Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ปฏิจจสมุปบาท

ปฏิจจสมุปบาท

Published by อยุษกร งามชาติ, 2022-08-07 08:31:07

Description: ปฏิจจสมุปบาท เขียนและเรียบเรียงโดย
ผศ.(พิเศษ) ดร.อยุษกร งามชาติ

Search

Read the Text Version

ปฎจิ จสมุปบาท Paticca-samuppada (Depenent origination)

ปฏจิ จสมุปบาท Paticca-samuppada (Depenent origination) ผู้เขยี นและเรียบเรียง : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ (พเิ ศษ) ดร.อยุษกร งามชาติ ลิขสิทธข์ิ องมหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั พิมพ์ครงั้ ที่ ๑ : พฤศจิกายน ๒๕๖๔ จดั ทาํ โดย วทิ ยาลยั สงฆ์กาญจนบุรี ศรีไพบูลย์ ISBN : 978-616-300-770-4 พมิ พท์ ่ี : บรษิ ทั บีพเี ค พรน้ิ ติ้ง จ ากดั ข้อมูลทางบรรณานุกรมหอ้ งสมุด อยษุ กร งามชาติ, ปฏิจจสมปุ บาท. พระนครศรีอยธุ ยา : มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๖๔. ๑๒๐ หนา้ ๑. ชื่อผแู้ ตง่ ๒. ปฎิจจสมปุ บาท

มุทติ าอนุโมทนากถา การจดั ทาหนงั สือ “ปฏิจจสมุปบาท” ท่ีผชู้ ่วยศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.อยุษกร งามชาติ นบั ไดว้ า่ เป็ นคุณูปการต่อการศึกษา เพ่ือพฒั นาดา้ นวิชาการของวทิ ยาลยั สงฆก์ าญจนบุรี ศรีไพบูลยใ์ ห้ มีคุณภาพดียงิ่ ข้ึน และสามารถช่วยใหก้ ารเรียนการสอนในรายวิชา จิตวิทยาในพระไตรปิ ฎกและวิชาที่เก่ียวขอ้ ง บริหารจดั การศึกษา ไดอ้ ยา่ งมีคุณภาพมากยง่ิ ข้ึน หนงั สือเล่มน้ีจะช่วยใหผ้ อู้ ่านเขา้ ใจคา สอนของพระพุทธศาสนาท่ีสามารถนาไปประยุกต์ใช้ให้เกิด ประโยชนก์ บั ชีวติ ประจาวนั ได้ ขออนุโมทนาและมุทิตาจิตในความคิดพยายามจดั ทา หนงั สือคร้ังน้ี ขอให้ ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.อยษุ กร งาม ชาติและคณะผู้มีส่วนร่วมสนับสนุนในการทางานคร้ังน้ี จง ประสบความสาเร็จในหนา้ ที่การงาน และเจริญยงิ่ ๆข้ึนไป เทพปริยตั โิ สภณ เจ้าคณะจังหวดั กาญจนบุรี รักษาการผอู้ านวยการวทิ ยาลยั สงฆก์ าญจนบุรี ศรีไพบูลย์

คานา หนงั สือเล่มน้ี ผเู้ ขียนต้งั ใจเรียบเรียงข้ึนเพ่ือเป็ นส่วนหน่ึง ของคู่มือประกอบการเรี ยนการสอนให้พระนิ สิ ตท่ีลงเรี ยนใน รายวชิ าจิตวทิ ยาในพระไตรปิ ฎก และวชิ าที่เก่ียวขอ้ ง คาสอนปฏิจจสมุปบาทเป็ นหลกั ธรรมสาคญั และลุ่มลึก ยากแก่การทาความเขา้ ใจอยา่ งลึกซ้ึง การเรียนรู้และทาความเขา้ ใจ อยา่ งลึกซ้ึงจะช่วยใหเ้ รียนรู้เรื่องราวของจิตใจไดล้ ึกซ้ึงถึงรากเหงา้ ของจิตก่อนที่จะก่อตวั เป็ นพฤติกรรม เป็ นสิ่งที่มีคุณประโยชน์ อยา่ งยิง่ เพราะทาให้เรารู้ที่มาที่ไปของการกระทาน้นั วา่ อาศยั เหตุ ปัจจยั ใด เพื่อใหก้ ารเปล่ียนแปลงทางจิตวญิ ญาณเป็นไปในทิศทาง ท่ีถูกตอ้ งเหมาะสมมากยง่ิ ข้ึน กราบขอบพระคุณพระเดชพระคุณพระเทพปริยตั ิโสภณ รักษาการผูอ้ านวยการวิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรี ศรีไพบูลย์ที่ สนบั สนุนการผลิตตาราและเอกสารทางวชิ าการในคร้ังน้ี อยษุ กร งามชาติ

สารบัญ ๑ คาสอนปฏิจจสมุปบาท .............................................................๑ ๒ ปฏจิ จสมุปบาทในคมั ภรี ์พระพุทธศาสนา ..............................๕ ความหมายของปฏิจจสมุปบาท...............................................๖ ความหมายของแตล่ ะองคธ์ รรมในปฏิจจสมุปบาท ............. ๑๒ ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งองคธ์ รรมในปฏิจจสมุปบาท .............๓๙ ปฏิจจสมุปบาทในฐานะมชั เฌนธรรมเทศนา ......................๔๕ ปฏิจจสมุปบาทในฐานะปัจจยาการทางสงั คม................. ๕๐ ปฏิจจสมุปบาทในฐานะนิยาม ........................................ ๕๒ พฒั นาการการอธิบายปฏิจจสมุปบาท ............................. ๕๕ ในคมั ภีร์พระพทุ ธศาสนาเถรวาท ๓ การอธิบายขยายความคาสอนปฏิจจมุปบาท .................... ๕๘ ของสมเดจ็ พระพทุ ธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต) การอธิบายความหมายหลกั ปฏิจจสมุปบาท .......................๕๙

ผา่ นแนวคิดของท่านเจา้ คุณสมเดจ็ ฯ (สมเดจ็ พระพทุ ธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยตุ ฺโต)) การอธิบายความหมายของแตล่ ะองคธ์ รรม .........................๖๓ ในปฏิจจสมุปบาทตามแนวคิดของท่านเจา้ คุณสมเดจ็ ฯ (สมเดจ็ พระพทุ ธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยตุ ฺโต)) การอธิบายความสมั พนั ธ์ระหวา่ งองคธ์ รรม.......................๗๙ ในปฏิจจสมุปบาทตามแนวคิดของท่านเจา้ คุณสมเดจ็ ฯ (สมเดจ็ พระพทุ ธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยตุ ฺโต)) ปฏิจจสมุปบาทในฐานะมชั เฌนธรรมเทศนา ......................๘๓ ตามแนวคิดท่านเจา้ คุณสมเดจ็ ฯ (ป.อ. ปยตุ ฺโต) ปฏิจจสมุปบาทในฐานะปัจจยาการทางสังคม ...................๘๔ ตามแนวคิดทา่ นเจา้ คุณสมเด็จฯ (ป.อ. ปยตุ ฺโต) ปฏิจจสมุปบาทในฐานะนิยาม ๕ . ......................................๘๘ ตามแนวคิดทา่ นเจา้ คุณสมเดจ็ ฯ (ป.อ. ปยตุ ฺโต)

พฒั นาการปฏิจจสมุปบาทผา่ นการนาเสนอ .........................๙๐ ของทา่ นเจา้ คุณสมเดจ็ ฯ (ป.อ. ปยตุ ฺโต) ๔ ความสัมพนั ธ์ระหว่างปฏิจจสมุปบาทกบั อริยสัจ .................๙๔ ปฏิจจสมุปบาทหมุนวนนาไปสู่ความทุกข์ ..........................๙๔ อวชิ ชา กบั วงลอ้ แห่งภวจกั ร ท่ีนาไปสู่ความทุกข์ ................๙๖ สังขารในปฏิจจสมุปบาท กบั วงลอ้ แห่งภวจกั ร ............... ๑๐๐ ที่นาไปสู่ความทุกข์ ตณั หาในปฏิจจสมุปบาท กบั วงลอ้ แห่งภวจกั ร .................๑๐๕ ที่นาไปสู่ความทุกข์ อุปาทานในปฏิจจสมุปบาท กบั วงลอ้ แห่งภวจกั ร ..............๑๑๑ ท่ีนาไปสู่ความทุกข์ ภพในปฏิจจสมุปบาท กบั วงลอ้ แห่งภวจกั ร ......................๑๑๔ ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งอริยสจั ๔ และปฏิจจสมุปบาท....... ๑๑๗

๑ คำสอน “ปฏจิ จสมุปบำท” พระพุทธเจา้ ตรัสถึงความสาคญั ของปฏิจจสมุปบาทวา่ “ผูใ้ ดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผูน้ ้นั ช่ือวา่ เห็นธรรม ผูใ้ ดเห็นธรรม ผู้ น้นั ชื่อวา่ เห็นปฏิจจสมุปบาท”๑ โดยพระองคท์ รงเนน้ คาสอนเร่ือง ปฏิจจสมุปบาทในลกั ษณะกระบวนการของชีวิต คือกระบวนการ เกิดและดับของทุกข์ ในลักษณะอาการแห่งธรรมที่อาศัยกัน เกิดข้ึน๒ ซ่ึงคาสอนดังกล่าวที่ปรากฏในพระสุตตนั ตปิ ฎกน้ัน พระพุทธเจา้ ไม่ไดท้ รงเน้นถึงกระบวนการแบบขา้ มภพขา้ มชาติ หรือกระบวนการแบบขณะจิต แต่ในพระอภิธรรมปิ ฎกไดอ้ ธิบาย ๑ ม.มู. (ไทย) ๑๒/๓๐๖/๓๓๘. ๒ส.นิ.อ. (ไทย) ๒/๑๑.

~๒~ ถึงกระบวนการแห่งปฏิจจสมุปบาทท้งั หมดที่เกิดข้ึนในขณะจิต เดียวไว๓้ ต่อมาในคมั ภีร์วิสุทธิมรรคได้อธิบายกระบวนการ แห่งปฏิจจสมุปบาทแบบขา้ มภพขา้ มชาติไวด้ ว้ ย๔ ซ่ึงการอธิบาย ความแบบข้ามภพชาติน้ัน ท่านพุทธทาสนักปราชญ์ผูห้ น่ึงซ่ึง สาคญั ทางพระพุทธศาสนาไม่เห็นดว้ ย ในการอธิบายปฏิจจสมุป บาทแบบข้ามภพชาติ๕ รวมท้ังวิพากษ์วิจารณ์การอธิบาย ปฏิจจสมุปบาทของพระพุทธโฆษาจารยผ์ รู้ จนาคมั ภีร์วิสุทฺธิมรรค แต่ในส่วนการอธิบายหลักพุทธธรรมอ่ืนๆน้ัน ท่านชื่นชมและ ยอมรับความเป็ นนักปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาของพระพุทธ โฆษาจารย์ผูร้ จนา นอกจากน้ันท่านพุทธทาสพยายามทาความ เขา้ ใจและตีความหลกั ปฏิจจสมุปบาทใหมแ่ บบปัจจุบนั ชาติ ต่อมา นักปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาได้พยายาม ตีความหลกั คาสอนปฏิจจสมุปบาท ให้ครอบคลุมสิ่งที่เป็ นสังขต ๓ อภิ.ว.ิ ๓๕/๒๔๓-๓๕๔/๒๒๔-๓๐๕. ๔ ดูรายละเอียดใน วสิ ุทฺธิ. ๙๐๘ - ๙๔๐. ๕ พทุ ธทาสภิกข,ุ ปฏิจจสมปุ บาท : เรื่องสาคญั ทสี่ ุดสาหรับ พทุ ธบริษัท, (กรุงเทพมหานคร : สานกั พิมพธ์ รรมสภา ), หนา้ (๑๙) - (๒๑) .

~๓~ ธรรมทุกอยา่ ง และอธิบายความหมายของขณะจิตให้ชดั เจนและ ทนั สมยั มากข้ึน ซ่ึงท่านเจา้ คุณสมเด็จฯ (พระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตฺโต)) เป็ นหน่ึงในนกั ปราชญเ์ หล่าน้นั ที่ไดแ้ สดงทศั นะ อธิบายหลกั คาสอนปฏิจจสมุปบาทไวอ้ ยา่ งลึกซ้ึงและน่าสนใจยงิ่ ท่านเจา้ คุณสมเด็จฯ (ป.อ. ปยุตฺโต)ได้ให้คาอธิบาย เกี่ยวกบั การตีความปฏิจจสมุปบาทลกั ษณะดงั กล่าวน้ีว่า เป็ นการ อธิบายแบบแสดงววิ ฒั นาการของโลกและชีวิต ซ่ึงเป็นการตีความ หลกั คาสอนปฏิจจสมุปบาทตามกระบวนการแห่งเหตุปัจจยั ใน ธรรมชาติ ท่านมีความเห็นว่าการตีความลกั ษณะน้ีมีคุณค่าทาง จริยธรรมน้อย และพระพุทธองค์ไม่ทรงสนบั สนุนการพยายาม เขา้ ถึงสัจธรรมดว้ ยวธิ ีครุ่นคิด และถกเถียงปัญหาทางอภิปรัชญา๖ ท่านเจา้ คุณสมเด็จฯ (ป.อ. ปยตุ ฺโต)กล่าววา่ “การแสดง พุทธธรรมน้นั พระพุทธเจา้ ทรงมุ่งหมายและส่ังสอนเฉพาะส่ิงท่ี จะนามาใช้ปฏิบตั ิให้เป็ นประโยชน์ในชีวิตจริงได้ เกี่ยวขอ้ งกบั ชีวิต การแกไ้ ขปัญหาชีวิต และการลงมือทาจริงๆ”๗ ซ่ึงท่านให้ คาอธิบายว่าเป็ นการแปลความหมาย การอธิบายแบบแสดง ๖พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยตุ ฺโต), พทุ ธธรรม, พมิ พค์ ร้ังที่ ๑๑, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพบ์ ริษทั สหธรรมิกจากดั , ๒๕๔๙), หนา้ ๘๔-๘๕. ๗ เร่ืองเดียวกนั , หนา้ ๘๕.

~๔~ กระบวนการเกิด-ดับแห่งชีวิตและความทุกข์ของบุคคล ซ่ึงใน คัมภีร์รุ่นอรรถกถา อาทิ วิสุทธิมรรค มีการแปลความหมาย อธิบายความรายละเอียดเป็นท่ียอมรับและยดึ ถือเป็นแบบแผน๘ เม่ือหลักคาสอนปฏิจจสมุปบาทสามารถตีความได้ หลายนยั เช่นน้ี ผูเ้ ขียนจึงไดศ้ ึกษาวา่ แนวคิดเรื่องปฏิจจสมุปบาทที่ ปรากฏในคัมภีร์ พระพุทธศาสนา และพัฒนา การแนวคิด ปฏิจจสมุปบาทผ่านผลงานของท่านเจ้าคุณสมเด็จฯ(พระพุทธ โฆษาจารย์ (ป.อ. ปยตุ ฺโต)) ๘ เรื่องเดียวกนั , หนา้ ๘๖.

~๕~ ๒ ปฏิจจสมุปบำท ในคมั ภรี ์พระพทุ ธศำสนำ ปฏิจจสมุปบาทเป็ นคาสอนท่ีเป็ นแกนหลักของ พระพุทธศาสนา การศึกษาและทาความเขา้ ใจในหลกั ปฏิจจสมุป บาท เขา้ ใจในกระบวนการความเป็ นเหตุเป็ นผลท่ีเป็ นไปตามกฏ ของธรรมชาติจะทาใหพ้ ทุ ธศาสนิกชนเขา้ ใจโลกและชีวติ ไดอ้ ยา่ ง ลึกซ้ึง

~๖~ ความหมายของปฏิจจสมุปบาท หลักคาสอนปฏิจจสมุปบาทน้ัน พระพุทธองค์ทรง แสดงในลกั ษณะของกระบวนการที่เกิดข้ึนตามธรรมชาติ ไม่วา่ พระองคจ์ ะอุบตั ิข้ึนหรือไม่ก็ตาม ดงั พุทธพจน์วา่ “เพราะอวิชชา เป็ นปัจจยั สังขารจึงมี ตถาคตเกิดข้ึนก็ตาม ไม่เกิดข้ึนก็ตาม ธาตุ อนั น้ัน คือ ความต้งั อยู่ตามธรรมดา ความเป็ นไปตามธรรมดา ความท่ีส่ิงน้ีเป็ นปัจจยั ของสิ่งน้ี ก็คงต้งั อยู่อย่างน้นั ”๙ ดงั น้นั การ ทาความเข้าใจปฏิจจสมุปบาทจึงเป็ นการทาความเข้าใจ กระบวนการเป็ นไปของธรรมชาติอย่างมีเหตุผล โดยพระพุทธ องค์ทรงมุ่งเน้นกระบวนการเกิดและดับแห่งทุกข์เป็ นประเด็น สาคญั ๑๐ คาวา่ “ปฏิจฺจสมุปฺบาท” แปลตามศพั ทว์ า่ “การเกิดข้ึน พร้อมกนั โดยอิงอาศยั กนั ” มาจากการผสมกนั ของคาวา่ “ปฏิจฺจ” แปลวา่ อิงอาศยั กบั คา “สมุปฺปาท” แยกเป็ น ส แปลวา่ พร้อมกนั และ อุปฺปาท แปลว่า การเกิดข้ึน๑๑ หมายถึงอาการแห่งธรรมที่ ๙ ดูรายละเอียดใน ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๒๐/๓๔-๓๖. ๑๐ ดูรายละเอียดใน ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๑-๓/๑-๖, ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๑/ ๑-๓. ๑๑ วชั ระ งามจิตรเจริญ, พทุ ธศาสนาเถรวาท, (กรุงเทพมหานคร : สานกั พมิ พม์ หาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์, ๒๕๕๐), หนา้ ๑๖๑.

~๗~ อาศัยกันแล้วเกิดข้ึน๑๒ ซ่ึงธรรมเหล่าน้ีได้แก่ อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผสั สะ เวทนา ตณั หา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรามรณะ ธรรมท้งั ๑๒ ประการน้ีต่างเกิดข้ึนร่วมกนั โดย อาศยั กนั เกิดตา่ งเป็นปัจจยั ใหก้ นั และกนั เกิดข้ึน๑๓ ดงั พุทธพจน์วา่ เพราะอวิชชาเป็ นปัจจัย สังขารจึงมี เพราะสังขารเป็ นปัจจยั วญิ ญาณจึงมี เพราะวญิ ญาณเป็ นปัจจยั นามรูปจึงมี เพราะนามรูป เป็ นปัจจยั สฬายตนะจึงมี เพราะสฬายตนะเป็ นปัจจยั ผสั สะจึงมี เพราะผสั สะเป็ นปัจจยั เวทนาจึงมี เพราะเวทนาเป็ นปัจจยั ตณั หา ๑๒ ดูรายละเอียดใน ส.นิ.อ. (ไทย) ๒/๑๑, พระพทุ ธโฆสเถระ, วิสุทธิมรรค (ไทย), สมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสภมหาเถร) แปลและ เรียบเรียง, พิมพค์ ร้ังที่ ๖, (กรุงเทพมหานคร : ธนาเพรสจากดั , ๒๕๔๘), หนา้ ๘๖๔, พระคนั ธสาราภิวงศ์ แปล, อภธิ ัมมตั ถสังคหะและปรมตั ถทปี นี, พิมพค์ ร้ังที่ ๒, (กรุงเทพมหานคร : ไทยรายวนั การพิมพ,์ ๒๕๔๖), หน้า ๖๙๔-๖๙๘, บรรจบ บรรณรุ จิ, ปฏิจจสมุปบาท, พิมพ์คร้ังที่ ๓, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพม์ หาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๙), หนา้ ๔-๖, วชั ระ งามจิตรเจริญ, พุทธศาสนาเถรวาท, หนา้ ๑๖๒. ๑๓ วิสุทธิ. (ไทย) ๘๖๔-๘๖๕, บรรจบ บรรณรุจิ, ปฏิจจสมุป บาท, หนา้ ๔, นนั ทพล โรจนโกศล, การศึกษาแนวคิดเรื่องขนั ธ์ ๕ กบั การ บรรลุธรรมในพระพุทธศาสนาเถรวาท, วิทยานิพนธ์ พุทธศาสตร มหาบัณฑิต, (บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๔๘), หนา้ ๙๗-๙๘.

~๘~ จึงมี เพราะตณั หาเป็ นปัจจยั อุปาทานจึงมี เพราะอุปาทานเป็ น ปัจจยั ภพจึงมี เพราะภพเป็ นปัจจยั ชาติจึงมี เพราะชาติเป็ นปัจจยั ชรา มรณะ โสกะ(ความเศร้าโศก) ปริเทวะ(ความคร่าครวญ) ทุกข์ (ความทุกข์กาย) โทมนัส(ความทุกข์ใจ) และอุปายาส(ความคบั แคน้ ใจ) จึงมี๑๔ พุทธพจน์ดงั กล่าวแสดงถึงกระบวนการเกิดแห่งทุกข์ ตามหลักปฏิจจสมุปบาทโดยเริ่มจากอวิชชาเป็ นปัจจยั ให้เกิด สังขาร เร่ือยมาถึงชาติเป็นปัจจยั ใหเ้ กิดชรามรณะ และมีผลสุดทา้ ย คือเกิดความทุกขท์ ้งั ปวงข้ึน กระบวนการแห่งการเกิดข้ึนแห่งทุกข์ ท่ีเก่ียวเนื่องกนั ตลอดสายน้ี เรียกวา่ ปฏิจจสมุปบาทสายสมุทยวาร ต่อจากน้นั พระพทุ ธองคท์ รงแสดงถึงกระบวนการแห่ง ความดบั ทุกขโ์ ดยเร่ิมจากอวิชชาและมีผลสุดทา้ ยคือความดบั ทุกข์ ท้งั ปวง กระบวนการแห่งความดบั ทุกขน์ ้ี เรียกวา่ ปฏิจจสมุปบาท สายนิโรธวาร ดงั พทุ ธพจน์วา่ เพราะอวิชชาดับไปไม่เหลือด้วยวิราคะ สังขารจึงดับ เพราะ สังขารดบั วญิ ญาณจึงดบั เพราะวิญญาณดบั นามรูปจึงดบั เพราะ นามรูปดบั สฬายตนะจึงดับ เพราะสฬายตนะดับ ผสั สะจึงดบั เพราะผสั สะดบั เวทนาจึงดบั เพราะเวทนาดบั ตณั หาจึงดบั เพราะ ตณั หาดบั อุปาทานจึงดบั เพราะอุปาทานดบั ภพจึงดบั เพราะภพ ๑๔ ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๑/๑-๒, ๒/๓-๔, ๓/๙.

~๙~ ดบั ชาติจึงดบั เพราะชาติดบั ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนสั และอุปายาสจึงดบั ๑๕ อยา่ งไรก็ตาม กระบวนธรรมแห่งการเกิดและความดบั แห่งทุกข์ตามหลักปฏิจจสมุปบาทน้ัน พระพุทธองค์มิได้ทรง แสดงโดยเริ่ มต้นจากอวิชชาลักษณะเดียวเท่าน้ัน แต่ทรง แสดงปฏิจจสมุปบาทหลายลกั ษณะและหลายวธิ ีการ ในสัมโมหวิ โนทนี๑๖ และวิสุทธิมรรค๑๗ กล่าวไว้โดยสรุ ปตรงกันว่า การ แสดงปฏิจจสมุปบาทของพระพุทธองค์น้นั ตามแต่อธั ยาศยั ของ เวไนยสตั ว์ ๔ นยั ๑. พระพุทธองคท์ รงแสดงปฏิจจสมุปบาทโดยแสดง จากตน้ ไปถึงปลาย คือ ต้งั แต่อวิชชาไปจนถึงชรามรณะและมีผล สุดท้ายคือความเกิดข้ึนแห่งทุกข์ท้ังมวล๑๘ ซ่ึงปฏิจจสมุปบาท ลกั ษณะน้ีปรากฏมาก เรียกวา่ อาทิปริโยสานอนุโลมเทศนา ๒. พระพุทธองคท์ รงแสดงปฏิจจสมุปบาทโดยแสดง จากกลางไปถึงปลาย คือ ต้งั แต่เวทนาเรื่อยไปจนถึงชรามรณะ ๑๕ ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๑/๑-๒, ๒/๓-๔, ๓/๙. ๑๖ อภิ.ว.ิ อ. (ไทย) ๒/๑/๔๔๐-๔๔๔. ๑๗ วสิ ุทธิ. (ไทย) หนา้ ๘๗๔-๘๗๖. ๑๘ ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๑-๓/๑-๖ ,ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๑-๒/๒-๔, ๔๐๔/ ๔๓๘.

~ ๑๐ ~ ความเกิดข้ึนแห่งกองทุกข์ท้งั สิ้น๑๙ ดังที่ปรากฏในมหาตัณหา สังขยสูตร หรือในโมลินผคั คุนสูตร ทรงแสดงปฏิจจสมุปบาท โดยแสดงจากวิญญาณาหารเป็ นปัจจยั ให้เกิดภพใหม่ต่อไป เม่ือ วิญญาณาหารน้นั เกิดแลว้ สฬายตนะจึงมี เพราะสฬายตนะเป็ น ปัจจยั ผสั สะจึงมี ฯลฯ เร่ือยไปจนถึงความเกิดแห่งกองทุกข์ท้งั มวล๒๐ เรียกวา่ มชั ฌปริโยสานอนุโลมเทศนา ๓. พระพุทธองคท์ รงแสดงปฏิจจสมุปบาทโดยแสดง จากปลายไปถึงตน้ คือ ต้งั แต่ทุกขด์ ว้ ยความไม่พน้ จากชรามรณะ เพราะชาติเป็ นปัจจยั ชรามรณะจึงมี ฯลฯ ไปจนถึง เพราะอวิชชา เป็ นปัจจยั สังขารท้งั หลายจึงมี๒๑ เรียกวา่ ปริโยสานอาทิปฏิโลม เทศนา ๔. พระพุทธองคท์ รงแสดงปฏิจจสมุปบาท โดยแสดง จากกลางไปถึงต้น คือ ต้ังแต่อาหาร ๔ มีตัณหาเป็ นเหตุ ฯลฯ ๑๙ ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๔๐๙/๔๔๔-๔๔๕. ๒๐ ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๑๒/๑๙-๒๑. ๒๑ ม.มู. (ไทย) ๑๒/๔๐๓/๔๓๖-๔๓๘, ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๔/๑๐- ๑๑, ๑๐/๑๕-๑๖.

~ ๑๑ ~ ตณั หามีเวทนาเป็ นเหตุ ฯลฯ เรื่อยไปจนถึงสังขารมีอวิชชาเป็ น เหตุ๒๒ ซ่ึงปรากฏในอาหารสูตร เรียกวา่ มชั ฌอาทิปฏิโลมเทศนา นอก จาก น้ัน ใ นบางก รณี พระ พุทธ อง ค์ท ร ง แสดงปฏิจจสมุปบาทโดยย่อ โดยแสดงองค์ธรรมบางองค์ธรรม ข้ึน เช่น ในพาลปัณฑิตสูตร๒๓ทรงยกองคธ์ รรมอวชิ ชา ตณั หา ผสั สายตนะข้ึนมาใหพ้ ิจารณาถึงการเสวยสุขและทุกข์ จากน้นั จึงเขา้ สู่ กระบวนการปฏิจจสมุปบาทตามกระแสหลกั ส่วนใหญ่ หรือใน ภู มิ ชสู ตร ๒๔แส ดง ถึ ง ส ภา วะ สุ ข แล ะ ทุ ก ข์เกิ ดข้ ึ นเ พ ร า ะ ผ ัส ส ะ เป็ นปัยจยั โดยมีอวิชชาและสังขารเป็ นปัจจยั แทรกอยู่ในธรรม เหล่าน้ีดว้ ย เป็ นตน้ การแสดงกระบวนธรรมปฏิจจสมุปบาทของ พระพุทธองคน์ ้นั ข้ึนอยกู่ บั ปัญหาท่ีพระองคท์ รงนามาให้พิจารณา วา่ เนน้ ที่องคธ์ รรมใด จากน้นั จึงนาองคธ์ รรมน้นั ข้ึนมาเป็นตวั เด่น ๑๗-๑๙. ๒๒ ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๔๐๒/๔๓๔-๔๓๖, ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๑๑/ ๒๓ ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๑๙/๓๒-๓๓. ๒๔ ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๒๕/๔๘-๕๑.

~ ๑๒ ~ ความหมายของแต่ละองค์ธรรมในปฏจิ จสมุปบาท องค์ธรรมแต่ละองค์ธรรมในปฏิจจสมุปบาทน้ัน ใน พระสูตรพระพทุ ธองคท์ รงแสดงไวใ้ นลกั ษณะกลางๆไมไ่ ดเ้ นน้ วา่ จะเป็ นลกั ษณะแบบขา้ มภพชาติหรือแบบขณะจิต แต่บางแห่งใน พระสูตรก็สามารถส่ือความวา่ เป็ นลกั ษณะขา้ มภพชาติ บางแห่งก็ สื่อความถึงชาติปัจจุบนั ดงั ต่อไปน้ี ๑ อวชิ ชา คาว่า อวิชชา แปลว่า ไม่รู้ หรือ ธรรมชาติท่ีเป็ นไป ตรงกนั ขา้ มกบั ปัญญา ไดแ้ ก่ โมหเจตสิก๒๕ ในสัมมาทิฏฐิสูตร วิภงั คสูตร และในสุตตนั ตภาชนีย์ พระพุทธองคท์ รงอธิบายความหมายของอวชิ ชาไวว้ า่ คือ ความไม่ รู้ในทุกข์ ความไม่รู้ในทุกขสมุทยั (เหตุเกิดแห่งทุกข)์ ความไมร่ ู้ใน ทุกขนิโรธ (ความดับแห่งทุกข์) ความไม่รู้ในทุกขนิโรธคามินี ๒๕ พระสทั ธมั มโชติกะ ธมั มาจริยะ, ปรมตั ถโชตกิ ะ ปฏิจจสมปุ บาททปี นี, พิมพค์ ร้ังท่ี ๕, (กรุงเทพมหานคร : มูลนิธิสัทธมั มโชติกะ), หนา้ ๑๕.

~ ๑๓ ~ ปฏิปทา (ขอ้ ปฏิบตั ิท่ีให้ถึงความดบั แห่งทุกข)์ ๒๖ ซ่ึงมีความหมาย เดียวกบั ที่ปรากฏในพระอภิธรรมปิ ฎก ธมั มสังคณี และวิภงั ค์ คือ โมหะ๒๗ และมีความหมายเดียวกบั อวชิ ชาสวะ๒๘ ซ่ึงในที่น้ีไดเ้ พิม่ ความไม่รู้อีก ๔ คือ ความไม่รู้ในส่วนอดีต ความไม่รู้ในส่วน อนาคต ความไม่รู้ ใ นส่ วนอดี ตแล ะ อ นาค ต ความไม่รู้ ในปฏิจจสมุปบาทวา่ เพราะธรรมน้ีเป็นปัจจยั ธรรมน้ีจึงมี เรียกวา่ ความไม่รู้ในฐานะ ๘๒๙ คาว่า ส่วนอดีต หมายถึง ขันธ์ ธาตุ อายตนะท่ีเป็นอดีต ส่วนอนาคต หมายถึง ขนั ธ์ ธาตุ อายตนะท่ีเป็น อนาคต และส่วนอดีตและอนาคต หมายถึง ขนั ธ์ ธาตุ อายตนะท่ี เป็นอดีตและอนาคต กล่าวโดยสาระสาคญั คือ ความไม่รู้แจง้ ความ ๒๖ ม.มู. (ไทย) ๑๒/๑๐๓/๙๘, ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๒/๘, อภิ.ว.ิ (ไทย) ๓๕/๒๒๖/๒๑๙. ๒๗ อภิ.ส. (ไทย) ๓๔/๑๐๖๗/๒๗๓, อภิ.วิ. (ไทย) ๓๕/๒๔๙/ ๒๓๔, ๒๕๑/๒๓๖, ๒๕๓/๒๓๗, ๒๕๕/๒๓๙, ๒๕๗/๒๔๑, ๒๕๙/ ๒๔๓, ๒๖๑/๒๔๔, ๒๖๓/๒๔๖, ๒๖๕/๒๔๘, ๒๖๗/๒๔๙-๒๕๐, ๒๖๙/ ๒๕๑, ๒๗๑/๒๕๒, ๒๗๓/๒๕๔-๒๕๕, ๒๗๕/๒๕๘, ๒๗๗/๒๖๐, ๒๗๙/๒๖๓, ๒๘๑/๒๖๖, ๒๘๓/๒๖๗, ๒๘๗/๒๖๘, ๒๘๙/๒๖๙, ๒๙๑/ ๒๗๑. ๒๘ อภิ.ส. (ไทย) ๓๔/๑๑๐๖/๒๘๒. ๒๙ อภิ.ส.อ. (ไทย) ๑/๒/๔๑๓.

~ ๑๔ ~ จริงของขนั ธ์ ธาตุ อายตนะวา่ เป็ นไปตามเหตุปัจจยั คือปฏิจจสมุป บาท๓๐ ปรมตั ถทีปนีสรุปไวว้ า่ ปฏิจจสมุปบาทนยั มี ๒ อยา่ ง คือ สุตตนั ตนยั อวชิ ชามี ๔ อยา่ ง คือ อวชิ ชาท่ีปิ ดบงั ความเป็นทุกข์ สมุทยั นิโรธ และมรรค อีกนยั คือ อภิธรรมนยั อวิชชามี ๘ อยา่ ง คือ อวิชชา ๔ อย่างแรกที่ปรากฏในพระสูตร และอวิชชา ๔ อย่างคือ อวิชชาท่ี ปิ ดบังภพก่อน ปิ ดบังภพต่อไป ปิ ดบงั ท้ังภพชาติก่อนและภพ ต่อไป และปิ ดบงั ปฏิจจสมุปบาท คือการเกิดข้ึนอาศยั เหตุปัจจยั ของขนั ธ์ในภพปัจจุบนั ๓๑ คมั ภีร์วสิ ุทธิมรรคและคมั ภีร์ปรมตั ถทีปนีใหค้ าอธิบาย วา่ อวิชชา หมายถึง ธรรมชาติที่ปิ ดบงั ทาให้ไม่ปรากฏความจริง แทแ้ ห่งสัจจะน้นั สามารถส่ือความหมายไดท้ ้งั ลกั ษณะแบบขา้ ม ภพชาติและแบบชาติปัจจุบนั เพราะเหตุจากความไม่รู้ความจริง ๓๐ วสิ ุทธิ. (ไทย) ๕๘๗/๘๗๙, พระสทั ธมั มโชติกะ ธมั มาจริยะ , ปรมัตถโชตกิ ะ ปฏิจจสมุปบาททปี นี, หนา้ ๑๖-๓๒, วชั ระ งามจิตรเจริญ, พุทธศาสนาเถรวาท, หนา้ ๑๘๙, บรรจบ บรรณรุจิ, ปฏิจจสมุปบาท, หนา้ ๑๔-๒๐. ๓๑พระคนั ธสาราภิวงศ์ แปล, อภิธัมมตั ถสังคหะและปรมตั ถ ทีปนี, พิมพค์ ร้ังท่ี ๒, (กรุงเทพมหานคร : ห้างหุ้นส่วนจากดั ไทยรายวนั การพมิ พ,์ ๒๕๔๖), หนา้ ๗๐๒.

~ ๑๕ ~ ของชีวิตจึงทาให้เวียนว่ายในสังสารวฏั ฏเป็ นการอธิบายใน ลกั ษณะขา้ มภพชาติได้ ส่วนในแบบชาติปัจจุบนั น้นั อธิบายไดว้ า่ การท่ีคนเราประสบสภาวะต่างๆในชีวิตปัจจุบนั แต่ไม่รู้ ไม่เขา้ ใจ สิ่งต่างๆที่เกิดข้ึนตามความเป็ นจริง เป็ นปัจจยั แห่งการปรุงแต่ง ของจิตคือ สงั ขาร เรื่อยไปใหเ้ กิดวงจรทุกขใ์ นที่สุด ๒ สังขาร คาว่า สังขาร หมายถึง ธรรมท่ีปรุงแต่งให้ผลธรรม เกิดข้ึน กล่าวคือ เจตนาที่เป็นเหตุแห่งการปรุงแต่ง ท้งั เจตนาที่เป็ น อกศุ ลและโลกียกศุ ล๓๒ ในวิภงั คสูตรพระพุทธองค์ทรงอธิบายสังขารว่ามี ๓ ประการ คือ ๑. กายสังขาร (สภาวะท่ีปรุงแต่งกาย) หมายถึงเจตนา ท่ีทาให้เกิดการกระทาทางกาย ๒. วจีสังขาร (สภาวะท่ีปรุงแต่ง วาจา) หมายถึงเจตนาที่ทาให้เกิดการกระทาทางวาจา ๓. จิตต สังขาร (สภาวะที่ปรุงแต่งใจ)๓๓หมายถึงเจตนาท่ีทาให้เกิดการ กระทาทางใจ ส่วนในปฏิจจสมุปบาทวิภังค์อธิบายว่า กาย ๓๒ พระสทั ธมั มโชติกะ ธมั มาจริยะ, ปรมตั ถโชตกิ ะ ปฏจิ จสมุปบาททปี นี, หนา้ ๓๖. ๓๓ ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๒/๘, ๓๓/๗๒.

~ ๑๖ ~ สัญเจตนาเป็ นกายสังขาร วจีสัญเจตนาเป็ นวจีสังขาร และมโน สัญเจตนาเป็ นจิตตสังขาร๓๔ หมายถึง ความจงใจ กิริยาที่จงใจ ภาวะที่จงใจ๓๕ และเพิ่มเติมสังขารอีก ๓ ประการ คือ ๑. ปุญญาภิ สังขาร (เจตนาที่เป็ นกุศลซ่ึงเป็ นกามาวจร) ๒. อปุญญาภิสังขาร (เจตนาท่ีเป็ นอกุศลซ่ึงเป็ นกามาวจร) ๓. อาเนญชาภิสังขาร (เจตนาท่ีเป็ นกุศลซ่ึงเป็ นอรู ปาวจร)๓๖ คมั ภีร์วิสุทธิมรรคอธิบายเพ่ิมเติมว่า สังขาร ๓ ไดแ้ ก่ เจตนา ๒๙ คือ ๑) ปุญญาภิสังขาร ได้แก่ เจตนา ๑๓ คือ เจตนา กามาวจรกศุ ล ๘ อนั เป็นไปดว้ ยอานาจ ทาน ศีลเป็นตน้ และเจตนา รูปาวจรกศุ ล ๕ อนั เป็นไปดว้ ยอานาจภาวนา ๒) อปุญญาภิสังขาร ไดแ้ ก่ เจตนาท่ีเป็ นอกศุ ล ๑๒ อนั เป็นไปดว้ ยอานาจอกุศลมีปาณาติบาตเป็นตน้ ๓๔ อภิ.ว.ิ (ไทย) ๓๕/๒๒๘/๒๒๐. ๓๕ อภิ.ว.ิ (ไทย) ๓๕/๒๔๙/๒๓๔, ๒๕๑/๒๓๖, ๒๕๓/๒๓๘, ๒๕๕/๒๓๙, ๒๕๗/๒๔๑, ๒๕๙/๒๔๓, ๒๖๑/๒๔๔, ๒๖๓/๒๔๖, ๒๖๕/ ๒๔๘, ๒๖๗/๒๔๙-๒๕๐, ๒๖๙/๒๕๑, ๒๗๑/๒๕๓, ๒๗๓/๒๕๕, ๒๗๕/๒๕๘, ๒๗๗/๒๖๐, ๒๗๙/๒๖๓, ๒๘๑/๒๖๖. ๓๖ อภิ.ว.ิ (ไทย) ๓๕/๒๒๖/๒๒๐.

~ ๑๗ ~ ๓) อเนญชาภิสังขาร ไดแ้ ก่ เจตนาท่ีเป็ นอรูปาวจรกศุ ล ๔ อนั เป็ นไปดว้ ยอานาจภาวนา๓๗ ค ว า ม ห ม า ย ข อ ง อ ง ค์ธ ร ร ม สั ง ข า ร น้ ัน ส า ม า ร ถ สื่ อ ความหมายไดท้ ้งั แบบขา้ มภพชาติและปัจจุบนั ชาติ กล่าวคือ ใน ความหมายแบบขา้ มภพชาติ อธิบายไดว้ า่ หมายถึง เจตนาท่ีทาให้ เกิดการกระทาในชาติอื่นท่ีจะส่งผลสู่ชาติถดั ไป ส่วนความหมาย แบบปัจจุบนั ชาติ อธิบายไดว้ ่าหมายถึง เจตนาที่เกิดข้ึนในแต่ละ ขณะ แต่ละสถานการณ์ท่ีส่งผลต่อการรับรู้อารมณ์แตกต่างกนั ไป ดงั ตวั อยา่ งแบบปัจจุบนั ชาติ ๓ วญิ ญาณ คาว่า วิญญาณ หมายถึง ธรรมชาติท่ีรู้อารมณ์๓๘ ในวิ ภงั คสูตรและสุตตนั ตภาชนียก์ ล่าวถึง วญิ ญาณมี ๖ ประการ คือ ๑. จกั ขวุ ญิ ญาณ (ความรู้แจง้ อารมณ์ทางตา) ๒. โสตวญิ ญาณ (ความรู้ แจง้ อารมณ์ทางหู) ๓. ฆานวิญญาณ (ความรู้แจง้ อารมณ์ทางจมูก) ๔. ชิวหาวิญญาณ (ความรู้แจง้ อารมณ์ทางลิ้น) ๕. กายวิญญาณ (ความรู้แจง้ อารมณ์ทางกาย) ๖. มโนวญิ ญาณ (ความรู้แจง้ อารมณ์ ๓๗ วสิ ุทฺธิ. (ไทย) ๕๙๒/๘๘๖-๘๘๗. ๓๘ วสิ ุทฺธิ. (ไทย) ๕๘๗/๘๘๑.

~ ๑๘ ~ ทางใจ)๓๙ ในขณะที่มหานิทานสูตรกล่าวถึงวิญญาณในลกั ษณะ ขา้ มภพชาติวา่ “ก็ถา้ วิญญาณจกั ไม่หยงั่ ลงในทอ้ งมารดา นามรูป จะก่อตวั ข้ึนในทอ้ งมารดาไดห้ รือ”๔๐ ซ่ึงวญิ ญาณในที่น้ี หมายถึง ปฏิสนธิวิญญาณ ส่วนในปัจจยจตุกกะ อกุศลจิต ๑๒ กล่าวไวว้ า่ จิต มโน มานสั หทยั ปัณฑระ มโน มนายตนะ มนินทรีย์ วญิ ญาณ วิญญาณขนั ธ์ มโนวิญญาณธาตุที่เหมาะสมกันน้ีเรียกว่า เพราะ สังขารเป็ นปัจจยั วิญญาณจึงมี๔๑ ซ่ึงมีความหมายครอบคลุมถึง วิญญาณหรือจิตทุกประเภท จึงครอบคลุมถึงปฏิสนธิวิญญาณใน การตีความตามแบบขา้ มภพชาติดว้ ย๔๒ คมั ภีร์วสิ ุทธิมรรคอธิบายเพ่มิ เติมวา่ “เพราะสงั ขารเป็ น ปัจจยั วญิ ญาณจึงมีน้นั ” วิญญาณในท่ีน้ีไดแ้ ก่ โลกียวิปากจิต ๓๒ ซ่ึงสงั ขารเป็นกมั มปัจจยั และอุปนิสสยปัจจยั แก่วปิ ากวญิ ญาณ ๓๒ ๓๙ ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๒/๖, อภิ.ว.ิ (ไทย) ๓๕/๒๒๗/๒๒๐. ๔๐ ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๑๕/๖๕. ๔๑ อภิ.ว.ิ (ไทย) ๓๕/๒๔๙/๒๓๔, ๒๕๑/๒๓๗, ๒๕๓/๒๓๘, ๒๕๕/๒๓๙, ๒๕๗/๒๔๑, ๒๕๙/๒๔๓, ๒๖๑/๒๔๔, ๒๖๓/๒๔๖, ๒๖๕/ ๒๔๘, ๒๖๗/๒๕๐, ๒๖๙/๒๕๑, ๒๗๑/๒๕๓, ๒๗๓/๒๕๕, ๒๗๕/ ๒๕๘, ๒๗๗/๒๖๐, ๒๗๙/๒๖๓. ๔๒ วชั ระ งามจิตรเจริญ, พทุ ธศาสนาเถรวาท, หนา้ ๑๙๐-๑๙๑.

~ ๑๙ ~ น้นั และเป็ นไปในส่วนปวตั ติกาล๔๓ สาหรับส่วนปฏิสนธิกาล๔๔ น้นั ไดแ้ ก่ ปฏิสนธิวญิ ญาณ ๑๙๔๕ ในปฏิจจสมุปบาททีปนีอธิบาย เพิ่มเติมว่า องค์ธรรมของวิญญาณน้ี แสดงเป็ น ๒ นัยคือ โดย อภิธรรมภาชนียนยั ไดแ้ ก่ จิต ๘๙ ซ่ึงหมายถึงจิตท้งั หมดท่ีเกิดข้ึน และโดยสุตตนั ตภาชนียนยั ไดแ้ ก่ โลกียวปิ ากจิต ๓๒๔๖ ความหมายแบบปัจจุบนั ชาติ จะเป็ นไปในส่วนปวตั ติ กาล ดงั ตวั อยา่ ง วญิ ญาณ ๖ ในเหตุการณ์ปัจจุบนั ชาติ ๔ นามรูป คาว่า นามรู ป จาแนกเป็ นคาว่า นามและรู ป นาม แปลว่า น้อม น้อมไปหา หมายถึง น้อมไปหาอารมณ์๔๗ที่มา กระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ในวิภงั คสูตรให้ความหมายวา่ ๔๓ ปวตั ติกาล หมายถึง เวลาต้งั แตฐ่ ิติขณะแห่งปฏิสนธิจิตเป็ น ตน้ ไปจนถึงจุติจิต. ๔๔ ปฏิสนธิกาล หมายถึง อปุ ปาทขณะแห่งปฏิสนธิจิตเพยี ง ขณะเดียวเท่าน้นั . ๔๕ วสิ ุทฺธิ. (ไทย) ๖๒๑/๙๑๒-๙๑๓. ๔๖ พระสทั ธมั มโชติกะ ธมั มาจริยะ, ปรมตั ถโชตกิ ะ ปฏิจจสมปุ บาททปี นี, หนา้ ๔๗. ๔๗ อารมณ์ คือ สิ่งท่ีจิตหรือวญิ ญาณรู้.

~ ๒๐ ~ นาม คือ เวทนา (ความเสวยอารมณ์) สัญญา (ความจาไดห้ มายรู้) เจตนา (ความจงใจ) ผสั สะ (ความกระทบหรือสัมผสั ) มนสิการ (ความกระทาไวใ้ นใจ) ซ่ึงทางอภิธรรมจดั ว่าเป็ นสัพพจิตตสา ธารณเจตสิก๔๘ และการท่ีพระสูตรอธิบายถึงเฉพาะเวทนา สัญญา เจตนา ผสั สะและมนสิการเท่าน้นั ๔๙ เนื่องจากองคธ์ รรมท้งั สามน้ี แสดงตวั ชดั เจนเด่นกว่าองค์ธรรมอ่ืน๕๐ ส่วนในสุตตนั ตภาชนีย์ กล่าวถึงนามขนั ธ์ ๓ คือ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ และสังขาร ขันธ์๕๑ ซ่ึงในทางอภิธรรมเรี ยกว่า เจตสิ ก คือ อาการหรื อ ๔๘ สัพพจิตตสาธารณเจตสิก คือ เจตสิกท่ีประกอบในจิตทุก ดวง ไดแ้ ก่ ๑.ผสั สะ ๒.เวทนา ๓.สญั ญา ๔.เจตนา ๕.เอกคั คตา ๖.ชีวติ ินทรีย์ ๗.มนสิการ ๔๙ ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๒/๗. ๕๐ ส.นิ.อ. (ไทย) ๒/๓๒, นันทพล โรจนโกศล, “การศึกษา วิเคราะห์แนวคิดเร่ืองขนั ธ์๕ กบั การบรรลุธรรมในพระพุทธศาสนาเถร วาท”, หนา้ ๑๐๖. ๕๑ อภิ.ว.ิ (ไทย) ๓๕/๒๒๘/๒๒๐, ๒๔๙/๒๓๔, ๒๕๑/๒๓๗, ๒๕๓/๒๓๘, ๒๕๕/๒๓๙, ๒๕๗/๒๔๑, ๒๕๙/๒๔๓, ๒๖๑/๒๔๔, ๒๖๓/๒๔๖, ๒๖๙/๒๕๑-๒๕๒, ๒๗๑/๒๕๓, ๒๗๗/๒๖๒, ๒๗๙/๒๖๓- ๒๗๕.

~ ๒๑ ~ พฤติกรรมของจิตหรือวิญญาณ๕๒กล่าวตามแนวอภิธรรม นาม หมายถึง เจตสิก ๓๕๕๓ที่ประกอบกบั โลกียวปิ ากจิต ๓๒๕๔ ส่วน รูป แปลว่า เปิ ดเผย ผนั แปร แตกสลาย หมายถึง รูปที่แปรสภาพออกไปเป็นส่ิงตา่ งๆไดม้ ากมาย มีความไมเ่ ที่ยง ไม่ ยง่ั ยนื เกิดแลว้ ดบั ไปตามเหตุปัจจยั ๕๕ ในวภิ งั คสูตร ท่ีเรียกวา่ รูป คือ มหาภูตรูป ๔ และ รูปท่ี อาศยั มหาภูตรูป ๔๕๖(อุปาทายรูป ๒๔)๕๗ เช่นเดียวกบั ที่กล่าวถึง ในสุตตนั ตภาชนีย์ แต่ในปัจจยั จตุกกะ อกุศลจิต ๑๒ กล่าววา่ รูป คือ ความแรกเกิดแห่งจักขายตนะ โสตายตนะ ฆานายตนะ ชิวหายตนะ และกายตนะ หรือรูปแมอ้ ื่นใดมีอยู่ ไดแ้ ก่ รูปท่ีเกิดแต่ ๕๒ บรรจบ บรรณรุจิ, ปฏิจจสมปุ บาท, หนา้ ๒๗-๒๘. ๕๓ เจตสิก ๓๕ ไดแ้ ก่ อญั ญสมานาเจตสิก ๑๓ และโสภณ เจตสิก ๒๒ (เวน้ อโลภะ, อโทสะ และปัญญา). ๕๔ พระสทั ธมั มโชติกะ ธมั มาจริยะ, ปรมตั ถโชตกิ ะ ปฏจิ จสมุปบาททปี นี, หนา้ ๕๔. ๕๕ บรรจบ บรรณรุจิ, ปฏจิ จสมุปบาท, หนา้ ๒๘, ๓๕-๔๒. ๕๖ ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๒/๗. ๕๗ อภิ.ว.ิ (ไทย) ๓๕/๒๒๘/๒๒๐.

~ ๒๒ ~ จิตมีจิตเป็ นเหตุมีจิตเป็ นสมุฏฐาน รูปท่ีมโนวิญญาณธาตุอาศยั เป็ นไป๕๘ ในวิสุทธิมรรคอธิบายว่า วิญญาณเป็ นปัจจยั ให้เกิด นามรูปน้นั มี ๒ ชนิด คือ วิปากวิญญาณ๕๙ และอวิปากวิญญาณ ซ่ึงพระสัทธรรมโชติกะเรียกวา่ กมั มวิญญาณ๖๐ ซ่ึงรูปท่ีเกิดข้ึนใน ปฏิสนธิกาลน้นั มีแต่กมั มชรูป โดยอาศยั กมั มวิญญาณในอดีตภพ และปฏิสนธิวิญญาณในภพปัจจุบนั เป็ นปัจจยั ส่วนรูปในปวตั ติ กาลมีไดท้ ้งั กมั มชรูปและจิตตชรูป การอธิบายนามรูปที่สื่อความแบบชาติปัจจุบัน คือ พฤติกรรมการทางานของวิญญาณ มีเวทนา สัญญา เจตนา ผสั สะ และมนสิการ ท่ีทาให้เกิดการปรุงแต่งวิญญาณให้เป็ นกุศลหรือ อกุศล และร่างกายท่ีทางานร่วมกบั วิญญาณหรือทางานตามคาสั่ง ของวิญญาณ กล่าวตามแนวอภิธรรมคือ เจตสิกหรือนามขนั ธ์ ๓ และรูปต่างๆที่เกิดข้ึนในขณะรับรู้อารมณ์ท่ีมาถึง พฤติกรรมต่างๆ ๕๘ อภิ.ว.ิ (ไทย) ๓๕/๒๕๓/๒๓๘, ๒๕๕/๒๔๐, ๒๖๑/๒๔๔- ๒๔๕, ๒๖๓/๒๔๗, ๒๖๕/๒๔๘, ๒๖๗/๒๕๐, ๒๖๙/๒๕๑, ๒๗๑/๒๕๓, ๒๗๓/๒๕๕, ๒๗๕/๒๕๘, ๒๗๗/๒๖๐-๒๖๑, ๒๗๙/๒๖๓. ๕๙ วปิ ากวญิ ญาณ ไดแ้ ก่ โลกียวปิ ากจิต ๓๒. ๖๐ พระสทั ธมั มโชติกะ ธมั มาจริยะ, ปรมตั ถโชตกิ ะ ปฏิจจสมุป บาททปี นี, หนา้ ๕๓.

~ ๒๓ ~ ที่เกิดข้ึนเป็ นกระบวนการทางานของเวทนาขนั ธ์ สัญญาขนั ธ์ และ สังขารขันธ์ ได้แก่ เจตนา ผัสสะและมนสิ การเป็ นต้น กับ พฤติกรรมต่างๆทางกายก็คือ รูปซ่ึงทางอภิธรรมเรียกวา่ จิตตชรูป หมาย ถึ งการเคล่ื อนไหวแล ะกา รกระ ทา ต่ าง ๆข องร่ า งกายใน ชีวติ ประจาวนั ๖๑ เรียกวา่ รูปที่เกิดจากจิต๖๒ ส่วนการอธิบายนามรูปท่ีส่ือความแบบขา้ มภพชาติคือ ในคมั ภีร์วิภงั คก์ ล่าววา่ รูป คือ ความแรกเกิดแห่งจกั ขายตนะ โส ตายตนะ ฆานายตนะ ชิวหายตนะ และกายายตนะ๖๓ ส่ือความ หมายถึ งนามและรู ปท่ีเกิ ดในปฏิสนธิ กาลได้ในกรณี การเกิดข้ ึน คร้ังแรกของอายตนะในชาติใหม่๖๔ ๖๑ วชั ระ งามจิตรเจริญ, พทุ ธศาสนาเถรวาท, หนา้ ๑๙๑. ๖๒ อภิ.ว.ิ (ไทย) ๓๕/๒๒๘/๒๒๐, ๒๔๙/๒๓๔, ๒๕๑/๒๓๗, ๒๕๓/๒๓๘, ๒๕๕/๒๓๙, ๒๕๗/๒๔๑, ๒๕๙/๒๔๓, ๒๖๑/๒๔๔, ๒๖๓/๒๔๖, ๒๖๙/๒๕๑-๒๕๒, ๒๗๑/๒๕๓, ๒๗๗/๒๖๒, ๒๗๙/๒๖๓- ๒๗๕. ๖๓ อภิ.ว.ิ (ไทย) ๓๕/๒๒๘/๒๒๐, ๒๔๙/๒๓๔, ๒๕๑/๒๓๗, ๒๕๓/๒๓๘, ๒๕๕/๒๓๙, ๒๕๗/๒๔๑, ๒๕๙/๒๔๓, ๒๖๑/๒๔๔, ๒๖๓/๒๔๖, ๒๖๙/๒๕๑-๒๕๒, ๒๗๑/๒๕๓, ๒๗๗/๒๖๒, ๒๗๙/๒๖๓- ๒๗๕. ๖๔ วชั ระ งามจิตรเจริญ, พุทธศาสนาเถรวาท, หนา้ ๑๙๑.

~ ๒๔ ~ ๕ สฬายตนะ คาวา่ สฬายตนะ แปลวา่ แดนติดตอ่ ๖ แดน๖๕ หมายถึง อายตนะ ๖ มีตาเป็ นต้นท่ีทางานร่วมกับนามรูปและวิญญาณ ในขณะรับรู้อารมณ์ตา่ งๆ๖๖ ในวภิ งั คสูตรอธิบายวา่ สฬายตนะมี ๖ ประการ คือ ๑. จกั ขายตนะ (อายตนะคือตา) ๒. โสตายตนะ (อายตนะคือหู) ๓. ฆานายตนะ (อายตนะคือจมูก) ๔. ชิวหายตนะ (อายตนะคือลิ้น) ๕. กายายตนะ (อายตนะคือกาย) ๖. มนายตนะ (อายตนะคือใจ)๖๗ แต่ในอรูปภพไม่มีอายตนะ ๕ ประการแรก มีแต่อายตนะที่ ๖ เท่าน้นั ๖๘ เช่นเดียวกบั ท่ีปรากฏในสุตตนั ตภาชนีย๖์ ๙ และอภิธรรม ภาชนีย๗์ ๐ การอธิบายความหมายของสฬายตนะจึงไม่แตกต่างกนั มากนกั ในการส่ือความหมายแบบขา้ มภพชาติหรือปัจจุบนั ขณะ ๖๕ บรรจบ บรรณรุจิ, ปฏจิ จสมุปบาท, หนา้ ๔๓-๔๕. ๖๖ วชั ระ งามจิตรเจริญ, พุทธศาสนาเถรวาท, หนา้ ๒๓๓. ๖๗ ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๒/๖-๗. ๖๘ อภิ.ว.ิ อ. (ไทย) ๒/๑/๕๒๕. ๖๙ อภิ.ว.ิ (ไทย) ๓๕/๒๒๙/๒๒๐. ๗๐ อภิ.ว.ิ (ไทย) ๓๕/๒๕๕/๒๔๐, ๒๖๓/๒๔๗, ๒๗๑/๒๕๔, ๒๗๙/๒๖๔.

~ ๒๕ ~ แต่การอธิบายความแบบขา้ มภพชาติจะมีความหมายครอบคลุม ภาพกวา้ งตลอดกระบวนการในช่วงปวตั ติกาล ส่วนการอธิบาย ตัว อ ย่ า ง แ บ บ ปั จ จุ บัน ช า ติ ส า ม า ร ถ จ ะ อ ธิ บ า ย ใ น แ ต่ ล ะ ช่ ว ง เหตุการณ์ได้ ๖ ผสั สะ คาว่า ผสั สะ แปลว่า ถูกต้อง หรือกระทบ ในทาง อภิธรรมหมายถึง ผสั สเจตสิกที่ประกอบกบั โลกียวปิ ากจิต ๓๒๗๑ คือ การกระทบกนั ระหวา่ งอายตนะภายในมีตาเป็ นตน้ กบั อายตนะ ภายนอกมีรูปเป็นตน้ ท่ีทางานร่วมกบั วญิ ญาณทางอายตนะท้งั ๖๗๒ ในวิภงั คสูตรอธิบายวา่ ผสั สะมี ๖ ประการ คือ ๑. จกั ขุ ผสั สะ (ความกระทบทางตา) ๒. โสตสัมผสั (ความกระทบทาง หู) ๓. ฆานสัมผสั (ความกระทบทางจมูก) ๔. ชิวหาสัมผสั (ความ กระทบทางลิ้น) ๕. กายสัมผสั (ความกระทบทางกาย) ๖. มโน ๗๑ พระสทั ธมั มโชติกะ ธมั มาจริยะ, ปรมตั ถโชตกิ ะ ปฏจิ จสมปุ บาททปี นี, หนา้ ๖๓, บรรจบ บรรณรุจิ, ปฏิจจสมปุ บาท, หนา้ ๔๕-๔๖. ๗๒ วชั ระ งามจิตรเจริญ, พทุ ธศาสนาเถรวาท, หนา้ ๒๐๘.

~ ๒๖ ~ สัมผสั (ความกระทบทางใจ) เช่นเดียวกบั ในสุตตนั ตภาชนีย์๗๓ และในอภิธรรมภาชนียอ์ ธิบายว่า ความกระทบ กิริยาที่กระทบ กิริยาท่ีถูกตอ้ ง ภาวะท่ีถูกตอ้ ง เรียกวา่ เพราะสฬายตนะเป็ นปัจจยั ผสั สะ ท่ีมีสฬายตนะเป็นเหตุจึงมี๗๔ ในการอธิบายความหมายผสั สะแบบข้ามภพชาติ หมายถึง ผสั สะที่เป็ นภาพรวมกวา้ งๆท้งั ชีวิต ส่วนในความหมาย แบบปัจจุบันชาติมีความหมายถึงผสั สะในชีวิตประจา เช่น อายตนะภายในคือตา กระทบกบั รูปารมณ์ การประจวบเหมาะกนั ระหวา่ ง อายตนะคือตา กบั รูปารมณ์ ทาให้เกิดการกระทบทางตา คือจกั ขผุ สั สะ เป็นตน้ ๗ เวทนา คาวา่ เวทนา แปลวา่ รู้ หมายถึงความรู้สึกสุข ทุกข์ และ เฉยๆ ท่ีเกิดจากการมีผสั สะ ในทางอภิธรรมคือ เวทนาเจตสิก๗๕ ในวภิ งั คสูตรอธิบายวา่ เวทนามี ๖ ประการ คือ ๑. จกั ขุ สัมผสั สชาเวทนา (เวทนาเกิดจากการสัมผสั ทางตา) ๒. โสต ๗๓ อภิ.ว.ิ (ไทย) ๓๕/๒๓๐/๒๒๑. ๗๔ อภิ.ว.ิ (ไทย) ๓๕/๒๖๓/๒๔๗. ๗๕ บรรจบ บรรณรุจิ, ปฏจิ จสมปุ บาท, หนา้ ๔๗-๕๐.

~ ๒๗ ~ สมั ผสั สชาเวทนา (เวทนาเกิดจากสมั ผสั ทางหู) ๓. ฆานสัมผสั สชา เวทนา (เวทนาเกิดจากสัมผสั ทางจมูก) ๔. ชิวหาสัมผสั สชาเวทนา (เวทนาเกิดจากสัมผสั ทางลิ้น) ๕. กายสัมผสั สชาเวทนา (เวทนา เกิดจากสัมผสั ทางกาย) ๖. มโนสัมผสั สชาเวทนา (เวทนาเกิดจาก สัมผสั ทางใจ)๗๖ เช่นเดียวกบั ในสุตตนั ตภาชนีย๗์ ๗ ส่วนในกาฬาร สูตรและเวทนาสูตรอธิบายวา่ เวทนามี ๓ ประการ คือ ๑.สุขเวทนา ๒. ทุกขเวทนา ๓. อทุกขมสุขเวทนา๗๘ พระสัทธมั มโชติกะไดอ้ ธิบายขยายความว่า เวทนา ๖ ท่ีเกิดข้ึนน้นั เกิดข้ึนโดยอาศยั ผสั สะเป็ นเหตุ๗๙ ดงั ปรากฏในคมั ภีร์ วิภงั ค์ว่า เพราะผสั สะเป็ นปัจจยั เวทนาที่มีผสั สะเป็ นเหตุจึงมี๘๐ โดยมีการเสวยอารมณ์ ๓ ประการคือ ๑. สุขเวทนา ความรู้สึก สบายกายสบายใจเม่ือไดป้ ระสบกบั อารมณ์ท่ีถูกใจ ๒. ทุกขเวทนา ความรู้สึกไม่สบายกายไม่สบายใจเมื่อไดป้ ระสบกบั อารมณ์ท่ีไม่ ถูกใจ ๓. อุเบกขาเวทนา ความรู้สึกเฉยๆเมื่อไดป้ ระสบกบั อารมณ์ ๗๖ ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๒/๖. ๗๗ อภิ.ว.ิ (ไทย) ๓๕/๒๓๑/๒๒๑. ๗๘ ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๓๒/๖๕, ส.ม. (ไทย) ๑๙/๒๙/๒๙, ๑๖๙/ ๙๘, ๑๙๒/๒๙๓, ๔๑๕/๒๗๒, ข.ุ อิติ. (ไทย) ๒๕/๕๒-๕๓/๔๐๕-๔๐๗. ๗๙ พระสทั ธมั มโชติกะ ธมั มาจริยะ, ปรมตั ถโชตกิ ะ ปฏิจจสมปุ บาททปี นี, หนา้ ๖๘-๗๐. ๘๐ อภิ.ว.ิ (ไทย) ๓๕/๒๕๗/๒๔๒.

~ ๒๘ ~ ปานกลาง๘๑ ในคมั ภีร์วสิ ุทธิมรรคไดอ้ ธิบายขยายความเรื่องเวทนา ในคมั ภีร์วภิ งั คเ์ พม่ิ เติมเวทนา ๕ คือ สุขเวทนา ทุกขเวทนา โสมนสั เวทนา โทมนัสเวทนา และอุเบกขาเวทนา๘๒โดยจาแนกตาม ประเภท เวทนามี ๘๙ อยา่ ง และเวทนาท่ีพระพุทธเจา้ ทรงประสงค์ จะแสดงคือ เวทนา ๓๒๘๓ ท่ีประกอบกบั วบิ ากจิตเทา่ น้นั ๘๔ การอธิบายความหมายแบบข้ามภพชาติ หมายถึง เวทนาที่ทาให้เกิดตณั หา อุปาทาน และเกิดการกระทาอนั เป็ นเหตุ ใหเ้ กิดในภพชาติใหม่ ส่วนการอธิบายแบบปัจจุบนั ชาติ หมายถึง เวทนาท่ีเกิดข้ึนในแต่ละขณะจิตในเหตุการณ์ประจาวนั อนั เป็ น เ ห ตุ ใ ห้ เ กิ ด ก า ร ก ร ะ ท า ด้ ว ย อ า น า จ ตัณ ห า อุ ป า ท า น เ กิ ด ภ า ว ะ พฤติกรรมตา่ งๆตอ่ ไป ๘๑ พระสทั ธมั มโชติกะ ธมั มาจริยะ, ปรมตั ถโชตกิ ะ ปฏิจจสมปุ บาททปี นี, หนา้ ๖๘-๗๐. ๘๒ วสิ ุทฺธิ. (ไทย) ๖๔๓/๙๔๔. ๘๓ เวทนา ๓๒ คือ เวทนาท่ีประกอบกบั โลกียวปิ ากวญิ ญาณ ๓๒ โดยถือสืบเนื่องมาจากวบิ ากวญิ ญาณ คือจิตท่ีเป็ นปัจจยปุ ปันนธรรม ของสงั ขาร โลกียวปิ ากวญิ ญาณน้ี มีเวทนาที่เกิดร่วมไดด้ ว้ ยเพยี ง ๔ คือ สุข เวทนา ทุกขเวทนา และอุเบกขาเวทนา ไม่มีโทมนสั เวทนา. ๘๔ วสิ ุทฺธิ. (ไทย) ๖๔๓/๙๔๔.

~ ๒๙ ~ ๘ ตณั หา คาว่า ตณั หา หมายถึงธรรมชาติที่ยินดีติดใจซ่ึงวตั ถุ กาม ในทางอภิธรรมคือ โลภเจตสิก๘๕ ในวภิ งั คสูตรอธิบายวา่ ตณั หามี ๖ ประการ คือ ๑. รูปตณั หา (ความทะยานอยากไดร้ ูป) ๒. สัททตณั หา (ความทะยานอยากไดเ้ สียง) ๓. คนั ธตณั หา (ความทะยานอยากไดก้ ลิ่น) ๔. รส ตณั หา (ความทะยานอยากไดร้ ส) ๕. โผฏฐพั พตณั หา (ความทะยานอยากไดโ้ ผฏฐพั พะ) ๖. ธมั มตณั หา (ความทะยานอยากไดธ้ รรมารมณ์)๘๖ เช่นเดียวกบั ในสุตตนั ตภาชนีย๘์ ๗ ส่ วนในทีฆนิกาย ปาฏิวรรค กล่าวถึงตัณหา ๓ เช่นเดียวกับในตณั หาสูตรอธิบายว่า ตณั หา ๓ ประการ คือ ๑. กามตณั หา (ความทะยานอยากในกาม) ๒. ภวตณั หา (ความทะยาน ๘๕ พระสทั ธมั มโชติกะ ธมั มาจริยะ, ปรมตั ถโชตกิ ะ ปฏิจจสมปุ บาททปี นี, หนา้ ๗๓. ๘๖ ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๒/๕, วสิ ุทฺธิ. ๖๔๔/๙๔๕, พระสทั ธมั ม โชติกะ ธมั มาจริยะ, ปรมตั ถโชตกิ ะ ปฏิจจสมุปบาททปี นี, หนา้ ๗๔. ๘๗ อภิ.ว.ิ (ไทย) ๓๕/๒๓๒/๒๒๑.

~ ๓๐ ~ อยากในภพ) ๓. วิภวตณั หา (ความทะยานอยากในวิภพ)๘๘ ส่วน ในคมั ภีร์วิภงั ค์อธิบายเพิ่มเติมว่ากามตณั หา คือ ความกาหนดั นกั แห่งจิตที่เกี่ยวดว้ ยกามธาตุ ภวตณั หา คือ ความกาหนดั นกั แห่งจิต ท่ีเกี่ยวกับรูปธาตุหรือเรียกว่า รูปตัณหา๘๙ และอรูปธาตุหรือ เรียกวา่ อรูปตณั หา๙๐ และวภิ วตณั หา คือ ความกาหนดั นกั แห่งจิต ที่สหรคตดว้ ยอุจเฉททิฏฐิ๙๑หรือเรียกวา่ นิโรธตณั หา๙๒ ในอรรถกถากล่าวโดยพิศดารถึงตณั หา ๑๘ และตณั หา ๓๖ ได้แก่ ตณั หา ๓ (กามตณั หา, ภวตณั หา, วิภวตณั หา) อาศยั อายตนะภายใน ๖ (๓ x ๖ = ๑๘) อาศยั อายตนะภายนอก ๖ (๓ x ๖ = ๑๘) ไดก้ ระแส ๓๖ สายที่ไหลไปในอารมณ์ท่ีมีรูปเป็ นตน้ ท่ีน่า ชอบใจ๙๓ เช่นเดียวกบั ในคมั ภีร์วสิ ุทธิมรรคและจาแนกเพิ่มเติมอีก ๘๘ ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๐๕/๒๖๓, ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๖๓/๑๒๑, ส. ม. (ไทย) ๑๙/๑๗๐/๙๘, องฺ.ฉกฺก. (ไทย) ๒๒/๑๐๖/๖๒๗. ๘๙ อภิ.ว.ิ (ไทย) ๓๕/๙๑๗/๕๗๔. ๙๐ อภิ.ว.ิ (ไทย) ๓๕/๙๑๗/๕๗๔. ๙๑ อภิ.ว.ิ (ไทย) ๓๕/๙๑๖/๕๗๓. ๙๒ อภิ.ว.ิ (ไทย) ๓๕/๙๑๘/๕๗๔. ๙๓ ข.ุ ธ.อ. (ไทย) ๘/๑๐.

~ ๓๑ ~ เป็ น ตณั หา ๑๐๘ ประการ คือ ในส่วนอดีต ๓๖ อนาคต ๓๖ และ ปัจจุบนั ๓๖๙๔ การอธิ บายความหมายตัณหาแบบข้ามภพชาติ หมายถึง ความทะยานอยากที่จะเกิดในโลกมนุษย์ โลกสวรรค์ แลว้ ยึดติดถือมนั่ ดว้ ยอุปาทานทาให้เกิดการกระทา(กรรมภพ)อนั เป็ นเหตุให้เกิดชาติใหม่ต่อไป ส่วนความหมายแบบปัจจุบนั ชาติ หมายถึง ความทะยานอยากในอารมณ์ท้งั ๖ ที่น่าใคร่ น่ายินดี (กามตณั หา) ความทะยานอยากในภพน้นั ๆ (ภวตณั หา) และความ ทะยานอยากในวภิ พ (วภิ วตณั หา) ซ่ึงเป็นปัจจยั ใหเ้ กิดอุปาทาน ๙ อุปาทาน คาว่า อุปาทาน แปลว่า ยึดมนั่ ๙๕ ในวิภงั คสูตรอธิบาย วา่ อุปาทานมี ๔ ประการ คือ ๑. กามุปาทาน (ความยึดมน่ั ในกาม) ๒. ทิฏฐุปาทาน (ความยดึ มน่ั ในทิฏฐิ) ๙๔ อภิ.ว.ิ อ. (ไทย) ๒/๑/๕๓๗, วสิ ุทฺธิ. (ไทย) ๖๔๔/๙๔๔- ๙๔๕. ๙๕ บรรจบ บรรณรุจิ, ปฏิจจสมปุ บาท, หนา้ ๖๑.

~ ๓๒ ~ ๓. สีลพั พตุปาทาน (ความยดึ มน่ั ในศีลพรต) ๔. อตั ตวา ทุปาทาน (ความยึดมน่ั ในวาทะว่ามีอตั ตา)๙๖ อรรถกถาจารย์ให้ คาอธิบายว่า กามุปาทานเป็ นตณั หาหลงั ที่เกิดข้ึนด้วยอานาจอุป นิ สยปั จจัยของตัณหา แรก ด้วยความยึดมั่นในตัณห า ๙๗ ประกอบด้วยโลภมูลจิต ๘ ดวง๙๘ ส่วนอุปาทาน ๓ ท่ีเหลือน้ัน ประกอบดว้ ยโลภมูลจิตที่สมั ปยตุ ดว้ ยทิฏฐิ ๔ ดวง๙๙ ส่วนในคมั ภีร์วภิ งั ค์ วา่ ดว้ ยอกุศลจิต ๑๒ อธิบายวา่ “ทิฏฐิ ความเห็นผิด ชัฏคือทิฏฐิ กันดารคือทิฏฐิ ความเห็นที่เป็ นขา้ ศึก ความเห็นโลเล สังโยชน์คือทิฏฐิ ความยึด มนั่ ความถือมนั่ ความถือร้ัน ความถือผดิ จากความจริง ทางชว่ั ทาง ผิด ภาวะที่ผิด ลทั ธิที่เป็ นบ่อเกิดแห่งความพินาศ ความยดึ ถือโดย วปิ ลาส น้ีเรียกวา่ เพราะตณั หาเป็ นปัจจยั อุปาทานจึงมี”๑๐๐ ในปรมตั ถโชติกะ ปฏิจจสมุปปาททีปนีให้คาอธิบาย คาวา่ อุปาทาน หมายถึง การยึดมน่ั ในสิ่งท่ีผิดโดยโลภะ และทิฏฐิ เม่ือตณั หาและทิฏฐิมีกาลงั แรงมากข้ึน กล่าวคือ การยนิ ดีติดใจใน ๙๖ ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๒/๕. ๙๗ อภิ.ว.ิ อ. (ไทย) ๒/๑/๕๔๐. ๙๘ อภิ.ว.ิ อ. (ไทย) ๒/๑/๕๔๓. ๙๙ อภิ.ว.ิ อ. (ไทย) ๒/๑/๕๔๑, ๕๔๓. ๑๐๐ อภิ.ว.ิ (ไทย) ๓๕/๒๔๙/๒๓๕.

~ ๓๓ ~ อารมณ์น้ันๆ อย่างไม่ยอมปล่อย เวลาน้ัน ตณั หาน้ันได้ช่ือว่า อุปาทาน และเมื่อเวลาท่ีมีความเห็นผิดน้ันติดแน่นแกไ้ ม่ได้แล้ว เวลาน้นั ทิฏฐิน้นั ก็ไดช้ ่ือว่า อุปาทาน๑๐๑ แสดงให้เห็นรายละเอียด เพ่ิมเติมว่า ในทางอภิธรรม อุปาทานคือโลภเจตสิก หรือตณั หาที่ แรงกลา้ ข้ึน และทิฏฐิเจตสิกที่ยดึ มนั่ ๑๐๒ไม่ยอมปล่อยวาง ยอ่ มเป็ น เหตุเป็นปัจจยั ก่อใหเ้ กิดภพข้ึนตามมา ก า ร อ ธิ บ า ย ค ว า ม ห ม า ย อุ ป า ท า น แ บ บ ข้า ม ภ พ ช า ติ หมายถึง ความยดึ มน่ั ถือมน่ั ในอารมณ์ท่ีติดใจยนิ ดีน้นั อยา่ งไม่ยอม ปล่อยวาง เป็ นเหตุให้ทากรรม เวียนว่ายตายเกิดต่อไป ส่วนการ อธิบายแบบปัจจุบนั ชาติ หมายถึง ความยดึ มน่ั ผกู พนั ในอารมณ์ท่ี พอใจดว้ ยอานาจของตณั หาและทิฏฐิในแต่ละสถานการณ์ ๑๐๑ พระสทั ธมั มโชติกะ ธมั มาจริยะ, ปรมตั ถโชตกิ ะ ปฏจิ จสมปุ บาททปี นี, หนา้ ๘๐-๘๑. ๑๐๒ วชั ระ งามจิตรเจริญ, พุทธศาสนาเถรวาท, หนา้ ๒๑๘

~ ๓๔ ~ ๑๐ ภพ (ภว) คาว่า ภพ แปลว่า เกิดมี เกิดเป็ น๑๐๓ ในคมั ภีร์วิสุทธิ มรรควนิ ิจฉยั ไวว้ า่ ธรรมใดยอ่ มเป็นเหตุน้นั ธรรมน้นั ช่ือวา่ ภพ๑๐๔ ในวภิ งั คสูตรอธิบายวา่ ภพมี ๓ ประการ คือ ๑. กามภพ (ภพท่ีเป็ นกามาวจร) ๒. รูปภพ (ภพท่ีเป็ นรูปาวจร) ๓. อรูปภพ (ภพที่เป็ นอรูปาวจร)๑๐๕ การอธิบายความหมายในวภิ งั คสูตรน้ีส่ือ นยั ยะแบบขา้ มภพชาติ ส่วนในคมั ภีร์วิภังค์กล่าวถึงภพ ๒ คือ ๑. กรรมภพ (ภพคือกรรม) ไดแ้ ก่ ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร และอเนญ ชาภิสังขารและ ๒. อุปปัตติภพ (ภพคือความเกิดข้ึน) ได้แก่ กามภพ รูปภพ อรูปภพ สัญญาภพ อสัญญาภพ เนวสัญญานา สัญญาภพ เอกโวการภพ จตุโวการภพ และปัญจโวการภพ๑๐๖ซ่ึง เป็นการอธิบายแบบขา้ มภพชาติ ส่วนในอญั ญมญั ญจตุกกะอธิบาย ว่า เวน้ อุปาทานแล้ว เวทนาขนั ธ์ สัญญาขนั ธ์ สังขารขนั ธ์ และ ๑๐๓ บรรจบ บรรณรุจิ, ปฏจิ จสมปุ บาท, หนา้ ๖๔. ๑๐๔ วสิ ุทฺธิ. (ไทย) ๖๔๖/๙๕๑. ๑๐๕ ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๒/๕. ๑๐๖ อภิ.ว.ิ (ไทย) ๓๕/๒๓๔/๒๒๑, อภิ.ว.ิ อ. (ไทย) ๒/๑/๕๔๔.

~ ๓๕ ~ วิญญาณขนั ธ์ น้ีเรียกวา่ เพราะอุปาทานเป็ นปัจจยั ภพจึงมี๑๐๗ ซ่ึงก็ คือนามขนั ธ์ ๔ สื่อนยั ยะที่ตอ้ งการอธิบายภพในลกั ษณะแบบชาติ ปัจจุบนั มากกวา่ ลกั ษณะแบบขา้ มภพชาติ๑๐๘ ในคัมภีร์วิสุทธิมรรคอธิบายเพ่ิมเติมว่า กรรมภพ เท่าน้นั ท่ีเป็ นปัจจยั ให้เกิดชาติ โดยเป็ นกมั มปัจจยั และอุปนิสสย ปัจจยั ส่วนอุปปัตติภพไม่สามารถเป็นปัจจยั ใหเ้ กิดชาติได๑้ ๐๙ ๑๑ ชาติ ในวิภงั คสูตรอธิบายว่า ชาติ คือ ความเกิด ความเกิด พร้อม ความหยงั่ ลง ความบงั เกิดเฉพาะ ความบงั เกิดข้ึนเฉพาะ ความปรากฏแห่งขนั ธ์ ความไดอ้ ายตนะ ในหมูส่ ัตวน์ ้นั ๆ ของสัตว์ เหล่าน้ันๆ๑๑๐เช่นเดียวกับในคมั ภีร์วิภงั ค์แต่มีเพิ่มเติมว่า ความ ๑๐๗ อภิ.ว.ิ (ไทย) ๓๕/๒๗๓/๒๕๗. ๑๐๘ วชั ระ งามจิตรเจริญ, พทุ ธศาสนาเถรวาท, หนา้ ๑๙๓- ๑๙๔, ๒๒๒. ๑๐๙ ดูรายละเอียดใน อภิ.ว.ิ อ. (ไทย) ๒/๑/๕๕๒, วสิ ุทฺธิ. (ไทย) ๖๕๑/๙๕๙. ๑๑๐ ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๒/๔, อภิ.วิ. (ไทย) ๓๕/๑๙๑/๑๖๓, ๒๔๙/ ๒๓๕.

~ ๓๖ ~ ปรากฏแห่งสภาวะน้นั ๆ น้ีเรียกวา่ เพราะภพเป็นปัจจยั ชาติจึงมี๑๑๑ ในความหมายของ “ความปรากฏแห่งสภาวะน้ันๆ” สามารถ หมายถึงได้ท้งั ความปรากฏรูปนามในภพใหม่และความปรากฏ ของรูปนามท่ีเกิดดบั ทุกขณะในชาติปัจจุบนั จึงสามารถส่ือนยั ยะ ได้ท้งั แบบชาติปัจจุบันและข้ามภพชาติ๑๑๒ ในคัมภีร์สัมโมหวิ โนทนีอธิบายพระบาลีที่วา่ ชาติปจฺจยา ชรามรณ ชาติเป็นปัจจยั แก่ ชรามรณะ หมายความวา่ ชาติเป็ นปัจจยั แก่ชรามรณะดว้ ยอานาจ อุปนิสสยปัจจยั เพียงอยา่ งเดียว๑๑๓ ส่วนในปฏิจจสมุปบาททีปนี อธิบายเพ่ิมเติมว่า ชาติเป็ นปัจจยั ช่วยอุปการะแก่ชรามรณะด้วย อานาจปกตูนิสสยปัจจยั ๑๑๔ ๑๒ ชรามรณะ ในวภิ งั คสูตรอธิบายวา่ ชรา คือ ความแก่ ความคร่าคร่า ความมีฟันหลุด ความมีผมหงอก ความมีหนงั เหี่ยวยน่ ความเส่ือม ๑๑๑ อภิ.ว.ิ (ไทย) ๓๕/๒๔๙/๒๓๕. ๑๑๒ วชั ระ งามจิตรเจริญ, พุทธศาสนาเถรวาท, หนา้ ๑๙๔. ๑๑๓ อภิ.ว.ิ อ. (ไทย) ๒/๑/๕๕๓. ๑๑๔ พระสทั ธมั มโชติกะ ธมั มาจริยะ, ปรมตั ถโชตกิ ะ ปฏิจจสมุปบาททปี นี, หนา้ ๑๓๕.

~ ๓๗ ~ อายุ ความแก่หง่อมอินทรีย์ ในหมูส่ ัตวน์ ้นั ๆของเหล่าสัตวน์ ้นั ๆ๑๑๕ ในคมั ภีร์วิภงั ค์ อกุศลจิต มีความแตกต่างจากในวิภงั คสูตรบาง ประการคือ กล่าวถึง ความเส่ือมอายุแห่งสภาวธรรมน้ันๆ๑๑๖ ซ่ึง ส่ือนยั ยะลกั ษณะแบบปัจจุบนั ขณะ ส่วนคาว่า มรณะในวิภงั คสูตรอธิบายวา่ คือ ความจุติ ความเคล่ือนไป ความทาลายไป ความหายไป ความตายกล่าวคือ มฤตยู การทากาละ ความแตกแห่งขันธ์ ความทอดทิ้งร่างกาย ความขาดแห่งชีวิตินทรียข์ องเหล่าสัตวน์ ้นั ๆจากหมู่สัตวน์ ้นั ๆ๑๑๗ ในคมั ภีร์วิภงั ค์อธิบายเพิ่มเติมถึง ความเสื่อมไป ความไม่เที่ยง ความหายไปแห่งสภาวธรรมน้ันๆ๑๑๘ ซ่ึงคาอธิบายที่ปรากฏใน พระอภิธรรมน้ีสามารถตีความหมาย มรณะ วา่ หมายถึง ความดบั ในแต่ละขณะของรูปนามในชาติปัจจุบนั ได๑้ ๑๙ จากคาอธิบายความหมายขององค์ธรรมท้ัง ๑๒ ที่ พระพุทธเจ้าทรงประทานไวน้ ้ัน บางองค์ธรรมเน้นส่ือความ ๑๑๕ ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๒/๔, ๓๓/๗๐, อภิ.ว.ิ (ไทย) ๓๕/๑๙๒/ ๑๖๔, ๒๓๖/๒๒๒. ๑๑๖ อภิ.ว.ิ (ไทย) ๓๕/๒๔๙/๒๓๖, ๒๗๓/๒๕๗. ๑๑๗ ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๒/๔, ๓๓/๗๐, อภิ.ว.ิ (ไทย) ๓๕/๑๙๓/ ๑๖๔, ๒๓๖/๒๒๒. ๑๑๘ อภิ.ว.ิ (ไทย) ๓๕/๒๔๙/๒๓๖, ๒๗๓/๒๕๗. ๑๑๙ วชั ระ งามจิตรเจริญ, พุทธศาสนาเถรวาท, หนา้ ๑๙๔.

~ ๓๘ ~ หมายถึงเร่ื องของชาติปัจจุบัน เช่น วิญญาณที่ทรงหมายถึง วิญญาณทางอายตนะท้งั ๖ ที่เกิดข้ึนรับอารมณ์ในชีวิตประจาวนั อยู่เป็ นประจา แต่ในคมั ภีร์วิภงั ค์ในปัจจยจตุกกะ อกุศลจิต ๑๒ กล่าวแตกต่างไปจากวภิ งั คสูตร คือ อธิบายวญิ ญาณครอบคลุมถึง ปฏิสนธิวญิ ญาณในลกั ษณะขา้ มภพชาติดว้ ย เป็นตน้ แต่บางองค์ธรรม เช่น นามรูปท่ีปรากฏในวิภงั คสูตร และคมั ภีร์วิภงั คส์ ื่อความหมายที่เน้นแบบขา้ มภพชาติ ในขณะท่ี องค์ธรรม ชาติและชรามรณะ ท่ีในวิภงั คสูตรหมายถึง ความแก่ และความตายของร่างกาย เพราะความหมายเช่นน้ีเป็ นการส่ือ ความในแบบขา้ มภพชาติ ไม่เกี่ยวกบั กระบวนการทางกายและ ทางจิตตลอดเวลาอย่างในปฏิจจสมุปบาทแบบชาติปัจจุบนั หรือ แบบชวั่ ขณะจิตเดียวดงั ท่ีปรากฏในคมั ภีร์วิภงั ค์ท่ีกล่าวถึง ความ เส่ือมอายแุ ห่งสภาวธรรมน้นั ๆ ดงั น้นั หลกั คาสอนเร่ืองปฏิจจสมุปบาทจึงสามารถส่ือ ความหมายไดท้ ้งั สองนยั ยะคือ ท้งั วงจรชีวติ แบบขา้ มภพชาติและ วงจรชี วิตแบบปั จจุ บันชาติ ซ่ึ งปรากฏชัดเจนในคัม ภี ร์ พระพุทธศาสนา จากพุทธพจน์ในวิภงั คสูตรและคมั ภีร์วิภังค์ รวมท้งั คาสอนอื่นๆ มีคาสอนเรื่องวฏั ฏสงสารและภพเป็ นต้น สนบั สนุนคาสอนทศั นะกระแสหลกั ของพระพุทธศาสนาเถรวาท

~ ๓๙ ~ ความสัมพนั ธ์ระหว่างองค์ธรรมในปฏจิ จสมุปบาท การอธิบายความสัมพนั ธ์ระหว่างองค์ธรรมในวิภงั ค สูตรกล่าวถึงความเป็ นปัจจยั ท่ีสัมพนั ธ์เกี่ยวเนื่องกนั และกันเป็ น ห่วงโซ่ หมุนวนไปสู่วงจรของความเกิดแห่งทุกข์ เช่นเดียวกบั ใน คมั ภีร์วิภงั ค์ สุตตนั ตภาชนียนยั สาหรับส่วนของอภิธรรมภาชนีย นยั น้นั อธิบายองคธ์ รรม ๑๒ ดว้ ย ๔ นยั คือ ๑. ปัจจยจตุกกะ ๒. เหตุจตุกกะ ๓. สัมปยตุ ตจตุกกะ ๔. อญั ญมญั ญจตุกกะ ในคมั ภีร์สัมโมหวโิ นทนีไดอ้ ธิบายขยายความในแตล่ ะ องคธ์ รรมวา่ มีปัจจยั ใดในปัจจยั ๒๔ เช่น อวชิ ชาเป็นปัจจยั ช่วย อุปการะอปุญญาภิสงั ขารดว้ ยอานาจปัจจยั ๑๕ มีเหตุปัจจยั เป็น ตน้ ๑๒๐ และตณั หาเป็ นปัจจยั ช่วยอุปการะอุปาทาน ๓ ดว้ ยอานาจ ปัจจยั ๗ มีเหตุปัจจยั เป็ นตน้ ๑๒๑ จากการอธิบายขยายความในคมั ภีร์สัมโมหวิโนทนีก ล่าวถึงภวจกั ร คือวงลอ้ ของสังสารวฏั ฏ์วา่ มีธรรม ๒ ประการ คือ อวิชชา และตัณหา เป็ นมูล๑๒๒ และได้ช้ีแจงเพ่ือป้องกันความ เขา้ ใจผิดพลาดจากหลกั พุทธธรรมในประเด็นของอวิชชาเป็ นมูล ๑๒๐ อภิ.ว.ิ อ. (ไทย) ๒/๑/๔๗๖. ๑๒๑ อภิ.ว.ิ อ. (ไทย) ๒/๑/๕๔๔. ๑๒๒ อภิ.ว.ิ อ. (ไทย) ๒/๑/๕๕๘.

~ ๔๐ ~ การณ์โดยอธิบายวา่ ในภวจกั รน้นั ไม่มีเบ้ืองตน้ ๑๒๓ อีกท้งั อวชิ ชาก็ ย่อมตอ้ งอาศยั ปัจจยั ให้เกิดข้ึนดังพุทธพจน์ท่ีว่า “อาสวสมุทยา อวิชฺชาสมุทโย” เพราะอาสวะเกิดข้ึน อวิชชาเกิดจึงข้ึน๑๒๔ ท่าน อุปมาอวิชชากบั อาสะว่าดงั ไก่เกิดจากไข่ และไข่เกิดจากไก่ คือ อาศยั กันและกนั เกิดข้ึนด้วยอานาจอญั ญมญั ญปัจจยั ๑๒๕เป็ นตน้ และช้ีแจงเพ่ิมเติมวา่ การจาแนกธรรมท้งั ๒ คือ อวชิ ชาและตณั หา เป็ นมูลน้ัน เพ่ืออธิบายแก่บุคคล ๒ กลุ่มคือ ภวจักรแรก เพื่อ อธิบาย บุคคลผูม้ ีทิฏฐิจริต ซ่ึงมีอวิชชาเป็ นตวั นาไปสู่สังสารวฏั ทรงแสดงเพื่อถอนอุจเฉททิฏฐิ และภวจกั รที่ ๒ เพื่อบุคคลผูม้ ี ตณั หาจริต ซ่ึงมีตณั หาเป็ นตวั นาไปสู่สังสารวฏั ทรงแสดงเพื่อ ถอนสัสสตทิฏฐิ๑๒๖ การอธิบายถึงความสัมพนั ธ์ระหวา่ งองคธ์ รรมในภว จกั รน้นั เป็นลกั ษณะแบบขา้ มภพชาติ มี ๓ กาล คือ อดีตกาล ปัจจุบนั กาล และอนาคตกาล ดงั น้ี ๑) อดีตกาล มีองคธ์ รรม ๒ คือ อวชิ ชา และสังขาร ๑๒๓ อภิ.ว.ิ อ. (ไทย) ๒/๑/๕๕๔. ๑๒๔ องฺ.ทสก. (ไทย) ๒๔/๖๑/๑๒๐, ม.มู.อ.(ไทย) ๑/๑/๖๐๓, อภิ.ว.ิ อ. (ไทย) ๒/๑/๕๕๔. ๑๒๕ อภิ.ว.ิ อ. (ไทย) ๒/๑/๔๔๕. ๑๒๖ อภิ.ว.ิ อ. (ไทย) ๒/๑/๕๕๘.

~ ๔๑ ~ ๒) ปัจจุบนั กาล มีองคธ์ รรม ๘ คือ วญิ ญาณ นามรูป สฬายตนะ ผสั สะ เวทนา ตณั หา อุปาทาน ภพ ๓) อนาคตกาล มีองคธ์ รรม ๒ คือ ชาติ และชรา มรณะ๑๒๗ ตอ่ จากการอธิบายเร่ือง กาล ๓ ในคมั ภีร์สมั โมหวิ โนทนีไดอ้ ธิบายเพิ่มเติมใหเ้ ขา้ ใจประเด็นไดช้ ดั เจนยงิ่ ข้ึนถึง ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งองคธ์ รรมคือ ระหวา่ งเหตุกบั ผล ท้งั ช่วงของ อดีต ปัจจุบนั และอนาคตดว้ ยการอธิบายเร่ืองสังคหะ ๔๑๒๘ ดงั น้ี ๑) อดีตเหตุ คือ อวชิ ชา และสงั ขาร เป็นสังคหะท่ี ๑ ๒) ปัจจุบนั ผล คือ วญิ ญาณ นามรูป สฬายตนะ ผสั สะ และเวทนา เป็นสงั คหะท่ี ๒ ๓) ปัจจุบนั เหตุ คือ ตณั หา อุปาทาน และภพ เป็น สงั คหะท่ี ๓ ๔) อนาคตผล คือ ชาติ และชรามรณะ เป็นสังคหะท่ี ๔๑๒๙ ๑๒๗ อภิ.ว.ิ อ. (ไทย) ๒/๑/๕๕๘, วสิ ุทฺธิ. (ไทย) ๖๕๓/๙๖๓- ๙๖๔. ๑๒๘ ในคมั ภีร์อภิธมั มตั ถสงั คหะ ท่านเรียกวา่ สงั เขป ๔. ๑๒๙ อภิ.ว.ิ อ. (ไทย) ๒/๑/๕๕๙.

~ ๔๒ ~ ในการอธิบายเหตุและผลจากอดีต ปัจจุบนั และอนาคต จะทาใหบ้ ุคคลเขา้ ใจถึงความสมั พนั ธ์ในลกั ษณะขา้ มภพชาติ คือ เหตุจากภพก่อน (อดีตชาติ) ดว้ ยอวชิ ชาเป็ นปัจจยั ให้เกิดสงั ขาร สงั ขารเป็นปัจจยั จึงทาใหเ้ กิดผลคือปฏิสนธิวญิ ญาณจนถึงเวทนา ในภพน้ี (ปัจจุบนั ชาติ) และดว้ ยอานาจของตณั หา อุปาทาน และ ภพ (กรรมภพ) ในปัจจุบนั ยอ่ มเป็นปัจจยั ใหเ้ กิด ชาติ (อุปปัตติภพ) ในอนาคตชาติ เป็นปัจจยั ใหเ้ กิดชรามรณะและทุกขท์ ้งั ปวง การ อธิบายดงั น้ีเป็นลกั ษณะ ๓ ภพชาติ ความสัมพนั ธ์ในระหวา่ งองคธ์ รรมสามารถเห็นได้ อยา่ งชดั เจนดว้ ยการอธิบายดว้ ยอาการ ๒๐ คือ ๑) อดีตเหตุ ๕ คือ อวชิ ชา สงั ขาร ตณั หา อุปาทาน และ ภพ ๒) ปัจจุบนั ผล ๕ คือ วญิ ญาณ นามรูป สฬายตนะ ผสั สะ และเวทนา (= ชาติ ชรามรณะ) ๓) ปัจจุบนั เหตุ ๕ คือ อวชิ ชา สังขาร ตณั หา อุปาทาน และภพ ๔) อนาคตผล ๕ คือ วญิ ญาณ นามรูป สฬายตนะ ผสั สะ และเวทนา (= ชาติ ชรามรณะ) ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งองคธ์ รรมในปฏิจจสมุปบาท สรุปไดด้ งั น้ี


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook