Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แผนการจัดการเรียนรู้ คุณครูเอนก เหมือนทอง

แผนการจัดการเรียนรู้ คุณครูเอนก เหมือนทอง

Published by jatu library, 2022-06-27 02:25:29

Description: แผนการจัดการเรียนรู้ คุณครูเอนก เหมือนทอง

Search

Read the Text Version

51 สามารถควบคุมอุณหภูมิได้ เพราะของผสมที่กล่ันแบบลำดับส่วนมักจะมีจุดเดือดท่ีใกล้เคียงกัน ซึ่งตรงกันข้ามกับการ กล่ันแบบธรรมดา ความร้อนที่ให้ไม่จำเป็นต้องควบคุมเหมือนการกล่ันลำดับส่วน แต่ก็ไม่ควรให้ความร้อนท่ีสูงเกินไป เพราะความร้อนท่ีสูงเกินไป อาจจะไปทำลายสารท่ีเราต้องการกล่ันเพราะฉะน้ัน ประสิทธิภาพในการกล่ันลำดับส่วน จึงดีกว่าการกลัน่ แบบธรรมดา 2.3.3การกล่ันนำ้ มนั ดบิ (refining) เนื่องจากน้ำมันดิบ ประกอบด้วยสารประกอบไฮโดรคาร์บอนหลายพันชนิด ดังนั้นจึงไม่สามารถแยกสารท่ีมี อยู่ออกเป็น สารเด่ียวๆได้ อีกทง้ั สารเหลวนี้มีจดุ เดือดใกล้ เคียงกันมากวิธีการแยกองค์ ประกอบน้ำมันดิบจะทําได้โดย การกล่ันลําดับสวนและเก็บสารตามชวงอุณหภูมิ ซ่ึงก่อนที่จะกล่ันจะต้องนําน้ำมันดิบมาแยกเอาน้ำและสารประกอบ กํามะถัน ออกซิเจน ไนโตรเจนและโลหะหนักอื่นๆ ออกไปก่อนท่ีจะนําไปเผาที่อุณหภูมิ 320-385 C ผลิตภัณฑ์ท่ีได้ จากการกลั่น ได้แก่ - กา๊ ซ (C1 – C4) ซึ่งเป็ นของผสมระหวา่ งกา๊ ซมีเทน อีเทน โพรเพนและบวิ เทน เป็นต้นประโยชน์ : มเี ทนใช้ เป็นเชอ้ื เพลงิ ผลติ กระแสไฟฟ้า อีเทน โพรเพนและบิวเทน ใชใ่ นอตุ สาหกรรม - ปิโตรเคมี และโพรเพนและบวิ เทนใช่ ทํากา๊ ซหุงต้ม (LPG) - แนฟทาเบา (C5 – C7) ประโยชน์ : ใช้ทําตวั ทาํ ละลาย – แนฟทาหนัก (C6 – C12) หรือ เรียกว่าน้ำ - มันเบนซินประโยชน์ : ใช้ทาํ เชือ้ เพลิงรถยนต์ - น้ำมนั กา๊ ด (C10 – C14) ประโยชน : ใชท้ าํ เชื้อเพลงิ สาํ หรบั ตะเกยี งและเคร่ืองยนต์ - นำ้ มนั ดเี ซล (C14 – C19) ประโยชน์ : ใช่ ทําเช้อื เพลงิ เครื่องยนต์ดเี ซล ได้แก่ รถบรรทุก, เรือ - น้ำมนั หลอ่ ล่นื (C19 – C35) ประโยชน์: ใชท่ าํ นำ้ มันหล่ อลื่นเคร่อื งยนตเครื่องจกั รกล - ไขนำ้ มนั เตาและยางมะตอย (C > C35) 2.3.4 การสกัดโดยการกลน่ั ดว้ ยไอนำ้ เป็นวิธีการสกัดสารออก จากของผสมโดยใช้ไอน้ำเป็นตัวทำละลาย วิธีน้ีใช้สำหรับแยกสารท่ีละเหยง่าย ไม่ ละลายน้ำ และไม่ทำปฏิกิริยากับน้ำ ออกจากสารที่ระเหยยาก การสกัดโดยการกล่ันด้วยไอน้ำนอกจากใช้สกัดสาร ระเหยง่ายออกจากสารระเหยยาก แล้วยังสามารถใช้แยกสารท่ีมีจุดเดือดสูงและสลายตัวที่จุดเดือดของมันได้อีก เพราะการกล่ันโดยวิธีนี้ความดันไอเป็นความดันไอของไอน้ำบวกความดันไอของของ เหลวท่ีต้องการแยก จึงทำให้ ความดนั ไอเทา่ กับความดันของบรรยากาศก่อนที่อุณหภูมจิ ะถึงจุดเดือด ของของเหลวที่ต้องการแยก ของ ผสมจงึ กล่ัน ออกมาท่ีอุณหภูมิต่ำกว่าจุดเดือดของของเหลวที่ต้องการแยก เช่น สาร A มีจุดเดือด 150 C เม่ือสกัดโดยการกล่ัน ด้วยไอน้ำจะได้สาร A กลายเป็นไอออกมา ณ อุณหภูมิ 95 C ที่ความดัน 760 มิลลิเมตรของปรอท อธิบายได้ว่า ที่ 95 C ถ้าความดันไอของสาร A เท่ากับ 120 มิลลิเมตรของปรอท และไอน้ำเท่ากับ 640 มิลลิเมตรของปรอท เม่ือ ความดันไอของสาร A รวมกับไอน้ำจะเท่ากับ 760 มิลลเิ มตรของปรอท หรือเท่ากับความดันบรรยากาศ จงึ ทำให้สาร A และน้ำกลายเป็นไอออกมาได้ท่ีอุณหภูมิต่ำกว่าจุดเดือดของสาร Aตัวอย่างการแยกสารโดยการกล่ันด้วยไอน้ำได้แก่ การแยกน้ำมันหอมระเหยออกจาก ส่วนต่างๆของพืชเช่นการแยกน้ำมันยูคาลิปตัสออกจากใบยูคาลิปตัสการแยก น้ำมนั มะกรูดออกจากผิวมะกรดู การแยกนำ้ มันอบเชยจากเปลือกตน้ อบเชยเป็นตน้ ในการกล่ัน ไอน้ำจะไปทำให้น้ำมัน

52 หอมระเหยกลายเป็นไอแยกออกมาพร้อมกับไอน้ำเม่ือทำให้ไอ ของของผสมควบแน่นโดยผ่านเครื่องควบแน่นก็จะได้ น้ำและน้ำมันหอมระเหยปนกันแต่ แยกชั้นกนั อยทู่ ำใหส้ ามารถแยกเอาน้ำมนั หอมระเหยออกจากนำ้ ได้งา่ ย 2.4 การตกผลกึ (Crystallization) คือกระบวนการเกิดผลึกของแข็งจากสารละลาย(solution) จากของเหลว (melt) หรือไอ (vapor)โดย กระบวนการดังกลา่ ว อาจเกดิ ขน้ึ เองในธรรมชาติหรือเกิดขึ้นจากการทดลองในห้องปฏบิ ัตกิ ารตวั อยา่ ง การเกดิ ผลึกใน ธรรมชาติ เชน่ ผลกึ น้ำแขง็ (ice crystals) หมิ ะ (snow) เปน็ ตน้ ผลกึ ของสารอินทรยี เ์ ชน่ อนิ ซูลนิ และนำ้ ตาล ผลกึ ของ ธาตเุ ชน่ แกลเลียม และซิลกิ อน ซ่ึงสามารถเกิดในธรรมชาตแิ ละถกู สงั เคราะห์ การเลือกตวั ทำละลายทเี่ หมาะสมต่อการตกผลึก มีหลักในการเลอื กดงั นี้ 1. ละลายสารทีต่ ้องการตกผลึกในขณะรอ้ นได้ดี และละลายไดน้ ้อยหรือไม่ละลายเลยท่ีอุณหภมู ิตำ่ (ขณะเย็น) 2. ไมล่ ะลายสารปนเปือ้ นขณะร้อนหรือละลายไดน้ ้อยขณะรอ้ น แตล่ ะลายไดด้ ีขณะเย็น 3. ควรมีจุดเดอื ดต่ำ เพื่อสามารถกำจัดออกจากผลึกไดง้ า่ ย 4. ไมท่ ำปฏกิ ริ ิยากับสารท่ตี ้องการตกผลกึ 5. ควรทำให้สารที่ท่ีต้องการทำใหบ้ ริสทุ ธ์ิเกดิ เปน็ ผลกึ ท่ีมีรูปร่างชัดเจน 6. ไม่เปน็ พษิ 7. หาง่าย และราคาถูก

53 แบบทดสอบกอ่ นเรียน-หลังเรียน เร่ืองการแยกสาร คำชแ้ี จง จงเลือกคำตอบท่ีถูกตอ้ งท่ีสดุ เพียงคำตอบเดียว 1. ขอ้ ใดเป็นหลกั การแยกสารดว้ ย “การกรอง” ก. แยกสารเน้อื ผสมท่อี งคป์ ระกอบของของแข็งท่ีไม่ละลายในของเหลว ข. แยกสารเน้อื ผสมทีม่ ีอนุภาคของแก๊ส ปนอยู่ในสารละลาย ค. แยกสารเนื้อผสมท่ีองค์ประกอบของสารท่ีละลายน้ำได้ ง. แยกสารเนื้อผสมที่มอี นุภาคของของเหลวปนอยู่ในสารละลาย 2. ข้อใดเป็นหลกั การแยกสารดว้ ย “การกลนั่ ” ก. แยกสารท่มี ีจดุ เดอื ดตา่ งกนั ข. แยกสารทม่ี สี ภาพการละลายต่างกัน ค. แยกสารท่ีมีขนาดของอนุภาคแตกตา่ งกนั ง. แยกสารที่มีความสามารถในการละลายและถูกดดู ซับบนตวั ดูดซับแตกต่างกัน 3. ข้อใดเป็นหลักการแยกสารดว้ ย “สกดั ด้วยตวั ทำละลาย” ก. แยกสารทมี่ ีจุดเดือดต่างกนั ข. แยกสารที่มีสภาพการละลายต่างกัน ค. แยกสารทม่ี ีขนาดของอนุภาคแตกตา่ งกัน ง. แยกสารทมี่ คี วามสามารถในการ ละลายและถูกดดู ซับบนตัวดูดซับแตกตา่ งกนั 4. ข้อใดเปน็ หลักการแยกสารดว้ ย “โครมาโตกราฟี” ก. แยกสารที่มจี ุดเดือดต่างกนั ข. แยกสารท่ีมสี ภาพการละลายต่างกัน ค. แยกสารท่มี ีขนาดของอนภุ าคแตกตา่ งกนั ง. แยกสารทม่ี คี วามสามารถในการ ละลายและถูกดดู ซับบนตัวดดู ซบั แตกต่างกัน 5. การแยกสารเน้อื เดยี วด้วยวิธีโครมาโทกราฟีพบว่า บนกระดาษกรองมีสปี รากฏ3 สี สารน้ีคอื สารอะไร ก. ธาตุ ข. สารละลาย ค. สารบรสิ ุทธ์ิ ง. สารประกอบ

54 6. การสเี ขียวจากใบเตย ควรใชว้ ธิ ีใด ก.การกลั่นธรรมดา ข. การกลั่นดว้ ยไอน้ำ ค. การกลนั่ ลำดับส่วน ง. การใชต้ ัวทำละลาย 7. ผลกึ เกิดจากสารในขอ้ ใด ก. สารละลายอ่ิมตวั ข. สารละลายเข้มข้น ค. สารละลายเจอื จาง ง. สารเนื้อผสม 8. ถ้าต้ังถว้ ยสารละลายคอปเปอรซ์ ลั เฟตไวใ้ นห้องนานถึง 7 วัน ก็ยังไมต่ กผลกึ ข้อใดกลา่ วถูกต้อง ก.สารละลายนัน้ มฝี ุ่นละอองปลิวมาผสม ข.สารละลายนนั้ อมิ่ ตวั แต่อณุ หภูมิไม่ เยน็ จัด ค.สารละลายนั้นไมอ่ ่ิมตวั จงึ ไม่สามารถ ตกผลึกได้ ง.สารละลายไม่ตกผลึก เพราะตวั ถูก ละลายเป็นของเหลว 9. สมชาย สมคั ร และอภสิ ทิ ธิ์ แบ่งสารละลายอิม่ ตวั ของคอปเปอร์ซัลเฟต (จนุ สี) ไปทำให้ตกผลกึ ในกล่อง พลาสตกิ คนละกล่อง ปรากฏวา่ ผลึกจนุ สีทไ่ี ดม้ ีรปู ร่างเปน็ สี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน ไมเ่ หมอื นรูปในหนังสอื แบบเรยี น เขา ทงั้ 3 คน ควรสรุปผลการทดลองตามขอ้ ใด ก. ผลึกจุนสีมีรปู ร่างได้หลายอยา่ ง ข. ผลการทดลองแสดงว่าไมใ่ ชจ่ นุ สี ค. ผลึกจนุ สีมีรปู รา่ งสเ่ี หลีย่ มขนม เปียกปนู ง. ผลกึ จนุ สีมรี ูปรา่ งเหมอื นรปู ในหนงั สือ แบบเรียน 10. ถา้ มีฝนุ่ ผงอยู่ในนำ้ เชือ่ ม เราควรแยกฝนุ่ ผงออกดว้ ยวธิ ีใด ก. การกรอง ข. การกลน่ั ค.การระเหย ง.การตกตะกอน เฉลยแบบทดสอบ 1. ก 2. ก 3.ข 4.ง 5.ข 6. ก 7.ก 8. ค 9.ข 10. ก

55 แผนการจัดการเรียนรู้ รายวชิ าคุณธรรมและจริยธรรมในการใช้สอ่ื สงั คมออนไลน์ ครั้งท่ี 5 ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2565 กศน.ตำบลโกคล่าม ระดับประถมศึกษา ๑. สปั ดาหท์ ่ี 5 วนั ท่ี 14 เดือน มิถุนายน พ.ศ. 2565 เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐น. ๒. วชิ า คุณธรรมและจริยธรรมในการใช้สอ่ื สังคมออนไลน์ รหสั วิชา สค0200035 จำนวน 3 หนว่ ยกติ ๓. มาตรฐานที่ 5.2 มีความรู้ ความเข้าใจ เห็นคุณคา่ และสืบทอดศาสนา วัฒนธรรม ประเพณี เพ่ือการอยู่ รว่ มกนั อย่างสันติสุข ๔. หน่วยการเรียนรู้/เรอื่ ง การส่อื สารในยุคดจิ ิทลั ๕. สาระสำคญั 1. บอกความหมาย องค์ประกอบ และวัตถปุ ระสงคข์ องการสือ่ สาร ได้ 2. บอกความหมายและรปู แบบ ของการสื่อสารในยุคดจิ ิทัลได้ 3. บอกความหมายและ ความสำคัญของเครือข่ายตอ่ สงั คมออนไลนไ์ ด้ 4. ตระหนักถึงความสำคัญของ เครือขา่ ยสังคมออนไลน์ 5. ระบุประเภทของเครือข่าย สงั คมออนไลน์ทีน่ ิยมใชใ้ น ปัจจบุ ัน เชน่ FACEBOOK INSTARGRAM TWITTER เปน็ ตน้ 6. บอกประโยชนแ์ ละข้อจำกัด ของเครือขา่ ยสงั คมออนไลน์ได้ ๖. เน้อื หา 1. ความหมายองค์ประกอบ และวตั ถุประสงค์ของการ สอื่ สาร 2. ความหมายและรูปแบบ ของการส่ือสารในยคุ ดจิ ิทลั 3. เครอื ขา่ ยสังคมออนไลน์ (Social Network) 3.1 ความหมายและ ความสำคัญของเครือข่าย สงั คมออนไลน์ 3.2 ประเภทของ เครือข่ายสังคมออนไลนท์ ่ี นิยมใชใ้ นปัจจุบนั 3.3 ประโยชนแ์ ละ ข้อจ ากัดของเครอื ขา่ ยสงั คม ออนไลน์ 4. มารยาทการสือ่ สารในยุค ดจิ ทิ ลั 5. แนวโน้มสอื่ ดิจทิ ัลใน อนาคต 6. กรณศี ึกษา : การใช้ ประโยชนก์ ารส่อื สารในยุค ดจิ ทิ ลั 7. จุดประสงค์การเรียนรู้/ผลการเรียนรูท้ คี่ าดหวัง 1. การส่อื สารในยุคดจิ ทิ ลั ความหมาย องคป์ ระกอบ และวัตถุประสงค์ของการสื่อสาร ความหมาย และ รปู แบบของ การสอ่ื สารในยคุ ดิจิทลั เครือข่ายสังคมออนไลน์ (Social Network ) มารยาทการสื่อสารในยุคดจิ ทิ ัล แนวโน้มสื่อดิจทิ ัล และกรณีศึกษา : การใชป้ ระโยชน์การสื่อสารในยคุ ดจิ ิทลั 2. คณุ ธรรมและจรยิ ธรรมในการใชส้ ือ่ สงั คมออนไลน์ ความหมายและความสำคัญของคุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณในการใช้ส่ือสังคม ออนไลน์ ความสำคัญ การรเู้ ทา่ ทนั สื่อ ความรบั ผิดชอบในการใช้สอ่ื สงั คมออนไลน์ กฎหมายเกยี่ วกับการ ใชส้ ่อื สังคมออนไลน์ ความแตกต่างระหว่างคุณธรรมจริยธรรมและกฎหมายเก่ียวกบั การใชส้ ื่อ สงั คม ออนไลน์ และกรณีศกึ ษา : การละเมดิ คุณธรรมและจรยิ ธรรมในการใช้สื่อสังคมออนไลน์ 8. การบรู ณาการกบั หลกั แนวคดิ ของเศรษฐกิจพอเพยี ง (2 เงอ่ื นไข 3 หลักการ การเช่ือมโยงสู่ 4 มิติ) ความรู้ - นักศกึ ษามีความรู้ เร่ือง การส่อื สารในยคุ ดิจทิ ลั - นักศึกษามคี วามรู้เรื่อง คุณธรรมและจริยธรรมในการใช้ส่ือสงั คมออนไลน์

56 คุณธรรม - มคี วามมุ่งม่ันในการทาํ งาน - มีความสามคั คใี นหมู่คณะ - ใฝห่ าความรู้เพ่ือพฒั นาอยเู่ สมอ พอประมาณ - มคี วามพอประมาณในเร่อื งของเวลาการแบ่งเวลาในการศกึ ษาหาความรู้และการใช้สอ่ื สังคมออนไลน์ได้อยา่ งเหมาะสม - พอประมาณในเครื่องมอื ส่อื สารในยุคดจิ ทิ ัล มีเหตผุ ล - ได้ความรู้เกีย่ วกับเครื่องมือสอื่ สารในยคุ ดจิ ิทัล - ไดค้ วามรู้เกยี่ วกับคุณธรรมและจรยิ ธรรมในการใช้ส่อื สงั คมออนไลน์ มีภมู คิ ุ้มกนั - รจู้ กั เคร่อื งมือสื่อสารในยุคดิจิทัล เพ่ือนำไปปรับใช้ในการดำรงชวี ิต - มีคุณธรรมและจริยธรรมในการใช้สื่อสังคมออนไลน์ เพื่อเตรียมความพร้อมในการ เปลี่ยนแปลงดา้ นการส่ือสารในยุคดจิ ิทัล วตั ถุ - รจู้ ักเลือกเคร่ืองมือสือ่ สารในยคุ ดิจิทลั เพ่ือใชใ้ นการดำรงชวี ิต - มที ักษะในการเลือกและการใช้เครอ่ื งมือสื่อสารในยคุ ดจิ ิทัล ทเี่ ปน็ ประโยชนม์ าใช้ในการ ดำเนนิ ชวี ิตของตวั เองในชุมชนและสังคม สังคม - มีทักษะการอยรู่ ่วมกันในกลุ่ม และทำงานร่วมกบั ผู้อ่ืนได้อยา่ งมีความสขุ - สามารถนำความรทู้ ี่ได้ไปเผยแพร่ใหก้ ับครอบครัวและชุมชน ส่ิงแวดล้อม - รจู้ ักการนำความร้เู กย่ี วกับเคร่ืองมือสือ่ สารในยุคดจิ ทิ ลั เพ่อื พฒั นาส่งิ แวดลอ้ มให้น่าอยู่ - มีคุณธรรมและจรยิ ธรรมในการใชส้ ่ือสังคมออนไลน์ เพ่อื นำไปใชใ้ นชีวิตประจำวนั วัฒนธรรม - สืบทอดและเผยแพร่ข้อมลู สู่ครอบครวั ชุมชน และสงั คม 9. กระบวนการจัดการเรียนรู้และกิจกรรมเพมิ่ เติม ขน้ั ตอนที่ 1 การกำหนดสภาพ ปญั หา ความต้องการในการเรยี นรู้ (O : Orientation) ครอู ธบิ ายความหมายองคป์ ระกอบ และวัตถุประสงค์ของการ สอ่ื สาร และรปู แบบ ของการสอ่ื สาร ในยคุ ดจิ ทิ ลั ความสำคัญของเครอื ข่ายตอ่ สงั คมออนไลนไ์ ด้ ข้นั ตอนท่ี 2 การแสวงหาขอ้ มลู และจัดการเรียนรู้ (N : New ways of learning) 1. ครูแบง่ ผเู้ รียนกลุม่ ละ 3-5 คน 2. ครูใหผ้ ูเ้ รยี น ดู VCD เรอื่ งการใช้ส่ือการใช้โซเชียลมเี ดยี ให้ปลอดภยั เว็บไซต์ https://www.youtube.com/watch?v=TcKZGckHDbE 3. ครแู ละผู้เรียนสรปุ สิ่งทไี่ ด้เรียนรู้รว่ มกนั และผู้เรียนบนั ทึกสรปุ ส่ิงได้เรียนรลู้ งในสมุดบันทึก กิจกรรม ขั้นตอนท่ี 3 การปฏบิ ตั ิและนำไปประยุกต์ใช้(I : Implementation) 1. ครูใหผ้ ู้เรียนออกมานำเสนอประโยชนข์ องสอ่ื ออนไลน์

57 2. ให้ผเู้ รียนแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมจากการนำเสนอของแต่ละคนว่าจะนำไปประยุกต์ใชใ้ น ชวี ิตประจำวนั ได้อยา่ งไร 1. ครแู ละผเู้ รียนสรุปสง่ิ ที่ได้เรยี นร้รู ว่ มกัน และผู้เรียนบนั ทึกสรปุ ส่ิงไดเ้ รยี นร้ลู งในสมุดบันทึก กิจกรรม ข้นั ตอนที่ 4 การประเมนิ ผล (E : Evaluation) 1. ครูสุ่มผูเ้ รยี นประมาณ 3-5 คน ใหต้ อบคำถามในประเดน็ ผ้เู รยี นจะนำสิ่งทไี่ ด้เรยี นรู้เรอ่ื งสอ่ื การใช้ โซเชียลมีเดียใหป้ ลอดภัย 2. ครแู ละผูเ้ รียนสรปุ สิง่ ทไ่ี ด้เรียนรูร้ ว่ มกนั และผู้เรียนบันทึกสรุปส่งิ ไดเ้ รียนรู้ลงในสมุดบันทึก กิจกรรม 3. ใบงาน 10.สอื่ /แหลง่ เรยี นรู้ 1. คลปิ วดี ที ัศน์เรอ่ื งการใชส้ ือ่ ออนไลน์ 2. คลิปวดี ที ัศน์ ประโยชนก์ ารใชส้ อื่ ออนไลน์ 3. ใบความรู้ 4. ใบงาน ๑1. การวดั และประเมินผล ๑1.๑วธิ ีการวดั และประเมินผล - การสังเกตพฤติกรรมการทำงานร่วมกับผู้อ่นื ของผู้เรียนรายบคุ คล - ใบงาน ๑๐.๒ เคร่อื งมือวัดและประเมินผล - แบบบนั ทกึ ผลการสังเกตพฤติกรรมการทำงานรว่ มกับผ้อู ่ืน ของผูเ้ รียนรายบคุ คล - ผลจากการตรวจใบงาน ๑๐.๓ เกณฑ์การวัดและการประเมนิ ผล - ผลการสงั เกตพฤติกรรมการทำงานร่วมกับผู้อ่นื ของผเู้ รียนรายบคุ คล ระดบั ดี พอใช้ ควร ปรับปรุง - ใบงานคะแนนเตม็ ๑๐ คะแนน กจิ กรรมเสนอแนะ ..................................................................................................................................................................................... ลงช่ือ…………………………………………….ครผู ้สู อน (นายเอนก เหมือนทอง) ครู กศน.ตำบล ขอ้ เสนอแนะของผู้บรหิ าร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………......................………........ ลงชอื่ ………………………………………………………ผอู้ นุมัตแิ ผน (นางปัทมาภรณ์ ศรีเนตร) ผ้อู ำนวยการ กศน.อำเภอจตุรพักตรพิมาน

58 บนั ทึกหลังการจดั การเรยี นรู้ กศน.ตำบลดนู่ อ้ ย ครั้งที่ 5 วันที่ 14 เดือน มถิ ุนายน พ.ศ. 2565 ครูผ้สู อน นายเอนก เหมอื นทอง ระดบั ประถมศึกษา เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐ น. สาระความรู้พ้ืนฐาน รายวิชาคุณธรรมและจริยธรรมในการใชส้ อื่ สังคมออนไลน์ รหัสวชิ า สค0200035 จำนวนผเู้ รียนทั้งหมด ............... คนเข้าเรยี น…………………คน ไมเ่ ข้าเรยี น……………………….คน ๑. ผลการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้การประเมนิ โดยใช้ แบบทดสอบก่อนเรียน - หลังเรยี น พบว่า คะแนนการทดสอบหลงั เรียน มากกว่าก่อนเรยี นจำนวน ........ คนคิดเป็นรอ้ ยละ............ คะแนนการทดสอบหลงั เรยี น นอ้ ยกว่าก่อนเรยี นจำนวน ......... คนคิดเป็นรอ้ ยละ............ ๒. เนอ้ื หา/สาระ ................................................................................................................................................................ ......................................................................................................................... ....................................... ................................................................................................................................................... ............. ๓. กจิ กรรมการเรียนการสอน ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ .............................................................................................................................. ......... ๔. ปัญหา/อุปสรรค การเรียนการสอน ......................................................................................... ....................................................................... ................................................................................................................................................................ .................................................................................................................................................... ............ ๕. แนวทางการแก้ปัญหา ............................................................................................................................. ................................... ........................................................................................ ........................................................................ ............................................................................................................................. ................................... ลงชอื่ ....................................................... (นายเอนก เหมือนทอง) ครูผสู้ อน วนั ที่.............../.................../............... ความคิดเห็น/ขอ้ เสนอแนะของผู้บริหาร ............................................................................................................................. ............................................................ ....................................................................................................................................... .................................................. ....................................................................................................................................................... ลงช่ือ.................................................................. (นางปัทมาภรณ์ ศรเี นตร) ผอู้ ำนวยการ กศน.อำเภอจตุรพกั ตรพิมาน

59 ใบความรู้ เรอื่ ง เทคโนโลยีดจิ ิทัล ความร้เู กี่ยวกับยุคดจิ ทิ ัล ปัจจุบนั กลมุ่ คนท่ีเกิดและเติบโตในยุคเทคโนโลยดี ิจิทัลเรยี กวา่ Digital native ซง่ึ เด็กและ เยาวชนเกี่ยวข้องกับสง่ิ ต่าง ๆ ทเ่ี ป็นดจิ ทิ ลั ดว้ ยรูปแบบและช่องทางทแี่ สนง่ายดายในทกุ ที่และทุกเวลา ที่ ต้องการ ตวั อย่างการมีส่วนร่วมแบบออนไลน์ อาทิเช่น Social networking Instant-massing (IM) Video- streaming การแชร์ภาพ และการใช้อนิ เทอร์เน็ตแบบเคลื่อนท่ี การแนะนำ เกี่ยวกับการใชเ้ ทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตจะ ไมใ่ ช่เรื่องจำเปน็ สำหรับเด็กและ เยาวชนยุคดิจทิ ัล เพราะพวกเขาสามารถพฒั นาทกั ษะเก่ียวกบั เทคโนโลยีอินเทอรเ์ นต็ ได้อยา่ งรวดเรว็ เมื่อเปรยี บเทียบกับกลุม่ คนทมี่ ีอายมุ ากกวา่ แต่ทวา่ การใช้งานท่ปี ราศจากคำแนะนำก็ทำให้พวกเค้า ยงั คงเป็นเพียงผ้ใู ช้เทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอ่ื สารมือสมคั รเล่น ซึง่ อาจนำไปส่ขู ้อกังวลและ ปญั หาตา่ งๆ เกย่ี วกับการใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศและการสื่อสารที่เหมาะสมและถูกต้อง เพ่อื ให้ ความรู้ในเร่อื งดงั กล่าวแก่เด็กและ เยาวชน เดก็ และเยาวชนจำเปน็ ต้องพฒั นาความรู้ การคิดเชิง วิเคราะห์ รวมถึงทักษะการส่อื สารและการจัดการ สารสนเทศสำหรับยุคดิจิทัล 1. ความหมายการรู้ดจิ ิทัล การรดู้ จิ ทิ ัล (Digital Literacy) คือ การผนวกกนั ของทักษะความรแู้ ละความเข้าใจ ทีผ่ ู้เรยี น ตอ้ งเรยี นรเู้ พอื่ ทจ่ี ะมีส่วนรว่ มอยา่ งเตม็ ท่ีและมีความปลอดภยั ในโลกยคุ ดิจิทลั มากขนึ้ ทกั ษะความรู้ และ ความเข้าใจนี้เปน็ กุญแจสำคัญของหลักสตู รการศึกษาข้ันพ้ืนฐานทงั้ ระดบั ประถมศึกษาและ มธั ยมศกึ ษา และควรจะ ผสานให้อย่ใู นการเรยี นการสอนของทุกรายวชิ าทุกระดับชน้ั นอกจากน้ียัง เกีย่ วข้องกบั ความรูค้ วามสามารถและ ทกั ษะของบคุ คลในการเข้าถงึ ดจิ ทิ ัล ประเมนิ คุณภาพของดิจิทัล และใชด้ จิ ทิ ัลอยา่ งมปี ระสิทธภิ าพทุกรปู แบบ ผู้รู้ ดิจิทัลจะตอ้ งมที ักษะในด้านต่างๆ เช่น ทกั ษะการคดิ วเิ คราะห์และ/หรือ การคิดอย่างมวี ิจารณญาณ ทักษะการใช้ ภาษา ทักษะการใชค้ อมพิวเตอร์ เป็นต้น นอกจากนี้ Digital literacy หมายถงึ ทักษะความเข้าใจและใช้เทคโนโลยี ดจิ ิทัล โดยเปน็ ทักษะในการนำเครือ่ งมือ อปุ กรณ์ และเทคโนโลยีดจิ ิทัลทม่ี อี ยใู่ นปจั จุบัน อาทิ คอมพวิ เตอร์ โทรศัพท์ แทปเลต โปรแกรมคอมพิวเตอร์ และส่ือออนไลน์ มาใช้ให้เกดิ ประโยชน์สูงสุด ในการสอื่ สาร การ ปฏบิ ัติงาน และ การท างานรว่ มกนั หรือใชเ้ พื่อพัฒนากระบวนการทำงาน หรือระบบงานในองค์กรใหม้ ี ความทันสมัยและมี ประสทิ ธิภาพ ทักษะดงั กล่าวครอบคลุมความสามารถ 4 มติ ิ ได้แก่ การใช้(Use) เขา้ ใจ (Understand) การสรา้ ง (create) และเขา้ ถึง (Access) เทคโนโลยีดจิ ิทลั ไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ ทงั้ น้คี ำท่แี สดงลักษณะความร้สู ามารถดิจิทลั คือ รู้ใช้ รู้ เขา้ ใจ รสู้ รา้ งสรรคซ์ งึ่ ถอื เป็น ความสามารถสำหรบั การรดู้ จิ ิทัลโดยมรี ายละเอยี ดดงั นี้ ใช้ (Use) แสดงถงึ ความ คลอ่ งแคลว่ ทางเทคนิคทจี่ ำเป็นในการใชก้ บั คอมพวิ เตอรแ์ ละ อินเทอรเ์ นต็ ชดุ รูปแบบพนื้ ฐานสำหรบั การพฒั นาทักษะ ทางเทคนิคทีจ่ ำเปน็ รวมถงึ ความสามารถใน การใช้โปรแกรมคอมพวิ เตอร์ เช่น โปรแกรมประมวลผล เวบ็ เบราเซอร์E- mail และการสอื่ สารอ่ืนๆ เครอื่ งมือคน้ หาและฐานข้อมลู ออนไลน์ เขา้ ใจ (Understand) คือความสามารถทจ่ี ะเข้าใจ บรบิ ทท่ีเก่ยี วข้อง และประเมินสอ่ื ดิจิทลั ตระหนักถงึ ความสำคัญของการประเมินผลท่สี ำคัญในการทำความเข้าใจ ดจิ ิทลั เนื้อหาของสื่อ และการ ประยุกต์ใช้สามารถสะท้อนใหเ้ หน็ ถงึ รปู รา่ งการเพิ่มหรือจัดการกบั ความรูส้ ึกความเช่อื ของเราและ ความรู้สึกเกี่ยวกับโลกรอบตวั เราความเขา้ ใจความสำคญั ของสื่อดิจิทลั ทชี่ ่วยใหบ้ ุคคลเกบ็ เก่ยี ว

60 ผลประโยชนแ์ ละลดความเสยี่ ง การมสี ว่ นร่วมในสังคมเตม็ รูปแบบดิจทิ ัล ทักษะชดุ น้ียงั รวมถงึ การ พัฒนาทักษะการ จัดกาสารสนเทศและการแข็งคา่ ของสิทธคิ นและความรบั ผิดชอบในการไปถึง ทรัพยส์ นิ ทางปญั ญา ในเศรษฐกิจความรู้ ชาวแคนาดาจำเปน็ ต้องรูว้ ิธกี ารหาประเมินผลและมี ประสิทธภิ าพใช้ข้อมลู เพ่ือการส่ือสารการท างานร่วมกนั และ แก้ปญั หาในชวี ติ ส่วนตวั และเปน็ มืออาชีพ ของพวกเขา สร้างสรรค์ (Create) ความสามารถในการสร้างเน้ือหาและมี ประสทิ ธิภาพ การติดต่อ สอ่ื สารโดยใช้ความหลากหลายของสอ่ื ดจิ ทิ ัลเป็นเคร่ืองมอื การสร้างส่ือดิจทิ ัลมคี วามหมาย มากกวา่ ความสามารถในการใชโ้ ปรแกรมประมวลผลหรอื เขยี นอเี มล์ รวมถึงความสามารถในการปรับ การสอ่ื สารกบั สถานการณ์และผูร้ ับสารการสร้างและติดต่อสื่อสารโดยใช้สื่อผสม เชน่ ภาพวดี ิโอและ เสียงประกอบอย่างมี ประสิทธภิ าพและมคี วามรบั ผิดชอบ ประกอบกับเน้ือหาเวบ็ ไซตท์ ผ่ี ูเ้ รียนสรา้ ง เช่นบล็อกและเวทีสนทนา วดี ิโอและ ภาพถ่ายร่วมกัน เลน่ เกมทางสงั คม และรูปแบบอนื่ ๆ ของสื่อ สังคม แนวคดิ น้ียังตระหนักถงึ สิ่งท่เี ปน็ ความร้ใู นโลก ดจิ ทิ ัลทีไ่ มเ่ พยี งแต่สร้างความชำนาญทางด้าน เทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยงั คำนงึ ถึงจรยิ ธรรม การปฏบิ ตั ทิ างสังคมและการ สะท้อนสงิ่ ทฝ่ี ังอยู่ในการ เรยี นรู้ การใช้เวลาว่าง และการใชช้ วี ิตประจำวัน ภายใตก้ ารรูด้ จิ ิทัล คือความหลากหลายของ ทกั ษะตา่ ง ๆ ท่เี กย่ี วข้องสมั พันธ์กันซ่งึ ทักษะ เหล่านัน้ อยู่ภายใตก้ ารร้สู ือ่ (Media literacy) การรู้เทคโนโลยี (Technology literacy) การรู้ สารสนเทศ (Information literacy) การรูเ้ ก่ยี วกับสง่ิ ท่เี หน็ (Visual literacy) การรู้การสอ่ื สาร (Communication literacy) และการรู้สังคม (Social literacy การรสู้ อ่ื (Media Literacy) การรู้ส่อื สะท้อนความสามารถของผเู้ รียนเก่ยี วกบั การเข้าถงึ การวเิ คราะห์ และ การผลิตส่อื ผา่ นความเข้าใจและการตระหนกั เกยี่ วกับ 1.ศิลปะ ความชำนาญในเทคโนโลยสี ว่ นใหญ่มักจะเกยี่ วข้องกบั ความรดู้ ิจทิ ัล ซึง่ ครอบคลุม จากทักษะคอมพวิ เตอรข์ ั้นพน้ื ฐานสู่ ทักษะทซ่ี บั ซ้อนมากขน้ึ เช่นการแกไ้ ขภาพยนตรด์ ิจิทัลหรือ การเขยี นรหสั คอมพิวเตอร์ การร้สู ารสนเทศ (Information literacy) การรู้สารสนเทศเป็นอกี สงิ่ ทีส่ ำคัญของการรูด้ ิจทิ ัลซึ่งครอบคลมุ ความสามารถในการ ประเมินว่าสารสนเทศใดท่ีผู้เรียน ตอ้ งการ การรู้วิธีการทีจ่ ะค้นหาสารสนเทศท่ตี ้องกาแบบรออนไลน์ และการรู้การประเมินและการใชส้ ารสนเทศที่ สบื คน้ ได้ การรูส้ ารสนเทศถูกพฒั นาเพ่ือการใชห้ อ้ งสมุด มันยังสามารถเข้าไดด้ ีกับยคุ ดิจิทลั ซง่ึ เปน็ ยคุ ที่มขี ้อมูล สารสนเทศออนไลนม์ หาศาลซึ่งไม่ได้มีการกรอง ดงั นนั้ การรูว้ ิธกี ารคดิ วิเคราะห์เกยี่ วกบั แหล่งที่มาและเนื้อหานับเปน็ สิ่งจำเป็นการรูเ้ ก่ยี วกบั สิง่ ทเ่ี ห็นสะทอ้ นความสามารถของของผ้เู รยี นเกีย่ วกบั ความเข้าใจ การแปล ความหมายส่ิงท่ี เห็น การวิเคราะห์ การเรยี นรู้ การแสดงความคดิ เหน็ และความสามารถในการใช้สงิ่ ท่ี เห็นนน้ั ในการท างานและการ ดำรงชีวติ ประจำวันของตนเองได้ รวมถงึ การผลติ ข้อความภาพไม่วา่ จะผ่านวัตถุ การกระทำ หรือสญั ลักษณ์ การรู้ เกีย่ วกบั สงิ่ ทเี่ หน็ เปน็ ส่ิงจำเป็นสำหรับการเรยี นรู้และ การส่อื สารในสังคมสมยั ใหม่ การรู้การส่อื สาร (Communication literacy การรูก้ ารส่อื สารเป็นรากฐานสำหรบั การคิด การจดั การ และการเชือ่ มต่อกับคนอื่นๆ ใน สังคมเครือขา่ ย ทุกวันนเ้ี ด็ก และเยาวชนไมเ่ พียงจำเป็นต้องเข้าใจการบูรณาการความร้จู ากแหลง่ ต่างๆ เชน่ เพลง วิดีโอ ฐานขอ้ มูลออนไลน์ และ สอ่ื อืน่ ๆ พวกเคา้ ยังจำเปน็ ต้องรวู้ ธิ ีการใชแ้ หล่งสารสนเทศ เหล่านน้ั เพือ่ เผยแพร่และแลกเปลยี่ นความรู้

61 การรูส้ ังคม (Social literacy) การรสู้ งั คมหมายถึงวฒั นธรรมแบบการมสี ว่ นรว่ ม ซึ่งถูกพัฒนาผา่ นความรว่ มมือและ เครือขา่ ย เยาวชน ตอ้ งการทักษะสำหรบั การท างานภายในเครอื ขา่ ยทางสงั คม เพอ่ื การรวบรวมความรู้ การเจรจาข้ามวัฒนธรรมที่ แตกต่าง และการผสานความขัดแย้งของขอ้ มลู 1. ความสำคญั ของการรดู้ ิจิทัล เทคโนโลยีใหโ้ อกาสในการมสี ว่ นร่วมของการเรียนรู้ ชมุ ชน สงั คม และ กิจกรรมการทำงาน ทกุ คนจะตอ้ งมีความรู้ดิจิทัลเพือ่ ใช้ประโยชน์สงู สดุ ดังน้ี 2. ดา้ นการศกึ ษา การรู้ดจิ ทิ ัลเป็นสง่ิ จำเปน็ สำหรับการศึกษาของบุคคลทุกระดับ ทั้งการศึกษาในระบบ โรงเรยี น การศกึ ษานอกระบบโรงเรียน การศึกษาตามอธั ยาศยั และการเรียนรู้ตลอดชวี ิต โดยเฉพาะ อย่างย่ิง การศกึ ษาในปัจจุบันที่ มีการปฏริ ูปการเรียนรทู้ เ่ี น้นผ้เู รยี นเปน็ สำคัญ ดังน้นั บทบาทของผู้สอน จงึ เปลี่ยนเป็นผูใ้ ห้ คำแนะนำช้ีแนะโดยอาศัยทรัพยากรเป็นพนื้ ฐานสำคญั รวมไปถึงทรัพยากรทาง เทคโนโลยดี ว้ ย 3. ดา้ นการดำรงชีวิตประจำวัน การรูด้ ิจทิ ลั เป็นส่งิ สำคญั ย่ิงในการดำรงชวี ติ ประจำวัน เพราะผ้รู ดู้ จิ ทิ ลั จะเป็น ผ้ทู ีส่ ามารถ วเิ คราะห์ประเมนิ และใช้งานเทคโนโลยสี ารสนเทศใหเ้ กิดประโยชน์สงู สุดแก่ตนเอง เมื่อต้องการ ตดั สินใจ เร่ืองใดเร่ืองหน่งึ ไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ ก็สามารถใชค้ วามรจู้ ากการร้ดู ิจทิ ลั เขา้ มาชว่ ยในการ หาข้อมลู แล้วจงึ คอ่ ย ตัดสินใจ เปน็ ต้น 4. ดา้ นการประกอบอาชพี การรู้ดจิ ิทัลมีความสำคัญตอ่ การประกอบอาชีพของบุคคล เพราะสามารถแสวงหา ดจิ ิทัล เพอื่ เป็นตัวชว่ ยดา้ นสารสนเทศ ท่มี คี วามจำเปน็ ต่อการประกอบอาชพี ของตนเองได้ เชน่ เกษตรกร เม่ือประสบ ปัญหาโรคระบาดกบั พชื ผลทางการเกษตรของตน สามารถใช้ความรดู้ ้านการร้ดู จิ ทิ ัลเขา้ มา ช่วยในการหาตวั ยาหรอื สารเคมเี พ่ือมากำ จัดโรคระบาด ดังกล่าวได้ เปน็ ตน้ 5. ด้านสังคม เศรษฐกจิ และการเมือง การรู้ดิจิทลั เป็นส่ิงสำคัญโดยเฉพาะสงั คมในยุคเทคโนโลยีสารสนเทศ บคุ คลจำเปน็ ต้องรู้ ดิจิทลั ร้สู ารสนเทศเพื่อปรับตนเองใหเ้ ข้ากับสงั คม เศรษฐกจิ และการเมอื ง เชน่ การอยรู่ ว่ มกนั ใน สังคม การบรหิ ารจัดการ การดำเนินธรุ กิจและการแข่งขัน การบรหิ ารบ้านเมืองของผู้นำประเทศ เป็น ตน้ การรู้ดิจิทลั จะทำให้ก้าวหน้ามากกว่าผอู้ นื่ หน่ึงกา้ วเสมออาจกลา่ วไดว้ ่าผู้ร้ดู ิจิทัล คือ ผู้ท่ีมี อำนาจ สามารถาช้วี ดั ความสามารถของ องค์กรหรอื ประเทศชาติได้ ดังน้นั ประชากรท่ีเปน็ ผรู้ ดู้ ิจิทลั จงึ ถือวา่ เปน็ ทรัพยากรที่มีค่ามากท่ีสดุ ของประเทศ 3. ผลกระทบของการรู้ดิจทิ ลั การรดู้ จิ ิทัลมีความสำคญั มาก ในยคุ เทคโนโลยสี ารสนเทศ เพราะมีการนำมา ประยุกต์อยู่ใน ทุกดา้ น ตลอดจนชวี ิตประจำวนั จึงส่งผลกระทบหลายดา้ น ทั้งดา้ นการเรียน ด้านสังคม ดา้ นเมืองการ ปกครอง การประกอบอาชพี เพราะทุกด้านลว้ นแลว้ แต่ใชเ้ ทคโนโลยเี ข้ามา ชว่ ยเพ่ิมโอกาสและการใช้ ใหเ้ กิด ประโยชน์สงู สดุ นอกจากน้ียังชว่ ยให้ออนไลน์อยา่ งปลอดภยั หากแต่ละบุคคลมีความสามารถในการตัดสนิ ใจ ท่ี เหมาะสมและมีขอ้ มูลเก่ียวกบั การใช้เทคโนโลยที จ่ี ะส่งผลกระทบ ต่อการศึกษาตลอดชีวติ รวมถงึ ชวี ิตการท างานใน อนาคตดว้ ย หากขาดทักษะการรูด้ ิจทิ ัล อาจจะสง่ ผล กระทบ ดังนี้ -โอกาสหรอื ขอบเขตทางการศึกษาแคบลง -โอกาสในการประกอบอาชีพที่ดีลดนอ้ ยลง -พัฒนาศักยภาพของตนเองได้ไม่เตม็ ท่ี เนื่องจากไมม่ ีการตดิ ตามข้อมลู ขา่ วสารที่ทันสมัย

62 -อาจเกิดความไมป่ ลอดภัยในการใชเ้ ทคโนโลยี เน่อื งจากความรเู้ ทา่ ไม่ถึงกาล และขาด ทักษะการร้ดู จิ ิทลั จน สง่ ผล กระทบไปในทางท่ีไม่ดไี ด้ 4. ทักษะสำคัญในการร้ดู ิจิทลั ในยุคแห่งการแข่งขนั ทางสงั คมค่อนข้างสูงในปัจจบุ นั ส่งผลตอ่ การปรบั ตัวให้ ทดั เทยี มและ เทา่ ทันกบั ความเปล่ียนแปลงทีเ่ กิดขน้ึ ในบริบททางสังคมในทุกมติ ริ อบด้าน ดังนั้นการเสริมสรา้ งองค์ ความรู้ (Content Knowledge) ทกั ษะเฉพาะทาง (Specific Skills) ความเช่ยี วชาญเฉพาะด้าน (Expertise) และ สมรรถนะของการรู้เทา่ ทัน (Literacy) จงึ เป็นตวั แปรสำคัญท่ีต้องเกิดขนึ้ กับตวั ผู้เรียนในการเรยี นร้ยู ุคสังคมแห่งการ เปลยี่ นแปลงในศตวรรษท่ี 21 น้ีได้อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ ทักษะ 3R4C ประกอบด้วย 3R ไดแ้ ก่ Reading (อา่ นออก) ความสามารถด้านภาษา (Literacy) หมายถงึ ความสามารถในการอา่ น เพ่ือรู้ เข้าใจ วิเคราะห์ สรปุ สาระสำคัญ ประเมนิ ส่งิ ที่อา่ นจากส่อื ประเภทต่างๆ รู้จักเลือกอ่านตามวัตถุประสงค์ นำไปใช้ในชีวิตประจำวนั และการอยู่ร่วมกนั ใน สงั คม ใช้การอา่ นเพื่อการศกึ ษาตลอดชีวติ และสื่อสาร เปน็ ภาษาเขยี นได้ถกู ต้องตามหลกั การใชภ้ าษาและอย่าง สรา้ งสรรค์ 1. ความสามารถในการอา่ น หมายถึง พฤติกรรมการรู้ ความเข้าใจ การสรปุ สาระสำคญั การวิเคราะห์ และ การประเมนิ ได้ 2. รู้ หมายถงึ ความสามารถบอกความหมาย เร่ืองราว ขอ้ เท็จจรงิ และเหตุการณ์ต่างๆ 3. เขา้ ใจ หมายถงึ ความสามารถในการแปลความ ตีความ ขยายความ และสรปุ อา้ งองิ 4. สรปุ สาระสำคัญ หมายถึง ความสามารถในการสรปุ ใจความสำคัญของเนื้อเรื่องได้อยา่ ง ส้นั ๆ กระชบั และครอบคลมุ 5. วิเคราะห์ หมายถงึ ความสามารถในการแยกแยะเรื่องราว ขอ้ เทจ็ จรงิ เหตุผล ข้อคดิ เหน็ คณุ คา่ และ ส่วนประกอบอ่ืน ๆ 6. ประเมิน หมายถึง ความสามารถในการตัดสนิ ความถกู ต้อง ความชัดเจน ความเหมาะสม คณุ คา่ ตาม เกณฑ์ที่กำหนด ความรพู้ ื้นฐานเกี่ยวกับการเขียน การเขยี นเปน็ การส่ือสารด้วยอักษร ถา่ ยทอดความรู้ ความคิด อารมณ์ ความรูส้ ึก ประสบการณข์ องผู้เขยี นไปสู่ผู้อา่ น ทักษะการเขียนเปน็ ทกั ษะทเ่ี ป็นทงั้ ศลิ ป์และศาสตร์ กล่าวคือ การ เขยี น ต้องใช้ภาษาทไ่ี พเราะประณีต ส่อื ได้ทัง้ อารมณ์ ความคิด ความรู้ ต้องใช้ศลิ ปะ ท่ีกล่าววา่ เป็น ศาสตร์เพราะการเขียน ทุกชนดิ ต้องประกอบดว้ ยความรู้ หลักการและวิธีการ การเขยี นมคี วามสำคญั สำหรับมนุษย์ ย่งิ โลกในปัจจุบนั มคี วาม เจริญก้าวหน้าไปอย่าง รวดเร็ว การเขียนยิ่งทวคี วามสำคัญมากขึน้ ตามไปดว้ ยซ่ึงสามารถสรุปความสำคัญของการเขียน ได้ ดังนี้ 1. การเขยี นเปน็ การสือ่ สารอย่างหนึ่ง 2. การเขียนเป็นการแสดงออกซ่ึงภมู ปิ ัญญาของมนุษย์ 3. การเขียน เป็นเครื่องมอื ถา่ ยทอดมรดกทางสติปัญญา 4. การเขียนเป็นเครอ่ื งมือสรา้ งความสามัคคีและความเจรญิ รงุ่ เรือง ในทาง ตรงกนั ข้ามก็ใช้ เป็นเครื่องบ่อนท าลายไดเ้ ชน่ กนั การเขียนจะบรรลผุ ลตามวัตถปุ ระสงค์หรือไม่นัน้ ส่ิงส าคัญอย่าง หนึง่ คือ การเขยี นต้องมี จดุ มุ่งหมายซึ่งสามารถจำแนกไดด้ ังนี้ 1. การเขยี นเพื่อการเลา่ เรื่อง > เปน็ การน าเรอื่ งราวทสี่ ำคัญมาถา่ ยทอดเปน็ ข้อเขยี น เช่น การเขยี นเล่า ประวตั ิ 2. การเขยี นเพ่ืออธิบาย > เป็นการเขียนเพอ่ื ชีแ้ จงอธบิ ายวิธใี ช้ วธิ ีทำ ข้นั ตอนการท า เช่น อธิบายการใช้ เคร่อื งมอื ตา่ งๆ 3. การเขยี นเพือ่ แสดงความคิดเหน็ > เป็นการเขียนเพือ่ วิเคราะห์ วจิ ารณ์ แนะนำ หรอื แสดงความคดิ เห็น เกยี่ วกบั เรอ่ื งใดเร่ืองหนงึ่ 4. การเขยี นเพือ่ โนม้ นา้ วใจ > เป็นการเขยี นทีผ่ ู้เขียนมีจุดประสงคท์ จี่ ะชักจงู โนม้ นา้ วใจให้ ผอู้ า่ นยอมรับใน สิ่งทีผ่ ู้เขยี นเสนอ

63 5. การเขยี นเพ่ือกจิ ธุระ > เปน็ การเขียนท่ีผู้เขียนมีจุดประสงค์อยา่ งใดอย่างหนง่ึ การเขยี น ชนิดนจ้ี ะมี รปู แบบการเขยี นและลักษณะการใชภ้ าษาที่แตกตา่ งกันไปตามประเภทของการเขยี น (A)Rithmetics (คดิ เลขเป็น) ความสามารถในการน าความรูท้ างคณิตศาสตร์ไปประยุกตใ์ ชใ้ นสถานการณ์ต่าง ๆ ใน ชวี ิตประจ าวัน ได้แก่ ความสามารถในการแกป้ ัญหาด้วยวิธีการทหี่ ลากหลาย การให้เหตผุ ล การ สอ่ื สาร การสื่อความหมายทางคณิตศาสตร์ การนำเสนอ การเชอ่ื มโยงความรู้และการมคี วามคิดรเิ ร่ิม สร้างสรรค์ คณติ ศาสตร์ในชีวิตประจำวนั หมาย ถงึ การนำความรู้ เนอื้ หา หลักการทางคณิตศาสตร์ ใน ระดับทเ่ี หมาะสม กบั ผู้เรียน ไปประยุกตใ์ ช้ในกิจกรรมทเี่ ก่ยี วข้องกับผู้เรยี น หรอื ใชอ้ ธิบาย ปรากฏการณ์ เหตกุ ารณ์ใกลต้ ัวทีส่ ามารถพบ เห็นได้ในชีวิตประจำวันท่ัวไป ทกุ เหตุการณท์ ่เี กิดขนึ้ ไม่ วา่ จะเกิดข้ึนทกุ วนั หรือนาน ๆ คร้ัง ท้ังทีเ่ ก่ียวข้องกบั เรา โดยตรงหรือโดยออ้ ม ล้วนแต่สามารถโยง ใหเ้ ข้ากบั คณิตศาสตรไ์ ดท้ งั้ ส้ิน 4C ไดแ้ ก่ Critical Thinking การคิด วิเคราะห์ การเรยี นรู้ทักษะการคดิ วเิ คราะห์ควรมีเปา้ หมายและวิธีการดังต่อไปนี้ เปา้ หมาย : สามารถใชเ้ หตุผล คิดได้ อยา่ งเป็นเหตุเปน็ ผลหลากหลายแบบ ไดแ้ ก่ คิดแบบอุปนยั (inductive) คิด แบบอนุมาน (deductive) เป็นต้น แล้วแต่สถานการณ์ เป้าหมาย : สามารถใชก้ ารคิดกระบวนระบบ (systems thinking) วเิ คราะห์ได้ว่าปจั จัยยอ่ ยมี ปฏิสมั พันธก์ นั อยา่ งไร จนเกดิ ผลในภาพรวมเป้าหมาย วิเคราะหแ์ ละประเมินขอ้ มลู หลกั ฐาน การโต้แยง้ การกล่าวอ้าง และความเช่ือ วเิ คราะหเ์ ปรยี บเทยี บและประเมนิ ความเหน็ หลัก ๆ สงั เคราะหแ์ ละเชอ่ื มโยงระหวา่ งสารสนเทศกับข้อ โตแ้ ย้ง แปลความหมายของสารสนเทศและสรุปบนฐานของการวิเคราะห์ ตีความและทบทวนอยา่ งจรงิ จัง (critical reflection) ในด้านการเรียนรู้ และกระบวนการ เปา้ หมาย : สามารถแก้ปัญหาได้ ฝึกแก้ปญั หาท่ีไม่คุน้ เคยหลากหลาย แบบ ท้ังโดยแนวทางท่ยี อมรับกนั ทัว่ ไป และแนวทางท่ี แหวกแนว ตง้ั คำถามสำคัญทีช่ ว่ ยทำความกระจ่างใหแ้ ก่มมุ มอง ตา่ ง ๆ เพ่ือน าไปสทู่ างออกท่ีดีกวา่ การเรยี นทักษะเหลา่ น้ีทำโดย PBL (Project-Based Learning) Communication การส่ือสาร การออกแบบการเรยี นรู้ทักษะการสอื่ สาร ควรมเี ปา้ หมายและวธิ ีการดังต่อไปน้ี เป้าหมาย : ทักษะในการสอื่ สารอยา่ งชัดเจน เรียบเรียงความคิดและมมุ มอง (idea) ไดเ้ ป็นอยา่ งดสี ่อื สารออกมาให้ เข้าใจง่ายและ งดงาม และมีความสามารถสอื่ สารไดห้ ลายแบบ ทง้ั ด้วยวาจา ขอ้ เขยี น และภาษาที่ไมใ่ ช่ภาษาพูดและ เขียน (เช่น ท่าทาง สีหน้า) ฟังอยา่ งมีประสทิ ธิผล เกดิ การส่ือสารจากการต้ังใจฟงั ให้เห็น ความหมาย ท้งั ดา้ นความรู้ คุณคา่ ทัศนคติ และความตั้งใจใช้การสื่อสารเพื่อบรรลุเปา้ หมายหลายดา้ น เช่น แจ้งใหท้ ราบบอกใหท้ ำ จงู ใจ และ ชักชวน สื่อสารอย่างไดผ้ ลในสภาพแวดลอ้ มที่หลากหลาย รวมท้งั ในสภาพทส่ี ื่อสารกนั ด้วยหลาย ภาษา เป้าหมาย : ทกั ษะในการรว่ มมือกบั ผู้อนื่ แสดงความสามารถในการท างานอย่างไดผ้ ล และแสดงความเคารพใหเ้ กียรติทมี งานท่ีมี ความ หลากหลาย แสดงความยืดหยนุ่ และช่วยประนปี ระนอมเพ่ือบรรลุเปา้ หมายรว่ มกัน แสดงความรับผิดชอบ ร่วมกนั ในงานที่ต้องทำรว่ มกนั เปน็ ทมี และเห็นคุณคา่ ของบทบาทของผู้ ร่วมทีมคนอนื่ ๆ Collaboration การร่วมมือ การออกแบบการเรยี นรูท้ ักษะการร่วมมือ ควรมเี ปา้ หมายและวธิ กี ารดงั ต่อไปนี้ เปา้ หมาย : ทกั ษะในการร่วมมือกับ ผูอ้ ่นื แสดงความสามารถในการท างานอย่างได้ผล และแสดงความเคารพใหเ้ กยี รติทีมงานทีม่ ี ความหลากหลาย แสดง ความยดื หย่นุ และช่วยประนปี ระนอมเพื่อบรรลเุ ป้าหมายรว่ มกัน แสดงความรับผิดชอบร่วมกันในงานท่ีต้องทำรว่ มกัน เป็นทมี และเห็นคุณค่าของบทบาทของ ผู้รว่ มทีมคนอื่น ๆ Creativity ความคดิ สร้างสรรค์ การออกแบบการเรยี นรู้ ทกั ษะความคิดสร้างสรรค์ ควรมีเป้าหมายและวธิ กี ารดงั ต่อไปน้ี เปา้ หมาย : ทกั ษะการความคิดสร้างสรรค์ ใชเ้ ทคนิค สร้างมมุ มองหลากหลายเทคนิค เช่น การระดมความคดิ (brainstorming) สรา้ งมุมมองแปลกใหม่ ทง้ั ทเ่ี ป็นการ ปรับปรงุ เล็กนอ้ ยจากของเดิม หรือเปน็ หลกั การทแ่ี หวก แนวโดยสนิ้ เชิง ชักชวนกันทำความเขา้ ใจ ปรบั ปรุง วเิ คราะห์

64 และประเมนิ มุมมองของตนเอง เพือ่ พฒั นา ความเข้าใจเกยี่ วกับการคดิ อย่างสรา้ งสรรค์ 5. สรุป ในอนาคตเนื้อหาการ เรียนรู้แบบดิจติ อลจะเข้ามาแทนทีแ่ ละบทบาทในการศึกษา หนังสือ ทัว่ ไปจะกลายเป็นเอกสารประกอบในเน้ือหา รายวิชาท่ีเป็นทฤษฏพี ื้นฐาน เพราะเน้ือหาไม่ค่อยมีการ เปล่ียนแปลง แตส่ ำหรับเน้ือหารายวิชาที่มกี ารเปล่ยี นแปลงได้ ตลอดเวลา เช่นเนือ้ หาดา้ นคอมพิวเตอร์และวทิ ยาการตา่ งๆ เน้อื หาการเรยี นรู้แบบดิจติ อลจะเขา้ มาแทนท่ีไดเ้ พราะ สามารถแก้ไขเน้ือหาได้ สะดวก อกี ทงั้ ข้ันตอนการผลติ หนงั สือทัว่ ไปจะใช้ เวลานาน เน้อื หาการเรยี นรู้แบบดิจติ อลจะ ทำใหผ้ ้ทู ี่ สนใจในเนื้อหาต่าง ๆไดม้ ีความรู้จากเนื้อหานั้น ๆ โดยท่ีไม่จำเป็นต้องเข้าเรยี นในสถานศึกษา อนาคต ของ เนื้อหาการเรียนรู้แบบดจิ ติ อลไม่ได้ขึน้ อยู่กับผู้อา่ นเทา่ น้ัน แตย่ ังข้นึ อยู่กับการพฒั นาและการ คิดคน้ รูปแบบใหม่ ๆ เพ่ือทำใหม้ ีความสะดวกในการอา่ นใหม้ ากข้ึน และทำให้เน้ือหามีความนา่ สนใจ มากขนึ้ นอกจากน้ันแล้วเนือ้ หาการ เรยี นรู้แบบดิจิตอลจะเข้าไปทำใหเ้ กดิ การเปลยี่ นแปลงในตลาด สิ่งพมิ พ์เชน่ หนงั สือพิมพ์ วารสาร นิตยสาร เป็นต้น จะถกู ผลิตมาในรปู แบบท่ีเป็นแบบดจิ ติ อลมาก ขึ้นในอนาคต แ

65 ใบงานที่ ๑ ๑. จงอธบิ ายความหมายของการรู้ดจิ ทิ ัล …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………......................................................................………………………………… ๒. จงอธิบายความหมายของการรู้การส่อื สาร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………......................................................................………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………….......................................................................………………… ชอ่ื .............................................................นามสกลุ ..............................................ระดับประถมศกึ ษา

66 ใบงานที่ ๒ ๑. จงอธิบายความสำคญั ของการรดู้ ิจทิ ลั …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………… ๒. จงยกตวั อย่างผลกระทบจากการร้ดู ิจทิ ัล …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………… ชอ่ื .............................................................นามสกลุ ..............................................ระดบั ประถมศกึ ษา

67 แผนการจัดการเรียนรู้ รายวชิ าสุขศกึ ษาพลศกึ ษา คร้ังที่ 6 การจัดทำหน่วยเรยี นรูบ้ ูรณาการหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2565 กศน.ตำบลดู่นอ้ ย ระดบั ประถมศึกษา 1. สปั ดาห์ท่ี ๖ วันที่ 2๑ เดือน พฤษภาคม พ.ศ.2565 เวลา 09.00 - 12.00 น. 2. วชิ า สขุ ศกึ ษาพลศึกษา รหสั วิชา ทช1100๒ จำนวน 2 หน่วยกิต 3. มาตรฐานท่ี 4.2 มีความรู้ ความเข้าใจ ทักษะและเจตคติท่ีดเี กยี่ วกบั การดูแล ส่งเสริมสขุ ภาพอนามยั และ ความปลอดภยั ในการดำเนินชีวติ 4. หน่วยการเรยี นรู้/เรอ่ื งร่างกายของเรา 5. สาระสำคัญ โครงสร้างหน้าทก่ี ารทำงานของระบบอวัยวะในร่างกายท่ีสำคัญ ระบบสามารถปฏบิ ัตติ นในการดแู ลรกั ษาและ ปอ้ งกนั อาการผิดปกติของระบบอวยั วะสำคัญ ระบบอธบิ ายพฒั นาการและการเปลยี่ นแปลงตามวยั ของมนษุ ย์ด้าน ร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สงั คม สตปิ ัญญาได้อย่างถูกต้อง 6. เนอื้ หา ๑. วฎั จักรของชีวิตมนุษย์ ๒. โครงสร้างหน้าทแี่ ละการทำงานของอวยั วะสำคัญ ของร่างกาย -อวยั วะภายนอกได้แก่ ผิวหนัง หู ตาคอ จมูก ฟัน ผม เลบ็ ฯลฯ - อวยั วะภายใน ได้แก่ หัวใจ ปอด กระเพาะ ลำไส้ ตับ ไต ๓. การดแู ลรกั ษา ป้องกัน ความผิดปกติ ของรา่ งกาย 7. จุดประสงค์การเรียนร/ู้ ผลการเรียนรู้ทีค่ าดหวัง (ดจู ากผงั การออกข้อสอบ) ๑. อธบิ ายการเปลี่ยนแปลงและพฒั นาการตามวัยของรา่ งกายได้ ๒. อธบิ ายโครงสรา้ งและการทำงานของอวัยวะภายใน และภายนอก ๓. อธบิ ายวิธีการดูแลรกั ษาป้องกนั ความผดิ ปกติของอวัยวะทีส่ ำคญั ของรา่ งกายท้งั ภายในและภายนอกได้ 8. การบูรณาการกับหลักแนวคิดของเศรษฐกจิ พอเพียง (2 เง่อื นไข 3 หลักการการเชื่อมโยงสู่ 4 มติ ิ) ความรู้ รู้วา่ ควรวิง่ อยา่ งไรจงึ จะถูกกตกิ า และมีความระมดั ระวงั ไม่ให้หกล้มหรอื เป็นอนั ตราย คณุ ธรรม ร้แู พ้ รชู้ นะ รูอ้ ภัย พอประมาณ - นักเรยี นร้วู ่าวิง่ เตม็ ที่ได้เร็วแค่ไหนไม่เกินกำลังของตนเองจึงเป็นประโยชน์ต่อตนเองและกลุ่มเพ่ือน มเี หตุผล - รจู้ ักวิธีการและกติกาของเกมอย่างถกู ตอ้ ง มีภมู ิคมุ้ กัน - รา่ งกายทแี่ ขง็ แรงทำให้ไม่มีโรคภัยไขเ้ จบ็ วัตถุ - ช่วยใหร้ ่างกายแขง็ แรง

68 - ฝกึ ความคลอ่ งแคล่งในการเคล่ือนไหน - มีความรคู้ วาม เขา้ ใจในการเลน่ เกมวิ่งเป้ยี วได้อยา่ งถูกวิธี สังคม - มคี วามสามคั คีในหมผู่ ู้เลน่ เป็นอย่างดี ส่ิงแวดล้อม - สามารถนำอปุ กรณใ์ นท้องถิ่นมาใชป้ ระโยชน์ได้อยา่ งเหมาะสม วฒั นธรรม - มีระเบียบวินัย และรู้จักเคารพกฎกติกา 9. กระบวนการจดั การเรียนรแู้ ละกิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นท่ี 1 กำหนดสภาพปัญหาการเรียนรู้ ๑.ครูสอบถามนักศึกษาเร่ืองเก่ียวกับพัฒนาการทางร่างกาย ๒.ชแ้ี จงจดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ ขน้ั ท่ี 2 แสวงหาขอ้ มูลและจัดการเรยี นรู้ ๑.ครูอธิบายเร่ืองเก่ยี วกบั ร่างกายของเราและการวางแผนชีวิต ขั้นท่ี 3 การปฏิบัตแิ ละการนำไปใช้ ๑. ครูสรปุ องคค์ วามรู้ในเน้ือหาเรอ่ื งเกยี่ วกบั ร่างกายของเราและการวางแผนชีวิต ๒. นกั ศึกษาซักถาม และแลกเปล่ียนความรู้ กจิ กรรมเพมิ่ เติม ให้นักศึกษาทำรายงานคน้ ควา้ เพม่ิ เติมเกี่ยวกบั หน้าที่ การทำงานของอวยั วะ ต่างๆของร่างกาย ขั้นท่ี 4 การประเมินผลการเรียนรู้ 1. ประเมนิ ผลจากการทำใบงาน 2. การสังเกตการมีสว่ นร่วม 10. สอื่ /แหล่งเรยี นรู้ - โปสเตอร์ระบบอวัยวะที่สำคัญของรา่ งกาย - สื่อ Internet - ใบงานที่ 1 เรอ่ื ง การพัฒนาการของรา่ งกาย - ห้องสมุด 11. การวัดผลและประเมินผล 1. วธิ ีการวดั และประเมนิ ผล - แบบประเมินผลการสังเกตพฤติกรรมการทำงานร่วมกบั ผอู้ น่ื ของนักศึกษารายบุคคล - ใบงาน - แบบทดสอบก่อนเรยี น-หลังเรยี น 2. เครอ่ื งมือวัดและประเมินผล. - ประเมินผลการสังเกตพฤตกิ รรมการทำงานร่วมกบั ผู้อ่นื ของนักศึกษารายบคุ คล

69 - ผลจากการตรวจใบงาน - คะแนนแบบทดสอบกอ่ นเรียนและหลงั เรียน 3. เกณฑ์การวดั และการประเมินผล - แบบประเมินผลการสังเกตพฤติกรรมการทำงานรว่ มกับผู้อ่ืนของนกั ศึกษารายบุคคล ระดบั ดี พอใช้ และควรปรับปรุง - ใบงานคะแนนเตม็ 10 คะแนน - แบบทดสอบก่อนเรยี น-หลังเรียน เกณฑ์ผ่านและไมผ่ า่ น กิจกรรมเสนอแนะ ......................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ลงช่อื …………………………………………….ครผู สู้ อน (นายเอนก เหมอื นทอง) ครู กศน.ตำบล ข้อเสนอแนะของผู้บรหิ าร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………........ ลงช่ือ………………………………………………………ผอู้ นุมัติแผน (นางปทั มาภรณ์ ศรเี นตร) ผู้อำนวยการ กศน.อำเภอจตุรพักตรพมิ าน

70 บนั ทึกหลังการจดั การเรียนรู้ การจดั ทำหน่วยเรียนรบู้ รู ณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง ครั้งท่ี 6 วันท่ี 21 เดอื น มิถุนายน พ.ศ. 2565 ครผู ู้สอน นายเอนก เหมือนทอง ระดบั ประถมศึกษา เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐ น. สาระการดำเนินชวี ิต รายวิชา สขุ ศึกษาพลศึกษา รหสั วิชา ทช1๑๐๐2 จำนวนผ้เู รียนทง้ั หมด ............... คนเข้าเรยี น…………………คน ไมเ่ ข้าเรยี น……………………….คน ๑. ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การประเมินโดยใช้ แบบทดสอบก่อนเรยี น - หลังเรียน พบวา่ คะแนนการทดสอบหลงั เรียน มากกว่าก่อนเรยี นจำนวน ........ คนคดิ เปน็ รอ้ ยละ............ คะแนนการทดสอบหลงั เรียน น้อยกวา่ ก่อนเรยี นจำนวน ......... คนคดิ เป็นร้อยละ............ ๒. เนอ้ื หา/สาระ ................................................................................................................................................................ .......................................................................................... ....................................................... ............... ................................................................................................................................................................ ๓. กจิ กรรมการเรียนการสอน ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ ....................................................................................................................................... ๔. ปญั หา/อปุ สรรค การเรียนการสอน ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ .............................................................................................................................................................. .. ๕. แนวทางการแก้ปัญหา ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ลงชื่อ....................................................... (นายเอนก เหมือนทอง) ครผู ู้สอน วันท.ี่ ............../.................../............... ความคดิ เห็น/ขอ้ เสนอแนะของผู้บริหาร ............................................................................................................................................................................. ............ ......................................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ลงชื่อ.................................................................. (นางปัทมาภรณ์ ศรีเนตร) ผ้อู ำนวยการ กศน.อำเภอจตรุ พกั ตรพิมาน วนั ท.่ี ............../.................../...............

71 ใบคามรู้ เรอื่ งรา่ งกายของเรา รา่ งกายมนุษย์โคร่งกระดกู ท่ีใหญ่ เปน็ โครงสรา้ งทง้ั หมดของมนุษย์ ประกอบดว้ ยเซลลเ์ มจมนษุ ยห์ ลายชนิดที่ รวมกนั เปน็ เน้อื เย่ือซ่งึ รวมกันเป็นระบบอวัยวะ สงิ่ เหลา่ นี้คงอบั ดลุ และความแขง็ แรงของร่างกายมนุษย์ รา่ งกายมนษุ ย์ ประกอบด้วยศรี ษะ, คอ, ลำตัว (ซึง่ รวมถึงกล้ามเนอ้ื หนา้ อกใหญแ่ ละหน้าท้องใตผ้ วิ หนงั มีกลา้ มเน้ือมัดและมี กล้ามเนือ้ ท่แี ขนและมือ, ขา เท้า และมีไขกระดูกสันหลงั เติมโปรตีนใหร้ ่างกาย2เท่า การศกึ ษาร่างกายมนุษย์เช่ือมโยงกับกายวภิ าคศาสตร์ สรีรวทิ ยา มญิ ชวิทยา และคพั ภวิทยา รา่ งกายมีความ แตกต่างทางกายวภิ าคแบบต่าง ๆ สรรี วทิ ยามุ่งไปทร่ี ะบบและอวัยวะของมนษุ ย์และการทำงานของอวัยวะ หลาย ระบบและกลไกมปี ฏกิ ริ ิยาต่อกันเพื่อคงภาวะธำรงดลุ โดยมีระดับท่ีปลอดภัยของสารต่าง ๆ เช่น น้ำตาลและออกซเิ จน ในเลือด องค์ประกอบ ธาติต่าง ๆ ของร่างกายมนุษย์โดยมวล จลุ ธาตุท้งั หมดมีจำนวนน้อยกว่ารอ้ ยละ 1 โดยแต่ละอย่างมีจำนวนนอ้ ยกว่า รอ้ ยละ 0.1 ร่างกายมนุษยป์ ระกอบด้วยธาตุครบตา่ ง ๆ เช่น ไฮโดรเจน ออกซเิ จน คารบ์ อน แคลเซยี ม และฟอสฟอรสั [] ธาตุเหล่านอี้ ยู่ในเซลลน์ ับลา้ นลา้ นและส่วนประกอบที่ไม่ใช่เซลล์ในร่างกายมนษุ ย์ ประมาณร้อยละ 60 ของร่างกายชายโตเตม็ วยั เปน็ น้ำ คิดเป็นปรมิ าณประมาณ 42 ลิตร ในจำนวนนี้ 19 ลติ ร เปน็ นำ้ ภายนอกเซลล์รวมถึงน้ำเลือดปรมิ าณ 3.2 ลติ ร และสารน้ำแทรกปรมิ าณ 8.4 ลติ ร และสว่ นที่เหลือเป็นนำ้ ภายในเซลลจ์ ำนวน 23 ลิตร[2] สว่ นประกอบและความเป็นกรดของน้ำทั้งในและนอกเซลลถ์ ูกรกั ษาไว้อยา่ ง ดี อิเลก็ โทรไลต์หลักของนำ้ ภายนอกเซลล์ในรา่ งกายได้แก่ โซเดยี ม และคลอไรด์ สว่ นสำหรบั นำ้ ภายในเซลลไ์ ด้แก่ โพแทสเซยี มและฟอสเฟตอ่ืน[3]

72 เซลล์ ร่างกายประกอบด้วยเซลล์นับล้านล้านซึ่งเป็นหนว่ ยพื้นฐานของสง่ิ มีชีวิต[4] ขณะโตเตม็ วัย มนษุ ย์มีเซลล์ ประมาณ 30[5]–37[6] ล้านลา้ นเซลลใ์ นร่างกาย ปรมิ าณจากจำนวนเซลลท์ ้งั หมดในอวยั วะตา่ ง ๆ และเซลลป์ ระเภท ตา่ ง ๆ นอกจากน้ีร่างกายยงั เป็นที่อาศัยของเซลล์ที่ไมใ่ ชม่ นุษยจ์ ำนวนเทา่ ๆ กัน[5] รวมถึงสง่ิ มชี วี ิตหลายเซลล์ซงึ่ อาศยั ในทางเดนิ อาหารและบนผิวหนัง[7] รา่ งกายไม่ไดป้ ระกอบไปดว้ ยเซลล์เพียงอยา่ งเดยี ว เซลลต์ ัง้ อยู่ในเมจสารเปลี่ยน เซลล์ผวิ ที่ประกอบดว้ ยโปรตีน เช่น คอลลาเจน ล้อมรอบด้วยน้ำภายนอกเซลล์ มนษุ ย์ท่ีนำ้ หนัก 70 กโิ ลกรมั มเี ซลล์ที่ ไม่ใช่เซลลม์ นุษย์และวสั ดทุ ่ีไม่ใช่เซลล์ เชน่ กระดกู และเนื้อเยอื่ เก่ียวพัน น้ำหนักเกือบ 25 กิโลกรัม[5] เซลล์ในรา่ งกายทำงานได้ดว้ ยดเี อ็นเอซง่ึ อยู่ในนวิ เคลยี สของเซลล์ ขา้ งในนิวเคลียส สว่ นของดีเอ็นเอถกู คัดลอก และสง่ ไปยังตวั ของเซลลใ์ นรูปแบบของอาร์เอน็ เอ[8] จากน้ันอารเ์ อ็นเอถูกใชเ้ พอ่ื สร้างโปรตนี ซึ่งเป็นสว่ นประกอบ พ้นื ฐานสำหรบั เซลล์ กิจกรรมของเซลล์ และผลิตภัณฑข์ องเซลล์ โปรตนี เป็นตวั กำหนดหน้าของเซลล์และการ แสดงออกของยนี เซลลส์ ามารถควบคุมตวั เองไดจ้ ากปริมาณโปรตีนท่ผี ลิต[9] อย่างไรกต็ าม ไมใ่ ช่ทุกเซลล์ทจ่ี ะมดี ีเอ็น เอ เซลล์บางชนดิ เชน่ เซลล์เมด็ เลอื ดแดงสญู เสยี นิวเคลียสเมอ่ื โตเตม็ ที่ เนอื้ เยื่อ รา่ งกายประกอบไปดว้ ยเนื้อเย่ือหลายแบบ โดยเน้อื เย่ือถูกให้ความหมายว่าคือกลุ่มเซลลท์ ี่มีหนา้ ที่เฉพาะ การศกึ ษาเกยี่ วกบั เนือ้ เย่ือเรียกวา่ มญิ ชวทิ ยาและมกั ศึกษาผ่านกลอ้ งจุลทรรศน์ ร่างกายประกอบไปดว้ ยเน้ือเยอ่ื สีช่ นดิ หลกั คือ เนือ้ เยอื่ บุผิว เนือ้ เย่ือเกยี่ วพัน เน้ือเยื่อประสาท และเนือ้ เยื่อกลา้ มเน้ือ เซลล์ที่ตงั้ อยูบ่ นพน้ื ผวิ ทพ่ี บกับโลกภายนอกหรือในทางเดินอาหาร (เน้ือเยือ่ บผุ ิว) หรอื เน้ือเยื่อบุ โพรง (endothelium) มีหลายรูปแบบและรปู ร่าง ตั้งแตเ่ ซลล์แบนชั้นเดยี ว ไปจนถึงเซลล์ในปอดท่ีมีซีเลียคลา้ ยเส้นผม ไปจนถึงเซลลแ์ ท่งทรงกระบอกทีบ่ ุกระเพาะอาหาร เซลลเ์ นื้อเยือ่ บุโพรงเป็นเซลล์ที่บุชอ่ งภายในรวมท้ังเส้นเลือดและ ตอ่ มต่าง ๆ เซลลบ์ คุ วบคมุ ว่าสง่ิ ไหนสามารถผ่านหรือไมส่ ามารถผา่ นเขา้ ไปได้ ปกป้องโครงสร้างภายใน และทำหน้าท่ี เป็นพนื้ ผวิ รับความรสู้ ึก อวัยวะ ดเู พมิ่ เติมที่: รายการอวยั วะของรา่ งกายมนุษย์ อวยั วะเป็นกล่มุ เซลลท์ ม่ี ีโครงสร้างและหน้าท่เี ฉพาะ[12] ซง่ึ ตง้ั อยภู่ ายในรา่ งกาย ตัวอยา่ งเชน่ หวั ใจ ปอด และ ตบั อวัยวะหลายอยา่ งอยู่ในช่องว่างภายในรา่ งกายรวมถึงช่องวา่ งในลำตวั และโพรงเย่ือหุ้มปอด ดเู พ่ิมเติมท:่ี รายการระบบของร่างกายมนุษย์

73 ระบบไหลเวียน ดูบทความหลกั ที่: ระบบไหลเวียน ระบบไหลเวยี นประกอบด้วยหวั ใจ หลอดเลอื ด (หลอดเลือดแดง หลอดเลอื ดดำ และหลอดเลอื ดฝอย) หัวใจทำ หนา้ ทขี่ ับเคล่ือนการไหลเวียนของเลือด โดยเลอื ดเปน็ ดัง่ \"ระบบขนส่ง\" ในการขนยา้ ยออกซเิ จน เชือ้ เพลงิ สารอาหาร ของเสีย เซลล์ในระบบภมู ิคมุ้ กัน และตัวนำส่งสารเคมี (เชน่ ฮอรโ์ มน) จากสว่ นหนง่ึ ของร่างกายไปยังอีกสว่ น เลือด ประกอบด้วยนำ้ ที่ขนส่งเซลล์ในระบบไหลเวียน รวมถึงบางเซลลท์ ี่เดินทางจากเนอื้ เย่ือไปกลบั หลอดเลอื ด รวมท้งั ไปยัง และจากมา้ มและไขกระดูก ระบบย่อยอาหาร ดูบทความหลักท่ี: ระบบย่อยอาหาร ระบบย่อยอาหารประกอบด้วยปากรวมถึงล้ินและฟัน, หลอดอาหาร, กระเพาะอาหาร, ทางเดนิ อาหาร, ลำไส้ เลก็ และใหญ่ รวมถงึ ไสต้ รง รวมถึงตบั , ตบั อ่อน, ถงุ นำ้ ดี และต่อมน้ำลาย ทำหน้าทเี่ ปลยี่ นอาหารเปน็ โมเลกลุ ที่เล็ก มี คุณค่าทางอาหาร และไมเ่ ปน็ พษิ เพื่อให้สามารถกระจายและดดู ซมึ ไดใ้ นรา่ งกาย[16] ระบบตอ่ มไรท้ ่อ ดบู ทความหลกั ท:ี่ ระบบต่อมไรท้ อ่ ระบบต่อมไร้ท่อประกอบด้วยต่อมไรท้ ่อหลัก รวมถึง ต่อมใต้สมอง ต่อมไทรอยด์ ตอ่ มหมวกไต ตบั อ่อน ต่อม พาราไทรอยด์ และต่อมบง่ เพศ ทว่าอวยั วะและเนอื้ เย่ือเกือบทั้งหมดผลิตฮอร์โมนต่อมไร้ท่อเฉพาะเชน่ กัน ฮอร์โมน ตอ่ มไรท้ อ่ ทำหน้าท่เี ป็นตัวส่งสญั ญาณจากระบบรา่ งกายหนึ่งไปยังอีกระบบหน่ึงเพอ่ื บอกถงึ สถานะตา่ ง ๆ ทำให้เกดิ การเปลี่ยนแปลงการทำงาน[17]

74 ระบบภมู คิ ุ้มกัน ดูบทความหลกั ท่:ี ระบบภมู ิคุ้มกัน ระบบภูมคิ มุ้ กนั ประกอบดว้ ยเซลล์เม็ดเลอื ดขาวและแดงทำงานปกติ ต่อมไทมสั ต่อมนำ้ เหลอื ง และทางเดิน น้ำเหลือง ซึ่งเปน็ สว่ นหนง่ึ ของระบบน้ำเหลอื ง ระบบภูมิคุ้มกนั ทำให้ร่างกายสามารถแยกแยะเซลลแ์ ละเน้ือเย่ือตนเอง ออกจากเซลล์และส่ิงภายนอก เพื่อตอ่ ต้านหรอื ทำลายเซลล์หรือสิ่งแปลกปลอมจากภายนอกโดยใช้โปรตีนเฉพาะและ เช่น แอนติบอดี ไซโตไคน์, toll-like receptors และอ่นื ๆ ระบบผิวหนัง ดูบทความหลักท:ี่ ระบบผิวหนัง ระบบผิวหนังประกอบดว้ ยผิวหนังท่ีปกคลุมรา่ งกาย รวมถงึ เสน้ ผม และเลบ็ รวมถงึ โครงสรา้ งอ่ืน ๆ ทีม่ หี นา้ ท่ี สำคัญ เชน่ ตอ่ มเหงื่อและต่อมไขมัน ผวิ หนังทำหนา้ ท่หี อ่ หุ่ม เป็นโครงสร้าง และป้องกนั อวยั วะอน่ื และยงั เป็นตวั รับรู้ ถึงโลกภายนอก[18][19] ระบบนำ้ เหลือง ดบู ทความหลกั ท่:ี ระบบน้ำเหลือง ระบบน้ำเหลืองสกดั ขนสง่ และเปล่ียนแปลงนำ้ เหลือง หรือน้ำท่ีอยู่ระหวา่ งเซลล์ ระบบน้ำเหลอื งคลา้ ยกบั ระบบไหลเวยี นทั้งในเชงิ โครงสรา้ งและหน้าท่ีพน้ื ฐานซ่ึงคือการขนสง่ น้ำในรา่ งกาย[20] ระบบกลา้ มเน้ือและกระดูก ดูบทความหลักที:่ ระบบกลา้ มเนื้อและกระดูก ระบบกล้ามเน้ือและกระดกู ประกอบด้วยโครงกระดูกมนุษย์ (รวมถึงกระดูก เอ็นยึด เอ็นกล้ามเน้ือ และกระดูก ออ่ น) และกลา้ มเน้ือที่ยดึ ติด ระบบนเี้ ปน็ โครงสรา้ งพื้นฐานของรา่ งกายและเปน็ ตวั ให้ความสามารถในการขยบั

75 นอกจากจะทำหน้าท่ีเปน็ โครงสร้างแลว้ กระดกู ช้ินใหญ่ในร่างกายยังบรรจุไขกระดูก ซ่งึ เปน็ ทผี่ ลติ เซลลเ์ ม็ดเลือด นอกจากนี้ กระดูกทุกชิน้ ยงั เป็นท่ีเก็บสะสมหลักของแคลเซียมและฟอสเฟต ระบบนี้สามารถแบ่งออกเปน็ ระบบกล้าม เนอ้ื และระบบกระดูก ระบบประสาท ดบู ทความหลักท่:ี ระบบประสาท ระบบประสาทประกอบดว้ ยระบบประสาทกลาง (สมองและไขสนั หลงั ) และระบบประสาทนอกส่วนกลาง ประกอบด้วยเส้นประสาทและปมประสาทนอกสมองและไขสนั หลัง สมองเป็นอวยั วะแห่งความคิด อารมณ์ ความทรง จำ และการประมวนทางประสาทสัมผัส และทำหน้าที่ในหลายมุมมองของการส่ือสารและควบคุมระบบและหน้าทต่ี ่าง ๆ ความรสู้ กึ พิเศษประกอบดว้ ย การมองเห็น การไดย้ นิ การรบั รู้รส และการดมกล่ิน ซง่ึ ตา,ห,ู ลิ้น, และจมกู รวบรวม ขอ้ มลู จากสง่ิ รอบตัว[22] ระบบสบื พันธุ์ ดบู ทความหลักท:่ี ระบบสืบพันธุม์ นุษย์ ระบบสืบพันธ์ุประกอบด้วยต่อมบ่งเพศและอวยั วะเพศทั้งภายในและภายนอก ระบบสืบพันธผ์ุ ลิตเซลล์สบื พันธ์ุ ในแต่ละเพศ, ใหก้ ลไกสำหรบั การรวมกันของเซลล์สืบพันธ์ุ, และสำหรบั เพศหญิงยังให้ส่งิ แวดลอ้ มในการพฒั นาทารก ในเกา้ เดือนแรก[23] ระบบหายใจ ดูบทความหลกั ท:่ี ระบบหายใจ ระบบหายใจประกอบดว้ ยจมูก คอหอย หลอดลม และปอด อวัยวะเหล่านี้นำออกซิเจนจากอากาศและขับ คารบ์ อนไดออกไซด์และน้ำกลับไปยงั อากาศ ระบบทางเดินปสั สาวะ ดูบทความหลักที่: ระบบทางเดินปัสสาวะ

76 ระบบทางเดนิ ปสั สาวะประกอบด้วยไต ทอ่ ไต กระเพาะปสั สาวะ และท่อปัสสาวะ โดยทำหน้าทีข่ ับส่งิ เป็นพษิ ออกจากเลือดเพื่อผลิตปัสสาวะซึ่งขนส่งโมเลกุลของเสียและไอออนส่วนเกนิ และน้ำออกจากร่างกาย ใบงาน ๑ เรอื่ ง การพัฒนาการของร่างกาย ชื่อ.........................................................................………………………………………………………………………ชน้ั .............. คำชีแ้ จง ๑.จับคู่กบั เพอ่ื นแล้วเปรียบเทียบลกั ษณะการเจริญเติบโตของตนเองและเพื่อน รายการเปรยี บเทียบ ตัวเรา เพ่ือน 1.ด้านรา่ งกาย ๒.ด้านจิตใจ ๒. ใหน้ กั ศึกษาวาดภาพจินตนาการว่าเมือ่ นักศึกษาอยู่ชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 5 นกั ศึกษาจะมีลักษณะ อยา่ งไร

77 แผนการจัดการเรียนรู้ รายวิชาสขุ ศกึ ษาพลศึกษา ครั้งท่ี ๗ การจัดทำหน่วยเรยี นรู้บูรณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง ภาคเรยี นที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2565 กศน.ตำบลดู่นอ้ ย ระดับประถมศึกษา 1. สปั ดาห์ท่ี ๗ วันที่ 2๘ เดือน พฤษภาคม พ.ศ.2565 เวลา 09.00 - 12.00 น. 2. วชิ า สุขศึกษาพลศึกษา รหสั วิชา ทช1100๒ จำนวน 2 หน่วยกิต 3. มาตรฐานที่ 4.2 มคี วามรู้ ความเข้าใจ ทักษะและเจตคติท่ีดีเก่ยี วกับการดูแล ส่งเสริมสุขภาพอนามัย และ ความปลอดภัยในการดำเนินชีวติ 4. หนว่ ยการเรยี นรู/้ เร่อื งการวางแผนครอบครวั และพัฒนาการทางเพศ 5. สาระสำคญั การเปล่ียนแปลงเม่ือเขา้ วยั หนมุ่ สาววธิ กี ารหลีกเลยี่ งพฤติกรรมทีน่ ำไปสู่การมเี พศสัมพันธ์ การลว่ งละเมดิ ทาง เพศและการตั้งครรภ์ทไ่ี มพ่ ึงประสงค์และวิธกี ารดแู ลสุขภาพทางเพศที่เหมาะสมและไม่ทำใหเ้ กิดปัญหาทางเพศ 6. เนอื้ หา ๑. การวางแผนชีวติ และครอบครวั -การวางแผนชีวิต -การเลือกคู้ครอง -การปรบั ตวั ในชีวิตสมรส -การตัง้ ครรภ์ การมบี ุตร การเลี้ยงดบู ุตร ๒. ปัญหาและสาเหตกุ ารรุนแรงในครอบครวั ๓. การสร้างสัมพันธภาพท่ีดีระหว่างพ่อแม่ลูก และคูส่ ามีภรรยา (การสือ่ สารเรื่องเพศในครอบครัว) 7. จุดประสงคก์ ารเรียนร้/ู ผลการเรียนร้ทู ี่คาดหวัง (ดูจากผงั การออกข้อสอบ) ๑. รู้และวเิ คราะห์ตนเอง และวางแผนการดำเนนิ ชีวิตได้อย่างเหมาะสม ๒. เรียนรวู้ ิธสี ร้างสมั พนั ธภ์ าพทีด่ ีระหว่างครอบครัวและวธิ ีการสื่อสารเรอื่ งเพศในครอบครัว ๓. เรยี นรพู้ ัฒนาการทางเพศในแตล่ ะชว่ งวยั ๔. เรยี นรวู้ ธิ ีปอ้ งกันโรคตดิ ต่อทางเพศสมั พันธ์ ๘. การบรู ณาการกับหลักแนวคดิ ของเศรษฐกิจพอเพียง (2 เงื่อนไข 3 หลกั การการเช่ือมโยงสู่ 4 มิติ) ความรู้ - ความรู้การดำเนนิ ชวี ิต การวางแผนชีวติ การปรับตวั ในการใช้ชีวติ - ความรใู้ นการป้องกันตัวเองในสังคม คุณธรรม - มีความรบั ผิดชอบ ความมีสติ ความสามคั คี อดทน และตรงต่อเวลา พอประมาณ - มกี ารใช้จา่ ยในครอบครัว แบบพอเพยี ง ไมฟ่ มุ่ เฟอื ย พอกนิ พอใช้ มีเหตุผล - ผูเ้ รียนรูจ้ กั เลือกใช้ วัสดุอุปกรณท์ ่มี ีอยู่ อย่างประหยัดและ คุ้มคา่ ในการดำเนินชีวิตประจำวัน

78 มภี มู คิ ุม้ กนั -รู้จักการวางแผน กระบวนการดำเนินชีวิตอย่างเป็นระบบ ให้ประสบความสำเร็จ และปลอดภยั - ปรับตัวในการดำเนินชีวติ พร้อมรับ การเปลยี่ นแปลงใน สงั คม วัตถุ - วิธีการข้ันตอนในการดูแลตนเองเร่ืองเพศศึกษา การใช้ชีวิตในสังคม ในภาวะเศรษฐกิจ ค่าเงิน ลอยตวั ของกิน ของใช้แพงมาก สังคม - รจู้ กั แบ่งหนา้ ที่ รับผดิ ชอบในครอบครัว -แลกเปล่ยี น เรยี นร้จู ากเพ่ือนบ้านในชมุ ชน สง่ิ แวดล้อม - คนในครอบครัวมชี ีวติ ความเป็นอยทู่ ่ีดี จะทำใหเ้ กดิ สภาพแวดล้อมชีวิตคนในครอบครัว ส่งผลทำใหค้ นในสงั คมดขี ึ้นด้วย วฒั นธรรม - บคุ คลในครอบครัวชุมชน มีชีวิตความเป็นอยูท่ ี่ดี เกดิ การแบ่งปันจากรนุ่ ส่รู ุน่ ต่อกนั ไป 9. กระบวนการจดั การเรียนรู้และกจิ กรรมการเรียนรู้ ขน้ั ที่ 1 กำหนดสภาพปัญหาการเรียนรู้ ๑. ครสู อบถามนักศกึ ษาเร่ืองเกยี่ วกบั การวางแผนชีวติ และครอบครัว ๒. ชแ้ี จงจดุ ประสงค์การเรยี นรู้ ขั้นท่ี 2 แสวงหาขอ้ มูลและจัดการเรยี นรู้ ๑. ครอู ธิบายเรือ่ งการวางแผนชีวติ ๒. นกั ศึกษาแบ่งกลุ่ม ๓ กลุม่ ให้นกั ศกึ ษา ค้นควา้ เร่ืองการวางแผนชวี ติ และสรปุ เนื้อหาท่ีได้ ออกมาในรปู แบบผงั มโนทัศน์ (Mapping) ๓. ตัวแทนนกั ศึกษาแต่ละกลุ่ม นำเสนอหน้าช้ันเรียน ในรปู แบบผังมโนทศั น์ (Mapping) ๔. เรียนรู้วิธปี อ้ งกนั โรคตดิ ตอ่ ทางเพศสมั พนั ธ์ ข้นั ที่ 3 การปฏบิ ตั แิ ละการนำไปใช้ ๑. ครสู รุปองคค์ วามรู้ในเน้อื หาเรื่องเกยี่ วกับร่างกายของเราและการวางแผนชวี ติ ๒. นักศึกษาซักถาม และแลกเปลี่ยนความรู้ 3. ครูและผูเ้ รยี นช่วยกันสรุปเน้อื หาสาระสำคัญของเรื่องและจดบนั ทึก ขนั้ ที่ 4 การประเมนิ ผลการเรียนรู้ 1. ประเมินผลจากการทำใบงาน 2. การสงั เกตการมีสว่ นรว่ ม 3. แบบทดสอบก่อนเรียน – หลงั เรยี น

79 10. สือ่ /แหลง่ เรียนรู้ - สื่อ Internet - ใบงานท่ี 1 เรอื่ ง สุขภาพทางเพศ - แบบทดสอบก่อนเรยี น – หลังเรียน เรอื่ ง สขุ ภาพทางเพศ - ห้องสมุด - ศกึ ษาใน Youtube ลงิ ค์ https://www.youtube.com/watch?v=R5GG08upIcs 11. การวัดและประเมินผล 1. วิธกี ารวัดและประเมินผล - แบบประเมินผลการสงั เกตพฤติกรรมการทำงานร่วมกบั ผู้อืน่ ของผู้เรยี นรายบุคคล - ใบงาน - แบบทดสอบก่อนเรยี น-หลังเรียน 2. เครอื่ งมือวัดและประเมินผล. - ประเมินผลการสงั เกตพฤตกิ รรมการทำงานร่วมกบั ผู้อืน่ ของผู้เรยี นรายบุคคล - ผลจากการตรวจใบงาน - คะแนนแบบทดสอบกอ่ นเรียนและหลงั เรียน 3. เกณฑก์ ารวัดและการประเมนิ ผล - แบบประเมินผลการสังเกตพฤติกรรมการทำงานร่วมกับผู้อนื่ ของผู้เรยี นรายบุคคล ระดับดี พอใช้ ควรปรบั ปรงุ - ใบงานคะแนนเต็ม 10 คะแนน - แบบทดสอบก่อนเรียน-หลังเรยี น เกณฑ์ผา่ นและไม่ผ่าน กิจกรรมเสนอแนะ ......................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ลงช่ือ…………………………………………….ครผู ูส้ อน (นายเอนก เหมือนทอง) ครู กศน.ตำบล ข้อเสนอแนะของผู้บรหิ าร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………........ ลงช่ือ………………………………………………………ผูอ้ นุมตั ิแผน (นางปัทมาภรณ์ ศรีเนตร) ผู้อำนวยการ กศน.อำเภอจตุรพกั ตรพิมาน

80 บนั ทกึ หลังการจดั การเรียนรู้ การจดั ทำหน่วยเรียนรู้บูรณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง ครัง้ ท่ี 7 วนั ท่ี 28 เดือน มิถุนายน พ.ศ.2565 ครผู ู้สอน นายเอนก เหมือนทอง ระดับ ประถมศึกษาเวลา 09.00-12.00 น. สาระทกั ษะการดำเนินชวี ติ รายวิชา สุขศึกษาพลศกึ ษา รหัสวิชา ทช11002 จำนวนผูเ้ รยี นท้ังหมด ............... คนเขา้ เรยี น…………………คน ไม่เขา้ เรยี น……………………….คน 1. ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................................................................................ 2. เน้ือหา/สาระ ................................................................................................................................................................ ....................................................................................................................................... ......................... ................................................................................................................................................................ 3. กจิ กรรมการเรยี นการสอน ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ ....................................................................................................................................... 4. ปญั หา/อปุ สรรค การเรียนการสอน ................................................................................................................................................................ .................................................................................... ............................................................................ ................................................................................................................................................................ 5. แนวทางการแกป้ ญั หา ................................................................................................................................................................ ........................................................................................... ..................................................................... ................................................................................................................................................................ ลงชอ่ื ....................................................... (นายเอนก เหมือนทอง) ครูผสู้ อน วันท่ี.............../.................../............... ความคิดเห็น/ขอ้ เสนอแนะของผบู้ ริหาร ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ลงช่ือ.................................................................. (นางปัทมาภรณ์ ศรีเนตร) ผู้อำนวยการ กศน.อำเภอจตุรพักตรพมิ าน วันที.่ ............../.................../...............

81 ใบความรู้ เรื่องเพศศึกษา เมื่อรา่ งกายเจริญเติบโตผา่ นเข้าสูแ่ ต่ละช่วงวัย ย่อมเกิดการเปลี่ยนแปลงทกุ ดา้ น ไมว่ ่าจะเป็น พฒั นาการทางกาย จิตใจ รวมถงึ ดา้ นสงั คม ช่วงวัยร่นุ เปน็ ช่วงสาํ คัญของการเปลี่ยนแปลงอยา่ งรวดเรว็ และยังมเี ร่ืองของฮอรโ์ มนเพศเขา้ มาเกยี่ วข้อง วัยรนุ่ จึงควรทาํ ความเขา้ ใจกับร่างกาย จิตใจของตนเอง รวมท้ังควรได้รับการสง่ เสรมิ การเรยี นรู้เรอ่ื งเพศ ซง่ึ เปน็ ส่วนหน่งึ ของชีวติ มนุษย์ตั้งแตเ่ กิดจนตายกว็ า่ ได้ ขณะเดยี วกนั สิ่งแวดลอ้ มรอบ ๆ ตัว กม็ ีข้อมลู เรื่องเพศท่สี ง่ ต่อกนั มา เมอื่ วัยรุ่นไดร้ ับรู้อาจเชื่อไปตามน้นั โดยมิได้ไตรต่ รองหรือไม่กลา้ สอบถามขอ้ เท็จจรงิ จากผูอ้ ่ืนเพราะความอาย ดังนน้ั การศกึ ษาเพ่อื ใหว้ ยั รุ่น \"รู้จกั ตนเอง” จึงสําคัญและจําเปน็ อย่างย่ิง เพื่อให้ได้กา้ วเดินไป ชว่ งวยั ตอ่ ไปอยา่ ง มัน่ คงและมน่ั ใจ ดังคาํ พูดของทา่ น กฤษณมรู ติ นักปราชญช์ าวอินเดยี ที่กลา่ วไวว้ ่า “ก่อนจะเดินทางไกล เธอต้อง เดินทางใกลก้ อ่ น ใกลท้ สี่ ดุ นัน้ คือตัวเธอ ก่อนจะทาํ สงิ่ ใด ๆ เธอต้องเขา้ ใจตัวเอง” 1.1 รู้จกั เพศศึกษา องคก์ ารอนามัยโลก (World Health Organization หรอื WHO) ได้นยิ ามคําวา่ เพศศึกษาไวด้ ังน้ี เพศศึกษา หรือ Sexuality Education หมายถึง เพศศาสตร์ศกึ ษา คือ การสอนความเปน็ เพศชาย ความเป็นเพศ หญิง พัฒนาการของรา่ งกาย และการแสดงออกในเร่อื งเพศตามวัยตามเพศเม่ือพัฒนาไปถึง จุดหน่งึ จะเกิดอะไร เปลยี่ นแปลงอย่างไร ควรประพฤติปฏบิ ตั ิอยา่ งไร ปอ้ งกันอยา่ งไร แก้ไขอย่างไร เม่ือถงึ วัยหมดฮอรโ์ มนสมรรถภาพ หยอ่ นยาน ควรปฏบิ ตั อิ ย่างไร เรียกไดว้ ่าเป็นการเรียนรู้เรอื่ งความเป็นเพศ ต้ังแตว่ ยั เดก็ จนถงึ วัยชรา กระทรวงพฒั นาสังคมและความมนั่ คงของมนุษยใ์ ห้ความหมายเพศศกึ ษาว่า “เป็นกระบวนการ เรยี นรู้ความเป็นเพศ ชาย ความเปน็ เพศหญิง พัฒนาการของรา่ งกาย และการแสดงออกในเร่ืองเพศของคน ทุกเพศทุกวัย ตลอดช่วงชีวิตได้ อย่างเหมาะสม สอดคลอ้ งกับวิถีชีวติ ภาษา วฒั นธรรม เพ่ือใหเ้ กิดความ เข้าใจและยอมรับนบั ถอื ตนเอง เคารพให้ เกียรตกิ นั โดยคํานงึ ถึงสิทธสิ ว่ นบคุ คล สามารถคดิ ตดั สินใจเลอื ก และดําเนินชวี ิตทางเพศของตนได้อยา่ งท่ตี นพึง ประสงค์ มีความภาคภูมใิ จ นับถือตนเอง ไดร้ บั การปฏิบตั ิ และปฏบิ ัติตอ่ ผู้อนื่ เกย่ี วกับเพศอย่างเคารพ ให้เกียรติ นบั ถอื เปน็ อิสระ ปลอดภัย มีความรบั ผิดชอบ ต่อตนเองและคนทกุ เพศ\" องค์การแพทย์ กลา่ วไวว้ ่า \"เพศศึกษาเปน็ กระบวนการจดั การเรยี นรู้เกยี่ วกับเพศทีค่ รอบ พัฒนาการทางร่างกาย จิตใจ การทํางานของสรรี ะ และการดูแลสุขอนามัย ทศั นคติ ค่านยิ ม สัมพนั ธภาพ พฤติกรรมทางเพศ มิตทิ างสงั คม และวัฒนธรรมทม่ี ีผลตอ่ วิถชี ีวิตทางเพศ เป็นกระบวนการพัฒนาทัง้ ดา้ น ความรู้ ความคิด ทศั นคติ อารมณ์ และทักษะ ที่จําเป็นสําหรับบุคคล ท่จี ะช่วยให้สามารถเลอื กดําเนนิ ชีวติ ทางเพศอยา่ งเปน็ สุขและปลอดภัย สามารถพัฒนาและ ดํารงความสัมพันธก์ ับผอู้ ่ืนได้อยา่ งมี ความรบั ผิดชอบและสมดลุ \" สรปุ เพศศึกษา หมายถงึ การเรียนรู้วิถีชวี ิตมนษุ ยต์ ัง้ แต่เกิดจนตาย หรือเรียกว่าการเรยี นรู้ ตลอดชีวติ ในเร่ืองเพศท่ีมี หลากหลายมติ ิเขา้ มาเกีย่ วข้องเพอื่ ให้มนุษย์ได้พฒั นาความรู้ ความคิด อารมณ์ ทัศนคติ รวมถึงทักษะท่ีสาํ คัญและ จาํ เป็นในการดํารงชีวิต เพื่อรักษาสัมพนั ธภาพในการอยรู่ ่วมกบั ผู้อนื่ อยา่ งเป็นสขุ เพศศึกษาไมใ่ ช่เฉพาะเปน็ เร่อื งของ การมีเพศสัมพันธอ์ ย่างทีห่ ลายคนคิดและเข้าใจ แตเ่ พศศึกษามเี น้ือหาครอบคลุมดังตอ่ ไปนี้ 1.1.1 พฒั นาการของมนุษย์ การเปลี่ยนแปลงทางสรรี ะเม่ือเข้าสู่วยั หนมุ่ สาว พัฒนาการทางเพศ การสืบพนั ธ์ุ ภาพลกั ษณ์ ต่อรา่ งกาย ตวั ตนทาง เพศ และรสนยิ มทางเพศ พฒั นาการของมนุษย์ หมายถึง กระบวนการเปล่ียนแปลงของมนุษย์ทุกสว่ น ทง้ั ในโครงสรา้ ง (Structure) และแบบ แผน (Pattern) ทตี่ ่อเน่ืองกนั ต้ังแต่แรกเกิดจนตลอดชวี ิต ซง่ึ เป็นกระบวนการ ทีเ่ ปล่ียนแปลงทัง้ ทางรา่ งกายและจิตใจ ผสมผสานกันเป็นชัน้ ๆ จากระยะหนึง่ ไปสอู่ ีกระยะหนงึ่ เพื่อจะไปสู่ วุฒภิ าวะทําใหเ้ กดิ ความเจริญงอกงามตามลําดบั

82 องคป์ ระกอบที่มผี ลต่อการพฒั นาการของมนษุ ย์ 1. พันธุกรรม หมายถึง ลักษณะทางกายและพฤติกรรมท่ีถ่ายทอดจากบรรพบรุ ุษสลู่ ูกหลาน จากพ่อแม่ถา่ ยทอดสู่ลูก โดยทางเซลลส์ ืบพนั ธุ์ทเี่ รยี กว่า “โครโมโซม” (Chromosome) พนั ธุกรรม ท่ีมีผลตอ่ มนุษย์ เชน่ เปน็ ตัวกําหนดรูปร่าง เพศ สผี ม ผวิ และระดบั สตปิ ัญญา เป็นต้น และพันธุกรรม ทีม่ ีอิทธพิ ลต่อพัฒนาการของมนุษย์ที่สาํ คัญ คอื “ยนี ” (Gene) ท่เี ป็นตัวกาํ หนดให้แต่ละบคุ คลมพี ฒั นาการ ทีแ่ ตกตา่ งกัน 2. วฒุ ภิ าวะ เป็นกระบวนการพฒั นาการที่เกดิ ขน้ึ ตามธรรมชาติของมนุษย์ โดยท่ีไมต่ ้อง อาศัยการฝึกประสบการณ์ เช่น การเปลง่ เสียง การยืน การเดิน และการวิง่ เป็นตน้ เป็นพัฒนาการตามปกติ เมือ่ ถึงวัยก็จะทําได้เอง 3. การเรยี นรู้ เปน็ กระบวนการพัฒนาการทเ่ี กดิ ขน้ึ จากพ้นื ฐานการฝึกหดั ประสบการณ์เปน็ สาํ คญั สิ่งท่สี นับสนนุ การ เรยี นรไู้ ดเ้ ปน็ อย่างดีคือความพรอ้ มที่เกิดขน้ึ เองตามธรรมชาติและความพร้อมท่ี เกดิ จากการกระตุ้น 4. สง่ิ แวดล้อม คอื ส่ิงทอ่ี ยู่รอบตวั บคุ คลนั้น ๆ ทั้งมชี ีวติ และไม่มีชวี ติ รวมถงึ ระบบครอบครวั สังคมและระบบ วฒั นธรรม 1.1.2 สมั พันธภาพ สัมพนั ธภาพในมิติของครอบครวั เพ่ือน การคบเพ่ือนต่างเพศ ความรัก การใช้ชีวิตคู่ การแต่งงาน การเป็นพ่อแม่ ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งคน 2 คน อาจเป็นคนระหว่างครอบครวั เดยี วกัน เช่น สามภี รรยา แม่กับ ลกู พก่ี ับน้อง เป็นตน้ คนสว่ นใหญม่ คี วามต้องการที่จะมีสัมพันธภาพที่ดีต่อกนั มีความรักความเข้าใจกนั ชว่ ยเหลือกันในเรื่องต่าง ๆ นน้ั มี ปัจจัยที่ส่งเสรมิ ให้เกดิ สมั พนั ธภาพท่ดี ตี ่อกนั คือ การชมเชยหรือชนื่ ชม ที่เหมาะสม การติเพ่อื กอ่ และการแก้ไขความ ขดั แย้งในเชงิ สรา้ งสรรค์ นอกจากน้ีมปี จั จยั หรือองคป์ ระกอบ อนื่ ๆ ทช่ี ่วยสร้างสัมพนั ธภาพ เชน่ ความใกลช้ ดิ การ ส่อื สาร เปน็ ต้น องค์ประกอบพนื้ ฐานของการสรา้ งสัมพนั ธภาพระหวา่ งบุคคลเกิดจากองค์ประกอบ 3 ประการ คอื 1. ความใกล้ชดิ การทีบ่ ุคคลใกลช้ ิดกนั ก่อให้เกดิ ความสัมพันธ์มากกว่าบุคคลทอ่ี ยู่ห่างไกลกนั 2. ความเหมือนกันหรือความคล้ายกัน โดยทฤษฎีแล้วมนุษยม์ แี นวโน้มทจี่ ะสรา้ ง ความสัมพันธแ์ ละมีความชอบพอกับ คนท่ีมคี วามเหมือนหรอื คลา้ ยกบั ตวั เอง 3. สถานการณ์ เปน็ ตวั แปรหน่งึ ทที่ ําให้มนุษยเ์ กดิ ความสัมพันธ์ทด่ี ีตอ่ กัน เชน่ การมโี อกาส ไดแ้ ลกเปล่ยี นความรูส้ ึกที่ ดรี ว่ มกนั การมโี อกาสปรบั ตวั เขา้ กบั บุคคลอน่ื และการเติมเตม็ ความต้องการของ กันและกนั เป็นต้น 1.1.3 พฤตกิ รรมทางเพศ พฤติกรรมทางเพศทีพ่ ฒั นาไปตามช่วงชวี ติ การเรยี นรอู้ ารมณท์ างเพศ การจดั การอารมณเ์ พศ การช่วยตนเอง จินตนาการทางเพศ การแสดงออกทางเพศ การละเว้นการมีเพศสัมพนั ธ์ การตอบสนองทางเพศ การเส่ือมสมรรถภาพ ทางเพศ พฤติกรรมทางเพศ หมายถงึ การกระทำหรือการปฏิบัติตนที่เกีย่ วข้องกบั เร่ืองเพศ หมาย รวมถงึ พฤติกรรมท่ี แสดงออกภาพนอกทีส่ ามารถมองเหน็ ไดด้ ว้ ยตาเปล่า ปัจจัยทมี่ ีอิทธพิ ลตอ่ พฤตกิ รรมทางเพศ เมือ่ พจิ ารณาปจั จัยท่มี ีอิทธพิ ลตอ่ พฤตกิ รรมทางเพศ สามารถแบ่งออกเปน็ 3 ด้าน คอื ด้านชีววิทยา ดา้ น จติ สงั คม และด้านวัฒนธรรม 1. ปัจจยั ด้านชวี วทิ ยา เป็นปัจจัยทม่ี ีผลต่อพฤติกรรมของบุคคลตามพัฒนาการของมนษุ ย์ ซ่ึงพฤติกรรมวัยร่นุ จะมกี าร เปลี่ยนแปลงสมั พนั ธ์กันระหว่างการเจรญิ เตบิ โต ร่างกาย และจิตใจ 2. ปัจจยั ดา้ นจิตสงั คม โดยธรรมชาติแลว้ พฤติกรรมมนุษย์นอกจากจะเกดิ จากแรงขับ ทางเพศตามธรรมชาติแลว้ ยัง ขน้ึ อยู่กับสิ่งอ่นื ๆ ทางสงั คมด้วย ในปัจจบุ นั สภาพแวดล้อมจะมีอิทธิพล เหนอื จติ ใจและอารมณ์ของเด็กวยั ร่นุ เน่ืองจากเปน็ วยั แหง่ การเรยี นรูแ้ ละการสงั เกตพฤตกิ รรมบุคคลใน สังคมและเป็นวัยทมี่ ีความรสู้ ึกไวต่อสิง่ กระตุ้น

83 3. ปจั จยั ดา้ นวฒั นธรรม วฒั นธรรมทางเพศ หมายถงึ ระบบของการให้ความหมาย ความรู้ และความเชื่อต่าง ๆ รวมทัง้ การปฏิบตั ทิ ่ีมีผลต่อโครงสร้างของระบบความคิด ความเชือ่ และพฤติกรรมทาง เพศของบุคคล ในบริบทของ สงั คมท่แี ตกตา่ งกันผ่านบทบาททางสังคม บรรทัดฐาน และทศั นคติจากสถาบนั ต่าง ๆ ในสังคม 1.1.4 สุขภาพทางเพศ เพอ่ื หลีกเล่ียงผลกระทบทไ่ี ม่พึงประสงคจ์ ากความสัมพนั ธท์ างเพศ การให้ความรเู้ กี่ยวกับ การมเี พศสมั พนั ธท์ ่ี ปลอดภัย วธิ กี ารคุมกาํ เนิด การทําแท้ง การป้องกนั โรคตดิ ตอ่ ทางเพศสัมพันธแ์ ละเอดส์ การล่วงละเมิดทางเพศ ความ รนุ แรงทางเพศ และอนามัยเจรญิ พนั ธ์ุ วัยรุ่นเป็นวัยทีต่ อ้ งการเรียนรเู้ รื่องเพศศึกษามากกวา่ วยั อื่น เน่อื งจากวยั รุ่นเปน็ วยั ของ การเปลยี่ นแปลงทงั้ ทางดา้ น ร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสงั คม เปน็ อย่างมาก เปน็ วยั หวั เล้ียวหัวตอ่ แตก่ ลับ ไม่คอ่ ยได้รบั ขอ้ มลู และบรกิ ารเก่ยี วกบั สขุ ภาพทางเพศท่ถี ูกต้องและเหมาะสม เพราะสงั คมไทยยังมองเรื่อง เพศศึกษาเป็นเร่ืองไกลตัว ยงั ไม่จาํ เป็นทจี่ ะต้อง ใหค้ วามรู้ หรอื มองเห็นว่าเป็นเรอื่ งที่ไม่เหมาะสม จงึ ทําให้เกิดปัญหาทางเพศกับวยั รุ่นมากมายอย่างท่เี ห็นในปจั จุบัน ดังนัน้ การใหค้ วามรูเ้ รื่องเพศศกึ ษาท่ถี ูกต้องกบั วยั รนุ่ จงึ เป็นเรื่องทีส่ าํ คัญมาก 1.1.5 สังคมและวฒั นธรรม วธิ ีการเรยี นรแู้ ละแสดงออกในเร่ืองเพศของบุคคลได้รบั อิทธพิ ลจากส่งิ แวดลอ้ ม บรรยากาศ ทางสงั คม และสังคม เพศศึกษาจึงควรเปิดโลกทัศน์ใหเ้ ข้าใจบทบาททางเพศ เรื่องเพศในบรบิ ทของสังคม วัฒนธรรม กฎหมาย ศลิ ปะ และ สอ่ื ต่าง ๆ . 1. ดา้ นสงั คม มปี ัจจยั ท่เี กี่ยวข้องคือ สถานท่ีพักอาศยั แหล่งบนั เทิง สิ่งพิมพ์ สือ่ กระตนุ้ ทาง เพศและส่ือมวลชน 2. ดา้ นวฒั นธรรม ทมี่ อี ิทธิพลตอ่ พฤติกรรมทางเพศท่ีสาํ คัญ คอื ความเช่ือเกี่ยวกับบทบาท ทางเพศและการปฏบิ ัติตน ตอ่ เพศตรงข้าม และคา่ นิยมทางเพศ 1.1.6 ทักษะที่จำเป็นในการดำเนินชวี ติ เพราะความร้แู ละขอ้ มูลทไ่ี ด้รับเก่ยี วกบั เพศนั้นไมเ่ พียงพอที่จะช่วยให้เยาวชนสามารถรับมือ กับเหตุการณ์และแรง กดดันต่าง ๆ ที่ประสบในชีวิตจริง เพศศึกษา ควรนาํ ไปส่กู ารพฒั นาใหเ้ ยาวชน เกิดทักษะทีจ่ าํ เป็นในการดําเนินชวี ติ ได้แก่ 1. การให้คณุ คา่ กับสง่ิ ตา่ ง ๆ ซ่งึ ระบบการใหค้ ุณค่านเี้ ป็นตัวชน้ี าํ พฤติกรรม เปา้ หมาย และ การดําเนนิ ชีวิตของเรา 2. การสือ่ สาร การรับฟงั การแลกเปลี่ยนความรูส้ กึ นึกคดิ ทส่ี อดคล้องหรือแตกต่างกัน 3. การตดั สินใจ การตอ่ รอง การทาํ ความตกลงเพือ่ บรรลุความตั้งใจหรือทางเลือกที่ตน สามารถรับผิดชอบได้ 4. การรกั ษาและยนื ยันในความเปน็ ตวั ของตวั เอง สามารถแสดงความรูส้ กึ ความต้องการของ ตนเอง โดยเคารพใน สทิ ธขิ องผอู้ ่ืน 5. การจดั การกบั แรงกดดันจากเพ่ือน ส่งิ แวดล้อม และอคตทิ างเพศ 6. การแสวงหาคาํ แนะนาํ ความช่วยเหลอื การจาํ แนกแยกแยะข้อมูลทีถ่ ูกตอ้ งและไม่ถูกตอ้ ง

84 ใบงานท่ี 1 รจู้ ักตนเอง ตอนท่ี 1 จงตอบคำถามต่อไปน้ี 1. ตามนิยามขององคก์ ารอนามัยโลก (WHO) เพศศึกษาหมายถึงอะไร ............................................................................................................................. ................................................... ............................................................................................................................. ................................................... ............................................................................................................................................................................... 2. เรือ่ งเพศศกึ ษามเี นื้อหาครอบคลุมเกย่ี วกบั เร่ืองใดบ้าง ............................................................................................................................................................................... . .................................................................................................................................................... ............................ ................................................................................................................................................................................ 3. จงอธิบายการเปลีย่ นแปลงและการเจริญเติบโตของวยั รุ่นทั้งทางร่างกาย จิตใจและอารมณ์ สงั คม และ สตปิ ัญญา ........................................................................................................................................................... ..................... ............................................................................................................................. ................................................... ................................................................................................................................................................................ 4. จงอธบิ ายการดูแลรักษาความสะอาดระบบอวยั วะสบื พันธุ์ของเพศชาย ............................................................................................................................. ................................................... ....................................................................................................................................................................... ......... ................................................................................................. ............................................................................... 5. จงอธบิ ายกาํ รดูแลรกั ษาความสะอาดระบบอวยั วะสบื พันธ์ขุ องเพศหญิง ............................................................................................................................. .................................................. .............................................................................................................................................. ................................. ...............................................................................................................................................................................

85 ใบงานที่ 2 ตอบคำถามพฒั นาการคดิ เก่ยี วกบั อิทธิพลท่ีมีผลตอ่ พฤติกรรมทางเพศแลว้ นำเสนอครผู ้สู อน 1. อิทธิพลของครอบครวั มีผลต่อพฤตกิ รรมทางเพศและการดำเนนิ ชีวิตอยา่ งไร วเิ คราะหอ์ ิทธพิ ลของครอบครัว เพอ่ื น สงั คม และวฒั นธรรมทม่ี ีผลตอ่ พฤติกรรมทางเพศและการดำเนินชวี ติ ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... .............................................................................................................................................................................. 2. อทิ ธพิ ลของเพ่ือนมีผลต่อพฤติกรรมทางเพศและการดำเนินชีวิตของนกั เรียนอยา่ งไร วิเคราะห์อิทธิพลของครอบครัว เพื่อน สังคม และวัฒนธรรมท่ีมีผลต่อพฤติกรรมทางเพศและการดำเนนิ ชีวติ ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... .............................................................................................................................................................................. 3. วัฒนธรรมมีผลตอ่ พฤติกรรมทางเพศอยา่ งไร วิเคราะหอ์ ิทธพิ ลของครอบครัว เพื่อน สังคม และวัฒนธรรมทีม่ ผี ลต่อพฤติกรรมทางเพศและการดำเนินชวี ติ ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... .............................................................................................................................................................................. 4. อิทธิพลของสังคมมผี ลต่อพฤตกิ รรมทางเพศอย่างไร วเิ คราะหอ์ ิทธิพลของครอบครัว เพือ่ น สงั คม และวัฒนธรรมที่มีผลต่อพฤติกรรมทางเพสและการดำเนินชวี ติ ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... .............................................................................................................................................................................. 5. นกั เรียนมแี นวคดิ หรอื วิถีทางในการสรา้ งชวี ติ ใหม้ ีความสุขอย่างไร วิเคราะหอ์ ิทธิพลของครอบครัว เพื่อน สังคม และวัฒนธรรมทม่ี ผี ลตอ่ พฤติกรรมทางเพศและการดำเนินชวี ิต ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... ..............................................................................................................................................................................

86 แบบทดสอบกอ่ นเรียน เรือ่ งเพศ คำช้ีแจง เลอื กคำตอบท่ถี ูกต้องที่สดุ เพียงคำตอบเดยี ว จำนวน ๑๐ ขอ้ ๑. ข้อใดเป็นทัศนคตทิ างเพศทผ่ี ิดตอ่ วัฒนธรรมไทย ก. การไมส่ วมถุงยางอนามัย ข. การมีคนู่ อนหลายคน ค. การมีเพศสัมพันธก์ บั ทุกคนไม่เลือกหน้า ง. ถูกทกุ ขอ้ ๒. ขอ้ ใดเป็นทัศนคตเิ รื่องเพศเชิงลบท่ไี ม่ถูกต้อง ก. การคุมกำเนิดกับคู่นอน ข. การกั นวลสงวนตวั ค. การมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัยรู้จกั ป้องกนั ง. การแสดงออกทางเพศสมั พันธอ์ ย่างเสรี ๓. ขอ้ ใดหมายถึงเจตคติในเร่ืองเพศเชิงบวก ก. แกม้ มเี พศสมั พนั ธก์ บั เพอ่ื นชาย ข. หมึก ศกึ ษาเกย่ี วกับเรอ่ื งทางเพศ ค. ปุก คิดว่าเร่ืองทางเพศเปน็ เรอื่ งทีน่ ่ารังเกียจ ง. ถูกทกุ ข้อ ๔. ทัศนคติทางเพศในเชงิ ลบหมายถงึ ข้อใด ก. ความรู้สึกเสื่อมเสยี เกลยี ดชัง ข. การตอ่ ต้านกกระเบียบของสงั คม ค. ความคิดในแง่ลบในเร่ืองใดเรือ่ งหนึง่ ง. ถกู ทกุ ข้อ ๕. นอ้ ยยอมมเี พศสมั พนั ธ์กับบคุ คลท่แี ก่กวา่ เพื่อต้องการโทรศพั ท์มือถอื เครอ่ื งใหม่ นักเรียนคดิ ว่า พฤติกรรมของน้อย ถูกต้องหรอื ไม่ เพราะเหตุใด ก. ไม่ถูกตอ้ ง เพราะนอ้ ยมเี พศสมั พนั ธ์กับคนที่ แกก่ วา่ ข. ไม่ถูกต้อง เพราะน้อยมเี พศสัมพนั ธ์กับคนท่ี ไมไ่ ดร้ ัก ค. ไมถ่ ูกต้อง เพราะนอ้ ยควรได้รบั เงนิ เป็น ค่าตอบแทน มากกวา่ ง. ไม่ถูกต้อง เพราะน้อยมีคา่ นยิ มทผี่ ิดและอยากได้ ของตอบแทน ๖. หากจำเปน็ ต้องทำแผลและสัมผสั เลอื ดของผู้อ่นื ควรปอ้ งกนั ตนเองอยา่ งไร ก. ล้างมือก่อนและหลงั ทำแผล ข. สวมเส้อื ผ้าให้มดิ ชดิ และสะอาด ค. สวมถุงมือยางทกุ ครัง้ ก่อนทำแผล ง. ใช้แอลกอฮอลเ์ ช็ดมอื และเครอ่ื งมือก่อน

87 ๗. พฤติกรรมใดไม่ทำให้ติดโรคเอดส์ ก. กอดกบั ผู้ตดิ เช้ือเอดส์ ข. มีเพศสัมพนั ธก์ บั ผู้ปว่ ยโดยไมป่ ้องกนั ค. รับประทานข้าวกบั ผู้ติดเชอ้ื เอดส์เป็นประจำ ง. ถูกทงั้ ข้อ ก และ ค ๘. กลมุ่ เพื่อนแบบใดท่ีมีการแสดงออกทางเพศอยา่ ง เหมาะสม ก. ไก่และตุ๊ก พาเพ่ือนไปน่งั ดื่มสุรา ข. นกและแอน พาเพ่ือนไปมั่วสุมเสพสารเสพติด ค. แตนและแจม่ จบั กลมุ่ หยอกล้อเพ่อื นผูห้ ญิง ง. กอ้ ยและก้งุ ชวนเพอื่ นเล่นฟตุ บอลหลัง เลิกเรียน ๙. คา่ นิยมใดของไทยทช่ี ว่ ยลดปญั หาเพศสัมพันธ์ ในวยั เรียน ก. การเอื้อเฟ้ือเผ่ือแผ่ ข. การกตญั ญูกตเวที ค. อย่าชงิ สุกก่อนห่าม ง. เหน็ อกเห็นใจกัน ๑๐. โรคซฟิ ิลิสเปน็ โรคทีเ่ กิดมาจากเชอื้ ชนดิ ใด ก. เช้อื รา ข. เชอื้ ปรสิต ค. เช้อื แบคทเี รยี ง. เชือ้ ปรสติ เฉลย 1.ง. 2. ง. 3.ข. 4.ง. 5.ค. 6.ค. 7.ง. 8.ค. 9.ค. 10.ค.

88 แผนการจดั การเรยี นรู้ รายวิชาภาษาไทย คร้งั ที่ 8 การจดั ทำหนว่ ยเรียนรบู้ ูรณาการหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2565 ระดบั ประถมศึกษา กศน.ตำบลดนู่ ้อย ๑. สัปดาหท์ ี่ 8 วนั ที่ 5 เดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2565 เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐น. ๒. วชิ า ภาษาไทย รหัสวชิ า พท1๑๐๐๑ จำนวน 3 หนว่ ยกิต ๓. มาตรฐานท่ี ๒.1 มคี วามรู้ ความเข้าใจ และทกั ษะพ้ืนฐานเกยี่ วกบั ภาษาและการส่ือสาร ๔. หนว่ ยการเรยี นร้/ู เรอื่ งการอา่ น ๕. สาระสำคัญ 5.1 เห็นความสำคญั ของการอา่ นทั้งการอ่านออกเสยี งและอา่ นในใจ 5.1 สามารถอา่ นได้อย่างถูกต้อง และอ่านได้เร็ว เข้าใจความหมายของถ้อยคำ ข้อความ เนือ้ เร่อื งที่อ่าน 5.2มีมารยาทในการอา่ น และนิสัยรักการอ่าน ๖. เนื้อหา ๑. ความสำคัญ หลกั การ และ จดุ มงุ่ หมายของการอ่าน ออกเสียงและการอ่านในใจ 2. การอ่านร้อยแกว 3. การอ่านร้อยกรอง 4. การเลือกอ่านหนังสอื และประโยชนของการอา่ น 5. การสร้างนสิ ัยรกั การอ่าน และมารยาทในการอ่านที่ดี 7. จดุ ประสงค์การเรยี นร้/ู ผลการเรียนรูท้ ่ีคาดหวัง ๑. เขา้ ใจความสำคญั หลกั การและจุดมุ่งหมายของการอา่ นทัง้ อ่านออกเสียงและอา่ นในใจ ๒. อ่านออกเสยี งคำ ข้อความ บทความ บทสนทนา เรื่องสั้น บทร้อยกรองและบทร้องเล่น บทกลอมเดก็ ๓. อธบิ ายความหมายของคำและข้อความที่อา่ น ๔. ปฏบิ ตั ติ นเปน็ ผมู้ มี ารยาทในการอ่านและมนี สิ ัยรักการอ่าน 8. การบรู ณาการกับหลักแนวคดิ ของเศรษฐกิจพอเพียง (2 เง่ือนไข 3 หลกั การ การเชอ่ื มโยงสู่ 4 มติ ิ) ความรู้ -การสืบคน้ และระบบการจดั หนังสือในกิจกรรมกศน.ตำบล -ระเบยี บการใช้กศน.ตำบล การยืมหนังสือ คุณธรรม - ความรับผิดชอบตอ่ หนงั สือท่อี า่ นหรือยืมกลับมาอา่ น - การตรงตอ่ เวลาในการเข้ากิจกรรม รวมท้งั การคืนหนังสือทยี่ ืมมาด้วย - ความเกรงใจผ้อู ืน่ ที่ใช้หนงั สือหรือสถานท่ีร่วมกับเรา - การแบง่ ปันใหผ้ ้อู น่ื ได้มีโอกาสใชบ้ ริการของกศน.ตำบล เพื่อการศึกษาค้นควา้ หรือการบันเทิงอยา่ ง เท่าเทยี มกัน

89 พอประมาณ - พอกับเวลาวา่ งที่มีอยู่ - พอประมาณกบั ช่วงเวลา ว่าเวลาใดควรเข้า ไม่ควรอา่ นหนังสือ - พอประมาณกบั สถานท่ีที่จะรองรบั ผู้ใช้บริการได้ มีเหตุผล - เป็นการใชเ้ วลาว่างให้เป็นประโยชน์ - เป็นการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง - สร้างนสิ ยั รกั การอ่าน เปน็ บุคคลแหง่ การเรยี นรู้ มีภมู คิ มุ้ กัน -ต้องตระหนักและเหน็ ประโยชนข์ องการอา่ นหนงั สือท้ังในและนอกหอ้ งสมดุ -ตอ้ งฝกึ นสิ ัยใฝร่ ูแ้ ละเกดิ ความสขุ ความสขุ ในการอา่ น วัตถุ - การใช้บริการหนงั สือและส่ือตา่ งๆ จากกศน.ตำบล โดยไม่ต้องซอ้ื หามาเองทำให้ประหยดั ค่าใช้จ่าย และเกิดประโยชน์กับการเรยี นรูอ้ ยา่ งมาก สงั คม - การเขา้ ใช้บริการกศน.ตำบลบอ่ ยๆ ทำให้ได้รู้จักการปรบั ตัวในการเข้าสงั คมรว่ มกบั ผู้อน่ื ท่จี ะไมท่ ำ ใหต้ นเองเดือดร้อน ไม่ทำใหส้ ังคมเดือดร้อน มคี วามรู้จากการอ่านหนังสอื ในกศน.ตำบล เร่ืองการเมือง การปกครองท่ี ทันยคุ ทนั เหตกุ ารณ์สามารถใหค้ ำปรึกษากบั ชมุ ชนในเรื่องราวตา่ งๆโดยอยู่บนพ้ืนฐานของหลกั วชิ าการทถ่ี ูกต้อง สงิ่ แวดล้อม - กศน.ตำบลมบี รรยายกาศ สภาพแวดล้อม นา่ อา่ นหนงั สือ วัฒนธรรม - วฒั นธรรมการแบ่งปัน การเคารพสถานที่ กฎ กติกาของสังคม 9. กระบวนการจัดการเรยี นรู้และกิจกรรมการเรียนรู้ ขัน้ ที่ ๑ กำหนดสภาพปัญหาการเรยี นรู้ (O : Orientation) ๑. ใหผ้ ู้เรยี นอ่าน บทรอ้ ยกรอง และร่วมกันสรุปใจความสำคัญ ของบทร้อยกรอง 2. ผเู้ รยี นและครรู ่วมกันสรา้ งความเขา้ ใจเกย่ี วกับหลักการเขยี นประเภทต่าง ๆ และรว่ มกันกำหนด วิธกี ารเรียน ขน้ั ท่ี 2 แสวงหาข้อมูลและจัดการเรยี นรู้ (N : New ways of learning) 1. อธบิ ายการอา่ นบทร้อยกรอง มีประโยชนอ์ ยา่ งไร และมีวิธกี ารอย่างไร 2. อธิบาย เร่อื ง หลกั ความสำคญั และจดุ ม่งุ หมายของการอ่าน 3. นักศกึ ษาทำแบบทดสอบย่อยเพ่ือประเมนิ ผ้เู รียนว่ามคี วามเข้าใจหรือไม่ 4. อธบิ ายถงึ หลกั การเขียนสือ่ สาร การเขียนเรียงความและยอ่ ความ การเขยี นเพื่อการส่ือสาร การ เขยี นรายงาน การเขียนกรอกแบบรายการ มารยาทในการเขยี น และการสร้างนสิ ัยรกั การอ่าน ขัน้ ท่ี ๓ การปฏิบัตแิ ละการนำไปใช้ (I : Implementation) 1. ผ้เู รยี นและผู้สอนรว่ มกนั สรปุ ในตอนท้ายเพื่อเปน็ การทบทวนและสรปุ ความรู้ 2. นกั ศึกษาและครชู ่วยการสรุปความรูท้ ีไ่ ดร้ ับจากการเรยี นรู้ในบทเรยี นน้ี สามารถนำไป ประยุกต์ใช้ในชวี ติ ประจำวันได้อย่างไร

90 ข้นั ที่ ๔ การประเมินผลการเรยี นรู้ (E : Evaluation) ๑. ใบงาน ๒. คน้ คว้าเพิม่ เตมิ 3. เรื่อง วรรณคดแี ละวรรณกรรม 4. เรอ่ื ง ภาษาไทยกบั ช่องทางการประกอบอาชีพ 10. สื่อ/แหล่งเรยี นรู้ 1. หนงั สือแบบเรียน 2. แบบทดสอบก่อนเรียน/หลังเรียน 3. ใบงาน 4. อินเทอร์เนต็ 11. การวัดและประเมินผล 1. วธิ ีการวัดและประเมินผล - แบบประเมนิ ผลการสังเกตพฤติกรรมการทำงานร่วมกับผู้อื่นของนักศึกษารายบุคคล - ใบงาน - แบบทดสอบก่อนเรยี น-หลังเรียน 2. เครื่องมือวัดและประเมนิ ผล. - ประเมนิ ผลการสงั เกตพฤตกิ รรมการทำงานร่วมกบั ผอู้ น่ื ของนกั ศึกษารายบคุ คล - ผลจากการตรวจใบงาน - คะแนนแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน 3. เกณฑ์การวดั และการประเมนิ ผล - แบบประเมนิ ผลการสงั เกตพฤติกรรมการทำงานรว่ มกบั ผู้อ่ืนของนกั ศึกษารายบคุ คล ระดับดี พอใช้ และควรปรับปรงุ - ใบงานคะแนนเต็ม 10 คะแนน แบบทดสอบก่อนเรียน-หลังเรียน เกณฑผ์ ่านและไมผ่ ่าน กิจกรรมเสนอแนะ ......................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ลงช่ือ…………………………………………….ครูผสู้ อน (นายเอนก เหมอื นทอง) ครู กศน.ตำบล ขอ้ เสนอแนะของผู้บรหิ าร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………............................. ลงช่ือ………………………………………………………ผอู้ นมุ ัติแผน (นางปัทมาภรณ์ ศรีเนตร) ผอู้ ำนวยการ กศน.อำเภอจตรุ พกั ตรพิมาน

91 บันทึกหลังการจัดการเรยี นรู้ การจัดทำหนว่ ยเรียนรบู้ ูรณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง กศน.ตำบลดนู่ ้อย คร้ังท่ี 8 วนั ที่ 5 เดอื น กรกฎาคม พ.ศ. 2565 ครผู ูส้ อน นายเอนก เหมือนทอง ระดบั ประถมศึกษา เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐ น. สาระความรู้พื้นฐาน รายวชิ าภาษาไทย รหัสวิชา พท1๑๐๐๑ จำนวนผูเ้ รยี นท้งั หมด ............... คนเขา้ เรยี น…………………คน ไม่เข้าเรยี น……………………….คน ๑. ผลการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้การประเมนิ โดยใช้ แบบทดสอบก่อนเรียน - หลงั เรยี น พบวา่ คะแนนการทดสอบหลังเรียน มากกว่ากอ่ นเรยี นจำนวน ........ คนคิดเป็นร้อยละ............ คะแนนการทดสอบหลงั เรียน น้อยกว่าก่อนเรยี นจำนวน ......... คนคดิ เป็นรอ้ ยละ............ ๒. เน้ือหา/สาระ .......................................................................................................................... ...................................... .................................................................................... ............................................................................ ................................................................................................................................................................ ๓. กจิ กรรมการเรียนการสอน .............................................................................................................................. .................................. ............................................................................................................................................................................ ....................................................................................................................................... ๔. ปญั หา/อปุ สรรค การเรยี นการสอน ..................................................................................................................................... ........................... ................................................................................................................................................................ ....................................................................... ....................................................................................... .. ๕. แนวทางการแก้ปัญหา ........................................................................................................................................ ........................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ลงชอื่ ....................................................... (นายเอนก เหมือนทอง) ครูผูส้ อน วนั ที่.............../.................../............... ความคิดเหน็ /ข้อเสนอแนะของผบู้ ริหาร ...................................................................................... .......................................................................................... ......... ..................................................................................................................................................... .................................... ....................................................................................................................................................... ลงช่อื .................................................................. (นางปัทมาภรณ์ ศรเี นตร) ผู้อำนวยการ กศน.อำเภอจตุรพกั ตรพมิ าน

92 แผนการจัดการเรยี นรู้ รายวชิ าภาษาไทย คร้ังท่ี 9 การจดั ทำหนว่ ยเรยี นรูบ้ รู ณาการหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2565 ระดบั ประถมศึกษา กศน.ตำบลด่นู อ้ ย ๑. สปั ดาห์ท่ี 9 วันที่ 12 เดอื น กรกฎาคม พ.ศ. 2565 เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐น. ๒. วชิ า ภาษาไทย รหัสวชิ า พท1๑๐๐๑ จำนวน 3 หน่วยกิต ๓. มาตรฐานท่ี ๒.1 มคี วามรู้ ความเข้าใจ และทกั ษะพืน้ ฐานเก่ียวกับภาษาและการสื่อสาร ๔. หน่วยการเรยี นร/ู้ เรอ่ื ง วรรณคดี วรรณกรรม ๕. สาระสำคญั มนษุ ย์ใชภ้ าษาสร้างมนุษยส์ ัมพันธ์ พัฒนาความคดิ แสวงหาความร้หู ากเขา้ ใจหลกั การใช้ภาษา และนำไปใช้ในการส่ือสาร ได้อย่างถูกต้องทง้ั การพูดการเขียนและก่อใหเ้ กิดประโยชน์ ท้ังส่วนตนและ สว่ นรวม ๖. เนอื้ หา 1. เร่อื งราว นทิ าน นทิ านพน้ื บ้านและ วรรณกรรมท้องถ่ิน 2. เร่ืองราววรรณคดที ี่มี ความหลากหลาย - กลอนบทละคร (สังขท์ อง) - กลอนนทิ าน (พระอภัยมณ)ี - กลอนเสภา (ขนุ ช้าง ขุนแผน) 7. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้/ผลการเรยี นรทู้ คี่ าดหวัง อธิบายถึงประโยชน และคุณคา่ ของนทิ าน นิทานพืน้ บ้าน วรรณกรรม และวรรณกรรมในท้องถน่ิ 8. การบรู ณาการกับหลักแนวคิดของเศรษฐกิจพอเพียง (2 เงอ่ื นไข 3 หลักการ การเชือ่ มโยงสู่ 4 มติ ิ) ความรู้ - การสืบค้นนิทานพ้ืนบ้าน ในกิจกรรมกศน.ตำบล - เรื่องเลา่ นิทานพ้ืนบ้านจากชนรุ่นหลัง - ความร้หู ากเขา้ ใจหลักการใช้ภาษาในการส่ือสาร คณุ ธรรม - การตรงตอ่ เวลาในการเข้ากิจกรรม -ศึกษาคน้ คว้าวรรณกรรมทอ้ งถน่ิ หรอื การบนั เทิงอยา่ งเท่าเทยี มกัน พอประมาณ - พอกับเวลาว่างท่ีมีอยู่ - พอประมาณกับชว่ งเวลาการอ่านนทิ านพืน้ บ้าน มีเหตผุ ล - เป็นการใชเ้ วลาว่างให้เป็นประโยชน์ - เป็นการแสวงหาความร้ดู ว้ ยตนเอง มภี มู ิคุ้มกัน -ตอ้ งตระหนักและเหน็ ประโยชน์ของวรรณคดี

93 -ตอ้ งฝกึ นสิ ัยใฝ่รู้และเกดิ ความสุขความสุขในการอา่ น วตั ถุ - ประหยดั ค่าใช้จ่ายและเกดิ ประโยชน์กบั การเรยี นรอู้ ยา่ งมาก สังคม - การเข้าใชบ้ ริการกศน.ตำบลบ่อยๆ ทำให้ไดร้ ู้จักการปรบั ตัวในการเขา้ สังคมร่วมกบั ผู้อ่นื ท่จี ะไม่ทำ ใหต้ นเองเดือดร้อน ไม่ทำใหส้ ังคมเดือดร้อน มีความรูจ้ ากการอ่านหนงั สอื ในกศน.ตำบล เรอ่ื งวรรณคดี วรรณกรรม สง่ิ แวดล้อม - บรรยายกาศ สภาพแวดล้อม น่าอา่ นหนงั สอื วัฒนธรรม - วัฒนธรรมการแบ่งปนั การเคารพสถานที่ กฎ กติกาของสังคม 9. กระบวนการจดั การเรยี นรู้และกจิ กรรมการเรยี นรู้ ขนั้ ที่ ๑ กำหนดสภาพปัญหาการเรียนรู้ (O : Orientation) ผ้เู รยี นและครูร่วมกันพูดคยุ เร่ืองการใช้ภาษาถ่นิ ของชุมชน และให้ผู้เรยี นได้แสดงความคิดเห็นถึง ประเด็นการใชภ้ าษาถ่นิ พ้นื บ้าน พรอ้ มยกตวั อย่าง ขน้ั ที่ 2 แสวงหาขอ้ มูลและจัดการเรียนรู้ (N : New ways of learning) 1. ครอู ธิบายถึงลกั ษณะนิทาน นิทานพ้นื บา้ นและ วรรณกรรมท้องถ่ิน และวรรณคดีทมี่ ี ความ หลากหลาย 2. ครูอธิบาย รูปแบบชองกลอนบทละคร 3. ครูอธิบาย รปู แบบชองกลอนนทิ าน 4. ครอู ธิบาย รปู แบบกลอนเสภา ขน้ั ท่ี ๓ การปฏบิ ตั ิและการนำไปใช้ (I : Implementation) ๑. นักศึกษาทำแบบทดสอบก่อน - หลังเรียน ๒. ครูสรุปองคค์ วามรใู้ นเนื้อหา ๓. นกั ศึกษาซักถาม และแลกเปล่ียนความรู้ ขนั้ ที่ ๔ การประเมินผลการเรยี นรู้ (E : Evaluation) งานมอบหมาย ให้นักศึกษาค้นคว้าเพ่ิมเตมิ เร่ืองการแยกสาร จากแหลง่ เรยี นรู้ หอ้ งสมุด, กศน.ตำบล,อินเตอร์เน็ต 10. สอ่ื /แหลง่ เรียนรู้ 1. หนงั สอื เรียนสาระความร้พู ้ืนฐาน รายวิชาภาษาไทย ระดับประถมศกึ ษา รหสั พท11001 2. ใบความรู้ 3. อนิ เทอรเ์ น็ต 11. การวดั และประเมนิ ผล 1. วธิ ีการวัดและประเมินผล - แบบประเมินผลการสงั เกตพฤติกรรมการทำงานร่วมกับผู้อนื่ ของนักศึกษารายบุคคล - ใบงาน

94 - แบบทดสอบก่อนเรยี น-หลงั เรียน 2. เครอ่ื งมือวัดและประเมินผล. - ประเมนิ ผลการสงั เกตพฤติกรรมการทำงานร่วมกบั ผ้อู น่ื ของนกั ศึกษารายบคุ คล - ผลจากการตรวจใบงาน - คะแนนแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน 3. เกณฑก์ ารวดั และการประเมนิ ผล - แบบประเมินผลการสังเกตพฤติกรรมการทำงานรว่ มกบั ผู้อื่นของนักศึกษารายบุคคล ระดบั ดี พอใช้ และควรปรับปรงุ - ใบงานคะแนนเต็ม 10 คะแนน - แบบทดสอบก่อนเรยี น-หลงั เรียน เกณฑผ์ ่านและไมผ่ ่าน กิจกรรมเสนอแนะ ......................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ลงชื่อ…………………………………………….ครผู สู้ อน (นายเอนก เหมือนทอง) ครู กศน.ตำบล ข้อเสนอแนะของผู้บริหาร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………............................. ลงชื่อ………………………………………………………ผอู้ นมุ ตั ิแผน (นางปัทมาภรณ์ ศรีเนตร) ผู้อำนวยการ กศน.อำเภอจตรุ พักตรพิมาน

95 บันทึกหลังการจัดการเรยี นรู้ การจดั ทำหน่วยเรยี นรบู้ ูรณาการหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง กศน.ตำบลดนู่ ้อย คร้ังที่ 9 วนั ที่ 5 เดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2565 ครผู ูส้ อน นายเอนก เหมือนทอง ระดบั ประถมศึกษา เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐ น. สาระความรู้พน้ื ฐาน รายวชิ าภาษาไทย รหัสวิชา พท1๑๐๐๑ จำนวนผูเ้ รียนทัง้ หมด ............... คนเข้าเรียน…………………คน ไม่เข้าเรียน……………………….คน ๑. ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การประเมนิ โดยใช้ แบบทดสอบก่อนเรียน - หลงั เรียน พบว่า คะแนนการทดสอบหลังเรียน มากกว่ากอ่ นเรียนจำนวน ........ คนคิดเป็นร้อยละ............ คะแนนการทดสอบหลังเรยี น นอ้ ยกว่าก่อนเรียนจำนวน ......... คนคดิ เป็นรอ้ ยละ............ ๒. เน้ือหา/สาระ .......................................................................................................................... ...................................... ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ๓. กิจกรรมการเรียนการสอน .............................................................................................................................. .................................. ............................................................................................................................................................................ ....................................................................................................................................... ๔. ปัญหา/อปุ สรรค การเรยี นการสอน ................................................................................................................................. ............................... ................................................................................................................................................................ ....................................................................... ....................................................................................... .. ๕. แนวทางการแก้ปัญหา ........................................................................................................................................ ........................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ลงช่อื ....................................................... (นายเอนก เหมือนทอง) ครูผูส้ อน วันที่.............../.................../............... ความคดิ เห็น/ข้อเสนอแนะของผู้บริหาร ...................................................................................... .......................................................................................... ......... ..................................................................................................................................................... .................................... ....................................................................................................................................................... ลงช่อื .................................................................. (นางปัทมาภรณ์ ศรีเนตร) ผู้อำนวยการ กศน.อำเภอจตรุ พักตรพิมาน

96 ใบความรู้ เรือ่ ง วรรณกรรมปจั จบุ ันและวรรณกรรมท้องถ่ิน 1. ความหมาย วรรณกรรมทอ้ งถิ่น หมายถงึ วรรณกรรมทป่ี รากฎอยู่ในทอ้ งถ่นิ ภาคต่าง ๆ ของไทย ทัง้ ท่ีเป็นลาย ลกั ษณ์ หรอื มุขปาฐะ ซง่ึ แตกต่างไปจากวรรณกรรมแบบฉบบั เพราะวรรณกรรมท้องถนิ่ นน้ั ชาวท้องถนิ่ สร้าง ข้ึนมา ชาวทอ้ งถ่ินใช้ (อ่าน, ฟงั ) และชาวท้องถน่ิ เปน็ ผู้อนุรักษ์ โดยมีวดั เปน็ ศูนยก์ ลาง รปู แบบของฉนั ทลักษณจ์ งึ เป็นไปตามความนยิ มของท้องถิ่นนัน้ ๆวรรณกรรมท้องถนิ่ มเี น้อื หาสาระ และคตินิยมเกี่ยวกับพุทธศาสนาเปน็ สว่ น ใหญ่ เนอื่ งจากคนไทยทุกภาพในอดีตมคี ตินิยมในการสรา้ งหนงั สือถวายวัด โดยเชอื่ กันวา่ จะได้อานสิ งส์อย่างแรง อีก ประการหนง่ึ วดั ก็เปน็ สำนักเล่าเรยี นของกลุ บตุ ร กุลธดิ าของประชาชน ฉะนั้นการสรา้ งสรรค์วรรณกรรมท้องถน่ิ ยังมี ส่วนให้นกั เรียนได้ฝึกอา่ นหรอื ทวบทวนนอกเหนือไปจากแบบเรยี น (จนิ ดามณี ปฐมมาลา ปฐม ก.กา) ซ่งึ สว่ นใหญ่ เป็นวรรณกรรมประเภทนิทานคตธิ รรม 2. ความเป็นมาของการศกึ ษาวรรณกรรมท้องถิน่ การศึกษาวรรณกรรมไทยนน้ั เราจะมาเริ่มศกึ ษากนั เม่ือสมัยรชั กาลท่ี 5 กล่าวคือมีการจัดต้ังโบราณคดี สโมสรข้นึ เม่ือ พ.ศ. 2450 ในครั้งน้นั ได้รวบรวม ชำระ ซอ่ มแซมวรรณกรรมท่ีกระจัดกระจาย และมีการพิมพ์ เผยแพร่ ซ่ึงเปน็ การอนรุ ักษ์วรรณกรรมโบราณของไทยไวไ้ ดส้ ว่ นหนึ่ง คณะกรรมการโบราณคดีสโมสรไดศ้ ึกษา รวบรวมวรรณกรรมที่ท่านมีประสบการณ์ คือรู้จักและเคยอ่านสมยั เลา่ เรียน ซ่งึ สว่ นใหญเ่ ป็นวรรณกรรมที่แพร่หลาย อยูใ่ นกลุ่มชนช้ันนำคือ ขนุ นาง นักปราชญ์ ราชบัณฑิต ส่วนวรรณกรรมท่ีแพร่หลายอยใู่ นกลมุ่ ชาวบา้ น หรอื ชาว วัด หรือในทอ้ งถน่ิ ทีห่ ่างไกล เข้าใจวา่ ท่านเหลา่ นนั้ คงยงั มิไดศ้ ึกษารวบรวม อกี ประการหนึง่ ในช่ัวระยะเวลาอนั สนั้ ที่ จดั ต้ังโบราณคดีสโมสรนน้ั ข้อมูลในสว่ นกลางหรือราชสำนัก คงมมี ากเกินกว่าทจี่ ะศึกษารวบรวมในระยะเวลาอันส้นั ในสมยั รชั กาลท6ี่ แหง่ กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ ได้จัดต้ังวรรณคดีสโมสรข้นึ เม่ือ พ.ศ. 2457 คงจะสบื เนอ่ื งมาจากโบราณคดสี โมสรน่ันเอง คณะกรรมการชดุ น้ีได้พยายามทีจ่ ะจัดจำแนกวรรณกรรม โดยพิจารณาวา่ เปน็ ระยะเวลาใดควรแกก่ ารยกย่อง ในสมัยจดั ต้งั วรรณคดีสโมสรน้นั เป็นระยะเวลาไมน่ านนักกส็ ิ้นสมัยรัชกาลที่ 6 จากน้ันก็ขาดแรงสนบั สนนุ การศกึ ษารวบรวมวรรณกรรม จึงอยูใ่ นวงจำกัด ยงั มไิ ด้ขยายขอบเขตไปศึกษา วรรณกรรมท่ีแพร่หลายอยู่ในกลุ่มชาวบา้ น ชาววดั และวรรณกรรมในทอ้ งถ่นิ ท่หี ่างไกล หลังจากนนั้ เปน็ ต้นมารวมเวลาประมาณกง่ึ ศตวรรษ กลุ บุตร กลุ ธดิ าชาวไทย กไ็ ด้ศึกษาเลา่ เรยี นเฉพาะ วรรณกรรมท่ีได้ศึกษารวบรวมชำระกันในคร้งั น้นั เท่านน้ั ไม่ปรากฎว่า ได้มีการศึกษาชำระ รวบรวมวรรณกรรมอ่ืน ๆ ใหก้ ว้างขวางต่อไป วรรณกรรมชาวบ้าน ชาววัด เหล่าน้ันจงึ ถูกทอดทิ้งมาเปน็ เวลาเนิ่นนาน ตอ่ มาเม่อื ราว พ.ศ. 2502 สถาบันการศกึ ษาระดับอุดมศึกษาไดแ้ นวคิดมาจากตะวนั ตกทนี่ ยิ มศึกษา เร่อื งราวทางพื้นบา้ น และเสนอเปน็ วิทยากรในหลักสตู รเรยี กช่ือว่า Folklore จงึ นำวธิ ีการเหลา่ นนั้ มาจดั เขา้ ใน หลักสูตรระดับอุดมศึกษา เรียกชอ่ื ว่า \"คตชิ าวบา้ น\" บ้าง \"คติชนวทิ ยา\" บา้ ง จากการศึกษาวชิ าสาขาคตชิ นวทิ ยานั้น ทำให้เราทราบถึงแนวคดิ คตนิ ิยม ปรัชญาชีวิตของสงั คมในท้องถิน่ ต่างๆ ของไทย ซง่ึ มีรายละเอยี ดปลีกย่อยตา่ งไปจากคตินยิ ม ปรชั ญาชีวติ และสงั คมของภาคกลางเกือบ ส้ินเชิง ฉะนั้นจงึ มีการศกึ ษาที่ลึกซง้ึ ลงไป ในเอกสารทอ้ งถ่นิ ตา่ งๆ จงึ พบว่าในเอกสารทอ้ งถิ่นเหล่านน้ั เปน็ คลังของ แนวคดิ คา่ นยิ มของสังคมท้องถน่ิ อันแอบแฝงอยู่ในรปู นิทานเหล่านน้ั ฉะนั้นจึงทำใหน้ กั วิชาการในสาขาอื่นๆ เรมิ่ ตระหนกั ถึงคณุ คา่ ความสำคญั ของขอ้ มูลทางคตชิ นวทิ ยาโดยเฉพาะวรรณกรรม ประจวบกบั เมื่อชว่ งปี พ.ศ.2510- พ.ศ.2520 นักศึกษาเร่ิมมีปฏกิ ริ ิยาตอ่ ตา้ นการศึกษาวรรณคดี โดยมที ศั นคติต่อวรรณคดีที่อยใู่ นหลักสตู รระดับ ประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอุดมศึกษานัน้ เปน็ วรรณคดขี องชนชัน้ สูง หรอื วรรณกรรมเพ่ือรับใชศ้ ักดนิ า ไม่ ก่อให้เกิดแนวคิดสร้างสรรคใ์ ดๆ รงั แตใ่ หเ้ กิดความเบ่ือหนา่ ยฉะนน้ั เม่ือตอนปลายปี พ.ศ.2519 จงึ มกี ารจัดรายวชิ า

97 วรรณกรรมท้องถนิ่ ในสถานศกึ ษาระดบั อดุ มศึกษา ส่วนระดบั ประถมศกึ ษา และมัธยมศึกษา มีการเสนอให้อา่ น วรรณกรรมท้องถน่ิ ของภาคต่าง ๆ เปน็ หนงั สอื อ่านประกอบอยู่บ้าง 3. ข้อแตกต่างระหว่างวรรณกรรมแบบฉบับกับวรรณกรรมท้องถ่นิ จากการศึกษาวรรณกรรมท้องถ่นิ ของภาคเหนือ ภาคอสี าน ภาคใต้ และภาคกลางแล้ว พบวา่ มรี ูปแบบต่าง ไปจากวรรณกรรมแบบฉบับอยมู่ าก ตามลำดับความใกล้ชิดกับรฐั บาลกลางหรือราชสำนักที่เป็นเชน่ นี้ เพราะวา่ พน้ื ฐานของสังคม มโนทัศน์ของกวี ตลอดจนบันทึกสภาพสังคมในสมัยที่กำเนิดวรรณกรรมนัน้ ๆ ตามมโนทัศนข์ อง กวี วทิ ย์ ศวิ ะศรยี านนท์ (2504 : 183) กล่าวว่ากวคี นเดยี วกเ็ ปรียบเหมอื น 3 คน คอื นอกจากเปน็ ผแู้ ตง่ หนังสอื แล้ว ยังเป็นหนว่ ยหนงึ่ ของคนรุ่นน้ัน และเป็นพลเมอื งด้วย เน่อื งจากเหตนุ ้ี นอกจากจะตอ้ งสงั วรในอาชพี ประพนั ธ์ ของตนในฐานะที่เป็นกวี ในฐานะทเ่ี ป็นหนว่ ยหนึง่ ของคนสมัยนนั้ ก็ยอ่ มจะทำเอาหูไปนาเอาตาไปไรเ่ สียกบั เหตกุ ารณ์ท่ีตนเห็นตำตาประจักษ์อยู่แก่ใจหาได้ไม่ และในฐานะท่ีเป็นพลเมอื งอีกเลา่ ก็จะต้องใส่ใจเหตุการณ์ บา้ นเมือง ความเคล่ือนไหวของประเทศชาติ ตลอดจนชนช้นั และอาชีพที่ตนเป็นหนว่ ยหนงึ่ อกี ดว้ ย กวหี รอื ผเู้ ขียนย่อมสอดแทรกสภาพของสังคมสมัยนั้น ๆ ลงไปในวรรณกรรมที่เขาได้สรา้ งสรรค์ และใน ฐานะท่เี ปน็ หนว่ ยหน่ึงของประชาคมน้นั ยอ่ มจะใส่ความคิดเหน็ มโนทศั น์ของตนลงไปดว้ ย แตใ่ นขณะเดยี วกนั ใน บทบาทของกวหี รือนักประพันธ์ จงึ เสนอทศั นคตใิ นบทบาทฐานะนน้ั อีกด้วย ฉะนัน้ ปัจจัยดังกลา่ วข้างต้น จึงมีสว่ น สำคัญทแ่ี ยกรูปแบบของวรรณกรรมแบบฉบบั กบั วรรณกรรมทอ้ งถน่ิ ให้แตกต่างกนั เมอื่ พิจารณารูปแบบของวรรณกรรมแบบฉบับกบั วรรณกรรมทอ้ งถิน่ ทแ่ี ตกตา่ งกันไปนัน้ ทำให้เห็นว่า วรรณกรรมแบบฉบบั เปน็ วรรณกรรมท่ีแพร่หลาย และเจริญอยู่ในราชสำนัก เร่มิ ตงั้ แต่กวผี ้สู ร้างสรรค์ ซง่ึ เปน็ ผ้คู งแก่ เรยี น พ้นื ฐานการศกึ ษาสูง และอยู่ในฐานะเหนือกวา่ ทางดา้ นสงั คม ฉะน้ันค่านยิ ม สภาวะของสังคม จนทัศนะทก่ี วี สอดแทรกในวรรณกรรมนัน้ จึงเป็นมโนทศั น์ของสงั คมชัน้ สงู ซง่ึ ตา่ งไปจากวรรณกรรมทอ้ งถน่ิ ท่ีกวเี ปน็ ชาวบา้ น ธรรมดาหรือภิกษุ และอยู่ในภาวะของสงั คมแบบชาวบ้านโดยทว่ั ไป ฉะนน้ั ค่านิยม สภาวะของสังคม และทัศนะท่กี วี สอดแทรกลงไปในวรรณกรรมทเ่ี ขาสรา้ งสรรคน์ ัน้ จะเปน็ มโนทศั น(์ คำบาลี สันสกฤต) หรือบทกวีนพิ นธ์ท่ี ซับซ้อน เช่น ฉันท์ สว่ นใหญ่จะใช้กวีนิพนธ์ท่ีนยิ มในท้องถิ่นนัน้ ๆ 4. ประโยชน์ของการศึกษาวรรณกรรมทอ้ งถน่ิ ข้อมลู ทางคตชิ นวิทยา เปน็ ที่สนใจของนักศึกษาทางด้านมานุษยวทิ ยามาโดยตลอด เพราะข้อมลู เหลา่ น้เี ปน็ ข้อมลู เบื้องตน้ ท่สี ืบทอดกนั มาในประชาคมทอ้ งถิ่นต่างๆ ในการวเิ คราะห์ขอ้ มลู ทางดา้ นคตชิ นนน้ั ทำให้นัก มานุษยวิทยาสามารถเขา้ ใจลกั ษณะของสงั คม ค่านยิ ม ปรัชญาชีวติ และวิถที างแหง่ ชีวิต ตลอดจนระบบของสงั คมของ กลมุ่ ชนนั้นๆ วรรณกรรมท้องถน่ิ เปน็ ข้อมูลสำคญั ในข้อมูลท้ังหลาย ทางดา้ นคตชิ นวิทยา ที่จะสะท้อนใหเ้ หน็ สภาวะ ของประชาคมนั้นๆ เป็นอยา่ งดปี ระโยชนใ์ นการศึกษาวรรณกรรมท้องถน่ิ สรุปได้ 3 ประการ ดงั น้ี 4.1 ประโยชนท์ างด้านวิชาการ ผู้ศกึ ษาวรรณกรรมท้องถน่ิ จะเข้าใจในสง่ิ ต่อไปนี้ 4.1.1 ปรชั ญาชีวิตและสังคมของทอ้ งถนิ่ อนั เป็นพืน้ ฐานของสังคม เช่น ความเชื่อ คตินิยม จารีต ประเพณี เปน็ ต้น 4.1.2 การจัดระเบยี บสงั คม หรอื การควบคุมสังคม อันเป็นพนั ธกรณขี องกลุ่มชนตอ้ งประพฤติ ปฏิบัติ เพ่ือความสงบสุขของประชาคมน้ันๆ บทบัญญัติตา่ งๆ อนั เปน็ ปทัสฐานของสังคมน้ันได้ส่งั สอนสืบต่อกนั มา โดยมไิ ด้มีการจดบนั ทึกไว้ แตก่ ็ปรากฎอยู่ในวรรณกรรมท้องถิน่ เหลา่ นั้น ในข้อน้ีต้องเข้าใจร่วมกนั ว่า สังคมชนบทใน สมยั อดตี กฎหมายของของรัฐบาลกลางมิไดม้ สี ว่ นเก่ียวข้องในการควบคุมสังคมมากนัก แต่ปรชั ญาพทุ ธศาสนา จารีต ความเช่อื คตนิ ิยม ซึง่ เปน็ ท่ียอมรบั ของประชาคมจะมีบทบาทควบคุมสังคมอย่างยิ่ง 4.1.3 ประวตั ิศาสตร์สงั คมของท้องถิน่ วรรณกรรมท้องถิ่นเปน็ ข้อมลู สำคัญในการศึกษา ประวัตศิ าสตรส์ งั คมของท้องถ่ิน โดยเฉพาะทางดา้ นการจัดระบบสงั คมการควบคมุ สงั คมตลอดจนจารีตประเพณีของ สังคมน้นั

98 4.1.4 ภาษาถน่ิ วรรณกรรมทอ้ งถิ่นโดยเฉพาะวรรณกรรมลายลักษณ์ทไี่ ด้บนั ทกึ ไว้ตง้ั แต่สมัยอดตี จำเป็นคลงั แห่งคำภาษาถน่ิ ถงึ แมบ้ างคำจะเลกิ ใช้ไปแลว้ ในปัจจบุ นั แต่กย็ ังปรากฎในเอกสารวรรณกรรมท้องถิ่น เหลา่ น้ัน นอกจากให้นักภาษาศาสตร์ ยงั สามารถเห็นการคลี่คลายของคำภาษาไทยได้ดีจากเอกสารวรรณกรรม ทอ้ งถิน่ ต่าง ๆ ของไทย 4.1.5 เปน็ การกา้ วหนา้ ทางวิชาการ การตระหนักถงึ คุณคา่ ของวรรณกรรมท้องถ่นิ จนได้มีการ นำมาจัดอยู่ในหลักสูตรการศึกษาระดบั อดุ มศึกษา ซงึ่ มแี นวโนม้ ในการทจี่ ะส่งเสริมการศกึ ษารวบรวมคน้ คว้า วรรณกรรมท้องถิน่ เหลา่ นัน้ ให้กวา้ งขวางยง่ิ ขน้ึ อันเปน็ ปัจจยั สำคญั ในการอนุรักษศ์ ิลปวฒั นธรรมท้องถิ่น ซง่ึ หมายถึง เอกลกั ษณ์ของชนชาติไทย 4.1.6 เป็นการอนุรกั ษว์ รรณกรรมท้องถิน่ ตา่ ง ๆ ของไทยไมใ่ หส้ าปสูญก่อนภาวะอนั ควร 4.2 ประโยชน์ทางดา้ นปจั เจกบุคคล 4.2.1 เพ่อื ใหน้ ักศึกษาหรอื ผู้ศกึ ษาวรรณกรรมท้องถ่ิน มีมโนทัศนอ์ ันกวา้ ง ยอมรับแนวคดิ ปรชั ญาชวี ิตของชนทุกชัน้ ทุกท้องถิ่น ทุกสังคม 4.2.2 ผศู้ ึกษาวรรณกรรมท้องถิ่น จะทราบถงึ ความเป็นอจั ฉริยะของบรรพบุรุษของตน และของ ทอ้ งถิ่นอืน่ อีกด้วย 4.2.3 ยอมรบั แนวคิดของชนชาตติ า่ งท้องถน่ิ ต่างสงั คมและต่างยุคสมยั 4.2.4 ไดร้ ับประสบการณข์ องชวี ิตกว้างขวางยิง่ ข้ึน 4.2.5 มีโอกาสได้เรยี นร้ภู าษาถน่ิ วัฒนธรรมของท้องถ่ินอื่น ๆ อีกด้วย 4.3 ประโยชนท์ างด้านการเมอื งการปกครอง 4.3.1 ผู้ศึกษาวรรณกรรมท้องถน่ิ จะเกิดความรกั ความเขา้ ใจ ความภูมิใจในอดีตของทอ้ งถ่ินทตี่ น มีภมู ลิ ำเนาอยแู่ ละท้องถน่ิ อื่น ๆ ของคตดิ ้วย ซงึ่ ก่อให้เกิดชาตินยิ ม ภูมใิ จในวัฒนธรรมของชาติ 4.3.2 ผ้ศู ึกษาวรรณกรรมท้องถิ่นจะเกิดความรกั ความเข้าใจในท้องถนิ่ ของตน ผศู้ กึ ษาวรรณกรรม ท้องถ่นิ จะตระหนักในคุณค่า และยอ่ มมีความหวงแหนซ่ึงจะก่อให้เกิดการอนรุ ักษว์ รรณกรรมท้องถิ่นอีกด้วย 4.3.3 ทำใหค้ วามเข้าใจอันดีระหว่างชนในชาติ และย่อมมีความสมานสามัคคีกัน 4.3.4 ก่อใหเ้ กิดการพัฒนา ระบบสังคมของชาตยิ อ่ มมีทศิ ทาง โดยอาศัยระบบสังคม ท้องถน่ิ ปรัชญาชีวิตในสงั คมทอ้ งถ่นิ อันเป็นพน้ื ฐานในการพฒั นาการเปรียบเทียบความแตกต่างระหวา่ งวรรณกรรม แบบฉบับกบั วรรณกรรมท้องถิน่ มีดังน้ี วรรณกรรมแบบฉบับ วรรณกรรมทอ้ งถ่นิ 1. ชนชนั้ สูง เจา้ นาย ข้าราชสำนัก มีสิทธมิ สี ่วนเปน็ 1. ชาวบา้ นทวั่ ไปมสี ทิ ธเิ ป็นเจา้ ของ เจ้าของ - ผู้สรา้ งสรรค์ - ผใู้ ช้ - ผ้สู ร้างสรรค์ รวมถงึ จดบนั ทึก คัดลอก - ผู้อนรุ กั ษ์ - ผูใ้ ช้ (อา่ น, ฟัง - ผู้อนรุ กั ษ์ - แพร่หลายในหมู่บา้ น - แพรห่ ลายในราชสำนกั 2. กวปี ระพนั ธ์เปน็ นักปราชญ์ ราชบณั ฑติ หรอื 2. กวี ผูป้ ระพันธ์ เปน็ ชาวพืน้ บา้ น หรอื พระภกิ ษุ สรา้ งสรรค์ เจา้ นาย ฉะน้นั ค่านิยม มโนทศั น์ ท่ีเห็นสังคมสมัยนน้ั จงึ วรรณกรรมขนึ้ มาดว้ ยใจรักมากกวา่ \"บำเรอทา้ วไธธ้ ิราชผมู้ ี จำกัดอยู่ในร้ัวในวังหรือมีการสอดแทรกสภาวะของสังคมก็ บุญ\"ฉะนน้ั มโนทัศนเ์ กย่ี วกับสภาวะของสังคม จงึ เป็นสังคม เป็นแบบมองเห็นสงั คมแบบเบือ้ งบน ชาวบา้ นแบบประชาคมทอ้ งถ่ิน

99 3. ภาษาและกวีโวหารนยิ มการใชค้ ำศัพท์บาลี 3. ภาษาทใ่ี ชเ้ ป็นภาษางา่ ย เรยี บ ๆ ม่งุ การสื่อความหมาย สันสกฤต โดยเชอ่ื วา่ เปน็ การแสดงภูมปิ ญั ญาของกวแี พรว เปน็ สำคญั สว่ นใหญ่เปน็ ภาษาทอ้ งถ่ินน้ัน ละเวน้ พราวไปดว้ ยกวีโวหารท่ีเขา้ ใจยาก คำศัพทบ์ าลี สันสกฤต โวหารนิยมสำนวนที่ใช้ในท้องถิน่ 4. เน้ือหาสว่ นใหญ่ มุ่งในการยอพระเกยี รติ ท้ังทางตรง 4. เนือ้ หาส่วนใหญ่มงุ่ ในทางระบายอารมณ์ บันเทิงใจ แต่แฝง และทางอ้อม แตก่ ม็ เี นอ้ื หาทีเ่ กย่ี วกบั การผ่อนคลาย คตธิ รรมทางพทุ ธศาสนา แม้ว่าตวั เอกของเรื่องจะเป็นกษัตริย์ ทางดา้ นอารมณ์ และศาสนาอย่ไู มน่ ้อย กต็ าม แต่มไิ ด้ม่งุ ยอพระเกยี รติมากนัก 5. เหมือนกับวรรณกรรมแบบฉบบั ยกย่องสถาบนั กษัตริย์ 5. คา่ นยิ ม อุดมคติ ยดึ ปรชั ญาชีวติ แบบสงั คมชาว แต่ไม่เนน้ มากนัก พุทธ และยกย่องสถาบันกษัตริย์อกี ดว้ ย

100 ใบงาน เรอื่ งวรรณคดี วรรณกรรม -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- 1. จงสรปุ ความหมายของ “วรรณคดี” ......................................................................................... ................................................................................................ ....................................................................... ......................................................................................... ......................... ............................................................................................................................. ........................................................... 2. วรรณคดี วรรณกรรมไทยปัจจุบันและวรรณท้องถ่ินมีความสำคัญอยา่ งไร ............................................................................................................................. ............................................................ ......................................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ........................................................... 3. วรรณคดี วรรณกรรมไทยปัจจบุ ันและวรรรณกรรมท้องถนิ่ แบง่ เป็นกีป่ ระเภท ประเภทใดบ้าง (พรอ้ มยกตวั อยา่ ง) ............................................................................................................................. ............................................................ ............................................................................................................................. ............................................................ ......................................................................................................................................................................................... .......................................................................................................... ............................................................................... ............................................................................................................................. ............................................................ ........................................................ ................................................................................................. ............................... .......................................................................................................................................................................................


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook