Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คลายปม ๑

คลายปม ๑

Description: คลายปม ๑

Search

Read the Text Version

ทำ�ไมชาวพุทธเราทำ�ไม่ได้  เรามีแต่อ้างสังคมอยู่ ตลอดเวลา ถา้ เราตอ้ งการให้เป็นสังคมพทุ ธ เรากต็ ้องยืน หยัดในหลักการของเรา  ไม่ใช่ว่าอนุโลมในทุกส่ิงทุกอย่าง ท่ีมันตรงกับกิเลสของเรา  และถ้าหลายๆ คนช่วยกันบอก วา่ ไมด่ ื่ม กจ็ ะไม่ถือวา่ เป็นเร่ืองใหญ่ จะกลายเป็นทยี่ อมรับได้ ถ้าจะมีปาร์ต้ีงานสังสรรค์ก็ควรจัดเครื่องดื่มสำ�หรับผู้ท่ีงดเหล้า มันไม่เห็นจะยากอะไร  อาจจะเป็นน้ําองุ่น  หรือน้ําผลไม้ก็ได้ สติปัญญาของเราปกติมันก็ไม่ใช่ว่าจะสมบูรณ์นะ  รักษา ได้ยากอยู่แลว้ ยิ่งถ้าดม่ื เหล้าน่ถี ึงจะเลก็ นอ้ ยกน็ ับเป็นการ เบยี ดเบียนสตปิ ญั ญาของตนเอง ในส่วนท่ีว่าด่ืมแล้วไม่เมา  ขอถามว่าชอบด่ืมที่ตรงไหน สมมตวิ า่ คนชอบเพราะมันชว่ ยท�ำ ให้กลา้ ใช่ไหม โดยเฉพาะ คนท่ีไม่ค่อยเชื่อมั่นในตนเอง  พูดง่ายๆ  คือ  เหล้าละลาย หิริโอตตัปปะ  มีใครไหม  กินแล้วไม่เมา  กินแล้วไม่เคยพูด สง่ิ ไม่ควรพดู ถ้าตอบวา่ ผมกินแล้วผมไมเ่ มาหรอก รบั รองได้ ไหมว่าไม่เคยทำ�อะไรที่ว่า  ในภายหลังรู้สึกเขินรู้สึกละอายที่ พูดไปหรือทำ�ไปเพราะฤทธ์ิของเหล้า  อาตมาว่าเราจะพูดสิ่ง ทไ่ี มค่ วรพดู ทำ�ส่ิงทไ่ี มค่ วรทำ�เปน็ เร่อื งธรรมดา เรื่องดม่ื เหล้า มนั มโี ทษตอ่ สังคมมาก ตามสถิตทิ ีเ่ ขารวบรวม ตอนนค้ี น ไทยดืม่ นา้ํ เมาเป็นอนั ดบั ตน้ ๆ ของโลกทีเดยี ว เขาเรยี กวา่ บริโภคตอ่ หวั หรือต่อตบั ปีหนึง่ เป็นรอ้ ยๆ ลติ ร เป็นเรื่อง ท่ีนา่ คดิ น่าเป็นห่วงจรงิ ๆ ชยสาโร ภกิ ขุ 45

๑๘ถาม : ขอถามเรื่องศีล  ๕  ว่าการที่เรารักษาศีลด้วย กาย วาจา แต่ใจคดิ ไม่ค่อยดี เช่น คิดทำ�รา้ ยผ้อู ่นื แตไ่ ม่ไดท้ �ำ คิดชอบในสงิ่ ท่ีเจ้าของหวง ถือวา่ ผิดศีลหรือไม่ ตอบ : ไม่ผิดศลี เรือ่ งนเ้ี ป็นเรอ่ื งที่ส�ำ คัญมาก เราจะ สังเกตได้ว่าศาสนาอื่นไม่ค่อยเข้าใจในเร่ืองนี้  อย่างศาสนา ครสิ ตไ์ ม่เขา้ ใจ อาตมากลา้ พูดอยา่ งนเี้ พราะวา่ จ�ำ ไดเ้ มอ่ื ยี่สิบ กว่าปี ตอนท่ี จมิ ม่ี คาร์เตอร์ สมัครเป็นประธานาธิบดี แลว้ เกอื บไม่ได้ เพราะ จมิ มี่ คารเ์ ตอร์ อ้างว่าเปน็ คริสตท์ ีเ่ คร่งครัด ขอโทษถ้าถือว่าใช้คำ�ไม่สุภาพที่เขาถือว่าเป็นจุดขายของเขา คอื เปน็ คนเคร่งครัดในศาสนา เปน็ คนท่มี ีศาสนา จะไม่เหมอื น นกิ สนั ทีเ่ ป็นคนไมส่ นใจเรอ่ื งศีลธรรม พอดีวันหน่ึงเขาให้สัมภาษณ์แล้วเกิดความผิดพลาด  เพราะนกั ขา่ วถามวา่   แตง่ งานแลว้ เคยคดิ ไมด่ หี รอื คดิ ชอบผหู้ ญงิ คนอื่นบ้างหรือไม่  เขาตอบว่าเคยคิดทางไม่ดีไม่งามอยู่ในใจ เพยี งแคค่ ิดกเ็ กอื บไมไ่ ดเ้ ปน็ ประธานาธบิ ดี เพราะเขาถอื ว่าผิด คิดในทางที่ผิด  เขาก็ถือว่าผิด  เขาไม่แยกเร่ืองศีลกับจิตใจ ไม่มีการศกึ ษาใหเ้ ขา้ ใจธรรมชาตขิ องจติ ใจเหมอื นพุทธศาสนา พุทธศาสนาแยกเรอื่ งศีลกบั จิตใจ และการแยกนั้นเกดิ จากความเข้าใจธรรมชาติของเจตนา  ธรรมชาติของเจตนา ก็คือ  เจตนามีผลต่อกาย  วาจา  แต่ไม่มีผลต่อจิตใจ  ยกตัวอย่างกรณีความโกรธ  สมมติว่าเราเบื่อ  เบ่ือที่จะเป็น คนขี้โกรธ เราไหวพ้ ระสวดมนต์ แลว้ ตัง้ อกต้ังใจว่าต่อจากนี้ไป 46 คลายปม

ขา้ พเจา้ จะไมโ่ กรธใครเปน็ อันขาด จะทำ�ไดไ้ หม คงไม่ได้ มนั ไม่ ไดอ้ ยใู่ นวสิ ัยของความตง้ั ใจ เพราะว่าความต้ังใจน่ีมนั จะตัง้ ใจ ไม่ให้เกิดอารมณ์ไมไ่ ด้ บทบาทและขอบเขตของเจตนาจะอยู่ แคก่ าย วาจา สมมติเราเบ่ือหน่ายท่จี ะเปน็ คนขี้โกรธ เรากต็ ้งั อธษิ ฐาน จิตว่าต่อจากนี้ไป  ฉันโกรธเม่ือไรอย่างน้อยที่สุดฉันจะไม่ แสดงออกทางกาย  วาจา  อันนี้ถึงจะทำ�ยากพอสมควรแต่ก็ ยังอยู่ในวิสัยท่ีจะทำ�ได้  เพราะเจตนาควบคุมกาย  วาจา ควบคุมพฤติกรรมได้  แต่เจตนาบังคับไม่ให้เกิดอารมณ์ไม่ได้ การท่ีจะพัฒนาในด้านจิตใจไม่ให้อารมณ์โกรธเกิดข้ึน  หรือเกิดข้ึนแล้วปล่อยได้  จะต้องใช้วิธีของสมาธิและ ปญั ญา ถา้ เรารกั ษาศีลแต่วา่ ยังคดิ ที่จะทำ�รา้ ยคนอ่ืน แต่ว่าไม่มี พฤตกิ รรม ไม่มีการกระท�ำ ตามอารมณน์ น้ั เรียกว่าศลี นน้ั ยงั บริสุทธิ์อยู่  ไม่อย่างน้ันไม่มีใครหรอกที่จะรักษาศีลบริสุทธ์ิได้ แต่จิตในภาคปฏิบตั ิ อานิสงสอ์ นั นัน้ ก็มอี ยู่ ถ้าอย่างนั้นบางคนอาจบอกว่าเหมือนกับหลอกตัวเอง มนั กย็ งั คิด คิดอยู่เหมอื นเดมิ เพยี งแต่วา่ เราไม่ท�ำ เทา่ น้นั เอง ไม่ ท�ำ ก็ดีแล้วจะได้ไม่ติดคกุ แตส่ ง่ิ ท่สี �ำ คญั คือ เมื่อเราไม่ทำ�ตาม ความคิดก็เหมือนกับว่าได้เปิดช่องว่างระหว่างความคิดที่จะ ทำ�กับการกระทำ�  เรียกว่าได้ถึงขั้นสำ�คัญของวิวัฒนาการของ มนุษย์ ชยสาโร ภิกขุ 47

คนส่วนมากเหมือนเทวดากับสัตว์เดียรัจฉานมาผสม กันอยู่ในคนเดียวกัน  มีส่วนหนึ่งเป็นเทวดา  ส่วนหนึ่งเป็น เดยี รจั ฉาน เมอื่ ไมไ่ ดฝ้ ึกอบรม สว่ นที่เหมอื นกบั สัตว์เดยี รจั ฉาน จะมีแรงมากกวา่ ก็จะมีสญั ชาตญิ าณตอบสนองตา่ งๆ อย่าง เช่น อยากทำ�ร้ายใครก็ทำ�ไปเลย อยากพดู อะไรก็พดู ไปเลย นี่เรียกว่ามีความเป็นสัตว์เดียรัจฉาน  แต่ส่วนท่ีเป็นเทวดาหรือ สูงกว่าน้ันสามารถหยุดหรือสามารถกลั่นกรองว่าควรไม่ควร เป็นบุญเป็นบาป สัตวเ์ ดียรจั ฉานทำ�ไม่ได้ มแี ตม่ นุษยเ์ ราท่ี ทำ�ได้ ทำ�อย่างไรเราจึงจะพัฒนาตนเองจากขั้นท่ีคิดจะทำ� อะไรก็ทำ�ไปเลย ทำ�ไปแลว้ จึงนกึ ได้วา่ ไม่ดี ใชไ้ มไ่ ด้ เราตอ้ งมี ปัญญาและต้องการสติเพื่อจะหยุดได้เมื่อมีอารมณ์  ไม่ใช่ว่า อารมณ์พาไปแล้วเพง่ิ นกึ ได้ น่ีคอื สิง่ ท่ีต้องการ วธิ ีการก็คอื ใช้ พลังของเจตนา เจตนาที่จะงดเวน้ ความตง้ั ใจที่จะไม่ทำ�ตาม คิดอย่างน้ีเม่ือไรก็จะไม่ทำ�ตาม  เหมือนกับว่าเราฝากข้อมูลไว้ ในคอมพวิ เตอร์ สติคอื การดึงข้อมูลออกมาใช้ เมือ่ มีอารมณก์ ็ นึกได้ การท่นี กึ ได้ระลกึ ได้เพราะสตเิ กดิ ข้นึ เรากจ็ ะไม่ท�ำ ผิดศีล ไม่ท�ำ บาป จะตอ้ งใช้ความอดทนช่วยอีกแรงหนึ่ง คร้ังแรกที่ไม่ทำ�ตามอารมณ์มันจะรู้สึกอึดอัดพอสมควร  ครั้งท่ีสองจะง่ายข้ึน  เพราะเราเชื่อม่ันในตัวเองมากข้ึน  รู้ว่า คร้ังท่ีแล้วเราชนะได้  ทำ�ไมคร้ังน้ีจะชนะไม่ได้  คร้ังที่สามง่าย กวา่ นน้ั อีก อย่ไู ปอยูม่ ากส็ ร้างนิสยั ใหม่ สรา้ งความเคยชินใหม่ 48 คลายปม

ความเคยชินในการอาละวาดก็กลายเป็นความเคยชินในการ ไม่อาละวาด  ฉะนั้นนิสัยเราเปล่ียนได้  แต่ท่ีเปลี่ยนไม่ใช่ เพราะส่งิ ศักดิส์ ิทธิ์ มนั เปล่ยี นเพราะเราทำ�งาน เราทำ�งาน ในการลดกำ�ลังของความเคยชินที่เป็นบาป  และเพ่ิม กำ�ลังของความเคยชินใหม่ท่ีเป็นบุญ  นี่คืองานของการ ภาวนา  การพฒั นาตนเอง ๑๙ถาม : มีเพ่ือนท่ีเรารักและอยากให้มาในทางธรรม ดว้ ย แต่เขามีความคดิ วา่ ทกุ วนั น้เี ขาประพฤตติ นดีแล้ว รกั ษา ศีลทั้งหา้ ขอ้ แต่ไมย่ อมเขา้ วดั ปฏิบัตธิ รรม เขาคดิ ว่าเราทำ�เชน่ น้ี เพราะหวงั ผลในชาตหิ น้า เราควรมีค�ำ แนะน�ำ อย่างไรดี ตอบ : เราคงไม่ถึงกับต้องไปชักชวนหรือทำ�เหมือน เป็นหมอสอนศาสนา  ถ้าเขามีความเข้าใจผิดเรื่องหลักธรรม ท�ำ ใหเ้ กดิ อคตหิ รือเกิดมจิ ฉาทฐิ ิ มองเราผดิ เราก็อธบิ ายใหเ้ ขา ฟงั วา่ เราไมไ่ ด้คดิ อยา่ งนั้น เปน็ การท�ำ สง่ิ ทีด่ ี เป็นการให้ทาน อย่างหนึ่ง  เราปฏิบัติธรรมเราภาวนาเราทำ�สมาธิ  เราก็ต้องมี เหตุมีผลว่าทำ�เพื่ออะไร  เราเห็นว่ามีประโยชน์ต่อชีวิตอย่างไร ถ้าไม่ใช่ว่าทำ�เพ่ือหวังผลในชาติหน้า  เราหวังผลอะไรหรือไม่ หวังผลอยา่ งไร เราก็บอกเขาไป แต่ส่วนมากคนเราจะอา้ งเหตผุ ลมากกวา่ ใชเ้ หตุผล จะ อยากทำ�อะไรหรือไม่อยากทำ�อะไร  เมื่อเรากำ�หนดแล้ว  ก็จะ ไปค้นหาเหตผุ ลที่จะสนบั สนนุ ความอยากไมอ่ ยากเขา้ ปฏิบตั ิ ชยสาโร ภิกขุ 49

ธรรม ไมพ่ ูดตรงๆ วา่ ไมเ่ ขา้ เพราะไม่อยากเขา้ ทำ�เหมือนเปน็ ผู้มีเหตุมีผล  ที่จริงแล้วไปยืมเหตุผลจากท่ีนั่นจากที่นี่มาเป็น ขอ้ อ้างมากกวา่ ถ้าเราดูว่าเป็นเหตุผลจริง เราก็ดวู า่ เป็นเหตผุ ล ท่เี กดิ จากเจตนาอะไร มันเปน็ เหตผุ ลบริสทุ ธิ์ หรือเป็นเหตุผล แบบรบั จา้ ง เหตุผลทีเ่ รามาใชอ้ ้างเฉยๆ ที่ว่าหวังผลในชาติหน้า  ถึงจะหวังผลในชาติหน้ามันก็ ไม่ผดิ เหมอื นกนั นะ คนทชี่ อบไปวา่ คนทหี่ วงั ผลในชาติหน้าคง เป็นคนทีไ่ มเ่ ชื่อวา่ ชาตหิ นา้ มจี ริง แตถ่ ้าชาติหนา้ มีจรงิ การที่ เราทำ�อะไรไว้สำ�หรับจะได้เสวยในชาติหน้ามันก็ไม่ใช่เรื่อง งมงายนะ  แต่ว่าบางคนก้มหน้าก้มตาทำ�งานสะสมเงินทอง  เพ่ือว่าเกษียณแล้วจะได้มีความสุข  นั่นงมงายไหม  เขารู้ได้ อย่างไรว่าเขาจะไดอ้ ยู่จนถึงเวลาเกษยี ณ เขาคดิ ว่าคงจะอยู่ได้ ทำ�ไมพวกที่ทำ�อะไรไว้เพื่อหวังผลหลังเกษียณ  ไม่มีใคร ว่างมงาย แต่การหวังผลชาตหิ นา้ กลับวา่ งมงาย ชวี ติ หลงั เกษียณ  อาจจะไม่มกี ็ได้ แต่วา่ ชาติหน้ามแี น่นอน ในกรณี น้ีคนที่ทำ�อะไรท่ีเป็นบุญเป็นกุศลเพื่อชาติหน้านับว่าตั้งตนอยู่ ในความไม่ประมาท มากกวา่ คนทค่ี ิดแตจ่ ะหาเงนิ ทองสะสมไว้ ใช้หลงั เกษยี ณนะ 50 คลายปม

๒๐ถาม : นั่งสมาธิบางคร้ังจะนึกถึงการทำ�ผิดศีลข้อ ต่างๆ ในอดตี ตง้ั แต่สมยั เด็ก แม้ปัจจบุ ันจะรักษาศีลห้าบรสิ ทุ ธ์ิ แต่เมื่อนึกถึงบาปกรรมท่เี คยท�ำ จติ ใจมีความเศร้าหมอง ทุก วันน้ีพยายามสร้างแต่กรรมดี  อุทิศส่วนบุญกุศลให้เจ้ากรรม นายเวรเสมอ  แต่พอใจคิดถึงกรรมไม่ดีที่เคยสร้างไว้ก็ไม่ สบายใจ ขอพระอาจารย์โปรดแนะน�ำ ว่าควรท�ำ อย่างไร ตอบ : ขอให้เขา้ ใจว่าความเศรา้ หมองไม่ใช่ส่งิ ดี เปน็ กเิ ลส เปน็ ความยึดมัน่ ถือม่นั ที่เรามหี นา้ ทต่ี อ้ งปลอ่ ย  บางที เรามักจะคิดผิดว่าความรู้สึกว่าตัวเองมีความผิดหรือการ ว่าตัวเองเป็นการพิสูจน์ว่าเราเป็นคนดี  เราเสียใจจริงๆ ทที่ �ำ อยา่ งนนั้ ถา้ ไม่มีความรู้สกึ วา่ ผิดอย่ใู นใจ เหมอื นว่า เราหน้าด้าน หรอื ว่าเราไม่มีความละอายเลย อันนเ้ี ราต้อง แยกแยะในเร่ืองที่เคยเกิดขึ้นนานเป็นสิบๆ ปีมาแล้ว  เราต้อง แผ่เมตตาให้กบั คนทีเ่ ราเคยเปน็ ในอดีต ถือเสมอื นวา่ คนๆ น้ัน เปน็ นอ้ งของเรา ส่งิ ทีเ่ ราท�ำ ได้ เชน่ เอารูปถา่ ยเกา่ ๆ มาเพง่ กสณิ แลว้ มอง ตัวเราในสมัยน้ันเหมือนเป็นน้อง  แล้วก็ให้อภัยน้องท่ีท�ำ ความ ไม่ดี หรือว่าเรานกึ ภาพตัวเองในสมยั นนั้ เวลาเราน่ังสมาธกิ ็เช่น เดียวกนั เราก็ให้อภยั นกึ ถงึ ตวั เองเหมอื นนอ้ งเขา้ มากราบขอ ขมาเรา เราก็ให้อภัย ทำ�พิธขี อขมาอย่ใู นใจเรา เป็นจินตนาการ บางทีเราใช้จนิ ตนาการความคดิ ในทางสร้างสรรคเ์ พื่อคล่ีคลาย อารมณ์เร้อื รงั ได้ อนั น้เี ปน็ กุศโลบายอย่างหนึง่ ทจี่ ะใหเ้ ร่ืองเกา่ ชยสาโร ภกิ ขุ 51

แกน่ ั้นหมดไป ไมต่ ้องแบกไปตลอดชีวิต มันพอแล้ว ไม่มีใคร หรอกท่ีจะไม่ผิดพลาด  แต่มันสำ�คัญว่าผิดพลาดแล้วก็ต้อง บอกตวั เองว่าจะไมท่ �ำ อกี ตอ่ ไป ๒๑ถาม : การซื้อล็อตเตอรี่  จับฉลาก  เล่นบิงโก  เกม ต่างๆ เพ่อื หวงั จะถูกรางวัลใหญ่ นับเปน็ การพนนั หรอื ไม่ เห็น มจี ัดตามงานทัว่ ไป รวมทง้ั งานของโรงเรียนด้วย มีหลักในการ พิจารณาอย่างไร ตอบ : ต้ังแต่สมัยเป็นเด็กนักเรียนเคยมีเร่ืองเล่า คลา้ ยๆ เปน็ เรื่องโจ๊กวา่ มีนกั โทษสองคน คนหนงึ่ ถามว่า เป็น ยังไง ไปท�ำ อะไร มโี ทษอะไร เขาก็ตอบว่า มยี าเสพติด มีเฮโรอีน มีโคเคน อยู่ในครอบครอง แล้วกต็ ดิ ยาเสพตดิ คนทถ่ี ามกว็ ่า “โอ้ หนักมากนะ แลว้ มนั เริม่ ตน้ ยังไง” เขากต็ อบวา่ มันเริม่ ต้น แคส่ บู กญั ชาเลก็ ๆ นอ้ ยๆ แลว้ มนั กค็ อ่ ยๆ เพม่ิ ขน้ึ ๆ กลายเปน็ ยาเสพตดิ หนกั ๆ แลว้ ย้อนถามวา่ “คณุ ละ่ ทำ�ผดิ อะไร…” “ออ้ ผมก็โดนเรื่องลักขโมย  ผมชอบเที่ยวเล่นกาสิโน  พอดีเสียเงิน มากกเ็ ลยไปขโมยเงินของกาสิโน  เลยถูกจับติดคุก” ...แล้วเร่ืองนี้มันเร่ิมต้นยังไง...ก็เริ่มต้นจากการเล่น บิงโกท่ีโบสถ์  มันค่อยเป็นค่อยไปเหมือนกัน…เพราะฉะนั้น ส�ำ นวนภาษาองั กฤษที่เขาเรยี กวา่ “The thin end of the wedge”  ไม่ทราบของไทยมีสำ�นวนเทียบได้กับสำ�นวนนี้ไหม โดยสาระสำ�คัญหมายถงึ ว่าเราเริม่ ต้นเลก็ ๆ  น้อยๆ  มันกเ็ พม่ิ 52 คลายปม

ขึ้นๆๆ โดยไม่รู้ตัว อยา่ งการเลน่ การพนัน จะเป็นบงิ โก จะเป็น อะไรตอ่ มอิ ะไร มนั ก็กลายเป็นนสิ ยั ได้ เมื่อเกดิ ชอบ เลยเพ่มิ ข้นึ ๆ เริ่มจากจบั ฉลากจากอะไรมนั กเ็ ปน็ การพนนั ในงานกศุ ล หรืองานที่หาเงินสำ�หรับมูลนิธิหรือองค์กรบางองค์กร  ก็ใช้รูป แบบคลา้ ยๆ กับเล่นการพนัน แตจ่ รงิ ๆ แลว้ คนกไ็ ม่ไดเ้ อาจริงเอาจังอะไรมาก เจตนา ของคนเล่นก็คืออยากจะบริจาค  ก็เป็นวิธีบริจาคแบบสนุกๆ ถ้าเป็นในลักษณะนั้นก็อาจจะพออนุโลมได้ในบางกรณี  ต้อง ดูเจตนาของผู้จัดและที่สำ�คัญก็คือดูเจตนาและความรู้สึกของ ผู้เข้าไปซ้ือ  มีคนเคยถามว่าการเล่นการพนันกับการเล่นหุ้น ต่างกนั หรอื เหมือนกัน อาตมาว่าเรื่องน้ไี มต่ ้องพดู มาก ดูทจี่ ิตใจ ของผเู้ ลน่ เหมือนกันหรอื ตา่ งกนั ไหม ถา้ จติ ใจฟงุ้ ซ่านวุ่นวายกับ การเลน่ หุ้นพอๆ กบั จิตใจขณะเล่นการพนนั ตอ้ งคอยโทรไป ทุกๆ หา้ นาที มนั ข้ึนไหม มันลงไหม มันจะสงบได้อยา่ งไร ๒๒ถาม : คนทกุ คนมขี ้อดแี ละข้อด้อยในตัวเอง การทเี่ รา ทำ�แต่สิ่งทดี่ ปี ระพฤตดิ ีใหค้ นอ่ืนเห็น แต่ไม่ได้ประพฤตขิ อ้ ด้อย ขอ้ บกพร่องของเราให้ผู้อนื่ รู้ ทำ�ใหค้ นอื่นคดิ วา่ เราดี อยา่ งนีจ้ ะ เป็นการโกหกหรอื ไม่ ตอบ : เราทราบว่าจิตใจมีผลต่อการพูดและการ กระทำ�  จิตมาก่อนใช่ไหมเราจึงพูดจึงทำ�  แต่ในขณะเดียวกัน การกระทำ�และการพูดกม็ ีผลตอ่ จติ ใจ ยกตัวอย่างในเรื่องของ ชยสาโร ภกิ ขุ 53

ศีล  ถ้าเรารักษาศีลข้อแรกอย่างเคร่งครัด  จะสังเกตได้ว่าการ ต้องงดเวน้ คดิ จะฆา่ คดิ จะท�ำ อะไรกไ็ ม่ท�ำ จะท�ำ ให้ความรู้สึก ตอ่ สตั ว์เปล่ยี นไป เพราะเจตนาจะงดเว้น ถา้ เรามีการกระท�ำ หรอื การพูดในสิ่งทดี่ ี กเ็ ป็นการสรรเสรญิ สิ่งท่ีดี ถา้ มีการกระท�ำ หรือการพูดตามอำ�นาจของส่ิงท่ีไม่ดี  ก็เป็นการสรรเสริญส่ิงท่ี ไม่ดี  อันนี้คือหลักการอย่างหนึ่ง  เราก็มีทั้งส่ิงที่ดีและสิ่งท่ี ไม่ดี  แต่เราต้องการให้พ้นจากส่ิงท่ีไม่ดี  เหลือไว้แต่ส่ิงที่ดี วิธีการก็ต้องใช้อาวุธหลายอย่าง  ใช้วิธีการหลายอย่าง  แต่ อย่างหน่ึงก็คือ  ส่ิงท่ีไม่ดีให้มันอยู่ที่จิตใจอย่างเดียว  อย่าพึง แสดงออกภายนอก  มันจะทำ�ให้พลังของส่ิงที่ไม่ดีน้ันค่อยๆ ลดถอยลง ในขณะเดียวกัน  การไม่ทำ�ตามและไม่พูดตามส่ิงไม่ ดีงามในจิตใจ  ไม่ได้หมายความว่าเราปิดบังอำ�พราง  ถ้าเรา ทำ�สิ่งที่ไม่ดีแล้วยอมรับผิด  อย่างน้ีก็ถือว่าไม่โกหก  แต่ไม่ใช่ ว่าทำ�อะไรไม่ดีแล้วต้องเท่ียวประกาศให้ทุกคนทราบ  นี่ก็ไม่ จำ�เป็น  พระพุทธองค์สอนเรื่องความแตกต่างระหว่างบัณฑิต กบั พาลในหลายกรณีเร่ืองการพดู ท่านวา่ พาลชอบพูดถึงเร่อื ง ที่ไม่ดขี องคนอนื่ แมไ้ ม่มีคนถาม เขาจะพดู กอ่ น แล้วพูดอย่าง ละเอยี ดด้วย ไมเ่ บอ่ื ไมม่ สี รปุ ไมม่ สี งั เขป พูดทัง้ หมดเลย และ อาจจะเกินความจรงิ ด้วยซาํ้ ไป สิ่งทีด่ ีของคนอน่ื ไมอ่ ยากพดู ถึง ถ้าไม่มีใครถามจะไมบ่ อก ถงึ จะรกู้ ไ็ ม่อยากใหเ้ ขาทราบความ ดขี องคนอ่นื แตถ่ า้ มีใครปรารภหรือใครถาม กจ็ ะตอบอย่างสน้ั 54 คลายปม

ท่ีสุด  แต่เร่ืองของตัวเองจะตรงกันข้าม  ความไม่ดีของตัวเอง ไม่อยากให้ใครทราบ  ถ้ามีใครถามหรือว่าจำ�เป็นต้องพูดจะ พูดให้ส้ันที่สุด  แล้วก็จะมีข้ออ้างมากมายด้วย  แต่ถ้าจะพูด ถึงความดีของตนจะเทศน์ได้ท้ังวันท้ังคืน...  “ตอนเริ่มต้นฉัน ก็ไม่มีอะไรนะ  ฉันก็สร้างตัวเองด้วยความขยันหม่ันเพียรของ ตัวเอง”...อะไรอย่างนี้…พูดเรื่องความดีของตัวเองนี่สนุก  แต่ สนกุ คนเดยี ว คนอน่ื เขาไมค่ อ่ ยสนกุ หรอก นค่ี อื ลกั ษณะของพาล ส่วนนักปราชญ์จะตรงกันข้ามทุกข้อ  ปราชญ์ไม่อยาก จะพูดถึงความไม่ดีของคนอน่ื พยายามจะไมพ่ ูด แต่ถ้าการไม่ พูดน้ันจะมีผลกระทบต่อสถาบันหรือต่อส่วนรวม  บางทีต้อง พูดเหมือนกัน  แต่จะพูดอย่างสั้นที่สุด  ไม่ได้พูดชวนให้เกิด ความโกรธจากอคติและอาจจะพยายามมองที่เหตุปัจจัยที่ ทำ�ให้เขาทำ�อย่างน้ัน  ปราชญ์ชอบที่จะพูดถึงความดีของ คนอื่น...“นี่สังเกตไหม  คนนั้นเขาน่ารักนะ  เขาดีอย่างน้ันดี อย่างน”ี้ ...ใจเขาเองก็เป็นกศุ ล แล้วคนอ่นื กค็ ่อยๆ ช่นื ใจด้วย… “ใช่ไม่ได้สังเกตมาก่อน...ใช่”...ก็เลยมีความสุขในความดีของ คนอน่ื และชอบเปดิ เผยชอบประกาศใหค้ นอ่นื ไดท้ ราบด้วย ส่วนความไม่ดีของตัวเองยินดีจะเปิดเผยโดยท่คี นอ่นื ยัง ไมถ่ าม  กพ็ ูดไดเ้ ลย เราจะเห็นครูบาอาจารย์ ไม่วา่ หลวงพ่อชา ไม่ว่าท่านอาจารย์สุเมโธ  ท่านเล่าถึงสมัยที่ท่านบวชใหม่ๆ ท่านมักจะเล่าถึงกิเลสของท่าน  เราก็เคยอ่านเคยฟังท่านพูด ท่านจะพูดอย่างตลก  วันหน่ึงท่านอาจารย์สุเมโธเล่าว่า  ท่าน ชยสาโร ภกิ ขุ 55

โกรธพระองค์หน่ึงมาก  ไม่รู้จะทำ�อย่างไร  ท่านก็เดินเข้าป่า แลว้ ก็เลอื กต้นไมต้ น้ หนง่ึ แล้วก็ ตมู ! ชกต้นไมใ้ นปา่ ไมก่ ลา้ ชกพระ เรื่องทำ�นองนี้ท่านจะเล่าโดยไม่ปิดบัง  เราก็ขำ�ด้วย ได้กำ�ลังใจด้วย  เพราะเราเห็นว่าตอนท่านเร่ิมต้นการปฏิบัติ ท่านก็มีปัญหามากเหมือนกัน  ท่ีท่านเป็นอย่างนี้ไม่ใช่ว่า เป็นตั้งแต่เกิด  ท่านเป็นด้วยการฝึกฝนอบรม  หลวงพ่อชา ก็เหมือนกัน  ท่านไม่เคยคิดที่จะปิดบังเพื่อให้ทุกคนเห็นว่า ท่านบริสุทธิ์และน่าเล่ือมใสทุกอย่าง  ท่านยินดีเปิดเผยกิเลส ของท่านเพ่ือประโยชน์ผู้อ่ืน  ส่วนความดีของท่านๆ จะพูดถึง นอ้ ยมาก ไมอ่ ยากจะพดู ฉะนน้ั ใหเ้ รามคี วามจรงิ ใจ ส�ำ คญั อยู่ ท่ีเจตนาของเรา  ถ้าเราเห็นว่าการเปิดเผยข้อบกพร่องของเรา เป็นส่งิ ทีส่ มควร จะเป็นคตธิ รรมหรอื เปน็ การใหก้ �ำ ลงั ใจคนอ่นื เรากพ็ ดู ถ้าเป็นเรอื่ งส่วนตวั ทไ่ี มเ่ กีย่ วกับคนอื่น  พดู แลว้ ไมไ่ ด้ ประโยชน์ กไ็ ม่จ�ำ เป็นต้องพดู ทกุ เรื่องไป ๒๓ถาม : การมคี รอบครวั มลี ูก ส�ำ คัญหรอื จ�ำ เปน็ ไหม ตอบ : เอ มนั กไ็ ม่จำ�เป็น ถ้าจ�ำ เปน็ อาตมาก็แยเ่ ลย การมีลูกน้ันก็สำ�คัญ  ถ้าคนไม่มีลูกแล้วมนุษยชาติสูญหายไป กจ็ ะไมม่ ใี ครในโลก ถามตอ่ ไปวา่ ถา้ อยากมแี ลว้ ไมม่ ี แมร้ า่ งกาย สมบูรณ์ดี  เป็นเพราะกรรมเก่าใช่หรือไม่  ควรทำ�อย่างไร  พูด ตรงๆ  นะ  ก็ให้ถือว่าเป็นบุญของเรา  พูดเป็นพระหน่อยคือ 56 คลายปม

สำ�หรับผู้ท่ีม่งุ ม่นั ต่อมรรคผลนิพพานจริงๆ  ไม่มีดีกว่า  เพราะ เป็นส่งิ ผูกพัน  เป็นอุปสรรคในการปฏิบัติพอสมควร  แต่ถ้ามีก็ ไมใ่ ชว่ า่ เปน็ อปุ สรรคทท่ี �ำ ใหบ้ รรลธุ รรมไมไ่ ด ้ แตก่ ท็ �ำ ใหย้ ากขน้ึ ถ้าอยากมีลูก  แต่ไม่รู้ทำ�ไมไม่มีเสียทีท้ังๆ ที่ไปตรวจ แล้ว  หมอก็บอกว่าปกติ  อาตมาถือว่าน่ีก็เป็นบารมีท่ีบอกว่า ชาตินี้ไม่ต้องมีดีกว่า  ให้เราปฏิบัติธรรมแบบไม่ต้องมีกังวล มันอยู่ท่ีเราท่ีจะไม่เป็นทุกข์กับเรื่องที่เกิดขึ้น  ให้ได้กำ�ไรจาก สิง่ ทเี่ ปน็ อยู่ ถา้ อยากมีลูก หรอื วา่ มีลูกแล้ว เรากต็ อ้ งท�ำ หนา้ ที่ ในการเป็นพ่อเป็นแม่ให้ดีท่ีสุด  ทำ�ให้เป็นส่วนหนึ่งของการ ปฏิบัตธิ รรมเทา่ ท่จี ะทำ�ได้ ถ้าไม่มีลูกก็ทำ�ความเป็นคนไม่มีลูกให้ดีที่สุด  ให้ได้ กำ�ไร  ให้ได้ความสุขจากการไม่มีลูกให้มากที่สุด  คือแนวทาง อันเดยี วกนั มุ่งที่ความสุขและประโยชน์ ถ้าหากวา่ ไม่มีลูก ก็ มีโอกาสจะปรนนิบัติคุณพ่อคุณแม่มากกว่าผู้ที่มีลูก  เป็นต้น โอกาสจะไปวดั จะไปเมอื่ ไหร่ กไ็ ม่ตอ้ งเป็นห่วงเรื่องลกู วา่ ลูก ยงั เลก็ อยู่ ยงั ไปไม่ได้ อยากไปวดั อยากไปปฏบิ ตั ิธรรมเมอ่ื ไหร่ กไ็ ด้ น่ันคอื ความคล่องตวั ของคนไม่มลี ูก แต่ถ้ามีลูกแล้ว การที่เราฝึกอบรมให้ลูกดี ให้ลูกได้เกดิ ศรัทธาในพระพุทธศาสนา  ให้ลูกได้พัฒนาจิตใจ  น่ีก็น่าจะ เป็นความสุขมากเหมือนกัน  ถ้าสามารถอบรมลูกให้เป็นเด็ก มีศรัทธา  มีความเพียรในการทำ�ความดี  เป็นเด็กเสียสละ ไม่เห็นแก่ตัว  มีน้ําใจ  เป็นลูกมีปัญญา  เป็นท่ีพึ่งของตนได้ ชยสาโร ภิกขุ 57

ก็น่าภูมิใจ  เอาเป็นว่าไม่ว่าจะเป็นอย่างไรน่ีก็ล้วนแต่ใช้ได้ท้ัง นน้ั ผมู้ ปี ญั ญาสามารถไดค้ วามสขุ ถา้ ผมู้ ปี ญั ญามลี กู กส็ ามารถ ไดค้ วามสขุ จากการมลี กู ไมม่ ลี กู กม็ คี วามสขุ จากการไมม่ ลี กู อาตมาอยู่อบุ ลฯ ย่ีสบิ กวา่ ปี ธรรมเนยี มทางโนน้ เราจะ เรียกผู้ชายทีเ่ ข้าวดั ว่า พอ่ ออก ถา้ เปน็ ผู้หญงิ ก็แม่ออก มีพ่อ ออกแม่ออกมากมายเป็นร้อย ลูกจงึ เยอะ พระเณรท่มี าบวชท่ี วัดระหวา่ งท่อี าตมาทำ�หนา้ ทีเ่ ปน็ เจ้าอาวาส ก็ถอื วา่ เหมือนกับ เป็นลูก ญาติโยมทีม่ าปฏบิ ตั ธิ รรมเราก็ถอื วา่ เป็นลกู ได้ คอื เป็น ผู้ที่เราได้ช่วยอบรมให้ได้เป็นคนดีข้ึน  มีความสงบ  มีปัญญา มากขน้ึ ฉะน้ันเร่อื งของพอ่ แม่เร่ืองของลูกมนั ก็มีหลายประเภท เหมอื นกัน ๒๔ถาม : การสอนลูกให้มคี วามสขุ เราควรเปน็ ตัวอยา่ ง ไดใ้ นลักษณะใด ตอบ : สภาพของโลกปัจจบุ ันมผี ลตอ่ เด็กๆ อยา่ งมาก เราตอ้ งพยายามสอนเด็กให้สามารถโตขึน้ มาอยา่ งมีคุณคา่ มี แรงบันดาลใจท่ีเกิดจากความเข้มแข็งภายในที่จะติดตัวเขา ตลอดไป  ด้วยการใช้ชีวิตอย่างมีความหมายและมีความสุข เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่  การเป็นตัวอย่างน้ีสำ�คัญท่ีสุด  เราเป็น ผู้เข้มแข็งไหม  เราเป็นผู้ท่ีมีคุณค่าและมีหลักการท่ีเขาพอจะ เอาเปน็ ตวั อย่างไดไ้ หม นส่ี ำ�คัญที่สดุ เม่ือเราเป็นตวั อย่างที่ดี คำ�พดู ของเราก็มนี ้าํ หนัก 58 คลายปม

ถ้าเราเปน็ ตวั อยา่ งท่ไี ม่ดี คำ�พูดของเราจะไมม่ ีน้าํ หนกั เทา่ ไหร่ การพาเดก็ ไปลำ�บากกด็ ี ใหเ้ ขาร้จู ักอดทน พาไปเดินปา่ พาไปขนึ้ เขา ให้อยู่กบั ธรรมชาติ เรยี กวา่ เป็นการสอนท่ีดีมาก ให้รู้จักพึ่งตนเอง ให้มีโอกาสได้บวชในพระศาสนานี่ก็ดี ตอน เด็กๆ ให้บวชภาคฤดูร้อน ถ้าอายุมากขึ้นให้ไปอยู่วัดป่าก็ จะดี บางสงิ่ บางอยา่ งเราสอนลกู ลกู ไมร่ บั แต่ครบู าอาจารย์ สอน ลกู กร็ ับ ทงั้ ๆ ทคี่ รูบาอาจารยส์ อนสง่ิ เดียวกับท่เี ราสอน นน่ั กเ็ ปน็ เรือ่ งธรรมดา ถา้ เป็นทุกวันน้ี สง่ ลกู สาวไปอยู่วดั กไ็ ด้ อย่างน้อยก็ส่งไปปฏิบัติธรรม  แต่เราก็ต้องไปด้วยบ้าง  เป็น การพฒั นาจติ ใจของเด็กดีทีส่ ดุ ๒๕ถาม : ควรใชข้ อ้ ธรรมะขอ้ ใด อบรมสั่งสอนเดก็ ทีช่ อบ แขง่ ขัน ตอ้ งชนะ ตอ้ งทำ�ใหด้ ีทส่ี ุด กลวั วา่ ในอนาคตจะเครียด ในการดำ�รงชีวติ และหาความสงบไมไ่ ด้ ตอบ : เรื่องการเพียรพยายามให้ทำ�ดีท่ีสุดและความ มุ่งม่ันต่างๆ น้ัน  เราชวนให้มาใช้ภายใน  ไม่ต้องไปแข่งขัน กับคนอ่ืน  เพราะจะทำ�ให้รู้สึกเครียดอย่างที่ว่า  แต่บางคร้ัง ขอแนะนำ�ให้ดูความรู้สึกที่ลูกมีต่อคุณพ่อคุณแม่  เพราะ บางทเี ดก็ ก็จะรูส้ ึกวา่ ต้องเป็นท่หี นง่ึ พอ่ แม่จงึ จะรกั ไมท่ ราบวา่ คุณพ่อคุณแม่เคยทำ�ให้เด็กรู้สึกอย่างนั้นบ้างไหม  ถ้าบางที เด็กเกิดความเข้าใจผิดว่าความรักของพ่อแม่มีเง่ือนไข  อัน ชยสาโร ภิกขุ 59

น้ีจะเป็นจุดเร่ิมของความเครียดของเด็กที่จะต้องทำ�อะไรท่ี ผดิ ธรรมชาติ เพราะกลวั จะไม่ไดร้ ับความรกั จากคณุ พอ่ คุณแม่ เรยี นกจ็ ะต้องเป็นทีห่ นึง่ จะตอ้ งทำ�อะไรดที ่ีสดุ จะต้อง เก่งกวา่ คนอืน่ พอ่ แม่บอกวา่ จะต้องอยา่ งนั้นอยา่ งน้ีนะ แล้ว ลูกก็เกิดความเข้าใจว่า  ถ้าไม่เป็นอย่างน้ัน  อย่างท่ีพ่อแม่ อยากให้เป็น  พ่อแม่จะผิดหวัง  แล้วตัวเองจะรู้สึกว่าเป็นลูกที่ ไม่ดี  อันนี้ก็เป็นไปได้  กรณีของเด็กคนน้ี  อาตมาก็ไม่ทราบ รายละเอียด  ท่ีจริงเราควรสอนว่าเราทำ�อะไรก็ให้เป็นการ ปฏิบัตธิ รรม บางครั้งชนะ บางครั้งไมช่ นะแต่อาจจะไดป้ ัญญา  อาจจะได้อะไรจากการไม่ชนะมากกว่าจากการชนะ  ฉะน้ันก็ ไม่ใช่จะเอาชนะอย่างเดียว  คนร้อยคนพันคน  แต่ผู้ชนะมีแค่ คนเดยี ว การถือว่าต้องเป็นที่หน่ึงจึงจะเป็นคนดี  อาตมา ถือวา่ มนั เป็นการสร้างความทุกขใ์ หต้ วั เอง เรากท็ ำ�ดเี ทา่ ท่ี เราท�ำ ได้ ใหม้ คี วามสขุ ในการเรียน มคี วามสขุ ในการเล่น กฬี า มีความสขุ ในการทำ�งาน จะแข่งขันก็แข่งขนั กับกเิ ลส ตวั เอง จะชนะความข้ีเกยี จขี้ครา้ น ชนะสงิ่ เศร้าหมองใน จิตใจ มันก็เปน็ การแขง่ ขนั ทดี่ นี ะ 60 คลายปม

๒๖ถาม : เด็กท่ีเริ่มมีตัวตนมากขึ้น  ทำ�ตามใจตนเอง มากขนึ้ เราควรฝกึ อยา่ งไรโดยไม่ตอ้ งทะเลาะ และใหเ้ ดก็ เห็น คณุ ค่าทด่ี งี าม ตอบ : เรอ่ื งส�ำ คญั เราตอ้ งรู้จักพดู คยุ ศกึ ษาท�ำ ความ เข้าใจกันในครอบครัว  ให้เราทุกคนพยายามมีท่าทีของ นกั ศึกษา ถึงแมว้ ่าเราเป็นพอ่ เป็นแม่เขา กไ็ ม่ใช่วา่ เราจะร้จู ะ เข้าใจเรื่องของโลกทุกส่งิ ทกุ อยา่ ง ถึงจะรูแ้ ล้วบางส่ิงบางอยา่ ง เด็กก็ยังเชอ่ื วา่ เราไม่รูจ้ ริง ดงั น้นั พอ่ แม่ต้องมที า่ ทวี า่ ต้องการจะ เขา้ ใจลูก ไมใ่ ชเ่ ริม่ ต้นจากจุดทีว่ ่าเขา้ ใจลกู ดีแล้ว เราก็เคยเปน็ เดก็ มาแล้วและเคยอะไรๆ มาแล้ว ให้เราสนใจศกึ ษาอยากจะ ทราบวา่ ลกู มองอยา่ งไร คดิ อยา่ งไร ในขณะเดียวกันเราก็อยากให้ลูกเข้าใจเรา  ส่ิงท่ีเรา เองเห็นว่าชัดเจนอยู่แล้ว  ก็อาจจะไม่ชัดเจนสำ�หรับอีกฝ่าย หน่ึง  เราคิดว่ามันน่าจะชัดเจน  แต่มันอาจจะชัดเฉพาะใน ความรสู้ ึกของเรา ในความรู้สึกของเขามนั ไมใ่ ช่ ถ้าเราพดู อะไร ไปหลายคร้งั แล้ว  เขาน่าจะเข้าใจแล้ว  น่นั ก็ไม่แน่เสมอไป  เรา ต้องดูว่าเขาเข้าใจหรือไม่เข้าใจอย่างไร  เม่อื เด็กมีอายุมากข้นึ การแสดงความมีอัตตาของตน  ในวิวัฒนาการของเด็ก  คือ ต้องมีอะไรที่เป็นเรื่องของตัวเอง  ไม่ใช่สักแต่ว่าทำ�ทุกสิ่งทุก อย่างตามพ่อแม่  น่ันก็เป็นเร่ืองธรรมดาของวิวัฒนาการของ เด็ก  เราอยู่ด้วยกันเป็นชุมชนที่เรียกว่าครอบครัว  การอยู่ใน ครอบครัวก็ต้องมีการเสียสละ  ทุกฝ่ายต้องมีการปล่อยวาง ชยสาโร ภิกขุ 61

บางส่วนในส่ิงท่ีตัวเองชอบและต้องการ  เพื่อความสุขร่วมกัน ของชมุ ชน นีก่ เ็ ป็นหลกั การ เวลาพูดกับลูกก็ให้พูดว่าหลักการมันเป็นอย่างนี้ เมื่อ ต่างคนตา่ งคดิ ความชอบ ไมช่ อบ ความตอ้ งการอะไรหลาย อยา่ งของพ่อของแม่ของลูกมนั ก็มักจะไมต่ รงกันทเี ดยี ว  ฉะน้นั จะอยู่กันอย่างไร  ถ้าต่างคนต่างทำ�ตามใจตัวเอง  ก็อยู่กัน ไมไ่ ด้  จะมแี ตท่ ะเลาะกันตลอดเวลา เราต้องหาหลักการที่เป็นจุดร่วม  เป็นข้อตกลงของ ทุกคนในครอบครัว เมอ่ื เราตกลงในหลักการแล้ว เราจึงคอ่ ย คุยในรายละเอียดของเรื่องต่างๆ ท่ีเกิดขึ้น  โดยเอาหลักการท่ี ตกลงกนั เปน็ เครือ่ งตัดสิน และทกุ ๆ ฝ่ายก็พดู ด้วยความเคารพ ซึ่งกนั และกนั พอ่ แม่ก็เคารพลกู ได้ เคารพในความเปน็ คน ในความเป็นมนษุ ยข์ องลกู ถงึ จะเป็นมนษุ ยต์ วั เลก็ ๆ เขา ก็มีความคิด  และไม่ใช่ว่าความคิดของเด็กต้องผิดเสมอ สว่ นความคิดของผใู้ หญ่ตอ้ งถูกเสมอ เราควรฝกึ เร่ืองการ ส่อื สาร ไม่ใช่จะปล่อยทุกส่งิ ทกุ อย่างตามธรรมชาติ มันอาจ จะมีบางสิง่ บางอย่างทีต่ อ้ งประชมุ กนั ในครอบครัว หรอื พดู กนั โดยเฉพาะ การประชุมกันในครอบครัวเป็นระยะๆ เปน็ สิง่ ท่ดี ี ตรง ท่ีว่าไม่ต้องปล่อยให้มีปัญหาหนักๆ จึงจะได้พูดกันสักที  แต่ การทเ่ี รานดั พูดคยุ เรอื่ งสว่ นตัวกนั เดือนละครั้งสองครั้ง ใหเ้ ปน็ วัฒนธรรมครอบครัวอย่างหนึ่งท่ีจะทำ�ให้สายสัมพันธ์ระหว่าง 62 คลายปม

พ่อแม่กับลูกไม่ต้องขาดหรือห่างจากกัน  ทำ�ให้ลูกไม่คิดว่า พ่อแม่ไม่เขา้ ใจเขาเลย พูดอะไรกไ็ ม่รู้เรอ่ื ง เลยเอาแตเ่ พือ่ นรนุ่ เดยี วกนั เปน็ ที่ปรึกษา ถึงแม้พ่อแม่จะมีบางส่ิงบางอย่างที่มองไม่ตรงกับลูก อย่างน้อยก็ต้องรักษาความเป็นที่ปรึกษาและรักษาความเป็น ที่เชื่อถือไว้วางใจของลูก  ก็แล้วแต่ในแต่ละครอบครัวจะพูด ตกลงกันอย่างไร  ไม่มีสูตรตายตัว  ข้อสรุปอยู่ท่ีการตกลงใน หลักการทั่วไปก่อน  จากน้ันเราจึงพูดถึงจุดที่มีการขัดแย้ง  มี ปัญหา หรอื ทะเลาะกัน ปญั หาอะไรก็แลว้ แต่ ไมว่ า่ เราอยู่ฝา่ ยไหน ถา้ เราเริ่มต้น ด้วยความคดิ วา่ เราถกู เขาผิด ทำ�อย่างไรเขาจึงจะยกเลิกความ คดิ ผดิ ใหม้ ารบั ความคดิ ถูกของเรา มันจะเปน็ จุดเริม่ ตน้ ของ การสอื่ สารทผ่ี ดิ พลาด คือ ปัญหากไ็ ม่ใช่ประเด็นสำ�คัญ ไม่ใช่ ว่าใครถูกใครผิด ปญั หาอยทู่ ี่วา่ ความเหน็ ไม่ตรงกัน ความคิดก็ ไม่ตรงกัน ทำ�อย่างไรจงึ จะเขา้ ใจตรงกนั ได้ ๒๗ถาม : ถ้าครูจะฝึกเด็กในเร่ืองการสวดมนต์ให้ยาว มากขึ้นเป็นลำ�ดับจนเกิดสมาธิและความเพียรเพ่ิมมากขึ้นนั้น เราควรใช้วิธีหรือเทคนิคใดในการฝึกท่ีจะไม่ให้เด็กเกิดความ คดิ ในเชงิ ลบต่อการสวดมนต์ ตอบ : อาตมาไมแ่ นใ่ จเหมอื นกนั ทถ่ี ามวา่ จะใหย้ าวขน้ึ เรอ่ื ยๆ นน้ั ตอ้ งการใหย้ าวขนาดไหน  ตอ้ งหาความพอดกี บั เด็ก ชยสาโร ภกิ ขุ 63

แตล่ ะรนุ่ อายุ ซง่ึ ไมเ่ หมอื นกนั สมาธกิ บั ความตง้ั ใจตอ้ งใหพ้ อดี บทสวดมนตม์ มี ากมาย ใหเ้ ลอื กบททเ่ี หมาะสม การสวดมนตก์ ็ มผี ลดตี อ่ ชมุ ชน เปน็ การรว่ มกนั ตอนเชา้ ประสานเสยี งกนั สวด เกดิ ความรสู้ กึ วา่ เราเปน็ หมคู่ ณะทพ่ี รอ้ มเพรยี งกนั มผี ลดอี ยา่ ง นน้ั ถา้ เวลามจี �ำ กดั อาตมาคดิ วา่ การท�ำ สมาธจิ ะส�ำ คญั กวา่ ใหห้ าความพอดรี ะหวา่ งการท�ำ วตั รสวดมนต์ กบั การ ท�ำ สมาธิ การท�ำ วตั รสวดมนตก์ เ็ ปน็ สมาธิ แตร่ ะดบั ออ่ น อยู่ คอื ยงั ใชค้ วามคดิ ยงั ใชภ้ าษา ซง่ึ ยงั ไมส่ งบ การฝกึ ให้ นง่ั สมาธคิ อื ไมต่ อ้ งคดิ อะไร เราตอ้ งการใหเ้ ดก็ ไดส้ มั ผสั การทไ่ี ม่ คดิ อะไรโดยทย่ี งั มสี ตอิ ยู่ สว่ นมากจะรแู้ ตค่ วามคดิ หรอื ไมร่ ตู้ วั ตอนนอนหลบั แตม่ นั ยงั มภี าวะหนง่ึ ทว่ี า่ “ไมค่ ดิ แต่ ไมห่ ลบั ” ส�ำ หรบั เดก็ ๆ บางทเี ดนิ จงกรมจะดนี ะ เพราะวา่ จะใหน้ ง่ั นง่ิ ๆ คงจะยาก  การเดินจงกรมเป็นอิริยาบถเคล่ือนไหว  แต่จิตจะ สงบไดย้ ากกวา่ เพราะฉะนน้ั อาจจะตอ้ งมคี รคู อยคมุ คอ่ ยๆ ให้ ขอ้ คดิ วา่ อยา่ ลมื พทุ โธนะ อยกู่ บั พทุ โธนะ ๒๐-๓๐ วนิ าที อาตมาว่าวิธีท่ีดีสำ�หรับเด็กเบ้ืองต้น  ใช้แบบโกเอ็นก้า ก็ได้ ให้สแกนร่างกายตัง้ แตศ่ ีรษะลงไปทุกสว่ น และครกู ็คอย บอก เช่น ให้เอาสตอิ ยทู่ ี่บนศีรษะ ใหร้ ูส้ กึ ตรงนั้นว่ามคี วามร้สู ึก อะไรบ้าง และก็ส่งั ทางขวา ทางซ้าย ข้างหลงั ความร้สู กึ ท่หี นา้ ผาก ความร้สู กึ ท่จี มกู ความรู้สึกทร่ี มิ ฝปี าก ไปเรอื่ ยๆ ใหเ้ ขา ตามไปเรอื่ ยๆ คอื มันจะมีความเปลี่ยนแปลงมีอะไรๆ ใหเ้ ขา สนใจ แต่ว่ามนั จะอยู่กับร่างกาย ทำ�ให้เขารสู้ กึ ต่อสว่ นต่างๆ 64 คลายปม

ของร่างกาย คอื ไมต่ อ้ งทำ�อะไร สักแต่วา่ รับรู้ แลว้ ก็จะผ่อน คลาย สแกนท้งั หมดแลว้ ร้สู กึ ท้ังรา่ งกาย หายใจเข้าหายใจ ออกสบายๆ กจ็ ะชว่ ยใหเ้ ด็กผ่อนคลาย ถ้าสอนเด็กไดต้ ั้งแต่ อนบุ าล พอเขาอายมุ ากข้ึน เม่ือเขาเครยี ดจากการเรียน เขาก็ สามารถปล่อยวางความเครยี ดในสว่ นตา่ งๆ เองได้ ๒๘ถาม : ขอคำ�แนะนำ�จากพระอาจารย์สำ�หรับเด็กที่ติด การเล่นเกม นอนดึก ชอบนํา้ อัดลม และรับประทานอาหารท่ี ไม่มปี ระโยชน์ เช่น อาหารขยะประเภทตา่ งๆ ตอบ : ส่วนมากเร่ืองเหล่านี้อยู่ในเร่ืองของ  กาย- ภาวนา  การพัฒนากาย  การเรียนรู้เร่ืองความสัมพันธ์กับ โลกวัตถุและเทคโนโลยี  เร่ืองการเล่นเกมเป็นเรื่องที่ว่าแต่ ละครอบครัวจะมีนโยบายอย่างไร  เม่ือตกลงกันในนโยบายว่า ให้เล่นเกมเม่ือไหร่บ้าง  เล่นได้นานแค่ไหน  เราก็เคารพใน กตกิ านน้ั ซง่ึ ธรรมดาของเกมเขากอ็ ยากทำ�ใหเ้ ราตดิ ใจ ท�ำ ให้ เราสนุก บ่อยคร้ังเมื่อเราจะต้องเลิกเล่น  เรามักอยากจะเล่นต่อ ถา้ เราเปน็ ผทู้ ่ฝี กึ ตัวเองเป็นแลว้ เราก็สกั แต่ว่ารวู้ า่ อยาก อยาก เล่นต่อ  ความอยากเล่นต่อก็เป็นแค่ความรู้สึกอย่างหน่ึง  ไม่ จ�ำ เปน็ ตอ้ งทำ�ตาม เป็นอาการของมันอย่างนี้ พอหมดเวลาก็ อยากเล่นต่อ  ก็เป็นเรื่องธรรมดาท่ีอยากอย่างนั้นแต่เราจะไม่ เล่นต่อ ชยสาโร ภกิ ขุ 65

การกำ�หนดเวลาก่อนเล่นมันก็ดีเหมือนกัน  อย่างเช่น เราก�ำ หนดวา่ เราจะเล่นเกม ๓๐ นาที หรือ ๑ ชว่ั โมงก็แลว้ แต่ คือกำ�หนดเวลาล่วงหน้า  และให้รักษาเวลาท่ีตัวเองกำ�หนดไว้ ถา้ หากว่าคณุ พ่อคุณแม่บอกวา่ ใหเ้ ล่นได้ ๑ ช่ัวโมง เปน็ ตน้ เราก็ฝืนคำ�ส่ังของพ่อแม่  ไม่ต้องทำ�ตามที่พ่อแม่ท่านขอไว้ เราก็กำ�หนดของเราเองว่าเราจะเล่น  ๕๙  นาที  เรียกว่าฝืน ค�ำ สัง่ ของพอ่ แม่ พ่อแมใ่ หเ้ ล่น ๑ ชวั่ โมง เราก็เลน่ ๕๙ นาที กด็ นู าฬิกา เรยี กวา่ เป็นการก�ำ หนดตารางเวลาของตัวเอง เรอ่ื งนอนดกึ เกินเวลาห้าทมุ่ เราต้องรู้จักแยกแยะเวลา นอน  เวลาเล่น  เวลาเรียน  เรียกว่าเป็นผู้รู้กาลเทศะใช่ไหม ปกตินี่เราตื่นก่ีโมง  ตอนเช้าหกโมง  หกโมงคร่ึงนะ  กำ�ลังดี ถ้าอย่างน้นั ถา้ จะต่ืนหกโมงเชา้ ควรจะนอนสกั ก่ที มุ่ สองทมุ่ คร่ึงนะ เยอะเหมือนกัน อาตมาว่าถา้ นอนสามทุ่ม ส่ที มุ่ กไ็ ด้ แตถ่ า้ ดกึ กวา่ นน้ั เราจะขาดการพกั ผอ่ น คิดอะไรกค็ ิดไม่ออก ถ้าไม่ฟุ้งซ่านก็ง่วง  สังเกตคนนอนมากจะฟุ้งซ่าน  หงุดหงิด รำ�คาญ  ส่วนคนนอนน้อยก็จะง่วง  จิตใจไม่ค่อยโปร่งใส เราต้องพยายามศึกษาหาความพอดีสำ�หรับตัวเอง  นอนกี่ ชัว่ โมงจึงจะพอดี ทส่ี �ำ คญั กอ่ นจะหลบั ตอ้ งก�ำ หนดเวลาตน่ื ถา้ นอนสท่ี มุ่ เราก็กำ�หนดว่าพรุ่งนี้เช้าต้องตื่นหกโมงเช้า ถ้าทำ�อย่างนี้ จะ ไม่ต้องใช้นาฬิกาปลุก  มันจะมีการปลุกอยู่ในตัวของเราเป็น อตั โนมัติเลย รู้ตวั แลว้ ตืน่ แล้ว พลกิ ไปนอนต่อเปน็ นสิ ยั ไมด่ ี 66 คลายปม

แล้วจะฝัน ที่ฝันอะไรแปลกๆ มักจะเป็นช่วงน้ี ถึงเวลาลกุ แลว้ ไมย่ อมลกุ กลบั นอนต่อ การด่ืมน้ําอัดลมต่างๆ เด็กๆ รู้ไหมว่าในหน่ึงกระป๋อง มีนา้ํ ตาลกช่ี อ้ น มีใครร้ไู หม คำ�ตอบคอื ๗-๘ ช้อน ซึง่ มากอยู่ กินมากกินเกินยอ่ มไมด่ ีต่อสุขภาพ เราตอ้ งระมดั ระวงั เร่ืองการ กินนํ้าตาล  ผู้ผลิตนํ้าอัดลมก็มีความประสงค์ว่ากินแล้วไม่อิ่ม เพราะถา้ อ่ิมแลว้ เขาก็ขายได้แค่กระปอ๋ งเดยี วใช่ไหม เขาก็ต้อง ผลติ ในลกั ษณะทว่ี ่า กินแลว้ อยากกินอกี ซึ่งมันต่างกันมากกับ การกนิ นํ้า ถ้ากนิ น้าํ กินของธรรมชาติ อิ่มแลว้ ก็คอื อิ่ม หมดเรื่อง การบรโิ ภคน้าํ อดั ลมมากๆ จึงเป็นอนั ตรายต่อสขุ ภาพ สขุ ภาพ กายด้วย  สุขภาพใจด้วย  เป็นส่วนหนึ่งท่ีทำ�ให้เกิดปัญหาใน พฤตกิ รรมของเด็ก ๒๙ถาม : ความเครียดจากการแข่งขันในที่ทำ�งาน  งาน ที่ต้องก้าวหน้าตลอดไม่หยุดน่ิง  เราเดินช้ารุ่นน้องแซง  ทำ�ให้ เครยี ดมาก ทา่ นมคี �ำ แนะนำ�อย่างไร ตอบ : อาตมาเช่ือว่าถ้าเรารักงานของเรา  และ พยายามท�ำ หนา้ ทข่ี องเราใหด้ ที ส่ี ดุ เทา่ ทจ่ี ะท�ำ ได ้ เรากน็ า่ จะตอ้ ง กา้ วหนา้ ไมไ่ ดห้ ยดุ นง่ิ อาตมาไมไ่ ดอ้ ยใู่ นวงการธรุ กจิ แตส่ งสยั วา่ จ�ำ เปน็ ไหมทตี่ ้องคอยดูว่าคูแ่ ขง่ เขาทำ�อะไรกัน จำ�เป็นมาก นอ้ ยแคไ่ หน  ถา้ เรามคี วามตง้ั ใจทจ่ี ะท�ำ งานของเราใหด้ ที ส่ี ดุ เทา่ ทจ่ี ะท�ำ ได ้ สรา้ งบรรยากาศในทท่ี �ำ งานทเ่ี ออ้ื ตอ่ การท�ำ งานอยา่ ง ชยสาโร ภิกขุ 67

สมานสามคั คี ชว่ ยเหลอื ซง่ึ กนั และกนั ถา้ เรามองตวั เองหรอื คน อน่ื ในลกั ษณะเปน็ คแู่ ขง่ ดว้ ยความเครยี ด ความเครยี ดนน่ั แหละ เป็นตัวที่ท�ำ ใหก้ ารงานเราไม่ก้าวหน้า เพราะเราเครยี ด เราคดิ อะไรไมอ่ อก แล้วความสัมพันธ์กบั คนรอบขา้ งกม็ ักจะเสียหรือ มีปญั หาเพราะเครยี ดแล้วก็โมโหงา่ ย หงดุ หงิดงา่ ย เดย๋ี วก็เกดิ เรอ่ื งนอ้ ยใจกนั ไมพ่ อใจกนั หรอื วา่ เครยี ดแลว้ ความคดิ กไ็ มค่ อ่ ย รอบคอบ  นี่เป็นส่ิงท่ที กุ คนในที่ทำ�งานตอ้ งคอยสงั เกต ทำ�อยา่ งไร เราจงึ จะรักษาความขยนั หมน่ั เพียร ความ ตั้งใจ  การทำ�การงานให้เจริญก้าวหน้าโดยไม่มีผลกระทบต่อ จิตใจมากเกินไป  ก็คงต้องมีอยู่เป็นบางคร้ังเหมือนกัน  ถือว่า เป็นโทษจากการทำ�งานในทางโลก  เพราะว่าบางครั้งก็ต้อง แข่งกับเวลา  เวลามีจำ�กัดต้องทำ�ภายในกำ�หนด  อย่างนี้ก็คง ต้องอดทน แต่สำ�หรับผู้ที่ทำ�สมาธิภาวนาทุกวัน ขยันฝึกจิต จะสามารถอยใู่ นภาวะทน่ี า่ จะเครยี ดนอ้ ยหรอื ไมเ่ ครยี ด  เพราะ อย่างนอ้ ยๆ ก็สามารถผอ่ นคลายความเครียดได้บา้ ง เราต้องทำ�สมาธิจนถึงระดับขั้นเป็นท่ีพึ่งของเราเองได้ ถ้านานๆ ทำ�ที  หรือทำ�ไม่สมํ่าเสมอก็เป็นท่ีพึ่งไม่ได้  แต่ถ้า เราทำ�อย่างสม่ําเสมอ  เมื่อรู้สึกเครียด  เราก็หาเวลาเข้าไป นั่งทำ�สมาธิ  ออกมากจ็ ะสามารถท�ำ งานตอ่ ดว้ ยความสดชน่ื ได้ ถา้ ๓๐ นาที มากเกินไป ขอแค่ ๑๕ นาที ก็ยังดี เพียงหยุดดู ลมหายใจเข้าลมหายใจออกให้สบายแล้วค่อยเร่ิมต้นทำ�งาน ใหม่  บางทแี ค่นัน้ กพ็ อ 68 คลายปม

คนเรายังไม่เช่ือเร่ืองพลังสมาธิเท่าท่ีควร  มันเป็น เร่อื งอัศจรรย์มาก เราไมต่ อ้ งสงบนงิ่ มาก เพียงแต่เราผอ่ น คลายชวั่ คราว เหมอื นถอื กระเปา๋ หนัก วางไวก้ ห็ ายเหนื่อย เมื่อหยิบกระเป๋าเดินทางต่อมันก็ช่วยได้  ต้องพยายาม อย่างนอ้ ยก็มองว่าเปน็ เรื่องกฬี า เป็นกีฬาชวี ิต และอย่าลมื เป้าหมายชีวิต  เป้าหมายสูงสุดคืออะไร  เปรียบเทียบระหว่าง การได้กำ�ไรเป็นตัวเงินพอสมควร  โดยมีจิตใจสบายและสงบ พอควร กบั การไดก้ �ำ ไรเปน็ เงนิ มหาศาล แต่จติ ใจแย่ อะไรจะ ดีกว่ากัน บางทีตอ้ งช่งั นา้ํ หนัก บางทีต้องยอมแพ้เขาบา้ ง แต่ ไม่ใช่แพจ้ นเกดิ ความเสยี หาย หรอื วา่ หยุดน่ิง บางคร้ังรู้สึกว่างานช้ินน้ีถ้าทำ�แล้วอาจจะได้  แต่ว่า ไมไ่ หว บางครัง้ กไ็ มต่ อ้ งเป็นทีห่ นงึ่ ในทกุ ๆ อยา่ ง เป็นทีส่ องที่ สามบ้างก็ไม่เป็นไร  อย่าให้เราเสียอุดมการณ์ในการทำ�งาน  ให้เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาชีวิต  ให้เราถือว่าในการทำ�งาน นอกจากทำ�ให้ดี  ให้ประสบความสำ�เร็จและได้ผลงานแล้ว เราต้องการผลสำ�เร็จทางจิตใจของเราด้วย  ต้องการผลสำ�เร็จ ในการสร้างชุมชนที่มีศักยภาพ  ชุมชนที่มีความเคารพรักซึ่ง กันและกนั เราทำ�งานอยา่ งนี้เราจะได้บุญ ถ้าทุกคนในทท่ี ำ�งาน มีลักษณะเป็นครอบครัว  เคารพซึ่งกันและกัน  ทำ�งานด้วย ความสนุก ดว้ ยความรู้สกึ เปน็ มติ ร ด้วยความสขุ ยอมเสียสละ เพือ่ ส่วนรวม นอกจากก�ำ ไรที่เป็นเงินเปน็ ทองแลว้ ยังได้ก�ำ ไร ที่เป็นนามธรรม  คือได้บุญด้วย  ถ้าเราหาความพอดีระหว่าง ชยสาโร ภิกขุ 69

กำ�ไรทางด้านวัตถุกับกำ�ไรทางด้านจิตใจ  ทั้งของเราของลูก น้องและของเพ่ือนร่วมงาน มนั นา่ จะเป็นทางสายกลางที่พอดี ๓๐ถาม : ข้อที่หนึ่ง  การดูแลบิดามารดาขณะป่วย เข้าโรงพยาบาลจะได้บุญมากเพราะได้เห็นว่าสังขารไม่เที่ยง และเป็นทุกข์  อีกหน่อยพอเราแก่ก็ต้องป่วยแบบนี้เหมือนกัน ทำ�ให้รีบขยันในทาน  ศีล  ภาวนาเพื่อสามารถหลุดพ้นจาก วฏั สงสาร เกิดปัญญาจากการดูแลทา่ นใช่หรือไม่ ข้อท่ีสอง  บางคนบอกว่าดูแลบิดามารดาเม่ือป่วยได้ บุญแล้วไม่ต้องไปวัดกไ็ ดเ้ พราะบิดามารดาคอื พระในบา้ น แต่ ข้าพเจ้าคิดว่าต้องทำ�ท้ังสองอย่าง  จึงทิ้งท่านไปวัดบ้างเม่ือมี โอกาสบางครัง้ ไมแ่ นใ่ จว่าตนเองท�ำ ถกู ตอ้ งหรอื ไม่ เพราะท่าน คงอยากใหด้ แู ลทา่ นตลอดเวลา ทา่ นชว่ ยตัวเองไมไ่ ด้ ทา่ นเปน็ อมั พฤกษ์ ตอบ : ค�ำ ตอบขอ้ แรกคอื ใช่ ส�ำ หรบั ขอ้ สอง ถา้ เปน็ การ ท้งิ คุณพ่อคุณแม่ให้ลำ�บากไม่มีใครดูแลก็ไม่ถูกต้อง  แต่คง ไม่จำ�เป็นต้องเป็นอย่างนั้นทีเดียว  เพียงแต่ว่าเราหาคนอ่ืน ช่วยดแู ลชั่วคราว ส�ำ คญั ท่ีเราทำ�ความเขา้ ใจกบั คณุ พ่อคณุ แม่ เท่าท่ีจะทำ�ได้  อธิบายว่าทำ�ไมเราจึงต้องไปวัด  ไปเพ่ืออะไร ไปแล้วเราได้อะไรมา  เป็นต้น  บางทีเรากลับจากวัดแล้วเล่า ให้ท่านฟังว่าเราได้ทำ�อะไรบ้าง  เราได้ข้อคิดอะไรบ้าง  เราก็ ถ่ายทอดให้ท่านฟัง ท่านก็พลอยได้ประโยชน์ไปด้วย อันนี้ก็ 70 คลายปม

เป็นการปฏิบัติต่อพอ่ แมท่ ด่ี มี าก เพราะถ้าเราสามารถทำ�ให้ ผู้ปกครอง  ผู้มีพระคุณที่มีศรัทธาน้อยเกิดมีศรัทธา มากขน้ึ หรอื มีศรัทธาแลว้ มศี รัทธายงิ่ ๆ ขึ้นไป ก็เรียกว่า เป็นบญุ มหาศาล มากกวา่ การปรนนบิ ัติทางกายด้วยซ้าํ ไป ท่ีบอกว่าพ่อแม่คือพระในบ้านก็เป็นสำ�นวนอย่างหน่ึง  แต่ว่าไม่เหมือนกับการไปหาพระ  เราอย่ใู กล้ชิดกับผ้มู ีพระคุณ  บางทีคุณพ่อคุณแม่ท่านก็เอาใจยาก  บางคร้งั เราเองก็อดท่จี ะ เครียดหงุดหงิดรำ�คาญไม่ได้  เม่ือหงุดหงิดรำ�คาญคุณพ่อคุณ แมก่ ็เกิดความรู้สกึ ว่าตวั เองไมด่ ี เกดิ ความไม่สงบ จิตใจไม่เป็น บุญเป็นกุศล  การมีโอกาสเป็นคร้ังคราวท่ีจะไปวัดไปพบพระ ไปท�ำ จติ ใจใหส้ งบ ไปชารจ์ แบตเตอร่ี ท�ำ ใหม้ กี �ำ ลงั ทจ่ี ะกลบั ไป ท�ำ หนา้ ทต่ี อ่ กถ็ อื วา่ เปน็ สว่ นหนง่ึ ของการปฏบิ ตั ติ อ่ ทา่ น เปน็ การ รักษาจิตใจไว้ในอารมณ์ท่เี ป็นกุศล  อาตมาเห็นว่าถูกต้องแล้ว ท่ที ำ�ท้งั สองอย่าง  ถ้าไปวัดก็ไม่ใช่เป็นการท้งิ คุณพ่อคุณแม่ให้ นอนอยคู่ นเดยี วไมม่ ใี ครดแู ล  เราตอ้ งตกลงกบั พน่ี อ้ งหรอื ผคู้ นท่ี หวงั ดใี หด้ แู ลชว่ั คราว  และท�ำ ความเขา้ ใจกบั คณุ พอ่ คณุ แมก่ อ่ น ๓๑ถาม : การท่ีเราขออโหสิกรรมในความประพฤติท่ีไม่ ดีงามต่อพ่อแม่  และพ่อแม่ได้อโหสิให้เราแล้ว  แต่จิตของเรา ยงั มอี กุศล คอื ยังโกรธตนเองอยู่ ยังปล่อยวางไม่ได้ จะมีทางท่ี จะช่วยอย่างไร ให้เราหายผกู ใจเจบ็ ในตนเอง และถงึ แมเ้ ราจะ ขออโหสิกรรมแล้ว เรากย็ ังต้องแกไ้ ขกรรมชวั่ น้ัน ใช่หรือไม่ ชยสาโร ภิกขุ 71

ตอบ : การสอนให้ลกู ส�ำ นกึ ในบุญคุณของพ่อแม่ ให้ เป็นผู้มีความกตัญญกู ตเวที ถือว่าเป็นสง่ิ ท่ีดมี าก แต่ในขณะ เดียวกันเราต้องยอมรับธรรมชาติของเราว่า  เรายังมีกิเลส อยู่ บางครงั้ บางคราวทเี่ ราไม่พอใจคณุ พ่อคุณแม่  ไม่ตง้ั ใจจะ โกรธแต่ก็อดไมไ่ ด้ ความคดิ หรือความต้องการไม่ตรงกนั ความ ต้องการหลายๆ อย่างผสมกันมากเข้าๆ  เรารู้สึกว่าท่านไม่ ยตุ ธิ รรมกบั เรา ทำ�ใหเ้ กิดอารมณไ์ มพ่ อใจ ถ้าเราเข้าใจว่าน่ันเป็นอารมณ์ท่ีเกิดขึ้นได้ในผู้ที่ยังมี กิเลส ยังเป็นปุถชุ นอยู่ เรากไ็ มป่ ระมาท แต่เราอโหสกิ รรมตวั เองได้  เราขออโหสิกรรมจากคุณพ่อคุณแม่  อันนี้ก็อย่างหน่ึง แต่เราต้องรู้จักให้อภัยตัวเองบ้าง  ให้อภัยตัวเองว่าเรายังเป็น ปุถุชนอยู่  บางคร้ังเราคุมอารมณ์ไม่อยู่  ถ้าเราฉลาดเราก็จะ ไดข้ อ้ คดิ ว่า ตอ้ งช่วยด้วยการปฏิบตั ธิ รรม เพ่ือเราจะได้ชนะ ความโกรธ เพอ่ื จะชนะกเิ ลสในจติ ใจของเรา เพ่อื วา่ เราจะเป็น ลูกทด่ี กี ว่านี้ เมื่อเราเปิดประตูไว้  ลมก็เข้ามาได้  ท้ังกล่ินหอมกลิ่น เหม็นก็เข้ามาได้  มีกล่ินเหม็นเข้ามาก็เรียกว่าธรรมดาใช่ไหม แต่ถ้าเราปดิ ประตูปดิ หน้าตา่ งมดิ ชิด ลมกเ็ ข้าไม่ได้ ธรรมชาติ ของมนุษย์มันเป็นอย่างน้ัน  จิตใจที่ยังไม่ได้ฝึกฝนอบรม  ก็ ยังมีภูมิต้านทานกิเลสน้อย  กิเลสต่างๆ ก็ไหลเข้ามาในจิตใจ ของเราได้ง่าย เหมือนกับบ้านนเ้ี ปดิ ประตูไว้เปน็ เร่อื งธรรมดา ขอเสรมิ เรอื่ งการท�ำ บญุ ว่า เรามเี จตนาหลกั คือ อยากจะ 72 คลายปม

สรา้ งประโยชน์แกผ่ อู้ ่ืน แตใ่ นระหว่างการท�ำ ความดนี นั้ อาจจะ เกิดกเิ ลสบางอยา่ ง เชน่ รู้สกึ ยนิ ดใี นการยกย่องของคนอนื่ อยา่ ง นี้ เป็นต้น ในท�ำ นองเดยี วกนั ความรสู้ ึกดงั้ เดิมความรู้สกึ หลัก ทเี่ รามตี ่อพ่อแม่ คือรกั แต่ในบางครัง้ ความรักนนั้ กเ็ ศรา้ หมอง ด้วยความคดิ อย่างอ่ืน ซ่งึ จริงๆ แล้ว นั่นไมใ่ ช่ความรู้สกึ ทแ่ี ท้ จริงของเรา เป็นแค่อารมณช์ ัว่ แวบของเราท่เี กดิ ขึ้นแลว้ ดบั ไป เรากไ็ มค่ วรจะเอาจรงิ เอาจังกบั มันมาก กใ็ ห้อภัยตัวเอง เราเป็น ลูกกเ็ ปน็ อยา่ งน้ัน พอ่ แม่กเ็ ป็นอยา่ งนนั้ เหมอื นกนั ทา่ นกร็ ักเรา ทา่ นก็หวังดตี ่อเรา แต่บางครัง้ ท่านกย็ ังมีอารมณห์ งดุ หงิดบ้าง รำ�คาญบา้ ง ผิดหวงั บา้ ง เพราะทา่ นก็เป็นผ้ทู ีม่ ีกเิ ลสเหมือนกนั เม่ือเราปฏิบัติธรรมเราจะเข้าใจตัวเองมากขึ้น  และจะ เข้าใจคนอืน่ มากข้นึ เข้าใจพ่อแม่มากข้นึ ไมไ่ ด้ตัง้ ใจจะโกรธ แต่บางทีกอ็ ดไมไ่ ด้ คณุ พ่อคณุ แมก่ ค็ งเหมือนกนั บางครั้งที่ ทา่ นเคยโกรธเคยดเุ รา ทา่ นกค็ งไม่ได้ต้ังใจ แต่มนั เป็นเอง เรา ใหอ้ ภยั ท่านด้วย ให้อภยั ตวั เองดว้ ย และรูจ้ กั ปล่อยวาง ท่ี ส�ำ คญั มาก คอื รจู้ กั สง่ิ ทเ่ี ราบงั คบั ได้ และสง่ิ ทเ่ี ราบงั คบั ไมไ่ ด้ เมื่อจิตเกิดอารมณ์เศร้าหมอง  เราจะบังคับไม่ให้เกิดคง ไมไ่ ด้ แตส่ �ำ คัญว่าเมอื่ เกิดแล้ว เราจะยนิ ดีและจะปรุงแต่ง ในความรสู้ กึ นน้ั ตอ่ ๆ ไปหรือไม่ เพราะส่งิ นั้นเป็นสิง่ ทเี่ รา ตัดได้ ความคิดผิดท่ีเกิดข้ึนแล้วทำ�ให้เราเป็นทุกข์มาก  คือ ความยึดมั่นถือมั่นในความคิด  ถ้าถือว่าเพราะความคิดชั่ว ชยสาโร ภิกขุ 73

เกิดขึ้นในใจเรา  เราก็เป็นคนชั่ว  น่ีเรียกว่าไปถือกรรมสิทธิ์ใน ความคดิ ถอื วา่ ความคดิ ผดิ เปน็ ของเรา บางทเี คยคดิ โกรธพอ่ แม่ พอคิดแล้วตกใจเลย โอ้ เราเปน็ คนบาปหนา ทำ�ไมเราจึงคิด อยา่ งนก้ี บั พอ่ แมไ่ ด้ เราคดิ ไดเ้ พราะเปน็ ธรรมชาตขิ องจติ จติ เรา มันคดิ ได้ทกุ อย่าง ขอเปรียบว่าเหมือนกับเร่ืองตัวอักษร  ถ้าตัวอักษรใน ภาษาพรอ้ ม เรากส็ ามารถเขยี นไดท้ กุ เรอ่ื งใชไ่ หม จะเปน็ เรอ่ื ง ธรรมะก็ได้  จะเป็นเร่ืองลามกอนาจารก็ได้  ตัวอักษรก็ใช้ชุด เดมิ ความคดิ ของเราเปน็ ไปไดท้ กุ อยา่ ง จะคดิ สงู กไ็ ด้ จะคดิ ตา่ํ กไ็ ด้ คดิ ในทางดงี ามกไ็ ด้ คดิ ในทางลามกอนาจารกไ็ ด้ คดิ ไดท้ กุ อยา่ ง ธรรมชาตขิ องจติ เปน็ อยา่ งน้ี จนกวา่ จะไดบ้ รรลเุ ปน็ พระ อรยิ เจา้ เมอ่ื บรรลเุ ปน็ พระอรยิ เจา้ แลว้ ความคดิ บางอยา่ งไม่ สามารถจะเกดิ ขน้ึ ได้ เชน่ ความคดิ จะเบยี ดเบยี นคนอน่ื มนั เกดิ ไมไ่ ด ้ นค่ี อื ความอศั จรรยแ์ ละความประเสรฐิ ของพระอรยิ เจา้ ๓๒ถาม : คุณแมว่ ยั ๘๐ เดิมเป็นคนปฏบิ ัตธิ รรมอยา่ ง เคร่งครัด  แต่มาบัดนี้กลับเปลี่ยนบุคลิกเป็นคนที่มองโลกและ มองคนในแงร่ า้ ย ผกู โกรธ อาฆาต ไมใ่ หอ้ ภัย คอยจบั ผดิ ผ้อู ่ืน ทัง้ ๆ ท่ีการท�ำ งานของสมองด้านอนื่ ยงั พรอ้ มบรบิ ูรณ์ ท�ำ ตวั ให้ ยากแกก่ ารเตือน และโกรธลกู หลานไปหมดทุกคน ท้งั ๆ ท่ีเขา เหล่านั้นได้พยายามเอาใจทุกอย่าง  ขอทราบว่าในกรณีเช่นน้ี ลูกหลานจะปฏิบตั ติ นเชน่ ไร 74 คลายปม

ตอบ : ยาก  อาตมาสรุปว่ายากเหมือนกัน  มีข้อคิด ทั่วไปว่า  คนมีอายุแล้วมักจะกลัวตายเป็นพื้น  ถึงแม้จะไม่ ยอมรับกบั ลกู หลานและไมย่ อมรบั กบั ตัวเอง นีก่ เ็ ป็นสว่ นหนึ่ง เรื่องกลวั ตาย อันนจี้ ะเป็นข้อหน่งึ ทีค่ วรดู และต้องไป ดอู กี วา่ ทา่ นมที กุ ขอ์ ะไรบา้ งเปน็ การเฉพาะ ดเู ปน็ เรอ่ื งๆ ไป เรา ลูกหลานก็ต้องใช้ความอดทนให้มาก  เพราะว่าท่านเป็นผู้ท่ีมี บญุ คณุ ตอ่ เรามหาศาล เราก็ต้องให้อภยั และอดทน ท่านอายุ มากแล้วและเราก็ไม่รู้ว่าท่านจะอยู่กับเราอีกนานเท่าไหร่ ต้องอดทนไว้ก่อน บางคร้งั เราไปพูดกบั ทา่ น ไปฟังทา่ นพูด พยายามจับ ประเด็นว่ามีอะไรที่ทำ�ให้ท่านเป็นทุกข์ ถ้าเราฟังดีๆ อาจจับ ได้วา่ เปน็ หว่ ง กลัวหรือกังวลเรื่องอะไร เราก็พยายามแก้ตรง จดุ น้ัน พยายามเปน็ ผู้ฟัง และท่ที ่านเปลย่ี นจากคนเคยเข้าวัด ปฏิบัติธรรมเป็นคนนิสัยตรงข้าม  มันมีเหตุปัจจัยอะไรบ้างท่ี ทำ�ให้เปลี่ยนแปลงอย่างนั้น  อาจจะเป็นกุญแจไขปัญหาอย่าง หนงึ่ อยทู่ ีว่ ่าเราต้องพยายามฟังใหม้ าก พยายามนัง่ ฟัง ชวนคุย ชวนฟงั ดูว่าทำ�อย่างไรทา่ นถงึ จะมีความสุข ในขณะเดียวกนั อาตมาไมเ่ ช่อื วา่ การตามใจคนใน ทกุ เร่อื งเปน็ การปฏิบัติของผูม้ ีเมตตาธรรมเสมอไป เราดู จากเดก็ ออ่ น ถ้าเดก็ เลก็ ต้องการอะไรกไ็ ด้หมด เดก็ กเ็ สียคน ผู้ใหญ่ก็เช่นเดียวกัน  ถ้าอายุมากแล้วนิสัยบางอย่างกลับ เหมือนเด็ก  ถ้าให้ทุกส่ิงทุกอย่างเม่ือท่านแสดงอารมณ์โกรธ ชยสาโร ภิกขุ 75

ก็ได้ใจ  คราวน้ีเลยทำ�บ่อยๆ  มันก็ไม่ดีเหมือนกัน  มันต้องมี ขอบเขต ตอ้ งมีหลกั การ ตอ้ งมีกรอบในการปฏิบัติ ตอ้ งคิดว่า เอาละ่ ไดแ้ คน่ กี้ ค็ ือพอ เหมือนกบั เราปฏิบัตติ ่อเดก็ แตเ่ ราต้อง ทำ�ด้วยความเคารพ และท�ำ ดว้ ยเหตุผล กรณีอย่างน้ี  จะต้องถือว่าในช่วงน้ีท่านเป็นอาจารย์ ของเรา  เราต้องพยายามรักษาจิตใจ  ทำ�สมาธิภาวนาแล้วก็ แผ่เมตตาให้ท่าน  การแผ่เมตตาการอุทิศส่วนกุศลมันมีผล จรงิ (เหน็ ผลมาแลว้ !!) อยา่ งทห่ี ลวงพอ่ ชาทา่ นเคยเลา่ ใหฟ้ งั   ตอนท่านเดินธุดงค์แล้วท่านเป็นไข้มาลาเรียอย่างหนักอยู่แถว นครพนม  ทา่ นอยอู่ งคเ์ ดยี ว ไมม่ ยี ารกั ษา ทา่ นเกอื บมรณภาพ วนั หนง่ึ ทา่ นสลบไปเลย คดิ วา่ ชวี ติ คงจะจบแลว้ ตอนนน้ั ทา่ น เผาใบสทุ ธทิ ง้ิ ไป เพราะวา่ ถา้ ทา่ นตายแลว้ ใครเจอศพจะไดไ้ มร่ ู้ วา่ เปน็ ใคร แลว้ ไมต่ อ้ งสง่ ขา่ วไปถงึ ทางบา้ นใหเ้ ปน็ ทกุ ข์ ทา่ น สลบแล้ว  ท่านก็ฟ้ืนข้ึนมา...แปลก...รู้สึกว่ามีกำ�ลังวังชา  ไม่ ทราบวา่ เปน็ เพราะอะไร เพราะทา่ นกไ็ มไ่ ดท้ �ำ อะไร ไมไ่ ดท้ าน ยาอะไร ทา่ นกจ็ ดวนั เวลาไว้ เม่ือกลับไปถงึ อุบลฯ  ไปคยุ กับทางบ้าน  คยุ กบั โยมแม่ และพี่น้องว่าวันนั้นเวลานั้นทางบ้านมีอะไรไหม  เขาบอกว่า ก็พอดีตอนนั้นพวกเราเป็นห่วงท่านมากเพราะไม่ได้ข่าวเป็นปี เป็นเดือน  กลัวท่านเป็นอะไรไป  พวกเราจึงไปวัดทำ�บุญอุทิศ ส่วนกศุ ลให้ท่าน มันเปน็ ชว่ งพอดีกบั วันทท่ี ่านสลบแลว้ ฟน้ื ข้นึ มาเหมือนมีกำ�ลัง  นับเป็นเร่ืองแปลกประหลาดท่ีเกิดขึ้นใน 76 คลายปม

ชีวติ ของทา่ น แสดงว่าการตัง้ ใจทำ�บุญท�ำ ความดีแล้วอทุ ิศให้ คนอื่นมีส่วนช่วยได้ ในการที่เรามาปฏิบัติธรรมเราก็อุทิศส่วน บุญส่วนกศุ ลใหค้ ณุ แม่กอ็ าจจะชว่ ยไดใ้ นระดับหน่งึ ๓๓ถาม : ขณะนี้ดูแลคุณพ่อซ่ึงป่วยอยู่  และท่านจะ หงุดหงิดกับความหวังดีที่เราเสนออยู่เสมอ  ทำ�ให้บางครั้งเกิด ความเบ่ือท่ีจะดูแลท่านดีๆ  และเอาจริงเอาจังอย่างท่ีต้ังใจไว้ เลยทำ�เหมือนกบั คดิ ว่าเปน็ หนา้ ที่ ไมค่ อ่ ยทำ�ดว้ ยใจ ซ่งึ คิดว่า เป็นการไม่ถูกต้อง  จึงอยากให้ท่านอาจารย์ช่วยกรุณาแนะนำ� ว่าควรจะนำ�ธรรมะข้อใดมาใช้  ให้เกิดแรงจูงใจที่จะอยาก ปฏิบัติต่อคณุ พ่อเหมอื นเดิม คือทำ�ดว้ ยใจ และขณะเดียวกนั สามารถดแู ลจิตใจตัวเอง ไม่ใหห้ ว่นั ไหว ขน้ึ ๆ ลงๆ ตามความ หงุดหงดิ ของคนอน่ื ตอบ : ส่วนหน่ึงก็ต้องฝึกคิดฝึกพิจารณาในทางที่จะ ทำ�ใหม้ กี �ำ ลังใจมากขึน้ อยา่ งเช่นเราตง้ั ใจระลกึ ถงึ บญุ คณุ ของ คุณพ่อท่มี ตี ่อเรา ตงั้ แต่เราเกดิ มา คิดใหล้ ะเอยี ดรอบคอบ และ จดไว้เป็นข้อๆ  แล้วมาพิจารณาจนกระท่ังเราเห็นความจริง ว่าสิ่งท่ีเราได้รับจากท่านมันมากเหลือเกิน  พอเราเกิดความ ซาบซึ้งในส่งิ ทดี่ ที ี่เรารับจากท่าน และคดิ วา่ แคอ่ าการหงุดหงดิ รำ�คาญบ้างเล็กน้อย  ถ้าเทียบกับส่ิงดีๆ  ที่ท่านเคยให้แก่เรา อาการหงุดหงิดในปัจจุบันแทบจะไม่มีความหมาย  เราก็ไม่ได้ ปฏิเสธกิริยาบางอยา่ งท่มี นั ขัดใจเรา หรือทที่ ำ�ใหเ้ ราเบ่อื แต่เรา ชยสาโร ภิกขุ 77

ถอนออกมาดูบริบทในภาพกว้าง และย้อนเวลาไป เรามาดวู ่า เทียบกบั ส่ิงทด่ี ีงามในอดีตท้ังหมดแลว้ มนั นิดเดียว เราไมค่ วร จะถือสา นี่กข็ ้อทหี่ นึ่ง ประเด็นส�ำ คญั ใหเ้ ราพจิ ารณาระลกึ ถึง บญุ คณุ ของท่านให้มากๆ ข้อท่สี อง ใหเ้ ราแผ่เมตตาสมํ่าเสมอทกุ วัน ก่อนจะเขา้ หอ้ งไปดูแลทา่ น เรากน็ ัง่ สงบเงียบกอ่ น นั่งแผ่เมตตาให้ทา่ น แลว้ กเ็ ตรยี มใจวา่ เราจะไมป่ ล่อยใหจ้ ิตใจเราเศรา้ หมอง เพราะ ค�ำ พูดของทา่ น ไม่ว่าท่านจะพดู อะไรก็แลว้ แต่ ต้องเตรยี มใจไว้ ก่อน ถอื วา่ เปน็ ข้อวัตรปฏิบัติ และเป็นสง่ิ ท้าทาย วนั นเ้ี ราปฏบิ ตั ิ ธรรมดว้ ยการรกั ษาจติ ท้งั ๆ ท่คี ณุ พอ่ หงุดหงดิ คุณพ่อดุ น่ีกค็ อื การปฏิบัติของเราวันนี้ เราจะดูแลท่าน และการรักษาจิตให้ ปกติ กจ็ ะกลายเปน็ สิง่ ท้าทาย ข้อท่ีสาม  อยากจะพิจารณาว่าความหงุดหงิดความ รำ�คาญก็เป็นส่วนหนึ่งของโรคของท่าน  เพราะว่าคนเราไม่ใช่ ปว่ ยทางกายอย่างเดยี ว แต่ปว่ ยใจดว้ ย และผู้ปว่ ยหนัก ปว่ ยใน วาระสุดท้าย มักจะมีอะไรหลายๆ อย่างที่ชวนปั่นป่วนวิตก กงั วลและกลวั ถา้ เปน็ ผชู้ าย หลายอยา่ งกอ็ ายไมอ่ ยากจะเปดิ เผย เช่น ฉนั กลัวตาย เป็นตน้ และผชู้ ายทีเ่ ปน็ คณุ พ่อ ก็คงไม่อยาก จะเปดิ เผยกับลูกสาวหรอื คนรอบขา้ ง มนั เสยี ศักดศิ์ รขี องผชู้ าย เรากต็ ้องพยายามเขา้ ใจในประเดน็ นี้ เพราะฉะน้ันความกลัวความกังวลความทุกข์ต่างๆ ผู้ชายมักจะไม่ถนัดที่จะบ่นหรืออยากจะพูดยาวๆ แต่จะ 78 คลายปม

เก็บกด มันจงึ ออกมาในลกั ษณะว่าดุ ว่าร�ำ คาญ ว่าหงดุ หงดิ ทำ�นองนี้  เราก็ใหอ้ ภยั เพราะเขา้ ใจวา่ เปน็ อาการหนึง่ ของโรค ความแปรปรวนของสงั ขาร เป็นความผิดปกติ น่ีคอื ข้อแนะน�ำ สรุปว่า  ให้เราให้เวลากับการพิจารณาถึงบุญคุณของ ท่านให้เห็นว่าบุญคุณมากเหลือเกิน เทียบกับความหงดุ หงดิ ร�ำ คาญ  มนั เทยี บไมไ่ ด ้ ความหงดุ หงดิ ร�ำ คาญเรอ่ื งเลก็ นิดเดียว แตเ่ ราฝกึ จิตก่อน ทุกครงั้ ก่อนจะเข้าหอ้ งท่าน เราก็ฝึกท�ำ จติ ดู ลมหายใจเขา้ ลมหายใจออก แลว้ แผ่เมตตาใหท้ ่าน และเตรียม ใจว่าจะเข้าไปปรนนิบัติให้เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติธรรม เราตอ้ งพยายามรักษาจติ ถือว่าเป็นเรอ่ื งท้าทาย แลว้ ใหถ้ อื วา่ อาการต่างๆ ท่เี ราไม่ชอบ กเ็ ปน็ สว่ นหน่งึ ของโรค จึงสมควรให้ อภัยท่าน ๓๔ถาม : ในพ้ืนท่ี  ๓  จังหวัดชายแดนภาคใต้มีการ เบียดเบียนชีวิตกันมาเป็นเวลาหลายปี  กรณีท่ีมีคลื่นสึนามิ ทำ�ให้คนตายพร้อมกันนับแสน  ตามหลักของพระพุทธศาสนา จะอธบิ ายเรอื่ งนี้ว่าอย่างไร ตอบ : เราก็ถือว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปตามเหตุตาม ปัจจัย  ถ้าคนมีความโกรธ  มีความไม่พอใจ  ด้วยเหตุผลว่า ถกู รงั แก ถกู กดข่ี เพราะอยใู่ นระบบท่ไี ม่ยตุ ธิ รรม เป็นต้น และ ผ้ทู ี่โกรธ เกลยี ด แค้นใจนนั้ ไม่ถอื ศีลขอ้ ที่ ๑ ก็เปน็ ไปได้วา่ จะ ต้องมีการฆา่ กัน ศาสนาตา่ งๆ กม็ ีหลักตา่ งๆ ทีไ่ มเ่ หมอื นกัน ชยสาโร ภกิ ขุ 79

บางศาสนาถอื วา่ ถ้าเครง่ จรงิ ๆ จะยอมท�ำ หมด แม้จะเป็นการ เบียดเบียนชีวติ ผูอ้ ่ืน หากเครง่ ท่ีสดุ ทางพุทธศาสนา แมม้ ดตัว เลก็ ๆ เรากไ็ มฆ่ ่า อยา่ งไรก็ตาม เราไมค่ วรจะดว่ นสรุปวา่ เปน็ เรื่องของศาสนาเสมอไป เพราะเรื่องศาสนา เร่อื งเศรษฐกิจ เรือ่ งการเมือง เรอ่ื งสังคม  มนั เกีย่ วเนอ่ื งกันมาก  บางทเี ราจะ มองแต่ในแงข่ องศาสนาอยา่ งเดยี ว มนั ก็จบั ประเดน็ ไมไ่ ด้ เร่ืองสนึ ามทิ ี่ทำ�ใหค้ นตายพร้อมๆ กัน สำ�หรับอาตมาก็ พิจารณาความตายทุกวันๆ ฉะน้นั ไมไ่ ด้รู้สกึ วา่ คนตายจ�ำ นวน มากเป็นเรอ่ื งแปลกประหลาด นอกจากว่ามนั เกิดในท่เี ดยี วกัน เท่าน้ันเอง อาตมาเคยเล่าเรอื่ งหลวงพ่อชา ทีท่ ่านอาพาธหนัก เรานิมนต์ท่านกลับจากโรงพยาบาลจุฬาฯ  คิดว่าจะให้ท่าน มรณภาพท่ีวัด  ไม่อยากให้ท่านต้องมรณภาพในโรงพยาบาล เราสร้างกุฏิพยาบาล  พระเราก็เตรียมพยาบาลท่าน  จนกว่า ท่านจะมรณภาพ พวกเราคาดกันเองว่าท่านน่าจะอยู่ไม่เกิน ๖ เดือน หรือ ๑ ปี สุดทา้ ยทา่ นก็อยู่ถงึ ๑๐ ปี คนไทยโดยเฉลย่ี ตายปลี ะประมาณ ๔ แสนคน เปน็ อนั วา่ ระหวา่ งหลวงพอ่ นอนปว่ ยนค่ี นไทยตายไปแลว้ ๔ ลา้ นคน เรอ่ื ง ความตายแบบทรมานกม็ อี ยทู่ กุ วนั แตว่ า่ อยใู่ นโรงพยาบาลบา้ ง อยู่ที่บ้านบ้าง เพราะไม่ได้อยู่ในที่เดียวกัน คนก็เลยหลับหู หลบั ตาเรอ่ื งความตาย ไม่ต้องไปคดิ ไม่อยากจะคดิ แตโ่ ลกท่ี เราอยู่เป็นโลกแห่งการเกิดแก่เจ็บตาย โลกที่คนตายทุกวันๆ ตายเป็นพัน เมืองไทยกต็ ายทกุ วนั ๆ เมืองนอกกต็ ายทกุ วันๆ 80 คลายปม

ฉะนั้นถ้าพูดถึงการตายมันก็ต้องตายอยู่แล้ว  เราจะบอกว่า โอ.้ ..เขาคงเคยทำ�กรรมร่วมกันไว้กอ่ น อนั นก้ี ็พดู ได้ ครูบาอาจารย์บางองคก์ ย็ ังเคยพดู อย่างนนั้ ว่า คนทต่ี าย พร้อมกันเป็นแสนสองแสนคนเคยทำ�ปาณาติบาตพร้อมกัน อาตมาเองไม่ทราบ ไมม่ ีญาณหยงั่ รูถ้ งึ ขนาดนน้ั อาตมามองว่า ชีวิตของเรามันไม่ปลอดภัย เราอยู่ในโลกที่มีภัยธรรมชาติเกิด ขนึ้ เปน็ ระยะๆ เมอื่ ภยั ธรรมชาตเิ กิดขึ้นเป็นระยะๆ และจ�ำ นวน คนก็เพิ่มข้ึนทุกปีๆ ทุกครั้งท่ีเกิดภัยธรรมชาติ  ก็ต้องมีคนตาย เปน็ จ�ำ นวนมากก็แค่นั้น หลังจากสึนามิแล้วก็ไม่ใช่ว่าไม่มีใครตาย  คนไทยก็ ตายเป็นพันทุกวัน  อีกข้อหน่ึงท่ีเราไม่ควรจะลืม  คือทุกคน ท่ีตายในสึนามิน่ีเขาจะต้องตายอยู่แล้ว  ไม่ใช่ว่าไม่มีสึนามิน่ี คนเหลา่ นน้ั จะไมต่ าย เขากม็ ธี รรมชาตทิ จ่ี ะตอ้ งตาย ฉะนน้ั เรอ่ื ง ของความเกดิ ความแก่ ความเจบ็ ความตาย คนสว่ นมากไมค่ อ่ ย อยากจะคดิ พอเรอ่ื งอยา่ งนเ้ี กดิ ขน้ึ กท็ �ำ ใจไมค่ อ่ ยได้ ตอ่ ไปกอ็ าจ จะเกดิ ถข่ี น้ึ เพราะวา่ นอกจากภยั ธรรมชาตทิ เ่ี กดิ เปน็ ระยะๆ โดย ปกตแิ ลว้   เรายงั จะเรม่ิ เหน็ ผลจากการกระท�ำ ของมนษุ ยท์ ส่ี ง่ั สม มาหลายๆ รอ้ ยปี ตง้ั แตก่ ารปฏวิ ตั อิ ตุ สาหกรรมทป่ี ระเทศองั กฤษ  มนษุ ยก์ อบโกยท�ำ ลายสง่ิ แวดลอ้ มเพอ่ื ประโยชนใ์ นระยะสน้ั ตอน นก้ี �ำ ลงั จะเขา้ ยคุ ทม่ี นษุ ยต์ อ้ งรบั ผลกรรม เรอ่ื งสนึ ามคิ งเปน็ แคค่ รง้ั แรกๆ ตอ่ ไปอาจจะมบี อ่ ยมากขน้ึ ทค่ี นตกใจมากเพราะไมเ่ คยเหน็ มากอ่ น แตต่ อ่ ไปคงจะตอ้ งเจอบอ่ ย เรากต็ อ้ งเตรยี มตวั เตรยี มใจไว้ ชยสาโร ภกิ ขุ 81

82 คลายปม

๓๕ถาม : ขอเรียนถามถึงวิธีปฏิบัติและการทำ�จิต  เวลา ป่วยท่ีโรงพยาบาล  หรือเวลาเจ็บหนักโดยเฉพาะอย่างย่ิงเวลา ก่อนจะสน้ิ ใจ ตอบ : เรือ่ งนเี้ รื่องใหญ่ จะขอพดู สัก ๒-๓ ขอ้ ขอพดู ถงึ ญาติหรอื ผู้ท่ดี ูแลคนปว่ ยก่อน เราตอ้ งพยายามคิดในประเด็น วา่ ญาตทิ ก่ี �ำ ลงั จะสน้ิ ใจนน้ั ยงั มเี รอ่ื งกงั วลอะไรบา้ ง จะเกย่ี วกบั ลกู หลานทรพั ยส์ มบตั ิหรอื อะไรกแ็ ลว้ แต่พยายามปลอบใจในเรือ่ ง นนั้ ผทู้ ีจ่ ะเสียชวี ติ เองกต็ อ้ งพยายามปล่อยวางความวติ กกงั วล ตา่ งๆ เมอ่ื ถงึ เวลาทร่ี กั ษาไมห่ ายแลว้ เรากต็ อ้ งเตรยี มจติ เตรยี ม ใจ เพราะคนเราไม่ใช่ว่าตายแล้วสูญ เรายังมีที่ไป จิตสุดท้าย หรอื ภาวะจิตข้นั สดุ ท้ายมีผลสำ�คัญมากตอ่ การไปเกิดใหม่ เราต้องพยายามสร้างสถานการณ์  ส่ิงแวดล้อม บรรยากาศท่ีจะช่วยให้ผู้ท่ีจะจากไปได้ไปอย่างสงบเท่าที่เรา จะทำ�ได้  ผู้ท่ีจะสิ้นไปอย่างมีสติหรืออย่างสงบก็มักจะเป็นผู้ท่ี เคยฝึกสติ  เคยฝึกความสงบต้ังแต่ยังไม่ป่วย  ถ้าจะปล่อย ให้ป่วยก่อนและกำ�ลังจะหมดเวลาแล้ว  ค่อยมาบริกรรม  “พุท-โธๆ”  ก็คงจะยาก  ขนาดพวกเราท่ียังแข็งแรงอยู่  ยัง ทำ�ไม่ค่อยเป็น  นับประสาอะไรกับคนท่ีเจ็บป่วยมากๆ เพราะฉะนั้นการฝึกเจริญสติ  ในการทำ�สมาธิภาวนา ตั้งแต่ยังไม่เจ็บป่วยจึงเป็นเร่ืองสำ�คัญมาก  การเข้าปฏิบัติ ธรรมอย่างน้กี ด็ ี คือ มตี ารางเวลาตายตวั ท่ไี มข่ นึ้ อยู่กบั ความ ชอบความไมช่ อบของเรา ชยสาโร ภิกขุ 83

เมอื่ เราอยู่ที่บา้ น ถงึ จะปฏิบตั สิ มา่ํ เสมอพอสมควร กม็ ัก จะทำ�ตามใจตัวเองมาก ถ้าวันไหนรู้สึกวุ่นๆ ฟุ้งซ่าน ง่วงหรือ ขี้เกียจ ก็มกั จะคดิ เขา้ ขา้ งกเิ ลส แหม…ไมน่ งั่ ดีกวา่ วนั นี้น่ังไป กค็ งไมไ่ ดป้ ระโยชนอ์ ะไร เพราะวา่ มนั เปน็ อยา่ งน้ี มนั วนุ่ วายเกนิ ไป มเี รอ่ื งอยใู่ นใจมากเกนิ ไป ถา้ ไมร่ ะวงั กก็ ลายเปน็ นสิ ยั เคยชนิ ท่ีว่าเราภาวนาเฉพาะเวลาท่ีเราอยากภาวนา  สำ�หรับนักบวช จะได้เปรียบตรงท่ีว่าต้องภาวนาทุกวัน  ไม่ใช่ว่าพระท่านจะ ขยนั ทกุ วนั แตข่ ยนั หรอื ไมข่ ยนั ทา่ นกต็ อ้ งท�ำ ตสี าม ระฆงั ตี ทา่ น ตอ้ งไปศาลา ฉะนน้ั ทา่ นมโี อกาสปลอ่ ยวางความอยากไมอ่ ยาก ในการปฏบิ ตั ิ สขุ ภาพจะอ�ำ นวยหรอื ไมอ่ �ำ นวย ทา่ นกต็ อ้ งท�ำ คนเราท่ัวไปพอไม่สบายแล้ว  สิ่งแรกท่ีเราจะปล่อยวาง ก็คือการภาวนา  วันนี้ไม่ต้องเข้าห้องพระเพราะไม่สบาย  ไม่ ต้องทำ�วัตรสวดมนต์  แต่ถ้าเราเห็นความสำ�คัญในการเตรียม ตัวต้ังแต่ยังแข็งแรงอยู่  จะเห็นว่าไม่ควรจะหักโหมเกินไป หรือว่าฝืนตัวเองมากเกินไป  แต่บางครั้งบางคราวถึงไม่สบาย ก็ยังพยายามปฏิบัติ  พยายามเจริญสติ  พยายามทำ�สมาธิ เป็นการฝึกนิสัย  เม่ือเวลาเจ็บมากๆ  ก่อนจะสิ้นใจ  เรามีทุน คือมีความสามารถท่ีเราเคยฝึกมาก่อน  การปฏิบัติในเวลา เจ็บหนัก ถ้าไมเ่ คยปฏิบตั ิ ไม่เคยเจรญิ สติ ไม่เคยพยายาม แยกแยะระหว่างเวทนากับความคิด  ความยึดมั่นถือมั่น แยกจิตออกจากอารมณ์ มันกจ็ ะยากมาก เราจงึ ตอ้ งฝึกทำ� ตง้ั แต่ยังไมเ่ จบ็ ป่วย 84 คลายปม

ประเดน็ ส�ำ คัญคอื การใช้สตใิ นวาระสดุ ท้าย โดยเฉพาะ อยา่ งยิง่ ในเรอื่ งของทุกขเวทนา เราต้องการฝกึ สตกิ ับกาย ให้ สามารถแยกทุกขเวทนาส่วนที่เป็นอาการของกาย  ออกจาก สว่ นท่เี ปน็ ปฏกิ ิรยิ าท่ปี ระกอบดว้ ยความคิดกลวั วิตกกงั วล หว่ ง รังเกยี จ โกรธ น้อยใจ เสียใจ อจิ ฉาคนท่ีไมเ่ จ็บปวด เปน็ ตน้ ซึง่ ปฏิกิริยาเหล่านี้เกิดข้ึนอย่างฉับพลันเร็วมาก  ถ้าคนไม่ปฏิบัติ จะจับไมท่ ัน แลว้ สง่ิ ทร่ี ู้สึกวา่ ปวดน้นั ก็จะเป็นสองอย่างทผ่ี สม กนั อยา่ งดูไมอ่ อกว่าไมใ่ ชส่ ง่ิ เดยี วกนั การที่เราเอาจิตใจที่มีสติพอสมควรมาดูเวทนา  เราจะ เหน็ ความไมเ่ ท่ียงของเวทนา จะเปน็ ความไม่เทีย่ งของจดุ ทมี่ นั ทรมาน  จุดที่มันเจ็บปวดบ้าง  ลักษณะอาการของความเจ็บ ปวดบา้ ง อัตราของเวทนาบ้าง อันน้ีจะเปน็ ประโยชนต์ อ่ คนไข้ มากทจ่ี ะเห็นว่า เวทนาเปน็ สักแต่ว่าเวทนา เปน็ เร่อื งของกาย ซง่ึ ผู้รูผ้ ู้พิจารณาเวทนาไมจ่ �ำ เป็นตอ้ งเจบ็ ดว้ ย ดตู รงที่เจบ็ แต่ผรู้ ู้ความเจบ็ ไม่ต้องไปเจ็บดว้ ย เจ็บก็อยา่ งหน่งึ รู้ก็อีก อยา่ งหนง่ึ นีจ่ ะชว่ ยให้คนทมี่ ีทกุ ขเวทนาเร่มิ เปลย่ี นท่าทตี อ่ เวทนา ยอมรบั และไมก่ ลัว การปฏิบัติเพื่อเรียนรู้เร่ืองทุกขเวทนาเป็นงานที่มีความ หมาย  และเป็นงานที่มีประโยชน์อย่างยิ่ง  ท้ังต่อชาติปัจจุบัน และชาติหน้า  เป็นกำ�ไรทางปัญญาด้วย  ทางพุทธศาสนา ถือว่าเราต้องเป็นนักศึกษาจนถึงลมหายใจสุดท้าย  ชีวิต คือการศึกษา  เราศึกษาอะไร  เราก็ศึกษาความเป็นคนท่ี ชยสาโร ภิกขุ 85

ก�ำ ลังจะตาย นีก่ เ็ ป็นส่งิ ท่เี รากำ�ลังเรียนรอู้ ยู่ ส่ิงสำ�คัญส่วนหนึ่งของการเรียนรู้น้ันก็คือ  ทำ� อย่างไรเราจึงจะมีความพอใจและยอมรับภาวะนี้ได้  ความสงบของผู้ท่ีอยู่ในวาระสุดท้ายอยู่ที่การยอมรับ  ทำ� อยา่ งไรเราจึงจะพน้ ขน้ั ทไี่ ม่ยอมรับ เรือ่ งนีต้ ้องใช้สมาธิ ดว้ ย ผู้ท่ีเคยทำ�สมาธมิ าแลว้ ก็จะงา่ ยขึ้น แต่กไ็ ม่งา่ ยนัก ในกรณีของผู้ที่ไม่เคยทำ�สมาธิมาก่อน  วิธีที่อาตมาใช้ แล้วได้ผลพอสมควร  คือการใช้ส่ิงท่ีเรียกว่า  จาคานุสสติ การภาวนามีวิธีการมากมาย  และเราสามารถเลือกวิธีที่จะ เหมาะสมกบั เรา ถ้าใครเข้าวัดปฏิบัติธรรม  เรามักจะเน้นในเร่ืองอานา- ปานสตเิ ปน็ หลกั ใหญ่ แต่ผทู้ เ่ี จ็บปวดมาก ลมหายใจอาจจะไม่ ปกติ และอาจจะไม่สะดวกทีจ่ ะกำ�หนดลมหายใจ พทุ โธก็เชน่ เดียวกัน ถ้าผู้ทีเ่ คยบรกิ รรมพทุ โธมาก่อน มหี ลกั แลว้ อาจจะงา่ ย หนอ่ ย ผทู้ ่มี ศี รทั ธาในคุณพระศรีรตั นตรัยแรงกล้า อาจจะงา่ ย หน่อย แต่ว่าไมใ่ ชท่ กุ คน ส�ำ หรบั ผทู้ ไ่ี มไ่ ดเ้ ขา้ วดั และไมเ่ คยสนใจในดา้ นน้ี อาตมา จะใหล้ กู หลานหรอื ผเู้ ปน็ ญาต ิ คยุ กบั ผทู้ จ่ี ะจากไปถงึ เรอ่ื งทผ่ี นู้ น้ั ภมู ใิ จทส่ี ดุ ในชวี ติ คยุ กนั เรอ่ื งเกา่ ๆ ทเ่ี คยไปท�ำ บญุ เคยไปบรจิ าค  เคยเสยี สละส่ิงใดที่เปน็ สงิ่ ท่ดี งี ามทคี่ นๆ นน้ั คิดถึงเมื่อไหร ่ ก็มี ความสุขและภาคภมู ใิ จ  เอากระดาษมาจดไว้ 86 คลายปม

เม่ือเขยี นได้ถึง ๑๐ ข้อ ผ้เู ป็นญาติก็อ่านให้คนไขฟ้ งั แลว้ ชวนให้คิด ใหพ้ จิ ารณาข้อละ ๓ นาที ๑๐ ข้อก็ ๓๐ นาที ถ้าผู้ เปน็ ญาติคอยควบคุมไม่ใหเ้ ขาเผลอมาก ใน ๓๐ นาทนี ้ี จิตใจ มักจะเบกิ บาน ความเบิกบานใจน้ที า่ นเรยี กวา่ ปราโมทย์ ซึง่ จะเป็นสะพานไปสู่ปีติ ทีจ่ ะนำ�ไปส่สู มาธติ อ่ ไป ในการภาวนา  เคล็ดลับก็คือทำ�อย่างไรเราจึงจะเกิด ความรู้สึกท่ีเป็นการจุดประกายท่ีท่านเรียกว่าปราโมทย์  ซ่ึง ส่ิงที่จะนำ�ไปสู่ความรู้สึกน้ีมีมากมายข้ึนอยู่กับแต่ละคน  ส�ำ หรับคนทีไ่ ม่เคยเขา้ วดั การระลึกถงึ ความดที ่ีตวั เองเคยท�ำ ไว้จะง่ายและจะเร็วกว่าการบริกรรมพุทโธหรือการดูลมหายใจ  ฉะนั้นเราไม่ควรจะคิดว่าการภาวนาคือการบริกรรมพุทโธ  หรอื อานาปานสติ มนั มีใหเ้ ราเลือกและสรา้ งสรรค์ได้ เราก็ดูท่ี จริตนิสัยและความพร้อมของคนไข้  การฝึกให้จิตใจมีสติและ สงบเปน็ เรื่องที่ส�ำ คัญมาก สดุ ทา้ ยก็เรอ่ื งของปญั ญา การท่เี ราจะนอ้ มน�ำ จิตใจของ ผ้ใู กลต้ ายให้ระลกึ ถงึ ไตรลกั ษณ์ อนั เป็นความจริงของชีวิต ก็ แล้วแต่ว่าผู้น้ันจะพร้อมมากน้อยแค่ไหน  เพราะไม่ใช่ว่าทุก คนจะรับฟังได้  เราต้องพิจารณาดูเหมือนกัน  ไม่ให้เป็นการ ยัดเยียด การบงั คับ หรือการพูดถงึ ส่ิงที่สูงเกนิ ไป ถา้ ธรรมะสงู เกินไปจนฟงั ไม่รูเ้ ร่อื ง มันกไ็ ม่เกิดประโยชนอ์ ะไร เราตอ้ งดวู า่ เขาอยู่ในระดบั ไหน การพดู ถึงความไม่แนน่ อน การทช่ี ีวิตเรา ชยสาโร ภกิ ขุ 87

ไมม่ ีเจา้ ของ เป็นสง่ิ ทที่ ำ�ให้คนกลัวตายมาก โดยเฉพาะคนที่ ชอบควบคุมสงิ่ ต่างๆ เช่น สง่ิ แวดลอ้ มทุกสง่ิ ทุกอยา่ งตอ้ งตรง ตามมาตรฐานของตัวเขาเอง ทกุ คนต้องท�ำ ตามใจเขา จะอยู่ แตก่ ับส่ิงทีต่ วั เองคนุ้ เคย การจะไปยงั ทีท่ ีต่ ัวเองไม่รแู้ ละอยกู่ บั คนท่ีควบคมุ บังคับไม่ได้ เขาก็จะทกุ ข์ คนท่ีเคยใชช้ วี ติ เยยี่ งน้ี หากพดู ถงึ ความตาย คอื ความ ดับไปสู่ส่ิงที่ไม่มีใครรู้ล่วงหน้าว่าจะเป็นอย่างไร  จะเป็นส่ิงท่ี ท�ำ ให้เขาเกดิ ความกลวั มาก การพูดถงึ เรอ่ื งกฎแหง่ กรรม การ เวียนว่ายตายเกิด  โดยเอาตัวอย่างจากครูบาอาจารย์ที่ระลึก ชาตไิ ด้ เร่อื งชาดก เรอ่ื งนิทานต่างๆ เร่อื งความจริงต่างๆ น้นั ใหเ้ ขาเกดิ ความเช่อื มน่ั ว่า คนทีเ่ คยทำ�ความดแี ล้ว ต้อง ไปทดี่ ี จะเป็นการชว่ ยมาก ชว่ ยให้เขาสบายใจ การพจิ ารณา เรื่องอนจิ จัง ทกุ ขงั อนัตตา ในระดับใดระดบั หนึง่ ที่เหมาะสม พอดกี ับคนไข้กเ็ ป็นอกี ส่วนหน่งึ ของการปฏิบัตธิ รรมของผู้ที่ใกล้ จะตายและของคนเฝ้าไข้ดว้ ย คนเฝา้ ไข้กม็ ีโอกาสจะตอบแทน บุญคุณของผู้มีพระคุณด้วยการปรนนิบัติรับใช้  นี่ก็เป็นการ ปฏบิ ัติธรรมในระดบั หนึง่ นอกจากนี้แล้วก็ต้องมีการสำ�รวมอารมณ์ด้วย  ถ้าเกิด อารมณห์ งดุ หงดิ ร�ำ คาญ หรือเหน็ ความเจ็บปวดของคนไข้แลว้ เกิดความสะเทือนใจ เรากต็ อ้ งควบคมุ อารมณ์ ส�ำ รวมอารมณ์ ของเราดว้ ย แล้วควรจะเจริญเมตตาภาวนา แผ่เมตตาแกค่ นไข้ ในกรณีท่ีคนไข้โคม่า  เราก็ไม่ด่วนสรุปว่าเขาไม่รับทราบ 88 คลายปม

ให้เช่ือว่าเขายังฟังรู้เร่ืองไว้ก่อน  อยู่ต่อหน้าคนไข้  ต้อง ระมัดระวังคำ�พูดให้มาก  แล้วพยายามทำ�จิตให้เป็นกุศล มีการทำ�วตั รสวดมนตเ์ ปิดเทปธรรมะ ถึงแม้จะดูเหมือนว่าท่านหลับก็ไม่เป็นไร  เปิดไว้ก็แล้ว กัน ถา้ ทา่ นไม่ฟงั เราฟงั เองเราก็ได้ประโยชน์ เราก็พยายามท�ำ จิตใจของเราใหส้ งบ ผู้เป็นญาตเิ องก็มีโอกาสทจี่ ะปฏบิ ัติธรรม ทีจ่ ะต้องเตรยี มตัววา่ การตายของแตล่ ะคนไมใ่ ชก่ ารตายของ คนนั้นคนเดียว ทุกคนก็ตายพรอ้ มกัน ตายในสว่ นใดส่วนหน่ึง ของชีวิต อยา่ งเชน่ คุณพอ่ เสีย เราก็เสยี ความเป็นลกู ของคณุ พอ่ คนนน้ั พ่นี อ้ งเสยี เรากเ็ สียความเปน็ พค่ี วามเป็นน้อง ลกู เสยี เรากเ็ สียความเปน็ พ่อเปน็ แม่ สว่ นหน่ึงของชวี ติ ของเราเปลยี่ น ไป เรากต็ อ้ งเตรียมตวั ทจ่ี ะรับความเปลยี่ นแปลงปรวนแปรของ ชีวิตต่อไป นีก่ ็เปน็ เร่อื งของอนิจจงั สรุปว่าผู้ท่ีปฏิบัติธรรม  คือผู้ที่สนใจศึกษาความเป็น มนุษย์ ภาพรวมของความเปน็ มนุษย์ สนใจศกึ ษาวา่ กายนคี้ อื อะไร ใจนค้ี ืออะไร สมั พันธ์กันอย่างไร ความเจริญในชีวติ คือ อะไร ความเสอ่ื มในชวี ติ เป็นอย่างไร ความสขุ ท่แี ท้จริงในชีวิต เป็นอย่างไร เราควรจะปฏิบตั ิ เราควรจะดำ�เนินชวี ิต ใหช้ วี ิตของ เราสงู ข้นึ ทกุ วันๆ นค่ี อื สง่ิ ทีท่ า้ ทายชาวพทุ ธ วาระสุดทา้ ยของ ชีวติ หรอื ในชว่ งท่ีเราก�ำ ลงั ปรนนิบัติหรอื ชว่ ยเฝ้าคนไข้ นบั เป็น วาระส�ำ คญั ทเ่ี ราจะไดท้ �ำ งานในดา้ นนด้ี ว้ ย ชยสาโร ภิกขุ 89

ถ้าเราเร่ิมปฏิบัติและพิจารณาตั้งแต่ยังเด็กยังหนุ่ม ยังสาว  เราจะซาบซ้ึงเร่ืองอนิจจัง  เร่ืองความไม่เท่ียงแท้ถาวร เร่ืองความไม่แน่นอนของชีวิต  ซาบซ้ึงว่าชีวิตของเราไม่มี เจ้าของ  ไม่มีการบังคับบัญชาอะไรให้เป็นไปตามใจเรา  เรา จะซาบซ้ึงในความเกิดดับตามเหตุตามปัจจัยของส่ิงท้ังหลาย  เราจะคุ้นเคยกับมัน  เม่ือเกิดความเปลี่ยนแปลงคร้ังใหญ่ใน ชีวิต  ความดับหรือความพลัดพรากท่ีใหญ่หลวงมาถึงเรา  มัน จะเป็นเร่ืองเดยี วกนั ไม่มอี ะไรแปลกประหลาด เพียงแตว่ ่าจะ เป็นตัวอย่างท่ีหนักกว่าที่เราเคยเจอมา  แต่มันก็เป็นแบบ เดียวกัน เป็นเร่ืองเดยี วกัน มนั ไมใ่ ชเ่ รือ่ งท่ีเราคาดไมถ่ ึงวา่ จะ เป็นอย่างนี้ๆ จนเราตกใจ  เราจะไม่ตกใจและไม่มีปฏิกิริยา อย่างนัน้ เพราะมันเป็นเรอื่ งเดิมๆ ท่ีเราคุ้นเคย และเราจะ เขา้ ใจชดั ถึงความหมายของค�ำ วา่ ธรรมดา “โอ้...ใช่...มนั เปน็ เรื่องธรรมดา” ๓๖ถาม : ในศาสนาพุทธ  การช่วยให้คนป่วยหนักตาย โดยไม่ทรมานถือเป็นการทำ�บาปหรือไม่  (euthanasia)  เช่น สมมติว่าหมอช่วยคนไข้ท่ีอยู่ในสภาพทรมานไม่มีทางรักษา ให้จบชีวิตลงด้วยความเต็มใจของคนไข้  และขอถามเพิ่มเติม วา่ ถ้าเรายอมให้หมอทำ�  ยทู าเนเซยี   ใหก้ บั พ่อทีร่ ้องขอใหช้ ่วย จบชีวิตในช่วงทรมานจากโรคท่ีรักษาไม่หาย  อย่างน้ีถือเป็น ปิตุฆาตหรอื ไม่ 90 คลายปม

ตอบ : มนั เสยี่ งมาก ถ้าเราท�ำ สิ่งใดที่ทำ�ใหผ้ ้เู จบ็ ไข้ได้ ป่วยสิ้นชีวติ เรว็ มากขึน้ ก็ถือวา่ เปน็ บาปกรรม เปน็ บาปกรรม หนกั และโดยเฉพาะในกรณีของคุณพอ่ คณุ แม่เป็นเรือ่ งท่ตี ้อง ระวังอย่างย่ิง  เรื่องยูทาเนเซียจะแพร่หลายในหมู่คนที่ไม่เช่ือ เรอ่ื งการเวียนวา่ ยตายเกดิ ถ้าเป็นอย่างนั้น ยทู าเนเซียดูจะเป็น ทางออกทด่ี สี �ำ หรับผ้ทู ่กี ำ�ลงั ทรมานอยู่ แต่ส�ำ หรบั ชาวพุทธเรา เช่อื ว่าตายแลว้ ยังไมจ่ บสิ้น มนั มีต่อ การเผชญิ กับทุกขเวทนากอ่ นตาย เป็นส่วนหนึง่ ของการ รับผลกรรมท่เี ราเคยทำ�ไว้ ถา้ ไม่รับในชาตปิ จั จุบัน ชาติหน้า กต็ อ้ งรบั ไม่มกี ารลอยนวล ตอ้ งดเู จตนาของเราด้วย บางทีก็ เป็นความออ่ นแอของลูกหลาน หรอื ความรักความเมตตาทท่ี น ไมไ่ ด้ทจ่ี ะเหน็ ผู้ทเ่ี รารกั กำ�ลงั ทรมาน ต้องท�ำ ใจยอมรับว่ามนั ก็ เปน็ อย่างน้ี ชวี ิตมนุษยม์ ันเป็นอย่างนีเ้ อง แล้วก็พยายามช่วย ในสว่ นท่ีเราช่วยได้ บางคนทรมานมาก แต่อดทนจนผ่านช่วง ที่ทรมาน และอาจจะมชี ่วงท่ีสงบก่อนตาย บางทีเปน็ ชว่ งท่เี ขา พร้อมจะรับธรรมะ  หรือได้อะไรท่ีจะเป็นเสบียงเดินทางต่อไป ความเจบ็ ทกุ ขเวทนามกั จะมาเปน็ ระลอกๆ ระหว่างระลอกก็ ยังมโี อกาสที่คนไข้ผู้ทกี่ �ำ ลังจะส้ินไปจะไดป้ ญั ญา ไดป้ ล่อยวาง ในบางส่ิงบางอย่างซ่ึงจะเปน็ ประโยชน์มากสำ�หรบั ชาตติ อ่ ไป อีกประการหนึ่ง  ทุกวันนี้ความก้าวหน้าในวิทยาการ ทางการแพทย์ ทำ�ให้คนไขท้ ่เี ปน็ โรคร้ายแรงและมีทุกขเวทนา หนักน้ัน  ใช้ยาแก้ปวดจนแทบจะไม่ต้องทรมานเกือบ  ๘๐- ชยสาโร ภิกขุ 91

๙๐  เปอร์เซ็นต์  มีส่วนน้อยท่ีจะต้องทรมานมากๆ เหมือน สมยั กอ่ น ฉะน้ันยากม็ ีสว่ นชว่ ยดว้ ย เราต้องถือวา่ เราไมม่ สี ิทธิ ที่จะบั่นทอนชีวิตของใคร  มันเป็นเรื่องธรรมดาสำ�หรับผู้ท่ี ไม่เคยปฏิบัติและจิตใจไม่เข้มแข็ง  เมื่อเจอทุกขเวทนาอย่าง หนักก็ยอ่ มอยากจะหนี จะเหน็ ไดว้ า่ คนท่รี กั ชวี ิตมากทส่ี ดุ ชอบ ใช้ชวี ิตสนกุ สนานชอบเท่ยี ว เมอื่ ถงึ เวลาไม่มที างไปแล้ว ไมม่ ี ทางจะเที่ยวได้ ไมม่ ีทางจะหาย ก็มแี ตอ่ ยากจะตายเรว็ ๆ ส่วนนักปฏิบัติเมื่อเจอส่ิงสนุกสนาน  ก็สนุกกับเขาได้ เหมือนกัน  แต่ไม่หลง  แล้วก็ไม่กลัวทุกขเวทนา  เรียนรู้เร่ือง ทุกขเวทนา ถอื วา่ เราเปน็ มนุษยแ์ ลว้ ทุกขเวทนาก็เปน็ ส่วนหนึ่ง ของความเป็นมนุษย์  และเป็นส่ิงท่ีทุกคนควรจะทำ�ความรู้จัก เมื่อเจอทุกขเวทนาในวาระสุดท้ายของชีวิต  ก็ไม่กลัว  เพราะ เป็นสงิ่ ทเี่ คยศึกษาทำ�ความเขา้ ใจมาหลายสบิ ปแี ลว้ ไม่ใชข่ อง ใหม่ ไมใ่ ชส่ งิ่ น่ากลวั การปฏิบัติธรรมเป็นโอกาสท่ีเราจะได้เรียนรู้เรื่อง ทกุ ขเวทนาในระดับท่ีไมร่ นุ แรงจนเกินไป คอ่ ยๆ เรียนไป การ นั่งสมาธิเดินจงกรมก็ต้องเจอปวดหลังปวดขา  อย่างน้อยก็ เป็นโอกาสท่ีเราจะได้มารู้จักกับธรรมชาติของทุกขเวทนาบ้าง เมอ่ื ถึงเวลาสุดท้าย จะไม่ต้องทรมานมาก ส่วนพวกที่ทรมาน มากนั้น เขาจะลืมไปวา่ มนั ไม่ใช่เรื่องของสรีระเพยี งอย่าง เดยี ว มนั เปน็ เรื่องของจิตใจดว้ ย บางทเี ร่อื งทางจิตใจจะสำ�คญั กว่าเรื่องทางสรีระด้วยซํ้าไป เช่น ความกลัว ความรังเกียจ 92 คลายปม

ความนอ้ ยใจ ความโกรธ ความไมย่ อมรบั ในทกุ ขเวทนา เปน็ ตน้ ฉะน้ันเรื่องน้ีเราค่อยๆ ศึกษา  ถ้ามีใครถามว่าไป ปฏิบัติธรรมเพอื่ อะไร ค�ำ ตอบแบบตรงไปตรงมาข้อหนึง่ คือ  เตรียมตัวตาย  เพราะเราจะได้วิชาจากการปฏิบัติ หลายอย่างท่ีจะช่วยเวลาเรากำ�ลังจะตาย  เหตุผลเร่ือง ยูทาเนเซียมนั กพ็ อฟังได้ หากตายแลว้ หมดส้นิ ไป แต่เม่ือเรา ตายแล้วมนั ยังไม่จบแคน่ ้ัน ก็ไมค่ วรท�ำ เพราะจะเป็นบาปกรรม ตอ่ ไป ๓๗ถาม : ที่บอกว่าคนที่ฆ่าตัวตาย  จะต้องชดใช้กรรม ไปอกี ๕๐๐ ชาติ หมายถึงฆ่าตวั ตายไปอกี ๕๐๐ ชาติ อยา่ งนี้ กรรมก็ยงั ตามไปเรื่อยๆ ไมม่ ีวนั หยดุ พระอาจารย์มคี วามเหน็ อย่างไร ตอบ : เรื่องน้ีก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าปรากฏอยู่ใน คัมภรี ไ์ หน รสู้ กึ จะไม่ใช่พุทธพจน์ อาจจะเป็นอรรถกถาจารย์ ที่ กลา่ ววา่ จะต้องใชก้ รรมไปอีก ๕๐๐ ชาติ แตม่ ีขอ้ สงั เกตนิดหน่ึง วา่ ๕๐๐ ในภาษาบาลี แปลวา่ มาก ไมจ่ �ำ เปน็ วา่ ตอ้ งหมายถงึ ตวั เลข ๕๐๐ จริงๆ อยา่ งเชน่ พระพุทธเจ้าทา่ นออกธดุ งคเ์ มอ่ื ไหร่ ก็จะมพี ระสาวกตดิ ตาม ๕๐๐ องค์ ไมใ่ ชว่ า่ พระพทุ ธเจ้า ต้องนิมนตพ์ ระ ๕๐๐ องคเ์ พอื่ ตดิ ตามท่าน อาตมาเข้าใจวา่ การฆ่าตวั ตายจะท�ำ ให้เหมือนเปน็ รอ่ ง รอยท่ีลึกอยู่ในใจ  คือ  ถ้าทำ�บุญอย่างอ่ืนก็อาจจะได้เกิดเป็น ชยสาโร ภกิ ขุ 93

มนุษย์  แต่เมื่อเกิดความทุกข์ทรมานใจแล้ว  จิตจะคิดแต่จะ ฆ่าตวั ตาย เหมือนกับว่าเปน็ ความเคยชนิ เกา่ สว่ นคนอื่นอาจ จะเกดิ ความซึมเศรา้ ความกลัดกลุม้ ความทกุ ข์แต่ไม่คดิ ฆา่ ตัวตาย  ท่ีเราอ่านในหนังสือพิมพ์บางคนนี่มีอะไรเล็กอะไร น้อยก็ผูกคอตายแล้ว  เหมือนกับมันมีร่องรอยเก่า  มีความ เคยชนิ เกา่ ซ่งึ เขา้ ใจวา่ เปน็ ส่ิงทีต่ ามมาจากชาติก่อน  แต่ไม่ได้ เปน็ พรหมลิขิต ไมใ่ ช่ถูกบังคบั ให้เปน็ อย่างน้ัน ถา้ เราถอื อย่าง น้ันก็ไม่ใช่พุทธ  ศาสนาพุทธบอกว่ามันมีแนวโน้มท่ีจะฆ่า ตัวตายอีกหลายชาติ ถา้ เหตปุ ัจจยั อยา่ งอน่ื ไมเ่ ข้ามาเกยี่ วข้อง หรือไม่ทำ�ให้เป็นอย่างอื่น  มีความเคยชินแต่ไม่เสมอไป  ยังแก้ไขได้  โดยเฉพาะการประพฤติปฏิบัติธรรมสมํ่าเสมอ  สามารถแก้ไขนสิ ยั เกา่ หรือแก้ความเคยชินเกา่ ๆ อย่างนีไ้ ด้ ๓๘ถาม : สภาพจิตในช่วงที่กำ�ลังจะส้ินลมน้ัน  มีความ สำ�คัญต่อภพชาติใหม่มากเพียงใด  จะมีอิทธิพลเหนือกว่าการ กระทำ�ทสี่ ะสมมาตลอดชวี ิตหรือไมอ่ ย่างไร ตอบ : สำ�คัญมากเพราะเป็นตัวนำ�ไปสู่ภพชาติใหม่ ในช่วงสุดท้ายของชีวติ จะมีภาพนมิ ิตเปน็ สัญญาจากอดตี เกิด ขึ้นในจิตใจซ่ึงจะรนุ แรง นอ้ ยคนจะควบคุมสติได้ ถา้ เรามีเรอ่ื ง ไมด่ ีท่ีเราไมเ่ คยปลอ่ ยวางเกบ็ กดอยู่ในใจ ส�ำ หรบั คนที่ไมเ่ คย ภาวนาไมเ่ คยดูขา้ งใน จะมอี ะไรๆ หลายสง่ิ หลายอยา่ งทีเ่ กบ็ กดไมย่ อมรบั ไมร่ บั ร้แู ต่มนั มอี ยู่ เราเก็บกดได้ในชวี ติ ประจ�ำ วัน 94 คลายปม


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook