Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สุขภาพนักสร้างบารมี

สุขภาพนักสร้างบารมี

Description: สุขภาพนักสร้างบารมี

Search

Read the Text Version

ลทยตามองตรงไปข้างหน้า ปล่อยข้อมือสบายๆ เหมือนเป็นลูกตุ้ม ถ่วงนํ้าหน้กที่ปลายแขน แล้วแกว่งแขนไปข้างหน้าอย่างเบาๆ ให้ความสูงของปลายแขนเป็นไปตามธรรมชาติ ขณะที่แขน ตกกลับมากลางลำตัว ให้ออกแรงแกว่งไปข้างหลังเต็มที่ และ ในขณะเดียวกัน ก็ เพิ่มการออกแรงที่ลันเท้าถึงเอวตาม การออกแรงที่แขนด้วย แล้วปล่อยแรงเหวี่ยงให้แขนกลับไป ข้างหน้าเอง เป็นการแกว่งแขนไปข้างหน้าโดยไม่ตัองออกแรง แกว่งแขนไปมาอย่างนี้ด้วยจังหวะที่สมาเสมอ การแกว่งแขนที่ถูกวิธีจะสามารถปรับความไม่สมดุลต่างๆ ทั้งร่างกายได้ด้วย ถ้าหากออกแรงที่แขนเพียงอย่างเดียว ก็จะเกิดประโยชน์น้อย แต่ถ้าออกแรงที่เอวและลันเท้าร่วมด้วย จึงเป็นการปรับทั้งร่างกาย เวลาที่ใข้ในการออกกำลังกายด้องต่อเนื่องอย่างน้อย ครึ่งชั่วโมง จึงจะเกิดประโยชน์ต่อร่างกายของเรา เปรียบเสมือน การใข้ไม้ ๒ ซีกมาสีกันให้เกิดไฟ สมมุติว่า ด้องสีกันต่อเนื่อง ให้เกิดความรัอนสะสมนานถึง ๑๕ นาที ไฟจึงติด แต่ถ้า ดอนเข้าสีไปแล้ว ๑๐ นาที ดอนปายมาสีต่ออีก ๑๐ นาที ถามว่า ไฟติดไหม ไม่ติดแน่นอน ครั้นดอนเย็นมาสีต่ออีก ๑๐ นาที ไฟติดไหม ไม่ติดอีกนั่นแหละ แต่ถ้าจะให้ติดเป็นไฟ ด้องให้ ถึงจุดของม้นคือ ๑๕ นาที ไฟถึงจะติด ด้งนั้น การออกกำลังกายด้วยการแกว่งแขนให้เกิดผลดี กับร่างกาย จะด้องแกว่งต่อเนื่องกันอย่างน้อย ๓๐ นาที คือ แกว่งหงายมือ ๕ นาที สลับด้วยการแกว่งควรมืออีก ๕ นาที รวมได้ ๑๐ นาที กลับไปแกว่งหงายมืออีก ๕ นาที แลัว ๙๐ www.kalyanamitra.org

สลับกลับมาแกว่งควรมืออีก ๕ นาที รวมได้ ๒๐ นาที ย้อนกลับไปแกว่งหงายมือและควรมือ อีกอย่างละ ๕ นาที รวมทั้งหมดก็ได้ ๓๐ นาที ประการที่ ๒ ดื่มนํ้ๆให้มากพอ เพราะส่วนประกอบ ภายในเลันสายต่างๆ ส่วนใหญ่คือนํ้า ถ้าดื่มนํ้าน้อยร่างกายก็ ขาดนํ้าก็จะทำให้เส้นลีบ การได้ออกกำลังกายอย่างถูกวิธีร่วมถ้บ ดื่ มนํ้าให้มากพอด้วย ย่ อมสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ในการรักษาเส้นติด เส้นยึด ให้หายเร็วยิ่งขื้น ส่ร) www.kalyanamitra.org

ประการที่ ๓ ต้องเปลี่ยนอิริยาบถและรักษาอิริยาบถ ในฑ่าที่ถูกต้องอยู่เสมอ การดำเนินชีวิตในแต่ละวัน ไม่ว่าเรา จะทำกิจกรรมหรือทำงานประเภทใด อย่าทำอยู่ในอิริยาบถเดียว นานเกินไป เช่นนั่งนานๆ ยืนนานๆ เป็นต้น จำ เป็นต้องมี การเปลี่ยนอิริยาบถเป็นระยะๆ และรักษาอิริยาบถในท่าที่ถูกต้อง คือรักษาแนวแกนของกระดูกสันหลังให้ตรงอยู่เสมอ ถ้าแกไขต้วยตนเองข้างต้นแล้วยังไม่หาย หรือสงสัยว่า กระดูกคอมีปัญหา มีประวัติเคยหกล้ม ตกต้นไม้ ถ้นกระแทก เป็นต้น ต้องรืบไปตรวจถ้บหมอที่ชำนาญในเรื่องการวัตกระดูก และการคลายเสัน จะไต้มีโอกาสรักษาตั้งแต่ต้นมีอ เมื่อไปรักษา แล้วหมอสั่งให้ทำอะไร ช่วยทำตามคำแนะนำที่หมอบอกต้วย ไม่ใช่สั่งให้ออกกำลังอย่างนั้นอย่างนี้ก็ไม่ทำ กายบริหารก็ไม่เอา รักษาจนหมอตายโรคก็ไม่หาย ลูกของหลวงพ่อต้องมองเห็น ภัยในอนาคต อย่างที่พระสัมมาล้มพุทธเวัาตรัสไวั และเป็นวิสัย ของบัณฑิตนักปราชญ์ ที่มองเห็นภัยแม่ในสิ่งที่เล็กนัอย ถ้าสิ่ง ที่เล็กนัอย มีภัยแล้วยังมองไม่เห็น ไปเห็นเฉพาะภัยใหญ่ๆ ถ้า อย่างนั้นไม่รอตต้วนะลูกนะถ้นบุหรื่ถ้นเดียวก็ไหม้บัานไหม้เมีองไต้ งูพิษตัวเล็กนิตเดียวก็ภัตคนตายไต้ คนพาลเพียงคนเดียวก็ทำลาย ล้างโลกไต้ เช่นเดียวภัน ความประมาทเผอเรอแม้เพียงเล็กนัอย ในที่สุตจะเป็นภัยแก่ตัวเราเองในบั้นปลาย www.kalyanamitra.org

๙๓ www.kalyanamitra.org

www.kalyanamitra.org

การดูแลรักษาสุขภาพฟัน หลวงฟอได้รับรายงานจากท้นตแพทย์ว่า สามเณรส่วนใหญ่ สุขภาพฟันไม่ค่อยดี เพราะชอบฉันลูกอม และแปรงฟันผิดวิธี ลูกอมทำให้ฟันผุ เมื่อฉันลูกอมแล้ว นํ้าตาลจะติดอยู่ที่ฟันเป็นเวลานาน เชื้อแบคทีเรียที่อยู่ในปาก ก็จะเปลี่ยนนํ้าดาลให้เป็นกรด แล้ว กรดก็จะกัดเคลือบฟัน เมื่อเคลือบฟันถูกทำลายเสียแล้ว ฟันก็ ผุกร่อนได้ง่าย เหมือนกับด้นไม้ที่เปลือกถลอก เดี๋ยวก็ถูกสัดว์ ถูกแมลง หรีอเชื้อราทำร่ายซํ้า ไม่นานด้นไม้ก็ดาย เพราะฉะนั้น อย่าฉันลูกอมกันปอยนัก จะทำให้ฟันเสียหมดก่อนวัยอันควร ทำ ไมหลวงดาหรีอคนรุ่นปูรุ่นพ่อของเราจึงฟันดี สาเหตุ สำ คัญก็คือ ในสม้ยก่อนไม่มืพวกลูกอม แต่สมัยนี้เห็นแก่ปากเห็น แก่ท้องขาดวินัยในการกิน คิดแต่จะบริโภคกันดลอดเวลา โดยไม่ได้ พิจารณาไดร่ดรองว่า ฟันจะเป็นอย่างไร ยังไม่ท้นชราฟันก็เสีย เกือบหมดทั้งปากแล้ว เพราะฉะนั้น ล้าตอนไหนอยากจะฉันลูกอม ให้นึกถึง ภาพคนฟันหลอหมดปาก คนกินยาแล้ปวดท้อง กลางคืนก็ท้องอืด ๙๕ www.kalyanamitra.org

ท้องขึ้น ดีไม่ดีเป็นริดสีดวงทวารหนักอีกด้วย หลวงพ่อไม่ได้ห้ามน,ะ แต่ก็ขอให้ทุกรูปรู้จักประมาณในการ บริโภคด้วย การแปรงฟันที่ถูกวิธี ตามธรรมดา การแปรงฟันก็เหมือนกับการถูพื้น ถ้า ถูพื้นกระดานโดยขวางเสี้ยนไม้ จะถูไม่เกสี้ยง แต่ถูดามเสี้ยนไม้ จะถูเกสี้ยง การแปรงฟันก็เหมือนกัน ด้องแปรงจากบนลงล่าง จากล่างขึ้นบนไปดามซอกฟันไม่ใช่ถูขวางฟัน คือ จากซ้ายไปขวา หรือขวาไปซ้าย แต่บริเวณที่ใซ้บดเคี้ยวอาหาร ถูขวางฟัน ไม่มืปัญหา ซึ่งหลวงพ่อยังเห็นสามเณรแม้กระทั่งพระภิกษุ บางรูป ยังแปรงฟันโดยถูขวางฟันอยู่ อย่างนี้แปรงฟันไม่สะอาด แม้จะแปรงฟันดามซอกฟันจากบนลงล่างแล้ว บางคน แปรงด้วยความรุนแรงไม่บันยะยันยัง มืผลให้เหงือกหุ้มฟันร่น เหงือกบนก็ร่นขึ้น เหงือกล่างก็ร่นลง ซึ่งเหงือกที่หุ้มโคนฟัน แต่ละซึ่ถ้าร่นลงไปแล้วก็จะไม่คืนกลับขึ้นมาดามเดิม เหงือก ยิ่งร่นไปมากเท่าใด ก็จะเห็นโคนฟันยื่นออกมามากเท่านั้น เป็นเหตุให้มือาการเสียวฟัน และฟันโยกคลอน ถ้าจะไม่ให้เหงือกร่น เมื่อแปรงฟันบนให้ปัดลงซ้างล่าง เมื่อแปรงฟันล่างก็ปัดขึ้นข้างบน โดยไม่ด้องใข้แรงมาก เพราะวัดถุประสงค์ของการแปรงฟัน เพื่อขจัดเศษอาหาร คราบจุลินทรืย์ที่อยู่ตามซอกฟันและร่องเหงือก รวมทั่งลด กลิ่นเหม็นในปาก อย่างนี้เหงือกไม่ร่นและสะอาด เมื่อเหงือก ยังห้มอย่ในสภาพเดิม ฟันของเราจะแข็งแรงตลอดไป ๙๖ www.kalyanamitra.org

รายละเอียดในการดูแลรักษาสุขภาพฟันยังมีอยู่มาก ขอให้ ศึกษาจากทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยตรงเพิ่มเติม อย่าคิดว่าตนเอง รู้จริงทั้งหมดแล้ว ต้องดูแลรักษาสุขภาพฟันให้ดี ใครที่ฟันเสีย ฟันไม่ดี ต่อไป ในอนาคตจะมีปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะและลำไล้ตามมาอีก เพราะเมื่อ ฟันโยก ฟันห้กไปแล้ว การเคี้ยวก็ไม่มีประสิทธิภาพ ไต้แต่กล้อม แกล้มๆ กลืน เมื่อกล้อมแกล้มๆ กลืน กระเพาะ และลำไล้จึงต้อง ทำ งานหนักเกินกำลัง ถึงขนาดต้องบีบตัว ซํ้าแล้วซํ้าอีก อาหารก็ยัง ละเอียดไม่หมด อาหารที่ย่อยไม่หมด เหล่านี้จะเป็นเหตุให้ เกิดแก๊สแล้วท้องอีต และทำให้ท้องผูกไต้ง่าย แล้วก็จะเป็นริดสีดวง ทวารหนักตามมา ๙๗ www.kalyanamitra.org

ภาคที่ ๒ ดลยภาพบำบัด www.kalyanamitra.org

ประวัติ นายแพทย์ถาวร กาสมสัน การสีกษา • สำ เร็จแพทย์ศาสตร์บโณฑิตจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พ.ศ. ๒๕๑๔ • ศึกษาหลักสูตรการฝังเข็มแบบจีน ที่คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลศิริราช พ.ศ. ๒๕๒๓ • ได้รับวุฒิบัตร เวชศาสตร์ป้องกันคลินิก จากแพทยสภา พ.ศ. ๒๕๓๑ • ศึกษาวิชาดุลยภาพบำบัตจาก รองศาสตราจารย์ แพทย์หญิง ลตาวัลย์ สุวรรณกิติ ณโรงพยาบาลบัานสวนธนบุรีพ.ศ.๒๕๓๕ • ศึกษา ด้นควัา วิจัย และให้บริการด้านดุลยภาพบำบัด ณ โรงพยาบาลประสาทเชียงใหม่ พ.ศ.๒๕๓๖-๒๕๓๘ ประสบการณ์ทางการแพทย์ • รับราชการเป็นแพทย์ที่โรงพยาบาลแม่สอต จังหวัดตาก พ.ศ. ๒๕๑๕ — ๒๕๓๕ • เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลแม่สอด จังหวัดตาก พ.ศ. ๒๕๒๖ - ๒๕๓๕ • ให้บริการดูแลสุขภาพและบำบัดโรคด้วยวิชาดุลยภาพบำบัด พ.ศ. ๒๕๓๘ - ปัจจบัน ๑๐๐ www.kalyanamitra.org

เกียรติประวัติทางสังคม • ไดรบรางวัลแพทย์ดีเด่นจากสมาคมวิทยาลัยศัลยแพทย์นานาชาติ แห่งประเทศไทย พ.ศ.๒๕๓๐ • ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดตาก ๓ สมัย เมปี ป พ.ศ.๒๕๓๕,๒๕๓๘ และ ๒๕๓๙ <SiO<S) www.kalyanamitra.org

www.kalyanamitra.org

ทรรศนะเรื่องการดูแลสุขภาพ ของนายแพทย์ถาวร กาสมสัน วัตถุประสงค์ของการดูแลสุขภาพ คือ การดูแลร่างกาย และจิตใจให้มีความปกติสมบูรณ์อยู่เสมอ รวมทั้งการป้องกัน ไม่ให้เกิตการเจ็บปวย ตลอตจนการบาบัตรักษาฟินฟูสภาพ ร่างกายและจิตใจ ให้หายจากความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้น เพื่อให้บรรสุวัตถุประสงค์ไนการดูแลสุขภาพดังกล่าว จึงดัองมีความรู้ความเข้าใจพื้นฐาน อย่างน้อย ๓ ประการ ดังนี้ ประการที่ ๑ ความเข้าใจธรรมชาติของร่างกาย อย่างถูกต้อง สรรพชีวิตทั้งหลายเมื่อเกิตมีชีวิตขึ้นแล้วไม่ว่าช่วงเวลาของ การดำรงชีวิตจะทั้แหรือยาวล้วนต้องตายทั้งสิ้น นี้เป็นเรื่องธรรมดา เป็นกระบวนการตามธรรมชาติ การมีสุขภาพแข็งแรงหรือเจ็บป่วย ก็เป็นเรื่องของ กระบวนการตามธรรมชาติ ที่เกิตขึ้นภายในร่างกายของเรานี้นเอง กัากระบวนการธรรมชาติภายในร่างกายของเรา สามารถทำงานไต้ สมบูรณ์ทุกส่วนตามปกติ ความเจ็บป่วยย่อมไม่เกิดขึ้นและ จะมีชีวิตยืนยาวจนกระทั้งหมดอายุข้ยไป่ตามธรรมชาติ แต่ล้า กระบวนการธรรมชาติในร่างกายไม่สามารถทำงานไต้สมบูรณ์ ก็จะเกิดการเจ็บป่วย ทำ ให้ต้องทนทุกข์ทรมานไป่จนกว่าจะ หายป่วยหรือหมดอายข้ย ก่อนวัยอันควร ๑๐๓ www.kalyanamitra.org

ประการที่ ไอ ความรู้เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ หมั่นศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ เพื่อจะได้ สามารถดูแลสุขภาพของตนเองอย่างถูกด้อง แต่ทว่าความรู้ เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพนั้นมีอยู่มากมายหลากหลายแนวทาง มีทั้งความรู้ชึ่งเกิดจากการสังเกตและจดจำกันมาตั้งแต่ยุคโบราณ รวมทั้งการทดลองด้นคว้าเพื่มเติมในยุคปัจจุบัน ความรู้บางอย่าง ก็มีการแกไขเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ เป็นครั้งคราว ขึ้นอยู่กับการ ด้นพบทางด้านวิทยาการในแต่ละยุค ซึ่งมีการพัฒนาดลอดมา ความรู้Iนการดูแลสุขภาพซึ่งในยุคหนึ่งเห็นว่าถูกด้อง ครั้นเมื่อ ยุคสมัยเปลี่ยนไป ก็มีผู้เห็นว่าความรู้นั้นผิด แต่ครั้นเนึ่นนานไป กสับมีความเห็นแบบกสับดาลปัดรว่า ความรูในการดูแลสุขภาพที่ กำ สังนิยมกันอยู่นั้นผิด ส่วนความรู้ที่กล่าวไว้ตั้งเติมนั้นถูกด้องแล้ว อย่างนี้ เป็นด้น อย่างไรก็ดาม อาจจะกล่าวได้ว่า ความรู้เกี่ยวกับการดูแล สุขภาพหลายอย่างยังมีความบกพร่องอยู่ ยังไม่สมบูรณ์พอ ด้งนั้น เราจึงด้องหมั่นศึกษาหาความรู้จากตำรา หรือจากผู้เชี่ยวชาญต่างๆ อยู่เสมอ แล้วพิจารณาให้รอบคอบก่อนที่จะเลือกยึดถือไว้เป็น หสักปฏิบ้ติ ในการดูแลรักษาสุขภาพของดนเอง ประการที่ ๓ ความรับผิดชอบในการดูแลสุขภาพ ของตนเอง การดูแลสุขภาพร่างกายนั้น ถือว่าเป็นความรับผิดชอบของ แต่ละบุคคล แมัเราจะมีความรู้เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพดีเยี่ยม เพียงใด หรือได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญมากมายเพียงใด <5)OS^ www.kalyanamitra.org

ก็ตาม แต่ถ้าตนเองยังขาดความรับผิดชอบ คือ ไม่นำมาปฏิบต ต่อตนเอง อย่างถูกต้อง จริงจัง และต่อเนื่องสมั้าเสมอแต้ว ความรูนน ย่อมไม่สามารถช่วยให้สุขภาพร่างกายของตนแข็งแรงไต้เลย ดังนั้น การดูแลสุขภาพจะบรรสุวัตถุประสงค์อย่างสมบูรถ! ก็ต่อเมื่อ บุคคลนั้นมีความรู้ความเข้าใจพื้นฐานและความรับผิดชอบ ต่อตนเอง ดังไต้กล่าวมาทั้ง ๓ ประการนี้นั้นเอง ร^^:,..^:^^^ (นายแพทย์ถาวร กาสมสัน) ๒๑ ธ้นวาคม ๒๕๔๙ ๑๐๕ www.kalyanamitra.org

www.kalyanamitra.org

บทที่ ๑ รูทนโรค จากภาวะปกติของร่างกาย ๑. ภาวะปกติของร่างกาย หมายถึงอะไร ภาวะปกติของร่างกาย หมายถึง ภาวะที่ร่างกาย ไม่เจ็บป๋วยระบบต่างๆ ของร่างกายทำงานได้อย่างสมบูรณ์ ตามธรรมชาติ ตามธรรมชาตินั้น อวัยวะทุกส่วนของร่างกาย เจริญเติบโต และพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปพร้อม ๆ กับระบบและกลไกการทำงาน ที่ถูกกำหนดขึ้น เพื่อไห้สามารถดูแลตนเองให้มีชีวิตรอดอยู่อฝาง เปีนปกติสุข ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บไปจนตลอดอายุขัย โฮ, ความเจ็บป่วย คืออะไร ความเจ็บป่วย คือ ภาวะที่ระบบและกลไกการทำงาน ต่าง ๆ ภายในส่วนใดส่วนหนึ่งหรือหลายส่วนของร่างกาย ๑๐๗ www.kalyanamitra.org

ไม่สามารถดำเนินไปตามปกติได้ อย่างไรก็ตาม เหตุปัจจัยที่ ทำ ให้เกิดความเจ็บป่ายนั้น อาจมาจากทั้งปัจจัยภายนอกร่างกาย และปัจจัยภายในร่างกาย เหตุปัจจัยภายนอกร่างกาย ได้แก่ เชื้อโรคต่างๆ อาหารการกิน (ตั้งแต่กินอาหารมากเกินไป กินอาหารไม่เพียงพอ กินอาหารไม่มีป่ระโยชน์) สารเคมี สารมีพิษต่างๆ รวมกระทั้ง ร่างกายถูกกระทบกระแทก (รถชน หกล้ม ฯลฯ) ตลอดจน สิ่งแวดล้อมไม่ดี อากาศไม่บริสุทธ เป็นด้น เหตุปัจจัยภายนอก เหล่านี้ล้วนส่งผลให้ร่างกายเกิดการเจ็บป่วยชื้นได้ เพราะทำให้ เซลล์และเนี้อเยื่อผิดปกติ จนทำให้ระบบหรือกลไกการทำงาน ภายในร่างกายบกพร่องผิดปกติไป่ เหตุปัจจัยภายในร่างกาย การที่จะเข้าใจเหตุปัจจัยภายใน ได้ชัดเจนนั้น จำ เป็นด้องทราบความจริงว่า ธรรมชาติได้สร้าง ร่างกาย ให้สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงปัจจัยภายนอกได้ ระดับหนึ่งทีเดียว เช่น เรื่องอาหาร คนเราสามารถอดอาหารได้ เป็นสัปดาห์ก็ไม่ดาย หรือคนเผ่าเอสกิโมแทบจะไม่เคยกินผัก เลย กินแต่เนี้อ กินแต่ปลา เขาก็มีชีวิดอยู่ได้ เป็นด้น นั้น แสดงว่า ระบบและกลไกภายในร่างกายที่อยู่ในภาวะปกติ ย่อม มีความสามารถ และความพยายามในการปรับตัว พัฒนาตัวเอง ต่อสู้ก้บเหตุปัจจัยภายนอก เพื่อให้มีชีวิตอยู่รอด เมื่อเข้าใจ ความจริงนี้แล้ว ก็จะเข้าใจได้ว่า ระบบและกลไกภายในร่างกายนี้ หากผิดปกติเสิยเอง แม้จะไม่มีปัจจัยภายนอกเข้ามาเกี่ยวข้อง ก็ย่อมส่งผลให้ร่างกายเจ็บป่วยขึ้นได้เช่นก้น (9)OC« www.kalyanamitra.org

เพราะฉะนั้น เมื่อระบบและกลไกต่างๆ ในร่างกายทำงาน ได้อย่างสมบูรณ์ เป็นปกติอยู่เสมอจึงถือได้ว่าเป็นปัจจัยภายใน ร่างกายที่สำคัญในการคุ้มครองป็องกันไม่ให้เกิดการเจ็บป่วย ผลก็คือ ร่างกายของเราจะสามารถดำรงอยู่ในภาวะป่กติตลอดเวลา ๓. ทำ ไมจึงต้องสีกษาภาวะปกติของร่างกาย ๓.๑. เพื่อให้เข้าใจถึงปัจจัยและกลไกฑึ่ทำให้ร่างกาย เป็นปกติ คนส่วนใหญ่ เวลาพูดถึงเรื่องการดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ก็มักจะไป่มองว่า กินอาหารอย่างไร ออกกำลังกายอย่างไร เป็นด้น แม่ในดำราแพทย์ โดยทั่วใป่ก็จะกล่าวเฉพาะลักษณะและ หน้าที่ของอวัยวะต่างๆ อีกทั่งมักเน้นว่า โรคเกิดมาได้อย่างไร ตัวอย่างเช่น โรคป่วดข้อ ก็อธิบายว่า โรคนี้เกิดจากข้ออักเสบ หรือ ข้อเสื่อม คือ บอกสาเหตุของโรคทันทีโดยมิได้มีการอธิบายให้เข้าใจ ถึงสภาพธรรมชาติของข้อ ในขณะที่ยังไม่เกิดอาการป่วดว่า มี การทำงานตามป่กติเป็นอย่างไร เช่น เมื่อเข่าข้างซ้ายเกิดอาการ ป่วด ขื้นก็ไม่มีคำอธิบายว่า ทำ ไมก่อนหน้านี้เข่าข้างซ้ายจึงไม่ป่วด หรือทำไมเข่าข้างขวาขณะนี้จึงไม่ป่วดตังเช่นเข่าข้างซ้าย เป็นด้น คือ ไม่มีการอธิบายว่า อวัยวะต่างๆ ทำ งานกันอย่างไร จึงได้เป็นป่กติ อีกทั่งยังไม่พบว่า ได้มีการศึกษาเรื่องเหล่านี้กันอย่างจริงจัง จากการถามคำถามว่า \"ทำไม\" ซํ้าๆ ยํ้าๆ นี่เองจึงทำให้ เกิดแนวการศึกษาในมุมมองใหม่ มองกลับเข้าไป่ให้ถึงแก่นว่า ร่างกายคนเราทำงานกันอย่างไร จึงส่งผลให้สุขภาพดีเป็นป่กติได้ www.kalyanamitra.org

๓.๒. เพื่อประยุกต์ใฟ้นการป้องกันและรักษาร่างกาย ให้เป็นปกติอยู่เสมอ การที่คนเราจะสามารถป้องกันและรักษาร่างกายให้ เป็นปกติอยู่เสมอได้ จำ เป็นด้องเข้าใจหลักสำคัญที่ทำให้ร่างกาย ดำ รงอยู่ในภาวะปกติ เข้าใจว่า ภาวะปกติของร่างกายมีระบบ การทำงานอยำงไร ถ้าการทำงานของร่างกายออกนอกระบบ การทำงานปกติเมื่อใด ร่างกายก็จะเกิดอาการเจ็บปวยเมื่อนั้น เพราะฉะนั้น เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้เกิดการเจ็บป่วย หรือเมื่อเกิด การเจ็บป่วยขื้นแล้ว ก็ด้องยอนกลับไป่ศึกษาทบทวนให้เข้าใจ ความจริงตามธรรมชาติด้งกล่าว แล้วป่ฏิบ้ติตนให้สอดคล้องกับ หลักการและระบบการทำงานของร่างกายปกติ ความเจ็บป่วย ก็จะไม่เกิดขึ้น หรือเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็จะหายไป่ แม่ไม่หายขาด ก็ยํอมจะทุเลาลงอยำงแน่นอน ๔. ร่างกายดำรงภาวะปกติได้อย่างไร การที่ร่างกายจะดำรงภาวะป่กติได้นั้นอวัยวะทุกส่วนจะด้อง ทำ งานพร้อมกันเป็นปกติ และด้องทำงานประสานสัมพันธ์กันเป็น อยำงดี เมื่อเจาะลึกเข้าไป่ถึงหน่วยยํอยภายในของอวัยวะแต่ละอยำง ก็จะพบว่า เชลล์ทุกเชลล์ด้องทำงานเป็นปกติด้วย อีกทั้งเชลล์ทุก เชลล์เหล่านั้น ก็ด้องทำงานประสานล้มพันธ์กันเป็นอยำงดีเช่นกัน การที่อวัยวะต่างๆ ของร่างกาย รวมทั้งเชลล์ทุกเชลล์จะ ทำ งานได้อยำงสมบูรถ!เป็นปกติ ด้องประกอบด้วยปัจจัยหลักสำคัญ ๔ ประการ ด้งนี้ <S)G)0 www.kalyanamitra.org

๔.๑. องค์ประกอบหลักภายในร่างกายปกติ องค์ประกอบหลักภายในร่างกายที่จะช่วยสนับสนุนให้เชลล์ เนื้อเยื่อ อวัยวะ และระบบทั้งหลาย สามารถทำหน้าที่ในสภาพปกติ ได้อย่างต่อเนื่อง มีพื้นฐานที่สำคัญ ๓ ประการ คือ ๔.๑.๑. มีสารอาหารนํ้า และออกรเจนหล่อเลี้ยง ร่างกายในปริมาณเพียงพอ สารอาหาร นํ้า และออกซิเจนเป็นวัตถุติบที่สำคัญ ในการแปรเปลี่ยนเป็นพลังงาน เพื่อไปขับเคลี่อนเซลล็ให้เกิด การทำงานของอวัยวะ ส่งผลเป็นการกระทำต่างๆของร่างกาย ด้งนั้น เซลล์จึงด้องได้วับสารอาหาร นํ้า และออกซิเจน อย่างเพียงพอ ต่อเนื่องและทั้วถึง ส่วนปริมาณความด้องการจะมากหรือน้อย เพียงใด ก็ขื้นอยู่กับสถานการโนที่เกิดขึ้นกับร่างกายขณะนั้นๆ ๔.๑.๒. มีการกำจัดของเสียทิ้งฑันท่วงฑี ในขณะที่ร่างกายแปรเปลี่ยนวัดถุดิบเป็นพลังงาน จะด้องมีของเสียเกิดขึ้นทุกครั้ง ซึ่งของเสียจากกระบวนการ ชีววิทยาเหล่านื่ จะด้องถูกระบายออกจากเซลล์ เนื้อเยื่อ และ อวัยวะต่างๆ อย่างทันการ เซลล์เหล่านั้นจึงจะไม่แช่อยู่ในของเสีย และทำงานต่อไปได้เป็นปกติ แต่กัามีของเสียส่วนใดส่วนหนึ่ง ระบายออกไม่ได้ หรือได้แต่ช้าไป เซลล์ก็จมของเสีย สำ ลักของเสีย แลัวดายในที่สุด ๔.๑.๓. มีการลี่อสารลัมพันธ์ระหว่างกัน ตลอด เวลา การสื่อสารส่งลัญญาณสั่งการทำงานระหว่างเซลล์ต่อเซลล์ (ร) ร) www.kalyanamitra.org

เนื้อเยื่อต่อเนื้อเยื่อ อวัยวะต่ออวัยวะ และระบบต่อระบบต่างๆ ต้องมีความสัมพันธ์กันตลอดเวลา เพราะถึงแม้แต่ละส่วน จะทำงานของตัวเองไต้อย่างสมบูรณ์ หากไม่สัมพันธ์กัน ก็จะ เกิดการกระทบกระทั่งกันเอง ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่นการขยับนื้วมีอ เมื่อเรางอนื้วหนึ่งนื้ว เซลล์ต่างๆ ซึ่งทำหน้าที่ขับเคลื่อนให้ กล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่งอนื้วหดตัว พร้อมกันนื้ กล้ามเนื้ออีก ต้านหนึ่งจำเป็นต้องหย่อนลง ถ้ากล้ามเนื้อต้านหน้าหดตัว และ ต้านหสังก็หดตัวต้วย ไม่ยอมคลาย เราก็งอนื้วไม่ไต้ กลายเป็น กล้ามเนื้อสู้กันเอง เราก็จะร้สึกเจ็บ ความบกพร่องขององค์ประกอบหลักพื้นฐานภายใน ร่างกายที่สำคัญทั้ง ๓ ประการตังกล่าวแม้บกพร่องเพียงประการ เดียว ก็จะส่งผลกระทบต่อการทำหน้าที่ของเซลล์ เนื้อเยื่อ อวัยวะ หรือระบบนั้นๆไต้อาจไม่ถึงกับทำให้อวัยวะเสียหายทันที แต่นานๆ ไปก็อาจเกิดความเสียหายไต้ ตังนั้น ปัจจัยสำคัญประการหนึ่ง ที่ทำ ให้คนเราเจ็บป่วย ก็คือ องค์ประกอบหลักภายในร่างกาย ๓ ประการ ตังกล่าวทำหน้าที่ไดไม่สมบูรณ์ครบถ้วน ๔.ใฮ. ระบบการขนส่งขององค์ประกอบหลักภายใน ร่างกายมีประสิทธิภาพ องค์ประกอบหลักทั้ง ๓ ประการตังกล่าวในขัอ ๑ นั้น ไม่สามารถเคลื่อนที่ไปไต้ต้วยตัวเอง ร่างกายจึงต้องมีระบบ การขนส่ง ๓ ระบบ ตังนื้ ๔.ใอ.๑. ระบบหล่อเลี้ยงบำรุง กระแสเลือดใน เสันเลือดแดง มีหน้าที่นำอาหาร นั้า และออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ ๑๑๒ www.kalyanamitra.org

ต่างๆ ทั่วร่างกาย ถ้าเลือดไปไม่ถึง ณ ที่ใด ที่นั้นก็ขาดอาหาร นั้า และออกซิเจน ซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหาตามมา ๔.๖.๒. ระบบกำจัดของเสีย ท่อนํ้าเหลืองและ เส้นเลือดดำ มีหน้าที่ระบายของเสียต่างๆ ในร่างกาย โดยนำไป ทำ ลายตามระบบของร่างกาย แต่ถ้าตรงไหนนั้าเหลืองและเลือดดำ ไม่สามารถไหลผ่านหรือทั่งค้าง ของเสียก็ระบายออกมาไม่ไค้ ๔.๖.๓. ระบบกๆรสิอสารสัมพันธ์ ร่างกายมีการ สื่อสารสัมพันธ์ ค้วยการส่งสัญญาณทั่งการทำงาน ๒ ทาง คือ ๑) โดยผ่านเส้นประสาท ๒)โดยอาศัยฮอร์โมน ซึ่งฮอร์โมนก็ไปถ้บ เลือดและนํ้าเหลือง สำ หรับการสื่อสารสัมพันธ์โดยอาศัยเส้นประสาทนั้น เนื่องจากเส้นประสาทมีเซลล์ที่มีรวิดเป็นส่วนประกอบ การที่จะทำงานได้ปกติ ด้องได้รับอาหาร นำ และออกซิเจน อย่างเพียงพอ และมีการระบายของเสียอย่างพันฑ่วงพีเช่นกัน เพราะฉะนั้น ถ้าบริเวณใดการไหลเวียนถูกปิดกั้น เลือด ไปเลี้ยงไม่เพียงพอ นั้าเหลืองก็เข้าไปไม่ทั่วถึง เส้นประสาท ในบริเวณนั้นก็ได้รับอาหารและออกซิเจนไม่เพียงพอ ขณะเดียวกันการระบายของเสียออกก็จะทำไดไม่สมบูรณ์ มีผลให้การส่งสัญญาณสือสารบกพร่อง ดังนั้น ถ้าระบบการขนส่งขององค์ประกอบหส้ก ภายในร่างกายมีประสิทธิภาพ กล่าวคือระบบหล่อเลี้ยงบำรุง ดำ เนินไปได้ตลอดทั่วสรรพางค์กาย ระบบกำจัดของเสีย ปราศจากปัญหาการติดข้ดคั่งด้าง ระบบการสื่อสารสัมพันธ์ ๑(ร)ฝืา www.kalyanamitra.org

สามารถส่งสัญญาณสั่งงานได้ทั่วถึง ทุกๆ เซลล์ก็จะสน้บสนุน ให้องค์ประกอบหสักภายในร่างกายทั่ง ๓ ประการ ในข้อ ๑ ทำ หน้าที่ได้สมบรณ์ครบถ้วน ๔.๓. เส้นทางทำงานของระบบการขนส่งภายใน ร่างกายไม่มีการปีดทั่น เส้นทางการขนส่งทุกเส้นในระบบการขนส่งของ องค์ประกอบหลักภายในร่างกายทั่ง ๓ ระบบ ไม่ว่าจะเป็นการ ไหลเวียนของเส้นเลือดแดง เส้นเลือดดำ ท่อนํ้าเหลือง รวมทั่ง การส่งสัญญาณทางเส้นประสาทและฮอร์โมน ตามปกตินั้น ต้องผ่านกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น (กลุ่มเส้นใยที่รวมลันเป็นมัด ยึดปลายกล้ามเนื้อให้เชื่อมโยงลับกระดูก) และพังผืด ที่มีอยู่ โดยตลอดทั่วร่างกาย ผิวหนัง กล้ามเนื้อ เส้นเลือดดำ เส้นเลือดแดง เส้นประสาท กระดูก รปท ๑-๑ ภาพตัดขวางของแขน ๑๑๔ www.kalyanamitra.org

ผิวหนัง เส้นเลือดดำ เส้นประสาท พังผืดใต้ชั้นผิวหนัง กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น เส้นเลือดแดง-ดำ เส้นประสาท กระดูก รูปที่ ๑-๒ แสดงการผ่าตัดส่วนประกอบของร่างกาย ออกทีละชั้น ๑๑^ www.kalyanamitra.org

ฟังผืด คืออะไร พังผืด คือ เยื่อเหนียวบางๆ ที่อยู่ใต้ผิวหนัง ทำ หนัาที่ ห่อหุ้มกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นทุกๆ ส่วนในร่างกายให้ยึดติดกัน เป็นม้ดๆ เมื่อตัดตามขวางของกล้ามเนื้อแด่ละมัด ก็จะพบว่า กล้ามเนื้อทุกมัดมีพังผืดหุ้มอยู่ รวมทั้งกระดูกนัอยใหญ่ที่'ว สรรพางค์กายก็มีพังผืดห่อห้มเช่นเดียวกัน พังผืด รูปที่ ๑-๓ ภาพต้ดขวางของแขนแสดงการห่อหุ้มของพังผืด ๑๑^ www.kalyanamitra.org

ถ้ากล้ามเนื้อไม่มีพังผืดหุ้ม เวลากล้ามเนื้อหดตัวมันก็จะเละ เนื่องจากไม่มีอะไรมายึดให้มันเกาะติดกัน กล้ามเนื้อที่หุ้มกระดูก สามารถรัดติดกับกระดูกไตัก็เพราะพังผืดนี่เอง ถ้าขาดพังผืดมา ช่วยรัดไว้แล้ว เวลาที่กล้ามเนื้อหดตัว กล้ามเนื้อก็จะกระจัดกระจาย กันไปคนละทิศละทาง ตัวยเหตุที่พังผืดเกิดขึ้นก่อนกล้ามเนื้อ เล้นเอ็น และกระดูก มันจึงสามารถขยายตัวหุ้มไปเรื่อยๆ ตังกล่าวไตั แมักระทั่งเยื่อ ที่ยึดอวัยวะภายในทั้งหลาย นับตั้งแต่ สมอง ห้วใจ ปอด ลำ ไล้ฯลฯ ให้ติดกับผนังตัานในส่วนต่างๆ ของร่างกาย ก็คือ พังผืด ชนิดเดียว กันที่ขยายตัวห่อหุ้มอย่างต่อเนื่อง ต่างกันตรงพังผืดที่หุ้มกล้ามเนื้อ เล้นเอ็น และกระดูกมีดวามเหนียวและหนากว่า จึงมักเรียก พังผืดที่หุ้มอวัยวะภายในว่า \"เนื้อเยื่อยึดเหนี่ยว\" ตังนั้น เส้นทางการขนส่งขององค์ประกอบหลัก ภายใน ร่างกายทั้ง ๓ ระบบ จะมีความคล่องตัวและมีประสิทธิภาพ สมบูรณ์เต็มที่ ก็ด่อเมื่อใม่มีการปีดทั้นจาก กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และพังผืด ๔.๔.โครงสร้างของร่างกายต้องอยู่ในภาวะสมดุล กล้ามเนื้อ เล้นเอ็น และพังผืด ถือเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ ประการหนื่งของโครงสรัางของร่างกาย เมื่อเป็นเช่นนื้ การที่ กล้ามเนื้อ เล้นเอ็น และพังผืดจะสามารถทำงานได้เป็นปกติ โดย ไม่ไปปิดกั้นเล้นทางทำงานของระบบการขนส่งภายในร่างกาย นั้นก็คือ โครงสร้างของร่างกายตัองอยู่ในภาวะสมตุลดามปกติตัวย ๑๑๗ www.kalyanamitra.org

๕. องค์ประกอบโครงสร้างพี้นฐานของร่างกาย โครงสร้างพื้นฐานของร่างกาย คือ โครงกระดูก ซึ่งประกอบ ด้วยกระดูกที่มีรูปร่าง และขนาดต่างๆ เรียงเชื่อมต่อกันทั้งหมดถึง ๒๐๖ ชิน ด้านหน้า ด้านหลัง รูปที่ ๑-๔ โครงกระดูก โดยมีกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และพังผืด ทำหน้าที่เป็นตัวดึง และยึดกระดูกเหล่านั้น ให้สามารถทรงตัวอยู่ได้ การที่ร่างกาย จะบิดหรีอเอียงไปทางไหน จะเคลื่อนไหวไปทางใด อยู่ที่กล้ามเนื้อ และเส้นเอ็นทั้งสิ้น เพราะกระดูกเคลื่อนไหวด้วยตัวมันเองไม่ได้ ตั้งอยู่ด้วยตัวมันเองก็ไม่ได้ กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และพังผืด จึงเป็นตัวหลักสำคัญในการที่จะทำให้[ครงกระดูกนั้นทรงตัวอยู่ได้ ๑๑ www.kalyanamitra.org

โครงสร้างของร่างกายนั้นมีลักษณะคล้ายคลึงกับทุ่นชัก จะต่างกันก็ตรงที่สายชักของร่างกายไม่ใช่เชือกเหมีอนทุ่น แต่ เป็นกล้ามเนื้อและเล้นเอ็นที่อยู่ข้างในทั้งหมด พังผืดเป็นสายโยง กระดูกแต่ละท่อนเป็นเสมีอนแกน ที่ทำ ให้ร่างกายแต่ละส่วน คงรูปอยู่ได้ สำ หรับข้อต่อต่างๆ ก็ช่วยให้เกิดอาการพับได้ งอได้ ลองนึกถึงทุ่นที่เขาเชิด เมื่อเขาดึงสายนื้ ยกสายนั้นทุ่นก็เคลื่อนไหว แต่ร่างกายคนเรามีกล้ามเนื้อและเล้นเอ็นดึงอยู่ภายใน อีกทั้งด้อง ดึงอย่างลัมพันธ์กันด้วยจึงจะเกิดการเคลื่อนไหวได้ จากการเปรียบเทียบร่างกายกับทุ่นชัก ย่อมทำให้เรา เข้าใจได้ง่ายขึ้นว่า ล้ากล้ามเนื้อ เล้นเอ็น และพังผืด ทำ งาน ได้อย่างสมดุลกัน ก็จะส่งผลให้โครงสร้างของร่างกายอยู่ในภาวะ สมดุลเสมอ ในทำนองเดียวกัน ล้าทำให้[ครงสร้างของร่างกาย อยู่ในภาวะสมดุล ก็จะมีผลให้กล้ามเนื้อ เล้นเอ็น และพังผืด ทำ งานได้อย่างปกติ ธรรมชาติได้สร้างร่างกายให้มีโครงสร้างที่ยึดโยงกันอย่าง มีความสมดุลอยู่ในตัวมันเอง เราจะขยับแขนขยับขา จะเอียงซ้าย เอียงขวา กล้ามเนื้อก็จะหดจะคลายอย่างต่อเนื่องลัมพันธ์กัน เมื่อดรงไหนดึงผิดปกติหน่อย ร่างกายก็จะขยับโดยอัดโนม้ติ จะ เตือนตัวเองดลอดเวลา จะยึดหยุ่นดลอดเวลา เพื่อรักษาภาวะสมดุล ของร่างกายไว้ระบบการขนส่งต่างๆ จึงทำงานได้อย่างสะดวก สรุปได้ว่า เมื่อโครงสร้างของร่างกายอยู่ในภาวะที่สมดุล ย่อมส่งผลให้สุขภาพแข็งแรง ไม่เจ็บป๋วย เพราะอวัยวะและ ระบบต่าง ๆ สามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ www.kalyanamitra.org

www.kalyanamitra.org

บทที่'๒ ความเจ็บปวยเนื่องจาก โครงสร้างของร่างกายเสียสมดุล ถ้าเปรียบเทียบร่างกายกับรถยนต์ โครงกระดูกเปรียบ เหมือนแชสชีของรถยนต์ กล้ามเนื้อ เล้นเอ็น และพังผืด เปรียบ เสมือนตัวกังของรถยนต์ ถ้าแชสชีบิด ตัวถ้งก็บิดดามไปด้วย เวลาเคลื่อนไปล้อก็ไม่ดรงเพราะรถเสียศูนย์ ในทำนองเดียวกัน ถ้าโครงสร้างของร่างกายเสียสมดุล ความผิดปกติ คือ ความเจ็บป่วย ย่อมเกิดขึ้นแก่คนเรา เนื่องจากคนเรามืการเคลื่อนไหว กล้ามเนื้อ เล้นเอ็น และพังผืด จึงตัองมืการยืดๆหดๆ อยู่ดลอดเวลาโดยปกติกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และพังผืด เมื่อหดตัวในช่วงเวลาหนึ่ง แล้วก็จะคลาย โดยอัดโนมด ทำ ให้ช่วงเวลาปกติที่หดตัว แม้การไหลเวียนต่างๆ ถูกปิดกั้นอยู่ก็ดาม การทำงานของร่างกายก็ยังเปีนไปได้ดามปกติ แต่ถ้าหดแล้วไม่คลาย การไหลเวียนต่างๆ ถูกปิดกั้นดลอดเวลา การทำงานของร่างกายก็ผิดปกติ ทำ นองเดียวกับการหายใจเข้า- ออก ก็มืจังหวะดามธรรมชาติ ขณะที่หายใจออกหรีอกลั้นหายใจ ๑๒๑ www.kalyanamitra.org

ปอดก็ยังมีออกซิเจนสำรองให้ร่างกายใช้งานได้ตามปกติอยู่ได้ นานในช่วงเวลาหนึ่ง แต่ถ้าหากขาดออกซิเจนนานเกินไป จนที่ สำ รองไว้หมด การทำงานของปอดก็มีปัญหา ร่างกายก็เกิด ความผิดปกติดามมา ถ้าโครงสร้างของร่างกายเสียสมดุล ก็จะเกิดแรงดึงรั้ง ทั้งกล้ามเนื้อ เล้นเอ็นและพังผืดอยู่ดลอดเวลาของการเสียสมดุลนั้น ทำ ให้การไหลเวียนถูกปีดกั้น เล้นเลือดและท่อนํ้าเหลืองถูกบีบรัด มี ผลให้การไหลเวียนไปยังเส้นประสาทก็บกพร่องตามไปด้วย เส้นประสาทจึงไม่สามารถส่งสัญญาณได้ตามปกติ อวัยวะที่ ถูกปิตกั้นด้งกล่าวเปีนเวลานาน อวัยวะนั้นก็ทำงานผิตปกติ ยิ่งกว่านั้น ปัญหาการดึงรั้งของกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และ พังผืตที่เกิตขึ้น ณ จุดใตจุตหนึ่ง ยังสามารถส่งผลกระทบไปถึง จุดอื่นๆ ทั้วร่างกายได้อีกด้วย ทั้งนื้เพราะพังผืดเปีนแผ่นที่ เชื่อมโยงไปทั้วร่างกาย หากเปรียบเทียบพังผืดเสมือนเสื้อที่ กำ สังใส่อยู่ เมื่อส่วนใดส่วนหนึ่งถูกดึง ส่วนอื่นก็พลอยถูกดึงรั้ง ตามไปด้วย ด้งนั้น เมื่อมีการดึงรั้งของพังผืดเกิดขึ้น ณ จุดใด ย่อมจะสามารถส่งผลกระทบไปยังจุดอื่นได้ด้วย โครงสร้างของร่างกายที่เสียสมดุล จะเป็นปัจจัยหสัก ในการปิดกั้นการทำงานของอวัยวะต่างๆ อวัยวะที่ได้รับผลกระทบ นั้น ก็ทำ งานผิดปกติ ซึ่งเป็นสาเหดุของความเจ็บป่วย เกิดเป็น โรคต่างๆ คุกคามร่างกายใหได้รับความทุกข์ทรมาน ๑๒๒ www.kalyanamitra.org

๑. ตัวอย่างโรคต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเพราะโครงสร้างของร่างกาย เสิยสมดุล สาเหตุของการเกิดโรคที่ได้กล่าวมาแล้วในบทแรก มีทั้ง สาเหตุที่เกิดจากปัจจัยภายนอก เช่น การได้รับเชื้อโรค การได้รับ สารพิษ เป็นด้น และสาเหตุจากปัจจัยภายในด้วของเราเอง ได้แก่ การทำงานผิดปกติของอวัยวะต่าง ๆ อ้นเนื่องมาจากโครงสร้าง ของร่างกายที่เสียสมตุล โรคที่เกิดจากการเสียตุลยภาพมีได้สารพัดรูปแบบ แล้ว แต่ว่า เส้นประสาทหรือเล้นเลือดส่วนไหนได้รับผลกระทบ ต่อไปนี้คือด้วอย่างของโรค และอาการป่วยไข้ซึ่งเกิดจาก โครงสร้างของร่างกายที่เสียสมตุล ๑.๑. อาการปวดต่างๆ เช่น ปวดศีรษะ ไมเกรน ปวดคอ ปวดหลัง ปวดกล้ามเนี้อ ปวดกระดูก ปวดข้อ ปวดประสาท เป็นด้น ๑.๒. โรคเกี่ยวกับตา หู คอ จมูก เช่น ดาแห้ง ดาระคาย เคืองเรื้อรัง ตาแพัแสง เจ็บคอปอยหรือเรื้อรัง ปัญหา บางอย่าง เกี่ยวกับการได้ยินและการทรงด้ว อาการคัดจมูกนํ้ามูกไหล แบบที่เรืยกว่า ภูมิแพั เป็นด้น ๑.๓. โรคเกี่ยวกับกระดูก ข้อ และกล้ามเนี้อ เช่น ปวดข้อ ข้อเสื่อม ข้อกระดูกคอหรือกระดูกลันหลังเสื่อม ปัญหาเกี่ยวกับ หมอนรองกระดูกลันหลัง กล้ามเนี้ออ่อนแรง เป็นด้น นอกจากนี้ย้งมีโรคและอาการอื่นๆ อีก เช่น อ่อนเพลืย เวียนศีรษะใจสํ่น เหนื่อยง่าย ปวดเมื่อย ท้องอืด ชึมเคร่า นอนไม่หลับ หอบหืด โรคกระเพาะ พาร์กินลัน เป็นด้น ๑๒๓ www.kalyanamitra.org

ใอ. ความรูพนฐานที่นำไปสู่ความเข้าใจของการเกิดโรค การที่จะเข้าใจถึงการเกิดโรคต่างๆ ไดโดยง่าย จำ เป็น ต้องมีความรู้พื๋นฐานบางประการ คือ ไอ.๑. ความรูพนฐานเรื่องอาการปวด ถ้าพิจารณาตามหลักสรีรวิทยาก็สามารถอธิบายไต้ว่า อาการที่คนเรารู้สึกเจ็บปวดเกิดขึ้นเพราะ เนื้อเยื่อในบริเวณ ที่เจ็บปวด ขาดเลือดไปเลี้ยง และกำลังเกิดอันดรายด่อ เนื้อเยื่อบริเวณนั้น เช่น กำ ลังอักเสบหริอกำอังถูกทำลาย ระบบประสาทจึงส่งลัญญาณเตือนเพื่อให้ร่างกายหาทางแกไข ๒.๒.ความรู้พนฐานเรื่องระบบประสาท ระบบประสาทในร่างกายมนุษย์ประกอบต้วยสมอง ไขลันหลัง และเส้นประสาท โดยสมองและไขลันหลังทำหน้าที่ เป็นศูนย์กลางในการควบคุมการทำงานของร่างกาย อาศัยการ สื่อสารส่งลัญญาณผ่านไปทางเส้นประสาท ซึ่งเส้นประสาท จะแยกออกจากศูนย์กลางไปเป็นคู่ๆ เส้นประสาทที่แยกออก ทางต้านข้ายจะไปเลี้ยงร่างกายทางต้านซ้าย ส่วนเส้นประสาท ที่ออกทางต้านขวาก็จะไปเลี้ยงร่างกายทางต้านขวา แต่ละคู่มี อวัยวะเป้าหมายที่กำหนดไว้ชัดเจน ๒.๒.๑. องค์ประกอบเส้นประสาทแด่ละคู่ เส้นประสาทแต่ละค่แปงออกเป็น ๒ ส่วน คือ ๑๒๔ www.kalyanamitra.org

รูปที่ ๒-๑ เสนประสาทที่แยกไปตามอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย ๑๒(L www.kalyanamitra.org

ส่วนที่ ๑ เสนประสาทสมอง ได้แก่ เส้นประสาท ที่แยกออกจากส่วนต่างๆ ของสมอง มีทั้งหมด ๑๒ คู่ แยกไปตาม อวัยวะต่างๆ ของส่วนหัวและคอ เช่น ตา หู จมูก ลิ้น กล่องเสียง กส้ามเนื้อบนใบหน้า เปีนด้น แต่มีพิเศษอยู่คู่หนึ่ง นอกจากเลิ้ยง อวัยวะส่วนด้งกล่าวแส้ว ยังแยกไปเลิ้ยงอวัยวะภายในช่องอกและ ช่องท้องด้วย ส่วนที่ใฮ เส้นประสาฑไขสันหลัง ได้แก่ เส้นประสาท ที่ออกจากไขส้นหลังตั้งแต่ระดับด้นคอจนถึงก้นกบ มีทั้งหมต ๓๑ คู่ แยกไปตามอวัยวะต่าง ๆ ของส่วนคอ ลำ ด้ว แขน ขา และ อวัยวะภายใน ๒.๒.๒.หน้าที่เส้นประสาทแต่ละคู่ เส้นประสาทแต่ละคู่ มีการแปงหน้าที่ในการควบคุม การทำงานของอวัยวะต่าง ๆ เป็น ๓ หน้าที่ คือ ๑)นำ กระแสประสาทวับความรูสีกต่างๆ เข้าสู่ระบบ ประสาทศนย์กลาง เช่น เจ็บ ปวต วัอน เย็น เป็นด้น ๒) นำ คำ สั่งเกี่ยวก้บการควบคุมการทำงานของ กส้ามเนื้อ เพื่อใหัเกิตการทรงด้วและการเคลื่อนไหวของร่างกาย ซึ่งการสั่งการทำงานถูกควบคุมภายได้อำนาจจิตใจ ๓) นำ คำ สั่งเกี่ยวก้บการควบคุมการทำงานของ ระบบต่างๆ เช่น ระบบไหลเวียนโลหิต ระบบหายใจ ระบบ ย่อยอาหาร เป็นด้น ใหัทำงานอย่างสมดุลภายในร่างกาย รวมถึง การทำงานของระบบต่างๆ ขณะกำลังหลับ ซึ่งการสั่งการทำงาน เกิตขื้นเองนอกอำนาจจิตใจ เรียกว่า ระบบประสาทอัตโนม้ติ ๑๒๖ www.kalyanamitra.org

ระบบประสาทอัตโนมัติ แปงออกเป็น ๒ ระบบใหญ่ คือ ๑)พารารมพาเธติคระบบประสาทนี้จะคู่ขนานไปกับ เส้น ประสาท บางคู่ที่แยกออกมาจากสมอง และที่แยกออกมาจาก ไข ส้นหลัง ผ่านสองข้างกระดูกส้นหลังส่วนกระเบนเหน็บ ๒)รมพาเธติค ระบบประสาทนี้พบในเส้นประสาทที่ แยกออกมาจากไขส้นหลัง เมื่อผ่านช่องของกระดูกส้นหลังทั้ง สองข้าง แส้วก็จะมาผ่านปมประสาทที่มีการเชื่อมประสานกันของ เส้นประสาท ชงอยู่ชิดตลอดแนวของกระดูกส้นหลังโดยส่งสัญญาณ ผ่านปมประสาทตั้งแต่ระดับท้ายทอยไปถึงระดับเอว อวัยวะแต่ละแห่งที่ถูกควบคุมโดยระบบประสาทอัดโนมด พารารมพาเธติคและรมพาเธติคจะทำหน้าที่ควบคุมการทำงาน ร่วมกันไปเสมอ แต่จะทำหน้าที่ดรงข้ามกันกล่าวคือ อวัยวะบางแห่ง รมพาเธติคทำหน้าที่กระตุ้น ในขณะที่ พารารมพาเธติค ทำ หน้าที่ยับยั้งอวัยวะบางแห่ง รมพาเธติคทำหน้าที่ยับยั้ง ในขณะที่พารารมพาเธติคทำหน้าที่กระตุ้น ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะวักษา ภาวะสมดุลของร่างกายไวั ดัวอย่างเช่น ในขณะที่เราวิ่ง ร่างกาย ดัองใช้พลังงานมาก รมพาเธติค ก็จะกระตุ้นหัวใจให้สูบฉีดโลหิต เร็วและแรงขึ้น เพื่อเพื่มการไหลเวียนโลหิตทั้วร่างกาย เมื่อ หยุตวิ่ง ร่างกายใช้พลังงานน้อยลง พารารมพาเธติคก็จะทำหน้าที่ ชะลอหัวใจให้สูบฉีตข้าลง และค่อยๆกลับมาสู่การสูบฉีตโลหิต ในภาวะปกติ เป็นดัน โตยสามารถสรุปการทำหน้าที่ควบคุม อวัยวะต่างๆ ของระบบประสาทอัตโนมต ดังแสตงในรูปที่ ๒-๒ ๑๒๗ www.kalyanamitra.org

การทำงานของระบบประสาฑอัตโนaTติด่ออวัยวะต่างๆ www.kalyanamitra.org ซมพาแโด๊ค พาราซมพาแโตค ^IL มองวัตถุใกล้,ม่านดาหดเลืก กระตุ้นการหลั่งนํ้ามูก 'รุ มองวัตถุไกล,ม่านตาขยาย หลั่งนํ้าลายเพิ่มขึ้น IT หัวใจเต้นช้าและเบา ยับยั้งการหลั่งนํ้ามูก หลอดลมหดตัว 3. หลั่งนํ้าลายลดลง กระตุ้นการหลั่งกรด, ร หัวใจเต้นเร็วและแรง ธ* เพิ่มการบีบตัวของกระเพาะ หลอดลมขยายต้ว Iล.ิ กระตุ้นการหลั่งนํ้าด็ ยับยั้งการหลั่งกรด, กระตุ้นการหลั่งนํ้าย่อย. ลดการบีบตัวของกระเพาะ เพิ่มการบีบตัวของลำไส้ เพิ่มระตับนํ้าดาลในเลือด หลอดเลือดในไดขยายตัว ยับยั้งการหลั่งนํ้าย่อย. กระเพาะปัสสาวะหดตัว(ขับถ่าย) ลดการบีบตัวของลำไส้ มดลกบีบตัว หลอดเลือดในไดหดตัว กระเพาะปัสสาวะยืดออก(กลั่น) มดลกคลายตัว

๒.๓ ความรู้พึ้นฐานเรื่องโครงสร้างกระดูกสันหลัง กระดูกสันหลังแต่ละปล้องที่เชื่อมต่อกันแล้วจะมีช่องว่า เปีนที่ออกของเสันประสาทแต่ละคู่ที่แตกออกมาจากไขลันหลัง ไขลันหลัง เสันประสาท กระดกสันหลัง ปมประสาท รูปที่ ๒-๓ แสดงการแดกออกของเส้นประสาทจากไขสันหลัง ๑๒๙ www.kalyanamitra.org

กระดกซโครง เส้นประสาท กล้ามเนื้อ, เส้นเอ็น, และพังผืด รูปทื่ ๒-๔ แสดงการแทรกของเส้นประสาทผ่านกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และพังผืดตลอดแนวกระดกส้นหลัง ร)ฅา0 www.kalyanamitra.org

เมื่อเส้นประสาทคู่ต่าง ๆ ที่แตกออกมาจากไขสันหส้ง ผ่านออกมาจากช่องว่างของกระดูกสันหสังแส้ว จะต้องแทรก ผ่านกส้ามเนื้อ เส้นเอ็น และพังผืดที่คอยยึดโยงตลอดแนว ของกระดูกสันหลัง แส้วแต่ละคู่ก็จะแผ่ไปยังอว้ยวะต่าง ๆ ในบริเวณที่มันทำหน้าที่ทั้งการสั่งการทำงานภาย ใต้อำนาจ จิตใจ และการทำงานนอกอำนาจจิตใจหรือแบบอัตโนมัติ ซึ่ง กล้ามเนื้อเสนเอ็น และพังผืดตลอดแนวทั้งสองข้างของกระดูกส้นหลัง นื้ทำ หน้าที่รักษาสมดุลของโครงสรางและการเคลื่อนไหวของ กระดูก ลันหลัง จากความรู้พื้นฐานทั้งหมดที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่า ถ้าโครงสรัางของร่างกายเสียสมดุล โดยเฉพาะที่แกนของ กระดูกลันหลัง มีการเกร็งของกล้ามเนื้อดามแนวกระดูกลันหลัง เกิดขึ้นในบริเวณใดก็ดาม กล้ามเนื้อ เล้นเอ็น และพังผืด ดามแนว กระดูกส้นหลังนื้จะมีการดึงรั้งกันเกิดขึ้น จึงเป็นเหดุให้การไหลเวียน ถูกปิดกั้น และการไหลเวียนของเส้นประสาทที่ผ่านออกมาจาก ช่องว่างของกระดูกลันหลังบริเวณนั้น ก็จะบกพร่องดามไปด้วย การส่งลัญญาณจึงบกพร่อง เส้นประสาทคู่ต่างๆ ที่ผ่านออกมาจากช่องว่างของกระดูก ส้นหลัง ถือได้ว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นจุดเริ่มด้นของการ ส่งลัญญาณไปสู่อวัยวะต่างๆ ทั้งการทำงานภายได้อำนาจ จิดใจและ การทำงานนอกอำนาจจิดใจหรือแบบอัดโนม้ต เมื่อเกิดการปิดกั้น การส่งลัญญาณสั่งการทำงานที่ด้นทางเสียแล้วอวัยวะต่างๆ ที่อยู่ ระหว่างทางและปลายทาง ย่อมได้รับผลกระทบ ยิ่งนานเท่าไหร่ ก็ยิ่ง เสียหายมากเท่านั้น ทำ นองเดียวกับกิ่งไมีใหญ่ที่ห้กร่องแร่งคาด้น |9ฟิไ<9 www.kalyanamitra.org

ใบไม้หรือผลของ กิ่งนั้นย่อมค่อยๆ เหี่ยวแห้งไปตามลำดับ และโดย เหตุที่ ระบบประสาฑอัตโนมัติรมพาเธติคผ่านออกมาจากใต้ กล้ามเนื้อ เล้นเอ็น และพังผืดตลอดแนวของกระดูกส้นเ^ง จึงมีโอกาสถูกปิดกั้น และทำให้เกิดความผิดปกติในการควบ ดุม การทำงาน แบบรมพาเธติคไต้มากกว่า พารารม พาเธติค ในขณะที่เกิดการดึงรั้งของกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และพังผืดดาม แนว กระดูกสันหลัง อาการที่แสดงถึงการเสียดุลยภาพภายในร่างกาย อาการที่แสดงถึงการเสียตุลยภาพต่างๆ ดังกล่าวแล้ว อาจจัดลำดับพอสังเขปไดัดังนื้ ๑. โครงสรางกระดูกในร่างกายเอียงไปดัานใดดัานหนึ่ง ๒. กล้ามเนื้อในบริเวณใดบริเวณหนึ่งเกิดอาการเกร็ง ๓. กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และพังผืด บริเวณที่เกิดอาการเกร็ง เกิดการดึงรั้งกัน ๔. การดึงรั้งทำให้การไหลเวียนของเส้นเลือดแดง เสนเลือดดำ และท่อนั้าเหลือง ถูกปิดกั้น ๕. เมื่อการไหลเวียนไปยังเส้นประสาทไม่เพียงพอ การส่งสัญญาณจึงบกพร่อง ๖. การส่งสัญญาณบกพร่อง จึงทำให้อวัยวะต่างๆ ทำ งานผิดปกติ ยิ่งนานเท่าไร ก็เสียหายมากเท่านั้น ๗. อาการของโรคที่เกิดจากการทำงานผิดปกติของ อวัยวะนั้น ก็ปรากฏขื้น ๑๓๒ www.kalyanamitra.org

๓. ตัวอย่างและสาเหตุของการเกิดโรคที่เกิดจากการเสีย ตุลยภาพ ไมเกรน (โรคปวดศีรษะรุนแรงเรื้อรัง) บางคนมีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรงและเรื้อรัง มักจะสงสัย ว่า ดนเองอาจจะมีเนื้องอกในสมอง จึงไปขอให้แพทย์เอ็กซ์-เรย์ดู แต่ก็ไม่พบความผิดปกติใดๆ บางคนบอกว่า ตนปวดศีรษะ เนื่องจากความเครียด แต่บางคนทั้งๆ ที่เครียดก็ไม่รูสึกปวดศีรษะ สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดไมเกรน คือโครงสรางของร่างกาย บริเวณคอถึงศีรษะอยู่ในภาวะเสียสมตุล จึงส่งผลให้กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และพังผืดดามแนวกระดูกล้นหลังที่อยู่แถวฐานคันคอ หริอดรงฐานกะโหลกศีรษะ เกิดการเกร็งและดึงรั้งกัน เป็นเหตุให้ การไหลเวียนถูกปีดกั้น และเมื่อการไหลเวียนไปย้งเล้นประสาท ในบริเวณนื้1ม่เพียงพอ ทำ ให้การส่งผ่านล้ญญาณระหว่างศูนย์กลาง ของระบบประสาท กับล้ญญาณที่จะขึ้นไปหากล้ามเนื้อบนศีรษะ ไปแบบไม่สมบูรณ์ กล้ามเนื้อบนศีรษะจึงเกร็งคัวอยู่ดลอดเวลา เพราะหลักธรรมชาติของร่างกาย คือ ถ้าไม่มีล้ญญาณประสาทมาเลย กล้ามเนื้อจะเปลี้ยไม่มีการหดคัว แต่ถ้ามีบ้างไม่มีบ้างจะเกร็ง กล้ามเนื้อบนศีรษะเกร็งคัว ทำ ให้การไหลเวียนถูกปิดกั้น จึงเกิดอันดรายต่อเนื้อเยื่อบริเวณนื้ เพราะเลือดไปหล่อเลี้ยง ไม่เพียงพอ จึงทำให้มีอาการปวด เมื่ออาการเกร็งมีอยู่ตลอด ไม่ยอมคลาย จึงทำให้เกิดอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรงและเรื้อรัง ที่ เริยกว่า \"ไมเกรน\" ๑๓๓ www.kalyanamitra.org

สายตาผิดปกติ เรื่องสายตาผิดปกติ มีการถ่ายทอดความเต่อเนื่องกัน มานานแล้วว่า สายตาสั้นเกิดจากแสงที่ผ่านกระจกตาและเลนส์ โฟกัสตกไม่ถึงจอประสาทตา เปีนเหตุให้การเห็นไม่ชัดเจน จึง แกไดโดยการเอาเลนส์เว้า มาไว้หน้ากระจกตา เพื่อให้ลำแสง ถ่างออกเล็กน้อย โฟกัสก็จะตกที่จอประสาทตาพอดี สายตายาว ก็ตรงชัามกัน คือโฟกัสตกเลยจอประสาทตา จึงใชัเลนส์นูนมาไว้ หน้ากระจกตา เพื่อให้ลำแสงแคบลงเล็กน้อย โฟกัสก็จะตกที่ จอประสาทตาพอดี คนที่สายตาปกติ เวลาเขามองอะไรไม่ว่าใกล้หรือไกลก็ชัด ทั้งนั้น ทำ ไมถึงชัด ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจให้ถูกว่า เลนส์ตา ไม่ใช่แข็งเป็นแก้ว แต่เป็นเนื้อเยื่อใสๆ ที่ยืดหดไต้ โดยอาศัย กล้ามเนื้อที่อยู่รอบๆ เลนส์ตา ทำ หน้าที่ปรับเลนส์ ให้ภาพที่เห็น ผ่านเลนส์แล้วไปตกที่จอประสาทดาต้านหล้งเลนส์พอดี การเห็น ของเขาจึงชัตเจนทั้งใกล้และไกล กล้ามเนื้อที่อยู่รอบๆ เลนส์ตานั้นมีการทำงานอย่างไร มัน ทำ งานโตยไต้รับสัญญาณประสาทอัตโนมติ ที่ออกมาจากไขสันหลัง แล้วผ่านปมประสาทในบริเวณท้ายทอย ถ้าจอประสาทดารับภาพ ไดีไม่ชัด มันก็จะรายงานไปยังศูนย์ประสาทอัดโนมีติในสมองทันที ครั้นแล้วศูนย์ประสาทอัตโนม้ติก็จะสั้งการกล้บมาตามเส้นทางเติม ให้กล้ามเนื้อที่อยู่รอบเลนส์ตาหดหรือคลาย เพื่อปรับเลนส์ให้ภาพ ไปตกพอดี คนที่สายตาผิดปกติ ก็เพราะการทำงานของกล้ามเนื้อ รอบเลนส์ตานั้นผิดปกติ ผลจากการศึกษาต้นคว้าวิจัย พบว่า ร)ฝิไ(ริ^ www.kalyanamitra.org

พังผืดลึก ๆ ใต้กล้ามเนื้อ เกร็งตึงจนไปปีดกั้นการไหลเวียน และทำให้เส้นประสาฑในบริเวณนั้น ส่งสัญญาณประสาท บกพร่อง การทำงานของกล้ามเนื้อรอบเลนส่ตาในการปรับ โฟก้สของเลนสัจึงบกพร่องไป ไฝใช่เพราะ เลนส่ตา ผิดปกติ อาการปวดหู อาการหูอี้อ บางคนปวดหู บางคนหูอื้อได้ยินไม่ชัด จึงไปหาแพทย์ ครั้นแพทย็ใชัเครื่องมือส่องดรวจดูในช่องหู หากดรวจไม่พบ ความผิดปกติใดๆในช่องหู เช่นการติดเชื้อสิ่งแปลกปลอม เป็นด้น เมื่อคนนั้นลองใชันิ้วมือกดลงที่แอ่งใด้หู จะพบว่า รู้สึกเจ็บมาก ทั้งนิ้เพราะกล้ามเนิ้อคอตรงบริเวณนั้นตึงมาก ตึงรั้งอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากเสียสมดุล จนไปบีบรัดท่อที่เชื่อมระหว่างภายใน ช่องหูส่วนกลางกับภายในลำคอ ซึ่งทำหน้าที่ในการระบายอากาศ เมื่อไม่สามารถระบายอากาศจากภายในช่องหูส่วนกลางได้ จึงเกิดอาการปวดหูและหูอื้อ อาการเวียนสืรษะ ในวงการแพทย์มักกล่าวกันว่า อาการเวียนศีรษะเกิดจาก ระด้บนํ้าในหูไม่เท่ากัน ซึ่งยังด้นไม่พบว่าได้มืการวัดกันจริงๆ แต่สิ่งที่ได้พบในคนไชัที่มือาการเวียนศีรษะก็คือ กล้ามเนิ้อ บริเวณคอของเขาตึงมาก จนกระทั่งไปปิดกั้นการไหลเวียนของเลือด ที่ไปเลี้ยงอวัยวะที่ทำหน้าที่ควบคุมการทรงตัว ส่งผลให้อวัยวะ ที่ทำ หน้าที่ควบคมการทรงตัวบกพร่อง ๑๓๕ www.kalyanamitra.org

โรคภูมิแพ้ ผู้ที่เปีนโรคภูมิแพ้จะมีอาการนํ้ามูกไหลไม่หยุด ฑั้งนี้เพราะ ระบบประสาทอัตโนมัติชิมพาเธติคที่ทำหน้าที่ควบคุมการหยุด หลั่งนามูกซึ่งผ่านมาทางคอและทางท้ายทอยถูกปิดกั้นไม่สามารถ ส่งสัญญาณได้ดามปกติ เนื่องจากกล้ามเนื้อในบริเวณนี้ มีอาการ เกร็งและดึงรั้งกันเกิดขึ้น ในภาวะปกติ เมื่อมีสิ่งใดมากระตุ้นร่างกาย เช่น ขึ้ฝ่น ระบบประสาทพาราชิมพาเธติค ก็จะส่งสัญญาณใท้นํ้ามูกไหลออก มาปะทะและจับผงฝ่นนั้นไว้ครั้นเมื่อเก็บรวบรวมผงฝ่นได้หมดแล้ว ระบบประสาทชิมพาเธติคก็จะส่งสัญญาณลั่งใท้นํ้ามูกหยุดไหล แต่โดยเหตุที่เสันประสาทชิมพาเธติค ไม่สามารถส่งสัญญาณได้ ตามปกติ นํ้ามูกจึงไหลอยู่เรื่อยๆ ไม่ยอมหยุด จึงเกิดเปีน โรคภูมิแพขึ้น โรคหอบหืด เมื่อมีสิ่งเร้ามากระตุ้น เช่น ความเย็น ฝ่นละออง ควัน เกสรดอกไมัเปีนด้น มักจะมีอาการอึดอัดแน่นหน้าอก หายใจลำบาก มีเสียงหายใจด้งวี๊ด มักจะมีอาการไอถี่ๆ และมีเสลดเหนียว เกิดขึ้น นื่คืออาการของโรคหอบหืด ในภาวะปกติ เมื่อมีสิ่งแปลกปลอมหลุดลอยเข้าไปสู่หลอดลม ระบบประสาทพาราชิมพาเธติคจะส่งสัญญาณลั่งใท้หลอดลม หดตัว และหลั่งสารเมีอกออกมาจับสิ่งแปลกปลอมนั้น เพื่อนำเข้าสู่ กระบวนการทำลายต่อไป หสังจากนั้นระบบประสาทชิมพาเธติค ก็จะส่งสัญญาณลั่งให้หลอดลมคลายด้วกสับสู่ภาวะปกติ ๑๓๖ www.kalyanamitra.org

แต่ถ้าเมื่อใด ระบบประสาทชิมพาเธติคถูกปิดกั้นการทำงาน เนื่องจากการเกร็งของกลามเนื้อตามแนวกระดูกสันหลัง ในบริเวณ ที่ออกของเส้นประสาทที่แตกจากไขสันหลัง ทำ ให้หลอดลมที่ หดตัวแล้วไม่ยอมคลาย หลอดลมจึงตีบอยู่ ทำ ให้หายใจไม่สะดวก รวมทั้งไม่ได้รับสัญญาณให้เมือกหยุดหลง ร่างกายจึงต้อง ขับเมือกออก ทำ ให้มีอาการไอมาก โรคกระเพาะอาหารอักเสบ ในภาวะปกติ เมื่ออาหารถึงกระเพาะ ระบบประสาท พาราชิมพาเธติค จะเป็นตัวเร่งการผลิตกรดออกมาจำนวนมาก เพื่อม่อยอาหาร ขณะเตียวกันก็ทำหน้าที่ให้กระเพาะบีบตัว เพื่อ คลุกเคล้าอาหารและขับเคลื่อนอาหารไปสู่ลำไส้ต่อไป ส่วนระบบ ประสาทชิมพาเธติค จะทำหน้าที่เป็นตัวยับยั้งการผลิตกรตให้ ลดน้อยลง และคลายการบีบตัวของกระเพาะอาหาร จากการศึกษาได้พบว่า เมื่อกล้ามเนื้อตามแนวกระดูก- สันหลังตึง การไหลเวียนถูกปิดกั้น ทำให้สัญญาณประสาท ชิมพาเธติคบกพร่อง กรดจึงหลั่งไม่หยุด เมื่อกรดมีจำนวนมาก ก็กัดทำลายกระเพาะ ทำ ให้เยื่อบุกระเพาะเกิดการอักเสบ บางครั้ง กรดก็สันขึ้นมาที่หลอดอาหาร ทำ ให้เกิดอาการปวดแสบปวดร้อน ที่หน้าอก หรือมีอาการเรอเหมีนเปรี้ยว หรือกระเพาะบีบตัว แล้วไม่คลาย ก็ทำ ให้เกิดอาการจุกที่ลิ้นปี เปีนด้น ๑๓๗ www.kalyanamitra.org

โรคปวดข้อ ในภาวะปกติ คนเราย่อมไม่มีอาการปวดข้อ ทั้งนี้ก็เพราะ กล้ามเนื้อ เล้นเอ็น และพังผืด ซึ่งทำหน้าที่พยุงและควบคุม การเคลื่อนไหวของข้อ ไม่ว่าจะหมุนซ้ายหรือหมุนขวา ก็จะทำงาน ประสานสัมพันธ์กันอย่างไม่ผิดพลาดคลาดเคลื่อน จึงไม่เจ็บ ไม่ปวด อย่างไรก็ตาม ถ้าเมื่อใดสมองสั่งการมายังกล้ามเนื้อที่ทำงาน เกี่ยวข้องกับข้อ แต่มีกล้ามเนื้อบางมัดได้รับสัญญาณไม่สมบูรณ์ ทำ ให้การทำงานของกล้ามเนื้อไม่สัมพันธ์กัน ก่อให้เกิดการดึงรั้ง ของข้อและเนื้อเยื่อ จนเกิดการเจ็บปวดขึ้น นานๆ เข้าก็เกิดอาการ อักเสบ การสึก และการเสื่อมของข้อได้ ทำ ไมกล้ามเนื้อบางมัดจึงไม่ได้รับสัญญาณ หรือได้รับ สัญญาณไม่สมบูรณ์ ที่เป็นเช่นนื้ก็เพราะเล้นประสาทที่มาเลี้ยง กล้ามเนื้อส่วนนั้น ผ่านบริเวณที่มีการเกร็งและดึงรั้งของกล้ามเนื้อ และพังผืด ส่วนใหญ่พบที่บริเวณแนวกระดูกสันหสัง ทำ ให้ ไม่สามารถส่งผ่านสัญญาณที่สมองสั่งมาให้ทำงานอย่างสัมพันธ์กัน ได้ตามปกติ หากไม่ได้รับการแก่ไขอย่างถูกวิธี ผลรัายที่ดามมา อีกก็คือ กล้ามเนื้อส่วนนั้นจะอ่อนแอลงอีกด้วย ดามธรรมดาเมื่อมีอาการปวดข้อ คนเราก็สนใจดูแลเฉพาะ แต่ดรงข้อ หรืออย่างมากก็บอกว่า กล้ามเนื้อดรงบริเวณข้อ ไม่แข็งแรง จึงพยายามบริหารกล้ามเนื้อตรงข้อนั้นให้แข็งแรง แต่ ความจริงมีอยู่ว่า กล้ามเนื้อที่ไม่ได้รับสัญญาณประสาทจากสมอง จะบริหารอย่างไรก็ยากที่จะกสับมาแข็งแรงเหมีอนเติม ทั้งนื้เพราะ กล้ามเนื้อจะพัฒนาให้กสับแข็งแรงตามปกติได้ ด้องอยู่ในสภาพที่ สมบูรณ์ขององค์ประกอบหสักทั้ง ๓ ประการ ด้งที่กล่าวในบทที่ ๑ www.kalyanamitra.org

หลังโก่ง หลังแอ่น หลังคด สภาพหลังโก่ง หลังแอ่น และหลังคด ก็มีสาเหตุ ทำนองเดียว กับการปวดข้อ จะต่างกันก็ตรงที่ตำแหน่งการดึงรั้ง ของกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และพังผืด รูปที ๒-๕ การผิดรูปของหลัง ๑๓๙ www.kalyanamitra.org

กล่าวคือ หลังโก่ง เกิดขึ้นเพราะมีการดึงรั้งเกิดขื้นที่ กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และพังผืดด้านหน้า หลังแอ่นเกิดขึ้นเพราะ มีการดึงรั้งเกิดขึ้นที่กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และพังผืดด้านหลัง ส่วนหลังคด เกิดขึ้นเพราะกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และพังผืดตรงบริเวณ สีข้างซีกชายหรือซีกขวามีการดึงรั้ง จากสาเหตุของโรคที่ยกมาเป็นตัวอย่างนื้ กล่าวได้ว่า การที่ กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และพังผืดในส่วนต่างๆ ของร่างกาย มีการ หดและดึงรั้งอย่างต่อเนื่อง โดยขาดการผ่อนคลายตามปกติ แส้วส่งผลกระทบต่อการทำหน้าที่ของอว้ยวะ และระบบต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง จึงเป็นเหตุให้เกิดการเจ็บป่วยขึ้น ทั้งหมดล้วนมีสาเหตุ มาจากโครงสร้างของร่างกายเสียสมตุล ๑๔๐ www.kalyanamitra.org


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook