Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แผนการจัดการเรียนรู้ คุณครูเอนก เหมือนทอง

แผนการจัดการเรียนรู้ คุณครูเอนก เหมือนทอง

Published by jatu library, 2022-06-27 02:25:29

Description: แผนการจัดการเรียนรู้ คุณครูเอนก เหมือนทอง

Search

Read the Text Version

101 แผนการจดั การเรยี นรู้ รายวิชาศานาและหนา้ ทีพ่ ลเมือง ครง้ั ท่ี 10 การจดั ทำหน่วยเรยี นรู้บูรณาการหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง ภาคเรยี นที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2565 กศน.ตำบลดนู่ อ้ ย ระดบั ประถมศกึ ษา ๑. สัปดาหท์ ่ี 10 วนั ที่ 19 เดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2565 เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐น. ๒. วชิ า ศาสนาและหน้าทพี่ ลเมอื ง รหสั วชิ า สค1๑๐๐2 จำนวน 2 หน่วยกิต ๓. มาตรฐานที่ 5.2 มีความรู้ ความเข้าใจ เหน็ คุณค่าและสืบทอดศาสนา วัฒนธรรม ประเพณีของประเทศใน ทวีปเอเชีย ๔. หน่วยการเรยี นร/ู้ เร่อื งศาสนา วัฒนธรรม ประเพณี ๕. สาระสำคญั จัดให้มกี ารค้นคว้าหาความรู้ จากส่อื เอกสาร ตำรา สื่ออเิ ล็กทรอนิกส์ ภูมปิ ญั ญา สถาบันทางศาสนา การฝึก ปฏบิ ัติ การทำโครงงาน การจัดกลมุ่ อภิปรายแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การวเิ คราะห์ สถานการณ์จำลอง การสรุปผลการ เรยี นรู้ และนำเสนอในรปู แบบตา่ งๆ ๖. เน้อื หา 1. ความเป็นมาของศาสนาในประเทศไทยและในทวีปเอเชีย ดังนี้ ศาสนาพทุ ธ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม ศาสนาฮนิ ดู 2. หลักธรรมในแต่ละศาสนาทท่ี ำให้อยู่ร่วมกับศาสนาอืน่ ได้อยา่ งมีความสขุ 3. วฒั นธรรมประเพณีในประเทศไทยและประเทศในเอเชีย ภาษา, การแตง่ กาย, อาหาร, ประเพณี ๗. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู/้ ผลการเรยี นร้ทู ค่ี าดหวงั (ดจู ากผงั การออกข้อสอบ) 1. มคี วามรู้ ความเข้าใจเก่ยี วกบั ความเป็นมาของศาสนาต่างๆ ในประเทศไทย และประเทศในทวีป เอเชยี 2. นำหลักธรรมสำคญั ๆในศาสนาของตนมาประพฤตปิ ฏบิ ัตใิ ห้สามารถอยรู่ ว่ มกันกบั ศาสนาอนื่ ได้ อย่างสนั ติสขุ 3. เห็นประโยชน์ในการนำหลักธรรม คำสอนในศาสนาที่ตนนับถอื มาประพฤตปิ ฏบิ ัติเพื่อใหเ้ ป็นคน ดใี นสงั คม 4. มคี วามรู้ ความเข้าใจในวฒั นธรรมประเพณขี องประเทศไทยและประเทศในเอเชีย ๘. การบรู ณาการกับหลักแนวคิดของเศรษฐกจิ พอเพยี ง (2 เงื่อนไข 3 หลักการ การเชื่อมโยงสู่ 4 มิติ) ความรู้ ในทวปี เอเชีย - นกั ศกึ ษามีความรเู้ ร่ืองเก่ยี วกับความเป็นมาของศาสนาตา่ งๆ ในประเทศไทย และประเทศ - นักศกึ ษามีความรู้ในวัฒนธรรมประเพณขี องประเทศไทยและประเทศในเอเชยี คุณธรรม - หลกั ธรรม คำสอน - การประพฤตปิ ฏบิ ัตติ น

102 พอประมาณ -ร้จู ักนำหลักธรรมสำคญั ๆในศาสนาของตนมาประพฤติปฏิบัตใิ หส้ ามารถอย่รู ว่ มกนั กับ ศาสนาอน่ื ได้อย่างสันติสขุ มเี หตุผล - ไดค้ วามรู้ ความเข้าใจในวฒั นธรรมประเพณขี องประเทศไทยและประเทศในเอเชีย มีภมู ิคุม้ กัน - เหน็ คุณค่าและประโยชนใ์ นการนำหลกั ธรรม คำสอนในศาสนาทต่ี นนับถือ มาประพฤติ ปฏิบัติเพื่อให้เปน็ คน ดใี นสงั คม วตั ถุ - มีความรู้ เร่อื งศาสนา วัฒนธรรม ประเพณี ท่ีสอดคล้องกบั วิถีชีวิตของคนในชุมชน สังคม - มที ักษะการอยู่ร่วมกนั ในชุมชน และยอมรบั ฟังความคดิ เห็นของผอู้ ่ืน สิ่งแวดล้อม - เหน็ คุณคา่ ของการรกั ษาศาสนา วัฒนธรรม ประเพณี ในชุมชนของผู้เรยี น วัฒนธรรม - มคี วามร้เู รอ่ื งวัฒนธรรมประเพณี - ปฏิบัติตนตามขนมธรรมเนยี มประเพณีไทยได้อยา่ งเหมาะสม 9. กระบวนการจดั การเรียนรแู้ ละกิจกรรมการเรียนรู้ ขน้ั ที่ 1 กำหนดสภาพปัญหาการเรยี นรู้ (O : Orientation) 1. ครูสรา้ งความคุ้นเคยกบั ผ้เู รยี นโดยการเปิดประเดน็ เรื่องศาสนาที่นักเรยี นส่วนใหญ่นบั ถือแล้วถามถงึ ความสำคัญและเหตุผลที่ต้องนับถอื ศาสนานั้นๆ 2. ครทู ำความเข้าใจกบั วชิ าพรอ้ มมาตรฐานและชี้แจงตวั ชวี้ ัดของหนว่ ยการเรียนรู้ 3. ครทู ักทายกล่าวนำและอธบิ ายการกำหนดเป้าหมายและการวางแผนการเรียนรู้เก่ยี วกบั ความเปน็ มาของ ศาสนาในประเทศไทยและในทวีปเอเชีย 4. ครูและผู้เรียนร่วมกันอภิปรายถึงประวัติความเป็นมาของศาสนาทีค่ นไทยนับถือและศาสนาอน่ื ๆทีร่ จู้ ักใน สงั คม 5. ครูเปดิ โอกาสใหผ้ เู้ รยี นซักถามขอ้ สงสัยก่อนเขา้ สบู่ ทเรยี นข้ันตอ่ ไป ขัน้ ที่ 2 แสวงหาขอ้ มูลและจัดการเรยี นรู้ (N : New ways of learning) 1. ครูและผเู้ รยี นวางแผนวิธกี ารเรียนรู้เนือ้ หาเรื่องความเป็นมาและหลกั ธรรมของศาสนาในประเทศ ไทยและในทวปี เอเชีย 2. ครูแจกใบความรู้ เร่ือง ศาสนาพทุ ธ ครสิ ต์ อิสลาม ฮินดู 3. ครแู จกใบความรู้ เร่ือง วัฒนธรรม ประเพณีของไทยและเอเชยี 4. ครูแจกใบความรู้ เรื่อง หลกั ธรรมของศาสนาพุทธ ศาสนาครสิ ต์ ศาสนาอิสลาม และศาสนาฮินดู 5. ครจู ัดทำฉลากแยกเป็นศาสนา พุทธ ครสิ ต์ อสิ ลาม ฮินดู แลว้ แบง่ กลุ่มผ้เู รยี นออกเป็น 4 กล่มุ จากน้ันครูให้ตวั แทนกลุ่มออกมาจับฉลากเพ่อื ศกึ ษาประวัติความเป็นมาและความสำคัญ หลกั คำสอน ศาสนา ของแต่ ละศาสนาท่จี ับฉลากได้

103 6. ครูกำหนดการเรียนรทู้ ี่เก่ยี วกับวัฒนธรรม ประเพณีของไทยและเอเชีย แลว้ แบ่งกลมุ่ ผเู้ รยี น ออกเปน็ 4 กลมุ่ จากนั้นครูให้ตวั แทนกลุม่ ออกมาจบั ฉลากเพ่ือศึกษาประวัติความเป็นมาและความสำคญั ของ วัฒนธรรม ประเพณขี องไทยและเอเชยี ทจี่ บั ฉลากได้ 7. ครใู ห้ผู้เรยี นเขียนแผนภาพความคดิ เกย่ี วกับหวั ข้อทต่ี นเองได้รบั มอบหมาย 8. ครูให้ผู้เรียนส่งตวั แทนกลมุ่ ออกมานำเสนอหน้าชัน้ เรยี นในเรอื่ งที่ตนเองได้ศกึ ษาคน้ ควา้ ขน้ั ท่ี 3 การปฏบิ ัตแิ ละการนำไปใช้ ( I : Implementation) 1. ครูและผู้เรียนสรปุ เนื้อหาท่ีได้เรียนร้รู ่วมกัน 2. ครใู หผ้ เู้ รยี นรว่ มกนั จดั ป้ายนเิ ทศแสดงผลงานของตนเอง ขน้ั ที่ 4 การประเมินผลการเรียนรู้ (E : Evaluation) 1. ครูใหผ้ ู้เรียนมีส่วนรว่ มในการประเมนิ ผลช้ินงานของแต่ละกลุ่มโดยการเขยี นช่ือของตนเองในชน้ิ งานท่ี ตนเองชืน่ ชอบ 2. ครสู ังเกตจากการมสี ่วนรว่ มของผเู้ รยี น 10. สื่อ/แหล่งเรียนรู้ 1. ใบความรู้ 2. หนงั สือเรียน 3. ใบงาน 11. การวดั และประเมนิ ผล 11.1 วธิ ีการวดั และประเมนิ ผล - แบบประเมินผลการสงั เกตพฤติกรรมการทำงานรว่ มกับผูอ้ น่ื ของนกั ศึกษารายบุคคล - ใบงาน 11.2 เครื่องมอื วัดและประเมินผล. - ประเมินผลการสงั เกตพฤตกิ รรมการทำงานร่วมกบั ผู้อ่นื ของนักศกึ ษารายบคุ คล - ผลจากการตรวจใบงาน 11.3 เกณฑก์ ารวัดและการประเมนิ ผล - แบบประเมินผลการสังเกตพฤติกรรมการทำงานรว่ มกับผู้อื่นของนกั ศึกษารายบคุ คล ระดบั ดี พอใช้ และควรปรับปรุง - ใบงานคะแนนเตม็ 10 คะแนน กิจกรรมเสนอแนะ ..................................................................................................................................................................................... .... ลงชอ่ื …………………………………………….ครูผู้สอน (นายเอนก เหมือนทอง ครู กศน.ตำบล ขอ้ เสนอแนะของผู้บรหิ าร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชือ่ ……………………………………………ผอู้ นุมตั แิ ผน (นางปทั มาภรณ์ ศรเี นตร) ผู้อำนวยการ กศน.อำเภอจตุรพักตรพมิ าน

104 บนั ทกึ หลังการจดั การเรียนรู้ การจดั ทำหนว่ ยเรียนร้บู ูรณาการหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง กศน.ตำบลดนู่ อ้ ย คร้งั ท่ี 10 วันท่ี 19 เดอื น กรกฎาคม พ.ศ. 2565 ครูผู้สอน นายเอนก เหมอื นทอง ระดับ ประถมศึกษา เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐ น. สาระพัฒนาสังคม รายวชิ าศาสนาและหน้าที่พลเมอื ง รหัสวชิ า สค1๑๐๐2 จำนวนผูเ้ รยี นทงั้ หมด ............... คนเขา้ เรยี น…………………คน ไม่เขา้ เรยี น……………………….คน ๑. ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การประเมนิ โดยใช้ แบบทดสอบก่อนเรียน - หลงั เรยี น พบว่า คะแนนการทดสอบหลงั เรยี น มากกว่าก่อนเรียนจำนวน ........ คนคดิ เปน็ ร้อยละ............ คะแนนการทดสอบหลงั เรียน นอ้ ยกว่าก่อนเรียนจำนวน ......... คนคดิ เป็นร้อยละ............ ๒. เนอื้ หา/สาระ ............................................................................................................................. ............................ ......................................................................................................................................................... ................................................................................................ ......................................................... ๓. กจิ กรรมการเรียนการสอน ............................................................................................................................. ............................ ............................................................................................................................................................................ ....................................................................................................... ............................... ๔. ปญั หา/อปุ สรรค การเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ............................ ......................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ............................ ๕. แนวทางการแกป้ ญั หา ................................................................................................................................................... ...... ......................................................................................................................................................... ลงชือ่ ....................................................... (นายเอนก เหมือนทอง) ครผู ู้สอน วันที.่ ............../.................../............... ความคดิ เหน็ /ขอ้ เสนอแนะของผู้บริหาร .................................................................................. ....................................................................................................... ................................................................................................................................. .................. ลงชื่อ.................................................................. (นางปัทมาภรณ์ ศรีเนตร) ผูอ้ ำนวยการ กศน.อำเภอจตุรพกั ตรพมิ าน

105 ใบความรทู้ ี่ 1 เรือ่ ง ศาสนา วัฒนธรรม ประเพณี หลักธรรมของศาสนาต่างๆ ของโลก ศาสนามีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตของบุคคลในสังคม เพราะศาสนาทุกศาสนามีจุดมุ่งหมายเพ่ือให้ทำ ความดลี ะเว้นความชวั่ ศาสนาจงึ มอี ิทธพิ ลต่อคนในสงั คม องค์ประกอบของศาสนา มีดังนี้ 1. ศาสดา คือ ผกู้ ่อต้งั ศาสนา 2. คมั ภีร์ คือ หลักคำสอนเกยี่ วกับศีลธรรมจรรยา 3. นกั บวช คอื ผู้สืบทอดคำสอน 4. พธิ ีกรรม คอื การปฏิบตั ิในการทำพิธีทางศาสนา 5. ศาสนสถาน คือ สถานท่ีควรเคารพบูชาและใช้ประกอบพิธีทางศาสนา ศาสนาอิสลาม ไม่มีนักบวช แต่มี ศาสดา มีคัมภรี ์ มีศาสนสถาน และพธิ กี รรม นับเปน็ ศาสนาเช่นกัน ความสำคญั ของศาสนา 1. เป็นพืน้ ฐานของกฎศลี ธรรมของสังคม 2. เปน็ แหลง่ กำเนิดจริยธรรม 3. เปน็ แหล่งทท่ี ำให้เกดิ ศลิ ปวฒั นธรรม และประเพณี 4. เปน็ กลไกของรฐั ในการควบคมุ สงั คม 5. เปน็ บรรทดั ฐานของสงั คมทีใ่ ช้ในการปฏบิ ัตเิ พอ่ื ใหเ้ ป็นไปในแนวเดยี วกัน ทมี่ า :http://www.baanjomyut.com/library_2/extension-3/human_society/01.html ความหมายของวฒั นธรรม \"วัฒนธรรม\" หมายถึง \"แบบอย่างหรือวถิ ีการดำเนินชีวติ ของชุมชนแต่ละกลุ่ม เป็นตัวกำหนดพฤติกรรมการ อยู่ร่วม กันอย่างปกติสุขในสังคม\" วัฒนธรรมแต่ละสังคมจะแตกต่างกัน ข้ึนอยู่กับข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์ และ ทรัพยากร ต่างๆ ลักษณะอีกประการหนึ่งของวัฒนธรรมคือ เป็นการสั่งสมความคิด ความเช่ือ วิธีการ จากสังคมรุ่น ก่อนๆ มีการเรียนรู้ และสามารถถ่ายทอดไปยังรุ่นต่อๆ ไปได้ วัฒนธรรมใดที่มีรูปแบบ หรอื แนวความคิดท่ีไม่เหมาะสม ก็อาจจะเลือนหายไป วัฒนธรรม เป็นส่ิงที่แสดงความเปน็ ชาติให้ปรากฏชัดเจนข้ึน ประเทศไทยมีวัฒนธรรมท่ีโดดเด่นทำให้คนไทย แตกต่างจากชาติอ่ืน ๆ มีเอกลักษณ์ประจำชาติท่ีเห็นได้จากภาษาท่ีใช้ อุปนิสัยใจคอ ความรู้สึกนึกคิดตลอดจนการ แสดงออกที่นุ่มนวล อันมีผลมาจากสังคมไทยที่เป็นสังคมแบบประเพณีนำ และเป็นสังคมเกษตรกรรม เนื่องจาก ประชากรส่วนใหญ่ใช้ชีวิตอยู่ในชนบท สภาพของสิ่งแวดล้อมท่ีดี กลอ่ มเกลาจิตใจมคี วามโอบออ้ มอารี มนี ้ำใจเอ้ือเฟื้อ เกอื้ กลู ซงึ่ กนั และกันตลอดมา หากแบ่งวฒั นธรรมด้วยมิตทิ างการท่องเท่ียวแล้ว จะสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่ วัฒนธรรมท่ีเป็นนามธรรม หมายถึงสิ่งท่ีไม่ใช่วัตถุ ไม่สามารถมองเห็น หรือจับต้องได้ เป็นการแสดงออกใน ด้าน ความคดิ ประเพณี ขนบธรรมเนยี ม แบบแผนของพฤติกรรมต่าง ๆ ทปี่ ฏบิ ัตสิ ืบต่อกันมา เปน็ ท่ียอมรบั กันในกลุ่ม ของ ตนว่าเป็นส่ิงที่ดีงามเหมาะสม เชน่ ศาสนา ความเชื่อ ความสนใจ ทัศนคติ ความรู้ และความสามารถ วัฒนธรรม ประเภทน้ีเป็นส่วนสำคัญท่ีทำให้เกิด วัฒนธรรมท่ีเป็นรูปธรรมข้ึนได้และในบางกรณีอาจพัฒนาจนถึงขั้นเป็น อารย ธรรม (Civilization) ก็ได้ เช่น การสร้างศาสนสถานในสมัยก่อน เม่ือเวลาผ่านไปจึงกลายเป็นโบราณสถาน ท่ีมี ความสำคญั ทางประวัตศิ าสตร์

106 หากพิจารณาความหมาย และลักษณะของวฒั นธรรมท่ีกล่าวไวข้ ้างต้นแล้ว ทรัพยากรการท่องเท่ียวประเภทที่ 2 เป็นผลผลิตของวัฒนธรรมที่มีตัวตน เป็นรูปธรรมเห็นได้ชัดเจน ส่วนประเภทที่ 3 มีสภาพแรกเริ่มมาจาก แนวความคิด ความเชื่อและวิถชี วี ิต ซึง่ เป็นนามธรรม แต่ไดม้ กี ารพัฒนาจนมลี ักษณะทางวฒั นธรรมท่ีเปน็ รูปแบบข้ึนมา ทำใหน้ ัก ท่องเท่ยี วสามารถสมั ผัสทรพั ยากรการทอ่ งเทีย่ วประเภทนี้ได้โดยตรง จึงเห็นได้ชัดเจนว่า วัฒนธรรมท่ีเป็นแนวความคิด ความเช่ือ เป็นนามธรรมล้วน ๆ แต่เพียงอย่างเดียว ไม่ถือ ว่าเป็น ทรัพยากรทางการท่องเท่ียว วัฒนธรรมท่ีเป็นรูปธรรมเท่านั้น จึงจะสามารถพัฒนาให้เป็นจุดสนใจของ นกั ท่องเท่ียวได้ ตัวอย่างวัฒนธรรมทจ่ี ะนำมาใช้ประโยชนใ์ นการทอ่ งเทีย่ ว ได้แก่ แหล่งท่องเทีย่ วประเภทโบราณสถาน อุทยาน ประวัติศาสตร์ ศาสนสถาน โบราณวัตถุ งานศิลปกรรม สถาปัตยกรรม นาฏศิลป์ การละเล่นพื้นบ้าน เทศกาล และงาน ประเพณี งานศลิ ปหตั ถกรรมท่ีพฒั นามาเป็นสนิ ค้าประจำทอ้ งถิ่น ตลอดจนวถิ ีชวี ิตความเป็นอยู่ และอัธยาศัย ไมตรีของ คนไทย ล้วนแลว้ แต่เป็นทรัพยากรการท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศไทย เป็นเสมือนตัวเสริมการท่องเท่ียว ให้มีความ สมบูรณ์ เป็นจุดเด่นหรือจุดขายของแหล่งท่องเท่ียวนั้นๆ เพิ่มความประทับใจให้นักท่องเที่ยวได้มากข้ึน ถึงแม้ว่า ประเทศไทยจะมีทรัพยากรประเภทศิลปวัฒนธรรมที่หลากหลาย แต่ก็มีการผสมผสานสอดคล้องเป็น วัฒนธรรมไทย ไดอ้ ยา่ งกลมกลนื ความหมายของประเพณี ประเพณีไทย มีความหมายรวมถึง แบบความเชื่อ ความคิด การกระทำ ค่านิยม ทัศนคติ ศีลธรรม จารีต ระเบียบ แบบแผน และวิธกี ารกระทำส่ิงต่างๆ ตลอดจนถึงการประกอบพิธีกรรมในโอกาสต่างๆ ที่กระทำกันมาแต่ใน อดีต ลักษณะสำคัญของประเพณี คือ เป็นสงิ่ ที่ปฏบิ ัตเิ ชื่อถอื มานานจนกลายเป็นแบบอย่างความคิด หรือการ กระทำท่ี สบื ตอ่ กนั มา และยังมอี ทิ ธิพลอย่ใู นปจั จุบัน ประเพณีเกิดจากความเชื่อในส่งิ ทีม่ ีอำนาจเหนือมนษุ ย์ เช่น อำนาจของดินฟ้าอากาศ และเหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้น โดยไม่ทราบสาเหตุต่างๆ ฉะน้ัน ประเพณี คือ ความประพฤติของคนส่วนรวมท่ีถือกันเป็นธรรมเนียม หรือ เป็น ระเบียบแบบแผน และสืบต่อกันมาจนเป็นพิมพ์เดียวกัน และยังคงอยู่ได้ก็เพราะมีส่ิงใหม่เข้ามาช่วยเสริม สร้างสิ่งเก่า อยูเ่ สมอ และกลมกลืนเข้ากนั ได้ดี ประเพณี คอื ระเบียบแบบแผนในการปฏบิ ตั ทิ ่ีเห็นว่าดีกว่า ถกู ต้องกวา่ หรอื เป็นทยี่ อมรับของคนส่วนใหญใ่ น สังคมและมกี ารปฏิบัติสบื ต่อกันมา ประเพณี คือ ความประพฤติที่สืบต่อกันมาจนเป็นท่ียอมรับของคนส่วนใหญ่ในหมู่คณะ เป็นนิสัยสังคม ซึ่ง เกิดขึ้นจากการที่ต้องเอาอย่างบุคคลอื่น ๆ ที่อยู่รอบๆ ตน หากจะกล่าวถึงประเพณีไทยก็หมายถึง นิสัยสังคม ของคน ไทยซ่ึงได้รับมรดกตกทอดมาแต่ด้ังเดิมและมองเห็นได้ในทุกภาคของไทย ประเพณี เป็นเรื่องของความประพฤติของ กลุ่มชน ยึดถือเป็นแบบแผนสืบต่อกันมานาน ถ้าใครประพฤตินอก แบบ ถือเป็นการผิดประเพณี เป็นการแสดงถึง เอกลกั ษณข์ องชาติอีกอย่างหนงึ่ โดยเน้ือหาสาระแลว้ ประเพณี กบั วฒั นธรรมเป็นส่ิงที่กลุ่มชนในสังคมร่วมกันสรา้ งขึ้น แต่ประเพณีเป็นวัฒนธรรมที่มีเงื่อนไขท่ีค่อนข้าง ชัดเจน กล่าวคือเป็นสิ่งท่ีสังคมสร้างขึ้นเป็นมรดก คนรุ่นหลังจะต้อง รบั ไว้ และปรับปรุงแก้ไขให้ดยี ิง่ ๆ ขน้ึ ไป รวมทง้ั มกี ารเผยแพร่แก่คนในสังคมอน่ื ๆ ดว้ ย ท่ีมา :https://www.gotoknow.org/posts/508581

107 ใบงานท่ี 1 เรือ่ ง ศาสนา วัฒนธรรม ประเพณี เรื่อง ความหมาย ความสำคัญของวัฒนธรรมประเพณี …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. เร่ือง วัฒนธรรมประเพณีท่ีสำคญั ของท้องถ่ิน และของประเทศ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. เรอ่ื ง การอนรุ ักษ์ สบื สานวฒั นธรรมประเพณไี ทย …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. เรอ่ื ง คา่ นิยมทพี่ ึงประสงค์ของไทยและของท้องถน่ิ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… เรอ่ื ง การประพฤตปิ ฏิบัตติ นตามคา่ นยิ มท่พี ึงประสงค์ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

108 แผนการจัดการเรยี นรู้ รายวิชาศาสนาและหนา้ ทพ่ี ลเมอื ง ครง้ั ที่ 11 การจดั ทำหน่วยเรียนร้บู ูรณาการหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2565 กศน.ตำบลดนู่ อ้ ย ระดบั ประถมศึกษา ๑. สปั ดาหท์ ่ี 11 วันที่ 26 เดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2565 เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐น. ๒. วชิ าศาสนาและหนา้ ทพี่ ลเมอื ง รหสั วชิ า สค1๑๐๐2 จำนวน 2 หนว่ ยกติ ๓. มาตรฐานที่ 5.3 ปฏบิ ัติตนเปน็ พลเมืองดีตามวิถีประชาธปิ ไตย มีจติ สาธารณะ เพ่ือความสงบสขุ ของสงั คม ๔. หน่วยการเรยี นร/ู้ เรอื่ งหนา้ ท่ีพลเมอื งไทย ๕. สาระสำคัญ เปน็ สาระทีเ่ กีย่ วกบั ความหมายของประชาธปิ ไตย สิทธิ เสรภี าพ บทบาทหน้าทข่ี องพลเมืองใน วิถปี ระชาธปิ ไตย การมีสว่ นร่วมในการปฏิบัติตนตามกฎหมาย มีคุณธรรมและคา่ นิยมพื้นฐานในการอยู รว่ มกันอยา่ งปรองดองสมานฉันท์ ปัญหา และสถานการณการเมอื งการปกครองทเี่ ป็นกรณีตวั อยา่ งท่ี เกิดขน้ึ ในชมุ ชน กฎหมายท่ีเก่ียวขอ้ งกับตนเองและครอบครวั กฎหมายท่ีเกี่ยวข้องกับชุมชน กฎหมายอ่ืน ๆ เช่น กฎหมายแรงงานและสวสั ดิการ กฎหมายวา่ ด้วยสทิ ธิเดก็ และสตรี และการมสี ่วนร่วมของประชาชน ในการป้องกันและปราบปรามการทจุ ริต ๖. เนอ้ื หา เรอ่ื งที่ 1 รัฐธรรมนูญ เร่ืองท่ี 2 ความรูเบ้ืองต้นเกยี่ วกบั กฎหมาย เร่ืองท่ี 3 กฎหมายทีเ่ ก่ยี วข้องกับตนเองและครอบครวั เรือ่ งที่ 4 กฎหมายทเ่ี กยี่ วกบั ชมุ ชน เรื่องท่ี 5 กฎหมายอ่ืน ๆ ๗. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู/้ ผลการเรียนร้ทู ค่ี าดหวัง (ดูจากผังการออกข้อสอบ) 1. รแู ละเขา้ ใจในเรอ่ื ง สทิ ธิ เสรีภาพ บทบาทหนา้ ที่ และคุณคา่ ของความเป็นพลเมอื งดี ตามแนวทางประชาธปิ ไตย 2. ตระหนักในคุณค่าของการปฏบิ ตั ิตนเป็นพลเมืองดีตามวิถปี ระชาธิปไตยและมีคุณธรรม คานยิ มพื้นฐาน ในการอยูรว่ มกนั อย่างปรองดองสมานฉนั ท์ 3. แยกแยะปัญหา และสถานการณการเมืองการปกครองท่ีเกิดขึ้นในชมุ ชน 4. รแู ละเขา้ ใจสาระทว่ั ไปเกี่ยวกบั กฎหมาย 5. นำความรูกฎหมายทเี่ กยี่ วขอ้ งกับตนเอง ครอบครวั ชมุ ชน และประเทศชาติไปใชใ้ นชีวิตประจำวันได 6. เห็นคณุ คา่ และประโยชนของการปฏบิ ัติตนตามกฎหมาย 7. มีจิตสำนกึ ในการป้องกันปญั หาการทุจรติ ๘. การบรู ณาการกับหลักแนวคิดของเศรษฐกิจพอเพยี ง (2 เงือ่ นไข 3 หลักการ การเชอื่ มโยงสู่ 4 มติ )ิ ความรู้ - นักศึกษามคี วามร้เู ร่ือง สิทธิ เสรีภาพ บทบาทหนา้ ที่ และคณุ ค่าของความเปน็ พลเมืองดี ตามแนวทางประชาธปิ ไตย - ความร้เู รอื่ งกฎหมายทเี่ กีย่ วข้องกับตนเอง ครอบครวั ชุมชน และประเทศชาติไปใชใ้ น ชีวติ ประจำวนั ได คณุ ธรรม

109 - เคารพในระเบียบกฎหมายและปฏบิ ตั ิอยา่ งมคี ุณธรรมต่อตนเองและชุมชน เชน่ การ ช่วยเหลือ การไม่เบยี ดเบียน การยดึ ถอื ประเพณี ค่านิยมและสงั คม พอประมาณ - รู้จักบทบาทและหนา้ ท่ีความเปน็ พลเมืองดี และการวเิ คราะหแ์ นวทางการสร้างเสริมความ เป็นพลเมืองดีของตนเองและชุมชน มีเหตผุ ล - การเรยี นถงึ เหตผุ ลและความจำเป็นของกฎหมายทคี่ วรรู้ในการดำรงชีวิตประจำวนั - เขา้ ใจในการปกครองและการเมืองตามแนวทางเศรษฐกจิ พอเพียง - การวเิ คราะหเ์ ปรยี บเทียบการเมอื งการปกครองระบอบประชาธปิ ไตย ตามแนวทาง เศรษฐกจิ พอเพยี งกับการปกครองในระบบอ่นื ๆ มีภูมคิ ุ้มกัน - เขา้ ใจและหาแนวทางการสร้างเสรมิ ความเป็นพลเมืองดีใหก้ บั ตนเองและคนอน่ื ได้ - ทำตนเปน็ ประโยชนต์ ่อครอบครัวชมุ ชนและสังคม วตั ถุ - รู้จกั เคารพในระเบียบกฎหมายและปฏบิ ตั ิอย่างมีคุณธรรมต่อตนเองและชุมชน สังคม - มีทักษะการอย่รู ว่ มกันในชุมชน และทำงานร่วมกับผู้อ่ืนได้อย่างมีความสขุ สง่ิ แวดล้อม - นำความรูกฎหมายท่ีเก่ยี วข้องกบั ตนเอง ครอบครวั ชุมชน และประเทศชาติไปใชใ้ น ชวี ติ ประจำวนั วฒั นธรรม - เหน็ คุณคา่ ของการปฏิบตั ิตนเปน็ พลเมืองดีตามวถิ ีประชาธปิ ไตยและมีคณุ ธรรม - เหน็ คณุ ค่า และประโยชนของการปฏิบัติตนตามกฎหมาย 9. กระบวนการจัดการเรียนรู้และกิจกรรมการเรียนรู้ ขัน้ ที่ ๑ กำหนดสภาพปัญหาการเรยี นรู้ (O : Orientation) 1. ครูชวนผูเ้ รยี นพดู คุยเกีย่ วกับรัฐธรรมนูญวา่ มคี วามสำคัญและเกย่ี วข้องกับการดำเนนิ ชวี ิตประจำวนั อยา่ งไร 2. ครแู ละผู้เรียนรว่ มกันอภิปรายเรอ่ื งโครงสร้างและสาระสำคัญของรัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักร ไทยพร้อมกับพูดคุยเร่ืองบทบาท หน้าท่ีในการปฏบิ ตั ิเปน็ พลเมืองดี 3. ครูเปดิ โอกาสให้ผู้เรยี นซักถามข้อสงสัยก่อนเขา้ สู่บทเรยี นขน้ั ตอ่ ไป ขน้ั ที่ ๒ แสวงหาข้อมลู และจัดการเรียนรู้ (N : New ways of learning) 1. ครูแจกใบความร้เู ร่ือง ความเป็นมา หลักการ เจตนารมณข์ องรัฐธรรมนญู 2. ครูให้ผู้เรยี นศึกษาใบความรู้ พรอ้ มทง้ั สรุปใจความสำคญั มาตามความเข้าใจของนักศกึ ษา 3. ครูสมุ่ ตวั อยา่ งผู้เรยี นออกมาแสดงความความคิดเห็นตามทตี่ นเองสรปุ ไว้

110 4. ครูแบง่ กลุ่มผเู้ รียนออกเป็น 2 กลุ่ม เพ่ือศึกษากรณตี วั อย่างเกย่ี วกับเหตกุ ารณ์ 14 ตลุ า และ พฤษภาทมฬิ วา่ เกดิ การเปล่ยี นแปลงอย่างไรจากกรณีตัวอย่างท่ี 2 กรณี 5. ครูให้ผูเ้ รยี นส่งตวั แทนกลุ่มนำเสนอความรูจ้ ากการศกึ ษากรณตี วั อย่าง พร้อมถกแถลงรว่ มกัน 6. ครใู ห้ผู้เรียนทำใบงาน เรอื่ ง ความเปน็ มา หลกั การ เจตนารมณ์ของรฐั ธรรมนญู 7. ครแู จกใบความรู้ เร่ือง โครงสรา้ งและสาระสำคัญของรัฐธรรมนูญ 8. ครูแบง่ กลุ่มผู้เรียนออกเป็น 3 กลมุ่ แลว้ ให้แตล่ ะกลุ่มคัดเลอื กหวั หน้ากลมุ่ รองหวั หน้ากลุ่ม และเลขานุการการ จากน้ันใหห้ วั หนา้ กลุ่มออกมาจบั ฉลากเพอ่ื เลือกหัวข้อของรฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทยที่ จะตอ้ งนำไปศึกษาคน้ คว้าพร้อมยกตวั อยา่ งรฐั ธรรมนญู ท่ีจำเปน็ และการนำไปใช้สำหรบั การดำเนินชวี ิตในสังคม ปัจจบุ ันดังน้ี ดังน้ี หมวด 3 สิทธิเสรภี าพของชนชาวไทย หมวด 4 หน้าท่ีของชนชาวไทย หมวด 14 การปกครองสว่ นทอ้ งถ่นิ 9. ครใู ห้ผู้เรียนแต่ละกลมุ่ จัดบอร์ดแสดงผลงานของแต่ละกลมุ่ ตามหัวข้อท่ีได้ไปศึกษาแล้วนำผลงาน มานำเสนอหนา้ ช้ันเรียน 10. ครูแจกใบความรู้ เรือ่ งสทิ ธิ เสรภี าพและหนา้ ท่ีของประชาชน 11. ครูใหผ้ ู้เรยี นศึกษาค้นคว้าขอ้ มลู ที่เก่ยี วกบั สิทธิเสรภี าพและหน้าท่ขี องประชาชนจาก ใบงาน หนงั สอื สอื่ สงิ่ พิมพห์ รือแหล่งเรียนรู้ เชน่ อนิ เตอรเ์ น็ต แล้วสรปุ เปน็ ใบงานสง่ ครู 12. ครูใหผ้ ้เู รียนนำผลการศึกษาค้นคว้ามานำเสนอในกลุ่มผู้เรียนให้เพ่ือนฟังโดยการส่มุ ตัวอยา่ ง พร้อมทง้ั ใหผ้ ู้เรยี นนำใบงานส่งครู ขั้นท่ี ๓ การปฏิบตั แิ ละการนำไปใช้ (I : Implementation) ครแู ละผูเ้ รยี นรว่ มกันแลกเปลี่ยนเรยี นรแู้ ละสรปุ ความรู้เบื้องต้นท่ีไดจ้ ากแบบสอบถาม เพ่ือนำมา วิเคราะห์สรปุ ผล และจดั ทำรายงานรวบรวมเปน็ แฟ้มสะสมงาน ขน้ั ที่ ๔ การประเมินผลการเรียนรู้ (E : Evaluation) 1. ครูสงั เกตจากการมสี ่วนรว่ มของผเู้ รยี น 2. ตรวจใบงาน 10. สอื่ /แหล่งเรียนรู้ - หนงั สือแบบเรยี น - ใบงาน - ใบความรู้ - สื่ออินเตอร์เน็ต ๑1. การวัดและประเมินผล 11.1 วธิ กี ารวดั และประเมินผล - แบบประเมินผลการสงั เกตพฤติกรรมการทำงานรว่ มกบั ผู้อ่นื ของนกั ศึกษารายบคุ คล - ใบงาน 11.2 เครือ่ งมือวดั และประเมินผล. - ประเมินผลการสงั เกตพฤตกิ รรมการทำงานรว่ มกบั ผู้อ่ืน ของนักศกึ ษารายบุคคล - ผลจากการตรวจใบงาน

111 11.3 เกณฑ์การวดั และการประเมนิ ผล - แบบประเมนิ ผลการสังเกตพฤติกรรมการทำงานร่วมกบั ผูอ้ ่นื ของนกั ศึกษารายบคุ คล ระดับดี พอใช้ และควรปรับปรุง - ใบงานคะแนนเตม็ 10 คะแนน กจิ กรรมเสนอแนะ ...................................................................................................................................................................... ................... ......................................................................................................................................................................................... ลงชอ่ื ……………………………………ครผู ูส้ อน (นายเอนก เหมอื นทอง) ครู กศน.ตำบล ขอ้ เสนอแนะของผู้บริหาร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ลงชื่อ……………………………………………ผู้อนมุ ตั ิแผน (นางปทั มาภรณ์ ศรีเนตร) ผ้อู ำนวยการ กศน.อำเภอจตุรพกั ตรพิมาน

112 บนั ทึกหลังการจัดการเรยี นรู้ การจดั ทำหน่วยเรียนรู้บูรณาการหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง กศน.ตำบลดนู่ อ้ ย ครง้ั ท่ี ๑1 วนั ที่ 26 เดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2565 ครผู สู้ อน นายเอนก เหมือนทอง ระดับ ประถมศึกษา เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐ น. สาระพฒั นาสงั คม รายวิชาศาสนาและหนา้ ท่ีพลเมือง รหสั วชิ า สค1๑๐๐2 จำนวนผู้เรียนทั้งหมด ............... คนเข้าเรียน…………………คน ไม่เข้าเรียน……………………….คน ๑. ผลการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้การประเมินโดยใช้ แบบทดสอบก่อนเรยี น - หลงั เรยี น พบวา่ คะแนนการทดสอบหลงั เรียน มากกวา่ ก่อนเรยี นจำนวน ........ คนคิดเปน็ รอ้ ยละ............ คะแนนการทดสอบหลงั เรียน นอ้ ยกว่าก่อนเรียนจำนวน ......... คนคดิ เป็นร้อยละ............ ๒. เน้อื หา/สาระ ......................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................... ......................................................................................................................... ................................ ๓. กิจกรรมการเรยี นการสอน ......................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ......... ๔. ปญั หา/อุปสรรค การเรียนการสอน ......................................................................................................................................................... ................................................................................................ ......................................................... ๕. แนวทางการแกป้ ญั หา ..................................................................................................................................... .................... ......................................................................................................................................................... ลงชอื่ ....................................................... (นายเอนก เหมือนทอง) ครผู ู้สอน วนั ที่.............../.................../............... ความคดิ เหน็ /ข้อเสนอแนะของผู้บริหาร ......................................................................................................................................................................................... .............................................................................................................. ..................................... ลงช่ือ.................................................................. (นางปทั มาภรณ์ ศรเี นตร) ผู้อำนวยการ กศน.อำเภอจตรุ พักตรพิมาน วนั ท่ี.............../.................../...............

113 ใบความรทู้ ่ี 1 เร่ือง สิทธิ เสรภี าพบทบาทหนา้ ทข่ี องพลเมืองในวิถปี ระชาธปิ ไตย พน้ื ฐานความเปน็ พลเมืองในระบอบประชาธิปไตย สิ่งหน่ึงที่จะทำให้สังคมไทยมีความสงบสุขและเกิดสันติสุขได้ คือ คนไทยทุกคนต้องปฏิบัติตนเป็นพลเมืองใน ระบบประชาธิปไตย มีหลกั ประประชาธิปไตยในการดำรงชีวิต ปฏิบัติตนตามกฎหมาย และดำรงตนเป็นประโยชน์ต่อ สังคม ซ่ึงการสร้างความเป็นพลเมืองไม่ใช่การทำให้ประชาชนรู้ถึงสิทธิและหน้าที่ที่ตนเองมี แต่ส่ิงที่จะต้องทำให้ ประชาชนได้เรียนรู้และเข้าใจอย่างถูกต้องสิ่งแรกคือ “พื้นฐานความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย มีหลัก 3 ประการ คอื 1. เคารพศักดิ์ศรคี วามเป็นมนษุ ย์ ที่ทุกคนเกิดมามีคุณค่าเทา่ กันมิอาจล่วงละเมิดได้ การมีอสิ รภาพและความ เสมอภาค การยอมรบั ในเกียรติภูมิของแตล่ ะบุคคล โดยไม่คำนึงถึงสถานภาพทางสังคม ยอมรับความแตกต่างของทุก คน 2. เคารพสิทธิ เสรีภาพ และกฎกติกาของสังคมท่ีเป็นธรรม โดยให้ความสำคัญต่อสิทธิ เสรีภาพ การมีกฎ กติกาท่วี างอยู่บนความยุตธิ รรมและชอบธรรม มหี ลกั นติ ริ ฐั ในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพมใิ ห้ถกู ละเมดิ 3. รับผิดชอบต่อตนเอง ผู้อื่น และสังคม โดยตระหนักถึงบทบาท หน้าที่ของความเป็นพลเมืองในระบอบ ประชาธิปไตยท่ีมงุ่ เน้นเน้ือหาท่ีมคี ุณลักษณะสำคัญในหน้าทีแ่ ละความรับผิดชอบของตนเองต่อสังคม การดำรงตนเป็น ประโยชน์ต่อสังคมช่วยเหลือเก้ือกูลกนั ใช้สติปัญญาในการแก้ไขปัญหาด้วยเหตุและผล ดังน้นั หากประชาชนได้เข้าใจ ในหลกั พื้นฐานความเป็นพลเมือง ทง้ั 3 หลักการท่ีกล่าวขา้ งต้นอย่างถูกต้องแล้ว และสามารถนำไปปฏบิ ัติให้เกิดผลได้ ก็จะทำให้สังคมไทยพัฒนาเป็นสงั คมประชาธิปไตยอยา่ งแท้จรงิ หลักพื้นฐานความเป็นพลเมอื งในระบอบประชาธปิ ไตย การปกครองในระบอบประชาธิปไตย เป็นการปกครองท่ีประชาชนทุกคนมีส่วนร่วมในการปกครองประเทศ การปกครองในระบอบประชาธิปไตยจะประสบความสำเร็จได้น้ันจะต้องสร้าง “ความเป็นพลเมือง” ให้ประชาชน สามารถปกครองตนเองได้ ดังนั้น ความเป็น “พลเมืองในระบอบประชาธิปไตย” จึงมีคุณลักษณะท่ีสำคัญ คือ เป็น บุคคลท่ีสามารถแสดงบทบาทหน้าท่ีและความรับผิดชอบของตนเองต่อสังคม อีกท้ังดำรงตนเป็นประโยชน์ต่อสังคม ช่วยเหลอื เกื้อกลู กัน อนั จะก่อให้เกดิ การพฒั นาสังคมและประเทศชาติ ให้เป็นสงั คมประชาธิปไตย ซึ่งการสรา้ งพลเมือง ให้มีความเปน็ พลเมอื งในระบอบประชาธปิ ไตยน้นั มีหลกั พน้ื ฐานอยู่ 3 ประการ ดงั นี้ 1.เคารพศกั ดิ์ศรีความเปน็ มนุษย์ 2. เคารพสิทธิ เสรีภาพ และกฎกตกิ าของสงั คมที่เปน็ ธรรม 3. รบั ผดิ ชอบต่อตนเอง ผู้อน่ื และสงั คม ทั้งนี้ หลักพื้นฐานดังกล่าว จะเป็นแนวทางในการปฏิบัติตนของการเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย ที่ มุ่งเน้นถึงการดำเนินชวี ิตในสังคมประชาธปิ ไตย โดยในแต่ละหลักการมีรายละเอยี ดดงั นี้ หลักการที่ 1 เคารพศักด์ิศรคี วามเป็นมนุษย์ได้แก่ การยอมรับในเกียรติภมู ิของแตล่ ะบุคคล โดยไม่คำนึงถึง สถานภาพทางสังคม หลกั การนม้ี ีองคป์ ระกอบยอ่ ย ดังน้ี 1.สำนึกร้ใู นคุณค่าศกั ด์ศิ รคี วามเปน็ มนุษย์ 2. ตระหนกั ในความเสมอภาคของความเป็นมนุษย์

114 3. เคารพในความหลากหลายทางสังคมวัฒนธรรม 4. ยดึ หลกั อดทน อดกลัน้ ต่อความคิดเหน็ ท่ีแตกต่าง ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ คืออะไร มนุษย์นอกเหนือจากต้องมีปัจจัยส่ีเพื่อการดำรงชีวิตแล้วมนุษย์ยังถูกผลักดันด้วยความปรารถนาท่ีจะเป็นที่ ยอมรับของคนในสังคม เพ่ือให้เกิดความเคารพตนเอง (Self esteem) และในส่วนนี้ได้นำไปสู่ความรู้สึกของความ ต้องการมีศักด์ศิ รีน่ันคือ “ศกั ด์ศิ รคี วามเป็นมนษุ ย์” ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เป็นคุณค่าท่ีมีลักษณะเฉพาะ อันสืบเน่ืองมาจากความเป็นมนุษย์และเป็นคุณค่าที่ ผูกพันอย่เู ฉพาะกบั ความเปน็ มนุษย์เท่าน้นั โดยไม่ข้ึนอยู่กับเงื่อนไขอนื่ ใดทง้ั สิ้น เชน่ เช้ือชาติ ศาสนา ศักดิ์ศรีความเป็น มนุษย์นั้นจะได้รับความเคารพเสมอไม่ว่าบุคคลน้ันจะมีสถานะทางสังคมอย่างไร และยังคงมีติดตัวบุคคลตลอดไป ทั้ง ในเวลาท่ียังมีชีวิตอยู่หรือได้สิ้นชีวิตไปแล้ว ศักด์ิศรีความเป็นมนุษย์มีฐานะเหนือกว่าสิทธิเสรีภาพทั่วไป และเป็นคุณ ค่าท่ีมิอาจจะล่วงละเมดิ ได้ การเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนษุ ย์เปน็ การยอมรับในเกียรติภูมิของแตล่ ะบุคคล โดยไม่คำนงึ ถึงสถานภาพทาง สังคม สังคมปัจจุบันมักจะละเลยศักด์ิศรีความเป็นมนุษย์ เพราะมีการให้คุณค่าของคนแตกต่างกัน สังคมทั่วไปให้ คุณค่าของความเป็นคนท่ีสถานภาพทางสังคมของผู้น้ัน เช่น เป็นกำนัน นายทหาร นกยกรัฐมนตรี ผู้พิพากษา เป็นต้น สถานภาพทางสังคมของคนแตล่ ะคน ไม่ใช่ตวั ชว้ี ัดว่ามนุษย์หรอื คนนั้นมีศักดศ์ิ รขี องมนุษย์หรือไม่ แต่ศักดิ์ศรีความเป็น มนุษย์ คอื การให้คุณค่าความเป็นคนตามธรรมชาตขิ องมนุษย์ไม่ว่าจะเกิดมาพกิ าร เป็นเด็ก ผู้หญิง ผู้ชาย และเกิดมา เป็นคนปัญญาอ่อน หรือยากจน คนทุกคนท่ีเกิดมาถือว่ามีคุณค่าเท่ากัน ต้องปฏิบัติต่อกันอย่างเสมอภาคกัน เพราะ การปฏิบัติต่อกันของผู้คนในสังคมอย่างเสมอภาคกันเป็นการเคารพศักด์ิศรีความเป็นมนุษย์ และห ากมีผู้กระทำ ความผิดก็ต้องว่าไปตามกระบวนการกฎหมาย ผู้ใดที่ละเมิดศักด์ิศรีของความเป็นมนุษย์ของผู้อ่ืน ผู้นั้นกระทำผิด กฎหมายอย่างรนุ แรง กระทำผิดต่อหลักศาสนา และกระทำผิดต่อศีลธรรม การธำรงไว้ซึ่งศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ จะต้องกระทำโดยรัฐในเบ้ืองต้น ได้แก่ การพยายามขจัดตัวแปรที่จะนำไปสู่ความเหลื่อมล้าในสังคม ส่ิงท่ีรัฐต้องทำให้ เกิดขึ้นใหไ้ ด้ก็คอื ตอ้ งทำให้มนุษย์ที่อยู่ในสังคมอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐดำรงชีวิตอยา่ งมีความสุข กล่าวได้วา่ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หมายถงึ ความมีอิสรภาพในการท่ีจะกำหนดชะตาชวี ิตของตนเองท้ังสิทธิ ในชีวิตและร่างกาย และสิทธิในความเสมอภาคในด้านต่างๆ การได้รับการยอมรับให้เป็นส่วนหนึ่งของสังคม โดย ปราศจากเง่อื นไข อาทิ เช้ือชาติ ศาสนา วัย และวัฒนธรรมท่ีแตกต่างกัน อันจะนำมาซึ่งการถูกลิดรอนสิทธิและความ เสมอภาคทางสังคม รวมไปถึงการถูกเลือกปฏิบัติจากคนในสังคมนั้นๆ โดยศักด์ิศรีของความเป็นมนุษย์ถือว่าเป็นสิ่งที่ ติดตัวทุกคนมาต้ังแต่กำหนด ไม่มีใครสามารถพรากสิทธิดงกล่าวจากปัจเจกบุคคล (ความเป็นตัวตน) ได้มนุษย์ทุกคน ล้วนมีคุณค่าในตนเองซง่ึ ควรจะได้รบั การปฏิบัตอิ ยา่ งเทา่ เทียมกนั ความเสมอภาคของความเป็นมนุษย์หมายถึงอะไร ความเสมอภาค เร่ิมจากแนวคิดท่ีว่าคนเรามีคุณค่าและ ศักดิ์ศรีเท่าเทียมกันต้ังแต่เกิด มีศกั ยภาพ มีความสามารถทจี่ ะเรียนรู้ได้ เปลี่ยนแปลงได้ มนษุ ยต์ า่ งช่วยเหลอื เกื้อกลู กัน จนทำให้สังคมอยู่รอดจนทุกวันน้ี แต่ละคนล้วนมีคุรูปการ (การอุดหนุนทาความดี) ต่อมวลมนุษย์ต ามกำลัง และ ความสามารถซ่ึงแต่ละคน รักชีวิต รักเกียรติศักดิ์ของตน และต้องการมีชีวิตอยู่รอดปลอดภัย มีความสุข สังคมต้อง สรา้ งคุณคา่ ใหม่ทเ่ี คารพคณุ คา่ และศกั ดิ์ศรีความเปน็ มนษุ ย์ ไมว่ ่าจะแตกตา่ งหรอื เหมือนกนั ประการใด

115 ความเสมอภาค เป็นคำที่มกั ได้ยินพรอ้ มกบั คำว่า สิทธิเสรีภาพ และศักดิ์ศรคี วามเป็นมนุษย์ กลุ่มคำดงั กล่าวมี นยั สำคัญตอ่ การพิทกั ษ์ประโยชน์ สรา้ งความสงบ และการอย่อู ย่างสันตสิ ำหรบั มนุษย์ทุกคนพึงได้รบั นับแตก่ ารปฏิสนธิ ไปจนถงึ สนิ้ ชีวิต ความเสมอภาคเป็นหลักสำคัญในการเช่ือมประสานสทิ ธิ เสรภี าพและศกั ดิศ์ รีความเป็นมนุษย์ ให้เป็น จริงได้ในทางปฏิบัติ ความเสมอภาค (Equality)คอื อะไร ความหมายตามหลักสิทธิมนุษยชน หมายถึง ความเท่าเทียมของมนษุ ย์ ทุกคนในการได้รับสิทธิพ้ืนฐานตามหลักสิทธิมนุษยชน โดยผ่านการปฏิบัติต่อกันระหว่างมนุษย์ต่อมนุษย์ ด้วยความ เคารพตอ่ สทิ ธแิ ละศักดิศ์ รคี วามเป็นมนษุ ย์ ความหมายตามหลักกฎหมาย หมายถึง หลักการพ้นื ฐานของความยุติธรรม ทีก่ ำหนดให้มีการปฏิบัติตอ่ บุคคล ทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั เร่ืองน้นั ๆ อย่างเท่าเทยี มกนั ความหมายตามระบบประชาธิปไตย หมายถึง การท่ีประชาชนทุกคนในประเทศมีความเสมอภาค หรือความ เท่าเทียมกันในเร่ืองส่ิงจำเป็นข้ันพ้ืนฐาน ในท่ีนี้หมายถึง สิ่งที่จำเป็นข้ันพ้ืนฐานต่อการอยู่รอด และพัฒนาตัวเองตาม หลักสิทธิมนุษยชนคือ ปัจจัยสี่ ความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตและร่างกาย การนับถือศาสนา การศึกษาและการรับรู้ ข่าวสาร การเข้าถึงบริการสาธารณะและสวัสดิการสังคม การประกอบอาชีพ การมีส่วนร่วมท างการเมือง และการ ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย ความหลากหลายทางสังคมวัฒนธรรม การสรา้ งความเปน็ พลเมอื งในสังคมไทยทส่ี ่งเสรมิ ความเป็นประชาธปิ ไตย ย่อมต้องสอดคล้องกบั “วัฒนธรรม ของสังคมไทย” หากไม่สอดคล้องกันแล้ว ความเป็นพลเมืองก็ไม่มีความหมาย หรือไม่เป็นที่ยอมรับของคนในสังคม ดังน้ัน การสร้างความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยของไทย จึงต้องกระทำควบคู่กันไปกับการสร้าง “วฒั นธรรมของสังคมไทย” ทีส่ อดคล้องกบั ความเปน็ พลเมอื งในระบอบประชาธปิ ไตยของไทยดว้ ย การสร้างวัฒนธรรมให้กับพลเมืองที่สำคัญคือ การสร้าง “วัฒนธรรมทางจติ ใจ” เป็นการสรา้ งพลเมืองให้มีจิต สาธารณะรักความเป็นธรรม สำนึกในพันธะหน้าที่ต่อสังคมและเพ่ือนมนุษย์และมีความรู้มากพอท่ีจะประเมินว่าการ กระทำหนึ่งๆ ของตนจะมีผละกระทบตอ่ ส่วนรวมอย่างไร เพอ่ื จะเลอื กดีที่สุดว่าตนควรจะทำอะไร และทำอย่างไร เพื่อ สร้างประโยชน์ให้สังคมหรือส่วนรวม ขณะเดียวกันก็มีความกล้าหาญทางจริยธรรมคือ กล้าพูด กล้าเขียน หรือกล้า กระทำในสิ่งท่ีตนเช่ือว่าถูกต้องดีงามแม้ว่าตนเองจะต้องได้รับผลร้ายจากการพูด การเขียน การกระทำในส่ิงท่ีตนเช่ือ ว่าถูกต้องดีงามก็ตาม นอกจากนี้ยังต้องใจกว้าง รับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง โดยพร้อมท่ีจะพิจารณาความเห็นที่ แตกตา่ ง โดยพรอ้ มท่จี ะพิจารณาความเห็นทแี่ ตกตา่ งด้วยใจทเี่ ปน็ ธรรมใจกว้างมากพอที่จะเปล่ียนความคิดเม่ือได้รับรู้ เหตุผลและข้อเท็จจริงท่ีดีกว่า และเปิดโอกาสให้ผู้อ่ืนได้มีส่วนร่วมในความสำเร็จต่างๆ วัฒนธรรมทางจิตใจจะเกิดข้ึน ได้ก็ต่อเมื่อ “พลเมืองไทย” เป็นผู้ที่ “เห็นคุณค่าความเป็นมนุษย์” บนพื้นฐานของความรู้ความเข้าใจคือ มีความรู้ ความเข้าใจมนุษยใ์ นบริบททางสังคมหรอื ในเง่ือนไขสภาพแวดลอ้ มที่ต่างกนั ไม่ใชม้ าตรฐานของตนเองในการตัดสินคน อ่ืนอย่างง่ายๆ ยอมรับความแตกต่างหลากหลาย และมีความเห็นอกเห็นใจผู้ อ่ืนท่ีอยู่ในบริบทหรือเง่ือนไข สภาพแวดล้อมที่แตกต่าง ไม่ว่าจะเป็นเร่ืองของทัศนคติทางการเมือง หรือความผิดพลาดที่เกิดจากความ รเู้ ทา่ ไมถ่ งึ การณ์ หรอื เกิดจากสถานการณท์ ีก่ ดดัน เป็นตน้

116 การสร้างวัฒนธรรมความเป็นพลเมืองอีกอย่างหน่ึงคือการสร้างให้พลเมืองมี “วัฒนธรรมทางความรู้” เป็น การเสริมสรา้ งให้มีความรู้ ให้ร้จู ักใช้วิจารณญาณ หรือทัศนะวิพากษ์ ความคิดเห็น และนโยบายของทุกฝ่าย สามารถมี ส่วนร่วมทางการเมืองอย่างฉลาดสร้างสรรค์ ก็จะทำให้สังคมไทยเป็นสังคมท่ีใช้ความรู้ และใช้สติปัญญาในการ แก้ปัญหา แทนการใช้อำนาจเป็นหลักเป็นการเปล่ียน “วิถีไทย” จาก “อำนาจนิยม” เป็น “ความรู้นิยม” หรือ “ปัญญานยิ ม” ในปัจจุบันการนิยาม คำว่า“ความจริง ความดี ความงาม” ในสังคมไทยได้แปรเปลี่ยนไปเพราะบริบททาง เศรษฐกิจ สังคมและวฒั นธรรมเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะเทคโนโลยีสารสนเทศ ทำให้เกดิ การ “คิดต่าง” คือ คิดต่าง บนฐานความเชื่ออีกแบบหน่ึง โดยไม่พยายามที่จะทำความเข้าใจปรากฏการณ์ต่างๆ ท่ีซับซ้อนและรอบด้าน นั่น หมายถงึ เป็นการ “คิดในกรอบ” หรือ “มองมติ ิเดียว” ความรู้เกยี่ วกบั การเปลี่ยนแปลงจะชว่ ยให้พลเมอื งไทยสามารถ ทจี่ ะเขา้ ใจ และมีทัศนะวิพากษ์ ต่อความคิด และตอ่ ความเคล่ือนไหวในเร่ืองต่าง ๆ มากยงิ่ ข้ึน วัฒนธรรมเดิมของไทย เรายังมที ัศนะตอ่ ความรู้ คือ การท่องจำ ประเด็นความร้ทู ่ีกล่าวถึง คือ การเปลี่ยนจารีตทางความรหู้ รือวัฒนธรรมเดิม ของไทย เป็นวัฒนธรรมทางความรู้ของพลเมืองในระบบประชาธิปไตย จะต้องทำให้การเรียนการสอนไม่เน้นการ ท่องจำเน้ือหาวิชา แต่จะต้องใช้เน้ือหาวิชาเป็นเคร่ืองมือในการพัฒนาวิธีคิดวิธีการสร้างความรู้ ตลอดจนวิธีการ ประยุกตใ์ ช้ความรทู้ ต่ี ระหนักวา่ คนสามารถมองเหน็ “ความจริง” ต่างกัน หรอื มี “ความจริง” จากหลายมุมมอง ซึ่งแต่ ละคนต้องสามารถมองจากมุมมองของคนอื่นๆ หรือสามารถมองจากมุมมองของคนที่มีฐานคิดต่างกัน ไม่คิดว่าเร่ือง หน่ึงๆ จะต้องมีคำตอบถูกหรือผิดท่ีตายตัว แต่พร้อมจะเปล่ียนความคิดหรือมุมมองของตนเม่ือพบคำอธิบายใหม่ท่ี ดีกว่า ความอดทน อดกล้นั ในความแตกตา่ ง ความอดทน มาจากคำว่า ขันติ หมายถึง การรักษาปกติภาวะของตนไว้ได้ ไม่ว่าจะถูกกระทบกระทั่งด้วยส่ิง อันเป็นท่ีพึงปรารถนา หรือไม่พึงปรารถนาก็ตาม มีความมั่นคงหนักแน่นเหมือนแผ่นดิน ซึ่งไม่หวั่นไหวว่าจะมีคนเท อะไรลงไปไม่ว่าจะเป็นของเสีย ของหอม ของสกปรกหรือของดีงามก็ตาม งานทุกชิ้นในโลกไม่ว่าจะเป็นงานเล็กงาน ใหญ่ ท่ีสำเร็จขึ้นมาได้นอกจากจะอาศัยปัญญาเป็นตัวนาแล้ว ล้วนต้องอาศัยคุณธรรมประการหนึ่งเป็นพ้ืนฐานจึง สำเรจ็ ได้ คณุ ธรรมนน้ั กค็ อื “ขนั ติ” อดกลั้นในความแตกต่าง หมายถึง การยอมรับความแตกต่างของกันและกันว่าเป็นสิ่งท่ีปกติของมนุษย์ ทั้ง ความแตกต่างในเรื่องกายภาพและในเรื่องพฤติกรรม ความรู้สึกนึกคิดการแสดงออกซ่ึงความคิดเห็น และตราบใดท่ี ความแตกต่างนั้นไม่ทาความเดือดร้อนเสียหายแก่ผู้ใด การไม่กล่าวหาใครง่าย ๆ โดยไม่คิดใคร่ครวญให้รอบคอบ เสียก่อน ซ่ึงการอดกลั้นในความแตกต่างจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อคนเรามีความเคารพซ่ึงกันและกัน อันนามาซ่ึงการเห็น พ้องต้องกันท่ีจะไม่เห็นด้วยกันได้ และสามารถสร้างเอกภาพในความแตกต่างของการอยู่ร่วมกันในสังคมได้ และ แน่นอนว่าความอดทน อดกลน้ั ของแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน ขีดจำกัดของคนกต็ ่างกัน การท่ีจะตัดสินว่าคนนนั้ คน นี้ ไม่มีความอดทน อดกลนั้ จะต้องพิจารณาองคป์ ระกอบหลายๆ ดา้ นด้วยกนั จากท่กี ล่าวข้างต้น ในหลกั พื้นฐานความเป็นพลเมือง ของการเคารพศักดศิ์ รคี วามเป็นมนุษย์จึงเป็นการเคารพ ในความเป็นคน ในความเป็นมนุษย์โดยไม่แบ่งช้ันวรรณะ ไม่ดูถูก ดูแคลนกัน ไม่ถือยศ ถือศักด์ิ ถือชาติตระกูล ถือชน ชั้น และเคารพในความสามารถของกันและกัน เปิดโอกาสให้แสดงความสามารถ แสดงความคิดเห็น ให้การยกย่อง ชมเชย ยอมรับในความแตกต่างและพร้อมท่ีจะอดทน อดกล้ัน และถ้าคนเราเคารพซึ่งกันและกันมากข้ึนเท่าใด ก็จะ

117 เกิดความเช่ือถือ ศรัทธา อันจะทำให้เกิดความรักความปรารถนาดีต่อกัน เกิดความร่วมมือท่ีดีต่อกันในสังคม เพ่ือ สร้างสรรค์ส่งิ ดีๆ และร่วมกันแกไ้ ขปัญหาต่างๆ ใหส้ ำเร็จลลุ ่วงไปได้ หลักการที่ 2 การเคารพสิทธิ เสรีภาพ และกฎกติกาของสังคมที่เป็นธรรมได้แก่ การให้ความสำคัญต่อสทิ ธิ เสรีภาพ กฎกติกา ของสงั คมท่ที กุ คนมีสว่ นกำหนดขึน้ หลักการนมี้ ีองคป์ ระกอบยอ่ ยดงั น้ี 1. รูจ้ กั สทิ ธิ และเสรีภาพของตนเอง โดยรวู้ า่ ตนเองเป็นเจ้าของอธปิ ไตยและเปน็ สมาชิกคนหน่ึงของสงั คม 2. เคารพและปกป้องสิทธแิ ละเสรีภาพของตนเอง ของผู้อนื่ และของชมุ ชน โดยไม่ให้ผใู้ นล่วงละเมดิ อันขัดต่อ กฎหมาย 3. เคารพกฎกติกาสังคม โดยกฎกติกานั้นต้องต้ังอยู่บนความยุติธรรมและความชอบธรรม หากยังมีกฎกติกา ใดไม่ยุติธรรมและไม่ชอบธรรม ก็ย่อมสามารถปรับปรุง แก้ไข หรือยกเลิกตามครรลองหรือเงื่อนไขที่กำหนดไว้ใน กฎหมาย มิใชใ่ ช้วิธีการอื่นใดที่ไมถ่ ูกตอ้ งตามกฎหมาย 4. ยดึ หลักนิตริ ฐั (Rule of Law) โดยมหี ลักการพื้นฐานในการค้มุ ครองสทิ ธิ เสรีภาพของพลเมือง มิให้ถูกลว่ ง ละเมิดโดยบุคคล กลุ่มคน หรือรัฐ สทิ ธิ เสรภี าพ คืออะไร สิทธิ (Rights)หมายถึง สิทธิเป็นสิ่งท่ีติดตัวมนุษย์ทุกคนตามธรรมชาติท่ีได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ซ่ึงไม่มีใครล่วง ละเมิดไดท้ ุกคนทเี่ กิดมามีสิทธทิ ่ีจะมีชวี ิตอยู่รอด และต้องมีชีวิตอยู่อย่างสมเกียรติและมศี ักด์ิศรคี วามเปน็ มนษุ ย์ ความ มอี ยู่ของสิทธิตามธรรมชาติน้ี แมเ้ มือ่ ยงั ไม่มกี ฎหมายรองรับสิทธกิ ย็ ังมีอยู่ เสรีภาพ (Freedom)หมายถึง การท่ีมนุษย์สามารถทาอะไรก็ได้ภายใต้ของเขตของศีลธรรมอันดีงาม โดยไม่ เบียดเบียนสังคม หรือไม่ลว่ งล้าสิทธิของบุคคลอื่น หรือสิทธิของส่วนรวม เราจงึ เห็นว่ามีการใช้คำ 2 คำนี้พร้อมกัน คือ สิทธิและเสรีภาพ ในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ (Universal Declaration of Human Rights) มักจะใช้คำว่าสิทธิเสรีภาพที่จะแสดงความคิดเห็นและแสดงออก หรือสิทธิและเสรีภาพในการเลือกคู่ครอง และสร้างครอบครับ เปน็ ตน้ สิทธิ เสรีภาพในความเป็นพลเมือง เป็นสทิ ธิ เสรภี าพเกี่ยวกับการท่ีสามารถเรียกร้องความต้องการขน้ั พ้ืนฐาน จากรัฐในฐานะที่เป็นราษฎรของรัฐได้ ซ่ึงรัฐมีหน้าที่ให้การสนองตอบในรูปของบริการสาธารณะ ถือเป็นสิทธิท่ีจะร้อง ของได้ จะรับเอาได้หรือเป็นสิทธิท่ีติดตัวมา โดยเกิดขึ้นมาจากความเป็นพลเมืองหรือราษฎรของรฐั โดยท่ีรฐั ไม่อาจจะ ปฏิเสธความรับผดิ ชอบหรือความช่วยเหลอื ด้วยการเพิกเฉยไม่กระทำการตอบสนองตามข้อเรยี กร้องของประชาชน ซ่ึง สิทธิและเสรภี าพทร่ี ัฐมหี นา้ ทใ่ี นการให้ความคุ้งครองได้ เชน่ - สิทธิและเสรภี าพในการศกึ ษา - สทิ ธขิ องผู้บริโภค - เสรีภาพในการชุมนมุ - เสรภี าพในการรวมตัวเป็นหมคู่ ณะ - สทิ ธกิ ารรบั ข้อมูลขา่ วสารจากรฐั - เสรภี าพการจดั ตงั้ พรรคการเมือง

118 - สทิ ธใิ นการได้รบั การบรกิ ารสาธารณสขุ และสวัสดกี ารจากรัฐ - สทิ ธใิ นการฟูองหนว่ ยราชการ - สทิ ธิในการมสี ่วนร่วมกบั รัฐ - สิทธใิ นการคัดคา้ นการเลอื กตง้ั - สิทธใิ นการเขา้ ชือ่ เสนอกฎหมายและขอ้ บัญญัติท้องถิ่น - สิทธใิ นการเขา้ ชือ่ ถอดถอนผดู้ ำรงตำแหนง่ ทางการเมืองท้งั ระดับชาติ และระดบั ท้องถิ่น ทัง้ นี้ การใช้สทิ ธใิ นการเข้าช่ือเสนอกฎหมายน้นั มขี อบเขตจากัดตามบทบัญญัติรัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักร ไทยพุทธศักราช 2550 เฉพาะกฎหมายเก่ียวกับสิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทยตามหมวด 3 และเกี่ยวกับ แนวนโยบายพ้ืนฐานแหง่ รฐั ตามหมวด 5 เทา่ น้ัน จากทก่ี ลา่ วข้างต้นสิทธเิ ป็นสิ่งทจ่ี ะรอ้ งขอได้ หรือจะรบั เอาได้ หรือเป็นสิทธิที่ตดิ ตัวมาโดยเกิดขึ้นมาจากความ เป็นพลเมืองของรัฐ ซ่ึงการได้รับความยุติธรรมจากการใช้สิทธิสำคัญกว่าการได้รับประโยชน์จากสิทธิท่ีเท่ากัน เช่น พลเมืองท่ีเป็นเด็กได้รับสิทธิการศึกษาภาคบังคับฟรี แต่พลเมืองที่เป็นผู้ใหญ่ได้รับสิทธิในการออกเสียงเลือกตั้ง และ สมัครรับเลือกตั้ง ขณะที่พลเมืองท่ีด้อยโอกาสจะได้รับสิทธิการสงเคราะห์จากรัฐ ทั้งที่คนปกติทั่วไปไม่ได้รับสิทธิ ดงั กลา่ ว ดังนั้น สิทธิเสรีภาพในความเป็นพลเมือง จึงเป็นสิทธิของพลเมืองท่ีไม่จำเป็นว่าทุกคนจะต้องได้รับประโยชน์ เท่ากนั หากแตเ่ ปน็ สทิ ธอิ ะไรของใครกเ็ ปน็ หนา้ ท่ีของรัฐท่จี ะต้องรับผดิ ชอบในการสนองตอบต่อการใชส้ ทิ ธินัน้ กลา่ วคือ พลเมืองท่ีเปน็ เดก็ ย่อมสามารถเรียกร้องการศึกษาฟรีในภาคบังคับจากรัฐได้ เชน่ เดียวกับผู้ใหญ่ก็ย่อมสามารถเรียกร้อง การใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งได้ ดังน้ัน สิทธิเสรีภาพของพลเมืองจึงเป็นสิทธิที่สงวนไว้ให้ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐที่จะต้อง จัดหาให้ประชาชน ประชาธปิ ไตยคือการปกครองระบอบโดย “กตกิ า” ท่มี าจากประชาชน ระบอบประชาธิปไตย ต้องใช้ “กติกา” การปกครองโดย “กติกา” คือการปกครองโดยกฎหมาย (The Rule of Law) หรือท่เี รยี กว่า “นิติรัฐ” ซ่ึงหมายถึง รัฐทมี่ ีการปกครองด้วยกฎหมาย และหลักแห่งกฎหมายที่เป็นธรรม หรือ รฐั ท่ีปกครองโดยกติกา มิใช่ปกครองโดยอำเภอใจ หรือใช้กำลัง โดยทุกคนจะต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย และจะมีอำนาจ กระทำการใดที่กระทบต่อสิทธเิ สรภี าพประชาชนได้ ต่อเมื่อมีกฎหมายให้อำนาจไว้เท่านั้น และเนื่องจากประชาธปิ ไตย คือ การปกครองโดยประชาชน กฎหมายที่ใช้ในการปกครอง จึงต้องมาจากประชาชน กฎหมายในระ บอบ ประชาธิปไตยจงึ มิใช่คำส่ังของผ้มู ีอำนาจ หากเป็นการตกลงกันของประชาชน ว่าจะอยู่ร่วมกันโดยมีกตกิ าอย่างไร และ โดยเหตุที่มีประชาชนจานวนมากจนไม่สามารถจะไปออกกฎหมายด้วยตนเองโดยตรงได้ การออกกฎหมายจึงทาโดย ผ่านผแู้ ทน และน่คี อื อำนาจหน้าที่ของสภาผ้แู ทนราษฎรที่ “ราษฎร” ไดเ้ ลือกเขา้ ไปทำหน้าที่ออกกฎหมายแทนตนเอง การปกครองในระบอบประชาธิปไตยมีการแบ่งอำนาจออกเป็นอำนาจนิติบัญญัติ (ตรากฎหมาย) อำนาจ บรหิ าร (ใช้กฎหมาย) และอำนาจตุลาการ (ตีความกฎหมาย) เพ่ือให้เกิดการตรวจสอบและถ่วงดลุ อำนาจ (checks & balances) ไม่ให้ผู้มีอำนาจใช้อำนาจได้ตามอำเภอใจ หากต้องใช้ภายใต้กฎหมายหรือกติกาท่ีมาจากประชาชน ประเทศท่ีปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยจะต้องนาหลักการทั้งหลายเหล่าน้ีมาบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ การ ปกครองในระบอบประชาธิปไตยรัฐธรรมนญู จึงเปน็ “กฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ” หลกั การท่ี 3 รับผดิ ชอบตอ่ ตนเอง ผู้อ่ืน และสงั คม

119 เป็นการตระหนกั ถึงบทบาท หน้าท่ีและพันธกิจของความเปน็ พลเมืองในระบอบประชาธปิ ไตย มีองค์ประกอบ ย่อยดงั นี้ 1.ทำหน้าที่ของตนเองในฐานะสมาชิกของสงั คม เช่น การเสียภาษี การเกณฑ์ทหาร เป็นต้น 2.กำหนดทศิ ทางของสังคมรว่ มกนั เพือ่ นำไปสูส่ ังคมทเ่ี ป็นธรรมและสันติสขุ เช่น การไปใช้สทิ ธเิ ลือกตั้ง การมี ส่วนรว่ มในการประชาพจิ ารณ์ เป็นตน้ 3. ใช้หลักการประชาธิปไตยในการแก้ปญั หาของสงั คม เช่น การมีส่วนร่วมในการแกป้ ัญหาด้วยเหตแุ ละผลใน เวทีสาธารณะ เป็นต้น 4. ยอมรบั หลักเสยี งข้างมากและเคารพสิทธิเสยี งข้างนอ้ ย เชน่ การเคารพมติท่ีประชุม เป็นต้น หน้าทแี่ ละความรับผดิ ชอบของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย การอยู่ร่วมกันในสังคมประชาธิปไตยน้ัน นอกจากจะมีสิทธิเสรีภาพแล้ว สิ่งท่ีจะขาดไม่ได้อีกประการหน่ึงคือ หน้าที่และความรับผิดชอบ ในสังคมประชาธิปไตยนอกจากได้กำหนดในเร่ืองของสิทธิเสรีภาพไว้แล้ว ยังได้กำหนด หน้าท่ีของประชาชนไว้อีกด้วย การท่ีต้องกำหนดหน้าท่ีของประชาชนในส่วนท่ีเก่ียวข้องกับรัฐไว้เช่นนี้ก็เพ่ือให้ ประชาชนในระบอบประชาธิปไตยได้เกิดความตระหนักว่า ภายใต้การปกครองนี้ประชาชนจะต้องเสียสละความรู้ ความสามารถของตนเองเพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวมและความเจริญก้าวหน้าของการปกครองระบอบประชาธิปไตย รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช 2550 ได้กำหนดหน้าที่สำคัญๆ อันจะเป็นประโยชน์แกส่ ่วนรวมของ ชนชาวไทยไวใ้ นหลายๆ ด้าน เช่น กำหนดใหบ้ ุคคลมีหน้าที่รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษตั รยิ ท์ รงเป็นประมุขและยงั มีหน้าที่ท่ีสำคัญอืน่ ๆ อาทิ 1. บุคคลมหี นา้ ท่ปี ฏบิ ัตติ ามกฎหมาย 2. บคุ คลมีหน้าทไ่ี ปใชส้ ทิ ธิเลือกตงั้ 3. บุคคลมีหน้าที่ป้องกันประเทศ รับราชการทหาร เสียภาษีอากร ช่วยเหลือราชการ รับการศึกษาอบรม พิทกั ษป์ กปอ้ ง และสืบสานศลิ ปวฒั นธรรมของชาติ ภูมปิ ัญญาท้องถ่นิ อนรุ ักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 4. บุคคลผู้เป็นข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ หรือ ของราชการส่วนท้องถ่ิน และเจ้าหน้าที่อ่ืนของรัฐ มีหน้าที่ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายเพื่ อรักษาประโยชน์ สว่ นรวม อำนวยความสะดวกและใหบ้ รกิ ารแกป่ ระชาชน การปกครองในระบอบประชาธิปไตยจะมีความเจริญก้าวหน้าไปมากน้อยเพียงใดหรือไม่น้ัน ส่วนหน่ึงก็อยู่ท่ี ความรับผิดชอบของประชาชน ถ้าพ้ืนฐานความรับผิดชอบของประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่ดีแล้ว การปกครองระบอบ ประชาธิปไตยก็มักจะขาดเสถียรภาพตามไปด้วย ในเรื่องความรับผิดชอบน้ันสามารถจำแนกได้ออกเป็น 2 ส่วนคือ ความรับผดิ ชอบต่อตนเองและความรบั ผิดชอบต่อสังคม ความรับผิดชอบตอ่ ตนเอง หมายถึง การรับรู้ฐานะและบทบาทของตนท่ีเป็นส่วนหนึ่งของสังคมจะต้องดำรงตนให้อยู่ในฐานะท่ีช่วยเหลือ ตัวเองได้ รู้จักว่าส่ิงใดถูก ส่ิงใดผิด ยอมรับผลการกระทำของตนเองทั้งที่เป็นผลดีและผลเสีย เพราะฉะน้ันบุคคลท่ีมี ความรับผดิ ชอบในตนเองยอ่ มจะไตร่ตรองดใู หร้ อบคอบก่อนว่าสงิ่ ที่จะก่อให้เกิดผลดีเทา่ นนั้ ความรับผิดชอบต่อตนเอง มีระดับแตกตา่ งกันไป เชน่ เดก็ เยาวชนต้องรบั ผิดชอบในเรื่องการศกึ ษาหาความรู้ การช่วยเหลือครอบครัวเท่าที่จะทำได้ ทั้งน้ี รวมถึงความรับผิดชอบในการเอาใจใส่ดูแลพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย หรือ

120 เครือญาติตามแบบวัฒนธรรมไทย ในวัยหนุ่มสาวยิ่งต้องมีความรับผิดชอบต่อตนเองมากย่ิงข้ึนไปอีก เช่น การ ขวนขวายหางานทำ การคิดพัฒนาวิชาชีพให้เกิดความเจริญก้าวหน้า วัยสูงอายุ ต้องมีความรับผิดชอบในการนำ ประสบการณ์ชีวิตที่ตนเองผ่านพบมาถ่ายทอดให้กับเยาวชนรุ่นหลังได้ศึกษา หรือแม้แต่การอบรมสั่งสอนให้ลูกหลาน เครือญาตปิ ระพฤติปฏิบัตติ นเปน็ คนดี ความรับผดิ ชอบตอ่ สังคม หมายถงึ ภาระหน้าท่ีของบุคคลท่ีจะต้องเก่ียวข้อง และมีส่วนร่วมต่อสวสั ดภิ าพของสงั คมท่ตี นเองดำรงอยู่ ซ่ึง เป็นเร่ืองท่ีเกี่ยวข้องกับหลายส่ิงหลายอย่างต้ังแต่สังคมขนาดเล็กๆ จนถึงสังคมขนาดใหญ่ การกระทำของบุคคลใด บุคคลหน่ึงย่อมมีผลกระทบต่อสังคมไม่มากก็น้อย บุคคลทุกคนจึงต้องมีภาระหน้าท่ีและความรับผิดชอบที่จะต้อง ปฏิบัติต่อสังคม ดงั ต่อไปนี้ 1. ความรับผิดชอบต่อหน้าท่ีพลเมือง ได้แก่ การปฏิบัติตามกฎระเบียบของสังคม การรักษาทรัพย์สินของ สังคม การช่วยเหลือผู้อืน่ และการใหค้ วามร่วมมือกับผู้อื่น 2. ความรับผิดชอบต่อครอบครัว ได้แก่ การเคารพเชื่อฟังผู้ปกครอง การช่วยเหลืองานบ้านและการรักษา ชอื่ เสยี งของครอบครวั 3. ความรับผิดชอบต่อโรงเรียน ได้แก่ ความตั้งใจเรียน การเชื่อฟังครู – อาจารย์ การปฏิบัติตากฎของ โรงเรยี นและการรกั ษาสมบัติของโรงเรยี น 4. ความรับผิดชอบต่อเพ่ือน ได้แก่ การช่วยตักเตือนแนะนาเม่ือเพ่ือนกระทำผิด การช่วยเหลือเพื่อนอย่าง เหมาะสม การให้อภัยเมอื่ เพ่ือนทำผิด การไม่ทะเลาะและเอาเปรียบเพือ่ น และการเคารพสิทธิซึ่งกันและกนั ท้ังน้ี ถ้าหากประชาชนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจบทบาทหน้าท่ีและความรับผิดชอบของตนเองแล้ว การพัฒนา ประชาธิปไตยก็จะไม่เกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้ประเทศใดก็ตามท่ีต้องการให้การปกครองระบอบประชาธิปไตยมีความเป็น ปึกแผ่นมั่นคงแล้วประเทศน้ันจะต้องเร่งจัดการศึกษาให้กับประชาชนอย่างท่ัวถึง ซ่ึงประชาธิปไตยจะเจริญก้าวหน้า ต่อไปได้น้ัน ประชาชนจะต้องพัฒนาส่ิงเหล่านี้ด้วย คือ การพัฒนาตนเอง การมีวินัยในตนเอง การเสียสละเพื่อ ประโยชน์ส่วนรวม และการใช้สติปญั ญาและเหตผุ ล การพัฒนาตนเอง ประชาธิปไตยจะพัฒนาก้าวหน้าไปได้มากน้อยเพียงใดนั้น ปัจจัยสำคัญอยู่ท่ีการพัฒนา ตนเองของประชาชนเป็นหลัก การพัฒนาตนเองของประชาชน หมายถึง การพัฒนาในหลายๆ ด้าน แ ต่การพัฒนา เบื้องต้นที่สำคัญท่ีสุดก็คือ การพัฒนาตนเองทางด้านการศึกษา คนท่ีมีการศึกษาน้ันจะเป็นคนท่ีมีระบบและระเบียบ ทางความคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล เม่ือพบกับปัญหาใดปัญหาหนึ่งท่ีจะต้องตัดสินใจก็จะใช้ความรู้ท่ีส่ังสมมาน้ัน ไตรต่ รองเพอ่ื การตดั สนิ ใจได้อยา่ งมีหลักมีเกณฑ์ การปกครองระบอบประชาธิปไตย มีความจำเป็นทจี่ ะต้องอาศัยคนที่ มีความรู้มากเป็นพิเศษ ท้ังนี้เพราะความรู้ของคนจะช่วยให้การวิเคราะห์ส่ิงที่ปรากฏขึ้นในสังคมเป็นไปอย่างถูกต้อง มากขนึ้ และมคี วามเป็นตวั ของตัวเองสงู ที่จะตดั สินใจสิง่ ใดไดด้ ว้ ยความเชอ่ื ม่นั โดยไม่ต้องมีใครมาโนม้ นา้ ว การมีวินัยในตนเอง สังคมประชาธิปไตยเป็นสังคมของการอยู่ร่วมกันโดยอาศัยกฎเกณฑ์ที่ประชาชนช่วยกัน เสนอแนวคิด โดยผ่านผู้แทนที่ตนเลือกเข้าไปทำหน้าที่แทน แล้วนากฎเกณฑ์น้ันประกาศให้ทุกคนรับรู้ร่วมกันว่า

121 จะต้องปฏิบัติร่วมกันอย่างไร การท่ีประชาชนยอมรับและปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ดังกล่าวจนก่อให้เกิดความเป็นระเบียบ เรียบร้อยขนึ้ ในสงั คมประชาธปิ ไตย ลักษณะเชน่ นี้เรยี กได้ว่า ประชาชนในสงั คมนน้ั เปน็ ผู้ทีม่ รี ะเบียบวนิ ัย วินัยในตนเอง หมายถึง การที่บุคคลใดบุคคลหน่ึงเลือกข้อประพฤติปฏิบัติสำหรับตนโดยสมัครใจ ไม่มีใคร บังคับหรือถูกควบคุมจากอำนาจใดๆ ข้อประพฤติปฏิบัติน้ีต้องไม่ขัดกับความสงบสุขของสังคม วินัยในตนเองเกิดจาก ความสมัครใจของบุคคลทีผ่ า่ นการเรยี นรอู้ บรม และเลอื กสรรไว้เป็นหลักปฏิบัติประจำตน การเสียสละเพ่ือประโยชน์ส่วนรวม คนท่ีอยู่ร่วมกันเพื่อความสงบสุข ควรจะมีคุณธรรมคือ ความเสียสละ นั่นหมายถึงการเสียสละความสุขส่วนตัวเพ่ือส่วนรวม เพราะถ้าต่างคนต่างเห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่คนอื่นแล้ว ส่วนรวมก็ จะเดอื ดรอ้ นเมอ่ื สว่ นรวมเกดิ ความเดือดร้อนเสยี แลว้ ความสุขความสงบจะเกิดขน้ึ ได้อยา่ งไร ความเสียสละเป็นคุณธรรมขั้นพื้นฐานของผู้ท่ีอยู่ร่วมกันในสังคม ทุกคนในสังคมต้องมีน้าใจเอื้อเฟ้ือ เสียสละ แบ่งปันให้แก่กัน ไม่มีจิตใจคับแคบ เห็นแก่ตัว ความเสียสละจึงเป็นคุณธรรมเคร่ืองผูกมิตรไมตรี ยึดเหนี่ยวจิตใจไว้ เป็นเคร่ืองมอื สร้างลักษณะนิสัยให้เปน็ คนทีเ่ หน็ แก่ประโยชน์สุขส่วนรวมมากกวา่ ประโยชนส์ ุขสว่ นตัว การเสียสละเป็นกิจกรรมสำคัญอย่างหน่ึงในสังคม เริ่มตั้งแต่ครอบครัวท่ีเป็นหน่วยเล็ก ๆ ของสังคม ต้อง เสียสละความสุขส่วนตัว เสียสละทรัพย์สินที่หามาได้ด้วยความเหน่ือยยากลาบากให้แก่กัน ทั้งในยามปกติและคราว จำเป็น ดังที่เห็นไดจ้ ากการเสยี สละ บรจิ าคทรพั ย์ สิ่งของเพ่ือชว่ ยเหลือกัน มักจะมีการรับบริจาคเพ่ือนำเงินหรือส่ิงของ ไปช่วยเหลือผู้ที่ได้รับความเสียหายอันเกิดจากภัยพิบัติต่าง ๆ เช่น อุทกภัย วาตภัย เป็นต้น หรือไม่ก็มีการรับบริจาค สิ่งของเพ่ือนำไปสร้างเป็นสาธารณะประโยชน์ให้แก่สังคมส่วนรวม บุคคลผู้มีน้าใจเสียสละมีจิตใจโอบอ้อมอ ารี เอื้อเฟ้ือเผ่ือแผ่ทุกคนในสังคม ช่วยเหลือเท่าที่เห็นว่าสมควรจะช่วยเหลือได้ เห็นใครควรแก่การช่วยเหลือก็ช่วยเหลือ ตามกำลังมากบ้างน้อยบ้าง หรือบางครั้งก็ช่วยเหลือด้วยกำลังกาย กำลังทรัพย์ ซึ่งบางคร้ังก็ด้วยกำลังสติปัญญา โดย ทุกๆ ครั้งท่ีช่วยเหลอื มุ่งจะปลดเปล้ืองความทกุ ข์ของผู้อื่นดว้ ยความเตม็ ใจ ผูท้ ี่ฝึกฝนมาดีในเร่ืองของการเสียสละ ย่อม สละได้โดยง่าย ไม่ตอ้ งฝืนใจ สามารถท่ีจะทาได้อย่างสม่ำเสมอ ความเอ้ือเฟื้อเผื่อแผ่และการเสียสละท่ีเหมาะสม ย่อม ให้ผลที่ดีเสมอ ก่อใหเ้ กดิ ความชื่นชมยินดีต่อกัน ไม่วา่ จะเป็นผู้ให้หรอื ผู้รับ คนที่มีน้าใจเสียสละคิดจะเฉลี่ยแบ่งปันลาภ ผลและความสุขของแก่ผู้อื่น อยู่เสมอน้ัน ใครๆ ก็อยากคบหาสมาคมด้วย ดังนั้น ผู้ที่มองการณ์ไกลควรพยายาม เสียสละแบ่งปันวันละนิด เป็นการสร้างนิสัย อุปนิสัยและอัธยาศัยที่ดีให้แก่ตนเอง ซึ่งอุปกนิสัยนี้จะค่อยๆ ฝังลึกลงใน จิตใจ กลายเปน็ อปุ นิสยั ทมี่ ่นั คงทาลายไดโ้ ดยยาก สำหรับประชาชนในฐานะเป็นเจ้าของประเทศ ท่ีมีหน้าท่ีต้องเสียสละ รัฐได้กำหนดให้ประชาชนมีหน้าที่เสีย ภาษีให้กับรัฐด้วยเหตุท่ีประชาชนท่ีมีฐานะทางเศรษฐกิจดีจึงต้องเสียภาษีให้กับรัฐด้วยจานวนเงินมากน้อยตามที่รัฐ กำหนด ซ่ึงบางคนอาจจะเสียภาษีด้วยจานวนเงินที่มาก บางคนอาจจะเสียภาษีเพียงเล็กน้อย หรือบางคนท่ีมีรายได้ น้อยอาจจะไม่ต้องเสียภาษีแต่อย่างใด การเสียภาษีนับเป็นการเสียสละอย่างหน่ึงของประชาชนภายใต้การปกครอง ระบอบประชาธิปไตย เงินภาษีดังกล่าวจะเป็นเงินท่ีรัฐนำไปพัฒนาประเทศ เช่น สร้างถนน จัดให้มีน้าประปา ไฟฟ้า โรงพยาบาล ปรับปรุงสภาพแวดล้อม เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อสังคมโดยส่วนรวม การเสียสละเพ่ือ ประโยชน์สว่ นรวมเช่นน้ี บางคนตอ้ งเสียสละมาก บางคนเสียสละน้อย ตามกฎเกณฑท์ ไ่ี ดก้ ำหนดไว้ในสงั คม การใชส้ ติปัญญาและเหตุผล การปกครองในระบอบประชาธิปไตย จำเป็นจะต้องอาศัยความร้คู วามสามารถ ของประชาชนในการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เพ่ือให้เกิดการพัฒนาเจริญมากยิ่งข้ึนไป ซึ่งการปกครองในระบบ

122 ประชาธปิ ไตยจะเจรญิ หรือเส่ือมถอยข้ึนอยู่กับ สติปัญญาและการใช้เหตผุ ลของประชาชนเปน็ สำคญั โดยทั่วไปแล้ว คำ ว่า“สติ” กับ “ปญั ญา” นั้น มกั จะนำไปพดู ในความหมายท่ีรวมกันเปน็ “สตปิ ัญญา” “สติ”ท่เี ราพูดกนั โดยทั่วไป หมายถึง การระลึกได้ การไมพ่ ลั้งเผลอ “ปัญญา”หมายถึง ความรอบรู้ ปัจจุบันคำว่า“ปัญญา” ยังหมายถึง การรู้เหตุรู้ผล รู้ดีรู้ช่ัว รู้ถูกรู้ผิด รู้ถึงการ ควรไม่ควร รู้คุณร้โู ทษ รพู้ ินจิ พจิ ารณา รู้จักการวินิจฉยั รู้จกั การจำแนกแยกแยะ เปน็ ต้น การท่ีสังคมเกิดปัญหาความวุ่นวายในทุกวันน้ี สาเหตุหนึ่งก็เพราะมนุษย์ขาดสิตย้ังคิด ทำให้เกิดความ พล้ังเผลอไปสร้างความเดือดร้อนใหก้ ับผอู้ น่ื เอารดั เอาเปรียบผอู้ ืน่ จนเกดิ ความวุ่นวาย นอกจากสตแิ ลว้ สังคมของการ ปกครองในระบอบประชาธิปไตยยังต้องการปัญญาของประชาชนในสังคมมาช่วยกันสร้างสรรค์ประชาธิปไตยอีกด้วย ปญั ญาเป็นส่ิงจำเปน็ สำหรับการปกครองในระบอบประชาธิปไตยเป็นอย่างย่งิ เพราะปัญญาของมนุษย์จะทำให้เกิดการ พฒั นาส่งิ ต่างๆ ให้เจรญิ ก้าวหน้ามากมาย มีการคิดคน้ ระบอบการปกครองและใช้ปัญญาค่อยปรบั เปลย่ี นค่อยพัฒนาให้ ระบอบการปกครองเหมาะสมตามยุคตามสมัยมาจนถึงปัจจุบัน นอกจากใช้สติปัญญาแล้ว ยังจะต้องใช้เหตุผลเข้ามา ชว่ ยในการตดั สินใจในเรอื่ งทีจ่ ะนามาใช้เปน็ หลกั เกณฑ์กำหนดให้ทกุ คนอยู่รว่ มกันอยา่ งมีความสุข เหตุผล เป็นเรื่องทีม่ ีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าเร่ืองสติ ปญั ญา ทง้ั สติ ปัญญาและเหตุผล ต่างกเ็ ปน็ องค์ประกอบของ กันและกัน น่ันคือ เมอ่ื รูจ้ ักใช้สติ แตถ่ ้าขาดปัญญาแล้วสตเิ พยี งอย่างเดียวก็ไม่สามารถสร้างความเจริญให้กบั สงั คมได้ ในขณะเดียวกันถ้ามีแต่ปัญญาแตข่ าดสติ มนุษยก์ ็อาจจะใช้ปญั ญาไปในทางท่เี อารัดเอาเปรยี บหรอื สร้างความ เดือดร้อนแกส่ ังคมได้ หรอื ถ้ามที งั้ สติและปัญญา แต่ไม่รู้จักการไตร่ตรองด้วยเหตุดว้ ยผลแล้ว สตกิ ับปญั ญาก็อาจจะทำ ให้เกิดการตัดสนิ ใจในเร่ืองต่างๆ ไม่วา่ จะเป็นเรอื่ งชวี ติ สังคม การเมือง หรอื เร่ืองอนื่ ๆ เกิดความผิดพลาดได้เช่นกนั

123 ใบงาน เร่ือง หนา้ ท่ีพลเมือง เรื่อง ความรูเ้ บื้องตน้ เก่ยี วกบั กฎหมาย …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. เรื่อง กฎหมายที่เก่ยี วข้องกับตนเองและครอบครวั …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. เรื่อง กฎหมายทเ่ี กีย่ วข้องกับชุมชน …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. เรื่อง กฎหมายอื่นๆ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. เรื่อง การปฏิบัติตนตามกฎหมายและการรักษาสทิ ธิ เสรภี าพ ของคนในกรอบของกฎหมาย …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

124 แผนการจดั การเรียนรู้ รายวชิ าช่องทางการเขา้ สอู่ าชีพ ครัง้ ที่ 12 การจดั ทำหนว่ ยเรยี นรูบ้ รู ณาการหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2565 กศน.ตำบลดู่นอ้ ย ระดับประถมศึกษา ๑. สปั ดาหท์ ี่ 12 วนั ท่ี 2 เดอื น มถิ นุ ายน พ.ศ. 2565 เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐น. ๒. วชิ า ชอ่ งทางการเขา้ สู่อาชพี รหสั วิชา อช1๑๐๐๑ จำนวน 2 หนว่ ยกิต 3. มาตรฐานท่ี ๓.๑ มีความรู้ ความเข้าใจและเจตคติทด่ี ใี นงานอาชีพ มองเหน็ ช่องทางและตัดสินใจประกอบ อาชพี ไดต้ ามความต้องการและศกั ยภาพของตนเอง 4. หน่วยการเรยี นร/ู้ เร่อื งช่องทางการประกอบอาชีพ 5. สาระสำคัญ อาชพี ตา่ ง ๆท่ีอยู่ในท้องถิน่ ประเทศ ภมู ภิ าค มีมากมายหลายอาชีพ แต่ละอาชีพตอ้ งใชค้ วามรคู้ วามสามารถ ทักษะต่างกนั 6. เน้ือหา ๑. ความสำคญั และความจำเป็นในการมองเหน็ ช่องทางการประกอบอาชีพ ๒. ความเปน็ ไปได้ในการเขา้ สู่อาชพี ในชุมชน ๓. การลำดบั อาชพี และเหตผุ ล 7. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู/้ ผลการเรียนรทู้ คี่ าดหวงั (ดจู ากผังการออกข้อสอบ) เมื่อศึกษาจบแล้ว ผ้เู รียนสามารถ ๑. อธิบายความสำคญั และความจำเป็นในการมองเห็นชอ่ งทางการประกอบอาชพี ๒. ศึกษาอาชีพในชุมชน เพ่ือวิเคราะห์ ความเปน็ ไปได้ ๓. การลำดบั อาชพี โดยพิจารณา ความเป็นไปได้ 8. การบรู ณาการกับหลักแนวคดิ ของเศรษฐกจิ พอเพียง (2 เง่ือนไข 3 หลักการ การเชือ่ มโยงสู่ 4 มติ ิ) ความรู้ - นกั ศึกษามคี วามรเู้ ร่ือง ชอ่ งทางการประกอบอาชพี - รจู้ กั วธิ ใี นการเลอื กประกอบอาชีพ คุณธรรม - ซื่อสตั ย์ สจุ รติ อดทน มีความเพียร ใชส้ ตปิ ญั ญาในการประกอบอาชีพ พอประมาณ - ความพอประมาณในการเลือกช่องทางประกอบอาชพี ใหเ้ หมาะสมกบั ทนุ ทรัพย์ แรงงาน วชิ าชีพ อายุ เวลา ความชอบและความสนใจ มเี หตุผล -ความมเี หตผุ ลในการวางเป้าหมายของชีวิตในการประกอบอาชีพ มภี ูมคิ มุ้ กนั

125 - มงี านทำ มรี ายได้ มเี งนิ ออม สามารถใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์สูงสดุ วตั ถุ - มีทักษะในการเลอื กชอ่ งทางการประกอบอาชีพได้อย่างเหมาะสม สังคม - มีการอยูร่ ว่ มกันในชมุ ชน และทำงานรว่ มกบั ผู้อื่นไดอ้ ย่างมีความสุข - สามารถนำความรู้เรื่องชอ่ งทางการประกอบอาชีพ ไปใชใ้ นการดำเนนิ ชวี ิต สง่ิ แวดล้อม - ประกอบอาชีพทส่ี จุ ริต ไมเ่ บียดเบยี นผู้อืน่ ทำใหช้ ุมชนน่าอยู่ วัฒนธรรม - การอย่รู ่วมกนั ในสังคม ไมเ่ บียดเบียนผู้อืน่ 9. กระบวนการจดั การเรียนร้แู ละกิจกรรมการเรียนรู้ ขน้ั ท่ี ๑ กำหนดสภาพปญั หาการเรียนรู้ (O : Orientation) ๑. ครอู ธิบายความสำคญั และความจำเป็นในการประกอบอาชพี ในการทำงานอาชีพของตนเองได้ ๒. ให้นักศึกษาทำแบบทดสอบก่อนเรียน ขน้ั ที่ ๒ แสวงหาขอ้ มูลและจัดการเรียนรู้ (N : New ways of learning) ๑.ครู อธบิ ายความสำคัญและความจำเป็นในการมองเหน็ ช่องทางการประกอบอาชีพ ศกึ ษาอาชีพใน ชุมชน เพ่ือวิเคราะห์ ความเป็นไปได้ การลำดบั อาชพี โดยพิจารณา ความเป็นไปได้ ๒.ทำแบบทดสอบหลังการพบกลุ่ม ขน้ั ที่ ๓ การปฏบิ ัตแิ ละการนำไปใช้ (I : Implementation) ครสู รุปความสำคัญและความจำเปน็ ในการประกอบอาชพี ลกั ษณะช่องทางการประกอบอาชพี และ อาชีพในชุมชน สงั คม ประเทศ ขั้นที่ ๔ การประเมนิ ผลการเรียนรู้ (E : Evaluation) ผู้เรียนสามารถนำความรู้ และประสบการณ์ในการประกอบอาชพี ที่ผเู้ รียนสนใจมาประยุกต์ใช้ได้ ใหน้ กั ศึกษาทำใบงาน ชอ่ งทางการประกอบอาชีพ 10. สอ่ื /แหลง่ เรียนรู้ - หนังสือแบบเรียน -ใบความรู้ - ใบงาน - สื่ออินเตอร์เน็ต ๑1. การวดั และประเมินผล 11.1 วธิ กี ารวดั และประเมนิ ผล - แบบประเมินผลการสงั เกตพฤติกรรมการทำงานรว่ มกบั ผู้อ่นื ของนกั ศึกษารายบุคคล - ใบงาน 11.2 เคร่อื งมอื วดั และประเมินผล.

126 - ประเมนิ ผลการสงั เกตพฤติกรรมการทำงานรว่ มกับผู้อน่ื ของนักศกึ ษารายบุคคล - ผลจากการตรวจใบงาน 11.3 เกณฑก์ ารวัดและการประเมนิ ผล - แบบประเมนิ ผลการสงั เกตพฤติกรรมการทำงานรว่ มกับผอู้ ื่นของนักศึกษารายบคุ คล ระดบั ดี พอใช้ และควรปรับปรุง - ใบงานคะแนนเตม็ 10 คะแนน กจิ กรรมเสนอแนะ ........................................................................................................................................................... .............................. ......................................................................................................................................................................................... …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชื่อ………………………………………ครูผ้สู อน (นายเอนก เหมือนทอง) ครู กศน.ตำบล ขอ้ เสนอแนะของผู้บริหาร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ลงชอื่ ……………………………………………ผอู้ นมุ ัติแผน (นางปัทมาภรณ์ ศรเี นตร) ผูอ้ ำนวยการ กศน.อำเภอจตรุ พกั ตรพิมาน

127 บันทกึ หลังการจัดการเรียนรู้ การจดั ทำหนว่ ยเรยี นรู้บูรณาการหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง กศน.ตำบลดนู่ อ้ ย ครง้ั ท่ี 12 วนั ท่ี 2 เดอื น สิงหาคม พ.ศ. 2565 ครผู สู้ อน นายเอนก เหมือนทอง ระดบั ประถมศึกษา เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐ น. สาระการประกอบอาชพี รายวชิ าช่องทางการเขา้ สู่อาชีพ รหสั วิชา อช1๑๐๐๑ จำนวนผเู้ รยี นท้ังหมด ............... คนเขา้ เรียน…………………คน ไม่เข้าเรยี น……………………….คน ๑. ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การประเมินโดยใช้ แบบทดสอบก่อนเรยี น - หลงั เรยี น พบวา่ คะแนนการทดสอบหลงั เรียน มากกว่ากอ่ นเรยี นจำนวน ........ คนคิดเปน็ รอ้ ยละ............ คะแนนการทดสอบหลงั เรยี น น้อยกวา่ ก่อนเรียนจำนวน ......... คนคดิ เป็นร้อยละ............ ๒. เน้ือหา/สาระ ......................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................ ............. ......................................................................................................................................................... ๓. กิจกรรมการเรยี นการสอน ......................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................................... ....... ...................................................................................................................................... ๔. ปัญหา/อปุ สรรค การเรียนการสอน .................................................................................. .................................................. ..................... ......................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................... ๕. แนวทางการแกป้ ญั หา .............................................................................................................. ........................................... ......................................................................................................................................................... ลงชื่อ....................................................... (นายเอนก เหมือนทอง) ครูผู้สอน วันท.ี่ ............../.................../............... ความคดิ เห็น/ข้อเสนอแนะของผ้บู ริหาร ......................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................... ลงชื่อ.................................................................. (นางปัทมาภรณ์ ศรเี นตร) ผ้อู ำนวยการ กศน.อำเภอจตุรพกั ตรพมิ าน

128 ใบความรู้ เรอ่ื ง ความสำคญั และความจำเป็นในการประกอบอาชีพ อาชีพ หมายถงึ การทำกิจกรรม การทำงาน การประกอบการทีไ่ ม่เปน็ โทษแกส่ งั คม และมรี ายได้ตอบแทน โดย อาศัยแรงงาน ความรู้ ทักษะ อปุ กรณ์ เครอ่ื งมือ วิธีการ แตกต่างกนั ไป กลุ่มอาชีพตามลักษณะการประกอบอาชีพ มี ๒ลักษณะ คือ อาชพี อิสระ และอาชีพรบั จ้าง ๑. อาชพี อิสระ หมายถึง อาชีพทุกประเภททผ่ี ูป้ ระกอบการดำเนนิ การด้วยตนเอง แตเ่ พียงผู้เดียวหรอื เป็นกลุม่ อาชีพอสิ ระเป็นอาชพี ที่ไมต่ ้องใชค้ นจำนวนมาก แตห่ ากมีความจำเป็นอาจมีการจา้ งคนอ่ืนมาช่วยงานได้ เจ้าของ กจิ การเป็นผู้ลงทนุ และจำหน่ายเอง คดิ และตดั สินใจด้วยตนเองทุกเรือ่ ง ซึ่งชว่ ยใหก้ ารพัฒนางานอาชีพ เปน็ ไปอย่าง รวดเร็วทันตอ่ เหตุการณ์ การประกอบอาชีพอสิ ระ เชน่ ขายอาหาร ขายของชำ ซ่อมรถจักรยานยนต์ ฯลฯ ในการ ประกอบอาชีพอสิ ระ ผปู้ ระกอบการจะตอ้ งมคี วามรู้ ความสามารถในเรื่อง การบริหาร การจัดการ เชน่ การตลาด ทำเล ทต่ี ง้ั เงนิ ทนุ การตรวจสอบ และประเมนิ ผล เปน็ ตน้ นอกจากน้ยี ังต้องมคี วามอดทนต่องานหนัก ไมถ่ ้อถอยตอ่ ปญั หาอุปสรรคท่ีเกดิ ขึ้น มีความคิดริเรมิ่ สร้างสรรค์ และมองเหน็ ภาพการดำเนินงาน ของตนเองได้ทะลปุ รโุ ปรง่ ๒. อาชีพรบั จ้าง หมายถึง อาชีพทีม่ ผี ้อู น่ื เป็นเจ้าของกิจการ โดยตัวเองเป็นผู้รับจ้าง ทำงานให้ และไดร้ บั คา่ ตอบแทน เปน็ คา่ จ้าง หรอื เงินเดอื น อาชีพรับจา้ งประกอบดว้ ย บคุ คล ๒ฝ่าย ซงึ่ ได้ตกลงวา่ จา้ งกัน บุคคลฝ่ายแรก เรยี กวา่ \"นายจ้าง\" หรือผวู้ ่าจ้าง บุคคลฝ่ายหลงั เรียกว่า \"ลูกจ้าง\" หรอื ผู้รบั จ้าง มีค่าตอบแทนท่ีผ้วู า่ จ้างจะต้องจ่าย ใหแ้ ก่ ผรู้ ับจา้ งเรียกว่า \"ค่าจา้ ง\" การประกอบอาชีพรบั จา้ ง โดยทัว่ ไปมีลักษณะ เปน็ การรับจ้างทำงานในสถาน ประกอบการหรือโรงงาน เปน็ การรับจา้ งในลักษณะการขายแรงงาน โดยไดร้ ับค่าตอบ แทนเป็นเงนิ เดือน หรือ ค่าตอบแทนท่ีคดิ ตามชน้ิ งานท่ีทำได้ อตั ราค่าจ้างข้ึนอยู่กบั การกำหนด ของเจ้าของสถานประกอบการ หรือนายจา้ ง การทำงานผ้รู บั จา้ งจะทำอยูภ่ ายในโรงงาน ตามเวลาทนี่ ายจา้ งกำหนด การประกอบอาชีพรับจ้างในลักษณะน้ีมีข้อดี คอื ไม่ต้องเสย่ี ง กบั การลงทนุ เพราะลูกจา้ งจะใชเ้ คร่ืองมอื อปุ กรณ์ที่นายจ้างจัดไว้ให้ทำงานตามท่นี ายจา้ ง กำหนด แต่มขี ้อเสีย คือ มักจะเป็นงานทีท่ ำซ้ำ ๆ เหมือนกันทกุ วัน และตอ้ งปฏิบตั ติ ามกฎ ระเบียบของนายจ้าง ในการ ประกอบอาชีพรับจา้ งน้ัน มีปัจจยั หลายอยา่ งท่เี อื้ออำนวยให้ผปู้ ระกอบอาชีพ รบั จา้ งมีความเจริญกา้ วหนา้ ได้ เช่น ความรู้ ความชำนาญในงาน มนี สิ ยั การทำงานทด่ี ี มีความกระตอื รือรน้ มานะ อดทน ในการทำงาน ยอมรับกฎเกณฑ์ และเช่อื ฟังคำส่ัง มคี วามซื่อสัตย์ สุจริต ความขยนั หมน่ั เพียร รับผดิ ชอบ มีมนุษยส์ ัมพนั ธ์ทีด่ ี รวมท้ัง สุขภาพอนามยั ท่ี ดี อาชีพต่าง ๆ ในโลกมมี ากมาย หลากหลายอาชพี ซง่ึ บุคคลสามารถจะเลือกประกอบ อาชพี ไดต้ ามความถนดั ความ ตอ้ งการ ความชอบ และความสนใจ ไมว่ ่าจะเป็นอาชีพ ประเภทใด จะเปน็ อาชีพอิสระ หรืออาชีพรับจ้าง ถ้าหากเปน็ อาชีพทีส่ จุ รติ ย่อมจะทำให้ เกิดรายไดม้ าสู่ตนเอง และครอบครวั ถ้าบุคคลผูน้ น้ั มีความมุ่งมน่ั ขยนั อดทน ตลอดจน มี ความรู้ ข้อมูลเกยี่ วกับอาชีพต่าง ๆ จะทำให้มองเหน็ โอกาสในการเข้าสู่อาชีพ และพฒั นา อาชีพใหม่ ๆ ให้เกิดขน้ึ อยู่ เสมอ ความหมายและความสำคญั ของการประกอบอาชีพ การประกอบอาชีพเป็นท่ีมาของรายได้ เพ่อื นำไปใช้จา่ ยในการดำรงชวี ิต ซ่ึงจำเปน็ ต้องอาศยั ปัจจยั สี่ ไดแ้ ก่ อาหาร ทอี่ ยู่อาศัย เครื่องนงุ่ ห่ม และยารกั ษาโรค ในอดตี สงิ่ ของตา่ งๆเหลา่ นีเ้ ป็นหน้าท่ีของพ่อแม่ เปน็ ผู้จดั หาให้แกส่ มาชิก ด้วยการผลิตขนึ้ ใชเ้ องในครอบครัว โดยไมจ่ ำเปน็ ต้องใชเ้ งนิ ซื้อหา ปัจจุบันการดำรงชวี ติ ใน สังคมได้เปล่ยี นแปลงไป ประชาชนมกี ารศึกษามกขึ้น ความรทู้ ี่ไดร้ บั จะเปน็ พน้ื ฐานในการประกอบอาชีพ เพ่ือใหม้ ี รายได้มาซื้อปจั จยั สแี่ ละส่ิงของอน่ื ๆในการดำรงชวี ิตและสร้างมาตรฐานทด่ี ใี ห้แกต่ นเอง ครอบครัว และสังคม อาชีพ มอี ยูม่ ากมาย ควรพจิ ารณาเลือกประกอบอาชีพที่มีความถนดั และความสนใจ สจุ รติ มีความม่นั คงในชวี ิตและมี รายไดเ้ พียงพอความจำเป็นของการประกอบอาชีพมีดงั นี้

129 ๑. เพือ่ ตนเอง เปน็ การประกอบอาชีพเพื่อใหไ้ ด้เงนิ หรือรายไดม้ าจบั จา่ ยใชส้ อยสำหรับการดำเนินชีวติ และ ตอบสนองความต้องการของตนเอง เช่น ซื้อเคร่ืองซักผ้า เคร่ืองตดั หญ้า เตาไมโครเวฟ รถยนต์ ฯลฯ ซอื้ สง่ิ สรา้ งความบันเทงิ และการพักผ่อน เช่น วิทยุ โทรทศั น์ วีดิทศั น์ตลอดจนซ้ือสนิ ค้า ฟมุ่ เฟอื ย เชน่ เคร่ืองประดับราคาแพง นำ้ หอม เครื่องสำอาง เปน็ ตน้ ๒. เพ่อี ครอบครวั ครอบครัวเปน็ หน่วยสังคมท่เี ล็กท่ีสดุ สมาชิกของครอบครัวประกอบด้วย พ่อ แม่ ลูก ซ่งึ มีภาระหน้าที่ที่ จะต้องปฏบิ ตั ิต่อกัน เช่น พอ่ แม่มีหนา้ ท่ีเลยี้ งดูลกู และให้การศกึ ษา เพื่อประกอบอาชีพในอนาคต ลูกมหี น้าที่ศึกษา เล่าเรียนจนสำเร็จการศกึ ษา แลว้ แสวงหาอาชพี เพื่อหารายไดม้ าเลี้ยงดูตนเอง พอ่ แม่ และทุกคนในครอบครัว ให้ มมี าตรฐานความเปน็ อยู่ท่ีดีขึ้น ๓. เพ่ือชมุ ชน ครอบครวั เปน็ ส่วนหนึ่งของชุมชนหรือสังคม หากสมาชิกแตล่ ะครอบครวั ประกอบอาชีพทีส่ ดุ จริตถูกต้องตาม กฎหมาย และมีอาชพี ทม่ี ั่นคง รายได้ดี และมีโอกาสก้าวหน้าภายในชมุ ชน ทำให้ชุมชนเข้มแข็ง เศรษฐกจิ ของ ชุมชนเจรญิ รุ่งเรอื งสามารถพึ่งพาตนเองได้ ๔. เพอื่ ประเทศชาติ เมอ่ื ประชาชนในชาติมกี ารประกอบอาชพี มรี ายไดม้ าเล้ียงตนเองและครอบครัว ทำใหอ้ ัตราการวา่ งงานลด น้อยลง ย่อมเปน็ การแก้ไขปัญหาสังคมให้กบั รัฐบาล สภาพสังคมมีความเปน็ อยู่ท่ีดี มีการใช้ทรัพยากรภายใน ชมุ ชน รายได้เกดิ การหมุนเวียน ทำให้เศรษฐกจิ โดยรวมของประเทศกา้ วหน้า ผลจากการที่ประชาชนประกอบ อาชพี มงี านทำ มีรายได้ ชุมชนมคี วามเข้าแข็งและชำระภาษใี ห้แกร่ ฐั เพ่ือรฐั จะได้นำไปพัฒนาประเทศในดา้ น ตา่ งๆ เชน่ การสรา้ งถนน สะพาน เขื่อน โรงไฟฟ้า เปน็ ตน้ การประกอบอาชีพของประชาชน ในชมุ ชนและใน ประเทศ จงึ เป็นการช่วยพฒั นาประเทศชาติได้อกี ทางหน่งึ จากความจำเปน็ ดังกลา่ ว ทำใหท้ กุ คนในชาติตอ้ งประกอบอาชีพ เพ่ือให้มรี ายได้เลี้ยงตนเองและ ครอบครัว ซ่งึ จะนำพาความสขุ มาส่ชู มุ ชนหรือสงั คมโดยรวม และกอ่ ให้เกิดผลดีต่อประเทศชาติในด้านการสรา้ ง ความเจริญและความมัน่ คงทางเศรษฐกิจ การแก้ไขปญั หาทางสังคมและการพัฒนาประเทศใหก้ ้าวไกล สามารถ แขง่ ขันในระดับมาตรฐานสากลได้ สรุป อาชีพ หมายถึง การประกอบการท่มี รี ายได้ตอบแทนโดยใช้แรงงาน ความรู้ ทักษะอปุ กรณ์ เครอ่ื งมอื สถานท่ี วิธีการต้องเปน็ อาชพี สุจริตและไม่มผี ลเสียตอ่ ชมุ ชนสงั คมและประเทศชาตมิ นุษย์เราจำเป็นตอ้ งมปี ัจจัยต่างๆ เพื่อ ต้องการดำรงชวี ิต เช่น มีทอ่ี ยู่อาศยั มีอาหารรับประทาน มีเครื่องนงุ่ ห่ม มียารักษาโรคต่างๆ ซ่ึงทงั้ ๔อยา่ งนจี้ ะเป็น

130 พนื้ ฐานของการดำรงชวี ติ ทว่ั ไป แตบ่ างคนกอ็ าจมีความจำเปน็ อนื่ ๆ อีก เช่น รถยนต์ โทรศพั ท์มอื ถือ ขนึ้ อยู่กบั ความ จำเปน็ ในการประกอบอาชพี หรือความจำเปน็ ต่อการดำรงชวี ิตประจำวนั การจะมีปจั จัยตา่ งๆเหล่าน้ี ข้ึนอยู่กบั ฐานะ ทางการเงิน ซ่ึงก็คอื ความสามารถในการหารายได้ของแต่ละบุคคล ใบงาน เร่อื ง ช่องทางการประกอบอาชีพ ใหผ้ ู้เรียนสรุปความรู้ท่ไี ดเ้ รยี น ตอบคำถามในหัวข้อตอ่ ไปนี้ 1. เพราะเหตุใดคนทุกคนจะต้องมีอาชพี ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 2. ชุมชนจะไดป้ ระโยชนอ์ ย่างไรกบั การที่คนในชุมชน มรี ายได้จากการประกอบอาชีพ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. ประเทศจะได้ประโยชนอ์ ะไรจากการที่คนในประเทศ มรี ายไดจ้ ากการประกอบอาชีพ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 4. เพราะอะไรจงึ ต้องมีความรู้ ในเรื่องอาชีพในชุมชน ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...

131 แผนการจัดการเรียนรู้ รายวชิ าช่องทางการเขา้ สู่อาชีพ ครงั้ ท่ี 13 การจดั ทำหนว่ ยเรยี นรูบ้ ูรณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ภาคเรียนที่ 1 ปีการศกึ ษา 2565 กศน.ตำบลดู่นอ้ ย ระดับประถมศึกษา ๑. สปั ดาห์ที่ 13 วันที่ 9 เดือน สงิ หาคม พ.ศ. 2565 เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐น. ๒. วชิ าชอ่ งทางการเขา้ สู่อาชีพ รหัสวิชา อช1๑๐๐๑ จำนวน 2 หนว่ ยกติ 3. มาตรฐานท่ี ๓.๑ มีความรู้ ความเข้าใจและเจตคตทิ ี่ดีในงานอาชีพ มองเห็นช่องทางและตัดสินใจประกอบ อาชพี ได้ตามความต้องการและศกั ยภาพของตนเอง 4. หน่วยการเรียนรู้/เรอื่ งการงานอาชพี 5. สาระสำคญั การงานอาชีพแบ่งกล่มุ ได้ดงั นี้ อาชีพเกษตรกรรม งานอาชีพดา้ นอุตสาหกรรม งานอาชีพด้านพานชิ ยกรรม งานอาชพี ด้านสร้างสรรค์ และอาชีพย่อย ๆ อกี มากมาย ดงั น้ันควรศกึ ษาวิเคราะห์ ขอบข่ายอาชีพกระบวนการทำงาน ใหเ้ ข้าใจ 6. เนื้อหา ๑. ความสำคัญและความจำเปน็ ในการประกอบอาชีพ ๒. อาชพี ในชุมชน ๓. การประกอบอาชพี ในภมู ิภาค ห้าทวปี 7. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้/ผลการเรยี นรู้ท่คี าดหวัง (ดูจากผังการออกข้อสอบ)เมื่อศกึ ษาจบแลว้ ผเู้ รียนสามารถ ๑. อธบิ ายความสำคัญและความจำเป็นในการประกอบอาชีพ ๒. อธิบายวิเคราะห์ลักษณะขอบข่ายกระบวนการผลิตงานอาชพี ในชมุ ชน สงั คม ประเทศได้ ๓. อธิบายการจัดงานอาชีพในชมุ ชนสังคม ประเทศและภูมิภาค ห้าทวีปได้ ๔. อธบิ ายคุณธรรมจรยิ ธรรมในการทำงาน ด้านอาชีพได้ ๕. อธบิ ายการอนรุ กั ษ์พลังงานและสง่ิ แวดลอ้ ม ในการทำงานอาชพี ได้ 8. การบูรณาการกบั หลกั แนวคิดของเศรษฐกิจพอเพียง (2 เงื่อนไข 3 หลักการ การเชอื่ มโยงสู่ 4 มติ ิ) ความรู้ - นกั ศึกษามีความร้เู ร่ือง ความสำคัญและความจำเป็นในการประกอบอาชีพ คุณธรรม - ซ่ือสตั ย์ สุจรติ อดทน มคี วามเพียร ใชส้ ติปญั ญาในการประกอบอาชีพ พอประมาณ - ความพอประมาณในการประกอบอาชีพให้เหมาะสมกบั ทุนทรัพย์ แรงงาน วิชาชพี อายุ วัย ทำเลที่ตัง้ เวลาความชอบและความสนใจ มีเหตุผล - ความมีเหตผุ ลในการวางเปา้ หมายของชวี ิตในการประกอบอาชีพ มภี มู ิคมุ้ กนั - มงี านทำ มีรายได้ มเี งินออม สามารถใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์สูงสดุ วัตถุ

132 - ร้จู ักเลือกประกอบอาชีพได้อยา่ งเหมาะสมและคุ้มคา่ - มีทกั ษะในการเลอื กประกอบอาชพี สงั คม - มที ักษะการอยรู่ ่วมกนั ในกลุ่ม และทำงานรว่ มกบั ผู้อนื่ ได้อยา่ งมีความสขุ - สามารถนำความรู้เร่ืองการประกอบอาชีพ ไปใชใ้ นการดำเนนิ ชีวิต ส่ิงแวดล้อม -รู้จกั ประกอบอาชพี ทสี่ ุจริต ไม่เบียดเบียนผู้อ่ืน ทำใหช้ มุ ชนน่าอยู่ วฒั นธรรม - การอยู่ร่วมกันในสังคม ไม่เบียดเบียนผู้อ่นื 9. กระบวนการจัดการเรยี นรแู้ ละกจิ กรรมการเรยี นรู้ ขน้ั ท่ี ๑ กำหนดสภาพปญั หาการเรียนรู้ (O : Orientation) ๑. ครอู ธบิ ายความสำคัญและความจำเป็นในการประกอบอาชพี ในการทำงานอาชพี ของตนเองได้ ๒. ใหน้ กั ศกึ ษาทำแบบทดสอบก่อนเรยี น ขนั้ ที่ ๒ แสวงหาขอ้ มลู และจัดการเรียนรู้ (N : New ways of learning) ๑. ครอู ธบิ ายความสำคัญและความจำเป็นในการประกอบอาชพี ลักษณะขอบข่ายกระบวนการผลิต งานอาชพี ในชมุ ชน สงั คม ประเทศ การจัดงานอาชีพในชมุ ชนสังคม ประเทศและภมู ภิ าค หา้ ทวปี คุณธรรมจรยิ ธรรม ในการทำงาน ดา้ นอาชีพได้ อธิบายการอนรุ ักษ์พลงั งานและส่ิงแวดลอ้ ม ในการทำงานอาชีพได้ ๒. ทำแบบทดสอบหลงั การพบกลุ่ม ขนั้ ที่ ๓ การปฏบิ ัติและการนำไปใช้ (I : Implementation) ครสู รปุ ความสำคัญและความจำเป็นในการประกอบอาชีพ ลักษณะขอบข่ายกระบวนการผลิตงาน อาชพี ในชมุ ชน สงั คม ประเทศ ขัน้ ที่ ๔ การประเมินผลการเรียนรู้ (E : Evaluation) ผ้เู รยี นสามารถนำความรู้ และประสบการณ์ในการประกอบอาชีพท่ผี ูเ้ รยี นสนใจมาประยุกตใ์ ช้ได้ ให้นกั ศึกษาทำใบงาน การงานอาชีพ 10. สอื่ /แหลง่ เรียนรู้ - หนงั สอื แบบเรียน - ใบความรู้ - ใบงาน - สือ่ อินเตอร์เน็ต 11. การวดั และประเมนิ ผล 11.1 วิธกี ารวัดและประเมินผล - แบบประเมินผลการสงั เกตพฤติกรรมการทำงานร่วมกบั ผู้อน่ื ของนักศึกษารายบุคคล - ใบงาน 11.2 เครือ่ งมอื วดั และประเมินผล. - ประเมินผลการสงั เกตพฤติกรรมการทำงานรว่ มกับผู้อ่ืน ของนกั ศกึ ษารายบุคคล - ผลจากการตรวจใบงาน 11.3 เกณฑ์การวดั และการประเมินผล

133 - แบบประเมินผลการสงั เกตพฤติกรรมการทำงานรว่ มกบั ผ้อู ืน่ ของนกั ศึกษารายบุคคล ระดบั ดี พอใช้ และควรปรับปรงุ - ใบงานคะแนนเตม็ 10 คะแนน กิจกรรมเสนอแนะ ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................................ ลงชอื่ ……………………………………ครผู ูส้ อน (นายเอนก เหมอื นทอง ครู กศน.ตำบล ขอ้ เสนอแนะของผู้บริหาร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... ลงชอื่ ……………………………………………ผู้อนุมตั แิ ผน (นางปทั มาภรณ์ ศรเี นตร) ผู้อำนวยการ กศน.อำเภอจตุรพกั ตรพิมาน

134 บันทกึ หลังการจัดการเรยี นรู้ การจดั ทำหนว่ ยเรียนรู้บรู ณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง กศน.ตำบลดูน่ ้อย ครัง้ ที่ 13 วนั ท่ี 9 เดอื น สงิ หาคม พ.ศ. 2565 ครผู ้สู อน นายเอนก เหมอื นทอง ระดบั ประถมศึกษา เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐ น. สาระการประกอบอาชีพ รายวิชาช่องทางการเข้าสอู่ าชีพ รหัสวชิ า อช1๑๐๐๑ จำนวนผเู้ รยี นทงั้ หมด ............... คนเข้าเรยี น…………………คน ไมเ่ ข้าเรียน……………………….คน ๑. ผลการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้การประเมนิ โดยใช้ แบบทดสอบก่อนเรียน - หลังเรียน พบวา่ คะแนนการทดสอบหลังเรยี น มากกว่ากอ่ นเรยี นจำนวน ........ คนคิดเปน็ ร้อยละ............ คะแนนการทดสอบหลงั เรยี น น้อยกว่าก่อนเรียนจำนวน ......... คนคดิ เปน็ รอ้ ยละ............ ๒. เนอื้ หา/สาระ ............................................................................................... .................................................. ........ ......................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................... ๓. กจิ กรรมการเรยี นการสอน ........................................................................................................................ ................................. ............................................................................................................................................................................ ....................................................................................................................................................... ๔. ปัญหา/อปุ สรรค การเรยี นการสอน .......................................................................................................................... ............................... ......................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................... ๕. แนวทางการแก้ปัญหา ...................................................................................................................................................... ... ......................................................................................................................................................... ลงชือ่ ....................................................... (นายเอนก เหมือนทอง) ครผู สู้ อน วันท.ี่ ............../.................../............... ความคิดเหน็ /ข้อเสนอแนะของผู้บริหาร ......................................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... ลงชอื่ .................................................................. (นางปัทมาภรณ์ ศรีเนตร) ผู้อำนวยการ กศน.อำเภอจตุรพักตรพิมาน

135 ใบความรู้ เร่ือง การงานอาชีพ เรอื่ ง อาชีพในชมุ ชน การเปลี่ยนแปลงทางด้านสงั คมและส่งิ แวดล้อมความเจริญกา้ วหนา้ ทางด้านเทคโนโลยีมีผลต่อชีวติ ความ เป็นอยแู่ ละโดยเฉพาะการประกอบอาชีพของคนในหมู่บา้ นไดแ้ ก่การเกิดอาชีพใหม่หรือการอนุรักษ์อาชพี เดิมให้อย่ใู น ทอ้ งถนิ่ ดังน้ี ๑. การสร้างอาชพี จากช่องวา่ งระหว่างอาชีพโดยอาศยั ชอ่ งวา่ งระหว่างอาชพี ๒ อาชพี เช่นอาชีพขยายลำไม้ไผ่ โดยซ้ือจากแหลง่ ปลูกไปขายให้กบั แหล่งทำเครอื่ งจักสาน ๒. การสรา้ งอาชพี จากผลของการประกอบอาชพี โดยอาศยั ผลพลอยไดจ้ ากอาชีพเดิมเชน่ ทำภาชนะใสข่ อง จากทางมะพร้าวจากตน้ มะพรา้ วทป่ี ลกู เป็นอาชีพอยแู่ ล้ว ๓. การสรา้ งอาชพี จากทรัพยากรทอ้ งถิ่นเป็นการสรา้ งอาชีพใหม่โดยการนำทรัพยากรทม่ี ีอยใู่ นท้องถน่ิ มาใช้ให้ เป็นประโยชนเ์ ชน่ ทำอฐิ จากดินเหนียวทีม่ ีอยูใ่ นทอ้ งถ่นิ ๔. การสร้างอาชีพจากความต้องการของตลาดเปน็ การสร้างอาชีพใหม่โดยอาศยั ขอ้ มลู ทางการตลาดเช่นเล้ยี ง กบเพราะตลาดมีความต้องการมากหรอื ปลูกผักปลอดสารพิษ ๕. การสรา้ งอาชีพท่ีขาดแคลนในทอ้ งถ่ินเปน็ การสรา้ งอาชีพใหม่โดยอาศยั ข้อมูลในท้องถน่ิ เชน่ อาชพี รบั ซ่อม มอเตอร์ไซคเ์ กดิ ข้นึ เพราะชา่ งในหมบู่ ้านขาดแคลน ๖. ประกอบอาชพี ตามบรรพบุรุษพ่อแมป่ ู่ย่าตายายทำอาชีพอะไรรุ่นลูกร่นุ หลานกจ็ ะดำเนนิ การต่อเชน่ อาชพี ขายกว๋ ยเตี๋ยวถ้ามีชื่อเสยี งกจ็ ะขายจนกระท่ังรุ่นลกู รุ่นหลาน ๗. ประกอบอาชพี ตามสภาพภมู ิประเทศซงึ่ ในประเทศไทยประกอบดว้ ยสภาพพื้นที่ที่เป็นภเู ขาทีร่ าบลุ่มทดี่ อน ดงั นั้นการเพาะปลูกขึ้นอยู่กับสภาพพน้ื ทีด่ ้วย เช่นทร่ี าบลมุ่ สามารถทำนาได้อยู่ใกล้ทะเลประกอบอาชีพดา้ นประมง หรอื บางทำเล สามารถจัดเป็นแหลง่ ท่องเที่ยวได้ ๘. ประกอบอาชพี ตามนโยบายของรฐั บาลหรือของผูป้ ระกอบการเองซ่ึงในพ้ืนทไี่ ม่เคยทำมาก่อนเช่นนำ ยางพาราไปปลกู ทางภาคอีสานแต่เดิมยางพาราจะปลูกกันทางภาคใต้เป็นส่วนใหญ่อาชีพในโลกนี้มีหลากหลายและ คนเราต้องมีอาชพี เพอ่ื ให้มีรายได้เลยี้ งตนเองครอบครัวการมีอาชพี ของตนเองต้องอาศัยปัจจัยหลายอยา่ งเช่นความรู้ ความสามารถเงนิ ทีใ่ ชใ้ นการลงทุนมสี ถานท่ีมีตลาดรองรับอาชพี เหลา่ นไี้ ด้แก่งานบา้ นงานเกษตรงานประดิษฐแ์ ละงาน ธุรกิจ งานบ้าน เปน็ อาชพี ท่ีเกย่ี วกบั งานบา้ นเช่นผา้ และเคร่ืองแตง่ กายอาหารและโภชนาการผ้าและเครื่องแต่งกายงานผา้ และเคร่ืองแตง่ กายสง่ิ สำคัญคือผา้ สำหรบั ใชเ้ ป็นวัสดทุ ส่ี ำคัญในการนำผา้ มาทำเคร่ืองน่งุ หม่ แล้วยังมีประโยชนใ์ ช้สอย

136 อยา่ งอื่นอีกเชน่ ผา้ ปโู ตะ๊ หมอนองิ ทนี่ อนผ้ามา่ นดังน้นั จึงควรมีความร้คู วามเข้าใจเกย่ี วกบั ผา้ นอกจากน้ีอาจจะมงี าน บรกิ ารท่ีเกยี่ วข้องต่างๆเชน่ งานซักรีดงานรับปะชนุ เสอื้ ผา้ ผา้ ทน่ี ิยมเลือกใช้ชนดิ ของผ้าท่ีเรารู้จักกนั แพรห่ ลายได้แกผ่ ้า ฝา้ ยผ้าลนิ นิ ผา้ ไหมผ้าขนสัตว์และผา้ ที่ทำจากเสน้ ใยสังเคราะห์ อาหารและโภชนาการ ความหมายของอาหาร อาหารหมายถึงส่ิงทคี่ นรับประทานหรือกนิ เข้าไปแล้วมผี ลทำให้รา่ งกายเจริญเติบโตแข็งแรงและทำใหร้ ่างกาย ดำเนนิ ชีวิตอย่ไู ด้ซึ่งอาหารนนั้ รวมไปถึงนำ้ ด้วย ความสำคัญของอาหาร ๑. ทำใหร้ า่ งกายมีการเจรญิ เติบโตเป็นสงิ่ ท่ีสำคัญสำหรับการเจรญิ เตบิ โตของเด็กหากรบั ประทานอาหารไม่ เพียงพอกบั ความต้องการของร่างกายอาจทำให้เกิดโรคต่างๆได้และมสี ภาพรา่ งกายไมส่ มบรู ณ์ ๒. ทำให้ร่างกายมีภูมิตา้ นทานโรคเม่ือได้รับอาหารทีเ่ หมาะสมตามหลักโภชนาการแลว้ รา่ งกายสามารถท่ีจะ ต่อสกู้ บั เช้อื โรคต่างๆได้ ๓. มีอายุยนื เมื่อรับประทานอาหารครบถว้ นร่างกายแข็งแรงทำให้สุขภาพดีและมผี ลทำให้อายุยืนยาว อาหารหลกั ๕หมู่ หมู่ท๑ี่ ได้แกอ่ าหารประเภทเนอ้ื สตั วต์ ่างๆไขป่ ลานมถัว่ เมล็ดแห้งเปน็ แหลง่ ของสารอาหารประเภทโปรตนี หมทู่ ๒ี่ ไดแ้ กอ่ าหารประเภทข้าวแปง้ นำ้ ตาลเผือกมันขา้ วโพดเปน็ แหล่งของสารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต หมู่ท๓ี่ ได้แก่อาหารประเภทผักใบเขยี วพชื ผักต่างๆเป็นแหล่งของสารอาหารประเภทแร่ธาตุตา่ งๆและวติ ามิน หมู่ท๔ี่ ไดแ้ ก่อาหารประเภทผลไมต้ ่างๆเปน็ แหลง่ ของสารอาหารประเภทคารโ์ บไฮเดรตเพราะมนี ้ำตาลมาก จึงทำให้ได้พลงั งานมากกว่าผักและเป็นแหลง่ ของแร่ธาตุและวติ ามินตา่ งๆ หม่ทู ๕ี่ ไดแ้ ก่อาหารประเภทไขมันท่ีได้จากสัตว์และพชื เชน่ นำ้ มันหมูนำ้ มนั ถ่ัวน้ำมนั งาน้ำมันรำขา้ วเปน็ แหลง่ ของสารอาหารประเภทไขมนั อาหารหลกั ๕หมทู่ ่ีกำหนดขนึ้ อยู่กับผู้บริโภคควรรับประทานใหค้ รบประจำทกุ วนั และได้สดั สว่ นทเ่ี หมาะสมกับ ความต้องการของรา่ งกายเพื่อร่างกายมีสุขภาพท่ีดีไม่เปน็ โรคขาดสารอาหาร อาชพี ทเ่ี กี่ยวข้องกบั อาหารและโภชนาการ ๑. อาชีพเปดิ ร้านขายอาหาร เช่นขายข้าวแกงขายอาหารตามสั่งขายก๋วยเตย๋ี วขายขนมจนี บางร้านอาจจะ ขายเฉพาะอย่างหรือหลายอย่างอยู่ในร้านเดียวกนั ขนาดของร้านขนึ้ อยู่กับการลงทุนและจำนวนลกู คา้ ดังนน้ั การตั้ง รา้ นอาหารจะต้องเลือกทำเล สำรวจลักษณะของลูกค้าเชน่ รายได้ของลกู ค้าความชอบชนดิ และรสชาติของอาหารการ เปดิ ร้านอาหารต้องควบคูไ่ ปกับการขายเครื่องด่ืม

137 ๒. อาชีพขายเครอ่ื งด่ืม ร้านประเภทน้จี ะเนน้ เครอื่ งดืม่ เป็นหลกั ถา้ เคร่ืองดมื่ ขนาดเลก็ อาจจะขายเฉพาะ เครือ่ งดื่มประเภทกาแฟซง่ึ มีหลากหลายชนิดอาจขายตามข้างทางหรือห้างก็ได้ถ้าขายเคร่ืองดม่ื ท่มี แี อลกอฮอลก์ ็อาจจะ มีอาหารประเภทของวา่ งใหแ้ กล้มด้วยสว่ นใหญก่ จ็ ะมีดนตรีและอาจมสี ถานท่ีสำหรบั เตน้ รำได้ทีเ่ รยี กกันว่า Pub (ผบั ) ๓. อาชพี ขายขนม อาจมบี างคนทต่ี ้องการเปดิ ร้านขายขนมอย่างเดียวเชน่ ขายขนมท่ีมีความเย็นขายขนม ประเภทไข่ขายขนมไทยเชน่ บัวลอยเผือกเตา้ ส่วนขายประเภทเบเกอรซ่ี ่ึงอาจควบกบั การขายเคร่ืองดื่มดว้ ยการเรียกชือ่ อาจแตกต่างกันเชน่ รา้ นขายข้าวแกงอาจจะอยู่ขา้ งถนนในตึกแถวภัตตาคารบางร้านก็มดี นตรีด้วย ๔. อาชพี ขายอาหารปิ่นโต อาชีพน้ีไมจ่ ำเป็นต้องเปิดร้านขายอาหารแต่ใช้วธิ ีประชาสมั พนั ธ์ใหท้ ราบวา่ มี ธุรกจิ ประเภทนเี้ พ่ือให้ลูกค้าสั่งจองราคาและชนดิ ของอาหารขึ้นอยู่กับการตกลงกนั บางคนรบั อาหารเฉพาะวนั ทำงาน และสามารถเลือกอาหารได้อาชพี นี้ต้องอาศยั รสชาติของอาหารเป็นหลักการสง่ ตรงต่อเวลาการเลอื กสถานท่ีกไ็ ม่ จำเป็นอาจจะใชส้ ถานทใี่ นบ้านได้ ๕. อาชีพถนอมอาหาร การถนอมอาหารเหมือนการเก็บอาหารให้มอี ายยุ นื คงทน เชน่ การตากแหง้ การ รมควันการดองการทำเค็มการใชน้ ำ้ ตาลอาชีพนี้ข้ึนอยู่กบั วัสดุทรัพยากรที่มีอยู่ในท้องถิ่นเช่นอยูใ่ กล้ทะเลก็อาจจะทำ ปลาเค็มปลาแดดเดียวหอยดองหรอื ในท้องถน่ิ ท่ีมพี ชื ผักมากก็จะถนอมผักโดยการดองผัก หรือมีผลไม้มากกใ็ ชว้ ิธีเชอื่ มเชน่ ทำมะตูมเชือ่ ม ๖. อาชพี บริการจดั เลีย้ ง เป็นอาชีพท่ีมีบริการจดั เล้ยี งอาหารนอกสถานที่เช่นจัดแบบบุฟเฟ่ต์โต๊ะจนี รายละเอยี ดเกยี่ วกับราคาและชนดิ ของอาหารขน้ึ อยู่กบั การตกลง งานเกษตร งานเกษตรหมายถงึ งานทีเ่ กยี่ วกบั การปลูกพชื เลย้ี งสัตวแ์ ละอาชพี ทเ่ี กี่ยวข้องตามกระบวนการผลิตและการ จัดการผลผลติ มกี ารใชเ้ ทคโนโลยเี พอื่ การเพิ่มผลผลิตปลกู ฝังความรับผดิ ชอบขยนั อดทนการอนุรักษ์พลงั งานและ ส่ิงแวดล้อมงานเกษตรสว่ นใหญ่เก่ียวขอ้ งกบั การปลกู พืชจะเห็นว่าในอดตี เรามีพืชหลายชนิดทีส่ ามารถส่งออกไปขาย ตา่ งประเทศได้ เช่นข้าวยางพาราขา้ วโพดมันสำปะหลังสว่ นสตั ว์และการประมงยงั น้อยโดยเฉพาะการประมงตอ้ งอาศัย สภาพพ้ืนทที่ ่ีตดิ ชายทะเลการประกอบอาชีพเกษตรจะก้าวหนา้ อย่างไรตอ้ งเข้าใจพื้นฐานเกษตรโดยเฉพาะเร่ืองดินและ ปุย๋ จงึ เป็นส่ิงสำคญั ในการเจริญเติบโตของพืช อาชพี ที่เก่ียวขอ้ งกบั งานเกษตร ๑. อาชีพปลกู พืช อาจจะปลูกพชื ชนดิ เดียวหรอื ปลูกพืชหลายชนดิ ผสมกนั เชน่ ปลกู พชื ผักแต่มีหลายชนดิ หรือปลกู พืชประเภทต่างๆเช่นปลกู ผักปลูกผลไม้และทำนาดว้ ย ๒. อาชพี เลย้ี งสตั ว์ เปน็ อาชีพทท่ี ำได้ทั่วประเทศการเลีย้ งสัตว์บางชนดิ ขึ้นอยู่กบั สภาพพื้นท่ที รัพยากรและ สง่ิ แวดล้อมเชน่ อยู่ตดิ ทะเลก็ประกอบอาชีพประมงจบั ปลาจับหอย

138 ๓. อาชีพเกษตรผสมผสาน เปน็ อาชพี เกษตรประกอบด้วยหลายประเภทท่มี ีการเก้ือกลู กนั เช่นมกี ารปลูกพชื รวมกบั การเลี้ยงสตั ว์โดยเอาเศษพชื มาให้สัตว์กินเอามลู สัตว์ไปใส่พืชหรือผสมผสานกนั ระหว่างพชื เช่นเกื้อกลู กันโดย อาศัยรม่ เงาจากต้นไม้ท่ีใหญ่กว่า ๔. อาชีพแปรรปู ผลผลิตทางการเกษตร โดยเอาผลผลติ ทางการเกษตรท่เี หลือจากการขายหรือเป็นช่วงท่มี ี ราคาตกตำ่ ก็นำมาแปรรูปไดเ้ ช่นการตากแหง้ การดองการรมควันการเชอ่ื ม ๕. อาชีพพ่อคา้ คนกลาง เปน็ อาชีพทีร่ ับซ้อื สนิ ค้าจากอกี ท่ีหนึง่ ไปยงั อกี ที่หนึ่งซึ่งไมต่ ้องเป็นผู้ผลติ เองเชน่ มี การรับซ้ือสินคา้ หลากหลายจากผูผ้ ลิตไปขายตลาด ๑. การปลกู พชื ประเภทของการปลูกพืช สามารถแบง่ พชื ออกตามลักษณะการใช้ดงั นี้ (๑) พืชไร่คือพืชท่ีปลูกโดยอาศยั สภาพดนิ ฟา้ อากาศในพ้นื ท่ีสว่ นใหญอ่ าศยั น้ำฝนเชน่ การปลกู ขา้ วโพดอ้อย ขา้ วมันสำปะหลงั (๒) พืชสวนเช่นปลูกผกั ผลไมไ้ มด้ อกไมป้ ระดบั ต้องมีการดแู ลรกั ษาอย่างใกลช้ ิดมนุษยต์ ้องดูแลมากกวา่ พชื ไร่ เชน่ ให้น้ำการป้องกันกำจัดศัตรพู ืช (๓) พืชป่าเปน็ พืชที่ไม่ตอ้ งการดูแลรกั ษาหรือมนุษย์ปลูกข้นึ โดยอาศัยธรรมชาติที่สอดคล้องกับพชื ชนิดท่ี เกิดข้ึนเองในปา่ เชน่ การปลกู สักปลกู ไผ่ (๔) พชื สมนุ ไพรหมายถงึ พชื ท่ีมีสรรพคุณในการรักษาโรคได้ทงั้ หมดพชื และสัตวบ์ างชนิดยังนำมาสกัดเป็น เครือ่ งสำอางเชน่ วา่ นหางจระเข้อัญชนั ขมิ้นเปน็ อาหารเสริมเช่นกระชายกระเทยี มเปน็ เครื่องดม่ื เชน่ บวั บกคำฝอยตะไครใ้ ชป้ รุงแตง่ อาหารเชน่ หอมแดงมะนาว ๒. การเล้ยี งสัตว์ ประเภทของการเลยี้ งสตั ว์แบ่งตามลักษณะของสัตวไ์ ดด้ งั นี้ (๑) สัตวใ์ หญ่นิยมเลย้ี งกนั แพร่หลายเป็นสตั วท์ ่ีเล้ยี งไวเ้ พือ่ ใชง้ านใช้เปน็ พาหนะเล้ียงเป็นอาชพี เช่นโคเน้อื โค กระบือ (๒) สัตวเ์ ลก็ นยิ มเลย้ี งในครัวเรือนเป็นอาชีพเปน็ อาหารหรอื เพ่อื ความเพลิดเพลินเช่นสกุ รแพะกระตา่ ย (๓) สตั ว์ปีกเป็นสัตวป์ ระเภทมปี ีกเช่นไก่เป็ดหา่ นนก (๔) สตั ว์นำ้ เป็นสัตว์ทีอ่ าศัยในน้ำหรอื ครึง่ บกครง่ึ นำ้ เช่นปลาก้งุ กบและตะพาบน้ำ งานชา่ ง งานช่างหมายถึงงานหรือสง่ิ ท่ีเกิดขึ้นจากการทำงานของช่างท่มี คี วามรู้ความชำนาญในงานนัน้ ๆ ทกั ษะเปน็ ส่ิงจำเป็นในการเป็นชา่ งเพราะเป็นการสร้างความรู้ความชำนาญในการทำงานสง่ิ ใดสิ่งหนงึ่ โดยมีขนั้ ตอนดังน้ี

139 ๑. การศกึ ษาหาความรู้กับงานช่างนน้ั ๆกอ่ นท่ีจะลงมอื ปฏิบัตงิ านน้นั ๆเพ่ือให้ทราบธรรมชาติของงานเชน่ งาน ไฟฟ้าต้องเขา้ ใจเกีย่ วกบั ธรรมชาตขิ องกระแสไฟฟ้าการทำงานของอุปกรณ์ตา่ งๆจากคู่มือประกอบของอุปกรณ์น้นั ๆ ๒.การวเิ คราะห์สาเหตุของการชำรุดเสยี หายของชิน้ ส่วนอปุ กรณ์หรือส่ิงก่อสร้างศึกษาชนิดของวัสดแุ ละหนา้ ท่ี ของชิ้นส่วนอุปกรณ์ในแตล่ ะส่วนก่อนทำการถอดหรอื แก้ไขซอ่ มแซม ๓. การจัดเตรียมอปุ กรณ์ในการถอดประกอบชิน้ ส่วนในแต่ละอุปกรณเ์ ครื่องมือในการซ่อมเช่นคอ้ นคีมไขควง ตลบั เมตรฯลฯใหเ้ หมาะสมกับลกั ษณะงานน้ัน ๔. การวางแผนและกำหนดข้ันตอนการปฏิบัตงิ านในแต่ละส่วนให้เหมาะสมและการใช้วัสดอุ ุปกรณ์อะไรบ้าง งบประมาณทใ่ี ชค้ วามคุม้ ค่ากับการซ่อมบำรงุ ๕. การปฏิบัตงิ านคอื การทำงานทลี ะขั้นตอนตามที่ไดศ้ ึกษาวิเคราะหแ์ ละวางแผนไวเ้ ป็นการฝึกใหม้ ีการสังเกต ตรวจสอบและคน้ คว้าเพ่ือทำการทดลองและแก้ไขข้อบกพรอ่ งหรอื จดุ เสยี ให้ดีข้นึ หรอื อยู่ในสภาพเดมิ ทส่ี ามารถใช้ได้ ต่อไป ๖. เม่อื ทำการซ่อมแซมเรียบร้อยแลว้ ให้ตรวจสภาพความเรียบร้อยอุปกรณ์ใส่ครบถ้วนถูกต้องหรือไม่แลว้ จงึ ทำการทดลองวา่ สามารถใชไ้ ด้หรือไมห่ รือต้องทำการปรบั ปรงุ แกไ้ ขใหด้ ตี ่อไปประเภทของงานช่าง ๑. ชา่ งไฟฟ้าเป็นผมู้ ีความชำนาญเก่ียวกับธรรมชาติและการทำงานของระบบไฟฟ้าประโยชน์และโทษของ ไฟฟา้ เชน่ เดนิ สายไฟในอาคารชา่ งวทิ ยุโทรทศั น์ ๒. ชา่ งไม้เป็นผ้มู คี วามชำนาญเกีย่ วกับงานไมเ้ ช่นการทำเฟอร์นเิ จอร์จากไมท้ ำโตะ๊ เก้าอ้ีหรืองานก่อสรา้ งจาก ไม้ ๓. ช่างยนตเ์ ปน็ ผู้มคี วามชำนาญเกย่ี วกับเครอ่ื งยนต์กลไกการทำงานของเครือ่ งยนต์เช่นเปน็ ช่างซ่อมรถยนต์ รถจกั รยานยนต์ ๔. ชา่ งประปาเป็นผู้มคี วามชำนาญเกี่ยวกับการวางท่อประปาธรรมชาติการไหลของนำ้ การเชอ่ื มต่อท่อใน ลกั ษณะต่างๆ ๕. ชา่ งปูนเปน็ ผู้มีความชำนาญเกย่ี วกับการก่ออฐิ ถือปนู การฉาบการเทพืน้ คอนกรีต ๖. ชา่ งทาสเี ปน็ ผูม้ ีความชำนาญเก่ยี วกบั การทาสกี ับวัสดุตา่ งๆแลว้ ยังมคี วามชำนาญเกี่ยวกับการเลือกใชส้ กี บั วสั ดตุ า่ งๆ ๗. ชา่ งเชอื่ มเปน็ ผู้มคี วามชำนาญเกี่ยวกบั งานเช่ือมการใชเ้ คร่อื งมือเครื่องจกั รในการเช่อื มอาชพี ท่เี กีย่ วข้อง เช่นอาชีพทำเหล็กดดั ประตหู น้าต่าง อาชพี ที่เกี่ยวขอ้ งกับงานชา่ ง

140 ๑. เป็นอาชพี ตามความชำนาญเชน่ ช่างไฟฟา้ ชา่ งไม้ช่างยนต์ช่างประปาช่างปนู ชา่ งทาสีชา่ งเชื่อมโดยอาจใช้ ความรคู้ วามสามารถรับงานเองมีการบริหารจดั การคิดราคาไดเ้ องติดตามการทำงานเองจดั การหาลกู ค้าเองหรือบางคน ใช้ความชำนาญเป็นลกู จ้างงานก่อสรา้ ง ๒. เปิดรา้ นซอ่ มเชน่ ซอ่ มเคร่ืองไฟฟา้ ซ่อมเครื่องรถยนตข์ ้นึ อยู่กบั ความชำนาญของแตล่ ะคน งานประดิษฐ์ งานประดษิ ฐห์ มายถึงสง่ิ ทที่ ำข้ึนใหม่โดยใชว้ สั ดตุ ่างๆท้ังทเ่ี ป็นวัสดุเหลอื ใช้หรอื วสั ดุทั่วๆไปแล้วนำไปใชใ้ หเ้ กดิ ประโยชนเ์ ช่น ๑. เป็นกิจกรรมทีช่ ่วยใหเ้ กดิ ความคิดรเิ รม่ิ สรา้ งสรรค์ ๒. เปน็ การใชเ้ วลาวา่ งให้เกิดประโยชน์ ๓. เปน็ การฝึกใหร้ จู้ กั สังเกตส่ิงรอบๆตวั และนำมาใช้ประโยชนไ์ ด้ ๔. สร้างความภาคภมู ิใจกับผู้ประดิษฐ์ ๕. สามารถสร้างงานและสร้างรายได้เพื่อเปน็ พนื้ ฐานการประกอบอาชีพได้ขอบขา่ ยของงานประดษิ ฐ์ งานประดษิ ฐต์ ่างๆ สามารถเลอื กทำได้ตามความต้องการและประโยชนใ์ ชส้ อยซงึ่ แบง่ เปน็ ๔ประเภทไดด้ ังน้ี ๑. ประเภทของเล่นเป็นของเลน่ เพ่ือความเพลิดเพลินของเล่นเพอ่ื การคดิ เชน่ งานปัน้ งานจกั สานวัสดุทใี่ ชเ้ ชน่ กระดาษผา้ เชือกพลาสติก ๒. ประเภทของใช้อาจทำขน้ึ เพ่ือใช้ในชีวิตประจำวันเช่นตะกร้ากระบงุ งานไม้ไผผ่ า้ เชด็ เท้าผา้ ปโู ต๊ะวัสดทุ ่ีใช้ เชน่ กระดาษไม้ไผ่ดินผ้าเหลก็ ใบตอง ๓. ประเภทของตกแตง่ ใช้ตกแตง่ สถานที่บา้ นเรือนใหม้ ีความสวยงามเชน่ การประดิษฐด์ อกไมแ้ จกนั ภาพวาด งานแกะสลกั ๔. ประเภทเครื่องใชง้ านพิธีทำข้ึนเพ่ือใช้ในพธิ ที างศาสนาในชว่ งโอกาสต่างๆและงานประเพณีเชน่ ลอยกระทง งานเข้าพรรษางานออกพรรษางานศพเคร่อื งใช้ในงานพธิ ีทางศาสนาเชน่ พานพุ่มมาลยั เครื่องแขวนบายศรกี ารจดั ดอกไม้ในงานศพ วัสดอุ ุปกรณ์ทใ่ี ช้ในงานประดิษฐ์จะเป็นของใชเ้ ลก็ ๆเชน่ กรรไกรเข็มด้ายกาวมดี ตะปคู ้อนแปรงสเี ลื่อย จักรเย็บผ้ากระดาษ อาชีพทเี่ ก่ียวข้องกบั งานประดิษฐ์ อาชพี นักประดิษฐ์เป็นอาชีพท่ีผลติ ส่ิงของเครื่องใช้ซ่ึงจะต้องเป็นผทู้ ่ีมีความคิดสร้างสรรค์ทันต่อความต้องการ ของตลาด ลกั ษณะการประกอบอาชีพได้แกผ่ ลิตเสรจ็ แลว้ ขายความคดิ ให้กบั บริษัทหรือคิดแลว้ ผลติ เองสง่ ขายใหร้ ้านคา้ หรือผลติ เองแล้วขายเองโดยตรงกระบวนการผลติ งานประดษิ ฐ์

141 ใบงาน เร่ือง การงานอาชีพ ๑. ใหผ้ เู้ รียนสำรวจอาชีพในชุมชน ภูมภิ าค และในโลก มา ๑๐ อาชพี ลงในแบบสำรวจโดยดำเนนิ การดังตอ่ ไปนี้ 1. ช่ืออาชพี ....................................................................................................................................... 2. ท่ตี ง้ั .............................................................................................................................................. 3. การประกอบอาชพี (ใหม้ รี ายละเอยี ดระยะเวลาการประกอบอาชีพตง้ั แต่เรม่ิ ตน้ จนถงึ ปจั จุบนั ) ๒. ให้ผ้เู รยี นเลอื กอาชพี ท่สี นใจมา ๑อาชีพ พร้อมดว้ ยเหตุผลทเี่ ลอื กประกอบอาชีพนัน้ ............................................................................................................................................................................ .................................................................................................................. .......................................................... ........................................................................................................................................ .................................... .......................................................................................................................................................................... ............................................................................................................. ........................................................ ...

142 แผนการจัดการเรยี นรู้รายวชิ าสงั คมศกึ ษา ครงั้ ท่ี 14 ภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา 2565 ระดบั ประถมศกึ ษา กศน.ตำบลดนู่ อ้ ย ๑. สปั ดาห์ท่ี 14 วนั ที่ 16 เดอื น สงิ หาคม พ.ศ.2565 เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐น. ๒. วชิ า สงั คมศึกษา รหสั วชิ า สค1๑๐๐๑ จำนวน 2 หนว่ ยกิต ๓. มาตรฐานท่ี 5.3 ปฏบิ ัติตนเปน็ พลเมืองดีตามวถิ ีประชาธปิ ไตย มีจติ สาธารณะ เพือ่ ความสงบสขุ ของสงั คม ๔. หนว่ ยการเรียนรู้/เรื่อง ภมู ิศาสตร์ทางกายภาพประเทศไทย ๕. สาระสำคัญ ลกั ษณะทางกายภาพและสรรพส่ิงในโลก มคี วามสัมพันธซ์ ึง่ กนั และกนั และมีผลกระทบต่อระบบ นเิ วศ ธรรมชาติ การนำแผนที่และเคร่ืองมือภมู ศิ าสตร์มาใช้ในการคน้ หาขอ้ มูล จะชว่ ยใหไ้ ดรบั ข้อมลู ทชี่ ัดเจนและ นำไปสูการใชก้ ารจัดการไดอย่างมีประสิทธภิ าพ การปฏิสัมพันธร์ ะหวา่ งมนุษยก์ ับสภาพแวดล้อมทางกายภาพ ทำให้ เกดิ สร้างสรรคว์ ฒั นธรรมและจิตสำนึกร่วมกนั ในการอนรุ ักษ์ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดล้อม เพ่ือการ พฒั นาท่ี ยัง่ ยนื ๖. เน้อื หา เร่อื งที่ 1 ลักษณะทางภมู ศิ าสตรก์ ายภาพของชุมชน เรือ่ งที่ 2 ลกั ษณะทางภมู ิศาสตรก์ ายภาพของประเทศไทย เรื่องที่ 3 การใช้ข้อมลู ภูมิศาสตรก์ ายภาพชมุ ชน ทองถิน่ เพ่ือใช้ในการดำรงชีวิต เรอ่ื งที่ 4 ทรพั ยากรธรรมชาติและการอนรุ ักษท์ รัพยากรธรรมชาติ เรอ่ื งที่ 5 ศักยภาพของประเทศไทย ๗. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้/ผลการเรียนรทู้ ค่ี าดหวัง (ดูจากผังการออกข้อสอบ) 1. อธบิ ายลักษณะภมู ิศาสตร์ทางกายภาพของประเทศไทยได 2. บอกความสัมพนั ธ์ระหว่างปรากฏการณทางธรรมชาตกิ ับการดำเนินชีวติ ได 3. ใชแ้ ผนทีแ่ ละเครือ่ งมือภูมิศาสตร์ได้อย่างเหมาะสม 4. วิเคราะหส์ ภาพแวดล้อมทางกายภาพ วัฒนธรรมและกระบวนการเปลยี่ นแปลทาง ลกั ษณะกายภาพและลักษณะวฒั นธรรมท้องถิ่นได 5. วิเคราะห์ศักยภาพของชมุ ชนท้องถนิ่ เพ่ือเช่ือมโยงเขาสูอาชีพ 8. การบูรณาการกับหลักแนวคดิ ของเศรษฐกจิ พอเพียง (2 เงอื่ นไข 3 หลกั การ การเชอื่ มโยงสู่ 4 มิติ) ความรู้ - นกั ศึกษามคี วามรเู้ ร่ือง ลกั ษณะทางภูมิศาสตรก์ ายภาพของชุมชนและประเทศไทย - นกั ศกึ ษามคี วามรเู้ รื่อง ทรัพยากรธรรมชาติและการอนุรักษท์ รัพยากรธรรมชาติของชุมชน และประเทศไทย - นักศึกษามีความรู้เรื่อง ประวัติศาสตร์ตัง้ แต่ยคุ อดีตถงึ ยุคปัจจบุ นั คณุ ธรรม - มคี วามม่งุ มนั่ ในการทํางาน - มคี วามสามคั คีในหมู่คณะ - ใฝ่หาความรู้เพอื่ พัฒนาอยเู่ สมอ พอประมาณ - มคี วามพอประมาณในเร่ืองของเวลาการแบ่งเวลาในการศึกษาหาความรู้

143 มเี หตุผล - ได้ความรู้เก่ยี วกับลักษณะทางภมู ิศาสตร์กายภาพของชมุ ชนและประเทศไทย - ไดค้ วามรเู้ กยี่ วกับประวตั ศิ าสตรต์ ง้ั แตย่ ุคอดีตถึงยุคปจั จุบนั มภี มู คิ มุ้ กนั -ร้จู ักลกั ษณะทางภูมิศาสตร์กายภาพของชมุ ชนและประเทศไทยเพ่ือนำไปปรับใชใ้ นการ ดำรงชวี ติ วตั ถุ - รจู้ ักเลอื กภมู ศิ าสตร์กายภาพชุมชน ทองถิน่ เพื่อใชใ้ นการดำรงชวี ติ -มีทักษะในการเลือกภูมศิ าสตรก์ ายภาพชุมชนท่ีเปน็ ประโยชนม์ าใชใ้ นการวางแผนการ ดำเนินชวี ติ ของตัวเองในชุมชนและสงั คม สังคม - มที ักษะการอยู่รว่ มกนั ในกลุ่ม และทำงานรว่ มกบั ผู้อ่นื ได้อย่างมคี วามสขุ - สามารถนำความรู้ที่ได้ไปเผยแพร่ให้กับครอบครัวและชมุ ชน สงิ่ แวดล้อม - รู้จักการนำความรู้เก่ยี วกับลักษณะทางภูมิศาสตรก์ ายภาพของชมุ ชนและประเทศไทย เพื่อ เปน็ ข้อมูลในการรักษาสมดุลรวมไปถึงการอนุรักสิ่งแวดล้อม ของชุมชนและประเทศไทย วฒั นธรรม - สบื สานภูมปิ ัญญาทอ้ งถ่ินและแหล่งเรียนรสู้ ู้คนรนุ่ หลัง 9. กระบวนการจดั การเรียนรู้และกจิ กรรมการเรียนรู้ ขน้ั ท่ี ๑ กำหนดสภาพปัญหาการเรยี นรู้ (O : Orientation) ๑. ครูทักทายผ้เู รยี น บอกวตั ถุประสงค์การเรยี นรู้ ๒. ครูทกั ทายกล่าวนำและสรา้ งความคุ้นเคยกับผู้เรียนพร้อมกับเปดิ ประเดน็ พูดคยุ กบั ผเู้ รยี นเรื่องความรู้ เบือ้ งต้นเกี่ยวกบั ประวตั ิศาสตรข์ องผูเ้ รยี นแต่ละคน และร่วมกันอภิปรายความร้เู บ้อื งตน้ เกีย่ วกับ ประวตั ิศาสตรเ์ พื่อนำเข้าสู่บทเรยี น ๓. ครเู ปิดภาพยนตรเ์ รื่องพระนเรศวรให้ผู้เรียนดู และสร้างความเขา้ ใจรว่ มกันและวิเคราะห์การ เปลยี่ นแปลงทางประวตั ศิ าสตร์ตั้งแต่ยุคอดีตถึงยุคปัจจบุ ัน ๔. ครูและผเู้ รยี นร่วมกันอภิปรายและสร้างความเขา้ ใจเกี่ยวกับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์โดย เรยี งลำดบั เหตกุ ารณ์ก่อน-หลัง ๕. ครเู ปดิ โอกาสใหผ้ เู้ รยี นซักถามขอ้ สงสัยกอ่ นเขา้ สบู่ ทเรยี นในข้นั ต่อไป ๖. สอบถามความรู้เรือ่ งลกั ษณะทางภูมศิ าสตร์กายภาพของชุมชน ทองถ่ิน ข้นั ที่ ๒ แสวงหาขอ้ มลู และจัดการเรยี นรู้ (N : New ways of learning) 1. ครูและผเู้ รยี นวางแผนวธิ กี ารเรียนรเู้ นอื้ หาท่ีกำหนด 2. ครแู จกใบความรใู้ ห้ผเู้ รยี นศกึ ษา 3. ครแู บง่ กลุ่มผเู้ รียน 5 กล่มุ แลว้ ใหแ้ ต่ละกลุ่มคัดเลือกหัวหนา้ กลมุ่ รองหวั หนา้ กลุ่ม และ เลขานกุ าร และสมาชกิ จากนั้นให้หวั หนา้ กลุ่มออกมาจบั ฉลากเพ่ือเลือกหวั ขอ้ ทงั้ หมด 5 เร่ือง เรื่องที่ 1 ลกั ษณะทางภมู ิศาสตร์กายภาพของชมุ ชน เร่อื งที่ 2 ลกั ษณะทางภูมิศาสตรก์ ายภาพของประเทศไทย เรอ่ื งที่ 3 การใชข้ ้อมูลภมู ิศาสตร์กายภาพชมุ ชน ทองถิน่ เพ่ือใชใ้ นการดำรงชีวติ เร่อื งท่ี 4 ทรัพยากรธรรมชาติและการอนรุ ักษท์ รัพยากรธรรมชาติ

144 เร่ืองที่ 5 ศักยภาพของประเทศไทย แลว้ ให้ผ้เู รยี นนำเอาความรู้ที่ศึกษาตามเรื่องที่กำหนดให้แล้วนำมาปรบั ใช้ในการดำเนนิ ชีวิตในสงั คม ปัจจุบันในดา้ นใดบ้าง และนำเสนอเพื่อแลกเปล่ยี นเรียนรหู้ น้าชน้ั เรยี น ข้นั ท่ี ๓ การปฏบิ ตั แิ ละการนำไปใช้ (I : Implementation) ๑. ผ้เู รยี นสง่ ตวั แทนนำเสนอความรทู้ ี่จบั ฉลากได้แล้วนำความรู้นั้นมาปรบั ใช้ในการดำเนนิ ชีวติ ใน สังคมปจั จุบัน 2. ผ้เู รียนสรุปสาระสำคัญทไ่ี ด้รบั จากการนำเสนอของแต่ละกลุ่มลงในสมดุ แลว้ สง่ ครู ๓. ครูเพ่ิมเตมิ ความรู้ใหแ้ ก่ผเู้ รยี น ๔. ใหผ้ ้เู รยี นทำแบบทดสอบความรู้หลังเรียน ขน้ั ที่ ๔ การประเมินผลการเรียนรู้ (E : Evaluation) ๑.ให้ผู้เรยี นแต่ละคนสรปุ ความรทู้ ี่ได้จากการวิเคราะห์ของแต่ละกลมุ่ มาสง่ ครใู นลักษณะของใบงาน ๒. ครแู ละผเู้ รียนรว่ มกนั สรปุ ความร้ทู ี่ได้รบั 10. สื่อ/แหล่งเรยี นรู้ - แบบเรยี นวิชาสงั คมศกึ ษา - ใบความรู้ /ใบงาน - กระดาษปรู๊ฟ / ปากกาเมจิก - สถานทพี่ บกลุ่ม - ภมู ปิ ญั ญาชาวบ้าน และแหล่งเรยี นรใู้ นทอ้ งถน่ิ ๑1. การวดั และประเมนิ ผล ๑1.๑ วธิ กี ารวดั และประเมินผล - การสังเกตพฤตกิ รรมการทำงานร่วมกับผ้อู นื่ ของผู้เรียนรายบุคคล - ใบงาน ๑1.๒ เคร่ืองมอื วัดและประเมินผล - ผลการสังเกตพฤตกิ รรมการทำงานร่วมกับผู้อน่ื ของผู้เรยี นรายบุคคล - ผลจากการตรวจใบงาน ๑๐.๓ เกณฑ์การวัดและการประเมินผล - การสงั เกตพฤตกิ รรมการทำงานร่วมกบั ผอู้ ื่นของผู้เรียนรายบุคคล ระดบั ดี พอใช้ ควรปรับปรุง - ใบงานคะแนนเต็ม ๑๐ คะแนน

145 กจิ กรรมเสนอแนะ .................................................................................... ..................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ลงชื่อ…………………………………………….ครผู ู้สอน (นายเอนก เหมือนทอง) ครู กศน.ตำบล ข้อเสนอแนะของผู้บรหิ าร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………........ ลงช่ือ………………………………………………………ผูอ้ นมุ ตั ิแผน (นางปัทมาภรณ์ ศรเี นตร) ผอู้ ำนวยการ กศน.อำเภอจตุรพกั ตรพมิ าน

146 บนั ทกึ หลังการจัดการเรียนรู้ กศน.ตำบลดู่น้อย ครัง้ ที่ 14 วันที่ 16 เดอื น สิงหาคม พ.ศ.2565 ครูผสู้ อน นายเอนก เหมอื นทอง ระดับ ประถมศึกษา เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐ น. สาระการพฒั นาสังคม รายวิชาสงั คมศึกษา รหสั วิชา สค1๑๐๐๑ จำนวนผ้เู รียนทัง้ หมด ............... คนเขา้ เรยี น…………………คน ไมเ่ ขา้ เรียน……………………….คน ๑. ผลการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้การประเมินโดยใช้ แบบทดสอบก่อนเรียน - หลังเรยี น พบว่า คะแนนการทดสอบหลงั เรยี น มากกว่ากอ่ นเรียนจำนวน ........ คนคดิ เปน็ ร้อยละ............ คะแนนการทดสอบหลังเรยี น นอ้ ยกวา่ ก่อนเรยี นจำนวน ......... คนคิดเป็นร้อยละ............ ๒. เนอ้ื หา/สาระ ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................................................................................ ๓. กิจกรรมการเรยี นการสอน ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ............................................... ....................................................................................................................................... ๔. ปัญหา/อปุ สรรค การเรียนการสอน ................................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................ ........................ ................................................................................................................................................................ ๕. แนวทางการแก้ปญั หา ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................... ................. ................................................................................................................................................................ ลงชือ่ .......................................................ครูผสู้ อน (นายเอนก เหมือนทอง) วันท.ี่ ............../.................../............... ความคดิ เหน็ /ข้อเสนอแนะของผู้บริหาร ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... .............................................................................................................. ........................................................................... ลงช่ือ.................................................................. (นางปัทมาภรณ์ ศรีเนตร) ผ้อู ำนวยการ กศน.อำเภอจตรุ พักตรพมิ าน

147 ใบความรู้ ลกั ษณะทางกายภาพของประเทศไทย ทต่ี ้งั และลกั ษณะทั่วไปของประเทศไทย ทีต่ ้งั ประเทศไทยต้งั อยบู่ รเิ วณตอนกลางของคาบสมทุ รอนิ โดจนี มที ีต่ ง้ั ตามพิกัดภูมิศาสตรด์ ังน้ี ต้ังอยปู่ ระมาณระหวา่ งละตจิ ดู 5 องสา 37 ลิปดาเหนือ กับ 20 องสา 27 ลปิ ดาเหนือและระหว่าง ลองจิจูด 97 องศา 22 ลิปดาตะวันออก กับ 105 องศา 37 ลปิ ดาตะวนั ออก หรอื บริเวณซีกโลกเหนอื ในเขต ละตจิ ดู ตำ่ ระหวา่ งเสน้ ศูนย์สูตร กบั เสน้ ทรอปิกออกฟเคนเซอร์ น่ันเอง จงึ จดั อยใู่ นประเทศเขตร้อน จากท่ปี ระเทศไทยทำเลทต่ี ัง้ เป็นคาบสมุทร จึงส่งผลดตี ่อการเพาะปลกู ของประเทศตลอดมา และ ประเทศไทยตั้งอยู่ทา่ มกลางดินแดนของภาคพ้ืนเอเชยี ตะวันออกเฉยี งใต้ นบั เปน็ จุดยุทธศาสตรส์ ำคัญแห่งหน่ึงของโลก อาณาเขตติดต่อ 1. อาณาเขตติดต่อกับสหภาพพมา่ มีดินแดนดนิ ตอ่ กับพม่าในภาคเหนือ ภาคตะวันตกและภาคใตร้ วม 10 จงั หวดั แนวพรมแดนอาศัยทวิ เขาและแม่น้ำเปน็ เส้นกั้นเขตแดนตามธรรมชาติ 2. อาณาเขตตดิ ตอ่ กับสาธารณรัฐประชาธปิ ไตยประชาชนลาว มีพรมแดนตดิ ต่อกับสาธารณรฐั ประชาธปิ ไตยประชาชนลาวในภาคเหนือและภาคตะวนั ออก เฉยี งเหนอื รวม 11 จังหวัด มีแม่น้ำโขงเปน็ เส้นกัน้ พรมแดนทางน้ำทส่ี ำคัญ ส่วนพรมแดนทางบกมที วิ เขาหลวงพระบางก้ันทางตอนบน และทวิ เขาพนมดงรักบางส่วนก้ัน เขตแดนตอนล่าง 3. อาณาเขตติดต่อกับราชอาณาจกั รกัมพชู า มพี รมแดนติดต่อกบั ราชอาณาจกั รกัมพูชาในภาค ตะวันออกเฉยี งเหนือ และภาคตะวันออก รวม 7 จงั หวัด 4. อาณาเขตติดตอ่ กับมาเลเซยี มีพรมแดนตดิ ต่อกับมาเลเซีย ในภาคใต้ 4 จงั หวัด มีเทือกเขาสันกาลา ครี แี ละแมน่ ำโก – ลก จงั หวดั นราธวิ าสเปน็ เส้นกัน้ แดน 5. อาณาเขตทางทะเล ติดต่อกบั ทะเลทั้งดา้ นอา่ วไทยและดา้ นทะเลอันดามันรวมเป็นระยะทาง 2,705 กโิ ลเมตร 1 ) อาณาเขตติดต่อกบั อ่าวไทย มที ้ังสนิ้ 16 จังหวดั อยู่ในภาคกลาง 3 จังหวดั ภาคตะวนั ออก 4 จงั หวด ภาคตะวนั ตก 2 จงั หวดั ภาคใต้ 7 จังหวดั 2 ) อาณาเขตติดต่อกับทะเลอันดามัน มีท้งั สิ้น 6 จงั หวดั อยูใ่ นภาคใต้ ลักษณะทางกายภาพของประเทศไทย ลักษณะภูมิประเทศ คอื สภาพท่วั ๆ ไปบนผิวโลก มลี กั ษณะทางภมู ปิ ระเทศที่แตกต่างกนั ในแตล่ ะ ทอ้ งถิ่นซง่ึ มีลักษณะท่ีแตกต่างกันไป ปัจจยั ท่กี ่อให้เกิดลักษณะภมู ิประเทศ เกดิ จากการผนั แปรของเปลอื กโลกเนื่องจากพลงั งานภายในโลก ทำใหเ้ ปลอื กโลกถูกบบี อัดยกตวั สูงข้นึ หรือทะเลต่ำลงและอีกประการหนึง่ เกดิ จาก การกระทำของตัวกระทำต่างๆ นอกจากการเปล่ียนแปลงอันเกิดจากกระบวนการทางธรรมชาตแิ ลว้ การกระทำของมนุษยก์ ็มสี ่วนในการ ทำใหเ้ กดิ ลักษณะภมู ิประเทศบางอยา่ งไดเ้ ชน่ กนั แต่มีขอบเขตจำกัดกว่าการกระทำตามกระบวนการทางธรรมชาติ ลกั ษณะโครงสร้างภูมิประเทศของไทย มี ลักษณะโครงสร้าง ภูมิประเทศทเ่ี กิดจากการเคลอ่ื นไหวของเปลือกโลกกับการกระทำของแม่น้ำลำธาร

148 ใน ระยะเวลาทผี่ า่ นมา และเขตภมู ภิ าคทางภูมิศาสตร์ของคณะกรรมการภูมิศาสตร์ โดยแบง่ ออกเป็น 6 เขตใหญ่ ดงั น้ี 1. เขตภูเขาและหบุ เขาภาคเหนอื บริเวณ ทส่ี งู และภเู ขาทั้งหมดในภาคเหนอื ภูมิประเทศบรเิ วณที่สูง ของภาคนี้ มีลกั ษณะเป็นภูเขาและหุบเขาสลับกันเปน็ แนวยาว บริเวณทสี่ ูงภาคเหนอื นถี้ ือว่าเปน็ แหล่งกำเนิดของ แมน่ ำ้ สายสำคญั ของประเทศ ภาคเหนือเป็นแหลง่ ทรพั ยากรธรรมชาติทีส่ ำคัญหลายชนดิ อาชพี ของประชากรในภาคนี้ ได้แก่ กา เพาะปลูก การเล้ยี งสัตว์ และการทำเหมืองแร่ 2. เขตทร่ี าบลุ่มภาคกลาง บรเิ วณท่ีราบตอนกลางและตอนล่างของลุ่มแมน่ ำ้ ทงั้ หมดทไ่ี หลลงสูอ่ ่าวไทย จงึ ทำให้บริเวณแอ่งแผ่นดินที่ต่ำถูกทับถมด้วยโคลนตะกอนสูงๆ ขึ้น จนในทส่ี ุดอยเู่ หนือระดับนำ้ กลายเปน็ ทรี่ าบ ซงึ่ เป็นบรเิ วณทรี่ าบกวา้ งขาวงที่สุดในประเทศ เขตที่ราบภาคกลางอาจแบง่ ได้เปน็ 2 บรเิ วณ 2.1 บรเิ วณทีร่ าบลมุ่ น้ำตอนบนและบรเิ วณขอบที่ราบตอนล่าง 2.2 บรเิ วณท่ีราบลุ่มนำ้ ตอนล่าง 3. เขตเทือกเขาและหุบเขาภาคตะวันตก บริเวณนี้อยูท่ างด้านตะวันตกของเขตท่ีราบภาคตะวนั ตก ลักษณะภมู ิประเทศสว่ นใหญ่เปน็ ทิวเขาและหุบเขาสลบั ซับซ้อน มลี ักษณะเป็นเทือกเขาและหบุ เขามากกวา่ ทร่ี าบซึ่ง คล้ายกบั ภาคเหนือ ประชากรในภาคนี้มไี มม่ ากนักเพราะเป็นเขตป่าเขา ภาคตะวันตกเป็นดินแดนที่อดุ มไปดว้ ย ทรพั ยากรธรรมชาติหลายประเภทมีความสำคัญ ต่อการพฒั นาเศรษฐกจิ มแี หล่งนำ้ ทีส่ มบูรณ์ทเ่ี หมาะแก่การทำ เกษตรกรรม มีป่าไม้และสตั วป์ า่ นานาชนดิ เปน็ แหลง่ ผลติแรโ่ ลหะและอโลหะที่สำคญั ในด้านอุตสาหกรรม รวมทั้งเป็น แหลง่ พลงั งานน้ำมนั ทนี่ ำมาพัฒนาและใช้ประโยชน์ได้อย่างมหาศาล 4. เขตชายฝง่ั ตะวนั ออกของอา่ วไทย เปน็ เขตท่ีมเี น้ือทีน่ ้อยที่สดุ ภูมิประเทศโดยทั่วไปจะเป็นท่รี าบล่มุ แม่น้ำและท่ี ราบชายฝ่งั ทะเล มีฝนตกชกุ และมีปา่ ไม้เหมือนภาคใต้และภาคเหนอื มีการเพาะปลูกพืชไรแ่ ละการคา้ เหมือนภาค กลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ยังเปน็ แหลง่ ทรัพยากรธรรมชาตทิ สี่ ำคญั ทางเศรษฐกิจหลายอย่าง 5. เขตท่ีราบภาคตอวันออกเฉียงเหนือ พ้ืนท่ี ส่วนใหญ่เป็นทร่ี าบสูง ลักษณะของพืน้ ท่ีเป็นแอง่ คลา้ ย จานลาดเอยี งไปทางตะวนั ออกเฉียงใต้ไปทางบรเิ วณ แมน่ ำ้ โขง แม้ว่าภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื จะเป็นภาคท่มี ีพืน้ ที่ กวา้ งใหญท่ ีส่ ุด หากทางด้านทรพั ยากรธรรมชาติทีสำคญั เป็นพื้นฐานในการพฒั นาเศรษฐกิจแล้ว อาจด้อยกว่าภาคอืน่ ๆ 6. เขตคาบสมุทรภาคใต้ เปน็ พืน้ ท่รี าบ บริเวณชายฝั่งทะเล และภเู ขาท่ีเปน็ แกนหรือสนั ของคาบสมุทร มีลักษณะภมู ปิ ระเทศและภมู ิอากาศแตกต่างจากภาคอื่นๆ อย่างชัดเจน พื้นที่สว่ นใหญ่ประกอบด้วยเทอื กเขา ซึ่งเป็น แกนกลางเขตคาบสมทุ รท่สี ำคัญ ลักษณะชายฝั่งทางภาคใต้มลี กั ษณะของพ้นื แผน่ ดนิ ทีม่ ีการยกตวั สงู ขึ้น ด้วยเหตุนี้ ชายฝัง่ อ่าวไทยจงึ มีทีร่ าบชายฝ่งั เป็นบริเวณกวา้ งจงึ เป็นแหลง่ เพาะปลูกทส่ี ำคัญของภาคใต้ ภาคใตเ้ ปน็ แหล่งท่ีอดุ ม ด้วยทรัพยากรธรรมชาติที่มคี ่าหลายชนดิ โดยเฉพาะตามแนวชายฝ่ังทะเลและนา่ นน้ำทงั้ 2 ดา้ น เป็นแหลง่ สตั ว์นำ้ และแร่ธาตทุ ่ีมีความสมบรู ณท์ ้ังยงั เป็นแหล่งผลิตพชื เศรษฐกิจท่ีสำคญั หลายชนิด ลกั ษณะภมู ิอากาศ ปจั จัยท่ีมผี ลต่อภูมอิ ากาศของประเทศไทย 1. ทต่ี ้ังตามแนวละติจูด ประเทศไทยตัง้ อยู่เหนอื เสน้ ศนู ยส์ ูตร โดยมรี ะยะหา่ งตามแนวละตจิ ดู จากเส้น ศนู ยส์ ูตรไม่มากนัก จึงไดร้ ับความรอ้ นจากแสงอาทติ ยต์ ลอดท้ังปแี ละถอื ว่าเปน็ เขตร้อน 2. ความใกล้ไกลจากทะเล ส่วนตอนบนของประเทศอย่ใู นพน้ื ท่ีแผน่ ดินใหญ่ ส่วนตอนลา่ งเป็นคาบสุ ทรอยู่ติดทะเล จงึ ทำให้ภูมิอากาศแตล่ ะภาคแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเปน็ อณุ หภมู ิปรมิ าณน้ำฝนหรือฤดูกาล

149 3. ลักษณะภูมิประเทศ ที่มอี ิทธพิ ลตอ่ สภาพภมู อิ ากาศ 3.1 ความสูงของพน้ื ท่ี 3.2 การวางตัวของภูเขา 3.3 ทิศทางของลมประจำ ลมมรสุมที่พดั ผา่ นประเทศไทยมี 2 ชนิด ตามทศิ ทางลมท่ีพัดมาคือ 1 ) ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ 2 ) ลมมรสมุ ตะวันออกเฉยี งเหนือ องค์ประกอบของภูมิอากาศ 1. อุณหภมู ิ อุณหภมู ิในประเทศไทยแบ่งออกเปน็ 2 บริเวณอย่างกวา้ งๆ ตามลกั ษณะภมู ิอากาศ คือ 1.1 ประเทศไทยตอนบน ได้แก่ ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก 1.2 ประเทศไทยตอนลา่ ง ไดแ้ ก่ ภาคใต้ อุณหภูมิตลอดทั้งปจี ะไมเ่ ปล่ยี นแปลงมากนัก 2. ปริมาณน้ำฝน มีค่อนข้างมาก ส่วนใหญม่ กั เกดิ ในรปู ของฝนตกหนักในระยะสั้น และมักพบในเวลา เย็นหรือเชา้ ตรู่ การพิจารณาฝนในประเทศไทยอาจแบ่งออกไดเ้ ป็น 2 บรเิ วณ คือ 2.1 ประเทศไทยตอนบน 2.2 ประเทศไทยตอนล่าง 3. ฤดูกาล ประเทศไทยแบง่ ฤดูกาลออกเป็น 3 ฤดู ดงั น้ี 3.1 ฤดูฝน เริ่มต้งั แตป่ ระมาณกลางเดือนพฤษภาคมจนถึงเดือนเมษายน มีระยะเวลา 5 – 6 เดอื น โดยลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ไดพ้ ดั ปกคลุมประเทศไทยแล้ว 3.2 ฤดหู นาว เร่ิม ตัง้ แตก่ ลางเดอื นพฤศจกิ ายน ไปจนถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์ มีระยะเวลา 3 เดือน ในระยะนล้ี มมรสมุ ตะวันออกเฉยี งเหนือได้พัดปกคลุมประเทศไทยทำให้อุณหภมู ิลดลง 3.3 ฤดรู อ้ น เรม่ิ ตัง้ แตก่ ลางเดอื นภมุ ภาพันธ์ไปจนถึงกลางเดือนพฤษภาคม มีระยะเวลา 3 เดอื น เป็น ระยะทล่ี มมรสมุ ตะวันออกเฉียงเหนืออ่อนกำลังลง กจิ กรรมทางเศรษฐกิจในแต่ละภาค ภาคเหนอื ประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชพี เกษตรกรรมและรองลงมาคืออตุ สาหกรรม 1. การเกษตรกรรม ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเพาะปลูก เลี้ยงสตั ว์ ทำป่าไม้ 2. การอุตสาหกรรม อตุ สาหกรรมสว่ นใหญเ่ ปน็ อตุ สาหกรรมขนั้ ตน้ 3. การทำเหมืองแร่ โดยเฉพาะแรแ่ มงกานสี ซีไลต์ ฟลูออไรต์ และดนิ ขาว เป็นแร่ทผี่ ลติ ได้มากกว่าภาคอ่นื ๆ ของ ประเทศ 4. การคมนาคมขนสง่ มีระบบการคมนาคมขนส่งทางถนน ทางรถไฟ และทางอากาศ 5. การท่องเที่ยว การท่องเทย่ี วมีความสำคัญคอ่ นข้างมาก มีแหล่องทอ่ งเท่ยี ว ทัง้ ภายในประเทศและต่างประเทศ ภาคกลาง 1. การเกษตรกรรม มี แมน่ ้ำสายสำคัญไหลผา่ น และทกี ารชลประทานทีม่ ีประสทิ ธิภาพ ทำใหเ้ ป็นแหลง่ ปลกู ข้าวท่ี สำคญั ของประเทศ การเลี้ยงสัตว์ จังหวดั นครปฐมเป็นแหลง่ เลี้ยงสกุ รทส่ี ำคญั ทส่ี ุดของประเทศ 2. การอุตสาหกรรม โรงงานผลิตอาหารสำเร็จรูปท่ีเป็นโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ต้ังอย่ใู นเขตกรุงเทพมหานคร 3. การทำเหมืองแร่ ภาคกลางเป็นเขตหนิ ใหม่ท่เี กิดจากการทับถมของโคลนตะกอน แร่ทีผ่ ลติ ได้สว่ นใหญ่เปน็ แร่ อโลหะและแร่เชื้อเพลงิ 4. การคมนาคมขนสง่ เป็นจดุ รวมของการคมนาคมขนส่งทั้งทางถนน ทางรถไฟ ทางน้ำ และทางอากาศ

150 5. การท่องเท่ียว มแี หล่งท่องเท่ยี วทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมทเ่ี ป็นท่สี นใจของนักทอ่ งเทย่ี วทงั้ ชาวไทยและ ตา่ งประเทศ ภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ 1. การเกษตรกรรม มีการเลี้ยงสัตว์มากกว่าภาคอ่นื ๆ นอกจากน้ีก็จะมกี ารทำนา การปลูกพชื ไร่ทท่ี นความแห้งแลง้ ได้ ดี 2. การอุตสาหกรรม สว่ นใหญ่เปน็ โรงงานแปรรปู ผลผลิตทางการเกษตร โรงงานจะต้งั อยู่ในจงั หวัดใหญ่ๆ ของภาค 3. การทำเหมืองแร่ มีแรเ่ พียง 2 –3 ชนิด จังหวดั ทีม่ ีการทำเหมอื งแร่คือ เลย นครราชสมี า อดุ รธานี และ หนองบวั ลำภู 4. การคมนาคมขนสง่ มกี ารคมนาคมขนสง่ ทางถนน ทางรถไฟ ทางนำ้ และทางอากาศ 5. การทอ่ งเท่ียว ที่สำคญั ในภาคน้ีจะเก่ียวข้องสมั พนั ธ์กับประวัตศิ าสตร์ และวฒั นธรรม ภาคตะวันออก 1. การเกษตรกรรม สว่ นใหญจ่ ะมีการปลูกพชื ไร่ มกี ารทำนาบรเิ วรล่มุ แมน่ ้ำปราจีนบุรี และแม่น้ำปางปะกง มีการทำ สวนผลไมแ้ ละยางพาราท่จี ังหวัด จนั ทบรุ ี ตราด ปราจีนบุรี และมีการประมงทง้ั ประมงน้ำจืดและประมงนำ้ เค็ม 2. การอุตสาหกรรม มีมากในจงั หวัดชลบรุ แี ละรองลงมาคือระยอง 3. การทำเหมอื งแร่ แร่ที่สำคัญมี 3 ชนิด รตั นชาติ ทรายแกว้ พลวง 4. การคมนาคมขนส่ง มีการคมนาคมขนสง่ ทางถนน ทางรถไฟ ทางน้ำ และทางอากาศ 5. การทอ่ งเท่ียว แหล่งทอ่ งเทย่ี วท่ีรู้จกั จักกันดที ัง้ ในหมู่นักทอ่ งเทยี่ วชาวไทยและชาวตา่ งชาติ ภาคตะวันตก 1. การเกษตรกรรม มกี ารทำนาบรเิ วณท่ีราบลมุ่ แม่นำ้ การปลูกพชื ไร่ การทำสวนผลไม้ การเลย้ี งสตั ว์ การประมง แหล่งประมงน้ำจืดทำกนั มากบรเิ วณเข่ือนและแม่น้ำสายใหญๆ่ มีการทำประมงนำ้ เค็มในพน้ื ท่ี 2 จงั หวัด คอื เพชรบุรี และประจวบครี ีขนั ธ์ 2. การอตุ สาหกรรม มีการทำอตุ สาหกรรมน้ำตาลมาก การผลิตเคร่อื งปนั้ ดนิ เผา และอุตสาหกรรมแปรรปู สบั ปะรด 3. การทำเหมอื งแร่ มีทิวเขาซงึ่ เป็นหนิ เก่าแก่มีแหลง่ แร่ทเี่ กดิ จากหินอัคนี เช่น แรด่ ุก แร่ตะกัว่ แร่สังกะสี แร่ เฟลด์สปาร์ แรฟ่ ลูออไรต์ และแร่รตั นชาติ 4. การคมนาคมขนส่ง มกี ารคมนาคมขนส่งทางถนน ทางรถไฟ ทางนำ้ 5. การท่องเที่ยว แหลง่ ทอ่ งเที่ยวทางธรรมชาตแิ ละทางวฒั นธรรมมากในจังหวดั กาญจนบรุ ี สถานท่ีตากอากาศตาม ชายฝ่ังทะเล และตลาดนำ้ ดำเนินสะดวก ภาคใต้ 1. การเกษตรกรรม มีการปลูกข้าว แหล่งปลกู ข้าวท่ดี ีทส่ี ดุ คอื จังหวัดนครศรีธรรมราชา พทั ลงุ และสงขลา ไมย่ นื ตน้ ท่ี ปลูกกันมาก ได้แก่ ยางพารา มะพร้าว เปน็ ตน้ ไม้ผล ไดแ้ ก่ เงาะ ทุเรียน ลางสาด เป็นต้น มีการเลีย้ งโคและกระบือ มากกว่าเขตอนื่ ๆ มกี ารทำประมงน้ำเค็มในทุกจังหวัดท่ีมพี ื้นที่ติดชายฝ่งั ทะเล 2. การอตุ สาหกรรม อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ได้แก่ โรงงานถลุงแรด่ ีบุก อุตสาหกรรมทำปลากระป๋อง ส่วนโรงงาน อุตสาหกรรมขนาดเลก็ ได้แก่ การแปรรปู ไม้ เป็นตน้ 3. การทำเหมืองแร่ ภาคใต้มีการผลติ แร่ทสี่ ำคญั หลายชนดิ 4. การคมนาคมขนส่ง การขนสง่ ทางถนน ทางหลวงสายหลักคอื ถนนเพชรเกษม มีการคมนาคมขนสง่ ทางรถไฟ ทาง น้ำ และทางอากาศซงึ่ เป็นบริการของบริษัทการบนิ ไทย


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook