Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore aหนังสือทิพยอำนาจ

aหนังสือทิพยอำนาจ

Description: aหนังสือทิพยอำนาจ

Search

Read the Text Version

กระแสจิตฝา ยชัว่ โสฬสจิต ๑. สราคจิตต จิตเจอื รัก ๒. สโทสจิตต จติ เจอื ชงั กระแสจติ ฝา ยดี ๓. สโมหจิตต จติ เจอื หลง วตี ราคจิตต จติ หายรกั วตี โทสจติ ต จิตหายชงั กระแสจติ ฝายชัว่ วตี โมหจติ ต จิตหายหลง ๔. สังขิตตจติ ต๑ จติ หดหู กระแสจติ ฝา ยชั่ว กระแสจติ ฝา ยดี วกิ ขติ ตจติ ต จิตฟุงซาน ๕. มหัคคตจติ ต จติ กวา งขวาง ๖. อนุตตรจติ ต จิตยิ่งใหญ กระแสจิตฝายชวั่ ๗. สมาหติ จติ ต จิตตง้ั มั่น อมหคั คตจิตต จติ คบั แคบ ๘. วิมุตตจิตต จติ อิสระ สอตุ ตรจติ ต จติ ไมย่งิ ใหญ อสมาหติ จิตต จิตซัดสา ย อวิมตุ ตจิตต จิตตดิ ขดั . หมายเหต:ุ นเี้ รยี งลําดบั ตามมหาสตปิ ฏฐานสตู ร. จะอธบิ ายลักษณะจติ ๑๖ น้นั พอเปนทส่ี ังเกตของผศู ึกษาตอ ไป แตจะอธบิ ายฝา ยดกี อน จติ หายรัก หายชงั หายหลงน้ัน เปนจติ ทจ่ี างจากความรัก ความชัง และความหลง กลับคืน สสู ภาพเดมิ แทของจติ จึงจัดไวใ นฝายดี ตามธรรมดาปถุ ุชนทุกคนยอมมกี ิเลสเปน ปกติ แตก เิ ลส น้ันมิไดแสดงตัวใหปรากฏชัดๆ เสมอไปจะแสดงตัวใหปรากฏชัดกต็ อ เมือ่ มอี ารมณมาสมั ผัส ยั่วยวน กอ กวนข้ึนเทา น้ัน โดยปกตกิ ิเลสจงึ เปนเพยี งอนุสัย คอื นอนเนอ่ื งอยูในจติ ของปุถุชนอยางมิด เมย้ี นเหมอื นไมมกี เิ ลสอะไรเลย ลกั ษณาการตอนน้แี หละทเี่ รียกวา ปกตจิ ิตชนิดหนง่ึ เปนจิตปกติ ของปุถชุ น แตมิใชป กตจิ ติ ของพระขีณาสพ เพราะจิตของพระขีณาสพไมมอี นสุ ยั จิตปกตขิ อง ปถุ ชุ นนมี้ ีลักษณะไมรอน ไมรายแตป ระการใด คอ นไปทางลักษณะเยน็ เสยี ดว ยซํ้า เหมอื นนํ้าทม่ี ี ตะกอนนอนอยูภายใต เมือ่ นํ้าน้ันไมกระเพอื่ ม ยอ มมีลักษณะใส แตย งั มีตะกอนจมนอนอยู จงึ ไม เปน นํ้าใสสะอาดแท ขออปุ มานี้ฉันใด จิตใจทีห่ ายรัก หายชงั หายหลงก็ฉันนน้ั เพราะจิตยังไม ปราศจากกิเลสอยางเดด็ ขาด ยงั มสี วนแหงกิเลสเจืออยู เปนแตก เิ ลสไมฟ ุง จติ จงึ ใสในสภาพปกติ ของตนเทานน้ั อาจจะกลบั ขนุ ข้นึ เมอ่ื ไรกไ็ ด ในเม่อื ถูกกระเทอื น ฉะน้ัน จติ ปกติชนิดนี้จงึ หมายถึง จติ ทีย่ งั มกี เิ ลสอยู แตก ิเลสนอนไมฟ ฟู ุง ขน้ึ ครอบคลุมจิต จติ ในลักษณะสภาพเชน น้นั ยอมมกี ระแส ปกติไมรอนไมรา ย คอ นขา งมกี ระแสเยน็ สวนจิตเจือราคะ โทสะ โมหะ เปนจิตผดิ ปกติ คอื แปร สภาพไปสูค วามรกั ความชัง ความหลง ถกู ความรัก ความชงั ความหลง ครอบงํา ทําใหม ลี ักษณะ รอนรมุ กลัดกลมุ ลมุ หลงและขุนมวั เหมอื นน้ําเจือสีหรอื สงิ่ สกปรก ถกู กระทบกระเทือนเปนระลอก กระฉอกกระฉอ น ยอมขุนขน ไมผ องใส แลดูเงาไมเห็นฉะนั้น. จติ เจือความรัก ความชงั และความ ทิพยอาํ นาจ ๑๐๑

หลง เปน จติ รา ย มีลักษณะรอนตางๆ กัน คอื จิตเจือราคะมลี ักษณะรอนอบอนุ จิตเจือโทสะมี ลักษณะรอ นแผดเผา จติ เจอื โมหะมลี ักษณะรอ นอบอาว. สงั ขิตตจติ ต จติ ยอ หยอน หมายเอาจิตซึง่ ไมม อี ารมณรอน อารมณเ ย็นมายว่ั ยวนกอ กวน แตถ กู อารมณมดื อารมณมัวมารบกวน จิตปุถุชนนั้นเมือ่ ถูกอารมณมาสัมผัสยอมแตกกระจายซัด สายฟฟู ุงไปตามลกั ษณะของอารมณ เหมือนปุยนนุ หรอื สําลีทถ่ี ูกลมพดั ฉะนั้น จติ ที่ฟงุ ไปตาม อารมณเ ปนจิตเสยี ปกติ ยอ มมีกระแสรอ นรมุ ตามลักษณะของอารมณหรอื กิเลสทส่ี ัมปยุตตน้นั ๆ ถาสัมปยุตตดวยราคะก็คิดพลา นไปในกามารมณ ถาสมั ปยตุ ตดวยโทสะกค็ ิดพลา นไปในเร่อื ง หงุดหงิดขัดเคอื ง ถา สมั ปยตุ ตดวยโมหะอยางแรงก็คิดพลานไปในเรอ่ื งสงสัย ทําใหเ กิดอาการลังเล ใจ หวาดระแวงไปตา งๆ นานา แตถาอยูก ับโมหะทอ่ี อ นก็มืดกห็ ดตวั เปน จติ ออนกําลังซบเซาเซื่อง ซึมมืดมวั ยอ หยอน ไมป ราดเปรยี วกระฉับกระเฉงแขง็ แรง จิตใจตามสภาพธรรมดายอ มมีลักษณะ หดหเู ปนพักๆ สวนจติ ฟงุ ซานเปนจติ พลุงพลาน ไมดํารงตนเปนปกติ สมั ปยตุ ตไปดว ยอารมณ วนุ วายและกิเลส จึงจดั เปนฝา ยชัว่ มกี ระแสผดิ ปกตเิ ปน กระแสรอนอบอุน แผดเผา และอบอา ว อยางใดอยางหนงึ่ ตามลักษณะกิเลสท่ีเจือน้นั . มหัคคตจิตต จิตกวา งขวาง เปนจิตมีคุณธรรมเจือ คือ เปน สมาธิขน้ั อปุ จาระ มกี ระแสจิต แผกวางเปน ปรมิ ณฑลโดยรอบๆ ตัว มากนอยตามกาํ ลงั สมาธ.ิ ผูฝกหดั สมาธแิ บบนเี้ ม่อื จิตสงบลง ยอ มแผกระจายจิตออกไปโดยรอบๆ ตัว กาํ หนดเขตช่ัวรมไมห นง่ึ บรเิ วณวัด บริเวณหมูบา น ตําบล อาํ เภอ จังหวดั โดยลําดับไปจนสุดสามารถทจ่ี ะทาํ ได ทา นเรียกสมาธชิ นดิ น้วี า มหัคคตเจโตวิมตุ ติ จติ หลุดพนจากลักษณะคบั แคบ ถงึ ความใหญโ ตกวางขวาง คลา ยอปั ปมญั ญาเจโตวิมตุ ติ จิตหลดุ พน จากความชัง ถึงความรักในสรรพสัตว ไมมีเขตจาํ กัด ครอบคลุมโลกท้ังสนิ้ หมด มหัคคตจติ ตนี้ มีอาการแผจติ ออกไปกวา งเปน ปรมิ ณฑลโดยรอบ มใิ ชแผเ มตตาในสรรพสัตว จุดหมายของม หัคคตจติ ตอยทู ีต่ องการกาํ จัดความรูส กึ คับแคบองจิตเปนสําคญั จิตคบั แคบนนั้ เปนจิตเจอื ดว ย โทษ เปน ท่ีตง้ั แหงความเหน็ แกตวั มีความรสู กึ เศรา หมองไมเ บิกบาน เมือ่ ทําการเจรญิ จิตแบบแผ กวาง ยอมแกโทษดังกลาวลงได. อน่งึ จติ ในข้นั อุปจารสมาธแิ บบทวั่ ไปมีลกั ษณะกวางขวาง แก ความคบั แคบไดเชนเดยี วกัน เปนแตไมมีปริมณฑลกวา งไกลดังท่ีต้งั ใจทาํ ฉะนน้ั มหัคคตจิตตจงึ หมายเอาจติ เปน สมาธิขนั้ อุปจาระ มกี ระแสสงบและสวางเปนปรมิ ณฑลโดยรอบๆ ตวั มากนอ ย ตามกาํ ลงั ของการกระจายออก สว นอมหคั คตจติ ตเปน จิตตรงกันขา ม มีลักษณะคบั แคบ ไมมี กระแสสวาง เปน จิตซอมซอ เศราหมอง. อนตุ ตรจิตต จิตยงิ่ ใหญ เปนจิตมคี ุณธรรมเจือ คอื เปนสมาธขิ ้ันอัปปนาถึงความเปน เอกภาพ มีอํานาจในตัวเอง เปนอิสระในการงานของตน ไมร สู กึ วา มีอะไรเปน นายเหนือตนในขณะ อยใู นสมาธนิ ้นั จึงจดั วาไมมอี ะไรยงิ่ ใหญกวา จิตในฌานต้งั แตช้ันปฐมฌานขึ้นไปจนถงึ ช้ันสญั ญา- เวทยิตนโิ รธ ไดนามวา อนุตตรจิตตทง้ั หมด เพราะจติ ในฌานท้ังหมดเปน เอกภาพ ยิ่งในฌานช้ันสูง ย่งิ มเี อกภาพสมบูรณ จติ ที่เปน เอกภาพยอมมีลกั ษณะองอาจกลา หาญ ไมค ร่ันครา มตอ อะไร หาย หวาดหายกลัวหายสะดุง มกี ระแสหนกั แนนและสวา งไสว สวนจติ ใจท่ีไมเ ปนเอกภาพยอ มรสู กึ เหมอื นเปนทาสของสิ่งตา งๆ อยูโ ดยปกติ มหี วาดมีกลวั มีสะดงุ สะเทือนใจอยเู นืองๆ จึงเรยี กวา ทิพยอํานาจ ๑๐๒

สอุตตรจติ ต จติ ท่ีไมย่ิง โดยความก็คอื จติ เปนทาส ไมเปนไทยแกต วั ยอมมลี กั ษณะออนแอ อาจถกู ปน ถกู หมุนไปไดทกุ ๆ ทาง มีกระแสเบาๆ ไมหนักแนน และไมส วางไสว. สมาหิตจติ ต จติ ตงั้ ม่นั เปน จติ เจือดวยคณุ ธรรม คอื ถงึ ความเปน อเนญชา เพราะไดรับการ ฝก ฝนอบรมดว ยคณุ ธรรมตางๆ มีสตปิ ญ ญาสามารถดํารงรกั ษาตวั ไดด ี ไมห วัน่ ไหวตออารมณห รือ กิเลสใดๆ ท่มี าสมั ผัส มีอุเบกขาธรรมในส่ิงน้ันๆ เสมอไปท่ที า นกลา วไววา อเนญชจิตต ๑๖ ประการ เปน เคามลู ของฤทธ์ิ ดังกลา วในบทที่ ๕ แลว จติ ดังกลา วน้มี ีลักษณะมั่นคง เทย่ี งตรง ไมเอนเอียง ไมหวัน่ ไหวและแจม ใสเสมอ มีกระแสหนกั แนนดูดดื่มซาบซง้ึ และเยน็ ๆ สวนอสมาหติ จติ ต จิตไม ตัง้ ม่ันน้ันมลี ักษณะตรงกนั ขามทกุ ประการ คอื เปนจิตกลับกลอกเปน จิตใจท่ีไมดี เสียคณุ ภาพ ไม เปนตนของตน ตกเปนทาสของอารมณและกิเลส มลี กั ษณะมดื มัว วูบวาบไปมา. วมิ ตุ ตจติ ต จติ เปนอสิ ระ เปนจติ เจือดว ยคณุ ธรรมสงู คอื หลุดพนจากสง่ิ ขดั ของ ถึงความมี อิสระแกตัว อยูไดตามใจประสงค ไมตองพะวงวาจะมใี ครมาขมเหง ตองการอยสู บายดวยวิหาร ธรรมใดๆ กอ็ ยูไดต ามใจประสงค น้ีกลา วหมายถึงวิมุตตจติ ตช้ันสูง สว นการพนจากกเิ ลสของจติ ใจ เพยี งช่ัวขณะกด็ ี ขมปราบไวนานๆ ก็ดี พน เพยี งบางสวนกด็ ี กย็ อ มทาํ ใจใหร สู ึกปลอดโปรง เปน อิสระตามสมควรแกความพนนัน้ ๆ ซ่ึงตรงกันขามกบั จติ ขดั ขอ ง ตดิ ขัดในส่ิงตา งๆ ใหร สู กึ วา ตนไมม ี อิสรภาพแกตวั ไมเปนตนของตน ตอ งคอยฟงบงั คับบญั ชาของนายคือกเิ ลสหรอื อารมณอยเู สมอ ความเปน อสิ ระของจิตเปนคณุ ธรรมท่ีดี เปนทีพ่ ึงปรารถนาในพระพทุ ธศาสนา พระบรมศาสดา ทรงวางวิธีการปฏิบัติไวโ ดยอเนกปริยายกเ็ พอ่ื ใหบรรลถุ งึ ความมอี สิ ระของจิตน่ีเอง ผบู รรลุถงึ ข้ัน อิสระสูงสดุ แลว ยอ มรูสกึ ตวั วาพนจากอํานาจถวงใหจ มด่ิงลงสเู หวนรกแลว โลง ใจ เบาใจท่สี ุด พระพทุ ธองคเม่อื ทรงบรรลถุ ึงภูมิอิสรภาพเต็มทนี่ ้ีแลว ทรงยับยัง้ อยูดว ยความสงบเปนเวลานานถงึ ๗ สปั ดาห ทเ่ี รยี กวา เสวยวมิ ุตติสขุ ไมปรากฏวาเสวยพระกระยาหารเลยตลอดเวลาที่พกั สงบอยู น้ัน จนถึงสัปดาหสุดทา ยในวันคํารบ ๗ จงึ ทรงรับขาวสตกู อ น-สตผู งของสองพาณิช คือ ตปสุ สะ และ ภัลลิกะ ซง่ึ บังเอิญเดนิ ทางไปคาขายไปพบเขา เกิดความเลอื่ มใสศรทั ธาปฏญิ าณตนเปน อบุ าสกแรกท่ีสดุ ในพระพุทธศาสนา จติ ใจที่บรรลุถงึ ขน้ั อสิ รภาพสูงสุดยอมมีลักษณะสวางสดใส ที่สุด ดุจดงั แกวมณโี ชติฉะนนั้ และมกี ระแสดึงดูดอยางแปลกประหลาด สามารถโนมนาวจิตใจของ ผไู ดพ บเหน็ ใหออนโยนลงไดง าย สวนจิตทม่ี ลี ักษณะติดขดั ไมเ ปน อสิ ระแกต ัวนั้น ยอมมีกระแสให รสู ึกอึดอดั ในใจ ไมปลอดโปรงในใจ มีกระแสมัวซวั . บุคคลผมู เี จโตปรยิ ญาณ ตองผา นการฝก ฝนอบรมจิตตามหลกั จิตตานุปสสนาสตปิ ฏ ฐาน ดงั กลา วมานี้ เมอ่ื สามารถตามรตู ามเห็นจติ ใจของตนทุกๆ อาการท่ีเปล่ยี นแปลงไปซง่ึ ลกั ษณะ ใหญๆ ๑๖ ลกั ษณะนน้ั แลว แมลักษณะปลีกยอ ยออกไปกจ็ ะรูเ ห็นไดท กุ ลักษณะไป เมื่อรจู กั จิตใจ ของตนดีแลว ยอ มรูจ ติ ใจของผูอ น่ื ไดดเี ชนเดียวกนั เพราะจิตมีกระแสกระจายออกจากตวั เปน ปริมณฑลโดยรอบดงั กลา วมาแลว ผฝู ก จติ ใจไดดแี ลวยอมเหมอื นสรางเครื่องรบั วิทยุไวร บั กระแส เสียงทีก่ ระจายมาตามอากาศฉะน้ัน บคุ คลผูไมฝกฝนอบรมจติ ใหด แี ตตอ งการรูจิตใจของผูอ่ืนนั้น ยอมมิใชฐ านทจ่ี ะเปนได เหมือนไมมเี ครอื่ งรับวิทยุ หรือเคร่ืองรบั วทิ ยุเสยี แตตอ งการฟง เสียงซึ่ง กระจายมาตามอากาศจากระยะไกลเกินวสิ ยั หธู รรมดานัน้ ยอมมิใชฐานะทจี่ ะเปนไปไดฉะนัน้ เหตุ ทพิ ยอาํ นาจ ๑๐๓

น้นั ผตู องการรจู ติ ใจผอู นื่ พึงฝก หดั สงั เกตจิตใจตนเองใหทราบชดั ทกุ ลักษณาการเสยี กอน ตามหลัก จิตตานุปสสนาสติปฏ ฐาน แกไขปรับปรุงลักษณาการทไ่ี มดขี องจติ ใจเสยี ใหม ใหกลายเปนจติ ใจมี ลักษณะดี สงเสริมสว นท่ีดใี หดียิ่งข้ึนไปจนถึงทีส่ ุดเปนจติ ตวมิ ุตติ หลดุ พนจากความเปน ทาส ถงึ ความเปน ไทย มอี สิ รภาพเต็มท่ี มคี วามเปนตนของตนทกุ เมอ่ื มีอํานาจเหนือกเิ ลสและอารมณท ุก ประการกจ็ ะบรรลุถงึ ทพิ ยอาํ นาจ คือเจโตปรยิ ญาณสมดังความประสงค. ตามทบี่ รรยายมานี้ วา โดยเจโตปริยญาณอยา งสูง เม่อื จะกลาวโดยปรยิ ายอยา งต่าํ ผฝู กฝน อบรมจิตใจไดค วามสงบใจแมเพียงชนั้ อปุ จารสมาธิ ก็สามารถกาํ หนดรูกระแสจิตของผอู ื่นในช้ัน เดียวกนั และตาํ่ กวาลงไปได โดยนยั นี้ไดค วามวา ผฝู ก ฝนจิตยอ มมเี จโตปริยญาณเปนบําเหน็จ ความชอบเรอ่ื ยไปจนถึงชน้ั สูงสุด ไมตอ งทอ ใจวาเปน สงิ่ เกนิ วสิ ยั ของคนธรรมดา คนสามัญธรรมดา ก็สามารถมไี ด ถา เอาใจใสส งั เกตใจตนเองอยูบอ ยๆ ความขอนี้พึงเห็นเชน คนเราเมื่อแรกพบปะกนั ยอ มรูสึกชอบหรอื ชงั กันได ทั้งๆ ทย่ี ังมิไดแสดงกริ ยิ าอาการหรือการกระทาํ ใหเปน ท่นี าชอบหรอื นา ชัง ทงั้ นเี้ ปนเพราะจติ ยอ มรจู ักจติ อยโู ดยธรรมดาแลว บคุ คลทมี่ ีกระแสจิตไมดเี มือ่ เราพบเห็นเขา เราจะรสู กึ ไมชอบขึน้ มาทนั ที สวนผมู กี ระแสจิตที่ดเี มอ่ื เราพบเห็นเขาเราจะรูส กึ ชอบข้ึนมาทนั ที เหมือนกัน สวนผูมกี ระแสจติ ปกติไมดีไมรายนนั้ เม่ือเราพบเห็นเขา เรากร็ สู กึ ปกตเิ ฉยๆ ไมเ กลียด ชัง ทง้ั ไมร ูสึกชอบดวย แตผูศกึ ษาอยา ลืมวา ความรูส กึ ชอบ ไมชอบ หรอื เฉยๆ นเ้ี กดิ จากกิเลสของ ตัวเองกม็ ี ทจ่ี ะรไู ดแนว ามใิ ชเกิดจากกเิ ลสของตวั เองก็ตอ งสังเกตรปู กตจิ ติ ของตนอยูเสมอ ซงึ่ รับรองตวั เองไดวา ความรูส กึ ที่เกิดขนึ้ นนั้ มไิ ดเกดิ จากกิเลสของตัว เปน ความรูส ึกทางกระแสสัมผสั ท่ีผา นมาสมั ผสั กบั จิตใจของตนเขาเทา น้ัน. การรจู กั จิตใจของผอู นื่ นอกจากรไู ดทางกระแสสัมผสั อนั เปน วิสยั ของเจโตปรยิ ญาณ โดยเฉพาะแลว ยอมรูไดทางทพิ พจกั ษซุ ง่ึ จะกลาวขางหนา เพราะวา จิตใจของคนเราเปนธาตชุ นดิ หนง่ึ ซึ่งมีความรูเปนลักษณะ เรยี กวามโนธาตุ แปลวา ธาตรุ ู ธาตุรนู ี้ประกอบดว ยแสงสีและกระแส ธรรมดาวาแสงยอมมลี ักษณะตา งๆ กัน สวางมากนอยตางกัน แสงยอ มมสี ีประกอบเปน ลกั ษณะอีก ดว ย เหมือนแสงไฟยอมเจอื ดว ยสอี นั เกิดจากเช้อื ตางกันฉะนน้ั เทวดารจู ักกนั วามศี ักดานุภาพมาก นอ ยกวากนั ดวยสังเกตแสงสขี องจิตนี่เอง เพราะทวยเทพไมมีรางหยาบเปน เครอื่ งปดบัง แสงสขี อง จิตยอมปรากฏชัด นอกจากแสงประกอบดว ยสีแลว ยงั ประกอบดวยกระแสดังกลาวมาแลว อกี ดว ย ถา เราสงั เกตใหด จี ะทราบไดว า ในขณะทีเ่ ราไดสัมผัสกับแสงนั้นๆ เราจะรูร สสมั ผสั ข้ึนตา งๆ กัน เชน แสงสวางสนี วลใหเกิดความรูส ึกชืน่ ใจ เบิกบานใจเปนตน ฉะนั้นจติ จงึ ประกอบดว ยแสงสีและ กระแสดังกลาวแลว ผมู ที ิพพจกั ษเุ หน็ แสงจติ ประกอบดวยสีชนิดใดๆ แลวยอ มลงความเห็นไดวา เปน จติ ชนดิ ใด เจอื ราคะหรอื โทสะโมหะประการใด โดยอาศัยความสังเกตแสงสีจติ ของตนเอง เชนเดยี วกนั ขอนีจ้ ะไดก ลาวละเอยี ดในบทวาดวยทิพพจกั ษขุ า งหนา. การกําหนดรูจ ติ ใจของผูอ ืน่ น้ัน เม่อื วา โดยลักษณะของเจโตปรยิ ญาณท่แี ทจ ริงแลว รูไดท าง กระแสสมั ผสั ทางเดียว แตธ รรมดาผฝู ก ฝนจิตใจยอมเกดิ ญาณความรูหลายประการดวยกนั จึงอาจ รูแมโ ดยประการอ่ืนดว ยอาํ นาจความรูอื่นๆ กไ็ ด พระอาจารยภ ูริทตั ตเถระ (ม่ัน) อาจารยของ ทิพยอํานาจ ๑๐๔

ขา พเจา ไดใหข อ สังเกตไวว า ญาณความรทู ่ีเกิดข้นึ ในการกําหนดรเู หตุการณ อปุ นิสัยใจคอของผูอ่ืน นน้ั มี ๓ อยา ง คือ ๑. เอกวธิ ัญญา รโู ดยสวนเดียว หมายความวา เกดิ ความรสู กึ ข้นึ ทางใจทเี ดียว เชนรวู า จะมี เหตุการณอ ยา งนั้นๆ ในวันนนั้ วันนี้ หรอื เมอื่ นั้นเมอื่ โนน แมเ หตกุ ารณท ก่ี ลา วมาแลวแตค รงั้ ไหนๆ ซง่ึ คนในสมัยปจ จุบนั ลืมกนั หมดแลวกเ็ ชนเดยี วกัน สว นอปุ นิสัยจติ ใจของคนก็รไู ดทางใจข้นึ มา เฉยๆ เชนเดียวกัน. ๒. ทวุ ธิ ัญญา รโู ดยสว นสอง คอื มภี าพนิมติ ปรากฏข้ึนมากอ น แลว จึงรคู วามหมายของ นิมติ น้ันอกี ท.ี ๓. ตวิ ธิ ัญญา รูโดยสว นสาม คอื มีภาพนมิ ติ ปรากฏขึ้นกอ นแลว แลวตองกําหนดถามในใจ เสยี กอ นเขาสคู วามสงบจนถงึ ฐีตจิ ิต ถอยออกมาถงึ ข้ันอุปจาระ จึงสามารถรูเรอ่ื งตามนมิ ิตที่ปรากฏ นน้ั . ตามลักษณะความรู ดงั ทที่ านอาจารยใหขอสงั เกตไวนี้ มิใชรดู วยญาณเพียงอยางเดยี ว เปน การรูดวยญาณหลายอยา ง มที ั้งเจโตปริยญาณ มที ัง้ ทพิ พจักษุญาณประกอบกนั นอกนั้นกม็ ญี าณ เล็กๆ นอยๆ ท่ีทานเรยี กวา อนาคตังสญาณ และอตตี งั สญาณ เปนตน ซง่ึ ญาณความรตู า งๆ นัน้ ยอมเกดิ แกผมู ีจติ ใจผอ งแผวเสมอ เมือ่ จะกลา วถึงจดุ รวมของญาณตางๆ ก็ไดแ กจ ิตใจบริสทุ ธิ์ผอง ใสนัน่ เอง เมือ่ ฝก ฝนอบรมใจใหบริสทุ ธ์ิผอ งใสแลว มใิ ชแตเจโตปรยิ ญาณเทา น้ันจะเกดิ ขึ้น แม ญาณอ่ืนๆ กจ็ ะเกิดข้ึนดวยตามสมควรแกก าํ ลงั วาสนาบารมี และประโยคพยายาม จิตใจทีบ่ รสิ ทุ ธ์ิ ผองใสน้ันถาจะสมมติชือ่ ข้นึ ใหมใ หส มกับลักษณะทแ่ี ทจริงแลว กอ็ าจสมมตไิ ดว า ใจแกว เพราะมี ลกั ษณะใสเหมือนแกว มณโี ชติ ถา ฝกฝนใจถงึ ชัน้ ใจแกว แลว ภาพเหตกุ ารณท ่ผี านมายอมแสดงเงา ขน้ึ ทใ่ี จแกวเสมอไป เหมอื นเงาปรากฏที่กระจกเงาฉะนัน้ ใจแกว จึงเปนจดุ ศูนยร วมของญาณทกุ ประการ ผตู องการญาณพิเศษตา งๆ พึงฝก ฝนจิตใจใหบริสทุ ธผ์ิ ดุ ผอ งเหมือนแกวมณีโชติ กจ็ ะ สาํ เร็จดังมโนรถทุกประการ. วธิ ีปลกู สรา งเจโตปริยญาณ ไมม ีอะไรดีวิเศษไปกวาจิตตานุปสสนาสติปฏ ฐานดังกลา วแลว ฉะนน้ั จงึ เปนอันวาจบเร่อื งท่ีกลาวในบทนี้แลว ผูศกึ ษาทต่ี องการเจโตปริยญาณพงึ ฝกหดั ตามหลกั จติ ตานุปส สนาสติปฏฐานน้นั เถิด จะสมหวงั โดยไมยากเยน็ เลย. ทิพยอาํ นาจ ๑๐๕

บทท่ี ๘ วธิ สี รา งทพิ ยอาํ นาจ ทพิ พโสต หทู พิ ย ทพิ ยอํานาจขอนี้ หมายถึงความสามารถรับฟงเสยี ง ๒ อยาง คือ เสยี งทิพยและเสยี งมนษุ ย ได ทั้งในทใ่ี กล ทง้ั ในทไ่ี กล ดว ยโสตธาตทุ พิ ยอนั บริสุทธ์เิ กินกวา โสตธาตุของมนุษย ทา นเรียกชอื่ ทิพยอํานาจขอ นว้ี า ทิพพโสตธาตุญาณ แปลวา ความรทู างโสตธาตุญาณทพิ ยบ รสิ ทุ ธิบ์ า ง เรยี ก สั้นๆ ดงั ตง้ั เปนหัวขอ ขา งบนนี้บา ง รวมใจความเขา ก็คอื หทู พิ ยน ั่นเอง. ธาตุวเิ ศษในรางกายมนุษย ซ่ึงสามารถรบั รสู ่งิ ที่เปน วิสัย ทา นจดั ไว ๖ ประการ คือ ๑. จักขธุ าตุ ธาตุตา มีความสามารถในการเห็นรูป. ๒. โสตธาตุ ธาตุหู มีความสามารถในการฟง เสยี ง. ๓. ฆานธาตุ ธาตจุ มูก มคี วามสามารถในการดมกล่นิ . ๔. ชิวหาธาตุ ธาตุล้นิ มีความสามารถในการลม้ิ รส. ๕. กายธาตุ ธาตกุ าย มีความสามารถในการรบั สัมผัสสิ่งซง่ึ มาสัมผสั และ ๖. มโนธาตุ ธาตใุ จ มคี วามสามารถรบั รูธ รรม คอื สงิ่ ท่ีเกิดข้ึนทางใจ. ธาตเุ หลา นท้ี า นเรยี กวา อินทรยี ธาตุ แปลวา ธาตุคอื อินทรยี  หรือธาตุท่ีเปนใหญ ทา นวา เปน ผลของกรรมท่ีทาํ ไวแตช าตกิ อ น ผทู าํ บุญไวกไ็ ดธาตุเหลานสี้ มบรู ณดี ผูทาํ บาปไวก ไ็ ดธาตุเหลาน้ี บกพรอ ง ธาตุทงั้ ๖ น้ีจงึ มีดีเลวตามลกั ษณะของบุญบาป ซ่งึ เปนผูแตง อารมณอันเปน วิสัยของ ธาตทุ ั้ง ๖ นั้น ทา นก็จดั ไว ๖ ประการเชน เดยี วกัน คือ ๑. รปู ธาตุ ธาตุรปู อันเปนวสิ ัยของตาจะพึงเห็น ๒. สัททธาตุ ธาตเุ สียง อันเปน วิสัยของหจู ะพังฟง ๓. คนั ธธาตุ ธาตกุ ลิ่น อนั เปน วสิ ัยของจมูกจะพึงดม ๔. รสธาตุ ธาตรุ ส อนั เปนวิสยั ของล้ินนะพงึ ลม้ิ ๕. โผฏฐพั พธาตุ ธาตุทีพ่ งึ ถูกตอง อนั เปนวิสยั ของกายจะพงึ สมั ผัส ๖. ธมั มธาตุ ธาตธุ รรม อันเปนวสิ ัยของใจจะพึงรู. ธาตุทง้ั ๖ นี้ ยอ มมีท้งั ในรางกายตัวเอง ทั้งในรา งกายของผูอ่นื สง่ิ อ่นื เมื่อมาสัมผสั กบั ธาตุ ภายในทัง้ ๖ นั้น จะเกิดเปนกระแสสะเทอื นใจ กต็ อเมือ่ วญิ ญาณธาตุ คือธาตรุ บั รอู ารมณซ ึ่งมี ประจําทวาร ๖ ทาํ หนา ท่ีรับรูเสียกอ น ถา วญิ ญาณธาตุไมท าํ หนาทรี่ บั รูแมจ ะไดเหน็ ไดย นิ เปน ตนก็ สกั วาไดเ หน็ ไดยินเปนตนเทานั้น ไมก อใหเ กิดความรูสึกสะเทือนใจแตประการใด เชน ในเวลาเรา กําลังคดิ อะไรเพลินๆ อยู มีอะไรมาผา นสายตาเราเราก็เห็น แตไมร ูสึกวิเศษข้ึนไปกวาน้ัน ฉะน้ัน วิญญาณธาตจุ งึ เปนสือ่ สําคญั ทใี่ หเ กิดความสะเทอื นใจทีเ่ รยี กวา ผัสสะ วิญญาณธาตนุ ีท้ า นกจ็ ัดเปน ๖ และเรียกช่อื ตามทวาร ๖ เชน จกั ขวุ ิญญาณธาตุเปนตน ๖ คูณดวย ๓ จึงเปน ๑๘ ธาตุนจี้ ดั เปน อารมณของวิปส สนาทพ่ี งึ ทาํ การศึกษาสาํ เหนยี กใหรแู จงเห็นจริง เพ่อื ทาํ ลายรงั ของอวิชชา เพราะวาเม่อื ไมรแู จมแจงธาตุ ๑๘ ประการนแี้ ลว มักหลงใหลใฝฝน และสําคัญผิดในธาตุ ๑๘ นี้ ซ่ึง ทพิ ยอาํ นาจ ๑๐๖

เปน สายชนวนแหงทุกขในสงั สารวฏั สบื ไปไมรูจักสิ้นสุด เม่อื ศกึ ษาใหรจู ริงในธาตุ ๑๘ นี้แลว อวชิ ชาในธาตุ ๑๘ น้ีก็เปนอันถกู ทาํ ลายไป สายชนวนแหง ทกุ ขก็ขาดสะบนั้ ลง เพราะเหตนุ ที้ า นจงึ ใหศึกษาสําเหนียกธาตุ ๑๘ น้ใี หร แู จงเห็นจริงเปนทางเรืองปญ ญา. บรรดาธาตุ ๑๘ ประการนั้น มโนธาตคุ ือธาตุใจหรือธาตรุ ูเ ปนตัวการสําคญั ทสี่ ดุ ในการ กอใหเ กดิ สุขขน้ึ ในตน ถาใจรจู กั ตวั เองดี ใจกไ็ มกอทกุ ขแกต วั ถา ใจไมรจู ักตัวเองดี มักกอ ทุกขใสตวั ฉะน้นั ทางพระพทุ ธศาสนาจงึ สอนหนักในทางใหรูจ ักใจตามความเปน จริง เพราะวา เมอ่ื รูจ ักใจ ตามความเปนจรงิ แลว กจ็ ะรูจักสิ่งอ่นื งา ยขน้ึ ในการฝกเพือ่ ทพิ พโสตธาตนุ ีท้ างพระพทุ ธศาสนาก็ แนะนําใหฝ ก ใจกอ น แลวจงึ ใหหนั มากาํ หนดสําเหนยี กเสยี ง เพื่อรบั ฟง ดว ยโสตธาตอุ กี ทหี น่งึ เหตุ ไรทางพระพุทธศาสนาจงึ นยิ มใหฝกใจกอนฝก ประสาททง้ั ๕ เปนเรอ่ื งควรพิจารณา ทาง พระพทุ ธศาสนาถือวา ใจเปนจุดศนู ยก ลางที่รวมของความดี-ความชว่ั ใจเปนผูท ําดีทําชั่วกอ นสงิ่ อน่ื เมอ่ื ใจดกี บ็ งั คบั กายวาจาใหทาํ ดี เมอ่ื ใจช่วั ก็บงั คบั กายวาจาใหทําชั่ว ใจเองเปน ผูดี-ผูช่ัว และเปน ผู เสวยผลของความด-ี ความชั่วที่ตัวทําไว ฉะนนั้ ใจจึงเปนสิ่งสําคัญทีส่ ุด ควรไดร ับการศึกษาอบรม ใหดที ส่ี ดุ กอนสิง่ อน่ื เม่อื ใจไดรับการอบรมดแี ลว ใจจะเปนท่ีตงั้ แหงทพิ ยภาวะ คือสิง่ เปนทพิ ยทั้ง ปวง จะเกิดมที พิ ยอินทรยี  และทิพยอํานาจโดยลําดบั เมอื่ มที ิพยสมบัติเหลา นี้สมบรู ณในใจแลว ยอมสามารถรบั รทู พิ ยวิสัยทัง้ ปวงไดเกนิ กวาทพิ ยโสตเสยี อีก ดวยเหตุน้ที างพระพทุ ธศาสนาจึงนิยม ใหฝ ก ใจกอนฝกประสาท. วธิ ีการฝก ใจเพอื่ ใหเ ปน ทตี่ ง้ั แหงทพิ ยอาํ นาจนี้ ทางพระพุทธศาสนาสอนใหอ าศยั อิทธบิ าท ภาวนา อบรมใจจนไดส มาธิ เขาถงึ ขีดขั้นของฌานท่ี ๔ ดังไดก ลาวมาแลว ต้งั แตบ ทท่ี ๑ ถงึ บทท่ี ๔ ใจทสี่ งบเขา ถึงขดี ข้ันของฌานท่ี ๔ เปนใจที่สมบรู ณด วยทิพยภาวะ ยอ มมีทิพยอนิ ทรียส ามารถรบั รู ทิพยวิสยั ทง้ั ปวง ถานอ มใจไปเพื่อรใู นทางใดกจ็ ะรูใ นทางนัน้ ไดทกุ ทาง คอื นอมใจไปในทางเห็นรปู กจ็ ะเกิดตาทิพยส ามารถเห็นรปู ท้งั รูปทิพยและรปู มนุษยได นอมใจไปในทางฟง เสียงก็จะเกิดหู ทิพยสามารถฟงเสยี งทพิ ยแ ละเสียงมนุษยได นอมใจไปในทางดมกลนิ่ กจ็ ะเกดิ ฆานทิพยส ามารถ สูดดมกล่นิ ทิพยและกล่นิ มนุษยได นอมใจไปทางลมิ้ รสกจ็ ะเกิดชิวหาทิพยสามารถลม้ิ รสทิพยแ ละ รสมนษุ ยได นอมใจไปในทางสมั ผัสก็จะเกิดกายทิพยส ามารถรบั สมั ผสั ทิพยและสมั ผสั มนุษยไ ด ตกลงวา สามารถปลูกสรา งทิพยอินทรยี ข น้ึ ใชไ ดทุกประการ. อน่งึ เมื่อศึกษาอบรมใจจนไดสมาธิเขา ถึงขีดข้ันของฌานท่ี ๔ แลว จะรูวาใจกบั กายเปนคน ละสว น สามารถแยกออกจากกนั ไดเด็ดขาด ความรนู ีเ้ ปน ปจ จยั ใหเ กิดทพิ ยอํานาจ สามารถถอด จติ ออกจากกายไปได เนรมติ รปู กายข้ึนอีกกายหน่ึงตา งหากจากกายเดมิ ซึ่งมีลกั ษณะละมา ย เหมือนกายเดมิ ทสี่ ุด แลว ใชไปบาํ เพ็ญประโยชนในทไ่ี กลได ดังไดก ลาวมาแลวในบทท่ี ๖ คอื มโนมยั ฤทธ์ิ เมื่อใจสามารถไปบาํ เพญ็ ประโยชนใ นทีไ่ กลไดเชนน้ัน ใจกต็ อ งมอี นิ ทรยี ท ุกสวน เชนเดยี วกบั กายนี้ เปน ความรูสาํ หรับเปนปจจัยใหเกิดทพิ ยอํานาจขอน้ี (คอื ทพิ พโสตธาตุ) เม่ือรู วา ใจมีทพิ ยอินทรยี เ ชนนีแ้ ลวยอมสะดวกทจ่ี ะฝกฟงเสยี งในลําดบั ตอไป. อน่ึง เม่อื มโนธาตุ คอื ธาตุใจไดรับการฝก ฝนอบรมดเี ชน น้ัน ขณะเดียวกนั จักขุธาตุ โสตธาตุ ฆานธาตุ ชิวหาธาตุ และกายธาตุ อนั เปนสว นรูปกาย กพ็ ลอยไดร ับการฝกฝนอบรมไปดวยในตัว ทพิ ยอาํ นาจ ๑๐๗

จะเกดิ เปน ธาตผุ องใสข้ึนกวา ปกติ สามารถรบั รอู ารมณอนั เปนวสิ ัยของตนไดดีกวา ปกตธิ รรมดา คนตาฝาฟางเมอื่ ไดรบั อบรมทางจติ ใจมากขนึ้ จนเปนสมาธิ ตาจะหายฝา ฟาง คนหูตงึ จะเกิดมหี ดู ี ขนึ้ คนจมูกดานก็จะเกดิ จมกู ดีข้ึน คนลิ้นชากจ็ ะเกิดลิน้ ดขี ึ้น คนกายชากจ็ ะเกดิ กายดีขึ้น การ ฝกจงึ เปน ประโยชนแ มแกทางกายดว ยประการฉะน้ี จึงเปน การสมควรอยา งยงิ่ ทจ่ี ะสนใจศกึ ษา อบรมใจใหดี ทางโยคีก็คงจะทราบเหตผุ ลอยางน้เี หมอื นกนั จึงวางวธิ ีฝก เพือ่ ทพิ ยอํานาจไววา การ ต้ังสังยมะในประสาททง้ั ๕ จะบังเกิดผลทําใหป ระสาทท้งั ๕ ผองใส สามารถรับสัมผสั ไดดี และ อาจสามารถรับสัมผัสทพิ ยวสิ ยั ไดดวย ดังน้ี วิธกี ารทางพุทธศาสนาพงุ สจู ดุ ศูนยกลางคอื ใจกอนอนื่ ใหฝ ก ใจใหดีแลว จงึ ฝกกาย สว นวธิ กี ารทางโยคพี งุ ไปตามจดุ ท่ีหมายจะใหเ กิดทพิ ยอาํ นาจประการ นน้ั ๆ ทีเดยี ว ความแตกตา งทางพุทธศาสนากับทางโยคเี ปนเชน นี้ ผศู ึกษาพึงสาํ เหนียกไวด วย. ความสามารถในการฟง เสยี งไกลและเสียงทิพยน้นั เปนวสิ ยั ของทิพยอนิ ทรยี  มใิ ชว สิ ยั ของ โสตประสาทธรรมดา ฉะน้ัน โสตประสาทธรรมดาเราจะทาํ ใหส ามารถยิง่ ไปกวา ธรรมดาเกนิ ไป ยอมไมอาจเปน ไปได เพราะประสาทรูปสามญั นนั้ เปนวบิ ากสมบตั ิ สําเรจ็ มาแตกรรมหนหลัง จะให มนั ดวี เิ ศษย่งิ ขน้ึ ไปกวา กาํ ลังกรรมซ่ึงเปน ผตู กแตงสรางกรรมน้ันยอมไมไ ดอ ยูเอง เพยี งแตท าํ ใหดี ขนึ้ กวา ปกติไดบ า งเล็กนอยเทานั้น สวนทพิ ยอินทรียน น้ั เปนส่ิงทเ่ี ราสามารถจะแตงสรา งเพิม่ เตมิ ใหดีวเิ ศษยง่ิ ข้นึ ไปเทาไรก็ได เพราะเปน วิสัยของใจ เปนสงิ่ มใี นใจหรอื เปนสิ่งประกอบกบั ใจ เปน อนิ ทรียท ีเ่ นือ่ งกบั ใจเสมอไป ถาไดร บั การฝก ฝนอบรมดีเปนใจผองใส ทพิ ยอินทรยี ก ผ็ อ งใสไปดว ย ถา ใจไดรับอบรมดียิ่งเปนใจวิเศษเปน แกว ไดแลว ทพิ ยอินทรยี ก ผ็ อ งใสที่สดุ เปนอินทรียแกว ทีเดยี ว ฉะนน้ั จุดของการฝกเพือ่ รับฟง เสยี งไกลและเสยี งทิพยน น้ั จงึ อยทู ีจ่ ิตใจโดยตรง เมอ่ื ฝกจติ ใจใหเปน สมาธิขั้นจตตุ ถฌานไดแลว ชอื่ วาบรรลุถงึ ภมู ทิ ิพย ยอ มมีทิพยภาวะ มีทพิ ยอินทรียส มบรู ณพอทจี่ ะ ฝก เพอื่ ฟงเสยี งตอไปได. จิตใจเปน ธรรมชาติแปลกประหลาด ทีม่ คี วามสามารถทงั้ ในการเห็น การฟงเสยี ง การดม กลิน่ การลิ้มรส การสัมผัส และการรบั รอู ารมณ เทา กับมีอินทรยี ท ง้ั ๖ พรอ มมลู ทด่ี วงจติ น้ันเอง ฉะน้นั เมือ่ จติ ใจบรรลุถึงภมู ทิ ิพยเ มอื่ ไร ทพิ ยอินทรยี ทั้ง ๖ กม็ บี รบิ ูรณขึ้นเมือ่ น้ัน ทานจะฝก อนิ ทรยี ใ นทางเหน็ ทางฟง ก็ยอ มจะสาํ เรจ็ ไดด ังประสงคท กุ ประการ ทีนีม้ ีปญหาตอ ไปวา ทิพย วสิ ยั คอื แดนทพิ ยห รือสงิ่ เปน ทพิ ยน้ันคอื อะไร? มจี รงิ หรือไม? เปนปญหาท่ีควรพจิ ารณาตอ ไป. ทิพยวสิ ยั นน้ั คือ สงิ่ ท่ีละเอยี ดประณตี มองเห็นไมไ ดด ว ยตาธรรมดา ไดยินไมไดดวยหู ธรรมดา ไดกลิน่ ไมไดดวยจมกู ธรรมดา ไดรสไมไดดว ยลน้ิ ธรรมดา รสู กึ สมั ผสั ไมไดด ว ยกายธรรมดา รไู มไ ดด วยใจหยาบๆ เปนวิสยั ที่จะรบั รูไ ดดวยทิพยอินทรียโดยเฉพาะ เปนส่ิงทม่ี อี ยทู ว่ั ไปแมในโลก คอื พิภพท่ีเราอาศยั อยนู ้เี อง หากแตเปนคนละแดน คนละวิสยั จึงไมส ามารถเหน็ กนั ได สวนแดน ทิพยท ่แี ทจ รงิ นั้นอยูหา งไกลจากโลกของเราออกไปในทางสูงมากทีส่ ดุ ประมาณระยะทางไมถ ูกวา เทา ไร คือ อากาศผิวโลกทเ่ี ราอยูนย้ี อ มไดรับแสงสวา งจากดวงอาทิตยแ ละดวงจันทรคนละเวลา คือ พระอาทติ ยสองโลกเวลากลางวนั พระจันทรส อ งโลกเวลากลางคนื แดนที่ดวงจนั ทรดวงอาทิตย สอ งแสงไปถึงไดจัดวาเปนโลกมนษุ ย พอพน รัศมขี องดวงจนั ทรและดวงอาทติ ยไปน้ันจะถึงพิภพมืด อากาศทึบ เปนแดนของราหูอสรุ นิ ทร เปน แดนที่มอี าณาเขตกวา งไกลมใิ ชน อย เมอ่ื พนแดนมดื ไป ทพิ ยอาํ นาจ ๑๐๘

จึงจะถึงแดนทิพย มแี สงสวา งตางสีมีรศั มเี ยน็ ชื่นใจ ไมมคี วามรอ นแผดเผาเหมอื นในแดนมนษุ ย แดนทิพยน ้ีก็กวา งขวางและเปน ชั้นสูงต่ําลดหล่นั กัน มรี ศั มีสีสนั ตางกนั ดว ย ความใหญยิ่งตาํ่ ตอ ย ของเทพเจา ในแดนทพิ ยนีเ้ ขาสงั เกตกนั ไดดว ยรัศมีสีสันนัน่ เอง ยอ มเคารพนบั ถอื ยําเกรงกันดวย ศกั ดานุภาพแหงรัศมีสีสัน มิไดเคารพนบั ถอื ยําเกรงกันประการอื่น ฉะนั้น เราจึงไดท ราบจากพระ ประวตั ิของพระบรมศาสดาวา ถา มเี ทพเจามาเฝา เทพเจาคนใดศกั ดานอ ยกถ็ อยออกไปๆ บางที จนถงึ สุดขอบจักรวาลก็มี การกาํ หนดขอบจักรวาลนมี้ ไิ ดห มายถึงสุดแผน ดิน หมายถึงสดุ รัศมีแหง โลกทแี่ สงจนั ทรอ าทิตยส อ งถงึ เลยนนั้ ไปตองถือวาเปนจกั รวาลอน่ื มิใชจ กั รวาลนี้ โลกทเ่ี ราอยูน้ี ทานเรียกวา มงคลจักรวาล เปนแดนท่ีเจริญ มพี ระพทุ ธเจามาตรัสรูโ ปรดสตั วไ ด สวนจกั รวาลอืน่ ๆ ทานวา ไมม พี ระพุทธเจา ไปตรัสรูโปรดสตั วเ หมอื นในจักรวาลน้ี จะไดตดิ ตามเร่อื งแดนทพิ ยต อ ไป ตอ จากแดนสวรรคไปทางสูงดานเหนือจะพบแดนอกี แดนหนง่ึ ซ่งึ มีแสงสวางแจมจา ยิ่งกวา แดน สวรรค เปนแดนแหงความสงบสุข ปราศจากความโกลาหลวนุ วายดว ยประการใดๆ ท้ังสน้ิ ตางคน ตางอยูดวยความสงบสขุ ปราศจากการววิ าทชิงดีกัน แดนนี้เรียกวา พรหมโลก เมอื่ แดนทพิ ยคือ โลกสวรรคและโลกพรหม อยูในท่หี า งไกลจากโลกมนษุ ยถงึ เพียงน้ี จงึ มใิ ชวสิ ัยทีม่ นุษยธรรมดาจะ สามารถผานไปถงึ ได ทีม่ ผี ูเขียนเรอื่ งถากถางเยาะเยยศาสนาที่พรรณนาวาโลกสวรรคอ ยูบนฟา นัน้ เมอื่ เขาสามารถทาํ อากาศยานผา นไปในฟาได เขาจงึ พดู วา ไมเ หน็ สวรรคว มิ านทไ่ี หนในฟา มแี ต อากาศเวหา เว้ิงวา งวางเปลา เอาอากาศยานผานไปกไ็ มต ดิ ขัด แตความจรงิ อากาศยานไปไดไ มถงึ ครึ่งฟาเสยี ดว ยซ้ํา จะคุยโตวา ผานไปในฟา ไมเ ห็นมีสวรรควิมานเมืองแมนท่ีไหนนั้น เปนการคยุ อยา งคนตาบอดนน่ั เอง ซ่ึงเม่ือคนตาดีไดฟ ง แลว ก็อดขนั ไมไดฉะนั้น. เทพเจา ในแดนสวรรคแ ละแดนพรหม ทรี่ วมเรยี กวาแดนทพิ ยมีจริงหรือไมเ พียงไรนั้น จะช้ี เหตผุ ลไวแ ตโดยสงั เขป ธาตุทีป่ ระกอบกันเขา เปนองคเ ทพเจาน้นั เปนธาตุทพิ ยซึ่งละเอยี ดยิง่ กวา อุตธุ าตุโนโลกมนษุ ยห ลายพนั เทา เม่อื เปนเชนนจ้ี งึ มใิ ชวสิ ยั แหงตาธรรมดาจะพึงเหน็ ได ไมต อ ง พดู ไกลแคแ ตธาตใุ นอากาศนเ้ี อง ตาธรรมดาก็มองไมเหน็ เสียแลว ธาตุในอากาศเปน อุตุธาตุ นักวทิ ยาศาสตรใชก ลองจลุ ทรรศนสอ งดู ก็เห็นอินทรียช นิดหนงึ่ เล็กมาก รูจกั เปน รจู ักตายเหมอื น ชีวะทงั้ หลาย จงึ เรยี กวา จลุ นิ ทรีย เม่อื เปน เชน นเ้ี ราจะอวดอา งเอาสายตาธรรมดามาเปน เคร่อื งวดั วา ม-ี ไมม ี ดวยการเห็น-ไมเห็น ยอมไมไดอ ยูเอง ถาเราไมรูเรายอมรบั วาไมรยู งั ดกี วา ท่จี ะอวดรใู นสิง่ ทต่ี นไมส ามารถรู แลวกลาวปฏเิ สธหรือทบั ถมศาสนา ซง่ึ เปน การละเมิดมรรยาทแหงสุภาพชน. เมอ่ื ธาตุทปี่ ระกอบกนั เขาเปนองคเทพเจาละเอยี ดยงิ่ เชนนั้น องคเทพเจา จึงมใิ ชวิสัยแหง อนิ ทรียธรรมดาจะพึงรับรู เปนวิสยั แหง ทพิ ยอินทรียจะพึงรับรโู ดยเฉพาะ ทนี ลี้ องถอยลงมา พิจารณาดูส่งิ ท่มี ีในผวิ โลกเรานอ้ี ีกที นอกจากมนุษยก ับสตั วดิรจั ฉานท่ีเราเห็นกันอยูแลวมีอะไรอีก อยา งดที ีส่ ุดมนุษยนักวิทยาศาสตรบอกไดแคจ ุลนิ ทรียในอากาศ ซ่ึงคนธรรมดาไมเหน็ แตก ็รบั รอง กันวามีจริง เพราะเชอื่ ภูมขิ องนักวิทยาศาสตร สวนทางศาสนาบอกไดว า มพี วกอทสิ สมานกายซงึ่ มี รูปรา งละมา ยคลา ยคลึงกบั มนุษย มคี วามเปน อยูคลา ยมนุษย และปนเปอยใู นหมมู นุษยก ม็ ี อยหู าง ออกไปจากแดนมนษุ ยก็มี พวกนีม้ ใิ ชพ วกทพิ ยแท เพราะรูปกายหยาบกวา พวกทพิ ย มคี วาม เปนอยตู า่ํ ทรามกวาพวกทพิ ย จะเรยี กวาคร่ึงมนุษยคร่ึงทพิ ยก ไ็ ด ทางศาสนาเรยี กอีกชื่อวาอมนษุ ย ทิพยอาํ นาจ ๑๐๙

แปลวา แมนมนุษย คอื คลา ยคลึงกับมนษุ ยน ั่นเอง คาํ สามัญท่รี ูกันทัว่ ไปสําหรับเรยี กพวกน้วี า ผี คือไมรูวาอะไร ชักใหส งสัยและถามกนั เสมอวา อะไรๆ นัน่ เอง แมพวกนม้ี นษุ ยส ามัญก็ไมคอ ยเห็น มเี หน็ ไดบ างครงั้ บางคราว ผูไดเ ห็นแลว ยอ มปฏิเสธไมไดวา ไมม ีผี แตผูไ มเ ห็นก็ไมอยากเชื่อวามี ถึง อยางน้นั ก็นอยคนทไ่ี มก ลวั ผี ท้งั ๆ ท่ตี นเองปฏเิ สธวาไมมนี น่ั เอง ถาไมเ ชอ่ื ขอ ความน้ี โปรดไปเย่ียม ปาชาในเวลาดกึ สงดั ดบู าง ทานจะเกดิ ความหวาดเสียว ขนลุกเกรียวข้ึนไดอยางประหลาด ทั้งๆ ท่ี ใจของเราไมเ ชือ่ วา มีผี ขา พเจา จะยอมยกใหเฉพาะผไู ดอ บรมจิตใจอยา งดจี นทราบความจรงิ เร่ืองนี้ และกาํ จดั ความขลาดกลัวจากสันดานไดแลว เทานน้ั ที่ไมรูสกึ กลัว ในเมื่ออยใู นปา ชาเปล่ยี วๆ คน เดยี วในเวลาดกึ สงดั มนุษยธ รรมดานอกนี้ตอ ใหใจแข็งเทา แข็งกจ็ ะอดหวาดสะดุงไมไ ดเลย ก็เม่ือใจ ของทา นไมยอมเชอ่ื วา มผี ี ทําไมทานจงึ กลวั ในปาชาเวลาดึกสงัด อะไรทําใหทา นกลวั ? ถา ไมมีอะไร ทา นกลัวทําไม? ปญหาเหลานท้ี านจะตอบไมไดเ ลย จนกวาทานจะรบั รองวามผี จี รงิ ๆ เรือ่ งผีมี หรอื ไม? เปนปญหาประจําโลก ถงึ อยา งนนั้ กม็ มี นุษยไมนอ ยที่ยอมรับวา มีผี และมีการทรงเจา เขา ผี แมใ นตา งประเทศซ่งึ เปน ประเทศที่เจรญิ แลวกย็ ังมกี ารทรงเจา เขา ผี บางประเทศถึงกบั มีสมาคม คน ควาเร่ืองวิญญาณของผูต ายแลว แตหนกั ไปทางทรงเจาเขาผี จงึ ยังไมเ ปนที่เล่ือมใสของ นักวิทยาศาสตรเ ทา ไรนัก ถาสมาคมคน ควาวญิ ญาณนั้นหันมาศึกษาตามหลักพระพทุ ธศาสนาจะ ไดผลดกี วา วธิ ที รงเจา เขา ผอี ยางทท่ี ํากนั อยู แตถาสมาคมน้นั ไดก า วหนาไปในทางท่ีดมี หี ลกั วิชา และเหตุผลดกี วา เดิม ขา พเจาขออภยั ดวย. เมื่อไมน านมานี้ หนงั สือพิมพ “พิมพไทย” ลงขาวผหี วั ขาด เปลงเสียงขอความชวยเหลือใน ยามดึกสงดั ทําใหคนในละแวกน้นั บงั เกดิ ความกลวั ไมกลา โผลห นา ออกนอกบานตลอดคืน ถาผีไม มี อะไรเลา ที่เปลง เสยี งขอความชวยเหลอื ? คลายเสยี งมนุษยท่ีถูกทํารา ย แลว รองขอความ ชวยเหลอื ฉะน้ัน มนษุ ยธ รรมดาสามารถฟงเสียงผไี ดใ นบางคราว เชน ตวั อยางท่ยี กมานี้ สวนผมู ี ทพิ พโสตสามารถฟง เสียงผีไดท ุกเมือ่ ในเมอ่ื จํานงจะฟง ตามเหตุผลและตวั อยางทกี่ ลา วมานี้ พอจะ ทําใหท า นผอู า นไดส ํานึกบางแลววา นอกจากมนษุ ยและดริ จั ฉานแลว ยังมอี มนษุ ยแ ละเทพเจาบน สวรรคแ ละพรหมโลกอกี ดว ย. เสยี งของอมนุษยเปนเสยี งดงั กวาเสยี งทพิ ย ใกลไ ปทางเสียงมนษุ ย เพราะรางของเขาหยาบ และสญั ญาของเขาก็คลายมนษุ ย กระแสเสียงของเขาจึงแรงกวาเสียงทพิ ย หูมนษุ ยธ รรมดาไดยนิ ในบางคราว สว นเสียงทพิ ยเ ปน เสยี งท่ีแผว เบา เพราะรา งกายของเขาประณีต สาํ เร็จขึ้นดว ยใจหรอื ดว ยสญั ญา หมู นุษยธรรมดาฟงไมไดย ิน ตอ งฟง ดวยหูทพิ ยจ ึงจะไดย ิน นอกจากน้ียังมีเสยี งธรรมอกี เปนเสียงแผวเบาย่ิงกวาเสียงทพิ ยห ลายเทา เสียงธรรมนเ้ี ปนเสียงของผูบ รรลุภูมิธรรมอันบริสทุ ธ์ิ ซงึ่ ละอตั ภาพไปแลว ถา จะสมมตชิ อ่ื เรียกเสียใหมวา เสียงแกว กเ็ หมาะดี เพราะเปนวิสัยแหงหแู กว จะฟงไดย ิน แมหูทิพยก ็ฟงไมไดย นิ ไมต องกลา วถงึ หูมนษุ ยธรรมดาจะฟงไดยนิ ทีนี้ลองหันกลับมา สําเหนียกเสยี งมนุษยอ ีกที เสียงมนุษยท่พี ูดจาโดยปกติ ยอ มเปนวสิ ยั ของหูธรรมดาฟง ไดยนิ เวนแต คนประสาทหูพกิ าร เสียงพดู ยอ มมีคอ ยมแี รงแลวแตกรณี ในกรณีทใี่ ชเ สยี งแรงกระแสเสียง สามารถกระจายไปตามอากาศวิถีไดราว ๑๐๐ เสนเปน อยางมาก เชน เสยี งตะโกนอยางสดุ เสียง แตโดยปกติไมถึงกําหนดทวี่ าน้ี สวนเสยี งคดิ ของคนเปนเสยี งแผว เบาคลายเสยี งทพิ ย หธู รรมดาฟง ทพิ ยอํานาจ ๑๑๐

ไมไ ดย ิน ตอ งฟงดวยหทู พิ ยจงึ ไดยิน อยาวา แตเสียงคิดเลยแมเ สียงเตนตบุ ๆ แหงหัวใจ หูมนษุ ย ธรรมดาก็ฟงไมไดยนิ ตอ งอาศัยเคร่ืองขยายเสียงฟงจึงไดย นิ กรณใี นเสยี งมนุษยเ ชนใด ในเสียง ของสตั วดริ จั ฉานก็เชนนั้น พึงทราบโดยเทยี บเคียง ดิรจั ฉานบางจาํ พวกมีฤทธ์ิปด บงั ตัวไดก็มี เชน นาค เราจะไดยนิ แตเสียงของเขา ไมส ามารถเหน็ ตัวเขาได ยังมีนาคบางกําเนิดเปนอุปปาติกะคลาย เทพเจา พวกน้มี ีเสียงคลา ยเสยี งทพิ ย รปู กค็ ลายรูปทิพย เปน วสิ ัยแหงทพิ ยอนิ ทรีย เชนเดยี วกบั รูป ทพิ ย- เสยี งทพิ ยด งั กลา วแลว เมือ่ ไดกําหนดลักษณะเสียงไวพ อเปน ท่สี งั เกตเชนน้ีแลว ก็เหน็ จะ เพียงพอในการท่ีจะสําเหนียกวาเสยี งชนิดใดเปนวิสยั แหง หูชนิดใดแลว ตอ ไปนี้จะไดอ ธบิ ายวธิ ี ปลูกสรางหทู พิ ยเพ่ือรบั ฟง เสยี งทพิ ยด งั กลา วมา ทานแนะวิธไี วใ นปฏิสมั ภิทามรรค ดังตอ ไปนี้ ๑. เบอ้ื งตน พงึ ฝก หดั ทําใจใหเปนสมาธิ โดยอาศยั กําลงั ของอิทธิบาท ๔ ประการ จนได สมาธิถึงข้ันฌานที่ ๔ ท่ีเรยี กวาจตุตถฌาน อันมีลักษณะจิตใจผอ งใสนิม่ นวล ปราศจากเครอ่ื งหมอง มัวแลว. ๒. พงึ เขา สคู วามสงบจนถงึ ฌานท่ี ๔ แลว สาํ เหนยี กฟง เสยี งคน – สัตวดิรัจฉาน หรือเสยี ง ใดๆ ในทศิ ทงั้ ๔ โดยรอบๆ ในระยะใกลๆ ตวั เสยี กอ น แลว จงึ ขยายออกไปโดยลําดับใหไ กลทส่ี ุดที่ จะไกลไดจ นถึงสดุ ขอบจกั รวาลเปน ทสี่ ดุ . ๓. พงึ เขาสคู วามสงบจนถึงฌานท่ี ๔ แลว สาํ เหนยี กฟงเสยี แผว เบา เชน เสียงเตนแหงหัวใจ ของตนเอง เสยี งคลายทิพย เชน เสยี งความคดิ ของตนเองและเสยี งผี เสยี งทพิ ย เชน เสียงเทพเจา ในฉกามาพจรสวรรค ๖ ชนั้ และเสียงพรหมในพรหมโลก. ๔. พงึ เขา สคู วามสงบจนถงึ ฌานที่ ๔ แลวสาํ เหนยี กฟงเสียงแกวดวยหูแกวตอ ไป จน สามารถฟง ไดยนิ ชดั เจนเหมอื นฟงเสยี งคนธรรมดาพดู กัน. คาํ วา สําเหนยี กฟง เสยี งนั้น หมายความวา ทําสตจิ ดจอ ฟง เสียง คอื พุง สติไปรวมอยูท ่ีโสต ประสาท คอยฟงเสยี งท่ีเปนไปอยูโดยธรรมชาตนิ ั้นเอง. โสตประสาทจะคอยๆ ผองขึ้นทลี ะนอยๆ โดยอาศัยสตสิ มาธอิ บรม จะสามารถฟงเสียงไดด ีกวา ปกติข้นึ เมื่อกาํ หนดสาํ เหนยี กโดยนัยน้ีไปไม หยดุ ย้ังเสยี กลางคันกจ็ ะบงั เกดิ ทิพพโสตธาตุข้นึ สามารถรับฟงเสยี งในระยะไกลเกินปกติ และฟง เสียงทพิ ยไ ดโดยลาํ ดบั ทนี ี้พึงผอนกาํ ลงั ของสตทิ พ่ี งุ ไปสูจุดคือโสตประสาทน้ันใหออนลง ชกั เขา มา กําหนดอยู ณ ทามกลางหทยั วตั ถุตอไป กระแสเสียงจะผา นเขาไปสมั ผสั กบั โสตธาตุทพิ ย ณ ดวงใจ โดยตรง ไมต องอาศยั โสตประสาทเปน ทางเขาก็ได แมจะอุดหูไวก็คงไดยินดว ยโสตธาตทุ ิพยอ ยู ตามปกติ ชอ่ื วาสําเร็จโสตธาตุทพิ ยแ ลว มที พิ ยอํานาจในทางฟงเสยี งไดท กุ ชนิด สวนขัน้ หูแกวนั้น พงึ ฝก หัดตอไป ทาํ ใจใหบริสุทธิ์สะอาดยง่ิ ขึ้น จนมลี ักษณะใสดจุ แกวมณโี ชติเปน ปกติ กส็ ามารถรับ ฟง เสียงแกว ได ช่อื วา สาํ เรจ็ หูแกว แตข้ันนี้เปน ข้ันสงู สดุ ตอ งผา นการเจรญิ วิปสสนาญาณดวยจงึ จะ สาํ เร็จผลด.ี ขาพเจารับรองไววา วิธดี ังกลา วมานี้ เปนไปเพือ่ สําเรจ็ หทู พิ ยไดจ รงิ และขอยืนยนั ดว ยวา เปนสิ่งไมเกินวิสัย คนในสมยั ปจจุบนั ก็สามารถสําเร็จได แตไ มอ าจหาพยานบคุ คลมายนื ยนั ได เนือ่ งดวยบุคคลผเู ชนน้ีไมค อยยอมแสดงตนโดยเปดเผยประการหน่ึง กับอกี ประการหนึง่ เปนบคุ คล ท่มี กี ฎขอบงั คบั มิใหแสดงตัวเปดเผยในวิชาประเภทน้ี ผสู นใจพเิ ศษในวชิ าประเภทนยี้ อมจะพบ ทิพยอาํ นาจ ๑๑๑

บคุ คลผสู ําเร็จวชิ าหรอื ทิพยอาํ นาจประเภทตา งๆ ดังท่ีกลา วน้ี ในเมื่อทําตนใหเปน ที่ไวว างใจของ บคุ คลประเภทนี้แลว ถา ยงั มีอะไรๆ แอบแฝงในใจอยู บุคคลประเภทน้ีจะไมแสดงอะไรใหปรากฏ วา สําเร็จในวชิ าประเภทน้ีเลย. ทิพยอาํ นาจ ๑๑๒

บทที่ ๙ วธิ สี รา งทิพยอาํ นาจ บพุ เพนวิ าสานสุ สติ ระลกึ ชาตกิ อ นได ทพิ ยอํานาจขอ น้ี หมายถึงความสามารถในการนกึ ทวนคืนไปในเบ้อื งหลงั เพื่อสืบสาว เรื่องราวของตนเองทเี่ ปนมาแลว ในอดีตกาลนานไกล สามารถรูไดว า ตนเองเคยเกิดเปน อะไรมาแลว บา ง อยา งถวนถ่ีในสาระสําคญั ของชวี ิต เชน กําเนิดอะไร มชี อ่ื และสกุลวากระไร มผี ิวพรรณ อยา งไร มอี าหารอยางไร เสวยสุขทุกขอ ยางไร อยู ณ ท่ีไหน มกี าํ หนดอายุเทา ไร ตายจากน้นั แลว เกิดเปน อะไรตอ มา ฯลฯ ดังน้ี สามารถในการนึกทวนคืนเบอ้ื งหลังนี้ ยอมเปนไปตามสมควรแก กาํ ลงั ของญาณ อนั เนอ่ื งดว ยวาสนาบารมี ต้งั แต ๑ ชาติไปถงึ ๑๐๐-๑,๐๐๐-๑๐,๐๐๐-๑๐๐,๐๐๐ ชาติ จนถึงจํานวนหลายอสงไขยกัป. ความสามารถในการระลกึ ชาตินี้ เปนความรรู บั รองเร่ืองสังสารวฏั คอื การเวียนเกดิ เวียน ตายวาเปนความจริง ผมู คี วามรูในดา นนแ้ี มร ะลึกชาติไดเ พียง ๒ – ๓ ชาติ ก็บรรเทาความสงสยั ใน เรอ่ื งสงั สารวฏั ลงไดเปน กา ยกอง เขาจะไมยอมเชือ่ ในเรือ่ งตายสญู เปน อันขาด ความเห็นผิดใน เรอ่ื งชีพกับสรีระเปน อนั เดียวกันหรอื คนละอนั กับความเหน็ ผดิ ในเร่ืองกรรมท่ที ําไววาจะใหผ ล สบื เนอ่ื งไปในชาติหนาจริงหรอื ไมก็จะถกู บรรเทาลงเชนเดียวกัน ความสงสยั และความเห็นผดิ ดงั วา นจี้ ะถูกกาํ จดั หมดสนิ้ ไปดว ยอํานาจพระอรหตั ตมรรคญาณ. ความสาํ คัญของทิพยอาํ นาจขอนี้ อยูท่ีตวั อนุสสติ คือความนึกลาํ ดบั เหตกุ ารณข องชีวิต อยา งละเอียดลออ สติธรรมดาสามารถนึกทวนเหตุการณในเบ้อื งหลังของชีวิต และทําการควบคุม กริ ยิ าการของชีวติ มใิ หพ ล้ังพลาดไดเพียงในปจจบุ นั เทานนั้ ถงึ กระน้นั กม็ ิไดเ ปนอยางละเอยี ดลออ ผมู ีการอบรมสติดจี งึ จะสามารถนกึ ทวนเหตุการณข องชีวติ ไดล ะเอยี ด ทั้งสามารถควบคุมชวี ิตใน ปจจบุ ันไดด ดี วยสตทิ ส่ี ามารถดังวา น้ี ทา นเรียกวา สตเิ นปก กะ เปนสตทิ ส่ี ามารถรกั ษาตวั ให ปลอดภยั หรือปราศจากความผดิ พลาดไดดี จัดเปนคุณธรรมอนั หนง่ึ ซง่ึ ทําใหไ ดที่พึ่งหรือเปน ตัวที่ พ่งึ ทีเดียว ท้ังในดานการครองชีพ ทง้ั ในดานการประพฤตศิ ีลธรรม สว นสติทมี่ ไิ ดร บั การอบรมดีจะ ไมสามารถนกึ ทวนเหตกุ ารณของชีวติ ไดละเอียดลออ และหยอ นความสามารถในการควบคมุ ชวี ติ มิ ใหผ ิดพลาดดวย สิ่งทท่ี าํ คาํ ทพ่ี ดู แลวแมเ พียงลวงมาปสองปก ็ลมื เลอื นเสยี แลว เชนน้เี ปน สติที่มิได รับการอบรม สว นสตทิ ี่ไดร ับการอบรมจะสามารถนึกได ถงึ สง่ิ ท่ีคิดกจิ ทท่ี าํ คาํ ที่พดู แลว แมลวงมา ตั้งนานปดีดกั ก็ไมล ืมเลือน บางคนนึกไดดจี นถงึ ความเปน ไปในวัยเดก็ ออนเพยี ง ๓ – ๔ ขวบ ความสามารถเชนนี้มีไดนอยคน. สตนิ ี้ นกั ปราชญสมยั ปจจุบนั เรยี กวา ความสํานึก เปน สิ่งควบคุมจติ ใหอ ยูใ นระเบียบ เขา แบงเขตของจติ ออกเปน ๓ เขต คอื (๑.) จติ ในสาํ นึก (๒.) จติ ก่ึงสาํ นึก (๓.) จิตนอกสํานกึ ทพิ ยอํานาจ ๑๑๓

เขาใหอ รรถาธบิ ายตอ ไปวา จิตในสาํ นึกเปน จติ ในขณะมีความสาํ นึกรสู กึ ตัวเต็มที่ อยา งใน ปกติเวลาตืน่ อยู จติ ก่ึงสํานกึ ไดแกจติ ในขณะครึ่งหลบั ครงึ่ ตนื่ สว นจติ นอกสาํ นกึ หมายถึงจติ ในขณะหลับสนทิ ซ่ึงปราศจากสาํ นึกรสู ึกตัว. จติ ในสาํ นึกมสี มองและประสาททัง้ ๕ เปนเคร่ืองมือในการรับรสู ่ิงตางๆ และคดิ อาน วนิ จิ ฉัยเหตกุ ารณ เมอ่ื ชินตอ การใชเคร่ืองมืออันมีความสามารถนอยเชนนี้ จึงมกั คิดวา ตวั ไมม ี ความรูสามารถพิเศษอะไรยง่ิ ขน้ึ ไปกวาปกติ ปราชญท างสรรี ศาสตรจึงทึกทกั เอาวา จิตคอื สมอง หรือสมองเปนจิต ความจริงสมองเปน เพียงเครอ่ื งมือในการคดิ อา นวินิจฉัยอารมณหรอื เหตกุ ารณ เทา น้นั มใิ ชต วั จิต สวนตัวจิตท่ีแทจริงคอื อะไรจะอธิบายตอ ไป จิตกง่ึ สาํ นึกซึง่ ไดแกจ ิตในขณะคร่งึ หลบั คร่งึ ต่นื นั้น อยใู นความควบคมุ ของสตเิ พยี งกึง่ เดยี ว รสู กึ ตวั ไมเ ตม็ ที่ จิตในขณะนร้ี ูอ ะไรๆ อยางเลอื นราง ทาํ การคิดอา นไมได ไมม ีความรูสึกทางสมอง แมใ นทางประสาทก็ออนเตม็ ที แทบ จะไมร บั รูอะไรอยแู ลว สว นจิตนอกสํานึกอันไดแ กจ ิตใจในขณะหลับสนทิ นัน้ ไมรบั รอู ะไรๆ เลยแต ก็ปฏเิ สธไมไ ดว า ไมม จี ติ อยูใ นขณะนัน้ ทกุ คนจะรับรองเปนเสยี งเดียวกนั วา มจี ติ อยูในขณะหลบั ถา สามารถทาํ สตติ ิดตามควบคุมจิตไดท กุ ขณะแมกระท่งั ในขณะหลบั จะสามารถรับรูอ ะไรตา งๆ ไดดี และจะรูวา จติ เปน คนละสวนกบั สมอง การฝกจิตใหเ ปนสมาธเิ ปน การทาํ สตอิ ยา งวิเศษ ความ ไพบูลยแหงสตนิ ่นั เองเปนปจ จยั ใหจิตเปน สมาธอิ ยางดี สมาธิคอื ฌานท่ี ๔ มสี ติไพบูลยเตม็ ที่ ทาํ การควบคุมจติ ใหด ํารงม่ันคง มีความรูสึกเปนกลางๆ ไมรูสกึ การหายใจ ถา จะเทยี บก็จะเทา กบั คน นอนหลบั ธรรมดา ผดิ กันแตวา คนหลับไมร ูส ึกตวั คนเขาสมาธิมีความรูสกึ ตัว สวนสมาธชิ น้ั สูงสดุ คอื สญั ญาเวทยติ นโิ รธ ดบั ความรูสึกกาํ หนดหมายและสุขทกุ ขเ ด็ดขาด แตยงั มสี ติควบคุมจิตอยู รูอยู ณ ภายในนั่นเอง ถาจะเทียบจะเทากบั คนสลบปราศจากสตสิ มปฤดี ผิดกันแตคนเขา นิโรธยงั มีสติ หากแตไมรับรูอ ะไรทงั้ หมดอันเปนสวนนอกจากจิต คนสลบไมมีสตเิ ลย ตามท่ีกลา วมานีส้ อ แสดงวา จิตกับกายเปน คนละสวนจริงๆ สามารถแยกออกจากกันได ดังไดกลา วมาแลว ในบทที่ ๖ เร่อื งมโนมยั ฤทธ์ิ. จิตเปนธรรมชาตริ ู และรองรบั ความรูต างๆ อันเกิดจากการศึกษาอบรมทกุ ประการ ทาง พระพทุ ธศาสนาไดรคู วามจรงิ ขอ น้ี จึงสอนใหอบรมจิตดว ยประการตา งๆ เพอื่ ใหจิตรดู ีรูชอบยิง่ ขน้ึ กวาพ้นื เพเดิม ความรทู เ่ี กิดจากการศกึ ษาอบรมเปน สมบัติวิเศษประจาํ จิต สบื เนอ่ื งไปถึงในชาติ ตอ ๆ ไป ฉะนั้น คนเกดิ มาจึงมพี ืน้ ความรทู างจิตไมส มํ่าเสมอกนั เด็ก ๗ ขวบ มีความรดู ีเทา เทยี ม กบั ผใู หญท่ผี า นวัยมานาน ไดรบั การศกึ ษาดกี วากม็ ี ในประเทศพมา ปรากฏขา วมเี ด็กอายุ ๗ ขวบ มคี วามรทู างธรรม สามารถแสดงธรรมไดเ ทา กับผใู หญที่ผา นการศกึ ษาทางพระพทุ ธศาสนามานาน เร่ืองเชนน้ีในสมัยพทุ ธกาลมีมากมาย พระบรมศาสดาของเราพอประสตู ิก็เสด็จดาํ เนนิ ได และตรสั ได ทรงประกาศความเปนเอกบุคคลในโลก เมื่อเปนพระกมุ ารก็ปรากฏวามีพระสตปิ ญ ญาเกนิ คน ธรรมดา สามารถเรยี นและจาํ ไดวองไว ครั้นไดตรัสรเู ปนพระพทุ ธเจาแลว เสดจ็ ไปเผยแผพ ระ ศาสนาในนานาชนบท ปรากฏวามีเดก็ อายุ ๗ ขวบไดบรรลุธรรมอันลึกซึ้งหลายคน เปน ชายกม็ ี เปน หญิงก็มี ฝา ยชายเชน บณั ฑิตสามเณร, สังกจิ จสามเณร, สานุสามเณร เปน ตน ฝายหญิงเชน นางวสิ าขามหาอบุ าสิกา เปนตน การที่เปนไดเ ชนน้ันสอ งใหเห็นความจรงิ วา กายกบั จิตเปนคนละ ทิพยอํานาจ ๑๑๔

สว น จติ ท่ีอยใู นรา งเด็กสามารถรธู รรมลึกซึง้ ไดน ั้น ยอมจะตอ งมีการทองเทย่ี วในสงั สารวัฏมานาน และไดรับการศึกษาอบรมมามากแลว ถาไมมีพน้ื เพแหงจติ ใจสูงมากอ น ตอ ใหมสี มองดวี เิ ศษสัก ปานใด ก็มอิ าจรธู รรมลกึ ซึง้ ในวยั ๗ ขวบไดเ ลย. อน่ึง บุคคลผรู ะลึกชาตไิ ด ในสมัยพุทธกาลมมี าก สมเดจ็ พระผูมพี ระภาคเปน เยย่ี มท่ีสดุ ปรากฏในพระประวตั ิทตี่ รัสเลาเอง ทรงยนื ยันวาระลกึ ไปไดไกลถึงแสนโกฏอิ สงไขยกัป พระ อรหนั ตทัง้ หลายกร็ ะลึกไดอ งคล ะมากๆ เร่อื งราวทป่ี รากฏในอปทานลวนเปนความระลกึ ไดถึงกศุ ล กรรมทเ่ี คยสรางสมอบรมมาในปุเรชาติท้งั น้ัน ทานนาํ มาเลาไวเพอื่ เปนตัวอยางของกุศลกรรมวา สามารถอาํ นวยผลดีแกผ ูท ําตลอดกาลยดื ยาวนาน และเปน บารมเี กื้อหนุนใหจิตใจเลอ่ื นภูมิภาวะ สูงขน้ึ โดยลําดบั ถาจะเลา เร่อื งผรู ะลกึ ชาตไิ ดในสมยั พทุ ธกาลก็จะเปนการเหลือเฟอ เปนพยานไกล เกินไป จะเลาเรื่องผรู ะลึกชาตไิ ดซงึ่ ยังมีชีวิตอยูใ นปจ จบุ ันนีเ้ ปน พยานสกั ๒ – ๓ ราย ดังตอไปนี้ รายท่ี ๑ เปนเดก็ หญงิ ขา พเจา ไดพบต้งั แตเ ขาเปนหญิงแมเ รอื นในชาติกอน เมอื่ เขาตาย แลวไดสกั ๕ ป มเี ด็กหญิงคนหนึ่งเกดิ กบั ลูกสาวของหญิงคนนั้น พอพดู ไดเ ดินได ไดไ ปเยีย่ มตาซ่งึ เปนสามีเดิมของตน แตอยเู รือนอกี หลงั หนึ่ง หา งจากเรอื นท่ีเกิดใหมประมาณ ๑๐ เสน เมือ่ ขน้ึ ไป บนเรือน ไปเที่ยวมองดูโนนมองดูนแ่ี ลวก็รอ งไห ผูใหญถ ามจงึ บอกความจรงิ ใหทราบวา ตนคือ ภรรยาของตานน่ั เอง ไปเกิดกบั ลกู สาว ผูใหญต องการพิสจู นค วามจริงจึงใหบอกสง่ิ ของบางอยาง ซึง่ ผูต ายเปนผูเก็บไว เขากบ็ อกได มีลูกกญุ แจหบี หน่งึ ซึ่งหาไมพบ เขาก็ไปชใี้ หไ ดถึงทซ่ี อ นลูกกุญแจ เมือ่ ขาพเจา ไปทนี่ ัน้ เขาก็จําขา พเจา ได เหมอื นคร้งั เขาเปน หญงิ แมเรือน เวลานย้ี ังมชี ีวิตอยู ณ หมูบานตาลโกน ตําบลตาลเนิ้ง อาํ เภอสวางแดนดิน จังหวดั สกลนคร. รายท่ี ๒ เปน เดก็ ชาย ชาตกิ อ นน้นั เปนพระภกิ ษุในพระพุทธศาสนา ไดม ีตาํ แหนงทางคณะ สงฆ เปนพระอปุ ชฌายะ และเจาคณะตาํ บลชนบท อาํ เภอชนบท จังหวดั ขอนแกน รบั นมิ นตไป บวชนาค เกดิ อุปท วเหตถุ ึงมรณภาพ แลวไปเกดิ ใหม ณ หมบู านแหงหน่งึ ในเขตอําเภอบวั ใหญ จงั หวดั นครราชสีมา ระลกึ ชาติได กลบั มาคนเอาสิง่ ของที่วดั เดมิ ได บรรดาลกู ศิษยล กู หาท่ีเคย เคารพนับถอื มาแตกอ น พอทราบเขา ก็พากนั มาเคารพกราบไหวต ามเดมิ . รายท่ี ๓ เปนหญงิ ช่อื นารี อายปุ ระมาณ ๕๐ ป เวลานแ้ี กบวชเปนชี ไดม าหาขา พเจา เมอื่ ตน ปน ี้เอง แกไดเ ลาอดีตชาติของแกใหฟ งอยา งละเอียดลออวา ชาติกอ นน้ีแกเปนชา ง เกดิ อยูท ่ีเขา สวนกวาง ซงึ่ เปน ทที่ ี่ขาพเจา กําลังน่งั เขียนเร่อื งทิพยอํานาจอยเู ดี๋ยวนี้ แกเลา วา ท่เี ขาสวนกวางน้มี ี พญาชางตัวหนง่ึ เปน นายของชา งทัง้ หมดในเทอื กเขาภพู าน ทุกๆ ๑๕ วัน ชางทง้ั หลายตลอดจนถึง หมูนกจะมาประชมุ ฟง โอวาทของพญาชาง ณ ทีก่ อนหินใกลฝง ลําธาร บนหลงั เขาหา งจากที่ ขา พเจา อยูไปประมาณ ๑๕ เสน สัตวทง้ั หลายฟง ภาษาใจกันออก สว นภาษาปากนน้ั เขาจะใชใน กรณีพิเศษ เชน บอกเหตอุ ันตรายรอ งเรียกหากนั และรอ งดว ยความคกึ คะนองเทานั้น ตามปกติ ธรรมดาพูดกนั ทางใจ แกเลา วาในคราวประชมุ ทุกๆ คร้งั แกกไ็ ดเ ขาประชุม แตเ ปนเวลายงั เด็ก เกินไป ไมไดใสใ จฟง จงึ จดจาํ ไมไ ด ชางท่ีเขา ประชุมทกุ ตวั อยูในระเบียบสงบเงียบ และเคารพ พญาชา งอยา งยิง่ เม่ือฟง โอวาทจบแลวกจ็ ะพากนั เดินผานหนา พญาชางเรยี งกนั ไปทีละตวั เปนการ แสดงคารวะ คลา ยการเดินสวนสนามของทหารฉะน้ัน พญาชางน้ันไปอยตู ัวเดยี วในทีเ่ งยี บ ชาง ทพิ ยอาํ นาจ ๑๑๕

ทงั้ หลายปนวาระกนั ไปปรนนบิ ตั ิคราวละ ๔ – ๕ ตัว พอถึงกําหนด ๑๕ วัน พญาชา งจึงจะมา ปรากฏตัวในทีป่ ระชมุ ใหโ อวาทแกชา งและนกทงั้ หลาย แกเลา เร่ืองเฉพาะของแกตอไปวา เม่ือแก เกดิ มาทีแรก แมพามาอาบน้ําทลี่ ําธารตรงทางขามตอนเหนอื ของทขี่ าพเจา อยูเ ดี๋ยวน้ี รสู ึกหนาว มาก แกมีพีช่ าย ๑ ตวั กาํ ลงั รนุ สวนพอ ไมปรากฏ การปรนนิบัติเลี้ยงดลู กู มีแตแ มเ ทา นั้น ซึง่ เปน ธรรมเนียมของสตั วประเภทน้ี เมอ่ื แกอายุไดป ระมาณ ๓ เดือน มนี ายพรานชางมาคลองเอาแกไป ได เขาผกู ติดกบั คอชา งตอ นาํ ไปบา นนาแอง ในเขตอาํ เภอหนองบวั ลําภู จงั หวดั อดุ รธานี เขาเลี้ยงดู แกอยางลูก ตัง้ ช่ือใหร วู าอีตมุ ชอบเลน กับเดก็ ๆ และสามารถไปสง อาหารท่ีวัดแทนพอ แมไ ด คงจะ ดว ยอานสิ งสไปสงอาหารไดน ี้เองทําใหแกไดม าเกิดเปนมนุษยในชาติปจ จบุ ันนี้ แกเลา ตอวา ตอ มา มีเหตุบงั เอิญทาํ ใหลกู ชายของพอเกิดบาดเจ็บ คือแกพาลอดเฟอยหนาม สําคญั วา พน แลว จึงลุกขึ้น ทําใหหนามครดู ศีรษะของเขาเลอื ดไหลถงึ กบั พลดั ตกจากคอของแก เขาโกรธมาก ไดใชข อสับแก อยางไมป รานีปราศรยั แตแ กวา ไมคอ ยรูส ึกเจบ็ เทาไรนัก ถาเขาสับและงัดดว ยจึงจะรสู ึกเจ็บมาก ไมก ่วี นั แผลทถ่ี กู สบั กจ็ ะหาย พอมาถึงบานเขากบ็ อกพอ จะขายอีตุมทนั ที พอ แมและยา ก็หามปราม วา ไมใ ชค วามผดิ ของอีตมุ มนั เปน ความผดิ ของตนเองทีไ่ มร ะมดั ระวงั ตางหาก เจา ลกู ชายกด็ ันทรุ ัง แตจะขายทาเดียว อยูมาไมนานมีชาวจงั หวัดหลม สกั (เพชรบูรณเดยี๋ วนี้) มาขอซื้อ เขาตกลงขาย ยามคี วามอาลัยสงสารมาก ไดไปขอถอนเอาขนตาไวเปน ทร่ี ะลึก และราํ พนั สงั่ เสยี ดว ยประการ ตางๆ ตวั แกเองก็รสู กึ อาลัยมากเหมือนกัน คร้ันออกเดนิ ทางไป ๑๕ วัน ถึงจงั หวดั เลย เกิดความ อาลัยคิดถงึ พอ แมเ ปน กําลังเลยตาย พอรางลม นนั้ จติ ก็ออก รสู กึ ตัวเปนมนุษยผ หู ญิงทนั ที จงึ ดงึ เอา ไสช า งมาเปน ผาสไบ สว นซิน่ สาํ หรับนงุ มแี ลว ไมทราบไดม าอยา งไร พอออกจากตวั ชา งมากร็ สู ึกวา นงุ ซน่ิ อยูแลว แกเลา วาพอไดผาสไบถือแลว กร็ บี ออกเดนิ ทางกลบั ตามทางทไี่ ปในเวลาประมาณ ๕ โมงเชา มาถึงบานเกา ก็เปนเวลา ๕ โมงเชา เหมือนกนั ไปถามเขาทราบวา พอ ยายไปอยูบานใหม คือบา นสามพรา ว อําเภอเมอื ง จงั หวดั อดุ รธานี แกตดิ ตามไป ผานตวั เมืองอุดรไป เห็นพระกาํ ลงั ฉันเพลอยูอ ีก พวกสนุ ขั เหา หอนกรรโชกไลขบกดั แกอยา งชุลมุ น แกพยายามหลบไปได ไปถึงบาน สามพรา วเปนเวลา ๕ โมงเชา พระกาํ ลงั ฉนั เพลอยเู หมอื นกนั ไดเ ห็นพอ และแมใหม คอื เมียคนใหม ของพอ ไตถามเขาก็ไมพ ดู ดวย แกเอาซนิ่ กบั ผาสไบไปซุกซอ นไวทท่ี างแยกแหง หนึง่ ขุดหลมุ ฝง ไว ลึกแคบ ัน้ เอว มีตนไมต น หนึง่ เปนเครอ่ื งหมาย คิดวา เกดิ แลว จะมาขดุ เอา ในระหวางทยี่ งั ไมไดเ กิด นั้นแกเลาวา ไปอาศยั อยูในวัด ถา พอ แมไปวัดกต็ ิดตามพอแมม าบา น แตขึน้ เรอื นไมไ ด ไปยืนอยู หนาเรือนนัน่ เอง วันหนึ่งเวลาค่ํา พอกินขาวแลวลกุ ออกมานอกชานเรือน กาํ ลงั ยนื ดื่มนํา้ แกเลย ตามนาํ้ เขาไปอยูกบั พอ ตอ มาถูกจดั ใหไ ปอยูในหอ งเล็กๆ หองหนึง่ ช้นั แรกๆ ก็รูสกึ สบายดี ครั้น ตอมาถงึ ๕ – ๖ เดอื นรสู ึกวาหองนอนน้ันคบั แคบ รูสกึ อดึ อดั อยากออก แตกอ็ อกไมได พอครบ ๑๐ เดอื นกค็ ลานออกจากหองได แลวลืมภาวะเกาไปพกั หนง่ึ มารสู กึ ตวั ถึงภาวะเกากต็ อเมอ่ื อายุ ได ๒ – ๓ ขวบ พอพูดจาไดแลว พออายุได ๑๔ – ๑๕ ป ไดไ ปดทู ่ซี อนซน่ิ กับผาสไบ เห็น เคร่อื งหมายตามทท่ี าํ เอาไว แกพยายามขุดหาเทาไรก็ไมพ บสิ่งท่ซี อนไว เห็นแตใ บตองกลว ยท่ใี ชหอ ซ่งึ ผแุ ลว จับเขาก็เปอยหมด เมอ่ื ใหญโตพอมีเหยา มีเรือนแกกม็ เี หยา มีเรอื นไปตามประเพณี บัดน้ี ไดสละเหยา เรือนมาบวชเปนชอี ยสู ํานักชี วดั บา นสามพรา ว อาํ เภอเมือง จังหวัดอดุ รธานี จนถงึ ทิพยอาํ นาจ ๑๑๖

เดีย๋ วน้ี แกวา เร่ืองทไี่ ดผ า นมาในชีวิตชางชว่ั เวลาไมถ งึ ป ยงั จําไดด หี มดทกุ อยา งไมล มื เลือน เรอื่ ง ขบขนั ในเวลาเปนชา งแกกไ็ ดเลาใหฟง หมดแทบทุกเรื่อง กอ นแตแกจะเลาไดใหแกปฏิญาณวา จะไม โกหกแลว จึงใหเลา ใหฟง ฉะน้ันจึงเปน เร่อื งระลึกชาติไดจรงิ ๆ มใิ ชเรอื่ งคดิ ประดิษฐขึ้นเอง. การระลึกชาติไดโดยทาํ นองน้ี โดยมากระลึกไดเพยี งชาติเดยี ว ไมเหมือนการระลึกชาตไิ ด อันเกดิ ขึ้นจากการฝก ฝนอบรมจิต ซงึ่ สามารถระลกึ ไดมาก บุคคลผูฝก ฝนอบรมจติ แลวระลึกชาติได ในสมัยปจ จบุ ันน้ีกม็ ีอยู แตเปนบุคคลทอ่ี ยูในกฎวินยั ซงึ่ ไมค วรจะนํามาเปดเผย แตม ีอยรู ายหน่งึ ซ่ึง ผูนั้นไดลว งไปแลวเมือ่ เร็วๆ น้ี พอจะเปดเผยสูกนั ฟง ได จะเลา แตเ พยี งท่ีรูๆ กันอยู เทา ที่ขาพเจาได ทราบมา ดงั ตอไปน้ี พระอาจารยภรู ิทัตตเถระ (ม่ัน) อาจารยข องขา พเจา ทา นไดป ระพฤตสิ มณธรรมมานาน ต้งั แตอุปสมบทเปนภิกษใุ นพระพทุ ธศาสนา เมอ่ื อายุยา งขนึ้ ปที่ ๒๓ จนถึงวัยชราอายุ ๘๐ ปจ ึงถึง มรณภาพเมื่อ พ.ศ.๒๔๙๒ ทา นเปนอาจารยสอนธรรมทางวปิ สสนามศี ิษยานศุ ิษยมากหลาย ทาน ไดเลา อดีตชาติของทา นแกส หธรรมกิ บางทาน ซึ่งเปนบคุ คลทที่ า นเคารพนับถือไววางใจ และแก ศษิ ยบ างคน แมข า พเจา กไ็ ดรบั บอกเลา เปน บางตอน. ตามทีไ่ ดเ ลาเร่อื งบุคคลผรู ะลึกชาติได ทงั้ โดยบังเอิญหรือโดยธรรมดา ทง้ั โดยการศกึ ษา อบรมจติ ใจมาเปน ตวั อยา งน้ี ก็พอทีจ่ ะสนั นษิ ฐานไดแ ลว วา การระลกึ ชาตไิ ดน้ันเปนไดจริง ซงึ่ เปน การรับรองสังสารวัฏ ทนี ้จี ะไดก ลา วถงึ เหตุผลของการระลกึ ชาติไดอกี ที่ไดกลา วมาแลว วา การ ระลกึ ชาตไิ ดน ั้น ความสาํ คัญอยูที่ อนสุ สติ คือความนึกลาํ ดบั หรอื ความสํานึกได ซึง่ ไดม ีตดิ ตอ กนั ในทุกขณะของจิตทั้ง ๓ เขต ดังปราชญปจจุบนั แบง ไวท ่ีไดกลา วมาแลว ถา ทาํ ไดตามนัน้ จะเกดิ ผลดีหลายประการ. (๑.) ทาํ ใหม ีสติ เปนสติรักษาตวั อยางเย่ยี ม (๒.) ทาํ ใหม ีอิทธพิ ล สามารถบังคับความหลับและความตื่นได (๓.) ทําใหส ามารถรอู ะไรๆ ไดดีเปน พิเศษ ความหลับหรือความปราศจากสติอันเปน ปฏิปก ษก ับความต่นื ตัว ความสํานกึ ตัวนน้ั มี ๒ ประเภท คือ (๑.) ความหลบั โดยธรรมดา ซง่ึ ไดแกก ารพักผอ นหลับนอนเพื่อบรรเทาความมนึ เม่อื ยของ กายประเภทหนง่ึ กบั (๒.) ความหลับใหลดว ยอํานาจกิเลส ซง่ึ ไดแกค วามประมาทมวั เมา ไมสาํ นกึ ตัว ปลอยตน ไปตามอารมณร ะเริงไปตามเรอ่ื งจนลมื ตนลมื ตวั ประเภทหน่งึ . ความหลับประเภทแรก เปน สิ่งจาํ เปน ของชวี ติ ทุกชวี ิต แมแ ตพระอรหนั ตกจ็ าํ ตอ งพกั ผอน กายในการนอนหลับเหมอื นกัน ถาหลบั มากเกนิ ไปก็ใหโ ทษทาํ ใหช วี ิตเปนหมัน ถา หลบั นอ ยเกินไป กใ็ หโ ทษทําใหร างกายอิดโรยมนึ เมอ่ื ยออนแอ ไมสามารถในการงานทั้งทางกายและทางใจ ถา หลบั พอดยี อ มบรรเทาความมึนเมอ่ื ยของรา งกายได ทําใหรางกายมีกาํ ลงั สามารถในการงานทง้ั ทางกาย และทางใจ ผทู าํ งานหนักตองหลับถึง ๘ ช่ัวโมงจึงจะพอดี ผูท าํ งานเบาหลบั เพยี ง ๔ – ๖ ช่ัวโมงก็ พอ ความหลับถงึ แมจ ะจาํ เปนแกช ีวิตและใหค ุณในเมอ่ื ประกอบพอดกี ต็ าม ปราชญทางจติ ศาสตร ทิพยอํานาจ ๑๑๗

กถ็ ือวาเปนอุปสรรคอันหนงึ่ กั้นกางมใิ หเกิดความรูกระจา งแจง ทางจติ ใจขน้ึ ได จึงหาหนทาง เอาชนะใหไ ด วธิ เี อาชนะความหลับน้ันมหี ลายวธิ ี ดังตอไปน้ี ๑. เอาสติกาํ หนดจดจอ ท่ีจดุ หลับ คือซอกคอใตล กู กระเดือก ผอ นสตใิ หออนลงๆ พอมี อาการเคลม้ิ ๆ ใกลจะหลับ พึงรวมกําลงั สตแิ ลว เลือ่ นขึ้นไปกาํ หนดจดจอ ท่ีจุดต่ืน คอื ตรงหนา ผาก เหนือหวา งคิ้วเล็กนอ ยจะรสู ึกหายงวงทนั ที พอจติ ใจแจมใสหายงว งแลว พงึ กาํ หนดท่ีจดุ หลับอีก คร้ันจะหลับพึงเลือ่ นขึน้ ไปกําหนดท่จี ุดตื่นอกี ทาํ อยางนี้วนั ละหลายๆ เท่ียว ก็จะเกิดอทิ ธพิ ลใน การบังคับความหลับและความตืน่ ของตนไดต ามตองการ ทีนี้เวลาจะหลบั จรงิ ๆ ตองทําสติ กําหนดเวลาตื่นใหแนน อนไว แลวเอาสติกําหนดจดจอตรงจุดหลับ บงั คับดว ยใจวาจงหลบั แลว ทาํ สติตามจิตไปเรอ่ื ยๆ จนกวา จะหลับไป ก็จะหลบั อยา งมสี ติรทู นั ในขณะจะหลบั เม่อื ชํานาญดีก็จะ รูทนั ในขณะหลบั และจะรทู นั ในขณะตื่น ท้ังต่ืนตรงเวลาที่กําหนดไวดว ย เปนอันไดฝกทง้ั สตทิ ั้ง ในขณะตื่นอยู ทั้งในขณะกาํ ลังจะหลับ ท้งั ในขณะหลบั เมือ่ ฝกชํานาญมีสตทิ ันท้ัง ๓ ขณะน้ันแลว ช่ือวา มสี ติตดิ ตอ ตามกํากบั จติ ทุกขณะใหอ ยูในระเบียบอันดี. ๒. หรอื ฝกสตติ ามหลักสติปฏ ฐาน ดงั กลาวแลวในบทท่ี ๔ จนมีสติติดตอ สบื เน่อื งกัน ทนั ความเคล่ือนไหวของกาย, ความรสู ึกสุขทุกขเฉยๆ, จิตท่แี ปรลักษณะไปตามสิ่งสมั ปยตุ ต, และเหตุ ปจจยั ที่ปรงุ แตงจติ ใหเกดิ การเปลี่ยนแปลงลกั ษณะน้นั ๆ ตามความจริง สติน้ันก็จะมกี ําลงั ใหญเปน มหาสติ สามารถควบคุมความเปนไปของกาย วาจา ใจ ใหอยใู นระเบียบ และใหจติ ใจเกิด คณุ ลักษณะดีเดน ยงิ่ ข้นึ จนถึงดีท่ีสุด หลุดพน จากความเปนทาสของทุกส่งิ ถงึ ความเปนอสิ ระทส่ี ุด ในอวสาน ถา ฝกสติไดดีตามหลกั นีแ้ ลว จะประสพผลสาํ เร็จในทางทิพยอาํ นาจทุกประการ. ๓. หรือฝกสติตามหลักอนุสสติ ๑๐ ประการ มพี ุทธานุสสติ เปนตน ดังกลา วไวในบทท่ี ๓ น้นั ประการใดประการหนึ่ง หรอื หลายประการตามแตจ ะเลอื กใชอันใด ฝกสตใิ หตอ เน่ืองดว ยอาศยั นึกถงึ ส่งิ ทจ่ี ะปลุกเตือนจติ ใจใหส ํานึกตัวเปน เบอ้ื งตน กอน เม่ือจิตใจเกดิ สาํ นึกตวั แลว ดาํ รงอยใู น ความสงบเปน ระเบียบเรียบรอย เปนจติ ใจสะอาดแจม ใส ชอื่ วาไดผ ลในการฝก สติตามแบบนี้ ตอ นั้นพงึ อาศัยจติ ใจอนั บรสิ ทุ ธิ์น้นั เจรญิ ทิพยอํานาจ หรอื เจรญิ วปิ ส สนาญาณตามจิตใจประสงค ก็จะ สําเร็จประสงคน ้นั ทกุ ประการ. เม่อื ปฏบิ ตั ิตามวิธดี งั กลาวมาน้ี รับรองไดวา สามารถเอาชนะความหลบั ไดแนนอน จะเกิดมี อิทธิพลเหนอื ความหลบั จะใหห ลับเวลาใดกไ็ ด ไมใ หห ลับเลยกไ็ ด แมจะรสู กึ งวงแสนงวงถา ตัง้ ใจ จะไมห ลับแลวความงวงจะว่ิงหนที นั ที และในขณะเดยี วกันกบั ทีฝ่ กสตเิ พอื่ เอาชนะความหลับ ประเภทธรรมดาน้ี ก็เปน อันไดเอาชนะความหลบั ประเภทที่ ๒ ไปในตัวดวย ความประมาทซ่ึงเปน ความหลบั ภายในกนิ ลกึ ถงึ ใจนั้น จะถกู กาํ จดั ออกไปจากจิตใจ จิตใจจะเกิดสาํ นกึ ตัว ทาํ สิ่งควรทาํ พูดคําควรพดู คิดเร่อื งควรคดิ บังคับจติ ใจใหอยใู นระเบยี บวินัยอนั ดี ไมม ีการปลอ ยตนไปตาม อารมณส ุดแตใ คร จะรูจักพิจารณาหนาหลงั ย้ังคิดความผิดพลาดใหญห ลวงในชีวติ กจ็ ะมขี ้ึนไมไ ด ดวยอํานาจสตคิ มุ ครอง. จิตใจทีส่ ติ อนุสสตคิ มุ ครองแลวดวยดี จักเปนจิตใจผองใสบรสิ ทุ ธสิ์ ะอาด มพี ละอํานาจ เขม แข็งมเี อกภาพสมบรู ณ เปนจิตใจในระดบั สูงพนจากภาวะตาํ่ ตอย เม่ือตอ งการนึกลาํ ดบั ถึง ทิพยอํานาจ ๑๑๘

เหตกุ ารณข องชวี ติ ทลี่ ว งมาแลว ก็จะนึกเห็นไดตลอดทกุ ระยะทกุ ตอนของชวี ิต เหมือนบุคคลปนขน้ึ ไปอยบู นทสี่ ูง สามารถมองดไู ดไกล แลเห็นอะไรๆ ในที่ต่าํ ไดดฉี ะนั้น จติ ใจอันสมบูรณดว ย คณุ ลกั ษณะดงั กลา วนแ้ี หละสามารถสรางอนสุ สตญิ าณ ระลึกรจู กั ความเปนมาของตนในอดีตหลาย รอยหลายพนั ชาติได ในเม่ือจาํ นงจะสรา งขึ้น ซึง่ มีวธิ กี ารโดยเฉพาะดังจะไดแ สดงตอ ไปขางหนาน้ี. เหตุการณทผ่ี านมาในชีวิต จะประทบั ภาพพมิ พไวท ดี่ วงใจนัน้ เอง ในระยะแรกๆ ภาพนน้ั จะโผลข้ึนในความรสู กึ ใหนึกถึงอยูเนืองๆ ครั้นลว งกาลมานานภาพเหตกุ ารณน้นั ๆ กค็ อ ยจางไป จากความรูสึกนึกเห็น แตไปสถติ ม่นั อยูในดวงจิต เมื่อมีอะไรมาสะกิดกจ็ ะนึกเห็นข้ึนมาไดใหมอ ีก น้ี เปนเรอ่ื งในภายในชีวติ ปจจุบนั ทีนีเ้ ราลองทาํ ความเชอื่ ตอ ไปอกี วาจิตใจเปนธรรมชาติไมร ูจกั ตาย ไดผานการเกิดการตายมาแลว นับครั้งไมถวน เหตุการณท เ่ี ขาไดผ านพบมาในชวี ิตนน้ั ๆ ก็ยอ ม ประทับเปน ภาพพิมพอ ยทู จ่ี ิตใจน้ันเอง ถา มีอะไรมาสะกดิ ใหน ึกขน้ึ ได กจ็ ะสามารถนกึ เห็น เหตุการณของชวี ติ ในชาตกิ อ นๆ น้ัน เชนเดียวกับในชาตปิ จจบุ นั การทคี่ นโดยมากนกึ ถึง เหตุการณแ หง ชวี ติ ในชาตกิ อ นไมไดก ็เพราะถูกชาตปิ จจุบันปกปดไว คอื ในระหวางปฏิสนธใิ นครรภ มารดาเทากบั เขาไปอยใู นท่ีคับแคบมดื ทบึ เปนเวลานานถึง ๑๐ เดือน หรืออยา งนอยก็ราว ๗ – ๘ เดอื น ครนั้ คลอดออกมากต็ องอยูใ นอัตภาพท่ีออนแอขาดความสามารถในการนกึ คิดเปนเวลา หลายป เม่อื เปนเชนนจ้ี งึ ลมื เหตุการณท ตี่ นผา นมาในชีวิตกอ นๆ เสีย อัตภาพซง่ึ เปน ทอ่ี าศัยของ จติ ใจนเ้ี ปนสิ่งหยาบ มดื ทบึ ไมมสี มรรถภาพเพียงพอที่จะใชนกึ ถงึ เหตกุ ารณยอนหลงั ไปไกลๆ ได ความบงั เกดิ ของอัตภาพ พรอ มกับความคิดนึกรสู ึกอันสมั ปยตุ ตในอัตภาพน้นั แหละเรยี กวา ชาติ เปนตัวปดบงั ความรรู ะลกึ ชาตหิ นหลัง หรือจะพดู อีกนัยหนง่ึ ก็วา ปฏสิ นธปิ ดบงั ความรรู ะลึกชาติ หนหลงั ได ถาสามารถทาํ สติใหทะลปุ ฏิสนธไิ ปไดเ มอ่ื ไรเปน ระลกึ ชาติไดเมือ่ นั้น ฉะน้ันจดุ โจมตสี ่ิง ก้นั กางมิใหร ะลึกชาตไิ ด กค็ อื ปฏิสนธ.ิ เมอื่ ไดท ราบจดุ โจมตีในการฝกเพ่อื ระลึกชาตไิ ดเ ชนนี้แลว ควรทราบวธิ โี จมตตี อ ไป ทา นให คําแนะนําแกผฝู ก เพ่อื บพุ เพนิวาสานสุ สติญาณ ไวว า ๑. พงึ ฝกสตอิ บรมจติ ใจตามนัยที่ไดก ลา วมาแลว ดวยอาศยั อทิ ธิบาทภาวนา ๔ ประการ จนไดส มาธติ ามลาํ ดบั ชนั้ ถึงฌานที่ ๔ เปน อยา งนอย พึงใหช าํ นาญในฌานอยางดีดงั กลา วไวในบท ที่ ๒ จนมีเจโตวสี คอื มีอํานาจทางใจเพยี งพอ มีใจบริสทุ ธสิ์ ะอาดนมิ่ นวลเหนยี วแนน ไม เปลี่ยนแปลงไปงาย ควรแกก ารทาํ ความนึกทวนลาํ ดับเหตุการณไ ดตั้งนานๆ หลายชวั่ โมง. ๒. เขา สูทส่ี งัดซ่ึงเปน ทีอ่ ากาศโปรง ปลอดภยั ตนมอี สิ ระท่ีจะอยูไดโดยไมถ กู รบกวนใน ระหวาง นง่ั ในทา ท่สี บายทีน่ ่ังไดท นตามแบบดังกลา วไวในบทที่ ๒ แลว ทําความสงบใจถึงระดับ ฌาน ๔ แลว จึงทําสตินกึ ทวนลําดับเหตกุ ารณแ หงชีวิตประจาํ วัน ถอยคืนไปในเบื้องหลังทผ่ี า นมา ในชว่ั ชีวติ ปจ จุบันนอ้ี ยา งละเอียดถีถ่ วน จบั ตัง้ แตตอนตนเร่มิ น่งั ภาวนานี้คืนไปจนถงึ วันวาน วนั กอน สัปดาหกอ น ปก ษก อน เดือนกอ น ปกอน โดยลําดับๆ จนถึงเวลานอนในครรภมารดา ถา ตดิ ขดั ตรงไหนตอ งหยุดทาํ ความสงบน่ิงนานๆ เสียกอ น แลวจงึ นึกตอไปจนเหน็ สภาพของตนอยูใน ครรภมารดา ตอนน้ีตอ งนกึ ใหเห็นแจม แจงท่ีสดุ นึกแลวนกึ อกี แจมแลวแจมอกี ทกุ ระยะของสภาพ ในครรภนั้นจนทะลุไป คอื เห็นเหตกุ ารณกอ นเขาปฏิสนธใิ นครรภ ชือ่ วาตดี านสําคญั สาํ เร็จแลว . ทิพยอาํ นาจ ๑๑๙

๓. พึงเขาสมาธิถึงฌานที่ ๔ แลวนกึ ทวนเหตกุ ารณข องชวี ิตโดยนยั ขอ ๒ จนทะลุดา น ปฏิสนธิ มองเห็นเหตกุ ารณกอ นเขา ปฏสิ นธิไดแลว พงึ ทําสติทวนตามไปวา กอ นแตจะมาปฏิสนธิ นั้นอยไู หน มีสภาพเปนอยา งไร ก็จะเหน็ เหตกุ ารณต า งๆ เปนภาพชวี ติ ที่ลวงแลวเปนตอนๆ เหมือน ภาพบนจอภาพยนตร ก็จะรูขน้ึ พรอมกับภาพน้ันๆ วาเปน อะไรกบั ตน ถา ไมรูพงึ นึกถามขึ้นในใจ แลว สงบอยู ก็จะรขู ้ึนตามความเปนจรงิ ช่อื วาสาํ เร็จบพุ เพนิวาสานสุ สติญาณสมปรารถนา ตอจากน้นั จะไมเปนการลาํ บากในการระลกึ ชาตหิ นหลัง เม่ือตองการทราบแลว ทาํ ความสงบใจนึก ถามดภู าพชวี ิตในอดีตท่ีตอ งการทราบ ก็จะปรากฏแกต าใจเสมอไป เปนจาํ นวนหลายรอ ยหลายพัน ชาตทิ ีเดียว. บคุ คลผูร ะลกึ ชาติไดดว ยอํานาจการฝกสติอบรมจติ ใจดังกลา วมาน้ี จะระลึกไดห ลายชาติ และรเู หตุการณส ําคัญๆ ในชาติน้ันๆ พรอมทง้ั กรรมท่ีแตงกาํ เนิดใหเกดิ ใหมด วย ยอมจะเกดิ ศรทั ธา ความเชื่อม่ันในสงั สารวฏั และอํานาจกรรม เปน ศรัทธาพละ มีกาํ ลังเหนี่ยวร้ังตนมใิ หป ระมาทพลาด พล้ังในศีลธรรมใหเ กดิ ความขะมกั เขมน พากเพียรในการประพฤติศีลธรรม บาํ เพ็ญกุศลกรรม สรา ง บารมีธรรมย่งิ ๆ ขึ้นไป การระลกึ ชาติไดด วยอาํ นาจเจริญภาวนา มีประโยชนยิง่ ใหญด ังน้ี นอกจาก เปนประโยชนแกต นแลวยงั อาํ นวยประโยชนใหแกผ อู ื่นอีกดวย ผรู ะลึกชาติตนเองไดเชน นยี้ อม ระลึกชาติของผูอืน่ ท่ีเกี่ยวขอ งกบั ตน หรอื คนหา งออกไปก็ไดตามสมควร แลวจะไดช ว ยเหลอื คน นน้ั ๆ ตามความสามารถ คนทีเ่ คยรกั เคยชอบหรอื เคยเคารพเชือ่ ฟงกนั มากอน ถงึ มาเกิดใหมนิสยั นั้นๆ ยอมติดตามมาเหมอื นกัน ถาใหค นผูเขาเคยรักเคยชอบ เคยเคารพนับถอื ไปชวยเหลอื กันเขา จะทาํ ไดด ีโดยงาย ถา เห็นวา ไมมีนิสัยท่ีควรจะทรมานได จะไมพ ยายามใหเสียเวลาหรอื เสยี ประโยชน เวนแตเพื่อตอ ตา นภยั ของสว นรวมซ่ึงจําเปน อยูเ องท่ีผูมีตาดีแลว จะเพกิ เฉยละเลยเสยี มิไดในเมอ่ื พจิ ารณาแลวเห็นวา สามารถตอ ตานได ถา เหน็ เหลือวสิ ัยจงึ จะวางอเุ บกขา รวู าคราว วบิ ตั ิมาถงึ แลว ไมด้ินรนขวนขวายใหลาํ บากเหน่อื ยยากเปลา ๆ. สงั สารวัฏคอื การเวียนเกดิ เวยี นตายเปนชาตกิ ําเนดิ ตางๆ ทฝี่ กอนสุ สตเิ พือ่ รูระลกึ ไดน ั้นเปน สวนใหญ เหมอื นจกั รตัวใหญฉ ะนั้น ยังมสี งั สารวฏั ซง่ึ เปนสวนเลก็ ละเอยี ดซง่ึ เปรียบเหมือนจกั รตวั เลก็ ทห่ี มนุ เรว็ จ๋ยี งิ่ กวาจกั รตวั ใหญน้ันอีก ทานกําหนดไวด ังน้ี ๑. กิเลสวัฏฏะ ไดแ กกเิ ลสคอื ความรูส ึกฝายช่ัว ซงึ่ เกดิ ขึน้ กบั ใจโดยอาศัยส่ิงย่วั เยาหรือเรา ใจใหเ กดิ ขนึ้ มีอวิชชาความรไู มแจม ทําใหเ กิดความเห็นผดิ คิดผิด และพดู ผดิ ทาํ ผิดขน้ึ เปนตัวตน เปนรากแกว ของกิเลสแหง ใจทัง้ มวล เมอ่ื มีอวชิ ชาเปนตวั เหตุฝงอยใู นจิต ครั้นอารมณม าสมั ผัสรบ เรา ขนึ้ กเ็ กดิ ราคะความกาํ หนัด โทสะความขัดเคอื ง โมหะความหลงใหลไปตามลกั ษณะของสงิ่ เรา น้ันๆ เปน เคามูลของบาปอกุศลขึ้นในใจ อันนี้เปน จักรตัวเลก็ ๆ แตสําคัญท่ีสดุ ในบรรดาจกั ร ทที่ าํ ใหเ กดิ การหมุนเวียนเกิดตายในโลก. ๒. กัมมวฏั ฏะ ไดแกกรรมคอื การจงใจทาํ พดู คิด ดวยอาํ นาจกิเลสรบเราดลใจใหทาํ เปน กรรมดบี าง เลวบาง เม่อื ทาํ ไปแลวยอมเปนภาพพิมพใ จอยางลกึ และมีกําลงั แรงสามารถหมนุ จติ ใจ ไปในลกั ษณะดหี รอื เลวตามลักษณะกรรมนั้นๆ อันนี้กเ็ ปนจักรตัวเลก็ ๆ ตัวหนงึ่ แตส ําคัญทีส่ ดุ ใน การกอกาํ เนดิ และผลกั ดันจิตใจในดานดีหรือเลว. ทพิ ยอํานาจ ๑๒๐

๓. วปิ ากวฏั ฏะ ไดแกผ ลกรรมคือความดีเลว ความสุขความทุกข ไดดตี กยาก อันเปนผล สืบเนื่องมาแตก รรมดีเลวทีต่ นทาํ ไว คือกรรมดแี ตงความดี คอยอุปถมั ภบาํ รงุ ใหไดรับความสุขความ เจริญ กรรมชั่วแตงความเลว และคอยสงผลใหไ ดร บั ทุกขลําบากเดือดรอ นเรอื่ ยไป คอยบนั่ รอน ความสขุ ในเม่อื กรรมดีแตง ความดแี ลว เมื่อผลกรรมปรากฏขึ้นแลว จิตผูเสวยผลกรรมยอมรูสึกตดิ ใจหรือเกลียดชงั ผลกรรมนนั้ ๆ เกดิ เปน กิเลสสบื เนอื่ งไปอีก ผลกรรมกจ็ ัดเปน จักรตัวเลก็ ๆ ตัวหนงึ่ ซ่ึงมีความสําคัญในอันหมนุ จิตใหวง่ิ ไปในโลก. สังสารจกั ร ๓ สว นนี้แล เปนจกั รตวั ในทม่ี ีความสําคัญย่งิ การเกดิ ดถี ึงสขุ ตกทุกขไดย ากใน ชาติกาํ เนิดตางๆ นั้น ยอ มเปน ไปตามจกั ร ๓ ตวั นี้ ผูร ะลกึ ชาติไดด วยอาํ นาจอนุสสตญิ าณแลว ยอ มเกดิ ความเชื่อมั่นในสังสารวฏั และอาํ นาจกรรม เมือ่ ทาํ การพจิ ารณาใหซงึ้ ลงไปอีก ก็จะพบ สังสารจกั ร ๓ ตัวนี้อันเปนไปในภายในจิตใจอีกทหี นง่ึ แลวจะเกิดญาณรแู จงขึ้นในเรอ่ื งสังสารวฏั อยางทะลุปรุโปรง ตัดความสงสยั ในเรือ่ งตายเกิดตายสญู เสยี ได และตดั ความสงสยั ในเรอ่ื งอาํ นาจ กรรมเสียไดด วยพอสมควร นี้เปน ผลสงู สุดทีจ่ ะพงึ ไดจ ากการระลกึ ชาติได ฉะนน้ั สาธชุ นผู ปรารถนาทิพยอํานาจขอ นี้ พงึ ฝกฝนเอาตามวธิ ีท่ีกลาวมา กจ็ ะสาํ เรจ็ สมความปรารถนา. ทพิ ยอํานาจ ๑๒๑

บทที่ ๑๐ วธิ สี รา งทพิ ยอาํ นาจ ทพิ พจกั ขุ ตาทพิ ย ทิพยอาํ นาจขอนี้ หมายถงึ ความสามารถในการเหน็ รูปทิพย เห็นเหตกุ ารณ หรือความ เปนไปของสรรพสัตว และเห็นสงิ่ ล้ลี บั ไดดว ยอาํ นาจตาทพิ ย อนั บริสทุ ธิ์เกนิ กวา ตามนษุ ยธ รรมดา ทา นเรียกทพิ ยอํานาจขอ นว้ี า ทพิ พจกั ขุญาณ แปลวา รูเห็นดว ยตาทพิ ยหรอื เห็นดวยตาทิพย เรยี ก สัน้ ๆ ดงั ตงั้ เปนชื่อขางบนน้ีบาง. สง่ิ ทส่ี ามารถในการเหน็ หรือมีลักษณะเห็นไดดังตา ทานเรยี กวา จักษุท้งั นนั้ จะประมวลคํา ชื่อจักษุทท่ี า นกําหนดไวในที่ตางๆ มาไวใ นท่นี ้ี พรอ มกับอธบิ ายลกั ษณะความหมายไวพอเปน ที่ สงั เกต ดังตอไปนี้ ๑. มงั สจกั ษุ ตาเน้ือ ไดแกตาธรรมดาของสามญั มนุษย ซ่งึ สามารถมองเหน็ รูปวตั ถุทั้งปวง และสิง่ ซึ่งเน่ืองดว ยรปู วตั ถุ เชน พยบั แดดและแสงสวา งเปนตน ความสาํ คญั ของตาเน้ืออยูท่ีจักขุ ประสาท หรือท่ีเรยี กวาแกวตา มิไดอ ยทู ี่เนอื้ ตาทงั้ หมด หากแตเปนสิ่งเนอ่ื งกัน เมอื่ สวนประกอบ ของดวงตาเสียไปแมประสาทจกั ขุหรือแกวตายงั ดกี ็จะทําใหร ูส กึ มัวฝา ฟาง มองดูอะไรไมคอย เหน็ ชัด. ๒. ปญญาจักขุ ตาปญญา ไดแ กค วามรูความเห็นเหตุผลและความจรงิ สวนสามัญ อนั สาธารณะท่วั ไปแกวญิ ชู นทง้ั ปวง ผูม ีปญญาดียอ มมองเหน็ เหตผุ ลและความจรงิ อันเปนสวน สามัญไดง าย คลายมองเหน็ ดว ยตาธรรมดา ผูมปี ญ ญาทรามยอมมองเห็นเหตผุ ลและความจรงิ สวน สามัญไดย าก เหมือนคนตาฟางมองเหน็ อะไรไมถนัดชัดเจนฉะน้ัน. ๓. ฌานจักขุ ตาฌาน ไดแกก ารเห็นสรรพนมิ ติ ในฌานของผูบําเพญ็ ฌาน คลา ยเห็นดว ยตา ธรรมดาเปน ที่รูกันอยูใ นหมพู ทุ ธศาสนิกชนวา ตาใน นั่นเอง ตาชนิดน้ีกส็ ามารถมองเหน็ เหตกุ ารณ ในอดตี อนาคต และปจจบุ นั ได คลา ยคลงึ กับตาทิพย เปน แตย ังไมบรสิ ุทธเ์ิ ทาเทยี มตาทิพย เห็นได แตส่งิ หยาบๆ และเหน็ ไดในระยะใกล คือถา เปน สว นอดตี ก็เปนอดตี ใกล ถาเปน อนาคตก็เปน อนาคตใกล ถา เปนสว นปจจุบันก็เปน ปจ จบุ นั ใกล. ๔. ทิพพจักขุ ตาทิพย ไดแกตาของเทพเจา หรือบุคคลผูเ จริญฌานสมบูรณดวยทพิ ย อนิ ทรีย มีภาวะทางใจเสมอดวยเทพเจาแลว ตาทิพยย อ มสามารถเหน็ ทพิ ยรปู ท้ังปวง เห็น เหตุการณหรือความเปน ไปของบุคคลในระยะไกล ท้ังในสวนอดีต อนาคต และปจจบุ นั และ สามารถเหน็ สง่ิ ซ่ึงลลี้ บั มีอะไรปกปดกาํ บัง กับมองทะลไุ ปในส่ิงกีดขวางท้งั ปวงได เกินวสิ ัยตามนษุ ย ธรรมดาหลายลา นเทา ตาทพิ ยนี้เปนทิพยอํานาจทม่ี งุ หมายจะอธบิ ายในที่น้ี. ๕. ธมั มจกั ขุ ตาธรรม ไดแกว ิปส สนาญาณของพระอรยิ โสดาบัน ซ่งึ มองเหน็ ทะลุความจรงิ ในดานโลกวา ทุกส่ิงทมี่ ีเกิดตองมดี ับ และมองเห็นทะลคุ วามจริงในดานธรรมวา ทกุ สง่ิ ไมม เี กดิ ตอง ไมม ีดับ หมายความวา เหน็ โลกและธรรมทะลแุ ลว เช่ือม่นั วา มีธรรมชาติไมม ที ุกข ซ่งึ ตรงกันขามกบั ทิพยอาํ นาจ ๑๒๒

โลกซึง่ เปนธรรมชาติมที ุกข เปน ผูหย่ังลงสกู ระแสธรรม ดาํ เนินตรงไปสดู านปราศจากทุกขไ ดอ ยา ง ไมยอมถอยหลงั มีหวงั บรรลุภูมิทีป่ ราศจากทกุ ขไดแ นนอนแลว . ๖. ญาณจกั ขุ ตาญาณ ไดแกป รชี าสามารถหยัง่ รหู ย่งั เหน็ เหตผุ ล และความจริงสวน วสิ ามญั ท้งั ในดา นโลกและดา นธรรมยิ่งๆ ขึ้นของพระอรยิ บุคคลช้ันสูงกวาพระโสดาบัน ต่าํ กวา พระ อรหันต สามารถบรรเทาราคะ โทสะ โมหะ ใหเบาบางไปจากขนั ธสนั ดานไดมากย่ิงกวา ภูมพิ ระ โสดาบัน ไตรลักษณญาณเกอื บจะแจมแจงทกุ ประการแลว ความเห็นลกั ษณะความไมเท่ยี ง และ ความเปน ทกุ ขข องโลกแจม แจงแกใ จแลว แตค วามเห็นลกั ษณะความเปนอนัตตาของโลกยงั ไมแจม แจงแกใ จ ยังมัวซวั ในบางส่ิง อวิชชาจึงยังเหลืออยใู นขนั ธสนั ดาน เปนเหตใุ หม อี ุปาทานในทกุ ขเ ปน บางสว น. ๗. พทุ ธจักขุ ตาพทุ ธะ ไดแกปรีชาญาณท่สี ามารถมองเหน็ โลกและธรรมตามความเปน จริงไดหมดทกุ แงทุกมมุ แลว สามารถสังหารอวิชชาขาดเดด็ จากขันธสันดาน บรรลถุ ึงภูมพิ ระ นิพพาน ดับทุกขโ ศกโรคภัยไดห มดแลว ถึง “ความเปน แกว” ดวงหนึ่งในจํานวนแกว ๓ ดวง คือ พทุ ธรตั นะ ธรรมรตั นะ และสังฆรัตนะ ผูบรรลุถึงภมู ินี้เรียกวา พระอรหันต มีจติ ใจบรสิ ุทธด์ิ จุ แกว มณีโชติ เปนผตู ่นื ตัวเต็มทแ่ี ลว หายละเมอเพอ ฝน แลว เมอ่ื ใจบริสทุ ธดิ์ ุจแกว มณีโชติ แมป รีชาญาณ ของทานกบ็ รสิ ทุ ธิ์ดจุ แกวเชน เดยี วกันฉะนั้น เม่อื จะสมมติใหเขา ใจงาย ขาพเจา จึงพอใจเรียกวา ตาแกว เปน ตาของทานผูตน่ื ตัวเตม็ ที่แลวจําพวกเดยี ว เปนตาท่สี ามารถมองเห็น “พระแกว” คือ “วิสุทธิเทวา” บรรดาทีป่ รินพิ พานไปแลว ท้งั สามารถฟงเสียงพระแกวไดด ว ย เปนตาทด่ี ีวเิ ศษ ประเสรฐิ สงู สง กวา ตาทพิ ย เพราะเทพเจา ธรรมดาซง่ึ มตี าทิพยไมสามารถมองเหน็ พระแกว คอื พระ อรหนั ต และไมสามารถไดยนิ เสยี งของทานดว ย เวนแตเ ทพเจา ผูบรรลถุ ึงภูมิพระแกว บางพระองค เทา นน้ั . ๘. สมันตจักขุ ตารอบดา น ไดแกพ ระสัพพญั ุตญั ญาณ พระอนาวรญาณ พระทศพลญาณ และพระเวสารชั ชญาณ ของพระบรมศาสดาจารยส มั มาสมั พุทธเจา ซง่ึ เปนพระญาณครอบสากล โลกสากลธรรม สมดวยคํายอพระเกยี รติพระองควา โลกจกั ขุ โลกนั ตทสั สี ทรงเห็นโลก ทรงเหน็ ทสี่ ุดโลก คนธรรมดาอยูในโลกแตไ มเห็นโลก จงึ กระทบกระท่ังกับโลกร่าํ ไป สวนพระบรมศาสดา ทรงเห็นโลกแลวจึงไมกระทบกระทงั่ กบั โลก นกั ธรรมสามัญทง้ั หลายแมศ กึ ษาธรรม ประพฤติธรรม แตก ็ยังไมเห็นธรรมถูกถวนทกุ แงทกุ มุม จงึ กระทบกระท่ังกบั ธรรมรา่ํ ไป สวนพระบรมศาสดาทรง เหน็ ธรรมถกู ถวนทุกแงท กุ มุม จึงไมก ระทบกระทั่งกบั ธรรม ทรงเปน อันหนึง่ อันเดยี วกบั ธรรมเสมอ ไป พระเนตรคอื พระปรีชาญาณของพระองคแจมใสทสี่ ุด สามารถมองเหน็ ไดก วางไกลท่สี ุด โดยรอบทุกทิศทุกทาง มองทะลไุ ปทั่วสากลจักรวาล ย่ิงกวาตาของทาวพันตาหลายลา นเทา ยิ่งกวา ตาของทา วมหาพรหมผเู ปน ประชาบดใี หญย งิ่ ในหมูประชาสตั วหลายแสนเทา ทรงมองเห็น เหตุการณเ บื้องหลังท่ีผานมาแลว ไดไ กลประมาณแสนโกฏิอสงไขยกัป ทรงเห็นเหตกุ ารณเบื้อง หนา ทีจ่ ะมาถึงไดไ กลประมาณแสนโกฏอิ สงไขยกปั เชนเดยี วกัน ทรงเหน็ เหตกุ ารณจําเพาะหนาได ถว นถี่ทกุ ประการ และทรงเห็นเหตุผลไดล ะเอียดถี่ถวนทส่ี ุด จึงทรงสามารถบัญญตั ิพระธรรมวนิ ัย ไวเ ปน หลกั ศกึ ษาแกพทุ ธเวไนยไดป ระณีตบรรจง สมบูรณด ว ยอรรถพยัญชนะ พรอ มพรง่ั ดวยเหตุ ทิพยอํานาจ ๑๒๓

และผล ทนตอการพิสูจนข องนักปราชญ ไมมีใครอาจคานติงได สมกับคํายอพระเกยี รตวิ า สมนั ต- จกั ขุ พระผูมจี กั ษุรอบดานแทเ ทียว. บรรดาจักขุดังไดกลาวมา มังสจกั ขเุ ปนตาธรรมดาของสามัญมนษุ ย สาํ เร็จมาแตกุศลกรรม ทท่ี าํ เอาไวแตบ ุพเพชาติ มิใชวสิ ัยทจ่ี ะพึงแตง สรา งเอาไดใ นปจ จบุ นั หากจะฝก หดั ใหดบี า งกเ็ พยี ง เล็กนอ ยคือทาํ ใหจกั ษปุ ระสาทผองใส ใชการไดดกี วาปกตบิ า งเล็กนอ ย แตจ ะใหมงั สจกั ขกุ ลายเปน ทิพยจกั ขนุ ั้นเปน การเกนิ วิสยั มิใชฐานะทจี่ ะเปน ไปได, ปญญาจกั ขเุ ปนตาปญญาท่ีสาธารณะแก สามัญชนอาจแตง สรา งใหดีวิเศษขน้ึ ไดด วยการศึกษาสาํ เหนียกคําสอนของนกั ปราชญด วยการคิด อานเหตผุ ลตนปลายของสิ่งทง้ั หลาย และดวยการอบรมใจใหผ องแผวหายขุนมวั , ฌานจกั ขเุ ปนตา ในของผูเจริญฌาน รเู ห็นเหตกุ ารณไดบ างเปน บางประการ เปนส่งิ สามารทําใหเ กดิ มขี น้ึ ได ไมใ ชส งิ่ เกนิ ความสามารถของสามัญมนษุ ย, ทิพพจักขุเปน ตาใจทีแ่ จมใส มองเห็นรปู ทิพยและเหตุการณ ไดด วี เิ ศษ เปนสิ่งเน่อื งกบั ใจ สามารถสรางข้ึนได ไมเ กนิ วิสยั สามญั มนุษยเ หมอื นกนั , ธรรมจกั ขเุ ปน ตวั วิปส สนาญาณทปี่ ระหารกเิ ลสข้ันตน สาธชุ นผไู มป ระมาทอาจทาํ ใหเกดิ ข้ึนได ไมเปนส่งิ เกินวสิ ัย เชน เดยี วกนั , ญาณจกั ขเุ ปนตวั วิปสสนาญาณขั้นสูงข้ึนไป อนั อรยิ ชนผบู รรลุภูมธิ รรมขั้นตน แลว พึง ขวนขวายสรางสืบตอขึ้นไป, พทุ ธจักขุเปนตาแกว ของพระอรหันตผ ูเสรจ็ กจิ กําจัดกิเลสแลว อยูเ ยน็ ใจ ไมเปน ส่งิ เกินวสิ ัยทีจ่ ะกา วไปถงึ เหมือนกัน เพราะผูเปนพระอรหันตท านกเ็ ปนปุถุชนมากอน มิใชเ ปนพระอรหันตแ ตก ําเนดิ , สวนสมนั ตจกั ขุนน้ั เปน วสิ ัยของทานผมู บี ารมใี หญย ิง่ จะพึงไดพงึ ถึง มิใชวสิ ยั ของสามัญชน เมอื่ ไดทราบลักษณะจักขตุ างๆ พอสมควรฉะนแ้ี ลว ควรเร่มิ ศกึ ษาทพิ พ จักขุโดยเฉพาะได ฉะนั้น จะไดกลา วถงึ ทพิ พจกั ขุตอ ไป การที่จะเขาใจทิพพจกั ขุไดงายนน้ั ตอง เขา ใจกาํ เนดิ ทิพยท ีม่ ที ิพพจักขโุ ดยกําเนิดพอสมควร ฉะนั้น จะไดอธบิ ายกําเนิดทพิ ยและทพิ พจกั ขุ โดยกําเนิดกอ น แลว จงึ จะอธบิ ายลักษณะทพิ พจกั ขุท่ีทําใหเกิดขน้ึ ตอ ไป. เทพเจา เปนพวกกําเนดิ ทพิ ย มที ิพยอินทรยี ส มบรู ณท ุกประการ มที ่ีอยคู ือฉกามาพจรสรรค และพรหมโลก ดังกลา วแลวในบทวาดวยทิพพโสต ยังมีพวกทเี่ ปน ทิพยแ ละคลายทพิ ยบ นพ้ืนโลก ใกลๆ กับแดนมนษุ ยน ี้อีก พวกท่เี ปน ทิพยน้ันเปนเทพเจา ชั้นภาคพ้นื ดินและอากาศบางจาํ พวก สว นพวกคลา ยทิพยนั้นเปนพวกอทิสสมานกาย หรอื อมนุษย มคี วามเปน อยูคลายคลงึ กบั มนุษย เปนแตรางของเขาละเอียดและเบากวา รา งของมนษุ ย ไปมาไดวอ งไว คนทั้งหลายรูจ กั พวกนใี้ นชื่อ วา พวกลบั แลบา ง พวกบงั บดบาง พระภมู ิเจาที่บา ง อยางตาํ่ คือคําวาผี พวกนม้ี ีตาดกี วามนษุ ย ธรรมดามาก มองเหน็ ทะลุเคร่อื งกดี ขวางได และมองเหน็ ไดไกลเกินตาปกติของมนษุ ยหลายรอ ย หลายพนั เทา เชน เขาอยูกรงุ เทพฯ มองไปเห็นถึงยโุ รปและอเมริกา ตาชนดิ น้ีเรียกวา ตาทพิ ย โดย กาํ เนิดของพวกทพิ ยห รอื พวกคลายทิพย ทีนเี้ ราลองหนั มาดจู ําพวกสัตวด ริ ัจฉานบาง ซง่ึ มนั อยู ใกลๆ กับมนษุ ย มีรปู ระกอบขน้ึ ดวยธาตุหยาบๆ เหมอื นมนษุ ย แตมันมีตาดกี วามนษุ ยห ลายเทา เชน สุนัข ไก เห็นผไี ด สัตวปาหากินกลางคืนมันเห็นอาหารท่ีมนั ตองการได เห็นอันตรายของมันได เชน เสือเปนตน มดมองทะลุส่งิ กดี ขวางได เคยมผี ูท ดลองเอาน้าํ ตาลวางไวในทปี่ ราศจากมด ช่ัว เวลาไมถงึ ช่ัวโมงมดจะยกโขยงกนั มาจากทไ่ี กล มากนิ นํ้าตาลนนั้ ภายหลงั ทดลองใหม เอานาํ้ ตาล วางไวใ นทมี่ ีนํ้ากั้นโดยรอบ มดจะไมม าเลยสกั ตัวเดียว แสดงวา มันมองเห็นวา มีอะไรกน้ั ซึ่งไม ทิพยอํานาจ ๑๒๔

สามารถเขา ไปกินนํ้าตาลได มนั จึงไมม า ถาจะวามนั มาครั้งแรกเพราะไดก ลิ่น ครงั้ ท่ี ๒ ซง่ึ เอาน้าํ หลอไวก็คงจะสงกล่นิ ไปไดเชนกัน ทาํ ไมมันจึงไมม ากิน การทีม่ ันไมมาในครง้ั ท่ี ๒ จงึ สอ แสดงวามัน มีตาทพิ ย มองเหน็ สิ่งกดี ขวางในระยะไกลเกนิ สายตาธรรมดา เรอื่ งน้แี มข าพเจากไ็ ดทดลองและ ประจกั ษผลเชน ท่เี ลานเี้ หมอื นกนั ทีน้หี ันมาดใู นหมูมนุษยเ ราบาง คนท่มี ีตาดวี เิ ศษเกนิ คนธรรมดา ด่ังมดหรือเทพเจามบี า งหรือไม? ไดเ คยอา นเรอื่ งคนทมี่ องเห็นเหตกุ ารณอ นาคตในตา งประเทศ ที่ มีผูน ํามาเขียนเลาไวม ากราย จาํ ไมไดต ลอด จึงไมอ าจเลาไวในท่ีนไ้ี ด ทงั้ เห็นวา เปนพยานไกล เกินไป อยากจะไดพ ยานใกลๆ กวา น้ีสักหนอย นกั ดาราศาสตรส ามารถคาํ นวณเวลาจันทรคราส สุริยคราสไดถ กู ตองแมนยาํ ทั้งวนั เวลาเขา ออก นักอตุ ุนิยมศาสตรสามารถพยากรณอากาศ เมฆ ฝน พายุ ไดแ มนยํา นักโหราศาสตรสามารถพยากรณเหตกุ ารณข องโลกและเหตุการณเฉพาะ บคุ คลไดถกู ตองเปนสวนมาก และนกั จติ ศาสตรส ามารถพยากรณเหตุการณข องโลกและของบคุ คล ไดแ มน ยําเหมือนตาเห็น ท่ีเปนไดท ั้งนี้แมมิใชทพิ พจักขุโดยตรงก็เปน เรอื่ งใกลเ คยี ง พอจะ สนั นิษฐานไดวา ทพิ พจักขอุ าจมีไดเชนกัน นักศาสตรต างๆ ดงั กลา วมานีเ้ ขาอาศยั ปญ ญาจกั ขุ รู เหตุผลกฎเกณฑข องสงิ่ น้ันๆ แลว คํานวณคาดคะเนเหตุการณใ นอนาคตได ปญ ญาจักขเุ ปน ส่งิ เนอ่ื งดว ยจติ ใจ แมท ิพพจกั ขกุ ็เปน สิง่ เนอื่ งกับจติ ใจไฉนจึงจะมีไมไ ด นักฝก ฝนจติ ใจใน พระพุทธศาสนาสมยั ปจ จบุ นั แมจะมไิ ดรบั สมัญญาวานักจิตศาสตร ก็มใิ ชปราศจากความรทู าง จิตใจ เปนแตไมไดแสดงความรูท างดานนี้ใหป รากฏแกโลกอยางผาดโผน คนทงั้ หลายจงึ ไมรวู า ชาว พุทธเปน นกั จิตศาสตร สมยั พทุ ธกาลชาวพทุ ธมชี ื่อเดน ในทางจติ ศาสตร มคี วามสามารถทาง ทิพยอํานาจหลายประการ พระบรมศาสดาจารยท รงเปน เยยี่ มทสี่ ดุ ทรงสามารถในทิพยอาํ นาจทกุ ประการ พระอคั รสาวกซา ย-ขวาเปนเย่ยี มรองลงมา พระอนุรทุ ธเถระทรงเปนเยย่ี มทางทพิ พจักขุ โดยเฉพาะ ในสมยั พระบรมศาสดาเสดจ็ ปรินพิ พานน้นั ทานทรงทราบไดดวี า เสดจ็ ปรนิ พิ พานแลว หรอื ยัง คือในวาระที่ทรงเขา สคู วามสงบตามลําดบั และทวนลําดบั อยูนั้น ถา ดูดวยตาธรรมดาก็วา เสดจ็ ปรินิพพานแลว แตพ ระอนุรทุ ธเถระบอกวายังไมเ สดจ็ สปู รนิ ิพพาน เปนแตท รงเขาฌาน สมาบัติ เมื่อพระบรมศาสดาทรงยับยง้ั อยูในฌานพอสมควรแลว จงึ เสด็จปรินพิ พานในระหวา ง แหงฌานที่ ๔ และที่ ๕ ทันทีนั้นพระอนุรทุ ธเถระจึงบอกวาเสดจ็ ปรินพิ พานแลว พทุ ธบรษิ ัทจึงได จดั การพระบรมศพ เม่อื พระบรมศาสดาเสดจ็ ปรินิพพานลว งมาไดประมาณ ๒๓๖ ปเศษ พระมหา โมคคัลลีบตุ รตสิ สเถระเล็งดูกาลอนาคตของพระพทุ ธศาสนา เห็นวา ตอไปชมพทู วปี จะไมเปน ที่ตัง้ ของพระพทุ ธศาสนาๆ จะไปเจริญรุงเรอื งในทวีปอ่ืน จึงไดถ วายพระพรพระเจา อโศกมหาราชขอ อปุ ถัมภ เพอ่ื จดั สงพระเถรานเุ ถระเปนคณะไปเผยแผพระพุทธศาสนายังนานาประเทศนอกชมพู ทวีป ดานใตถ งึ เกาะลังกา ดา นตะวนั ตกถงึ เปอรเซีย ดา นเหนือถึงประเทศแถบเชงิ เขาหมิ าลยั ดา น ตะวนั ออกถงึ สวุ รรณภูมิ เหตกุ ารณก ็สมจรงิ ดังคาด พอพระพุทธศกั ราชประมาณ ๑,๑๐๐ ปเศษ พระพุทธศาสนาก็อนั ตรธานจากชมพทู วีป ไปเจรญิ รงุ เรืองยงั นานานประเทศจรงิ ๆ สวุ รรณภมู ิ คือ แหลมทองซึ่งหมายถึงผืนแผน ดนิ ต้งั แตอาวเบ็งกอลมาถึงทะเลญวนไดเปน ท่ีรบั รองพระพทุ ธศาสนา มาต้งั แตพ ระพุทธศกั ราชประมาณ ๒๓๖ ปเ ศษ มีโบราณวตั ถุสมยั พระเจา อโศกมหาราชเปนสักขี พยานในโบราณสถานนัน้ ๆ เชน พระปฐมเจดีย ที่จังหวัดนครปฐม มวี งลอ ธรรมจกั รทาํ ดว ยศิลา ทพิ ยอํานาจ ๑๒๕

ขนาดใหญโ ตมาก ซง่ึ เปนท่ีนยิ มในสมยั น้ัน เพราะยังไมเกดิ ประเพณีสรา งพระพทุ ธรูป ทเี่ มอื งเสมา (รา ง) ในจงั หวัดนครราชสีมากม็ ีวงลอ ธรรมจักร ทาํ ดวยศิลาขนาดเดียวกนั กบั ทนี่ ครปฐม และที่ ตาํ บลฟาแดดสูงบาง จงั หวัดกาฬสินธุมีภาพสลกั ศิลาเปน เรอื่ งพทุ ธประวัติ ซง่ึ เปน พยานวา พระพทุ ธศาสนาไดเ จรญิ รงุ เรือง ณ แหลมทอง โดยเฉพาะที่นครปฐมและนครราชสีมาในสมัย เดียวกัน ประมาณวา ในราวพุทธศตวรรษท่ี ๔ การท่พี ระมหาโมคคัลลีบุตรติสสเถระสามารถคาด เหตุการณไดถกู ตองเปนระยะไกลถงึ เกือบพนั ปเ ชนนี้ ยอมตอ งมที ิพพจกั ขแุ จม ใสจรงิ ๆ แนน อน เมอ่ื ทราบแลวทา นกด็ ําเนินการแกว ิกฤตการณไ วล ว งหนาทนั ที ผลดีท่เี กดิ ข้ึนคือ พระพทุ ธศาสนา แพรห ลายและดาํ รงอยไู ดในนานานประเทศนอกชมพูทวปี มาจนถึงปจ จบุ นั ชมพูทวปี คอื อินเดยี ซ่งึ เปน ทีก่ าํ เนิดของพระพทุ ธศาสนาไดว างเปลาจากพระพุทธศาสนามานานประมาณพันปแลว เพ่งิ จะ มีพระภกิ ษจุ ากลังกา พมา และอาหม เขาไปทาํ การเผยแผพระพุทธศาสนาในชมพูทวปี อีกเมอื่ ประมาณ ๖๐ ปมานเ่ี ทานน้ั ถึงกระน้ันกย็ ังหวงั ความเจริญรงุ เรืองเหมอื นในสมยั พุทธกาลไดย าก เพราะสภาพเหตกุ ารณข องบา นเมืองและประชาชนเปลยี่ นแปลงไปจากเดิม ลัทธิศาสนาอ่นื ไดฝ ง รากแทนท่ีพระพุทธศาสนามานาน บุคคลผจู ะนําพระพทุ ธศาสนาไปปลูกฝง ลงยงั อินเดยี ไดอกี จะตองเปน ผมู ีบญุ ญาภสิ มภาร และอทิ ธาภินิหารเปน ท่อี ศั จรรย ย่งิ กวาเจาลทั ธคิ ณาจารยใ นถิน่ น้ัน อยา งมาก คาํ ทาํ นายโบราณชิ้นหน่ึงไดเ ปนทตี่ ่ืนเตนสนใจกัน เมอ่ื ประมาณ ๑๐ กวา ปมาน้มี วี า เมือ่ พระพุทธศาสนาถึงกึ่ง ๕,๐๐๐ ปน บั แตพทุ ธปรนิ พิ พานมา พระพทุ ธศาสนาจะกลับ เจรญิ รุงเรอื งถึงขีดสงู สุดคลา ยสมัยพุทธกาล พระมหาเถระโพธิสัตวผ มู ีบญุ ญาภสิ มภาร มีอิทธาภนิ -ิ หาร เชีย่ วชาญทางอภิญญาในสุวรรณภมู ิ จะไดเ ปนประธานาธิบดสี งฆ ทําการเผยแผ พระพุทธศาสนาไปยงั นานาประเทศ เร่ิมตนท่อี นิ เดีย ไปยโุ รปและอเมริกา ประชาชนชาวโลกจะหนั มานบั ถือพระพทุ ธศาสนามากมาย คนทง้ั หลายจะนิยมในการฝก ฝนอบรมจิตใจในทาง พระพทุ ธศาสนา ประเทศชาติบา นเมืองก็จะรม เยน็ เปนสขุ ดว ยรม เงาของพระพทุ ธศาสนา ดังน้ี บดั นี้กจ็ วนจะถงึ สมัยกงึ่ พระพุทธศาสนาแลว๑ เงาเจรญิ แหงพระพุทธศาสนาเริม่ ปรากฏแลว ชาว อศั ดงคตประเทศกําลังหันมาสนใจในพระพทุ ธศาสนามากขึ้น แตใ ครเปนตัวการตามทาํ นายน้ัน ยงั มไิ ดเ ปนทีป่ รากฏแกวงการพระพทุ ธศาสนา ขอใหคอยดูตอไปวาจะจริงเท็จแคไหน ถา คาํ ทาํ นาย เปนจรงิ ขนึ้ ก็แปลวา ชาวพทุ ธผใู หคําทาํ นายไวน ้ันมที ิพพจกั ขวุ เิ ศษทส่ี ุดไดแนๆ ทเี ดยี ว และตวั การ ในคําทํานายนน้ั จะเปนบุคคลที่นา อัศจรรยท ีส่ ดุ ของโลกสมัยใหมดว ย. ทนี ล้ี องหันไปพิจารณาเหตกุ ารณตามพุทธทาํ นายดูบา งวาเปน จรงิ เพียงไร จะไดนํามาให พิจารณาเฉพาะขอ ทีพ่ อจะมองเห็นความจริงได คําทาํ นายน้นั ปราชญทางภาคอิสานประพนั ธเ ปน คําโคลงและใชโ วหารเปนปริศนาโดยมาก ตองแปลความหมายถกู ตอง จึงจะทราบวาคําทาํ นายน้นั ถกู ตองกับความจริง คาํ ทาํ นายเรมิ่ ตนวา เมื่อพระพทุ ธศาสนาลวงไปถงึ ๒,๐๐๐ ปเ ม่ือไร เหตุการณต า งๆ แปลกประหลาดจะเกิดขน้ึ ในโลก คือภิกษใุ นพระพุทธศาสนาจะเกดิ นยิ มสะสมเงิน ทองซอ้ื จา ยขายกิน ลกู ศิษยจ ะไมยําเยงเกรงกลัวครูบาอาจารย คนแกค นเฒา จะถูกเดก็ ๆ เยาหยอก .......................................................................................................................................................... ๑. ถึงแลว คอื พ.ศ.๒๕๐๐-๒๕๑๖. ทพิ ยอํานาจ ๑๒๖

เลน ดั่งเพอ่ื นๆ หญงิ ชายอายุ ๑๓ ปส ามารถมีลูกได, ฟองนา้ํ จะกลายเปน รูปชางแผดเสยี งไปตาม ลําแมนํา้ หมายถงึ เรือยนตก ลไฟ, หินกอ นเบอ เรอ จะฟูน้าํ และไหลไปตามนํา้ ได หมายความวา จะมี วัตถุทาํ ดว ยหินลอยน้ําได หรอื อกี นยั หน่ึงคนซงึ่ เคยเปนผหู นกั แนน ในศลี ธรรมจะกลายเปนคนใจ เบา ผันแปรไปตามกระแสกเิ ลสซึ่งเปรียบดว ยหนองนํ้า, นักปราชญจ ะทําการทดน้ําตามหว ยหนอง คลองบึงบางตา งๆ จนทําใหนาํ้ ไมไหลเหมอื นแตก อน ในท่สี ุดที่ขังนา้ํ น้ันๆ กจ็ ะขาดเขินน้ําแหง ผาก ไป, คางคกจะรอ งขัดฝน๑ หมายความวามนุษยจ ะประดิษฐเ คร่ืองทําฝนเสียเองไมตองงอธรรมชาติ, ไสเ ดือนและปลากงั้ จะบนิ หมายความวาจะเกดิ มีสายโทรเลข โทรศัพท ซ่งึ มีลักษณะเหมอื น ไสเดือน และจะเกิดมีอากาศยานซงึ่ มีรปู ลักษณะคลา ยปลากัง้ บนิ บนได, หนจู ะทําฤทธิใ์ หแมวกลัว หมายความวาคนจําพวกหน่งึ ซงึ่ เคยออ นนอ มยอมกลัวผมู อี าํ นาจยิ่งใหญ จะเกิดความฮกึ หาญทาํ การใหค นผูย ่ิงใหญยอมกลวั ได, หมาจง้ิ จอกจะเหา ชา ง หมายความวา บคุ คลจาํ พวกหนงึ่ ซึ่งมี ลกั ษณะเหมือนหมาจงิ้ จอกจะเกิดหาญ กลา วตเิ ตยี นบุคคลผูม ีลกั ษณะเหมอื นชา ง, กุง จะกุมกนิ ปลาบึก หมายความวาคนโกงจะโกงกนิ คนดมี ีศลี ธรรม, ปลาซวิ จะไลก ดั จระเข จระเขจ ะหนไี ปซอน อยตู ามเงือ้ มผา หมายความวา คนใจเบาเหมอื นปลาซวิ จะทาํ การขับไลคนโตซ่ึงเปรียบเหมือนจระเข ใหตอ งหลบหลีกปลกี ตัวไปหลบซอนอยตู ามหุบผา ฯลฯ ลองพิจารณาดูซวิ า เปน จริงหรอื ไมใ น ปจจุบนั น้ี ทีน้ลี องหันมาพจิ ารณาดคู ําทํานายของบคุ คลยุคใหม ซึ่งพอจะรเู รอ่ื งกันไดอ ยูบาง คอื พระบาทสมเดจ็ พระเจาอยูหวั รชั กาลที่ ๑ แหงกรงุ เทพฯ นี้ไดท รงพยากรณวา ความสุขสมบรู ณ ของพระราชวงศของพระองค จะดาํ รงอยูแค ๑๕๐ ป พอครบกําหนดกเ็ กดิ การปฏวิ ตั ิเปลย่ี นแปลง การปกครองเปน แบบประชาธปิ ไตย กษัตริยอ ยภู ายใตร ัฐธรรมนูญ ซ่ึงเปน กฎหมายสูงสุดของ ประเทศทันที เจา พระคณุ พระอุบาลคี ณุ ูปมาจารย (สิรจิ ันทเถระ จันทร) เมือ่ ไปสรา งวดั เขาพระ งาม ที่จงั หวัดลพบุรี สรา งพระพทุ ธรปู ไวบนไหลเขา ใหนามพระวา กึง่ ยคุ คือ ทานคิดวาในสมยั ก่ึง พระพทุ ธศาสนานัน้ พระพทุ ธศาสนาจะเจรญิ รุงเรอื งคลา ยกับสมัยพทุ ธกาล ทานพจิ ารณาดูชวี ติ ของทา นจะไมไดอ ยูเ ห็นสมยั นั้น แตคิดอยากทําอะไรไวเปนท่ีระลกึ สาํ หรบั กึ่งยคุ บา ง จงึ คิดคํานวณ นบั แตว ันตรัสรูมาจนถงึ เวลาทที่ า นสรา งพระพทุ ธรูปใหญนน้ั ครบ ๒,๕๐๐ ปพ อดี จงึ ไดจัดการ ฉลองและขนานพระนามพระพุทธรูปน้ันวา พระกึง่ ยคุ ในคราวมงี านฉลองวดั และพระพุทธรปู ใหญ นน้ั มีผูตอวาทา นวา มาสรางวัดไวในปาในดงใหญโ ต ตอไปจะมใี ครมาดูแลรกั ษา ทาํ เสยี เงนิ เสยี ทองไปเปลาๆ ทา นจึงกลาวตอบเปนคาํ ทํานายวา ตอ ไปไมนานสถานท่ีนจี้ ะมีบา นเมอื งคนอยูเต็ม มี ไฟฟาใชสวา งไสวทว่ั ไปแมกระทงั่ ในวัดน้ี ดังนี้ บัดน้เี หตุการณก ็เปนจรงิ ดงั ท่ีทา นทาํ นายไวทุก ประการ ทานเหลา นี้ตองมอี นาคตังสญาณอนั เปนสว นหนง่ึ ของทพิ พจักขุญาณแนๆ จงึ สามารถ ทราบเหตุการณล ว งหนา ไดเ ชนนน้ั . ชาวประมงที่ลงหาปลาในทะเล ขณะทเ่ี ขาลงดําน้ําหาปลาน้ัน ถาจะมีภัยจากปลาใหญ เชน ปลาฉลามหรอื ปลาหมอ เขาสงั เกตเหน็ คลื่นใตน้ําเปนทางมากอน ถา รีบข้ึนจากนาํ้ เสยี ทันทกี ็พน ภัย โดยนยั เดียวกันเหตกุ ารณใ หญๆ ทีจ่ ะมมี าในอนาคตยอมมเี งามากอ น ผมู ีตาดียอมสงั เกตเหน็ และ .......................................................................................................................................................... ๑. ฝนเทียม ทพิ ยอาํ นาจ ๑๒๗

คาดการณถ ูกตองดงั ตวั อยางท่ีใหไวแลว สว นเหตกุ ารณใ นอดตี ไกลน้ันยอมท้งิ เงาหรอื รองรอยไวใน วัตถุสถาน หรอื พน้ื ท่ีน้ันใหค นตาดีหย่งั ทราบไดเชนเดยี วกัน นักปราชญทางโบราณคดีผมู ีความรู เชยี่ วชาญ หยบิ วัตถุโบราณขึน้ มาช้ินหนง่ึ พิจารณาดอู ยคู รูเดียวกบ็ อกไดวาเปน ของทาํ ในสมยั ไหน ชนชาตใิ ดเปนคนทาํ การท่ีนักโบราณคดีทราบไดเ ชนน้นั นอกจากรปู ลกั ษณะและความนานของ วัตถุน้ันเปนเครื่องบอกแลว กระแสจติ ของผสู รางวัตถนุ น้ั ซง่ึ ยังตราติดอยกู ับวัตถุนั้นเปนเครื่องบอก อกี ดว ย คือพอสมั ผัสวัตถนุ ้ันเขา กระแสจติ อันตราติดอยกู ับวตั ถุก็แลนเขาสมั ผสั กับจติ ใจของผจู บั ตอ งทนั ที นักโบราณคดีซ่งึ เปนผูละเอียดลออ มีสมาธแิ นว แน จงึ สามารถรับทราบสัมผสั กระแสจิต น้นั มองเหน็ ภาพความเปนไปในอดตี อาจวาดภาพพสิ ดารกวางขวางไดดวย เราจึงรสู ึกแปลกใจใน การท่นี กั โบราณคดวี าดภาพเหตุการณข องบานเมืองในอดีตไดเปนคุง เปนแคว คลา ยไดเ ห็นมาดวย ตาตนเองฉะนนั้ ศาสตราจารยย อรชเซเดส ไดไปสํารวจเมืองอูทอง แรมคืนในที่น้ันเพยี งคืนเดยี ว เขาสามารถบรรยายภาพเหตุการณข องเมืองอูทองสมัยยงั ดี กบั สมยั เมืองแตก ใหเราฟง อยางกะ เขาไดเ ห็นกะตาของเขาเอง การทเี่ ปนไดเชนน้ันก็เน่ืองดวยความมีสมาธแิ นว แนของเขา สามารถ รับสมั ผสั กับกระแสจติ ของคนในอดตี ได ท้งั มองเห็นภาพทางใจคลา ยเหน็ ดวยตาธรรมดาอกี ดว ย เขาจงึ สามารถบรรยายภาพเหตกุ ารณในอดีตไดด ี และมสี ว นถูกตองตรงกบั ความจริงเปนสวนมาก ดังเปน ที่ยอมรบั รองความจริงทางประวตั ศิ าสตรน ั้นแลว นอกจากความรเู หน็ เหตุการณในสวนอดตี และอนาคตแลว ยังมีความรเู ห็นเปนสว นปจ จุบนั เฉพาะหนาอกี ดวย ผูมีจิตใจเปนสมาธิแนวแน จะสามารถรูเห็นเหตุการณอ ันจะเกิดขึ้นในวนั หนึง่ ๆ ไดล ว งหนากอ นที่เหตุการณน ั้นจะมาถงึ คลา ย ชาวประมงรจู กั คลนื่ ภยั จากปลาใหญใ นทะเลฉะน้นั เหตกุ ารณประจําวนั โดยมากเปน เหตกุ ารณ เล็กนอ ยไมสลักสําคญั ถา เปน เหตกุ ารณใ หญโ ตสลกั สําคญั จะมีเงามาปรากฏลวงหนา นานๆ ผมู ี ญาณจะเหน็ ภาพเหตกุ ารณน่ันลว งหนาแตเวลาเน่ินๆ ญาณทงั้ ๓ สวนนี้แหละเปนสวนประกอบ ของทิพพจกั ขุญาณ ฉะนั้น จะไดก ําหนดลักษณะญาณ ๓ ประการนไ้ี วพ อเปน ทสี่ งั เกตของผสู นใจ ศึกษา ดังตอ ไปนี้ ๑. อตีตังสญาณ ปรชี าหย่งั เห็นเหตกุ ารณในสวนอดีตกาลนานไกล มลี ักษณะใหม องเห็น ภาพเหตกุ ารณท ีล่ ว งมาแลวขึ้นในมโนทวาร แลวรวู า เปน เหตกุ ารณอ ะไร แตครง้ั ไหน บคุ คลผมู ี ญาณชนิดนเี้ ม่ือไปท่ีไหนจะทราบเร่อื งราวของท่ีนัน้ ในสมัยอดตี ตามความเปนจริง เหมือนตนเองได เห็นมา ถา เปน นกั ประวัติศาสตรจ ะสามารถเขยี นบรรยายเหตกุ ารณบ า นเมอื งนั้นๆ ในสมัยอดีตไดด ี เปนท่ีนา อัศจรรย เหตกุ ารณท ล่ี วงมาแลวนบั ตัง้ หลายพนั ป หรอื ยิง่ กวา ก็ตาม ภาพของเหตกุ ารณ น้นั ๆ ยงั เหลือตดิ อยูกับท่นี ั้นไมลบเลอื นไปตามกาลเวลา จิตใจของคนผูอยูอาศัยสถานที่น้นั ในสมยั น้นั เปนอยางไรก็ยอ มทิง้ กระแสใหตราตดิ อยกู บั วัตถุสถานหรอื พื้นภูมนิ ้ัน ไมลบเลือนไปงายๆ เชน เดียวกนั อนง่ึ บุคคลผเู คยอยูอาศยั สถานทีน่ ั้น แมตายไปแลว ตง้ั นานๆ วญิ ญาณของเขากย็ งั เฝา แฝงอยู ณ ทน่ี ้ันกม็ ี สง่ิ เหลานท้ี าํ ใหผ มู ีญาณสามารถเหน็ และรูส ึกทางมโนสัมผัสได จึงสามารถรู เรอ่ื งราวขนึ้ ได ขาพเจาขอใหขอ สงั เกตสําหรบั ผไู ดอ บรมจติ ในทางสมาธิเพ่ือกาํ หนดรูเหตุการณใ น อดตี ดงั ตอไปน้ี ทิพยอาํ นาจ ๑๒๘

ถาทา นไปพกั ณ ท่ีใด ถา ท่ีนัน้ เปน ท่ีซึ่งทานเคยอยอู าศยั หรอื เคยเกิดตายมาแลว เมอื่ ทา น ทําความสงบใจแมเ พียงขั้นอุปจารสมาธเิ ทา นั้น ภาพเหตกุ ารณในอดีตจะมาปรากฏเกิดขน้ึ ในมโน ทวาร เหมอื นภาพบนจอภาพยนตรฉะน้ัน แลว จะเกิดญาณหย่ังรูต ามภาพน้นั ข้ึนในลําดบั ถาไมร ู พึงกาํ หนดถามในใจวา เปนภาพอะไรเมื่อไร แลว ทาํ ความสงบตอ ไปใหเขา ถึงขีดขน้ั ของฌานท่ี ๔ แลว เคลือ่ นจิตออกมาเพียงขนั้ อุปจารสมาธิ กจ็ ะเกิดญาณหยัง่ รูขนึ้ ตามเปนจริง ถาทา นเปน ผเู ชี่ยวชาญทางจติ จะกินเวลาเพียงไมกีน่ าทกี ็ทราบเรื่องตลอด ถาท่ีน้ันมไิ ดเกย่ี วของกับชวี ิตของ ทา นในกาลอดีตมาเลย จะไมมีภาพเชน น้ันปรากฏขึ้นเอง ถาทานอยากทราบวา ในอดีตที่น้ันเคย เปนอะไร พงึ ทําความสงบใจถงึ ขนั้ อปุ จารสมาธิ แลวกาํ หนดถามในใจวา ท่นี ้ีเคยเปนอะไร แลวทํา ความสงบใจตอไปจนถึงขีดขั้นของฌานท่ี ๔ ย้งั อยใู นฌานพอสมควรแลว จึงเคลอื่ นจิตถอยออก มาถึงขั้นอปุ จารสมาธิ ภาพเหตกุ ารณในอดีตก็จะปรากฏขน้ึ ตามเปนจรงิ ถา ที่น้นั เคยเปนอะไรมา กอ นกจ็ ะปรากฏภาพ และจะเกิดญาณหย่งั รขู ้นึ ถา ยังไมรกู พ็ งึ ปฏบิ ตั โิ ดยนัยกอ นก็จะรูเรอ่ื งได. เพอื่ เปนประโยชนแกนักโบราณคดี และนักประวัตศิ าสตร จะไดสงั เกตและคน ความาเขียน เรอื่ งราวในสมยั ดกึ ดําบรรพของแหลมทองสูก ันฟง ประดับสตปิ ญ ญา จะวาดภาพแหลมทองในสมยั ๔,๐๐๐ ปก อนโนน ไว ดงั ตอ ไปนี้ นบั ถอยหลงั คืนไปจากปจจุบนั นี้ ประมาณ ๔,๐๐๐ ป แผน ดนิ ที่รกู นั วา สุวรรณภูมนิ ี้ มี อาณาเขตตัง้ แตฝ ง ตะวันออกของอาวเบ็งกอลไปจดฝง อาวตงั เกย๋ี ดา นเหนือสดุ จดถงึ เทอื กเขา หิมาลยั ดา นตะวนั ออกดา นใตจดถงึ ชวามลายู ดนิ แดนภายในเขตทกี่ ําหนดน้เี ปน ทอี่ ยูของชนชาติ เผาผิวเหลอื งหรอื ขาวใส รูปรา งสนั ทัดหนา รูปไข ผวิ พรรณละเอียดเกลี้ยงเกลามชี อ่ื เรยี กวา มงเกา คือชาติมงคลเกาน่นั เอง บาลีเรยี กวาอริยกชาติ เรียกเสยี ใหมว าอารยนั เกา ก็ได เพราะมีอารยนั ใหม เกิดข้นึ ทางอินเดียแลว แตเดิมน้ันชนชาตินมี้ ภี มู ิลําเนาอยแู ถบเชิงเขาหิมาลัย ดา นตะวันออก ตรง เหนอื อา วเบง็ กอล เมื่ออารยนั ใหมคอื ชนชาติผวิ ขาวหลง่ั ไหลลงมาจากดานเหนอื เขาหมิ าลยั ขาม ตรงที่ลาดต่าํ ของเขาหิมาลยั ดา นตะวันตก ยกเขา ครอบครองผนื แผนดินเหนอื อานเปอรเซยี แลวรน มาทางตะวนั ออกจนถึงใจกลางชมพูทวปี รุกไลเ จาของถิ่นเดมิ คอื ชนชาติผวิ ดําใหร นลงไปทางใต สุดของชมพทู วีป และรุกเบยี ดชาตมิ งเกา ใหร ดุ หนา มาสูสวุ รรณภมู ิย่งิ ข้นึ เม่ือชาติมงเกาเขามา ครอบครองสุวรรณภมู กิ ็ไดครองความเปน เจา เปนใหญทั่วไป เพราะมีวัฒนธรรมดกี วาเจา ของพืน้ ท่ี ซ่ึงเปน ชนชาตปิ า เถอื่ นท่ัวไป ไดม กี ารปกครองกันโดยระเบียบเรียบรอย เปนอาณาจักรหลาย อาณาจกั ร คือผนื แผนดนิ ท่ีเปน ประเทศพมามอญเดี๋ยวนี้ ดานตะวันตกจดอา วเบ็งกอล ดาน ตะวันออกจดถึงเขาธงไชย ดา นใตจดถงึ ฝง ทะเล ดา นเหนอื จดถงึ แดนภตู ันตะ เชิงเขาหิมาลยั มี ช่ือเรียกในครงั้ นัน้ วาสธุ รรมวดี มนี ครหลวงชือ่ สธุ รรมนคร ตงั้ อยูฝง ทะเลใตป ากอา วเบง็ กอลลงไป ท่เี รียกในบัดน้ีวา เมืองสะเทมิ ผืนแผน ดินทเี่ ปนแหลมยน่ื ลงไปในทะเล ต้งั แตเหนอื จงั หวดั นครปฐม ลงไปจนถึงชาวมลายอู าณาจกั รหน่ึง มีชื่อเรียกในครั้งนนั้ วา ศรีวชิ ัย มีนครหลวงชอื่ นครชัยศรี ตั้งอยู ท่ีฝง ทะเลตรงจังหวัดนครปฐมเดี๋ยวนี้ เปนเมืองทาคา ขาย ผนื แผนดินแถบเขาบรรทดั ดา นใต ตง้ั แต สดุ แหลมทองตะวันออกไปจนจดเขาธงไชยทางตะวนั ตก ดา นเหนอื ถงึ ทตี่ ้ังจงั หวัดอุตรดิตถเ ดย๋ี วน้ี ดานใตจ นเขตศรีวิชยั ราวเมอื งสุพรรณบุรี เปนอาณาจกั รหน่ึงมีชื่อเรียกในครงั้ นั้นวา ทวาราวดี มี ทพิ ยอาํ นาจ ๑๒๙

นครหลวงชือ่ สุรบุรี ตง้ั อยูฝง อา วทางตะวนั ออกใตพระพทุ ธบาทสระบรุ ีลงไปหนอ ยหนงึ่ เมอื งลพบุรี เวลานั้นเปนเมืองปากอา วภาคเหนือของประเทศไทยในปจ จุบนั และเลยข้นึ ไปจนถงึ ดินแดนท่ี เปนมหรฐั ตุงคราศรีเด๋ยี วนี้ เปนอาณาจกั รหนงึ่ มชี ือ่ เรียกในครงั้ นนั้ วาโยนก มีนครหลวงชือ่ ชยเสนะ ต้ังอยฝู งแมน ํ้าโขงตอนเหนือภาคอิสานของประเทศไทยในปจจบุ ัน และดินแดนทเี่ ปนประเทศลาว บัดน้ี เปนอาณาจักรหน่งึ มีชอื่ เรยี กในคร้ังนั้นวาพนม มีนครหลวงช่ือโพธิสาร ตัง้ อยูบนเกาะใน ทะเลสาบตรงท่เี ปน เมอื งสกลนครเดยี๋ วนี้ ผนื แผน ดินในท่ีลุม ราบของแมน้าํ โขงตอนบนดาน ตะวนั ออกเขาหมิ าลยั มที ะเลสาบใหญ ๒ แหง คอื หนองแส และกาหลง ดานเหนือจดเขาลา นชาง ดา นใตจดเขาลา นชอ ง ดานตะวันออกจดเขาอวายลาว ดา นตะวันตกจดแดนภูตันตะเปนอาณาจกั ร หนง่ึ มีช่อื เรยี กในครง้ั น้ันวา แถน มีนครหลวงช่อื เมอื งหนองแส หรือเมอื งแถน ตัง้ อยรู ิมทะเลสาบ หนองแส ภายหลังมาแยกเปนสองอาณาจักร ตอนใตเรียกชื่ออาณาจกั รวาแมน ตงั้ อยูฝง ทะเลสาบ กาหลง แมน ้ําสําคญั ของสองอาณาจกั รนี้ นอกจากแมน ํา้ โขงซึง่ ไหลผา นจากเหนอื ลงใตท างดา น ตะวนั ตกของอาณาจกั รแลว อาณาจกั รแถนมแี มน า้ํ ลูกยางไหลผา นไปตะวันออก ตกทะเลจีน สว น อาณาจักรแมนมีแมนา้ํ บง้ั ลมกบั บ้งั ไฟ ออกจากทะเลสาบกาหลงใหลไปตกทะเลกวางตุง อีก อาณาจกั รหนง่ึ ซ่ึงเปน ของชนชาตเิ ผา ผวิ เหลืองเหมือนกัน ต้ังอยูตรงผนื แผนดนิ สวุ รรณภูมดิ า น ตะวันออก มแี มนํา้ สาํ คัญคือแมนํ้าดําและแมน ํ้าแดง ออกจากเขาลานชองไหลไปตกทะเลตงั เกีย๋ ผืนแผน ดนิ ยาวไปตามชายทะเลจากเหนอื ลงใตถงึ ที่เปนประเทศเขมรบัดน้ี เรียกชอื่ อาณาจกั รใน คร้ังน้ันวาจลุ ลณี หรอื ณีเฉยๆ มนี ครหลวงช่อื อารวี หรอื วีเฉยๆ สมัยหลงั ตอ มาเรยี กเมอื งหลานาํ้ ประชาชนชาตเิ ผา ผวิ เหลืองในอาณาจักรดงั กลาวท้งั หมดนพี้ ูดภาษาเปนคาํ พยางคเ ดียวโดดๆ แต ละคํามีความหมายตายตวั เปนถอยคาํ ฟง เขา ใจงายและไพเราะสละสลวย มีหลกั ภาษาเปน ระเบยี บ แบบแผน เปนภาษาเดยี วกนั กบั ชนชาติเผา ผวิ เหลอื ง ซึง่ ยงั อยู ณ ดินแดนเดมิ แถบเชิงเขาหมิ าลยั เหนอื อา วเบ็งกอลขึน้ ไป ในสมัยพุทธกาลหมอชวี กโกมารภจั จไปทลู ลาพระผมู ีพระภาคเจา ไปอยใู น ราชสํานักพระเจากรุงศรีวิชยั ในสุวรรณภูมนิ านถงึ ๑๒ ป ครั้นกลบั ไปกรุงราชคฤห ประเทศมคธ แลวไดไ ปเฝา พระผูมพี ระภาคเจากราบทลู สนทนาดว ยภาษาชาวสุวรรณภมู ิ ซง่ึ พระผูมพี ระภาคเจา ก็ตรัสดวยไดอ ยา งสนกุ สนาน หมอชีวกหลากใจจงึ กราบทลู ถาม ตรสั ตอบวาเปนภาษากาํ เนดิ ของ พระองคเ อง ชาวศากยะพูดกนั ดว ยภาษานี้ หมอชีวกจึงกราบทูลชมวาเปน ภาษาไพเราะสละสลวย ฟง เขา ใจงา ย แตละคํามคี วามหมายตายตวั หลังพุทธปรนิ พิ พานตอ มาประมาณ ๓๐๐ ปเ ศษ พระ โสณเถระกบั พระอุตรเถระเปนหัวหนา คณะ ถกู จดั สงมาทาํ การเผยแผพ ระพทุ ธศาสนาในสวุ รรณ ภูมิ ทา นขามอา วเบ็งกอล ข้นึ บกทีเ่ มอื งสธุ รรมนคร ประเทศสธุ รรมวดี เดนิ มาสูนครชัยศรี ประเทศ ศรีวิชัย แลว เลยี บอา วขึ้นมาลพบุรี สรุ บุรี ประเทศทวาราวดี ขน้ึ เหนือไปโดยลาํ ดับถงึ ประเทศโยนก ซ่งึ มเี มืองชยเสนะเปนราชธานี ที่ทราบกันในภายหลงั นวี้ า เมืองเชยี งแสน แลว ลอ งลงไปตามลํา แมน้ําโขงถึงประเทศพนม ซึ่งมีเมอื งโพธิสารเปนราชธานี ไดยับยงั้ ทําการอยปู ระเทศนี้นาน พระพทุ ธศาสนาเจริญรงุ เรอื งในประเทศนี้มาก ไดจ ัดสง ปราชญแหงประเทศนีไ้ ปทําการเผยแผ พระพทุ ธศาสนายงั อาณาจักรแถน แมน และจลุ ลณี จนถงึ อาณาจกั รจนี เปนทีส่ ดุ พระพุทธศาสนา ไดหยง่ั รากฐานลงในดินแดนสวุ รรณภูมิต้งั แตพ ทุ ธศตวรรษที่ ๔ เปนตนมาจนถงึ ปจจุบันบัดน้ี ทิพยอํานาจ ๑๓๐

ประชาชนเผาผิวเหลืองดเู หมอื นจะถอื วา เปนพระศาสนาของพระมหามนุ ี แหง เชือ้ ชาตขิ องตนเอง ซ่งึ จะละทงิ้ เสยี มิไดท ีเดียว. ๒. อนาคตงั สญาณ ปรชี าหยง่ั เห็นเหตกุ ารณใ นอนาคตไกล มลี กั ษณะมองเหน็ ภาพ เหตุการณอนั จะมใี นอนาคตซึง่ ปรากฏชดั ในมโนทวาร แลวหยั่งรวู าเปนเหตกุ ารณอะไร จะเกิดขนึ้ เมอ่ื ไร ณ ที่ไหน บุคคลผูมีญาณชนดิ น้ีสามารถพยากรณเหตุการณอนาคตไดแ มน ยําดจุ ตาเห็น ดัง สมเดจ็ พระบรมศาสดาทรงพยากรณวา บา นปาฏลีจะเปน ทแ่ี กห อสนิ คา ในอนาคต และจะเปนมหา นครเจรญิ รุง เรือง ซง่ึ ตอมาไมนานกเ็ ปนจรงิ ดังพยากรณ ทุกวันนกี้ ็ยังคงเปนเมืองทาทส่ี าํ คัญแหง หน่ึงของอนิ เดยี คอื ปฏนา ซ่งึ แตก อ นเรยี กวาเมอื งปาฏลบี ุตร เปนนครหลวงของอินเดีย รุง เรอื ง ที่สดุ ในสมยั พระเจาอโศกมหาราชครองชมพทู วีป ไดทรงพยากรณว า พระอานนทจ ะทรงบรรลุภมู ิ พระอรหันตใ นวันเร่มิ ทาํ ปฐมสังคายนา กส็ มจรงิ ดงั ทรงพยากรณ ไดทรงพยากรณเหตุการณ เก่ยี วกบั พระศาสนาของพระองคไวห ลายเรอื่ งหลายตอน ระบุช่อื บุคคลผูจ ะเปน หวั หนา ทํา สงั คายนาไวถูกตอ งหมดทุกคร้งั ท้งั ๓ ครง้ั ท่ีทําในชมพูทวปี ทรงพยากรณเ หตกุ ารณของพระ ศาสนาในสมัย ๒,๐๐๐ ปไวก ็ถกู ตอ ง และทรงพยากรณเ หตกุ ารณข องโลกไวก ถ็ กู ตอ งมาแลวเปน สว นมาก ดังไดเลา ไวในเบือ้ งตนของเร่อื งนี้ พระมหาโมคคลั ลบี ุตรตสิ สเถระเลง็ เห็นวา ตอไปเบือ้ ง หนา พระพุทธศาสนาจะอนั ตรธานจากชมพูทวีป ขอพระบรมราชูปถมั ภจัดสง พระเถระไปทําการ เผยแผพระพุทธศาสนายังนานาประเทศ เหตกุ ารณกเ็ ปน จรงิ ตามนัน้ ในเมอ่ื พระพุทธศกั ราชลวงได พันปเ ศษ ประเทศอินเดียตองสูญจากพระพทุ ธศาสนามาประมาณเกอื บพันป เราตองเปนหน้ีปรีชา ญาณสว นนีข้ องพระมหาโมคคัลลีบตุ รตสิ สเถระอยา งมากมาย มคี ําทาํ นายวา สมยั กงึ่ พระพทุ ธศาสนาจะมขี ึ้นถงึ ขีดสงู สดุ คลายสมัยพุทธกาล จะมีผูบรรลุมรรคผลนพิ พานถงึ ภูมพิ ระ อรหันต เชย่ี วชาญทางอภญิ ญา และพระมหาเถระโพธสิ ตั วผ มู ีบญุ ญาภนิ หิ ารในสุวรรณภมู ิจะไดร ับ เกียรตเิ ปนประธานาธบิ ดสี งฆส ากล จะทาํ การเผยแผพ ระพทุ ธศาสนาไปทว่ั โลก ต้งั ตนทีอ่ ินเดียไป ยุโรปและอเมรกิ า มหาชนชาวโลกจะหันมานับถือพระพทุ ธศาสนาเปน อันมาก โลกจะรม เย็นเปน สุขดว ยรม เงาของพระพุทธศาสนา ดงั นี้ ขา พเจา ไดเรยี นถามพระอาจารยภรู ทิ ตั ตเถระ (มั่น) วาคํา ทาํ นายโบราณนจี้ ะเปนจริงไหม ทานวา เจาพระคุณพระอุบาลีคณุ ูปมาจารย (สริ จิ ันทเถระ จันทร) บอกวาจรงิ เม่ือขาพเจา ถามถึงความเห็นเฉพาะตัวของทาน ทา นก็บอกวาเปน จรงิ เวลานีก้ ็จวนถงึ แลว เราคอยดตู อ ไป. วธิ ีการกําหนดรูเหตกุ ารณใ นอนาคต สําหรบั ผูอ บรมจติ ใจน้นั เปน ดงั นี้ เมื่อตอ งการอยาก ทราบเหตุการณในอนาคตของโลก ของพระศาสนา หรอื ของตนเอง พงึ ทําความสงบใจถงึ ขน้ั อปุ จารสมาธิ แลว นกึ ถามข้นึ ในใจวาจะมเี หตกุ ารณอ ะไรเกดิ ข้ึนแกโลก แกพระศาสนา หรอื แก ตนเอง แลวพึงทาํ ความสงบตอ ไปจนถึงขดี ขนั้ ของฌานท่ี ๔ แลว พึงเคลือ่ นจติ ถอยออกมาถงึ ข้ัน อปุ จารสมาธิ ถาเหตุการณอะไรจะมีข้ึนก็จะปรากฏภาพเหตกุ ารณน ้นั ขึน้ ในมโนทวาร จะเกิดญาณ หย่งั รูขน้ึ ในลําดบั นน้ั ดว ย แตถา ไมรพู งึ กาํ หนดถาม แลวเขาสูความสงบดังวธิ ที ่กี ลา วแลว ในขอ อตตี ังสญาณนั้น ก็จะทราบได ทานผูเชีย่ วชาญทางจติ ใจอาจรเู หน็ ไดโดยมิตอ งทาํ การกาํ หนดรูดังที่ วาน้ี เพราะจติ ใจของทานบริสุทธ์แิ จม ใสประดจุ กระจกเงาบานใหญ เหตุการณอะไรจะเกิดขึน้ ที่ ทพิ ยอํานาจ ๑๓๑

ไหน เมือ่ ไร จะมีเงาปรากฏทจ่ี ิตใจของทา นเสมอไป บางทานอาจใชว ิธอี ธิษฐานไววา ถาจะมี เหตกุ ารณอะไรเกิดขึ้นขางหนา จงปรากฏใหทราบลว งหนา เมอื่ ถงึ เวลาใกลเหตุการณจ ะเกดิ ขึน้ เงา ของเหตกุ ารณจ ะมาปรากฏท่จี ติ ใหท า นทราบดังนี้ก็มี แตบางทานเกรงวา การกาํ หนดรกู ด็ ี การ อธิษฐานไวก ็ดี จะทําใหเ กดิ สัญญาลวงขนึ้ ได จึงไมย อมทาํ อะไรอยา งอืน่ นอกจากการทําการชําระ จิตใจใหบ ริสุทธิ์ผอ งใสไวป ระดุจเงาบานใหญ ใหเ งาเหตุการณม าปรากฏขนึ้ เอง. ๓. ปจจุปนนงั สญาณ ปรชี าหยงั่ รหู ย่ังเหน็ เหตุการณในปจ จุบัน มลี กั ษณะใหม องเห็นภาพ เหตกุ ารณอ ันจะเกิดขึน้ ในระยะกาลใกลๆ และรไู ดวา เปนเหตกุ ารณอ ะไร จะเกดิ ขน้ึ ท่ีไหน อยา งไร กบั มลี กั ษณะใหม องเหน็ เหตุการณจ ําเพาะหนาไดแ จม แจง มีปฏภิ าณทนั เหตกุ ารณน ั้นๆ ดว ย บคุ คลผูมีญาณชนิดน้จี ะสามารถนาํ ชีวติ ผา นเหตุการณทีน่ าหวาดเสียวไปไดอยางนาอศั จรรย ซึ่งไม นกึ ไมฝ น วา จะเปน ไปได จะมปี ฏิภาณทนั กบั เหตุการณท กุ ครั้งไป เหตุการณท จ่ี ะมขี ึ้นในชวี ิต ประจําวนั ยอมปรากฏเปนภาพนิมติ ในขณะหลบั หรอื ในขณะทําสมาธิ มลี ักษณะที่พึงสาํ เหนียก ดังตอไปน้ี (๑.) กามคุณ คือลาภผลสกั การะ มักจะปรากฏภาพนมิ ติ เปน ภาพสตรี เดก็ ดอกไม มือ อจุ จาระ นํ้าหลาก ข้นึ ในมโนทวารขณะทําความสงบใจ หรอื มิฉะน้ันกใ็ นขณะหยงั่ ลงสคู วามหลับ ถา ภาพท่ีเห็นเปนสง่ิ ประณีตบรรจง ลาภผลสักการะท่ีจะบงั เกิดกป็ ระณีตบรรจง ถาเปน ภาพส่งิ สกปรกลามก ลาภผลสักการะท่ีจะบงั เกดิ ก็สกปรกเศราหมอง ถาเปนภาพน้ําหลากจะเกิดลาภผล สกั การะเหลือเฟอ ถาในขณะท่ภี าพนมิ ิตปรากฏนัน้ ใจสะเทือน แสดงวา จะเกิดความยนิ ดียินรายใน ลาภผลสักการะ ถาใจเฉยๆ ก็จะมอี เุ บกขาธรรมในอารมณค ือลาภผลสักการะนนั้ . (๒.) นนิ ทา ปสงั สา คือความนินทาและสรรเสรญิ เม่ือจะเกดิ ข้นึ มักจะปรากฏเปนภาพชาง เย่ยี มหนา ตา ง สองกระจก หรือมองเห็นหนา ตาตวั เอง ขึ้นในมโนทวารขณะทาํ ความสงบใจหรือ ขณะหยงั่ ลงสูค วามหลับ ถา ปรากฏวา ใจสะเทือนตอภาพนมิ ติ นนั้ แสดงวาจะเกิดความยนิ ดยี ินรา ย ในนินทาหรอื สรรเสริญนั้น ถาใจเฉยๆ แสดงวาจะมอี เุ บกขาธรรมในนินทาและสรรเสรญิ . (๓.) สุขัญจทุกขงั คือความสุขและความทกุ ขจ ะเกิดข้นึ มักจะปรากฏภาพนมิ ติ เปน อากาศ โปรง ที่อยสู วยงาม นํา้ พุพงุ เปน ฝอย แสดงวา จะอยูเย็นเปนสุขสบาย ถาภาพนมิ ิตปรากฏเปน ภาพ ลุยโคลนตม เดินทชี่ ื้นแฉะ นอน แตงตัวดวยอาภรณใ หมๆ ปลงผม กินอาหาร แสดงวา จะเกิด เจ็บปว ยไมผ าสกุ สบายขึ้น ถาปรากฏวา ใจสะเทือนตอ ภาพนิมิตแสดงวาจะเกดิ ความยนิ ดยี ินรายใน สุขและทกุ ข ถา ใจเฉยๆ แสดงวา จะมอี เุ บกขาธรรมในสุขและทกุ ขน ้นั . (๔.) กิจจากจิ จงั คือการทาํ ส่งิ เปนประโยชนแ ละไรประโยชนจ ะเกิดขึน้ มักจะปรากฏภาพ นิมติ เปนภาพเดนิ บนสะพาน เหน็ รั้วเห็นสะพาน เหน็ กาํ แพง ขา มรั้วกาํ แพง มสี ิ่งขวางหนา แสดง วา จะไดทํากจิ เปน ประโยชนหรือไรประโยชนตามลกั ษณะนิมติ นัน้ ถา ใจสะเทอื นในขณะภาพนิมติ ปรากฏแสดงวาจะเกดิ ความยนิ ดยี ินรา ยในการทํากิจ ถาใจเฉยๆ แสดงวา จะมีอุเบกขาธรรมในขณะ ทาํ กจิ นนั้ ๆ. (๕.) ยสายสงั คือความมยี ศและความไรยศจะเกดิ ขึ้น มักปรากฏภาพนมิ ิตเปน ภาพไตภูเขา ปน ที่สงู ขั้นบันได ขึ้นปราสาท ขึ้นเจดีย แสดงวาจะไดย กยองเชิดชูไวในตําแหนง หรือเกียรติ ถา ทพิ ยอํานาจ ๑๓๒

ปรากฏภาพวา ไตปา ยปนหรือขนึ้ ท่ีนน้ั ๆ ดว ยความลําบากและล่นื ไถลพลัดตกลง แสดงวา จะเสอ่ื ม ความยกยอ งในตําแหนงหรือเกยี รติ หรอื ถึงกบั เสียยศเสยี ศกั ดิท์ เี ดียว ถา ใจสะเทือนในขณะปรากฏ ภาพนมิ ติ จะเกิดความยนิ ดียินรา ยในยศหรอื อยศน้นั ถาใจเฉยๆ กจ็ ะมอี เุ บกขาธรรมในยศหรืออ ยศทีเ่ กิดขนึ้ น้ัน. (๖.) ชยาชยัง คอื ความมีชยั -ปราชยั จะเกิดขึ้น มักจะเกดิ ภาพนิมิตเปน ภาพพายเรือในนาํ้ หรอื บนบก ลอยคอในนาํ้ ถา พายเรือในนํา้ จะปราชยั ถา พายเรอื บนบก หรือลอยคอในน้ําจะไดชยั ชนะ ถา ในขณะปรากฏภาพนมิ ิตนนั้ ใจสะเทอื นก็จะเกิดความยนิ ดยี ินรายในชัยชนะหรอื ปราชยั ถาใจเฉยๆ กจ็ ะมีอุเบกขาธรรมในชัยชนะหรอื ปราชยั นัน้ . ไดน ําลักษณะภาพนมิ ติ และการตคี วามหมายมาไวใหสงั เกตเพยี งบางสว น ผสู นใจพึงศกึ ษา สาํ เหนยี กดวยตนเองก็จะทราบไดด ี ขอสําคญั อยา ตง้ั ความรงั เกยี จและอยา ติดนิมติ อันเกดิ ข้นึ พึง วางใจเปนกลางแลวศกึ ษาสาํ เหนยี กเพ่อื รูเทาทนั ก็จะเกิดญาณในสว นปจจุบันอยา งดใี นกาลตอไป. เม่ือไดทาํ ความเขา ใจลกั ษณะญาณในกาลทัง้ ๓ กาลอนั เปนสว นประกอบทิพพจักขญุ าณ ฉะนี้แลว พึงทําความเขาใจลกั ษณะทิพพจกั ขญุ าณโดยเฉพาะตอ ไป ทิพพจกั ขญุ าณมีลกั ษณะเห็น รูปทพิ ยท้ังปวง คอื เหน็ เทพเจา ตง้ั แตภาพพืน้ ดนิ ขึ้นไปจนถงึ พรหมโลก เหน็ สิง่ ในระยะไกล คือมอง ทะลไุ ปในสากลจักรวาล เห็นสิง่ ลี้ลับคือสิง่ มอี ะไรกาํ บัง เหน็ สภาพจติ ใจของบุคคลอนื่ สตั วอ ื่น มี รายละเอยี ดดังตอไปนี้ ๑. เหน็ รูปทิพย คอื เทพเจา นนั้ มีลกั ษณะการเห็นเชนเดยี วกับเห็นดวยจักษธุ รรมดา เม่ือ เทพเจามาหารอื วาไปพบเขา ณ ทใ่ี ดๆ ผมู ที ิพพจกั ขยุ อ มเห็นและพูดจาสนทนากับเขาได เชนเดยี วกบั เห็นคนและพูดจาสนทนากบั คนไดฉะน้ัน สว นการเห็นผีน้ัน แมผ มู ีฌานจกั ษุกอ็ าจเหน็ ได ไมต องถงึ มีทพิ พจกั ข.ุ รปู ทพิ ย เปนรูปทผี่ องแผว ใสสะอาดเหมอื นแกว และเบาวอ งไว มีรศั มีสวา งรงุ เรืองเปน ปริมณฑล ท่ีเรียกวา สวา งท่ัวทศิ ในสํานวนบาลี เพราะเปนรูปสาํ เรจ็ ดวยใจหรือสญั ญาของเขา ผมู ี ทิพพจกั ขทุ ่บี ริสุทธิ์ผอ งใสเทา นัน้ จงึ จะเหน็ รปู ทพิ ยไ ด ขณะทเ่ี ทพเจา มาปรากฏกายเฉพาะหนา น้นั จะมรี ศั มสี วา งรงุ เรืองมากอน ครนั้ แลว ก็จะเห็นเทพเจา โดยรปู ลักษณะสสี ันวรรณะตาม บญุ ญานุภาพของเขา เหมอื นเห็นคนในท่เี ฉพาะหนา ฉะนัน้ เม่อื เขามีกิจธรุ ะอะไร เขาก็จะรบี บอก ใหทราบ เพราะเขาอยไู มน าน และอยากจะทราบอะไรจากเขา หรือมกี จิ ธุระอะไรทีจ่ ะพูดกบั เขาก็ ตองรบี พูด พดู เสรจ็ ธุระเขาจะลาและหายวับไปทันที การท่ีเทพเจา ไมสามารถยง้ั อยไู ดน านในแดน มนุษย ก็เพราะทนกล่ินไมไ หว แตถา มาหาผูมีศีลบริสทุ ธ์แิ ลวคอ ยยังชัว่ เพราะกลิน่ ศลี กลบกลนิ่ สาบของมนษุ ยไดบาง ดังคําวา สลี คนฺโธ อนุตฺตโร กลนิ่ ศลี เยี่ยมกวากลน่ิ ทง้ั หลาย มจี ันทนแ ละ กฤษณาเปนตน เพราะหอมทวนลมไปไดไกล แลว มานมสั การและฟง ธรรมตามเวลาอนั ควร ดังเทพ เจา ไปเฝา ฟงพระธรรมเทศนาหรือถามปญ หากะพระบรมศาสดาฉะนัน้ วธิ ีฝก ฝนจติ เพื่อใหเกิด ญาณทสั สนะรเู หน็ เทพเจา ไดน้ัน ตรัสเรียกวา อธเิ ทวญาณทสั สนะ และตรัสยนื ยนั วา เมอ่ื อธิเทว ญาณทัสสนะของพระองคย ังไมบรสิ ุทธแ์ิ จมใสเพียงใด ยังไมทรงปฏิญาณวาตรัสรูพระอนตุ ตรสัมมา สัมโพธญิ าณเพียงนัน้ ตอ เม่ืออธิเทวญาณทัสสนะของพระองคบ ริสุทธผ์ิ อ งใสดแี ลว จงึ ทรงปฏญิ าณ ทิพยอาํ นาจ ๑๓๓

วา ตรสั รพู ระอนตุ ตรสัมมาสมั โพธญิ าณ จะไดน าํ วธิ ฝี ก เพอ่ื อธเิ ทวญาณทัสสนะมาตง้ั ไวพ อเปน แนวทางปฏบิ ัติของผูใครปฏิบัติ ดังตอไปน้ี พระผมู ีพระภาคเจา เม่อื คราวประทับตาํ บลคยาสสี ะ ไดต รสั เลา วธิ ีฝก สมาธเิ พือ่ อธิเทว- ญาณทสั สนะไวว า (๑.) เมอ่ื พระองคย งั เปน โพธสิ ัตวกอนหนา ตรสั รู ไดรูจักโอภาส (คอื แสงสวางทางใจ) แตไ ม เห็นรปู ทง้ั หลายได จงึ ทรงต้ังความมงุ หมายเพ่ือเห็นรูป. (๒.) เมือ่ พากเพียรไป ไดเห็นรปู ดังพระประสงค แตไ มสามารถยับย้งั สนทนาปราศรัยกับ เทพเจา ได จึงทรงต้งั ความมงุ หมายเพ่ือสามารถยับย้ังสนทนาปราศรัยกับเทพเจา. (๓.) เมอ่ื พากเพยี รไป ไดสามารถยบั ยัง้ สนทนาปราศรยั กบั เทพเจา ได แตไ มท ราบวา เทพ เจาเหลาน้ันมาจากเทพนิกายใด จึงทรงตงั้ ความมงุ หมายเพ่อื ทราบ. (๔.) เม่อื พากเพยี รไป ไดทราบเทพเจา เหลา น้ันวามาจากเทพนกิ ายนี้ เทพนิกายโนน สม ปรารถนา แตไมท ราบวา ไดเปนเทพเจา ดวยกรรมอะไร จึงทรงตงั้ ความมงุ หมายเพอ่ื ทราบ. (๕.) เม่อื พากเพยี รไป ก็ไดท ราบตามความมุงหมายขอ ๔ แตยังไมทราบวา เทพเจาเหลา นั้น มอี าหารอยา งไร เสวยสุขทกุ ขอยา งไร จงึ ตั้งความมงุ หมายเพือ่ ทราบ. (๖.) เมอื่ พากเพยี รไป ไดทรงทราบตามความมุงหมายขอ ๕ แตย งั ไมทราบวาเทพเจา เหลานนั้ มอี ายุเทาไร จะดาํ รงอยนู านเทาไร จึงทรงต้ังความมงุ หมายเพ่ือทราบ. (๗.) เมอ่ื พากเพียรไป ไดท ราบความมุงหมายขอ ๖ แตยังไมทราบวาเทพเจา เหลา นั้นเคย อยรู ว มกับพระองคม าหรือไม จึงทรงตง้ั ความมุง หมายเพ่ือทราบ. (๘.) เพอ่ื พากเพียรไป ก็ไดท รงทราบตามความมงุ หมายขอ ๗ น้ันสมดังปรารถนา. แลวตรสั ย้าํ ในท่ีสุดวา ภกิ ษทุ งั้ หลาย! อธเิ ทวญาณทัสสนะมปี รวิ ัฏ ๘ ประการน้ียงั ไมบริสุทธ์ิ ดีเพยี งไร เราก็ยังไมไดต รสั รูพระอนตุ ตรสัมมาสัมโพธิญาณเพยี งนน้ั เมือ่ ใดอธเิ ทวญาณทัสสนะมี ปริวฏั ๘ ประการนี้บรสิ ุทธด์ิ ีแลว เมอ่ื นั้นเราจึงไดต รสั รพู ระอนุตตรสมั มาสมั โพธญิ าณแจง ชัด ญาณทัสสนะไดเกดิ แกเ ราวา เจโตวมิ ตุ ตขิ องเราไมกําเรบิ ชาตนิ ้ีเปน ชาติสดุ ทาย ภพใหมไ มม อี กี ดังน้ี รวมใจความของวธิ ีตามท่ีตรสั น้ีไดวา ก. ทําใหเกดิ โอภาส คือแสงสวาง โดยวธิ ีดังจะกลาวขา งหนา. ข. ดํารงสมาธิไวใ หไดนานท่สี ุดที่จะนานได. ค. สาํ เหนยี กเพอื่ รูเรือ่ งควรรูเกี่ยวกบั เทพเจานนั้ จนรูหมดทุกประการ. เมอื่ มีอธเิ ทวญาณทัสสนะ ๘ ประการนีแ้ ลว ชือ่ วา มีทิพพจกั ขุ เห็นรปู ทพิ ยได. ๒. เห็นสิง่ ในระยะไกลนั้น ไดแกมคี วามสามารถแผรัศมคี วามสวางทางใจ ไปทวั่ สากล จกั รวาล แลว มองเหน็ สิ่งทม่ี ีอยภู ายในรศั มแี สงสวา งนั้น โลกธาตุมอี ยู ณ ท่ีใดๆ กม็ องเห็นหมด รูปลกั ษณะสณั ฐานของโลกเราน้ีกม็ องเหน็ ไดช ัด เหมอื นมองเห็นสงิ่ เลก็ นอ ยบนฝามอื ไดฉะน้นั สภาพบา นเมือง ถนนหนทาง ถ้ําภูเขาเลากาหรอื พ้นื ภมู ิประเทศซึง่ ยังไมเ คยไปเห็นเลยก็จะมองเห็น ตรงกบั สภาพที่เปนจรงิ ทกุ ประการ พระบรมศาสดาเสดจ็ ไปท่ีไหนไมตองตรสั ถามทาง และไปถกู ก็ ดว ยญาณชนดิ น้ี พระกมั มฏั ฐานรนุ เกา พวกหนง่ึ ฝกหัดเดินธุดงคไปในที่ตา งๆ ไมยอมถามถึงหนทาง ทพิ ยอาํ นาจ ๑๓๔

ท่ีจะไป ใครจ ะไปท่ีไหนกก็ ําหนดในใจแลวไป ชั้นแรกจะหลงทางวนเวียนปว นเปยนไปมา แตก ็ อดทนเอา ในที่สุดก็จะเกดิ ญาณทางดวงใจ รจู ักทางไปกําหนดทิศทางไดแ มนยาํ เดนิ ลดั ตดั ตรงไปสู ท่ีหมายปลายทางไดด กี วา คนธรรมดาท่ชี ํานาญทางในทางนั้นเสียอีก จนถงึ บางทา นมีคนเลา ลือวา ยนหนทางได ซง่ึ เปนฤทธ์ิประการหนงึ่ แตความจริงเปนเพยี งรจู ักทางลดั ตัดตรงเทาน้นั . ๓. เหน็ สงิ่ ลล้ี บั ไดน้นั คอื สามารถมองทะลเุ ครอ่ื งกดี ขวางกําบังได เชน ฝา กาํ แพง ภเู ขา หรอื วัตถใุ ดๆ ก็ตาม แลวมองเหน็ ส่งิ ซ่งึ ตอ งการเหน็ อันซอ นเรนปดบังในภายในเครอื่ งกาํ บงั นั้นๆ ความสามารถในการนส้ี ําเร็จขึ้นไดดว ยอํานาจใจบริสทุ ธ์ผิ ดุ ผอง ปราศจากเครอ่ื งหมองมวั ในภายใน ใจเชนน้ันยอ มเปนที่ตั้งแหงทิพยอนิ ทรียอ ยา งดี ธรรมชาตใิ จยอ มไปไดใ นทที่ งั้ ปวง ไมม ีติดขดั เม่อื ไปไดในทท่ี ้ังปวงไมต ดิ ขัด กย็ อมเห็นไดในทท่ี ง้ั ปวงไมตดิ ขัดเชนเดยี วกัน ฉะนัน้ จึงสามารถเห็นสิง่ ล้ี ลบั ไดในเมอื่ ประสงคจะดู แตธรรมดาผกู า วข้นึ สูภูมิศีลธรรมอันดีจนถงึ มที ิพพจกั ขนุ ้ี ยอ มไม ปรารถนาดซู อกแซกไปในสง่ิ ท่ไี มค วรดูควรเห็น ไมเ หมือนคนธรรมดาผูไมมตี าชนิดน้ี มักจะ ปรารถนาเหน็ ในส่งิ ทไ่ี มควรเห็น เหมอื นเด็กๆ ชอบดูอะไรตออะไรซอกแซก แตครั้นบรรลคุ วามเปน ผใู หญแ ลวนสิ ยั ชอบดอู ยางเด็กๆ น้ันกห็ ายไปฉะนนั้ . ๔. เหน็ จติ ใจของคนอื่นได คือสามารถมองเหน็ ลกั ษณะสภาพจิตใจของคนอื่น สัตวอ ื่น ถกู ตองตรงกบั ความจรงิ จิตใจของบุคคลธรรมดายอ มประกอบดวยรูปลกั ษณะแสงสี๑ และกระแส อนั เปนวสิ ยั แหงทิพพจกั ขไุ ดด ังนี้ ก. จติ สัมปยุตตดวยราคะ มีรปู ลกั ษณะยัว่ ยวน ประกอบดว ยสแี ดงสดหรือสเี หลอื งสม มี กระแสสมั ผสั อบอุน ยวนใจ. ข. จติ สมั ปยตุ ตดวยโทสะ มรี ูปลกั ษณะนากลวั ประกอบดวยสีแดงเขมหรอื เหลอื งแก มี กระแสสมั ผสั เรารอน กดขม ใจ. ค. จิตสัมปยุตตดวยโมหะ มีรูปลกั ษณะนาเกลียด ประกอบดว ยแสงสีมวั สีดาํ หรอื สเี มฆ มี กระแสสัมผสั รอนอบอา ว อดึ อัดใจ. ฆ. จิตสมั ปยตุ ตดวยคุณธรรม มีศรัทธา ศีล เปนตน มีรปู ลกั ษณะนานิยม ประกอบดว ยแสง สสี วางสดใส มีกระแสสัมผสั ชนื่ ๆ เยน็ ๆ เบาใจ. ง. จติ สัมปยุตตดว ยสมาธิ มีรูปลกั ษณะนา เคารพเกรงขาม ประกอบดวยแสงสวางเปน ประกายสดใส มีกระแสสัมผสั ดดู ดมื่ ชุมช่ืน เย็นใจ. จ. จิตสมั ปยุตตด ว ยปญญา มรี ปู ลกั ษณะนาบชู า ประกอบดวยแสงสวางเปน ประกายแวว วาว มกี ระแสสัมผสั จงู ใจ โปรง ใจ. ฉ. จติ สมั ปยตุ ตดวยวมิ ุตติ มรี ูปลกั ษณะนา ทศั นา ประกอบดว ยแสงสวา งแจม จา เปน ประกายผอ งแผว มกี ระแสสัมผัสซาบซา น เฟอ งฟูใจยง่ิ . รูปลกั ษณะ แสงสี และกระแสของจิตใจตามท่ีกลาวนี้เปน เพยี งสังเขป กําหนดไวพ อเปน แนวสงั เกตศึกษาของผูสนใจในทิพพจักขญุ าณ ผูมที พิ พจักขุญาณมองเห็นจติ ใจของคนของสตั วโ ดย .......................................................................................................................................................... ๑. จิตใจแทๆ ไมมีสี แตจ ติ ใจของคนมกี เิ ลสปรากฏมสี ี แกผ ูมที พิ พจักษ.ุ ทพิ ยอํานาจ ๑๓๕

รปู ลกั ษณะแสงสี และรสู กึ กระแสสัมผสั ทางใจเชนนั้นแลว ยอ มวนิ ิจฉัยไดถ กู ตองวา คนนนั้ สัตวน้ัน มจี ติ ใจอยางไร ควรไดร ับการสงเคราะหด ว ยวธิ ใี ดหรือไม ทงั้ นก้ี เ็ ปนดวยไดอบรมจติ ใจตนเอง ได สังเกตรูปลักษณะแสงสี และกระแสจติ ของตนเองเปนอยางดแี ลว เม่ือประสบกบั จิตใจของผูอ่ืนจงึ รู เห็นได เชนเดยี วกับรเู หน็ จิตใจของตนเอง ดังกลา วไวในเจโตปริยญาณน้ันแลว. นอกจากตาทพิ ยทีส่ ามารถเห็นรูปทิพยเปนตน ดงั กลาวมาแลว ยงั มตี าชั้นสูงอีกชนิดหน่ึง ที่ ขา พเจา สมมติเรียกวา ตาแกว ยอ มสามารถเหน็ พระแกว คือวิสทุ ธิเทวา ซ่งึ ไดแ กพ ระอรหันต ตา ชั้นนี้เปนของพระอรหันตผตู ่ืนเต็มท่ีแลว ไมป ระสงคจะกลา วพสิ ดารในท่ีนี้ เพยี งเยืองความไวใ ห ทราบนิดหนอยเทานั้น. เมือ่ ไดท ราบลกั ษณะทพิ พจกั ขพุ อสมควรเชนนี้ ยอมเปนการเพียงพอทจี่ ะทราบวิธีปลูก สรา งทิพพจกั ขตุ อ ไป ไดกลาวไวห ลายแหง แลว วา ท่ตี งั้ ของทพิ ยอนิ ทรยี น้ันคอื จิตใจ เม่ือบรสิ ทุ ธิ์ ทพิ ยอนิ ทรยี กบ็ รสิ ทุ ธ์ิเชนเดยี วกัน ฉะนัน้ จุดของการปลูกสรางทิพพจักขุคอื จติ ใจ ในการฝกจติ เพ่ือใหเ กดิ ทิพพจกั ขุ มีลาํ ดบั ขนั้ ดังตอไปน้ี ๑. อาศยั อิทธบิ าทภาวนา เปนกําลงั ฝกจติ ใจใหไ ดสมาธิถงึ ฌานที่ ๔ เปนอยางตํา่ ทําการ เจริญฌานน้นั ใหชาํ นิชํานาญดว ยขั้นทงั้ ๕ ของฌานจนไดเ จโตวสี มีอาํ นาจทางใจ ดังกลาวไวในบท ท่ี ๒. ๒. เจรญิ กสิณ อนั เปนเครอื่ งนาํ ทพิ พจักขุโดยเฉพาะ ช่ําชองจนเปนปฏิภาคนมิ ติ กสิณ อนั เปนเคร่อื งนาํ ทิพพจักขนุ ้มี ี ๓ ประการ คอื (๑) เตโชกสณิ . (๒) โอทาตกสิณ. (๓) อาโลกกสณิ . วธิ ีปฏบิ ัตกิ สณิ ไดก ลา วไวแ ลวในบทท่ี ๓ ในบรรดากสิณ ๓ ประการ พระผมู ีพระภาคเจา ตรัสวา อาโลกกสณิ เปนเยีย่ มทสี่ ุด ปราชญฝร่ังนิยมใชลกู แกวหรือนํา้ ใสๆ เปนเคร่ืองนําทพิ พจักขกุ ็ นาจะเขากนั ได เพราะแสงสวางกับแกวยอมคลา ยคลึงกนั ขา พเจาไมขอแนะนาํ ในการเพง ลกู แกว และนาํ้ ตามวธิ ฝี ร่งั เพราะไดม ีผเู ขยี นไวแลว ผูตองการจะหาอา นได. ๓. เมื่อไดก สิณอันเปนเครื่องนาํ ทิพพจกั ขุประการใดประการหน่งึ แลว ถา เปนเตโชกสิณ และโอทาตกสิณพึงเจริญใหย ่ิง จนปรากฏดวงกสณิ เปน สขี าวใสบรสิ ุทธก์ิ อน จงึ จะฝก เพือ่ ทพิ พจักขุ ได ถา เปน อาโลกกสิณเมอ่ื ไดแ มเ พียงขนั้ อุคคหนมิ ิตปรากฏกเ็ ปนแสงใสพอควร เมอื่ จติ สงบถงึ ขั้น อปั ปนา กจ็ ะเปนแสงใสบรสิ ุทธิ์ เปน ที่ตั้งแหงทิพพจกั ขไุ ด ตอน้ันไปพึงฝกทพิ พจกั ขุโดยวธิ ี อธิเทวญาณทสั สนะ ดงั กลา วมาแลว คอื (๑.) ทาํ โอภาสใหมีประมาณมาก และใหเปนแสงใสบรสิ ทุ ธไ์ิ ดเทาไรยงิ่ ดี แผรศั มโี อภาสไป เปนปรมิ ณฑลรอบๆ ตัวใหไดก วางขวางทสี่ ดุ . (๒.) สาํ เหนียกในใจเพ่ือเห็นรปู ทิพยไวเสมอ เม่อื เห็นแลว พึงพยายามยั้งอยใู นสมาธอิ ันมี สมรรถภาพใหเ ห็นรปู ทพิ ยไดน้ันใหนานทีส่ ุดเทา ท่จี ะนานได พงึ ศกึ ษาสาํ เหนยี กเหตใุ หส มาธิ ทพิ ยอํานาจ ๑๓๖

เคล่อื น ดงั ทตี่ รสั แกพ ระอนรุ ทุ ธเถระน้ันใหดี แลวพยายามกาํ จัดเหตุเชนน้ันใหหายไป เหตุใหสมาธิ เคล่อื นทตี่ รัสแกพ ระอนุรุทธะ มีในอุปก กิเลสสูตร ตรสั ไว ๑๐ อยา ง คอื (๑) วจิ กิ จิ ฉา ความสงสยั (๒) อมนสิการ ความไมเอาใจใส (๓) ถนี มิทธะ ความทอแทซบเซา (๔) ฉมั ภติ ัตตะ ความหวาดสะดงุ (๕) อมุ พิละ ความต่นื เตน (๖) ทุฏลุ ละ ความหยาบกระดา ง (๗) อัจจารทั ธวริ ิยะ ความเพียรเกนิ ไป (๘) อติลีนวริ ิยะ หยอ นความเพยี รเกินไป (๙) นานตั ตสญั ญา ใสใ จมากอยา งย่ิง (๑๐) อตชิ ฌายติ ัตตัง รปู านงั เพงรูปมากเกนิ ไป (๓.) พึงสําเหนียกเพอื่ รูเรอ่ื งเกยี่ วกับเทพเจาทไ่ี ดพ บเห็นนั้นใหรเู รอื่ งตลอด อนุโลมตามวธิ ีท่ี ขาพเจากลา วไวใ นขอ วา ดว ยอตีตงั สญาณ และอนาคตังสญาณ น้ันเรอ่ื ยๆ ไป. ๔. เพอื่ ปองกนั มิใหหลงตนลมื ตัว พงึ เจริญอภภิ ายตนะ ๘ ประการ ตอ ไปนีด้ ว ย คือ (๑) เมื่อทา นใสใ จรปู ธรรมอันใดอันหน่ึง ณ ภายในจนจิตใจเปนหนึง่ จะเกดิ เห็นรูปกาย ภายนอกเพียงนิดหนอย ซ่งึ มพี รรณะดีหรือเลวแลว พงึ กําหนดใจไวเ สมอวาเราเปน ผรู ูเห็นครอบงํา รปู เหลา นั้นดงั นีเ้ สมอไป. (๒) ทําดงั ขอหน่ึง ไดเหน็ รูปกายภายนอกมากมายมีพรรณะดีหรอื เลวแลว พงึ กาํ หนดใจไว ดังในขอ ๑ เสมอไป. (๓) เม่อื ทา นใสใจอรปู ธรรมอันใดอันหน่งึ ณ ภายในจนใจเปน หน่ึง เกิดเห็นรูปกายภายนอก นิดหนอย มพี รรณะดหี รือเลวแลว พงึ กําหนดใจไวดังในขอ ๑ เสมอไป. (๔) ทาํ เหมือนขอ ๓ ไดเหน็ รูปภายนอกมากมาย มีพรรณะดีหรอื เลวแลว พึงกาํ หนดใจไว ดังในขอ ๑ เสมอไป. (๕-๘) ทาํ เหมือนขอ ๓ ไดเหน็ รปู ภายนอกประกอบดวยสีตางๆ คือ เขยี ว เหลือง แดง ขาว ผาสีเขียว เหลอื ง แดง ขาว และเครอ่ื งประดับสเี ขียว เหลือง แดง ขาว แลว พงึ กําหนดใจไวเสมอไป วา เรารูเห็นครอบงาํ รปู เหลา น้นั ดงั น้ี ความหลงตนลืมตวั ก็จะถูกกําจดั ไป เปนไปเพอื่ รูย ง่ิ เหน็ จริง สิง่ ควรรคู วรเห็นย่งิ ขึ้น ไมต ิดอยใู นส่งิ ไดรูไดเ ห็นน้นั ๆ หรือไมหลงไปวา ส่งิ นนั้ ๆ เปนตัวเปนตนของ ตน หรอื เปนของๆ ตน. ๕. เมือ่ เจรญิ กสณิ อนั เปนเครือ่ งนําทพิ พจักขุโดยเฉพาะประการใดประการหนง่ึ จนถึงช้ัน ฌานที่ ๔ ก็ดี เจรญิ กรรมฐานอันใดอันหนึ่งอ่ืนๆ จนไดฌานที่ ๔ ก็ดี นับวาไดบรรลภุ มู อิ นั เปนทต่ี ้งั แหง ทพิ ยอํานาจแลว เมอื่ จะนอมไปเพ่ือทิพพจกั ขุตอ ไปพงึ สาํ เหนยี กกอนวาฌานท่ี ๔ นน้ั จติ ใจใส สะอาดปราศจากราคีแลว มีรศั มีสวางแลเหน็ กายและใจตนเองไดชดั เจนแลวพึงฝกแผร ัศมสี วางนนั้ ใหเ ปน ปรมิ ณฑลออกไปรอบๆ ตวั ใหก วางขวางไกลท่ีสุดจนสดุ ขอบจักรวาลไดย ่งิ ดี และพึงอยดู วย ทพิ ยอํานาจ ๑๓๗

อาโลกสญั ญานน้ั ท้งั กลางคืนและกลางวันเนอื งๆ ทาํ ใจใหเ ปด เผยทกุ เมื่อ อยายอมใหความรสู ึกทที่ ํา ใจใหหอเหีย่ วมัวซวั มาครอบงาํ เปน อันขาด จิตใจเมอ่ื ไดรบั อบรมดวยแสงสวา งอยูอ ยางน้ี ยอมเปน ใจบรสิ ุทธผ์ิ อ งใส มีรัศมแี จมใสย่ิง เปรียบดงั แกวมณีโชติฉะนั้น เม่ือน้ันทิพพจกั ขอุ นั บรสิ ุทธิเ์ กินกวา จกั ขสุ ามัญมนษุ ยก ็เกิดขน้ึ ได รเู ห็นอะไรๆ เกินวสิ ัยสามญั มนุษยด ังกลา วมาแลว ถา ปุถุชนไดท พิ พ จกั ขุมกั จะลาํ บากเม่ือเหน็ สง่ิ นา กลัว เชนยกั ษ ใจหวาดสะดุงแลว สมาธยิ อมเคลื่อน ทพิ พจกั ขยุ อ ม หายไปฉะน้ัน เม่อื ไดแลวอยาพึงวางใจ พึงเจรญิ ธรรมยิ่งๆ ข้ึนไป. ทิพยอํานาจ ๑๓๘

บทท่ี ๑๑ วิธสี รา งทพิ ยอาํ นาจ จตุ ปู ปาตญาณ รสู ัตวเ กดิ ตาย ไดด ตี กยาก ดว ยอาํ นาจกรรม ทิพยอํานาจขอนี้ หมายถึงความสามารถในการเห็นสรรพสตั ว ซ่งึ กําลังเกิดตายไดด ตี กยาก และรูดว ยวาเปนเพราะกรรมที่เขาทาํ ไวน่นั เอง ความสามารถดังนปี้ ระกอบดวยญาณ ๒ ประการ คือ ทพิ พจกั ขุญาณดงั กลาวแลวในบทกอน และยถากัมมปู คตญาณ รวู า สรรพสัตวเ ปน ไปตามกรรม ท่เี ขาทําไวเ อง มใิ ชดวยอาํ นาจสงิ่ อนื่ ซงึ่ จะกลาวในขอ น้ี การที่ยกบทน้ีขึน้ เปนทิพยอาํ นาจประการ หนงึ่ ก็เพราะเปน วชิ ชาสําคัญในพระพทุ ธศาสนา ความรเู รือ่ งอํานาจกรรมเปนความรอู นั สําคัญยง่ิ ใน พระพทุ ธศาสนา บรรดาพระธรรมเทศนาท่ีพระบรมศาสดาทรงส่ังสอนไมพนไปจากจากหลกั กรรม ทรงส่ังสอนใหละกรรมเลว ใหประกอบกรรมดี และใหช ําระจติ ใจใหผองใส ซงึ่ ทงั้ ๓ นี้เปน หลักการ สง่ั สอนทท่ี รงมอบไวแกเ หลา พทุ ธสาวกในคราวทรงประชุมสาวกครั้งใหญย งิ่ อนั เปนประวตั ิการณ ของพระพุทธศาสนา เมื่อแรกเรม่ิ ทรงตงั้ หลักพระพทุ ธศาสนา ณ นครราชคฤห ประเทศมคธ. หลกั กรรมเปน หลักแหงพุทธปรชี าอนั ใหญยิ่งในพระพทุ ธศาสนา เพราะพระผมู พี ระภาคเจา ทรงเปน กรรมวาที ทรงยืนยนั วา กรรมเปนสงิ่ มีอํานาจใหญย ิ่งในการเกิดตาย ไดดตี กยากของสรรพ สตั ว ดงั เปนท่ีรับรองในหมูพ ุทธบริษทั วา “แรงใดสแู รงกรรมไมม ี” พระมหาโมคคลั ลานเถระได บรรลุภูมพิ ระอรหันตแ ลว นาจะพน จากอาํ นาจกรรมโดยประการท้งั ปวง ถึงอยางนั้นกย็ ังตองรับ สนองผลกรรมท่ีมันใหผ ลสืบเนือ่ งกนั มาแตห ลายชาติ ยังไมขาดกระแส ถูกพวกโจรทุบตีถงึ ตอง ปรินิพพาน แมพระบรมศาสดาจารยผโู ลกยกยองเปน เอกบุคคลแลว ก็ยงั ตอ งทรงรับสนองผลกรรม ในบางกรณี ผมู ีความรูดใี นเรอื่ งอํานาจกรรม ยอมอดทนในเมือ่ ตอ งเสวยผลของกรรม ไมยอมใหมนั เราใจใหเ กดิ กิเลสสบื ตอไป ใหมันส้ินกระแสลงเพียงเทานนั้ ไมเหมือนสามญั สตั วเ มอ่ื ไดเสวยผลของ กรรมทตี่ นทําไวเ อง แทนที่จะรูสํานึกและยอมรบั เสวยผลแตโดยดี ก็กลบั รสู ึกไมพ อใจ แลว ทํากรรม ใหมเพิม่ เติมลงไปอีก เปนเวรสืบเนอื่ งกันไปไมข าดสายลงได อาจตง้ั อยตู ั้งกปั ต้งั กัลป ดังเวรของกา กับนกเคา และงเู หา กับพังพอน ซ่ึงมีมานานและมอี ยูกระทง่ั ทกุ วันนี้ เมอื่ พบปะกันเขาเขาไมเ วนที่ จะประทุษรา ยกันและกัน พระบรมศาสดาไดท รงทราบความจริงเร่อื งกรรมซัดพระทยั แลว จึงตรสั สอนมใิ หสืบตอกรรมเวร ใหอดทนเสวยผลของกรรมไปฝายเดียว แลว เวรจะระงับไมเ วียนไปอีก ดัง พระบาลที ่เี ปนหลักในความขอน้วี า น หิ เวเรน เวรานิ สมฺมนฺตีธ กทุ าจนํ อเวเรน จ สมฺมนฺติ เอส ธมฺโม สนนตฺ โน. แปลวา ในกาลไหนๆ เวรในโลกน้ี ยอ มไมระงับดวยเวรเลย แตจ ะระงับไดด วยไมท าํ เวร ธรรมคือวธิ รี ะงบั เวรดวยไมสบื เวรน้ี เปนวธิ ีเกาแก ดังน้ี. ทพิ ยอํานาจ ๑๓๙

กรรมทีส่ ัตวท าํ ไว ซึง่ มอี ํานาจใหผ ล ทานแบงออกเปน ๒ ประเภทคอื กุศลกรรม ๑ อกุศลกรรม ๑ กศุ ลกรรมน้นั เปนกรรมทที่ ําดวยความฉลาด เปน ความดที ี่มีอํานาจบงั คบั ความชว่ั และลา งความชวั่ ได ทานจงึ เรียกวา กัลยาณธรรมและบุญกรรม สว นอกศุ ลกรรมเปน กรรมท่ีทาํ ดวย ความโง เปน ความช่ัวทม่ี ีอาํ นาจเผาลนใหรอ นรุม ดังถกู ไฟเผา ทานจึงเรียกวาบาปกรรม และมี ลักษณะทาํ ใหสกปรกเศรา หมอง ทานจึงเรยี กวาอบญุ ญกรรม เมอื่ เรยี กส้นั ๆ ทา นเรียกกรรมฝายดี วา กศุ ล, กัลยาณะ, บญุ , เรียกกรรมฝายช่ัววา อกศุ ล, บาป, อบญุ ในพระบาลอี นั เปน หลกั บาง แหงตรสั เรียกกรรมดีวา สุกกะ=ขาว ตรัสเรยี กกรรมช่ัววา กณั หะ=ดาํ ซึง่ ทําใหม องเหน็ ลกั ษณะ ของความดีและความชั่วไดแจมใสยิง่ ขึ้น คือ ความดมี ีลักษณะขาวสะอาด ผอ งใส สดสวย ความชว่ั มีลกั ษณะดาํ สกปรก เศรา หมอง หยาบกระดา ง และตรัสเหตทุ ี่ทาํ ใหสกปรกวา โอกะ = น้าํ ซงึ่ หมายถึงกิเลสอันมีลักษณะเหมือนนา้ํ ท่ไี มสะอาด ทาํ ใหเ ศรา หมองได แลวตรัสสอนใหอาศัยสิ่งมใิ ช น้ํา ละกามคือความกําหนัด แลว ยนิ ดีในพระนิพพานอันเงยี บสงัด ซง่ึ ยากท่ีสามญั สัตวจ ะยินดนี น้ั ตอ ไปจะไดยกพระบาลนี ั้นมาตั้งไว เพ่ือเปนหลักพิจารณาดังตอไปนี้ กณหฺ ํ ธมมฺ ํ วิปฺปหาย สกุ ฺกํ ภาเวถ ปณฺฑโิ ต โอกา อโนกมาคมฺม วเิ วเก ยตฺถ ทรู มํ ตตฺราภริ ติมิจเฺ ฉยฺย หติ วฺ า กาเม อกิจฺ โน. แปลวา บณั ฑิตพงึ ละธรรมดําเสีย พงึ เจรญิ ธรรมขาว พงึ อาศยั สง่ิ มใิ ชน ้ํา ออกจากน้ําแลว ละกาม ท้ังหลาย หายกงั วลแลว ยนิ ดีในพระนพิ พานอนั เงยี บสงัด ยากทีส่ ตั วจ ะยนิ ดนี ้นั ดังนี้. กิเลสอนั เปน ตัวเหตุเรา ใหสตั วทํากรรมใสตัวนน้ั ทา นเปรยี บดว ยนํ้า ธรรมดานา้ํ ยอ มทาํ ให เปยก ผา ท่ีเปยกนาํ้ ยอมเปรอะเปอน หมน หมองงา ยที่สุด ไมเหมอื นผาแหงซึ่งถึงจะมลี ะอองฝุนปลิว มาเกาะกส็ ลัดออกไดง ายๆ ไมต ิดสกปรกเหมือนผาเปยก จติ ใจของสตั วเ ปนทก่ี ําเนิดบุญและบาป เมื่อจติ ใจไมเ ปย กดวยกิเลสยอ มสง่ั สมบญุ ใสตวั กเิ ลสเปน เหตุใหทาํ ความชัว่ เปนตวั เหตสุ าํ คญั ณ ภายใน เหมือนน้ําชุมแชอยูในจิตใจ จงึ สอนใหท ําความดเี พื่อทําใจใหแหงหายสกปรก แลวใหออก จากนา้ํ เสยี เลย ไปอยูในพระนิพพานซึง่ เปน ภมู ทิ ี่พน น้ําเดด็ ขาด ท่ีเรยี กวา อโนกะ=ไมใ ชน้ํา คือ ตรงกนั ขา มกับน้ํานั่นเอง ธรรมชาติแหงความรูส กึ ในจติ ใจของคน เม่ือพิเคราะหใหถีถ่ วนแลวจะ เหน็ ลกั ษณะเดน ๆ ๒ ลกั ษณะคอื ลักษณะท่ีทาํ ใหเ ปยกเหมอื นนํา้ ๑ ลกั ษณะทท่ี ําใหแหง ผาก ๑ สวนลกั ษณะทไ่ี มเ ดน น้ันเปน ความรสู กึ กลางๆ ความรูสึกทมี่ ลี กั ษณะทาํ ใหเ ปยกเหมือนนา้ํ น่นั แหละ คอื กิเลสท่ีแทรกซึมอยใู นจิตใจ ความรสู ึกท่ีมีลักษณะทําใหแหงผากนั้นคอื คณุ ธรรมซงึ่ เปน คณุ ชาติประจาํ จติ ใจ ตรัสสอนใหอาศยั คุณธรรมนี้เองออกจากนาํ้ คือกเิ ลส แลว ใหย ินดยี ิง่ ในพระ นพิ พาน ซ่งึ เปน ภมู พิ น นํา้ เด็ดขาด มแี ตคุณชาติประจําจติ ใจทีม่ ใิ ชส ิ่งที่มลี กั ษณะเหมือนนา้ํ อันจะ ทําใหจติ ใจเปยกปอนตอไป เม่ือพจิ ารณาโดยนัยนี้ยอมไดความวา กรรมท่ีทําดวยอาํ นาจกเิ ลสคือ ความรสู กึ ที่มลี ักษณะทําใหใ จเปยก เปน บาปคือดาํ สกปรก สว นกรรมทีท่ ําดว ยคณุ ธรรมคอื ความรูสกึ ทีม่ ลี กั ษณะทําใหใจแหง ผากเปนบญุ คอื ขาวสะอาด ผยู นิ ดใี นบาปจึงเทา กับยนิ ดีใน ความสกปรกโสมมมดื ดํา ผยู ินดีในบุญจงึ เทา กบั ยนิ ดีในความสะอาดขาวผอ ง ผูยินดีในกรรมทง้ั ๒ ฝายคือบุญกท็ ํากรรมกส็ ราง จึงเปน บคุ คลทเี่ รียกวา กําดาํ กําขาว มที ้ังคราวดีและคราวช่วั สว นผู ทิพยอํานาจ ๑๔๐

ยินดีในบุญเกลียดหนายบาป ยอ มเลกิ ละบาปทาํ แตบุญ จึงเปนบุคคลทีเ่ รียกวา กาํ ขาว มีแตค ราว ทําดแี ละดเี รือ่ ยไป เปนบุคคลท่ีนา ไววางใจเชื่อถือได เปน บุคคลที่นาคบคา สมาคม นานิยมนับถอื และนาเคารพบชู าสกั การะยิ่ง. เมอื่ ไดร จู ักตวั เหตุใหทาํ กรรมเชนนี้แลว ยอมเปนการงายทีจ่ ะรูจกั ตัวการผูทํากรรม เพราะ เมอ่ื พดู ถงึ ความรูสกึ เราก็ยอมทราบแลว วาเปนกริ ิยาของจิตใจน้ันเอง เมื่อเปนเชนน้ี จติ ใจจงึ เปน ตัวการทาํ กรรม สมกับพระพุทธดาํ รสั วา เจตนาหํ ภิกขฺ เว กมมฺ ํ วทามิ ภกิ ษทุ ั้งหลาย! เรากลาววา เจตนาเปนกรรม หมายความวา ความจงใจทาํ พูด คดิ เปน กรรม เจตนาเปนกิรยิ าการของจิตใจ ขนั้ ที่สองคือ เมอื่ จิตใจถกู อารมณเราเกดิ มีความรสู ึกฝายกิเลสหรอื คณุ ธรรมขึ้นเปนขนั้ ท่ี ๑ แลวจงึ เกิดมีความจงใจทําพดู คดิ ตามความรูสกึ นั้นเปนข้นั ที่ ๒ เมอ่ื เปนเชนน้ีกรรมจึงเปนการกระทําของ จติ ใจ จติ ใจจึงตองรับผิดชอบการกระทําของตัวเอง จะปด เสยี ไมยอมรบั ผิดชอบยอ มเปนไปไมได ฉะนน้ั กรรมจึงเปนสิง่ เนือ่ งกบั ตวั เหมอื นเงา ผลซงึ่ ผลิข้นึ จากกรรมกย็ อมเนอ่ื งกบั ตัวเชนเดียวกนั ตนทาํ กรรมแลวจะหลีกเลย่ี งไมย อมรบั เสวยผล จึงเปนสิ่งเปนไปไมได เม่อื ไดท ราบวา กรรมคอื ตวั เจตนา ความจงใจเชนนี้ ยอมเปนการงา ยที่จะกําหนดลักษณะกรรมตางอยา งตางประการ ซ่ึงจะได กลา วตอ ไป. ธรรมดา เจตนาในการทํา พดู คดิ ยอ มมีน้าํ หนักตางๆ กนั ตามกําลงั ดันของความรสู ึก ถา มี ความรสู กึ แรงทสี่ ุดเจตนาก็ยอมแรงทสี่ ดุ ถามคี วามรูสึกแรงพอประมาณเจตนากย็ อ มแรง พอประมาณ ถามคี วามรูส กึ เพลาเจตนาก็ยอมเพลาตามกัน ฉะน้ันทานจึงกาํ หนดกรรมหนักเบา ดว ยอาํ นาจเจตนาและความรสู กึ กรรมจะใหผลเรว็ หรอื ชา กย็ อมอาศยั กาํ ลังของเจตนา และ ความรสู กึ เปนสว นประกอบดว ยเชนกนั ตามหลกั ธรรมดา สิง่ ใดมอี าํ นาจผลกั ดนั แรงส่ิงนน้ั ยอ ม ปรากฏในลกั ษณะรุนแรงและเร็ว โดยนยั เดยี วกัน กรรมที่ทําดวยเจตนาและความรูสึกแรง เวลา ใหผลกย็ อ มปรากฏในลักษณะรุนแรงและเร็ว เชน อนันตริยกรรมทง้ั ๕ มีการฆา บดิ ามารดาของตน เปน ตน คนที่จะทํากรรมบาปหยาบชา เชนน้ันไดลงคอจะตอ งมคี วามรสู กึ ฝา ยกเิ ลสรนุ แรง และ เจตนาท่ีทําก็จะตองรุนแรงเชนกัน กรรมน้ันจงึ ใหผ ลเร็วและรุนแรงทีส่ ุดดว ย ทานกลา ววา ใหผ ล ในลาํ ดบั ทีท่ ําน้ันเอง คอื เกิดความรุมรอ นขึน้ ในกายในใจ จนไมส ามารถจะดํารงชวี ติ อยไู ดกม็ ี ท่ี แรงถงึ ทส่ี ุดทานวา ถูกธรณสี บู ทันทกี ม็ ี เม่ือตายแลวตองไปทนทกุ ขท รมานในสถานลําบาก คอื นรก แดนเปรต พวกกายใหญโต (อสรุ กาย) และกาํ เนดิ ดิรัจฉานอีก กวา จะพนกรรมก็กินเวลานานนบั กัปนับกัลป สว นกรรมทแ่ี รงในฝา ยกุศลทานเรยี กวา สมนันตรกิ กรรม หรอื อนันตรกิ กรรม ไดแ ก สมาธิชนั้ สงู คอื ฌานสมาบตั ิ ยอ มใหผ ลทนั ทเี หมอื นกัน เมอ่ื ตายแลวยงั อํานวยผลใหไ ปเสวยสุข สมบตั ใิ นสถานทสี่ ุขสบาย คอื โลกพรหม โลกสวรรค และโลกมนุษย เปน เวลานานหลายกัปหลาย กัลปเ ชนเดยี วกนั กรรมที่มีกําลังแรงพอประมาณอาจใหผ ลในชาตปิ จจบุ นั น้ี สว นกรรมทีก่ าํ ลัง เพลายอมคอยใหผ ลในชาติหนาตอ ๆ ไป สุดแตจ ะไดชองเม่ือไร เมือ่ ไมไดชอ งเลยก็อาจสน้ิ กําลงั เลิกใหผ ลก็ได แตโดยเหตุที่คนและสตั วยอ มทํากรรมไวห ลายหลากมที ้ังดีมีทง้ั ชวั่ กรรมจงึ มี ลักษณะพิเศษข้ึนอกี คือ สนับสนนุ กัน เบยี ดเบียนกัน ตัดรอนกัน เพราะกรรมดกี บั กรรมช่วั ยอ ม เปน ปฏิปก ษก ันอยใู นตวั เหมือนนา้ํ กับไฟเปนปฏิปกษกันโดยธรรมชาติฉะน้ัน เมอ่ื เปนเชนนีก้ รรม ทพิ ยอํานาจ ๑๔๑

จึงอาจใหผลสับสนกัน ถา ไมพ ิจารณาถึงหลักเหตุผลและความจริงอนั ถอ งแทแลว อาจเขา ใจผิดไป ได หลกั เหตผุ ลที่ควรถือเปนหลกั ในการพจิ ารณากรรมน้นั คือ เหตกุ บั ผลมลี กั ษณะเหมือนกนั เหตุ ดีผลตองดี เหตุช่ัวผลตอ งชวั่ ทาํ ดีไดด ี ทําช่ัวไดช ่วั เปนหลักเหตุผลทต่ี ายตวั ไมมีเปล่ยี นแปลง เปน ความจรงิ ทยี่ นื หยัดอยูตลอดอนันตกาลทเี ดยี ว พระบรมศาสดามิไดทรงสรางกฎน้ขี ้ึน เปนแตทรง ทราบกฎของกรรมน้ตี ามเปนจรงิ แลว ทรงบญั ญัตชิ ้ีแจงแสดงออกใหแ จม แจง เพอ่ื เวไนยชนจะได เช่ือถอื และปฏบิ ัตกิ ําจดั บาปออกจากตวั ทําดใี สต วั และชําระตัว คือจติ ใจอนั เปนท่ีสิงสถติ ของ กิเลสเปน ทีเ่ กิดบุญบาปนั้น ใหบรสิ ทุ ธ์ผิ ดุ ผอ งปราศจากกเิ ลสอนั เปนตวั เหตเุ ราใหทํากรรม เม่ือหมด กรรมหมดกิเลสแลว กเ็ ปนอสิ ระแกต วั เตม็ ท่ี พระมหามนุ ีทรงยาํ้ นักย้ําหนาในการท่ีจะทําตวั ใหเ ปน อสิ รภาพนี้ พระองคม ิใชผ ูประกาศิตโลกใหเ ปน ไปตามพระทัยประสงค ทรงประกาศความจริงให เวไนยชนไดค วามสวางใจ หายหลงงมงายท่ีเช่ืออํานาจซงึ่ ไมอ าจมีไดตา งหาก เม่อื เวไนยชนได ความเชื่อถกทางแลว เขายอ มจะไมเชอื่ อาํ นาจอื่น นอกจากอํานาจกิเลสและกรรมช่ัวของตัวเอง ทํา ตัวใหท กุ ขยากลําบากเดอื ดรอนในโลกไหนๆ โดยนัยเดียวกันเขากไ็ มเชอ่ื อาํ นาจอนื่ นอกจาก คณุ ธรรมและกรรมดขี องตัว จะสรา งตัวใหเจรญิ สขุ สําราญบานใจในโลก และเขาจะเชือ่ ตอ ไปอกี วา เมื่อใจมกี เิ ลสและกรรมได กอ็ าจทาํ ใหส้ินกเิ ลสและกรรมได เม่ือไมมีกเิ ลสและกรรมบงั คบั แลว ก็ชื่อ วา เปน อิสรภาพเต็มที่ น้คี ือทางสิน้ ทุกขในสังสารวัฏแนนอน. เมื่อไดท ราบหลกั เหตผุ ล เปนเครอ่ื งวินิจฉัยกรรมเชนน้ีแลว จงึ ควรทราบประเภทแหงกรรม ตามทท่ี า นจําแนกไว ดังตอ ไปนี้ ๑. ทฏิ ฐธรรมเวทนยี กรรม เปน กรรมทส่ี ามารถใหผ ลในปจ จบุ นั ชาตินี้ ทีเ่ รยี กวาใหผลทัน ตา โดยมากเปนกรรมประเภทประทษุ รา ยผูทรงคณุ เชน มารดาบิดา พระอรหันต แมแ ตเ พียงการ ดา วา ตเิ ตยี นทา นผูทรงคุณเชนนนั้ ก็เปนกรรมท่แี รง สามารถหา มมรรคผลนพิ พานได ท่ีทา น เรียกวา อริยุปวาทกรรม การเบียดเบยี นสัตว ทรมานสตั วบ างจาํ พวกก็มกั ใหผ ลในปจจุบนั ทนั ตา เหมือนกัน เชนการเบียดเบยี นแมวเปนตน สว นฝา ยกุศลทส่ี ามารถใหผลในปจ จุบันทันตา นาจะ ไดแ กพรหมจรรยในพระพทุ ธศาสนา ดงั ทต่ี รสั ไวใ นสามัญผลสูตรวา “ผปู ระพฤตพิ รหมจรรยน ี้ (๑) ไดร บั การอภวิ าทกราบไหว. (๒) ไดรับการยกเวนภาษอี ากรจากรฐั บาล. (๓) ไดร บั การคุมครองจากรัฐบาล. (๔) ไดรบั ปจจยั ท่ีเขาถวายดวยศรัทธา เลย้ี งชีพเปน สุขในปจ จุบนั . (๕) ไดร ับความไมเ ดอื ดรอนใจ เพราะมีศลี บริสุทธิ์. (๖) ไดร บั ความเงยี บสงัดใจ ความแชม ชื่นเบกิ บานใจ ความสขุ กายสบายใจ เพราะใจสงบ เปนสมาธิ. (๗) ไดฌานสมาบัติ. (๘) ไดไ ตรวิชชาหรอื อภิญญา สิ้นอาสวะในปจ จุบนั ชาติน.้ี (๙) ถายงั มกี ิเลสอยู ก็จะเขาถงึ โลกทม่ี สี ุขในเมื่อตายไป”. ทิพยอาํ นาจ ๑๔๒

ในอรรถกถาธรรมบท ทา นเลาถึงพราหมณค นหน่งึ ซ่ึงเปน คนยากจนขนแคน อยากบําเพญ็ ทาน เพราะสํานกึ ไดวา ท่ีตนยากแคน ในปจจุบันเพราะไมไ ดบ ําเพญ็ ทานไวในชาติกอน จงึ ตดั สนิ ใจ บรจิ าคผา สไบผนื เดยี วที่ตนกบั ภรรยาใชรวมกันอยูอ อกบาํ เพญ็ ทาน ถวายแดพ ระบรมศาสดา ซึ่ง เปนบุญเขตอันเลิศ ไดรบั ผลตอบแทนในปจจุบัน คือ พอแกบรจิ าคออกได แลรูสกึ โลง ใจและปต ิ เหลือประมาณ จงึ เปลงอทุ านขึ้นในทันทีนั้นวา เราชนะแลว บงั เอิญพระเจา ปส เสนทิโกศลกเ็ สด็จ มาฟง ธรรม ณ ที่นั้นดวย เม่ือไดทรงสดับจึงรับส่ังใหถามดู ทรงทราบแลวทรงอนโุ มทนาดว ย แลว พระราชทานผา ใหพราหมณ ๒ คู เพือ่ เขาคหู น่งึ เพือ่ ภรรยาคูห น่งึ เขายงั มีศรัทธานอ มเขา ไปถวาย พระบรมศาสดาเสยี อีก พระเจาปส เสนทิโกศลจงึ พระราชทานเพ่มิ ใหท วขี ้นึ ในท่สี ดุ ทรง พระราชทานสิง่ ละ ๑๖ แกพราหมณ เขาไดร ับความสขุ เพราะกุศลกรรมของเขาในปจจุบันทนั ตา ดังนี้ แมเรอ่ื งอนื่ ๆ ทํานองนี้ก็มีนยั เชน เดียวกัน. ๒. อปุ ปชชเวทนยี กรรม เปนกรรมทีส่ ามารถใหผ ลตอ เมือ่ เกดิ ใหมในชาติหนา ในกาํ เนิด ใดกําเนิดหน่ึง ถาเปนกุศลกรรมกอ็ าํ นวยผลใหม คี วามสุข ตามสมควรแกก รรมในคราวใดคราวหน่งึ ถา เปนอกศุ ลกรรมก็ใหผ ลเปนทุกขเดือดรอนตามสมควรแกก รรมในคราวใดคราวหนึง่ ตวั อยา ง สมมติวา เมือ่ ชาตปิ จจบุ นั นีเ้ ราเกิดเปนมนษุ ย ไดทํากรรมไวห ลายอยางทั้งบุญและบาป ตายแลว กลบั มาเกิดเปนมนษุ ยอกี ดวยอํานาจกศุ ลอยางหน่ึง ซ่งึ สามารถแตงกาํ เนดิ ไดในชัว่ ชีวติ ใหมน้ี เรา ไดร ับสขุ สมบูรณเปน ครัง้ คราว น่ันคือกุศลกรรมในประเภทนีใ้ หผ ล เราไดร ับทกุ ขเดอื ดรอนเปน บางครงั้ นั่นคอื อกุศลกรรมในประเภทน้ใี หผล การใหตัวอยา งสมมติไวก เ็ พราะหาตวั อยางท่เี ปน จริงมาแสดงไมไ ด. ๓. อปราปรเวทนยี กรรม เปนกรรมท่ีสามารถใหผ ลสบื เน่ืองไปหลายชาติ ตวั อยา งในขอน้ี มมี าก ฝา ยกศุ ลกรรมเชน พระบรมศาสดาทรงแสดงบุพพกรรมของพระองคไ วว า ทรงบาํ เพญ็ เมตตาภาวนาเปน เวลา ๗ ป สงผลใหไ ปเกดิ ในพรหมโลกนานมาก แลว มาเกิดเปนพระอนิ ทร ๓๗ ครั้ง เกิดเปน มนษุ ย เปนพระเจา จกั รพรรดิ ๓๗ ครงั้ ฯลฯ ฝา ยอกศุ ลกรรม เชน พระมหาโมคคลั ลาน-เถระ ในอดีตชาตหิ ลงเมยี ฟง คํายยุ งของเมยี ใหฆามารดาผพู กิ าร ทานทําไมลง เพยี งแตทําให มารดาลาํ บาก กรรมน้ันสงผลใหไ ปเกดิ ในนรกนาน คร้ันเกิดมาเปนมนษุ ยถูกเขาฆาตายมา ตามลาํ ดบั ทุกชาติ ถงึ ๕๐๐ ชาตกิ ับทงั้ ชาติปจ จุบันที่ไดเปนพระอรหันต อรรคสาวกเบอ้ื งซา ยของ พระบรมศาสดา. ๔. อโหสิกรรม เปน กรรมที่ไมม โี อกาสจะใหผ ล เพราะไมม ีชองทจี่ ะเขา ใหผ ลได เลยหมด โอกาสสิน้ อาํ นาจสลายไป ในฝายอกศุ ลกรรมเชน พระองคุลีมาลเถระไดหลงกลของอาจารย เพราะ ความโลภในมนต ไดฆ า คนจํานวนถงึ พันเพื่อจะนาํ ไปขึน้ ครูเรียนมนต พระทศพลทรงเห็นอุปนิสยั แหงพระอรหัตผลมอี ยู ทรงเกรงวา จะฆา มารดา แลวจะทาํ ลายอุปนสิ ยั แหงอรหตั ผล จงึ รีบเสดจ็ ไป โปรด ทรงแสดงทูเรปาฏิหาริยแ ละตรสั พระวาจาเพยี งวา “หยุดแลว คือทรงหยุดทําบาปแลว สว น ทานซิยงั ไมหยุดทําบาป” ทา นเกดิ รูสึกตัว เขาเฝา ขอบรรพชาอปุ สมบท ทรงประทานอุปสมบทแลว พาไปฝก ฝนอบรมจนไดบรรลุพระอรหัตผล สนิ้ ภพสนิ้ ชาติ กรรมบาปซึ่งมีอาํ นาจจะใหผ ลไปใน ทิพยอาํ นาจ ๑๔๓

ชาตหิ นาหลายแสนกลั ปกเ็ ลยหมดโอกาส ใหผ ลเพยี งเลก็ นอยในชาตนิ ี้ สวนฝา ยกุศลกรรมไมอ าจ หาตัวอยา งได. ๕. ชนกกรรม เปนกรรมทสี่ ามารถแตง กําเนดิ ได กําเนดิ ของสัตวใ นไตรโลก มี ๔ คอื (๑) ชลาพุชะ เกิดจากนํา้ สมั ภวะของมารดาบดิ าผสมกันเกิดเปนสตั วในครรภ แลวคลอด ออกมาเปนเด็ก แลวคอ ยเจรญิ เติบโตขึ้นโดยลําดบั กาล ฝายดไี ดแ กกาํ เนดิ มนุษย ฝายไมด ไี ดแก กาํ เนิดดริ จั ฉานบางจําพวก. (๒) อัณฑชะ เกิดเปนฟองไขกอนแลว จงึ เกิดเปน ตัวออกจากกะเปาะฟองไขแลวเจริญเตบิ โต โดยลาํ ดบั กาล ฝายดีไดแกกาํ เนดิ ดิรัจฉานมีฤทธ์ิ เชน นาค ครฑุ ประเภทอณั ฑชะฝายชัว่ ไดแก กาํ เนดิ ดริ จั ฉาน เชน นกสามญั ท่วั ไป ฯลฯ. (๓) สงั เสทชะ เกดิ จากสิ่งโสโครกเหงือ่ ไคล ฝายดีเชน นาคและครฑุ ประเภทสงั เสทชะฝาย ช่วั เชน กิมิชาติ มหี นอนที่เกิดจากน้ําคราํ เปน ตน และเรือด ไร หมัด เล็น ทเี่ กิดจากเหง่อื ไคล หมักหมมเปน ตน. (๔) อปุ ปาตกิ ะ เกิดผุดขึ้นเปนวิญูชนทีเดยี ว ฝายดีเชน เทพเจา ฝายช่วั เชน สัตวนรก เปรต อสรุ กาย กรรมดีแตงกําเนิดดี กรรมชัว่ แตงกาํ เนิดชวั่ น้ีเปนกฎแหง กรรมท่ตี ายตัว ไม เปลย่ี นแปลงเปนอ่ืนไป. ๖. อปุ ปต ถมั ภกกรรม เปนกรรมทีค่ อยสนบั สนุนกรรมอน่ื ซง่ึ เปนฝายเดียวกัน กรรมดี สนบั สนนุ กรรมดี กรรมช่วั สนับสนุนกรรมชั่ว เชน กรรมดแี ตงกําเนิดดีแลว กรรมดีอืน่ ๆ ก็ตามมา อุดหนนุ สง เสริมใหไ ดร บั ความสขุ ความเจรญิ ย่งิ ขนึ้ กรรมชวั่ แตงกําเนดิ ทรามแลว กรรมชวั่ อ่ืนๆ ก็ ตามมาอุดหนนุ สงเสรมิ ใหไดรับทุกขเ ดอื ดรอนในกําเนิดนน้ั ยิง่ ๆ ขึ้น หาตวั อยางทเี่ ปนจริงมาแสดง ไมได. ๗. อปุ ปฬ กกรรม เปน กรรมทเ่ี ปนปฏิปก ษก ับกรรมอื่นที่ตา งฝายกบั ตน คอยเบียดเบียน ทาํ ใหฝ า ยตรงกันขา มมีกําลงั ออนลง ใหผลไมเต็มเมด็ เตม็ หนว ย เชน กรรมดแี ตง กาํ เนิดเปนมนษุ ย แลว กรรมชั่วเขา มาขดั ขวางรอนอาํ นาจของกรรมดีน้ันลง ทําใหเ ปน มนษุ ยท ี่ไมส มบูรณ หรอื ขาด ความสขุ ในความเปนมนุษยทคี่ วรจะไดไป ในฝายช่ัวก็นัยเดียวกัน เชน กรรมชวั่ แตงกาํ เนดิ ทราม แลว กรรมดเี ขามาขัด ถงึ เปนสตั วก ็มผี เู มตตากรุณาเลีย้ งดูมิใหไ ดร ับความลําบาก เปน ตน. ๘. อุปฆาตกกรรม เปนกรรมที่เปนปฏปิ ก ษก ับกรรมอ่ืน ท่ีตา งฝายกับตนเชนขอ กอ น แตม ี กําลงั แรงกวา มใิ หอ าํ นวยผลสบื ไป แลวตนเขา แทนทใ่ี หผ ลเสียเอง ตวั อยา งในฝายอกุศล เชน กรรมดแี ตง กาํ เนดิ เปนมนุษยม าแลว กรรมฝา ยชวั่ ท่มี ีกําลงั เขา สังหาร เชนไปทาํ กรรมรายแรงข้ึนใน ปจจบุ นั หรือกรรมชว่ั รายแรงในอดตี ตามมาทันเขา ใหผ ลแทนที่ คนน้ันเสยี ความเปนมนษุ ยไปใน ทันทีทันใด กลายรางไปเปนยักษห รอื ดิรจั ฉานไปเลย หรอื เพศเปล่ียนไป เชน เดมิ เปนบุรุษเพศ กลายเปนสตรเี พศไป ดังโสเรยยเศรษฐีบตุ รฉะนั้น ในฝายกศุ ล กรรมชัว่ แตง กําเนิดทรามแลว กรรมดเี ขาสังหารกาํ ลงั ของกรรมทรามนน้ั ใหสนิ้ กระแสลง แลว เขาแทนที่ใหผ ลเสยี เอง เชน เปรต ไดร บั สวนบญุ แลว พน ภาวะเปรต กลายเปนเทวดาทันทที ันใด เปนตน . ทพิ ยอาํ นาจ ๑๔๔

๙. ครกุ รรม เปน กรรมท่ีหนักมาก สามารถใหผลทันทที ันใด ฝา ยกุศลไดแกฌ านสมาบัติที่ ทานเรยี กวาอนันตรยิ กรรม ฝายอกุศลไดแกอนนั ตริยกรรม ๕ มีฆา มารดาบิดาเปน ตน บคุ คลจะ ทาํ กรรมช่ัวมามากมายสักเพียงไรกต็ าม ถารูสกึ สาํ นกึ ตวั แลว กลบั ตวั ทําความดี มคี วามสามารถทาํ ใจใหสงบเปน สมาธิ และเปนฌานสมาบัตไิ ดแ ลว กรรมน้ีจะแสดงผลเรื่อยๆ ไปตั้งแตบ ัดนั้นจนกวา จะสิ้นกระแสลง กรรมอ่นื ๆ จงึ จะไดช องใหผล บคุ คลทํากรรมดีไวมากมายแลวสมควรจะไดม รรค ผลขน้ั ใดขนั้ หนงึ่ ในชาตปิ จจุบนั แตไ ปเสวนะกับคนพาลเกดิ ประมาททําความช่ัวรายแรงข้ึน เชนฆา พระอรหันต ฆา มารดาบิดาเปนตน กรรมนจ้ี ะเขา ใหผลทนั ทที ันใด อปุ นิสัยแหง มรรคผลกเ็ ปน อัน พบั ไป ตอ งเสวยผลกรรมชั่วน้ันไปจนกวาจะส้นิ กําลงั กรรมอ่นื ๆ จงึ จะมชี อ งใหผ ลสบื ไป. ๑๐. พหุลกรรม หรอื อาจณิ ณกรรม เปน กรรมที่ทาํ มาก ทําจนชนิ เปน อาจิณ เปน กรรม หนกั รองครกุ รรมลงมา สามารถใหผ ลกอ นกรรมอื่นๆ ในเมื่อไมม ีครกุ รรม เชน บุคคลบําเพ็ญทาน หรอื รกั ษาศลี หรือเจริญภาวนา มเี มตตาภาวนาเปน ตนเปน อาจิณ แตไ มถ งึ กบั ไดฌานสมาบตั ิ กรรมดีน้จี ะเปน ปจ จยั มกี ําลังในจติ อยเู สมอ สามารถใหผลสบื เนอื่ งไปนาน ถา บุคคลนั้นไมประมาท ในชาตติ อ ๆ ไป ทาํ เพมิ่ เติมเปนอาจิณอยูเรอ่ื ยๆ กรรมดกี ็จะใหผลทวแี ละสบื เน่อื งเรื่อยๆ ตัดโอกาส ของกรรมอ่ืนๆ เสียได ในฝายอกศุ ลก็นยั เดียวกัน เชน พรานเน้ือหรือชาวประมงทาํ ปาณาตบิ าต เปนนิตย ถงึ แมไ มห นกั หนาเทาครกุ รรม แตเ พราะเปน กรรมตดิ เนื่องกบั สนั ดานมาก จึงสามารถ อาํ นวยผลสืบเน่ืองไป ไมเปด ชองใหกรรมอน่ื มโี อกาสอาํ นวยผลได ทานยกตวั อยา ง เชน คนฆาโค ขายเนือ้ ทุกวัน เวลาจะตายรอ งอยา งโค พอสิน้ ใจก็ไปนรกทันที คนฆาสุกรขายเปนอาชพี เวลาจะ ตายรองอยา งสุกร พอขาดใจกไ็ ปนรกเชนเดยี วกนั . ๑๑. อาสันนกรรม เปน กรรมทีท่ าํ เวลาใกลตาย แมจ ะมีกําลังเพลากไ็ ดชอ งใหผ ลกอน กรรมอ่ืน ในเมื่อไมมีครุกรรมและพหลุ กรรม ตัวอยางในฝา ยดี เชน พวกสําเภาแตกไดส มาทานศลี กอ นหนามรณะเพียงเลก็ นอย ตายแลว ไดไปเกดิ ในสวรรค มีนามวา สตลุ ลปายิกาเทวา ในฝาย อกุศลเชน ภิกษรุ ปู หนง่ึ ในพระศาสนาของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจา ตองอาบตั เิ พราะพรากภูต คาม คือทาํ ใบตะไครน้ําขาด ประมาทวา เปนอาบัตเิ ลก็ นอยไมแสดงทนั ที ตอมาไมนานเกิดอาพาธ พอใกลมรณะกน็ กึ ขึ้นไดวาตนมีอาบัติติดตัวจะแสดงกห็ าภกิ ษุรบั แสดงไมได เสียใจตายไป ไดไปเกดิ ในกําเนดิ นาค มาในพุทธกาลนีไ้ ดฟง พระธรรมเทศนา และตงั้ อยูใ นพระไตรสรณคมน ถามใิ ชเพราะ อยูในกําเนิดดิรจั ฉานแลว จะบรรลภุ มู พิ ระโสดาบนั ในครั้งฟง พระธรรมเทศนาน้นั ทีเดียว เพราะมี กุศลไดส่ังสมมามากพอสมควร ในคราวประพฤตพิ รหมจรรยใ นพระศาสนาของพระกสั สป สมั มาสัมพทุ ธเจา อีกเรื่องพระนางมัลลิกาเทวี มเหสีของพระเจาปส เสนทิโกศล เปน คนมีศรัทธาใน พระศาสนาของพระบรมศาสดา ตอ มาพลง้ั พลาดในศลี ธรรมเล็กนอ ย พระสวามตี อวากลับโกหก และหาอบุ ายลวง และดาพระสวามีดวย ตอ มามินานเกิดประชวร ทวิ งคต ไดไปสูนรกถึง ๗ วัน จงึ ไดไ ปสวรรค อาสนั นกรรมสาํ คญั เชน น้ี คนโบราณจึงนยิ มใหพ ระไปใหศีลคนปวยหนกั หรือบอก พระอรหังใหบ รกิ รรมเพอื่ ชวยใหไดไปสูสุคตบิ า ง. ๑๒. กตตั ตากรรม หรอื กตตั ตาวาปนกรรม เปน กรรมที่เพลาที่สดุ ทาํ ดวยเจตนาออนๆ แทบจะวาไมม ีเจตนา เชนการฆา มดแมลงของเด็กๆ ทีท่ ําดวยความไมเดียงสา ไมรวู า เปนบาปกรรม ทพิ ยอํานาจ ๑๔๕

ในฝา ยกศุ ลก็เชนกัน เชนเด็กๆ ท่ไี มเดยี งสาแสดงคารวะตอ พระรัตนตรัยตามที่ผใู หญส อนใหทาํ เด็กจะทาํ ดวยเจตนาออ นที่สดุ จึงชอื่ วาสักวา ทาํ ถาไมม กี รรมอนื่ ใหผ ลเลย กรรมชนิดนก้ี จ็ ะให ผลไดบาง แตไ มม ากนกั มที างจะเปนอโหสิกรรมไดม ากกวาทีจ่ ะใหผ ล เพราะกําลังเพลามาก. เมอื่ ไดรจู กั ประเภทกรรม ซง่ึ มีลกั ษณะสามารถใหผลตางขณะตา งวาระตางกรรมเชนนีแ้ ลว แมไดเ ห็นสตั วไ ดดีตกยากซึง่ เปนไปในลกั ษณะสับปลบั เชน ผูท าํ บาปในชาติน้ีแลว พอตายไดไปเกิด ในสวรรค หรอื ผทู าํ บุญในชาตินอ้ี ยแู ทๆ แตพอตายไดไปสนู รกเปนตน กจ็ ะไมเขาใจผิดไปตามความ สับสนนัน้ คงเหน็ ถกู รูถูกตามหลกั วนิ จิ ฉัยกรรมอยูเสมอไป จดั เปนความรูเ ห็นทถี่ องแทได. อนึ่ง กรรมที่สัตวท ําไว ยอมใหผ ลตามลกั ษณะตางๆ กนั ดังตอ ไปนี้ ๑. กรรมคอื การฆาสัตว สงผลใหไปสูอ บาย ทคุ ติ วนิ ิบาต นรก ครั้นมาสูความเปน มนุษยก็ เปน คนมอี ายนุ อ ย สวนกรรมคอื การไมฆ า สัตว มเี มตตาปรานีในสรรพสัตว อาํ นวยผลใหไปสูสคุ ติ โลกสวรรค คร้ันมาสูความเปน มนุษยก เ็ ปนคนมอี ายยุ ืน. ๒. กรรมคือการเบียดเบยี นสัตว ดวยการตบตีขวา งปาแทงฟน สงผลใหไปสูอบาย ทคุ ติ วินิบาต นรก ครน้ั มาสคู วามเปนมนษุ ยก ็เปนคนอาพาธมาก สว นกรรมคือการไมเ บยี ดเบียนสตั ว ดวยการตบตขี วางปาแทงฟน อาํ นวยผลใหไปสสู คุ ตโิ ลกสวรรค คร้ันมาสคู วามเปนมนุษยก็เปนคนมี อาพาธนอ ย. ๓. กรรมคือความมกั โกรธ มากดว ยความคับแคน ถูกวา เล็กนอยก็โกรธพยาบาทปองราย แสดงความโกรธความดุรา ยความนอ ยใจใหปรากฏออก สงผลใหไ ปสอู บาย ทคุ ติ วินบิ าต นรก ครั้นมาสคู วามเปน มนษุ ยก็เปนคนผวิ ทราม สว นกรรมคอื คอื ไมม กั โกรธตรงกันขามกบั ทีก่ ลาวแลว อาํ นวยผลใหไปสสู ุคตโิ ลกสวรรค คร้ันมาสคู วามเปน มนุษยก ็เปนคนผิวงามนาเลือ่ มใส คือเปนคน ผิวผุดผองเกลย้ี งเกลา. ๔. กรรมคือความมีใจรษิ ยา อยากได เขาไปขดั ขวางในลาภสกั การะ ความเคารพนบั ถอื นบไหวบูชาของคนอืน่ สงผลใหไ ปสอู บาย ทุคติ วินบิ าต นรก ครั้นมาสคู วามเปน มนษุ ยกเ็ ปนคนมี ศกั ดานอ ย สวนกรรมคอื ความไมม ใี จรษิ ยาอยากได ไมขัดขวางลาภสักการะ ความเคารพนับถือ นบไหวบูชาของผอู ื่น อาํ นวยผลใหไ ปสูสุคตโิ ลกสวรรค ครั้นมาสคู วามเปนมนษุ ยก ็เปนคนมศี ักดา ใหญ. ๕. กรรมคือการไมใหข า ว นํ้า ผา ยานพาหนะ ดอกไม ของหอม เครื่องลบู ไล ทอี่ าศัยหลบั นอน เครอื่ งเก้ือกลู แกแสงสวางแกสมณะหรือคนดี สงผลใหไ ปสูอบาย ทคุ ติ วนิ ิบาต นรก ครนั้ มาสู ความเปนมนษุ ยก็เปน คนมโี ภคะนอ ย สวนกรรมคอื การใหว ัตถุดงั กลา วนั้นแกส มณะหรอื คนดี อํานวยผลใหไ ปสสู ุคติโลกสวรรค ครนั้ มาสูความเปนมนษุ ยก ็เปนคนมโี ภคะมาก. ๖. กรรมคือความกระดางถอื ตัว ไมไหวคนควรไหว ไมลุกรับคนควรลกุ รบั ไมใหอ าสนะแก คนควรไหว ไมห ลีกทางแกค นควรหลีก ไมสกั การะคนควรสักการะ ไมเ คารพคนควรเคารพ ไมนับ ถอื คนควรนับถอื ไมบูชาคนควรบูชา สงผลใหไปสูอ บาย ทุคติ วินิบาต นรก คร้ันมาสคู วามเปน มนษุ ยก็เปน คนเกิดในตระกูลตาํ่ สว นกรรมคือความไมกระดา ง ไมถ ือตัวโดยนัยตรงกันขา มจากท่ี กลาวแลวนน้ั อาํ นวยผลใหไปสูสคุ ตโิ ลกสวรรค คร้ันมาสูความเปนมนษุ ยกเ็ ปนคนเกดิ ในตระกลู สงู . ทพิ ยอาํ นาจ ๑๔๖

๗. กรรมคือการไมเ ขาหาศึกษาไตถามสมณพราหมณ ถึงกศุ ล-อกศุ ล สิง่ มีโทษ-ไมมีโทษ สิง่ ควรเสพ-ไมควรเสพ กรรมทีเ่ ปน ไปเพอ่ื ทกุ ขอันไมเ กือ้ กลู ตลอดกาลนาน และกรรมที่เปนไปเพ่อื สุข เกอ้ื กลู ตลอดกาลนาน สงผลใหไ ปสอู บาย ทุคติ วนิ บิ าต นรก คร้ันมาสูความเปนมนษุ ยก ็เปนคนโง เขลาเบาปญ ญา สว นกรรมคอื การเขา หาศึกษาไตถ ามสมณพราหมณถึงส่งิ ตา งๆ ดังกลา วมานนั้ อํานวยผลใหไ ปสสู ุคติโลกสวรรค ครน้ั มาสคู วามเปนมนษุ ยก ็เปน คนมีปญญามาก. เมือ่ ไดร ูลักษณะกรรมแตละชนดิ ทใ่ี หผลตา งๆ กนั ตามสมควรแกก รรมนั้นๆ ดังนี้แลว เม่ือ เหน็ สตั วเกิด ตาย ไดดี ตกยาก ผวิ งาม ผิวทราม ดวยตาทพิ ยอ นั บรสิ ทุ ธิ์แลว ยอ มรูตามความเปน จริงวา สัตวเปน ไปตามกรรมของตนมนั่ คงในหลักทวี่ า สตั วทั้งหลายมกี รรมเปน ของตน เปน ผูรับ สนองผลกรรมทต่ี นทําไวก ําเนิดแตก รรม ผูกพนั ในกรรม พึง่ กรรมของตนเอง กรรมยอมจาํ แนกสัตว ใหเ ลวหรือประณตี ตามควรแกกรรมน้ันๆ ดังนี.้ ความรูเห็นเกย่ี วกบั สัตวถูกตองกับความเปน จรงิ น้ี แล ทานเรยี กวา จุตปู ปาตญาณ ญาณชนิดน้เี ปนตัววิปส สนา ท่ีรเู ห็นเหตปุ จจัยแหงชวี ะตามความ เปนจริง ท้งั มพี ยานในการเกิดตายในสงั สารวฏั อยา งดีดว ย ผูมญี าณชนิดน้ยี อมมั่นใจในการเวียน เกดิ เวียนตายวาเปน จริง และยอ มรแู นช ัดวา กรรมเปนตวั ปจ จัยใหส ตั วไ ดด ีตกยากในระหวา งเกดิ ตายในสงั สารวฏั น้ัน จึงสามารถถอนความเหน็ ผดิ ในเร่ืองสงั สารวัฏ และเรือ่ งอํานาจของสิง่ ท่ี บันดาลความสุขทกุ ขแ กสรรพสตั วไดเดด็ ขาด เมอ่ื วปิ สสนาญาณแกกลาสามารถเหน็ เหตุปจจยั ของ ชีวะถกู ตองได ความมั่นใจเชนน้ีช่อื วาขา มเหวแหง ความสงสยั เสยี ได วิปสสนาญาณกม็ ีแตจ ะ เจรญิ กาวหนา ย่งิ ขึน้ ไป วธิ ีเจริญวปิ ส สนาญาณจะไดก ลา วพสิ ดารในขอ วาดว ยอาสวกั ขยญาณ ขา งหนา วธิ กี ารเจรญิ จุตูปปาตญาณมนี ยั ดงั การเจรญิ ทิพพจักขุญาณท่กี ลา วมาแลว จึงเปน อัน หมดขอ ความท่ีจะพงึ กลาวในบทนเี้ พียงน้.ี ทิพยอํานาจ ๑๔๗

บทที่ ๑๒ วธิ สี รา งทพิ ยอาํ นาจ อาสวกั ขยญาณ รจู กั ทาํ อาสวะใหส น้ิ ไป ทพิ ยอาํ นาจขอ น้ี หมายถงึ ปรชี าญาณสงู สุด ซง่ึ สามารถรจู กั มลู เหตุของทุกขถูกถว น และ รูจักวธิ ีทําใหส้ินไปอยางเด็ดขาด เปน ความรูสามารถปลดปลอยจิตใหห ลุดพนจากอํานาจของกิเลส และกรรม บรรลถุ ึงภูมทิ ่มี ีอิสรภาพทางจิตใจเต็มที่ มเี อกราชโดยสมบูรณ ถึงความเปน ไทยอยาง เตม็ เปยม. ความรชู ้นั นจ้ี ัดเปนพระพุทธปรีชาสงู สุดในพระพทุ ธศาสนา ผจู ะกา วขนึ้ สภู ูมิพระพุทธปรชี า สูงสดุ นี้ไดตอ งไดผานการเจริญวิปสสนาญาณมาตามลาํ ดับข้นั อยา งละเอยี ดลออ ที่เรียกวา เจริญ ญาณทสั สนะ ฉะนัน้ จะแสดงวิธีเจริญวิปสสนาไวในเบอ้ื งตน แลวจึงจะแสดงวธิ เี จริญอาสวกั ขย- ญาณในเบ้อื งปลาย พอเปนแนวทางของผูปฏิบตั ิ. ผูจ ะปฏบิ ัตพิ ึงแกปญหาขนั้ ตน ใหต กเสยี กอ น มิฉะน้ันจะเกดิ ความลังเลสองจติ สองใจใน ขณะท่ีปฏิบัตริ ํ่าไป ปญหาขนั้ ตนน้ันคอื จะดําเนินชีวติ ไปตามทางทุกข หรือจาํ ดําเนนิ ชวี ติ ไปตาม ทางสขุ หรอื จะดําเนนิ ชวี ิตไปตามทางกลาง ซ่งึ เปน ทางสิ้นสุดของสุขและทกุ ขในอวสาน ขาพเจา จะช้ีลักษณะทางทงั้ ๓ นี้พอมองเหน็ เพ่อื สะดวกในการพิจารณาตัดสินใจ เมอื่ เรามองดูชีวิตอยา ง กวา งๆ และถวนถ่จี ะพบวา ทุกชีวิตลวนแตประสบสิ่งไมสมหวงั หรือสงิ่ ไมปรารถนา ไมวาชีวติ นนั้ จะอยใู นรปู ลกั ษณะดปี ระณีตเพยี งไรก็ตาม ความไมส มหวังก็คืบคลานเขามาสชู ีวิตร่าํ ไป ส่งิ น้ันคือ ความแก ความเจ็บ ความตาย ความโศกเศรา เห่ียวแหง ใจ ความพไิ รราํ พัน ลาํ บากกาย ความคับใจ แคนใจ ไมม ีชวี ิตใดปราศจากสง่ิ เหลา นไี้ ปไดสักชีวิตเดียว เมอื่ สบื สาวราวเรอื่ งดอู ยางละเอียดก็จะ เห็นไดว า ทกุ ขหรือสง่ิ ไมพงึ ปรารถนาเหลา นี้ ยอ มมมี าแตช าตคิ ือกาํ เนดิ กายขึ้นเปน ตัวตนนั่นเอง ถา ไมมีกําเนิดกายแลว สง่ิ เหลา นี้กไ็ มมีท่ีปรากฏ เมื่อสบื สวนตอ ไปวา ชาติมาจากอะไร? กจ็ ะทราบ วามาจากกรรมดงั กลา วไวใ นจตุ ูปปาตญาณนน่ั เอง สัตวจะเกดิ ขึ้นเปน รูปกายในกาํ เนิดใดๆ ยอม อาศยั กรรมเปน ผแู ตงท้ังสน้ิ กรรมดแี ตง กําเนิดดี กรรมเลวแตงกําเนิดเลว เมอ่ื สืบสวนตอไปอกี กจ็ ะ ทราบวา กรรมยอมกําเนดิ จากความรูส ึกแหงใจ ความรูส กึ แหง ใจนนั้ มี ๓ ประเภทคือ ๑. ความรสู ึกฝายกเิ ลส. ๒. ความรูสึกฝา ยคณุ ธรรม. ๓. ความรสู กึ กลางๆ. ความรสู ึกเหลา น้ีเกดิ จากความเรา ของอารมณ คอื เมื่ออารมณมาสัมผสั จะเกดิ ความรูสกึ และสะเทือนใจข้ึนเปน สุข ทกุ ข หรือเฉยๆ แลวเรา ใจใหเ กดิ กเิ ลสหรอื คุณธรรมข้นึ อกี ทีหนงึ่ เม่อื ดําเนินตามทางของกเิ ลสยอมกอกรรมเลวขน้ึ ใสตวั ไดร บั ทกุ ขเ ปนผลสืบเนอ่ื งไป เมอ่ื ดาํ เนินตาม ทางของคุณธรรมยอมกอกรรมดใี สตัว ไดสขุ เปนผลสืบเน่ืองไปในกําเนิดฝายดี ซ่งึ มที ุกขโ ดย ธรรมชาตเิ จอื ปน ไมพ นไปจากทกุ ขเ ด็ดขาดได เมื่อดําเนนิ ไปตามทางกลางคือทางแหงความรสู ึก เปนกลาง ยอ มไมก อกรรมใดๆ ใสตัว เปนทางสน้ิ สุดแหงสุขและทุกขใ นอวสาน ตรงจุดศนู ยกลาง ทิพยอํานาจ ๑๔๘

คอื ใจนัน่ แหละมีทางสามแยกอยแู ลว เราจะเดนิ ไปทางไหนก็จงรบี ตดั สนิ ใจแลวเดินไป ตง้ั ตนจาก จดุ ศนู ยกลางนน่ั เองเร่อื ยไป จติ ใจเปนจุดศูนยก ลางและเปนจุดตั้งตนของทางทกุ ข ทางสขุ และทาง นพิ พาน หรือจะวาเปน จดุ ตง้ั ตนของทางนรก ทางสวรรค และทางนพิ พานกไ็ ด ถาจะเปรยี บทาง ทุกขเ หมอื นทางซาย ทางสขุ เหมือนทางขวา และนพิ พานกเ็ ปนทางกลาง มอี ยูแลวทีจ่ ุดศูนยก ลาง คือจิตใจ พระบรมศาสดาทรงพบวา ทางกลางเปน ทางตรงไปสคู วามปราศจากทุกขเด็ดขาดในบน้ั ปลาย จงึ ทรงบัญญตั ขิ อ ปฏิบัตเิ พ่ือบรรลจุ ดุ หมายน้นั ขนึ้ เรยี กวา มชั ฌิมาปฏปิ ทา เมื่อรวมกาํ ลงั ใจ ดาํ เนินเปนกลางในทางสายกลางเร่อื ยไป กจ็ ะบรรลถุ ึงปลายทางคือสภาวะไมมที กุ ข ทเ่ี รียกวา พระ นพิ พาน ในอวสาน บรรดาทาง ๓ สายน้ี ทานจะเดินตามทางสายไหนจงรบี ตัดสินใจแตบัดนี้ ถา ทา นตัดสนิ ใจเดินตามทางสายทุกข ทานก็จะดงิ่ ไปสูนรก ขา พเจา ไมมีคําแนะนําใหไ ด ถา ทาน ตดั สนิ ใจเดนิ ตามทางสายสขุ ทานก็จะตรงไปสสู วรรค ขา พเจา ไดก ลาวแนะนําไวม ากแลว ถา ทาน จะตัดสนิ ใจไปตามทางสายกลาง ทานกจ็ ะตรงดงิ่ ไปสสู ภาวะไมม ที ุกขใ นเบือ้ งปลาย ขา พเจาพรอม ท่จี ะใหคาํ แนะนําตอ ไปนีท้ ีเดยี ว กอ นแตจะใหค าํ แนะนาํ ในวธิ เี ดินทางสายกลาง ขา พเจา จะวาด ภาพพระนพิ พานอันเปนภูมิทีส่ ดุ ทุกข และจะวาดภาพทางสายกลางอันเปน ทางดําเนินไปสพู ระ นพิ พานนัน้ พอใหนกึ เห็นภาพไวบ าง ดงั ตอไปน้ี ณ ทสี่ ุดแหง ทางสายกลางน้นั บริบูรณไ ปดว ยสภาวะสมปรารถนาทกุ ประการ เมอ่ื ประมวล แลว เปน ดงั น้ี คอื (๑) เอกภาพไพศาล ไดแ กม ีความเปนเอกราชสทิ ธ์ขิ าดในการประกอบกรณียะทุกประการ ไมมีอาํ นาจอน่ื ใดเขา มาสอดกา วกายได (๒) เสรีภาพสมบรู ณ ไดแ กมสี ทิ ธอิ์ ํานาจในการดาํ รงอยูตามใจประสงคข องตนอยา งเต็มที่ ไมม กี ฎหมายหรืออาํ นาจใดจํากดั สิทธ์ิไดแมแตประการใด. (๓) อสิ รภาพเตม็ เปยม ไดแกม คี วามเปนตนของตนเตม็ ที่ พน จากอาํ นาจของกเิ ลสและ กรรมเด็ดขาด กิเลสและกรรมไมม อี าํ นาจบังคบั บัญชาไดอ กี ตอ ไป. (๔) สมภาพไพบลู ไดแ กม ีความเสมอภาคเทาเทียมกันในความเปนแกว (=รตั นภาวะ) ไมมี ความเหล่อื มล้ําต่ําสงู ในลักษณะทเ่ี รียกวา ขา จาว บา ว นาย แมแตป ระการใด. (๕) เอกภี าพไพบูล ไดแ กความเปน อันหนึง่ อันเดยี วกนั จรงิ ๆ ไมมคี วามแตกตา งระหวาง แกว ดวยกัน ไมมีความรูสกึ แกงแยง แขง ดีใคร ไมมีการเอารดั เอาเปรียบใคร ไมม คี วามรูสกึ รษิ ยาใคร มีน้ําใจพรอ มทีจ่ ะอภยั และใหโอกาสแกผ อู ่ืนเต็มที่ ไมข ัดขวางใคร ในกรณยี ใ ดๆ มคี วามรักอยา ง เปน ธรรมในสรรพสตั ว มีความเปน สภุ าพชนเต็มที่ พรอมท่จี ะชวยเหลือผตู กทุกขไ ดยากทกุ เม่อื และมใี จเทยี่ งธรรม ไมน าํ ความลาํ บากเดอื ดรอนมาสตู นและคนอ่ืนสัตวอ ่นื โดยประการใดๆ. (๖) สนั ตภิ าพถาวร ไดแ กม ีความสงบราบคาบ ไมมเี หตุทําใหเ กดิ การปนปวน ไมมีความ โกลาหลวนุ วายประการใด เพราะเปนสันตบคุ คล ผบู ริบูรณด วยความเกลยี ดกลัวบาป มีความ ประพฤติทางกายวาจาใจขาวสะอาด มีความเปน คนดีพรอมทุกประการ และมัน่ อยูในสนั ติธรรมทกุ เมื่อ ถึงความเปนเทพเจา ผบู ริสุทธ์แิ ลว. ทิพยอาํ นาจ ๑๔๙

(๗) เอกันตบรมสขุ ไดแกมีความบรมสุขสว นเดียว ปราศจากสภาวะที่เรียกวา เกดิ แก เจ็บ ตาย ทุกขกายคบั แคนใจ และร่าํ ไรรําพันเพอโดยประการทัง้ ปวง มีแตสภาวะตรงกันขามกับ ทุกขดงั กลาวน้นั มีความอิ่มเต็มส้ินหิวกระหายแลว มคี วามสมปรารถนาทุกประการแลว สภาวะ ดงั กลา วมาโดยสงั เขปน้ี มใี นท่ีใด ที่นน้ั แหละเรียกวา พระนิพพาน เปนจดุ หมายสงู สดุ ตามหลักทาง พระพทุ ธศาสนา. สวนปฏปิ ทาเพอ่ื บรรลุถึงจดุ หมายสงู สุดน้นั เรยี กวามัชฌิมาปฏิปทา เม่ือจะวาดภาพพอให มองเห็นเปนแนวทาง ก็จะเปน ดงั นี้ คอื (๑) เปนทางสวางไสว ไมม ืดมวั ไมค ดคอ ม เปนทางตรงลวิ่ แลสดุ สายตา. (๒) เปนทางปลอดโปรง ปราศจากเสยี้ นหนามหลักตอ. (๓) เปนทางสะอาด ปราศจากสิง่ สกปรกโสมม. (๔) เปน ทางราบเรียงเดินสบาย. (๕) เปน ทางลาดสงู ขน้ึ ไปโดยลาํ ดบั . (๖) เปนทางรมร่ืนปลอดภยั จากแดดฝนและสตั วราย. (๗) เปนทางทีม่ อี ากาศสดชื่นมดี อกไมนานาพันธสุ งกลิน่ ตลบอบอวล มผี ลไมโ อชารสนานา ชนิด มีสุธาโภชนะรสเลศิ ตา งๆ พอไดก ล่ินกห็ ายหิวทนั ที มีประกายแสงสวา งรุงเรืองสดใส ทาํ ให รสู ึกเบกิ บานใจยง่ิ ขึน้ ในเมอ่ื จวนถงึ ทส่ี ดุ ทาง มัชฌมิ าปฏปิ ทามีลักษณะดงั ภาพท่วี าดขน้ึ นี้ เปนทาง ท่นี าดาํ เนินทส่ี ุด และจะไมเ ปนทางดว นซง่ึ ทําใหผ ูดําเนนิ ผิดหวงั แตประการใด เม่อื ไดท ราบ ลกั ษณะสภาพของพระนพิ พานและทางกลางพอสมควรเชนน้แี ลว สมควรท่จี ะเตรียมพรอมเพ่อื ดําเนนิ ตอ ไป. ความลงั เลใจมกั จะเกิดข้ึนแกผ ูจะไปสทู ิศทีไ่ มเคยไป วาจดุ หมายท่มี ุงจะไปใหถ งึ น้ันมีแน หรือ? ฉันใด บุคคลผูจะไปสพู ระนิพพานก็มกั จะลังเลใจฉันนนั้ เหมอื นกนั เพอ่ื ชว ยใหผูจะไปเกิด ความม่ันใจ แนใจวา พระนพิ พานมีจรงิ จึงวางหลักอนมุ านและอปุ มาไวพอเปนหลกั คิดดงั ตอ ไปน.้ี หลกั อนมุ าน คอื ทกุ สิ่งยอ มมีสภาวะตรงกันขามเสมอ เชน มีนอกยอ มมใี น มหี นา ยอมมี หลงั มีซา ยยอมมีขวา มีเย็นยอ มมีรอ น มมี ดื ยอมมีสวา ง มไี มแ นยอมมีแน มที กุ ขยอมมีปราศจาก ทกุ ข มอี นัตตาคือความไมเปนตนของตน ยอ มมีอัตตาคือความเปนตนของตน มีความไมส ม ปรารถนา ยอมมีความสมปรารถนา มีสขุ ไมส มบรู ณ ยอ มมีสขุ สมบูรณ มีกิเลสยอมมีปราศจาก กเิ ลส ฯลฯ เปนสภาพท่ีตรงกันขา มเสมอไป พระบรมศาสดาไดทรงใชหลักอนุมานนี้ ทาํ ความแน พระหฤทัยในการเสาะแสวงหาพระนพิ พานมาแลว เปน หลกั ท่ีไมนาํ ไปสูค วามผิดหวัง แมความเห็น ของผกู า วขึ้นสทู างกลางจริงจังข้ันแรก คอื พระโสดาบนั ก็ตรงกบั หลักอนมุ านน้ี คือเหน็ วา ทุกสงิ่ มี เกิดตองมีดับ ไมมหี นทางใดจะฝา ฝนกฎธรรมดานี้ได และในนัยตรงกันขา มทานก็เห็นชัดอีกวา ทุก สิ่งเม่อื ไมม เี กดิ ก็ตอ งไมม ีดบั ไมม หี นทางใดจะไปบังคบั ใหเ ปล่ียนแปลงกฎความจรงิ อันนี้ได เชนเดยี วกนั ผูเหน็ แจงชดั เชน นีย้ อมมน่ั ใจวา พระนพิ พานคือภมู ิพนทกุ ขเดด็ ขาด ไมม เี กิดดับน้ันมี แนน อน จึงเกิดอตุ สาหะยง่ิ ขึน้ เดินตามทางสายกลางนน้ั ไปโดยไมยอมถอยหลงั เลยแมแ ตกา วเดียว ทิพยอํานาจ ๑๕๐


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook