Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คลายปม ๑

คลายปม ๑

Description: คลายปม ๑

Search

Read the Text Version

ปดิ บงั ไมใ่ หใ้ ครทราบได้ แตใ่ นชว่ งสดุ ทา้ ยของชวี ติ อะไรๆ ทม่ี นั อยู่ขา้ งใน มนั จะออกมา มันจะเกบ็ ไมอ่ ยู่ ถา้ เรามีอะไรท่ีรนุ แรง ทไี่ มด่ ี หรอื อาจจะเป็นส่งิ ทไ่ี ม่เลว ร้ายมาก แต่เรารู้สึกว่าไมด่ ีดว้ ยความคดิ ผิดหรือความหลงผิด อาจจะเป็นเหตุท่ีทำ�ให้จิตสุดท้ายเป็นจิตอกุศล  ซ่ึงจะนำ�ไปสู่ ภพภมู ิทไ่ี ม่นา่ อยใู่ นระดับใดระดับหนึ่ง เราจะต้องอยใู่ นภพภมู ิ นั้นนานเท่าใดข้ึนอยู่กับบุญบาปท่ีเราเคยทำ�ไว้เป็นประจำ�  ใน กรณขี องคนดีมีคุณธรรม  คนท่ีมุ่งม่นั ในทาน ในศีล ในภาวนา ตลอดชวี ิตกจ็ ะอยใู่ นภพภูมิน้นั ไม่นาน ผลบญุ ทเ่ี คยท�ำ ไว้จะน�ำ ไปสภู่ พภูมิท่ดี ที ่ีน่าอยูต่ อ่ ไป การภาวนาของเรา  ส่วนหน่ึงเป็นการชำ�ระจิตใต้สำ�นึก เราใช้การภาวนาค่อยๆ ชำ�ระสิ่งที่เราเคยเก็บกดไว้  ค่อยๆ ปล่อยวางความยึดม่ันถือมั่นในอตั ตาตวั ตน ความยดึ มน่ั ถอื มน่ั ในสญั ญาเกา่ ๆ ใหน้ อ้ ยลงๆ จงึ มสี ว่ นในการเตรยี มจติ ให้เผชญิ หน้ากับความตายอย่างนักปราชญ์หรือผู้ที่ไม่ต้องกลัวสิ่งใดเลย นเี่ ป็นงานท่ีเราต้องท�ำ สำ�หรับผู้ท่ีมีหน้าท่ีดูแลคนไข้ผู้อยู่ในวาระสุดท้ายของ ชีวิต  ส่ิงสำ�คัญคือการพยายามน้อมจิตของผู้ใกล้ตายน้ัน ให้คิดแต่เรื่องดีๆ  เท่าที่จะทำ�ได ้ ใหร้ ะลกึ อยู่ในคุณงาม ความดีทเี่ คยท�ำ ไว้ และถา้ เขายังมอี ะไรอยู่ในใจ ยังโกรธ คนน้ันเกลียดคนนี้  เราต้องพยายามชักชวนให้เขารีบให้ อภยั ควรจะเปน็ เวลาสะสางเรื่องตา่ ง ๆ ที่ยงั ค้างอยู่ในใจ ชยสาโร ภิกขุ 95

ให้มนั หมดไป เราเน้นในเรอ่ื งการให้อโหสิกรรม ถ้าเรารู้ วา่ คุณพ่อ คณุ แม่ หรือผู้ใหญห่ รอื ใครกต็ าม ยังไม่พอใจ ลกู คนน้ัน หลานคนนี้ ญาติคนนนั้ เพอื่ นคนนี้ ถา้ เป็นได้ก็ อยากให้ชกั ชวนท่านใหป้ ล่อยวาง ใหท้ า่ นได้ให้อภัย เพราะถา้ ยังมอี ะไรๆ อยู่ มนั ก็จะต้องมีผล อาจจะเป็น ผลในชว่ งสุดทา้ ยของชวี ิตก็ได้ หากยังมีอารมณ์รุนแรงอยู่ ถา้ เราช่วยให้คนไข้ได้ปล่อยวางกอ่ นตาย ได้ปล่อยวางความโกรธ ความโมโหความเคียดแค้น  ถือเป็นการตอบแทนบุญคุณท่ี ส�ำ คัญมาก ๓๙ถาม : ผู้ทม่ี ีครอบครวั และลูกท่ีโตแลว้ เมื่อได้มโี อกาส มาปฏิบัติธรรมเอง  ได้รับความสุขความสงบถือว่าเป็นการ ละเลยหน้าท่ีประจำ�ที่ทำ�ทางบ้าน  อาจจะทำ�ให้สามีและลูกๆ เดอื ดรอ้ นบ้าง พระอาจารยม์ ีความคดิ เหน็ อย่างไร ตอบ : เราเองก็ต้องรู้จักหน้าที่ของตนว่าการปลีกตัว จะมีผลกระทบต่อครอบครัวหรือไม่  หากว่าทางบ้านห้ามหรือ ขอร้องไม่ให้ไป  เราดื้อไม่ยอม  เราไปปฏิบัติ  จิตใจก็ไม่ค่อย สงบอยแู่ ล้ว เพราะมนั รูส้ กึ รีบๆ ยังไม่ไดจ้ ัดการเรอ่ื งต่างๆ ให้ เรยี บร้อย ฉะน้นั เราต้องท�ำ ให้ทางบ้านเข้าใจ เราตอ้ งมีเหตมุ ีผล อธิบายอานิสงส์ของการปฏิบัติท่ีเกิดขึ้นว่า  มันไม่ใช่เรื่องส่วน ตัว มันมผี ลดตี ่อชีวิตครอบครวั เราด้วย ทำ�ใหเ้ ราเปน็ ลูกทีด่ ีข้ึน เปน็ สามภี รรยาท่ีดีขึ้น เปน็ พ่อเป็นแม่ท่ดี ขี นึ้ อยา่ งไร 96 คลายปม

มีข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่ง  เวลาใครจะไปเที่ยวไป ต่างประเทศไปซ้ือของ  หรือไปเท่ียวชายทะเลหรือไปเล่นการ พนนั ทางบา้ นไม่เห็นจะว่าอะไรเลย กไ็ ปเถอะ ไปหาความสขุ ยนิ ดีด้วย แต่พอจะมาปฏบิ ตั ธิ รรม กลายเปน็ การละเลยหนา้ ที่ อาตมาก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน  เราต้องบอกว่าทุกคนมีสิทธิ์ที่ จะหาความสุขใส่ตัวเองบ้าง  มันไม่ใช่เรื่องท่ีจะต้องรู้สึกผิด เราทำ�หน้าที่ของเราก็สมควร  บางคนถือว่าการไปซ้ือของไป เที่ยวหรือการทำ�อะไรต่ออะไรเป็นการหาความสุข  เราก็ไม่ ว่าอะไร  บางทีเราก็ชอบเหมือนกัน  แต่เราถือว่าการปฏิบัติ ธรรมเป็นทางไปสู่ความสุขที่สูงกว่า  เราก็ควรจะมีเวลาเข้า รว่ มปฏบิ ตั ธิ รรม เช่น ปฏิบตั ธิ รรมที่ ‘บา้ นพอ’ ปลี ะครง้ั ก็ไม่น่า จะเป็นการละเลยหน้าท่ีของตนเท่าไหร่นะ  ที่สำ�คัญคือการ ทำ�ให้คนรอบข้างไม่ว่าจะเป็นคุณพ่อ  คุณแม่  สามีหรือลูก ให้เข้าใจเรา ไมใ่ ชว่ า่ เราจะตอ้ งไปชกั ชวนใหเ้ ขามา  ไมต่ อ้ งไป เทศน์ให้เขาฟัง  ให้เขารำ�คาญ  แต่ทำ�อย่างไรจะให้เขาเข้าใจ เราว่าทำ�ไมเราจึงชอบและมาทางนี้  รู้สึกว่าเราได้อะไรบ้าง  เขาอยากหาความสุขของเขา  เราก็ไม่ว่า  แต่เราก็ควรจะมี โอกาสหาความสขุ ของเราบา้ ง ชยสาโร ภกิ ขุ 97

๔๐ถาม : มารดาอยากให้ลูกศิษย์แต่งงานมีครอบครัว บอกว่าเป็นผู้หญิงอยู่เป็นโสดคนเดียวไม่มีลูกหลาน  แก่ตัวไป จะลำ�บาก ไมม่ ลี ูกหลานคอยดแู ล พยายามแนะนำ�คนดๆี ให้ หากแตง่ งานกบั คนดีๆ คุณแม่จะไดห้ มดห่วง แตพ่ ระพุทธเจ้า บอกว่าใหป้ ระพฤติพรหมจรรยอ์ อกจากกาม ปฏบิ ัตธิ รรมให้ได้ มรรคผลนิพพาน ควรจะปฏิบตั ิอยา่ งไรดี ตอบ : เรื่องการประพฤติพรหมจรรย์เป็นเร่ืองยาก เหมือนกัน  น้อยคนท่ีจะมีบารมีตลอดรอดฝั่ง  อยู่ที่ว่าผู้ถาม มั่นใจในศรัทธาของตน  ม่ันใจในบารมี  หรือมั่นใจว่าตัวเอง สามารถเป็นท่ีพ่ึงของตนตลอดไป  เพราะว่าธรรมชาติผู้หญิง แพ้ผู้ชาย ตรงทว่ี า่ ผชู้ ายอายุ ๕๐-๖๐ ปี อยากมีลูกก็มีได้ แต่ผู้หญิงพออายุ ๔๐ ขึ้นไป ก็ไมม่ โี อกาสแล้ว ถามว่าการแต่งงานจะเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติธรรม ไหม ขอบอกว่าไม่ ไม่เสมอไป เพราะเรามตี วั อย่างตง้ั แต่สมยั พทุ ธกาล เรม่ิ ดว้ ยนางวิสาขาทม่ี ีครอบครวั สามารถบรรลธุ รรม แล้วยังทำ�หน้าที่ท้ังทางโลกทางธรรมได้ดี  แม้มันจะยากกว่า สำ�หรบั ผจู้ ะแตง่ งานก็ควรจะหาคทู่ มี่ ที ฐิ เิ สมอกัน มศี ลี เสมอกนั การแต่งงานไม่ใช่ว่าจะผิดเสมอไป  แต่เรื่องคนดีๆ  มันก็แล้ว แต่วา่ ใครเป็นคนวัด และเอาอะไรมาวดั วา่ ใครเปน็ คนดี จะเอา แค่วา่ มาจากครอบครัวท่ดี ี  หรือเคยบวชเรียน หรอื อะไรมันก็ ไมแ่ นน่ อนเสมอไป ต้องดนู านๆ จึงจะรู้ อยู่ท่ีว่าศีลเปน็ อย่างไร ม่นั คงในศลี ไหม 98 คลายปม

อาตมาว่าหลักในการพิจารณาง่ายๆ  ถ้าเขาไม่ รกั ษาศลี หา้ อย่าแต่งดว้ ยดกี วา่ ไมเ่ อา ใช้ไม่ได้ แบบน้ี กต็ ัดออกไปสัก ๙๐ เปอรเ์ ซน็ ตแ์ ลว้ จะใหด้ ีกว่าน้กี ็ตอ้ ง เป็นคนชอบปฏิบัติธรรม  ถ้าได้คนที่เป็นกัลยาณมิตร  เป็นเพื่อนให้กำ�ลังใจในการปฏิบัติ  มันก็ดีเหมือนกัน  ถ้าแต่งงานแล้วเป็นกัลยาณมิตรกัน  ช่วยกันในการปฏิบัติ ธรรม  ให้กำ�ลังใจซ่ึงกันและกัน  ถ้าเป็นอย่างนี้ได้  มันก็ ไม่เปน็ อปุ สรรค ตรงกนั ข้าม อาจจะช่วยก็ได้ เร่ืองนี้ควรต้องใช้เวลาดูนานๆ  ถ้ารู้สึกว่าเรามีจิตใจท่ี มงุ่ ม่ันในธรรม เรามีความยินดีในชีวติ พรหมจรรย์ เราต้องการ ปฏิบัติธรรมอย่างเต็มที่  ไม่ต้องการจะยุ่งกับเรื่องครอบครัว ก็เป็นส่ิงที่น่าอนุโมทนา  แต่ก่อนที่จะตัดสินใจต้องใช้เวลา นานๆ หน่อย  ไปอยู่ท่ีวัดนานๆ ไปอยู่ในหมู่ผู้ปฏิบัติด้วยกัน จะได้วัดดูจิตใจของตนว่าพร้อมไหม  ถ้าพร้อมเราก็สละไป หรือจะถือศีลแปดก็แล้วแต่  แต่ใจเย็นๆ ค่อยๆ ดู  ดูตัวเอง ดูหลายๆ อย่าง อาตมาว่าปัจจุบันไม่เหมือนสมัยก่อน  สมัยก่อนผู้หญิง ไม่มสี ามอี ยลู่ ำ�บาก สังคมไม่คอ่ ยจะเหน็ ดว้ ย การเลยี้ งชีวิตก็ ล�ำ บาก แตท่ กุ วนั นผ้ี หู้ ญงิ ท�ำ งานเล้ยี งตวั เองได้ ไม่ต้องพ่งึ สามี เหมือนสมัยก่อน  ถ้ามองในแง่ปฏิบัติธรรม  ผู้ที่ต้องการถือศีล แปด อยู่เปน็ ฆราวาส ท�ำ งานด้วย ปฏบิ ัติธรรมดว้ ย กม็ ีโอกาส มากกว่าคนในสมัยก่อน ทกุ วนั น้สี ังคมมนั เส่อื มหลายดา้ น แต่ ชยสาโร ภกิ ขุ 99

ในขณะเดียวกันในบางแง่บางมุมก็เปดิ โอกาสใหมๆ่ ที่ดขี ึน้ มี โอกาสท่ีจะเลือกวิถีชีวิตของตัวเองมากกว่าแต่ก่อน  สมัยก่อน มันจะข้ึนอยู่กับว่าคุณพ่อคุณแม่ให้ทำ�อะไร  เราก็ทำ�ตาม คณุ พ่อคณุ แม่ ทางเลอื กมีน้อย ความกดดนั จากสังคมมีมาก ทุกวันน้ีค่อนข้างจะหลวมๆ  เรามีโอกาสท่ีจะเลือกทาง สำ�หรับตัวเองได้ ถา้ ผู้หญงิ ตอ้ งการจะอยเู่ ป็นโสด ทำ�งานหา เล้ียงตวั อาตมาวา่ ไม่เป็นไร การจะเปน็ ห่วงเร่ืองอนาคตวา่ ไมม่ ี ลกู หลานดูแล อาตมาว่าเราเชอ่ื บารมขี องตวั เองดกี ว่า ส�ำ หรับ ผูป้ ฏิบตั ธิ รรม พระพทุ ธองคต์ รัสไวว้ า่ ธรรมย่อมรกั ษาผู้ปฏบิ ัติ ธรรม อาตมาเชอ่ื ในเรือ่ งนี้มาก ถ้าเราปฏบิ ตั ธิ รรมตลอดก็จะมี คุณธรรมและจะมญี าตธิ รรมทจ่ี ะดูแลแนน่ อน บางคนแต่งงาน มีลูกมีหลาน  ก็ใช่ว่าลูกหลานจะดูแล  บางทีเขาไปอยู่ต่าง ประเทศ บางทเี ขาไมส่ นใจ เรากร็ ับรองไมไ่ ด้ แตถ่ ้าเราปฏบิ ตั ิ ธรรม และคบนกั ปฏบิ ตั ดิ ว้ ยกนั อาตมาวา่ หมู่นกั ปฏบิ ัตธิ รรมก็ ชว่ ยซึ่งกนั และกนั ได้ดี  เพราะเราเปน็ ผู้มเี มตตาตอ่ กัน เรากด็ ู ตวั อย่างในหมู่เรา ถา้ ใครปว่ ยไขไ้ ม่สบาย ทุกคนก็ไปเย่ยี มไป เยียน ไปช่วยเหลอื นี่เป็นธรรมชาตขิ องคนใจดี มนี า้ํ ใจ 100 คลายปม

๔๑ถาม : มาปฏิบัติธรรมแล้วทำ�ให้ลูกเล็กทุกข์ใจไม่ อยากให้มา แบบน้ีเป็นบาปหรอื ไม่ แตล่ กู อยูบ่ ้านอา มเี พื่อน และอาดแู ลอยา่ งดี ตอบ : อาตมาว่าเราอยใู่ นหม่คู ณะ เรามคี รอบครัว ก็ ต้องมีบ่อยคร้ังว่าการกระทำ�ของเราบางอย่างจะไม่เป็นท่ีถูกใจ ของคนทุกคน จะตอ้ งมบี างคนไม่เห็นชอบ ไม่เห็นดว้ ย บางคน อา้ งว่าเป็นทกุ ข์ด้วย เรากต็ ้องดวู า่ สง่ิ ท่ีเรากำ�ลังจะทำ� หรือวา่ สถานที่ที่เราก�ำ ลังจะไป มนั จะเกิดประโยชน์ตอ่ ชีวติ เราอยา่ งไร หรือไม่  ถ้าเราถือว่าการปฏิบัติธรรมเป็นส่วนหน่ึงท่ีทำ�ให้เรา เข้าใจหลกั พทุ ธศาสนาได้ดขี ้ึน ท�ำ ใหเ้ ราเขา้ ใจตวั เองได้ดีขึ้น มี อุบายในการบริหารจิตใจให้ชนะสิ่งที่ไม่ดีในจิตใจ  ก็เห็นว่าใน ระยะยาวนา่ จะมผี ลดีตอ่ ชีวติ ครอบครัวเรา ถ้าเราเข้าใจในหลักพุทธศาสนาถูกต้อง  เราก็ทำ�หน้าที่ เป็นผู้ปกครองที่ดีได้  เพราะเราถือว่าเราเป็นชาวพุทธซึ่งมีหน้า ที่ต้องถ่ายทอดความรู้ความเข้าใจในหลักพระพุทธศาสนาให้ แก่ลกู หลาน ถ้าเราไมไ่ ดเ้ คยศกึ ษาอยา่ งจรงิ จงั เราก็สอนลูก แบบ ผวิ ๆ เผนิ ๆ ถกู ๆ ผดิ ๆ และบกพรอ่ งในหนา้ ทต่ี อ่ ลกู ถา้ เรา ไดห้ ลักในการเจรญิ สติในชวี ติ ประจ�ำ วนั เราท�ำ สมาธภิ าวนาได้ ตอ่ ไปเราก็สามารถสอนลูกเราไดด้ ว้ ย กย็ ง่ิ ไดบ้ ุญใหญ่ เม่ือเรามีสติ  เราก็มีหลักในการบริหารอารมณ์ได้  มี ความเยือกเย็นจิตใจเราก็ผ่องใสขึ้น  เมื่อกลับไปทำ�หน้าท่ีต่อ ชยสาโร ภิกขุ 101

ครอบครัว  ทำ�หน้าท่ีเป็นภรรยา  เป็นแม่เป็นพี่เป็นน้องเป็น อะไรๆ ก็นา่ จะท�ำ ได้ดีขน้ึ เพราะฉะนนั้ เม่อื จะท้งิ ลูกไปปฏบิ ตั ิ ธรรม และลูกอยู่ในวยั ทยี่ ังไมค่ ่อยเข้าใจ เรากพ็ ยายามคยุ กับ ลกู วา่ แมม่ ีเหตุผลอย่างไรทจี่ ะไปสัก ๒-๓ วัน และหวังวา่ จะมี ผลอยา่ งไร พยายามพดู ให้ลูกเขา้ ใจและยอมรบั ท่ีจริงไม่ใช่ว่าลูกทุกข์เพราะพ่อหรือแม่ไม่อยู่  เขาทุกข์ เพราะกลัวถูกทอดทิ้ง  นี่เป็นความกลัวในจิตใจของเด็กทุกคน กลัวจะถกู ทอดทิ้ง สำ�หรับเราก็รูว้ า่ ไปแค่ ๒-๓ วัน มันเปน็ ระยะ เวลาทม่ี คี วามหมายชดั เจนส�ำ หรับเรา แตเ่ ด็กไม่เขา้ ใจ ความ หมายของเวลา ๒-๓ วนั ของเดก็ ไม่เหมอื นของผูใ้ หญ่ อยา่ ไป ด่วนสรุปว่าเขาเข้าใจเรื่องเวลาเหมือนที่เราเข้าใจ  ต้องพูดคุย กับลกู ให้เข้าใจ มีนิสัยไม่ดีอย่างหน่ึงไม่ว่าของเด็กหรือของผู้ใหญ่ท่ี จะใชไ้ ดผ้ ลกบั คนที่มนี ิสัยดี ภาษาอังกฤษเรยี กวา่ emotional blackmail หมายถึงวา่ ถ้าเราตอ้ งการบงั คับคนดใี หท้ ำ�ตามใจ เรา กต็ อ้ งพยายามทำ�ใหเ้ ขารสู้ กึ ผิด ท�ำ ให้เขารสู้ ึกว่าเขาเหน็ แก่ ตวั ทำ�ใหเ้ ขารู้สกึ ว่าเขาทำ�ใหเ้ ราเป็นทกุ ข์ เพราะฉะน้นั เราต้องรู้ เทา่ ทัน บางคร้งั ก็ตอ้ งท�ำ ใจแขง็ เหมือนกัน 102 คลายปม

๔๒ถาม : มีวิธีใดจะจูงใจผู้ท่ีเป็นคนดีอยู่แล้วแต่ไม่สนใจ การปฏบิ ัตสิ มาธิ ตอบ : วิธีที่ดีที่สุดก็คือ  เราต้องทำ�เป็นตัวอย่างให้เขา เห็นเป็นประจำ�  ให้เห็นความเปล่ียนแปลงในทางที่ดี  ถ้าเขา เห็นว่าเราทำ�แล้วเรามีความสุข  น่นั จะเป็นการเผยแผ่ท่ดี ีท่สี ุด ถ้าเขาสนใจพอท่จี ะฟังเทปบ้าง  บางทีเวลาน่งั รถก็ขออนุญาต เขาเปดิ เทปธรรมะ เขาจะรงั เกยี จไหม หรอื วา่ พาไปหาพระเปน็ คร้งั คราวกแ็ ลว้ แต่ คอ่ ยเปน็ ค่อยไป ส่วนมากถา้ ใครรูส้ กึ ว่าถูก บังคับถูกกดดัน  ก็จะรู้สึกต่อต้าน  อย่าให้มันเป็นลักษณะน้ัน เพยี งแตว่ ่าถา้ เรารู้สกึ ว่าเราเจอส่ิงทีด่ ี เรากม็ เี มตตาอยากจะให้ เขาไดบ้ า้ ง แตเ่ ขาจะรบั หรอื ไมร่ บั กเ็ ปน็ สทิ ธข์ิ องเขา แตท่ ด่ี ที ส่ี ดุ ถ้าเราท�ำ แล้ว เขาเห็นชัดเลยวา่ เรามคี วามสุข เรามีความสงบ มากขนึ้ ใจเยน็ อดทน และเรากย็ งั มีเหตผุ ลสามารถอธิบายว่า การท�ำ สมาธคิ อื อะไร มจี ดุ ประสงคอ์ ยา่ งไร ชว่ ยผปู้ ฏบิ ตั ไิ ดอ้ ยา่ งไร ๔๓ถาม : มีญาติและเพ่ือนฝูงมีนิสัยดี  จิตใจดี  แต่ไม่ สนใจปฏิบัติธรรม  ควรจะใช้วิธีใดในการโน้มน้าวให้เห็นข้อดี และเกิดฉนั ทะอยากปฏบิ ัติ ตอบ : เร่ืองนี้มันยาก  ยิ่งถ้าเป็นคนท่ีรู้สึกว่าตัวเอง ดแี ลว้ ในระดบั หนง่ึ ชวี ติ คอ่ นขา้ งราบรน่ื หลายๆ คนชวน เขาก็ ยงั ไม่สนใจ เหมือนคนได้ขน้ึ สวรรค์แลว้ ไมอ่ ยากปฏิบตั ิ บางที ต้องยอมรอคอยจนกว่าชีวิตเขาเปล่ียนไป  ให้เกิดความทุกข์ ชยสาโร ภิกขุ 103

เสียก่อนเขาจึงจะพร้อม  แต่ในระหว่างนี้อย่างน้อยเราก็เป็น ตัวอย่างที่ดีให้เขาเห็นความสงบของเรา  ความเมตตากรุณา ความอดทน ความรอบคอบ ความมีปัญญาของเรา ใหเ้ ปน็ ที่ ประทับใจ นั่นก็คงเปน็ วธิ โี นม้ นา้ วคนอื่นทด่ี ที ่ีสดุ ถ้าเขาคดิ ว่าเขาดแี ลว้ เขาไม่สนใจปฏิบัติ กต็ อ้ งเริม่ ต้น จากความรู้สึกว่ายังมีอะไรสักอย่างท่ียังขาดอยู่ไหม  เราบอก ว่าการปฏิบัติธรรมจะเป็นทางนำ�ไปสู่ความสุขท่ีดีกว่าสูงกว่า ความสขุ ทไ่ี มข่ น้ึ อยกู่ บั สง่ิ รอบตวั ไมข่ น้ึ อยกู่ บั คนอน่ื เปน็ ความ สขุ ทย่ี ง่ั ยนื การปฏบิ ตั ธิ รรมเปน็ การพฒั นาจติ ใจใหส้ งู ขน้ึ เราตอ้ ง ดนู สิ ยั ใจคอเขาดว้ ย ดวู า่ เขาสนใจสง่ิ ใด แลว้ วางค�ำ พดู ใหเ้ หมาะ สมกบั ผฟู้ งั ใหเ้ ขา้ ใจวา่ เราไดร้ จู้ กั สง่ิ ทด่ี ๆี งามๆ จากการปฏบิ ตั ิ และดว้ ยความรกั ความหวงั ดขี องเพอ่ื นของญาติ เรากอ็ ยากแบง่ ปนั เลา่ ใหเ้ ขาฟงั แตส่ ดุ ทา้ ยเขาจะสนใจไมส่ นใจ กเ็ ปน็ สทิ ธข์ิ อง เขา แตเ่ รากพ็ รอ้ มจะชว่ ยพรอ้ มจะแนะน�ำ เมอ่ื เขาพรอ้ ม ๔๔ถาม : คนดีวดั ได้อยา่ งไร ใครคอื คนดี ตอบ : คำ�ว่าดีเป็นคำ�สามัญมากแต่ก็เป็นคำ�ลึกซ้ึง เพราะเป็นค�ำ ที่เราใช้ในหลายกรณี อย่างเชน่ เปน็ ลกู ท่ดี ี เปน็ พ่อทด่ี ี เป็นนกั เศรษฐศาสตร์ที่ดี เปน็ คนปล้นธนาคารที่ดี หรือ เปน็ คอมมวิ นิสตท์ ี่ดี เลยไมร่ ู้ว่าค�ำ วา่ ดีคืออะไรกนั แน่ เราคิดว่า คนนน้ั ดีนะ แต่เขาดีอย่างไรไม่รู้ รแู้ ต่วา่ เราชอบเขา คนน้นั ไมด่ ี นะ เราไม่ชอบ เลยวา่ เขาไม่ดี ถา้ เราชอบก็วา่ ดี ถ้าเราไม่ชอบ 104 คลายปม

กว็ ่าไมด่ ี แตถ่ า้ เราตอ้ งการค�ำ จำ�กดั ความที่เปน็ สากล เราต้อง กำ�หนดสิ่งสงู สุดหรอื เปา้ หมายสูงสดุ เมอ่ื เราต้งั เป้าหมาย แล้ว สง่ิ ใดที่จะเออื้ ต่อการเข้าถงึ เป้าหมายนั้นเรยี กวา่ ดี ในกรณีนั้น ส่ิงท่ีเป็นอุปสรรคและทำ�ให้เราห่างออกจากเป้าหมายน้ันก็ถือ เปน็ สิง่ ไมด่ ี ถ้าเราต้องการเป็นผู้ปกครองที่ดี เป็นพ่อที่ดี เป็นแม่ ที่ดี ก็ต้องมาตกลงกนั กอ่ นวา่ อะไรเป็นคณุ ธรรมหรอื เปน็ พ่อเปน็ แม่ในอดุ มการณ์ เปน็ พ่อท่ีสมบูรณ์แบบ เป็นแม่ท่ีสมบรู ณ์แบบ ตามความเชือ่ ของเรา เมอ่ื เราได้ค�ำ ตอบแล้ว เรากม็ เี คร่ืองวัดวา่ ทำ�อย่างน้นั ดนี ะ ทำ�อยา่ งนี้ดนี ะ คอื มันสอดคล้องกับเป้าหมาย หรืออดุ มการณ์ หรอื ไมส่ อดคลอ้ งกันอย่างไรก็เปน็ เรอื่ งทีด่ ี พุทธศาสนาเราถือว่าส่ิงสูงสุดคือการพ้นจากทุกข์พ้น จากกเิ ลส เพราะฉะนนั้ การกระทำ� การพดู การคดิ อยา่ งไรท่ี ทำ�ให้เกิดกิเลสหรือความทุกข์ลดน้อยลงแปลว่าดี  สิ่งไหนที่ เป็นการเพิ่มความทุกข์เพิ่มกิเลสแปลว่าไม่ดี  น่ีก็ตามหลัก พุทธศาสนา  เราจะเอาความคิดหรือความรู้สึกของคนอ่ืนมา เป็นหลกั ไมไ่ ด้ เพราะถา้ เราอยู่ในสังคมมิจฉาทฐิ ิ คนทมี่ สี มั มา ทฐิ ิก็จะโดนคนอื่นว่าๆ ไม่ดีนะ และเขาจะไมใ่ ห้เกยี รติ เพราะ เขาจะยกยอ่ งคนไม่ดวี ่าดี แต่คนดีในความหมายของพุทธศาสนาท่ียึดเอาความ ทุกข์และกิเลสเป็นหลักนั้น  ไม่ข้ึนอยู่กับความรู้สึกของคน เพราะมีกฎตายตัว  ฉะน้ันเม่ือเราทำ�ความดีแล้ว  คนอ่ืน ชยสาโร ภิกขุ 105

จะยอมรับหรือไม่ยอมรับก็ตาม  ความดีน้ันก็ยังเป็นความดี เหมือนเดิม  หรือถ้าเราทำ�ความชั่ว  คนอ่ืนจะตำ�หนิติเตียน หรือคนอ่ืนจะว่าดี  ก็เป็นเร่ืองของเขา  ความชั่วน้ันก็ยังเป็น ความช่วั เหมือนเดิม  น่เี ป็นหลักการทางพุทธศาสนา ๔๕ถาม : อยากเรมิ่ ปฏบิ ัติ แตภ่ ารกจิ การงานรดั ตวั มาก ขอทราบหลักวิธีการแบ่งเวลา ตอบ : ต้องจัดลำ�ดับความสำ�คัญของเร่ืองต่างๆ  ใน ชวี ติ จะเลา่ เรอื่ งการจดั ล�ำ ดบั ความสำ�คัญของเวลา มีอาจารย์ ที่เมืองนอก เก่งมาก ทา่ นเอาภาชนะ สมมตวิ า่ เอาถงั นํา้ แลว้ ทา่ นก็เอาก้อนหนิ ใส่ลงไป ใสล่ งไปไมห่ ยดุ แล้วถามลกู ศษิ ย์ว่า “เต็มไหม เตม็ หรือยัง” ลูกศิษย์เหน็ วา่ กอ้ นหินเต็มแลว้ กต็ อบ ว่า “เตม็ ครบั ” อาจารย์กเ็ ลยเอากรวดก้อนเล็กเทลงไป ท่าน สามารถเทกรวดลงไปได้ตามช่องเล็กๆ  ระหว่างก้อนหิน “อา้ ว...เต็มหรอื ยัง” ลกู ศษิ ย์กบ็ อกวา่ “เตม็ แลว้ ครบั ” อาจารย์ ยงั ไมย่ อมหยดุ ทา่ นเอาทรายเทลงไป คือระหว่างกรวดมนั กย็ ัง มชี ่องเลก็ ๆ อกี ใชไ่ หม ก็เททรายลงไปไดม้ ากเหมอื นกัน...“เตม็ จรงิ ๆ หรือยัง…” ลูกศิษย์ดูอย่างดีแล้วตอบว่า  “เต็มแล้วครับ  เต็ม แน่นอน”  อาจารย์ก็เลยเอาน้ําเทลงไปอีกที  คราวน้ี  เต็มจริง พอใส่นํา้ ลงไปแลว้ ใสท่ รายกไ็ มไ่ ด้ กรวดกไ็ มไ่ ด้ กอ้ นหนิ กย็ ง่ิ ไมไ่ ด้ 106 คลายปม

ที่อยากถามคือ  อาจารย์ท่านสอนเรื่องอะไร  ท่าน เปรียบเทียบกับอะไร  คือเรามีงานท่ีต้องทำ�  เราต้อง ก�ำ หนดว่าอะไรส�ำ คัญท่ีสดุ ซง่ึ เทยี บไดก้ บั ก้อนหิน ก็ให้ ทำ�อันน้ันก่อน  อะไรสำ�คัญเป็นลำ�ดับท่ีสองเหมือนระดับ กรวด ก็ท�ำ เปน็ ทสี่ อง  เรอ่ื งระดบั ทรายกท็ �ำ ทส่ี าม  เรอื่ ง ระดับนาํ้ ก็ท�ำ ทส่ี ่ี ถ้าเรามัวแต่ทำ�ระดับเลก็ ๆ นอ้ ย ๆ เชน่ ระดับนํ้า เวลาจะท�ำ เรื่องทสี่ ำ�คัญกวา่ คอื เร่อื งระดับทราย ระดับกรวดระดบั กอ้ นหิน ก็ไม่มเี วลา เลยเครียด เครียด วา่ นนั่ กย็ งั ไมเ่ สรจ็ นี่ก็ยงั ไม่เสรจ็ เพราะเราจดั ล�ำ ดับความ ส�ำ คัญของเรือ่ งต่าง ๆ ไม่ถูก ในกรณีครูสอนนักเรียน  อยากถามว่าการบ้านน่ีเป็น ระดับไหน ระดบั ก้อนหนิ ระดับกรวด ระดบั ทราย หรือระดับ นา้ํ ฝากไปคิดแล้วกนั และก็ไมใ่ ชเ่ รอื่ งท่อี าจารยจ์ ะคอยปอ้ นให้ ลกู ศิษย์ เป็นเรื่องทีค่ รูตอ้ งชวนใหเ้ ขาก�ำ หนดเอง ไม่ใช่วา่ เราจะ เปน็ คนที่บอกว่าน่เี ป็นเร่อื งกรวด เรื่องหนิ หรอื นา้ํ ตอ้ งเกดิ จาก ใจเขาเอง ตอ้ งพยายามหดั คิดให้เป็น สำ�หรบั อาตมา ถา้ พดู โดยทว่ั ไป สิง่ ท่เี ป็นระดบั ก้อนหิน แต่คนส่วนมากเห็นว่าเป็นระดับนํ้า  หรือยังไม่ถึงระดับนํ้าด้วย ซ้ํา คือเร่ืองการทำ�สมาธิ คนจะประมาทในเรื่องน้มี าก ไมค่ ่อย ใหค้ วามสำ�คญั กัน ชยสาโร ภิกขุ 107

๔๖ถาม : ถ้าชีวิตปัจจุบันมีพร้อมทุกอย่างแล้ว  ท้ังด้าน การงานครอบครวั และทรพั ยส์ นิ โดยอายยุ งั ไม่ถึง ๕๐ ปี ควรตัง้ เป้าหมายชวี ิตทเี่ หลืออยา่ งไร ตอบ : กใ็ หเ้ จรญิ ด้วยศีล ดว้ ยสมาธิ สติ ปญั ญา ให้ ดีย่ิงข้ึนไป  แล้วสร้างประโยชน์ตนให้ถึงพร้อม  ประโยชน์ตน ก็อย่างหนึ่ง ประโยชน์ครอบครัว ประโยชน์คนอื่น ประโยชน์ ชุมชน ประโยชน์สังคม เราก็สร้างประโยชน์ให้กับคนอื่นมาก ขึ้น แต่การท่ชี วี ิตของเราอายุยงั ไม่ถงึ ๕๐ ปี เราก็ไมร่ เู้ หมอื น กนั ว่า เราจะอยู่อกี นานเทา่ ไร คอื ตอนนี้คนจะเชอื่ วา่ มาตรฐาน อายุเฉลี่ยควรจะ ๗๕ ขึ้นไป เหมือนกับว่ามีสิทธิ์ที่จะอยู่นาน ขนาดนั้น ถ้าใครอยู่ไม่ถึง ๗๕ ก็อาจจะว่าไม่น่าอายุแค่นั้น เหมือนกับวา่ ถกู หลอก อยู่ไมค่ รบตามอายุทีค่ วรจะได้ นี่ได้ ๕๐ ก็ดแี ลว้ นะ ตอนที่หลวงพ่อชาท่านเป็นอัมพาตใหม่ๆ  เข้ารักษา ที่โรงพยาบาลจุฬาฯ ถ้าช่วยท่านไม่ได้ คณะสงฆ์ก็จะนำ�ท่าน กลบั ไปมรณภาพท่ีวัด ไมอ่ ยากใหท้ ่านมรณภาพท่ีโรงพยาบาล ทางวัดสร้างกุฏิพยาบาล  พวกเราคิดว่าจะช่วยพยาบาลท่าน จนถึงวาระสุดท้าย พวกหมอและพระก็คาดวา่ คงไมถ่ ึงปี คิดว่า อยา่ งนั้น เราก็เตรยี มตัวทีจ่ ะรับกบั การมรณภาพของท่าน ท่าน อยไู่ ดอ้ ีก ๑๐ ปี แต่พวกเราหลายๆ คนตายกอ่ นทา่ น เร่ืองอายุนั้น  เราถือว่าความยืนยาวของอายุเป็นเรื่อง ไม่แนน่ อน เรานา่ จะคดิ วา่ เราตอ้ งการชวี ติ แบบไหน ยงั ไม่ตอ้ ง 108 คลายปม

ว่าถึงเรอื่ งการงาน ครอบครวั ทรพั ย์สนิ เงนิ ทอง คนส่วนใหญค่ ง ต้องการอยแู่ ลว้ อาตมาคิดวา่ เราน่าจะต้องการชวี ติ ทีจ่ ะไหว้ ตวั เองได้ เราท�ำ ให้ถึงข้นั น้นั หรอื ยัง ท่จี ะไหว้ตวั เองได้ สร้าง ประโยชนต์ นด้วย สร้างประโยชน์คนอื่น สรา้ งประโยชนส์ งั คม และสรา้ งประโยชน์รับใชพ้ ระศาสนาดว้ ย นน่ั ก็จะดีมาก ทส่ี ำ�คญั ก็คอื คนเราถา้ ยังไม่ถึงข้ันพระโสดาบันก็นบั ว่า ยงั อยูใ่ นเขตอันตราย รบั รองตัวเองไม่ได้ ชนั้ โสดาบันซ่งึ คฤหสั ถ์ ท่ีรักษาศีลห้าสามารถเข้าถึงได้  จะเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อในการ เวยี นวา่ ยตายเกดิ ในวฏั สงสาร  ถา้ ปฏบิ ตั ไิ ปถงึ ขน้ั โสดาบนั แลว้ เป็นไปไม่ได้ท่ีจะตกนรก  เป็นไปไม่ได้ท่ีจะต้องเกิดเป็นผี เป็นเปรต  เป็นสัตว์เดียรัจฉานต่อไป  ถ้ายังไม่ถึงข้ันน้ัน เรียกว่ายังรับรองตัวเองไม่ได้  เราอาจจะคิดว่าเราเป็น คนดี  ไม่เคยทำ�บาปกรรม  อย่าด่วนสรุป  เราอาจจะดี เพราะส่ิงแวดล้อมช่วยให้เราดี  ถ้าส่ิงแวดล้อมเปลี่ยนไป ในทางช่วยกระตุ้นกิเลส  มันจะเป็นอย่างไร  เรารับรอง ตวั เองไดไ้ หมวา่ จะไม่เปล่ยี นไปในทางตาํ่ ลง ชยสาโร ภิกขุ 109

๔๗ถาม : ทำ�อย่างไรจึงจะดำ�รงชีวิตประจำ�วันอยู่ได้ด้วย จิตใจท่ีผ่องใสดีงาม  ให้รู้สึกโกรธและหงุดหงิดน้อยที่สุด  ควร ทำ�อย่างไรกับความหงดุ หงดิ และความโกรธ ตอบ : จิตใจท่ีผ่องใส ดีงามมากท่สี ดุ เราก็สรปุ ง่ายๆ วา่ เราตอ้ งมีความพยายามในชวี ิตประจ�ำ วัน ๔ อย่าง คือ หนึ่ง พยายามป้องกันไม่ให้ส่ิงเศร้าหมองต่างๆ เกิดข้ึนในจิตใจ  ไม่ ให้ครอบงำ�จิตใจ  สอง  สำ�หรับความไม่ดีไม่งามต่างๆ ที่เกิด ข้ึนแล้ว  ต้องเพียรพยายามหาอุบายวิธีที่จะระงับความไม่ดีไม่ งามนั้นใหไ้ ด้ สาม คณุ งามความดีตา่ งๆ ที่ยังไมเ่ กิดขน้ึ ไมว่ า่ จะเปน็ สติสัมปชัญญะ ความอดทน เมตตาภาวนา อะไรก็แลว้ แต่ ตอ้ งพยายามหากุศโลบายทำ�ใหส้ ิง่ เหล่านน้ั เกดิ ข้นึ และสี่ สง่ิ ดๆี งามๆ ท่ีเกิดขึน้ แลว้ ก็เพยี รพยายามทำ�ใหเ้ พม่ิ ข้ึนเรือ่ ยๆ หากเราดำ�รงชีวิตอยู่ในกรอบน้ี  ไม่ว่าเราทำ�อะไร  หรือมี ต�ำ แหน่งอะไร ชวี ติ เราจะผ่องใสขึน้ เพราะส่งิ ท่จี ะท�ำ ให้จติ ใจ หม่นหมองลดนอ้ ยลงหรือไมม่ ีโอกาสจะเขา้ ครอบง�ำ นี่กค็ อื การกลบั มาหาเรอ่ื งศลี สมาธิ ปญั ญา การอยู่ใน กรอบของศลี การเปน็ ผูท้ รี่ ู้จกั สำ�รวมตา หู จมูก ลนิ้ กาย ใจ เปน็ ผสู้ ำ�รวมอนิ ทรยี ์ เปน็ ผทู้ ฝ่ี กึ สติเป็นประจ�ำ พยายามเป็นผู้มสี ติ มีสัมปชัญญะ  มีการทำ�สมาธิภาวนาเป็นประจ�ำ   และรู้จักคิด รู้จักพิจารณาประสบการณ์ในชีวิตให้เห็นตามความเป็นจริง มีโอกาสทำ�ประโยชน์ต่อส่วนรวมโดยการให้ทาน  ให้เวลา  ให้ ความชว่ ยเหลอื 110 คลายปม

ถา้ จะพดู ง่ายๆ หลายคนทีว่ า่ กลัดกลุ้ม จติ ใจไมผ่ อ่ งใส เพราะวา่ หมกมนุ่ แตเ่ รอ่ื งของตวั เองมากเกนิ ไป มเี รามขี องเราเปน็ เรอ่ื งส�ำ คญั มาก เพราะฉะนน้ั การใหท้ าน การคดิ ชว่ ยคนอน่ื สรา้ ง ประโยชนต์ ่อส่วนรวม สร้างประโยชนต์ อ่ พระศาสนากเ็ ป็นส่วน หนึ่งทช่ี ่วยให้เราลดความหมกม่นุ แตใ่ นเรอื่ งส่วนตัว เร่ืองความ โกรธและความหงดุ หงดิ พยายามใหน้ อ้ ยทส่ี ดุ หรอื ใหน้ อ้ ยลง ปัญหาอะไรกแ็ ล้วแตต่ ้องแกท้ งั้ สามด้านพร้อมกนั ด้าน ศลี ด้านสมาธิ หรือจิตใจ และดา้ นปัญญา คือหงดุ หงิดร�ำ คาญ โกรธแลว้ อย่าไปแสดงออก อยา่ ไปพดู อย่าไปท�ำ อะไร ด้วย อ�ำ นาจของความโกรธความหงดุ หงิดนัน้ เพราะทุกครัง้ ทเ่ี ราท�ำ ตามพดู ตาม  มนั จะท�ำ ให้อารมณไ์ ดก้ ำ�ลังได้อาหาร เพมิ่ ความ เคยชินท่ีจะแสดงออกอย่างนั้นต่อไป  เป็นการสร้างบาปกรรม ซ่ึงจะทำ�ให้เราต้องรับผลต่อไป  เพราะฉะนั้นเราก็มีเจตนา งดเวน้ ทจี่ ะแสดงออก และตอ้ งเจรญิ สติ ก่อนท่ีเราจะโกรธหรือหงุดหงิด  ต้องมีสัญญาณบาง สิ่งบางอย่างบอก  มีการเปลี่ยนแปลงทางกายด้วยทางใจด้วย ถ้าเรามีสติจับสัญญาณได้ทั้งท่ียังไม่เกิดเต็มที่ก็จะสามารถ ปอ้ งกนั ได้ เราเจรญิ เมตตาภาวนาทางความคดิ ต้องการใหเ้ ขา มีความสขุ ตอ้ งการให้เขาพ้นทุกข์ น่จี ะเปน็ ตัวช�ำ ระล้างความ คิดโกรธแค้นหงดุ หงดิ รำ�คาญ ซ่ึงต้องใช้ความอดทนดว้ ย อดทน ตอ่ ความรู้สกึ ทไ่ี ม่ดีน้นั ใช้ปญั ญาพจิ ารณาโทษหรือความเสีย หายท่จี ะเกิดขน้ึ จากการลอุ ำ�นาจแก่ความโกรธ ชยสาโร ภกิ ขุ 111

ความโกรธสรา้ งปญั หากับคนรอบขา้ งมากใช่ไหม ทีเ่ รา เคยโกรธคณุ พอ่ โกรธคณุ แม่ โกรธพน่ี อ้ ง โกรธลูกหลาน  มนั เคยมีผลดีไหมจากความโกรธน้ัน  ความหงุดหงิดรำ�คาญมัน เคยมผี ลดตี อ่ ชีวิตบา้ งไหม หรอื ว่าเคยสร้างปญั หาอยา่ งไรบา้ ง ดูจากชวี ติ ตัวเองและชวี ติ คนอ่ืน อันนีเ้ ราต้องคดิ ใชป้ ญั ญาคดิ พจิ ารณา ชว่ ยให้เราระมดั ระวังไมใ่ ห้โกรธมากขนึ้ ในระดบั สูง ขึ้นไป จติ ใจมสี ตมิ ากสงบมากและมั่นคงแนว่ แนแ่ ล้ว ความคดิ โกรธร�ำ คาญเกิดข้ึนก็สักแต่ว่าอารมณช์ ว่ั แวบเทา่ นน้ั จะเห็นว่า ก็เป็นแค่นัน้ เอง ความโกรธไม่มเี จา้ ของ เปน็ ของธรรมชาติ เกดิ แล้วดับ อนั นเี้ ป็นปัญญาในระดบั วิปสั สนา ฉะนน้ั ถา้ เราจะแก้ ต้องแกท้ ีศ่ ีล แกท้ จ่ี ิตใจ แก้ทป่ี ญั ญา ๔๘ถาม : สมถะภาวนาเปรียบเหมือนการหยุด  ขณะ ท่ีวิปัสสนาภาวนาเหมือนการดู  ในชีวิตการทำ�งานหากเรา ต้องการมีสติ  ขณะท่ีสงบเพ่ือให้มีปัญญาพิจารณาใคร่ครวญ เรื่องงานว่าควรปฏิบัติอย่างไร  นั่งสมาธิให้จิตรวมแล้วจึงเร่ิม พจิ ารณาเร่ืองงานหรอื อย่างไร ตอบ : เรอื่ งนคี้ งจะแล้วแต่งาน แล้วแต่วาระ เพราะวา่ งานบางอย่างเกดิ กะทนั หัน ไมม่ ีเวลาเตรียมพิจารณาลว่ งหน้า เราต้องมีสตอิ ยกู่ บั ตัวพอท่จี ะแกป้ ญั หาเฉพาะหน้าได้ ซ่ึงจะขนึ้ อยู่กับสติ ขนึ้ อยูก่ ับประสบการณ์ ทำ�ใหง้ า่ ยข้ึน คลอ่ งแคลว่ ขึ้น แต่ถ้าเรามีเวลาน่ังสมาธิในบางโอกาสบางเวลาก่อนพิจารณา 112 คลายปม

งานกเ็ ป็นส่ิงทีด่ ีเหมือนกนั เช่น ตอนเช้าก่อนเรม่ิ งาน ไมต่ อ้ ง นั่งนาน เอาแค่สัก ๕ นาที แล้วรวบรวมพิจารณาว่าวันนี้มี งานอะไรบ้าง ควรจะทำ�อะไร และนั่งอีกครั้งหนึ่งเมื่อเลิกงาน ก่อนจะเลิกงานเราก็ทบทวน วันนเ้ี ราได้ท�ำ อะไรบา้ ง มีปัญหา ขอ้ ผิดพลาดอะไรบา้ ง ได้บทเรยี นอะไรบา้ ง อย่างนีก้ ็นา่ จะดี นอกเหนือจากนี้แล้วยังมีอีกวิธีหนึ่ง  ในระหว่างการ ทำ�งานถ้าเราได้หยุดเป็นระยะๆ  ทุกช่ัวโมงสองชั่วโมง  หยุดดู ลมหายใจเข้า  ลมหายใจออกสัก  ๒-๓  นาที  คือไม่นานจน เราเสียงานหรือจนงานสะดุด  หรือเวลาเราต้องเดินจากห้อง หน่ึงไปอีกห้องหนึ่ง  ตึกหน่ึงไปอีกตึกหนึ่ง  หรือว่ายืนอยู่ใน ลิฟต์ ก็ใชเ้ วลานั้นดูลมหายใจก�ำ หนดพทุ โธ  เปน็ การรวบรวม สติและเป็นการต้ังต้นใหม่  บางทีอะไรๆ  ที่ค้างอยู่ในใจหรือ อยู่ใต้สำ�นึกที่เรากำ�ลังกังวลหรือรู้สึกว่าควรจะจัดการจะผุด ข้ึนมาได้ โดยสรุป  หาเวลาเป็นระยะๆ  แต่ละระยะไม่ต้องยาว เหมือนตอนท่ีเราน่ังสมาธิทั่วไป  ถ้ามีเวลาก็น่ังสมาธิก่อน พจิ ารณางานโดยเฉพาะกด็ ี ในชีวิตประจ�ำ วนั ถ้าเราไดห้ ยุด ครั้งละนาทีสองนาทีทุกช่ัวโมงสองชั่วโมง  แล้วแต่โอกาสจะ เป็นสิ่งที่ดีมาก  แล้วก็ใช้เวลาบางช่วงให้เกิดประโยชน์ยิ่งข้ึน เช่น เม่อื เดินจากจดุ หนึ่งไปยงั อีกจดุ หนง่ึ เดินจากตกึ ออกไป ขา้ งนอก ไปข้นึ รถ ยนื อยู่ในลิฟต์ ใหเ้ ปน็ การตั้งสตใิ หม่ ชยสาโร ภิกขุ 113

114 คลายปม

๔๙ถาม : การปฏิบัติแบบไหนจึงจะเกิดปัญญาและเป็น ทางพ้นทกุ ข์ สำ�หรับผู้ทที่ ำ�วปิ สั สนาทำ�อย่างไรจงึ จะถูกต้อง ตอบ : ทุกวันน้ีความคิดเห็นเร่ืองการปฏิบัติธรรม มีหลากหลายเหลือเกิน  การใช้ภาษาเทคนิคต่างๆ  ก็มีใช้ หลากหลาย ใชศ้ ัพทเ์ ดียวกนั แตค่ วามหมายไม่เหมอื นกนั นนั่ ก็เป็นเหตใุ ห้สองฝ่ายเถยี งกัน โดยไมร่ ตู้ วั วา่ ใช้ภาษาไมเ่ หมือน กัน ขอแนะนำ�วา่ กอ่ นจะไปสนทนากับใครหรือจะไปเถยี งกบั ใคร ขอใหช้ ัดเจนเรือ่ งภาษาเสยี ก่อนวา่ พูดเรื่องสมถะแปลว่า อะไร พูดเรอื่ งวปิ ัสสนาแปลวา่ อะไร ถา้ พดู ถงึ หลักเดมิ แลว้ ไมม่ ี ใครทำ�วิปัสสนา มันไมใ่ ช่ส่งิ ทจ่ี ะทำ�ได้เพราะวิปสั สนาคอื ความ รู้แจง้ ทีเ่ กิดขน้ึ จากการท�ำ สง่ิ ต่างๆ ตอนหลังมีมตวิ ่าการพิจารณาไตรลกั ษณ์ อนจิ จัง ทกุ ขงั อนัตตา คือการท�ำ วปิ สั สนา และแยกออกจากสมถะว่า สมถะ ท�ำ เพ่อื สงบอยา่ งเดียว ส่วนวิปสั สนาไม่ทำ�อยา่ งนั้น วิปัสสนา คอื การก�ำ หนดรปู นาม ก�ำ หนดไตรลักษณ์ ในทศั นะของอาตมา พระพทุ ธเจ้าไม่ไดส้ อนอยา่ งนนั้ นน่ั ไม่ได้หมายความว่าผดิ แต่ บอกว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้สอนเร่ืองสมถะวิปัสสนาอย่างน้ัน ทศั นะของอาตมานน้ั สมถะวปิ สั สนาเปน็ อนั หนง่ึ อนั เดยี วกนั เปน็ กจิ กรรมการกระท�ำ อนั หนง่ึ แตเ่ ปน็ คนละแงม่ มุ เราปฏิบัตธิ รรม เราตอ้ งการความสงบด้วย และต้องการ ความรู้ตัว ต้องการปญั ญาดว้ ย แตใ่ นเบ้อื งต้นนนั้ ตวั ความสงบ จะตอ้ งเป็นตัวนำ� แต่ถ้าไมม่ ีทางดา้ นปญั ญาด้วย มันกจ็ ะไมถ่ ูก ชยสาโร ภกิ ขุ 115

ตอ้ ง ความสงบกจ็ ะมีปัญหาเหมอื นกัน ถา้ เอาแต่พจิ ารณาแต่ ขาดสมาธิ ก็อาจจะขาดความลึกซง้ึ ถา้ เทียบกับทางโลก เราก็ เทียบกันไดว้ ่าเหมือนไอคิวกบั อีควิ ซง่ึ เป็นทีย่ อมรบั วา่ ผทู้ ่จี ะมี การศึกษาอย่างสมบรู ณก์ ต็ ้องมีท้งั ไอคิวกับอีควิ ทั้งสองตอ้ งอยู่ ด้วยกนั สมถะก็ตัวอีควิ และวิปสั สนากค็ ือตัวไอควิ สมถะคือสง่ิ ทท่ี �ำ ให้เกิดความสขุ ความสงบอย่ใู นใจ และ ผูท้ ่มี ีความสขุ คอื ผทู้ ่ีปล่อยวางกเิ ลสได้ จะกล้า กล้าเพราะมที ่ี พงึ่ ในใจ เหมือนกับคนตดิ ยาเสพติดหรือติดอะไรกแ็ ล้วแต่ แม้ จะร้วู า่ ไม่ดีอยา่ งน้ันอยา่ งน้ี แตก่ ็เลกิ ไม่ได้ ละไมไ่ ด้ ไม่ใช่ว่า ขอ้ มูลไม่พอ คนทีต่ ดิ เฮโรอีน บางคนไอคิวสงู ฉลาด แตท่ ำ�ไม เขาไปตดิ ยาเสพตดิ ได้ ท�ำ ไมเขาตดิ แลว้ เขาเลกิ ไมไ่ ดท้ ง้ั ๆ ทเ่ี ขา เห็นโทษชัด ทำ�ไมพวกหมอยังสูบบุหรี่กันไม่ใช่น้อย ใช่ไหม ทั้งท่ีไม่นา่ จะเป็นเชน่ น้นั ฉะน้ันเราต้องเห็นว่า  ปัญหาไม่ได้อยู่ท่ีการกำ�หนด อนิจจังทุกขังอนัตตา  มันอยู่ที่ว่าจิตมีคุณสมบัติพอที่จะได้รับ ประโยชน์จากการก�ำ หนดอนิจจังทกุ ขงั อนตั ตาหรอื ไม่ กลับมา พูดถึงการติดยาเสพติด ถ้าเรามีส่ิงอ่นื ท่จี ะใหค้ วามสขุ ทดแทน ความสขุ ท่ีไดจ้ ากยาเสพติด ก็มีโอกาสจะเลิกได้ แต่โอกาสทเ่ี รา จะเลิกความยึดม่ันถือมั่นในสิ่งใดโดยไม่มีส่ิงอ่ืนทดแทนน่ียาก มาก สมถะ เราจะพูดถึงดา้ นความสงบ มันเปน็ สง่ิ ทีใ่ หค้ วามสุข ที่บรสิ ทุ ธ์ิ พระพทุ ธองค์ยังจัดผูท้ ส่ี ามารถท�ำ จติ ใจให้สงบแน่ว แนไ่ ด้ว่า เปน็ ผู้ทไ่ี ด้ชิมรสของพระนพิ พาน 116 คลายปม

ถ้าอยากจะรวู้ า่ พระนิพพานเป็นอยา่ งไร สามารถชมิ รส เล็กๆ นอ้ ยๆ ได้ด้วยการเข้าฌาน ไมม่ ีคำ�สอนของพระพุทธเจ้า ตรงไหนท่ีบอกวา่ เร่อื งความสงบไม่จำ�เปน็ มแี ตบ่ อกว่าโน่น ไง...ใต้ต้นไม้…ไปทำ�จิตใจให้พ้นจากนิวรณ์ทั้งห้าเป็นเบ้ืองต้น และเขา้ ฌาน ปรากฏในพระสูตรไม่ร้กู รี่ ้อยพระสตู ร ขั้นต้นของ การปฏิบัติก็ชัดเจน ท�ำ จิตใจให้สงบ แต่จติ ใจจะสงบไปในทาง ทีจ่ ะเปน็ ฐานใหเ้ กดิ วิปัสสนาได้ ต้องฉลาดด้วย ฉลาดในการ ปล่อยวางนวิ รณต์ า่ งๆ จะต้องมตี วั รู้ รตู้ ัวอยู่ (สมั ปชญั ญะ) ซึง่ เป็นส่วนหนึ่งของปญั ญา ถ้าเรามีแต่สติแต่ขาดสัมปชัญญะ จิตใจจะเคลิบเคลิ้ม และเป็นโมหะสมาธิ  ตกภวังค์  แต่นั่นไม่ใช่โทษของสมถะ เป็นโทษของคนทำ�สมาธิยังไม่เป็น  สติยังขาดสัมปชัญญะจึง ยังไม่มีกำ�ลังเท่านั้นเอง การที่ว่าอยู่ในชีวิตประจำ�วัน ตาเห็น รูป หูได้ยินเสียง แล้วไม่สำ�คัญมั่นหมาย ดีมากถ้าทำ�ได้ สาธุ อนุโมทนา  แสดงว่าคนๆ นั้นเป็นพระอรหันต์  แต่เราจะเอา ปฏิปทาของพระอรหันต์ไปใช้กับปุถุชนได้หรือ  นั่นก็เป็นอีก เรื่องหนึ่ง การปฏิบัติธรรม  แน่นอนว่าเราก็ต้องมีข้อวัตรปฏิบัติที่ เหมาะสมกับวิถีชีวิตของตน  จะใช้เวลากับการนั่งสมาธิ  เดิน จงกรมเหมือนนักบวชคงไม่ได้  แต่ส่ิงที่สังเกตได้ไม่ยาก  คือ ถ้าให้เวลากบั การฝกึ สติตอ่ เน่อื ง นั่งสมาธทิ กุ วันเชา้ เย็น มสี ติ ในชีวิตประจ�ำ วัน การไม่ส�ำ คญั มน่ั หมายในสงิ่ ต่างๆ ทีว่ ่าน้นั ชยสาโร ภกิ ขุ 117

จะง่ายขน้ึ สติเราจะดขี ึ้น และนอกจากนน้ั แลว้ เราตอ้ งคิดว่า เหตุการณ์น้ี สถานการณอ์ ยา่ งนี้ ตอ้ งวางตัวอยา่ งไร เราจึงจะมี สติ และควรจะปฏิบัติอย่างไร ข้อวัตรปฏิบัติมีมากมายให้เราเลือก  การดูลมหายใจ เข้าออกก็เป็นแค่ส่วนหนึ่ง  เป็นส่วนสำ�คัญ  แต่ในบางครั้งก็ อาจจะเป็นแคใ่ ชค้ วามอดทน ปฏบิ ัตธิ รรมอะไร ก็ปฏิบตั ิความ อดทน น่กี ็เรยี กว่าปฏบิ ตั ธิ รรมเหมอื นกัน คอ่ ยๆ สังเกตความ ร้สู ึกของตวั เอง จะท�ำ อะไรเพราะอยากจะสร้างภาพพจน์ หรอื อยากจะอวดฐานะของตัวเอง  ต้องการให้คนอิจฉาเราหรือไม่ พดู ค�ำ นเ้ี พือ่ อะไร สมมตวิ ่าเราร้คู วามไมด่ ขี องคนหนึง่ แล้วไป เล่าใหค้ นอีกคนหน่งึ ฟงั เป็นความจรงิ แต่ผิดศลี ไหม ไมโ่ กหก นะ  พูดความจริง  แต่มันผิดศีลภาคปฏิบัติเพราะเราพูดด้วย จิตใจท่เี ศรา้ หมอง พดู ดว้ ยจิตใจท่ีปองรา้ ยต่อคนนน้ั อยากให้ เขาเดือดร้อนใจ ฉะนั้นเราต้องรู้เท่าทันการเคล่ือนไหวของจิตใจของตัว เองอย่ตู ลอดเวลา และเลือกข้อวตั รปฏิบตั ิที่เหมาะสม เมอื่ อยู่ ในที่ประชุมถ้าเราจำ�เป็นจะต้องเสนอความคิดเห็น  บางครั้ง อาจจะต้องคัดคา้ น บางครัง้ อาจจะตอ้ งคลอ้ ยตาม บางคร้ังอาจ จะต้องพูด  บางครั้งอาจจะไม่ควรพูด  ต้องควบคุมอารมณ์ อยู่ตลอดเวลา  เป็นสิ่งท้าทายมากใช่ไหม  หนึ่ง  รู้กาลเทศะ สอง รู้จกั ควบคุมอารมณ์ เราเสนอความคิดเหน็ อะไรไมม่ ใี คร เหน็ ด้วย เราท�ำ งานทง้ั หนกั ทง้ั เชอ่ื วา่ ดมี ากเลย แตไ่ มม่ ใี ครยอมรบั   118 คลายปม

เราจะรู้สึกอย่างไร  หรือเราถูกกล่าวหาในเร่ืองท่ีเราไม่ได้ทำ�  เรารู้สกึ อย่างไร เราจะแก้ความรู้สกึ อย่างนีไ้ ด้ไหม เราทำ�อะไรด้วยความบริสุทธิ์ใจ  แต่มีคนกล่าวหาว่า เราทำ�เพราะหวงั ผลประโยชน์ หรอื เพราะอยากดงั เราจะทำ�ใจ ไดไ้ หม ตอ้ งใช้คุณธรรมอะไรมาชว่ ย เรามีสิ่งท้าทายอยูต่ ลอด เวลา แตใ่ นเวลาวา่ งๆ ไมม่ อี ะไรทีจ่ ะต้องคดิ ไมม่ ีอะไรท่จี ะตอ้ ง ท�ำ โดยเฉพาะ เรากก็ ลบั มาอย่กู ับลมหายใจเข้าลมหายใจออก เปน็ การตงั้ ต้นในความสงบ เราใช้เทคโนโลยีต่างๆ เราก็ควรจะ รู้เท่าทัน  ส่วนมากเห็นคนใช้โทรศัพท์แล้วอาจจะเข้าใจผิดว่า ถา้ ไมร่ บั โทรศพั ทภ์ ายใน ๓ วินาทจี ะตอ้ งถูกปรบั อะไรทำ�นอง อย่างนน้ั จิตใจจึงถูกก�ำ หนดด้วยเสยี งโทรศพั ท์มาก เราควรท�ำ อยา่ งไรดี เวลาเราไดย้ นิ เสยี งโทรศพั ท์ เรากอ็ ยกู่ บั คณุ อา (นาปาน- สต)ิ สกั ๓-๔ ลมหายใจ หายใจเขา้ หายใจออก หายใจเขา้ ลึกๆ หายใจออกยาวๆ ตั้งสติไม่ต้องวิ่งไปรับ  ถ้าเป็นเรื่อง ส�ำ คญั เขากไ็ มไ่ ปไหนหรอก เราก็คอ่ ยรับด้วยสต คำ�พดู ของ เราก็คงดีข้ึน  อุบายเล็กๆ น้อยๆ อย่างน้ีจะเป็นประโยชน์ เวลาไหนท่ีไม่ควรหรือไม่จำ�เป็นต้องคิด  จะอยู่ได้ไหมโดยท่ี ไม่ต้องคิด ตอนเช้าอาบนํ้าแปรงฟันแต่งตัว  จิตใจเราอยู่กับการ อาบนํ้าไหม  หรือว่าจิตใจมันไปอยู่ไหน  เวลาแปรงฟันเคย แปรงฟนั อยา่ งเดยี วไหม หรือปลอ่ ยใหจ้ ติ ไปคดิ เรือ่ งโนน้ เรือ่ งน้ี ชยสาโร ภิกขุ 119

เวลาแต่งตัว เราอยู่ในปัจจุบันไหม เราศึกษาธรรมะ ทุกสิ่ง ทุกอยา่ งจะชดั ขน้ึ เชน่ เรอ่ื งความไมแ่ นน่ อน เปน็ ตน้ อะไรๆ กจ็ ะ เตือนให้เห็นว่ามันไม่แน่จริงๆ  ส่งิ ท่เี หมือนกับท่เี ราคาดคิดไว้มี นอ้ ยมาก สง่ิ ทไ่ี มเ่ หมอื นกบั ทเ่ี ราคดิ กลบั มมี ากกวา่ เมอ่ื เราสงั เกต เหน็ อยา่ งนบ้ี อ่ ยๆ เรากจ็ ะไมเ่ อาจรงิ เอาจงั กบั ความคดิ จนเกนิ ไป เรอ่ื งที่เราก�ำ ลงั กงั วล ถา้ เป็นเรือ่ งทีเ่ ราแก้ได้และรู้ว่าจะ ต้องแก้อย่างไร  เราจะไปกังวลทำ�ไม  แต่ถ้าเป็นเร่ืองท่ีเราแก้ ไม่ได้ กังวลไปก็ไม่เกิดประโยชน์ แล้วเราจะไปกังวลทำ�ไม เพราะฉะนั้นเรือ่ งทเ่ี ราก�ำ ลงั กังวลมีอยู่ ๒ ประเภท เรือ่ งทแี่ ก้ได้ กับเรื่องท่ีแกไ้ มไ่ ด้ เร่อื งทแี่ ก้ได้กไ็ มต่ อ้ งกงั วล กไ็ ปจัดการเสยี สว่ นเรอ่ื งทีแ่ ก้ไมไ่ ด้ก็ไมค่ วรกงั วล เรยี กว่าหมด...ไม่ตอ้ งกงั วล... จบเรอ่ื งกงั วล ๕๐ถาม : ทำ�อย่างไรเม่ือนั่งสมาธิไปเรื่อยๆ  เป็นช่ัวโมง แตร่ ับรไู้ ด้เพยี งลมหายใจเข้าออกเทา่ นนั้ เอง ไมเ่ ห็นมีประโยชน์ อะไรเลย ตอบ : ข้อหนึ่งคือยังมีนิวรณ์อยู่  ไม่ได้รู้ลมหายใจ เข้าออกตลอดอย่างที่ว่า  เพราะถ้ามีสติอยู่กับลมหายใจใน ทางทพ่ี อดี มคี วามเพียรท่พี อดี มสี ติ ไมล่ ืมลม มีความรตู้ ัว เปน็ เชน่ นน้ี านๆ เขา้ ลมกจ็ ะตอ้ งแผว่ เบา ค่อยๆ เบาลงๆๆ จนกระทง่ั จะเกดิ ความเปลีย่ นแปลงท่ีละเอียด บางทกี เ็ กดิ เปน็ แสงหรือเป็นอะไรซักอย่างที่เป็นนามธรรมเกิดขึ้นแทนความ 120 คลายปม

รู้สึกที่ลมหายใจ  หรือบางทีจิตก็จะกระโดดไปสู่ความสงบ แนว่ แน่ไปเลย น่ีก็แสดงว่ามันจะต้องขาดสติสัมปชัญญะอยู่บ้าง  แต่ อย่างไรก็ตาม  ถ้าเป็นเช่นน้ีบ่อยมากจนเร่ิมจะท้อแท้ใจ  ก็ขอ แนะน�ำ วา่ ในการท�ำ สมาธิ พอถงึ ขนั้ น้ีแลว้ ไม่ไปไหน กใ็ หเ้ รา เปล่ยี นเปน็ พจิ ารณากาย พิจารณาเกศา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ หรอื ขอ้ ใดข้อหนง่ึ ให้เหน็ ความไมส่ วยไมง่ าม อาจตอ้ งใช้ ความคดิ ไวก้ อ่ นจนเกดิ ความชำ�นชิ ำ�นาญ อีกวิธีหน่ึงคือการปล่อยวางลมหายใจ  สักแต่ว่ารับรู้ อยใู่ นปจั จบุ นั โดยไมไ่ ด้กำ�หนดสิ่งใดสิง่ หนึง่ เวลาท่นี ง่ั อาจจะมี ความรู้สึกนึกคิดเกิดข้ึนแล้วดับไป  ก็ให้รับรู้ต่อความไม่เท่ียง รู้แล้วก็ปล่อยๆ  เกิดความรู้สึกทางร่างกายและความรู้สึกสุข ทกุ ข์ เฉยๆ ขันธห์ ้ากป็ รากฏในรปู แบบต่างๆ ตอนนีเ้ ราไม่ไดด้ ู ลมหายใจ  เราดูอาการเกิดดับของส่ิงที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน เป็นประสบการณ์ตรงในปัจจุบัน อะไรเกิดอะไรดบั สักแต่วา่ รับรตู้ ่อความเกดิ ดับ อันนจี้ ะมีผลได้ ๒ ทางแล้วแต่เราแล้วแต่ จริตนสิ ัย แลว้ แตบ่ ญุ บารมี บางคนจะทำ�ให้ความรู้ในเรื่องความเกิดดับถึงข้ัน ละเอียดเปน็ วิปัสสนา แตส่ �ำ หรบั หลายๆ คน การดูความเกิด ดับจะทำ�ให้สมาธิเพิ่มขึ้น  ทำ�ให้สมาธิแน่วแน่ได้บ้างก็ทำ�ให้ จติ ใจมีพลังมากขึ้น แต่ถ้าปลอ่ ยลมหายใจแลว้ เร่มิ พจิ ารณาดู ความเกดิ ดับ แต่ปรากฏวา่ ดูได้ไม่นาน จติ ใจกเ็ ริ่มคิดปรงุ แตง่ ชยสาโร ภกิ ขุ 121

ในเรื่องต่างๆ ความคดิ เรอ่ื งอดตี เร่ืองอนาคตเกิดขนึ้ กใ็ ห้หยดุ แล้วกลับไปอยู่ที่ลมหายใจ  ถ้าเราคิดว่าน่ังนานแล้ว  อยู่กับ ลมหายใจได้เร่ือยๆ  แล้วเปลี่ยนไปดูความเกิดดับไม่นาน จิตเริ่มปรุงแต่ง  แสดงว่าช่วงท่ีผ่านมาท่ีว่าอยู่กับลมหายใจ ตลอดเวลานั้น ความจริงไมใ่ ช่ เพราะถ้าใช่มนั จะต้องมีพลัง ถ้ามีสติตลอด  จิตใจจะต้องมีพลัง  ถ้าดูความเกิดดับ ไม่นานแล้วจิตใจจะเร่ิมคิดเรื่องปรุงแต่ง  แสดงว่าพลังจิตน้อย แสดงว่าสติที่ผ่านมายังไม่พอ  ถ้าดูลมหายใจเข้าลมหายใจ ออกนานๆ  แล้วมีสติสัมปชัญญะมีความเพียรในระดับที่พอดี จะตอ้ งเกดิ ปตี ิ ถา้ ไม่เกิดปีติก็ยังไม่ใช่ ปตี สิ ุข เอกคตั ตา ๕๑ถาม : ทำ�ไมจิตถึงรวมเป็นสมาธิได้ยาก  ทั้งที่ฝึกน่ัง สมาธิ เดินจงกรม มาหลายปี อะไรคอื ตัวปิดกนั้ ส�ำ คัญ ที่ควร ต้องฝึกสังเกต หรือใชแ้ กป้ ญั หาน้ี ตอบ : มนั ก็ยากจริง พูดงา่ ยๆ วา่ มนั ยงั ทำ�ไม่ถงึ ยงั ท�ำ ไม่พอ ท่ีว่าปฏบิ ตั มิ าหลายปี ต้องถามวา่ ปฏิบัติทกุ วันไหม ก็... เกอื บ เกอื บทกุ วนั ...เกอื บทุกสองวนั แล้วนั่งสมาธิแตล่ ะคร้งั นานเทา่ ไหร่ ก็...กห็ ลายนาทีเหมือนกัน! คือพระสงฆ์นี่  บางองค์มีบารมี  เร่ืองบารมีเราจะต้อง ยอมรับ บางองค์มีบารมีสูง ทำ�ความเพียรมากบรรลุเร็ว แต่ บางองคบ์ ารมอี าจจะนอ้ ยกวา่ ท�ำ ความเพียรมากก็ยังใชเ้ วลา หลายปี น่ีขนาดพระวัดปา่ นะ 122 คลายปม

เร่ืองการน่งั สมาธิ เดินจงกรม วันหนึ่ง ๖-๗-๘ ช่ัวโมง ทกุ วันๆ ๘ ช่วั โมงทกุ วนั กย็ ังหลายปี ไมท่ ราบวา่ ผถู้ ามท�ำ ได้ วันละกี่ชั่วโมง  ให้ใจเย็นๆ  ทำ�ไปเร่ือยๆ  ไม่ต้องไปดูปฏิทิน ไมต่ อ้ งไปดนู าฬิกา เรามีทางทีก่ �ำ หนด ทางทถี่ กู ต้องแล้ว เดนิ ไปเร่อื ยๆ อยา่ งสมาํ่ เสมอ เด๋ียวก็ถึงหรอก เรอื่ งการนอน สมมติวา่ โยมนอนวนั ละ ๘ ชวั่ โมง ก็เหลือ เวลาอกี ๑๖ ชัว่ โมง ให้ภาวนา ๓๐ นาที ไม่ภาวนา ๙๓๐ นาที มันก็ยากเหมือนกัน  เร่ืองการน่ังสมาธิภาวนา  มันแล้วแต่ ว่าจะเอาระดับไหน  จะจริงจังขนาดไหน  สมัยก่อนหลวงพ่อ พุธสอนลกู ศษิ ยท์ า่ นว่าตอ้ งวนั ละ ๓ ชัว่ โมง พูดถงึ คฤหัสถ์ผูใ้ ฝ่ ธรรมะจรงิ ๆแตเ่ ข้าใจวา่ พวกเราที่มหี นา้ ทกี่ ารงานมลี ูกมหี ลาน จะท�ำ ไดย้ าก การท่จี ะกา้ วหนา้ อยา่ งดี ต้องใชเ้ วลาพอสมควร แต่เรื่องนีม้ ันไม่ตายตวั มีปัจจัยอื่นๆ อีกดว้ ย คือ กรรมเก่า บญุ เกา่ เพราะว่าเราตอ้ งส่ังสมบารมใี นเรอ่ื งน้ี อาตมาเห็นมามากทั้งพระทั้งโยม  จะมีคนกลุ่มหนึ่ง ที่วา่ ๓ เดอื นแรก ๖ เดอื นแรก ตอนเรม่ิ ต้นจะกา้ วหน้าอยา่ ง นา่ มหศั จรรย์ จะมปี ระสบการณ์ มปี ตี ิ จติ ใจสงบแบบนา่ ทง่ึ มาก แต่เม่ือมาถึงจุดหน่ึงแล้ว  มันจะรักษาอยู่ในระดับนั้น  นานๆ เข้ามันอาจจะค่อยๆ  เส่อื มไป  อย่างน้กี ็มี  เม่อื วันก่อนได้พูดถึง กรณขี องโยมทม่ี าปฏบิ ตั ธิ รรมหลายครง้ั   แตค่ วามรสู้ กึ ไมเ่ หมอื น ครั้งแรก ทำ�อยา่ งไรถงึ จะเหมือนครั้งแรก บางคนกร็ ูส้ กึ วา่ มี อะไรดขี น้ึ เรอ่ื ยๆ เหมอื นเดนิ ขน้ึ บนั ได พวกนจ้ี ะมกี �ำ ลงั ใจตลอด ชยสาโร ภกิ ขุ 123

แต่บางคนที่อาตมาเคยเปรียบเทียบบ่อยๆ  เรื่องขุด อุโมงค์  สมมติว่าเราจะขุดอุโมงค์ให้ทะลุภูเขา  มันยาว  ๑ กิโลเมตร ขุดไปๆ มนั สว่างขน้ึ ไหม มีแต่มดื ลงใช่ไหม ซ่งึ ไม่ได้ หมายความวา่ เราไม่ได้ทำ�อะไร ไมไ่ ดผ้ ลอะไร แตว่ า่ เราต้องมี ศรัทธาทำ�ไปเรอื่ ยๆ ย่งิ ขุดมากย่ิงมดื ใชไ่ หม เหลืออีก ๑๐ เมตร ก็ยังมืดต๊ึดตื๋อ  ถ้าคนไม่มีศรัทธาอาจจะคิดว่าบุญบารมีน้อย คงไมไ่ ด้หรอกในชาตนิ ี้ โดยไมร่ ้วู ่ามันเหลืออกี แคน่ ีเ้ อง เราต้องมองไปข้างหลงั ด้วย วา่ ทางมนั ยาวมากท่ีเราได้ ทำ�มา หรือเปรียบเทียบอกี อยา่ งหนึง่ การเดนิ ทางในประเทศ อยา่ งสวิตเซอรแ์ ลนด์ หรือประเทศทม่ี ีภูเขาเยอะ เราคงไม่ได้ คดิ ว่าถ้าเราเดินขึ้นเขามนั จะต้องสงู ขึน้ เรอ่ื ยๆ ธรรมชาติมนั ไม่ เป็นอยา่ งนัน้ มนั มีข้ึนมลี ง การปฏิบัติก็เปน็ อยา่ งนัน้ เม่อื เรา มองในแง่ร้าย เรากจ็ ะคิดว่าไมไ่ ด้อะไรเลย พอน่ังวนั ใดวันหนง่ึ ถา้ สงบก็ว่าไดแ้ ลว้ ไม่สงบก็คิดวา่ ไม่ไดอ้ ะไร มนั จะเปน็ อย่างน้ี เอาจริงเอาจังกบั ประสบการณช์ ่วั คราวมากเกินไป อาตมาขอแนะนำ�วา่ ในเมือ่ การภาวนาคอื การทำ�ให้ มีขน้ึ ท�ำ ใหส้ ิง่ ดงี ามมขี ึ้น มันไม่ใช่เรอ่ื งการทำ�สมาธิอย่าง เดียว  เราจะเอาแต่ประสบการณ์ในการทำ�สมาธิเป็น เคร่ืองวดั อยา่ งเดยี วไมไ่ ด้ ตอ้ งดูที่ชวี ติ ทงั้ ชวี ิต ตง้ั แตเ่ ร่มิ ปฏิบัติเรารู้สึกว่าความเห็นแก่ตัวน้อยลงไหม  อารมณ์ โทสะนอ้ ยลงไหม เรามคี วามเห็นอกเหน็ ใจคนอื่นมากขึ้น ไหม  วาจาเราดีขึ้นไหม  ความสัมพันธ์กับคนรอบข้างดี 124 คลายปม

ข้นึ ไหม คณุ ธรรมต่าง ๆ ไมไ่ ดด้ ูเฉพาะที่สมาธิอย่างเดียว เพราะมันแยกออกจากกันไม่ได้  ถึงจะยากมันก็เหมือนเรา อยู่ในทก่ี ันดาร เราเจอทางกลบั บ้าน เรามัน่ ใจว่าทางน้ใี ช่ แต่ เราไมร่ วู้ า่ อกี กีเ่ ซนตเิ มตร อกี ก่ีเมตร อกี ก่ีกิโลเมตร รู้แตว่ ่าใช่ ทางนี้  เม่ือเรารู้สึกว่ายังมีปัญหา  เราก็ต้องทบทวนวิถีชีวิต ตัวเองว่าเอื้อต่อการปฏิบัติธรรมมากน้อยเพียงไร หลักสำ�คัญของการดำ�เนินชีวิตในทางที่สอดคล้องกับ หลักธรรม  คือ  ต้องทำ�ให้ชีวิตเรียบง่าย  ถ้าเรื่องมากเกินไป หรือหลายเรื่องมันยาก  เพราะจิตใจต้องเป็นหนึ่ง  จิตใจต้อง รู้จักปล่อยวาง  กิจกรรมอะไรมันมีมากเกินไป  ทำ�งานมาก เกินไป  มีเวลาส่วนตัวน้อยเกินไป  ก็จะเป็นอย่างนี้  ไม่ใช่ว่า ลองปฏิบัติแบบนี้ดู  เอาแบบยุบหนอพองหนอ  หรือไปโน่น ไปน ี่ ลองไปเรื่อย ถ้าหากวิถีชีวิตและการดำ�เนินชีวิตโดยท่ัวไปไม่พอดี เรากค็ งจะไม่ได้ คอื พอเร่มิ วิธีใหม่ สำ�นักใหม่ ทกุ คนก็จะ ดีอยสู่ ักพักหนึ่ง เพราะมันใหม่ มกี �ำ ลงั ใจ พอทำ�ไปทำ�มา เจอปัญหาเก่า  เพราะว่าปัญหาส่วนมากไม่ได้เกิดจาก เทคนคิ การภาวนา แต่มนั เกิดท่ีจติ ใจของเรา เกิดจากการ ใชช้ วี ิตของเรา เพราะฉะน้นั ถ้ามีปญั หาแบบเรื้อรัง มกั จะ เป็นปัญหาของวิถีชีวิตมากกว่าจะเป็นปัญหาว่าเราทำ�ถูกวิธี การไหม เราควรจะเปล่ยี นอยา่ งน้ีไหม ต้องดูทตี่ วั ชีวิต ชยสาโร ภกิ ขุ 125

สรุปอีกทีว่าขอให้ดูชีวิตประจำ�วัน  มันมีอะไรท่ีรกรุงรัง ท่ีมันเกะกะ  ท่ีเป็นอุปสรรคบ้างไหม  พอจะให้ลดน้อยลงบ้าง ไดไ้ หม ถา้ พดู ถงึ สง่ิ ท่เี ปน็ อปุ การะตอ่ การปฏบิ ัตธิ รรม มี ๓ ขอ้ ทีเ่ ราขาดไมไ่ ด้ ขอ้ แรกคือ สำ�รวมอินทรีย์ ส�ำ รวมตา หู จมกู ลนิ้ กาย ใจ สอง คอื รูจ้ กั ประมาณในการบรโิ ภค สามคือ ไม่ เหน็ แก่นอน อย่าไปนอนมาก ขอโทษนะ เราเข้าโลงแลว้ มนั นอนได้เลย ๗ วนั ๗ คืน ไม่มใี ครกวนเลย หรือจะเอานานกวา่ นน้ั ๕๐ วัน ๑๐๐ วันกย็ ังมี เรายงั ไมถ่ งึ ขัน้ น้นั ไม่ตอ้ งนอนมาก ๕๒ถาม : นั่งสมาธไิ ประยะหนง่ึ ลมหายใจจะละเอียดจะ ช้ามาก จนไม่รสู้ กึ ลมที่จมูก ควรท�ำ อยา่ งไรตอ่ ไป และจะทราบ อย่างไรวา่ ร่างกายได้ออกซิเจนพอ ตอบ : ถา้ ออกซเิ จนไมพ่ อกค็ งหงายหลงั ไปแลว้ ไมเ่ คย มีหรอกออกซิเจนไม่พอ  ความพิเศษของอานาปานสติหรือลม หายใจ  มันมีเอกลักษณ์ของมัน  คือการท่ีลมหายใจเป็นส่วน หนง่ึ ของรา่ งกาย  เปน็ กายสว่ นหนง่ึ ทอ่ี ยชู่ ายแดนระหวา่ งหนา้ ท่ี ของร่างกายส่วนท่ีบังคับได้และส่วนท่ีบังคับไม่ได้ของกาย (voluntary and involuntary mechanism) อนั นเ้ี หน็ ไดง้ า่ ย เชน่ การกลน้ั ลมหายใจ เปน็ สง่ิ ทท่ี �ำ ดว้ ยความตง้ั ใจ บงั คบั ได้ แต่ มนั จะถงึ จดุ หนง่ึ ทว่ี า่ ไมไ่ ดแ้ ลว้ ๒๐ วนิ าที ๓๐ วนิ าที สว่ นของ รา่ งกายทเ่ี ราคมุ ไมไ่ ดม้ นั จะบงั คบั ใหต้ อ้ งหายใจ เหน็ ไหม คนท่ี อยากฆา่ ตวั ตาย ดว้ ยการกลน้ั ลมหายใจใหต้ ายไมม่ ี มนั ท�ำ ไมไ่ ด้ 126 คลายปม

ส่ิงท้าทายท่ีน่าศึกษามากสำ�หรับเราทุกคนคือเร่ือง การควบคุม  เป็นนิสัยของทุกคนท่ีจะสร้างความรู้สึกม่ันคง ปลอดภัยดว้ ยการจะบังคับควบคมุ สง่ิ แวดล้อมให้เปน็ ไปในทาง ทเ่ี รารบั ได้ อยไู่ ด้พวกทเ่ี ขา้ ไปในสถานการณห์ รอื วา่ เจอสง่ิ แปลก ใหม่ท่ีควบคุมไม่ได้จะรู้สึกกลัว  เครียดทันที  ความสุขความ สบายจะต้องอยู่ท่ีการควบคุมสถานการณ์ได้  และควบคุมคน อ่นื ได้  ถ้าพวกเรามีนิสัยอย่างน้ ี พอเรามาเร่มิ ต้นภาวนาต้งั ใจ ดลู มหายใจเขา้   ลมหายใจออก จะรสู้ กึ ปลอดภยั สบาย แต่พอถึงจุดหนึ่งท่ีมันเร่ิมจะไม่ใช่เร่ืองท่ีควบคุมหรือ บังคับได้แล้ว  คนจะกลัวตรงน้ี  เร่ืองน้ีก็เป็นส่วนหน่ึงท่ีเราจะ เรียนรู้จากการดูลมหายใจ  เราเป็นคนชอบควบคุมชอบบังคับ มากนอ้ ยแค่ไหน ถา้ อยูใ่ นสถานการณห์ รอื ในภาวะทค่ี วบคมุ ไมไ่ ด้ หรอื ภาวะที่อะไรๆ มนั เป็นไปเองตามเรื่องของมัน เรา จะมปี ฏกิ ริ ิยาทางจติ ใจหรือไมอ่ ยา่ งไร น่ีเป็นส่วนหนึ่งของการ ศึกษาชวี ติ ด้วยการดลู มหายใจเข้าออก อกี ประการหนงึ่ ถา้ เอาลมหายใจเทียบกับกสณิ เทียบ กับค�ำ บริกรรม อยา่ งเช่น เพง่ สี สเี ขียวหรือสีอะไรก็ได้ สิง่ ท่เี พง่ นั้นมันตายตวั ใชไ่ หม เขยี วกเ็ ขยี วตลอดไป ขาวก็ขาวไมเ่ ปลยี่ น พทุ โธก็พทุ โธไมเ่ ปลี่ยนไป มนั เปน็ อารมณ์ทต่ี ายตวั คงทแ่ี นน่ อน แต่ลมหายใจเป็นส่ิงท่ีเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา  อยู่ได้ด้วย การเปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้น ลมหายใจจงึ เปน็ กรรมฐานหรือ เป็นส่ิงทเี่ ป็นทีต่ ้งั เปน็ ฐานของการพฒั นาจิตทง้ั ด้านความสงบ ชยสาโร ภกิ ขุ 127

และดา้ นปญั ญา ลมหายใจใช้ไดท้ ง้ั สองทางเลย เพราะมคี วาม เกดิ ดับ มคี วามเปลีย่ นแปลงอยตู่ ลอดเวลาอยู่แลว้ ส่ิงหนึ่งท่ีเราควรจะสนใจศึกษาในการปฏิบัติ  คือ ความสมั พนั ธร์ ะหว่างกายกบั ใจ นีเ่ ป็นเร่อื งใหญ่มาก ทุกวันนี้ หมอแผนปัจจุบันเริ่มจะยอมรับว่าอารมณ์ความรู้สึกมีผลต่อ ร่างกาย เช่น คนท่จี ิตใจไมเ่ ครียดจติ ใจผ่อนคลาย มีสตมิ ีสมาธิ จะมภี ูมิตา้ นทานโรคท่เี ขม้ แข็ง ถ้าเกิดกลัดกลมุ้ ซึมเศรา้ มี ทุกข์ แลว้ นอกจากจะเป็นปัญหาทางจิตใจแลว้ ยังส่งผลทำ�ให้ ภูมิต้านทานโรคอ่อนกำ�ลังไปด้วย  คนท่ีมีปัญหาจิตใจเครียด ซมึ เศร้านนั้ มกั จะเป็นโรคตา่ งๆ ไดต้ ลอดเวลา เป็นหวดั เป็น สารพดั อยูบ่ อ่ ยๆ นก่ี เ็ ปน็ ตวั อยา่ งที่แสดงว่าจติ ใจ ภาวะจติ ใจ อารมณ์ มีผลตอ่ รา่ งกาย ขณะเดียวกันร่างกายก็มีผลต่อจิตใจ  ถ้าร่างกายเรา อยใู่ นอาการผดิ ปกติ อย่างเชน่ เจ็บปวด เปน็ ตน้ ความเจบ็ ปวด เป็นเร่ืองของกายแต่มักจะส่งผลให้เกิดความเศร้าหมองทาง จติ ใจ ความสัมพนั ธ์ท่ีองิ อาศยั กนั ระหวา่ งกายกับใจจึงเป็น เร่อื งสลับซับซอ้ น การเขา้ ใจตวั เองตามความเปน็ จริง เป็นเป้า หมายของการปฏิบัติ  ส่ิงน้ีเป็นส่ิงท่ีเราต้องสนใจศึกษาและ การดูลมหายใจเป็นส่วนหน่ึงของการศึกษาในเร่ืองน้ี  เพราะ เราเห็นไดง้ ่ายๆ วา่ เวลาอารมณเ์ รารนุ แรง เชน่ มีอารมณ์โกรธ หัวใจก็เต้นแรงเร็ว ลมหายใจกห็ ยาบ ความรู้สึกและอารมณก์ ็ หยาบ แต่เมอ่ื เราอยใู่ นภาวะปกติ ลมหายใจกป็ กติ ถา้ จติ ใจเรา 128 คลายปม

ละเอียดข้ึน  ลมหายใจเราก็ละเอียดข้ึนด้วย  การท่ีลมหายใจ ละเอยี ดเปน็ เครอ่ื งบอกเลยวา่ จติ ใจของเราก�ำ ลงั จะละเอยี ด ทีนี้มันมีอาการอย่างหนึ่งท่ีว่าลมหายใจหายไปเลยไม่ ปรากฏลมหายใจ การไม่ปรากฏมี ๒ กรณี กรณีหนึ่งคือ สติ ยงั ไมด่ ี สปั หงก มนั ไมร่ ับร้ตู ่อลมหายใจใช่ไหม แต่ถึงจะไม่ สปั หงกและมคี วามพยายาม ถ้าสติเรายงั ไม่มกี ำ�ลงั มาก พอ ลมหายใจเรมิ่ เปลยี่ น เรมิ่ ละเอยี ด สติซงึ่ พอท่จี ะเป็นตวั ผลกั ดัน ให้ลมหายใจเริ่มละเอียดน้นั มนั ตามไม่ทนั สติมันตามความ เปลี่ยนแปลงของลมหายใจไม่ทัน  น่ีเป็นเครื่องบอกได้ว่าการ ก�ำ หนดยงั ไม่ถกู ตอ้ ง  มนั จะเปน็ ลักษณะเพ่งจนเกนิ ไป  ถา้ เพง่ มากจนเกินไปมันเหมือนว่าอยู่ใกล้เกินไป  เวลาลมหายใจ เปลย่ี นไป จะปรับตัวไม่ทัน มันจะขาดตวั สัมปชญั ญะ ขาดความ ร้ตู วั อยู่บ้าง ถ้าเกิดรู้สึกว่าลมหายใจไม่ปรากฏหรือจับยาก  แต่เรา รตู้ วั ว่ายงั มนี วิ รณอ์ ยู่ จิตใจยังไม่ผอ่ งใส ไม่สวา่ ง ไม่มปี ตี ิอะไร เราต้องถอยกลับมาสักก้าวสองก้าว  คือต้ังใจให้ลมหายใจ หยาบลงเล็กนอ้ ย คอื หายใจปกตลิ ึกๆ สัก ๒-๓ คร้ัง จนกระทั่ง สติตามจับลมหายใจได้อีกคร้ังหน่ึง  แล้วก็เร่ิมต้นใหม่  ต้อง ระมัดระวัง  ถ้ารู้ว่าเราจับลมในระดับน้ี  ถ้าทำ�ต่อเน่ืองลมจะ เปลี่ยนเราก็ต้องคอ่ ยๆ เพ่ิมพลงั สตใิ ห้พอดีกบั ลมอยู่ทกุ ขณะ นเ่ี ปน็ ศิลปะของการดูลมหายใจ  มันไม่เหมือนกับการ ดูกสิณ หรือดูสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ว่าตายตัว พยายามตั้งเอาจิตไว้ ชยสาโร ภกิ ขุ 129

เพราะส่ิงท่ีผู้กำ�หนดก็เปล่ียนแปลงและส่ิงท่ีถูกกำ�หนดก็ เปลย่ี นแปลง นเ่ี ปน็ ความยากของการดลู มหายใจ  จติ ใจเราดี สตเิ ราดี ลมหายใจกจ็ ะละเอยี ดเขา้ แผว่ เบาแทบจะไมร่ สู้ กึ เลย สุดท้ายก็ไม่มี  แต่ท่ีไม่มีน้ันคือไม่มีในสัญญาเท่าน้ัน  มันรู้สึก เหมอื นไมม่ ี หรอื วา่ จติ บอกวา่ ไมม่ ี ทจ่ี รงิ มนั มแี ละมพี อทจ่ี ะอยไู่ ด้ ครูบาอาจารย์บางองค์ยังยืนยันว่าเวลาลมหายใจทางจมูกทาง ปากออ่ นลงมาก จะหายใจทางผวิ หนงั คนทเ่ี คยไปอนิ เดยี คง ทราบว่าพวกโยคีท่ที ำ�ปราณยาม  ฝึกลมหายใจสามารถฝังดิน ไดเ้ ปน็ เดอื น หายใจวนั หนง่ึ ไมก่ ค่ี รง้ั อะไรอยา่ งน้ี ชา้ ลงมากๆ ก็ยังอยู่ได้ไม่เป็นไร  ส่ิงท่ีเราต้องจำ�ไว้ก็คือถ้าเรารู้สึกไม่มีลม หายใจนน่ั เปน็ แคค่ วามรสู้ กึ เปน็ สญั ญาและไมเ่ ปน็ อนั ตราย ถา้ เราเคยถึงจุดน้แี ลว้ เกิดกลวั ก่อนจะเรม่ิ นั่ง ใหท้ บทวน กับตัวเองวา่ ครูบาอาจารย์ทั้งหลายท่านบอกว่า ถา้ เกดิ อาการท่ี วา่ ลมหายใจไม่ปรากฏนน้ั ไมเ่ ป็นอันตราย นกึ ถึงหลวงปู่ หลวง พอ่ องคท์ เี่ ราเคารพนับถือ นกึ ถึงท่ที า่ นบอกว่าไมเ่ ปน็ ไร ไมม่ ี อนั ตรายหรอก พอเราถึงจดุ นนั้ กจ็ ะนกึ ถึงทา่ นได้แล้วก็จะผ่าน มนั ไป ทีจ่ ติ ใจสงบแนว่ แนเ่ รียกว่าเขา้ อัปปนาสมาธิ มนั จะเปน็ ชว่ งท่ีจิตใจสว่างมาก แต่กอ่ นทจี่ ะเข้าถึงจดุ น้นั มันมขี อ้ สังเกต ขอ้ หนึ่งคอื โดยปกติแลว้ พอจติ ใจละเอยี ดเขา้ ๆ มันจะมีอาการ อยา่ งหนึ่งที่เกิดข้นึ ในจติ ใจ ตรงที่เราเคยดูลม ลมท่เี ป็นอาการ ของกายหายไป หายไป และมกั จะมีอาการทป่ี รงุ แต่งจากจิตใจ ขึ้นมาแทน เป็นตัวแทนทเี่ ป็นนามธรรม 130 คลายปม

นามธรรมที่ปรากฏขึ้นทดแทนลมหายใจสำ�หรับแต่ละ คนจะไม่เหมือนกัน  บางคนอาจจะรู้สึกเหมือนเป็นแสง  เป็น แสงพระจันทร์ แสงพระอาทิตย์ บางครง้ั อาจจะรสู้ ึกเหมอื นกับ เป็นผ้าบางๆ บางคนเหมอื นจะเปน็ ภาพ บางคนเปน็ ความรู้สึก มันจะแล้วแต่สัญญาของแต่ละคน  แต่สรุปว่าจะเป็นสิ่งที่งาม มาก เป็นสิ่งท่ีเรารสู้ ึกสนใจ จะงามตา จะงามหู ก็แลว้ แตว่ า่ มัน จะงามอะไร มนั จะเหมือนปยุ นุ่น มอี ะไรบางๆ มนั ละเอียด น่ี เป็นส่ิงท่ีเป็นนามธรรมซึ่งไม่ใช่อาการของกายท่ีมักจะเกิดขึ้น ทดแทนในขณะท่จี ติ กำ�ลงั จะสงบ เพราะฉะน้นั เม่อื อาการทาง กายไม่ปรากฏ  เราก็กำ�หนดท่ีอาการน้ัน  อาการท่ีเป็นของเรา โดยเฉพาะซึ่งอาจจะไม่เหมือนคนอ่ืน เราต้องสงั เกตว่ามีอาการ อะไรท่ีจะนำ�ไปสู่ความสงบแน่วแน่ บางคนบางองค์อาจจะไม่ได้สนใจอย่างนั้น  คือพอ ถึงจุดนั้น แทนที่จะกำ�หนดภาวะจิต ขอใช้ศัพท์ว่า สมาธินิมิต สมาธินิมิตเป็นการใช้ความหมายทางเทคนิค เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น ในจิตใจที่กำ�ลังสงบ จะเป็นภาพ เป็นเสียง เป็นความรู้สึก ก็ได้ ที่เกิดขึ้นทดแทนอาการของกายที่เรากำ�ลังพิจารณาอยู่  บางองค์บางท่านกำ�หนดจิตเข้าสู่ความสงบทันที  เหมือน กับลงลิฟท์ วืดไปเลย จะมีความรู้สึกอย่างนั้น ครูบาอาจารย์ บางองค์ก็แนะนำ�ว่าพอถึงจุดนี้ให้กำ�หนดตัวผู้กำ�หนด ตัวผู้รู้ ตัวจิต เราไม่ได้กำ�หนดลมหายใจแล้ว เรากำ�หนดตัวจิต ตัวผู้ กำ�หนด แล้วการที่เราหันมาสนใจผู้กำ�หนดลมหายใจ หรือผู้ที่ ชยสาโร ภิกขุ 131

กำ�ลังสงสัยว่ากำ�ลังจะทำ�อะไรต่อไป ตัวนั้นแหละจะเป็นสิ่งที่ จะกำ�หนด แล้วจะนำ�ไปสู่ความสงบแน่วแน่ อันนี้ชัดเจนไหม ฟังยากไหม ๕๓ถาม : ขอพระอาจารย์เมตตาอธิบายเรื่องทุกขเวทนา ที่เกิดข้ึนระหว่างน่ังสมาธิ  เราควรพิจารณาหรือปฏิบัติต่อ ทกุ ขเวทนาอย่างไร ท่เี รยี กวา่ ใชป้ ญั ญา ตอบ : การใช้ปัญญาคือการใช้วิธีที่ได้ผล  บางคร้ังวิธี ท่ีฉลาดในการใช้ปัญญาคือใช้พลังจิตของเวทนา  ถ้าสมาธิเรา ดี เรากส็ ามารถจะลมื เวทนาได้ น่ันเปน็ วธิ หี น่ึง กไ็ ม่ใช่วา่ เปน็ วิธที ี่เหมาะหรอื ดเี สมอไป แต่เปน็ วธิ หี นงึ่ เชน่ สมัยกอ่ น มคี รูบา อาจารย์ท่ีท่านนอนป่วยตั้งหลายปี  เวลาท่านปวดทรมานกาย ท่านกไ็ ปอยู่ในสมาธิของท่าน ไม่ตอ้ งรับรูต้ ่อร่างกาย ก็เปน็ วิชา เป็นความสามารถอย่างหน่ึงที่น่าสนใจ  แต่สมาธิเรายังไม่ถึง ขน้ั น้ัน เรายงั ไม่สามารถท�ำ อยา่ งนั้น แลว้ ก็ไมใ่ ช่วา่ จะเป็นวธิ ที ่ี เหมาะสมเสมอไป เราใชป้ ญั ญาพจิ ารณาทุกขเวทนา คอื เราสามารถเจริญ อานาปานสตพิ รอ้ มกับการมที ุกขเวทนาได้ โดยการกำ�หนดลม หายใจตรงจุดทีก่ �ำ ลงั ปวด อันนี้ยังเป็นฝา่ ยสมถะ คอื ยงั ไม่ได้ มุง่ ทีจ่ ะแยกแยะหรือที่จะเห็นไตรลักษณ์ แตห่ ายใจเข้าหายใจ ออกอยู่ตรงท่ีมันเจ็บปวด  ให้มันรู้สึกเย็น  ให้มันสบายอยู่ตรง จุดนัน้ เปน็ การใชส้ ัญญา สญั ญาของความเย็น ของความสงบ 132 คลายปม

รู้สึกเหมือนกับลมหายใจเข้าออกตรงจุดที่ปวด  น่ันเป็นการ รกั ษาอยา่ งหนง่ึ การรกั ษานี้มนั ไดผ้ ลเพราะอะไร ทุกขเวทนามี ๒ สว่ น ส่วนหนึ่งเปน็ อาการของกาย สว่ นหนึ่งเปน็ อาการทางใจ อาการ ทางใจเป็นปฏิกิริยาท่ีเกิดจากกิเลสตัณหา  ไม่อยากให้มันเป็น อยา่ งนน้ั กลัว กังวล รังเกียจ นอ้ ยใจ เปน็ ต้น แตม่ ันเกดิ เร็วมาก การเกิดของมนั แทบจะอตั โนมัติ จนกระท่งั คนทวั่ ไปทไ่ี มภ่ าวนา จะไมท่ ราบเลยว่าความเจบ็ ปวดมี ๒ สิง่ ผสมกัน เพราะนกึ วา่ เป็นอันหนึง่ อนั เดยี วกัน ถ้าเราภาวนาอยา่ งทีว่ ่านั้น เราก็ใชห้ ลักจติ วิทยาวา่ ใน ขณะจิตหนึ่ง จติ จะต้องเปน็ กศุ ลหรืออกศุ ล จะมีสง่ิ ทเี่ ปน็ กุศล กับส่ิงท่ีเป็นอกุศลอยู่ในขณะจิตเดียวไม่ได้  ถ้าจิตกุศลก็ไม่ใช่ อกุศล  อกุศลก็ไม่ใช่กุศล  เพราะฉะน้ันเราทำ�จิตใจของเรา เป็นกุศล เช่น เมตตาเปน็ เพอ่ื นกับเวทนา ก็ตง้ั ใจว่าเปน็ เพือ่ น หายใจเข้าหายใจออกเหมือนกับว่าลูบคลำ�ให้กำ�ลังใจเพื่อนท่ี ก�ำ ลังทุกข์ อันน้กี ็เปน็ กศุ โลบายใหจ้ ิตใจเป็นกศุ ล ในขณะทีเ่ ราเปลยี่ นจติ ให้เปน็ กุศล สว่ นของทกุ ขเวทนา ท่ีเปน็ ฝ่ายจิตใจฝ่ายโกรธ เกลยี ด รังเกยี จ นอ้ ยใจ เสยี ใจ กลัว กังวล เป็นต้น ตอ้ งดบั อยู่ไม่ได้ เพราะถ้าจติ กุศลกไ็ มใ่ ชอ่ กศุ ล ฉะน้ันแค่การปรุงแต่งจิตให้เป็นกุศลก็เป็นการไล่อกุศลออก จากจติ ใจชั่วคราว ท�ำ ให้ทุกขเวทนาน้อยลง เหลือแตส่ ่วนที่เปน็ ทางฝา่ ยสรีระ นีก่ ็เปน็ วิธหี นึ่ง และเม่ือท�ำ เสร็จแลว้ พอออก ชยสาโร ภิกขุ 133

จากสมาธิ เราทบทวนเราก็ได้บทเรยี น เราเหน็ ว่าท้ังท่ยี ังไมไ่ ด้ เปลีย่ นอริ ิยาบถ เหตปุ จั จัยทางกาย ยังเหมอื นเดมิ น่าจะปวด มากขึ้นดว้ ยซา้ํ ไป แตค่ วามเจ็บปวดเปลี่ยนแปลงไปเพราะเรา ปรงุ แตง่ จติ ไปในทางกุศล ท�ำ ให้เราไม่เช่ือเวทนาต่อไปเหมือน ท่ีเราเคยเชื่อ เหมอื นท่ีเราเคยกลวั นก่ี ็เป็นอีกวธิ หี น่งึ แต่ถ้าเราจะดูโดยตรง  เราก็เอาตัวเวทนาเป็นที่กำ�หนด เปน็ ที่พจิ ารณา เชน่ เราดวู า่ จุดทมี่ นั ปวดนนั้ มันคงทไี่ หม มนั น่ิงหรือมันเคลื่อนที่  ดูตรงนี้ก่อนว่ามันเคล่ือนท่ีไหม  ลักษณะ ของความเจบ็ ปวด มันคงท่ีไหม หรอื มนั เปล่ียน อย่างเช่นบางที มนั ร้อน บางทีมันทิ่มแทง บางทมี นั ปวด มอี าการหลายอย่าง ไม่เหมือนกนั แล้วตวั แปรท่ี ๓ คืออตั ราของเวทนา มันคงท่ี ไหม หรอื ว่าเดยี๋ วปวด แลว้ ก็ปวดมากข้นึ ๆ แล้วกน็ อ้ ยลง มา เปน็ ระลอกไหม เรากด็ ตู ัวแปรทัง้ สามวา่ จุดปรากฏของเวทนา ลักษณะของเวทนา และอตั ราความเจบ็ ปวดของเวทนา และดู ความไมแ่ น่นอน ความเปล่ยี นแปลง ดคู วามไม่เทีย่ งของมัน น่ี เป็นการใช้อนิจสญั ญาไปปฏิบัติต่อทุกขเวทนา น่ีเป็นการที่เราให้จิตใจมีงานทำ�  คือมีการพิจารณา ความไม่เที่ยงของเวทนา  ก็มีผลคล้ายกับการมองเวทนาเป็น เพื่อน  หรือการท่ีว่าเราหายใจเข้าหายใจออกอยู่ในตัวเวทนา เปน็ กุศโลบายที่ท�ำ ให้จติ ของเราเป็นกศุ ล คอื มงี านท�ำ มีงาน พิจารณาความจริงของส่ิงที่กำ�ลังปรากฏ  เพื่อจะระงับส่วนท่ี เป็นนามธรรมฝา่ ยอกศุ ลได้ เหลือแตอ่ าการทางสรีระ ซึง่ เรา 134 คลายปม

ถือว่าเป็นทกุ ขข์ องสังขาร ธรรมดาของสังขารไมม่ ีเจ้าของ เห็น ว่าเป็นอนตั ตา มันเปน็ ไปตามเหตุตามปจั จยั เพราะน่งั อยา่ งน้ี ในอิรยิ าบถอย่างน้เี ป็นเวลาหลายสิบนาที มันจงึ เจบ็ ปวดอย่าง นี้ ไมม่ ีใครดลบันดาลให้มนั เปน็ อยา่ งน้ี ไม่มใี ครลงโทษเรา เป็น เรือ่ งของธรรมชาติ เร่ืองของการเป็นมนษุ ยท์ ี่มรี า่ งกายแบบน้ี เรียกวา่ เป็นทุกข์ของสงั ขาร วิ ธี พิ จ า ร ณ า อี ก อ ย่ า ง ห น่ึ ง คื อ ก า ร ท่ี เ ร า ส า ม า ร ถ แยกแยะระหว่างผู้พิจารณาและสิ่งที่พิจารณา  ให้เห็นว่า ผ้รู คู้ วามเจบ็ ปวดกบั ความเจ็บปวดไม่ใช่สิ่งเดยี วกนั วิธนี ก้ี ็ จะนำ�ไปสู่ปัญญาเช่นเดียวกัน  เมื่อเราเห็นว่าตัวผู้รู้ต่างจากตัว เวทนา เราก็จะรูส้ ึกเป็นอสิ ระจากเวทนาได้ ๕๔ถาม : ครบู าอาจารยส์ อนวา่ การปฏบิ ตั สิ มาธภิ าวนาเปน็ เรอ่ื งส�ำ คญั มาก หากรกั ษาจติ ใหส้ งบไดแ้ มเ้ พยี งระยะสน้ั ๆ จะได้ บญุ อานสิ งสม์ หาศาล ขอพระอาจารยโ์ ปรดอธบิ ายขยายความ ตอบ : บญุ คือเคร่ืองช�ำ ระสันดาน อนั น้ตี ามคัมภีร์ การ ช�ำ ระสนั ดานนั้นยอ่ มนำ�ไปสคู่ วามสุข แทนทจี่ ะเน้นในเรื่องการ ช�ำ ระ บางทกี ็เน้นในเรอ่ื งความสขุ ที่เกดิ ขน้ึ นนั่ เป็นเรอื่ งของ บญุ การให้ทานเปน็ บญุ เพราะเป็นเรื่องการชำ�ระความตระหน่ี เป็นการชำ�ระความยึดติดในวัตถุส่ิงของว่าเป็นเราเป็นของเรา ถา้ ท�ำ โดยหวงั สิ่งตอบแทน อยา่ งเช่น อยากได้หนา้ ได้ตาเป็นต้น บญุ ก็นอ้ ยลง แต่ก็ยงั ไดบ้ ุญอยเู่ พราะมีการเสียสละของของตน ชยสาโร ภิกขุ 135

แก่พระศาสนา หรอื ให้เป็นประโยชน์ตอ่ คนยากจนก็แล้วแต่ แต่ เน่ืองจากยังมีความอยากได้อยู่ในใจจะทำ�ให้การชำ�ระภายใน มีน้อยลง แต่กย็ งั ยอมรบั วา่ เปน็ ส่ิงที่ดี การรักษาศลี กเ็ ป็นการทำ�บญุ ข้อน้ชี าวพทุ ธสว่ นมากจะ มองขา้ มวา่ การถอื ศลี หา้ เป็นการท�ำ บุญ งดเวน้ จากการฆา่ สตั ว์ ก็คือทำ�บุญ ทำ�บญุ ได้ท้ังวนั เลย ถึงแม้ว่าไม่มโี อกาสใสบ่ าตร ไม่มีโอกาสไปวัดไปวา  เพียงแค่ระมัดระวังสิ่งท่ีทำ�คำ�ท่ีพูด ส�ำ รวมในการแสดงออกทางกายทางวาจา นีก่ ็ได้บญุ เป็นการ ชำ�ระกิเลสท่ีจะทำ�ท่ีจะพูดในสิ่งท่ีเบียดเบียนตนเบียดเบียนคน อนื่ น่ีคือการชำ�ระ แต่เราถือว่าการทำ�สมาธิหรือการฝึกจิตเป็นบุญอย่าง ยิ่งเพราะเป็นการแก้ที่ต้นเหตุ  ปัญหาท้ังหลายท่ีเกิดข้ึนในชีวิต มันเกิดจากจิตใจ  เกิดจากอวิชชา  ตัณหา  ไม่ว่าปัญหาส่วน ตวั ปญั หาครอบครวั ปญั หาสังคม ปัญหาชมุ ชน หรอื ปัญหา ระหวา่ งประเทศ สาเหตุส�ำ คญั ลว้ นอยู่ท่อี วิชชา อยทู่ ต่ี ณั หา อยู่ ทีก่ ิเลสของคน การทเี่ รามาปฏบิ ัตธิ รรมคอื การแก้ปัญหาโลกท่ี ตน้ เหตุ ไม่ใชจ่ ะไปนง่ั หลบั ตาใหเ้ สียเวลาเปลา่ ๆ ตรงกันขา้ ม น่ี คือการแกท้ ี่ต้นเหตุ จึงเปน็ บุญอยา่ งยง่ิ เราจะเหน็ ว่าถา้ ยงั ไม่เปลีย่ นจติ ใจของคน กิเลสยงั เต็ม หวั ใจอยู่ ถึงจะเปล่ียนระบบการปกครองกอ็ าจมผี ลดีในระยะ ส้ันๆ แล้วก็กลับมาเหมอื นเดมิ เพียงแต่ว่าเปล่ียนตัวผู้เอารัด เอาเปรียบเท่านน้ั เอง ชนช้นั นำ�ช้ันผปู้ กครองเปลย่ี นไป แตว่ ่า 136 คลายปม

ระบบกดข่ียังไม่ต่างกันเท่าไหร่  ระบบกดข่ีเบียดเบียนเกิดจาก อะไร ก็เกิดจากเจตนาของคนจะกดขจี่ ะเบียดเบียนด้วยใจของ คนท่ียังไม่ได้ชำ�ระ  การปฏิบัติภาวนานี่แหละท่ีช่วยชำ�ระนิสัย สันดานหยาบต่างๆ จึงเป็นการสรา้ งบญุ สร้างกุศลท่ยี ง่ิ ใหญ่ ๕๕ถาม : ขอพระอาจารย์โปรดเมตตาแนะนำ�วิธีที่ช่วยให้ จิตรวมเปน็ สมาธเิ รว็ ข้ึน น่งั ตั้งนานพอจติ เริ่มรวม ลมหายใจเรมิ่ ละเอียดกก็ ระดิ่งพอดี ตอบ : นี่เป็นข้อจำ�กัดของการน่ังเป็นกลุ่ม  หรือการ ที่มกี �ำ หนดเวลาบังคบั ถ้าอยู่คนเดยี วไมจ่ �ำ เป็นตอ้ งดูนาฬกิ าก็ นง่ั จนกระท่งั จิตรวมได้ เม่ือเข้ากลุ่มอย่างนต้ี อ้ งท�ำ ใจบา้ ง สว่ น เรื่องจะทำ�ให้เร็วขึ้นก็ไม่แน่นอนว่าจะทำ�ได้หรือไม่เพราะเป็น เรือ่ งของกำ�ลงั จติ อาตมาขอแนะนำ�นดิ หนอ่ ยวา่ ตอนเร่ิมนง่ั ไม่จำ�เป็นต้องดูลมหายใจหรือกำ�หนดอารมณ์กรรมฐานของ ตนทันที พยายามยํา้ เรอื่ งน้บี อ่ ยๆ วา่ ต้องเตรียมใจกอ่ น ถา้ จติ ใจยังอยใู่ นสภาพทหี่ ยาบ เราจะให้จิตทำ�งานละเอยี ด มนั เป็นการฝืนมากเกินไป สิง่ ที่ตอ้ งการคอื ความพอใจความยินดี ความกระตอื รือรน้ ต้องการให้มีเป้าหมายชัดเจน ต้องการให้ ระมัดระวังสิ่งทีม่ ักจะเปน็ ปัญหาบอ่ ยๆ อยา่ งเช่น ถา้ เรานงั่ สมาธิในช่วงทม่ี ปี ญั หาทีท่ ำ�งานหรอื กำ�ลังมีเร่ืองวิตกกังวลเร่ืองใดเร่ืองหนึ่ง  แทบทุกครั้งท่ีน่ังสมาธิ เร่ืองน้ันมักจะผุดขั้นมาเป็นอุปสรรค  ก่อนท่ีเราเริ่มกำ�หนดลม ชยสาโร ภิกขุ 137

หายใจตอ้ งคุยกับตัวเองเสียก่อนว่า ช่วงนี้ ๓๐ นาที ๔๕ นาที หน่ึงช่ัวโมงตอ่ จากน้ี เปน็ ชัว่ โมงของการฝึกจติ ให้สงบ เราจะไม่ คิดเรอื่ งนั้น เรื่องท่ีทำ�งาน เร่อื งท่เี รากำ�ลงั กงั วลอยู่ ไมใ่ ชเ่ วลา ต้องตกลงกับตวั เองเสรจ็ แลว้ จงึ นงั่ สมาธิ ถา้ ความคดิ นน้ั ผดุ ขน้ึ มา สัญญาจากตอนต้นท่ีวา่ เราจะไมค่ ิด เรื่องนัน้ มันจะตามมา ทันที มนั จะสะกดรอยตามมาแลว้ บอกวา่ ไม่ ไม่เอา เพราะเรา เพง่ิ ตกลงเม่ือกวี้ ่าเราจะไมค่ ดิ เร่อื งน้นั มนั จะเร็วมาก ยังไมท่ นั ปรุงแต่ง ยงั ไม่ถึงหลงใหลกับความคิดนน้ั ข้อตกลงจากเมือ่ กีน้ ้ี จะเกดิ ขน้ึ ดับความคิดน้นั ได้ น่กี เ็ ป็นเทคนิคอยา่ งหนึง่ เรากร็ ถู้ ้าเรามเี ร่ืองหนักใจ เรอื่ งนั้นมกั จะกลบั มารบกวน เบื้องต้นของการทำ�สมาธิ  เราก็เตรียมตัวไว้ก่อนนะว่าเราจะ ไม่คิดเร่ืองน้ัน  เราจะไม่ยินดี  ความคิดท่ีเกิดขึ้นก็จะดับไปใน จิตใจ ความคดิ เกดิ ข้ึนนี่ยังไมเ่ ปน็ ปญั หา แตป่ ัญหาคือเรายนิ ดี ต้อนรบั แล้วสานตอ่ เราจะหา้ มไม่ให้ความคดิ เกิดเลย เราหา้ ม ไม่ได้  แต่เราห้ามยินดีห้ามต้อนรับได้  อันนี้เราก็คุยกับตัวเอง ก่อน ยังไมท่ ันเร่มิ หรอื กรณีที่ชว่ งนีก้ ำ�ลงั มปี ญั หากบั ความงว่ ง เราก็รู้ว่าครั้งนี้เราต้องเจอกับความง่วงแน่  เพราะทุกครั้งท่ีน่ัง มันชอบง่วง เราตอ้ งระมดั ระวงั ให้มากอย่าใหง้ ่วง ไมต่ อ้ งคดิ เอา สมาธอิ ะไรมาก เอาแค่วา่ นงั่ ไม่ให้งว่ งเป็นเป้าหมายก่อน ท�ำ อย่างไรเราจะน่งั ไมใ่ ห้ง่วง เม่ือเรามีความระมัดระวังมากเร่ืองความง่วง  ถือเป็น เป้าหมายทีเดียว  พอมันเร่ิมมีอาการ  เราจะรู้สึก  เราจะไวต่อ 138 คลายปม

ความเกิดขึ้นต่ออารมณ์คือความง่วง  เราจะป้องกันและแก้ไข ได้ทัน  ถ้าร่างกายน่ังอยู่ในอิริยาบถที่เหมาะสม  สำ�รวจจิตใจ แลว้ บางทีเกิดความเบ่อื ก็เปน็ ได้ บางทีก็รูส้ กึ เฉยๆ ถา้ เราไม่ได้ สังเกตอารมณ์นี้ ซงึ่ มันอย่เู บ้อื งหลงั หรอื เป็นความคดิ ทเ่ี ป็นฉาก แลว้ มนั จะมีผลตอ่ การท�ำ สมาธทิ ำ�ใหล้ ่าช้า ถา้ เราจับความร้สู กึ ท่ีเป็นอกุศลเหล่านี้ได้ตั้งแต่แรก  แล้วหากุศโลบายท่ีจะจัดการ ความรู้สึกเหล่าน้ีจนกระทั่งเกิดความตั้งอกตั้งใจในการฝึกจิต ให้สงบ นก่ี เ็ ป็นวิธีหน่งึ ทจ่ี ะทำ�ใหส้ งบเร็วขน้ึ ๕๖ถาม : เดินจงกรมสำ�คัญอย่างไร  ต้องทำ�ร่วมกับการ น่งั สมาธหิ รือไม่ ตอบ : ขอทำ�ความเขา้ ใจเกย่ี วกับการเดนิ จงกรม การ เดนิ จงกรมเปน็ วธิ ีเจริญสติ เจรญิ สมาธิ เจรญิ ปัญญาเหมอื นกบั การน่งั สมาธิ แต่การเดนิ จงกรมจะเหมาะสมในโอกาสตา่ งๆ ท่ี เรานั่งไม่ได้หรือน่ังไมส่ ะดวกหรือมโี รคประจำ�ตัวนั่งยากหรอื น่ัง ไมไ่ ด้นานเรามที างเลอื กก็เดินจงกรมแทนถา้ อยากปฏิบตั ิอย่าง เข้มขน้ และไดผ้ ล ตอ้ งปฏบิ ตั ติ อ่ เนือ่ งนานๆ หน่อย อยา่ งเชน่ ท่ี เรามาปฏบิ ตั ติ ้ังแตเ่ ช้าจนถงึ ๓-๔ ทุม่ น้ี ถา้ เราเอาแต่น่ังอยา่ ง เดียว คงจะไมต่ ่อเนือ่ งเท่าทีค่ วร ถงึ แมว้ ่าสามารถนั่งชั่วโมง สองช่ัวโมง จากนัน้ ถ้าไมเ่ ดนิ จงกรมกต็ อ้ งหยดุ พักผอ่ น การ เดินจงกรมจึงเป็นทางเลอื กหนงึ่ ในการปฏิบัติ แลว้ ก็เหมาะสม ในโอกาสทีเ่ ราเหนด็ เหนอ่ื ย ชยสาโร ภิกขุ 139

ยกตัวอย่าง เชน่ ตอนกลางคืนกลบั จากท�ำ งาน ถา้ ต้อง ไปน่ังสมาธภิ าวนาอาจจะง่วง เราเดนิ จงกรมดีกวา่ นอกจาก นั้นแลว้ จริตนิสยั คนเราไม่เหมือนกนั บางคนอาจจะรูส้ ึกวา่ การ เจริญสติทำ�จิตใจให้สงบจนเกิดปัญญาจะง่ายกว่าในขณะท่ี เดนิ จงกรม เพราะฉะนน้ั เราอาจจะเดนิ มากกวา่ นง่ั กไ็ ด้ ถา้ เรา เดนิ ในจงั หวะทธ่ี รรมดาๆ อยา่ งทเ่ี ดนิ กนั ทกุ วนั น้ี สมาธทิ เ่ี กิดข้ึน จะอย่ไู ดน้ าน นานกวา่ ตอนน่งั แล้วเปน็ สติเป็นสมาธิทป่ี ระยุกต์ ใชใ้ นชวี ติ ประจ�ำ วนั ได้งา่ ย การเดนิ จงกรมเรามกี ารเคลอื่ นไหว เราลืมตารับรู้ต่อสิ่งแวดล้อมในระดับหนึ่ง  มันไม่นิ่งทีเดียว เหมือนตอนนง่ั การฝกึ สติในอริ ยิ าบถเดนิ นน้ั จะมปี ระโยชน์มากตอ่ การ ท�ำ สติในชวี ิตประจ�ำ วัน เชน่ เราตอ้ งการเดนิ จากบ้านน้ันไป บา้ นนี้ เดนิ ขนึ้ บันไดลงบันได เปน็ ต้น ถา้ เราชินกบั การท�ำ สมาธิ ในอิริยาบถเดิน  เราก็สามารถเจริญสติในชีวิตประจำ�วันให้ มากขนึ้ อย่างไรกต็ าม หลกั การกค็ ลา้ ยกับตอนน่งั ตอ้ งใหจ้ ติ มี หลักที่จะอยู่เหนืออำ�นาจของนิวรณ์ให้ได้  ซ่ึงเราเอาส่ิงใดสิ่ง หน่งึ เปน็ เครอื่ งกำ�หนดของจติ ก่อนท่ีจติ จะปลอ่ ยวางทุกสิง่ ทุก อยา่ ง ต้องมีสิ่งใดสง่ิ หนงึ่ เป็นท่ีเกาะ เป็นเครือ่ งระลกึ ของสตเิ ปน็ เครอ่ื งร้ขู องจติ เสียก่อน เครอื่ งก�ำ หนดของจติ ระหว่างการเดนิ มใี ห้เลือกมาก เช่น ความร้สู กึ ในฝา่ เท้าหน่ึง คำ�บรกิ รรมพทุ โธ หนึ่ง การบรกิ รรมค�ำ อืน่ อยา่ งเชน่ อฐั ิ เปน็ ตน้ มกี ารผสมกันบา้ ง 140 คลายปม

เชน่ ก�ำ หนดความรู้สึกในฝ่าเทา้ ในสน้ เทา้ โดยเอาพทุ โธชว่ ย กำ�กับสตใิ หอ้ ยู่ตรงน้ัน อฐั ิกเ็ ช่นเดียวกนั อัฐิซ่งึ มคี วามหมายวา่ กระดูกก็พยายามทำ�ความรู้สึกในโครงกระดูกของตัวเองขณะ ท่เี ดิน จากนั้นกใ็ ช้คำ�บรกิ รรมแผ่เมตตา สง่ิ เหล่านล้ี ้วนแต่มีจุด ประสงค์ใหจ้ ติ ใจปลอ่ ยวางความฟงุ้ ซ่านการปรุงแต่งต่างๆ ให้ รวมเปน็ ผรู้ ตู้ ื่น เบกิ บาน อยใู่ นปัจจุบนั เมื่อจติ ใจของเราสงบ แล้วไมว่ ่าในอริ ยิ าบถน่งั หรือเดิน เราจงึ เจริญปญั ญาตอ่ ไป การเจรญิ ปัญญาขอแนะน�ำ ๒ วธิ ี วิธีที่  ๑  จิตใจท่ีสงบแล้วไม่ต้องกำ�หนดส่ิงใดสิ่งหน่ึง เหมอื นตอนที่เราเร่มิ ฝึก ตอนนเี้ ราสักแตว่ ่ารบั รู้ต่อไตรลกั ษณ์ ทีก่ ำ�ลังปรากฏอยู่ รูป เสียง กลิน่ รส สมั ผัส ธรรมอารมณ์ กาย เวทนา จิต ธรรม รปู เวทนา สญั ญา สังขาร วญิ ญาณ แล้วแต่ จะเรียกล้วนเป็นชือ่ ของสิ่งท่กี ำ�ลังปรากฏอยูใ่ นปจั จุบนั ไมต่ ้อง ต้งั ชื่อกไ็ ด้ ไมต่ ้องไปจัดหมวดหมู่ ให้เราร้เู พียงแต่ว่ามันเกิดแลว้ ดบั เอาความเกิดดบั เปน็ อารมณ์ ถา้ เราถนดั ในการพิจารณา เรื่องอนัตตา  เราก็พยายามอยู่กับความเป็นอนัตตาของส่ิงที่ ก�ำ ลงั ปรากฏอยู่ วิธีที่  ๒  คือเราเอาส่วนใดส่วนหน่ึงของกายมา พจิ ารณา อา่ นบทสวดมนตอ์ าการ ๓๒ ไลไ่ ปจนกระทั่งเจอ ข้อใดข้อหนง่ึ ท่ีรสู้ ึกว่าใช่ รสู้ กึ พอจะพจิ ารณาได้ และเมือ่ จติ ใจ สงบแลว้ เราก็ยกขอ้ นัน้ จะเปน็ ผม ขน เล็บ ฟัน หนงั กแ็ ล้วแต่ เอาข้ึนมาพิจารณา  คือพยายามนึกภาพ  และคิดถึงความไม่ ชยสาโร ภิกขุ 141

เทย่ี งเปน็ ทุกขเ์ ป็นอนตั ตา เราใชก้ ุศโลบายตา่ งๆ เพ่ือใหค้ วาม เป็นอนิจจัง ทุกขงั อนัตตาชัดขึ้น ไม่ว่าเราจะพิจารณาความเกิดดับของส่ิงท่ีปรากฏอยู่ ในปัจจุบัน หรือเราจะต้ังใจใหเ้ ห็นส่วนใดส่วนหน่งึ ของกายว่า ไมเ่ ที่ยงเปน็ ทุกขเ์ ปน็ อนตั ตา ถา้ จติ ใจเรมิ่ จะปรุงแต่ง เร่มิ จะคิด นอกเร่ือง  การพิจารณาไม่ได้อยู่กับสิ่งที่เราต้ังใจจะพิจารณา เราตอ้ งกลับไปอยู่กับอารมณก์ รรมฐานเดิม เพราะการทจ่ี ิตใจ ไม่อยู่กับการพิจารณาเป็นเคร่ืองบอกแล้วว่าสมาธิไม่พอ  ถ้ากำ�ลังสติกำ�ลังสมาธิไม่พอ  ให้เรากลับไปทำ�ความสงบต่อ  จนกระทง่ั รสู้ ึกวา่ จิตใจมกี �ำ ลังพอแลว้ จงึ คอ่ ยพิจารณาต่อ อย่างไรก็ตาม  เราไม่จำ�เป็นต้องห่วงว่าจิตใจเร่ิมสงบ แล้ว แตไ่ มไ่ ด้พิจารณาอะไร ยังไมไ่ ด้เกิดปญั ญาอะไร ก่อนอน่ื เราตอ้ งทำ�สมาธขิ องเราให้หนกั แน่นมนั่ คงพอสมควร อยา่ เพ่ิง ใจรอ้ น ในระยะสั้นเราอาจจะรูส้ ึกว่าการรบี ไปพจิ ารณาเหมอื น กับไดก้ �ำ ไรทนั ตาเหน็ แตใ่ นระยะยาวการให้ความสำ�คัญและ ให้เวลากบั การเจริญสมาธิให้มีก�ำ ลังมากขน้ึ จะมปี ระโยชน์ตอ่ ปัญญา  ทำ�ให้การพิจารณาของเราคล่องแคล่วและเจาะลึก กว่าจติ ใจทมี่ ีก�ำ ลังสมาธินอ้ ย 142 คลายปม



ขอขอบคณุ และอนโุ มทนาบญุ ผถู้ อดเทปและพมิ พต์ น้ ฉบบั ถาม-ตอบปญั หาธรรมะ ซง่ึ เปน็ ทม่ี าของหนงั สอื “คลายปม” สภุ าวดี จันทรทัต ณ อยุธยา จนั ทร์เพ็ญ ศิวะพรชัย พอศรี อนิ ดี นสุ รา เมฆรุ่งเรอื งไกร น้ําทิพย์ กิตติธากรณ์ สดุ าพร สมพงษ์ ภาวนา มโนมัยวงศ์ ปริศนา สวา่ งทัพ ธัญวรรณ เจียมสนิ กุล พนดิ า วงศห์ นองเตย ม.ล. ศศิภา จันทรทัต อริสรา สินธเุ สน สริ ิกุล ธีรวิกรานต์ พัชรนิ ทร์ วงษเ์ ค่ยี ม กณุ ฑลา ศริ อิ กั ษร


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook