96 ใบความรู้ การจดั ทา โครงงานวทิ ยาศาสตร์ 1. ความหมายของโครงงานวทิ ยาศาสตร์ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ให้ความหมายของโครงงานวิทยาศาสตร์ว่า เป็น การศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ของนักเรียนตามความสนใจและระดับความรู้ ความสามารถ ภายใต้วิธีการทาง วิทยาศาสตร์ เพ่ือตอบปัญหาทีส่ งสยั ไดผ้ ลงานทีม่ คี วามสมบรู ณ์ในตัวเอง การทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ เป็นสว่ นหนึ่งของกจิ กรรมสง่ เสริมดา้ นวทิ ยาศาสตร์หรือเทคโนโลยี โดยผู้เรียน เป็นผู้วางแผนการศึกษาค้นคว้า ดาเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล สรุปผล และเสนอผลการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง เพ่อื ใหผ้ เู้ รียนเกิดการเรียนรู้ มีเจตคติทางวิทยาศาสตร์ รวมท้ังได้ฝึกฝนทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ โดยมีครู อาจารย์ หรือผทู้ รงคุณวฒุ ิ เป็นเพยี งผ้คู อยให้คาปรึกษา 2. หลกั การของกจิ กรรมโครงงานวทิ ยาศาสตร์ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้ระบุหลักการท่ีสาคัญของกิจกรรมโครงงาน วิทยาศาสตร์ ไวด้ ังนี้ 1. เน้นการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง เปิดโอกาสให้นักเรียนริเริ่มวางแผน และดาเนินการศึกษาด้วยตนเอง โดยมีอาจารย์เปน็ ผชู้ แี้ นะแนวทางและใหค้ าปรึกษา 2. เน้นกระบวนการแสวงหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตั้งแตก่ ารกาหนดป๎ญหาหรือเลือกหัวข้อ ที่สนใจ การวางแผนการศึกษาค้นคว้า การรวบรวมข้อมูล หรือการทดลอง และการสรุปผลการศึกษา คน้ คว้า 3. เนน้ การคดิ เป็น ทาเปน็ และการแกป้ ญ๎ หาดว้ ยตนเอง 4. การทากิจกรรมโครงงานวิทยาศาสตร์มุ่งฝึกให้นักเรียนเรียนรู้วิธีการศึกษาค้นคว้าและแก้ป๎ญหาด้วย ตนเอง มไิ ดเ้ น้นการส่งเขา้ ประกวดเพอื่ รบั รางวัล 3. จุดมุ่งหมายของการทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้ระบุจุดมุ่งหมายของการทาโครงงานวิทยาศาสตร์ ไว้ ดงั นี้ 1. เพอ่ื ให้ผ้เู รยี นใช้ความร้แู ละประสบการณเ์ ลือกทาโครงงานวิทยาศาสตร์ตามทต่ี นสนใจ 2. เพอ่ื ให้ผ้เู รยี นไดศ้ ึกษาค้นคว้าข้อมูลจากแหล่งความรู้ตา่ งๆ ด้วยตนเอง
97 3. เพ่ือให้ผู้เรียนไดแ้ สดงออกซึ่งความคดิ ริเริ่มสรา้ งสรรค์ 4. เพื่อใหผ้ เู้ รยี นมีเจตคติทางวทิ ยาศาสตร์ และเห็นคุณค่าของการใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการ แกป้ ๎ญหา 4. ลกั ษณะทส่ี าคัญของโครงงานวทิ ยาศาสตร์ 1. เปน็ เรื่องท่ีนักเรยี นสนใจ สงสยั ต้องการหาคาตอบ 2. เปน็ การเรยี นร้ทู มี่ ีกระบวนการ มรี ะบบ ครบกระบวนการ 3. เปน็ การบูรณาการการเรียนรู้ 4. นักเรียนไดใ้ ช้ความรู้หลายดา้ น 5. มคี วามสอดคลอ้ งกบั ชีวติ จริง 6. มกี ารศึกษาอยา่ งลมุ่ ลกึ ดว้ ยวธิ กี ารและแหลง่ ข้อมูลอยา่ งหลากหลาย 7. เป็นการแสวงหาความรูแ้ ละสรปุ ความรู้ด้วยตนเอง 8. มกี ารนาเสนอโครงงานดว้ ยวิธกี ารที่เหมาะสม ในด้านกระบวนการและผลงานทีค่ น้ พบ 9. ขอ้ คน้ พบและสงิ่ ที่คน้ พบ สามารถนาไปใช้ในชวี ติ ประจาวันได้ 5. ประเภทของโครงงานวิทยาศาสตร์ โครงงานวิทยาศาสตร์ แบง่ ออกได้เป็น 4 ประเภทใหญ่ๆ ดังน้ี 1. โครงงานประเภทสารวจรวบรวมขอ้ มลู การสารวจรวบรวมข้อมูลบางอย่างเพ่อื จาแนกหมวดหมู่ โครงงานประเภทน้ีไม่กาหนดตัวแปรในการ เก็บข้อมูล อาจเป็นการสารวจในภาคสนาม หรอื ในธรรมชาติ หรอื นามาศึกษาในหอ้ งปฏิบตั ิการ เพ่ือนาไปใช้ศึกษา ทดลองต่อ ตวั อย่างของโครงงานประเภทน้ี เชน่ การสารวจพืชพันธ์ไุ ม้ในโรงเรียนหรือในทอ้ งถิน่ การสารวจพฤติกรรมด้านตา่ งๆ ของสตั ว์ การสารวจปญ๎ หาสิ่งแวดล้อมในชมุ ชน การศึกษาวฏั จักรชีวิตของสัตวช์ นิดใดชนิดหนงึ่ การศึกษาลกั ษณะของสภาพอากาศในท้องถ่ิน 2. โครงงานประเภททดลอง โครงงานทม่ี ีลักษณะออกแบบการทดลอง เพื่อศึกษาผลของตัวแปรตวั หนึ่งโดยควบคุมตัวแปรอนื่ ๆ โครงงานประเภทน้ีนักเรียนจะได้แก้ปญ๎ หา ปฏิบตั จิ ริงกับป๎ญหาหรอื ข้อสงสยั ของนกั เรียน ดาเนนิ การอบรม ทดลอง
98 สรปุ ผล วเิ คราะหผ์ ลท่ไี ด้ออกมา ซ่ึงจะเป็นการใชท้ ักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์อย่างสมบรู ณ์ ตวั อย่างของ โครงงานประเภทนี้ เชน่ ศึกษาการตดั ใบขา้ วโพดท่ีมีผลกระทบต่อการเจริญเตบิ โตและผลผลติ การปูองกนั การเปน็ หนอนของปลาเคม็ โดยใชส้ ารสกดั จากพชื ที่มีรสขม การทายากันยงุ จากพืชในท้องถ่นิ การใช้มลู วัวปอู งกันวัวกินใบพืช การบังคับผลแตงโมเปน็ รูปสี่เหล่ียม 3. โครงงานประเภทส่ิงประดษิ ฐ์ โครงงานประเภทน้ี เป็นการประดิษฐ์ส่ิงใดสิ่งหนึ่ง เครื่องมือเคร่ืองใช้หรืออุปกรณ์ เพ่ือใช้สอยต่างๆ สงิ่ ประดิษฐ์อาจคิดขึ้นมาใหม่ ปรับปรุง หรือสร้างแบบจาลอง โดยประยุกต์หลักการทางวิทยาศาสตร์ ใช้กระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ มีการกาหนดตัวแปรที่จะศึกษาและทดสอบประสิทธิภาพของช้ินงานด้วย หากนักเรียนประดิษฐ์ ชิ้นงานข้ึนมาโดยมิได้ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ถือว่าเป็นส่ิงประดิษฐ์ท่ีไม่ใช่โครงงานวิทยาศาสตร์ ตัวอย่าง โครงงานประเภทสิ่งประดษิ ฐ์ เช่น กรงดักแมลง เคร่อื งโรยป๋ยุ ยางพารา เครื่องยา่ ยางพารา เครื่องตไี ข่สาหรับเดก็ เครือ่ งใหอ้ าหารปลา เครอื่ งแยกไขแ่ ดง ต้อู บพลังงานแสงอาทติ ย์ทูอินวัน กล่องอบแห้งพลังงานแสงอาทติ ยร์ ูปทรงแปดเหลีย่ ม 4. โครงงานประเภททฤษฎี โครงงานประเภทน้ี เป็นโครงงานที่เสนอทฤษฎี หลักการหรอื แนวคดิ ใหมๆ่ ซึ่งอาจอย่ใู นรปู ของสูตร สมการ หรือคาอธิบาย โดยผู้เสนอไดต้ ้ังกตกิ าหรือข้อตกลงข้ึนมาเอง แล้วเสนอทฤษฎีหลักการ แนวความคดิ หรอื จนิ ตนาการของตนเองตามกติกาหรือข้อตกลงนนั้ หรอื อาจใชก้ ติกาหรอื ข้อตกลงมาอธิบายสิง่ หรือปรากฏการณ์ตา่ งๆ ในแนวใหม่ ทฤษฎี หลักการ แนวความคิด หรือจนิ ตนาการท่เี สนอน้ี อาจจะใหม่ยังไม่มีใครคิดมาก่อนหรอื อาจ ขัดแยง้ กับทฤษฎีเดมิ หรอื เป็นการขยายทฤษฎหี รือความคิดเดิมก็ได้ การทาโครงงานประเภทน้ี จุดสาคัญอยู่ทผ่ี ู้ทาต้องมคี วามรพู้ ื้นฐานในเรอ่ื งน้นั เปน็ อย่างดี จึงจะ สามารถเสนอโครงงานประเภทนีไ้ ด้อย่างมเี หตุผลนา่ เช่ือถือ โดยทั่วๆ ไป โครงงานประเภทน้ี มักเปน็ โครงงานทาง คณิตศาสตร์ หรือวิทยาศาสตร์บริสทุ ธ์ิ ตัวอยา่ งของโครงงานประเภทน้ี เชน่ การอธิบายอวกาศแนวใหม่ ทฤษฎีของจานวนเฉพาะ
99 โครงงานวิทยาศาสตร์ ได้มาจากป๎ญหาหรือข้อสงสัย ซ่ึงควรจะเป็นป๎ญหาท่ีใกล้ตัวของผู้เรียน พยายามอย่าให้ผู้เรียน คิดป๎ญหาที่ไกลตัวเกนิ ความสามารถของเด็กทีจ่ ะทาได้ ตวั อย่างการไดม้ าซ่งึ โครงงานวิทยาศาสตร์ ได้แก่ ป๎ญหาใกลต้ วั ปญ๎ หาในทอ้ งถนิ่ ความสนใจส่วนตวั การสงั เกตสง่ิ ต่างๆ ใกลต้ ัว คาบอกเล่าของผูอ้ ่นื การทดลองเลน่ การทาปฏบิ ัติการ โครงงานอน่ื ท่ีเคยมีผทู้ าไวแ้ ล้ว การตง้ั คาถามของครูให้นกั เรียนคดิ ฝึกต้งั ปญ๎ หา การทา Web ระดมความคิด เพื่อหาเร่อื งทีจ่ ะทาโครงงาน 7. วธิ ีทาโครงงานวิทยาศาสตร์ 1. กาหนดปัญหา 2. ต้งั สมมตุ ิฐาน 3. ออกแบบการทดลอง 6. นาเสนอ 5. อภิปรายและสรุปผล 4. ทดลอง ขน้ั ตอนการทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ 1. กาหนดปัญหา 2. ต้งั สมมุตฐิ าน ต้งั ปัญหาหรือสมมตุ ิฐานเกี่ยวกบั ปัญหา กาหนดตวั แปรท่ีสงสยั (ตวั แปรตน้ ) ผลที่ เพ่ือ ตามมาจากการสงสยั (ตวั แปรตาม) และ ตอบคาถามของปัญหาน้นั จะตอ้ งควบคุมตวั แปรใดบา้ ง เพื่อใหไ้ ดข้ อ้ มลู ที่น่า 3. ออกแบบการทดลอง เช่ือถือ (ตวั แปรควบคุม) เป็ นการบอกความสมั พนั ธ์ระหวา่ งตวั แปร 4. ทดลอง ท้งั หมดใหเ้ ป็ นรูปธรรมซ่ึงสามารถปฏิบตั ิ ได้จริงและน่าเช่ือถือว่าจะตอ้ งใช้ทักษะ เป็ นการปฏิบตั ิจริง ซ่ึงจะตอ้ งทดลอง กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ใดบ้าง จะ หลาย ๆ คร้ัง อยา่ งนอ้ ยตอ้ ง 3 คร้งั เพือ่ จะ เก็บรวบรวมข้อมูลอย่างไร และกลุ่ม ไดผ้ ลท่ีน่าเช่ือถือ การทดลองบางคร้ังผลการ ควบคุมหรือกลุ่มทดลองเป็ นอยา่ งไร ทดลองอาจขดั แยง้ กนั ตอ้ งเพมิ่ การทดลองให้ มากข้ึนเป็น 5 คร้ัง หรือ 10 คร้ัง แลว้ จึงใชว้ ธิ ี 5. อภปิ รายและสรุปผล เฉลี่ยขอ้ มลู หรือเลือกคร้ังท่ีเป็ นไปไดม้ าก ที่สุด เป็ นผลการทดลอง ผเู้ รียนนาขอ้ มลู ต่าง ๆ ท่ีไดจ้ ากการ ทดลองมาประเมินผลและอภิปรายโดย ขอ้ มูลที่ไดจ้ ะตอ้ งบนั ทึกและนาเสนอ การศึกษาจากเอกสารหรือหลกั ฐาน เพื่อนามา ท้งั หมด มิใช่เลือกเฉพาะขอ้ มูลที่เป็ นไปตาม ประกอบในการหาเหตผุ ลหรือขอ้ สรุปผลการ สมมตุ ิฐานเท่าน้นั ทดลอง หากครูที่ปรึกษาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ให้ นกั เรียนนาเสนอแตเ่ ฉพาะขอ้ มูลดงั กล่าวแลว้ 6. นาเสนอ อาจทาใหน้ กั เรียนเป็นคนไมซ่ ่ือสตั ย์ ขาดเจต คติท่ีดีทางวทิ ยาศาสตร์
100 ตวั อยา่ งโครงงานวิทยาศาสตร์ ข้นั ตอนโครงงานวทิ ยาศาสตร์ โครงงานวิทยาศาสตร์ หมายถึงการทากิจกรรมทางวทิ ยาศาสตร์ชนดิ หน่งึ ท่ีผู้ทาโครงงานจะตอ้ งนาเอาวิธกี าร ทางวิทยาศาสตร์ (secientific method) และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (science process) มาใช้เพื่อศึกษา หาทางแก้ปญ๎ หาเรือ่ งใหม่ ๆ หรอื ประดิษฐ์คิดค้นสิง่ ใหม่ ๆโดยผู้ทาโครงงาน เปน็ ผูค้ ดิ เรื่องหรอื เลือกเร่ืองท่ตี ้องการ ศกึ ษามีการวางแผนดาเนินการ (ลงมือปฏบิ ัติ) บนั ทึกผล วิเคราะห์ข้อมลู สรุปผลและเสนอผลงานด้วยตนเอง ตั้งแต่ตน้ จนสาเร็จทกุ ข้นั ตอน การทาโครงงานวิทยาศาสตร์ ข้ันท่ี 1การคิดและเลอื กช่อื เร่อื งหรือป๎ญหาที่จะศกึ ษา ขน้ั ตอนนีเ้ ป็นข้นั ทสี่ าคัญที่สุดและยากท่ีสุดตามหลักการแล้วนกั เรียนควรจะเป็นผูค้ ิดและเลือกหวั ข้อเร่ืองทจ่ี ะศึกษา ดว้ ยตนเองแต่ครูอาจมีบทบาทหรือมีสว่ นช่วยเหลือใหน้ กั เรียนสามารถคดิ หัวข้อเรื่องได้ด้วยตนเอง ดังจะได้กลา่ วต่อไป การทาโครงงานวิทยาศาสตร์ ขนั้ ท่ี 2การวางแผนในการทาโครงงาน ไดแ้ ก่การวางแผนวธิ ีดาเนนิ งานในการศึกษาคน้ ควา้ ทงั้ หมด เชน่ วัสดุอุปกรณ์ท่จี าเปน็ ต้องใชใ้ นการออกแบบการ ทดลอง และควบคมุ ตัวแปรวิธีดาเนนิ การรวบรวมขอ้ มูล การวางแผนปฏบิ ัตงิ านอย่างคร่าว ๆว่าจะดาเนนิ การอยา่ งไร บา้ งเป็นขน้ั ตอน แลว้ นาเสนออาจารยท์ ี่ปรึกษาเพอ่ื ขอคาแนะนาเพ่ิมเติม และขอความเหน็ ชอบ การทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ ขน้ั ที่ 3การลงมือทาโครงงาน ได้แก่การลงมือปฏบิ ัติตามแผนงานทไ่ี ดว้ างไวล้ ่วงหนา้ แลว้ ในข้ันท่ีสองนั่นเองประกอบดว้ ยการเกบ็ รวบรวมข้อมูล การ สร้างหรอื การประดษิ ฐ์ การปฏิบัติการทดลองซง่ึ สดุ แลว้ แต่จะเป็นโครงงานประเภทใดและการคน้ ควา้ จากเอกสารต่าง ๆแลว้ ดาเนนิ การวเิ คราะหข์ ้อมลู แบ่งความหมายของข้อมลู และสรุปผลของการศึกษาค้นคว้า การทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ ข้นั ท่ี 4การเขียนรายงาน เป็นการเสนอผลของการศกึ ษาคน้ ควา้ เป็นลายลักษณ์อกั ษรหรอื เป็นเอกสารเพื่ออธบิ ายใหผ้ ู้อนื่ ทราบรายละเอียด ท้งั หมดของการทาโครงงานซึ่งจะประกอบด้วยป๎ญหาทที่ าการศกึ ษาวัตถุประสงค์ของการศึกษาวิธดี าเนินการศึกษา คน้ ควา้ อุปกรณ์หรอื เครื่องมือทใ่ี ช้ ขอ้ มูลตา่ ง ๆท่รี วบรวมได้ ผลท่ไี ด้จากการศึกษาค้นควา้ ตลอดจนประโยชน์และ ข้อเสนอแนะต่าง ๆท่ีได้จากการทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์นั้น ๆวธิ เี ขยี นรายงานโครงงานวทิ ยาศาสตรก์ ็มีลักษณะและ แนวทางในการเขยี นเช่นเดียวกับการเขียนรายงานผลการวิจัยทางวทิ ยาศาสตร์ของนักวิทยาศาสตรน์ ัน่ เอง การทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ ขัน้ ท่ี 5การแสดงผลงาน เปน็ การเสนอผลงานท่ีได้ศึกษาค้นควา้ สาเรจ็ ลงแล้วใหผ้ อู้ นื่ ได้รบั รู้และเข้าใจซ่งึ อาจกระทาได้หลายรปู แบบ เช่น การ จัดนทิ รรศการการสาธิตแสดงประกอบการรายงานปากเปลา่ ฯลฯ ในการจัดแสดงผลงานของการทาโครงงานวิทยาศาสตรท์ คี่ รูอาจกระทาไดใ้ นหลายระดับ เชน่ 1. การจดั เสนอผลงานภายในชน้ั เรยี น 2. การจัดแสดงนิทรรศการภายในโรงเรียนเป็นการภายใน 3. การจัดแสดงนิทรรศการในงานประจาปีของโรงเรยี น
101 4. การสง่ โครงงานเข้าร่วมในงานแสดงหรอื ประกวดภายนอกโรงเรียนในระดบั ต่าง ๆ เชน่ ระดบั กลุ่ม โรงเรยี น ระดบั จังหวดั ระดบั เขตการศกึ ษา และระดบั ชาติ เปน็ ตน้ ใบงานท่ี 1 ประเภทโครงงานวิทยาศาสตร์ จงบอกประเภทของโครงงานวทิ ยาศาสตร์ 1. ก้านผักตบชวากบั การลดปริมาณสารพษิ ในในควันบุหรี่ ..................................................................................................... .................................................... 2. เปลอื กผลไมล้ บคาผดิ ......................................................................................................................................................... 3. เครือ่ งแยกไข่แดงไข่ขาว .................................................................................................... ..................................................... 4. การสารวจลักษณะทางพนั ธกุ รรมของนักเรยี นโรงเรยี นบ้านบางสาน .................................................................................................... ..................................................... 5. การอธบิ ายคลืน่ ยักษ์ สนึ ามิ .................................................................................................... ..................................................... 6. การทากระดาษสาจากใบพชื ......................................................................................................................................................... 7. ปโิ ตรเลียมเกิดขน้ึ ได้อยา่ งไร .................................................................................................... ..................................................... 8. เครอื่ งให้อาหารปลาดุก .................................................................................................... ..................................................... 9. เตาอบพลงั งานแสงอาทติ ย์ ......................................................................................................................................................... 10. การวเิ คราะห์ค่ามมุ โดยใช้หลกั ปิโตรเลียม ................................................................................................. ........................................................
102 ชื่อ – สกุล …………………………………………………………………รหัสนกั ศึกษา………………………………………… แผนการจดั การเรียนรู้รายวชิ าวิทยาศาสตร์ ครง้ั ที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2565 ระดับมัธยมศกึ ษาตอนตน้ กศน.ตาบลศรโี คตร 1. สัปดาห์ที่ 12 วันที่ 27 เดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2565 เวลา 09.00-12.00น. 2. วชิ า วทิ ยาศาสตร์ รหัสวชิ า พว21001 จานวน 4 หนว่ ยกติ 3. มาตรฐานที่ 2.2 มีความรู้ความเข้าใจ และทักษะพ้ืนฐานเกย่ี วกบั คณิตศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี 4. หนว่ ยการเรยี นร้/ู เรื่อง เกณฑใ์ นการจาแนกสาร 5. สาระสาคญั สารเพือ่ ชวี ิต การจาแนกสาร ธาตุและสารประกอบ สารละลาย กรด-เบส สารและ ผลติ ภณั ฑในชีวติ 6. เนอื้ หา 1. เกณฑ์ ในการจาแนกสาร 2. การใช้สถานะใชเ้ นื้อสาร 3. สมบัติของธาตุ สารประกอบสารละลาย สารผสม 7. จุดประสงค์การเรียนรู้/ผลการเรียนรทู้ ค่ี าดหวงั (ดจู ากผังการออกขอ้ สอบ) 1.อธบิ ายความแตกต่างและจาแนกธาตุ สารประกอบ สารละลาย และสารผสม 2. สามารถจาแนกสารโดยใชเ้ น้ือสารและสถานะเป็นเกณฑ์ 8. การบูรณาการกบั หลักแนวคดิ ของเศรษฐกิจพอเพียง (2 เงอ่ื นไข 3 หลักการ การเชอ่ื มโยงสู่ 4 มติ ิ) ความรู้ สรุปความ จบั ประเด็นสาคญั ของเรอ่ื งการจาแนกสาร คุณธรรม - มคี วามตั้งใจ - มีความขยัน - มคี วามคิดสร้างสรรค์ พอประมาณ - เนื้อหาวชิ าทีเ่ รยี นรูม้ ีความเหมาะสมกบั วัยของผเู้ รียนและใชเ้ วลาเหมาะสมกบั เนื้อหา - ผ้เู รียนเลอื กวชิ าทสี่ ามารถศึกษาเองไดเ้ ป็นการเรยี นแบบ กรต. มเี หตุผล - เลือกใช้สารเคมีท่ีเหมาะสมและเกิดประโยชน์ มีภูมคิ ุม้ กัน - มีความรเู้ รอื่ งการจาแนกสาร
103 - มีความรเู้ รอ่ื งการใชส้ ารเคมี วัตถุ - ไดจ้ าแนกสารโดยวธิ แี ตกตา่ งกนแล้วแตช่ นดิ ของสาร สงั คม - ผู้เรียนแลกเปล่ยี นความคดิ เห็นรว่ มกนั ได้ - ผู้เรยี นใช้กระบวนการกลุ่มได้อย่างเหมาะสม สงิ่ แวดล้อม - รจู้ ักการใช้สารท่ีอนรุ กั ษ์ทรพั ยากรส่งิ แวดล้อม วัฒนธรรม - ผลิตภัณฑ์และวิธีการใช้สารเคมที มี่ ีการบอกต่อๆกัน 9. กระบวนการจัดการเรียนร้แู ละกจิ กรรมการเรยี นรู้ ขั้นที่ 1 กาหนดสภาพปญั หาการเรียนรู้ (O : Orientation) 1. ครสู รา้ งความคุ้นเคยกบั ผูเ้ รยี นทาความเขา้ ใจเน้ือหาวชิ าวทิ ยาศาสตรเ์ ร่อื งเกณฑ์ในการจาแนกสาร ช้แี จงตัวชว้ี ดั ของหน่วยการเรียนรู้ 2. ครูทักทายกล่าวนาอธิบายการกาหนดเปาู หมายและการวางแผนการเรียนรู้เกณฑ์ในการจาแนกสาร สมบัติของธาตสุ ารประกอบ สารละลาย สารผสม ขน้ั ท่ี 2 แสวงหาข้อมลู และจัดการเรยี นรู้ (N : New ways of learning) 1. ครแู ละผเู้ รียนวางแผนวิธีการเรยี นรเู้ น้ือหาท่ีกาหนด 2. ผู้เรยี นแบง่ กลุ่มตามหัวข้อท่ีกาหนดให้โดยวธิ ีการจบั ฉลาก 1. เกณฑ์ในการจาแนกสาร 2. สมบัติของธาตุ สารประกอบ สารละลาย สารผสม 3. ผู้เรยี นศึกษาใบความรจู้ ากท่ีแต่ละกลุ่มจบั ฉลากได้ และสอ่ื อินเตอร์เน็ต โดยใหเ้ วลาศกึ ษา 15 นาที 4. ผเู้ รียนแต่ละกลุ่มส่งตวั แทนนาเสนอเรื่องท่ีศกึ ษา กลมุ่ ละไม่เกิน 5 นาที หนา้ ชั้นเรียน 5. ผ้เู รียนทาแบบทดสอบเรื่องสมบตั ิของสาร เพ่ือทดสอบความเขา้ ใจ ขั้นที่ 3 การปฏิบตั แิ ละการนาไปใช้ (I : Implementation) 1. ครูและผู้เรียนสรุปเนือ้ หาทไี่ ด้เรียนรู้ร่วมกนั ข้ันที่ 4 การประเมินผลการเรียนรู้ (E : Evaluation) 1. ผู้เรยี นมีส่วนร่วมในการประเมินแบบฝกึ หัดของแต่ละกลุ่มโดยการเขียนช่อื ตนเองไวใ้ นใบงาน 2. ครูสงั เกตจากการมีสว่ นรว่ มของผ้เู รียน 10. ส่อื /แหล่งเรยี นรู้ 1. หนังสอื เรยี น 2. แบบฝึกหดั
104 3. ใบงาน 4. ใบความรู้ 5. สอื่ อินเตอร์เน็ต 11. การวดั และประเมินผล 10.1วิธีการวัดและประเมนิ ผล - ใบงาน - แบบทดสอบก่อนเรียน – หลงั เรียน 10.2 เคร่ืองมอื วัดและประเมินผล - ผลจากการตรวจใบงาน - คะแนนแบบทดสอบก่อนเรียน – หลงั เรยี น 10.3 เกณฑ์การวดั และการประเมนิ ผล - ใบงานคะแนนเต็ม 10คะแนน - แบบทดสอบก่อนเรยี น – หลงั เรยี นเกณฑ์การประเมิน ผา่ น และไมผ่ ่าน กจิ กรรมเสนอแนะ .......................................................................................................................... .......................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... ............................................................................................................................................. ....................................... ลงชอ่ื …………………………………………….ครผู สู้ อน (นางสาวจันทรท์ พิ ย์ ศรลี ัย) ครู กศน.ตาบล ขอ้ เสนอแนะของผู้บริหาร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………........ ............................................................................................................................. ............................................................ ............................................................................................................................. ........................................................... ลงชื่อ………………………………………………………ผู้อนุมัตแิ ผน (นางป๎ทมาภรณ์ ศรเี นตร) ผ้อู านวยการ กศน.อาเภอจตรุ พักตรพมิ าน
105 บนั ทึกหลังการจัดการเรยี นรู้ กศน.ตาบลศรีโคตร ครงั้ ท่ี 12 วัน/เดอื น/ปวี นั ท่ี 27 เดอื นกรกฎาคม พ.ศ. 2565 ครผู สู้ อนนางสาวจันทรท์ ิพย์ ศรลี ัย ระดบั มัธยมศึกษาตอนต้น เวลา 09.00-12.00 น. สาระความรู้พน้ื ฐาน รายวิชา วิทยาศาสตร์ รหสั วชิ า พว21001 จานวนผ้เู รยี นทัง้ หมด ............... คนเขา้ เรียน…………………คน ไมเ่ ขา้ เรยี น……………………….คน 1. ผลการจดั กิจกรรมการเรียนรู้การประเมินโดยใช้ แบบทดสอบก่อนเรียน - หลงั เรียน พบว่า คะแนนการทดสอบหลงั เรียน มากกวา่ ก่อนเรียนจานวน ........ คนคิดเป็นรอ้ ยละ............ คะแนนการทดสอบหลังเรียน นอ้ ยกวา่ ก่อนเรียนจานวน ......... คนคิดเป็นร้อยละ............ 2. เนือ้ หา/สาระ/รายวิชา ................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ...................................... 3. กิจกรรมการเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ...................................... ................................................................................................................................................................... 4. ปญั หา/อปุ สรรคการเรียนการสอน ............................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................................................. ...................................... 5. แนวทางการแกป้ ญั หา ................................................................................................................................................................. .. ............................................................................................................................. ...................................... ลงชื่อ.........................................................(ผ้บู ันทึก) (นางสาวจันทร์ทพิ ย์ ศรีลัย) ครู กศน.ตาบล ความเหน็ /ข้อเสนอของผูบ้ รหิ าร .............................................................................................................................................................. ..... ............................................................................................................................. ......................................
106 ลงชอ่ื .................................................. (นางปท๎ มาภรณ์ ศรเี นตร) ผอู้ านวยการ กศน.อาเภอจตรุ พกั ตรพิมาน ใบความทร่ี ู้ 1 เรอ่ื งเกณฑใ์ นการจาแนกสาร เรอื่ งท่ี 1 สมบตั ขิ องสารและเกณฑ์ในการจาแนกสาร สมบตั ิของสารหมายถึงลักษณะเฉพาะตัวของสารเชน่ เน้อื สารสกี ลน่ิ รสการนาไฟฟาู การละลายนา้ จุดเดอื ดจดุ หลอมเหลวความเปน็ กรด – เบสเปน็ ต้นสารแต่ละชนิดมีสมบตั ิเฉพาะตัวทแ่ี ตกตา่ งกนั แบ่งเปน็ 2 ประเภทคือ 1. สมบัตทิ างกายภาพของสารเปน็ สมบตั ขิ องสารท่ีสามารถสังเกตได้ง่ายเพ่ือบอกลกั ษณะของสารอย่างคร่าวๆ ไดแ้ ก่สถานะความแข็งความอ่อนสีกลน่ิ ลกั ษณะผลกึ ความหนาแนน่ หรือเป็นสมบัติท่อี าจตรวจสอบไดโ้ ดยทาการ ทดลองอยา่ งง่ายๆได้แกก่ ารละลายนา้ การหาจุดเดอื ดการหาจุดหลอมเหลวหรือจุดเยือกแขง็ การนาไฟฟูาการหา ความถว่ งจาเพาะการหาความรอ้ นแฝง 2. สมบัตทิ างเคมหี มายถึงสมบัตเิ ฉพาะตัวของสารท่เี กีย่ วข้องกับการเกิดปฏิกิรยิ าเคมเี ชน่ การเกิดสารใหมก่ าร สลายตวั ให้ได้สารใหมก่ ารเผาไหม้การระเบิดและการเกดิ สนมิ ของโลหะเปน็ ต้น เกณฑ์ในการจาแนกสาร ในการศึกษาเรื่องสารจาเปน็ ต้องแบง่ สารออกเป็นหมวดหมเู่ พ่ือให้งา่ ยต่อการจดจาสารโดยทั่วไปนิยมใช้ สมบัติทางกายภาพด้านใดดา้ นหนึ่งของสารเปน็ เกณฑใ์ นการจาแนกสาร ซง่ึ มหี ลายเกณฑ์ดว้ ยกนั เชน่ 1. ใช้สถานะเปน็ เกณฑ์จะแบ่งสารออกได้เป็น 3 กลุ่มคือ 1.1 ของแขง็ ( solid ) หมายถึงสารท่ีมีลักษณะรูปรา่ งไมเ่ ปล่ียนแปลงและมรี ูปรา่ งเฉพาะตัวเนอ่ื งจากอนภุ าค ในของแขง็ จัดเรียงชดิ ตดิ กนั และอดั แน่นอยา่ งมีระเบยี บไม่มีการเคล่อื นท่ีหรอื เคลือ่ นที่ไดน้ ้อยมากไม่สามารถทะลผุ ่าน ไดแ้ ละไม่สามารถบีบหรือทาใหเ้ ลก็ ลงไดเ้ ช่นไม้หนิ เหลก็ ทองคาดนิ ทรายพลาสตกิ กระดาษเป็นต้น 1.2 ของเหลว ( liquid ) หมายถึงสารท่ีมีลกั ษณะไหลได้มีรูปรา่ งตามภาชนะทบ่ี รรจุเน่ืองจากอนุภาคใน ของเหลวอยหู่ ่างกันมากกว่าของแข็งอนุภาคไม่ยึดติดกันจงึ สามารถเคล่ือนท่ีได้ในระยะใกลแ้ ละมแี รงดึงดดู ซ่งึ กันและ กนั มีปรมิ าตรคงทสี่ ามารถทะลุผา่ นได้เชน่ นา้ แอลกอฮอล์น้ามนั พชื น้ามันเบนซินเปน็ ต้น 1.3 แกส๊ ( gas ) หมายถึงสารทล่ี ักษณะฟูุงกระจายเต็มภาชนะที่บรรจุเนื่องจากอนุภาคของแกส๊ อยหู่ ่างกัน มากมีพลงั งานในการเคล่ือนท่ีอยา่ งรวดเรว็ ไปได้ในทุกทิศทางตลอดเวลาจงึ มแี รงดงึ ดูดระหว่างอนุภาคนอ้ ยมาก สามารถทะลผุ ่านไดง้ ่ายและบีบอัดใหเ้ ล็กลงได้งา่ ยเช่นอากาศแก๊สออกซิเจนแก๊สหงุ ตม้ เป็นตน้ 2. ใชค้ วามเป็นโลหะเปน็ เกณฑ์แบ่งไดเ้ ปน็ 3 กลุ่มคือ 2.1 โลหะ ( metal) 2.2 อโลหะ ( non-metal ) 2.3 กึ่งโลหะ ( metaliod ) 3. ใช้การละลายนา้ เป็นเกณฑ์แบ่งได้ 2 กลมุ่ คือ 3.1 สารทล่ี ะลายนา้ 3.2 สารทไ่ี ม่ละลายน้า
107 4. ใชเ้ นอ้ื สารเปน็ เกณฑแ์ บง่ ออกเปน็ 2 กลุ่มคือ 4.1 สารเน้อื เดียว ( homogeneous substance ) 4.2 สารเน้ือผสม ( heterogeneous substance ใบความรู้ท่ี 2 สมบัตขิ องธาตสุ ารประกอบสารละลายสารผสม ธาตุ (Element) หมายถึงสารบริสุทธ์ิท่ีมีองค์ประกอบอย่างเดียวธาตุไม่สามารถจะนามาแยกสลายให้ กลายเปน็ สารอ่ืนโดยวิธีการทางเคมีธาตุมีทั้งสถานะที่เป็นของแข็งเช่นธาตุสังกะสี(Zn) ตะกั่ว (Pb) เงิน (Ag) และดีบุก (Sn) , เป็นของเหลวเช่นปรอท (Hg) เป็นก๊าซเช่นไนโตรเจน (N2) ฮีเลียม (He) ออกซิเจน (O2) ไฮโดรเจน (H2) เป็น ตน้ สารประกอบ (compound) หมายถึง “สารบริสุทธิ์เนื้อเดียวที่เกิดจากธาตุตั้งแต่สองชนิดขึ้นไปเป็น องคป์ ระกอบ” สารประกอบเกิดจากการรวมตัวของธาตุโดยวิธีการทางเคมีสามารถแยกสลายให้เกิดเป็นสารใหม่หรือ กลับคืนเป็นธาตุเดิมได้สารประกอบจะมีสมบัติเฉพาะตัวท่ีแตกต่างจากธาตุเดิมเช่นน้ามีสูตรเคมีเป็น H2O น้าเป็น สารประกอบท่ีเกิดจากธาตุไฮโดรเจน (H) และออกซิเจน (O) แต่มีสมบัติแตกต่างจากไฮโดรเจนและออกซิเจนน้าตาล ทรายประกอบด้วยธาตุคารบ์ อน ( C ),ไฮโดรเจน (H) ,และออกซิเจน (O) เป็นต้น สารละลาย (solution) หมายถงึ สารเนื้อเดียวท่ีไมบ่ ริสทุ ธเ์ิ กิดจากสารต้ังแต่ 2 ชนดิ ขน้ึ ไปมารวมกัน สารผสมหมายถึงสารท่ีมีองค์ประกอบภายในแตกต่างกันหรือสารท่ีเน้ือไม่เหมือนกันทุกส่วนเช่นพริกเกลือ คอนกรีตดินหรืออาจเป็นสารตั้งแต่สองชนิดขึ้นไปผสมกันอยู่โดยที่สารเหล่าน้ียังมีสมบัติเหมือนเดิมและสามารถแยก ออกจากกันได้โดยวธิ งี า่ ยๆ
108 แบบฝกึ หัด คาชแ้ี จงจงเลอื กคาตอบที่คิดว่าถกู ต้องท่สี ุดเพียงคาตอบเดียวในแตล่ ะข้อ 1) ขอ้ ใดไม่ใชส่ สาร ก. เกลือแกงใสล่ งในอาหาร ข. เสียงของสุนขั หอน ค. น้าแกงกาลังเดือด ง. สายไฟทท่ี าจากพลาสตกิ 2) ทองเหลอื งจัดเปน็ สารประเภทใด ก. ธาตุ ข. สารประกอบ ค. สารละลาย ง. สารเนือ้ ผสม 3) ขอ้ ใดต่อไปนี้เป็นความหมายของสารประกอบ ก. โมเลกุลของสารประกอบด้วยธาตุ 2 อะตอมข้นึ ไป ข. สารท่ีธาตุเป็นชนิดเดียวกัน ค. สารที่เกดิ จากธาตุ 2 ชนิดขึน้ ไปมารวมกนั ง. ผลติ ภณั ฑท์ ีไ่ ด้จากการทาปฏิกริ ิยากันของสาร 2 ชนดิ 4) ขอ้ ความต่อไปนี้ข้อใดถูกต้อง ก. สารละลายทุกชนดิ เปน็ สารบรสิ ทุ ธิ์ ข. สารบรสิ ุทธบิ์ างชนดิ เป็นสารเน้อื เดียว ค. สารประกอบทกุ ชนิดเปน็ สารเนอื้ เดียว ง. ธาตบุ างชนดิ เป็นสารเนื้อเดียว 5) ถ้าจดั เหลก็ น้าเช่ือมและสารละลายกรดซลั ฟวิ ริกให้อยู่ในกลมุ่ เดียวกนั จะตอ้ งใช้อะไรเป็นเกณฑ์ในการจัด ก. การนาไฟฟาู ข. การละลาย ค. การเป็นสารเน้ือเดียวกนั ง. สมบัตเิ ปน็ กรด-เบส 6) วิธีการกล่ันนา้ ให้บรสิ ทุ ธแ์ิ บบธรรมดาจะไมเ่ หมาะสมเม่ือนามาใช้กบั อะไร ก. นา้ ทะเล ข. นา้ คลอง ค. นา้ ผสมแอลกอฮอล์ ง. สารละลายโพแทสเซียมคลอไรด์ 7) การแยกน้ามนั ดิบสว่ นใหญ่อาศัยวิธีการแบบใด ก. การสันดาป ข. การกลนั่ ลาดบั ส่วน ค. การตกตะกอนลาดับสว่ น ง. การสลายตัวด้วยความรอ้ น 8) กรดในขอ้ ใดเป็นกรดอนิ ทรียท์ ั้งหมด ก. น้ามะขามกรดไฮโดรคลอริก ข. น้ามะนาวกรดไนตริก ค. กรดแอซิติกนา้ มะนาว ง. นา้ มะขามกรดซัลฟวิ ริก 9) สารใดตอ่ ไปน้มี ีสภาพเป็นเบสทงั้ หมด ก. นา้ มะนาวน้าอดั ลม ข. นา้ มะขามน้าเกลือ ค. สารละลายผงซักฟอกน้าขี้เถ้า ง. สารละลายยาสฟี ๎นน้ายาล้างจาน 10) สบเู่ กิดจากปฏกิ ิริยาเคมีระหวา่ งสงิ่ ใด ก. แชมพูกบั น้ามันพชื ข. กรดกบั ไขมนั สตั ว์ ค. ไขมันสัตวก์ บั น้าขเ้ี ถ้า ง. ไมม่ ขี ้อใดถกู
109 เฉลยแบบทดสอบเรือ่ งสารและการจาแนกสาร 1. ข 6. ง 2. ก 7. ข 3. ค 8. ก 4. ค 9. ค 5. ก 10. ง
110 แผนการจดั การเรียนรรู้ ายวชิ าวิทยาศาสตร์ คร้ังที่ 4 ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2565 ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนตน้ กศน.ตาบลศรีโคตร 1. สปั ดาห์ที่ 13 วันที่ 3 เดือน สิงหาคม พ.ศ. 2564 เวลา 09.00-12.00น. 2. วชิ า วิทยาศาสตร์ รหัสวชิ า พว21001 จานวน 4 หนว่ ยกติ 3. มาตรฐานที่ 2.2 มคี วามรู้ความเขา้ ใจ และทักษะพ้นื ฐานเก่ยี วกับคณิตศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี 4. หน่วยการเรยี นรู/้ เรอ่ื ง งานและพลังงาน 5. สาระสาคญั ความหมายของงานและพลังงาน รูปของพลังงานประเภทต่าง ๆ พลังงานไฟฟูา กฎของโอหม์ การตอ่ วงจร ความต้านทานแบบต่าง ๆ การคานวณหาคา่ ความตา้ นทาน การใช้ประโยชนจ์ ากไฟฟูาในชีวติ ประจาวัน และการ อนุรักษ์พลังงานไฟฟูา แสงและคณุ สมบตั ิของสาร เลนส์ชนดิ ตา่ ง ๆ ประโยชนแ์ ละโทษของแรงต่อชีวิต แหล่งกาเนดิ ของพลังงานความร้อน การนาความรอ้ นไปใช้ประโยชนพ์ ลังงานทดแทน 6. เนอ้ื หา เรืองที่ 1 ความหมายของงานและพลงั งาน เรืองท่ี 2 รูปของพลังงานประเภทต่าง ๆ เรอื งที่ 3 ไฟฟูา เรอื งท4่ี แสง 7. จุดประสงค์การเรยี นรู/้ ผลการเรียนรู้ทีค่ าดหวงั (ดูจากผังการออกขอ้ สอบ) 1. อธิบายความหมายของงานและพลงั งานในรปู แบบต่าง ๆ ได้ 2. ต่อวงจรไฟฟูาอย่างงา่ ยได้ 3. ใชก้ ฎของโอห์มในการคานวณได้ 4. บอกวิธกี ารอนุรักษ์และประหยัดพลงั งานได้ 5. อธบิ ายสมบตั ขิ องแสง พลงั งานความรอ้ น และนาไปใชป้ ระโยชนใ์ นชวี ิตประจาวันได้ 6. อธบิ ายพลังงานทดแทนและเลือกใช้ได้ 8. การบูรณาการกบั หลกั แนวคิดของเศรษฐกจิ พอเพียง (2 เงอื่ นไข 3 หลักการ การเชือ่ มโยงสู่ 4 มติ ิ) ความรู้ สรปุ ความ จับประเด็นสาคัญของเรื่องงานและพลงั งาน คณุ ธรรม - มคี วามตัง้ ใจ - มคี วามขยนั - มีความซ่อื สัตย์ พอประมาณ - เนื้อหาวชิ าท่เี รียนรู้มคี วามเหมาะสมกบั วยั ของผู้เรียนและใชเ้ วลาเหมาะสมกบั เนื้อหา - ผู้เรยี นเลือกวชิ าท่ีสามารถศึกษาเองได้เปน็ การเรยี นแบบ กรต.
111 มเี หตุผล - ผเู้ รยี นนาวสั ดทุ มี่ มี าปรบั ใช้ในการทาพลังงานทดแทน มีภมู ิคุ้มกนั - มีความร้เู รอื่ งงานและพลงั งาน - มีความรเู้ รอื่ งการใช้ประโยชน์จากพลงั งานแตล่ ะประเภท วัตถุ - การใช้วสั ดุอปุ กรณแ์ ตล่ ะชนิดจนทาใหเ้ กิดประเภทของงานและพลงั งานแตล่ ะประเภท สังคม - ผ้เู รยี นแลกเปล่ียนความคิดเห็นร่วมกันได้ - ผูเ้ รียนใชก้ ระบวนการกลุ่มได้อย่างเหมาะสม ส่ิงแวดล้อม - ใชว้ ัสดอุ ุปกรณท์ ม่ี ีในท้องถิ่นและอนุรักษส์ ่ิงแวดล้อมได้ วัฒนธรรม - ใช้วัสดุในทอ้ งถน่ิ นามาประดษิ ฐ์และใช้ให้เกดิ แรงต่างๆ 9. กระบวนการจดั การเรยี นรแู้ ละกจิ กรรมการเรียนรู้ ขน้ั ท่ี 1 กาหนดสภาพปญั หาการเรยี นรู้ 1. ครูสรา้ งความคนุ้ เคยกับผูเ้ รยี นทาความเขา้ ใจเน้ือหาวชิ าวทิ ยาศาสตร์เร่ืองงานและพลังงานชี้แจง ตวั ชว้ี ัดของหนว่ ยการเรียนรู้ 2. ครูทักทายกล่าวนาอธิบายการกาหนดเปูาหมายและการวางแผนการเรียนรู้เรือ่ งงานและพลังงาน ขน้ั ท่ี 2 แสวงหาข้อมลู และจัดการเรยี นรู้ 1. ครอู ธบิ ายเร่อื งงานและพลงั งาน และประโยชนข์ องการนาไปใช้ 2. ผเู้ รียนศึกษาใบความรู้ และส่อื อินเตอรเ์ น็ต 3. ผู้เรียนแตล่ ะกลุม่ ส่งตัวแทนนาเสนอเรื่องท่ีศกึ ษา กลุ่มละไมเ่ กิน 5 นาที หนา้ ช้นั เรียน 4. ผู้เรยี นทาแบบทดสอบเรือ่ งงานและพลังงานเพ่ือทดสอบความเข้าใจ ข้ันที่ 3 การปฏบิ ตั ิและการนาไปใช้ 1. ครูและผเู้ รียนสรุปเนื้อหาทไี่ ด้เรยี นรู้ร่วมกนั ขัน้ ที่ 4 การประเมินผลการเรยี นรู้ 1. ผ้เู รียนมีสว่ นรว่ มในการประเมนิ แบบฝึกหัดของแต่ละกลุม่ โดยการเขยี นชอ่ื ตนเองไว้ในใบงาน 2. ครสู ังเกตจากการมสี ว่ นร่วมของผเู้ รยี น 10. ส่ือ/แหลง่ เรียนรู้ 1. หนังสือเรยี น 2. แบบฝึกหัด
112 3. สือ่ อินเตอรเ์ น็ต 11. การวัดและประเมนิ ผล 11.1วิธกี ารวัดและประเมนิ ผล - ใบงาน - แบบทดสอบก่อนเรียน – หลงั เรียน 11.2 เคร่อื งมอื วัดและประเมินผล - ผลจากการตรวจใบงาน - คะแนนแบบทดสอบก่อนเรียน – หลังเรยี น 11.3 เกณฑก์ ารวัดและการประเมนิ ผล - ใบงานคะแนนเต็ม 10คะแนน - แบบทดสอบก่อนเรียน – หลังเรยี นเกณฑ์การประเมิน ผ่าน และไมผ่ า่ น กิจกรรมเสนอแนะ ............................................................................................................................. ....................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... .................................................................................................................................................................................... ลงช่ือ…………………………………………….ครผู สู้ อน (นางสาวจันทรท์ พิ ย์ ศรลี ัย) ครู กศน.ตาบล ข้อเสนอแนะของผู้บริหาร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………........ ............................................................................................................................. ............................................................ ................................................................................................................................. ...................................................... ลงชอ่ื ………………………………………………………ผอู้ นุมัติแผน (นางปท๎ มาภรณ์ ศรีเนตร) ผ้อู านวยการ กศน.อาเภอจตุรพักตรพมิ าน
113 บันทกึ หลังการจดั การเรยี นรู้ กศน.ตาบลศรโี คตร ครง้ั ท่ี 13 วัน/เดือน/ปีวันท่ี 3 เดอื นสิงหาคม พ.ศ. 2565 ครผู ูส้ อนนางสาวจันทรท์ ิพย์ ศรีลยั ระดบั มัธยมศึกษาตอนต้น เวลา 09.00-12.00 น. สาระความรู้พ้ืนฐาน รายวิชา วิทยาศาสตร์ รหัสวิชา พว21001 จานวนผเู้ รยี นทงั้ หมด ............... คนเขา้ เรยี น…………………คน ไม่เขา้ เรียน……………………….คน 1. ผลการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้การประเมนิ โดยใช้ แบบทดสอบก่อนเรียน - หลงั เรยี น พบวา่ คะแนนการทดสอบหลงั เรียน มากกวา่ กอ่ นเรยี นจานวน ........ คนคิดเป็นร้อยละ............ คะแนนการทดสอบหลังเรยี น นอ้ ยกวา่ ก่อนเรยี นจานวน ......... คนคิดเปน็ ร้อยละ............ 2. เนอื้ หา/สาระ/รายวิชา ............................................................................................................... .................................................... ............................................................................................................................. ...................................... 3. กิจกรรมการเรยี นการสอน ........................................................................................................................................... ........................ .......................................................................................................... ......................................................... 4. ปญั หา/อุปสรรคการเรียนการสอน ............................................................................................................................. ...................................... ................................................................................................................................ ................................... 5. แนวทางการแก้ปญั หา ................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ...................................... ลงชื่อ.........................................................(ผบู้ ันทึก) (นางสาวจนั ทรท์ ิพย์ ศรีลยั ) ครู กศน.ตาบล ความเหน็ /ข้อเสนอของผูบ้ ริหาร ................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ...................................... ลงชื่อ.................................................. (นางป๎ทมาภรณ์ ศรเี นตร) ผูอ้ านวยการ กศน.อาเภอจตรุ พกั ตรพมิ าน
114 ใบความรู้ เรอื่ ง งานและพลังงาน งานและพลงั งาน งาน (Work) คือ ปรมิ าณของพลงั งานทเ่ี ป็นผลมาจากแรงซ่ึงกระทาตอ่ วตั ถุ ก่อนสง่ ผลให้วัตถดุ งั กล่าว เคลื่อนที่ไปตามแนวแรงได้ในระยะทางหน่ึง ซึ่งในระบบเอสไอ (SI) งานเป็นปริมาณสเกลาร์ (Scalar) เชน่ เดียวกบั พลงั งาน มีหน่วยเป็นนวิ ตันเมตร (N•m) หรือ จลู (J) สามารถคานวณได้จากความสัมพนั ธ์ ดงั ต่อไปนี้ W=Fxs เม่อื W = งานท่เี กดิ ขึน้ จากแรงกระทา F = แรงทก่ี ระทาต่อวตั ถุ มหี น่วยเป็นนวิ ตัน (N) s = ระยะทางที่วตั ถุเคลอื่ นทไ่ี ปตามแนวแรง มีหน่วยเป็นเมตร (m) ในทางฟสิ ิกส์ งานจะเกดิ ข้ึนได้ ต่อเมื่อมีแรงมากระทาตอ่ วัตถุ แลว้ ทาใหว้ ัตถมุ ีการกระจัดอยู่ในทิศทางหรือใน แนวเดียวกันกับแรง เชน่ เม่ือยกกล่องท่มี นี า้ หนัก 30 นวิ ตนั ขนึ้ จากพนื้ ไปวางบนชั้นหนังสือท่ีสงู จากพ้ืน 1.2 เมตร งานที่เกิดขึน้ จากแรงกระทาดังกล่าว สามารถคานวณได้จากสตู ร W = F x s ตวั อยา่ งเช่น จากแรงกระทา หรือ F = 30 นวิ ตนั และระยะทาง หรอื s = 1.2 เมตร W = 30 นิวตนั x 1.2 เมตร = 36 จูล ดังนั้น งานทที่ าได้มีคา่ เท่ากบั 36 จลู ซ่งึ จากนิยามดงั กลา่ ว งานท่ีเกดิ ขน้ึ จะมีคา่ เป็นบวก (+) เม่อื แรงและการกระจัดเปน็ ไปในทิศทางเดียวกัน โดย งานทีไ่ ดจ้ ะมีคา่ เป็นลบ (-) ต่อเมื่อแรงและการกระจดั เป็นไปในทศิ ทางตรงกนั ข้าม ขณะทงี่ านจะมคี ่าเป็นศนู ย์ (0) หาก แรงและการกระจดั เกดิ ขึ้นในระนาบซ่งึ ตงั้ ฉากตอ่ กันและกัน เน่ืองจากแรงท่ีกระทาไมส่ ามารถทาให้วัตถเุ คล่ือนทีไ่ ป จากตาแหน่งเดิมได้ กาลงั (Power) คอื อตั ราของงานทที่ าได้ในหนึง่ หนว่ ยเวลา โดยกาลงั เป็นตัวชว้ี ดั ความสามารถในการทางานของท้งั เครื่องยนต์ มนุษย์ สัตว์ หรือส่ิงมีชวี ติ อื่น ๆ โดยสามารถคานวณไดจ้ ากความสัมพันธ์ ดังต่อไปนี้ P = W/t เมื่อ P = กาลงั มีหน่วยเป็นวตั ต์ (W) W = งานที่ทาได้ มีหนว่ ยเป็นนวิ ตันเมตร หรอื จลู (J) t = ระยะเวลาของการทางาน มีหนว่ ยเป็นวนิ าที (s)
115 พลงั งาน (Energy) คอื ความสามารถในการทางานของสิ่งมชี วี ิต วตั ถุ หรอื สสารต่าง ๆ เชน่ การหายใจ การ เคล่ือนที่ หรอื การเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร กระบวนการเหลา่ นี้สามารถดาเนินต่อไปไดเ้ พราะพลังงานใน ธรรมชาติ พลังงานเปน็ ปริมาณพน้ื ฐานของระบบ ซ่ึงไม่มีวันสญู สลาย แต่สามารถเปลย่ี นไปอยใู่ นรูปแบบตา่ ง ๆ ของ พลงั งาน ตาม “กฎการอนรุ ักษพ์ ลงั งาน” (Law of Conservation of Energy) เชน่ พลงั งานนวิ เคลียร์ พลังงานความ รอ้ น หรือพลังงานไฟฟูา เปน็ ตน้ ประเภทของพลงั งาน พลังงานแบ่งออกเป็น 6 ประเภท ตามลกั ษณะท่ีเห็นได้ชัดเจน ซ่ึงได้แก่ 1. พลงั งานเคมี พลังงานเคมเี ป็นพลังงานท่สี ะสมอยูใ่ นสารตา่ งๆ โดยอยใู่ นพันธะระหวา่ งอะตอมในโมเลกลุ เมอ่ื พันธะแตก สลาย พลงั งานสะสมจะถกู ปล่อยออกมาในรปู ของความรอ้ นและแสงสวา่ ง เชน่ พลงั งานท่ีถกู เก็บไว้ในแบตเตอร่ี พลงั งานในกองฟืน พลังงานในขนมช็อกโกแลต พลงั งานในถังน้ามัน เมื่อไม้ลกุ ไหม้แลว้ จะใหค้ าร์บอนไดออกไซด์และ ไอนา้ รวมถึงผลติ ของเสียอน่ื ๆ เช่น ข้ีเถา้ เนือ่ งจากเชื้อเพลงิ ที่ใช้แตล่ ะชนดิ มโี ครงสร้างทางเคมที ี่ต่างกนั เมือ่ ใช้ในปรมิ าณเช้ือเพลงิ ทเ่ี ท่ากัน จึงให้ความร้อนไม่ เทา่ กัน ซึ่งก๊าซธรรมชาตนิ น้ั ให้ความรอ้ นมากกวา่ นา้ มัน และน้ามนั นั้นก็ให้ความร้อนมากกวา่ ถา่ นหนิ 2. พลงั งานความร้อน แหล่งกาเนดิ พลงั งานความรอ้ น มนษุ ย์เราได้พลงั งานความร้อนมาจากหลายแหง่ ดว้ ยกนั เช่น จากดวงอาทติ ย์, พลังงานในของเหลวร้อนใตพ้ ้ืนพิภพ การเผาไหม้ของเช้ือเพลงิ พลังงานไฟฟูา พลงั งานนวิ เคลียร์ พลังงานนา้ ในหม้อ ต้มนา้ พลังงานเปลวไฟ ผลของความร้อนทาให้สารเกิดการเปล่ียนแปลง เชน่ อุณหภูมสิ งู ขนึ้ หรือมีการเปลี่ยนสถานะ ไป นอกจากน้ี พลังงานความร้อน ยังสามารถทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีได้อีกดว้ ย หน่วยทีใ่ ชว้ ัดปริมาณความร้อน คือ แคลอร่ี โดยใชเ้ ครอื่ งมอื ท่ีเรยี กวา่ แคลอร่มี ิเตอร์ 3. พลังงานกล พลังงานกลเปน็ พลังงานทเี่ กี่ยวข้องกบั การเคล่ือนท่ีโดยตรง เช่น ก้อนหินท่ีอยบู่ นยอดเนนิ จะมพี ลังงานศักย์ กล (Potential mechanical energy) อยจู่ านวนหนง่ึ ขณะทีก่ ้อนหินกลิง้ ลงมาตามทางลาดของเนนิ พลงั งานศกั ยจ์ ะ ลดลง และเกิดพลงั งานจลน์กลของการเคล่อื นท่ี (Kinetic mechanical energy) ขนึ้ แทน สิง่ มชี ีวิตอาศยั พลงั งานรูปนี้ในการทางานที่ต้องมีการ เคล่ือนไหวเปน็ ประจา เช่น การเดิน การขยับแขนขา การหยิบ วตั ถุ เป็นต้น 4. พลงั งานจากการแผร่ ังสี พลงั งานท่ีมาในรูปของคลนื่ เช่น แสง ความรอ้ น คล่ืนวทิ ยุ อินฟาเรด อัลตราไวโอเลต รงั สเี อกซ์ รงั สีคอสมิก สิ่งมีชวี ิตต้องอาศยั พลงั งานรูปนี้ ในกระบวนการทสี่ าคญั ต่างๆ เชน่ การมองเห็นภาพ การสังเคราะห์ดว้ ยแสง การ ขยายพนั ธ์ชุ นดิ ทีข่ น้ึ อยูก่ ับช่วงแสง อาจสรปุ ได้วา่ เป็นพลังงานจากคล่นื แม่เหลก็ ไฟฟาู นั้นเอง ซึ่งพลังงานรปู นมี้ บี ทบาท
116 ต่อความเป็นอยู่ปกตขิ องส่งิ มีชวี ติ และอาจจะไดพ้ ลงั งานที่ได้รับจากดวงอาทติ ย์ พลังงานจากเสาสง่ สญั ญาณทวี ี พลงั งานจากหลอดไฟ พลงั งานจากเตาไมโครเวฟ และพลังงานจากเลเซอร์ท่ใี ชอ้ ่านแผน่ ซีดี เปน็ ต้น 5. พลังงานไฟฟ้า พลงั งานท่ีไดจ้ ากปฏกิ ริ ยิ าเคมีแบบหน่ึงอนั มผี ลใหเ้ กิดกระแสไฟฟาู ขึน้ ได้ และกระแสไฟฟูาทเี่ กิดขึ้นนีจ้ ะไหล ผ่านความต้านทานไฟฟูาไดถ้ า้ ต่อให้เป็นวงจร ผลจากกระแสไฟฟูาดงั กลา่ วอาจทาใหเ้ กดิ ผลต่างๆ เช่นกอ่ ให้เกิดอานาจ แมเ่ หลก็ เกดิ ความรอ้ นหรือแสงสวา่ ง พลงั งานท่ีเกิดจากการผา่ นขดลวดไปในสนามแม่เหลก็ พลงั งานที่ใชข้ บั เคร่ือง คอมพิวเตอร์ และพลังงานท่ีไดจ้ ากเซลล์แสงอาทติ ย์ เป็นต้น 6. พลังงานนวิ เคลยี ร์ พลังงานท่ีถูกปล่อยออกจากสารกมั มันตภาพรังสี ทีม่ ีอยู่ในธรรมชาติหรือทีเ่ กิดในเตาปฏกิ รณป์ รมาณหู รือ ระเบดิ ปรมาณู การเกดิ ฟวิ ชันของนวิ เคลียร์เลก็ มหี ลกั อยวู่ ่า ถา้ นาเอาธาตเุ บาๆ ตั้งแต่ 2 ธาตขุ ึน้ ไป มารวมกนั โดยมี พลงั งานความร้อนอย่างสูงเข้าช่วย จะทาใหธ้ าตุเบาๆ น้รี วมกัน กลายเป็นธาตใุ หม่ ซ่ึงหนกั กวา่ เดมิ สว่ นฟิสชัน เกดิ จากปฏกิ ริ ยิ าระหวา่ งการยิงอนุภาคบางชนิดกบั นิวเคลยี สของธาตุหนักๆ ทาให้นิวเคลยี สของธาตุหนกั แตกแยกออกเปน็ 2 สว่ น ซ่ึงแตล่ ะสว่ นเปน็ ธาตทุ ีเ่ บากว่าเดมิ และขนาดเกือบเทา่ ๆ กนั พลงั งานรูปนม้ี บี ทบาทต่อ ความเป็นอย่ปู กตขิ องสิ่งมชี ีวติ น้อย ประเภทของพลังงานกล (Mechanical Energy) พลงั งานศักย์ (Potential Energy : Ep) คือ พลังงานท่ีสะสมอยู่ในวตั ถหุ รือสสารที่หยุดน่งิ อยู่กบั ที่ โดย พลงั งานศักยส์ ามารถจาแนกออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ พลังงานศักยโ์ นม้ ถ่วง (Gravitational Potential Energy) คือ พลังงานทีส่ ะสมอยใู่ นวัตถุ เน่อื งจากแรงโน้มถ่วง ของโลก เชน่ พลังงานของนา้ ในเขื่อน หรือ ก้อนหนิ บนภูเขาสูง ซึง่ ทาให้พลังงานศักย์โน้มถว่ งสามารถคานวณได้จาก ความสัมพนั ธ์ ดงั นี้ Ep = mgh เม่ือ Ep = พลงั งานศักยโ์ น้มถ่วง มีหน่วยเป็นนิวตันเมตร หรอื จลู (J) m = มวล มีหน่วยเปน็ กโิ ลกรัม (kg) g = ความเร่งจากแรงโน้มถ่วงโลก มีคา่ ราว 9.8 เมตรต่อวนิ าทีกาลังสอง (m/s2) h = ระยะความสงู ของวัตถุ มีหนว่ ยเปน็ เมตร (m) พลังงานศกั ย์ยืดหยนุ่ (Elastic Potential Energy) คอื พลงั งานทส่ี ะสมอยู่ในวัตถุท่ีมีความหยดื หยุ่น โดย พลงั งานจะสะสมอยู่ในรปู ของการหดตวั บดิ เบ้ยี ว หรือโคง้ งอ จากการได้รับแรงกระทา ก่อนมีแรงดึงตัวกลับ เพอ่ื คืนสสู่ ภาพเดิม เชน่ สปรงิ ขดลวด หรอื นาฬกิ าไขลาน พลังงานจลน์ (Kinetic Energy : Ek) คอื พลงั งานท่ีเกิดขึ้นในขณะท่วี ัตถุกาลังเคล่ือนที่ เชน่ การไหลของกระแสนา้ การบนิ ของนก และการเคลอ่ื นทขี่ องรถยนต์ ซึ่งพลังงานจลนส์ ามารถคานวณไดจ้ ากความสมั พันธ์ ดงั นี้ Ek = ½ mv^2
117 เมือ่ Ek = พลงั งานจลน์ มหี น่วยเปน็ นวิ ตันเมตร หรือ จูล (J) m = มวล มีหนว่ ยเป็นกิโลกรมั (kg) v = ความเร็ว มหี น่วยเปน็ เมตรตอ่ วนิ าที (m/s) ปจั จัยที่มีผลต่อพลังงานจลน์ คือ มวลของวตั ถุและความเร็วในการเคลอ่ื นท่ี ซึ่งโดยทัว่ ไปแลว้ วัตถุทเ่ี คล่ือนที่ ด้วยความเรว็ สงู มักมีพลังงานจลนม์ ากกว่าวตั ถุซ่ึงเคลือ่ นท่ีดว้ ยความเรว็ ตา่ แต่ถ้าวัตถดุ ังกล่าวเคลอื่ นทด่ี ว้ ยความเร็ว เท่ากนั วัตถทุ ี่มมี วลมากกวา่ จะมีพลงั งานจลน์มากกว่า
118 ใบงานวชิ าวิทยาศาสตร์ เร่อื ง พลังงานศกั ยโ์ นม้ ถ่วง พลังงานจลน์ พลังงานกลและกฎการอนรุ ักษ์พลังงาน ชื่อ....................................................สกุล........................................ระดบั ............................................ คาชีแ้ จง : จงตอบคาถามต่อไปนี้ให้ถูกต้องสมบูรณ์ 1. พลงั งานกลคือ................................................................................................................. ........................ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. พลังงานศกั ย์โน้มถ่วงคือ.......................................................................................................................... …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. พลงั งานจลนค์ ือ............................................................................................................... ....................... …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4. พลงั งานจลนข์ องวัตถุจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับ...................................................................................... …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 5. พลงั งานศักย์ของวัตถจุ ะมากหรือน้อยข้นึ อยู่กบั ...................................................................................... 6. จงหาพลงั งานจลน์ของวัตถุมวล 4 กโิ ลกรัมเม่ือเคลือ่ นทดี่ ้วยความเร็ว 20 เมตรต่อวนิ าที …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 7. วตั ถุมวล 4 กโิ ลกรมั อยสู่ งู จากพื้นดิน 10 เมตร จะมพี ลังงานศักยเ์ ท่าใด (กาหนดค่า g = 9.8 m/s2 ) …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… คาชีแ้ จง ใชข้ อ้ มูลต่อไปน้ีตอบคาถามขอ้ 8 – 9 วัตถมุ วล 10 กโิ ลกรมั ปล่อยจากตึกสงู จากพน้ื ดนิ 20 เมตร 8. จงหาพลงั งานศักยข์ องวตั ถุ (กาหนดคา่ g = 9.8 m/s2 ) …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
119 ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… แผนการจดั การเรยี นร้รู ายวชิ าทักษะการพัฒนาอาชีพ ครงั้ ที่ 1 ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2565 ระดบั มัธยมศึกษาตอนต้น กศน.ตาบลศรีโคตร 1. สัปดาห์ท่ี 14 วันท่ี 10 เดือน สงิ หาคม พ.ศ. 2565 เวลา 09.00-12.00น. 2. วิชา ทักษะการพัฒนาอาชพี รหัสวิชา อช21002 จานวน 4 หน่วยกิต 3. มาตรฐานท่ี 3.4 มคี วามรู้ ความเข้าใจ ในการพัฒนาอาชพี ใหม้ คี วามมนั่ คง 4. หน่วยการเรียนรู้/เรื่อง ความจาเป็นในการฝึกทักษะ กระบวนการผลิตกระบวนการตลาดที่ใช้ นวัตกรรม เทคโนโลยีเพ่ือพฒั นาอาชีพ 5. สาระสาคญั การประกอบอาชีพจาเปน็ ต้องมีการพัฒนาทง้ั ดา้ นกระบวนการผลิต และกระบวนการตลาดอย่างต่อเนือ่ ง เพื่อใหส้ ินค้าอยู่ในตลาดไดน้ าน โดยนานวัตกรรมเทคโนโลยมี าประยุกตใ์ ชก้ ับภมู ปิ ญ๎ ญาใหเ้ หมาะสม นอกจากจะมีความรู้ ความสามารถในทักษะกระบวนการผลิตและกระบวนการตลาดแล้ว ผปู้ ระกอบธรุ กจิ จาเปน็ ต้องมีความสามารถด้านอนื่ ๆ ประกอบด้วย ได้แก่ การหาแหลง่ ที่เอ้ือต่อการพัฒนาอาชพี ความเขา้ ใจในปรชั ญา ของเศรษฐกจิ พอเพียงและการพัฒนาตนเองอยา่ งสมา่ เสมอ จงึ จะทาให้อาชีพมคี วามเขม้ แขง็ กอ่ นท่ีจะฝกึ ทกั ษะเพอ่ื พฒั นาอาชพี จะต้องทราบว่า จะฝึกทักษะอะไรบา้ ง แล้ววางแผนการฝึกว่าจะ ฝกึ อยา่ งไร ท่ไี หน เมื่อไร ระหวา่ งการฝกึ ควรมีการจดบันทึกเพ่ือสรปุ เปน็ องคค์ วามรู้ 6. เน้ือหา 1. ความจาเปน็ ในการฝึกทกั ษะ เพ่ือพฒั นาอาชพี 2. ความจาเปน็ ในการพฒั นาการผลติ 3. ความจาเปน็ ในการพัฒนากระบวนการตลาด 7. จดุ ประสงค์การเรียนร/ู้ ผลการเรยี นรู้ทค่ี าดหวัง 1.อธบิ ายความจาเปน็ ในการฝึกทักษะ กระบวนการผลติ กระบวนการตลาดท่ีใช้ นวัตกรรม เทคโนโลยี 8.การบูรณาการกับหลักแนวคิดของเศรษฐกิจพอเพียง (2 เง่อื นไข 3 หลกั การ การเชื่อมโยงสู่ 4 มติ ิ) ความรู้ ความจาเปน็ ในการฝกึ ทักษะ เพ่อื พฒั นาอาชีพ ความจาเป็นในการพฒั นาการผลิต ความจาเป็นในการพัฒนา กระบวนการตลาด คณุ ธรรม - มีความขยนั - มีความสามคั คีในการทางานร่วมกนั - มีความซือ่ สัตย์ พอประมาณ
120 - การมีสติ และคดิ พิจารณาความเหมาะสม / ความจาเปน็ ในการประกอบอาชีพ มเี หตุผล - มที ักษะในการในการพฒั นาอาชพี สามารถวางแผนการผลิตและการตลาดได้ - สามารถผลติ สินคา้ และการตลาดที่มคี ุณภาพ มภี มู ิคมุ้ กนั - ลดการลดทุนท่ีเกดิ ความเสี่ยง - ลดความเสี่ยงในการขาดทนุ วัตถุ - มีสนิ คา้ ทมี่ ีคุณภาพ - มีอาชพี ท่ีม่ันคง สังคม - มีการทางานร่วมกนั เปน็ กลุ่มแลกเปลยี่ นความคดิ และวเิ คราะห์ร่วมกัน ส่งิ แวดล้อม - มีอาชีพทีใ่ ช้ทรัพยากรท่ีมีความคุมค่า วฒั นธรรม - สง่ เสริมการประกอบอาชพี ใหเ้ หมาะสมกบั ชมุ ชนทตี่ นอาศัย 9. กระบวนการจดั การเรยี นรูแ้ ละกิจกรรมการเรียนรู้ ข้นั ที่ 1 กาหนดสภาพปญั หาการเรยี นรู้ 1. ครูพูดคยุ เกยี่ วกับสภาพป๎ญหาในการประกอบอาชีพ ว่ามปี ๎ญหาอะไรบา้ ง และสามารถนาทักษะและ กระบวนการผลติ คือ ทุน แรงงาน สถานท่ี การจดั การเข้ามาบรหิ ารจดั การโดยใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยี พรอ้ มกับ กระบวนการตลาดทจ่ี ะแนะนาผลติ ภณั ฑเ์ ข้าสู่ตลาดได้อยา่ งไร ขั้นที่ 2 แสวงหาข้อมูลและจัดการเรยี นรู้ 1. ครนู าสินค้าชนดิ เดยี วกนั แต่คนละยี่หอ้ มาใหผ้ ู้เรยี นเปรียบเทียบสนิ ค้าทั้งสองชนดิ ในช้ันเรยี นในเรอื่ ง 1.1 ราคา 1.2 ผลิตภณั ฑ์ 1.3 ช่องทางการจดั จาหน่าย 1.4 การสง่ เสริมการขาย 2.ครูให้ผเู้ รยี น แบง่ เปน็ 3 กลมุ่ ๆละ เท่าๆ กนั โดยกาหนดประเด็นการศึกษาค้นควา้ 1 ความจาเป็นในการพฒั นาการผลิต 2 ความจาเปน็ ในการพัฒนากระบวนการตลาด 3 ความจาเป็นในการฝกึ ทักษะเพื่อพัฒนาอาชีพ 3. ผูเ้ รยี นศึกษาเนื้อหาเพ่ิมเติมจากใบความร้แู ละสื่ออนิ เตอร์เนต็ ขั้นที่ 3 การปฏิบตั ิและการนาไปใช้
121 1. ใหน้ ักศกึ ษาวิเคราะหอ์ าชีพท่ีสนใจ ให้ครอบคลุมเน้ือหาความจาเป็นทัง้ สามหวั ข้อ พร้อมนาเสนอหนา้ ช้นั เรียน ข้นั ท่ี 4 การประเมนิ ผลการเรยี นรู้ 1. ใหผ้ เู้ รียนประเมนิ ผลเนื้อหาและการนาเสนอของเพื่อนด้วยการยกมือใหค้ ะแนน 2. ครูและผ้เู รยี นสรุปเน้อื หาพรอ้ มแลกเปล่ียนเรยี นรูร้ ว่ มกัน 10. ส่ือ/แหลง่ เรยี นรู้ 1. หนังสอื เรยี นรายวิชาทกั ษะการพัฒนาอาชพี (อช21002) 2. ใบงาน 3. ใบความรู้ 4. สอื่ อินเตอร์เน็ต 11. การวดั และประเมินผล 11.1วิธกี ารวัดและประเมนิ ผล - ใบงาน 11.2 เครือ่ งมอื วดั และประเมินผล - ผลจากการตรวจใบงาน 11.3 เกณฑก์ ารวัดและการประเมนิ ผล - ใบงาน กิจกรรมเสนอแนะ ....................................................................................................... .................................................................................. ............................................................................................................................. ............................................................ ลงช่ือ…………………………………………….ครูผูส้ อน (นางสาวจันทร์ทิพย์ ศรีลัย) ครู กศน.ตาบล ขอ้ เสนอแนะของผู้บริหาร ..................................................................................................................... .................................................................... ............................................................................................................................. ............................................................ ลงชื่อ………………………………………………………ผอู้ นุมัตแิ ผน (นางปท๎ มาภรณ์ ศรเี นตร)
122 ผู้อานวยการ กศน.อาเภอจตรุ พกั ตรพมิ าน บันทกึ หลังการจัดการเรยี นรู้ กศน.ตาบลศรโี คตร ครงั้ ที่ 14 วนั /เดือน/ปวี นั ท่ี 10 เดือน สิงหาคม พ.ศ. 2565 ครูผสู้ อนนางสาวจนั ทร์ทิพย์ ศรีลยั ระดบั มัธยมศึกษาตอนต้น เวลา 09.00-12.00 น. สาระการประกอบอาชีพ รายวชิ า ทกั ษะการพัฒนาอาชีพ รหัสวิชา อช21002 จานวนผู้เรยี นท้งั หมด ............... คนเขา้ เรยี น…………………คน ไม่เขา้ เรยี น……………………….คน 1. ผลการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้การประเมินโดยใช้ แบบทดสอบก่อนเรียน - หลังเรยี น พบวา่ คะแนนการทดสอบหลงั เรยี น มากกวา่ กอ่ นเรยี นจานวน ........ คนคดิ เป็นร้อยละ............ คะแนนการทดสอบหลงั เรยี น น้อยกว่าก่อนเรยี นจานวน ......... คนคิดเป็นรอ้ ยละ............ 2. เนอ้ื หา/สาระ/รายวิชา .............................................................................................................................................................. ..... ............................................................................................................................. ...................................... 3. กจิ กรรมการเรียนการสอน ............................................................................................................................. ...................................... ......................................................................................................................................................... .......... 4. ปญั หา/อปุ สรรคการเรียนการสอน ......................................................................................... .......................................................................... ............................................................................................................................. ...................................... 5. แนวทางการแก้ปัญหา ............................................................................................................................. ...................................... ........................................................................................ ........................................................................... ลงชื่อ.........................................................(ผูบ้ นั ทกึ ) (นางสาวจนั ทรท์ พิ ย์ ศรีลัย) ครู กศน.ตาบล ความเห็น/ข้อเสนอของผ้บู รหิ าร ............................................................................................................................. ...................................... ...................................................................................... .............................................................................
123 ลงชื่อ.................................................. (นางป๎ทมาภรณ์ ศรเี นตร) ผู้อานวยการ กศน.อาเภอจตุรพักตรพิมาน ใบความรู้ เรอ่ื งที่ 1 ความจาเป็นในการฝึกทักษะกระบวนการผลิต กระบวนการตลาด ทใ่ี ชน้ วตั กรรมเทคโนโลยเี พือ่ พัฒนาอาชพี 1.1 ความจาเป็นในการฝึกทกั ษะเพ่ือพฒั นาอาชีพ การพฒั นาทักษะอาชีพดา้ นต่าง ๆ ใหท้ นั ตอ่ การเปลยี่ นแปลงของตลาด ไดแ้ ก่ ความรู้ ความสามารถใน กระบวนการผลิต และกระบวนการการตลาด การพฒั นาอาชีพมีความสาคัญและจาเป็น ดงั น้ี 1. ดา้ นเศรษฐกิจ จากการแข่งขันทางธุรกจิ ท่มี ีการแขง่ ขนั ทางการตลาดสงู จึงเกิดการรวมกลุม่ การคา้ ตา่ ง ๆ เชน่ เขตการคา้ เสรีอาเซียน เขตเศรษฐกิจยุโรป ดงั น้นั การพัฒนาอาชีพจงึ เปน็ มีการพัฒนาสนิ คา้ ใหส้ ามารถเขา้ สตู่ ลาด การแข่งขนั และเป็นทีย่ อมรบั ของต่างประเทศ 2. ด้านสงั คม ประเทศที่มเี ศรษฐกิจดีจะส่งผลให้สภาพของสงั คมดขี ึน้ เช่น ปราศจากโจรผรู้ ้าย 3. ด้านการศกึ ษา ครอบครวั ที่มเี ศรษฐกิจดจี ะสามารถสง่ บุตรหลานเข้ารับการศึกษาไดต้ ามความต้องการ และในอนาคตเยาวชนเหลา่ นี้ก็จะเปน็ ประชากรท่ีมีคณุ ภาพ มีความสามารถในการประกอบอาชีพ สง่ ผลตอ่ เศรษฐกจิ สงั คมใหม้ ีความเจริญก้าวหน้าต่อไป 1.2 ความจาเป็นในการพฒั นากระบวนการผลติ จากสภาพสงั คมท่ีมีการเปลยี่ นแปลงอยูต่ ลอดเวลา ส่งผลใหค้ วามตอ้ งการสนิ คา้ ของผู้บริโภคมคี วามแตกต่าง กนั ท้ังทางดา้ นปรมิ าณและดา้ นคณุ ภาพ ดังนน้ั การพัฒนาอาชพี จึงมีความจาเป็นเพ่ือรองรบั การเปลย่ี นแปลงนัน้ เทคนิคและวิธีการในการพฒั นากระบวนการผลิต และกระบวนการตลาด โดยการนาภมู ิปญ๎ ญา นวตั กรรม/เทคโนโลยี มาประยุกต์ใช้ในการพฒั นาการประกอบอาชพี กระบวนการผลติ เปน็ การบริหารจดั การด้านทุน แรงงาน ที่ดนิ หรอื สถานที่ใหเ้ กิดผลผลติ หรือสินค้า ทมี่ ีการ พัฒนาอย่างต่อเน่ือง เพ่ือให้ตรงกับความต้องการของตลาด องคป์ ระกอบของกระบวนการผลิตนาเสนอได้ตามแผนภูมิ ดังน้ี 1. ทนุ หมายถึง ป๎จจยั ที่เป็นเงนิ ทุน วสั ดุ อุปกรณ์ วัตถดุ บิ เคร่ืองมือ เคร่ืองจักร ซ่งึ ตอ้ งศึกษาวา่ มี ทนุ ใดเข้า มาเก่ยี วข้องและถา้ จะปรบั ปรุงแกไ้ ขต้องพจิ ารณาวา่ ต้องใช้ทนุ ประเภทใดมากน้อยเพียงใด ลดจานวนทีใ่ ชไ้ ปบา้ งได้ หรอื ไม่ หรือใช้สิ่งทดแทนทีม่ รี าคาถูกแทนสง่ิ ที่มีราคาแพงได้หรอื ไม่ หรือเน้นใชท้ นุ ท่ีมีอยู่ในทอ้ งถิน่ เพราะถา้ ใช้ทุน จากท่ีอนื่ จะมีคา่ ใชจ้ ่ายสูงข้นึ เชน่ ค่าขนส่ง ค่าแรงงาน ถ้าเปน็ เงินที่ต้องใชใ้ นการลงทุนที่ตอ้ งไปกูย้ ืม เสยี ดอกเบี้ยใน อตั ราที่สงู จะทาอยา่ งไรถงึ จะลดดอกเบ้ยี ให้ตา่ ลง ซง่ึ จะมผี ลตอ่ การลดตน้ ทนุ 2. แรงงาน หมายถึง แรงงานคน สตั ว์ เคร่ืองจักรต่าง ๆ ที่ใชใ้ นการผลิต ผู้เรยี นจะต้องศึกษา วเิ คราะห์ การ ใชแ้ รงงานวา่ ใชแ้ รงงานคุ้มค่ากบั เงนิ ทุนและเวลาหรือไม่ ใช้แรงงานเหมาะสมกับงานหรือขนาดของพื้นทีห่ รอื ไม่ เชน่ พ้นื ทีน่ ้อยกค็ วรใชแ้ รงงานคนไม่ควรใช้เครื่องจักรขนาดใหญ่ แรงงานที่ใช้มีคณุ ภาพหรือไม่ มีการให้ขวญั กาลงั ใจแก่ แรงงานที่ใชห้ รอื ไม่
124 3. สถานที่ หมายถึง ทด่ี ินทากิน หรือสถานที่ต่าง ๆ เชน่ ห้างสรรพสินคา้ รา้ นค้า ซึ่งเป็นสถานทีป่ ระกอบการ ถ้าเปน็ ทีด่ นิ ทากนิ อาชพี เกษตรก็อาจจะพิจารณาวา่ ได้ใชท้ ี่ดินค้มุ คา่ กบั การลงทนุ หรอื ไม่ ใชท้ ้งั หมด หรอื ใชอ้ ย่าง เหมาะสมกบั การปลูกพืชหรือเลยี้ งสัตว์หรอื ไม่ มีการทานุบารงุ ท่ดี นิ ทากินบา้ งหรือไม่ เช่น บารุงดินโดยปลกู พชื ตระกูล ถ่ัว แลว้ ไถกลบเพ่ือบารุงดิน สาหรบั อาชีพบริการ เช่น ขายอาหาร เปิดร้านเสริมสวย ซ่อมรองเทา้ นวดแผนโบราณ ซึง่ ตอ้ งอาศัยทาเลท่ตี ั้ง เช่น อยู่ในย่านชมุ ชน การเดนิ ทางสะดวกสบาย มีทจ่ี อดรถให้ลกู ค้า ส่ิงต่างๆ เหล่านี้ต้องนามาพจิ ารณาเพื่อพัฒนาใหด้ ี ขน้ึ 4. การจดั การ เป็นการนาทุน แรงงาน และที่ดนิ หรอื สถานทีไ่ ปบรหิ ารจดั การใหเ้ กิดผลผลติ อยา่ งคุ้มค่าและ ไดป้ ระโยชนส์ ูงสุด ดังน้นั การจดั การจงึ เปน็ ส่งิ สาคญั และจาเปน็ ตอ่ การประกอบธรุ กจิ ถ้ามีกระบวนการจดั การที่ผา่ น การคดิ วิเคราะห์ วางแผนอย่างเปน็ ข้ันตอน รอบคอบบนฐานข้อมูลที่เป็นจริง และตามสถานการณ์ในขณะน้นั กน็ ับว่า ไดเ้ ปรยี บกว่าบุคคลอื่น ๆ ท่ีไมไ่ ด้ให้ความสาคัญ แต่ทาดว้ ยความเคยชิน ทาให้ขาดการพัฒนาอย่างต่อเน่ือง จึงทาให้ ธุรกจิ มีแต่คงท่หี รอื ถอยหลงั เพอ่ื ให้อาชีพดาเนนิ ต่อไปได้ มีรายไดใ้ หค้ รอบครวั มีกนิ มใี ชใ้ นครวั เรอื น ควรตอ้ งคานึงถึง การออมเงนิ เพื่อเป็นหลักประกันของครอบครัวต่อการดารงชีวิตของลูกหลานและการศึกษาต่อ การประกอบอาชพี จาเปน็ ตอ้ งมีการจัดการในการนานวตั กรรมหรอื เทคโนโลยีมาใช้ในการผลติ เพ่ือให้ผลผลิตมีคณุ ภาพและมีปรมิ าณ เพยี งพอต่อความตอ้ งการของตลาด 1.3 ความจาเป็นในการพฒั นากระบวนการตลาด เป็นการบริหารจดั การดา้ นการตลาด เริม่ ต้ังแตก่ ารศกึ ษาความ ตอ้ งการของลูกค้า การกาหนดเปูาหมาย การทาแผนการตลาด การสง่ เสรมิ การขาย การกาหนดราคาขาย การขาย การส่งมอบสินคา้ ให้กบั ลกู คา้ ผู้ผลิตก็ต้องศึกษาวเิ คราะหจ์ ดุ ออ่ น จดุ แข็งของกระบวนการตลาดทกุ ขัน้ ตอนเพื่อนา ข้อมลู มาใช้พฒั นาอาชพี การตลาดเปน็ เร่อื งยากของผ้ปู ระกอบอาชีพใหม่ รวมถึงผู้ที่ประกอบอาชีพอยู่แลว้ การศึกษาข้อมลู และการทา ความเข้าใจในวธิ กี ารตลาดจะสามารถนามาปรบั ใช้เพื่อการพฒั นากระบวนการตลาด สามารถแสดงกระบวนการได้ ตามแผนภูมิ ดังนี้ 1. ผลิตภณั ฑ์ / สินค้า หมายถงึ ผลผลติ /ผลิตภณั ฑ/์ การบริการ เช่น ผลผลติ การเกษตร ผลติ ภณั ฑ์แปรรูป ต่าง ๆ หรือเป็นสินคา้ ประเภทบรกิ าร เช่น ขายอาหาร เสรมิ สวย นวดแผนโบราณ ซึ่งผูป้ ระกอบการต้องพิจารณา ความต้องการของลูกคา้ อย่ตู ลอดเวลาวา่ ความต้องการนั้นลดลงหรอื เพ่ิมขึน้ ถา้ ลดลงจะต้องมีการศึกษา วิเคราะห์ ลักษณะของผลผลติ /ผลติ ภัณฑ์ เชน่ รปู ลักษณ์ ความสวยงาม ความต่นื ตาตนื่ ใจ ประโยชน์ของการใชส้ อย โดยยึด ความต้องการของกลุ่มลกู ค้าเป็นสาคัญ สาหรับอาชีพบริการตอ้ งให้ความสาคัญกับการบรกิ ารด้วย เช่น มารยาทการ บรกิ าร ความรบั ผิดชอบ การมมี นษุ ยสัมพนั ธ์ 2. ราคา หมายถงึ การตงั้ ราคาขายสนิ คา้ ซึง่ ข้ึนอยู่กบั ต้นทุนการผลิต เชน่ ค่าวัสดอุ ปุ กรณ์ คา่ ดอกเบ้ยี คา่ เช่า สถานท่ี ค่าแรงงาน คา่ ประชาสมั พันธ์ คา่ ขนส่ง ค่าน้ามัน ถ้าส่งไปขายต่างประเทศจะมีราคาแพงกวา่ ขายในประเทศ ไทย แต่อย่างไรกต็ ามผขู้ ายควรเน้นการต้งั ราคาให้เหมาะสมกับคณุ ภาพของสนิ คา้ และควรใหใ้ กล้เคียงกบั คู่แขง่ ขนั ถา้ สินคา้ ใดคแู่ ข่งน้อย ผขู้ ายก็ควรตั้งราคาใหย้ ุตธิ รรมกบั ผูบ้ ริโภค ไม่ควรเอาเปรยี บลูกค้าเกินไป
125 ดังนน้ั ผ้ปู ระกอบการควรศกึ ษา วเิ คราะห์ว่า ราคาของปจ๎ จยั การผลติ ผันแปรอย่างไรลดลงหรือเพิ่มขึ้น หรอื จัดหาวัสดทุ ่มี รี าคาถูกทดแทนวสั ดทุ ี่ราคาแพงได้ เพอ่ื ใหต้ น้ ทุนลดลงได้ หรอื สามารถปรบั ลดอตั ราดอกเบยี้ คา่ เช่า สถานที่ คา่ ขนสง่ หรือลดการประชาสัมพนั ธก์ ็จะทาให้ต้นทุนการผลิตลดลง ซ่งึ จะมผี ลต่อการกาหนดราคาขาย ผลิตภัณฑ์ ถา้ กาหนดราคาขายตา่ กวา่ ค่แู ขง่ แต่ปรมิ าณการขายมากจะดีกว่าขายราคาแพง ซึง่ ผลกาไรโดยรวมสงู กว่าก็ น่าจะยึดหลกั การน้ี 3. ช่องทางการจัดจาหนา่ ย เป็นการกระจายสนิ คา้ ให้ไปถงึ ผ้บู ริโภคอยา่ งปลอดภยั ซง่ึ มหี ลายวิธี เช่น การ ขายผา่ นคนกลาง การขายปลีก ซึ่งผ้ปู ระกอบการจะต้องพิจารณาความรู้ ความสามารถและศึกษาศักยภาพของตนเอง ในการเลือกช่องทางการจัดจาหน่ายสนิ คา้ ซงึ่ ไม่จาเป็นต้องมีชอ่ งทางจาหน่ายสินคา้ เพียงวิธีเดียว อาจใชห้ ลาย ๆ วิธี เพ่ือใหเ้ หมาะสม เช่น แตเ่ ดิมขายผลไม้ผ่านคนกลางเพียงอยา่ งเดยี ว ตอ่ มาเพิ่มวธิ ีการขายปลีก ทาให้มชี อ่ งทางการจดั จาหนา่ ยท้ังขายผ่านคนกลางและขายปลีก 4. การส่งเสริมการขาย เปน็ การใช้เทคนิคหรอื วิธกี ารให้ลูกคา้ รจู้ กั และต้องการซ้ือสินค้าโดยวธิ ตี า่ ง ๆ เชน่ การจดั ใหม้ ีการชิงรางวลั การมสี ว่ นลด ซอ้ื 1 แถม 1 การสง่ เสรมิ การขายอาจจะประชาสัมพันธโ์ ดยวธิ ีต่าง ๆ เช่น แจก แผ่นปลิว ประกาศลงในหนงั สือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ นอกจากจะสง่ เสริมการขายด้วยวิธีต่าง ๆ แลว้ การบริการหลังการขายก็เป็นเรือ่ งสาคัญเพราะการที่ลกู ค้า สัง่ ซื้อสินคา้ ครง้ั หนึ่งนนั้ ไมไ่ ด้หมายความว่าผ้ขู ายจะขายได้ครัง้ เดียว แต่หากมีการบริการหลงั การขายทดี่ ี ลูกค้าก็ สามารถกลับมาซอื้ ใหม่ หรอื อาจบอกต่อคนอืน่ ๆ ให้มาใชบ้ รกิ ารกไ็ ด้ ดังนั้น ผปู้ ระกอบการจะตอ้ งศกึ ษา วเิ คราะห์ การส่งเสรมิ การขายทด่ี าเนินการอยวู่ ่ามขี ้อดีข้อเสยี อย่างไร ควรมกี ารปรบั ปรงุ วธิ ีการหรือไม่อย่างไร 1.4 การพฒั นาอาชพี ต่อยอดและประยุกตใ์ ชภ้ มู ิปัญญา ในปจ๎ จุบนั การพฒั นาอาชีพต่อยอดเป็นเร่อื งสาคัญสาหรบั ผู้ผลติ เพราะการทมี่ ผี ู้ผลติ จานวนมาก ทผ่ี ลติ สินค้า ซา้ ๆ กันจะทาใหเ้ กดิ ตวั เลือกในการบริโภคผลติ ภัณฑ์ ซ่งึ เป็นการดสี าหรับผบู้ รโิ ภค แต่ไม่ดีสาหรบั ผู้ผลิตเพราะจะทาให้ เกิดส่วนแบ่งตลาดมากขน้ึ ดงั น้นั ผู้ผลติ ตอ้ งมีความคดิ ริเริ่มสรา้ งสรรคใ์ นการพัฒนาต่อยอดจากผลติ ภัณฑ์เดิมให้มีความ แตกต่างและนา่ สนใจสาหรับผู้บริโภค ภมู ิปญ๎ ญา หมายถึงความรู้ ความสามารถ ความชาญฉลาด ทกั ษะและเทคนิคอันเกิดจากพนื้ ความรู้ทผ่ี า่ น กระบวนการสบื ทอด เลือกสรร ปรับปรุง พัฒนา การสร้างงาน ด้วยประสบการณ์ทส่ี ะสมมาเปน็ เวลานานอย่าง เหมาะสม สอดคลอ้ งกับยุคสมยั การพฒั นาอาชีพโดยการประยกุ ต์ใชภ้ มู ปิ ญ๎ ญา เป็นการนาภูมิปญ๎ ญามาเช่อื มโยงให้สอดคลอ้ งกับอาชีพเดมิ จึงจาเป็นตอ้ งศกึ ษา วิเคราะห์ จุดออ่ น จดุ แขง็ ของอาชพี ถงึ แมเ้ ร่ืองใดจะเป็นจุดแขง็ อยู่แล้วกต็ อ้ งวเิ คราะห์ว่าควรจะ พฒั นาอะไรได้อกี ส่วนจดุ อ่อนยง่ิ ตอ้ งวิเคราะห์อยา่ งรอบคอบ ถถ่ี ้วนเพื่อให้ดขี ึ้นกวา่ เดิม เช่น ปจ๎ จุบันนิยมใช้ของ โบราณ กอ็ าจจะนามาประยกุ ตใ์ ชใ้ นการพฒั นาอาชีพ เชน่ มีอาชพี ขายกาแฟอยแู่ ลว้ ก็อาจจะนาวิธีชงกาแฟแบบ โบราณมาประยุกตใ์ ช้ เพื่อใหเ้ ป็นจดุ ขายและเปน็ การอนุรักษ์ของดีดัง้ เดิม 1.5 ทกั ษะการใชน้ วัตกรรม/เทคโนโลยีเพ่อื การพฒั นาอาชพี นวตั กรรม หมายถึง ความคิด การปฏบิ ตั ิ หรอื ส่ิงประดิษฐใ์ หมท่ ี่ยงั ไมเ่ คยใชม้ าก่อนหรอื เปน็ การพัฒนา ดัดแปลง มาจากของเดิมทม่ี อี ยแู่ ลว้
126 เทคโนโลยี หมายถึง การใชค้ วามรู้ เครอ่ื งมือ ความคิด หลกั การ เทคนิค ระเบียบวธิ ีการ ตลอดจน กระบวนการ ที่มนษุ ย์พัฒนาขึ้นเพือ่ ชว่ ยในการทางานหรือแก้ปญ๎ หาต่างๆ เช่น อุปกรณ์ เครอ่ื งจักร วัสดุ หรอื แม้กระทง่ั ส่งิ ท่ีไม่สามารถจับต้องได้ การทีจ่ ะยอมรบั หรือปฏิเสธนวัตกรรม/เทคโนโลยี อาจจะต้องพิจารณาประสิทธภิ าพของนวัตกรรม/ เทคโนโลยี ส่วนใหญก่ จ็ ะดูองคป์ ระกอบ 4 ด้าน คอื 1. ความสามารถในการทางาน 2. ประหยดั ค่าใช้จ่าย 3. ทางานไดร้ วดเรว็ 4. ไมท่ าลายสิง่ แวดล้อม ความสามารถในการทางาน ไดต้ รงตามวตั ถปุ ระสงค์ของนวัตกรรม/เทคโนโลยี ได้มากน้อยเพียงใด แต่ จาเปน็ ตอ้ งมีเกณฑ์ชวี้ ดั เพ่ือการยอมรับว่าเท่าใดจึงจะยอมรับได้ อาจจะเปรยี บเทยี บกบั ความสามารถเดมิ ที่เคยใช้มา แต่อยา่ งไรก็ตามการนานวตั กรรม เทคโนโลยมี าใช้ตอ้ งดีขึน้ กว่าเดิม อาจกาหนดเป็นร้อยละก็ได้ เช่น การใชเ้ ครอื่ งนวดข้าวเคร่ืองใหม่สามารถนวดข้าวไดม้ ากกว่าเดิมร้อยละ 20 ซ่ึงยอมรับได้ ประหยดั คา่ ใชจ้ า่ ย เปน็ การมุ่งประเมินเทยี บเคยี งระหว่างนวตั กรรม/เทคโนโลยขี องใหม่ที่จะนาเข้ามาใช้แทน เทคโนโลยีเก่า โดยพิจารณาเปรียบเทียบราคานวตั กรรม/เทคโนโลยใี หมท่ ่ตี อ้ งจ่ายเปน็ เงิน และการลดรายจา่ ยจากเดิม การทางานได้รวดเรว็ เป็นการประเมินเทยี บเคยี งความรวดเร็วในการทางานใชเ้ วลาส้นั ระหวา่ งนวัตกรรม/ เทคโนโลยีเก่ากับใหม่ ไม่ทาลายสิ่งแวดลอ้ ม ผปู้ ระกอบการต้องคานงึ อยู่เสมอวา่ นวตั กรรม/เทคโนโลยจี ะนามาใชต้ ้องเป็นมติ รกับ สงิ่ แวดล้อม และไม่ทาใหผ้ ทู้ ี่อยู่อาศัยใกล้เคียงเดอื ดร้อน
127 ใบงาน เกณฑก์ ารประเมินประสิทธิภาพนวัตกรรม/เทคโนโลยี ให้ผเู้ รียนกาหนดเกณฑ์การประเมินประสิทธิภาพนวตั กรรม/เทคโนโลยใี นการพัฒนาอาชพี ตามองคป์ ระกอบ การประเมินที่กาหนด แบบบนั ทกึ อาชีพ ............................................................................................. องค์ประกอบการประเมิน ลักษณะบ่งช้ี เกณฑ์การยอมรับ ความสาเรจ็ ความสามารถในการทางาน การประหยดั ค่าใช้จ่าย ทางานไดร้ วดเร็ว ไมท่ าลายสิง่ แวดล้อม
128 แผนการจัดการเรยี นรู้รายวิชาทักษะการพัฒนาอาชีพ ครั้งท่ี 2 ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2565 ระดบั มธั ยมศึกษาตอนต้น กศน.ตาบลศรโี คตร 1. สปั ดาห์ท่ี 15 วนั ที่ 17 เดือน สงิ หาคม พ.ศ. 2565 เวลา 09.00-12.00น. 2. วิชา ทกั ษะการพฒั นาอาชพี รหัสวิชา อช21002 จานวน4หนว่ ยกิต 3. มาตรฐานท่ี 3.4 มีความรู้ ความเขา้ ใจ ในการพฒั นาอาชพี ใหม้ ีความมน่ั คง 4. หน่วยการเรยี นร้/ู เรอื่ งความหมาย ความสาคัญของการจัดการอาชพี 5. สาระสาคญั การประกอบอาชีพจาเป็นตอ้ งมกี ารพฒั นาท้งั ด้านกระบวนการผลิต และกระบวนการตลาดอยา่ งต่อเน่ือง เพ่อื ใหส้ นิ ค้าอยู่ในตลาดไดน้ าน โดยนานวตั กรรมเทคโนโลยมี าประยุกตใ์ ช้กบั ภมู ิปญ๎ ญาให้เหมาะสม นอกจากจะมีความรู้ ความสามารถในทักษะกระบวนการผลติ และกระบวนการตลาดแล้ว ผปู้ ระกอบธุรกจิ จาเปน็ ต้องมีความสามารถดา้ นอน่ื ๆ ประกอบดว้ ย ได้แก่ การหาแหลง่ ที่เอื้อต่อการพัฒนาอาชีพ ความเขา้ ใจในปรัชญา ของเศรษฐกจิ พอเพียงและการพฒั นาตนเองอย่างสมา่ เสมอ จึงจะทาให้อาชพี มคี วามเขม้ แข็ง ก่อนท่จี ะฝึกทักษะเพอ่ื พฒั นาอาชพี จะตอ้ งทราบว่า จะฝกึ ทักษะอะไรบ้าง แล้ววางแผนการฝกึ วา่ จะ ฝกึ อย่างไร ทีไ่ หน เมื่อไร ระหวา่ งการฝึกควรมีการจดบนั ทึกเพ่ือสรุปเป็นองค์ความรู้ 6. เนื้อหา อธบิ ายความหมายความสาคัญของการจัดการอาชีพ 7. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้/ผลการเรยี นรู้ทค่ี าดหวงั อธบิ ายความหมาย ความสาคัญของการจัดการอาชีพ และระบบการจัดการ เพ่ือการพัฒนาอาชพี โดย ประยุกต์ใชภ้ มู ปิ ๎ญญา 8. การบรู ณาการกบั หลักแนวคดิ ของเศรษฐกิจพอเพยี ง (2 เงอื่ นไข 3 หลักการ การเช่อื มโยงสู่ 4 มติ ิ) ความรู้ อธิบายความหมายความสาคัญของการจัดการอาชีพ คณุ ธรรม - มคี วามขยนั - มคี วามสามัคคใี นการทางานรว่ มกัน - มีความตง้ั ใจและม่งุ ม่ัน
129 พอประมาณ - ความถนัดในการประกอบอาชีพ - ต้นทนุ - เวลา มเี หตุผล - เกดิ อาชีพท่ีเหมาะสมกบั ตนเอง - บรหิ ารอาชีพได้อย่างมีประสิทธภิ าพ มีภมู ิคมุ้ กนั - มีอาชพี ท่ีสร้างรายได้ ลดความเสยี่ งในการขาดทนุ วตั ถุ - อาชีพท่ีเหมาะสมและม่นั คง - มีทรพั ยากรในการผลิตสนิ ค้าทีเ่ หมาะสม สังคม - มกี ารทางานร่วมกันเป็นกลุ่มแลกเปลย่ี นความคิดและวิเคราะห์ร่วมกัน สิ่งแวดล้อม - ใช้ทรัพยากรท่ีเป็นธรรมชาติในการผลิตสินค้าเพ่อื มลพษิ วฒั นธรรม - มอี าชีพที่ใช้ภมู ปิ ๎ญญาในท้องถิน่ และทรพั ยากรในท้องถิน่ 9. กระบวนการจดั การเรียนรแู้ ละกจิ กรรมการเรียนรู้ ข้ันท่ี 1 กาหนดสภาพปัญหาการเรียนรู้ 1. ครแู ละผูเ้ รยี นพูดคุยเรื่องภูมิป๎ญญาในท้องถน่ิ และยกตัวอย่างผลติ ภัณฑ์ของภมู ปิ ๎ญญาในท้องถิ่นท่ี ผ้เู รยี นรู้จัก 2. ครแู ละผูเ้ รียนร่วมกันพูดคุยเกย่ี วกบั สนิ ค้าของภมู ิปญ๎ ญาชมุ ชน ผลติ ภณั ฑ์ท่เี กดิ จากภมู ิปญ๎ ญาของคน ในชุมชน ขัน้ ท่ี 2 แสวงหาข้อมูลและจัดการเรียนรู้ 1. ครใู ห้ผูเ้ รียนศึกษาค้นควา้ ความหมายความสาคัญของการจดั อาชพี และระบบการจัดการเพ่ือพัฒนา อาชีพโดยประยุกต์ใชภ้ ูมปิ ๎ญญา จากอินเตอร์เน็ต หนังสือแบบเรียน และส่ือภายใน กศน.ตาบล ขน้ั ที่ 3 การปฏิบัตแิ ละการนาไปใช้ 1. ให้นักศกึ ษาวเิ คราะหอ์ าชีพทีส่ นใจ ใหค้ รอบคลมุ เน้ือหา พร้อมนาเสนอหนา้ ช้ันเรียน ขน้ั ที่ 4 การประเมินผลการเรียนรู้ 1. ใหผ้ ูเ้ รยี นประเมินผลเนอ้ื หาและการนาเสนอของเพ่ือนด้วยการยกมอื ใหค้ ะแนน 2. ครูและผูเ้ รยี นสรุปเน้อื หาพร้อมแลกเปล่ียนเรยี นร้รู ่วมกนั 9. สอ่ื /แหล่งเรยี นรู้
130 1. หนังสือเรียนรายวิชาทักษะการพัฒนาอาชพี (อช21002) 2. ใบงาน 3. ใบความรู้ 4. ส่ืออินเตอร์เน็ต 11. การวัดและประเมินผล 11.1วธิ กี ารวดั และประเมินผล - ใบงาน 11.2 เครอ่ื งมือวดั และประเมินผล - ผลจากการตรวจใบงาน 11.3 เกณฑ์การวดั และการประเมินผล - ใบงาน กิจกรรมเสนอแนะ ............................................................................................................................. ............................................................ ................................................................................................................................................................... ...................... ลงชือ่ …………………………………………….ครผู ู้สอน (นางสาวจนั ทรท์ ิพย์ ศรีลยั ) ครู กศน.ตาบล ข้อเสนอแนะของผู้บริหาร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ............................................................................................................................. .......................................................... ลงช่อื ………………………………………………………ผอู้ นมุ ตั ิแผน (นางปท๎ มาภรณ์ ศรเี นตร) ผ้อู านวยการ กศน.อาเภอจตรุ พกั ตรพิมาน
131 บันทึกหลังการจดั การเรยี นรู้ กศน.ตาบลศรโี คตร คร้ังท่ี 15 วนั /เดอื น/ปวี นั ท่ี 17 เดือน สงิ หาคม พ.ศ. 2565 ครผู สู้ อนนางสาวจันทรท์ ิพย์ ศรีลัย ระดับ มธั ยมศึกษาตอนต้น เวลา 09.00-12.00 น. สาระการประกอบอาชพี รายวชิ า ทกั ษะการพัฒนาอาชพี รหสั วิชา อช21002 จานวนผเู้ รยี นท้ังหมด ............... คนเข้าเรียน…………………คน ไมเ่ ขา้ เรยี น……………………….คน 1. ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การประเมนิ โดยใช้ แบบทดสอบก่อนเรียน - หลังเรียน พบว่า คะแนนการทดสอบหลงั เรียน มากกวา่ ก่อนเรียนจานวน ........ คนคดิ เปน็ รอ้ ยละ............ คะแนนการทดสอบหลงั เรยี น น้อยกวา่ ก่อนเรียนจานวน ......... คนคิดเปน็ รอ้ ยละ............ 2. เนอื้ หา/สาระ/รายวิชา ..................................................................................................................................... .............................. .................................................................................................... ............................................................... 3. กิจกรรมการเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ...................................... ................................................................................................................................ ................................... 4. ปญั หา/อปุ สรรคการเรยี นการสอน ................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ...................................... 5. แนวทางการแก้ปัญหา ............................................................................................................................. ...................................... ................................................................................................................................................................... ลงชื่อ.........................................................(ผู้บนั ทึก) (นางสาวจันทรท์ ิพย์ ศรีลยั ) ครู กศน.ตาบล ความเห็น/ข้อเสนอของผบู้ รหิ าร
132 ............................................................................................................................. ...................................... ................................................................................................................................................................... ลงชื่อ.................................................. (นางปท๎ มาภรณ์ ศรีเนตร) ผู้อานวยการ กศน.อาเภอจตรุ พักตรพมิ าน ใบความรู้ เรื่องท่ี 2 ความหมายความสาคญั ของการจดั การอาชีพ การจัดการอาชีพ หมายถงึ กระบวนการจัดกิจกรรมงานอาชีพ นับตง้ั แต่การวางแผนการจัดการองคก์ าร การ ตดั สินใจ การสงั่ การ การควบคุม การติดตามผล เพ่ือให้ไดผ้ ลผลติ หรือบรกิ ารทเี่ ปน็ ท่ีต้องการของลูกค้า และได้รบั การ ยอมรบั จากสังคม ความสาคัญของการจัดการอาชีพ จากคาจากดั ความของการจัดการอาชีพ ทาใหท้ ราบถึงความสาคัญของการ จัดการอาชีพ เพราะทาใหผ้ บู้ ริหารสามารถพัฒนากิจการให้มุง่ ไปสู่ความมีประสิทธภิ าพและสมารถดาเนนิ การใหบ้ รรลุ วตั ถปุ ระสงค์ของกจิ การได้ กลา่ วคอื กิจการสามารถผลิตสินคา้ หรอื บริการที่มีคุณภาพ ทันเวลาตามความต้องการของ ลูกค้า และกิจการได้รับผลตอบแทนคือกาไรสงู สุด สามารถขยายกิจการได้ หรือเพิม่ พูนในการดาเนินการได้ จากการศึกษาวจิ ยั พบวา่ การจัดการอาชีพให้ประสบความสาเร็จประกอบดว้ ย 1. การจัดการอย่างมีคณุ ภาพ หมายถงึ ผูบ้ ริหารมคี วามรูป้ ระสบการณ์ สามารถทางานให้บรรลุผลสาเร็จอยา่ ง มปี ระสทิ ธภิ าพ 2. ผลติ ภัณฑท์ ีม่ คี ุณภาพ หมายถึง การผลิตสินคา้ ท่ีมีคุณภาพ อาจกระทาได้โดยการใชเ้ ทคนิคต่างๆ เร่ิมต้งั แต่ การใช้วัตถุดิบ กระบวนการผลติ การตรวจคณุ ภาพสนิ ค้าก่อนส่งมอบใหล้ ูกค้า 3. ผลิตภณั ฑ์ที่ทันสมยั ด้วยนวตั กรรมใหม่ 4. การลงทนุ ระยะยาวอย่างมีคณุ คา่ 5. สถานภาพการเงินม่นั คง 6. มีความสามารถในการดงึ ดูดใจลกู คา้ ใหส้ นใจผลติ ภัณฑ์/สนิ คา้ 7. คานึงถึงความรับผดิ ชอบต่อสังคมและสงิ่ แวดล้อม 8. การใชท้ รพั ยส์ ินอย่างคุ้มคา่ เรือ่ งท่ี 3 แหลง่ เรยี นรู้และสถานท่ฝี กึ อาชพี จากการท่ผี ู้เรียนไดศ้ ึกษาเก่ยี วกับการพัฒนากระบวนการผลิต กระบวนการตลาด การประยกุ ตใ์ ชภ้ มู ปิ ญ๎ ญา และนวตั กรรม/เทคโนโลยีแลว้ ทาให้รู้วา่ ต้องพัฒนาอาชีพด้านใดบา้ ง ในการพัฒนาความรู้ เพื่อการพฒั นาอาชีพ จาเป็นทีผ่ ้ปู ระกอบการอาชีพตอ้ งศึกษาข้อมลู จากแหลง่ เรยี นรูเ้ ฉพาะ เชน่ ตอ้ งการเงินทุนเพ่ือนาไปซ้ือเคร่ืองจกั รก็ต้อง ศกึ ษาจากแหล่งเงนิ ทุน หรอื ขาดแรงงานก็ต้องจัดเตรยี มหาแรงงานในชว่ งทตี่ ้องการ เปน็ การเตรยี มความพร้อมเพือ่ รองรบั การพัฒนาอาชีพ ผทู้ ี่มีความสามารถในการบรหิ ารจัดการธุรกจิ ได้อย่างมีประสิทธภิ าพ จาเปน็ จะต้องรู้จักเลอื กใช้ ได้แก่
133 1. แหล่งเรียนรูแ้ ละสถานที่ฝึกอาชพี แหล่งเรียนร้แู ละสถานท่ีฝกึ อาชพี หมายถึง แหล่งที่มขี ้อมลู ข่าวสาร ความรู้ ประสบการณ์ สารสนเทศ และ เทคโนโลยี สาหรับผู้เรยี นใช้ในการแสวงหาความรแู้ ละหรอื ฝกึ ทกั ษะในการประกออาชีพ ซ่ึงมอี ยตู่ ามธรรมชาติ และ มนษุ ย์สร้างขึ้น แหลง่ ในท่นี ี้อาจจะเป็นเอกสาร สถานท่ี ตวั บุคคล ผู้รู้ แหล่งเรยี นรธู้ รรมชาติ เช่น ทะเล ปุา ภูเขา แหลง่ เรียนรู้ทม่ี นุษยส์ รา้ งขึน้ เชน่ หอ้ งสมุด พิพธิ ภัณฑ์ อินเทอรเ์ น็ต เวบ็ ไซต์ต่าง ๆ แหลง่ เรียนรู้และสถานท่ีฝกึ อาชีพมีความสาคัญตอ่ การจัดกิจกรรมการเรียนรสู้ าหรับผู้เรยี น โดย เฉพาะผู้เรียน ท่ีอยู่นอกระบบโรงเรยี นที่ต้องศึกษาหาความรูด้ ว้ ยตนเองเป็นสว่ นใหญ่ จงึ ต้องอาศยั แหลง่ เรียนรูต้ า่ ง ๆ ใกลต้ วั เช่น หอ้ งสมุดอาเภอ ศูนย์การเรยี นชุมชน ภมู ิปญ๎ ญา แหลง่ ธรรมชาติต่าง ๆ ผู้เรียนสามารถศึกษาหาความรไู้ ด้ด้วยตนเอง แหล่งเหล่านเี้ ปน็ ขุมทรัพย์ทางปญ๎ ญาท่ีสามารถคน้ หาความรู้ไดไ้ ม่รู้จบ ปจ๎ จบุ ันสถานทฝี่ ึกอาชีพมีหลากหลายทั้งภาครัฐและเอกชนที่จัดใหก้ บั ประชาชนทวั่ ไป เชน่ สานกั งาน กศน. กระทรวงแรงงาน สานกั งานคณะกรรมการอาชีวศกึ ษา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โรงเรยี นของเอกชนต่าง ๆ ที่เปดิ สอนหลักสูตรวิชีพระยะสัน้ 2. แหล่งเงนิ ทุน แหล่งเงินทุน หมายถึง แหล่งทีส่ ามารถให้กยู้ มื เงนิ เพื่อการประกอบอาชีพได้ ซึ่งมีท้ังแหล่งเงนิ ทนุ ของภาครัฐ และเอกชน เชน่ ธนาคารพาณิชย์ตา่ ง ๆ สหกรณ์ กองทนุ กูย้ ืมต่าง ๆ การที่จะกู้ยืมได้ต้องมโี ครงการรองรบั เพื่อให้ แหลง่ เงินทนุ พิจารณาความเป็นไปได้ในการสง่ ใช้เงนิ คืน 3. แหลง่ วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องจกั ร แหล่งวสั ดุ อุปกรณ์ เคร่ืองจักร หมายถงึ แหลง่ ขายหรือแหล่งทีจ่ ะได้มาของวสั ดุ อุปกรณ์ เครอ่ื งจกั ร ท่ี เกย่ี วขอ้ งกบั การประกอบอาชีพ เช่น ประกอบอาชีพการเกษตรจะต้องมวี สั ดุอุปกรณ์ เครื่องจกั รท่ีเก่ียวข้อง เชน่ พันธุ์ พชื ปุ๋ย รถแทรกเตอร์. 4. แหลง่ แรงงาน แหลง่ แรงงาน หมายถงึ แหล่งท่ีจะไดแ้ รงงานมาใช้ ได้แก่ แรงงานจาก คน สตั ว์ และเคร่ืองจักรท่ีใช้ - แรงงานคน หมายถึง แรงงานเจา้ ของกบั แรงงานนอกทจี่ ้างมาทางาน - แรงงานสตั ว์ หมายถึง แรงงานสตั ว์ทใี่ ชใ้ นการประกอบอาชพี เช่น แรงงานจากวัว ควาย ช้าง มา้ ท่ีนามาใช้ ในการประกอบอาชีพ - เคร่อื งจกั ร บางอาชีพมีการใชเ้ ครอื่ งจกั รในการประกอบอาชพี เช่น อาชพี ทานาอาจจะตอ้ งใชร้ ถไถ อาชีพ ทาเหล็กดดั ประตู หน้าต่าง อาจจะใชเ้ ครื่องเช่ือม ต้องพจิ ารณาว่า อาชพี ของตนเองใชเ้ คร่อื งจกั รอะไรบ้าง ท่ีมอี ยู่ ล้าสมยั หรือไม่อย่างไร ขนาดหรอื จานวนพอเพียงกบั การผลติ หรอื ไม่ 5. ตลาด คอื แหล่งที่มีทั้งผูซ้ ื้อและผู้ขายสนิ ค้าตา่ ง ๆ จากผูผ้ ลิตไปสู่ผูบ้ รโิ ภคหรือผู้ใช้บริการน้ันๆ ได้รับความพอใจ ร่วม ถึงการพัฒนาอาชพี มีวตั ถปุ ระสงค์ในการขยายตลาดขายสนิ คา้ ใหม้ ากขึ้น โดยพิจารณาตลาดเดมิ ว่า สามารถรับสนิ ค้าท่ี พฒั นาข้นึ ใหม่ไดห้ รือไม่ ถ้าไม่ไดจ้ ะต้องหาตลาดใหมร่ องรบั
134 ใบงาน อาชีพ ....................................................................................................................... ชอื่ ผูร้ ู้ ........................................................................................................................ การวางแผนการประกอบอาชีพ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ระบบการจดั การอาชีพ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… คณุ ธรรมในการประกอบอาชีพ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… การนาความรทู้ ไ่ี ด้รบั จากภมู ปิ ญั ญา นาไปประยุกต์ใช้ในการดาเนินชีวติ ได้อยา่ งไร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
135 แผนการจดั การเรียนรูร้ ายวชิ าทักษะการเรียนรู้ คร้งั ท่ี 1 ภาคเรยี นที่ 1 ปกี ารศึกษา 2565 ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนตน้ กศน.ตาบลศรีโคตร 1. สัปดาห์ท่ี 16 วันที่ 24 เดอื น สงิ หาคม พ.ศ. 2565 เวลา 09.00-12.00น. 2. วิชา ทักษะการเรียนรู้ รหสั วิชา ทร21001 จานวน 1 หนว่ ยกิต 3. มาตรฐานท่ี 1.1 มคี วามรู้ความเข้าใจ ทักษะ และเจตคตทิ ด่ี ตี ่อการเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง 4. หน่วยการเรยี นร/ู้ เรอ่ื งการจดั การความรู้ 5. สาระสาคัญ การจดั การความรูเ้ ป็นเครื่องมือของการพฒั นาคุณภาพของงาน หรือสรา้ งวัตกรรมในการทางาน การจดั การ ความรจู้ งึ เป็นการจัดการกับความร้แู ละประสบการณ์ท่ีมีอยู่ในตัวคน และความรเู้ ด่นชัด นามาแบ่งปน๎ ให้เกดิ ประโยชน์ต่อตนเองและองค์กรด้วยการผสมผสานความสามารถของคนเข้าด้วยกนั อยา่ งเหมาะสม มเี ปูาหมายเพ่อื การ พัฒนางาน พฒั นาคนและพัฒนาองค์กรให้เปน็ องค์กรแหง่ การเรียนรู้ 6. เนือ้ หา ความหมาย ความสาคญั หลักการกระบวนการจดั การความรู้ การรวมกลุม่ เพื่อต่อยอดความรู้ การ พฒั นาขอบข่ายความรขู้ องกลุ่มและการจัดทาสารสนเทศเผยแพรค่ วามรู้ 7. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้/ผลการเรยี นรู้ทคี่ าดหวงั 1. วเิ คราะหผ์ ลท่ีเกิดข้ึนของขอบเขตความรู้ ตดั สินคณุ คา่ กาหนดแนวทางพัฒนา 1.1 อธบิ ายความหมาย ความสาคัญ หลกั การ กระบวนการจดั การความรู้ การรวมกลุ่มเพ่ือต่อยอดความรู้ การพัฒนาขอบข่ายความรู้ของกล่มุ และจัดทาสารสนเทศเผยแพรค่ วามรู้ - บอกความหมายของการจดั การความรู้ได้ - บอกความสาคัญของการจัดการความรใู้ นระดบั ชมุ ชนได้ - อธบิ ายหลักการจดั การความรไู้ ด้ - อธิบายวธิ ีการหาความรดู้ ้วยวิธกี ารจดั ความรู้ โดยการรวมกลุ่มได้ - อธบิ ายวธิ ีการหาความรเู้ พิ่มเตมิ (ต่อยอด) ด้วยการจดั การความรู้ได้ - บอกวธิ กี ารจัดทาสารสนเทศเพ่ือการเผยแพร่ความรโู้ ดยการใช้สือ่ ทีห่ ลากหลายได้ 8.การบูรณาการกบั หลักแนวคดิ ของเศรษฐกิจพอเพียง (2 เงอ่ื นไข 3 หลกั การ การเช่อื มโยงสู่ 4 มิต)ิ ความรู้
136 อธบิ ายความหมาย ความสาคัญ และการจดั การความรู้ คุณธรรม - มคี วามขยนั - มีความสามัคคใี นการทางานรว่ มกัน - มคี วามต้ังใจและมุ่งม่ัน. พอประมาณ - ความถนดั ในการศกึ ษาหาความร้จู ากแหล่งเรยี นรู้ - ต้นทุน - เวลา มเี หตุผล - มคี วามรู้เพ่ือพัฒนาตนเอง - บริหารเวลาในการศกึ ษาหาความรู้ได้อย่างมีประสทิ ธิภาพ มีภมู ิคุ้มกนั - นาความรทู้ ่ไี ด้มาพฒั นาทักษะด้านต่างๆไดเ้ หมาะสมกับตนเอง วัตถุ - มที รัพยากรในการศึกษาหาความรู้ทหี่ ลากหลาย สังคม - มกี ารทางานรว่ มกันเป็นกลุ่มแลกเปลย่ี นความคิดและวิเคราะห์ร่วมกนั ส่งิ แวดล้อม - ใช้ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมในการศกึ ษาหาความรู้ วัฒนธรรม - มคี วามรทู้ ่ไี ดจ้ ากภมู ปิ ญ๎ ญาในทอ้ งถน่ิ และทรพั ยากรในท้องถ่ิน 9. กระบวนการจัดการเรยี นรูแ้ ละกจิ กรรมการเรียนรู้ ข้ันท่ี 1 กาหนดสภาพปัญหาการเรยี นรู้(O : Orientation) 1. ครูทักทาย/สวสั ดผี ้เู รียน ชีแ่ จงบอกวตั ถปุ ระสงค์การเรียนรู้ 2. ครตู ั้งคาถามให้ผ้เู รยี นชว่ ยกันตอบวา่ ผเู้ รียนคดิ ว่า ความรคู้ อื อะไร? และการจัดการหมายถงึ อะไร? โดยครเู ขียนทุกคาตอบของผเู้ รียนไว้บนกระดาน 3. ครนู าสือ่ ตัวอย่างการจดั การความรูข้ องการรวมกลมุ่ ที่ประสบผลสาเร็จ จากหนังสือพิมพ์ มาแสดง ใหผ้ ้เู รียนดู และแลกเปล่ียนความคิดเหน็ กัน 4. ใหผ้ ู้เรยี นทาแบบทดสอบก่อนเรียน ขน้ั ที่ 2 แสวงหาข้อมลู และจัดการเรียนร้(ู N : New ways of learning) 1. ครทู กั ทาย/สวัสดผี ู้เรียน ช่ีแจงบอกวตั ถปุ ระสงคก์ ารเรยี นรู้ 2. ครูตัง้ คาถามให้ผเู้ รียนชว่ ยกนั ตอบวา่ ผ้เู รียนคดิ ว่า ความรคู้ อื อะไร? และการจดั การหมายถงึ อะไร? โดยครู เขียนทกุ คาตอบของผู้เรียนไว้บนกระดาน
137 3. ครนู าสอื่ ตัวอย่างการจัดการความรูข้ องการรวมกลุ่มทีป่ ระสบผลสาเรจ็ จากหนังสือพิมพ์ มาแสดงใหผ้ ้เู รียน ดู และแลกเปลีย่ นความคิดเห็นกนั 4. ใหผ้ ูเ้ รยี นทาแบบทดสอบก่อนเรยี น ขั้นที่ 3 การปฏบิ ตั ิและการนาไปใช้(I : Implementation) 1. ครใู ห้ผู้เรียนระดมความคดิ ถอดบทเรียนให้สอดคลอ้ งกับหลักเศรษฐกิจพอเพียง 2. ครแู ละผู้เรียนรว่ มกันแลกเปลีย่ นเรียนรูแ้ ละสรปุ ความรูเ้ บ้อื งต้นที่ได้จากแบบสอบถาม เพอ่ื นามา วิเคราะหส์ รปุ ผล และจดั ทารายนาเสนอ ข้ันที่ 4 การประเมนิ ผลการเรียนรู้(E : Evaluation) 1. ใหน้ ักศึกษาออกมาหนา้ ชน้ั เรียน เพ่ือนาเสนอการถอดบทเรียนให้สอดคล้องกบั หลักเศรษฐกจิ พอเพียง จากนน้ั ครใู ห้คะแนน 2. แบบทดสอบหลงั เรียน 10. สื่อ/แหล่งเรยี นรู้ 1. หนังสอื เรยี นรายวชิ าทกั ษะการเรียนรู้ (ทร2100๑) ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 2. ใบงาน 3. ใบความรู้ 4. ส่ืออนิ เตอรเ์ น็ต 11. การวัดและประเมินผล 11.1 วธิ กี ารวดั และประเมนิ ผล - แบบประเมนิ ผลการสังเกตพฤติกรรมการทางานร่วมกบั ผ้อู ่ืนของนกั ศึกษารายบคุ คล - ใบงาน 11.2 เครอื่ งมอื วัดและประเมินผล. - ประเมินผลการสงั เกตพฤตกิ รรมการทางานรว่ มกบั ผอู้ นื่ ของนักศกึ ษารายบคุ คล - ผลจากการตรวจใบงาน 11.3 เกณฑก์ ารวัดและการประเมนิ ผล - แบบประเมนิ ผลการสงั เกตพฤติกรรมการทางานร่วมกบั ผอู้ ่ืนของนกั ศึกษารายบุคคล ระดบั ดี พอใช้ และ ควรปรบั ปรงุ - ใบงานคะแนนเตม็ 10 คะแนน
138 กจิ กรรมเสนอแนะ ............................................................................................................................. ............................................................ ............................................................................................................................. ............................................................ ....................................................................................................................................................... ................................ ลงชือ่ …………………………………………….ครผู ู้สอน (นางสาวจันทรท์ พิ ย์ ศรีลยั ) ครู กศน.ตาบล ขอ้ เสนอแนะของผู้บรหิ าร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..………… ............................................................................................................................. ............................................................ ............................................................................................................................. .......................................................... ลงชอื่ ………………………………………………………ผู้อนมุ ัตแิ ผน (นางป๎ทมาภรณ์ ศรีเนตร) ผู้อานวยการ กศน.อาเภอจตรุ พักตรพมิ าน
139 บันทกึ หลังการจดั การเรียนรู้ กศน.ตาบลศรีโคตร คร้งั ที่ 16 วัน/เดือน/ปีวนั ที่ 24 เดือน สิงหาคม พ.ศ. 2565 ครูผสู้ อนนางสาวจันทร์ทิพย์ ศรีลัย ระดบั มัธยมศึกษาตอนตน้ เวลา 09.00-12.00 น. สาระทกั ษะการเรยี นรู้ รายวชิ า ทักษะการเรยี นรู้ รหัสวิชา ทร21001 จานวนผูเ้ รียนท้งั หมด ............... คนเขา้ เรียน…………………คน ไมเ่ ข้าเรียน……………………….คน 1. ผลการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้การประเมินโดยใช้ แบบทดสอบก่อนเรยี น - หลังเรยี น พบว่า คะแนนการทดสอบหลังเรยี น มากกว่ากอ่ นเรียนจานวน ........ คนคิดเปน็ รอ้ ยละ............ คะแนนการทดสอบหลงั เรยี น นอ้ ยกวา่ ก่อนเรียนจานวน ......... คนคดิ เปน็ รอ้ ยละ............ 2. เน้ือหา/สาระ/รายวิชา ................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ...................................... 3. กจิ กรรมการเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ...................................... ................................................................................................................................................................. .. 4. ปญั หา/อปุ สรรคการเรียนการสอน ................................................................................................. .................................................................. ............................................................................................................................. ...................................... 5. แนวทางการแก้ปัญหา ................................................................................................................................. .................................. ................................................................................................ .................................................................. ลงชอ่ื .........................................................(ผู้บนั ทกึ ) (นางสาวจันทร์ทพิ ย์ ศรีลยั ) ครู กศน.ตาบล ความเห็น/ข้อเสนอของผ้บู รหิ าร ............................................................................................................................. ......................................
140 ................................................................................................................................................................... ลงชื่อ.................................................. (นางป๎ทมาภรณ์ ศรเี นตร) ผอู้ านวยการ กศน.อาเภอจตุรพกั ตรพมิ าน ใบความรู้ที่ 1 ความหมายของการจดั การความรู้ การจัดการ (Management) หมายถึงกระบวนการในการเขา้ ถึงความรู้และการถา่ ยทอดความรูท้ ต่ี ้องดาเนินการ รว่ มกันกับผ้ปู ฏิบัติงานซ่งึ อาจเรม่ิ ต้นจากการบง่ ชี้ความรทู้ ต่ี ้องการใช้การสรา้ งและแสวงหาความรกู้ ารประมวลเพื่อ กลนั่ กรองความรกู้ ารจดั การความรใู้ หเ้ ป็นระบบการสรา้ งชอ่ งทางเพื่อการส่ือสารกบั ผเู้ กี่ยวข้องการแลกเปลยี่ นความรู้ การจัดการสมัยใหม่ใช้กระบวนการทางป๎ญญาเป็นสง่ิ สาคัญในการคดิ ตัดสนิ ใจและส่งผลใหเ้ กดิ การกระทาการจดั การ จงึ เน้นไปที่การปฏบิ ตั ิ ความรู้ (Knowledge) หมายถงึ ความรทู้ ี่ควบคกู่ ับการปฏิบัติซึง่ ในการปฏิบตั จิ าเป็นตอ้ งใชค้ วามรู้ท่หี ลากหลาย สาขาวิชามาเช่อื มโยงบูรณาการเพอื่ การคิดและตัดสินใจและลงมือปฏิบตั ิจุดกาเนิดของความรู้คือสมองของคนเปน็ ความร้ทู ่ีฝ๎งลึกอยใู่ นสมองช้แี จงออกมาเปน็ ถอ้ ยคาหรือตวั อักษรได้ยากความรู้น้นั เมื่อนาไปใช้จะไม่หมดไปแต่จะยิ่งเกิด ความรเู้ พ่ิมพูนมากข้นึ อยูใ่ นสมองของผู้ปฏบิ ัติ ในยคุ แรกๆมองวา่ ความรหู้ รือทนุ ทางป๎ญญามาจากการจัดระบบและการตคี วามสารสนเทศซ่ึงสารสนเทศก็มาจากการ ประมวลขอ้ มลู ขั้นของการเรียนรู้เปรยี บดงั พรี ะมดิ ตามรูปแบบน้ี ความรแู้ บ่งได้เปน็ 2 ประเภทคือ
141 1. ความรู้เด่นชดั (Explicit Knowledge) เปน็ ความรู้ที่เป็นเอกสารตาราคมู่ ือปฏิบัติงานส่ือตา่ งๆกฎเกณฑ์กติกา ขอ้ ตกลงตารางการทางานบันทึกจากการทางานความรเู้ ด่นชัดจึงมีชอื่ เรียกอีกอย่างหนึง่ ว่า “ความรู้ในกระดาษ” 2. ความรซู้ ่อนเรน้ /ความรฝู้ ังลึก (Tacit Knowledge) เปน็ ความรู้ทีแ่ ฝงอยู่ในตัวคนพัฒนาเป็นภูมิปญ๎ ญาฝ๎งอยู่ใน ความคิดความเชือ่ ค่านิยมที่คนได้มาจากประสบการณ์ส่งั สมมานานหรือเป็นพรสวรรค์อันเป็นความสามารถพเิ ศษ เฉพาะตวั ท่มี ีมาแต่กาเนดิ หรือเรียกอีกอยา่ งหน่ึงวา่ “ความรู้ในคน” แลกเปลี่ยนความรกู้ ันไดย้ ากไม่สามารถ แลกเปล่ยี นมาเปน็ ความรทู้ ่ีเปิดเผยได้ท้ังหมดต้องเกดิ จากการเรียนร้รู ่วมกันผ่านการเปน็ ชมุ ชนเช่นการสังเกตการ แลกเปลี่ยนเรยี นรรู้ ะหวา่ งการทางาน หากเปรยี บความร้เู หมือนภูเขานา้ แข็งจะมีลกั ษณะดงั นี้ สว่ นของนา้ แขง็ ที่ลอยพ้นน้าเปรียบเหมอื นความรู้ท่ีเดน่ ชัดคอื ความร้ทู ่อี ยู่ในเอกสารตาราซดี ีวดี ีโอหรือส่อื อน่ื ๆทจ่ี ับ ตอ้ งได้ความรนู้ ้มี เี พยี ง 20 เปอร์เซน็ ต์ สว่ นของน้าแข็งทีจ่ มอย่ใู ต้น้าเปรียบเหมอื นความรู้ท่ยี งั ฝ๎งลึกอยู่ในสมองคนมคี วามรู้จากสิ่งทต่ี นเองได้ปฏบิ ตั ไิ ม่ สามารถถา่ ยทอดออกมาเปน็ ตวั หนงั สอื ให้คนอ่นื ได้รับรู้ได้ความรู้ทีฝ่ ๎งลกึ ในตัวคนน้ีมีประมาณ 80 เปอรเ์ ซ็นต์ ความรู้ 2 ยุค ความรยู้ ุคท่ี 1 เน้นความรใู้ นกระดาษเน้นความรู้ของคนส่วนนอ้ ยความรทู้ ี่สร้างข้ึนโดยนักวิชาการท่มี ีความชานาญ เช่ยี วชาญเฉพาะด้านเรามักเรียกคนเหล่าน้นั วา่ “ผมู้ ีปญ๎ ญา” ซงึ่ เช่อื ว่าคนส่วนใหญ่ไมม่ ีความร้ไู มม่ ปี ๎ญญาไม่สนใจทีจ่ ะ ใช้ความร้ขู องคนเหล่านนั้ โลกทัศนใ์ นยคุ ท่ี 1 เป็นโลกทศั น์ที่คบั แคบ ความรยู้ คุ ที่ 2 เปน็ ความรู้ในคนหรอื อยู่ในความสัมพันธ์ระหว่างคนเป็นการค้นพบ “ภมู ิป๎ญญา” ท่ีอยใู่ นตัวคนทุกคนมี ความรเู้ พราะทุกคนทางานทุกคนมีสัมพันธ์กับผอู้ น่ื จึงย่อมมีความรูท้ ีฝ่ ง๎ ลกึ ในตวั คนทเี่ กิดจากการทางานและการมี ความสมั พันธก์ ันนั้นเรียกวา่ “ความรู้อนั เกดิ จากประสบการณ์” ซ่ึงความรยู้ คุ ท่ี 2 นมี้ คี ณุ ประโยชน์ 2 ประการคือ
142 ประการแรกทาใหเ้ ราเคารพซึ่งกนั และกันว่าต่างกม็ คี วามร้ปู ระการท่ี 2 ทาให้หน่วยงานหรือองคก์ รที่มีความเชื่อเชน่ นี้ สามารถใชศ้ ักยภาพแฝงของทุกคนในองค์กรมาสร้างผลงานสรา้ งนวัตกรรมให้กับองค์กรทาใหอ้ งคก์ รมีการพฒั นามาก ขน้ึ ใบความรู้ที่ 2 กระบวนการในการจัดการความรู้ การจดั การความรู้นั้นมีหลายรูปแบบหรือทเี่ รยี กกันว่า “โมเดล” มหี ลากหลายโมเดลหัวใจของการจดั การความร้คู ือ การจดั การความร้ทู ่ีอยใู่ นตัวคนในฐานะผ้ปู ฏบิ ัติและเป็นผูม้ ีความรู้การจดั การความรูท้ ่ีทาให้คนเคารพในศักดิศ์ รีของ คนอ่นื การจดั การความรู้นอกจากการจดั การความรู้ในตนเองเพื่อใหเ้ กดิ การพัฒนางานและพฒั นาตนเองแลว้ ยังมอง รวมถงึ การจัดการความรู้ในกลมุ่ หรอื องคก์ รดว้ ยรูปแบบการจดั การความรจู้ ึงอยู่บนพ้ืนฐานของความเช่ือทีว่ ่าทุกคนมี ความร้ปู ฏิบตั ิในระดับความชานาญทต่ี า่ งกันเคารพความรู้ทอี่ ยู่ในตวั คน ดร.ประพนธผ์ าสกุ ยดึ ได้คิดคน้ รปู แบบการ จัดการความรู้ไว้ 2 แบบคือรูปแบบปลาทหู รือท่ีเรยี กวา่ “โมเดลปลาทู” และรูปแบบปลาตะเพยี นหรอื ท่ีเรยี กวา่ “โมเดลปลาตะเพียน” แสดงใหเ้ ห็นถึงรปู แบบการจดั การความรู้ในภาพรวมของการจัดการท่ีครอบคลมุ ท้ังความร้ทู ่ชี ดั แจง้ และความรู้ทฝ่ี ๎งลกึ ดังนี้ โมเดลปลาทู เพ่อื ให้การจดั การความรูห้ รือ KM เปน็ เร่ืองท่ีเขา้ ใจง่ายจงึ กาหนดให้การจดั การความร้เู ปรียบเหมือนกบั ปลาทตู วั หน่ึงมีสิง่ ท่ตี ้องดาเนินการจัดการความรู้อยู่ 3 สว่ นโดยกาหนดวา่ ส่วนหวั คือการกาหนดเปาู หมายของการ จดั การความรู้ทช่ี ดั เจนส่วนตวั ปลาคือการแลกเปล่ียนความรู้ซงึ่ กนั และกนั และสว่ นหางปลาคือความรทู้ ไี่ ดร้ บั จากการ แลกเปลี่ยนเรยี นรู้ รูปแบบการจดั การความร้ตู าม “โมเดลปลาทู” สว่ นท่ี 1 “หัวปลา” หมายถึง “Knowledge Vision” หรือ KV คือเปาู หมายของการจดั การความรู้ผใู้ ช้ต้องร้วู า่ จะ จดั การความรเู้ พ่ือบรรลุเปาู หมายอะไรเก่ียวขอ้ งหรอื สอดคล้องกับวสิ ยั ทัศน์พนั ธกิจและยุทธศาสตรข์ ององคก์ รอย่างไร เชน่ จดั การความร้เู พ่อื เพมิ่ ประสทิ ธภิ าพของงานจดั การความรเู้ พื่อพฒั นาทักษะชีวิตดา้ นยาเสพติดจัดการความร้เู พอื่ พัฒนาทักษะชวี ิตด้านสงิ่ แวดลอ้ มจดั การความรเู้ พ่อื พฒั นาทักษะชวี ิตด้านชวี ิตและทรัพย์สนิ จดั การความรู้เพอ่ื ฟ้ืนฟู ขนบธรรมเนียมประเพณีด้ังเดิมของคนในชมุ ชนเปน็ ต้น สว่ นที่ 2 “ตัวปลา” หมายถึง “Knowledge Sharing” หรอื KS เปน็ การแลกเปลย่ี นเรียนร้หู รือการแบง่ ปน๎ ความร้ทู ี่ ฝง๎ ลกึ ในตัวคนผ้ปู ฏบิ ตั ิเปน็ การแลกเปลย่ี นวธิ กี ารทางานท่ีประสบผลสาเรจ็ ไมเ่ น้นทีป่ ๎ญหาเครอ่ื งมือในการแลกเปล่ยี น เรยี นรมู้ ีหลากหลายแบบอาทิการเล่าเรอื่ งการสนทนาเชงิ ลึกการชน่ื ชมหรอื การสนทนาในเชงิ บวกเพอ่ื นชว่ ยเพ่ือนการ ทบทวนการปฏิบัตงิ านการถอดบทเรยี นการถอดองค์ความรู้
143 ส่วนท่ี3 “หางปลา” หมายถงึ “Knowledge Assets” หรือ KA เปน็ ขุมความร้ทู ่ีไดจ้ ากการแลกเปล่ียนเรยี นรมู้ ี เครือ่ งมอื ในการจดั เกบ็ ความรู้ท่มี ชี ีวติ ไม่หยดุ นิง่ คือนอกจากจัดเก็บความรูแ้ ลว้ ยงั ง่ายในการนาความรอู้ อกมาใชจ้ รงิ ง่าย ในการนาความรู้ออกมาต่อยอดและง่ายในการปรับข้อมูลไม่ใหล้ า้ สมยั ส่วนนี้จงึ ไมใ่ ช่สว่ นท่ีมหี นา้ ทเ่ี ก็บข้อมูลไวเ้ ฉยๆ ไม่ใช่หอ้ งสมุดสาหรับเกบ็ สะสมขอ้ มลู ท่ีนาไปใช้จรงิ ได้ยากดังน้นั เทคโนโลยกี ารสอื่ สารและสารสนเทศจงึ เป็นเคร่ืองมือ จดั เกบ็ ความรู้อันทรงพลังยง่ิ ในกระบวนการจดั การความรู้ ตวั อย่างการจัดการความร้เู ร่ือง“พัฒนากลุ่มวสิ าหกจิ ชุมชน” ในรปู แบบปลาทู โมเดลปลาตะเพียน
144 จากโมเดล“ปลาท”ู ตัวเดยี วมาสู่โมเดล“ปลาตะเพียน” ท่ีเปน็ ฝูงโดยเปรยี บแมป่ ลา “ปลาตวั ใหญ่” ได้กับวิสยั ทัศน์ พันธกิจขององค์กรใหญ่ในขณะทีป่ ลาตวั เลก็ หลายๆตวั เปรียบไดก้ ับเปูาหมายของการจัดการความรทู้ ่ีต้องไปตอบสนอง เปาู หมายใหญข่ ององค์กรจงึ เปน็ ปลาทง้ั ฝูงเหมือน“โมบายปลาตะเพียน” ของเลน่ เด็กไทยสมัยโบราณท่ีผู้ใหญส่ าน เอาไว้แขวนเหนอื เปลเด็กเป็นฝูงปลาที่หันหน้าไปในทศิ ทางเดยี วกนั และมีความเพียรพยายามที่จะว่ายไปในกระแสน้าที่ เปล่ยี นแปลงอยูต่ ลอดเวลาปลาใหญอ่ าจเปรียบเหมอื นการพัฒนาอาชีพตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงใน ชุมชนซึง่ การพัฒนาอาชพี ดังกล่าวตอ้ งมีการแกป้ ๎ญหาและพัฒนารว่ มกันไปทั้งระบบเกดิ กลมุ่ ต่างๆขน้ึ ในชุมชนเพ่อื การ เรียนรู้ร่วมกนั ทัง้ การทาบญั ชีครวั เรอื นการทาเกษตรอนิ ทรียก์ ารทาปยุ๋ หมักการเลีย้ งปลาการเลย้ี งกบการแปรรปู ผลติ ภณั ฑเ์ พื่อใชใ้ นครอบครัวหรือจาหน่ายเพ่ือเพ่มิ รายได้เป็นต้นเหลา่ น้ถี ือเป็นปลาตวั เล็กหากการแกป้ ๎ญหาท่ีปลาตัว เล็กประสบผลสาเร็จจะสง่ ผลใหป้ ลาตวั ใหญ่หรอื เปูาหมายในระดบั ชมุ ชนประสบผลสาเร็จดว้ ยเชน่ กนั นัน่ คือปลาวา่ ยไป ข้างหน้าอย่างพร้อมเพรยี งกนั ทสี่ าคัญปลาแต่ละตัวไม่จาเป็นตอ้ งมรี ูปรา่ งและขนาดเหมือนกนั เพราะการจัดการความรู้ ของแต่ละเร่ืองมีสภาพของความยากง่ายในการแกป้ ๎ญหาท่ีแตกตา่ งกันรูปแบบของการจัดการความรู้ของแตล่ ะหน่วย ยอ่ ยจึงสามารถสร้างสรรค์ปรับใหเ้ ขา้ กับแตล่ ะทไี่ ด้อย่างเหมาะสมปลาบางตัวอาจมีทอ้ งใหญ่เพราะอาจมีสว่ นของการ แลกเปลีย่ นเรียนรู้มากบางตัวอาจเปน็ ปลาท่หี างใหญ่เด่นในเรือ่ งของการจดั ระบบคลังความรู้เพื่อใช้ในการปฏบิ ัตมิ าก แต่ทุกตวั ต้องมหี วั และตาที่มองเห็นเปูาหมายท่จี ะไปอย่างชัดเจน
145 การจดั การความรู้ได้ใหค้ วามสาคญั กับการเรียนรูท้ เี่ กิดจากการปฏบิ ตั ิจริงเปน็ การเรยี นรู้ในทุกขั้นตอนของการทางาน เชน่ กอ่ นเรมิ่ งานจะต้องมีการศึกษาทาความเข้าใจในสิง่ ที่กาลังจะทาจะเป็นการเรยี นรดู้ ้วยตนเองหรอื อาศยั ความ ชว่ ยเหลือจากเพื่อนรว่ มงานมีการศึกษาวธิ ีการและเทคนิคต่างๆท่ีใชไ้ ด้ผลพรอ้ มทง้ั คน้ หาเหตผุ ลด้วยวา่ เป็นเพราะอะไร และจะสามารถนาสิ่งท่ีไดเ้ รยี นร้นู ้ันมาใช้งานที่กาลงั จะทานี้ได้อย่างไรในระหวา่ งที่ทางานอยู่เชน่ กนั จะต้องมีการ ทบทวนการทางานอยู่ตลอดเวลาเรยี กได้วา่ เปน็ การเรียนรู้ท่ไี ดจ้ ากการทบทวนกจิ กรรมย่อยในทุกๆขน้ั ตอนหม่นั ตรวจสอบอยู่เสมอว่าจุดมุ่งหมายของงานท่ีทาอยู่นี้คืออะไรกาลังเดนิ ไปถูกทางหรือไมเ่ พราะเหตุใดปญ๎ หาคืออะไร จะตอ้ งทาอะไรให้แตกต่างไปจากเดิมหรือไม่และนอกจากน้ันเมอื่ เสร็จสน้ิ การทางานหรอื เม่ือจบโครงการกจ็ ะต้องมีการ ทบทวนสิ่งตา่ งๆท่ีไดม้ าแลว้ วา่ มอี ะไรบ้างทที่ าไดด้ มี ีอะไรบา้ งทีต่ อ้ งปรบั ปรงุ แก้ไขหรือรับไวเ้ ปน็ บทเรียนซ่ึงการเรยี นรู้ ตามรปู แบบปลาทูนี้ถอื เปน็ หัวใจสาคัญของกระบวนการเรียนรู้ทเี่ ป็นวงจรอย่สู ว่ นกลางของรปู แบบการจดั การความรู้ นั่นเอง ใบงานท่ี 1 เรื่องการจดั การความรู้ กจิ กรรมที่ 1 ใหอ้ ธบิ ายความหมายของ “การจัดการความรู้” มาพอสงั เขป ............................................................................................................................. ............................................. ............................................................................................................................. ............................................. .......................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. .............................................
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177