบวนการเรยี นรู้ ระหว่างเรยี นดว้ ยแผนการจัดกจิ กรรมการเรยี นร้แู บบโครงงาน เรอื่ ง การปลูกผกั ปลอดสารพิษ ชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี 1 .................................................................................................. 61 4 สรปุ ประสิทธิภาพของแผนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้แบบโครงงาน กลมุ่ สาระ การเรยี นรกู้ ารงานอาชพี เรือ่ ง การปลกู ผกั ปลอดสารพิษ ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 ................................................................................................. 65 5 ค่าดชั นีประสทิ ธผิ ลของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบโครงงาน เร่อื ง การปลกู ผักปลอดสารพิษ กลุ่มสาระการเรยี นร้กู ารงานอาชพี ชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ 1 ........................................................................................................................ 66 6 ความพึงพอใจของนกั เรยี นทมี่ ตี อ่ การเรยี นด้วยการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ แบบโครงงาน เร่ือง การปลูกผักปลอดสารพษิ กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ การงานอาชพี และเทคโนโลยี ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 1 ........................................................................ 67 7 ผลการประเมินแผนการจดั กจิ กรรมการเรียนรแู้ บบโครงงานสำหรับผเู้ ช่ียวชาญ .......................... 105 8 ผลการประเมินความสอดคลอ้ งระหวา่ งจุดประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรมกับขอ้ สอบ ............................... 107 9 ผลการวิเคราะห์คา่ อำนาจจำแนกแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียน ................................... 108 10 ผลการวเิ คราะหค์ ่าอำนาจจำแนกรายขอ้ ที่เข้าเกณฑ์และคา่ ความเช่อื มั่นของ แบบสอบถามความพงึ พอใจ ....................................................................................................... 109
1 บทที่ 1 บทนำ ท่ีมาและความสำคญั หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ได้พัฒนาให้เป็นไปตามรัฐธรรมน ูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช 2540 และพระราชบญั ญตั ิการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ซ่ึงได้กำหนดให้ การจัดการศกึ ษาตามหลกั สูตรต้องเป็นไปเพื่อพัฒนาคนไทย ให้เป็นมนุษยท์ ี่สมบูรณ์ทัง้ รา่ งกาย จิตใจ สตปิ ญั ญา ความรูแ้ ละคุณธรรม มจี รยิ ธรรมและวฒั นธรรมแห่งความเป็นไทย มีทักษะในการดำรงชีวติ สามารถ อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข เปิดโอกาสให้สังคมมีส่วนร่วม ในการจัดการศึกษา พัฒนาสาระ และกระบวนการเรียนรู้ให้เป็นไปอย่างต่อเน่ือง (กรมวิชาการ. 2546 : 1) การจัดการเรียนรูใ้ นกลุม่ สาระ การเรยี นรูต้ ่างๆ ผู้สอนตอ้ งคำนงึ ถึงพัฒนาการทางดา้ นร่างกายและสติปญั ญา วิธกี ารเรียนรู้ ความสนใจ และความสามารถของผู้เรียนเปน็ ระยะ ๆ อยา่ งต่อเนอื่ ง การจัดการเรียนรใู้ นแต่ละช่วงชน้ั จึงควรนำรูปแบบ และวิธีการสอนท่หี ลากหลายเข้ามาใชโ้ ดยม่งุ เนน้ จดั การเรยี นการสอนตามสภาพจริง เพ่อื ให้เกดิ การเรียนรู้ด้วย ตนเอง การเรยี นรู้รว่ มกนั การเรยี นรู้จากธรรมชาติ การเรยี นรูจ้ ากการปฏิบตั ิจริง และการเรยี นรู้ แบบ บูรณาการ(กองวิจัยการศึกษา กรมวิชาการ. 2546 : 3) การจดั การศกึ ษาม่งุ เน้นความสำคัญทั้งด้าน ควา มรู้ ความคดิ ความสามารถ คณุ ธรรม กระบวนการเรยี นรู้ และความรบั ผดิ ชอบต่อสงั คม เพ่อื พฒั นาคน ให้มีความ สมดุล โดยยึดหลักผเู้ รียนสำคัญที่สุด ส่งเสรมิ ให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ และพัฒนาตนเอง ได้ตามธรรมชา ติ และเตม็ ศกั ยภาพ มงุ่ เนน้ การฝกึ ทักษะ กระบวนการคิด การจัดการ การเผชญิ สถานการณ์ และการประยุกต์ ความร้มู าใช้ (กระทรวงศกึ ษาธิการ. 2545 : 1-3) หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพ ได้จัดเนือ้ หาออกเปน็ 2 สาระ คอื การดำรงชีวิตและ ครอบครวั และงานอาชีพ โดยการเรยี นงานบ้าน งานเกษตร งานช่าง งานประดษิ ฐ์ และงานธรุ กจิ ซึ่งแตล่ ะชั้น จะต้องเรยี นใหค้ รบทงั้ 5 งาน จะขาดงานใดงานหน่ึงไม่ได้ สถานศึกษาต้องจัดเน้ือหาสาระและกิจ กรร มให้ สอดคลอ้ ง กบั ความสนใจ ความถนัดและความแตกตา่ งของนกั เรียน ฝกึ ทกั ษะ กระบวนการคดิ การจัดการ การเผชญิ สถานการณ์และประยุกต์ใช้ เพ่ือสง่ เสรมิ และสนับสนนุ ใหน้ ักเรียนได้เรียนรูจ้ าก ประสบการณ์จริง การฝกึ ปฏบิ ตั ิ ให้ทำได้ คดิ เป็น ทำเปน็ รักการอ่านและเกิดการใฝร่ ู้อย่างต่อเนอ่ื ง ผสมผสานสาระความรู้ด้าน ต่างๆ อย่างสมดุล พ่อ แม่ ผู้ปกครอง และชุมชนมีสว่ นรว่ มในการจัดการเรียนรู้ให้เกิดขึน้ ได้ทกุ สถานที่ (สำนักงานคณะกรรมการการประถมศกึ ษาแหง่ ชาติ. 2542 : 23-25) การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรยี นรู้การงานอาชีพ ของโรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ 56 จังหวัดน่าน ที่ผ่านมานักเรียนส่วนใหญ่ขาดโอกาสที่จะมีส่วนร่วมในจัดกจิ กรรม การแสดงความคิดเหน็ ขาดการฝึกทักษะในการค้นคว้า การสังเกต ทักษะกระบวนการเรียนรู้ การสร้างองคค์ วามรู้ด้วยตนเอง ขาดความเข้าใจเกย่ี วกบั งานอาชีพและเทคโนโลยี เปน็ คนทไี่ ม่มนี ิสัยรัก การทำงาน ไม่เห็นคุณค่าของงาน ตลอดจนขาดคณุ ธรรม จริยธรรมที่เปน็ พ้นื ฐานได้แก่ ความขยนั ซ่อื สตั ย์ ประหยดั และอดทน อันจะนำไปสู่ การใหผ้ ูเ้ รียนสามารถชว่ ยเหลือ และพง่ึ ตนเองได้การจดั การเรียนรขู้ องครผู สู้ อน ส่วนใหญ่ยงั ไม่ปรับวิธีเรียน เปลี่ยนวิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทจี่ ะ ทำให้ผ้เู รยี นสร้างองคค์ วามรู้ด้วยตนเอง โดยวิธีทห่ี ลากหลาย น่ันคือ จากการเรียนท่ีครูเป็นผู้ป้อน ความรู้ จากการที่ผู้เรียนเคยเปน็ ผู้รอรบั ความรู้ มาเป็นผู้แสวงหาความรู้ และพฒั นาตนเอง ในขณะท่ีครูจะต้องเปล่ยี นบทบาทจากผู้สอน หรือผบู้ อกความรู้ ไปเป็นผเู้ อือ้ อำนวยควา ม สะดวกให้ ผู้เรียน เกิดการเรียนรูด้ ้วยตนเอง และมีส่วนร่วมในการเรียนรู้สามารถนำความรูท้ ีไ่ ดร้ บั จาก
2 การจัดประสบการณท์ โ่ี รงเรียนไปปรับใช้ในการดำรงชวี ิตประจำวันได้อย่างมีความสุข ซงึ่ กลมุ่ การงานอาชีพ เป็นสาระการเรียนรู้ท่ีมุง่ พัฒนาผเู้ รียนให้มีความรู้ ความเขา้ ใจเกี่ยวกับอาชีพ มีทักษะกา รทำงาน ทักษะ การจัดการ สามารถนำมาใช้ในการทำงานอย่างถูกต้อง เหมาะสม คุ้มคา่ และมคี ณุ ธรรม สร้างและพัฒนา ผลติ ภัณฑ์ หรือวธิ กี ารใหม่ สามารถทำงานเป็นหมู่คณะ มีนิสยั รกั การทำงาน เหน็ คณุ คา่ และมีเจตคติท่ีดีต่อ งาน ตลอดจนมคี ุณธรรม จรยิ ธรรม และค่านิยมท่เี ปน็ พ้นื ฐาน ได้แก่ ความขยนั ซ่อื สตั ย์ ประหยัด และอดทน อันจะนำไปสูก่ ารใหผ้ ู้เรียนสามารถช่วยเหลือตนเอง และพ่งึ ตนเองได้ ตามพระราชดำริเศร ษฐกิจ พอเพียง สามารถดำรงชวี ิตอยใู่ นสงั คมได้อย่างมีความสขุ ร่วมมอื และแข่งขนั ในระดบั สากลในบริบทของสังคมไทย (กรมวชิ าการ. 2545 : 1) การเรยี นการสอนแบบโครงงาน เปน็ วิธจี ดั การเรยี นการสอนวิธหี นึ่งที่เหมาะสมกับการฝึกให้ผู้เรียน เรียนรเู้ ก่ยี วกบั การปลกู ผกั ปลอดสารพิษตามหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง ซ่งึ ครูผูส้ อนไดจ้ ดั กิจกรรมการ เรยี นการสอน ในปกี ารศกึ ษา 2563 มาจนถึงปัจจุบัน เพราะการจดั กิจกรรมแบบโครงงานทำให้ผู้เรียน ได้ ปฏบิ ตั ิเหมอื นกับการทำงานในชีวิตจริง ให้รู้วธิ กี ารแกป้ ัญหาด้วยตนเองอย่างเปน็ ระบบ รจู้ กั วางแผน คิด วิเคราะห์ ประเมินผลการปฏบิ ัตงิ านไดด้ ้วยตนเอง ในลักษณะสำรวจ ค้นคว้า ทดลองประดิษฐ์ คิดคน้ โดยมีครู เปน็ ผคู้ อยแนะนำและใหค้ ำปรกึ ษาอย่างใกล้ชิด ผเู้ รียนสามารถนำความรู้ในช้ันเรียนบูรณาการกับกิจกรร มท่ี กระทำเพือ่ นำไปสคู่ วามร้ใู หม่ ๆ และการจัดกจิ กรรมแบบโครงงานเป็น การสอนใหผ้ ้เู รียนรจู้ กั การทำวิจัยเล็ก ๆ เพ่อื พัฒนาทกั ษะและสรา้ งผลผลิตท่ีมีคุณภาพ ทำในเวลา และนอกเวลาเรยี นได้ นอกจากนี้กิจกรรมโครงงาน ยังช่วยเสรมิ สรา้ งคุณลักษณะของคนให้มีคุณภาพพรอ้ มที่จะต่อสู่กับการเปล่ียนแปลงของโลกอนา คตต่อไป (ประเทือง จันทไทย. 2545 : 2) การสอนแบบโครงงานจึง เปน็ รปู แบบการเรียนการสอนท่ีมุ่งส่งเสรมิ ให้ผู้เรียน ได้ค้นหาความสามารถ ความถนดั และความสนใจของตนเองในด้านตา่ ง ๆ มาจากแนวคิดพ้ืนฐานของ การ เรียนรโู้ ดยยดึ ผเู้ รียนเป็นศนู ย์กลาง (Child Center) และการเรียนร้ตู ามสภาพจริง โดยมีการศกึ ษา หลักการ และวิธเี ก่ยี วกับโครงงานทีเ่ ลอื กศึกษา วเิ คราะห์ วางแผนการทำงาน ลงมอื ทำงาน และ ปรับปรุง เพอ่ื ให้งาน บรรลุตามวัตถปุ ระสงค์ ในกระบวนการเรยี นการสอนได้ใชท้ กั ษะ กระบวนการ สอดแทรกคณุ ธรรม ทำงานเป็น กลมุ่ ฝึกปฏบิ ัตจิ รงิ เน้นผเู้ รยี นมีสว่ นร่วม มคี รู เป็นผู้ช้แี นะ ให้คำปรึกษาตลอดเวลา เนน้ ฝึกคนให้แสวงหา ความรูด้ ว้ ยตนเอง (ศิลปะศกั ด์ิ มนตจ์ ริยาพร. 2551 : เวบ็ ไซต์) การจัดกจิ กรรมการเรยี นรงู้ านเกษตร โดย โครงงาน เป็นเทคนคิ หนง่ึ ที่มีความจำเป็นอย่างย่ิงในการเรยี นการสอนในยุคปฏิรปู การเรียนรู้ เนือ่ งจากเปิด โอกาสใหน้ กั เรียนได้เรียนรูต้ ามความสนใจมกี ารวางแผนการทำงานรว่ มกันอย่างเป็นระบบดว้ ยการ แสวงหา ความรู้จากแหล่งตา่ ง ๆ แลว้ นำมาปฏบิ ตั ิจรงิ ดว้ ยตนเอง จนสามารถสรุปเปน็ องค์ความรเู้ กย่ี วกับส่ิงท่ีค้นพบได้ โดยมีครเู ปน็ ผู้คอยกระต้นุ แนะนำ และให้คำปรึกษาอยา่ งใกลช้ ิด จนส้นิ สดุ กระบวนการทำโครงงานซงึ่ จะส่งผล ใหน้ ักเรียนมีความรทู้ ย่ี ัง่ ยนื พรอ้ มท่ีจะกา้ วไปสู่การเปล่ียนแปลงของโลกในอนาคต ผวู้ จิ ยั จงึ มคี วามสนใจท่ีจะพัฒนาแผนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ โดยใช้วธิ สี อนแบบโครงงาน มา ใช้ ในการจดั กิจกรรมการเรียนการสอน ไดศ้ กึ ษา ปญั หา หลกั การ เหตุผล และตระหนกั ถึงปญั หาในการ ปลูกผัก สวนครัวท่ีในปัจจุบันมสี ารพษิ ตกคา้ งในพืชผัก เป็นอันตรายต่อผูบ้ รโิ ภคทั้งในปัจจุบนั และอนาคต ทั้งส่วนตัว ของนกั เรยี นและสว่ นรวมของประชาชนซึ่งในปัจจบุ ันการปลกู พืชผักเพ่ือการบริโภคและจำหน่ายมีปัญหา เก่ียวกับสารพิษตกคา้ งในผกั สดเม่ือได้รบั สารพษิ เข้าไปในปริมาณนอ้ ยๆ แตบ่ ่อยครง้ั เป็นเวลานาน จะสะสม เพม่ิ ปริมาณมากขน้ึ จนทำให้เกิดการเปล่ียนแปลงของเซลจนกลายเป็นเซลมะเร็งลุกลามไปยงั ส่วน ต่า ง ๆ ของร่างกายได้(สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กองพฒั นาศกั ยภาพผู้บริโภค. 2551 : 10) จงึ ได้เลือก เนือ้ หาในสาระเพิม่ เติม งานเกษตร เก่ียวกับการปลูกผกั ปลอดสารพิษตามหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจ พอเพียง ให้นักเรยี นได้เรยี นรูถ้ ึงความสำคัญ ประโยชน์ วิธผี ลติ ผัก และการจัดการผลผลติ โดยให้นักเรียน ได้ศึกษา
3 คน้ ควา้ ทดลองเพ่ือได้ผักทปี่ ราศจากสารพิษหรือผักสวนครวั ที่มีสารพษิ ตกคา้ งน้อย จงึ เป็นเหตผุ ลในการเลือก การจัดกิจกรรมการเรียนรูแ้ บบโครงงาน โดยการพฒั นาการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ เรื่อง การปลูกผักปลอด สารพิษตามหลักปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง กลมุ่ สาระการงานอาชีพ ช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี 1/4 โรงเรยี นราช ประชานุเคราะห์ 56 จังหวัดน่าน เพื่อส่งเสรมิ ให้นักเรียน ได้เรียนรู้ ได้รบั ประสบการณ์ตรง เรียนรูก้ าร แก้ปัญหาการทำงานอยา่ งมรี ะบบ รู้จักวางแผนการทำงาน ฝึกการทำงานรว่ มกับผู้อืน่ ฝึกการคิดวิเคราะห์การ ตัดสินใจ การประเมินตนเอง ฝึกให้นักเรียนมีความขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์และอดทนมีคุณธรรมในการ ดำรงชวี ติ และการประกอบอาชีพ ผูส้ อนจงึ มคี วามสนใจ ทีจ่ ะพัฒนากจิ กรรมการเรยี นรู้แบบโครงงาน เรือ่ ง การ ปลกู ผักปลอดสารพษิ ตามหลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง กลมุ่ สาระการงานอาชีพ ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 1/4 โรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ 56 จังหวดั น่าน สำนกั บรหิ ารการศกึ ษาพิเศษ เพือ่ นำแนวทางในการเรียนไปใช้ แกป้ ัญหาในชวี ิตประจำวนั และป้องกันอันตรายทอ่ี าจเกดิ ขนึ้ ในอนาคต และเปน็ แนวทางในการพัฒนากิจกรรม การเรียนรู้แบบโครงงาน กลมุ่ สาระการงานอาชีพในชว่ งชน้ั อนื่ ๆ ต่อไป ความมุง่ หมายของการศกึ ษาคน้ ควา้ 1. เพอ่ื พัฒนาแผนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรแู้ บบโครงงาน เรือ่ ง การปลกู ผกั ปลอดสารพิษตา มหลัก ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพ ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 1/4 ใหม้ ปี ระสิทธิภาพ ตามเกณฑ์ 80/80 2. เพอื่ หาคา่ ดัชนีประสิทธผิ ลของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบโครงงาน เร่ือง การปลูกผัก ปลอดสารพษิ ตามหลักปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง กลุ่มสาระการเรียนรกู้ ารงานอาชีพ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/4 3. เพื่อศกึ ษาความพึงพอใจของนกั เรยี นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/4 ทีม่ ตี ่อการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้แบบ โครงงาน เรอื่ ง การปลกู ผักปลอดสารพิษตามหลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง กลุ่มสาระการเรยี นร้กู ารงาน อาชพี ความสำคญั ของการศึกษาค้นควา้ 1. ได้แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรแู้ บบโครงงาน งานเกษตร เรอื่ ง การปลูกผักปลอดสาร พิษตา ม หลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง กลุม่ สาระการเรียนรู้การงานอาชีพ ที่ทดลองแล้วนำไปจดั กจิ กรรมให้แก่ นกั เรียน ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1/4 แล้วมีประสทิ ธภิ าพตามเกณฑ์ 80/80 2. เปน็ แนวทางสำหรับครใู นการพฒั นากิจกรรมการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรยี นรู้การงานอาชีพ เรื่อง การปลูกผกั ปลอดสารพษิ ตามหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง ชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ 1/4 และชัน้ อน่ื ๆ ต่อไป ขอบเขตของการศึกษาค้นคว้า 1. ประชากร 1.1 ประชากรทใ่ี ชเ้ ป็นเปน็ นักเรยี นช้ันมัธยมศึกษาปที ่ี ¼ โรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ 56 จังหวัดน่าน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศกึ ษา 2564 สำนกั บริหารการศกึ ษาพิเศษ จำนวน 27 คน ซ่งึ ภายในห้องเรยี น มนี ักเรยี นคละความสามารถเก่ง ปานกลาง และออ่ น 2. เนอ้ื หาทใ่ี ชใ้ นการทดลอง ได้แก่ เน้อื หาท่ีใช้ในการจดั กิจกรรมการเรยี น เรือ่ ง การปลูกผักปลอด สารพิษตามหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง กลุ่มสาระการงานอาชีพ ชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ 1/4 ดงั น้ี
4 2.1 ความร้เู กย่ี วกับการปลกู ผักสวนครวั 2.2 ความร้เู กี่ยวกบั การปลกู ผักปลอดสารพษิ ตามหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 2.3 การเตรียมดินปลูกผกั ปลอดสารพษิ 2.4 การดูแลรกั ษาผักปลอดสารพิษ 2.5 สารกำจดั แมลงจากสะเดาและพืชไล่แมลง 2.6 การเก็บเกย่ี วผลผลิตและการนำผลผลิตไปใช้ 2.7 ตวั อยา่ งการปลูกผกั ปลอดสารพษิ ตามหลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง 2.8 การเขยี นรายงานโครงงาน 2.9 การจัดแสดงผลงาน (การจดั นทิ รรศการ) 3. ระยะเวลาในการศกึ ษาวจิ ยั ภาคเรียนที่ 2 ปกี ารศึกษา 2564 นิยามศพั ท์เฉพาะ 1. ผลการจดั กิจกรรมการเรียนรแู้ บบโครงงาน หมายถึง ผลที่เกดิ จากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ที่ได้ กำหนดสาระการเรียนรู้ กำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ กำหนดกิจกรรมการเรียนรู้ตามขั้นตอน กำหนดสือ่ การ เรยี นที่จะทำให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้และทำใหผ้ ลสัมฤทธท์ิ างการเรียนเพม่ิ ขึน้ รวมถึงนักเรียนมีความพึงพอใจ ในการปฏิบตั ิกิจกรรมการเรยี นรูแ้ บบโครงงาน 2. แผนการจัดกิจกรรมการเรยี นรแู้ บบโครงงาน หมายถึง การพัฒนาการสอนที่จดั กจิ กรรมการเรียนรู้ ทเ่ี ปิดโอกาสใหน้ กั เรยี นได้เรยี นร้ตู ามสภาพจริง ได้ลงมอื ปฏบิ ตั ใิ นลกั ษณะของการศึกษาค้นคว้า ทดลองด้วย ตนเอง ตามความสามารถและความสนใจโดยอาศัยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์หรือกระบวนการอื่นใดไปใช้ เพ่อื ตอบข้อสงสัยในสงิ่ ท่ีตนอยากรจู้ นสามารถสรุปเปน็ องคค์ วามร้เู ก่ียวกับส่ิงท่คี น้ พบได้ ท่ีผศู้ ึกษาค้นควา้ สร้าง ข้ึน 3. โครงงาน หมายถึง กระบวนการเรียนรู้แบบบรู ณาการแบบหนึง่ ที่ยดึ ผู้เรยี นเปน็ สำคญั โดยผู้เรียน เป็นผ้ลู งมอื ปฏบิ ตั อิ ยา่ งเป็นระบบซึง่ มุ่งส่งเสริมกระบวนการคิดวิเคราะหร์ ่วมกันวางแผน เพื่อสรา้ งองค์ความรู้ หรอื แก้ปัญหาด้วยการศึกษาค้นคว้า ทดลองตามข้ันตอน (วมิ ลรัตน์ สุนทรโรจน์. 2549 : 180) โครงงานตาม สาระการเรียนรู้เพิม่ เติม ประเภททดลองทเ่ี ปิดโอกาสให้นักเรียนไดเ้ รยี นรตู้ ามสภาพจริง ไดล้ งมือปฏบิ ตั ิ โดย วธิ ดี ำเนนิ การตามกระบวนการแสวงหาความรู้ทางวทิ ยาศาสตร์ด้วยตนเองมคี รูเป็นผู้คอยกระตุ้น แนะนำ และ ให้คำปรกึ ษาอย่างใกล้ชิด เปิดโอกาสใหน้ ักเรียนมกี ารตดั สินใจเลอื กเร่ืองตามความสนใจของนักเรยี น เพ่ือตอบ ข้อสงสยั ที่ตนอยากรู้ จนสามารถสรปุ เปน็ องค์ความรู้ได้ มี 6 ขน้ั ตอน คอื ขน้ั การกำหนดปัญหา หรือสำร วจ ความสนใจ ขั้นกำหนดจุดมุง่ หมายในการทำงาน ขั้นวางแผนและวิเคราะห์โครงงานขั้นลงมือปฏิบัติหรอื แกป้ ญั หา ข้ันประเมินผล และขน้ั สรุปรายงานการประเมินผลและเสนอผลงาน (เดชา จันทคัต. 2549 : 76-77) 4. ประสิทธิภาพของแผนการจดั การเรียนรู้ หมายถึง แผนการจดั การเรยี นรู้แบบโครงงาน กลุ่มสาระ การเรียนรู้การงานอาชีพ งานเกษตร เรอื่ ง การปลกู ผกั ปลอดสารพิษตามหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพีย ง ชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 1/4 ทมี่ ปี ระสทิ ธิภาพ 80/80 80 ตวั แรก หมายถึง รอ้ ยละของคะแนนเฉลีย่ ของนักเรยี นทุกคนทไ่ี ดจ้ ากแบบประเมิน พฤติกรร ม ระหวา่ งเรยี น การประเมินผลงาน และแบบทดสอบระหว่างเรยี นทุกแผน 80 ตวั หลงั หมายถงึ ร้อยละของคะแนนเฉล่ยี ของนกั เรยี นทุกคนจากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนหลังการเรียน จำนวน 30 ข้อ
5 5. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสามารถทางการเรียนของนกั เรยี นแตล่ ะคนที่เรยี นรู้ เก่ียวกับการปลกู ผักปลอดสารพิษตามหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง การดแู ลรกั ษา การเก็บเก่ียวผลผลิต การจัดการผลผลิตและการนำไปใชใ้ นชีวติ ประจำวนั ซ่งึ เรยี นรู้ตามแผนการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้แบบโครงงาน เรื่อง การปลูกผกั ปลอดสารพษิ ตามหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพ ชั้น มธั ยมศึกษาปที ี่ 1/4 วัดไดจ้ ากคะแนนของนักเรียนท้ังหมดที่ทำไดจ้ ากแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิท์ างการเรียน แบบเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อโดยผา่ นการตรวจสอบจากอาจารย์ที่ปรึกษาและผเู้ ชย่ี วชาญ ทผี่ วู้ จิ ยั สร้างขนึ้ 6. ดชั นีประสิทธิผล หมายถึง ตัวเลขทแี่ สดงถงึ ความกา้ วหน้าในการเรยี นของผู้เรียนท่ีเรียนรู้ด้วย แผนการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้แบบโครงงาน เรอ่ื ง การปลูกผักปลอดสารพิษตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพยี ง กลมุ่ สาระการงานอาชพี ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1/4 ท่ผี ู้ศึกษาคน้ คว้าสร้างขน้ึ โดยเปรยี บเทยี บคะแนนที่ เพ่มิ ข้นึ จากคะแนนทดสอบก่อนเรียนกับคะแนนทดสอบหลงั เรียน 7. ความพึงพอใจ หมายถงึ ความรูส้ ึกชอบ หรอื พอใจของนักเรียนท่ีมีต่อการจัดกจิ กรรมกา รเรียนรู้ แบบโครงงาน เรอ่ื ง การปลกู ผกั ปลอดสารพษิ ตามหลักปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 1/4 ท่ีครูผู้สอนได้กำหนดขึน้ 8. ผักปลอดสารพษิ หมายถึง ผักท่ปี ราศจากสารพิษตกคา้ ง โดยหลกั การนี้ตอ้ งเพาะปลูกใน พื้นดินท่ี ปราศจากสารเคมี โดยจะใชว้ ธิ ีธรรมชาติในการเพาะปลูก และต้องได้รับการดูแลเปน็ อย่างดี แตอ่ ีกความหมาย หนง่ึ ผักปลอดภัยจากสารพษิ จะรวมถึงผักทย่ี งั คงมีสารพษิ ตกคา้ งปนอยูบ่ า้ ง แตไ่ มเ่ กินคา่ MRL (Maximum Residue Limit) ซ่ึงเปน็ เครอื่ งมอื ตรวจระวังระดบั ของสารพิษตกค้างที่กำหนดโดยองค์การอนามยั โลก (สมศกั ด์ิ สนุ ทรนวภทั ร. 2551 : เวบ็ ไซต์)
6 บทท่ี 2 เอกสารและงานวจิ ัยทีเ่ กีย่ วขอ้ ง การศกึ ษาค้นคว้า เร่ือง ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ แบบโครงงาน เรื่องการปลูกผกั ปลอดสาร พิษ ตามหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง กลมุ่ สาระการเรยี นรู้การงานอาชีพ ช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 1 ผู้ศึกษา ค้นคว้าไดศ้ กึ ษาเอกสารและงานวจิ ัยทเ่ี กย่ี วขอ้ ง ดังตอ่ ไปน้ี 1. เอกสารท่ีเกี่ยวขอ้ ง 1.1 หลกั สตู รกลุ่มสาระการงานอาชพี พุทธศักราช 2551 (ปรับปรุง พุทธศักราช 2560) 1.2 การจดั กิจกรรมการเรยี นรู้แบบโครงงาน 1.3 แผนการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ 1.4 การหาประสิทธภิ าพของเคร่อื งมือ 1.5 ดชั นีประสทิ ธผิ ล 1.6 ความพงึ พอใจในการเรียนรู้ 1.7 ความรู้เกี่ยวกบั การปลูกผกั สวนครวั ตามหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง 2. งานวจิ ยั ท่เี ก่ยี วขอ้ ง 2.1 งานวิจัยในประเทศ 2.2 งานวิจัยต่างประเทศ เอกสารที่เกยี่ วข้อง 1. หลกั สตู รกลมุ่ สาระการงานอาชพี พุทธศักราช 2551 กรมวิชาการ (2552 : 1-15) ไดก้ ำหนด หลักการจดั การเรยี นรู้ กลุ่มสาระการงานอาชีพ ตามหลกั สูตรการศึกษาข้ันพน้ื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 ดังนี้ 1.1 ความสำคญั ธรรมชาติ และลักษณะเฉพาะ กลุ่มสาระการงานอาชพี เป็นกลุม่ สาระการเรียนรทู้ มี่ ุ่งพัฒนาผเู้ รียนให้มคี วามรู้ ความเข้าใจ เกย่ี วกบั งาน อาชพี และเทคโนโลยีตา่ ง ๆ มาใช้ในการทำงานอย่างถูกต้องเหมาะสม คมุ้ ค่า และมีคุณธรร ม สร้างและพฒั นาผลิตภัณฑ์ หรือวธิ กี ารใหม่ สามารถทำงานเป็นหมคู่ ณะ มีนิสยั รกั การทำงาน เห็นคุณคา่ และ เจตคตทิ ดี่ ตี ่องานตลอดจนมีคุณธรรม จรยิ ธรรมและค่านิยมที่เป็นพ้นื ฐาน ไดแ้ ก่ ความขยัน ซือ่ สัตย์ ประหยัด และอดทน อันจะนำไปสู่การใหผ้ ู้เรียนสามารถชว่ ยเหลอื ตนเองและพ่ึงตนเองได้ ตามพระราชดำริเศร ษฐกิจ พอเพียง สามารถดำเนนิ ชีวิตอยูใ่ นสังคมอย่างมีความสุข ร่วมมอื และแขง่ ขนั ในระดับสากลในบรบิ ทสังคมไทย 1.2 วิสัยทัศน์ วสิ ยั ทศั น์ของกลุ่มการงานและเทคโนโลยี เปน็ สาระที่เน้นกระบวนการทำงานและจัดการ อยา่ งเปน็ ระบบ พัฒนาความคิดสรา้ งสรรค์ มีทกั ษะการออกแบบงานและการทำงานอย่างมกี ลยทุ ธ์ โดยใช้ กระบวนการเทคโนโลยี และเทคโนโลยีสารสนเทศ พัฒนาผลิตภัณฑ์ หรือวิธีการใหม่เน้นกา ร ใช้ ทรพั ยากรธรรมชาติ สง่ิ แวดลอ้ ม และพลงั งานอยา่ งประหยดั คุ้มค่า เพื่อให้บรรลุวิสยั ทศั นด์ ังกลา่ ว กลุ่มการงาน อาชพี จึงกำหนดการเรียนรทู้ ย่ี ึดงานกระบวนการจัดการและการแกป้ ัญหาเปน็ สำคัญ บนพน้ื ฐานของการใช้ หลกั การและทฤษฎีเปน็ หลกั ในการทำงานและแก้ปญั หางานท่ีนำมาฝึกฝน เพือ่ บรรลวุ สิ ัยทัศนข์ องกลุ่มนน้ั เป็น งานเพอื่ การดำรงชวี ิตในครอบครัวและสังคมงานเพอื่ การประกอบอาชีพ ซง่ึ งานทัง้ 2 ประเภทน้ี เมื่อผู้เรียน ได้รบั การฝกึ ฝน และการปฏบิ ัติตามกระบวนการเรยี นร้ขู องกลุ่มการงานอาชีพแลว้ ผ้เู รยี นจะไดร้ ับการฝึกฝน การพฒั นาใหม้ ีคณุ ภาพและคุณธรรม การเรียนรู้จากการทำงาน การแก้ปัญหาของกล่มุ การงานอาชีพ จึงเป็น
7 การเรียนรทู้ ีเ่ กดิ จากการบูรณาการความรู้ ทักษะและความดที ีห่ ลอมรวมกันจนกอ่ เกิดเป็นคุณลักษณะของ ผ้เู รียน ท้งั ดา้ นคณุ ภาพ และคณุ ธรรมตามมาตรฐานการเรียนรทู้ ก่ี ำหนด 1.3 คณุ ภาพของผเู้ รียน กลมุ่ การงานอาชีพ มุง่ พฒั นาผู้เรยี นแบบองค์รวม เพอ่ื ใหเ้ ป็นคนดีมีความรู้ ความสามารถ โดยมคี ณุ ลกั ษณะที่พงึ ประสงค์ ดังน้ี 1.3.1 มคี วามร้คู วามเขา้ ใจเกย่ี วกบั การดำรงชีวิตและครอบครวั การอาชพี การ ออกแบบและเทคโนโลยี เทคโนโลยีสารเทศและเทคโนโลยี เพ่อื การทำงานและอาชพี 1.3.2 มที ักษะในการทำงาน การประกอบอาชพี การจดั การ การแสวงหาความรู้ เลอื กใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศในการทำงาน สามารถทำงานอยา่ งมีกลยุทธ์ สร้างและพัฒนาผลติ ภัณฑห์ รือ วธิ ีการใหม่ 1.3.3 มคี วามรบั ผดิ ชอบ ซอ่ื สัตย์ ขยัน อดทน รกั การทำงาน ประหยัด อดออมตรง ต่อเวลา เอือ้ เฟือ้ เสียสละ และมวี ิสยั ในการทำงาน เหน็ คุณคา่ ความสำคัญของงานและอาชีพ สจุ ริตตระหนักถึง ความสำคัญของสารสนเทศ การอนุรกั ษท์ รพั ยากรธรรมชาติ ส่ิงแวดลอ้ ม และพลังงาน 1.4 ลกั ษณะของผู้เรยี นเมอื่ จบช่วงช้ันมธั ยมศึกษาปที ่ี 3 ต้องมีความสามารถดังตอ่ ไปน้ี 1.4.1 สามารถชว่ ยเหลือตนเอง ครอบครวั และชมุ ชน 1.4.2 ทำงานอยา่ งมีข้นั ตอน 1.4.3 มีทักษะในการจดั การ 1.4.4 มีความคิดริเร่มิ สร้างสรรค์ในการทำงาน 1.4.5 เลือกใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศได้เหมาะสมกับงาน 1.4.6 สามารถคดิ ออกแบบ สรา้ ง ดดั แปลงสง่ิ ของเคร่อื งใช้ในชีวติ ประจำวันงา่ ย ๆ 1.4.7 ทำงานดว้ ยความรบั ผิดชอบ ขยนั ซือ่ สตั ย์ ประหยัด อดออม อดทน 1.4.8 ใช้พลังงาน ทรพั ยากรธรรมชาติ และสิง่ แวดลอ้ มอย่างคมุ้ คา่ และถกู วิธี 1.5 สาระและขอบขา่ ย ผังมโนทศั น์และสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นรู้การงานอาชีพ ชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 1 สาระท่ี 1 ดงั ภาพประกอบ 1
8 ภาพประกอบ 1 ผงั มโนทศั น์และสาระการเรียนรแู้ กนกลาง สาระที่ 1 ชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ 1 1.5.1 สาระ สาระทเี่ ปน็ ความรขู้ องกล่มุ การงานอาชีพ ประกอบดว้ ย สาระที่ 1 การดำรงชวี ติ และครอบครวั สาระท่ี 2 การอาชีพ 1.5.2 ขอบขา่ ย ขอบข่ายสาระการเรยี นรู้ของกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพเปน็ เนอ้ื หาควา มรู้ที่ สถานศกึ ษาจะตอ้ งใหผ้ ้เู รยี น ได้ศึกษาและฝกึ ปฏบิ ัติตลอด 12 ปี ซง่ึ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร กำหนดขอบขา่ ยของ สาระการเรียนรู้ เป็นกรอบใหส้ ถานศึกษาทั่วประเทศได้ยึดเป็นแนวทางเดยี วกนั และรายละเอียดความลึกของ เนอ้ื หา ให้อยใู่ นดุลพินจิ ของสถานศกึ ษาเป็นผกู้ ำหนด โดยใหเ้ หมาะสมกับสภาพของผู้เรยี น และทอ้ งถ่นิ ซ่ึงมี ขอบข่าย ดังตอ่ ไปนี้ (กรมวิชาการ. 2551 : 10-11) สาระท่ี 1 การดำรงชวี ติ และครอบครวั เปน็ สาระท่ีเก่ยี วกบั การทำงานใน ชีวิตประจำวนั ท้ังในระดบั ครอบครวั ชุมชน และสงั คมที่วา่ ดว้ ย งานบ้าน งานเกษตร งานช่าง งานประดิษฐ์ งานธุรกจิ ซ่ึงหมายความวา่ สถานศึกษาจะตอ้ งจัดใหผ้ ู้เรียนเรยี นครบทง้ั 5 งาน ภายใน 3 ปี ของแต่ละชว่ งชั้น จะขาดงานใดงานหนึง่ ไมไ่ ด้ 1. งานบ้าน เป็นงานทเ่ี กีย่ วกบั การทำงานทีจ่ ำเป็นตอ่ การดำรงชีวิตในครอบครวั ซึ่ง ประกอบดว้ ย บ้าน และชีวิตความเป็นอยู่ในบ้าน ผา้ และเครอื่ งแตง่ กาย อาหารและโภชนาการ โดยเน้นการ ปลูกฝงั ลักษณะนิสัยการทำงาน ทักษะ กระบวนการทำงานการแก้ปญั หาในการทำงาน มคี วามรับผิดชอบ สะอาด มรี ะเบยี บ ประหยดั อดออม อนรุ ักษ์พลังงานและสิ่งแวดลอ้ ม ทั้งน้ีสถานศกึ ษาจะต้องจัดให้ผู้เรียนได้ เรียนรคู้ รบทงั้ 3 เรอื่ ง ภายใน 3 ปี ของแตล่ ะชว่ งชน้ั จะขาดเรอ่ื งใดไมไ่ ด้ 2. งานเกษตร เปน็ งานทีเ่ กย่ี วกบั การทำงานในชีวิตประจำวนั ซ่ึงประกอบด้วย การ ปลกู พชื และเลยี้ งสตั ว์ ตามกระบวนการผลติ และการจดั การผลผลิต มกี ารใชเ้ ทคโนโลยีเพอ่ื การเพิ่มผลผลิต
9 ปลูกฝังความรบั ผิดชอบ ขยัน อดทน การอนุรกั ษ์พลังงานและสิง่ แวดล้อมสถานศึกษา สามารถจัดให้ผเู้ รยี น ทง้ั การปลกู พชื และเลี้ยงสัตว์ หรอื อยา่ งใดอย่างหนึ่งกไ็ ด้ภายใน 3 ปี ของแต่ละช่วงชนั้ 2.1 การปลกู พชื ขอบขา่ ย 2.1.1 การผลติ พชื ประกอบไปดว้ ย 1) การเตรยี มก่อนปลกู 2) การปลูก 3) การใหน้ ้ำ 4) การปฏบิ ัติรักษา 2.1.2 การจัดการผลผลิต 1) วิทยาการหลงั การเก็บเก่ียว 2) การใช้ประโยชน์ 3) การถนอมอาหารและการแปรรปู 4) การจดั จำหนา่ ย 2.2 การเลย้ี งสัตว์ ขอบขา่ ย 2.2.1 การผลิตสตั ว์ 1) การเตรียมก่อนการเล้ยี งสัตว์ 2) การดแู ล และการเลีย้ งดู 3) การป้องกนั และรกั ษา 4) การนำของเสยี ท่ีไดจ้ ากสัตว์มาใชป้ ระโยชน์ 2.2.2 การจดั การผลผลติ 1) การจดั การหลังการเล้ยี ง 2) การถนอมอาหาร และการแปรรูป 3) การจดั จำหนา่ ย 3. งานช่าง เป็นงานที่เกี่ยวกับการทำงานตามกระบวนการของงานช่าง ซ่ึง ประกอบด้วย การบำรุงรักษา การติดต้ัง ประกอบ การซ่อมและการผลิต เพื่อใช้ในชีวติ ประจำวันทั้งน้ี สถานศึกษาสามารถจดั ใหผ้ ้เู รยี น เรยี นรทู้ ั้ง 4 งานภายใน 3 ปี ของแตล่ ะชว่ งช้ัน 4. งานประดิษฐ์ เป็นงานที่เกี่ยวกับการทำงานด้านการประดิษฐ์ของใช้ที่เนน้ ความคิดสรา้ งสรรค์ โดยเนน้ ความประณตี สวยงามตามกระบวนการงานประดิษฐแ์ ละเทคโนโลยี และเน้นการ อนรุ ักษ์ และสืบสานศลิ ปวฒั นธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีไทยตามภูมิปญั ญาทอ้ งถิ่นและสากล 5. งานธุรกิจ เป็นงานเกีย่ วกับการจัดการดา้ นเศรษฐกิจของครอบครัว การเป็น ผู้บริโภคท่ีฉลาด ประกอบดว้ ยธุรกิจประจำวัน งานสำนักงาน งานการเงินและ สาระที่ 2 เปน็ สารท่ีเกย่ี วกบั ทักษะท่จี ำเป็นต่ออาชีพ เห็นความสำคญั ของคุณธรร ม จรยิ ธรรมและเจตคตทิ ด่ี ีต่ออาชีพ ใชเ้ ทคโนโลยีไดอ้ ย่างเหมาะสม เหน็ คณุ ค่าของอาชีพสุจรติ และเห็นแนวทาง ในการประกอบอาชพี 1.6 มาตรฐานการเรยี นรู้/ตัวชวี้ ัด มาตรฐาน ง1.1 เข้าใจการทำงาน มีความคดิ สร้างสรรค์ มีทกั ษะกระบวนการทำงาน ทกั ษะ การจดั การ ทกั ษะกระบวนการแกป้ ญั หา ทักษะการทำงานรว่ มกัน และทกั ษะการแสวงหาความรู้ มีคณุ ธรรม
10 และลกั ษณะนสิ ยั ในการทำงาน มจี ติ สำนึกใน การใชพ้ ลงั งาน ทรพั ยากร และสิ่งแวดลอ้ มเพื่อการดำรงชีวิตและ ครอบครวั 1. ใชท้ กั ษะการแสวงหาความรเู้ พอ่ื พฒั นาการทำงาน 2. ใช้ทกั ษะกระบวนการแก้ปญั หาในการทำงาน 3. มีจติ สำนกึ ในการทำงานและใชท้ รพั ยากรในการปฏบิ ตั ิงานอย่างประหยดั และคุ้มคา่ มาตรฐาน ง 2.1 เข้าใจ มีทักษะที่จำเป็น มีประสบการณ์ เห็นแนวทางในงานอาชีพ ใช้ เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาอาชพี มคี ุณธรรม และมี เจตคติทีด่ ตี ่ออาชพี 1. อธิบายการเสรมิ สร้างประสบการณอ์ าชพี 2. ระบุการเตรยี มตัวเขา้ สอู่ าชีพ 3. มีทกั ษะพนื้ ฐานท่ีจำเป็นสำหรับการประกอบอาชพี ทส่ี นใจ 1.7 รูปแบบการจัดการเรียนรูก้ ล่มุ การงานอาชีพเพ่อื ใหผ้ ู้เรยี นประสบผลสำเรจ็ ในการเรียน กลุ่มการงานอาชพี จึงเสนอแนะรูปแบบการจดั การเรียนรู้ ดังภาพประกอบ 2 1. การเรียนรู้จากการปฏิบัติจริง 2. การเรียนรูจ้ ากการศึกษาค้นควา้ 3. การเรยี นรู้จากประสบการณ์ 4. การเรยี นรู้จากการทำงานกลมุ่ ภาพประกอบ 2 รปู แบบการจดั การเรยี นรู้กลุม่ การงานอาชีพ รูปแบบการจดั การเรยี นรูด้ ังกล่าว ผู้สอนจะเรม่ิ ตน้ จากรปู แบบใดก่อนหลงั กไ็ ดแ้ ละอาจจัดการ เรียนรใู้ ห้ครบทั้ง 4 รูปแบบ หรอื ไมค่ รบทั้ง 4 รปู แบบก็ได้ รายละเอยี ดของแต่ละรปู แบบมีดังนี้ (กรม วชิ าการ. 2562 : 12-13) 1. การเรียนร้จู ากการปฏบิ ตั ิจรงิ เป็นการเรยี นท่ีม่งุ เน้นใหผ้ ้เู รียนได้ลงมอื ทำงานจริง ๆ มี ขัน้ ตอนอย่างน้อย 4 ขน้ั ตอน คือ 1.1 ขน้ั ศกึ ษาและวิเคราะห์ 1.2 ขั้นวางแผน 1.3 ขน้ั ปฏิบตั ิ 1.3.1 ผสู้ อนให้คำแนะนำ 1.3.2 ผเู้ รยี นฝึกปฏิบัติ 1.3.3 ผเู้ รียนฝึกฝน 1.4 ขนั้ ประเมิน / ปรบั ปรุง
11 2. การเรยี นรู้จากการศึกษาค้นควา้ เป็นการเรียนท่ีเปิดโอกาสให้ผูเ้ รียนได้ศกึ ษาค้นคว้า ในเรือ่ งทีส่ นใจจากแหล่งความรู้ตา่ ง ๆ จนสามารถสนองแรงจูงใจ ใฝ่รู้ของตนเอง ทง้ั น้ี ผสู้ อนควรให้ผู้เรียน เรยี บเรียงกระบวนการแสวงความรู้ เสนอตอ่ ผู้สอน และหรือกลุ่มผู้เรียน 3. การเรียนรจู้ ากประสบการณ์ เปน็ การเรยี นท่ปี ระกอบด้วย 5 ขนั้ ตอน ดงั น้ี 3.1 ครูผู้สอนสร้างกิจกรรม โดยที่กิจกรรมนั้นอาจเชื่อมโยงกับสถานการณข์ อง ผเู้ รยี น หรอื เป็นกจิ กรรมใหม่ หรือเป็นประสบการณใ์ นชีวติ ประจำวนั กไ็ ด้ 3.2 ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมจากขอ้ 3.1 โดยการอภิปรายการศกึ ษากรณี ตัวอยา่ ง หรอื การปฏบิ ตั ิกิจกรรมนัน้ ๆ 3.3 ผู้เรยี นวิเคราะห์ผลทเี่ กิดขน้ึ จากการปฏิบัติกิจกรรม วา่ เกิดขึน้ จากสาเหตอุ ะไร 3.4 สรปุ ผลท่ีไดจ้ ากขอ้ 3.3 เพอ่ื นำไปสูห่ ลกั การ / แนวคดิ ของส่งิ ท่ีได้เรียนรู้ 3.5 นำหลกั การ/แนวคิดจากข้อ 3.4 ไปใช้กับกิจกรรมใหม่ หรอื กจิ กรรมอ่ืนๆหรือ สถานการณใ์ หมต่ ่อไป อนึ่ง เพอ่ื ใหผ้ ู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้อยา่ งสมบรู ณ์ ผู้สอนควรดำเนนิ การจดั การเรียนรู้ให้ ครบทงั้ 5 ขั้นตอน 4. การเรียนรู้จากการทำงานกลุ่ม เป็นการเรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้มีการเลือกใช้ กระบวนการกลุ่ม กระบวนการแก้ปญั หา กระบวนการสรา้ งค่านยิ ม กระบวนการสรา้ งความคิดรวบยอด กระบวนการทำงานร่วมกบั ผ้อู นื่ ในการจดั การเรียนรู้ใหป้ ระสบผลสำเร็จ 1.8 การวัดผลประเมินผล เพื่อที่จะทราบวา่ การจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ ทำใหเ้ กิดการเรยี นรหู้ รอื ไมเ่ พียงใดจำเป็นต้องมี การวัดและประเมนิ ผลการเรียนร้ขู องผู้เรียน ในอดีตท่ีผ่านมา การวัดและประเมนิ ผลส่วนใหญ่ให้ความสำคัญ กบั การใชข้ อ้ สอบ ซงึ่ ไม่สามารถสนองเจตนารมณก์ ารเรียนรทู้ ่ีเน้นให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏบิ ัติด้วยกร ะบวน การ หลากหลาย เพ่อื สร้างองค์ความรู้ ดงั นนั้ ผู้สอนตอ้ งตระหนกั วา่ การเรียนรู้และการวัดผลประเมินผล เป็น กระบวนการเดียวกัน และต้องวางแผนไปพรอ้ ม ๆ กนั 1.8.1 แนวทางการวัดผลประเมนิ ผลการเรียนรู้ จะบรรลุตามเป้าหมายของการเรียนรู้ท่ี วางไว้ได้ ควรมีแนวทาง ดังต่อไปนี้ 1.8.1.1 ตอ้ งวดั และประเมนิ ผลรวมทั้งความรู้ ความคิด ความสามารถทกั ษะและ กระบวนการ เจตคติ คุณธรรม จริยธรรม คา่ นิยม รวมทงั้ โอกาสในการเรยี นรูข้ องผ้เู รียน 1.8.1.2 วิธกี ารวัดและประเมินผล ตอ้ งสอดคล้องกบั มาตรฐานการเรยี นรู้ทีก่ ำหนดไว้ 1.8.1.3 ตอ้ งเก็บข้อมูลที่ได้จากการวัดและประเมินผลตามความเป็นจริงและต้อง ประเมนิ ผลภายใตข้ ้อมลู ท่ีมีอยู่ 1.8.1.4 ผลการวัดและประเมนิ ผล การเรียนร้ขู องผู้เรยี นตอ้ งนำไปสู่การแปลผลและ ข้อสรุปทส่ี มเหตสุ มผล 1.8.1.5 การวัดและประเมนิ ผล การเรยี นรู้ของผ้เู รียนต้องนำไปสกู่ ารแปลผล วิธีการ วดั โอกาสของการประเมิน 1.8.2 วตั ถุประสงค์ของการวัดและประเมนิ ผล 1.8.2.1 เพือ่ วนิ ิจฉยั ความร้คู วามสามารถ ทักษะและกระบวนการ เจตคติคุณธรรม จริยธรรม และคา่ นิยมของผูเ้ รียน เพอ่ื ส่งเสริมผเู้ รยี นให้พัฒนาความรู้ความสามารถและทกั ษะไดเ้ ต็มศกั ยภาพ
12 1.8.2.2 เพือ่ ใชเ้ ป็นข้อมูลย้อนกลบั ให้แก่ตวั นักเรียนวา่ บรรลตุ ามมา ตร ฐา น การ เรียนร้เู พียงใด 1.8.2.3 เพ่ือใชข้ ้อมลู ในการสรปุ ผลการเรียนรู้ และเปรยี บเทียบถึงระดบั พัฒนาการ ของการเรียนรู้การวัดและประเมินผล จงึ มีความสำคัญเป็นอย่างย่ิงต่อกระบวนการเรียนรู้วิธีกา รวัดและ ประเมนิ ผล ทีส่ ามารถสะทอ้ นผลการเรยี นรู้อยา่ งแท้จรงิ ของผู้เรยี น และครอบคลมุ กระบวนการเรยี นรู้และผล การเรียนรทู้ งั้ 3 ด้าน ตามที่กล่าวมาแล้วจึงต้องวดั และประเมนิ ผลจากสภาพจริง (Authentic Assessment) 1.8.3 การวดั และประเมินผลจากสภาพจรงิ กจิ กรรมการเรียนรู้ของผเู้ รยี นมีหลากหลาย เชน่ กจิ กรรมในช้นั เรียนกิจกรร มการ ปฏิบัติกจิ กรรมสำรวจภาคสนาม กิจกรรมสำรวจตรวจสอบ การทดลอง กิจกรรมศกึ ษาค้นคว้ากิจกรรมปัญหา พิเศษหรือโครงงาน อยา่ งไรก็ตามในการทำกิจกรรมเหลา่ นี้ ตอ้ งคำนงึ ถึงวา่ ผเู้ รยี นแต่ละคนมศี ักยภาพแตกต่าง กนั ผเู้ รียนแต่ละคนอาจทำงานชิน้ เดยี วกนั ได้สำเร็จในเวลาทแี่ ตกตา่ งกนั และผลงานท่ไี ดก้ อ็ าจแตกต่างกัน เม่ือ ผู้เรยี นทำกจิ กรรมเหล่านแ้ี ลว้ ต้องเก็บรวบรวมผลงาน เช่น รายงาน ชนิ้ งาน บนั ทึก และรวมถึงทักษะปฏิบัติ ตา่ ง ๆ เจตคติ ความรัก ความซาบซ้ึงกจิ กรรมที่ผเู้ รียนได้ทำ และผลงานเหลา่ น้ีต้องใชว้ ิธปี ร ะเมิน ท่ีมีควา ม เหมาะสม และแตกต่างเพ่ือชว่ ยให้สามารถประเมินความรู้ความสามารถ และความร้สู กึ นึกคิดท่ีแท้จริงของ ผู้เรียนได้ การวดั และประเมินผลจากสภาพจริงจะมีประสิทธิภาพก็ต่อเม่ือ มีการประเมินหลาย ๆ ด้าน หลากหลายวธิ ใี นสถานการณต์ า่ ง ๆ ทสี่ อดคล้องกบั ชวี ติ จริง และต้องประเมนิ อยา่ งตอ่ เนอ่ื ง เพ่อื จะได้ข้อมูลที่ มากพอท่ีจะสะทอ้ นความสามารถทีแ่ ท้จริงของผู้เรยี นได้ 1.8.4 ลกั ษณะสำคญั ของการวดั และประเมินผลจากสภาพจรงิ 1.8.4.1 การวดั และประเมนิ ผลจากสภาพจรงิ มลี กั ษณะท่ีสำคัญ คอื ใช้วธิ ี การ ประเมนิ กระบวนการคิดทซี่ ับซอ้ น ความสามารถในการปฏิบัตงิ าน ศกั ยภาพของผูเ้ รียนในด้านของผู้ผลิต และ กระบวนการที่ไดผ้ ลติ มากกวา่ ทจ่ี ะประเมนิ ว่า ผูเ้ รียนสามารถจดจำความรู้อะไรได้บา้ ง 1.8.4.2 เป็นการประเมนิ ความสามารถของผูเ้ รียน เพื่อวินจิ ฉัยผู้เรียนในส่วน ที่ควร ส่งเสริม และส่วนทค่ี วรแกไ้ ขปรบั ปรุง เพอื่ ใหผ้ เู้ รียนได้พัฒนาอยา่ งเตม็ ศักยภาพ ตามความสามารถ ความสนใจ และความตอ้ งการของแตล่ ะบคุ คล 1.8.4.3 เปน็ การประเมนิ ท่ีเปิดโอกาสใหผ้ เู้ รียนได้มีส่วนรว่ ม ประเมินผลงานของทงั้ ตนเอง และเพื่อส่งเสรมิ ให้ผู้เรียนร้จู ักตวั เอง เชอ่ื ม่นั ในตนเอง สามารถพัฒนาตนเองได้ 1.8.4.4 ข้อมลู ทีไ่ ด้จากการประเมินจะสะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ กระบวนการเรยี นการสอน และการวางแผนการเรยี นรวู้ ่า สามารถตอบสนองความสามารถ ความสนใจและความต้องการของผ้เู รยี นแต่ละ บุคคลไดห้ รือไม่ 1.8.5 วธิ ีการและแหลง่ ข้อมลู ท่ีใช้ เพือ่ ให้การวัดและประเมินผล ได้สะทอ้ นความสามารถทแ่ี ท้จรงิ ของผู้เรียน ผลการ ประเมินอาจจะได้มาจากแหลง่ ขอ้ มลู และวธิ กี ารตา่ ง ๆ ดงั ต่อไปน้ี 1.8.5.1 สงั เกตการแสดงออกเป็นรายบคุ คลหรือรายกลุม่ 1.8.5.2 ชิ้นงาน ผลงาน รายงาน และกระบวนการ 1.8.5.3 การสัมภาษณ์ 1.8.5.4 บนั ทึกของผเู้ รยี น 1.8.5.5 การประชุมปรกึ ษาหารือรว่ มกนั ระหวา่ งผูเ้ รยี นและครู 1.8.5.6 การวดั และประเมินผลภาคปฏบิ ัติ (Practical Assessment)
13 1.8.5.7 การวัดและประเมนิ ผลด้านความสามารถ (Performance Assessment) 1.8.5.8 แฟม้ ผลงาน (Portfolio) 1.8.5.9 การประเมินตนเอง 1.8.5.10 การประเมินโดยกลุม่ เพอ่ื น 1.8.5.11 การประเมนิ กล่มุ 1.8.5.12 การประเมนิ โดย แบบทดสอบทั้งแบบอตั นยั และปรนยั 1.9 แหล่งการเรียนรู้ ในการจดั การเรียนรู้กลุ่มการงานอาชีพ ผูเ้ รยี น ผจู้ ดั การเรยี นรสู้ ามารถศกึ ษาหา ควา มรู้ หรือเรยี นรจู้ ากแหล่งความรทู้ ม่ี อี ยู่ ดงั นี้ 1.9.1 ภมู ปิ ัญญาทอ้ งถ่นิ /ปราชญช์ าวบา้ นท่มี คี วามร้คู วามสามารถมีประสบการณป์ ระสบ ความสำเร็จในงาน/อาชีพ 1.9.2 แหลง่ วทิ ยาการ ไดแ้ ก่ สถาบัน องค์กร หนว่ ยงาน ห้องสมุดศนู ย์วชิ าการ ทง้ั ภาครฐั และเอกชน ซ่ึงใหบ้ รกิ ารความรใู้ นเรอ่ื งต่าง ๆ 1.9.3 สถานประกอบการ สถานประกอบวิชาชีพอิสระ โรงงานอุตสาหกรรมหน่วย งานวิจัยในท้องถ่นิ ซงึ่ ให้บรกิ ารความรู้ ฝกึ อบรมเก่ียวกบั งาน และวิชาชพี ต่าง ๆ ที่มอี ยใู่ นชมุ ชน ทอ้ งถนิ่ 1.9.4 ส่ือสง่ิ พิมพ์ต่าง ๆ เช่น แผน่ พับ วารสาร หนังสืออ้างองิ หนังสอื พิมพ์ ฯลฯ สือ่ อเิ ล็กทรอนิกส์ เชน่ อินเทอรเ์ น็ต ซดี ี-รอม วซี ีดี วดี ที ัศน์ คอมพวิ เตอร์ช่วยสอน 1.10 วิเคราะหเ์ นื้อหากลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพของโรงเรียนราชประชานุเครา ะห์ 56 จังหวดั น่านระดับช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี 1 ผ้ศู ึกษาค้นคว้าได้ทำการวิเคราะห์เน้ือหากลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพชั้นมธั ยมศึกษา ปีท่ี 1 โรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ 56 จังหวัดนา่ น ดังตาราง 1 ตาราง 1 หนว่ ยการเรียนรู้ กลุม่ สาระการเรยี นรู้การงานอาชพี ชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 56 จังหวดั น่าน ปกี ารศกึ ษา 2564 หนว่ ยการเรยี น เน้อื หา เวลา/ช่ัวโมง หน่วยการเรยี นร้ทู ี่ 1 ความรทู้ ว่ั ไปเกี่ยวกบั 6 เกษตร -ความสำคญั ของการเกษตร 1 หน่วยย่อยที่ 1 ความหมายและความสำคัญของ -ประเภทของการเกษตร เกษตร -ความหมายของดิน 1 -ความสำคัญของดิน หน่วยย่อยท่ี 2 ดนิ และนำ้ -ส่วนประกอบของดนิ -คุณสมบตั ิของดนิ ที่เกี่ยวขอ้ งกบั การปลกู พืช -ประเภทของดนิ -การอนุรักษ์ดินเพ่ือการเกษตร -น้ำ
14 หนว่ ยการเรียนรู้ เนอ้ื หา เวลา/ชั่วโมง หนว่ ยย่อยที่ 3 ปยุ๋ -ความหมายของปยุ๋ และธาตุอาหารพชื 2 -ประเภทของธาตอุ าหารพืช หนว่ ยย่อยท่ี 4 เครอ่ื งมอื และอปุ กรณ์ในการปลูก -ชนดิ ของป๋ยุ 1 พชื -คุณสมบัติของปุ๋ย -วิธีการใหป้ ยุ๋ แกพ่ ืช 1 หน่วยย่อยท่ี 5 การเกษตรทฤษฎีใหม่ -การเก็บรกั ษาปยุ๋ -ความหมายของเครือ่ งมือและอุปกรณใ์ นการ 7 หนว่ ยการเรยี นรูท้ ี่ 2 การปลูกพชื ปลูกพชื 2 หน่วยย่อยที่ 1 การคัดเลอื กและการขยายพันธุ์ -ประโยชนข์ องเคร่อื งมอื และอปุ กรณใ์ นการ พชื ปลูกพืช 3 -ประเภทของเครอ่ื งมือและอปุ กรณใ์ นการ หน่วยยอ่ ยท่ี 2 วิธีการปลกู พืช ปลกู พืช -หลักการใช้ของเครือ่ งมือและอปุ กรณใ์ นการ ปลกู พชื -การซอ่ มแซมและเก็บรักษาเคร่ืองมอื และ อปุ กรณ์ในการปลูกพชื -ความหมายและประโยชน์ของการเกษตร ทฤษฎีใหม่ -หลกั การของการเกษตรทฤษฎีใหม่ -ขั้นตอนของการเกษตรทฤษฎีใหม่ -ข้อควรพิจารณากอ่ นการปฏิบัตติ ามทฤษฎี ใหม่ -ข้อควรพิจารณาในการคัดเลือกพชื ที่ปลกู -การคัดเลือกพนั ธพ์ุ ืช -การคัดเลือกเมลด็ พันธุ์ -การเลือกซอ้ื เมลด็ พันธุ์ -การขยายพนั ธ์ุพืช -ปจั จยั ในการเจรญิ เตบิ โตของพืช -การปลูกพชื -การเพาะเมล็ด -การเตรียมดิน -วธิ ีการปลูกพชื -การดูแลรักษาพืช -การเกบ็ เก่ียวผลผลติ
15 หนว่ ยการเรียนรู้ เนือ้ หา เวลา/ชว่ั โมง หนว่ ยยอ่ ยท่ี 3 การปอ้ งกันและการกำจดั ศัตรูพืช -ความหมายของศตั รูพืช 2 -ประเภทของศตั รูพชื หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 3 การจัดการผลผลิต -วธิ ีปอ้ งกนั ศัตรพู ชื 7 หน่วยย่อยที่ 1 วิทยาการหลงั การเกบ็ เกี่ยว -วิธีกำจดั ศตั รพู ืช 4 หนว่ ยย่อยท่ี 2 การใชป้ ระโยชน์ การแปรรูป -การจัดแตง่ ผลผลติ 1 ผลผลติ และการถนอมอาหาร -การทำความสะอาดผลผลิต 2 -การคดั เลอื กและคดั ขนาดของผลผลติ 6 หน่วยย่อยท่ี 3 การจำหนา่ ยผลผลิต -การบ่มผลผลิต 1 -การบรรจุหบี ห่อ หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 4 ความรทู้ ั่วไปเก่ยี วกับ -การใช้ประโยชน์จากผลผลติ พชื 2 การเล้ียงสตั ว์ -การแปรรูปผลผลิต -การถนอมอาหาร 1 หนว่ ยยอ่ ยที่ 1 ความสำคญั และประเภทของ -การจำหนา่ ย 2 การเลี้ยงสัตว์ -การบันทกึ รายรับ-ร่ายจา่ ย -การกำหนดราคาจำหน่ายผลผลติ หน่วยย่อยท่ี 2 สถานที่และอุปกรณ์การเลี้ยงสตั ว์ -ความสำคัญของการเลีย้ งสัตว์ หนว่ ยย่อยท่ี 3 อาหารสตั ว์ -ความสำคัญของการเลยี้ งสตั ว์ทม่ี ีต่อมนุษย์ หน่วยย่อยท่ี 4 โรคสัตว์และการสขุ าภิบาล -ประโยชน์ของการเลยี้ งสัตว์ -ประเภทของสตั วเ์ ล้ียงท่ีสำคญั ในประเทศไทย -ปจั จยั สำคญั ของการเลี้ยงสตั ว์ -โรงเรอื นเลีย้ งสัตว์ -วสั ดอุ ปุ กรณแ์ ละเครือ่ งมือในการเลยี้ งสตั ว์ -หลกั การใชแ้ ละการดูแลรักษาเคร่ืองมือ -ความหมายของอาหารสัตว์ -ประเภทของอาหารสัตว์ -ความตอ้ งการของอาหารสัตว์ -หลกั การใหอ้ าหารสตั ว์ -อาหารสัตว์ -โรคสัตว์ -โรคระบาดสตั ว์ -หลกั การปอ้ งกันโรคระบาดสัตว์ -การสขุ าภบิ าลสัตว์
16 หนว่ ยการเรยี นรู้ เนอ้ื หา เวลา/ชัว่ โมง หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 5 การเลีย้ งสัตว์ 7 หน่วยย่อยท่ี 1 การเล้ียงสัตว์ -การเล้ยี งสัตว์ 1 -หลกั การเร่ิมต้นเล้ียงสตั ว์ 1 หน่วยการเรยี นรูท้ ่ี 6 แนวทางการประกอบ -ประโยชน์ของการเล้ยี งสตั ว์ 1 อาชพี งานเกษตร -การคดั เลือกและการผสมพันธุส์ ตั ว์ 1 หน่วยย่อยที่ 1 แนวทางการประกอบอาชพี งาน -การเลีย้ งสตั ว์ประเภทตา่ งๆ 1 เกษตร -ผลพลอยได้จากการนำของเสยี จากการเล้ยี ง 1 สตั ว์มาใช้ประโยชน์ หน่วยยอ่ ยที่ 2 อาชีพเก่ยี วกบั การปลูกพชื -การถนอมอาหารจากผลติ ภัณฑส์ ัตว์ 1 หน่วยย่อยที่ 3 อาชีพการเลย้ี งสตั ว์ 7 -หลักพน้ื ฐานในการตดั สินในเลอื กประกอบ อาชีพ 1 -ปญั หาในการประกอบอาชพี การเกษตร -การพัฒนาอาชีพการเกษตร 1 -กลยุทธ์ของผู้ประสบความสำเร็จในการ ประกอบอาชพี งานเกษตร 1 -การประกอบอาชีพเก่ยี วกบั การปลูกพชื 1 -การประกอบอาชีพเกีย่ วกบั การเล้ยี งสัตว์ -การประกอบอาชพี เกี่ยวกบั การแปรรูปและ 1 ถนอมอาหาร 1 หน่วยย่อยที่ 4 อาชีพการแปรรปู และถนอม อาหาร 1 รวม 40 หมายเหตุ เป็นหน่วยการเรียนทก่ี ำหนดขน้ึ จากสาระการเรยี นรู้ เพ่อื ใชส้ อนตลอดปกี ารศึกษา
17 2. การจัดกิจกรรมการเรียนร้แู บบโครงงาน 2.1 แนวคดิ หลักการของโครงงาน นฤมล ยุตาคม (2560 : 36-37) กล่าวถงึ หลกั การในการจัดการเรียนรู้ โดยการทำโครงงานว่า เป็นการจัดประสบการณก์ ารเรียนรู้ ทส่ี อดคลอ้ งกบั แนวความคิดของนกั ศึกษาหลายทา่ น ได้แก่ John Dewey. Piagel. Vygotsky และ Gardner สอดคล้องกับแนวทางในการปฏริ ปู การศึกษาในปัจจุบนั ซึ่งรวมถงึ การ เรียนรูข้ องผู้เรียนตามแนวคิดการสร้างความรู้(Constructivism) มาตรฐานการศึกษา การเรียนรู้จากการ ทำงานรว่ มกัน การจัดกลมุ่ ผู้เรยี นแบบคละกัน ที่ครูเป็นเพียงผอู้ ำนวยความสะดวกในการเรียนรแู้ ทนการเป็นผู้ ถา่ ยทอดความรู้ โดยการบรรยายการจัดการหลกั สตู รแบบบรู ณาการ การเรียนรู้ตามสภาพจรงิ การเน้นทกั ษะ คิดในระดับสูงและการจัดประสบการณ์ ทเี่ น้นผ้เู รียนแต่ละคนตามความสามารถและสนใจ นอกจากน้ียัง สามารถใชร้ ูปแบบการประเมนิ ตามสภาพจรงิ ทัง้ ขณะทผ่ี ้เู รียนกำลงั ทำโครงงาน และการประเมินชิน้ งานด้วย ประสบการณก์ ารเรียนรู้ โดยการทำโครงงานจะช่วยจัดสภาพแวดล้อมท่ีเปน็ จริง ทคี่ รจู ะชว่ ยเหลือผู้เรียน ให้ พัฒนาความสามารถ และทกั ษะในการทำงานรว่ มกัน และการรว่ มกนั แก้ปญั หาซ่งึ เขาจะเผชิญในอนาคต วชิ ชกุ ร มาลาวิทยา (2560 : 30-31) กล่าวถงึ หลกั การของการเรยี นรูด้ ว้ ยโครงงานไว้ ดังน้ี 1. เปน็ การเสาะแสวงหาความรู้ดว้ ยตนเอง โดยเปดิ โอกาสใหผ้ เู้ รยี นคดิ ริเรมิ่ วางแผนและ ดำเนินการศึกษาด้วยตนเอง โดยมีครเู ป็นผใู้ ห้คำปรกึ ษา 2. เน้นกระบวนการแสวงหาความรทู้ างวทิ ยาศาสตร์ ต้งั แต่การกำหนดปัญหาการเลอื ก หวั ข้อทีส่ นใจ การวางแผนการศึกษา ค้นคว้า รวบรวมขอ้ มลู การทดลอง และสรุปผลการศกึ ษา 3. เน้นกระบวนการคดิ เป็น ทำเปน็ และแกป้ ัญหาเป็นด้วยตนเอง 4. การทำกจิ กรรมโครงงาน มุ่งฝึกใหผ้ ู้เรยี น ได้เรยี นรูว้ ธิ ีการศึกษาค้นคว้าหรือแกป้ ัญหา ดว้ ยตนเอง 5. ผลของการทำโครงงาน จะทำใหผ้ ้เู รยี นเกิดเจตคตทิ ่ีดีต่อการเรยี นรตู้ ามแนวทางปฏริ ูป การเรียนรู้ 2.2 โครงงานกับหลักการจดั กจิ กรรมการเรียนร้ทู ่เี นน้ ผูเ้ รียนเปน็ สำคญั สำนกั งานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (2562 : 3) เสนอแนวทางการ สอน โดยโครงงานกับการปฏริ ูปกระบวนการเรียนรู้ ซ่งึ มกี ระบวนการจัดกิจกรรมการเรยี นร้ทู ่ีเน้นผู้เรียนเป็นสำ คัญ วา่ การจัดการเรยี นรู้ตั้งอย่บู นความเชื่อ และหลกั การปฏริ ูปการเรียนรู้ คอื เช่อื มนั่ ในศักยภา พการ เรียนรู้ ภายใต้หลกั การจดั การเรียนรทู้ ี่ยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ และสอดคล้องกับสภาพจรงิ ในท้องถิน่ กล่าวคือ 1. ผูเ้ รยี นไดเ้ ลอื ก เรื่อง/ประเด็น/ปัญหา ทตี่ อ้ งการจะศึกษาด้วยตนเอง 2. ผู้เรยี นเลอื กและหาวธิ กี ารตลอดจนแหลง่ ข้อมูล ทห่ี ลากหลายด้วยตนเอง 3. ผเู้ รยี นลงมือปฏบิ ตั ิ (เรียนรู้) ดว้ ยตนเอง 4. ผูเ้ รยี นไดบ้ ูรณาการทักษะ/ประสบการณ์/ความรู้/ส่ิงแวดล้อม รอบตัวตามสภาพจริง 5. ผู้เรยี นเป็นผสู้ รปุ ( สร้างองค์ความรู้ ) ดว้ ยตนเอง 6. ผู้เรยี นได้แลกเปลยี่ นเรียนรู้กับผูอ้ ื่น 7. ผเู้ รยี นได้นำความรู้ไปใชจ้ รงิ ดงั น้ัน กอ่ นทจี่ ะให้นักเรียนเรยี นร้ดู ้วยโครงงาน ครูผู้สอนจะตอ้ งสรา้ งบรรยากาศในชนั้ เรียนท่ี ส่งเสริมการเรียนรู้ และเปิดโอกาสให้นักเรยี นเลอื กวธิ กี ารเรยี นร้ไู ด้ด้วยตนเองตลอดจนฝึกทกั ษะพืน้ ฐานในการ เรียนรู้ ไดแ้ ก่ ทกั ษะกระบวนการคดิ เชิงเหตุและผล ทกั ษะการแสวงหาความรูจ้ ากแหลง่ เรียนรทู้ ห่ี ลากหลาย ทกั ษะการทำงานรว่ มกัน ทักษะการตั้งคำถามและวธิ ีการหาคำตอบ ทกั ษะการฟงั พูด อา่ น เขียน โดยจะต้อง
18 ฝึกอย่างตอ่ เนื่อง และเพียงพอก่อนที่จะเร่ิมนำนกั เรียนเขา้ สู่กระบวนการเลอื กหวั ข้อ เพื่อจัดทำเป็นโครงงาน ครูจะต้องแบง่ ปันการตัดสนิ ใจทีเ่ คยเปน็ อำนาจของครูแตผ่ ู้เดียวในอดีต ให้เปน็ เรอื่ งของนกั เรียนทีจ่ ะพูดคุยหา ข้อสรปุ และตกลงร่วมกนั เอง โดยครูเพยี งแตท่ ำหน้าทีเ่ ป็นฝา่ ยสนบั สนุนความร่วมมือในกลมุ่ กระตนุ้ ใหน้ ักเรียน แสดงความคดิ เหน็ และรบั ฟังความคดิ เหน็ ของกนั และกนั ชว่ ยเหลอื ใหข้ อ้ มูลบางประการทีจ่ ำเปน็ ใหค้ ำแนะนำ รวมท้งั รว่ มเรียนรู้ไปพร้อม ๆ กบั นักเรยี นนับตั้งแต่เริ่มต้นหากครูสามารถปรับกจิ กรรมการ เรียนรู้ที่เชื่อว่า นกั เรยี นมีศักยภาพท่ีจะเรียนรู้ด้วยตนเองได้และปรับบทบาทจากผู้บอกความรู้ มาเป็นผู้กระตุ้นให้เกิดการ เรยี นรู้ และสามารถวางแผนในการแสวงหาคำตอบท่นี ักเรยี นเกดิ การเรยี นร้ไู ด้ด้วยตนเองของนักเรยี นเอง แล้ว การเรยี นรู้ด้วยการทำโครงงานกจ็ ะบรรลผุ ลสำเร็จตามหลกั การและเจตนารมณอ์ ย่างแท้จรงิ 2.3 ความหมายของการจัดกจิ กรรมแบบโครงงาน การจัดกิจกรรมแบบโครงงาน หมายถงึ การจดั ประสบการณ์การเรียนรใู้ ห้ผู้เรยี นได้เลอื ก และ สร้างกระบวนการเรียนรู้ เรื่องใดเรือ่ งหนึ่งอย่างลุ่มลึกด้วยตนเอง โดยใช้วิธีการและแหล่งการเรียนรู้ท่ี หลากหลาย และสามารถนำผลการเรียนรไู้ ปใช้ในชวี ิตจริงได้ (สำนักงานคณะกรรมการการปร ะถมศึกษา แห่งชาติ. 2562 : 4) อุดมศักดิ์ ธนะกิจรุ่งเรือง และคณะ (2560 : 17) ให้ความหมายของโครงงานไว้ว่าเปน็ กิจกรรมที่เปิดโอกาสใหผ้ ูเ้ รียนได้ศึกษา คน้ คว้า และลงมือปฏิบตั ดิ ้วยตนเอง ตามความสามารถความถนดั และ ความสนใจ โดยอาศัยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หรือกระบวนการอนื่ ใด ไปใช้ในการศกึ ษาหาคำ ตอบใน เรอ่ื งน้ัน ๆ โดยมีครผู สู้ อนคอยกระต้นุ แนะนำ และให้ คำปรึกษาแกผ่ เู้ รยี นอย่างใกล้ชิด ต้งั แตก่ ารเลือกหัวข้อท่ี จะศกึ ษา ค้นควา้ ดำเนนิ การวางแผนกำหนดข้นั ตอนการดำเนินงาน และการนำเสนอผลงาน โดยทวั่ ไปการทำ โครงงานสามารถทำไดท้ ุกระดับ การศกึ ษาซึ่งอาจทำเป็นรายบคุ คล หรือเปน็ กลมุ่ กไ็ ด้ทั้งน้ีข้นึ อยู่กับลักษณะ ของโครงงานอาจเป็นโครงงานเล็ก ๆที่ไม่ยุ่งยากซบั ซอ้ น หรือเป็นโครงงานใหญท่ มี่ ีความยาก และซบั ซอ้ นข้ึนก็ ได้ กล่าวโดยสรปุ การจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้แบบโครงงาน เป็นการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ท่ีเน้น ผู้เรียนเปน็ สำคญั โดยเปดิ โอกาสใหผ้ ู้เรียนได้เลือกเร่ืองท่ีต้องการจะศึกษาด้วยความสนใจและนำ เสนอผล การศึกษาตามวธิ ีการของตนอยา่ งเป็นระบบ เป็นการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ทฝ่ี ึกใหผ้ ู้เรียนลงมอื ปฏิบัติ เพ่ือ พัฒนาความรู้ ทักษะ และสรา้ งผลผลิตท่ีมีคณุ ภาพ ระเบียบวิธดี ำเนินการท่ีเป็นระบบใชว้ ิธีการทางวยิ า ศาสตร์ จุดประสงค์หลักของการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้แบบโครงงาน ต้องกระตุ้นให้นักเรยี นรู้จกั สงั เกต ตั้งคำถาม ตั้งสมมตฐิ าน รู้จักวธิ ีแสวงหาความรูด้ ้วยตนเอง เพื่อตอบคำถามท่ีตนอยากรู้ สรปุ และทำความเข้าใจกับสิ่งท่ี ค้นพบ โครงงานอาจจดั ในเวลาเรียนหรือนอกเวลาเรยี นกไ็ ด้ 2.4 ลกั ษณะสำคัญของโครงงาน การเรียนรูข้ องนกั เรียนเกิดจากประสบการณต์ รง ทไี่ ดร้ บั จากการปฏบิ ตั จิ ริง ฝึกใหแ้ ก้ปัญหาท่ี สงสยั โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ด้วยกระบวนการ และวธิ กี าร ทเี่ ป็นข้นั ตอนนักเรยี นยังสามารถนำ ความรู้ไปประยกุ ต์ใช้ในสถานการณ์อื่นได้ ทักษะทีไ่ ดร้ บั จะติดตัวนักเรียนนานและยั่งยืนกว่าการอา่ นจากตำรา สง่ิ ทน่ี กั เรยี นจะได้จากการเรียนรู้ โดยโครงงานพอสรปุ ได้ ดังน้ี (จริ าภรณ์ ศิรทิ วี. 2562 : 34-35) 1. ความร้ใู นเน้ือหาวิชานน้ั ๆ 2. ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 3. ทกั ษะการแสวงหาความรดู้ ว้ ยตนเอง 4. ความสามารถในการถา่ ยโยงการเรยี นรู้ผ่านกระบวนการแกป้ ญั หา 5. เจตคตทิ ี่ดีตอ่ การศึกษา
19 6. คณุ สมบตั ิทางบวกอ่ืน ๆ ไดแ้ ก่ ความคิดริเริ่มสรา้ งสรรค์ ความเชือ่ มั่นใจ ใน ตน เอง ความมวี นิ ัย ความรบั ผิดชอบ การทำงานร่วมกบั ผ้อู ่ืน สำนกั งานคณะกรรมการการประถมศกึ ษาแห่งชาติ (2562 : 4) ไดส้ รปุ ลักษณะสำคัญของ โครงงานไว้ ดงั นี้ 1. เปน็ เรื่องท่นี กั เรียนสนใจ สงสัย ต้องการหาคำตอบ 2. เป็นการเรียนร้ทู ี่มกี ระบวนการ มีระบบ ครบกระบวนการ 3. เปน็ การบูรณาการการเรยี นรู้ 4. นักเรียนใชค้ วามสามารถหลายดา้ น 5. มคี วามสอดคลอ้ งกับชวี ติ จรงิ 6. มกี ารศึกษาอยา่ งลมุ่ ลึก ด้วยวธิ ีการ และแหลง่ ขอ้ มลู ทหี่ ลากหลาย 7. เปน็ การแสวงหาความรู้ และสรปุ ความรู้ด้วยตนเอง 8. มีการนำเสนอโครงงาน ด้วยวิธกี ารทีเ่ หมาะสม ในด้านกระบวนการและผลงานท่ี ค้นพบ 9. ขอ้ ค้นพบ สิง่ ทีค่ ้นพบ สามารถนำไปปรับใชใ้ นชีวิตประจำวันได้ 2.5 ประเภทของโครงงาน ประเภทของโครงงาน แบง่ ตามลกั ษณะของการจัดการเรียนการสอน ในสาระการเรยี นรู้ หลักสตู รการศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551 สามารถแบง่ โครงงานได้ 2 ประเภท คือ (วชิ ชุกร มาลา วิทยา. 2560 : 32) 1. โครงงานตามสาระการเรียนรู้ เป็นโครงงานที่บูรณาการความรู้ ทักษะคุณธรรม จริยธรรม และคา่ นยิ มในกลุ่มสาระการเรียนรูเ้ ปน็ พื้นฐาน ในการกำหนดโครงงานและการปฏิบัติ 2. โครงงานตามความสนใจ เป็นโครงงานที่ผเู้ รียนกำหนดขนั้ ตอนตามความถนัดควา มสน ใจ และต้องการ โดยนำเอาความรู้ ทักษะ คณุ ธรรม จรยิ ธรรม และค่านิยมจากกลุ่มสาระการเรียนรู้ต่าง ๆ มา บรู ณาการ กำหนดเปน็ โครงงานและการปฏิบัตอิ ุดมศักดิ์ ธนะกิจรุง่ เรือง และคณะ (2560 : 17) จดั ประเภท โครงงานลกั ษณะของ กจิ กรรมเปน็ 4 ประเภท คือ 1. ประเภทสำรวจรวบรวมขอ้ มลู 2. ประเภทการทดลอง 3. ประเภทการพฒั นาหรอื ประดษิ ฐ์ 4. ประเภททฤษฎี หลักการหรอื แนวคดิ วมิ ลศรี สวุ รรณรัตน์ และมาฆะ ทิพยค์ รี ี (2560 : 7-11) ไดแ้ บง่ โครงงานออกเปน็ 4 ประเภท เชน่ เดยี วกันคอื 1. ประเภทสำรวจ โครงงานประเภทน้ี ไม่กำหนดตวั แปร การเก็บรวบรวมข้อมูลอาจเป็นการสำรวจใน ภาคสนาม หรือในธรรมชาติ หรือนำมาศึกษาในห้องปฏบิ ัตกิ าร นอกจากน้ันการสำรวจรวบรวมข้อมูลอาจบ่งช้ี ท่ีมาของปัญหา เพอื่ นำไปศกึ ษาหรอื ทดลอง 2. ประเภททดลอง โครงงานทีม่ ลี กั ษณะการออกแบบทดลอง เพอื่ ศึกษาผลของตัวแปรตน้ เพ่อื ควบคุมตัวแปร อ่นื ๆ โครงงานประเภทน้นี ักเรยี นจะเรม่ิ ต้ังแตก่ ำหนดคำถามท่ีตอ้ งการคำตอบตงั้ สมมติฐานกำหนดแหลง่ ข้อมูล ที่จะศกึ ษา ปฏบิ ัติการขอ้ มูล เพ่อื ตอบคำถามรวบรวมข้อมูลนำมาสรุปเปน็ องค์ความรูข้ ั้นตอน ที่ปฏิบัติเป็น
20 กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์อยา่ งสมบรู ณ์ การทำโครงงานประเภทการทดลองควรดำเนนิ การตา มข้ัน ตอน ต่อไปน้ี 2.1 กำหนดปัญหา 2.2 ตั้งจุดประสงค์ 2.3 ตั้งสมมตฐิ าน 2.4 ออกแบบการทดลอง 2.5 ดำเนนิ การทดลอง 2.6 รวบรวมข้อมลู ทีไ่ ด้จากการทดลอง 2.7 วิเคราะหข์ อ้ มูลหรอื แปรผล 2.8 สรปุ ผลการทดลอง 3. ประเภทพัฒนาหรอื ประดษิ ฐ์ โครงงานประเภทนี้ เป็นการประดษิ ฐส์ ิง่ ใดส่ิงหน่ึง เคร่ืองมือ เครอ่ื งใช้ หรืออปุ กรณ์เพื่อ ใชส้ อยต่าง ๆ ส่ิงประดษิ ฐน์ ี้อาจคดิ ขึ้นมาใหม่ หรือปรบั ปรงุ จากของเดิม มกี ารกำหนดตัวแปรทจ่ี ะศึกษา และ ทดสอบประสิทธภิ าพของชน้ิ งานดว้ ย 4. ประเภททฤษฎหี ลักการ หรอื แนวคิด โครงงานประเภทน้ี เปน็ การใช้จิตนาการของตนเองมาอธิบายหลักการ หรือแนวคิดใหม่ ๆ ซง่ึ อธบิ ายในรูปของสูตร ผู้ทำโครงงานจะตอ้ งมีความร้ใู นเร่ืองนนั้ ๆ เปน็ อยา่ งดี 2.6 ส่วนประกอบของโครงงาน สำนักงานคณะกรรมการการประถมศกึ ษาแห่งชาติ (2562 : 44) ไดเ้ สนอแนวทางการทำ โครงงาน ไว้วา่ นักเรยี นทจี่ ะทำโครงงานวิทยาศาสตร์ จะตอ้ งเขียนเคา้ โครงเสนอครูท่ีปรึกษา ซ่ึงมรี ายละเอียด ดังนี้ 1. ชื่อโครงงาน 2. ชื่อผทู้ ำโครงงาน 3. ชอ่ื ท่ีปรึกษา 4. ทีม่ า และความสำคญั ของโครงงาน 5. วตั ถุประสงคข์ องการศกึ ษาคน้ ควา้ 6. สมมติฐาน (กรณโี ครงงานทดลอง) 7. วธิ ีดำเนนิ งาน (วิธกี าร เครอ่ื งมอื ระยะเวลา) 8. ประโยชน์ หรือผลทค่ี าดว่าจะได้รบั 9. เอกสารอา้ งองิ จิราภรณ์ ศริ ทิ วี (2552 : 36) กล่าวว่า การเขียนรายงานโครงงาน เปน็ รูปแบบหนง่ึ ของการ เสนอผลงานที่นกั เรยี นไดศ้ ึกษาคน้ ควา้ ต้ังแตต่ ้นจนจบโครงงานท่ีสมบูรณค์ วรมีส่วนประกอบ ดังนี้ 1. ชอื่ โครงงาน 2. ช่อื ผทู้ ำโครงงาน/โรงเรียน/พ.ศ. ท่จี ัดทำ 3. ชอ่ื ครูทีป่ รึกษา 4. บทคัดย่อส้ัน ๆ ที่บอกเค้าโครงอย่างย่อ ๆ ประกอบด้วย เรื่อง/วัตถุประสงค์ วิธีการศึกษา และสรุปผล
21 5. กิตติกรรมประกาศ แสดงความขอบคุณบุคคล หรอื หน่วยงานท่ีมีส่วนให้ควา ม ชว่ ยเหลือใหง้ านสำเร็จ 6. วตั ถุประสงค์ของการศกึ ษาค้นควา้ 7. ที่มา และความสำคญั ของโครงงาน 8. สมมติฐานของการศึกษาคน้ ควา้ 9. วธิ ดี ำเนินการ 10. สรปุ ผลการศึกษาคน้ ควา้ 11. อภปิ รายผล/ประโยชน์/ข้อเสนอแนะ 12. เอกสารอ้างอิง 2.7 ข้นั ตอนการทำโครงงาน กรมวิชาการ (2544 : 30) ไดเ้ สนอขั้นตอนการทำโครงงานไวด้ งั นี้ 1. คดิ และเลอื กปัญหาท่ีจะศกึ ษา นักเรียนจะตอ้ งเป็นผู้กำหนดปัญหา แนวคิดและวธิ ีการจะ ใช้แกป้ ญั หาตามความสนใจ ความอยากรขู้ องตนเอง ทง้ั น้ตี อ้ งคำนึงถึงความเหมาะสมในเรื่องเวลา ความรู้ ความสามารถ และแหล่งขอ้ มูลทม่ี ี 2. วางแผนในการทำโครงงาน นกั เรียนจะตอ้ งวางแผนการทำงานในทกุ ข้นั ตอนอย่างละเอียด เพื่อป้องกนั ความผิดพลาดและสบั สน ขัน้ ตอนดงั กลา่ วประกอบดว้ ย 2.1 การกำหนดปัญหา และขอบเขตของการศึกษา 2.2 การกำหนดวตั ถปุ ระสงค์ แนวคดิ วธิ กี ารท่ีจะมาใชแ้ กป้ ัญหา สมมติฐานและนิยา ม เชิงปฏบิ ตั ิการ 2.3 การวางแผนรวบรวมข้อมลู และการค้นควา้ เพิ่มเติม 2.4 กำหนดวธิ ีดำเนินงาน ไดแ้ ก่ แนวทางการศึกษาค้นควา้ วัสดอุ ุปกรณ์ท่ีต้องใช้การ ออกแบบการทดลอง การควบคมุ ตัวแปร การสำรวจ และรวบรวมขอ้ มลู การประดษิ ฐ์คิดค้น การวิเคราะห์ ขอ้ มูล การกำหนดระยะเวลา ในการทำงานแต่ละข้นั ตอน 3. ลงมอื ทำโครงงาน นักเรียนจะตอ้ งปฏิบตั ิตามแผนท่ีกำหนดไว้ในข้อ 2 และถ้ามีปัญหาให้ ข้อคำแนะนำ ปรกึ ษาครู หรอื อาจารยท์ ี่ปรึกษา 4. การเขยี นรายงาน นกั เรียนจะตอ้ งเสนอผลงานการศกึ ษาค้นคว้าเปน็ เอกสารอธบิ ายให้ผู้อื่น เข้าใจ และทราบถึงปญั หาวธิ ีการ และผลสรปุ ท่ไี ดจ้ ากการศึกษา พร้อมอภปิ รายผลและใหข้ ้อเสนอแนะ เพ่ือ เปน็ แนวทางในการทจ่ี ะศกึ ษาคน้ คว้าตอ่ ไป 2.8 แนวทางการเขยี นรายงาน การเขียนรายงานโครงงาน เป็นการเสนอผลงานท่ีผู้เรียนได้ศกึ ษาค้นควา้ มาโดยตลอดจน สำเร็จสมบรู ณ์ (วชิ ชกุ ร มาลาวทิ ยา. 2560 : 36-38) ได้เสนอหัวขอ้ แนวทางการเขียนรายงานโครงงานไว้ดังน้ี 1. ปกหนา้ ประกอบด้วย 1.1 ชอื่ โครงงาน 1.2 ชื่อผูจ้ ัดทำ 1.3 อาจารยท์ ่ีปรกึ ษา 1.4 สถานท่ศี กึ ษา (ช่ือโรงเรยี น ท่อี ยู่โดยละเอียดที่ติดต่อทางไปร ษณีย์พร้อมทั้ง หมายเลขโทรศัพท์ และหมายเลขโทรสาร ถ้ามี) 1.5 วนั เดือน ปี ท่จี ดั ทำ
22 2. สารบัญ 2.1 สารบญั เร่ือง 2.2 สารบญั ภาพ 2.3 สารบัญตาราง 3. สารบัญกราฟ บทคดั ยอ่ (เขยี นเก่ยี วกบั โครงงานโดยย่อ เชน่ วัตถุประสงคว์ ธิ ดี ำ เนิน การ และสรุปผลของการศกึ ษา) 4. กติ ตกิ รรมประกาศ อาจเขยี นคำขอบคุณผู้ที่ได้ช่วยเหลอื ไวใ้ นรายงานน้ีดว้ ยซึ่งนยิ มเขียนไว้ หลงั บทคดั ย่อ หรือหัวขอ้ สุดท้ายหลงั ขอ้ เสนอแนะ อยา่ งไรกต็ ามลำดับกอ่ นหลงั ของหัวข้อต่าง ๆ ทเี่ สนอไว้นี้ ไมใ่ ชเ่ ป็นเรอ่ื งตายตัว บางคนอาจนยิ มสลบั หวั ข้อ หรือยุบรวบบางหวั ข้อเข้าด้วยกัน หรืออาจแจกแจงหัวข้อ ละเอยี ดขน้ึ กย็ อ่ มกระทำได้ 5. เน้ือเรอื่ งโครงงาน ประกอบด้วย 5.1 บทท่ี 1 บทนำ 5.1.1 ท่ีมาและความสำคญั ของโครงงาน (กลา่ วถงึ ความเปน็ มาเหตจุ ูงใจ หรือปัญหาท่ีศึกษา) 5.1.2 ปัญหาท่ศี กึ ษาหรอื จุดมงุ่ หมายของการศกึ ษาคน้ ควา้ (ระบุ จุดประสงค์ของการศึกษา หรือปญั หาที่ต้องการศกึ ษาใหไ้ ดค้ ำตอบ) 5.1.3 สมมติฐานของการศึกษาคน้ คว้า (ข้อความแสดงการคาดคะเน คำตอบลว่ งหน้ากอ่ นทำการศกึ ษา โดยพ้นื ฐานจากการศกึ ษาจากเอกสาร และจากข้อมลู อ่ืน ๆ) 5.1.4 ตวั แปรทเี่ กี่ยวขอ้ ง 5.1.4.1 ตวั แปรต้น 5.1.4.2 ตวั แปรตาม 5.1.4.3 ตวั แปรควบคุม 5.1.5 ขอบเขตของการศกึ ษาคน้ คว้า (ระบใุ หช้ ัดเจนวา่ งานน้ีทำกว้างแค่ ไหน) 5.1.6 นยิ ามคำศพั ท์ (ใหเ้ ขียนศพั ทท์ ีเ่ กย่ี วขอ้ งกับการศกึ ษา เพือ่ ให้ผูอ้ ืน่ เข้าใจตรงกนั เชน่ ความเข้มข้นของสสารเป็นเทา่ ไร,สลบ แปลว่าอะไร มอี าการอยา่ งไร) 5.2 บทท่ี 2 เอกสารและหลักการที่เกีย่ วขอ้ งกับการศึกษา (กลา่ วถึงข้อมลู สำคัญท่ี เกี่ยวขอ้ งกับเรอ่ื งทศ่ี กึ ษา จากเอกสาร ตำรา วารสาร หรอื สง่ิ พิมพอ์ นื่ ๆ เพื่อใหไ้ ด้ความรูเ้ กีย่ วกับวิธีการ ทต่ี ้อง นำมาใช้ และเป็นแนวทางของการตง้ั สมมติฐาน) 5.3 บทท่ี 3 วิธีดำเนนิ การ 5.3.1 วสั ดุและอุปกรณ์ (ระบวุ ่าใชว้ สั ดุ และอปุ กรณใ์ ดบ้างในจำนวนเท่าใด และปริมาณเทา่ ใด เป็นต้น) 5.3.2 วิธีดำเนินการ (อธิบายวิธีการในการศึกษาค้นคว้าทุกข้ันตอนโดย ละเอยี ด เช่น การออกแบบ การทดลอง วิธกี ารเกบ็ รวบรวมข้อมลู วธิ ีการวเิ คราะห์ข้อมูล) 5.4 บทที่ 4 ผลการศึกษา (ระบุผลทไ่ี ด้จากการเก็บรวบรวมข้อมูลท่ีได้มา) 5.5 บทที่ 5 สรปุ และอภิปรายผลการศึกษา เป็นการตอบปัญหาท่ีศึกษาโดยสรุป ความร้ทู ไ่ี ด้จากการศึกษาปัญหาว่าได้คำตอบอะไร แสดงความคิดเหน็ ต่อผลการศึกษาที่ได้ควา มหมายว่า อยา่ งไร ผลทเ่ี กิดข้ึนสอดคล้องกับสมมตฐิ านท่ีกำหนดไว้หรือไมอ่ ยา่ งไร เพ่ือนำไปสู่ขอ้ สรุปของปญั หาที่ศึกษา
23 6. ขอ้ เสนอแนะ (กลา่ วถึงขอ้ คดิ เห็นทไ่ี ด้จากการทำโครงงาน เช่น จะนำผลของการศึกษาไป ใช้ประโยชน์อะไรบา้ ง และขอ้ คิดเห็นสำหรบั การศึกษาค้นควา้ เรอ่ื งในลักษณะแบบนี้ ต่อไปในอนาคต) 7. เอกสารอ้างองิ (ระช่อื หนงั สอื เอกสารตำราต่าง ๆ ท่ใี ชศ้ กึ ษาคน้ ควา้ ในการทำโคร งงาน ควรเขยี นให้ถูกตอ้ งหลกั การเขียนเอกสารอา้ งองิ ดว้ ย) 2.9 บทบาทของครู-นักเรียนกบั การจัดกิจกรรมการเรยี นร้แู บบโครงงาน กรมวิชาการ (2544 : 31) เสนอแนวทาง บทบาทของครูในการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ แบบโครงงานมแี นวปฏบิ ัติ ดงั น้ี 1. กระตนุ้ ให้นกั เรยี นเกดิ ความสนใจการทำโครงงาน 2. แนะแนวให้นกั เรยี นรูห้ ลกั การและวธิ กี ารในการทำโครงงาน 3. จดั กจิ กรรมเพื่อช่วยให้นักเรยี นได้เห็นปัญหา 4. แนะแนวทางแกน่ กั เรยี นในการเลอื กปญั หาท่จี ะศึกษา 5. ให้คำปรกึ ษาแกน่ ักเรียนในการวางแผนดำเนนิ งานโครงการ 6. อำนวยความสะดวกแกน่ ักเรยี นในการทำโครงงาน 7. ตดิ ตามการทำโครงงานของนกั เรยี นทกุ ระยะ และใหค้ ำแนะนำช่วยเหลือเมือ่ จำเปน็ 8. ใหค้ ำปรกึ ษาแกน่ กั เรียนในการเขียนรายงานโครงงาน 9. ให้โอกาสนักเรียนได้แสดงผลงานของตนในโอกาส และรูปแบบตา่ ง ๆ ตามความ เหมาะสม 10. ประเมนิ ผลการทำโครงงานของนักเรียน เพ่อื เป็นแนวทางในการปรับปรุงการ ทำ โครงงานของนักเรียน ใหด้ ยี งิ่ ข้ึน การจัดกจิ กรรมการเรียนรู้แบบโครงงานในชั้นประถมศึกษา มคี วามจำเปน็ ท่ีครูจ ะต้องให้ ความชว่ ยเหลอื ค่อนขา้ งมาก เนอ่ื งจากนักเรยี นยังขาดประสบการณ์ และส่วนใหญจ่ ะเป็นโครงงาน ตามกลุ่ม สาระการเรียนรู้ เพอ่ื ให้นกั เรยี นเข้าใจวธิ ีการทำโครงงาน ไม่วา่ จะเปน็ นกั เรียนกลมุ่ อายุใดวิธีการศึกษาควร เริ่ม จากสาระการเรยี นรู้ เพ่ือให้นักเรยี นเข้าใจวธิ กี ารทำโครงงาน เนอ่ื งจากจะมคี รูคอยชีแ้ นะกำหนดขอบเขตของ การศกึ ษา ณ ระดับหนงึ่ เม่ือนกั เรยี นมที ักษะในการทำโครงงานจึงให้นักเรียนทำโครงงานตามความสนใจ ซึ่ง นักเรยี นจะมีโอกาสแสดงความคิดอิสระการจัดกิจกรรมการเรียนร้แู บบโครงงาน เป็นวิธกี ารศกึ ษาคน้ คว้าที่แฝง ดว้ ยกิจกรรม ฝกึ ทักษะกระบวนการคิดการทำงานอยา่ งอิสระ มีความเปน็ ระบบระเบียบวินัยในตนเองติดตัวไป ตลอดชวี ิต 2.10 การนำเสนอโครงงาน วิชชกุ ร มาลาวทิ ยา (2560 : 35) เสนอแนวทางใหผ้ ู้เรียนที่ทำโครงงานไดเ้ สนอผลงานเปน็ การเผยแพร่ผลงาน ซง่ึ มีการนำเสนอหลายวธิ ี ดังนี้ 1. บรรยายประกอบแผน่ ใส/สไลด์ 2. บรรยายประกอบแผงโครงงาน 3. จัดนทิ รรศการ 3.1 การจัดเสนอผลงานภายในชั้นเรยี น 3.2 การจัดนทิ รรศการภายในโรงเรียนเปน็ ภายใน 3.3 การจัดนิทรรศการประจำปขี องโรงเรยี น 3.4 การสง่ ผลงานเขา้ ร่วมในงานแสดง หรอื ประกอบภายนอกโรงเรยี น 2.11 การประเมินโครงงาน
24 การประเมินโครงงานเปน็ การประเมิน เพอื่ ศึกษาข้อบกพรอ่ ง ผลสำเร็จของงานปัญหาและ อุปสรรคท่เี กิดขึ้นในระหว่างการทำงาน และสิ้นสุดการปฏิบัติงานแล้ว การประเมนิ ผลมักจ ะปร ะเมิน ตา ม จุดประสงค์ และการปฏบิ ัตงิ านจะต้องทำอย่างต่อเนอื่ งอย่างสม่ำเสมอและใหผ้ ลย้อนกลบั ตอ่ ผู้ปฏบิ ัติงาน เพ่ือ ตอ้ งการใหผ้ ู้เรียนเปลีย่ นแปลงพฤตกิ รรมการเรียนรู้ 3 ดา้ นคือ ด้านพุทธพิ สิ ยั จิตพิสัย และด้านทักษะพิสัย (จลุ จักร โนพันธ์. 2560 : 55)การประเมินผลโครงงานเป็นหัวใจของการเรียนรู้ ทีส่ ะทอ้ นภาพความสำเร็จ ของ การจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ ผสู้ อนและผู้เรยี นร่วมกันประเมินผลว่า กิจกรรมท่ีทำไปนั้น บรรลุจุดประสงค์ที่ กำหนดไวห้ รอื ไมอ่ ย่างไร ไดใ้ ชว้ ิธีการแกไ้ ขอยา่ งไร ผู้เรียนได้เรียนรอู้ ะไรไปบา้ งจากการทำโครงงาน (จลุ จกั ร โน พันธ์. 2560 : 55) ดังรายละเอียด ต่อไปนี้ 2.11.1 แนวทางการประเมนิ โครงงาน อดุ มศักด์ิ ธนะกจิ ร่งุ เรือง และคณะ (2560 : 20-23) การประเมนิ ผลโครงงานควรใชก้ าร ประเมินผลตามสภาพท่แี ท้จรงิ (Authentic Assessment) ซงึ่ มลี ักษณะ ดงั นี้ 1. ทำไปพร้อม ๆ กับการเรียนของผเู้ รียน 2. ยดึ พฤติกรรมของผู้เรียนท่แี สดงออกเปน็ สำคัญ 3. เน้นการพัฒนาตนและการประเมินผลตนเอง 4. ให้ความสำคญั ในการพฒั นาจดุ เดน่ ของผูเ้ รียน 5. มกี ารเก็บข้อมลู ระหวา่ งปฏบิ ตั ิได้ทกุ บริบทท้ังท่ีโรงเรยี น บ้าน ชมุ ชนและสามารถ สะสมคะแนนอยู่บนพื้นฐานของเหตุการณใ์ นชีวติ จริง เอ้ือต่อการเชอื่ มโยงการเรียนรู้ส่ชู ีวติ จริง 6. เนน้ คณุ ภาพของผลงานซงึ่ เป็นผลจากการบูรณาการความรสู้ ่คู วามสามารถของผูเ้ รยี น 7. เนน้ การวดั ความสามารถในการคดิ ระดบั สูง เช่น ใช้ข้อมลู ในการสังเคราะห์ อธิบาย สรปุ เป็นกฎทั่วไป ตัง้ สมมติฐาน สรุปและแปรผล เป็นตน้ 8. วัดปฏสิ มั พนั ธ์เชงิ บวก มีการชนื่ ชม สง่ เสริมใหผ้ เู้ รียนมคี วามสุขสนกุ สนาน ไมเ่ ครยี ด 9. สนบั สนนุ การมีสว่ นร่วม และรบั ผิดชอบร่วมกนั 2.11.2 วธิ กี ารประเมนิ ผล 2.11.2.1 การสังเกต เป็นวิธีการประเมินพฤติกรรมที่สามารถทำได้ทุกเวลา และ สถานการณ์ ทัง้ แบบมีและไม่มเี ครอ่ื งมอื ในการสังเกต 2.11.2.2 การสัมภาษณ์ การสอบถาม อาจมีลกั ษณะเปน็ ทางการหรอื สัมภาษณ์สอบถาม ขณะปฏบิ ัติโครงงานกไ็ ด้ 2.11.2.3 วัดความรู้ความสามารถ ควรเปน็ แบบสอบถามปลายเปิดเพือ่ ดูความเชื่อมโยง ระหว่างความร้คู วามเขา้ ใจ กับส่ิงท่ไี ดเ้ พิ่มเติมจากประสบการณใ์ นการปฏบิ ตั ิโครงงานการรายงาน จะเป็นการ เขยี นรายงาน หรือประสบการณ์ในการทำโครงงานได้ เพ่อื ใหผ้ ้เู รียนได้ประเมินตนเองจากการทไี่ ด้พดู หรือ เขียนบรรยายสะท้อนความรูค้ วามเขา้ ใจ ความรสู้ ึกนกึ คดิ ตดิ ตามแนวทางการเรยี นรทู้ ีผ่ า่ นประสบการณ์ ขณะ ปฏบิ ตั ิกิจกรรมตามโครงงาน 2.11.2.4 แฟม้ ผลงาน เป็นการเก็บรวบรวมผลงานที่มีความโดดเดน่ ในช่วงเวลาใด เวลา หนง่ึ ท่ีรวบรวมไวอ้ ยา่ งเป็นระบบ เพ่อื แสดงความก้าวหนา้ ความสำเร็จในเรอื่ งใดเรอื่ งหนึ่งทงั้ น้ี เพื่อเป็นการ ติดตามพัฒนาการเรียนร้ขู องผู้เรียนไดเ้ ปน็ อย่างต่อเนื่อง 2.12 การพัฒนาโครงงาน อยา่ งไรก็ตามการเรยี นรดู้ ว้ ยกิจกรรมโครงงาน คงไม่ยุติลงหลงั จากการนำเสนอเท่านัน้ หากแต่ การเรยี นร้อู ย่างมคี วามหมายนี้ จะถูกเช่อื มตอ่ ดว้ ยการสะท้อนความคิดเหน็ อย่างสรา้ งสรรค์เป็นลูกโซ่ไปเกี่ยว
25 ต่อความร้ใู หม่ ๆ ทค่ี วรไดร้ บั การส่งเสริมสนับสนุนให้ดำเนินการค้นหาความรู้ไปอยา่ งตอ่ เนื่องลึกซ้ึง โดย กำหนดเปน็ เร่ืองหรอื ปญั หาใหม่ ทีอ่ าจเปน็ เรื่องทีต่ อ่ เน่ืองจากเรอ่ื งเดิม เพ่ือการหาคำตอบทยี่ ังสงสยั อยู่ หรือ เป็นเร่ืองใหม่ ทม่ี ีความเชอ่ื มโยงสมั พนั ธก์ ัน แต่เป็นอกี มิตหิ นึ่ง เพอ่ื ใหเ้ กิดความเข้าใจท่ีกว้างขวางล่มุ ลึกยิง่ ขนึ้ 2.13 ดำเนินการสอน ตามแผนการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้แบบโครงงานเชิงทดลองเรื่องการ ปลกู พืชผักสวนครัวท่ีมีผล ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 1 และจดั ให้นักเรยี นได้เรียนภาคทฤษฎีควบคไู่ ปกับการ ปฏิบัติ การปลูกพชื ผักสวนครัวทัง้ ในเวลา และนอกเวลาเรยี น ซึ่งมวี ธิ ีการดำเนนิ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ดังน้ี (บูรชยั ศริ มิ หาสาคร. 2562 : 56-58) 2.13.1 การเลอื กเรื่องทจี่ ะให้นกั เรยี นทำโครงงาน ตามสาระการเรียนรคู้ รูไดเ้ ลือกเน้ือหา เร่อื งการปลูกพืชผักสวนครวั ท่มี ีผล โดยใหน้ กั เรียนไปสำรวจและรวบรวมข้อมลู ทเี่ ก่ยี วข้อง กับการปลูกพืชผกั สวนครัวทม่ี ผี ล จากสถานท่ีตา่ ง ๆ หรอื ตัวอยา่ งโครงงานที่คนอ่ืนทำสำเรจ็ แล้ว นำมาศึกษาเป็นแนวทางในการ ทำโครงงาน ซึ่งมกี ารรวบรวมข้อมลู ดงั น้ี 1) รวบรวมขอ้ มูลท่วั ไป การปลูกพืชผักสวนครวั ของหมูบ่ า้ น 2) รวบรวมลกั ษณะตา่ ง ๆ ของดิน 3) รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับองคป์ ระกอบของดิน 4) รวบรวมส่วนประกอบและบอกประโยชนข์ องสว่ นตา่ ง ๆ ของพชื 5) รวบรวมประเภทของพืชผักสวนครวั 6) รวบรวมข้อมลู เกี่ยวกบั การปลกู พืชผักสวนครัว 2.13.2 ออกแบบการทำงาน ครูนำหวั เรือ่ ง การปลกู พชื มาวเิ คราะห์ ซึ่งมีรายละเอียด ดังน้ี 1) ชือ่ เรอ่ื ง 2) ผู้ทำโครงงาน 3) ปญั หาหรือแรงจงู ใจในการทำงาน 4) ตัวแปร (1) ตวั แปรตน้ (2) ตัวแปรตาม (3) ตวั แปรควบคมุ 5) ผลทคี่ าดว่าจะได้รบั 6) แหล่งขอ้ มูลที่นักเรียนจะศกึ ษา 7) ระยะเวลาท่นี ักเรียนใชใ้ นการศกึ ษากีว่ นั และศกึ ษาช่วงเวลาใด 8) นักเรยี นจะตอ้ งใช้วสั ดุอปุ กรณแ์ ละค่าใชจ้ ่ายใดบ้างหาจากแหล่งใด 2.13.3 การลงมอื ทำโครงงานมีขนั้ ตอนการศึกษาค้นคว้าอย่างไร ทำอย่างไรเก็บรวบรวม ข้อมลู อย่างไร 2.13.4 การเขียนรายงานนักเรียนเขยี นรายงานโครงงาน 2.13.5 การนำเสนอโครงงานการ นำเสนอโครงงานเป็นขั้นตอนท่สี ำคญั เพราะสะทอ้ นการทำงานของนกั เรียนควา มรู้ ความเข้าใจ เกยี่ วกับเรื่องทที่ ำ การตอบข้อซักถาม บุคลกิ ท่าทาง ทว่ งท่าวาจาไหวพริบปฏภิ าณ 2.13.6 การวัดและประเมนิ ผล
26 การประเมนิ ผลการทำงาน ใชแ้ บบประเมนิ โครงงาน โดยการสังเกตพฤติกรรมใน ระหวา่ งเรยี น และผลสำเร็จของโครงงาน วดั ความรู้ โดยครเู ปน็ ผปู้ ระเมิน และซักถาม 3. แผนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ การจดั ทำแผนการจดั การเรยี นรู้ เป็นภารกิจสำคัญของครผู สู้ อน ท่ีมหี นา้ ท่ีต้องเตรียมการ จัดการเรียนรู้ ทำใหค้ รผู ู้จัดการเรียนรู้ทราบล่วงหนา้ ว่า จะจดั กจิ กรรมการเรียนรู้อย่างไรใชว้ ิธีการสอนแบบใด ใช้สื่ออะไรบ้าง และทำการวัดผลประเมินผลด้วยวิธีการใด เปน็ การเตรียมตัวให้พรอ้ มก่อนปฏบิ ัติหน้าท่ี ทำให้ เกิดความม่ันใจในการทจ่ี ะจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ ดงั น้ัน จงึ จำเปน็ ท่จี ะตอ้ งมีความรเู้ กยี่ วกับหลักการ วิธีการ และข้ันตอนในการจดั ทำแผนการเรียนรู้เป็นอยา่ งดี ซ่ึงจะส่งผลใหก้ ารจัดกิจกรรมการเรยี น รู้ ดำเนินไปสู่ จดุ หมายปลายทางตามท่ีกำหนดไว้เปน็ ไปอย่างมีประสิทธภิ าพ 3.1 ความหมายของแผนการจัดการเรียนรู้ นิยม ทิพจกั ร (2560 : 11) กล่าวถงึ แผนการสอนวา่ เป็นการวางแผนการสอนที่จัด ไวเ้ ป็นลายลกั ษณ์อักษรลว่ งหน้า เพือ่ ทำการสอนวชิ าใดวชิ าหนึ่ง เป็นการวางแผนการจัดกจิ กรร มกา รใช้ส่ือ อปุ กรณ์ และการวัดผลประเมินผลให้สอดคลอ้ งมาจากเจตนารมณข์ องหลักสูตรและความพร้อมของนักเรียน และโรงเรยี น ทองสขุ รวยสูงเนิน (2562 : 41) ได้ให้ความหมายของแผนการจัดการเรยี นรู้ว่าเป็น การวางแผนจดั เตรียมรายละเอียดของการสอน ทีผ่ ูส้ อนสามารถนำไปใช้ได้ทันที และครูคนอื่น ๆ กส็ ามารถ นำไปใช้ เพอ่ื สอนแทนได้ การสร้างแผนการสอนจงึ ควรจัดทำเปน็ หนว่ ยเล็ก ๆ เพ่ือสะดวกในการสอนแต่ละครั้ง มีหัวข้อรายละเอียดต่าง ๆ ท่จี ำเปน็ ผู้ศกึ ษาค้นคว้าได้ให้ความหมายของแผนการเรียนรู้ไวว้ ่า เป็นการเตรียมการ จัด กจิ กรรมการเรียนรไู้ วล้ ่วงหน้า กอ่ นทำการจัดกจิ กรรมแต่ละครั้งของครู โดยนำเอาเนอ้ื หาวิชา หรือสาระการ เรยี นรู้ทีจ่ ะทำการจดั การเรยี นร้แู ต่ละครง้ั มากำหนดเป็นสาระสำคัญ กจิ กรรมการเรยี นรสู้ ่อื การเรียนรู้ การวัด และการประเมนิ ผลใหส้ อดคล้องกัน 3.2 ลกั ษณะของแผนการเรยี นร้ทู ี่ดี วัลลภ กันทรพั ย์ (2560 : 10) กล่าววา่ ลกั ษณะของแผนการเรยี นร้ทู ่ีดี ควรจะมี กจิ กรรมการเรยี นรู้ท่มี ลี กั ษณะ 4 ประการ ดงั ต่อไปนี้ 1. เป็นแผนการสอนที่มกี ิจกรรมที่ใหผ้ ู้เรยี น ได้ลงมอื ปฏบิ ตั ิใหม้ ากท่ีสุด โดยครูเปน็ เพยี งผคู้ อยชน้ี ำ ส่งเสรมิ หรอื กระตุ้น ให้กจิ กรรมทผ่ี ู้เรยี นดำเนนิ เปน็ ไปตามความมงุ่ หมาย 2. เป็นแผนการสอนทเ่ี ปิดโอกาสให้ผเู้ รยี นเป็นผ้คู ้นพบคำตอบ หรอื ทำสำเรจ็ ด้วย ตนเอง โดยครูพยายามลดบทบาทจากผ้บู อกคำตอบ เป็นผ้คู อยกระตุ้นด้วยคำถามหรอื ปัญหาให้ผเู้ รยี นคดิ แก้ หรือหาแนวทางไปสู่ความสำเรจ็ ในการทำกิจกรรมเอง 3. เปน็ แผนการสอนท่ีเน้นทกั ษะกระบวนการม่งุ ใหผ้ ูเ้ รียนเกิดการเรียนรใู้ นการ ทำงานเป็นกระบวนการ และนำกระบวนการไปใช้จริง 4. เป็นแผนการสอนทีส่ ง่ เสริมการใช้วัสดุอุปกรณ์ ทีส่ ามารถจัดหาไดใ้ นทอ้ งถิน่ หลีกเลย่ี งการใช้วสั ดุอปุ กรณส์ ำเร็จรปู ราคาสงู สำนักงานคณะกรรมการการประถมศกึ ษาแห่งชาติ (2560 : 120) กล่าวว่า ลกั ษณะ ของแผนการเรยี นรู้ทีด่ คี วรประกอบด้วย 1. มีความมุง่ หมายดี ชดั เจนสำหรบั เรอื่ งนน้ั ๆ เปน็ ความมงุ่ หมายที่สามารถวดั ได้ 2. จดั ประสบการณ์ให้นักเรียนได้รับอย่างเหมาะสม
27 3. จดั วธิ ีการสอน และกิจกรรมได้เหมาะสมกบั เนื้อหาวิชา และผู้เรียน 4. กำหนดวธิ วี ัดผลไดอ้ ย่างเหมาะสม 5. กำหนดสอ่ื การสอนเหมาะสมกับผเู้ รยี น และเนือ้ หาวชิ าทีส่ อน 6. สอดคล้อง และเหมาะสมกบั ความแตกต่างระหวา่ งบุคคลของผ้เู รยี น 7. มคี วามชดั เจน สามารถนำไปใช้ประโยชน์ไดอ้ ยา่ งแทจ้ รงิ 8. ชว่ ยใหค้ รูเกิดความเชื่อมั่นในการสอน และสามารถปรับปรุงใหเ้ หมาะสมกบั นกั เรยี นได้ 3.3 องคป์ ระกอบของแผนการเรยี นรู้ องค์ประกอบของแผนการเรียนรู้ กล่มุ สาระการเรียนรู้การงานอาชีพโดยทั่วไปควร ประกอบไปดว้ ย 9 หัวข้อ ดังนี้ (สำนกั งานคณะกรรมการการประถมศกึ ษาแห่งชาติ. 2560 : 120-125) 1. สาระสำคัญ 2. ผลการเรียนรู้ทคี่ าดหวงั 3. สาระการเรียนรู้ 4. กระบวนการเรยี นรู้ 5. สือ่ การเรียนรู้ 6. การวดั และประเมนิ ผล 7. กจิ กรรมเสนอแนะ/ภาคผนวก 8. ความเห็นของผ้อู ำนวยการสถานศึกษาหรือผู้ทีไ่ ดร้ บั มอบหมาย 9. ผลการสอน 3.4 แนวทางการเขียนองคป์ ระกอบของแผนการเรียนรู้ 3.4.1 การเขียนสาระสำคัญ 1) หลักการเขยี นสาระสำคญั (1) ศึกษาเรือ่ งจะเขียนวา่ อะไรคอื แก่นสารแท้ หรือประเดน็ ของเรอ่ื งทจี่ ะ สอนในภาพรวม (2) ใชภ้ าษางา่ ย ๆ เขยี นให้ส้นั กะทัดรดั แตไ่ ดใ้ จความสมบูรณ์ เขียนให้ สอดคลอ้ งกับจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ และเนอื้ หา (3) เขยี นเป็นความเรยี ง หรือเขยี นเป็นข้อยอ่ ย ๆ 2) ข้ันตอนการเขยี นสาระสำคัญ ข้นั ตอนท่ี 1 ศึกษาเน้ือหาท่จี ะเขยี นสาระสำคัญ ข้ันตอนท่ี 2 ฝึกเรียงสาระสำคญั (1) คดิ ไตรต่ รองใหเ้ กิดมโนภาพของเน้ือหา ทีจ่ ะสอนว่ามลี กั ษณะ เด่นของเน้ือหาหรือเหตุการณ์อยา่ งไร (2) เขยี นลักษณะเดน่ ของเนือ้ หา และเหตุการณ์ทีจ่ ะสอน แยกเป็น 2 ลกั ษณะคือ (2.1) ลักษณะเด่น (2.2) ลักษณะประกอบ (3) นำลกั ษณะเด่น และลักษณะประกอบของเร่อื งท่ีเขยี นไว้ มา เรยี บเรียงเป็นความเรียง ให้เป็นเหตุเป็นผล ใหเ้ กดิ ความสอดคลอ้ งกันเป็นสาระสำคัญ
28 ขน้ั ตอนที่ 3 ปรับปรุงสาระสำคัญทเ่ี ขียนไว้ใหถ้ กู ตอ้ งตามหลกั วิชาการ ขั้นตอนที่ 4 เขยี นสาระสำคญั ท่ีปรับปรุงสมบูรณแ์ ล้วไว้ในหวั ข้อของ แผนการเรยี นรู้ 3.4.2 การเขยี นผลการเรยี นรู้ทีค่ าดหวัง 1) หลักการเขยี นผลการเรยี นร้ทู ่ีคาดหวงั (1) ตอ้ งใชข้ ้อความกะทัดรัดไดใ้ จความ มีความหมายเพยี งหนึ่งประโยคหรอื สองประโยคเทา่ นน้ั (2) ผลการเรียนร้ทู คี่ าดหวงั ข้อหนึ่ง ๆ ให้เขียนกำหนดพฤติกรรมใด พฤติกรรมหนงึ่ เทา่ นนั้ (3) ผลการเรยี นรทู้ คี่ าดหวังข้อหนึ่ง ๆ ต้องบรรยายถึงพฤติกรรมที่คาดหวัง ไว้คือ ต้องระบุพฤติกรรมขั้นสุดท้ายที่ต้องการให้เกิดข้ึน ไม่ใช่ระบุกิจกรรมของครู หรือทิศทางในการ เปล่ยี นแปลงท่ีผ่านมา (4) ควรระบุให้ครอบคลุมทั้งความรู้ ทักษะ/ กระบวนการ คุณธรรม จริยธรรม และคา่ นิยม (K A P) (5) ตอ้ งเขียนในสิ่งทีเ่ ปน็ จริง คือ ขอ้ หนงึ่ ๆ ต้องเนน้ พฤติกรรมให้มองเห็น ได้ ไม่เปน็ ส่ิงท่ีเปน็ นามธรรม 2) ขน้ั ตอนการเขยี นผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง ข้นั ตอนที่ 1 วิเคราะห์ผลการเรียนรู้ท่ีคาดหวงั ของเน้ือหาหลกั สตู รโดย ละเอียดเพือ่ พจิ ารณาว่า ผลการเรยี นรู้ท่คี าดหวังที่กำหนดไว้ครอบคลุมพฤตกิ รรมการเรียนรู้ตามเจตนารมณ์ ของหลกั สูตรท้ัง 3 ด้านหรอื ไม่ (K A P) ขัน้ ตอนท่ี 2 เขียนผลการเรียนรทู้ ่ีคาดหวังให้ครอบคลุมพฤติกรรมการ เรยี นรทู้ ั้ง 3 ด้าน (K A P) ขน้ั ตอนท่ี 3 ปรบั ผลการเรียนรู้ทคี่ าดหวงั จากตารางวิเคราะห์หลกั สตู รโดย ละเอียด เป็นผลการเรยี นรู้ทค่ี าดหวงั เชงิ พฤติกรรมใหค้ รอบคลมุ ทั้ง 3 ด้าน คอื พุทธพิ สิ ยั จติ พิสัย ทักษะพสิ ยั (K A P) ขั้นตอนที่ 4 เขยี นผลการเรียนรทู้ ค่ี าดหวงั เรียงตามลำดับพฤติกรรมทีจ่ ะ เกดิ ก่อนเกิดหลงั ในแผนการเรยี นรูแ้ ตล่ ะครั้ง 3.4.3 การเขียนสาระการเรียนรู้ 1) หลักการเขยี นสาระการเรยี นรู้ การเขียนสาระการเรียนรู้ในแผนการเรียนรู้ อาจเขียนได้ 2 ลักษณะ คือ แบบความเรียง และแบบเขยี นเป็นขอ้ ๆ โดยยึดหลกั การเขยี น ดงั น้ี (1) เขยี นสาระการเรยี นรใู้ ห้สอดคล้องกับหลกั สตู ร (2) เขยี นสาระการเรยี นรู้เรยี งลำดบั จากงา่ ยไปหายาก (3) เขียนสาระการเรยี นรู้ให้เหมาะสมกับคาบเวลาทใี่ ชใ้ นการจดั กิจ กรร มการ เรียนร้ใู นครงั้ หนึง่ ๆ (4) เขยี นสาระการเรยี นรเู้ พียงหัวขอ้ หรอื อาจขยายความสาระการเรยี นรู้ให้ เขา้ ใจวา่ มีขอบเขตเพียงใด ไมต่ อ้ งลงรายละเอยี ด ทัง้ หมด (5) เขยี นสาระการเรียนรใู้ หเ้ หมาะสมกบั วยั ของผู้เรยี น
29 2) ขนั้ ตอนการเขียนสาระการเรยี นรู้ ขนั้ ท่ี 1 ศกึ ษาตารางวิเคราะห์หลักสูตร โดยละเอยี ดเพ่ือพจิ ารณา เนื้อหาหลัก และเนือ้ หายอ่ ยที่กำหนดจะสอนในแตล่ ะครงั้ ขั้นท่ี 2 ปรบั ปรงุ เรียบเรียงเน้อื หาให้กะทดั รัด ชัดเจน และสมบูรณ์ ขนั้ ท่ี 3 เขียนสาระการเรยี นรูท้ ส่ี มบรู ณแ์ ลว้ ลงในหัวขอ้ ของแผนการเรยี นรู้ 3.4.4 การเขยี นกิจกรรมการเรียนรทู้ ีเ่ นน้ กระบวนการ การเขยี นกจิ กรรมการเรยี นร้ทู เ่ี น้นกระบวนการในแผนการเรียนรู้ ครูผ้จู ัดกจิ กรรมการ เรยี นรู้ สามารถดำเนนิ การไดต้ ามขน้ั ตอน ดังต่อไปนี้ 1) ศึกษาผลการเรียนร้ทู ่ีคาดหวัง และสาระการเรยี นรู้ทเ่ี ขยี นไวใ้ นแผนการเรียนรู้ 2) ออกแบบจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ โดยกำหนดให้สอดคลอ้ งกับผลการเรียนรทู้ ่ีคาดหวัง และเนื้อหา 3) เขียนกจิ กรรมการเรยี นรู้ ตามขน้ั ตอนของกระบวนการน้ัน ๆ การจดั กจิ กรรมการ เรียนรคู้ วรมขี ัน้ นำ ขน้ั สอน ข้นั สรุปด้วย (1) ขน้ั นำเขา้ สู่บทเรยี น เป็นกจิ กรรมที่ช่วยชักนำให้นกั เรียนมีความพร้อมทจ่ี ะเรียนรู้ ซึ่งสามารถทำไดห้ ลายวธิ ี (2) ขั้นสอน (ข้ันการจัดกิจกรรม) เปน็ กจิ กรรมหลกั ในการสรา้ งการเรียนรใู้ ห้เกิดกับ นักเรยี น ขน้ั ตอนนี้ผู้สอนสามารถนำขั้นตอนสำคัญของรูปแบบหรอื วธิ ีการสอนท่ีเลอื กไว้มากำหนดกิจกรร มโดย ละเอยี ด พร้อมทง้ั เลือกสือ่ การเรียนรู้มาใช้อยา่ งเหมาะสม (3) ขั้นสรุป เป็นกิจกรรมท่ีชว่ ยให้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เป็นไปด้วยความ สมบูรณ์ กิจกรรมในข้ันนอ้ี าจกระทำได้หลายวิธกี าร เชน่ สรุปขอ้ ความทไ่ี ดร้ ับ ทดสอบเรื่องทีเ่ รียน มา การ มอบหมายงานใหน้ ักเรียนศกึ ษาค้นคว้าต่อไป การสรปุ ข้อความทไี่ ดร้ บั ควรจะกำหนดให้เปน็ บทบาทของผู้เรียน สว่ นครูมีหน้าทเ่ี พิ่มเตมิ ในประเด็นท่ียังขาดความสมบรู ณ์ 4) แนวทางกำหนดกิจกรรมที่เนน้ กระบวนการในแผนการเรยี นรู้ (1) จัดกจิ กรรมใหผ้ ู้เรียนไดค้ ดิ ทำ แกป้ ญั หาเอง (2) จัดกจิ กรรมให้ครบกระบวนการ หมายถงึ การจดั กิจกรรมหนึ่ง ๆ ต้องให้ครบ ขัน้ ตอน ใหผ้ เู้ รียนรู้ผลของการกระทำตามกิจกรรมน้ัน เช่น จัดกิจกรรมพาผูเ้ รยี นไปดสู ภาพต่าง ๆ เกี่ยวกับ เรือ่ งท่เี รียนกต็ อ้ งใหน้ ำผลจากการไปดูนั้น มาอภปิ รายและสรุปตามประเดน็ ที่ครูกำหนด (3) จัดกิจกรรมให้สอดคล้องกับจุดเน้นของกลุ่มสาระการงานอาชีพ เช่น เน้น กระบวนการฝึกทกั ษะปฏิบัติ กระบวนการทำงาน กระบวนการกลมุ่ ในกิจกรรมการเรยี นรูก้ ็ต้องมเี ร่ืองดังกล่าว ปรากฏอยู่ด้วย (4) จดั กจิ กรรมให้ผู้เรยี นปฏิบัติหลาย ๆ ครงั้ โดยให้ทำในสถานการณ์ต่าง ๆ กัน เพอ่ื เพ่ิมทักษะและความรอบรู้ในการทำงาน (5) ระบรุ ายละเอยี ดในเรื่องท่ตี ้องการเนน้ เชน่ การต้ังประเด็นในการอภิปราย เพ่อื ฝกึ ให้ผูเ้ รียนคดิ สรปุ แนวคดิ ในเรือ่ งที่เรียน เรอ่ื งหรือสถานการณท์ ส่ี รา้ งขึน้ เพือ่ เล่าหรอื ให้ผเู้ รียนอา่ น 5) ข้ันตอนการกำหนดกจิ กรรมทเี่ น้นกระบวนการในแผนการเรียนรู้ (1) เริ่มจากกิจกรรมประเภทใหผ้ ู้เรียนรับรู้ เห็นความสำคญั โดยการพาไปดู นำของ มาให้ดู เล่านิทาน เลน่ เกม เลา่ /อา่ นเร่อื ง หรือสถานการณ์ ฯลฯ แลว้ นำมาอภิปรายซักถามตามประเดน็ และ รว่ มกันสรปุ
30 (2) เสนอกิจกรรมให้ผู้เรยี นตระหนักถึงความจำเปน็ ของการเรียนเร่ืองดังกล่าว (ข้อ 1) กรณนี ี้หมายถึง ผลท่ีได้จากการจัดกจิ กรรมในข้อ 1 บรรลเุ ป้าหมายเพยี งเห็นความสำคัญ แตย่ งั ไม่เห็น ความจำเป็น หรือพรอ้ มทีจ่ ะทำ จงึ ต้องจดั กิจกรรมในลกั ษะเดยี วกับข้อ 1 ซำ้ แลว้ ตั้งประเดน็ คำถา ม เพ่ือให้ ผูเ้ รียนไปถงึ จดุ ประสงค์ เหน็ ความจำเป็นของเรอื่ งทเ่ี รยี นอาจรวมกิจกรรมขอ้ 1 และ 2 เขา้ ด้วยกนั เพ่ือให้เกิด จุดประสงค์ เห็นความสำคญั และความจำเปน็ กไ็ ด้ (3) จดั กจิ กรรมให้ผเู้ รียนคดิ ตอบคำถาม เพื่อใหม้ ีพื้นฐานทำกิจกรรมตอ่ เมื่อผู้เรียน พร้อมทจ่ี ะจดั ปฏิบัติตามผลท่ีได้ในกจิ กรรมข้อ 2 แล้วต้องจัดกจิ กรรมให้ผู้เรยี นมีความรู้พ้นื ฐานใน เรื่องท่ีจ ะ ปฏบิ ตั ิก่อน เช่น สร้างสถานการณม์ าเล่า หรอื ใหอ้ า่ น พาไปดูหาภาพมาให้ดู เพ่ือให้ผูเ้ รยี นสังเกต อภิปราย และตอบคำถามเกี่ยวกบั เรอ่ื งท่จี ะปฏิบตั ิ (4) จัดกจิ กรรมใหผ้ เู้ รยี นไดท้ ดลองปฏิบัตงิ าน เพ่ือใหเ้ กดิ การเรียนรูด้ ้วยตนเอง จาก การปฏิบัตกิ ิจกรรมน้ี ผลการปฏบิ ัติงานของผูเ้ รียนจะออกมาทัง้ ถูกและผิด จึงต้องจดั กจิ กรรมที่ 5 ตอ่ (5) จดั กิจกรรมเพือ่ ให้หลกั การและแนวคดิ ที่ถูกต้องแก่ผู้เรียน เชน่ ใหไ้ ปอ่านเอกสาร ตำราจากห้องสมุด ถามผู้รู้ ฯลฯ ตามประเดน็ ที่กำหนดแล้ว ให้อภิปรายและสรุปโดยนำกิจกรรม ข้อ 4 มา เปรยี บเทียบ เพ่อื ให้ผเู้ รียนรู้วา่ ทำถกู หรือไมอ่ ย่างไร ในกรณีการปฏิบตั งิ านนน้ั มีขน้ั ตอนท่ซี ับซ้อน ครูอาจสาธิต ขัน้ ตอนที่เห็นวา่ มีปัญหา เพื่อให้แนวปฏบิ ตั ทิ ถี่ กู ต้องแก่ผู้เรยี นด้วย (6) จดั กจิ กรรมให้ผเู้ รียนปฏบิ ตั ซิ ้ำตามข้ันตอนท่ถี ูกต้องจากการปฏิบัตกิ ิจกรร มตา ม ข้อ 5 ผูเ้ รียนมคี วามรู้ในการปฏิบตั ิทถี่ ูกตอ้ ง จึงจดั กิจกรรมใหฝ้ ึกปฏิบตั จิ ากการฝึกปฏิบัตใิ นขอ้ น้ี ควรให้ปฏิบัติ หลาย ๆ สถานการณ์ เพ่ือให้เกดิ ความคล่องแคล่วชำนาญ และมีความรใู้ นเร่อื งท่ีปฏิบัตอิ ยา่ งกว้างขวาง (7) จัดกจิ กรรมเพอ่ื ประเมินผลการทำงาน กจิ กรรมขอ้ น้ีต้องการฝกึ ผเู้ รียนในเรื่อง การประเมินผลงาน และปรับปรุงงานท้งั ของตนเองและกลุ่ม (8) จดั กิจกรรมเพอ่ื เพมิ่ พูนทักษะโดยมอบหมายงานให้ทำ การฝึกทักษะและนิสัยใน การทำงานของผู้เรยี นไม่ไดจ้ บลงในห้องเรยี นเทา่ นัน้ แตจ่ ะต้องมกี ิจกรรมมอบหมายงานให้ทำอย่างต่อเนื่อง และจดั ระบบการติดตามผลให้มีประสิทธภิ าพ 3.4.5 การเขยี นสอื่ การเรยี นรู้ การเขียนสือ่ การเรยี นรใู้ นแผนการเรยี นรคู้ รผู ู้สอนควรไดต้ ระหนักถึงความสำคัญของสื่อ การเรยี นรู้ เพราะส่อื มหี ลายประเภทหลายชนดิ แต่ละชนิดมศี กั ยภาพในการช่วยใหก้ ารเรียนรู้บรรลจุ ุดประสงค์ แตกต่างกัน ไมม่ ีส่ือชนดิ ใดดีท่ีสุด การนำสอื่ การเรยี นรมู้ าใช้จึงควรคำนงึ ถงึ ศกั ยภาพของส่ือเปน็ สำ คัญ และ เลือกใช้สอ่ื หลาย ๆ ชนดิ เพอื่ ช่วยใหก้ ารจัดกจิ กรรมการเรียนรู้มปี ระสทิ ธิภาพดังนั้น ในการเขียนส่อื การเรยี นรู้ ในแผนการเรยี นรู้ ครผู สู้ อนควรมขี ้ันตอนที่ดี ดังนี้ ขัน้ ท่ี 1 ศึกษารายละเอียดสอ่ื การเรยี นรู้ตา่ ง ๆ ตามทมี่ ใี นคู่มอื หรอื ตามทหี่ ลักสูตร ได้แน ะนำ ไว้ใหเ้ กิดภาพชดั เจนทุกรายการ ขั้นที่ 2 ศกึ ษาเอกสารวิชาการตา่ ง ๆ เก่ียวกบั การจัดทำสอ่ื การเรยี นรูแ้ บบง่าย ๆ ทีเ่ กี่ยวข้อง และสอดคล้องกับสาระ/วิชาท่ีสอน เพอื่ เป็นแนวทางในการจัดทำส่ือขึน้ ใชเ้ อง ข้นั ท่ี 3 ศึกษาองค์ประกอบตา่ ง ๆ ในแผนการเรียนรู้ เช่น สาระสำคัญผลการเรยี นรทู้ ี่คาดหวัง เนื้อหา และกจิ กรรมการเรียนรู้ เพอ่ื เป็นแนวทางในการกำหนดส่ือการเรียนร้ใู ห้สอดคล้องกนั ขน้ั ที่ 4 เขยี นส่อื การเรยี นรู้ในแผนการเรียนรู้ โดยยดึ หลกั การ คือ
31 1. ระบชุ อื่ สอ่ื การเรียนรทู้ ่ีนำมาใช้ประกอบการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ในแผน น้นั ๆ ให้ ครบทั้งสอื่ ทีผ่ ู้สอนผลติ ขึ้นใช้เอง และทีจ่ ัดหามา ถ้าสามารถระบุจำนวนกำกบั รายช่อื ส่อื แตล่ ะรายการก็จะเป็น การดยี ่ิงขึ้น 2. ส่อื การเรียนรทู้ ี่นำมาใชป้ ระกอบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแผนการเรยี นรู้ควร มี ลักษณะสำคญั ดังน้ี 2.1 ชว่ ยให้ผู้เรยี นเกิดการเรยี นรู้ ได้ตรงจุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ โดยใชร้ ะยะเวลาอัน ส้ัน หาง่าย ประหยดั และน่าสนใจ 2.2 มคี วามถูกต้องตามหลักวชิ าการ เหมาะสมกบั เนือ้ หา และวัยของผเู้ รยี น 2.3 มีวธิ ีใช้ท่ีไม่สลับซับซอ้ น หรือไมเ่ สยี เวลาในการเตรยี มการใชม้ าก เกินไป 3. ควรเลอื กใช้เฉพาะส่ือทจ่ี ำเปน็ และได้ประโยชนค์ ้มุ ค่า 4. กรณที ี่ตอ้ งการนำเสนอรายละเอยี ดเกยี่ วกบั ลกั ษณะ วิธใี ช้ และตัวอย่างส่ือการเรียนรู้ ด้วยวธิ นี ำเสนอไว้ในภาคผนวก 3.4.6 การเขยี นการวดั และประเมนิ ผล การวัดและประเมนิ ผล เป็นองคป์ ระกอบหนง่ึ ของแผนการเรียนรู้ ทม่ี คี วามจำเปน็ อยา่ งยิ่งครู ผู้จดั การเรยี นรจู้ ะต้องวัดและประเมนิ ผลหลังการสอนทกุ ครัง้ เพ่ือให้ไดข้ ้อมลู ว่าผ้เู รยี นเกดิ การเรยี นรู้บรรลุผล ตามจดุ ประสงค์การเรียนที่กำหนดไวห้ รอื ไม่ ซ่งึ ผสู้ อนอาจวัดผลทั้งกอ่ นเรียน ระหว่างเรียนและหลังการ เรียน โดยใชว้ ิธกี ารวัดและเครื่องมอื วัดชนิดต่าง ๆ เชน่ ใชแ้ บบทดสอบ ใช้การสงั เกต การตง้ั คำถาม การสัมภาษณ์ การตรวจผลงาน ดังน้ัน เมื่อผู้สอนได้จัดกจิ กรรมการเรียนรูต้ ามแผนเสร็จทกุ ครั้ง จะต้องมีการวดั และ ประเมินผลทุกครง้ั ด้วย และจะตอ้ งสรา้ งเครอื่ งมือในการวัดและประเมินผล พรอ้ มตง้ั เกณฑ์การให้คะแนน หรือ เกณฑก์ ารประเมนิ และเกณฑก์ ารผ่านผลการเรียนรู้ที่คาดหวงั ไวใ้ ห้ชัดเจนในแผนการเรยี นร้ดู ว้ ย 1. หลกั การเขียนการวัดและประเมินผล 1.1 เขยี นลำดับวิธกี ารวัดที่ใช้ก่อน 1.2 เขยี นให้สอดคลอ้ งกับผลการเรียนร้ทู คี่ าดหวงั ท่ีเขยี นไว้ 1.3 เขียนใหส้ อดคลอ้ งกบั กิจกรรมการเรยี นรู้ 2. ข้ันตอนการเขยี นการวดั และประเมินผล ขอเสนอลำดับข้นั ตอนไว้ ดงั น้ี 2.1 ศึกษาผลการเรยี นรทู้ ีค่ าดหวังท่กี ำหนดไวใ้ นแผนการเรียนรู้ เพ่ือใหท้ ราบสภาพ เงอ่ื นไข และเกณฑ์ในผลการเรียนรูท้ ี่คาดหวงั 2.2 ศึกษากิจกรรมการเรียนรใู้ นแผนการเรียนรู้ เพอ่ื ใหท้ ราบว่าในแตล่ ะขัน้ ตอนการ จัดการเรียนรดู้ ำเนนิ การอย่างไร จะใช้วธิ กี ารใดจึงจะเหมาะสม 2.3 กำหนดวิธกี ารวดั เคร่อื งมือวดั เกณฑ์การให้คะแนน และเกณฑก์ ารผา่ นผลการ เรียนรู้ที่คาดหวัง 2.4 กำหนดวธิ ีการวดั เคร่อื งมอื วัด เกณฑก์ ารให้คะแนน และเกณฑก์ ารผา่ นผลการ เรียนรู้ท่ีคาดหวงั ในแผนการเรยี นรู้ 3.4.7 การเขยี นกิจกรรมเสนอแนะ/ภาคผนวก กจิ กรรมเสนอแนะ เป็นการเสนอแนะกอ่ นการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ เช่นส่อื การเรียนรู้ กจิ กรรมการเรียนร้ทู ีต่ ้องลดหรือเพิ่ม หรือใช้แทนกนั ได้ เป็นข้อเสนอแนะของผู้เขียนแผนการเรยี นรูภ้ าคผนวก
32 เปน็ การรวบรวมเพิ่มเตมิ ในสง่ิ ทจ่ี ะทำให้การเรียนร้นู ั้นสมบูรณ์ขน้ึ เช่น เน้อื หาโดยละเอียด ใบความรู้ ใบงาน เพลง เกม แบบทดสอบ เครอ่ื งมอื วดั ประเมนิ ผลรายช่ือเอกสารอา้ งองิ ค้นควา้ เป็นตน้ 3.4.8 การเขยี นความเหน็ ผู้ตรวจของผ้บู งั คบั บัญชา/ผไู้ ดร้ บั มอบหมาย หลกั การตรวจสอบแผนการเรยี นรู้ ในการตรวจแผนการเรียนรู้ ควรเป็นขอ้ ตกลงของ โรงเรยี นว่า ครผู สู้ อนจะส่งแผนให้ผู้อำนวยการสถานศึกษาตรวจในวัน เวลาใด ในการตรวจแผนการเรียนรู้ ผตู้ รวจควรหลกี เลี่ยงคำว่า ตรวจแล้วสอนได้ ดงั นัน้ ผตู้ รวจควรพจิ ารณาใหค้ รอบคลุมในประเดน็ สำคญั และลง ความเห็นไปดว้ ยวา่ องค์ประกอบสว่ นใดของแผนมีความเหมาะสมดแี ล้ว องค์ประกอบสว่ นใดปร ะกอบของ แผนจะต้องปรบั ปรุงแก้ไขก่อนทจี่ ะนำไปใช้สอนจริงผู้อำนวยการสถานศึกษา ผู้ได้รบั มอบหมาย สามารถ เสนอแนะตัวอย่าง หรือแนวทางในการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ได้เพ่ิมเติม เมอื่ เหน็ ว่ากิจกรรมการเรียนรู้ท่ีเขียน ในตอนแรกไม่สมบูรณ์พอดังน้ันผูจ้ ัดกจิ กรรมการเรียนรู้อาจต้องพิจารณาปรับปรงุ กจิ กรรม ตามที่ผู้บริหาร เสนอแนะตามความเหมาะสม หรือความเปน็ ไปได้ เพราะฉะนัน้ ก่อนทีจ่ ะสง่ แผนการเรยี นรใู้ ห้ผบู้ ังคับบัญชา ตรวจครูผสู้ อนตอ้ งตรวจสอบ/ประเมนิ แผนกอ่ นว่า ได้เตรียมการเรยี นรู้/เขยี นสมบรู ณแ์ ล้วหรือไม่ซึ่งสา มารถ พจิ ารณาได้จากแผนการเรยี นร้นู ้นั มีองคป์ ระกอบครบถ้วน เหมาะสม มรี ายละเอยี ดในแตล่ ะองคป์ ระกอบ และ มคี วามสอดคล้องร้อยรดั กัน รวมทง้ั มีการเตรยี มเครอื่ งมืออำนวยความสะดวกในการจดั การเรยี นรู้ ที่ระบไุ ว้ใน แผนครบถว้ นล่วงหน้าก่อน 3.4.9 การเขยี นบันทกึ ผลหลงั การจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ (หลังสอน) บนั ทึกผลการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ เปน็ การบันทกึ หลังจากท่ไี ดจ้ ัดกิจกรรมการเรยี นรู้ ตามแผน แตล่ ะแผนเสรจ็ สิน้ ลงแลว้ โดยมหี ลกั การบันทึกใน 3 ประเดน็ ดังน้ี 1. ผลการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ (ผลการสอน) ท่ีเกิดกบั เด็กเปน็ อยา่ งไร เด็กมสี ่วนรว่ มใน กิจกรรมการเรียนรู้มากน้อยเพียงใด ผลงานทเ่ี กดิ ขนึ้ นา่ พอใจหรือไม่ นักเรยี นผา่ นผลการเรียนรู้ที่คา ดหวัง เท่าไร ต้องสอนซอ่ มเสริมใครบ้าง ค่าเฉล่ยี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นอยา่ งไรควรบอกเป็นปริมาณ เป็นตัวเลข และสามารถวัดได้ 2. ปญั หา/อปุ สรรค จะบันทกึ ในกรณีการเรียนรูไ้ ม่บรรลจุ ดุ ประสงค์ที่กำหนดไว้ใน แผน จะระบสุ าเหตวุ า่ เป็นเพราะอะไร ครนู ักเรยี น เวลาหรืออน่ื ๆ 3. ข้อเสนอแนะ/ แนวทางแก้ไข เปน็ การบนั ทกึ สืบเนอื่ งจากข้อ 2 เพอื่ ให้การจดั กิจกรรม การเรียนรู้บรรลเุ ป้าท่ีตง้ั ไว้ก็อาจเสนอแนะได้ว่า วิธใี นแผนการเรียนรู้ลกั ษณะน้ีสามารถนำ มาใช้ในกา รจัด กิจกรรมการเรียนรู้ในเรอื่ งอ่ืน ๆ ได้อกี 4. การหาประสทิ ธิภาพของเครื่องมือการหาประสทิ ธิภาพของเคร่ืองมือ หมายถงึ การนำ ส่ือหรอื เครือ่ งมอื ทสี่ ร้างขึ้นไปทดลอง (Try-out) กลา่ วคือ นำไปทดลองใชต้ ามขัน้ ตอนทก่ี ำหนดไว้ แล้วนำมา ปรบั ปรุงแก้ไขจนเสรจ็ สมบูรณ์ จึงนำไปทดลองจริง (Trial Run) เพอื่ ให้ได้ประสิทธภิ าพตามเกณฑ์ที่กำหน ด ไว(้ ชยั ยงค์ พรหมวงศ์. 2560 : 134-143) เกณฑ์ประสิทธภิ าพ หมายถงึ ระดบั ประสทิ ธิภาพของสอื่ /เครื่องมอื ที่จะช่วยให้ผู้เรียนเกิด การเรยี นรู้ หากสอ่ื /เครือ่ งมอื มีประสิทธภิ าพถงึ ระดับที่กำหนดแลว้ ส่อื /เครอื่ งมือน้ันย่อมมคี ณุ ค่าท่ีจะนำไปใช้ กบั นักเรยี นทั่วไปได้ เกณฑใ์ นการหาประสทิ ธภิ าพของส่ือ/เครือ่ งมือ จะนยิ มตงั้ เปน็ ตัวเลข 3 ลกั ษณะคอื 80/80 ,85/85 และ 90/90 ทง้ั น้ีข้นึ อยกั่บู ธรรมชาตขิ องวิชา และเนอื้ หาทนี่ ำมาสร้างส่ือน้นั ถ้าเปน็ วชิ าทค่ี ่อนข้างยาก กอ็ าจตั้งเกณฑ์ไว้ 80/80 หรือ 85/85 สำหรบั วชิ าทม่ี เี นอ้ื หางา่ ยกอ็ าจตงั้ เกณฑ์ไว้ 90/90 เป็นตน้ นอกจากนีย้ ัง
33 ตงั้ เกณฑ์ เปน็ ค่าความคาดเคล่ือนไว้เทา่ กับร้อยละ 2.5 นั่นคือ ถา้ ตง้ั เกณฑไ์ วท้ ่ี 90/90 เมื่อคำนวณแลว้ ค่าท่ีถือ วา่ ใชไ้ ด้คอื 87.5/87.5 หรือ 87.5/90 เป็นตน้ ข้ันตอนการหาประสิทธิภาพ การหาประสทิ ธภิ าพของส่อื มีข้นั ตอน ดังต่อไปนี้ 1. แบบเดี่ยว คือ ทดลองกับนักเรียน 1 คน โดยใช้เด็กอ่อน ปานกลาง เก่งคำนวณหา ประสทิ ธิภาพแลว้ ปรับปรุงให้ดีข้นึ โดยคะแนนท่ีได้จากการทดลองเดีย่ ว ผ้เู รียนจะมีคะแนนต่ำกว่าเกณฑ์มาก แตไ่ มต่ อ้ งวิตกเพราะเมือ่ ปรับปรุงแล้วกจ็ ะสงู ข้ึน 2. แบบกลุ่ม คือ ทดลองกับผู้เรียน 6-10 คน (โดยคละผู้เรียนท่ีเก่งกับออ่ น) คำนวณหา ประสิทธภิ าพแลว้ ปรบั ปรงุ คราวนีค้ ะแนนของผู้เรยี นจะเพ่มิ ข้นึ 3. ภาคสนาม คอื ทดลองกับผูเ้ รยี นท้งั ชัน้ 40-100 คน คำนวณหาประสทิ ธภิ าพแลว้ ปรับปรุง ผลลพั ธท์ ่ไี ดค้ วรใกล้เคยี งกับเกณฑ์ท่ีตั้งไว้ หากตำ่ จากเกณฑ์ไมเ่ กิน 2.5 ก็ยอมรบั หากแตกตา่ งกันมาก ผู้สอน จะตอ้ งกำหนดเกณฑ์ประสิทธภิ าพของสือ่ ใหม่ โดยยดึ สภาพความเป็นจรงิ เปน็ เกณฑ์ สมมุติว่า เม่ือทดลองหา ประสทิ ธิภาพของส่ือแลว้ ได้ 83.5/85.5 ก็แสดงว่า ส่ือนนั้ มีประสิทธภิ าพ 83.5/85.5 ซงึ่ ใกล้เคียงกับเกณฑ์ 85/85 ทต่ี ั้งไวแ้ ตถ่ ้าต้ังเกณฑ์ไว้ 75/75 เม่ือผลการทดลองเป็น 83.5/85.5 กอ็ าจเลอื่ นเกณฑ์ขึน้ มาเปน็ 85/85 ได้ ความจำเป็นต้องหาประสทิ ธภิ าพสือ่ กิดานันท์ มลทิ อง (2560 : 246-252) ไดก้ ล่าวถงึ ความจำเป็นในการหาประสิทธิภาพส่ือ ไว้ ดงั น้ี 1. เพือ่ ความมนั่ ใจวา่ สื่อท่ีได้สรา้ งขึ้นมีคณุ ภาพและมคี ุณค่า 2. เพ่ือความแนใ่ จวา่ ส่อื นน้ั สามารถทำใหก้ ารเรยี นรบู้ รรลุวตั ถปุ ระสงค์ไดอ้ ยา่ งแท้จริง 3. ถา้ ผลติ สื่อออกมาจำนวนมาก ๆ การทดลองหาประสทิ ธิภาพจะเป็นหลกั ปร ะกันว่า เมอื่ ผลิตออกมาแลว้ ใช้ได้ มฉิ ะนน้ั จะเสยี เงิน เสยี แรง เสยี เวลาเปล่า การยอมรับประสทิ ธภิ าพสอ่ื มี 3 ระดับ คือ 3.1 สูงกวา่ เกณฑ์ 3.2 เท่าเกณฑ์ 3.3 ตำ่ กวา่ เกณฑ์ แตย่ อมรับไดว้ า่ มีประสิทธภิ าพ 5. ดัชนปี ระสทิ ธผิ ล ดชั นปี ระสิทธิผล หมายถึง ตวั เลขทีแ่ สดงถึงความกา้ วหน้าในการเรยี นของผู้เรียนโดยการ เทยี บคะแนนท่ีเพ่ิมข้ึน จากคะแนนการทดลอง ก่อนเรียนกับคะแนนท่ีได้จากการทดสอบหลังเรียน และ คะแนนเต็ม หรือ คะแนนสงู สุด กบั คะแนนทไี่ ด้จากการทดสอบกอ่ นเรียนเมอื่ มกี ารประเมินส่ือการสอนที่ผลิต ขึ้นมา เรามักจะดูถงึ ประสิทธิผลดา้ นการสอน และการวัดผลประเมนิ ผลทางส่อื น้นั ตามปกติแล้วจะเป็น การ ประเมนิ ความแตกต่าง ของค่าคะแนนใน 2 ลกั ษณะคือ ความแตกตา่ งของคะแนนการทดสอบก่อนเรยี น และ คะแนนการทดสอบหลงั เรียนหรือเปน็ การทดสอบเกย่ี วกบั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ระหวา่ งกลุม่ ทดลอง และ กล่มุ ควบคุม ในทางปฏิบตั สิ ่วนมากจะเน้น ทผี่ ลความแตกตา่ งท่ีแทจ้ รงิ มากกวา่ ผลของความแตกต่างบางสถิติ แต่ในบางกรณีการเปรียบเทยี บเพียง 2 ลกั ษณะ กอ็ าจไมเ่ ปน็ การเพียงพอ เชน่ ในกรณีของการทดลองใช้ส่ือใน การเรียนการสอน ครั้งหนง่ึ ปรากฏว่า กลมุ่ ที่ 1 การทดสอบกอ่ นเรียน ไดค้ ะแนน 18%การทดสอบหลังเรียน ได้คะแนน 67% และกลมุ่ ท่ี 2 การทดสอบก่อนเรยี นไดค้ ะแนนจากการทดสอบทั้งสองกรณีมีพ้ืนฐาน (คะแนน ทดสอบกอ่ นเรยี น) แตกตา่ งกนั ซ่งึ จะส่งผลถึงคะแนนการทดสอบหลังเรียน ท่จี ะเพิ่มข้ึนได้สูงสุดของแตล่ ะกร ณี ได้เสนอ “ดชั นีประสทิ ธผิ ล” ซึ่งคำนวณได้จากการหาความแตกตา่ งของการทดสอบก่อนการทดลอง และการ
34 ทดสอบหลงั การทดลองด้วยคะแนนสูงสดุ ท่ีสามารถทำไดอ้ ยา่ งถกู ต้องแน่นอน ต้องคำนงึ ถึงความแตกต่า งของ คะแนนพ้ืนฐาน (คะแนนทดสอบก่อนเรียน) คะแนนท่ีทำได้สงู สดุ ดชั นีประสิทธิผลจะเปน็ ตัวบ่งชี้ถึงขอบเขต และประสิทธิภาพสูงสุดสื่อเวบบ์ (เผชิญ กจิ ระการ. 2561 : 1-3 ; อ้างองิ มาจาก Goodman. 2010 :30-34 ) ให้ความสนใจค่าเฉล่ียร้อยละของคะแนน ท่ีเรียนจากร้อยละของกลมุ่ ทดลองแล้วจึงหาร้อยละของกลุ่มควบคุม ผลทไี่ ดจ้ ะแสดงถึงร้อยละท่ีเพิ่มขนึ้ (หรือลดลง) เปรยี บเทียบคะแนนของกลุ่มควบคุมดัชนีปร ะสิทธิผล มี รูปแบบในการหาคา่ ดังนี้ E.I. = P2 – P1 100 – P2 เม่อื E.I หมายถึง ดชั นปี ระสทิ ธผิ ล P1 หมายถงึ ผลรวมของคะแนนทดสอบกอ่ นเรียน P2 หมายถงึ ผลรวมของคะแนนทดสอบหลงั เรียน 100 หมายถึง คะแนนสงู สดุ ท่นี กั เรียนทำได้ จำนวนเศษของ ( E1) จะเปน็ เศษท่ไี ด้จากการวัดระหว่างการทดสอบก่อนเรยี น (P1) และการ ทดสอบหลงั เรยี น (P2) ซ่งึ คะแนนทั้ง 2 ชนดิ (ประเภท) น้จี ะแสดงถึงค่ารอ้ ยละของคะแนนรวบสูงสุดท่ีทำได้ (100%) ตัวหารของดชั นี คือ ความแตกต่างระหวา่ งคะแนนทดสอบกอ่ นเรียน (P2 ) และคะแนนสูงสุด ที่ นกั เรยี นจะสามารถทำได้ ต่อมาเวบ็ บไ์ ดป้ รบั ปรุงแบบของการแสดงดัชนปี ระสทิ ธิผลใหม่ โดยการคณู ด้วย 100 เพื่อใหค้ ่าทอี่ อกมาเปน็ รอ้ ยละ ซึ่งชว่ ยใหด้ หู รอื ตคี ่าไดส้ ะดวกข้นึ บุญชม ศรสี ะอาด (2561 : 157-159) กล่าวถึงดชั นปี ระสิทธผิ ล (Effectiveness Index)ไว้ว่า เพื่อทราบวา่ สือ่ การเรยี นการสอน หรอื วิธีสอน หรอื นวัตกรรม ทีผ่ ้วู จิ ยั พัฒนาขนึ้ มีประสิทธผิ ล (Effectiveness) เพียงใดกจ็ ะนำสื่อพฒั นาขึ้นน้ัน ไปทดลองใชก้ บั ผเู้ รยี นท่อี ยู่ในระดบั ที่เหมาะสมกับท่ีไดอ้ อกแบบมา แล้วนำผล จากการทดลองมาวิเคราะห์หาประสทิ ธิผล หมายถงึ ความสามารถในการให้ผลอย่างชัดเจน แน่นอน ซ่งึ นิยม วเิ คราะหแ์ ละแปลผล 2 วิธี คอื วธิ ที ี่ 1 จากการพจิ ารณาผลของการพัฒนา วิธีนี้เป็นการเปรยี บเทยี บระหวา่ งจดุ เริ่มต้น กบั จุดสุดท้าย เช่น ระหว่างก่อนเรียนกบั หลัง เรยี น เพอ่ื เห็นพฒั นาการ หรอื ความงอกงาม ผศู้ ึกษาจะต้องสร้างเคร่อื งมอื วดั ในตวั แปรที่สนใจ ศกึ ษา เช่น แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น เป็นเครือ่ งมอื ทส่ี รา้ ง เพ่ือวัดผลการเรียนรหู้ ลงั จากเรยี นเรื่องนั้น หรือ หลงั การทดลองเรอ่ื งนน้ั ซง่ึ จะต้องสรา้ งใหค้ รอบคลุมจดุ ประสงค์ เนื้อหาสาระทีเ่ รยี น หรอื คณุ ลักษณะท่ีมุ่งวัด สรา้ งไวล้ ว่ งหนา้ กอ่ นจะเริ่มสอนหรือทดลอง กจ็ ะนำแบบทดลองหรือเครอ่ื งมอื ดังกล่าวมาวดั กับผู้เรียน เรยี กวา่ การทดสอบกอ่ นเรียนหรอื ก่อนทดลอง (Pre-test) และหลังจากเรยี นเร่ืองนั้นจบแล้วก็นำแบบทดสอบชุดเดิม (Post –test)นำผลการสอบทงั้ สองครั้งมาเปรียบเทยี บกนั โดยเขียนคะแนนหลงั เรียนไว้กอ่ น คะแนนกอ่ นเรียน จำแนกเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้ 1) การพิจารณารายบคุ คลและ 2) การพจิ ารณารายกลุ่ม ดงั ตัวอย่าง
35 ตวั อยา่ งบนั ทึกการเปรียบเทียบผลการทดสอบก่อนเรยี น (Pre-test) และหลงั เรยี น (Post –test) ผเู้ รยี น ผลการสอบ ผลการพฒั นา พริกไทย หลงั เรียน ก่อนเรียน 6 มะลิ 3 หอม 62 5 แตง 4 รวม 83 18 เฉลยี่ 4.5 83 62 28 10 7.0 2.5 จากตวั อย่างจะเหน็ ว่า ก่อนเรยี นทกุ คนมีคะแนนต่ำกวา่ หลังเรยี น โดยเฉลย่ี แลว้ กอ่ นเรียนได้ 2.5 คะแนน หลงั เรียนได้ 7.0 คะแนน แสดงวา่ สื่อที่ผูว้ ิจยั พัฒนาขึ้นช่วยให้ผูเ้ รียนพัฒนาโดยเฉลย่ี 4.5 คะแนน นับว่าไดม้ กี ารพฒั นาข้นึ อย่างชดั เจน โดยทว่ั ไปการพัฒนาส่ือวธิ กี ารสอน รูปแบบ การสอน หรอื นวัตกรรมต่าง ๆ มักมุ่งใช้ในกลุม่ อืน่ ๆ ห้องอื่น ๆ และในรุ่นหลัง ๆ ด้วย (มุ่งขยายผล) จึงต้องมีการวิเคราะห์ ทดสอบ สมมตุ ิฐาน โดยใช้สถติ ิอา้ งอิง วธิ ีที่ 2 จากการหาดชั นีประสิทธิผล การหาดัชนีประสทิ ธิผล(Effectiveness Index) กรณีรายบุคคล ตามแนวคดิ ของ ฮอฟแลนด์ (Hofland) จะให้สารสนเทศทีช่ ัดเจนดังน้ี ดัชนีประสทิ ธิผล = คะแนนหลงั เรยี น – คะแนนกอ่ นเรยี น คะแนนเตม็ – คะแนนกอ่ นเรยี น โดยทั่วไปการหาดชั นีประสิทธผิ ล มักหาโดยใชค้ ะแนนของกลุ่ม ซึ่งทำให้สตู รเปล่ยี นไปดงั น้ี ดชั นปี ระสทิ ธผิ ล = ผลรวมคะแนนทุกคน - ผลรวมคะแนนก่อนเรยี นทุกคน (จำนวนนักเรยี นxคะแนนเตม็ )- ผลรวมของคะแนนกอ่ นเรยี นทกุ คน ตัวอยา่ ง (จากตารางขา้ งบน) ผลการสอบของนักเรียนจำนวน 4 คน เปน็ ดงั น้ี ผลรวมของคะแนนหลังเรียนทุกคน เทา่ กบั 8+6+8+6 = 28 ผลรวมของคะแนนก่อนเรียนทุกคน เทา่ กับ 2+3+2+3 = 10 จำนวนนักเรียน x คะแนนเตม็ เทา่ กับ 4X10 = 40 ดงั น้นั ดัชนีประสิทธผิ ล = 40 – 10 = 18 = 0.60 28 – 10 30 − ดชั นปี ระสิทธิผลของเคร่อื งมือท่ีพัฒนาขึน้ เท่ากบั .60 แสดงว่า หลังการใชเ้ ครอื่ งมือทำให้ ผ้เู รยี นมคี ะแนนเพ่มิ ข้นึ ร้อยละ 60
36 6. ความพงึ พอใจในการเรยี นรู้ 6.1 ความหมายของความพึงพอใจ มอร์ส (ประสาท อิศรปรีดา. 2560 : 48 ; อ้างอิงมาจาก Morse. 2009 : 27) ได้ให้ ความหมายไว้ว่า ความพงึ พอใจหมายถึง ทกุ ส่งิ ทกุ อยา่ งท่สี ามารถทอนความเครยี ดของผู้ที่ทำงานใหล้ ดน้อยลง ถา้ เกดิ ความเครยี ดมาก จะทำใหเ้ กิดความไม่พอใจในการทำงานและความเครยี ดน้จี ะมีผลมาจากความต้องการ ของมนุษย์ เมอ่ื มนษุ ยม์ คี วามต้องการมากจะเกิดปฏิกิริยาเรียกรอ้ งหาวิธีตอบสนอง ความเครียดกจ็ ะลดน้อยลง หรอื หมดไป ความพงึ พอใจก็จะมากขนึ้ ประสาท อศิ รปรดี า (2560 : 95) กลา่ ววา่ ความพึงพอใจเปน็ ความรู้สกึ ส่วนตวั ของบุคคล ในการปฏิบัติงาน ซึ่งมคี วามหมายกวา้ งรวมไปถงึ ความพงึ พอใจสภาพแวดล้อมทางกายภาพดว้ ย การมีความสุข ที่ทำงานร่วมกับคนอืน่ ทเี่ ข้ากนั ได้ และมีทัศนคตทิ ด่ี ตี อ่ งานด้วย พรรณี ช. เจนจิต (2560 : 321) กลา่ ววา่ ความพงึ พอใจ หมายถงึ ความรสู้ ึกชอบหรือ พอใจท่มี ีต่อองค์ประกอบและสิ่งจูงใจในดา้ นต่าง ๆ ของงาน และผู้ปฏบิ ตั ิงานนัน้ ได้รับการตอบสนองควา ม ต้องการของเขาได้ สุชา จนั ทนเ์ อม (2560 : 389) ไดส้ รปุ ว่า ความหมายของความพงึ พอใจในการปฏิบัติงาน คอื ความรูส้ ึกชอบ ยินดี เต็มใจ หรอื เจตคติของบุคคลท่ีมตี ่องานที่เขาปฏบิ ัตคิ วามพงึ พอใจเกิดจา กการ ได้รับ การตอบสนองความต้องการ ทั้งด้านวตั ถุและจิตใจ ศลใจ วิบลู กจิ (สุนทร หลกั คำ. 2562 : 56 ; อ้างอิงมาจาก ศลใจ วบิ ูลจติ .2560 : 42) กล่าวว่า ความพึงพอใจ หมายถึง สภาพของอารมณ์บคุ คลที่มีต่อองค์ประกอบของงานและสภาพแวดล้อมใน การทำงานทสี่ ามารถตอบสนองตอ่ ความตอ้ งการของบุคคลนน้ั ๆ จากความหมายของความพึงพอใจ ที่มผี ู้ให้ความหมายไว้พอสรุป ไดว้ า่ ความพงึ พอใจ เป็น ความร้สู กึ นึกคดิ หรอื เจตคติของบคุ คลที่มีตอ่ การทำงาน หรือการได้ปฏิบัตกิ ิจกรรมนน้ั ในเชิงบวกดงั นัน้ ความ พึงพอใจในการเรียนรู้จกั หมายถงึ ความรู้สกึ พอใจ ชอบใจในการร่วมปฏบิ ัติกิจกรรมการเรียนรู้ และต้องการ ดำเนินกิจกรรมนน้ั ๆ จนบรรลผุ ลสำเร็จ 6.2 แนวคดิ ทฤษฎที ่ีเก่ียวกับความพงึ พอใจ ในการปฏบิ ัตงิ านใด ๆ กต็ ามการที่ผู้ปฏบิ ตั ิงานจะเกิดความพึงพอใจตอ่ การทำ งาน มาก หรอื น้อยน้นั ข้ึนอยู่กบั ส่ิงจูงใจหรือแรงกระตุ้นให้เกิดกับผปู้ ฏิบตั ิงานจึงเปน็ สิง่ ท่ีจำเปน็ เพอ่ื ให้การ ปฏิบัติงาน นัน้ ๆ เปน็ ไปตามวัตถปุ ระสงค์ที่วางไว้ จึงขอยกตัวอย่างนักการศึกษาทท่ี ำการศึกษาค้นควา้ และต้ังทฤษฎี เกี่ยวกบั แรงจงู ใจในการทำงาน ไวด้ ังนี้ มาสโลว์ (ศภุ สิริ โสมาเกตุ. 2560 : 50 ; อ้างองิ มาจาก Maslow. 2009 : 69-80) ไดเ้ สนอ ทฤษฎลี ำดบั ข้ันของความต้องการ (Hierarchy of Needs) นับวา่ เปน็ ทฤษฎีหนึ่งทไี่ ด้รบั กา รยอมรับอย่า ง กวา้ งขวาง ซึ่งต้งั อยู่บนสมมตฐิ านทว่ี ่า “มนุษยเ์ รามีความตอ้ งการอยู่เสมอไม่มีท่ีส้นิ สุดเมอ่ื ความต้องการได้รับ การตอบสนอง หรอื พงึ พอใจอย่างใดอย่างหน่ึงแลว้ ความต้องการส่งิ อ่นื ๆ ก็จะเกดิ มาอกี อยา่ งหนงึ่ อาจเกิดขึ้น ได้” ความต้องการของมนุษยม์ ลี ำดบั ขัน้ ดังน้ี 1. ความตอ้ งการทางดา้ นรา่ งกาย (Physiological Needs) เป็นความตอ้ งการพน้ื ฐานของ มนษุ ย์ เนน้ สิง่ จำเป็นในการดำรงชีวติ ได้แก่ อาหาร อากาศ ท่อี ยอู่ าศัย เครอ่ื งนุ่งหม่ ยารกั ษาโรคความตอ้ งการ พกั ผ่อน ความตอ้ งการทางเพศ 2. ความต้องการความปลอดภยั (Safety Needs) ความมั่นคงในชวี ิต ท้งั ที่เป็นอย่ปู จั จบุ นั และอนาคต ความเจรญิ ก้าวหน้า อบอนุ่ ใจ
37 3. ความตอ้ งการทางสังคม (Social Needs) เปน็ สิ่งจูงใจที่สำคญั ต่อเดก็ พฤติกรรมตอ้ งการให้ สงั คมยอมรับตนเองเปน็ สมาชิก ต้องการความเป็นมติ ร ความรักจากเพื่อนรว่ มงาน 4. ความต้องการมีฐานะ (Esteem Needs) มีความอยากเดน่ ในสงั คมมชี ื่อเสียงอยากให้ บุคคลยกย่องสรรเสรญิ ตนเอง อยากมีความเปน็ อิสรเสรีภาพ 5. ความต้องการที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต (Self-actualization Needs)เป็นความ ตอ้ งการในระดบั สงู อยากให้ตนเองประสบความสำเรจ็ ทุกอย่างในชีวิต ซงึ่ เปน็ ไปได้ยากในการ ดำ เนิน การ กจิ กรรมการเรียนรู้ ความพึงพอใจเป็นส่งิ ท่ีสำคญั ทีจ่ ะกระตนุ้ ใหผ้ ู้เรียนไดร้ ับมอบหมาย หรือต้องการปฏิบัติให้ บรรลตุ ามวัตถุประสงค์ ครูผู้สอนซึง่ ในสภาพปจั จบุ นั เป็นผู้อำนวยความสะดวก หรือใหค้ ำแนะนำปรึกษา จึง ตอ้ งคำนงึ ถึงความพงึ พอใจในการเรยี นรกู้ ารทำให้ผเู้ รียนเกิดความพึงพอใจในการเรียนรู้ หรอื การปฏิบัติงานมี แนวคดิ พืน้ ฐานที่ตา่ งกัน2 ลักษณะ คอื 1. ความพงึ พอใจนำไปสกู่ ารปฏิบตั งิ าน การตอบสนองความต้องการผู้ปฏบิ ัติงานจนเกิดความพึงพอใจ จะทำใหเ้ กดิ แรงจูงใจในการเพิ่มประสิทธิภา พ การทำงานที่สูงกว่าผู้ไม่ได้รับการตอบสนอง ทัศนะตามแนวคิดดังกล่าวสามารถแสดงดว้ ยภาพประกอบ ดังภาพประกอบ 3 (สมยศ นารกี าร. 2560 : 155) ภาพประกอบ 3 ความพงึ พอใจนำไปสู่การปฏบิ ัติงานที่มีประสิทธิภาพ จากแนวคดิ ดังกล่าว ครผู จู้ ดั การเรยี นรูท้ ่ตี ้องการใหก้ จิ กรรมการเรียนรู้ทีเ่ นน้ ผู้เรยี นเปน็ สำคัญ บรรลุผลสำเรจ็ จึงต้องคำนงึ ถึงการจัดบรรยากาศ และสถานการณ์รวมทง้ั สอื่ อุปกรณก์ ารเรียนรูท้ ่ีเอือ้ อำนวยต่อ การเรียน เพื่อตอบสนองความพงึ พอใจของผู้เรียน ใหม้ ีแรงจงู ใจในการทำกิจกรรมจนบรรลุตามวตั ถุประสงค์ ของหลักสูตร 2. ผลของการปฏบิ ตั ิงานนำไปสู่ความพึงพอใจ ความสมั พนั ธร์ ะหว่างความพงึ พอใจ และผลการปฏบิ ตั งิ านจะถูกเชื่อมโยงด้วยปัจจยั อ่ืน ๆ ผลการปฏบิ ตั งิ านทีด่ ีจะนำไปสู่ผลตอบแทนที่เหมาะสม ซึ่งในทสี่ ดุ จะนำไปสู่การตอบสนองความพึงพอใจ ผล การปฏิบัติงานยอ่ มไดร้ บั การตอบสนอง ในรปู ของรางวลั หรอื ผลตอบแทน ซ่ึงแบง่ ออกเป็นผลตอบแทนภายใน (Intrinsic Rewards) และผลตอบแทนภายนอก(Extrinsic Rewards) โดยผา่ นการรับรูเ้ กย่ี วกับความยุติธรร ม ของผลตอบแทน ซึง่ เป็นตวั บ่งชปี้ ริมาณของผลตอบแทนท่ี ผปู้ ฏบิ ตั งิ านไดร้ ับนน่ั คอื ความพงึ พอใจในงานของ ผู้ปฏิบัตงิ านจะถกู กำหนดโดยความแตกต่างระหวา่ งผลตอบแทนทีเ่ กิดขนึ้ จริง และการรับรูเ้ รือ่ งเกยี่ วกับควา ม ยุติธรรมของผลตอบแทนทีร่ บั รู้ แลว้ ความพงึ พอใจย่อมเกิดข้นึ (สมยศ นาวีการ. 2560 : 119) จากแนวคิดพ้นื ฐานดงั กลา่ ว เมอ่ื นำมาใชก้ ารจดั กิจกรรมการเรียนรู้ ผลตอบแทนภายในหรือ รางวลั ภายใน เปน็ ผลดา้ นความรู้สึกของผู้เรยี นทเี่ กดิ แกต่ ัวผู้เรยี นเอง เชน่ ความรูส้ กึ ต่อความสำเร็จ ที่เกิดขึ้น เม่อื สามารถเอาชนะความยุง่ ยากตา่ ง ๆ และสามารถดำเนินงานภายใตค้ วามยุง่ ยากทั้งหลายได้สำเร็จ ทำให้เกดิ ความภาคภูมใิ จ ความมนั่ ใจ ตลอดจนไดร้ บั การยกยอ่ งจากบุคคลอื่น สว่ นผลตอบแทนภายนอก เป็นรางวัลที่ ผู้อื่นจัดหามาให้มากกว่าทีต่ นเองให้ตนเอง เช่น การได้รับคำยกย่องชมเชยจากผู้จัดการเรียนรู้ พ่อแม่
38 ผปู้ กครอง หรอื แม้แต่การไดค้ ะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นในระดบั ทน่ี ่าพอใจผลตอบแทนทีไ่ ดร้ บั ความพึง พอใจของ ผู้ปฏิบตั ิงาน แรงจูงใจ การปฏบิ ัติงานทม่ี ี ประสทิ ธภิ าพ 7. ความรเู้ กี่ยวกบั การปลูกผักสวนครัว การปลูกพืชผักสวนครวั มีความสำคญั เปน็ อนั ดับแรกของชีวิตประจำวัน เพราะใชเ้ ป็นอาหาร ในครวั เรอื นไดด้ ี ถ้าปลกู มากมีเหลอื กจ็ ำหน่ายได้ และสามารถยดึ เปน็ อาชพี ได้ ขอใหม้ คี วามยดึ ม่นั ในธรรมชาติ มีความขยนั และอดทน การปลกู พชื ผกั สวนครวั มีหลักปฏิบตั ิ 5 ประการการเลือกเมล็ดพันธุ์ เมล็ดพันธุ์มี ความจำเปน็ ในการเร่ิมต้นในการเพาะปลูก จงึ ควรศึกษาเลอื กเมล็ดพันธุ์ท่ีดี แข็งแรง ไมเ่ ปน็ โรคงา่ ย คัดสรร แลว้ เกบ็ รักษาไวอ้ ย่างดีก่อนปลูกการเตรยี มดนิ คุณภาพของดิน จะเป็นตวั กำหนดการเจรญิ เตบิ โตของพชื การ ใหอ้ าหารแก่ดนิ ด้วยปุ๋ยชีวภาพจะทำให้ดินมีชวี ิตและชว่ ยย่อยอินทรยี ์วัตถุในดิน ให้ดินอุดมพร้อมแก่การ เพาะปลูกแปลงใหม่ (ดินไม่สมบูรณ์)พืชผกั สวนครัวที่นิยมปลกู ในประเทศไทย มีอยูห่ ลายนดิ แต่ละชนิด นำมาใชป้ ระโยชน์ต่าง ๆ กันอาจจะแบง่ ประเภทของพืชผักสวนครวั เปน็ 4 ประเภท คอื (กรมวชิ าการ. 2562 : 9-10) 1. ประเภทกนิ ใบและดอก เช่น กระเพา ผักชี คะน้า กะหลำ่ ปลี กะหลำ่ ดอก เปน็ ต้น 2. ประเภทกนิ ฝกั และผล เชน่ พรกิ มะเขอื มะเขอื เทศ ถ่ัวฝกั ยาว ข้าวโพด เปน็ ต้น 3. ประเภทกนิ ยอดหรอื ลำต้น เชน่ หอม กระเทียม ขา่ ตะไคร้ ผักบงุ้ ตำลงึ เป็นต้น 4. ประเภทกินรากหรอื หัว เช่น ขิง มันเทศ เผือก มัน เปน็ ตน้ วิธีการปลูกพชื ผกั สวนครัว 1. การเตรียมแปลงปลกู 2. การเลอื กเมลด็ พันธุ์ 3. ทดสอบการงอกของเมล็ด 4. การปลูกผัก 5. การสงวนความชมุ่ ชื้นในดนิ การบำรุงรักษา 1. การรดน้ำพรวนดิน 2. การใสป่ ุ๋ย 3. การกำจดั วชั พืช 4. การปอ้ งกันและกำจัดแมลง การเก็บเกย่ี วและการเก็บรกั ษาผลผลิต การดูแลรักษา ผกั เกือบทกุ ชนดิ เพาะกล้าก่อนปลูกจะดี เพราะจะทำให้ร่นระยะเวลาในการปลูกสา มารถ ปลูกได้หลายรนุ่ และดูแลรักษางา่ ยยกเว้นพืชผักที่ย้ายกลา้ ไมไ่ ด้ เช่น แครอท หวั ผักกาด การปลกู ด้วยกลา้ ทำ ให้ประหยัดเมล็ดพันธุ์ได้ด้วย ดีกวา่ ปลกู ด้วยเมล็ดแล้วต้องถอนท้ิงเม่ือผกั แนน่ เกินไป ปกตจิ ะใส่ปุ๋ยแห้งคร้ัง เดยี ว แต่ถ้าผกั มีอายยุ าวเกนิ 50 วนั ใหส้ ังเกตว่าผักไม่สวย ไมส่ มบรู ณก์ ็ใสป่ ุ๋ยแหง้ ไดร้ ะหวา่ งแถว ไมใ่ ห้ถูกต้น พืชผัก การเตรยี มแปลงดี ผกั จะเจริญเตบิ โตเสมอกนั ทั้งแปลง ผักตน้ ใดมีโรคให้งดนำ้ และรดดว้ ย EM สด ขยายผสมนำ้ 50 เทา่ ท้ิงไว้ 24 ช่ัวโมงจึงให้น้ำตอ่ ผักมีหัวให้ขดุ แปลงลึก ๆ แหวะท้องหมูบอ่ ย ๆ และใส่ป๋ยุ แห้ง ผสมให้ดี การรดน้ำควรใช้บวั รดนำ้ รเู ล็ก ๆ ใหเ้ ป็นฝอยได้มากเทา่ ไรย่ิงดี ไมค่ วรรดนำ้ ด้วยสายยางที่น้ำพุง่ แรง ๆ จะทำให้ผักนอนราบ โดยเฉพาะผกั กาดขาวจะห่อใบยาวขึ้นหากถูกนำ้ ซัดแรง ๆ ทกุ วนั พน่ ดว้ ยสารไล่ศัตรูพืช หรอื สารป้องกันเชื้อรา ทกุ ๆ 3 วนั (ช่อขวญั วงศส์ วุ รรณ. 2560 : 85-94)
39 การเก็บผลผลติ ทไี่ ด้ การเกบ็ เกี่ยวผกั ควรเก็บในเวลาเชา้ จะทำให้ได้ผักสดรสดี และหากยงั ไมไ่ ด้ใช้ ให้ล้างให้ สะอาด และนำเกบ็ ไว้ในตเู้ ยน็ สำหรับผกั ประเภทผลควรเกบ็ ในขณะท่ีผลไม่แกจ่ ัดจะได้ผลท่ีมีรสดีและจ ะทำ ให้ผลดก หากปล่อยให้ผลแก่คาต้น ต่อไปจะออกผลนอ้ ยลง สำหรบั ในผกั ใบหลายชนดิ เชน่ หอมแบง่ ผักบุ้งจีน คะนา้ กะหล่ำปี การแบ่งเก็บผักทีส่ ดออ่ นหรือโตไดข้ นาดแล้ว โดยยังคงเหลอื ลำต้นและรากไวไ้ มถ่ อน ออกทั้ง ต้น รากหรอื ตน้ ท่เี หลอื อยูจ่ ะสามารถงอกงาม ใหผ้ ลได้อกี หลายครั้ง ทงั้ นจ้ี ะต้องมกี ารดูแลรกั ษาให้น้ำ และปุ๋ย อยู่ การปลูกพชื หมนุ เวยี นสลบั ชนิดหรอื ปลกู ผกั หลายชนิดในแปลงเดียวกัน และปลกู ผักที่มีอายุเก็บเก่ียวส้ัน บา้ งยาวบ้างคละกันในแปลงเดียวกนั หรือปลูกผักชนิดเดยี วกันแต่ทยอยปลกู ครั้งละ 3-5 ต้น หรือประมาณว่า พอรบั ประทานได้ในครอบครัวในแต่ละครง้ั ที่เกบ็ เกยี่ ว กจ็ ะทำให้ผูป้ ลูกมผี ักสดเกบ็ รับประทานได้ทุกวนั ตลอดปี (สุนทร เรอื งเกษม. 2560 : 23-26) ความร้เู กี่ยวกบั การปลกู ผักปลอดสารพษิ ผกั ปลอดสารพิษ อรสา ดิสถาพร (2562 : 12-15) ได้ให้ความหมายเกย่ี วกับชนิดของผกั ปลอดสาร พิษว่า ปัจจุบนั มีการแบ่งกลมุ่ ผัก คอื ผักปลอดภัยจากสารพิษ ได้แก่ ผักที่ปลกู โดยทวั่ ไป มีการใช้ปยุ๋ เคมี ยาป้องกัน และกำจัดศัตรูพืชแต่จะต้องรอใหส้ ารเคมเี หล่านั้นสลายไปกอ่ นจึงจะทำการเก็บเก่ียวได้ ซึง่ อาจจะยังมสี ารเคมี ตกคา้ งอย่บู า้ ง แตต่ อ้ งไมเ่ กนิ คา่ MRL (Maximum Residue Limit) ตามท่ีองคก์ ารอนามัยโลกกำหนด จึงจะ สามารถบริโภคได้อยา่ งปลอดภัย ขิณรัตน์ ค้วิ สุวรรณวงศ์ (2561 : 35) ไดใ้ หค้ วามหมายของผกั ปลอดสารพิษไว้ว่า \"ผัก ปลอดสารพษิ \" คอื ผักท่ีปลูกขนึ้ มาโดยท่ที กุ กระบวนการไมแ่ ตะต้องสารเคมชี นดิ ใด ๆโดยเดด็ ขาดและส้นิ เชิง โรงเรียนวัดศรีสุข ได้ให้ความหมายของผกั ปลอดสารพษิ ไว้วา่ ผกั ปลอดสารพิษหมายถึง ผักท่ปี ราศจากสารพษิ ตกค้าง (Pesticide Residue Free) โดยหลักการน้ีตอ้ งเพาะปลูกในพืน้ ดินท่ีปราศจาก สารเคมี โดยจะใช้วิธีธรรมชาติในการเพาะปลูก และต้องไดร้ ับการดูแลจากเกษตรกรเป็นอย่างดี แต่อีก ความหมายหน่ึง ผักปลอดภยั สารพิษน้ัน รวมถึงผักท่ียงั คงมีสารพิษตกค้างปนอยูบ่ า้ ง แตไ่ ม่เกิน ค่า MRL (Maximum Residue Limit) ซึง่ เป็นเครื่องมือตรวจระวังระดับของสารพิษตกค้างทกี่ ำหนดโดยองค์การอนามัย โลก สำนกั งานมาตรฐานเกษตรอินทรยี ์ (มกท.) (2562 : 6) ได้ใหค้ วามหมายของผักปลอดภัย จากสารพษิ ไว้วา่ ผักปลอดภยั จากสารพิษ หมายถึง ผลผลติ พชื ผักท่ีไม่มีสารเคมีป้องกันและกำจัดศัตรูพืช ตกค้างอยู่ หรือมีตกค้างอยู่ไม่เกินระดบั มาตรฐานที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดไวใ้ นประกาศกระทรวง สาธารณสุข ฉบับท่ี 163 พ.ศ. 2562 ลงวนั ที่ 28 เมษายน 2562 เรอ่ื ง อาหารที่มีสารพษิ ตกค้างการผลิตพืชผัก ปลอดภัยจากสารพิษ เป็นทางเลือกหนึ่งท่ีสามารถเลอื กเปน็ กจิ กรรมฟ้ืนฟูเกษตรกรหลังการเก็บเกี่ยว ให้มี รายได้เพ่มิ ขึน้ ซ่ึงพืชผักเปน็ พืชอาหารทค่ี นไทยนิยมรับประทานกนั มาก เพราะมีคุณคา่ อาหารวิตามินและแร่ ธาตทุ เี่ ป็นประโยชน์ตอ่ รา่ งกาย นอกจากน้ปี ระชาชนท่วั ทกุ ภาค นยิ มบรโิ ภคผกั สด ๆ กบั อาหารพ้ืนเมือง เช่น ลาบ แกงอ่อม เปน็ ต้น ปจั จุบันมี การผลิตผกั ปลอดภยั จากสารพิษยงั ไม่เพยี งพอ ไมต่ ่อเนอ่ื ง ไมห่ ลากหลายทั้งนผ้ี ู้ผลิตขาด ความรูค้ วามเข้าใจทกั ษะในการใช้เทคโนโลยี และภูมิปญั ญาตามสภาพแวดลอ้ มในฤดูกาลแตกตา่ งกนั ดังน้ัน เพื่อให้บังเกิดผลดตี ่อเกษตรกรผูผ้ ลติ จนถึงผู้บริโภค และสิ่งแวดล้อมในชมุ ชน จึงมีขั้นตอนการจัดการ กระบวนการผลิตผกั ปลอดภัยจากสารพิษ อยู่ 9 ขัน้ ตอน คือ (ขิณรตั น์ คว้ิ สวุ รรณวงศ์. 2561 :35-38)
40 1. การเตรยี มดนิ ก่อนเพาะกล้า/หยอด/ปลกู เรม่ิ กิจกรรมน้ี เกษตรกรตอ้ งตรวจสอบกอ่ น วา่ \"ดนิ มคี วามเป็นกรดเป็นดา่ ง จำนวนเท่าไหร่\" ตอ่ จากน้นั จดั หาวสั ดุการเกษตร ใส่ปรับปรงุ บำรุงดินใหอ้ ดุ ม สมบรู ณเ์ หมาะสมการเพาะกล้า หรอื หยอดเมล็ด หรอื ย้ายกล้าปลกู วสั ดุการเกษตรทใี่ ช้ มีดงั นี้ 1.1 ปุ๋ยอินทรยี ์ ได้แก่ ป๋ยุ หมัก ปุ๋ยคอก ปุ๋ยพืชสด อัตรา 1-3 ตน้ ตอ่ ไร่ 1.2 ปูนขาวหรอื สารโดโลไมท์ อัตรา 200 กโิ ลกรมั ต่อไร่ 1.3 เช้อื ราไตรโครเดอรม์ ่า ทผี่ สมกบั :รำออ่ น;ปยุ๋ อนิ ทรีย์ชวี ภาพในสดั สว่ น1 : 5 : 40 ใชอ้ ตั รา 160 กิโลกรัมต่อไร่ ซึง่ ควรใสป่ ุ๋ยอนิ ทรีย์คลุกเคลา้ ก่อน ตอ่ มาเปน็ ปูนขาวหรอื สารโดโลไมทใ์ ชน้ ำ้ รด ทนั ที ส่วนการใชเ้ ช้ือราไตรโครเดอร์มา เหมาะกบั พืชผกั ทเ่ี ป็นโรครากและโคนเนา่ โรคเน่าคอดนิ ระยะกล้าได้ พชื ผักตระกูลกะหล่ำ ตระกูลพริก-มะเขอื เป็นตน้ 2. การเตรยี มเมลด็ พนั ธก์ุ ่อนเพาะกล้า/หยอด ขัน้ ตอนตอ่ มาเกษตรกรนำเมล็ดพันธทุ์ ีจ่ ะ เพาะกล้าหรือหยอดเมล็ดหอ่ ด้วยผา้ ขาวบาง แช่นำ้ อุ่นทอี่ ุณหภูมิ 50 - 55 องศาเซลเซียส นาน15 - 30 นาที หลงั จากนั้น ใหน้ ำเมลด็ ที่แช่ผึ่งไวท้ ่ีร่มจนสะเดด็ นำ้ นำไปหวา่ นเพาะกลา้ หรอื หยอดแปลงทีเ่ ตรียมไว้สำหรับการ ปฏิบัตติ ามข้นั ตอนนี้เพ่อื ควบคุมเชอ้ื ราทตี่ ิดมากับเมล็ดพันธ์ุ นอกจากน้ยี งั กระตุ้นใหเ้ มล็ดพนั ธุง์ อกสมำ่ เสมอ 3. การเพาะกลา้ /การหยอด/การปลูก การเจรญิ เติบโตในพืชผกั มรี ะยะการพัฒนาจากระยะหน่ึงไปอีกระยะหน่งึ มคี วาม แตกต่างกนั ตงั้ แตก่ ารเพาะกล้าจนถงึ การเก็บผลผลิต สามารถจำแนกการขยายพันธ์ไุ ด้ 4 ประเภท 3.1 ประเภทเพาะเมลด็ แลว้ จึงยา้ ยปลูก เช่น มะเขือเทศ กะหล่ำปลกี ะหลำ่ ดอก คะนา้ ฮ่องกง มะเขือมว่ ง ผกั กาดเขียวปลี บลอ็ กคอรี่ 3.2 ประเภทหวา่ นเมลด็ แล้วลงแปลงได้เลย เช่น ผักชี ผักสลดั ผกั คนึ่ ฉ่าย ผกั บุ้ง 3.3 ประเภทหยอดเป็นหลุม เชน่ มะระ ถั่วลนั เตา บวบเหลีย่ ม ถ่ัวฝกั ยาว 3.4 ประเภทใช้สว่ นหัว/ตน้ /ราก/ลูก ปลกู เชน่ ลูกมะเขอื เครือ (ไชโยเต้) หอมแบ่ง กระเทยี ม ตะไคร้ ขา่ ขงิ ชะอม 4. การใหน้ ำ้ คุณภาพของพืชผัก ประเดน็ หน่งึ ท่ีสำคัญ คอื การให้นำ้ ให้นำ้ มากเกนิ กแ็ ฉะ ใหน้ อ้ ยเกนิ ก็แห้งทำให้พืชผกั ชะงกั การเจรญิ เติบโต ผลผลติ ไม่มีคุณภาพ ถ้าเตรียมดินไมด่ ี การใหน้ ้ำ จะทำให้ ผวิ หนา้ ดนิ แขง็ ขณะให้นำ้ น้ำจะไหลลงขอบข้างแปลง เนอื้ ดนิ อุ้มนำ้ ไม่ดีการระบายนำ้ และอากาศไม่ดีก็อาจทำ ใหพ้ ืชผกั การเจรญิ เติบโตชะงกั แต่อย่างไรกต็ ามเกษตรกรต้องม่ันพรวนดนิ และเพิ่มปุ๋ยอินทรียห์ ลังจากพรวน ดิน เกบ็ วัชพชื เสรจ็ จะชว่ ยให้ผลผลติ มีคุณภาพข้นึ ซ่ึงส่วนใหญเ่ กษตรกรมีการให้นำ้ หลายแบบคือ 4.1 ปลอ่ ยนำ้ เข้ารอ่ งแปลง วธิ กี ารน้ีเปน็ การให้น้ำในการปลกู กระเทยี มหอมแบง่ เป็นตน้ 4.2 เดินหาบบัวรด การให้นำ้ แบบน้ีเกษตรกรค่อนข้างจะแข็งแรง เป็นการออกกำลัง ไปด้วย จึงมีพลานามยั สมบรู ณ์ เปน็ การให้น้ำแก่พืชผักทเี่ หมาะสม 4.3 ใช้สายยางฉีด การใหน้ ้ำแบบน้ี ผิวหนา้ จะแข็งแรงต้องม่ันพรวนดิน จะทำให้ พืชผักเจรญิ เตบิ โตดแี ตจ่ ะไมส่ ะดวกในการนำสายยางเข้าในแปลง บางครงั้ ทำใหต้ น้ พชื ผกั ล้ม 4.4 ให้แบบหวั สปรงิ เกอร์ การใช้วิธีการนค้ี ่อนข้างจะมีปญั หาเรอ่ื งวชั พชื ซง่ึ วัชพืชจะ เจรญิ หรืองอกแขง่ กบั พืชผักทป่ี ลกู ในแปลง เกษตรกรต้องขยนั ถอนวชั พชื หรือกำจัด 5. การให้ปุ๋ย พืชผักมคี วามต้องการปุ๋ยเพื่อส่งเสริมให้ส่วนต่าง ๆ ของพืชผักพัฒนาให้มี คุณภาพตามตลาดตอ้ งการ ปุ๋ยท่พี ชื ผกั ได้รบั มาจากธรรมชาติเปน็ สว่ นใหญถ่ ึงจะดีตอ่ การผลิตผกั ใหย้ ่ังยนื เพรา ะ
41 ปยุ๋ ทีผ่ ลติ ตามธรรมชาตจิ ะช่วยยืดอายขุ องการใช้ เพราะสภาพดนิ จะไม่ค่อยเป็นกรดการให้ปยุ๋ จำนวน 2 ครั้ง คือ 5.1 การใสป่ ุ๋ยรองพ้นื ขณะมีการเตรยี มดนิ เพาะกล้า/หยอด/ยา้ ยปลกู การใส่ปุ๋ยร องพื้น เพื่อใหด้ ินอุดมสมบรู ณ์ ส่วนใหญใ่ ช้ปยุ๋ อินทรียช์ ีวภาพ หรอื ปุ๋ยหมักจากพืช ทำให้ดินมกี ารเกาะยึดกนั หลวม ๆ สง่ ผลให้มกี ารระบายนำ้ ดี การระบายอากาศระหว่างเมด็ ดนิ หรอื เนอ้ื ดินดีสง่ เสริมการเกิดเชื้อจุลนิ ทรียใ์ นดิน ท่ีมี ประโยชน์เพิ่มข้ึน ลดการเกดิ โรคจากเชอ้ื ราในดิน 5.2 การใสปุ๋ยบำรงุ การใส่เพอ่ื ให้พชื ผกั มีการเจริญเตบิ โตทางใบ/ลำตน้ /ดอก เต็มท่ีมี คุณภาพ ซ่ึงปุย๋ บำรงุ เป็นการเพิ่มธาตุอาหารเสริม/รอง ให้กับใบพืชผกั โดยเกษตรกรสามารถเตรียมจา กการ หมกั พชื หรอื หอยเชอรห่ี มกั ทงิ้ ไว้ จากนั้นสกดั เป็นปยุ๋ นำ้ ชีวภาพ ใช้อตั ราส่วนทเ่ี หมาะสมฉดี พ่นพืชผัก ช่วยลด ต้นทนุ การผลติ ได้ 6. การจดั การศตั รูพชื ผักแบผสมผสาน กิจกรรมนี้เมอื่ พืชผักมกี ารเจริญเติบโตจ ะมีศัตรูพืช ศตั รธู รรมชาตเิ ขา้ มาอาศยั ปริมาณมากนอ้ ยข้ึนอยกู่ บั สภาพแวดล้อม ดังนั้นเกษตรกรตอ้ งเลอื กวธิ ีการจัดการ ศตั รพู ืชผักแบบผสมผสาน ซึ่งมลี ำดับข้ันตอนปฏบิ ตั ดิ งั น้ี 6.1 เกษตรกรเข้าแปลงตดิ ตามสถานการณแ์ ละบันทกึ ข้อมลู สิ่งต่อไปนจ้ี ำนวน 2 ครั้ง/ สปั ดาหอ์ ยา่ งสมำ่ เสมอ ตงั้ แต่กล้าจนเก็บผลผลติ คอื 6.1.1 การเจริญเติบโตพืชผกั 6.1.2 ศัตรูพชื ผัก/ศัตรธู รรมชาติ 6.1.3 สภาพแวดลอ้ ม 6.2 วิเคราะหข์ อ้ มูลและกำหนดทางเลือก การจัดการศัตรูพชื ผัก/การจดั การศัตรูธรรมชาติ/การจัดการสภาพแวดลอ้ ม/การจัดการ พชื ผัก ตามวธิ กี ารดงั น้ี 6.2.1 วธิ เี ขตกรรม คอื การดัดแปลงสภาพแวดลอ้ ม ใหเ้ กดิ ความไม่เหมาะสม ตอ่ การ ดำรงชวี ิตและขยายพนั ธ์ุของศัตรพู ืชผัก ไดแ้ ก่การจดั การนำ้ การตัดวชั พืชการพรวนดิน การเก็บ เผาทำลาย การยกแปลงให้สูง (ฤดฝู น) การทำรอ่ งระบายนำ้ การปรบั ปรุงดนิ 6.2.2 วธิ กี ล คือ การลดปรมิ าณศตั รพู ืชผกั โดยการดกั ลอ่ การกรีดขวางการทำลาย ไดแ้ ก่ การใช้ซาแรนดำคลุมแปลง (ฤดรู อ้ น) การใชพ้ ลาสตกิ คลมุ แปลง การใช้กับดักเหลอื งทากาวเหนยี ว 6.2.3 วธิ ีกายภาพ คอื การลดปริมาณศัตรูพืชผัก โดยใช้ปัจจัยทา งด้าน กา ยภา พ ไดแ้ ก่ การใช้แสงไฟ การใชค้ วามรอ้ นจากพลังงานแสง 6.2.4 วิธีชวี ภาพ คือ การใชป้ ระโยชน์จากศัตรูธรรมชาติซึ่งประกอบด้วยตัวห้ำ ตัว เบยี น และเช้ือโรคปฏิปักษเ์ พื่อควบคุมศัตรูพืชผกั ให้อยรู่ ะดบั ต่ำ ไดแ้ ก่มวนพิฆาต มวนเพชฌฆาต แมงมมุ แตน เบียนอะพานทเี ลส เชือ้ แบคทีเรียบีที เชอ้ื ไวรัสเอน็ พวี ไี ส้เดอื นฝอย สะไตรเนอร์นมี ่า 6.2.5 วิธใี ชส้ ารสกัดธรรมชาติจากพืชสมุนไพร คอื การลดปริมาณของศัตรูพืชผัก โดยใชส้ ารเคมสี กัดได้ธรรมชาติจากพืชสมนุ ไพร ซึ่งมคี ณุ สมบตั ิ เป็นสารไล่ สารยับยั้งการกนิ อาหารและเป็น สารฆา่ ไดแ้ ก่ สะเดา (สะเรยี ม) สาบเสอื ยาสูบ ตะไครห้ อม ว่านน้ำ 6.2.6 วธิ ีใชส้ ารเคมี คือ การใช้สารเคมีที่สังเคราะห์เพื่อควบคุมศตั รูพืชผักสำหรับ วธิ ีการนต้ี อ้ งเลือกเปน็ วิธกี ารสุดท้ายและใช้ควบคมุ ศัตรพู ืชอยา่ งถกู วธิ แี ละปฏิบัติตามฉลากขา้ งภา ชน ะอย่า ง เครง่ ครัด
42 7. การขึ้นรหัสทะเบยี นผู้ผลิต/การตรวจวิเคราะห์หาสารเคมีตกค้าง/การ รับร องคุณภาพ ผลผลิต หลังจากมีการจัดการศัตรูพืชผัก อย่างต่อเนื่องและอายุพืชผักก็ใกลเ้ ก็บเกีย่ วสู่ตลาด จำหน่าย เกษตรกรตอ้ งสร้างความมนั่ ใจให้กับผู้บริโภค คือ 7.1 การข้ึนทะเบียนผู้ผลิต หมายถึง เลขรหัสประจำตัวเกษตรผู้ผลิตติดต่อขอขึ้นได้ที่ ศูนย์บรกิ ารและถ่ายทอดเทคโนโลยีประจำตำบลพืน้ ท่ผี ลติ ผักปลอดภยั จากสารพิษ 7.2 การตรวจวิเคราะหก์ ารสารเคมีตกค้าง หมายถึง คณะทำงานส่งเสริมกา รผลิตพืช ปลอดภัยจากสารพิษ และคณะกรรมการฝ่ายตรวจรับรองคุณภาพผลผลิต ดำเนนิ การตรวจหากลุ่มสาร เคมี ออร์กาโนฟอสเฟส และคาร์บอเมต จากชดุ ตรวจจีที และสุ่มตรวจจากแหล่งการผลิต หรอื จากตลาดจำหน่าย ผักปลอดภยั จากสารพิษ 7.3 การรับรองคณุ ภาพผลผลติ หมายถงึ คณะทำงานส่งเสริมการผลิตพืชผักปลอดภัย จากสารพษิ และคณะกรรมการฝ่ายตรวจรับรองคุณภาพผลผลิต รบั รองและควบคุมสัญลักษณ์ผลผลิตปลอดภัย จังหวดั เชยี งราย ที่กำกบั อยภู่ าชนะคกู่ บั ผลผลิตผักปลอดภัยจากสารพิษและเลขรหสั ทะเบียนเกษตรกรผู้ผลิต 8. การเก็บ-การคัดเลือกมาตรฐาน/การบรรจุ-การขนสง่ ผลผลิต เม่อื ผา่ นขน้ั ตอนการตรวจสุ่ม วเิ คราะหม์ าแลว้ ผลผลติ ยังอยู่ในแปลง คาดวา่ อกี 7 วัน จะเกบ็ เกย่ี ว ข้นั นเ้ี กษตรกรตอ้ งเข้าใจว่าการจัดการ หลังการเกบ็ เกย่ี ว จะตอ้ งทำอยา่ งไร ผลผลติ เก็บมาแล้วมผี ลกระทบน้อยที่สุด ตอ้ งคำนึงถึง 8.1 การเกบ็ -การคัดเลือกมาตรฐานผลผลิต หมายถงึ เกษตรกรคัดเลอื กเก็บผลผลิตตา ม รูปทรง ขนาด น้ำหนกั สี หรอื อนื่ ๆ ตามข้อตกลงกับตลาดรับซ้ือ 8.2 การบรรจุ-การขนส่งผลผลิต หมายถงึ การจัดทำวัสดภุ าชนะมเี ลขรหัสทะเบียนผู้ผลิต กำกบั ผลผลิตผักปลอดภยั จากสารพษิ ขนสง่ ไปตลาดจำหน่ายใหผ้ ู้บริโภคมนั่ ใจ 9. การตลาด เป็นการจัดการรวบรวมและนำผลผลิตผักปลอดภัยจากสารพิษไปสู่ตลาด ประกอบดว้ ย ผู้บริโภคชน้ั ต่างๆ คือ 9.1 ตลาดเครือขา่ ยในท้องถ่ิน หมายถึง ผู้บริโภคและสถานที่การผลิตอยู่ในท้องถนิ่ เดียวกัน 9.2 ตลาดเครือขา่ ยต่างทอ้ งถิน่ หมายถึง สถานที่การผลิตไมอ่ ยใู่ นพืน้ ท่ขี องผบู้ รโิ ภค การปลูกผกั ปลอดสารพษิ ผักปลอดสารคืออะไร ผักปลอดสาร คือ ผกั ที่ปลกู โดยไมใ่ ช้สารเคมี เช่น ไม่ใช้ปยุ๋ วทิ ยาศาสตร์ ไมใ่ ชย้ าฆา่ แมลง และไม่ใช้ยากำจัดวัชพืช บางทกี ็เรียกวา่ ผักอนิ ทรีย์หรือปลูกผักแบบธรรมชาติ ปัจจุบันผักที่เราซื้อจาก ท้องตลาดมารับประทาน สว่ นมากแลว้ จะเป็นผักท่ีปลูกโดยใชป้ ุ๋ยวิทยาศาสตร์และยาฆา่ แมลงแทบท้ังน้ัน ฉะนัน้ ผกั เหลา่ นีจ้ ึงเป็นอนั ตรายต่อร่างกายอยา่ งมากถา้ นำมารับประทานโดยไมม่ ีการล้างทำความสะอาด อย่าง ดีทำไมตอ้ งปลูกผักปลอดสาร 1. เพอ่ื ใหม้ นั่ ใจว่าผกั ทเ่ี ราปลกู เปน็ ผกั คุณภาพดีไม่มีสารพษิ และไม่ก่อใหเ้ กดิ อันตรายตอ่ ร่างกายไว้บริโภคเอง 2. ลดคา่ ใชจ้ า่ ยในครัวเรอื น โดยการปลกู ผักต่างๆที่หลังบ้าน ผกั สว่ นมากแล้วจ ะปลูกง่าย โดยเฉพาะผักพื้นเมือง ซึ่งแทบจะไม่ต้องดูแลเลย 3. เพ่มิ คณุ ภาพชีวิตและส่งิ แวดลอ้ ม เม่อื เราใชส้ ารเคมี เช่น ยาฆา่ แมลงและปยุ๋ วทิ ยาศาสตร์ จะมผี ลตกคา้ งต่อดิน และเป็นผลเสยี ต่อน้ำ อากาศ และระบบนิเวศน์ แมลงท่ีมปี ระโยชน์ก็จะตายจา กยาฆ่า แมลง เช่น ไส้เดอื น แมงมุม และผ้ึง เป็นตน้
43 4. เปน็ การใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ และเป็นการใชท้ รพั ยากรตา่ ง ๆ ใหเ้ กดิ ประโยชน์มาก ขึน้ เชน่ ไม่ปล่อยใหท้ ี่หลังบา้ นรกรา้ งวา่ งเปลา่ ใชเ้ ศษอาหารจากห้องครวั มาทำเป็นป๋ยุ หมัก ใชม้ ูลสัตว์มาทำ เปน็ ปยุ๋ และ เศษผกั สามารถนำมาใช้เลย้ี งสัตว์ หรือเอามาทำเป็นปยุ๋ หมกั กไ็ ด้ดี ทงั้ นน้ั วธิ กี ารปลกู ผักปลอดสาร 1. ขน้ั ตอนแรกควรเลอื กสถานท่ีทีเ่ หมาะสมกอ่ น เช่น บรเิ วณหลังบา้ นที่ใดทหี่ น่งึ ท่มี แี สงแดด ส่งถงึ หรอื บรเิ วณใกล้แหลง่ น้ำ ขนาดพืน้ ทีเ่ ทา่ ไรก็ได้ตามความตอ้ งการของผู้ปลูก 2. การทำแปลงผักมหี ลายรปู แบบตามความเหมาะสม และความชอบของแตล่ ะคน เช่น 2.1 ปลกู ในภาชนะ เช่น ปลูกในลงั กระดาษ ถังเกา่ ๆ ลังโฟมเกา่ ๆ และในกระถางเป็น ต้น 2.2 ปลูกโดยการทำแปลงเพาะแบบธรรมดาทวั่ ไป เช่น การยกรอ่ งแปลงเพาะและปลูก เปน็ แถว ๆ 2.3 ปลกู ในกะบะ เชน่ กะบะท่ีทำด้วยไม้เป็นรูปส่ีเหลย่ี ม หรือกะบะท่ีก้ัน ด้วยเศษอิฐ ก้อนหิน หรอื แม้แต่สังกะสเี กา่ ๆ และกระเบื้องเกา่ ๆ ก็สามารถนำมากั้นทำเป็นกะบะได้ทัง้ นั้น 2.4 ปลูกโดยการขุดเป็นหลุม หรือรอ่ งลึกประมาณ 1- 2 คืบ แลว้ เอาปยุ๋ หมกั ผสมกับหน้า ดินลงไปในหลมุ หรือรอ่ งกอ่ นปลูก 3. ควรทำการลอ้ มบรเิ วณแปลงผักไว้ด้วยตาข่ายเกา่ ๆ เพอื่ ปอ้ งกันเปด็ ไก่ สนุ ัขหรือหมู เขา้ ไปรบกวนแปลงผัก 4. ควรทำหลงั คาปอ้ งกันแสงแดดให้กับแปลงเพาะเมล็ด โดยเฉพาะช่วงกลางวนั ท่ีแดดรอ้ นจัด 5. กอ่ นทำการปลูกตอ้ งม่นั ใจว่าส่วนผสมในแปลงผกั ไดร้ บั การผสมอย่างดรี ะหว่างหนา้ ดนิ ปยุ๋ หมกั และมูลสัตว์ 6. ก่อนทำการใส่สว่ นผสม ควรปูพ้ืนด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ และเศษกระดาษจากลงั โดยเฉพาะแปลงปลกู แบบขุดรอ่ ง แบบยกร่อง และแบบกะบะ เพ่ือป้องกันวชั พืชขนึ้ รบกวนแปลงผัก 7. ชนิดผกั ท่ีควรปลูก ควรจะปลูกท้ังผักพ้นื บา้ น และผกั ทั่ว ๆ ไป ผักพ้ืนบา้ น เช่น ขิง ข่า ตะไคร้ กระเพรา โหระพา ใบแมงลัก พริก และตำลึง ผักทั่วไป ๆ ได้แก่ คะน้า ผักกาด กะหล่ำ มะเขือ ถั่วฝกั ยาว แตงกวา ฟกั ทอง ผกั บุ้ง หอม และผกั ชี เป็นต้น 8. ผกั ที่ควรปลกู ในหลุม และใชพ้ น้ื ที่มาก ๆ ได้แก่ ฟกั ทอง บวบ มะระ ควรแยกปลกู ตา่ งหาก จากแปลงผกั อื่น ๆ และควรทำรา้ นใหผ้ ักเหล่านี้เลอื้ ยเกาะ เนือ่ งจากผกั เหลา่ นต้ี ้องการพนื้ ที่มาก 9. ผกั ท่ีควรปลูกในหลุมและในร่อง เชน่ มะเขอื และพริกกค็ วรแยกปลูกจากผักทว่ั ๆ ไป 10. ผักที่ปลูกในแปลงและต้องการร้านให้เลื้อยเกาะ เชน่ แตงกวา และถั่วฝกั ยาวกจ็ ะใช้พ้ืนที่ มากเช่นกนั 11. ผักที่ปลูกได้เปน็ แถวเป็นแนว หรอื เป็นกอเป็นกลุ่ม ได้แก่ ขิง ข่า ตะไคร้ ควรหาที่ท่ี เหมาะสมปลกู ไม่ควรปลูกในแปลงเดียวกับผักท่วั ๆ ไป 12. ผักพนื้ บ้าน เชน่ กะเพรา โหระพา และแมงลัก เวลาเจรญิ เตบิ โตจะขยายพันธุ์ได้โดย อาศยั เมล็ด ฉะนั้นควรแยกปลกู ตา่ งหาก ผกั เหล่าน้ีจะข้ึนไดโ้ ดยทั่วไป 13. ผักทว่ั ๆ ไป เช่น กะหล่ำ คะนา้ ผักกาด ต้นหอม และผกั ชี ควรปลกู ในแปลงเพาะ และ สามารถปลูกได้ในแปลงเดยี วกัน ผกั เปล่าน้จี ะขึ้นเปน็ ฤดกู าล
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140