Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แผนการสอนวิทย์ฯบริการ-2-2564

แผนการสอนวิทย์ฯบริการ-2-2564

Published by sirinun2563, 2021-10-26 03:19:47

Description: แผนการสอนวิทย์ฯบริการ-2-2564

Search

Read the Text Version

1 แผนการจัดการเรยี นรู้แบบฐานสมรรถนะ หลักสตู รประกาศนียบตั รวิชาชพี ประเภทวชิ าพาณชิ ยกรรม สาขาวชิ าการบัญชี การตลาด และ คอมพิวเตอรธ์ ุรกจิ รหสั 20000-1303 วชิ าวิทยาศาสตรเ์ พอ่ื พฒั นาอาชพี ธรุ กิจและบรกิ าร จดั ทำโดย นางสาวสิรนิ นั ท์ สทิ ธชิ ัย แผนกวิชาสามัญสมั พนั ธ์ วิทยาลัยอาชวี ศกึ ษาเพชรบุรี สำนกั งานคณะกรรมการการอาชีวศกึ ษา

2 รายการตรวจสอบและอนญุ าตใหใ้ ช้  เห็นควรอนุญาตใหใ้ ช้ทำการสอนได้  เห็นควรปรบั ปรุงเกยี่ วกบั ................................................................................................................................... ลงชอ่ื .......................................................................... (นางสาวฐิติกาญจน์ คงชยั ) หัวหนา้ แผนกวิชาสามญั สมั พันธ์ .............. / ............................. / ...............  เห็นควรอนุญาตให้ใช้ทำการสอนได้  ควรปรับปรุงดงั เสนอ...........................................................................................................................................  อื่น ๆ .................................................................................................................................................................. ลงชอื่ .......................................................................... (นางสาวประภาศรี ตระกูลสุขทรัพย์) หวั หนา้ งานพฒั นาหลักสูตรการเรียนการสอน .............. /............................. /...............  เหน็ ควรอนญุ าตใหใ้ ชท้ ำการสอนได้  เหน็ ควรปรบั ปรุงดังเสนอ....................................................................................................................................  อ่นื ๆ .................................................................................................................................................................. ลงช่อื ......................................................................... (นายกู้เกียรติ ดวงพลพรม) รองผ้อู ำนวยการฝา่ ยวชิ าการ .............. /............................. /...............  อนุญาตให้ใชท้ ำการสอนได้  อืน่ ๆ .................................................................................................................................................................. ลงชอ่ื ......................................................................... (นายวรากร ชยุติกลุ ) ผู้อำนวยการวิทยาลยั อาชีวศกึ ษาเพชรบุรี .............. /............................. /...............

3 คำนำ แผนการเรยี นรู้วิชาวิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาอาชพี ธุรกิจและบรกิ าร รหัส 20000-1303 จดั ทำข้ึนตรงตาม จุดประสงค์รายวิชา สมรรถนะรายวิชา และคำอธิบายรายวิชา หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ พุทธศักราช 2556 ของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา การจัดทำแผนการสอนขึ้นมาน้ีเป็นการวางแผนการสอน ลำดับการสอนให้สอดคล้องตามสมรรถนะและคำอธิบายรายวิชา ให้จัดกิจกรรมการเรียนการสอนเป็นไปตาม ระยะเวลาทกี่ ำหนดไว้ และการสอนเปน็ ไปอยา่ งมีประสิทธภิ าพ เนื้อหาในแผนการสอนรายวชิ าวิทยาศาสตรเ์ พื่อพัฒนาอาชพี ธรุ กจิ และบริการ ประกอบดว้ ย 8 หนว่ ยการ เรียนรู้ ได้แก่ การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม เทคโนโลยีชีวภาพ จุลินทรีย์ในอาหาร สารเคมีใน ชีวติ ประจำวัน พอลเิ มอร์ ปโิ ตรเลียมแลผลิตภัณฑ์ ไฟฟา้ ในชีวติ ประจำวัน คล่ืนแม่เหล็กไฟฟา้ การจัดกิจกรรม การเรียนการสอนยึดผูเ้ รียนเป็นสำคญั มีการบูรณาการปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง และคุณธรรมจริยธรรม ไว้ใน หน่วยการเรยี นรูต้ ามความเหมาะสม สอดคลอ้ งกับเนอื้ หา เพือ่ ใหเ้ กิดประสิทธผิ ลแก่ผเู้ รียนมากย่ิงข้นึ หวังเป็นอย่างย่ิงว่าแผนการเรียนรู้ฉบับนี้ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการพัฒนาการเรียนรู้ ความเข้าใจ และพฤตกิ รรมของผูเ้ รียนใหบ้ รรลตุ ามจดุ ประสงค์รายวิชา และสมรรถนะรายวิชา ลงชอื่ .................................................................. (นางสาวสริ ินันท์ สทิ ธชิ ัย)

สารบัญ 4 รายการตรวจสอบและอนญุ าตให้ใช้ หน้า คำนำ ลกั ษณะรายวชิ า 5 หนว่ ยการเรียนรู้ 6 ตารางวิเคราะห์หลักสูตร 7 กำหนดการสอน 8 กรอบการจัดการเรยี นร้แู บบบูรณาการคุณธรรม จริยธรรม 10 คา่ นิยม คุณลักษณะอันพึงประสงค์ และหลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง 11 แผนการจัดการเรียนรทู้ ่ี 1 44 แผนการจดั การเรียนรทู้ ี่ 2 54 แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 3 77 แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 4 90 แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 5 109 แผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี 6 121 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 7 136 แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 8 146 การวัดและการประเมินผลการเรียนรู้ตามสภาพจริง

5 ลักษณะรายวชิ า หลักสตู รประกาศนยี บัตรวชิ าชีพ (ปวช.) ประเภทวชิ าพาณชิ ยกรรม สาขาวิชาการบญั ชี การจัดการสำนักงาน และ คอมพิวเตอรธ์ รุ กจิ รหสั 20000-1303 ชื่อวิชา วิทยาศาสตรเ์ พ่อื พฒั นาอาชพี ธรุ กจิ และบรกิ าร ทฤษฎี 1 ชัว่ โมง/สัปดาห์ ปฏบิ ัติ 2 ชัว่ โมง/สัปดาห์ จำนวน 2 หนว่ ยกติ จุดประสงค์รายวชิ า 1. รแู้ ละเข้าใจเก่ียวกับพันธุกรรม สารเคมีในชีวิตประจำวนั เทคโนโลยชี ีวภาพ จลุ ินทรยี ์ในอาหาร ปิโตรเลียมและ พอลเิ มอร์ ไฟฟา้ และคลื่นแม่เหลก็ ไฟฟา้ 2. สามารถสำรวจตรวจสอบเกี่ยวกับการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม ผลกระทบของสารเคมี และคล่ืน แม่เหล็กไฟฟ้าต่อมนุษยโ์ ดยใช้กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 3. สามารถทดลองทดสอบเกี่ยวกับสารเคมีในชีวิตประจำวันและในงานอาชีพ จุลินทรีย์ในอาหาร สมบัติของ ปโิ ตรเลียมและพอลิเมอร์ โดยใช้กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 4. มเี จตคตแิ ละกิจนสิ ัยทีด่ ีตอ่ การศึกษาและสำรวจตรวจสอบด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ สมรรถนะรายวิชา 1. แสดงความรู้เกี่ยวกับพันธุกรรม สารเคมีในชีวิตประจำวัน เทคโนโลยีชีวภาพ จุลินทรีย์ในอาหาร ปิโตรเลียมและพอลิเมอร์ ไฟฟ้าและคลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟา้ 2. สำรวจตรวจสอบเกยี่ วกบั การถา่ ยทอดลักษณะทางพันธุกรรมตามหลักพนั ธศุ าสตร์ 3. วเิ คราะหผ์ ลกระทบของสารเคมแี ละคลนื่ แม่เหล็กไฟฟา้ ต่อมนษุ ยต์ ามหลักการ 4. สำรวจตรวจสอบเก่ียวกบั สมบัติของปิโตรเลียมและพอลเิ มอรด์ ้วยกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 5. สำรวจตรวจสอบเกี่ยวกบั ไฟฟา้ ในชวี ติ ประจำวันและคลื่นแมเ่ หล็กไฟฟ้าตามหลักการและกระบวนการ คำอธบิ ายรายวชิ า ศึกษาและปฏิบัติเกี่ยวกับการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม สารเคมีในชีวิตประจำวันและในงานอาชีพ เทคโนโลยีชีวภาพ จุลินทรีย์ในอาหาร ปิโตรเลียมและผลิตภัณฑ์ พอลิเมอร์และผลิตภัณฑ์ ไฟฟ้าในชีวิตประจำวัน และคล่นื แมเ่ หล็กไฟฟ้า

หน่วยการเรียนรู้ 6 หนว่ ย หนว่ ยการเรียนรู้ เวลาเรียน (ชม.) ท่ี ทฤษฏี ปฏบิ ตั ิ รวม 1. การถา่ ยทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรม 247 246 2. เทคโนโลยชี ีวภาพ 347 369 3. จลุ ินทรียใ์ นอาหาร 235 235 4. สารเคมีในชีวติ ประจำวนั 258 124 5. พอลเิ มอร์ 3-3 20 31 54 6. ปโิ ตรเลยี มและผลิตภัณฑ์ 7. ไฟฟา้ ในชวี ติ ประจำวัน 8. คลื่นแมเ่ หลก็ ไฟฟา้ สอบปลายภาค รวม

7 ตารางวิเคราะหห์ ลักสตู ร รหัส 20000-1303 ชื่อวิชา วิทยาศาสตร์เพ่อื พฒั นาอาชพี ธุรกิจและบริการ ทฤษฎี 1 ช่วั โมง/สัปดาห์ ปฏบิ ัติ 2 ชั่วโมง/สัปดาห์ จำนวน 2 หนว่ ยกติ พฤติกรรม พุทธิพิสัย ช่ือหนว่ ยการเรยี นรู้ ความรู้ 1. การถ่ายทอดลกั ษณะทางพันธุกรรม ความเข้าใจ 2. ความหลากหลายทางชีวภาพ การนำไปใ ้ช 3. เทคโนโลยีชวี ภาพ การวิเคราะ ์ห 4. จุลนิ ทรีย์ในอาหาร การ ัสงเคราะ ์ห 5. ปิโตรเลยี ม การประเ ิมน ่คา 6. ผลิตภัณฑย์ างและพอลิเมอร์ ัทกษะพิสัย 7. สารชีวโมเลกุลในอาหาร ิจตพิ ัสย 8. คลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้า รวม ลำ ัดบ รวม จำนวน ่ัชวโมง ลำดับความสำคญั 2 2 1 - - 2 2 2 11 47 1 2 1 - - 3 3 3 13 26 2 2 1 - - 2 2 2 11 47 1 2 2 - - 3 2 2 12 39 2 2 1 - - 2 2 2 11 45 1 2 1 - - 2 2 2 10 55 2 3 2 - - 2 3 3 15 18 1 2 1--1 2 2 9 64 12 17 10 - - 18 18 18 92 - 51 3 2 4--2 1 1 - -- หมายเหตุ : สัปดาห์ที่ 18 สอบปลายภาค ดงั นัน้ จำนวนช่วั โมงทจี่ ัดการเรียนการสอนจงึ เป็น 17 สัปดาห์ (51 ช่วั โมง)

8 กำหนดการสอน หน่วย ช่อื หนว่ ยการเรยี นรู้ สมรรถนะประจำหน่วย สัปดาห์ ชัว่ โมง ที่ ที่ ท่ี 1-7 1. การถา่ ยทอดลกั ษณะ 1. แสดงความรู้เกี่ยวกับความหมายของการถ่ายทอดลักษณะทาง 1-3 8-12 ทางพนั ธุกรรม พันธุกรรม ลักษณะทางพันธุกรรม กระบวนการถ่ายทอดลักษณะทาง 13-17 พันธุกรรม โครโมโซมและสารพันธุกรรม การถ่ายทอดลักษณะทาง 18-24 พนั ธกุ รรม และการเปลย่ี นแปลงทางพันธุกรรม 2. เขียนแผนผังและคำนวณหาโอกาสของลักษณะการถ่ายทอดทาง พนั ธกุ รรม 2. เทคโนโลยีชีวภาพ 1. อธบิ ายความหมายของเทคโนโลยชี ีวภาพได้ 3-4 2. บอกความเปน็ มาของเทคโนโลยชี วี ภาพได้ 3. บอกและอธิบายกระบวนการเกดิ ผลิตภัณฑ์ ทางเทคโนโลยีชวี ภาพใน ชวี ติ ประจำวนั ได้ 4. อธิบายการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีชีวภาพ โดยวิธีการพันธุวิศวกรรม การโคลน การ เพาะเล้ยี งเน้ือเยื่อลายพิมพด์ ีเอ็นเอได้ 5. อภิปรายความก้าวหน้าของ เทคโนโลยีชีวภาพในด้านต่าง ๆ ได้3. เขยี นแผนผงั และนำเสนออาณาจกั รสง่ิ มีชีวติ 3. จุลินทรยี ์ในอาหาร 1. แสดงความรู้เกี่ยวกับจุลินทรีย์ในอาหาร ประเภทของจุลินทรีย์ใน 5-6 อาหาร ลักษณะท่ัวไปและโครงสร้างของจุลินทรีย์ ความสำคัญของ จลุ ินทรีย์ในอาหาร แหล่งท่ีมาของจลุ ินทรีย์ซ่ึงปนเป้ือนในอาหาร และ แหล่งทีอ่ ยอู่ าศยั ของจุลินทรยี ต์ ามธรรมชาติทางชีวภาพ 2. แสดงความรู้และเขียนรายงานเกี่ยวกับการการนำจุลินทรีย์มาใช้ใน การถนอมอาหารโดยเช่ือมโยงกับหลักปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพียง 3. แสดงความรู้จากการทำกิจกรรมเร่ือง แบคทีเรียในอาหาร ศึกษา ลักษณะของรา ศึกษาลักษณะของยีสต์ 4. สารเคมใี น 1. รู้และเข้าใจเก่ียวกับสารเคมีในชีวิตประจำวัน และผลกระทบท่ีเกิด 6-8 ชีวิตประจำวัน จากสารเคมไี ด้ 2. ทดสอบเกี่ยวกับสารเคมีในชีวิตประจำวันโดยใช้กระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร์ได้ 3. มีเจตคติและกิจนิสัยที่ดีต่อการศึกษาและสำรวจตรวจสอบด้วย กระบวนการทางวิทยาศาสตร์

9 กำหนดการสอน (ต่อ) หนว่ ย ชื่อหน่วยการ สมรรถนะประจำหนว่ ย สัปดาห์ ชั่วโมง ท่ี เรียนรู้ ท่ี ท่ี 5. พอลิเมอร์ 1. แสดงความรู้เก่ียวกับความหมายและประเภทของพอลิเมอร์ ปฏิกริ ิยา 9-10 25-29 6. ปิโตรเลียมและ ผลิตภัณฑ์ การเกิดพอลิเมอร์ ผลิตภัณฑ์จากยางและพอลิเมอร์ ความก้าวหน้าทาง 30-35 7. ไฟฟา้ ใน เทคโนโลยีของผลติ ภัณฑพ์ อลเิ มอร์สงั เคราะหแ์ ละการกำจดั พลาสติก 36-43 ชีวติ ประจำวัน 2. เปรียบเทยี บโครงสรา้ งและสมบตั ิของพอลิเมอร์แบบตา่ ง ๆ 3. ยกตวั อยา่ งพอลิเมอร์ธรรมชาติและพอลเิ มอรส์ ังเคราะห์ 4. อธบิ ายการเกดิ พอลิเมอรธ์ รรมชาตหิ รือพอลเิ มอไรเซชนั 1. สบื ค้นขอ้ มลู และอธบิ ายการเกดิ และการสำรวจปโิ ตรเลียม 11-12 2. สบื ค้นข้อมลู และอธิบายกระบวนการกลั่นน้ำมนั ดิบ ผลติ ภัณฑท์ ีไ่ ด้และ การใชป้ ระโยชน์ 3. สำรวจตรวจสอบสมบัติบางประการของสารประกอบไฮโดรคารบ์ อน 4.สืบค้นขอ้ มูลและอธิบายกระบวนการแยกแก๊สธรรมชาติ ผลิตภัณฑ์ที่ได้ และการใช้ 5. ยกตัวอย่างเช้ือเพลิงฟอสซิสที่ใชใ้ นชีวติ ประจำวัน และผลกระทบจาก การใชผ้ ลติ ภณั ฑ์ปโิ ตรเลยี มตอ่ สิ่งมีชีวิตและสงิ่ แวดล้อม 1. อธบิ ายและยกตัวอยา่ งวิธปี ระหยัดพลงั งานจากเชอื้ เพลิงฟอสซลิ 13-15 2. ยกตวั อยา่ งการประหยดั พลงั งานเช้อื เพลิงฟอสซิลและพลังงานทดแทน 8. คลน่ื 1. สืบค้นขอ้ มูลการเกดิ คลื่นแมเ่ หลก็ ไฟฟ้าโดยใชท้ ฤษฏคี ลน่ื 16-17 44-48 แม่เหลก็ ไฟฟา้ แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ ของแมกซ์เวลล์ได้ 2. อธบิ ายวิธีการทดลองของเฮิรตซ์ทยี่ ืนยันและพิสูจนไ์ ด้วา่ ทฤษฏคี ลืน่ แม่เหลก็ ไฟฟ้าของแมกซ์เวลล์เป็นจริงได้ 3. สืบคน้ ข้อมูลและบอกความหมายของสเปกตรัมคลื่นแมเ่ หลก็ ไฟฟา้ ได้ 4. บอกสมบตั ิและประโยชน์ของคล่ืนแมเ่ หล็กไฟฟา้ ทีค่ วามถี่ต่างๆได้ -อธิบายและยกตวั อย่างผลกระทบท่เี กดิ จากคลืน่ แมเ่ หลก็ ไฟฟ้าท่ีความถี่ ตา่ ง ๆ ได้ สอบปลายภาค 18 52-54

10 กรอบการจัดการเรยี นรู้แบบบรู ณาการคณุ ธรรม จริยธรรม ค่านิยม คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ และหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง ความมีเหตุผล ความพอประมาณ การมีภมู ิค้มุ กนั 1. การวเิ คราะหแ์ ละตดั สนิ ใจอย่าง 1. ใช้วตั ถุดิบและอุปกรณ์ได้ 1. มกี ารวางแผนการทางานก่อนลง มเี หตุผลในการเลอื กใช้วตั ถุดบิ ใน อย่างประหยดั และเหมาะสม มอื ปฏบิ ตั จิ นงานสาเรจ็ ท้องถ่ินเพ่ือการถนอมอาหารได้ กบั ปรมิ าณทจ่ี ะผลติ 2. ปรับตัวในการทางานกับเพ่ือน อย่างเหมาะสม และใช้ให้เกิด 2. มกี ารแบง่ หน้าทก่ี นั ทางาน และพรอ้ มรบั การเปลย่ี นแปลง ประโยชน์อยา่ งคมุ้ ค่า ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม 3. นักเรียนสามารถเลือกใช้วัสดุ 2.นั ก เรีย น แต่ละก ลุ่ม ร่วม กัน 3. กาหนดเวลาในการถนอม อุปกรณ์ เหมาะสม สะดวก และ อภปิ รายในประเดน็ ท่กี าหนดอยา่ ง อาหารไดอ้ ย่างเหมาะสม ปลอดภยั สมเหตุสมผล 4. นาความรู้ท่ีได้จากการถนอม เรอ่ื ง อาหารมาปรบั ใชแ้ กป้ ัญหาหรอื สรา้ ง การนำจุลนิ ทรยี ์มาใชใ้ น อาชเงพี อ่ื ในหไแ้ ขกดต่ ้านนเอคงณุแลธะรครรมอบจครริยวั ธไรดร้ ม การถนอมอาหาร ค่านิยม คณุ ลกั ษณะที่พึงประสงค์ เง่อื นไขดา้ นความร้แู ละทกั ษะ - มคี วามสามคั คี ขยนั มวี นิ ัย ตรง 1. มคี วามรเู้ กย่ี วกบั วธิ กี ารถนอมอาหารและจลุ นิ ทรยี ใ์ นอาหาร ต่อเวลา รบั ผดิ ชอบ เอ้อื เฟ้ือเผ่อื แผ่ 2. มคี วามรใู้ นการเลอื กใชว้ ตั ถดุ บิ และอปุ กรณ์ในการถนอม ประหยดั ใฝ่เรยี นใฝ่รู้ เสยี สละ และ อาหาร มี จติ สาธารณะ 3. รวู้ ธิ นี าหลกั ปรชั ญาเศผรลษกฐรกะจิทพบอเพเพ่อื ยคี งวบามูรณสมาดกุลารพกรบั ้อมรับการเปล่ียนแปลง ชวี ติ ปรดะ้านจาสวังคนั ม ดา้ นเศรษฐกิจ ด้านวฒั นธรรม ดา้ นส่งิ แวดล้อม ผู้เรียนรู้และเข้าใจในกระบวนการ - ผู้เรียนรู้จักใช้วัสดุอุปกรณ์ - นักเรียนประพฤติปฏบิ ัตติ นให้มี - นั ก เรี ย น รู้ วิ ธี ก า ร ใช้ ทำงานเป็นกลุ่ม จนงานสำเร็จตาม อยา่ งประหยดั และคุ้มค่า พฤติกรรมท่ีเหมาะสม รู้จักการ ทรัพยากรในการถนอม เป้าหมายที่วางไว้ และรู้จักติดต่อหา - ผู้เรียนเห็นคุณค่าของวัสดุ ช่วยเหลอื แบง่ ปนั ซ่งึ กันและกัน อาหารอย่างประหยัด เกิด ข้อมูลจาก ผ้มู คี วามรใู้ นทอ้ งถน่ิ อุปกรณ์ และใช้วัสดอุ ุปกรณ์ - นั ก เรี ย น ได้ สั ม ผั ส กั บ ค รู ประโยชน์และคุ้มค่าสูงสุด - ผู้เรียนมีทักษะในการทำงานร่วมกัน อย่างระมัดระวงั ประชาชนผู้มีความรู้ หรือศึกษา และไม่ส่งผลกระทบต่อ เป็นกลุ่มอย่างมีความสุข และเห็นคุณค่า ส่ิงท่ีเก่ียวข้องกับท้องถิ่น เช่น ส่ิงแวดลอ้ ม ของหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง การหมักกะปิ

11 แผนการจดั การเรียนรู้ หน่วยที่ 1 หลกั สูตรประกาศนียบตั รวิชาชีพ สอนครงั้ ที่ 1-3 (ชวั่ โมงที่ 1-7) รหสั วิชา 20000-1303 ชื่อวิชาวิทยาศาสตร์เพือ่ พฒั นาอาชีพธรุ กิจและบรกิ าร ท-ป-น..(1-2-3) ชื่อหน่วยการเรียนรู้ การถ่ายทอดลักษณะทางพันธกุ รรม ทฤษฏี 2 ชม. ปฏบิ ตั ิ 5 ชม. 1. สาระสำคญั ลกั ษณะทางพันธุกรรมเปน็ ลกั ษณะเฉพาะของสงิ่ มชี ีวิตแตล่ ะชนิด ซ่ึงถา่ ยทอดจากบรรพบรุ ุษ ไปยังรุ่นต่อ ๆ ไปได้ การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของคนและสิ่งมีชีวิตทุกชนิดถูกควบคุมโดยจีนที่อยู่บน โครโมโซม โครโมโซมประกอบด้วย DNA และโปรตีน โครงสร้างของ DNA ประกอบด้วนนิวคลีโอไทด์ 2 สายยึดกัน ดว้ ยพนั ธะเคมีและบิดเกลยี วเวยี นขวา จนี คือส่วนหนงึ่ ของ DNA 1.1 ลักษณะทางพันธกุ รรม 1.1.1 ความแปรผนั ของลักษณะทางพันธกุ รรม (Genetic Variation) 1.1.2 ลกั ษณะทางพันธกุ รรมกับส่งิ แวดล้อม (Genes and Environment) 1.2 กระบวนการถา่ ยทอดลกั ษณะทางพนั ธุกรรม 1.2.1 ความนา่ จะเป็นและกฎแหง่ การแยกตัว ทฤษฎีความนา่ จะเปน็ 1.2.2 กฎแหง่ การรวมกลุ่มกนั อย่างอสิ ระ 1.3 โครโมโซมและสารพันธกุ รรม ยีนเป็นสว่ นหนง่ึ ของโครโมโซม และโครโมโซมของเซลล์ร่างกายจะเหมอื นกันเปน็ คู่ ๆ ท้ังรปู รา่ ง ขนาด และการเรียงตัว ยีนท่ีมีตำแหน่งเดียวกันของโครโมโซมที่คู่กันจะกำหนดลักษณะทางพันธุกรรมลักษณะเดียวกัน ภายในนิวเคลยี สของเซลล์มสี ารพันธกุ รรมหรือดเี อ็นเอ 1.4 การถ่ายทอดลกั ษณะทางพันธุกรรม การถ่ายทอดลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมของคน ทำไดโ้ ดยการสบื ประวตั ิครอบครวั ที่ต้องการศึกษาหลาย ๆ ชัว่ อายุคน นำมาเขียนแผนผังแสดงบุคคลที่ได้รับการถา่ ยทอดลักษณะท่ีศึกษาเป็นแผนภาพแสดงลำดับเครอื ญาติ เรียกว่า พงศาวลี หรือ เพดดีกรี (Pedigree) โดยใช้สัญลักษณ์แทนบุคคลต่าง ๆ เพดดีกรีจะช่วยให้สังเกตเห็น แบบแผนการถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธุกรรมไดง้ า่ ยขน้ึ ว่าเปน็ ลกั ษณะเดน่ หรือลักษณะด้อย 1.5 การเปล่ียนแปลงทางพันธุกรรม มวิ เทชนั (Mutation) และการคดั เลือกโดยธรรมชาติ (Natural Selection)

12 2. สมรรถนะประจำหนว่ ย 2.1 แสดงความรูเ้ กี่ยวกบั ความหมายของการถ่ายทอดลกั ษณะทางพันธกุ รรม ลักษณะทางพันธุกรรม กระบวนการถา่ ยทอดลกั ษณะทางพันธุกรรม โครโมโซมและสารพนั ธุกรรม การถ่ายทอดลกั ษณะทางพนั ธกุ รรม และการเปล่ียนแปลงทางพนั ธกุ รรม 2.2 สำรวจตรวจสอบเกี่นวกบั การถ่ายทอดลักษณะการถา่ ยทอดทางพนั ธุกรรมตามหลักพนั ธศุ าสตร์ 3. จุดประสงค์การเรยี นรู้ 3.1 บอกความหมายของลักษณะทางพนั ธกุ รรมได้ 3.2 บอกความหมายของการแปรผนั ลักษณะทางพันธุกรรมได้ 3.3 อธบิ ายลกั ษณะและกระบวนการถ่ายทอดลกั ษณะทางพันธกุ รรมได้ 3.4 อธบิ ายบอกความแตกตา่ งระหวา่ งจำนวนโครโมโซมของเซลล์รา่ งกายกับเซลลส์ ืบพนั ธ์ุของคน 3.5 อธบิ ายโครงสร้าง DNA 3.6 แสดงออกดา้ นความสนใจใฝร่ ู้ การตรงต่อเวลา ความซอ่ื สตั ย์ สจุ ริต ความมีนำ้ ใจและแบง่ บัน ความ ร่วมมอื /ยอมรับความคดิ เหน็ สว่ นใหญ่ 4. สาระการเรียนรู้ 4.1 ลกั ษณะทางพันธกุ รรม 4.2 โครโมโซฒและสารพันธกุ รรม 4.3 การแบง่ เซลล์ 4.4 โครโมโซมกับการถา่ ยทอดลักษณะทางพนั ธุกรรม 4.5 การถ่ายทอดลกั ษณะทางพันธกุ รรม 4.6 การเปล่ียนแปลงทางพันธกุ รรม 5. กจิ กรรมการเรียนรู้ (แบบ MIAP) (สปั ดาห์ท่ี 1-3) ข้นั สนใจปญั หา (Motivation) 1. ครูช้ีแจงรายละเอียดเกยี่ วกบั คำอธบิ ายรายวชิ า จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ การวดั ผลและประเมนิ ผลการ เรียน คณุ ลักษณะนสิ ัยทต่ี อ้ งการให้เกดิ ขึน้ และขอ้ ตกลงในการเรียน 2. เตรียมความพร้อมในการเรียนโดยการเรียกชื่อสำรวจการแต่งกายพร้อมบันทึกลงในแบบสังเกต ความมีวนิ ัย และความรบั ผิดชอบ

13 3. ครชู ้ีแจงวตั ถปุ ระสงค์ หัวข้อเรือ่ ง การถา่ ยทอดลักษณะทางพันธุกรรม 4. ใหน้ ักเรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียนหนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 1 การถา่ ยทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรม 5. ครใู ห้นักเรยี นสังเกตลักษณะตา่ ง ๆ ของเพื่อนในห้อง และใหร้ ่วมกนั อภปิ รายดังน้ี - เพราะเหตใุ ดลักษณะต่าง ๆ ของแต่ละคนไม่เหมอื นกัน - ความแตกต่างดังกล่าวมีผลเนื่องมาจากอะไร 6. ครนู ำเข้าสู่บทเรียนโดยเปดิ เพลง พนั ธกุ รรม ใหน้ ักเรยี นฟัง พรอ้ มซักถามและตอบคำถามรว่ มกัน ขนั้ ใหเ้ นือ้ หา (Information) 1. ครูสอนและอธิบายเรอื่ งการถา่ ยทอดลักษณะทางพันธุกรรมโดยใช้โปรแกรม Microsoft Power Point สอื่ วซี ีดีประกอบการสอน เรอื่ ง การถ่ายทอดลกั ษณะทางพันธกุ รรม และหนงั สอื เรยี นประกอบการสอน 2. ให้นักเรียนรว่ มกันศึกษาใบความรู้ท่ี 1 เพม่ิ เตมิ และครตู ้ังคำถามกระตนุ้ การเรยี นรแู้ ก่นกั เรียน ดังนี้ - โครโมโซมประกอบด้วยสว่ นใดบ้าง (โครมาทิด 2 เสน้ ยดึ ติดกันทต่ี ำแหน่งเซนโทรเมยี ร์) - ออโตโซมและโครโมโซมเพศแตกต่างกนั อย่างไร (ออโตโซมเปน็ โครโมโซมที่มียีนควบคุมลักษณะ ตา่ ง ๆ ท่ีไม่เกย่ี วข้องกับการกำหนดเพศมี 22 คู่โครโมโซมเพศเป็นโครโมโซมท่ีมยี ีนทำหน้าท่ีกำหนดลักษณะเพศมี 1 ค)ู่ - โครโมโซมเพศชายและโครโมโซมเพศหญงิ แตกตา่ งกนั อย่างไร(เพศหญิงมีออโตโซม 22 คู่และ โครโมโซมเพศ 1 ค่เู ป็น 44 , XX สว่ นเพศชายมอี อโตโซม 22 คู่และโครโมโซมเพศ 1 คเู่ ป็น 44 , XY) - มิวเทชันทำให้ส่ิงมีชีวิตมีลักษณะบางอย่างแตกต่างไปจากพ่อแม่ได้อย่างไร (DNA ที่ เปล่ียนแปลงมีผลต่อการสงั เคราะห์โปรตีนในเซลล์ของส่ิงมีชีวิตโดยที่โปรตีนบางชนิดทำหน้าที่เป็นโครงสร้างของ เซลล์และเนื้อเยื่อโปรตนี บางชนิดเปน็ เอนไซม์ควบคุมเมแทบอลิซึมการเปล่ียนแปลงของ DNA อาจทำให้โปรตีนท่ี สังเคราะห์ต่างไปจากเดิมซึ่งส่งผลต่อเมแทบอลิซึมของร่างกายทำให้โครงสร้างและการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงไปจงึ ทำให้ลกั ษณะทีป่ รากฏเปลยี่ นแปลงไปดว้ ย) 3. นักเรียนร่วมกันสรปุ การถา่ ยทอดลักษณะทางพันธุกรรม 4. ครูชี้แจงและอธิบายใบงานที่ 1 และใบกจิ กรรมที่ 1 ใหน้ ักเรยี นเข้าใจ 5. เปิดโอกาสใหน้ กั เรยี นซกั ถามข้อสงสัย ขน้ั พยายาม (Application) 1. นักเรียนทำใบงานที่ 1 ใบกิจกรรมที่ 1 จนเสร็จ และนำส่งครูผู้สอน ตามเวลาท่ีกำหนด พร้อม อภิปรายร่วมกนั 2. เปดิ โอกาสใหน้ กั เรียนซกั ถามข้อสงสยั 3. ให้นักเรียนตอบแบบฝึกหัดท้ายหน่วยท่ี 1 ในหนังสือเรียนวิชาวิทยาศาสตร์เพ่ือพัฒนาอาชีพธุรกิจ และบริการ

14 ขัน้ สำเร็จผล (Progress) 1. ครูและนักเรียนร่วมกนั สรุปสาระสำคญั เรอ่ื ง การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม และร่วมกนั เฉลย แบบฝกึ หดั ท้ายหนว่ ยท่ี 1 ในหนงั สอื เรยี น 2. ใหน้ ักเรียนทำแบบทดสอบหลงั เรียนหนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 1 และสอบเกบ็ คะแนนหน่วยที่ 1 3. ครูตรวจและบันทึกคะแนนของนักเรียนท่ีได้จากการทำใบงานที่ 1 ใบกิจกรรมที่ 1 แบบฝึกหัดท้าย หน่วยที่ 1 แบบทดสอบหลงั เรียนหนว่ ยการเรียนรู้ที่ 1 และสอบเก็บคะแนนหนว่ ยที่ 1 6. สอื่ และแหล่งการเรยี นรู้ 6.1 ใบความรู้ ที่ 1 6.2 ใบงาน ท่ี 1 6.3 ใบกจิ กรรม ที่ 1 6.4 แบบทดสอบก่อน-หลังเรียนหน่วยการเรยี นรูท้ ี่ 1 6.5 ขอ้ สอบเกบ็ คะแนนหนว่ ยที่ 1 6.6 หนังสือเรยี นวชิ าวทิ ยาศาสตร์เพ่ือการพัฒนาอาชพี ธรุ กจิ และบรกิ าร 6.7 วซี ดี ี 6.8 สไลดน์ ำเสนอเนื้อหาจากโปรแกรม Microsoft PowerPoint 7. หลกั ฐานการเรียนรู้ 7.1 หลกั ฐานความรู้ - ผลการทำแบบทดสอบหลงั เรียนหน่วยการเรียนร้ทู ่ี 1 - ผลการทำข้อสอบเกบ็ คะแนนหนว่ ยที่ 1 7.2 หลกั ฐานการปฏิบตั ิงาน - ผลการทำใบงาน และใบกิจกรรม - ผลการตอบแบบฝกี หดั ท้ายหนว่ ยท่ี 1 - สมดุ เชค็ ช่ือการเข้าเรยี นในวิชาและสมุดบนั ทึกการสง่ งาน 8. การวัดและประเมินผล 8.1 วิธกี าร - ตรวจใบงาน และใบกิจกรรม - ตรวจแบบฝกี หดั ทา้ ยหน่วยที่ 1 และแบบทดสอบกอ่ น-หลังเรยี นหน่วยที่ 1 ในหนังสือเรียน

15 - ตรวจข้อสอบเก็บคะแนนหนว่ ยที่ 1 - สังเกตพฤตกิ รรมการปฏิบัตกิ ิจกรรมกลุ่ม - สังเกตพฤติกรรมรายบุคคล - สังเกตและประเมินพฤติกรรมด้านคณุ ธรรม จริยธรรม คา่ นิยม และคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ 8.2 เครือ่ งมือ - ใบงาน และใบกิจกรรม - แบบฝีกหดั ท้ายหนว่ ยที่ 1 และแบบทดสอบก่อน-หลงั เรียนหน่วยที่ 1 ในหนงั สอื เรยี น - ขอ้ สอบเก็บคะแนนหน่วยที่ 1 - แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการปฏบิ ัติกจิ กรรมกลมุ่ - แบบสังเกตพฤตกิ รรมรายบุคคล - แบบประเมินพฤติกรรมด้านคุณธรรม จรยิ ธรรม ค่านยิ ม และคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ 8.3 เกณฑ์ - ใบงาน ใบกิจกรรม แบบฝีกหัดท้ายหน่วยที่ 1 และแบบทดสอบก่อน-หลังเรียนหน่วยท่ี 1 ตอ้ งได้คะแนนไม่น้อยกวา่ ร้อยละ 60% ผา่ นเกณฑ์ - ขอ้ สอบเก็บคะแนนหนว่ ยที่ 1 ต้องไดค้ ะแนนไม่น้อยกว่ารอ้ ยละ 50% ผ่านเกณฑ์ - แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการปฏบิ ัติกจิ กรรมกลมุ่ ต้องได้คะแนนไมน่ อ้ ยกวา่ ร้อยละ 60 ผา่ นเกณฑ์ - แบบสงั เกตพฤติกรรมรายบคุ คล ต้องได้คะแนนไม่น้อยกว่าร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์ - แบบประเมนิ พฤติกรรมด้านคุณธรรม จริยธรรม ค่านยิ ม และคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ ต้องได้ คะแนนไม่น้อยกวา่ รอ้ ยละ 60 ผา่ นเกณฑ์

16 9. บนั ทกึ ผลหลังการจัดการเรยี นรู้ 9.1 ขอ้ สรปุ หลงั การจดั การเรยี นรู้ ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... 9.2 ปญั หาที่พบ ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... 9.3 แนวทางแก้ปญั หา ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................

17 ใบความรู้ที่ 1 หน่วยที่ 1 สอนครง้ั ท่ี 1-3 (ชว่ั โมงที่ 1-7) หลกั สตู รประกาศนยี บตั รวชิ าชพี เวลา 7 ชม. รหสั วชิ า 20000-1303 ช่อื วชิ า วิทยาศาสตรเ์ พ่ือพฒั นาอาชีพธุรกจิ และบริการ ชื่อเร่ือง การถา่ ยทอดลกั ษณะทางพันธกุ รรม 1. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1.1 จดุ ประสงค์ท่ัวไป 1) เพอื่ ใหม้ คี วามรู้ความเขา้ ใจเก่ียวกบั พนั ธกุ รรม 2) เพื่อใหม้ ที กั ษะการคำนวณหาโอกาสของลักษณะการถ่ายทอดทางพนั ธุกรรมและการจำแนกสิ่งมชี ีวติ 3) เพ่ือใหม้ ีเจตคติท่ดี ตี ่อวิชาวทิ ยาศาสตรแ์ ละกิจนสิ ยั ท่ดี ใี นการทำงาน 1.2 จุดประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม 1) บอกความหมายของลกั ษณะทางพันธุกรรมได้ 2) บอกความหมายของการแปรผันลกั ษณะทางพันธุกรรมได้ 3) อธบิ ายลกั ษณะและกระบวนการถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรมได้ 4) อธิบายลักษณะของโครโมโซมและสารพันธุกรรมได้ 5) บอกสาเหตุและการเกดิ มวิ เทชันได้ 6) แสดงออกด้านความสนใจใฝ่รู้ การตรงต่อเวลา ความซ่ือสัตย์ สุจริต ความมีน้ำใจและแบ่งบัน ความ รว่ มมือ/ยอมรับความคดิ เห็นส่วนใหญ่ 2. สมรรถนะ 1) แสดงความรู้เก่ียวกับความหมายของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม ลักษณะทางพันธุกรรม กระบวนการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม โครโมโซมและสารพันธุกรรม การถา่ ยทอดลักษณะทางพนั ธุกรรม และการเปลย่ี นแปลงทางพนั ธุกรรม 2) เขยี นแผนผงั และคำนวณหาโอกาสของลักษณะการถ่ายทอดทางพันธกุ รรม 3. เนอื้ หาสาระ เซลล์ของสิ่งมีชีวิตมีการแบ่งนิวเคลียสเกิดข้ึนใน 2 ลักษณะคือ การแบ่งนิวเคลียสแบบไมโทซิสซึ่งเป็น วธิ ีการแบ่งที่ทำให้โครโมโซมภายในนิวเคลียสเท่าเดิม มักเป็นการแบ่งของเซลลร์ ่างกาย และการแบ่งนิวเคลียส แบบไมโอซสิ ซึ่งเปน็ การแบง่ ทลี่ ดจำนวนโครโมโซมลงครงึ่ หนึง่ เพอ่ื สรา้ งเซลลส์ บื พนั ธ์ใุ นการสบื พันธแุ์ บบอาศยั เพศ

18 - จีนที่ควบคุมลักษณะทางพันธุกรรมจะอยู่เป็นคู่ ๆ ลักษณะทางพันธุกรรมท่ีปรากฎขึ้นกับรูปแบบของ แอลลีลในแตล่ ะโครโมโซม จนี แต่ละคู่จะควบคุมลักษณะเดียวกนั จนี ที่ควบคุมลักษณะเดียวกันแต่มีรูปแบบของจีน ตา่ งกนั เรียกว่า แอลลีล พันธุกรรม (heredity) คือ สิ่งท่ีได้รับการถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษ และสิ่งท่ีถ่ายทอดส่งต่อจากรุ่น หนึ่งไปยังอีกรุ่นหนึ่ง พันธุกรรมจะถูกควบคุมโดยหน่วยควบคุมลักษณะที่เรียกว่า ยีน (gene) ซ่ึงจะมีอยู่เป็น จำนวนมากในเซลล์ทุกเซลล์และจัดเรียงตัวเป็นแถวเป็นกลุ่มจับตัวเป็นเส้นยาว เรียกว่ า โครโมโซม (chromosome) 3.1 ลกั ษณะทางพนั ธุกรรม ลักษณะทางพันธุกรรม (genetic character) หมายถึง ลักษณะที่ถ่ายทอดจากพ่อแม่ไปยังลูกหลาน หรือถ่ายทอดไปตามสายพันธ์ุ ส่ิงมีชีวิตเดียวกันจะมีความคล้ายคลึงกัน และถ้ากำเนิดภายในครอบครัวเดียวกัน ความคลา้ ยคลึงกนั จะมากขน้ึ ทำให้เกิดลกั ษณะเฉพาะของสงิ่ มีชวี ิต ลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมท่ีแสดงออกมาขน้ึ อยู่กับ ปัจจยั ท้ังภายในและภายนอก เช่น ฮอร์โมนในร่างกาย อาหาร อุณหภูมิ ปัจจัยเหล่าน้ีจะทำให้การแสดงออกของ ลักษณะตา่ ง ๆ ของสง่ิ มชี ีวติ แตกต่างกนั ออกไป ลกั ษณะทางพันธกุ รรมเป็นลักษณะของสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิด เช่น ลกั ษณะจมูกโด่ง จมูกแบน ผมหยิก ผม ตรง ผิวดา ผิวขาว ตาช้ันเดยี ว ตาสองชน้ั ลักษณะดังกล่าวมักมีลกั ษณะเหมือนกับพ่อแม่หรือญาติ ลักษณะเหลา่ นี้ จึงสามารถถ่ายทอดมาจากพ่อแม่ เรียกว่า ลักษณะทางพันธุกรรม สำหรับการศึกษากลไกการควบคุมลักษณะ กรรมวธิ ใี นการสง่ ข้ามลกั ษณะจากชั่วหน่ึงไปยังอีกช่วั หน่งึ คอื พนั ธกุ รรมของลกั ษณะ (heredity) เม่ือสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ผสมพันธุ์ เช่น สุนัข แมว ปลา ฯลฯ พบว่า ลูกของแต่ละตัวในครอกเดียวกัน จะ ลกั ษณะแตกตา่ งกนั ลกู บางตัวมลี กั ษณะบางอย่างเหมอื นพอ่ ลกู บางตวั มีลักษณะบางอยา่ งเหมือนแม่ และบางตัวมี ลักษณะบางอย่างที่ปรากฎโดยไม่พบในพ่อและแม่ แตอ่ าจเหมอื นรนุ่ ปู่ ย่า ตา ยาย ทงั้ นีเ้ พราะลักษณะต่าง ๆ ของ สิง่ มีชีวิตกับการถ่ายทอดลักษณะต่าง ๆ ของคนก็เช่นเดียวกนั คือ คนในครอบครัวจะมีลักษณะเหมือนกันมากกว่า คนต่างครอบครัว แต่ก็ยังมีลักษณะแตกต่างกันบ้าง ยกเว้นพี่นอ้ งฝาแฝดร่วมไข่ซ่งึ จะมีลักษณะเหมอื นกันเกือบทุก ประการ ความแปรผนั ลักษณะทางพนั ธกุ รรม สามารถจำแนกได้ 2 ประเภท 1) ลักษณะทางพันธุกรรมที่แปรผันไม่ต่อเนื่อง (discontinuous variation) เป็นลักษณะทาง พนั ธกุ รรมทสี่ ามารถแยกความแตกตา่ งได้อยา่ งชดั เจนเกดิ จากอิทธิพลของกรรมพนั ธเ์ุ พยี งอย่างเดียว เชน่ มีลกั ยิ้ม - ไมม่ ีลักย้ิม มีติ่งหู-ไม่มตี ิ่งหู ห่อลิน้ ได้-ห่อล้ินไมไ่ ด้ เปน็ ตน้

19 ภาพท่ี 1.1 แสดงลกั ษณะทางพันธุกรรมทีแ่ ปรผนั ไม่ต่อเนอ่ื ง 2) ลกั ษณะทางพนั ธุกรรมท่ีมีความแปรผนั ต่อเน่ือง (continuous variation) เป็นลกั ษณะทาง พนั ธุกรรมทไ่ี ม่สามารถแยกความแตกต่างไดอ้ ยา่ งเดน่ ชดั เชน่ ความสงู น้าหนัก โครงร่างสผี วิ ซง่ึ เกดิ จาก อทิ ธพิ ลของกรรมพนั ธุแ์ ละสงิ่ แวดลอ้ มรว่ มกนั เชน่ ความสงู ถา้ ไดร้ บั สารอาหารถกู ตอ้ งตามหลกั โภชนาการ และมกี ารออก กาลงั กายกจ็ ะทาใหม้ รี า่ งกายสงู ได้ 3.2 โครโมโซมและสารพันธุกรรม 3.2.1 โครโมโซม (chromosome) ภายในนิวเคลียสของเซลล์มีสารพันธุกรรมเรียกว่า ดีเอ็นเอ (DNA) ดีเอ็นเอและโปรตีนหลายชนิด ประกอบกนั เป็นโครงสร้างท่ีมลี ักษณะเป็นสายยาวเรยี นกว่า โครมาทิน (chiomatin) ระหว่างการแบ่งเซลล์ โคร มาทินจะขดตัวจนมีลักษณะเป็นท่อนๆ เรียกว่า โครโมโซม (Chromosome) ในระยะแรกของการแบ่งเซลล์ โครโมโซมจะจำลองตวั เอง กลายเป็นโครมาทินท่ีขดสนั้ ลงเป็น 2 เส้น แต่ละเส้นเรียกวา่ โครมาทิด (chromatid) ซง่ึ ยึดตดิ กนั ที่เซนโทรเมียร์ (centromere)

20 ภาพท่ี 1.2 โครโมโซมและการเช่ือมโยงของแขนโครโมโซม เซลล์ส่ิงมีชีวติ แต่ละชนิดมีจำนวนโครโมโซมคงท่ี เช่น เซลล์ร่างกายของคน 1 เซลล์ มี 46 โครโมโซม โดยเป็นโครโมโซมที่มีลักษณะเหมือนกันเป็นคู่ ๆ เรียกว่า ฮอมอโลกัสโครโมโซม (homologous chromosome) จำนวนโครโมโซมของเซลล์ร่างกายซ่งึ มีลกั ษณะเหมอื นกนั 2 ชุด เขยี นแทนด้วย 2n ส่วนเซลล์ สืบพันธ์มีจำนวนโครโมโซมเพียงคร่ึงเดียวของเซลล์ร่างกาย เขียนแทนจำนวนด้วย n (n หมายถึง ชุดของ โครโมโซม) ตาราง 1.1 แสดงจำนวนโครโมโซมในเซลลส์ ่ิงมีชีวติ ชนิดต่าง ๆ

21 สิ่งมีชีวิตที่สืบพันธ์ุโดยอาศัยเพศ จะประกอบด้วยเซลล์ 2 ชนิด คือ เซลล์ร่างกาย (somatic cell) พบได้ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และเซลล์สืบพันธ์ุ (sex cell) ได้แก่ ไข่และอสุจิ พบเฉพาะที่อวัยวะสร้าง เซลลส์ บื พันธเ์ุ ท่านั้น มนุษย์มีจำนวนโครโมโซม 23 คู่ หรือ 46 แท่ง โดยเป็นโครโมโซมท่ีมียีนควบคุมลักษณะต่างๆ ท่ีไม่ เกี่ยวข้องกับการกำหนดเพศ เรียกว่า ออโตโซม (autosome) 22 คู่ โครโมโซมอีก 1 คู่ ทำหน้าที่กำหนด ลักษณะเพศ เรียกว่า โครโมโซมเพศ (sex chromosome) ใช้สัญลักษณ์เป็นโครโมโซม X และ Y ในเพศ หญิงจะมีออโตโซม 22 คู่ และโครโมโซมเพศ 1 คู่ เป็น 44,XX สว่ นเพศชายจะมีออโตโซม 22 คเู่ หมือนเพศ หญิง และมโี ครโมโซมเพศ 1 คู่ เปน็ 44,XY เซลล์สิ่งมีชีวติ แต่ละชนิดมีจำนวนโครโมโซมคงท่ี เช่น เซลล์ร่างกายของคน 1 เซลล์ มี 46 โครโมโซม โดยเป็นโครโมโซมท่ีมีลักษณ ะเหมือนกันเป็นคู่ๆ เรียกว่า ฮอมอโลกัสโครโมโซม (homologous chromosome) จำนวนโครโมโซมของเซลล์ร่างกายซ่งึ มีลักษณะเหมือนกนั 2 ชุด เขียนแทนด้วย 2n ส่วนเซลล์ สืบพันธ์มีจำนวนโครโมโซมเพียงครึ่งเดียวของเซลล์ร่างกาย เขียนแทนจำนวนด้วย n (n หมายถึง ชุดของ โครโมโซม) สิ่งมีชีวิตที่สืบพันธุ์โดยอาศัยเพศ จะประกอบด้วยเซลล์ 2 ชนิด คือ เซลล์ร่างกาย (somatic cell) พบได้ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และเซลล์สืบพันธ์ุ (sex cell) ได้แก่ ไข่และอสุจิ พบเฉพาะท่ีอวัยวะสร้าง เซลล์สบื พนั ธ์เุ ท่านน้ั มนุษย์มีจำนวนโครโมโซม 23 คู่ หรือ 46 แท่ง โดยเป็นโครโมโซมท่ีมียีนควบคุมลักษณะต่างๆ ท่ีไม่ เก่ียวข้องกับการกำหนดเพศ เรียกว่า ออโตโซม (autosome) 22 คู่ โครโมโซมอีก 1 คู่ ทำหน้าท่ีกำหนด ลักษณะเพศ เรียกว่า โครโมโซมเพศ (sex chromosome) ใช้สัญลักษณ์เป็นโครโมโซม X และ Y ในเพศ หญิงจะมีออโตโซม 22 คู่ และโครโมโซมเพศ 1 คู่ เป็น 44,XX สว่ นเพศชายจะมีออโตโซม 22 คเู่ หมือนเพศ หญิง และมโี ครโมโซมเพศ 1 คู่ เปน็ 44,XY ภาพที่ 1.3 แสดงโครโมโซมของเซลล์ร่างกายในเพศชายและเพศหญงิ

22 3.2.2 สารพันธกุ รรม ในนิวเคลยี สของเซลล์ปกติที่ไมไ่ ด้อยรู่ ะหว่างการแบ่งเซลล์ โครโมโซมจะคลายตวั เป็นเสน้ บางยาว เรยี กว่า โค ร ม า ทิ น (chromatin) จ าก ก าร วิ เค ร าะ ห์ ท าง เค มี พ บ ว่ า โค ร ม าทิ น ป ร ะ ก อ บ ด้ ว ย ดี เอ็ น เอ (DNA=Deoxyribonucleic acid) และโปรตนี เกาะกนั อยู่ค่อนข้างแน่น มีลักษณะคล้ายเสน้ ลกู ปัด โดยมโี มเลกุลดี เอน็ เอเป็นสายเชื่อมอยรู่ ะหวา่ งลูกปดั สว่ นเม็ดลูกปดั ประกอบดว้ ยสายดเี อ็นเอพันอยรู่ อบโปรตนี ดเี อ็นเอหรือยีน (gene) ทำหน้าที่เป็นสานพันธุกรรม ส่วนโปรตนี ที่เกาะอยกู่ ับดีเอ็นเอช่วยในการขดพันตัวของดเี อ็นเอ ทำให้เส้น โครมาทินหนาขน้ึ และสั้นลงขณะเซลล์ทำการแบ่งเซลล์ จึงทำให้เห็นโครโมโซมมีลักษณะเป็นแท่งในเซลล์ที่กำลัง แบง่ ตวั ภาพที่ 1.4 โครโมโซมและดเี อน็ เอ DNA เป็นกรดนิวคลิอิก ประกอบด้วยหน่วยย่อย เรียกว่า นิวคลีโอไทด์ (nucleotide) มีโครงสร้าง พน้ื ฐาน ประกอบด้วย 1) น้ำตาล ใน DNA จะมนี ้ำตาลชนดิ ดอี อกซีไรโบส ซ่งึ มคี าร์บอน 5 อะตอม 2) ไนโตรจีนัสเบส มี 4 ชนิด ได้แก่ อะดีนีน (adenine หรือ A) ไทมีน (thymine หรือ T) ไซโทซีน (cytosine หรือ C) และกวานีน (guanine หรอื C) 3) หมฟู่ อสเฟต DNA ประกอบด้วยนวิ คลีโอไทด์หลายนิวคลโี อไทด์เรียงต่อกันเปน็ สายยาวสองสายพนั กนั เปน็ เกลียวคู่วน ขวา แต่ละนิวคลีโอไทด์ภายในสายเดียวกันจะเชื่อมต่อกนั ระหว่างหมูฟ่ อสเฟตและน้ำตาบ สว่ นระหว่างสายยาว สองสายจะยึดกันด้วยพันธะระหว่างหมู่เบสท่ีเหมาะสม คือ เบสอะดีนีนจับคู่กับเบสไทมีน (A-T) และเบสไซ โทซนี จับคู่กับเบสกวานนี (C-G)

23 ภาพท่ี 1.5 โครงสร้างของ DNA 3.3 การแบง่ เซลล์ สง่ิ มีชีวิตทุกชนิดประกอบด้วยเซลล์ และเซลล์ทุกเซลล์เกิดจากเซลล์ท่ีมอี ยู่เดิมโดยกระบวนการแบ่งเซลล์ (cell division) การแบ่งเซลล์ของส่ิงมีชีวิตพวกยูคาริโอตประกอบด้วย 2 ข้ันตอน คือ การแบ่งนิวเคลียส (karyokinesis) และการแบ่งโซโทพลาซึม (mitosis) และการแบ่งนิวเคลียสแบง่ ได้ 2 แบบ คอื การแบบนิวเคลียส แบบไมโทซิสเป็นวิธีการแบ่งนิวเคลียสท่ีทำให้จำนวนโครโมโซมคงท่ี ส่วนการแบ่งนิวเคลียสแบบไมโอซิสเป็นการ แบง่ ไซโทพลาซมึ ตามมา การแบ่งนิวเคลยี สจะใชร้ ะยะเวลานานกวา่ การแบ่งไซโทพลาซึม การแบ่งเซลล์ท่ีมีการแบ่ง นิวเคลยี สตามมา เรยี กว่า การแบ่งเซลลแ์ บบไมโทซิส และการแบ่งเซลล์ที่มีการแบ่งนวิ เคลียสแบบไมโอซิส เรียนว่า การแบ่งเซลล์แบบไมโอซสิ ภาพที่ 1.6 กระบวนการแบ่งเซลล์ (cell division)

24 ภาพท่ี 1.7 การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส 3.3.1 การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส การแบ่งเซลลแ์ บบไมโทซสิ เป็นการแบง่ เซลลร์ า่ งกาย (somatic cell) เพอื่ เพม่ิ จำนวนเซลล์ในขณะที่มกี าร เจริญเติบโตในร่างกายของคนและสัตว์ เซลล์บางชนิดมีการแบ่งเซลล์ตลอดเวลาเพื่อทดแทนเซลล์ท่ีตายไป เช่น เซลล์ไขกระดูก และเซลล์ผิวหนัง เซลล์บางชนิดเมื่อได้รับการกระตุ้นจากปัจจยั ท่ีเหมาะสมก้จะเกิดการแบ่งเซลล์ เช่น เซลล์ตับ เซลล์ของต่อมต่าง ๆ และเซลลใ์ นอวัยวะท่ัวไปในกรณีของเซลล์ประสาท เซลล์กล้ามเน้ือยึดกระดูก และกล้ามเน้ือหัวใจ ซ่งึ มีการพัฒนาจนมีรูปร่างและหนา้ พเิ ศษแตกต่างจากเซลล์ทัว่ ๆ ไปจะไม่มีการแบ่งเซลล์ เมอื ่ เซลล์ตายจึงไม่มีเซลล์ใหม่ทำหน้าท่ีแทน ในเซลล์พืชบริเวณส่วนปลายรากและปลายยอดที่ประกอบด้วยเนื้อเย่ือ เจรญิ จะแบง่ เซลลแ์ บบไมโทซสิ ตลอดเวลา ทำให้รากยาวขึ้นและลำตน้ ยืดยาวต่อไป การแบ่งเซลล์เป็นกระบวนการท่ีเกิดข้ึนต่อเน่ืองกัน ก่อนจะมีการแบ่งเซลล์ เซลล์จะมีการเตรียมตัวให้ พร้อมกัน ระยะเวลาท่ีเซลล์เตรียมความพร้อมก่นอการแบ่งเซลล์จนถึงการแบ่งนิวเคลียสและไซโทพลาซึมที่ได้รับ การแบง่ สามารถเจริญและเข้าสวู่ ฏั จกั รของเซลลไ์ ด้อย่างตอ่ เน่ือง

25 ภาพที่ 1.8 วฏั จกั รเซลล์ วัฎจักรเซลล์ประกอบดว้ ย 2 ข้ันตอน คือ ระยะอนิ เตอร์เฟส (interphase) และระยะทมี่ กี ารแบ่งแบบไม โทซสิ (mitotic phase หรอื M phase) ซึ่งในแต่ละข้ันตอนมกี ารเปล่ียนแปลงของนวิ เคลียสและไซโทพลาซึม แบ่งเป็นระยะตา่ ง ๆ ได้ ดังนี้ 1.ระยะอนิ เตอร์เฟส เปน็ ระยะที่เซลลเ์ ตรียมความพรอ้ มก่นอท่ีจะแบง่ นิวเคลยี สและไซโทพลาซมึ ในระยะ นี้เมอื่ ยอ้ มเซลล์จะมองเห็นเซลล์มีนวิ เคลียสขนาดใหญ่ และมีนิวคลโี อลัสชัดเจน ระยะอินเตอร์เฟสแบง่ เปน็ 3 ระยะ ซง่ึ การเปลย่ี นแปลงของเซลล์ท้ังสามระยะเป็นไปอย่างต่อเนื่อง คือ 1.1 ระยะก่อนสรา้ ง DNA หรอื ระยะ จี 1 (G1 phase) เป็นระยะทีเ่ ซลลม์ กี ารเตบิ โตเซลลม์ ขี นาด ใหญข่ นึ้ และมกี ารสังเคราะหส์ ารต่าง ๆ 1.2 ระยะสรา้ ง DNA หรอื ระยะเอส (S phase) เป็นระยะที่เซลล์มกี ารสงั เคราะห์ DNA เพิม่ ข้ึน อีกชดุ หนึ่ง เรยี กระยะน้ีวา่ การจำลองตวั ของโครโมโซม (chromosome duplication) สาย DNA ในระยะน้ียงั เปน็ เสน้ ใยโครมาทนิ อยู่ในนวิ เคลยี ส

26 1.3 ระยะหลังสร้าง DNA หรือระยะ จี 2 (G2 phase) เปน็ ระยะท่เี ซลลม์ ีการเตรยี มพร้อมทจ่ี ะ แบง่ เซลล์ มกี ารสร้างโปรตนี และออรแ์ กเนลลต์ า่ ง ๆ เพิ่มขึ้น 2. ระยะที่มีการแบง่ แบบไมโทซิส (M phase) เปน็ ระยะทีม่ ีการแบ่งนวิ เคลยี สเกิดขึน้ ในชว่ งสน้ั ๆ การ แบง่ นิวเคลยี สแบบไมโทซสิ แบ่งได้ 4 ระยะ 2.1 ระยะโพรเฟส (Prophase) : โครงสรา้ งของโครโมโซมจะปรากฏใหเ้ หน็ เปน็ รูปตวั เอกซ์ (X) ชัดเจนข้ึน โดยในเซลล์ของสัตวม์ กี ารเคลอื่ นท่ีของเซนทรโิ อล (Centriole) ซึง่ เคลอื่ นตัวไปอยูบ่ ริเวณขว้ั ตรงขา้ มท้ัง 2 ด้านของ เซลล์ กอ่ นสรา้ งเสน้ ใยโปรตนี ท่ีเรียกว่า “ไมโทตกิ สปินเดิล” (Mitotic Spindle) หรือ “สปนิ เดิลไฟเบอร์” (Spindle Fiber) ไปยึดเกาะเซนโทรเมยี ร์ (Centromere) หรือบริเวณจุดกึ่งกลางของโครโมโซม ซึง่ ในเซลลพ์ ชื จะ มขี ั้วตรงกนั ข้าม (Polar Cap) ทำหน้าทีแ่ ทนเซนทรโิ อล โดยในปลายระยะน้ี เย่ือหมุ้ นิวเคลียส (Nuclear Membrane) และนวิ คลโี อลัส (Nucleolus) ภายในเซลล์จะคอ่ ย ๆ สลายตวั ไป 2.2 ระยะเมทาเฟส (Metaphase) : เปน็ ระยะทเี่ ส้นใยสปินเดิลหดตัวและดงึ ให้โครโมโซมมาเรียงตัวอยู่ รว่ มกนั ในแนวก่งึ กลางของเซลล์ และเปน็ ชว่ งเวลาท่โี ครโมโซมมีการหดตัวลงสนั้ ท่ีสดุ เพอื่ เตรยี มพรอ้ มสำหรับการ แบ่งตัวและการเคลอื่ นที่ สง่ ผลให้ระยะเมทาเฟสเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมแกก่ ารนับจำนวน ศึกษารูปรา่ ง และความ ผิดปกตขิ องโครโมโซม (Karyotype) โดยโครโมโซมเริม่ มีการเคลอ่ื นท่ีแยกออกจากกันในช่วงปลายของระยะนี้ 2.3 ระยะแอนาเฟส (Anaphase) : เป็นระยะทีเ่ ส้นใยสปินเดลิ หดสัน้ ลงจนทำให้โครมาทิด (Chromatid) หรือ แทง่ แต่ละแทง่ ในคูโ่ ครโมโซมถกู ดงึ แยกออกจากกนั ไปอยูบ่ รเิ วณขัว้ ในทิศทางตรงกนั ขา้ ม โครโมโซมภายใน เซลล์จะเพมิ่ จำนวนข้ึนเปน็ 2 เท่า ซึง่ ถอื เปน็ กระบวนการแบง่ ตวั เพอื่ สร้างเซลล์ใหมข่ ้ึน 2 เซลล์ ซึง่ ระยะแอนาเฟส เปน็ ระยะท่ีใชเ้ วลาสั้นท่ีสดุ ในขน้ั ตอนทง้ั หมด 2.4 ระยะเทโลเฟส (Telophase) : เป็นระยะทีโ่ ครมาทิดซง่ึ แยกออกจากกนั หรอื ที่เรยี กวา่ “โครโมโซม ลกู ” (Daughter Chromosome) เกิดการรวมกลุ่มกนั บรเิ วณข้วั ตรงข้ามของเซลล์ จากน้นั โครโมโซมลูกแตล่ ะแทง่ จะคลายตัวออกเป็นเส้นใยโครมาทิน (Chromatin) ขณะเดียวกนั เส้นใยสปนิ เดิลจะละลายตวั ไป เกิดนวิ คลีโอลัส และเยื่อหุ้มนิวเคลียสขึ้นอีกครงั้ ล้อมรอบเสน้ ใยดังกลา่ ว ดงั น้ันตอนปลายของระยะนี้ จะเหน็ เซลลม์ นี ิวเคลียส เพิ่มขน้ึ เป็น 2 ส่วน 3. Cytokinesis เม่อื ใกลส้ ้ินสดุ ระยะเทโลเฟสจะเกดิ การแบง่ ไซโทพลาซมึ ข้ึน ทำให้เกิดเซลล์ใหม่ 2 เซลล์ ในเซลลพ์ ชื มีการสร้างแผน่ กั้นเซลล์ (cell plate) คน่ั ตรงกลางระหว่างเซลล์เดมิ ทง้ั สองดา้ น ต่อมามีการสร้าง สาร เซลลโู ลสสะสมทแ่ี ผน่ กนั้ เซลล์ เกิดเปน็ ผนังเซลลใ์ หม่กัน้ เซลล์เดมิ ออกเปน็ 2 เซลล์ สำหรับในเซลล์สตั วเ์ ยื่อหมุ้ เซลลจ์ ะคอดเข้าหากันจนกระท่งั เซลล์หลดุ ออกกนั เป็น 2 เซลล์ เซลล์ท่ีไดจ้ ากการแบง่ เซลลแ์ บบไมโทซสิ บางเซลล์ จะเขา้ สูว่ ัฏจักรของเซลล์ แต่บางเซลล์จะพัฒนามกี ารเปลยี่ นแปลงรูปร่างไปทำหนา้ ท่ีเฉพาะ

27 3.4 การถา่ ยทอดลกั ษณะทางพันธุกรรม 3.4.1 เพดดีกรี (pedigree) หรือพงศาวลี เป็นแผนผังในการศึกษาพันธุกรรมของคน ซ่ึงแสดงบุคคล ต่างๆ ในครอบครวั ดังแผนผัง ภาพท่ี 1.11 การเขยี นแผนผังเพดดีกรี 3.4.2 การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมโดยยีนบนออโทโซม (autosome) และยีนบนโครโมโซม เพศ (sex chromosome) ในร่างกายคนมโี ครโมโซม 46 แทง่ มาจัดเป็นคไู่ ด้ 23 คู่ โดยแบง่ เปน็ 2 ชนิด คอื 1) ออโทโซม (autosome) คือ โครโมโซม 22 คู่ คู่ที่ 1 - คู่ท่ี 22 เหมือนกันท้ังเพศหญิงและเพศชาย 2) โครโมโซมเพศ (sex chromosome) คอื โครโมโซมอีก 1 คู่ (คู่ที่ 23) สำหรบั ในเพศหญงิ และเพศ ชายจะต่างกัน โดยเพศหญิงจะเป็นแบบ XX เพศชายจะเป็นแบบ XY โดยโครโมโซม Y จะมีขนาดเล็กกว่า โครโมโซม X ยีนบนออโทโซม การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมจากยีนบนออโทโซม แบ่งได้ 2 ชนิด ดังน้ี 1) การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมท่ีควบคุมโดยยีนเด่นบนออโทโซม การถ่ายทอดน้ีจะ ถ่ายทอดจากชายหรือหญิงที่มีลักษณะทางพันธุ์แท้ ซ่ึงมียีนเด่นท้ังคู่หรือมียีนเด่นคู่กับยีนด้อย นอกจากนี้ยังมี ลกั ษณะผิดปกตอิ นื่ ๆ ที่นำโดยยีนเดน่ เช่น คนแคระ คนเปน็ โรคทา้ วแสนปม เป็นต้น

28 ภาพท่ี 1.12 ลกั ษณะของคนเป็นโรคเท้าแสนปม 2) การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมท่ีควบคุมโดยยีนด้อยบนออโทโซม การถ่ายทอดลักษณะ ทางพันธุกรรมท่ีผิดปกตถิ กู ควบคุมโดยยนี ด้อย เม่ือดูจากภายนอกทัง้ พอ่ และแม่มีลกั ษณะปกติ แตม่ ียีนด้อยแฝงอยู่ เรยี กว่าเป็นพาหะ (carrier) ของลกั ษณะทผ่ี ิดปกติ โรคทเี่ กดิ จากยนี ด้อยบนออโทโซม เชน่ 1) โรคธาลัสซีเมีย เป็นโรคเลือดจางจากกรรมพันธุ์ท่ีมีความผิดปกติของเม็ดเลือดแดง คือ มีการสังเคราะห์ เฮโมโกลบินผิดไปจากปกติ อาจมีการสังเคราะห์น้อยกว่าปกติ จึงทำให้เม็ดเลือดแดงมีลักษณะผิดปกติ แตกง่าย อายุของเม็ดเลือดแดงสั้นลง อัตราเส่ียงหรือโอกาสของลูกท่ีจะเกิดมาเป็นโรคธาลัสซีเมีย หรือเป็นพาหะของโรค หรือเป็นปกตใิ นแต่ละครอบครัวจะเท่ากันทุกครั้งของการตั้งครรภ์ บางครอบครัวที่พ่อและแม่มยี ีนธาลัสซีเมียแฝง อยู่ ทั้งคู่มีลูก 7 คนเป็นโรคเพียงคนเดียว แตบ่ างครอบครัวมีลูก 3 คน เป็นโรคท้ัง 3 คน ข้ึนอยู่ว่าลูกทเ่ี กดิ มาในแต่ ละครรภ์จะรับยีนธาลัสซีเมียไปจากพ่อและแม่หรอื ไม่ ทง้ั ๆ ทอี่ ัตราเสย่ี งทั้ง 2 ครอบครัวนี้เท่ากนั และทุกครรภก์ ็มี ความเส่ยี งทจี่ ะเปน็ โรคธาลัสซเี มีย เท่ากับ 1 ใน 4 ดังภาพ ภาพที่ 1.13 แสดงลักษณะของเด็กทเ่ี ป็นโรคธาลัสซีเมยี ภาพท่ี 1.14 แสดงการถา่ ยทอดลกั ษณะทางพันธกุ รรมของโรคธาลัสซเี มีย

29 2) ลักษณะผวิ เผือก เป็นผลมาจากการขาดเอนไซมท์ ี่ใชใ้ นการสังเคราะห์เม็ดสีเมลานนิ จึงสง่ ผลทำ ให้ผิวหนงั เสน้ ผม นัยนต์ า และเซลล์ผิวหนังมสี ีขาว ดงั รปู ภาพท่ี 1.15 แสดงลกั ษณะของเดก็ ผวิ เผอื ก ยีนบนโครโมโซมเพศ มรี ายละเอยี ดดงั น้ี ตัวอย่างการถ่ายทอดยีนด้อยบนโครโมโซม X เช่น ชายปกติแต่งงานกบั หญงิ ปกติแตเ่ ป็นพาหะของตาบอดสี ลูกท่ีเกิดมา มลี ักษณะอย่างไร

30 3.5 การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมทำใหส้ ่ิงมีชีวิตท่ีเกดิ ขึ้นใหม่มีลักษณะแตกต่างจากกลุ่มปกติ หากสิ่งมีชีวิต แรกบนโลกไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมเลย จะไม่เกิดววิ ัฒนาการท่ที ำให้กำเนิดส่ิงมชี ีวติ มากมายในปจั จุบัน กระบวนการท่ีทำให้ลักษณะทางพันธุกรรมเปล่ียนแปลง เช่น กระบวนการที่มีความสัมพันธ์กับการอยู่รอดของ สิง่ มีชีวติ ในสภาวะแวดล้อมตา่ ง ๆ เปน็ ตน้ 3.5.1 มิวเทชนั (Mutation) มิวเทชัน เป็น การเปลี่ยน แปลงของสิ่งมีชีวิต 2 ระดับ คือ ระดับโครโมโซม (Chromosomal Mutation) และระดับยนี หรอื โมเลกุล DNA (Gene Mutation หรือ Point Mutation) ดงั นี้ 1) การเปลยี่ นแปลงระดับโครโมโซม แบง่ เปน็ 2 ประเภท ดงั นี้ 1.1) การเปล่ียนแปลงรูปร่างโครงสร้างภายในของแต่ละโครโมโซม เป็นผลทำให้เกิดการสับเปล่ียน ตำแหนง่ ของยีนที่อย่ใู นโครโมโซมน้ัน ซ่ึงอาจเกดิ ขึ้นได้ดังน้ี ก) การขาดหายไป (deletion หรือ Deficiency) เกิดส่วนใดส่วนหน่ึงของโครโมโซมทำให้ยีน ขาดหายตวั ไป ข) การเพ่มิ ขึ้นมา (Duplication) เกดิ จากมีสว่ นใดส่วนหนงึ่ ของโครโมโซมเพมิ่ ขน้ึ มามากกว่าทม่ี ี อยูป่ กติ ค) การเปล่ียนตำแหน่งทิศทาง (Inversion) เกดิ จากสับเปลีย่ นตำแหน่งของยนี ภายในโครโมโซม เดียวกนั ง) การเปล่ียนสลับที่ (Translocation) เกดิ จากการแลกเปล่ยี นของโครโมโซมระหว่างโครโมโซม ที่ไมเ่ ปน็ โฮโมโลกสั กัน 1.2) การเปลี่ยนแปลงจำนวนโครโมโซม อาจมีจำนวนโครโมโซมเพิ่มมากข้ึนหรือลดน้อยลงไปจาก จำนวนปกติ (ดิพลอยด์ หรอื 2n) เกดิ ได้ 2 ลกั ษณะ ดงั น้ี ก) ยูพลอยดี (Euploidy) เป็นการเพิ่มหรือลดจำนวนชุดของโครโมโซม (2n + n หรือ 2n + 2n) ส่วนใหญเ่ ท่าท่ีพบเกดิ ขึน้ ในพวกพืชและมปี ระโยชนใ์ นด้านการเกษตร ข) แอนยูพลอยดี (Aneuploidy) เป็นการเพิ่มหรอื ลดจำนวนโครโมโซมเพียงไมก่ ี่แท่งจากจำนวน ปกติ 2) การเปลย่ี นแปลงระดับยนี การเปลี่ยนแปลงในระดับยนี น้ีเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของเบส (A, T, C, G) หรือการเปลี่ยนตำแหน่งลำดับการเรียงตัวของเบสในโมเลกุลของ DNA ซึ่งจะส่งผลไปถึงตำแหน่งการเรียงตัว ของกรดอะมโิ นในสายพอลิเปปไทดใ์ นโมเลกุลของโปรตนี ทอ่ี ยภู่ ายใต้การควบคมุ ของยนี น้ันด้วย ปัจจัยที่ทำให้เกิดมิวเทชัน ตัวกระตุ้นหรือตัวชักนำให้เกิดมิวเทชัน เรียกว่า สิ่งก่อกลายพันธ์ุ (Mutagen) ดงั ตอ่ ไปนี้

31 2.1) รังสี (Radiation) รังสีที่กระตุ้นให้เกิดมิวเทชันมี 2 ชนิด คือ Lonizing Radiation เช่น รังสีบีตา รังสีแกมมา รังสีเอกซ์ และ Non-ioning Radiation เช่น รังสีอัลตราไวโอเลต (Ultraviolet) ก่อให้เกิด มะเร็งผวิ หนัง 2.2) สารเคมี เชน่ สารโคลชซิ ีน (Colchicine) มีผลทำให้มีการเพ่ิมจำนวนชุดของโครโมโซม ผลดังกล่าวน้ีทำให้เกิดผลผลิตพืชเพิ่มขึ้น เช่น ไดคลอร์วอส (Dichlorvos) ท่ีใช้กำจัดแมลง และพาราควอต (Paraquat) 2.3) ไวรสั บางชนิด ทำใหเ้ กดิ มะเร็ง ประเภทของมิวเทชัน มวิ เทชนั เกดิ กับเซลลใ์ นรา่ งกาย 2 ลักษณะ คอื 1) เซลล์ร่างกาย (Somatic Cell) เซลลช์ นิดนีเ้ มอ่ื เกดิ มิวเทชันแลว้ จะไมถ่ ่ายทอดไปยงั รนุ่ ต่อไป 2) เซลล์สบื พันธ์ุ (Sex Cell) เซลล์เหล่านี้เมือ่ เกดิ มิวเทชันแล้วจะถา่ ยทอดไปยังรุ่นต่อไปได้ ซ่ึงมผี ล ตอ่ การเปลย่ี นแปลงลกั ษณะทางพนั ธกุ รรม 3.5.2 การคดั เลอื กโดยธรรมชาติ (Natural Selection) ชาร์ลส์ ดาร์วนิ (Charles Darwin : พ.ศ.2352-2425) นักธรรมชาติวิทยา ชาวอังกฤษได้นำเสนอ ทฤษฎีวิวัฒนาการว่า “ วิวัฒนาการโดยการคัดเลือกตามธรรมชาติ ” ดาร์วินอธิบายว่า ตามสภาพธรรมชาติ สิ่งมีชีวิตท่ีมีความสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมไดดีกว่าพวกอ่ืน จะสามารถดำรงชีวิตอยู่และถ่ายทอด ลักษณะทเ่ี หมาะสมต่อไป แนวคิดของดาร์วินได้มาจากข้อมูลทางธรรมชาติที่เขาเก็บรวบรวมได้ ขณะท่ีเขาเดินทางไปกับเรือ สำรวจตามแนวฝ่ังทวีปรอบโลก การสำรวจตามแนวฝ่ัง ของทวีปอเมริกาใต้ และหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก ดาร์วินได้พบว่า พืชและสัตว์บนพนื้ ทวีป และหมู่เกาะมีความคล้ายคลึงกันแต่ไมเ่ หมือนกัน ดารว์ ินสังเกตพบว่า นกฟินซ์ 13 สปีชีส์ พบบนหมู่เกาะกาลาปากอส ซ่ึงอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกมีจงอยปากที่มีขนาดและรูปร่าง แตกตา่ ง ๆ กนั ตามความเหมาะสมของประเภทอาหารท่ีนกแต่ละชนดิ กนิ

32 นกเหล่าน้มี ีความคล้ายคลึงกบั นกบนผนื แผ่นดนิ ใหญ่ เขาเช่ือว่านกเหล่านตี้ ่างมบี รรพบรุ ุษร่วมกัน คือ อาศัยอยบู่ นทวีปอเมริกาใตม้ ากอ่ นแต่มกี ารอพยพยา้ ยถ่ินไปอยทู่ หี่ มู่เกาะ และมกี ารแยกยา้ ยไปอยใู่ นถิน่ อาศัยที่ แตกต่างกันจึงมกี ารปรับตัวไปตามสภาพแวดล้อม เมอื่ ระยะเวลานานมากขึ้นมวี ิวฒั นาการเปลี่ยนแปลงไปเป็นนก สปีชสี ์ใหม่ ในทฤษฎีววิ ัฒนาการของดารว์ ิน การคัดเลือกตามธรรมชาต(ิ Natural Selection) เป็นกลไกสำคัญ ที่ทำให้เกิดการเปล่ียนแปลงในประชากรของส่ิงมีชีวิต สปีชีส์หน่ึง ๆ ซ่ึงการเปลี่ยนแปลงนี้นำไปสู่การเกิด สิ่งมีชีวิตสปีชสี ์ใหมข่ ึ้นได้ ดารว์ ินเสนอกลไกการคดั เลือกตามธรรมชาติขึ้นจากข้อสงั เกตซ่ึงเป็นสภาพธรรมชาติของ สงิ่ มชี วี ติ บนโลก คอื 1) การเพ่ิมจำนวนประชากรสิ่งมีชีวิตมีแนวโน้มในการผลิตรุ่นลูกจำนวนมาก ทำให้มีจำนวน ประชากรมากเกนิ ไป(Over population) 2) การแข่งขัน(Competition) มีการแข่งขันระหว่างสมาชิกในประชากรเพ่ือความอยู่รอดการ แข่งขันน้ี เปน็ การแก่งแย่งทรัพยากรที่มีอยจู่ ำกัดในสภาพแวดล้อมหน่ึง ๆ โดยเฉพาะการแก่งแยง่ สิ่งจำเป็นในการ ดำรงชวี ติ เช่น อาหาร ทีอ่ ยู่ เป็นตน้ 3) ความแปรผันของลักษณะ(Variation) สมาชิกของประชากรจะมีความแตกต่างกันในรูปร่าง ลกั ษณะ อืน่ ๆ โดยความแตกตา่ งน้ีสามารถสง่ ทอดไปยังรุ่นลูก จากข้อสังเกตข้างต้น เม่ือทรัพยากรมีจำกัดประชากรที่มีจำนวนมากจะมี การแก่งแย่งกัน เฉพาะ สมาชิกที่เหมาะสมในสภาวะแวดล้อมขณะน้ันเท่าน้ันท่ีจะเหลือรอดชีวิตอยู่ได้(Survival to produce) และ สามารถสืบพันธุ์ผลิตลูกหลานใน รุ่นต่อ ๆ ไปได้ จึงจะมีโอกาสในการส่งทอดลักษณะไปยังรุ่นลูก ส่งผลให้มีการ เปลี่ยนแปลงลกั ษณะในประชากรเกิดขึ้นช้า ๆ จนวิวัฒนาการเกิดเป็นสปชี สี ์ใหม่ สรุปตามแนวคดิ ของดาร์วนิ คือ ส่ิงมีชีวิตหลากหลายสปีชีส์บนโลกมาจากการสืบทอดลักษณะ ทเ่ี ปลีย่ นไปของสปีชีส์ดกึ ดำบรรพ์ โดยกลไกที่ทำให้เกิดการเปล่ียนแปลง คือ การคัดเลือกตามธรรมชาติและต้อง ใชร้ ะยะเวลาทย่ี าวนาน 4. แบบฝึกหดั /แบบทดสอบ

33 แบบฝึกหดั หน่วยการเรยี นรู้ที่ 1 การถา่ ยทอดลักษณะทางพันธกุ รรม คำชี้แจง จงตอบคำถามต่อไปน้ีใหถ้ กู ต้อง 1. โครโมโซมประกอบด้วยสว่ นใดบ้าง ............................................................................................................................................................................... 2. จำนวนโครโมโซมสิง่ มีชวี ติ ชนิดต่าง ๆ มคี วามแตกต่างกนั อย่างไร ............................................................................................................................................................................... 3. จำนวนโครโมโซมของเซลล์รา่ งกายและเซลล์สืบพนั ธม์ุ จี ำนวนแตกต่างกนั อยา่ งไร ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... 4. ออโตโซมและโครโมโซมเพศแตกตา่ งกนั อย่างไร ............................................................................................................................................................................... 5. โครโมโซมเพศชายและโครโมโซมเพศหญิงแตกตา่ งอยา่ งไร ............................................................................................................................................................................... 6. โครมาทนิ ประกอบดว้ ยสว่ นใดบ้าง ............................................................................................................................................................................... 7. โครมาทดิ แตกต่างจากโครโมโซมอย่างไร ............................................................................................................................................................................... 8. ดีเอน็ เอประกอบดว้ ยหน่ายย่อยใด ............................................................................................................................................................................... 9. นวิ คลโี อไทดข์ องดเี อน็ เอ 1 หนว่ ยประกอบดว้ ยส่วนใดบา้ ง ............................................................................................................................................................................... 10. อธบิ ายโครงสร้างดเี อ็นเอ 5. เอกสารอา้ งองิ ภาวณิ ี รัตนคอน ลดั ดา อนิ ทร์พมิ พ์ และสเุ ทพ สุขเจริญ. (2562). วิทยาศาสตรเ์ พ่อื พฒั นาอาชีพธรุ กิจ และบรกิ าร. พิมพค์ รั้งท่ี 2. กรุงเทพฯ : สำนกั พิมพเ์ อมพนั ธ์. 6. ภาคผนวก (เฉลยแบบฝึกหดั เฉลยแบบทดสอบ ฯ)

34 เฉลยแบบฝึกหดั หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 1 การถ่ายทอดลกั ษณะทางพนั ธกุ รรม 1. โครโมโซมประกอบดว้ ยส่วนใดบา้ ง เฉลย โครมาทิด 2 เสน้ ยึดติดกนั ทตี่ ำแหน่งเซนโทรเมยี ร์. 2. จำนวนโครโมโซมส่งิ มชี วี ิตชนดิ ต่างๆ มคี วามแตกตา่ งกันอย่างไร เฉลย เซลลส์ ่ิงมีชีวิตแตล่ ะชนิดมีจำนวนโครโมโซมคงท่ี เชน่ เซลล์รา่ งกายของคน 1 เซลลม์ ี 46 โครโมโซมโครโมโซมท่มี ีลักษณะเหมอื นกนั เป็นค่ๆู เรยี กว่าฮอมอโลกัสโครโมโซม (homologous chromosome) 3. จำนวนโครโมโซมของเซลลร์ ่างกายและเซลล์สืบพันธุ์มจี ำนวนแตกต่างกนั อยา่ งไร เฉลย เซลล์สืบพันธุม์ จี ำนวนโครโมโซมครึ่งหนงึ่ ของเซลลร์ ่างกาย 4. ออโตโซมและโครโมโซมเพศแตกตา่ งกันอยา่ งไร เฉลย ออโตโซมเปน็ โครโมโซมทม่ี ยี ีนควบคมุ ลกั ษณะต่าง ๆ ทไี่ ม่เกีย่ วขอ้ งกบั การกำหนดเพศมี 22 คู่ โครโมโซมเพศเปน็ โครโมโซมทีม่ ียีนทำหนา้ ท่กี ำหนดลักษณะเพศมี 1 คู่ 5. โครโมโซมเพศชายและโครโมโซมเพศหญงิ แตกตา่ งอยา่ งไร เฉลย เพศหญิงมีออโตโซม 22 คู่ และโครโมโซมเพศ 1 คู่ เป็น 44 , XX เพศชายมีออโตโซม 22 คู่ และโครโมโซมเพศ 1 คู่ เป็น 44 , XY 6. โครมาทนิ ประกอบด้วยสว่ นใดบ้าง เฉลย ดเี อ็นเอและโปรตีน 7. โครมาทดิ แตกตา่ งจากโครโมโซมอย่างไร เฉลย ในนิวเคลียสของเซลล์ปกติท่ไี มไ่ ด้อยู่ระหวา่ งการแบ่งเซลล์ โครโมโซมจะคลายตัวเปน็ เส้นบางยาว เรยี กว่า โครมาทนิ ในนวิ เคลียสของเซลลท์ ่กี ำลังแบง่ ตวั เสน้ โครมาทนิ จะขดตัวหน้าขึน้ และส้ันลง เรยี กว่า โครโมโซม 8. ดเี อ็นเอประกอบดว้ ยหนว่ ยยอ่ ยใด เฉลย นิวคลโี อไทด์ 9. นิวคลโี อไทดข์ องดีเอ็นเอ 1 หนว่ ยประกอบดว้ ยสว่ นใดบ้าง เฉลย นำ้ ตาลดีออกซไี รโบส ไนไตรจนี ัสเบส และหม่ฟู อสเฟต 10. อธิบายโครงสรา้ งดเี อ็นเอ เฉลย ดีเอน็ เอประกอบดว้ ยประกอบด้วยนิวคลีโอไทด์หลายนวิ คลีโอไทด์เรยี งต่อกนั เป็นสายยาวสอง สายพนั กันเป็นเกลียวคู่วนขวา แต่ละนวิ คลโี อไทด์ภายในสายเดียวกนั จะเชอ่ื มตอ่ กนั ระหว่าง หมู่ฟอสเฟตและนำ้ ตาล สว่ นระหว่างสายยาวสองสายจะยึดกนั ด้วยพนั ธะระหว่างหมเู่ บสท่ี เหมาะสม คอื เบสอะดีนนี จับคกู่ ับเบสไทมนี และเบสกวานนี จับคู่กับเบสไซโทซนี

ใบงาน ที่ 1.1 35 หลักสตู รประกาศนียบัตรวชิ าชพี หนว่ ยที่ 1 สอนครง้ั ท่ี 1 (ช่วั โมงท่ี 3) รหสั วชิ า 20000-1303 ช่ือวิชา วิทยาศาสตรเ์ พ่อื พฒั นาอาชีพธรุ กิจและบริการ เวลา 15 นาที ช่อื งาน ลกั ษณะทางพนั ธกุ รรม 1. จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม - เพอ่ื ใหส้ ามารถสำรวจและระบุลกั ษณะพันธกุ รรมทถ่ี า่ ยทอดจากร่นุ ตา่ ง ๆ ในครอบครัวผู้เรยี น 2. สมรรถนะ - เขยี นแผนผงั และคำนวณหาโอกาสของลักษณะการถา่ ยทอดทางพันธุกรรม 3. เครอื่ งมอื วัสดุ และอปุ กรณ์ - ปากกาแดงและน้ำเงิน 4. ลำดับขนั้ การปฏิบัตงิ าน 4.1 สำรวจลกั ษณะทางพนั ธุกรรมบางลักษณะของเพ่อื นผู้เรียนภายในห้องว่า มคี วามเหมือนหรือแตกตา่ ง กนั อยา่ งไร 4.2 สำรวจลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมบางลักษณะของบคุ คลภายในครอบครวั ของผเู้ รยี นอย่างนอ้ ย 3 รุ่น เชน่ ปู่ ย่า ตา ยาย พอ่ แม่ พี่ นอ้ ง มลี กั ษณะอย่างไร 5. คำถาม - รายงานลกั ษณะทสี่ ำรวจเป็นแผนภาพการถา่ ยทอดแบบง่ายๆ นำเสนอและอภิปรายผล การสำรวจวา่ ลักษณะเหล่าน้นั มคี วามเหมือนและแตกต่างกันอย่างไรระหว่างบคุ คลในครอบครวั .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... 6. การประเมนิ ผล 7.1 ประเมินจากการการทำกจิ กรรม 7.2 นกั เรยี นทำกิจกรรมไดถ้ กู ตอ้ ง ร้อยละ 60 ถอื วา่ ผา่ น 7. เอกสารอา้ งอิง /เอกสารค้นคว้าเพ่ิมเติม ภาวิณี รัตนคอน ลดั ดา อนิ ทรพ์ ิมพ์ และสเุ ทพ สขุ เจริญ. (2562). วทิ ยาศาสตรเ์ พื่อพฒั นาอาชีพธุรกิจ และบริการ. พมิ พ์คร้ังที่ 2. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพเ์ อมพันธ.์

36 ใบกิจกรรม ท่ี 1.2 หนว่ ยที่ 1 หลักสตู รประกาศนยี บตั รวชิ าชีพ สอนครง้ั ที่ 2 (ชวั่ โมงที่ 6) รหสั วิชา 20000-1303 เวลา 30 นาที ช่อื วชิ า วทิ ยาศาสตรเ์ พ่ือพฒั นาอาชพี ธุรกิจและบรกิ าร ช่อื เรอื่ ง การถ่ายทอดลกั ษณะทางพันธกุ รรม 1. จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม - เพอ่ื ใหส้ ามารถเขียนแผนภาพการถา่ ยทอดลกั ษณะทางพันธกุ รรม 2. สมรรถนะ - แสดงความรูเ้ กยี่ วกับการถ่ายทอดลกั ษณะทางพนั ธุกรรม 3. เคร่ืองมอื วัสดุ และอุปกรณ์ - ปากกาแดงและนำ้ เงิน 4. ลำดบั ขั้น(การทดลอง/การปฏิบัติงาน) 4.1 ใหน้ กั เรยี นฝกึ เขียนแผนภาพการถ่ายทอดลกั ษณะทางพันธุกรรม และตอบคำถาม 5. คำถาม 5.1 เขียนแผนภาพการถา่ ยทอดลักษณะตา 2 ชัน้ กำหนดให้ N และ n แทน แอลลีลคูห่ นึง่ ท่ีควบคมุ ลกั ษณะตา 2 ชั้น โดย N แทนแอลลีลควบคมุ ตา 2 ชั้น n แทนแอลลีนควบคมุ ลกั ษณะตาช้นั เดยี ว .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... 5.1.1) เซลลร์ ่างกายลกู มีรปู แบบแอลลลี แบบใดบ้าง .................................................................................................................................................................................... 5.1.2 จโี นไทป์ของลักษณะตา 2 ชนั้ มีกีแ่ บบ อะไรบ้าง .................................................................................................................................................................................... 5.1.3 ลกั ษณะตา 2 ช้นั เปน็ ลักษณะเด่นหรือลักษณะดอ้ ย .................................................................................................................................................................................... 5.2 เขียนแผนภาพแสดงการถา่ ยทอดลกั ษณะคางบุ๋ม กำหนดให้ C และ c แทนแอลลีลคหู่ นง่ึ ทค่ี วบคมุ ลักษณะคางบมุ๋ โดย C แทนแอลลีลควบคมุ ลักษณะคาง บมุ๋ c แทนแอลลีลควบคุมลักษณะคางไม่บุ๋ม ....................................................................................................................................................................................

37 .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... 5.2.1 เซลลร์ า่ งกายลกู มรี ูปแบบแอลลนี แบบใดบ้าง .................................................................................................................................................................................... 5.2.2 ลูกมีฟโี นไทปแ์ บบใดบ้าง .................................................................................................................................................................................... 6. การประเมินผล - นักเรียนทำกจิ กรรมถูกต้องครบถ้วน และได้คะแนนไม่ตำ่ กว่าร้อยละ 60 ถือวา่ ผ่านเกณฑ์ 7. เอกสารอ้างอิง /เอกสารคน้ ควา้ เพ่ิมเตมิ ภาวิณี รตั นคอน ลัดดา อนิ ทร์พมิ พ์ และสุเทพ สขุ เจริญ. (2562). วิทยาศาสตรเ์ พ่อื พฒั นาอาชพี ธุรกจิ และบรกิ าร. พิมพค์ รัง้ ท่ี 2. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพเ์ อมพันธ.์ เฉลยแบบผึกหัด 5.1 เขยี นแผนภาพการถ่ายทอดลกั ษณะตา 2 ชนั้ กำหนดให้ N และ n แทน แอลลีลคูห่ นึง่ ที่ควบคุมลกั ษณะตา 2 ชนั้ โดย N แทนแอลลีลควบคมุ ตา 2 ชน้ั n แทนแอลลีนควบคุมลักษณะตาชน้ั เดยี ว ตอบ 5.1.1) เซลล์ร่างกายลกู มรี ูปแบบแอลลลี แบบใดบ้าง ตอบ NN และ Nn 5.1.2 จโี นไทปข์ องลกั ษณะตา 2 ชน้ั มกี ่แี บบ อะไรบา้ ง ตอบ 2 แบบ คอื ลักษณะตาช้นั เดยี ว และลักษณะตาสองช้นั 5.1.3 ลักษณะตา 2 ชั้น เปน็ ลกั ษณะเด่นหรือลกั ษณะด้อย

38 ตอบ ลักษณะเดน่ 5.2 เขียนแผนภาพแสดงการถา่ ยทอดลักษณะคางบมุ๋ กำหนดให้ C และ c แทนแอลลีลค่หู น่งึ ทค่ี วบคมุ ลักษณะคางบ๋มุ โดย C แทนแอลลีลควบคมุ ลกั ษณะคาง บมุ๋ c แทนแอลลีลควบคมุ ลักษณะคางไมบ่ ๋มุ ตอบ 5.2.1 เซลลร์ า่ งกายลูกมรี ปู แบบแอลลนี แบบใดบา้ ง ตอบ CC Cc และ cc 5.2.2 ลูกมฟี โี นไทปแ์ บบใดบ้าง ตอบ ลักษณะคางบมุ๋ และลกั ษณะคางไมบ่ มุ๋

39 ใบกิจกรรม ท่ี 1.3 หนว่ ยท่ี 1 หลักสตู รประกาศนียบตั รวิชาชีพ สอนครง้ั ท่ี 2 (ชัว่ โมงที่ 6) รหัสวชิ า 20000-1303 เวลา 30 นาที ชอื่ วชิ า วทิ ยาศาสตรเ์ พ่อื พัฒนาอาชีพธรุ กิจและบริการ ชือ่ เรื่อง การแก้โจทย์ปัญหา 1. จุดประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม - เพ่อื ใหส้ ามารถแสดงวิธีการทำการแก้โจทย์ปญั หาการถา่ ยทอดลักษณะทางพันธุกรรม 2. สมรรถนะ - แสดงความรเู้ กี่ยวกบั การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม 3. เครอ่ื งมือ วสั ดุ และอปุ กรณ์ - ปากกาแดงและน้ำเงิน 4. ลำดบั ขน้ั (การทดลอง/การปฏบิ ัติงาน) 4.1 ให้นักเรยี นฝึกแกโ้ จทยป์ ัญหาการถ่ายทอดลักษณะทางพันธกุ รรม และตอบคำถาม 5. คำถาม 5.1 จงหาอตั ราส่วนฟโี นไทป์ตา่ ง ๆ ในรุ่นลูกทเ่ี กิดจากพอ่ มีลักย้มิ ทมี่ ีจโี นไทป์ AA และ Aa กบั แม่ไม่มีลกั ยมิ้ ทีม่ จี โี นไทป์ aa (กำหนดให้ A แทนแอลลีลการมีลกั ยิ้มเป็นลกั ษณะเด่น และ a แทนแอลลีลการไม่มลี กั ยม้ิ เป็น ลกั ษณะด้อย) .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... 5.2 ลกั ษณะนิ้วสัน้ (S) เปน็ ลักษณะเด่น ลกั ษณะนวิ้ ปกติ (s) เปน็ ลักษณะด้อย ถา้ ลูกมีลกั ษณะนิว้ สน้ั ร้อย ละ 50 น้ิวปกติร้อยละ 50 จงหาจโี นไทปพ์ อ่ แม่ .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................................

40 5.3 กระตา่ ยขนสีดำเปน็ ลักษณะเดน่ (B) ขนสนี ำ้ ตาลเปน็ ลักษณะดอ้ ย (b) จงหาอตั ราสว่ นของฟโี นไทป์ ตา่ ง ๆ ในร่นุ ลกู ท่เี กดิ จากการผสมกันระหวา่ งกระตา่ ยขนสดี ำและกระต่ายขนสนี ำ้ ตาล .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... 5.4 อธบิ ายเหตุผลความเป็นไปได้ กรณตี อ่ ไปน้ี 5.4.1 แมแ่ ละลูกมเี ลอื ดหมู่ O ชายท่อี ้างตัวเป็นพ่อมีเลือดหมู่ AB .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... 5.4.2 หญงิ คนหนึง่ มีเลือดหมู่ AB ยืนยันวา่ ลูกท่มี ีเลือดหมู่ A เป็นบตุ รทแี่ ท้จรงิ ของขายท่ีมีเลอื ดหมู่ O .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... 5.5 หญงิ คนหนง่ึ เปน็ พาหนะของโรคตาบอดสี แต่งงานชายตาบอดสี จงหาโอกาสของลกู ทีม่ ีโรคตาบอดสี .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... เฉลยแบบฝกึ หดั 5.1 จงหาอตั ราส่วนฟีโนไทป์ต่าง ๆ ในรนุ่ ลกู ที่เกดิ จากพอ่ มีลกั ยมิ้ ท่มี ีจีโนไทป์ AA และ Aa กับแมไ่ ม่มีลกั ย้มิ ทมี่ ีจีโน ไทป์ aa (กำหนดให้ A แทนแอลลีลการมลี ักยิม้ เป็นลกั ษณะเด่น และ a แทนแอลลลี การไมม่ ีลกั ยิ้มเป็นลกั ษณะ ด้อย) ตอบ

41 5.2 ลกั ษณะน้วิ สั้น (S) เป็นลักษณะเดน่ ลกั ษณะนิว้ ปกติ (s) เป็นลกั ษณะดอ้ ย ถา้ ลกู มีลกั ษณะน้ิวส้นั รอ้ ยละ 50 นิว้ ปกตริ อ้ ยละ 50 จงหาจโี นไทป์พ่อแม่ ตอบ

42 5.3 กระตา่ ยขนสีดำเป็นลกั ษณะเด่น (B) ขนสนี ้ำตาลเปน็ ลกั ษณะด้อย (b) จงหาอัตราส่วนของฟโี นไทปต์ ่าง ๆ ใน ร่นุ ลกู ท่ีเกิดจากการผสมกนั ระหว่างกระตา่ ยขนสีดำและกระต่ายขนสนี ้ำตาล ตอบ 5.4 อธบิ ายเหตุผลความเป็นไปได้ กรณตี อ่ ไปน้ี 5.4.1 แม่และลูกมีเลือดหมู่ O ชายทอี่ ้างตัวเปน็ พอ่ มีเลือดหมู่ AB 5.4.2 หญงิ คนหนงึ่ มเี ลือดหมู่ AB ยนื ยนั วา่ ลูกทีม่ ีเลือดหมู่ A เปน็ บุตรทีแ่ ทจ้ รงิ ของขายทม่ี เี ลอื ดหมู่ O ตอบ

43 5.5 หญงิ คนหน่งึ เปน็ พาหนะของโรคตาบอดสี แต่งงานชายตาบอดสี จงหาโอกาสของลกู ทม่ี โี รคตาบอดสี ตอบ

44 แผนการจัดการเรยี นรู้ หน่วยที่ 2 หลกั สูตรประกาศนยี บตั รวชิ าชพี สอนครั้งท่ี 3-4 (ชว่ั โมงที่ 8-12) รหัสวิชา 20000-1303 ช่อื วชิ าวิทยาศาสตรเ์ พ่ือพฒั นาอาชพี ธรุ กจิ และบริการ ท-ป-น.(1-2-3) ชอ่ื หนว่ ยการเรียนรู้ เทคโนโลยีชวี ภาพ ทฤษฎี 2 ชม. ปฏบิ ัติ 4 ชม. 1. สาระสำคญั มนุษย์ใช้ความรู้ทางพันธุสาสตร์ในการปรับปรุงพันธุ์พืชและสัตว์ ทำให้มีลักษณะตามต้องการ เช่น การ ปรับปรุงพันธ์ุพืชโดยการเพ่ิมชุดโครโมโซม และยังใช้ความรู้ทางเทคโนโลยีชีวภาพ เช่น พันธุวิศวกรรม และการ โคลนในการดัดแปลงพันธุกรรมของส่ิงมีชีวิต ทำให้ได้ส่ิงมีชวี ิตท่ีมีลักษณะตามทมี่ นุษย์ต้องการ เทคโนโลยีชีวภาพ เป้นกระบวนการหนึ่งที่ทำให้มีความหลากหลายของส่ิงมีชีวิตเพ่ิมข้ึน ซ่ึงอาจเป็นทั้งผลดีและผลเสียต่อความ หลากหลายของส่งิ มีชีวติ บนโลก 2. สมรรถนะประจำหน่วย 2.1 แสดงความรู้และสำรวจตรวจสอบเก่ียวกับความหลากหลายทางชีวภาพ การศึกษาความหลากหลาย ของส่ิงมีชีวิต การจัดหมวดหมู่ของสิ่งมีชีวิต กำเนิดของสิ่งมีชีวิต อาณาจักรส่ิงมีชีวิต ความหลากหลายทาง ชีวภาพในประเทศไทย สาเหตุการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และการอนุรักษ์ความหลากหลายทาง ชีวภาพ 2.2 แสดงความรู้เก่ียวกับการจัดหมวดหมู่สิ่งมีชีวิต ช่ือของสิ่งมีชีวิตท่ีเป็นช่ือท้องถ่ิน ชื่อสามัญ และช่ือ วทิ ยาศาสตร์ 2.3 เขียนแผนผงั และนำเสนออาณาจักรส่ิงมีชีวิต 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 3.1 อธิบายความหมายของเทคโนโลยชี ีวภาพได้ 3.2 บอกความเปน็ มาของเทคโนโลยีชีวภาพได้ 3.3 บอกและอธิบายกระบวนการเกดิ ผลติ ภัณฑท์ างเทคโนโลยชี ีวภาพในชวี ิตประจำวันได้ 3.4 อธบิ ายการประยุกตใ์ ช้เทคโนโลยีชวี ภาพ โดยวธิ กี ารพันธวุ ศิ วกรรม การโคลน การเพาะเล้ยี งเนอื้ เยอื่ ลายพิมพ์ดีเอน็ เอได้ 3.5 อภปิ รายความก้าวหน้าของเทคโนโลยีชวี ภาพในด้านต่าง ๆ ได้

45 4. สาระการเรียนรู้ 4.1 ประวตั ขิ องเทคโนโลยชี วี ภาพ 4.2 ผลติ ภัณฑ์ทางเทคโนโลยชี วี ภาพในชีวิตประจำวนั 4.3 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีชวี ภาพ 5. กจิ กรรมการเรยี นรู้ (แบบ MIAP) (สปั ดาห์ท่ี 3) ขน้ั สนใจปัญหา (Motivation) 1. ครูชี้แจงวัตถุประสงค์การเรียนรู้ เรื่อง เทคโนโลยีชวี ภาพ ใหน้ กั เรยี นทราบ 2. ใหน้ ักเรยี นทำแบบทดสอบก่อนเรียนหน่วยการเรียนร้ทู ่ี 2 เทคโนโลยีชีวภาพ 3. ครใู หน้ ักเรยี นศึกษาภาพจากแหล่งเรยี นรู้ต่าง ๆ เช่น วดี ีทัศน์ รูปภาพ ระบบนิเวศในโรงเรยี น หรือ จากประสบการณ์ท่นี ักเรียนเคยไปท่องเที่ยวตามสถานท่ีตา่ ง ๆ เพอ่ื ให้ได้ข้อสรุปว่า เทคโนโลยชี ีวภาพ เป็นการนำ ความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้กับส่ิงมีชีวิต เพ่ือให้ได้ลักษณะบางอย่างตามที่ต้องการ ซึ่งนำมาใช้ในด้าน การเกษตร ด้านอาหาร ดา้ นการแพทย์ ด้านสิง่ แวดล้อม เป็นตน้ ขน้ั ใหเ้ น้ือหา (Information) 1. ครูสอนและอธิบายเรอื่ ง เทคโนโลยีชวี ภาพ และการจดั หมวดหม่ขู องสง่ิ มชี วี ติ โดยใช้โปรแกรม Microsoft Power Point สอื่ วีดโี อประกอบการสอน และหนังสือเรียนประกอบการสอน 2. นักเรียนศึกษาเนื้อหา ประวัติของเทคโนโลยีชีวภาพ จากหนังสือเรียน วิชาวทิ ยาศาสตร์เพ่ือพัฒนา อาชีพธุรกิจและบริการ ของบริษัท สำนักพิมพ์เอ มพันธ์ จำกัด นักเรียนศึกษาเนื้อหา ผลิตภัณฑ์ทาง เทคโนโลยีชีวภาพในชีวิตประจำวัน จากหนังสือเรียนวิชา วิทยาศาสตร์เพ่ือพัฒนาอาชีพธุรกิจและบริการ ของ บริษัท สำนกั พิมพเ์ อมพนั ธ์ จำกดั นักเรยี นร่วมกันสรปุ ลำดับเหตกุ ารณ์กำเนิดของส่งิ มีชีวติ ในยุคตา่ ง ๆ โดยใช้ตาราง แสดงธรณีกาล 3. นักเรียนศกึ ษาเน้ือหา การประยกุ ต์ใชเ้ ทคโนโลยชี วี ภาพ จากหนังสอื เรียนวิชาวทิ ยาศาสตร์เพื่อพฒั นา อาชีพธรุ กจิ และบริการ ขั้นพยายาม (Application) 1. แบ่งกลุ่มนกั เรยี นเปน็ กลมุ่ ๆ ละ 3-4 2. ครูแจกใบกจิ กรรมที่ 2.1 การจัดหมวดหมขู่ องใบพืชชนิดตา่ ง ๆ พรอ้ มอธบิ ายใหน้ ักเรียนฟงั 3. นกั เรยี นทำใบกิจกรรมท่ี 2.1 ขณะนกั เรียนทำกจิ กรรมครจู ะสังเกตการทำงานกล่มุ

46 4. ครูเปดิ โอกาสใหน้ ักเรยี นซักถามข้อสงสยั ระหว่างทำงาน และสังเกตการปฏบิ ตั ิงานของนกั เรยี น ทกุ คน เพื่อประเมินพฤติกรรมเปน็ รายบุคคล ข้นั สำเรจ็ ผล (Progress) 1. ครูและนักเรียนรว่ มกนั เฉลยกิจกรรม และรว่ มอภิปรายสรปุ บทเรยี น 2. ครูและนักเรยี นรว่ มกันตรวจและเฉลยคำถามชวนคิด พรอ้ มกับบันทึกคะแนนที่ได้ (สปั ดาห์ท่ี 4) ข้ันสนใจปัญหา (Motivation) 1. ครูทบทวนเร่ืองลำดับการจดั หมวดหมู่จากหมวดหมูใ่ หญ่เปน็ หมวดหม่ยู อ่ ย การเรียกช่อื ท้องถ่นิ และ ชอื่ สามัญของส่ิงมีชวี ติ และหลกั การตง้ั ชอ่ื วิทยาศาสตร์ของส่งิ มชี วี ิต 2. นำเขา้ สู่บทเรียนโดยครูกลา่ วถงึ อาณาจกั รส่งิ มชี วี ิต แลว้ ใหน้ กั เรยี นแสดงความคดิ เห็น โดยใช้คำถาม เพ่อื ใหผ้ เู้ รยี นเกิดความสนใจ ข้นั ให้เน้อื หา (Information) 1. ครูเขียน เส้นเวลา (Time line) ต่อจากเส้น เวลาท่ีนัก เรียน สรุปประวัติความเป็น มาขอ ง เทคโนโลยีชีวภาพ จากนั้นให้นักเรียนแบ่งกลุ่มคาดคะเนการพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพในอนาคตประมาณ 10 ปี และเขยี นเพ่ิมเตมิ 2. ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคโนโลยีชีวภาพแบบดั้งเดิม กับแบบปัจจุบัน และแนวโน้มของ เทคโนโลยชี ีวภาพในอนาคต 3. ครูอธิบายการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีชีวภาพเพิ่มเติมจากที่นักเรียนช่วยกันอธิบายว่า การประยุกต์ใช้ เทคโนโลยีชีวภาพแต่ละเร่ืองสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในด้านการเกษตร ด้านอาหาร ด้านส่ิงแวดล้อม ด้าน การแพทย์ และอ่ืน ๆ ไดอ้ ย่างไรบา้ ง และควรใช้บนพ้นื ฐานของจริยธรรม และจรรยาบรรณในวิชาชีพ ขนั้ พยายาม (Application) 1. นักเรียนทำกจิ กรรมการเรยี นรู้ท่ี 1 ภาพยนตรด์ งั กับเทคโนโลยีชวี ภาพ 2. นักเรียนทำกิจกรรมคำถามชวนคิดนักเรียนลงมือทำงานที่ครูมอบหมายไว้ โดยขณะนักเรียนทำ กจิ กรรมครจู ะสังเกตการทำงานกล่มุ 3. ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนซกั ถามขอ้ สงสัยระหว่างทำงาน และสงั เกตการปฏิบัตงิ านของนกั เรยี นทุก คน เพ่อื ประเมินพฤตกิ รรมเป็นรายบุคคล

47 ขนั้ สำเรจ็ ผล (Progress) 1. ครูตรวจกิจกรรมการเรียนรู้ที่ 1 และคำถามชวนคิดครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายสรุปบทเรียน และสงั เกตพฤติกรรมการเข้ารว่ มกจิ กรรมกลมุ่ 2. นักเรียนทำแบบฝึกหัดท้ายหน่วยและแบบทดสอบหลังเรียนหน่วยท่ี 2 ในหนังสือเรียน แล้วนำส่ง ครผู สู้ อนตามเวลาทีก่ ำหนด 3. ครูและนักเรียนร่วมกันตรวจแบบฝึกหัดท้ายหน่วยและแบบทดสอบหลังเรียนหน่วยท่ี 2 พร้อมกับ บันทกึ คะแนนท่ีได้ 4. นักเรยี นทำขอ้ สอบเก็บคะแนนหนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 2 5. ครตู รวจและบันทกึ คะแนนสอบเก็บคะแนนหนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 2 พรอ้ มแจ้งคะแนนใหน้ ักเรียนทราบ 6. ส่ือและแหล่งการเรียนรู้ 6.1 ใบความรู้ ที่ 2 6.2 ใบกิจกรรม ที่ 2.1-2.4 6.3 ใบมอบหมายงานที่ 2.1 6.4 แบบทดสอบกอ่ น-หลงั เรยี นหน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 6.5 ข้อสอบเกบ็ คะแนนหนว่ ยการเรียนรูท้ ี่ 2 6.6 หนังสือเรียนวิชาวทิ ยาศาสตร์เพ่ือการพัฒนาอาชพี ธุรกจิ และบริการ 6.7 วซี ดี ี 6.8 สไลดน์ ำเสนอเนอ้ื หาจากโปรแกรม Microsoft PowerPoint 7. หลักฐานการเรียนรู้ 7.1 หลกั ฐานความรู้ - ผลการทำแบบทดสอบก่อน-หลงั เรียนหน่วยการเรยี นรูท้ ่ี 2 - ผลคะแนนสอบหนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 2 7.2 หลกั ฐานการปฏบิ ัตงิ าน - ผลการทำใบกิจกรรมท่ี 2.1-2.4 และใบมอบหมายงานที่ 2.1 - ผลการตอบแบบฝกึ หัดท้ายหน่วยและแบบทดสอบหลังเรียนหน่วยที่ 2 - สมดุ เชค็ ชอ่ื การเขา้ เรียนในวชิ าและสมดุ บนั ทกึ การส่งงาน

48 8. การวดั และประเมินผล 8.1 วธิ กี าร - ตรวจใบกจิ กรรมท่ี 2.1-2.4 และใบมอบหมายงานท่ี 2.1 - ตรวจแบบทดสอบกอ่ น-หลังเรียน แบบฝึกหดั ท้ายหน่วย และแบบทดสอบหลงั เรียนหน่วยที่ 2 ในหนังสือเรียน - ตรวจข้อสอบเกบ็ คะแนนหน่วยที่ 2 - สงั เกตพฤตกิ รรมการปฏิบัตกิ จิ กรรมกลุ่ม - สังเกตพฤตกิ รรมรายบคุ คล - สงั เกตและประเมนิ พฤติกรรมด้านคณุ ธรรม จรยิ ธรรม ค่านิยม และคุณลักษณะอนั พึงประสงค์ 8.2 เคร่อื งมอื - ใบกจิ กรรมที่ 2.1-2.4 และใบมอบหมายงานท่ี 2.1 - แบบทดสอบกอ่ น-หลงั เรียน แบบฝึกหดั ท้ายหน่วย และแบบทดสอบหลังเรยี นหน่วยท่ี 2 ใน หนงั สือเรียน - ข้อสอบเก็บคะแนนหนว่ ยที่ 2 - แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการปฏบิ ัติกิจกรรมกลุ่ม - แบบสงั เกตพฤติกรรมรายบคุ คล - แบบประเมินพฤตกิ รรมด้านคุณธรรม จรยิ ธรรม ค่านยิ ม และคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ 8.3 เกณฑ์ - ใบกิจกรรมที่ 2.1-2.4 และใบมอบหมายงานที่ 2.1 ต้องได้คะแนนไม่น้อยกว่าร้อยละ 60% ผ่านเกณฑ์ - แบบทดสอบหลังเรียน ต้องไดค้ ะแนนไม่น้อยกว่ารอ้ ยละ 60% ผ่านเกณฑ์ - ข้อสอบเกบ็ คะแนนหนว่ ยท่ี 2 ต้องไดค้ ะแนนไมน่ ้อยกวา่ รอ้ ยละ 50% ผ่านเกณฑ์ - แบบสังเกตพฤตกิ รรมการปฏบิ ตั ิกจิ กรรมกลุ่ม ตอ้ งไดค้ ะแนนไม่น้อยกว่าร้อยละ 60 ผา่ นเกณฑ์ - แบบสังเกตพฤตกิ รรมรายบคุ คล ตอ้ งได้คะแนนไมน่ ้อยกวา่ ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์ - แบบประเมินพฤติกรรมด้านคุณธรรม จริยธรรม คา่ นิยม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ตอ้ งได้ คะแนนไม่นอ้ ยกวา่ ร้อยละ 60 ผา่ นเกณฑ์

49 9. บนั ทกึ ผลหลังการจัดการเรยี นรู้ 9.1 ขอ้ สรุปหลงั การจดั การเรยี นรู้ ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... 9.2 ปัญหาทีพ่ บ ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... 9.3 แนวทางแก้ปญั หา ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................

50 แบบฝกึ หัด หน่วยการเรยี นรู้ที่ 2 เทคโนโลยีชวี ภาพ คำช้แี จง จงตอบคำถามตอ่ ไปนใ้ี หถ้ กู ตอ้ ง 1) เทคโนโลยชี ีวภาพคืออะไร .................................................................................................................................................................................... 2) พันธวุ ศิ วกรรมคอื อะไร .................................................................................................................................................................................... 3) ยกตัวอยา่ งพันธุวศิ วกรรมท่ใี ช้กันอยา่ งแพร่หลายในปจั จุบัน .................................................................................................................................................................................... 4) DNA สายผสมเกิดข้นึ ไดอ้ ย่างไร .................................................................................................................................................................................... 5) GMOs คืออะไร .................................................................................................................................................................................... 6) กระบวนการสร้าง DNA สายผสมมีขั้นตอนอย่างไร .................................................................................................................................................................................... 7) สิง่ มชี วี ติ ดดั แปรพันธกุ รรมมีประโยชน์อยา่ งไร .................................................................................................................................................................................... 8) การโคลน หมายถงึ อะไร .................................................................................................................................................................................... 9) การโคลนมีวิธกี ารอย่างไร .................................................................................................................................................................................... 10) การเพาะเลย้ี งเนื้อเยอ่ื คืออะไร .................................................................................................................................................................................... 11) การเพาะเล้ียงเน้ือเยือ่ ใช้ขยายพันธุ์พืชชนิดใด .................................................................................................................................................................................... 12) การเพาะเลี้ยงเนอ้ื เยอ่ื มีขั้นตอนใด .................................................................................................................................................................................... 13) การผสมเทยี มนิยมทำในสตั วช์ นิดใด .................................................................................................................................................................................... 14) ลายพิมพ์ DNA ของแตล่ ะบุคคลสามารถเปล่ียนแปลงไดห้ รือไม่


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook