Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชา คุณครูจันทร์ทิพย์ ศรีลัย

แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชา คุณครูจันทร์ทิพย์ ศรีลัย

Published by jatu library, 2022-06-27 02:24:59

Description: แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชา คุณครูจันทร์ทิพย์ ศรีลัย

Search

Read the Text Version

46 บนั ทกึ หลังการจดั การเรยี นรู้ กศน.ตาบลศรีโคตร คร้งั ท่ี 6 วัน/เดอื น/ปีวนั ที่ 15 เดอื น มถิ นุ ายน พ.ศ. 2565 ครผู ้สู อนนางสาวจันทร์ทิพย์ ศรลี ัย ระดับ มัธยมศึกษาตอนตน้ เวลา 09.00-12.00 น. สาระความรู้พนื้ ฐาน รายวชิ า ภาษาไทย รหัสวิชา พท 21001 1. ผลการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้การประเมินโดยใช้ แบบทดสอบก่อนเรียน - หลังเรยี น พบวา่ คะแนนการทดสอบหลงั เรียน มากกว่าก่อนเรียนจานวน ........ คนคิดเปน็ รอ้ ยละ............ คะแนนการทดสอบหลงั เรียน น้อยกวา่ ก่อนเรียนจานวน ......... คนคิดเปน็ ร้อยละ............ 2. เน้ือหา/สาระ/รายวิชา ............................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................................................. ...................................... 3. กิจกรรมการเรยี นการสอน ................................................................................................................................................................. .. ............................................................................................................................. ...................................... 4. ปญั หา/อุปสรรคการเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ...................................... ................................................................................................................................................................... 5. แนวทางการแกป้ ัญหา ............................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................................................. ...................................... ลงชอื่ .........................................................(ผู้บนั ทกึ ) (นางสาวจันทรท์ พิ ย์ ศรลี ัย) ครู กศน.ตาบล ความเหน็ /ข้อเสนอของผู้บรหิ าร ............................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................................................. ......................................

47 ลงชือ่ .................................................. (นางป๎ทมาภรณ์ ศรเี นตร) ผู้อานวยการ กศน.อาเภอจตรุ พกั ตรพิมาน ใบความรู้ เรือ่ ง สรปุ ความ จบั ประเดน็ สาคัญของเรอื่ งที่ฟงั และดู การฟงั และดเู พ่อื จับประเดน็ และสรุปความ การจบั ประเดน็ หมายถงึ การจับข้อความสาคัญหรือใจความสาคญั ของเร่ือง ความหมายของการสรปุ ความ การสรปุ ความ คือ การหยิบยกเอาความคดิ หลกั หรอื ประเด็นที่สาคญั ของเรื่องมากล่าวยา้ ให้เด่นชัด โดยใช้ ประโยคสน้ั ๆ แล้วเรยี บเรียงให้เป็นระเบียบ มารยาทในการฟงั และดู 1. มองสบตาผพู้ ดู ไมม่ องออกนอกห้องหรือมองไปท่อี ่นื อนั เป็นการแสดงวา่ ไม่สนใจเรอื่ งที่พูดและไมเ่ อา หนังสือไปอ่านขณะทฟ่ี ๎งหรือดู 2. รักษาความสงบ ไมส่ ่งเสียงรบกวนผู้อืน่ ไมเ่ อาของขบเค้ยี วเขา้ ไปทาลายสมาธขิ องผ้อู ื่น การชม ภาพยนตรค์ วรปดิ โทรศัพทม์ ือถือจะได้ไม่รบกวนความสุขของผอู้ ่นื ไมค่ วรพาเด็กเล็กๆไปในโรงภาพยนตรห์ รอื ในที่ท่ี ต้องการความสงบ 3. แสดงกริ ิยาอาการทเ่ี หมาะสม วัยรนุ่ ไมค่ วรนั่งเก้ยี วพาราสกี ันในที่สาธารณชนที่ตอ้ งการความสงบในการ ฟง๎ และการดู เพราะนอกจากจะรบกวนสายตาคนอืน่ แลว้ ยังเป็นการแสดงกริ ิยาท่ีขดั ตอ่ ขนบธรรมเนยี มของไทยอีก ดว้ ย 4. ในการดูภาพไม่ควรขีดเขยี นหรือฉีกภาพซ่ึงแสดงถงึ ความไม่มีวัฒนธรรมท่ีดีงาม หลักการฟงั และดเู พื่อสรุปความและจบั ประเด็น การฟ๎งและดูเพ่อื จบั ประเดน็ และสรุปความ เป็นทักษะเบ้ืองต้นที่ทุกคนจะตอ้ งฝึกฝน เราจะต้องตดิ ตามฟง๎ ดู เรอื่ งราวโดยตลอด ดังนน้ั จึงต้องมีสมาธิในการฟ๎งและสามารถแยกแยะได้ว่าข้อความใดเป็นใจความสาคญั และ ข้อความใดเปน็ พลความ ถา้ เราเขา้ ใจเรื่องราวไดโ้ ดยตลอดแลว้ เราย่อมจดจาเรื่องราวทฟ่ี ๎งและสามารถถ่ายทอดให้คน อ่ืนฟง๎ ไดด้ ว้ ย ในการฟ๎งแต่ละคร้ัง เราตอ้ งจบั ประเด็นของเรื่องท่ีฟง๎ ได้ คอื ร้วู า่ ผู้พูดตอ้ งการสอ่ื สารอะไร เป็นประเดน็ สาคัญ และรู้จกั ว่าอะไรคือประเดน็ รองซ่ึงขยายประเดน็ สาคัญ การฟ๎งเช่นนเ้ี ปน็ การฟ๎งเพอื่ จับใจความสาคัญและ ใจความรองและรายละเอียดของเรอ่ื ง มวี ิธกี ารฟ๎งดังนี้ 1. ฟ๎งเรื่องราวใหเ้ ขา้ ใจ พยายามจบั ใจความสาคัญของเรื่องเป็นตอนๆ ว่าเรอ่ื งอะไร ใครทาอะไร ท่ี ไหน เมื่อไร อย่างไร

48 2. ฟง๎ เรื่องราวทีเ่ ปน็ ใจความสาคญั แลว้ หารายละเอียดของเรื่องที่เป็นลกั ษณะปลีกย่อยของใจความ สาคัญ หรอื ท่ีเปน็ สว่ นขยายใจความสาคัญ สรปุ ความโดยรวบรวมเนื้อหาสาระสาคญั อย่างครบถ้วน วธิ ีการสรปุ ความจากการฟง๎ นัน้ เราจะต้องค้นหาให้พบว่าสารใดเป็นความคดิ สาคัญในเรือ่ งนน้ั ๆ แล้วสรุปไว้ เฉพาะใจความสาคญั โดยเขยี นช่อื เร่อื ง ผู้พดู โอกาสที่ฟ๎ง วนั เวลา และสถานท่ที ี่ไดฟ้ ๎งหรือดไู วเ้ ปน็ หลักฐาน เคร่ืองเตือนความทรงจาต่อไป การฟง๎ และดูเพอ่ื จบั ประเด็นและสรุปความ เปน็ การฟ๎งในชวี ิตประจาวนั เพ่ือใหไ้ ดส้ าระสาคัญของเรือ่ งท่ี ฟ๎ง เช่น ฟง๎ การสนทนา ฟง๎ เรอ่ื งราวข้อมลู ข่าวสารตา่ งๆ ฟง๎ โทรศัพท์ ฟ๎งประกาศ ฟง๎ การบรรยาย ฟง๎ การ อภปิ ราย ฟ๎งการเล่าเรื่อง เปน็ ต้น วธิ ีสรุปความตามลาดับข้นั 1. ข้ัน อา่ น ฟัง และดู - อ่าน ฟง๎ และดใู หเ้ ข้าใจอยา่ งนอ้ ย 2 เทย่ี ว เพื่อให้ได้แนวคดิ ท่สี าคญั 2. ขัน้ คดิ - คดิ เป็นคาถามว่าอะไรเป็นจุดสาคัญของเรือ่ ง - คดิ ต่อไปวา่ จดุ สาคญั ของเร่ืองมคี วามสัมพนั ธ์กับส่ิงใดบ้าง จดสง่ิ นนั้ ๆ ไว้เปน็ ข้อความสนั้ ๆ - คดิ วิธีทจี่ ะเขียนสรปุ ความใหก้ ะทัดรัดและชัดเจน 3. ขนั้ เขยี น - เขยี นร่างข้อความสน้ั ๆทีจ่ ดไว้ - ขดั เกลาและตบแตง่ ร่างข้อความทีส่ รุปให้เป็นภาษาทด่ี ีส่ือความหมายไดแ้ จ่มแจง้ ชดั เจน ตัวอยา่ งการสรุปความ เรอื่ ง เราคอื บทเรียนของเดก็ การศึกษาเปน็ เร่ืองสาคัญของชีวิต ทุกคนเกดิ มาจะโง่ จะฉลาด จะดีจะชั่วขนึ้ อย่กู ับการศึกษา พอ่ แมท่ ุกคน ปรารถนาจะให้บุตรหลานของตนเป็นคนดี จนถึงกับยอมทนลาบากตรากตราทาการงานหาทรพั ยส์ นิ เงินทองมาเป็น คา่ ใช้จา่ ย เพื่อการศกึ ษาของบุตรหลาน นบั ว่าเป็นหน้าทแี่ ละสง่ิ ท่คี วรไดร้ บั การยกย่องในการเสยี สละน้ัน แต่ยังมสี ่ิงท่ีมีคุณค่าท่ีสดุ ในชวี ติ เดก็ กค็ อื บทเรยี นอันเป็นจริยศึกษาซึง่ เกดิ จากการปฏิบัติตัวของพ่อแม่ ผู้ปกครองของเดก้ นั่นคอื การประพฤติปฏบิ ัติดีงาม เพราะสง่ิ ที่เด็กไดย้ นิ ได้ฟง๎ ได้รู้ได้เห็นจากพ่อแมผ่ ้ปู กครองของ ตน เช่นการพดู จาไพเราะ การงานเปน็ ระเบยี บเรียบร้อยเปน็ ต้น สง่ิ เหล่านเ้ี ปน็ บทเรียนอย่างสาคญั ทีจ่ ะซึมซาบเขา้ ไปในจิตใจของเด็กดยี ิง่ กวา่ หนังสอื บทเรียนอนื่ ๆ นนั้ เป็นการให้การศึกษาที่มคี า่ ย่ิง เปน็ การปลกู สรา้ งนิสัยทด่ี ใี หแ้ กเ่ ดก็ ถ้าพ่อแม่ ผปู้ กครองเปน็ คนดี มนี สิ ยั ดี เอื้อเฟ้ือเผอื่ แผ่ มเี มตตา มคี วามยุติธรรม มคี วามรกั ความสามัคคี ในครอบครัว เปน็ แบบอย่างทด่ี ี กจ็ ะทาให้เด็กเอาอย่างในทางดี เป็นคนดีของพ่อ แม่ ผ้ปู กครอง สมความปรารถนา

49 ทกุ ประการ ถา้ ปรารถนาดี หวังดตี อ่ บุตรหลาน อย่าเพียงแตจ่ ะให้ทุนการศึกษาอยา่ งเดียว ต้องทาตนใหเ้ ป็น ตวั อย่างทด่ี ี เป็นบทเรียนที่มีค่าของบุตรหลานด้วย แล้วความปรารถนาของเราก็จะสมหวัง การสรปุ ความ 1. ขัน้ อา่ น ฟัง และ คิด จบั แนวคิดไดด้ งั นี้ “ พอ่ แม่ หาเงนิ ทองมาให้ลกู เรียนอย่างเดียวยงั ไม่พอ ต้อง ปฏบิ ัตติ นเป็นตวั อยา่ งที่ดีแก่ลูกด้วยจงึ จะนับวา่ ไดใ้ ห้การศกึ ษาที่ถูกตอ้ งแกล่ ูก” 2. ขน้ั เขียน 2.1 ขอ้ ความที่จดไว้ชว่ ยจา “การศึกษา เร่ืองสาคญั – คนจะดีจะช่ัว โง่ ฉลาดเพราะการศึกษา พ่อ แมห่ าเงนิ มาใหล้ ูกเรียนเสียสละควรยกย่อง ส่งิ ทม่ี ีคา่ ตอ่ เดก็ – บทเรียนจรยิ ศกึ ษา คณุ ธรรม การปฏบิ ตั ิตนดงี าม เป็นตัวอยา่ งที่ดี รกั ลกู ตอ้ งทาใหเ้ ป็นตัวอย่างที่ดดี ว้ ย” 2.2 ข้อความท่สี รุปแล้ว “การศกึ ษามีความสาคัญต่อชีวิตเดก็ เพราะสามารถทาให้เด็กฉลาดและ เปน็ คนดไี ด้ พ่อแมท่ ่ีรักลกู อยากใหล้ ุกเปน็ คนดีน้นั ไม่ควรจะพอใจเพียงการทาหน้าทหี่ าเงนิ มาใหล้ กู เรยี นเท่าน้ัน แต่ ควรคานึงถึงบทเรยี น จรยิ ศึกษาอันมีคุณค่าย่ิงต่อชีวิตของเด็ก อันได้แก่การท่ีพ่อแมเ่ ป็นผู้มคี ณุ ธรรมและปฏิบตั ติ นเป็น แบบอยา่ งในทางทดี่ ีงามแกล่ ูกด้วย”

50 ใบงาน เรอื่ งการฟัง ดู คาชแี้ จง 1. ให้ผู้เรียนแบง่ กลุม่ ๆ 5 – 7 คน โดยให้มีทง้ั วยั รุน่ ผู้สูงวยั และเพศหญิง เพศชาย ในกลุม่ ตามความ เหมาะสมและแต่งตั้งคณะกรรมการการทางานรว่ มกัน 2. ให้ผู้เรยี นแต่ละกลุ่มไดศ้ ึกษาเนอื้ หาสาระจากเรื่องการฟ๎ง ดู ในบทเรยี นหรอื จาก ส่ือการเรยี นรู้ทมี่ ี จากนน้ั ให้ปฏิบตั ดิ ังนี้ 2.1 ศึกษาขา่ วจากหนังสือพิมพ์ 1 ขา่ ว 2.2 ศกึ ษาบทร้อยกรองทส่ี นใจ 1 เรอ่ื ง 2.3 ศกึ ษาละครจาก VCD ทีส่ นใจ 1 เร่อื ง 3. ใหส้ รุป และวเิ คราะห์เรอื่ งท่ีศกึ ษา ตามหลักการท่ีไดเ้ รยี นรูม้ า 4. ให้ตวั แทนกลุ่มออกมานาเสนอผลงาน

51 แผนการจดั การเรยี นรรู้ ายวิชาภาษาไทย ครัง้ ที่ 2 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 ระดับมัธยมศกึ ษาตอนต้น กศน.ตาบลศรีโคตร 1. สัปดาห์ที่ 7 วนั ท่ี 22 เดอื น มิถนุ ายน พ.ศ. 2564 เวลา 09.00-12.00น. 2. วชิ า ภาษาไทย รหสั วิชา พท21001 จานวน4หนว่ ยกิต 3. มาตรฐานที่ 2.1 มคี วามรคู้ วามเข้าใจ และทกั ษะพนื้ ฐานเกี่ยวกับภาษาและการสือ่ สาร 4. หนว่ ยการเรียนร/ู้ เรอื่ ง หลกั การใช้ภาษา 5. สาระสาคัญ ชนิดและหนา้ ที่ของคา พยางค์ วลี ประโยค การใช้เคร่อื งหมายวรรคตอน อกั ษรย่อ พจนานุกรม คาราชาศัพท์ ความแตกตา่ ง และความหมายของสานวน สุภาษิต คาพงั เพย 6. เนอ้ื หา 1. ความหมายของคา พยางค์ วลี ประโยค และการสะกดคา 2. หลักในการสะกดคา 3. การใช้คาและการสร้างคาในภาษาไทย 3.1 การสร้างคา 3.2 คาประสม 3.3 คาซ้อน 3.4 คาสมาส คาสนธิ 3.5 หลักการสังเกตคาภาษาอ่นื ๆ ท่ีใชใ้ นภาษาไทย 7. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้/ผลการเรยี นรทู้ ี่คาดหวงั (ดจู ากผงั การออกขอ้ สอบ) 1. อธบิ ายความแตกต่างของคาพยางค์ วลี ประโยค การสะกดคาได้ถูกต้อง 2. อธิบายความแตกต่างระหวา่ งภาษาพูดและภาษาเขียน 8. การบรู ณาการกับหลกั แนวคิดของเศรษฐกิจพอเพียง (2 เง่ือนไข 3 หลกั การ การเชอื่ มโยงสู่ 4 มติ ิ) ความรู้ สรปุ ความ จบั ประเด็นสาคญั ของเร่ืองการใช้หลกั ภาษา คุณธรรม - มคี วามตงั้ ใจ - มคี วามขยัน - มคี วามรับผิดชอบ

52 พอประมาณ - เนอื้ หาวิชาที่เรียนรู้สอดคลอ้ งกบั เวลาเรยี นในแต่ละชวั่ โมง - เนอื้ หาที่เหลอื ให้จัดการเรียนการสอนแบบ กรต.ได้ มเี หตุผล - ผู้เรยี นมคี วามรูใ้ นเรื่องหลักการใช้ภาษา - สามารถวเิ คราะห์และสงั เคราะห์เรอื่ งการใช้หลกั ภาษาได้อยา่ งถกู ต้อง มภี ูมิคมุ้ กัน - การใช้คาทีถ่ ูกต้องตามหลักภาษา - สามารถอา่ นออกเขยี นได้ วัตถุ - ผเู้ รียนมีส่อื การเรียนที่เหมาะสมกบั เน้ือหาทเ่ี รียน สังคม - ผเู้ รียนสามารถทางานรว่ มกับคนอื่นไดอ้ ยา่ งมคี วามสุข - ผเู้ รียนสามารถแลกเปล่ียนความคิดเหน็ กันภายในกลุ่มและหอ้ งเรียน ส่งิ แวดล้อม - ผเู้ รียนจัดบรรยากาศทดี่ ีในห้องเรยี นทีเ่ อ้ือตอ่ การเรยี นการสอน วฒั นธรรม - ผเู้ รยี นมีการเรียนรู้วฒั นธรรมการใชภ้ าษาต่อๆกันมาตามหลกั ภาษา 9. กระบวนการจัดการเรยี นร้แู ละกจิ กรรมการเรยี นรู้ ข้นั ท่ี 1 กาหนดสภาพปัญหาการเรยี นรู้ (O : Orientation) 1. ครูส่มุ ตวั อยา่ งผู้เรียนใหเ้ ขยี นชอ่ื บนกระดาน จานวน 10 คน และให้ผู้เรียนในกลมุ่ ชว่ ยกนั บอกคารายช่ือทง้ั 10 คนมีกพ่ี ยางค์ จากนั้นครูจงึ สอบถามผ้เู รียนถงึ วิธกี ารนับพยางค์วา่ มีวธิ กี ารอย่างไรเพื่อท่ีจะวัดความรู้เบื้องตน้ ของ ผ้เู รียน ขนั้ ท่ี 2 แสวงหาข้อมลู และจัดการเรยี นรู้ (N : New ways of learning) 1. ครูอธิบายความหมายของคา พยางค์ วลี ประโยค การสะกดคา หลักการสะกดคาและการใช้คาการ สรา้ งคาในภาษาไทย คาประสม คาซ้า คาซอ้ น คาสมาส คาสนธิ 2. ใหผ้ ู้เรียนเลือกบทความที่เกย่ี วกับคณุ ธรรมพร้อมบอกว่าในบทความดงั กล่าวใชม้ าตราตวั สะกดในและ ให้ข้อคดิ อะไรกบั เราบา้ ง 3. ผ้เู รียนศึกษาเนื้อหาเพิ่มเตมิ จากใบความรู้และสอ่ื อินเตอร์เนต็ ให้ผ้เู รยี นแบ่งกลุม่ ๆ ละ 5 – 7 คน จานวน 4 กล่มุ ดงั นี้ 3.1 กลมุ่ คาประสม 3.2 กลุ่มคาซ้อน

53 3.3 กลุ่มคาสมาส คาสนธิ โดยใหแ้ ต่ละกลุ่มสร้างบตั รคาให้ตรงตามชนิดของคาทีต่ นเองไดร้ บั ตามชื่อกลุ่มจานวน 10 คา 4. ครูผ้สู อนนาบตั รคามารวมกนั และใหผ้ ู้เรยี นทากิจกรรมการเรียนรู้ชนดิ ของคาโดยวธิ กี ารดงั นี้ 4.1 ผู้เรียนแต่ละกล่มุ แขง่ ขันนาบตั รคาไปติดไวท้ บี่ อรด์ ให้ประเภทเชน่ แม่ยาย เป็นคาประสม นาไปตดิ ให้ถูกต้อง 4.2 กลุ่มไหนทาเวลาได้ดแี ละได้จานวนบตั รทตี่ ดิ ถูกต้องท่ีสดุ คือทีมผู้ชนะ 4.3 ครมู อบของรางวัลแกก่ ลมุ่ ผูช้ นะ ข้นั ที่ 3 การปฏบิ ัตแิ ละการนาไปใช้ (I : Implementation) 1. ครสู รุปผลกิจกรรมการเรียนรู้ และขอ้ คิด/ความรู้นไ้ี ด้จากกจิ กรรมการเรียนรู้ ขัน้ ที่ 4 การประเมินผลการเรียนรู้ (E : Evaluation) 1. แบบประเมินผลงาน 2. สังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้ 10. ส่อื /แหลง่ เรยี นรู้ 1. หนงั สอื เรยี น 2. แบบฝกึ หดั 3. สอื่ อินเตอรเ์ น็ต 11. การวดั และประเมินผล 11.1วิธกี ารวัดและประเมินผล - ใบงาน 11.2 เครอื่ งมอื วัดและประเมินผล - ผลจากการตรวจใบงาน 11.3 เกณฑ์การวัดและการประเมนิ ผล - ใบงานคะแนนเต็ม 10คะแนน กิจกรรมเสนอแนะ ............................................................................................................................. ............................................................ ......................................................................................................................................................................... ................ ลงช่อื …………………………………………….ครผู ู้สอน (นางสาวจันทร์ทิพย์ ศรลี ยั ) ครู กศน.ตาบล ข้อเสนอแนะของผู้บรหิ าร

54 …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ............................................................................................................................. ...................................………….............. ............................................................................................................................. ......................................................... ลงช่ือ………………………………………………………ผู้อนุมัติแผน (นางป๎ทมาภรณ์ ศรีเนตร) ผู้อานวยการ กศน.อาเภอจตุรพักตรพมิ าน บันทึกหลังการจดั การเรยี นรู้ กศน.ตาบลศรีโคตร ครั้งท่ี 7 วัน/เดอื น/ปีวันที่ 22 เดอื น มิถุนายน พ.ศ. 2565 ครผู สู้ อนนางสาวจันทรท์ ิพย์ ศรีลัย ระดบั มัธยมศึกษาตอนตน้ เวลา 09.00-12.00 น. สาระความรู้พ้ืนฐาน รายวิชา ภาษาไทย รหสั วิชา พท 21001 1. ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การประเมินโดยใช้ แบบทดสอบก่อนเรยี น - หลังเรียน พบว่า คะแนนการทดสอบหลังเรียน มากกว่าก่อนเรยี นจานวน ........ คนคิดเปน็ รอ้ ยละ............ คะแนนการทดสอบหลังเรียน น้อยกว่าก่อนเรียนจานวน ......... คนคิดเป็นรอ้ ยละ............ 2. เนอ้ื หา/สาระ/รายวิชา ............................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................................................................... .................... 3. กจิ กรรมการเรียนการสอน ................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ...................................... 4. ปัญหา/อุปสรรคการเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ...................................... ................................................................................................................................................................... 5. แนวทางการแกป้ ัญหา ............................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................................................. ...................................... ลงชื่อ.........................................................(ผู้บนั ทกึ ) (นางสาวจันทร์ทพิ ย์ ศรลี ัย) ครู กศน.ตาบล ความเห็น/ข้อเสนอของผบู้ รหิ าร

55 ............................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................................................. ...................................... ลงชอ่ื .................................................. (นางป๎ทมาภรณ์ ศรีเนตร) ผูอ้ านวยการ กศน.อาเภอจตุรพักตรพมิ าน ใบความรู้ เร่อื ง หลกั การใชภ้ าษาไทย ธรรมชาตขิ องภาษา 1. ภาษาในความหมายอย่างแคบ คือ ภาษาพดู ของคน 2. ทกุ วนั นี้ ยังมีอีกหลายภาษาทไ่ี ม่มภี าษาเขยี น 3. แต่ละกลมุ่ กาหนดภาษากันเอง เสยี งในแต่ละภาษาจึงมคี วามหมายไม่ตรงกัน 4. ลักษณะของภาษาท่วั ๆ ไป 1. มีเสียงสระและพยัญชนะ (วรรณยกุ ต์มีบางภาษาเชน่ ไทย,จีน) 2. ขยายให้ใหญข่ ้ึนได้ 3. มคี านาม, กริยา, คาขยาย 4. เปลี่ยนแปลงได้ 5. ภาษาเปล่ยี นแปลงได้ เพราะสาเหตหุ ลายข้อ เชน่ สง่ิ แวดล้อมเปล่ยี น เชน่ ขายตวั ศกั ดินา จริต สาส่อน แกล้ง ห่ม การพูด ได้แก่ การกร่อนเสียง และกลมกลืนเสยี ง กรอ่ นเสียง เชน่ \"หมากพรา้ ว\" กรอ่ นเปน็ \"มะพร้าว\" กลมกลนื เสียง เชน่ \"อยา่ งไร\" กลนื เสยี งเปน็ \"ยงั ไง\" เสียงในภาษาไทย อักษรควบ - อักษรนา อักษรควบ มี 2 แบบ คือ ควบแท้ -> ออกเสียงพยัญชนะตน้ ทง้ั 2 เสียง เช่น ปลา ครมี เป็นต้น ควบไม่แท้ -> ออกเสยี งพยญั ชนะตน้ ตวั แรกตัวเดียว มี 2 กรณี ดังนี้ - แสรง้ จรงิ เศรษฐี เศรา้ - ออกเสียง ทร เปน็ ซ เชน่ ไทร ทราย ทรดุ อักษรนา คอื คาที่ - อ่านหรือเขียนแบบ มี \"ห\" นาพยัญชนะตน้ อกี ตวั เชน่ หลอก หรู หนี หวาด ตลาด(ตะ-หลาด) ปรอท(ปะ-หรอด)

56 ตลก(ตะ-หลก) ดิเรก(ดิ-เหรก) - รวมทัง้ คาว่า \" อยา่ อยู่ อยา่ ง อยาก” เสียงพยญั ชนะตน้ เสยี งพยญั ชนะต้น คือ เสียงทน่ี าเสียงสระ เสยี งพยญั ชนะต้น มีอยู่ 2 ประเภท คือ 1. เสยี งพยญั ชนะเดีย่ ว = ออกเสยี งเสยี งพยญั ชนะตน้ เสียงเดียว เชน่ มา วิน ตี นุก หมู 2.เสียงพยัญชนะประสม ออกเสยี งเสียงพยัญชนะต้นสองเสียงควบกนั เชน่ กราบ ความ ปราม ไตร - ผิ ออกเสยี งพยญั ชนะตน้ 1 เสียง คอื /ผ/ - ผลิ ออกเสียงพยัญชนะต้น 1 เสียง คอื /ผล/ - ผลิต ออกเสียงพยัญชนะต้น 2 เสียง คอื /ผ/ , /ล/ (คอื เวลาออกต้องแยกวา่ ผะ-หลดิ ).เสียงพยัญชนะตัวสะกด (พยญั ชนะทา้ ย) เสยี งพยัญชนะทา้ ย เสียงพยัญชนะทีอ่ ยูห่ ลงั เสยี งสระ เสียงพยัญชนะทา้ ย มี 8 เสยี ง คอื แม่กก แทนดว้ ยเสยี ง /ก/ แม่กด แทนดว้ ยเสียง /ต/ แม่กบ แทนดว้ ยเสียง /ป/ แมก่ ม แทนด้วยเสยี ง /ม/ แมก่ น แทน ด้วยเสยี ง /น/ แมก่ ง แทนดว้ ยเสียง /ง/ แม่เกย แทนด้วยเสยี ง /ย/ แม่เกอว แทนด้วยเสียง /ว/ เชน่ นาค เสยี งพยัญชนะท้าย ช /ก/ รด เสียงพยญั ชนะทา้ ย = /ต/ เสียงสระ 1.เสียงสระส้นั ยาวให้ดูตอนท่ีออกเสียงอย่าดทู ร่ี ูปเชน่ วดั ออกเสียงสระสน้ั ช่าง สระสนั้ เท้า สระยาว เนา่ สระ สัน้ นา้ สระยาว ชา้ สระสนั้ 2.เสียงสระ มี 2 ประเภท คอื สระประสม มี 6 เสียง คือ อัวะ อวั เอือะ เอือ เอยี ะ เอยี สระเดีย่ ว มี 18 เสียง คือ สระที่ไม่ใช่ อวั ะ อัว เอือะ เออื เอียะ เอยี 5.เสียงวรรณยกุ ต์ มี 5 ระดบั คอื สามญั เอก โท ตรี จตั วา 6.พยางค์ คือ เสยี งที่ออกมา 1 ตร้งั มี 2 ประเภท คือ พยางค์เปิด พยางค์ท่ีไม่มตี ัวสะกด เชน่ เธอ มา ลา สู่ พยางคป์ ิด พยางค์ท่มี เี สยี งตวั สะกด เช่น ไป รบ กบั เขา คา 1.คามลู = คาด้ังเดมิ เช่น กา เธอ วง่ิ วุ่น ไป มา 2.คาซ้า = คามูล 2 คาที่เหมอื นกันทกุ ประการ คาท่สี องเราใสไ่ ม้ยมกแทนได้ เช่น วงิ่ ว่งิ (วง่ิ ๆ) น้องน้อง (น้องๆ) บางทคี าทีเ่ หมือนกนั มาชดิ กัน ไม่ใชค่ าซา้ เพราะความหมายไมเ่ หมือนกนั เชน่ เขามีที่ทีบ่ างนา 3.คาซอ้ น (คาคู่) คามูลท่ีมคี วามหมายเหมือนหรือคล้ายไม่ก็ตรงขา้ มมารวมกัน เช่น เกบ็ ออก จิตใจ ผู้คน

57 สรา้ งสรรค์ ขนมนมเนย ถว้ ยชาม แข็งแรง เด็ดขาด ตัดสิน ดึงดัน ชวั่ ดี ถห่ี า่ ง 4.คาประสม คามูล 2 คามารวมกนั เป็นคาใหม่ และคาใหม่นนั้ มีเคา้ ความของคาเดมิ ทีน่ ามารวมกันเชน่ น้าพรปิ ลา ทู ขนมป๎ง ไส้กรอก ไก่ยา่ ง ผา้ พันคอ เขม็ ฮกี ยา เลือกต้ัง เจาะขา่ ว โหมโรง ปากหวาน 5.คาสมาส คาบาล+ี สันสกฤต 2 คามารวมกัน (บาลีทง้ั ค่กู ็ได้ สันสกฤตทั้งคูก่ ็ได้ คาบาล+ี สันสกฤตก็ได้) ถา้ คาท่เี อา มารวมกนั เปน็ คาภาษาอน่ื ทไ่ี มใ่ ชภ่ าษาบาลี สันสกฤต กจ็ ะไมใ่ ช่คาสมาส วธิ ีสงั เกตคาสมาสอยา่ งงา่ ย คือคาสมาสจะอา่ นเนอื่ งเสียงระหว่างคา ก็คือเวลาอ่านตรงกลางจะออกเสยี งสระด้วย เช่น ราช(ชะ)การ อบุ ตั (ิ ติ)เหตุ 6.คาสนธิ คาสมาสประเภททเ่ี ราเอาพยญั ชนะตวั สุดทา้ ยของคาหนา้ ไปแทนที\"่ อ\"ตวั แรกของคาหลัง เช่น ชล+อาลยั = ชลาลยั ศลิ ป + อากร = ศลิ ปากร วธิ ีการจะดวู ่าคาไหนเปน็ คาสมาสหรอื สนธิ คือแยกคา 2 คาออกจากกัน - ถา้ แยกออกเป็นคาได้เลย = คาสมาส - ถ้าแยกแลว้ ตอ้ งเตมิ \"อ\" ไปทค่ี าหลัง = คาสนธิ ชนิดของคา 1.คานาม คือคาที่ใช้เรยี กชื่อส่ิงต่าง ๆ เช่นตู้ โตะ๊ เก้าอี้ 2.คากรยิ า คือ คาแสดงการกระทา เชน่ เดิน นั่ง วงิ่ นอน คุย กิน 4.คาวเิ ศษณ์ คือคา ขยาย เช่น แดง ดา สูง ตา่ เปรีย้ ว หวาน 5.คาเชือ่ ม มี 2 ประเภท คือ บพุ บท สันธาน วิธีดใู หด้ ขู ้อความที่ตามมา สนั ธานจะต้องตามด้วยประโยค เชน่ ปลาหมอตายเพราะปากไมด่ ี บพุ บทจะตามด้วยข้อความท่ไี มใ่ ช่ประโยค เช่น ปลาหมอตายเพราะปาก โครงสร้างของคา ชนดิ ของคาเอามารวมกัน เชน่ แม่บ้าน = แม่ + บ้าน = นาม + นาม ทองแดง = ทอง + แดง = นาม + วิเศษณ์ ตม้ ยา = ตม้ + ยา = กรยิ า + กริยา สามล้อ = สาม + ลอ้ =วิเศษณ์ + นาม ห้องรับแขก = หอ้ ง + รับ +แขก = นาม + กรยิ า + นาม ประโยค 1.เจตนาประโยคมี 3 อย่าง = แจง้ ให้ทราบ (บอกเลา่ ) ถามให้ตอบ (คาถาม) บอกให้ทา (คาส่งั ) 2.โครงสร้างของประโยค หมายถึง สว่ นประกอบของประโยค คอื ประธาน กริยา กรรม ส่วนขยาย เช่น พอ่ ฉันกันข้างเก่งมาก ( ประธาน ขยาย(พอ่ ) กรยิ า กรรม ขยาย(กิน) ขยาย(เก่ง) ) 3.ชนดิ ของประโยค มี 3 ชนดิ - ประโยคความเดยี ว : มีประธาน กรยิ า กรรม อย่างละตัว - ประโยคความซ้อน : มี 2 ประโยคมารวมกัน ใช้คาเช่อื วา่ ท่ี ซึง่ อัน ว่า ให้ - ประโยคความรวม : มี 2 ประโยคมารวมกันดว้ ยคาเชอ่ื มคาใดกไ็ ด้ ยกเว้น ท่ี ซึง่ อนั ว่า ให้ (ถา้ ใช้ ท่ี ซ่ึง อนั วา่ ให้ เชือ่ ม จะเปน็ ประโยคความซอ้ น)

58 4.จานวนประโยค - ปกติจบ 1 ประโยค = นบั เปน็ 1 ประโยค - ถา้ มีคาเชื่อมเราคือวา่ ประโยคนัน้ ยงั เปน็ ประโยคเดยี วกับขา้ งหน้า เชน่ เขากินขา้ วแลว้ 1 , เขากินข้าวแล้ว ตอนนี้เขาเข้านอนแล้ว 2 , เขากนิ ข้าวกอ่ นจะเข้านอน 1 5.วลี คอื กลุ่มคาท่ีไม่ใช่ประโยค บางทีกอ้ ยาวจนเกือบจะเปน็ ประโยค แตก่ ้อไม่ใชป่ ระโยค วธิ ดี วู า่ จะเป็นวลี หรือประโยค ถ้าอ่านแลว้ เหมือนจะไมจ่ บ (ประมาณวา่ ร้สู กึ ตอ้ งมีอะไรตอ่ นะ) แสดงวา่ เป็นวลี แต่ถ้า อ่านแลว้ รู้สกึ ว่ามันจบก็ คอื ประโยค เชน่ แม้นเราจะอ่านหนังสือสอบมากขนานไหน = วลี เธอว่ิงซะจน = วลี กระดาษทว่ี างบนโต๊ะตัวนน้ั = วลี เธอกลับบา้ นไปแลว้ = ประโยค ทุกทกุ คราวที่มองฟาู = วลี ระดบั ภาษา 1.ระดบั ภาษามี 5 ระดับ 1.พิธีการ ใชใ้ นพิธี คาพูดจะดูหรหู รา อลังการ ดเู ป็นพธิ ี เช่น ในศภุ วาระดิถีขน้ึ ปีใหม่ 2.ทางการ ใชใ้ นเชงิ วิชากร ประชมุ ใหญๆ่ เรอื่ งทตี่ ้องการแบบแผน คาพูดจะเป็นภาษาเขยี น เช่น ท่านเคยคิด หรอื ไมว่ ่า การทาเช่นน้ันจะมีผลเชน่ ไร 3.กง่ึ ทางการ ใช้ในทปี่ ระชุมเลก็ ๆ เรอ่ื งทีต่ อ้ งมีแบบแผนบา้ ง คาพูจะมีท้งั ภาษาเขยี นและภาษาพุโปน ๆ กัน 4.สนทนา ใช้คยุ กนั ทัว่ ๆ ไปแตก่ ้อมีความสุภาพดว้ ยภาษากจ็ ะเป็นภาษาทีเ่ ราใชค้ ุยกัน 5.กนั เอง ใช้คยุ กันกบั คนซ้ี ๆ หลักการใชภ้ าษาไทยเพื่อการสอื่ สารในอนิ เตอร์เนต็ 1.ใชค้ าให้ถูกต้องตรงตามความหมาย กลา่ วคือ ก่อนนาคาไปเรยี งเข้าประโยค ควรทราบความหมายของคาคานนั้ กอ่ น เช่น คาว่า “ปอก” กบั “ปลอก” สองคาน้ีมีความหมายไมเ่ หมือนกนั คาว่า “ปอก” เปน็ คากรยิ า แปลว่า เอา เปลือกหรือสิ่งทหี่ อ่ หุ้มออก แต่คาว่า “ปลอก” เปน็ คานาม แปลวา่ สิ่งทท่ี าสาหรับสวมหรือรดั ของตา่ งๆ เป็นต้น ลอง พิจารณาตวั อย่างต่อไปนี้ “วนั นไ้ี ด้พบกบั ท่านอธกิ ารบดี ผมขอฉวยโอกาสอันงดงามนเี้ ล้ียงตอ้ นรับทา่ นนะครบั ” (ท่จี รงิ แลว้ ควรใช้ ถือโอกาส เพราะฉวยโอกาสใชใ้ นความหมายทีไ่ มด่ ี 2. ใชค้ าใหเ้ หมาะสม เลอื กใช้คาให้เหมาะสมกบั กาลเทศะและเหมาะสมกับบคุ คล เช่นโอกาสท่เี ปน็ ทางการ โอกาส ทเ่ี ป็นกันเอง หรือโอกาสที่เป็นภาษาเขียน เช่น “ขา้ พเจา้ ไม่ทราบวา่ ท่านจะคิดยังไง” (คาว่า “ยังไง” เป็นภาษาพดู ถา้ เปน็ ภาษาเขียนควรใช้ “อย่างไร” 3. การใชค้ าลกั ษณนาม ใชค้ าท่ีบอกลักษณะของนามต่างๆ ให้ถกู ตอ้ ง เชน่ ปากกา มีลกั ษณนามเปน็ ดา้ ม เลอื่ ย มี ลกั ษณะนามเปน็ ปืน้ ฤๅษี มีลักษณะนามเป็น ตน เป็นตน้ 4. การเรยี งลาดบั คา เป็น เร่อื งทส่ี าคญั มากในภาษาไทย หากเรยี งผดิ ทคี่ วามหมายก็จะเปลยี่ นไปด้วย ทัง้ นี้ เพราะ คาบางคาอาจมีความหมายได้หลายความหมายซ่ึงขนึ้ อยู่กบั ตาแหน่งที่จัด เรียงไวใ้ นประโยค เช่น

59 แมเ่ กลียดคนใชฉ้ ัน ฉันเกลยี ดคนใชแ้ ม่ คนใชเ้ กลียดแม่ฉนั แม่คนใช้เกลยี ดฉัน ฉันเกลียดแม่คนใช้ แม่ฉันเกลียดคนใช้ ข้อบกพร่องในการเรียงลาดบั คามักปรากฏดงั นี้ - เรียงลาดับคาผิดตาแหน่ง เชน่ เขาไม่ทราบสิ่งที่ดีงามนั้น วา่ คอื อะไร (ควรเรียงวา่ เขาไม่ทราบ วา่ สงิ่ ท่ดี ีงามนน้ั คอื อะไร) - เรยี งลาดับคาขยายผิดที่ เช่น ขอขอบคณุ มา ณ โอกาสนดี้ ว้ ย เป็นอยา่ งสูง (ควรเรียงว่า ขอขอบคุณ เป็นอยา่ งสงู มา ณ โอกาสนดี้ ว้ ย) 5. แตง่ ประโยคให้จบกระแสความ หมายถึงแต่งประโยคใหม้ ีความสมบูรณค์ รบถว้ นทั้งส่วนทีเ่ ปน็ ภาคประธานและ ภาค แสดง ซ่ึงประโยคทีจ่ บกระแสความนั้นจะต้องตอบคาถามว่า ใคร ทาอะไร ไดช้ ดั เจน สาเหตทุ ่ีทาให้ประโยคไมจ่ บ กระแสความอาจเกดิ จากขาดคาบางคาหรือขาดส่วนประกอบ ของประโยคบางส่วนไป เชน่ เมอื่ ตอนยงั เด็กเขาชอบนอนหนุนตักแม่ บัดนเ้ี ขาอายุย่ีสบิ กว่าแลว้ (ควรแก้เปน็ เมื่อตอนยงั เดก็ เขาชอบนอนหนุนตักแม่ บัดนเ้ี ขาอายุยี่สบิ กวา่ แล้วก็ยงั ชอบอยู่เหมือนเดิม) 6. ใช้ภาษาให้ชดั เจน ใช้ ภาษาที่ใหค้ วามหมายเพยี งความหมายเดียว เปน็ ความหมายท่ีไมส่ ามารถจะแปลความ เป็นอยา่ งอื่นได้ เช่น “คุณแม่ไมช่ อบคนใช้ฉนั ” อาจแปลได้ 2 ความหมายคือ คุณแม่ไมช่ อบใครก็ตามที่ใช้ให้ฉันทาโนน่ ทานี่ หรอื คุณแม่ไมช่ อบคนรบั ใช้ของฉัน ท้ังนเ้ี พราะคาว่า “คนใช้” เปน็ คาที่มีหลายความหมายนัน่ เอง 7. ใชภ้ าษาให้สละสลวย ใชภ้ าษาอยา่ งไพเราะราบรน่ื ฟ๎งไม่ขัดหู และมีความกะทัดรัด - ไม่ใชค้ าฟุมเฟือย หมายถงึ การใชค้ าที่ไม่จาเป็น หรือใช้คาที่มีความหมายซา้ ซ้อน เชน่ “วนั นอี้ าจารย์ไมม่ าทาการสอน” คาวา่ “ทาการ” เป็นคาท่ีไม่จาเป็น เพราะแมจ้ ะคงไว้กไ็ ม่ไดช้ ่วยใหค้ วามหมายชดั เจนขึน้ กวา่ เดิม ดงั น้ันจึงควร แก้ไขเปน็ “วนั น้อี าจารย์ไม่มาสอน” - ใชค้ าให้คงท่ี หมายถึง ในประโยคเดียวกนั หรือในเนอ้ื ความเดียวกัน ควรใช้คาเดียวกนั ใหต้ ลอด ดังประโยค ต่อไปนี้ “หมอถอื วา่ คนปวุ ยทุกคนเปน็ คนไข้ของหมอเหมือนกัน” ควรแก้เปน็ “หมอถือวา่ คนไขท้ ุกคนเปน็ คนไขข้ องหมอเหมือนกัน” - ไม่ใช้สานวนตา่ งประเทศ เช่น “มันเปน็ ความจาเปน็ อยา่ งย่ิงทเ่ี ขาต้องจากไป” ควรแกเ้ ปน็ “เขาจาเปน็ อย่างยิ่งท่ตี ้องจากไป” ภาษาแชทท่มี ักใช้ผดิ 1. คาทสี่ ะกดผิดไดง้ ่าย เป็นรปู แบบของคาท่มี ีการสะกดผิด ซึง่ เกดิ จากคาที่มกี ารผนั อักษรและเสยี งไม่ตรงกับรปู วรรณยุกต์ เช่น สน้กุ เกอร์ = สนุ๊กเกอร์ โนต้ = โนต้ 2. คาที่สะกดผดิ เพื่อใหแ้ ปลกตา หรอื งา่ ยต่อการพมิ พ์ (ทาให้พิมพ์ไดเ้ รว็ ขน้ึ ) เชน่

60 หน=ู นู๋ ผม = ปม๋ ใชไ่ หม = ชิมิ เป็น = เปง ก็ = กอ้ คะ่ ,ครับ = คระ่ ,คับ 3. การลดรปู คา เป็นรปู แบบของคาทล่ี ดรูปใหส้ ้นั ลงมใี ช้ในภาษาพดู เชน่ มหาวทิ ยาลยั = มหา’ลยั ,มหาลัย โรงพยาบาล = โรงบาล 4. คาทส่ี ะกดผดิ เพ่ือใหต้ รงกับเสียงอ่าน เช่น ใชไ่ หม = ใชม่ ัย้ 5. คาที่สะกดผิดเพ่ือแสดงอารมณ์ เช่น ไม่ = ม่าย ไปไหน = ปายหนาย นะ = นา้ คะ่ ,ครบั =ครา่ ,ครา๊ บ นอกจากน้ียังสามารถแบง่ ออกเป็นกลุ่มทใ่ี ช้ในการพูด และกลมุ่ ที่ใชใ้ นการเขยี น 1. กลมุ่ ทีใ่ ชเ้ วลาพูด เปน็ ประเภทของภาษาวิบัตทิ ใ่ี ช้ในเวลาพดู กัน ซง่ึ บางครั้งกป็ รากฏขึน้ ในการเขยี นด้วย แต่นอ้ ยกว่าประเภทกลมุ่ ท่ี ใชใ้ นเวลาเขียน โดยมกั พดู ให้มีเสยี งส้ันลง หรอื ยาวข้ึน หรือไมอ่ อกเสียงควบกล้าเลย ประเภทน้เี รียกได้อกี อยา่ งว่ากล่มุ เพ้ยี นเสยี ง เช่น ตัวเอง - ตะเอง 2. กลมุ่ ทใ่ี ช้ในเวลาเขียน รูปแบบของภาษาวิบตั ชิ นิดน้ี โดยท้ังหมดจะเป็นคาพ้องเสียงท่ีหลายๆคามักจะผิดหลักของภาษาอยเู่ สมอ โดยส่วน ใหญ่กลุ่มนจี้ ะใช้ในเวลาเขียนเท่านั้น โดยยงั แบง่ ได้เปน็ อีกสามประเภทย่อย 2.1 กลมุ่ พ้องเสยี ง รปู แบบของภาษาวิบัติชนดิ นี้ จะเปน็ คาพ้องเสียง โดยส่วนใหญก่ ลุ่มนี้จะใชใ้ นเวลาเขียนเท่าน้นั และคาท่ีนามาใช้ แทนกนั นม้ี ักจะเปน็ คาที่ไม่มีในพจนานกุ รม เธอ = เทอ ใจ = จยั ไง = งยั กรรม = กา

61 2.2 กลุ่มทรี่ ีบรอ้ นในการพิมพ์ กลมุ่ นจี้ ะคล้ายๆกับกลุ่มคาพอ้ งเสียง เพียงแต่ว่าบางคร้ังการกด Shift อาจทาใหเ้ สยี เวลา เลยไม่กด แลว้ เปล่ียนคา ท่ีต้องการเป็นอกี คาที่ออกเสยี งคล้ายๆกันแทน เชน่ รู้ = รุ้ เห็น = เหน เป็น = เปน 2.3 กลมุ่ ทใ่ี ช้ส่ือสารในเกมส์ (ใชต้ ัวอกั ษรภาษาอ่ืนท่ีมีลักษณะคลา้ ยตวั อักษรไทย) เทพ = Inw นอน = uou เกรียน = เกรีeu ข้อสงั เกตและจดจาในการเขียนภาษาไทย 1. หลกั การประวิสรรชนียใ์ นภาษาไทย - คาทข่ี ึ้นต้นด้วยกระ/กะ ในภาษาไทยใหป้ ระวิสรรชนีย์ เช่น กระเช้า กระเซ้า กระแส กระโปรง กระทรวง กระทะ กระพรบิ กะปิ เปน็ ต้น 2. คาที่เป็นคาประสมท่ีคาหน้าก่อนเปน็ เสยี งอะ ใหป้ ระวิสรรชนีย์ - เชน่ ตาวัน เป็น ตะวนั , ฉันน้ัน เปน็ ฉะนนั้ , ฉนั นี้ เปน็ ฉะน้ี, หมากมว่ ง เปน็ มะม่วง, สาวใภ้ เปน็ สะใภ,้ วบั วับ เป็น วะวับ, เร่ือยเรื่อย เปน็ ระเรอ่ื ย เปน็ ต้น 3. คาที่ยมื มาจากภาษาบาลี สันสกฤต ตวั ทา้ ยท่ีออกเสียง อะ ต้องประวิสรรชนีย์ - เชน่ ศลิ ปะ มรณะ สาธารณะ วาระ เปน็ ตน้ 4. คาท่พี ยัญชนะตน้ ออกเสียงอะ แต่ไม่ใช่อกั ษรนา ต้องประวิสรรชณีย์ - เช่น ขะมุกขะมอม ขะมกั เขมน้ ทะเลอ่ ทะลา่ เปน็ ต้น การใช้คา ใหเ้ หมาะสม การใชค้ าในภาษาไทยใชต้ ่างกันตามความเหมาะสม ประกอบดว้ ยเสยี งและความหมาย การรู้ จกั เลอื กคามาใช้ให้ ถกู ต้อง ควรคานงึ ถงึ เร่ืองต่อไปนี้ 1. การใชค้ าให้ถูกต้องตามความหมาย ความหมายของคา ทจี่ ะกล่าวถึงมดี งั นี้คือ 1.1 คาที่มีความหมายตรงและความหมายโดยนยั - ความหมายตรง คือ ความหมายท่เี ปน็ ท่ีรบั รู้ เข้าใจตรงกนั ในหมู่ ผ้ใู ช้ภาษาไมต่ ้องตี ความเปน็ อยา่ งอืน่ - ความหมายแฝง คือ ความหมายทีซ่ ่อนเร้นอยูใ่ นความหมายของคานน้ั ๆ เปน็ ความ หมายทเ่ี พิ่มข้ึนจากความหมายตรง จะเข้าใจตรงกันหรือไม่ขึ้นอยู่กับพ้นื ฐานความรู้ประสบการณ์ของ แต่ละ บคุ คล ตลอดจนคาแวดลอ้ ม 1.2 คาบางคาอาจมไี ดห้ ลายความหมาย คือ เม่ืออยใู่ นประโยคหน่งึ คาบางคาอาจมี ความแตกตา่ งไปจากเม่ืออยู่ใน อีกประโยคหน่ึง ๑.๓ คาบางคามีความหมายใกลเ้ คียงกัน อาจทาให้ผใู้ ชภ้ าษาเกิดความสับสนได้ ...ตัวอย่างคาทม่ี ี ความหมายใกลเ้ คยี งกนั >> 2. การใชค้ าให้ถูกต้องตามไวยากรณ์ ไวยากรณ์ หมายถงึ หลกั วา่ ด้วยรูป และระเบยี บวธิ กี ารประกอบรปู คาให้เป็น ประโยค ชนดิ ของคาแบ่งออกเป็น 7 ชนดิ ได้แก่

62 - คานาม - คาสรรพนาม - คากรยิ า - คาวเิ ศษณ์ - คาบุพบท - คาสนั ธาน - คาอทุ าน 3. การเขียนสะกดการนั ต์ใหถ้ ูกตอ้ ง การเขียนสะกดคาเนเร่ืองสาคัญ เพราะถ้าเขีนยสะกดบกพร่องหรอื ผดิ ความา หมายกอ็ าจจะ เปลย่ี นแปลงไปได้ ดังนัน้ ในการเขยี นจึงต้องอาศัยการสงั เกตและการจดจาหลักการเขยี นคาประเภท ตา่ งๆ ดังน้ี - คาสมาส - คาพ้องเสยี ง - คาทีใ่ ช้ ซ, ทร - คาทใ่ี ช้ ใ-, ไ- - คาทอี่ อกเสียง อะ - การใชว้ รรณยกุ ต์ - คาท่ีมีตัวการนั ต์ - คาทบั ศัพท์ภาษาตา่ งประเทศ 4. การออกเสยี งให้ถกู ต้องและชัดเจน พยางคห์ นง่ึ ๆ ในภาษาไทยประกอบด้วย พยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์ ถ้า เสยี งพยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์เปลย่ี นไป ความหมายกจ็ ะเปลี่ยนไปดว้ ย ซง่ึ จะทาใหส้ ่อื ความหมายผิดพลาดได้ เร่อื งนต้ี ้องอาศัยการสังเกตและจดจาเปน็ สาคญั ...ตัวอยา่ งการออกเสยี งให้ถูกต้องและชดั เจน>> การใช้คาใน ภาษาไทยใชต้ ่างกันตามความเหมาะสมหรือตามระดบั ของคา เวลานาคาไปใช้จะต้อง คานึงถึงความเหมาะสมของ บุคคล กาลเทศะ โอกาส และความรู้สกึ ระดับของภาษาแบ่งอย่างกว้างๆ ได้ ๓ ระดับคือ 1. ภาษาปาก เปน็ ภาษาทีใ่ ช้พูดหรือเขยี น เพ่อื ความเข้าใจในกลมุ่ คนท่มี ีความใกล้ชิดสนทิ สนม กัน ถ้อยคาที่ใช้ไม่ ต้องพถิ ีพถิ ันกนั มากนัก 2. ภาษากึ่งแบบแผน เป็นภาษาทใี่ ชท้ ง้ั ในการพูดและเขียน 3. ภาษาแบบแผน เปน็ ภาษาท่ียอมรบั กันโดยทว่ั ไปว่าถูกต้องและประณตี มักใชใ้ นการพูดและ เขียนทเี่ ป็นทางการ ...ตัวอย่างการใชภ้ าษาระดับต่างๆ การใชค้ าใหเ้ หมาะสม ควรคานึงถึงเรื่องต่อไปน้ี 1. การใชค้ าใหเ้ หมาะสมกบั บคุ คลและกาลเทศะ การใช้คาทสี่ ุภาพหรือคาทเ่ี หมาะสมกบั บคุ คลเป็น เร่ืองที่คน ไทยถือเป็นเร่ืองสาคัญ ควรใช้ใหถ้ ูกต้องและเหมาะสม 2. การใช้คาใหเ้ หมาะสมกับความรู้สึก คาบางคาในภาษาไทยจะแสดงความรสู้ ึกของผู้ใช้ภาษาได้ ว่าร้สู กึ เชน่ ใด ในขณะเดยี วกนั ก็จะสง่ ผลต่อความรูส้ กึ ของผรู้ ับสารไดเ้ ชน่ กนั หวงั ว่า ทา่ นจะนาหลกั การเหล่านีไ้ ปเปน็ พ้นื ฐานในการ ใช้ภาษาไทยในชีวิตประจาวันได้ อย่างถกู ต้อง

63 ใบงาน เรื่องหลักการใช้ภาษา คาชี้แจง 1. ผู้เรยี นแตล่ ะกลมุ่ แข่งขนั นาบัตรคาไปติดไว้ท่ีบอร์ดให้ประเภทเช่น แมย่ าย เปน็ คาประสม นาไป ติดใหถ้ ูกต้อง 2. ใหผ้ ู้เรียนเลอื กบทความเกี่ยวกบั คุณธรรมพรอ้ มบอกวา่ ในบทความใช้มาตราตัวสะกดใด และใหข้ ้อคดิ อะไรกบั เราบา้ งโดยอธบิ ายโดยสงั เขป 3. กลุ่มไหนทาเวลาได้ดีและได้จานวนบตั รทตี่ ดิ ถูกตอ้ งที่สุดคือทีมผูช้ นะ

64 แผนการจัดการเรียนรรู้ ายวชิ าภาษาไทย คร้ังที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2565 ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนต้น กศน.ตาบลศรโี คตร 1. สปั ดาห์ที่ 8 วนั ที่ 29 เดอื นมถิ นุ ายน พ.ศ. 2565 เวลา 09.00-12.00น. 2. วิชา ภาษาไทย รหัสวิชา พท21001 จานวน4หนว่ ยกิต 3. มาตรฐานท่ี 2.1 มคี วามรูค้ วามเขา้ ใจ และทกั ษะพนื้ ฐานเก่ยี วกบั ภาษาและการสอ่ื สาร 4. หน่วยการเรยี นร้/ู เรื่อง ประโยค 5. สาระสาคัญ ชนิดและหนา้ ทข่ี องคา พยางค์ วลี ประโยค การใชเ้ ครอ่ื งหมายวรรคตอน อักษรย่อ พจนานุกรม คาราชาศัพท์ ความแตกต่าง และความหมายของสานวน สภุ าษติ คาพงั เพย 6. เนื้อหา 1. ความหมายและสว่ นประกอบของประโยค 2. ชนดิ ของประโยค 2.1 ประโยคความเดียว 2.2 ประโยคความรวม 2.3 ประโยคความซ้อน 3. หนา้ ท่ีของประโยค 7. จดุ ประสงคก์ ารเรียนร/ู้ ผลการเรยี นรู้ทค่ี าดหวงั (ดูจากผงั การออกขอ้ สอบ) 1. อธบิ ายความแตกต่างประโยคชนดิ ตา่ ง ๆ ได้ 8. การบูรณาการกบั หลกั แนวคดิ ของเศรษฐกิจพอเพยี ง (2 เงื่อนไข 3 หลักการ การเช่อื มโยงสู่ 4 มติ ิ) ความรู้ สรุปความ จับประเดน็ สาคญั ของเร่ืองการใชห้ ลกั ภาษา การร้จู ักประโยค คณุ ธรรม - มคี วามตรงตอ่ เวลา - มคี วามขยัน - มคี วามรบั ผิดชอบ พอประมาณ

65 - เน้ือหาวชิ าทีเ่ รียนรมู้ คี วามเหมาะสมกบั ช่ัวโมงที่จัดการเรียนการสอน - เนอ้ื หาทไ่ี มไ่ ด้จดั การเรยี นการสอนผู้เรียนสามารถเรียนร้แู บบ กรต.ได้ มเี หตผุ ล - ผเู้ รยี นมีความรู้ ความเขา้ ใจและการนาไปใช้ในเร่ืองหลกั การใช้ภาษา การเขียนประโยค - สามารถวเิ คราะหแ์ ละสงั เคราะห์เรือ่ งการใช้หลกั ภาษาได้อย่างถกู ต้อง มภี มู คิ ุ้มกัน - สามารถใช้คาได้ต้องตามหลักภาษา - ผเู้ รยี นอา่ นออกเขยี นไดต้ ามหลกั ภาษา วัตถุ - ผเู้ รียนมสี ่ือการเรียนท่ีเหมาะสมกบั เนื้อหาทเี่ รยี น สงั คม - ผเู้ รยี นสามารถทางานร่วมกับคนอน่ื ไดอ้ ยา่ งมีความสขุ - ผู้เรียนสามารถแลกเปลี่ยนความคดิ เห็นกันภายในกลมุ่ และหอ้ งเรียน ส่ิงแวดล้อม - เนอื้ หาบางเรื่องสามารถเรียนผา่ นสื่อออนไลน์ วัฒนธรรม - ผเู้ รยี นมกี ารเรยี นรวู้ ัฒนธรรมการใช้ภาษาต่อๆกนั มาตามหลักภาษา 9. กระบวนการจัดการเรียนรแู้ ละกจิ กรรมการเรียนรู้ ขน้ั ท่ี 1 กาหนดสภาพปัญหาการเรยี นรู้ (O : Orientation) 1. ครใู ช้บตั รคาทมี่ ีทัง้ คา วลี และประโยคให้ผ้เู รยี นแยกประเภท เม่ือแยกประเภทแล้ว ให้ครนู าบัตรคา ทเี่ ปน็ ประโยคถามผเู้ รียนวา่ บัตรคานน้ั เปน็ ประโยคประเภทใด และครูเชื่อมโยงใหเ้ ห็นถึงความสาคญั ท่ีตอ้ งเรยี นรเู้ รื่อง ชนดิ ของประโยค ขั้นท่ี 2 แสวงหาขอ้ มูลและจัดการเรียนรู้ (N : New ways of learning) 1. ครูมอบหมายใหผ้ เู้ รยี นศกึ ษาใบความรเู้ รื่องชนดิ ของประโยค 2. ผเู้ รยี นศึกษาเน้อื หาเพ่ิมเตมิ จากใบความรู้และส่อื อนิ เตอร์เน็ต 3. ครูตอบข้อสงสัยและอธบิ ายเพิ่มเตมิ ขั้นที่ 3 การปฏบิ ตั ิและการนาไปใช้ (I : Implementation) 1. ครูให้ผเู้ รยี นปฏิบตั ติ ามใบงาน โดยเขียนเรยี งความเรือ่ งเศรษฐกิจพอเพยี งโดยในเรียงความดังกลา่ ว จะต้องประกอบไปดว้ ยประโยคความเดียว ประโยคความรวมและประโยคความซ้อน พร้อมแยกใหเ้ ห็นชดั เจนและ อธิบายว่าประโยคทเี่ ขียนเป็นประโยคชนดิ ใด ขั้นที่ 4 การประเมนิ ผลการเรยี นรู้ (E : Evaluation) 1. สังเกตพฤติกรรมการเรยี นรู้รายบคุ คล(ตามสภาพจริง)

66 2. แบบประเมนิ ใบงาน 11. สือ่ /แหลง่ เรียนรู้ 1. หนังสอื เรียน 2. แบบฝกึ หัด 3. สอื่ อินเตอรเ์ น็ต 11. การวดั และประเมินผล 11.1วธิ ีการวดั และประเมนิ ผล - ใบงาน 11.2 เคร่ืองมอื วัดและประเมินผล - ผลจากการตรวจใบงาน 11.3 เกณฑก์ ารวดั และการประเมนิ ผล - ใบงานคะแนนเต็ม 10คะแนน กิจกรรมเสนอแนะ ......................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ............................................................ ............................................................................................................................. .......................................................... ลงชือ่ …………………………………………….ครูผู้สอน (นางสาวจนั ทรท์ ิพย์ ศรีลัย) ครู กศน.ตาบล ข้อเสนอแนะของผู้บริหาร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ................................................................. ..................................................................................................................... ... ............................................................................................................................. .......................................................... ลงชื่อ………………………………………………………ผู้อนมุ ตั แิ ผน (นางปท๎ มาภรณ์ ศรเี นตร) ผอู้ านวยการ กศน.อาเภอจตรุ พักตรพมิ าน

67 บนั ทกึ หลังการจดั การเรยี นรู้ กศน.ตาบลศรโี คตร ครั้งที่ 8 วนั /เดือน/ปีวันที่ 29 เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2564 ครูผูส้ อนนางสาวจันทร์ทิพย์ ศรลี ัย ระดับ มธั ยมศึกษาตอนตน้ เวลา 09.00-12.00 น. สาระความรพู้ ้นื ฐาน รายวิชา ภาษาไทย รหสั วิชา พท21001 1. ผลการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้การประเมนิ โดยใช้ แบบทดสอบก่อนเรยี น - หลงั เรยี น พบวา่ คะแนนการทดสอบหลังเรยี น มากกว่าก่อนเรียนจานวน ........ คนคิดเปน็ รอ้ ยละ............ คะแนนการทดสอบหลงั เรยี น นอ้ ยกวา่ ก่อนเรยี นจานวน ......... คนคดิ เปน็ รอ้ ยละ............ 2. เนื้อหา/สาระ/รายวิชา ..................................................................................................................... .............................................. ............................................................................................................................. ...................................... 3. กจิ กรรมการเรยี นการสอน ................................................................................................................................................. .................. ................................................................................................................ ................................................... 4. ปัญหา/อปุ สรรคการเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ...................................... ................................................................................................................................................................... 5. แนวทางการแก้ปญั หา ............................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................................................. ...................................... ลงชือ่ .........................................................(ผูบ้ ันทึก) (นางสาวจันทร์ทพิ ย์ ศรลี ัย) ครู กศน.ตาบล ความเหน็ /ข้อเสนอของผบู้ ริหาร ............................................................................................................................. ......................................

68 ............................................................................................................................. ...................................... ลงช่อื .................................................. (นางป๎ทมาภรณ์ ศรเี นตร) ผูอ้ านวยการ กศน.อาเภอจตุรพกั ตรพิมาน ใบความรู้ เรอื่ ง ประโยค ประโยค หมายถงึ ขอ้ ความทีม่ ีทั้งภาคประธาน และภาคแสดง มใี จความสมบูรณ์ครบถว้ น รู้ว่าใครทาอะไร ท่ี ไหน อย่างไร ประโยคแบ่งตามจานวนเนือ้ ความได้ ๓ ชนดิ คือ ๑. ประโยคความเดียว (เอกตั ถประโยค) คือประโยคทม่ี ใี จความเดียว คือมบี ทประธานบทเดียว และบทกริยา เพยี งบทเดียว เช่น - ก้อยเล่นแบดมินตันท่ีสโมสร - รถของคณุ แมเ่ สยี บ่อย ๆ - เจา้ แตม้ สุนัขขา้ งบา้ นจะกดั เจา้ วุ่นของฉัน - ฉนั กาลังอ่านหนังสอื สารคดดี ้วยความสนใจ - นอ้ ง ๆ ชัน้ ปที ี่ ๑ เช่อื ฟง๎ พวกเราพ่ีช้นั ปี ๒ อย่างดี ขอ้ สงั เกต ประโยคความเดยี ว สันธานทีใ่ ช้เชอ่ื มบทกรรมหรอื วิเศษณ์เปน็ การเชื่อมคา ๒. ประโยคความรวม (อเนกัตถประโยค) คือ ประโยคทีร่ วมประโยคความเดยี วต้ังแต่ ๒ ประโยคขึ้นไปเขา้ ด้วยกัน โดยมีสนั ธานเปน็ เครอ่ื งเชอื่ ม เชน่ - เก่งทางานบ้านและรอ้ งเพลงเบา ๆ - อาหารและยาเปน็ สิง่ จาเปน็ สาหรบั มนษุ ย์ - หลานช่วยพยาบาลย่าจงึ หายปวุ ยเรว็ - ดที ูบเี ปน็ นกั ร้องแต่คทั รียาเปน็ ดาราภาพยนตร์ - เธอจะทานผลไมห้ รือขนมหวาน ข้อสงั เกต สนั ธานใช้เชื่อมประธานหรือกริยาเป็นการเชอื่ มประโยค ๓. ประโยคความซอ้ น (สงั กรประโยค) ประโยคความซ้อน (สงั กรประโยค) หมายถงึ ประโยคท่รี วมประโยค ความเดียว ๑ ประโยคเป็นประโยคหลกั แล้วมีประโยคความเดยี วอนื่ มาเสริม มขี ้อสงั เกตคอื ประโยคหลัก (มุขย ประโยค) กับ ประโยคย่อย (อนปุ ระโยค) ของประโยคความช้อนมี นา้ หนังไมเ่ ทา่ กนั ลกั ษณะของประโยคความซอ้ น

69 ๑. เป็นประโยคทรี่ วมเอาประโยคความเดียว ๒ ประโยคไว้ด้วยกัน และมีสนั ธานเปน็ เครื่องเชื่อม ๒. เม่อื แยกประโยคความซอ้ นออกจากกันแล้ว จะมีน้าหนกั หรอื ความสาคัญไมเ่ ท่ากนั ประโยคหนง่ึ จะ เปน็ ประโยคหลัก อีกประโยคหน่งึ จะเป็นประโยคย่อย ๓. ประโยคย่อยทาหน้าทเ่ี ปน็ - ประธานของประโยค - กรรมของประโยค - วิเศษณ์ขยายกรยิ า หรือวิเศษณ์ของประโยค - วเิ ศษณ์ขยายประธานหรือกรรม ตวั อย่างของประโยคความซ้อน ๑. คณุ ลงุ เอ็นดหู ลานซ่ึงเป็นกาพรา้ ตั้งแต่อายุ ๗ ปี ๒. คณุ ปูฟุ ง๎ เพลงไทยเดิมมันมีลลี าเนิบนาบ ๓. คุณตารับประทานยาทไ่ี ดม้ าจากโรงพยาบาล ๔. บคุ คลผ้มู ีอายุครบ ๑๕ ปี ต้องทาบตั รประจาตัวประชาชน ๕. สมบตั ิอันมคี ่ามหาศาลถูกฝ๎งอยู่ในน้ี ๖. ปาู แกว้ ทากบั ขา้ วเล้ียงแขกทมี่ าจากท่ีอืน่ ประโยคความซ้อนมี ๓ ประเภท ดงั น้ี ๑. ประโยคความซ้อนท่ีประโยคย่อยทาหนา้ ที่เหมือนคานาม (นามานปุ ระโยค) เชน่ ๑. ฉันไม่ชอบคนรบั ประทานอาหารมมู มาม (กรรม) ๒. คนขาดมารยาทเปน็ คนนา่ รงั เกียจ (ประธาน) ๓. ฉนั ไม่ได้บอกเธอว่าเขาเปน็ คนฉลาดมาก (กรรม) ๔. คนไมท่ างานเป็นคนเอาเปรยี บผูอ้ นื่ (ประธาน) ๕. คนทะเลาะกันก่อความราคาญใหเ้ พื่อนบา้ น (ประธาน) ๖. ฉันไม่ชอบคนเอาเปรียบผู้อนื่ (กรรม) ๗. ผมถามคุณ พ่สี าวหายปวุ ยแลว้ หรือยัง (กรรม) ๘. สนุ นั ท์เล่าว่า เขาไปเท่ียวทางเหนอื สนุกมาก (กรรม) ๒. ประโยคความซ้อนทีม่ ีประโยคยอ่ ยทาหน้าทค่ี ลา้ ยคาวิเศษณ์ขยายคานามหรือขยายสรรพนาม และมีสนั ธาน ท่ี ซ่งึ อัน เปน็ เครื่องเชื่อม เช่น ๑. ท่านทร่ี ้องเพลงอวยพรโปรดมารับรางวัล ๒. เราหวงแหนแผ่นดินไทยอันเป็นบา้ นเกิดเมืองนอนของเรา ๓. ฉนั เห็นภูเขาซึ่งมีนา้ ขงั อยู่ขา้ งใต้ ๔. ครูทใ่ี กลช้ ดิ กบั นักเรียนมากย่อมทราบอุปนิสยั ของนกั เรียน ๕. คนทปี่ ระพฤตดิ ีย่อมมีความเจริญในชวี ิต ๖. กอ้ ยคอยไลน่ กกระจอกที่มาขโมยขา้ ว ๗. พวกทอี่ อกมาตีนกอีลุ้มได้นาเรือเข้ามาหลบฝน

70 คาทเี่ ชือ่ มประโยคหลักกับประโยคย่อยให้เป็นประโยคความซ้อนแบบนี้ได้แก่ ที่ ซง่ึ อัน เรา เรยี กว่า ประพันธ์ สรรพนาม หรอื สรรพนามเชอ่ื มประโยค ๓. ประโยคความซอ้ นทีม่ ปี ระโยคหลกั และประโยคย่อย และประโยคย่อยนั้น ๆ อาจทาหนา้ ท่เี หมือนคานามก็ได้ ทา หน้าท่เี หมือนคาวเิ ศษณก์ ็ได้ จะมสี นั ธาน เมอ่ื , จน, เพราะ, ตาม, ราวกบั , ให้, ทวา่ , ระหว่างท่ี, เพราะเหตุว่า, เหมือน, ดจุ ดงั , เสมอื น, ฯลฯ เป็นตัวเชอ่ื ม เช่น ๑. เพือ่ น ๆ กลบั ไปเม่ืองานเลิกแลว้ ๒. ปลัดอาเภอทางานหนักจนปวุ ยไปหลายวัน ๓. เธอนอนตวั สนั่ เพราะกลวั เสยี งปนื ๔. คนปุวยกินยาตามหมอส่ัง ๕. ฉนั อา่ นหนงั สือพมิ พร์ ะหวา่ งทนี่ ั่งรอเพ่ือน ๖. วนั นเ้ี จา้ นายไมม่ าเนอ่ื งจากเขาเปน็ ไขห้ วัดใหญ่ ๗. ก้อยทางานเรยี บร้อยกว่าเก่ง

71 ใบงาน เรือ่ งชนดิ ของประโยค คาช้แี จง ใหผ้ ู้เรยี นเขยี นเรียงความเร่ืองเศรษฐกจิ พอเพยี ง มีความยาวประมาณ 1 หนา้ กระดาษ A4 โดย ให้เรยี งความดงั กลา่ วประกอบไปด้วยประโยคความเดียว ประโยคความรวม และประโยคความซ้อน พร้อมท้งั แยก ใหเ้ ห็นชดั เจนและอธิบายว่าประโยคท่ีเขยี นเป็นประโยคชนิดใด

72 แผนการจดั การเรยี นรรู้ ายวชิ าภาษาไทย คร้งั ท่ี 4 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 ระดบั มัธยมศึกษาตอนตน้ กศน.ตาบลศรโี คตร 1. สปั ดาห์ท่ี 9 วันท่ี 6 เดอื น กรกฎาคม พ.ศ. 2565 เวลา 09.00-12.00น. 2. วชิ า ภาษาไทย รหสั วิชา พท21001 จานวน 4 หนว่ ยกติ 3. มาตรฐานที่ 2.1 มีความรู้ความเข้าใจ และทกั ษะพน้ื ฐานเก่ยี วกบั ภาษาและการสอ่ื สาร 4. หน่วยการเรียนรู/้ เรื่องหลักการใชภ้ าษา 5. สาระสาคญั ชนดิ และหน้าที่ของคา พยางค์ วลี ประโยชน์ การใชเ้ ครื่องหมายวรรคตอน อกั ษรย่อ พจนานกุ รม คาราชา ศพั ท์ ความแตกต่าง และความหมายของสานวน สุภาษิต คาพงั เพย 6. เนอื้ หา 1. หลักการแตง่ คาประพนั ธป์ ระเภทตา่ ง เช่น 1.1 กาพยย์ านี 11 1.2 กาพย์ฉบัง 16 1.3 กลอนแปดสภุ าพ 7. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้/ผลการเรียนร้ทู ่ีคาดหวัง (ดจู ากผังการออกขอ้ สอบ) 1. อธิบายหลกั การและสามารแต่งคาประพนั ธป์ ระเภทตา่ ง ๆ 8. การบรู ณาการกับหลกั แนวคิดของเศรษฐกจิ พอเพียง (2 เง่ือนไข 3 หลกั การ การเชื่อมโยงสู่ 4 มติ ิ) ความรู้ สรปุ ความ จับประเด็นสาคัญของเรื่องการใช้หลักภาษาเพื่อนามาแต่งคาประพนั ธป์ ระเภท ตา่ งๆ คณุ ธรรม - มคี วามต้ังใจในการเรียนรู้ - มคี วามขยนั - มคี วามรบั ผดิ ชอบ พอประมาณ

73 - เนื้อหาวชิ าท่ีเรียนรู้มีความเหมาะสมกับช่ัวโมงทจ่ี ดั การเรียนการสอน - ผเู้ รยี นใชว้ ธิ ีคิดแบบการสรปุ องค์ความรเู้ พ่ือให้สอดคล้องกับเน้อื หาและเวลาเรยี น มีเหตุผล - ผูเ้ รียนมคี วามรู้ ความเขา้ ใจและสามารถแตง่ ประคาประพันธไ์ ด้ทกุ ประเภท - นาความรู้เรอ่ื งประโยคมาประยุกต์คาในการแต่งคาประพันธ์ มีภูมิค้มุ กนั - แตง่ คาประพันธ์ไดส้ อดคล้องตามหลกั การ วัตถุ - ผูเ้ รียนมีสอ่ื การเรียนทีเ่ หมาะสมกับเน้ือหาทีเ่ รยี น สงั คม - ผูเ้ รยี นสามารถทางานร่วมกับคนอน่ื ไดอ้ ย่างมคี วามสขุ - ผเู้ รียนสามารถแลกเปลย่ี นความคิดเหน็ กนั ภายในกลุ่มและห้องเรียน สง่ิ แวดล้อม - เนื้อหาบางเร่ืองสามารถเรยี นผา่ นสอื่ ออนไลน์ วฒั นธรรม - ผ้เู รียนได้แต่งคาประพันธป์ ระเภทตา่ งๆซึ่งเปน็ เนื้อหาทศ่ี ึกษาตอ่ ๆกนั มา 9. กระบวนการจดั การเรียนร้แู ละกิจกรรมการเรยี นรู้ ขน้ั ท่ี 1 กาหนดสภาพปญั หาการเรยี นรู้ (O : Orientation) 1. ครูคิดแผน่ กระดาษตัวอย่างคาประพนั ธ์ประเภทตา่ ง ๆ และอา่ นเป็นทานองเสนาะใหผ้ ู้เรียนฟง๎ 2. ใหผ้ เู้ รยี นแสดงความคิดเห็นเรอ่ื งคาประพันธ์ดังกล่าว 3. ครูชใี้ หเ้ หน็ ถึงความสาคญั ทจ่ี ะตอ้ งศกึ ษาคาประพนั ธท์ ม่ี คี ุณค่าและความจาเปน็ ท่ีจะต้องแต่งคา ประพันธป์ ระเภทต่าง ๆ ได้ ขั้นที่ 2 แสวงหาข้อมลู และจัดการเรยี นรู้ (N : New ways of learning) 1. ครทู าแผนผงั คาประพันธ์ประเภทตา่ ง ๆ อธิบายลักษณะบังคับและฉนั ทลักษณ์ พร้อมยกตัวอย่าง ประกอบ 2. ผู้เรียนศกึ ษาเน้ือหาเพิ่มเติมจากใบความรู้และสอื่ อินเตอรเ์ น็ต ขั้นท่ี 3 การปฏิบัตแิ ละการนาไปใช้ (I : Implementation) 1. แบง่ กลุ่มผเู้ รียนเปน็ กลมุ่ ย่อย 4 กลุม่ ปฏิบัติตามใบงาน โดยใหผ้ ู้เรียน 2 กลมุ่ แตง่ กาพย์ยานี 11 ผู้เรยี นอกี 2 กลุม่ แตง่ กลอนแปดสภุ าพ ทุกกลมุ่ แต่งคาประพันธ์ 4 บทตามหัวขอ้ ทก่ี าหนดในใบงาน 2. ใหผ้ ูเ้ รยี นจัดทาใบงานเร่อื งหลักการแต่งคาประพันธ์ลงในใบงานทสี่ ่งครู ข้นั ที่ 4 การประเมนิ ผลการเรยี นรู้ (E : Evaluation) 1. สังเกตพฤติกรรมการเรยี นรรู้ ายบคุ คล(ตามสภาพจริง) 2. แบบประเมินใบงาน

74 10. สอ่ื /แหล่งเรียนรู้ 1. หนังสือเรียน 2. แบบฝกึ หัด 3. สื่ออนิ เตอรเ์ น็ต 11. การวดั และประเมินผล 11.1วิธกี ารวดั และประเมนิ ผล - ใบงาน 11.2 เคร่อื งมอื วัดและประเมินผล - ผลจากการตรวจใบงาน 11.3 เกณฑ์การวัดและการประเมนิ ผล - ใบงานคะแนนเต็ม 10คะแนน กิจกรรมเสนอแนะ ............................................................................................................................. ............................................................ ............................................................................................................................. ........................................................... ................................................................................................................................................................. ....................... ลงชื่อ…………………………………………….ครผู สู้ อน (นางสาวจนั ทร์ทิพย์ ศรลี ยั ) ครู กศน.ตาบล ข้อเสนอแนะของผู้บริหาร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….............. ............................................................................................................................. .......................................................... ลงชือ่ ………………………………………………………ผ้อู นมุ ัตแิ ผน (นางป๎ทมาภรณ์ ศรเี นตร) ผ้อู านวยการ กศน.อาเภอจตุรพกั ตรพิมาน

75 บันทึกหลังการจัดการเรียนรู้ กศน.ตาบลศรโี คตร ครัง้ ที่ 9 วนั /เดอื น/ปวี นั ที่ 6 เดอื น กรกฎาคม พ.ศ. 2565 ครูผสู้ อนนางสาวจันทรท์ ิพย์ ศรลี ัย ระดบั มัธยมศึกษาตอนตน้ เวลา 09.00-12.00 น. สาระความรู้พนื้ ฐาน รายวชิ า ภาษาไทย รหัสวชิ า พท21001 1. ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การประเมินโดยใช้ แบบทดสอบก่อนเรยี น - หลังเรยี น พบวา่ คะแนนการทดสอบหลงั เรยี น มากกวา่ ก่อนเรยี นจานวน ........ คนคดิ เปน็ ร้อยละ............ คะแนนการทดสอบหลังเรียน นอ้ ยกว่าก่อนเรยี นจานวน ......... คนคิดเป็นร้อยละ............ 2. เนือ้ หา/สาระ/รายวิชา ............................................................................................................................. ...................................... .......................................................................................................................................... ......................... 3. กจิ กรรมการเรยี นการสอน ................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ...................................... 4. ปญั หา/อุปสรรคการเรียนการสอน ............................................................................................................................. ...................................... ................................................................................................................................................................... 5. แนวทางการแก้ปัญหา ............................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................................................. ...................................... ลงช่อื .........................................................(ผบู้ ันทกึ ) (นางสาวจันทร์ทพิ ย์ ศรีลัย) ครู กศน.ตาบล ความเหน็ /ข้อเสนอของผบู้ ริหาร

76 ............................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................................................. ...................................... ลงช่ือ.................................................. (นางปท๎ มาภรณ์ ศรเี นตร) ผูอ้ านวยการ กศน.อาเภอจตรุ พักตรพิมาน ใบความรู้ หลกั การแต่งคาประพันธ์ คาประพนั ธ์หรือรอ้ ยกรองมหี ลายประเภท เช่น โคลง กลอน กาพย์ ฉันท์ และ ร่ายบทร้อยกรองเป็นข้อความ ท่ีประดิดประดอยตกแต่งคาภาษาอยา่ งมีแบบแผนและมีเง่อื นไขพิเศษบังคับไว้ เช่น บงั คับจานวนคา บังคับวรรค บงั คบั สัมผสั เรียกวา่ “ฉันทลกั ษณ์” แนวทางการเขียนบทร้อยกรองมดี ังนี้ 1. ศกึ ษาฉันทลักษณข์ องคาประพนั ธน์ นั้ ๆ ใหเ้ ข้าใจอย่างแจ่มแจง้ 2. คิดหรือจนิ ตนาการว่าจะเขียนเร่อื งอะไร สรา้ งภาพใหเ้ กิดขึ้นในหว้ งความคิด 3. ลาดับภาพหรือลาดบั ข้อความให้เป็นอย่างสมเหตผุ ล 4. ถ่ายทอดความร้สู ึกหรือจนิ ตนาการนั้นเป็นบทร้อยกรอง 5. เลอื กใช้คาที่สื่อความหมายได้ชดั เจน ทาใหผ้ อู้ ่านเกดิ ภาพพจน์และจนิ ตนาการร่วมกบั ผูป้ ระพันธ์ 6. พยายามเลอื กใชค้ าทีไ่ พเราะ เช่น คดิ ใช้คาว่า ถวิล ผหู้ ญงิ ใช้คาว่า นารี 7. แตง่ ใหถ้ กู ต้องตามฉนั ทลักษณข์ องคาประพนั ธ์ การเขียนโคลงสีส่ ุภาพ มีหลักการเขยี นดงั น้ี บทหน่ึงมี 4 บาท บาทหนึ่งมี 2 วรรค เรยี กวรรคหนา้ กบั วรรคหลงั วรรคหนา้ มี 5 พยางค์ทุกบาท วรรคหลัง ของบาททห่ี นึง่ ท่สี องและท่สี ามมี 2 พยางค์ วรรคหลงั ของบาทท่ีสม่ี ี 4 พยางค์ และอาจมีคาสร้อยไดใ้ นวรรคหลงั ของ บาททหี่ นง่ึ และบาทท่สี าม มีสัมผัสบงั คบั ตามท่กี าหนดไวใ้ นผังของโคลง ไม่นิยมใช้สมั ผสั สระ ใช้แต่สมั ผสั อักษร โคลง

77 บทหนงึ่ บงั คบั ใช้คาทม่ี ีวรรณยุกต์เอก 7 แห่ง และวรรณยกุ ต์โท 4 แหง่ คาเอกผอ่ นผนั ใหใ้ ช้คาตายแทนได้ การเขยี นกาพย์ แบ่งออกเปน็ กาพยย์ านี กาพย์ฉบงั กาพย์สุรางคนางค์ กาพย์ขบั ไม้ (1) กาพยย์ านี 11 มลี กั ษณะบงั คับของบทร้อยกรอง ดังน้ี คณะ คณะของกาพย์ยานีมดี งั น้ี กาพยบ์ ทหน่ึงที่ 2 บาท บาทที่ 1 เรยี กว่า บาทเอก บาทท่ี 2 เรียกวา่ บาทโท แตล่ ะ บาทมี 2 วรรค คอื วรรคแรกและวรรคหลัง พยางค์ พยางค์หรือคาในวรรคแรกมี 5 คา วรรคหลงั มี 6 คา เปน็ เชน่ นท้ี ้ังบาทเอกและบาทโท จึงนับจานวนได้บาทละ 11 คา เลข 11 ซ่งึ เขยี นไว้หลงั ช่ือกาพย์ยานีนนั้ เพ่ือบอกจานวนคา

78 กาพย์ฉบงั 16 มลี ักษณะบงั คบั ของบทร้อยกรอง ดังนี้ คณะ กาพย์ฉบงั บทหนึ่งมเี พยี ง 1 บาท แตม่ ี 3 วรรค คือ วรรคตน้ วรรคกลาง และวรรคทา้ ย พยางค์ พยางค์หรือคาในวรรคต้นมี 6 คา วรรคกลางมี 4 คา วรรคท้ายมี 6 คา รวมทั้งบทมี 16 คา จงึ เขยี นเลข 16 ไว้ หลังช่อื กาพย์ฉบัง กาพยส์ ุรางคนาง28

79 มีลกั ษณะบังคบั ของบทร้อยกรอง ดงั น้ี คณะ บทหน่งึ มี 7 วรรค เรยี งได้ 2 วธิ ตี ามผงั ดงั น้ี สรุ างคนางคนางค์ เจ็ดวรรคจักวาง ให้ถกู วิธี วรรคหนงึ่ ส่ีคา จงจาไวใ้ หด้ ี บทหนึ่งจงึ มี ยี่สิบแปดคา หากแตง่ ต่อไป สมั ผสั ตรงไหน จงใหแ้ ม่นยา คาทา้ ยวรรคสาม ติดตามประจา สัมผัสกับคา ทา้ ยบทตน้ แล อ.ฐปนยี ์ นาครทรรพ ประพันธ์

80 ฉันท์ แบง่ เปน็ หลายชนิด เชน่ อนิ ทรวเิ ชยี รฉนั ท์ ภุชงคประยาตฉนั ท์ วชิ ชุมมาลาฉันท์ มาณวกฉันท์ วสันตดิลกฉันท์ อทิ ิ ฉนั ท์ เปน็ ต้น และยังมีฉนั ท์ทีม่ ีผู้ประดิษฐ์ขึ้นใหม่อีก เชน่ สยามมณฉี นั ท์ ของ น.ม.ส. เป็นตน้ ใบงาน เร่ืองหลักการแตง่ คาประพนั ธ์ 1. ให้ผเู้ รยี นแบง่ กล่มุ แต่งคาประพันธ์ประเภทกาพยย์ านี 11 หรอื กลอนแปดสภุ าพ (ตามที่ตนเองได้รับ)ใน หวั ขอ้ อาเซียนน่ารู้ โดยต้องสัมผสั คาใหถ้ ูกต้องตามรูปแบบของบทรอ้ ยกรองประเภทน้ัน ๆ อยา่ งน้อย 2 บท 2. ใหผ้ เู้ รียนบอกลักษณะบังคบั ของบทร้อยกรองประเภทตา่ ง ๆ ดังน้โี ดยสรุป มาโดยละเอยี ด 2.1 กาพย์ยานี 11 2.2 กาพยฉ์ บัง 16 2.3 กลอนแปด 3. ให้ผเู้ รยี นศึกษาบทประพันธ์ตอ่ ไปนีแ้ ล้วบอกว่าเป็นบทประพันธ์ประเภทใด 3.1 ไมเ่ มาเหล้าแต่เรายังเมารกั สุดจะหักห้ามจิตคิดไฉน ถึงเมาเหลา้ เช้าสายก็หมายไป แต่เมาใจน้ปี ระจาทุกคาคืน 3.2 หมูย่างอรอ่ ยลน้ิ ตะละช้นิ อร่ามเหลือง เกี๊ยวซ่ากะแหนมเนืองมะระต้มจะสมกัน 3.3 เม่อื คนื ฉันฝน๎ ว่าเธอกบั ฉันชวนกันข่คี วายมันไล่ขวิด หลุดหวดิ เจยี นตายฝน๎ ดหี รอื ร้ายทานายให้ที 3.4 ปรารถนาแห่งน้าใสถักสายใยทสี ดสวยระลอกนา้ ระรนิ รายละยับพรบิ ระยิบพราว 3.5 อนั ท่จี ริงคนเรขอยากให้เราดี แต่ถา้ เดน่ ขึน้ ทุกทีเขาหมน่ั ใส้ จงทาดีแต่อย่าเดน่ จะเปน็ ภัยไม่มีใคร อยากเหน็ เราเด่นเกิน

81 แผนการจดั การเรียนร้รู ายวิชาวทิ ยาศาสตร์ ครั้งท่ี 1 ภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2565 ระดับมธั ยมศึกษาตอนต้น กศน.ตาบลศรีโคตร 1. สัปดาห์ท่ี 10 วนั ท่ี 15 เดอื น กรกฎาคม พ.ศ. 2565 เวลา 09.00-12.00น. 2. วิชา วทิ ยาศาสตร์ รหัสวชิ า พว21001 จานวน 4 หนว่ ยกติ 3. มาตรฐานท่ี 2.2 มคี วามรู้ความเขา้ ใจ และทักษะพน้ื ฐานเก่ยี วกับคณิตศาสตร์ วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 4. หน่วยการเรียนรู้/เรอ่ื งธรรมชาตทิ างวิทยาศาสตร์และทักษะทางวิทยาศาสตร์ 5. สาระสาคัญ อธบิ ายธรรมชาตแิ ละความสาคญั ของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 6. เนอ้ื หา 1. กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 1.1 ความหมายและความสาคัญของวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 1.2 กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 1.2.1 วิธีการทางวทิ ยาศาสตร์ 5 ขัน้ 1.2.2 ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 13 ทักษะ 1.2.3 เจตคติทางวทิ ยาศาสตร์ 6 ลักษณะ 1.2.4 จติ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี 7. จดุ ประสงค์การเรียนร้/ู ผลการเรยี นร้ทู ค่ี าดหวงั (ดจู ากผังการออกข้อสอบ) 1. อธบิ ายธรรมชาตแิ ละความสาคญั ของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้ 2. อธิบายกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ วิธกี ารทางวทิ ยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรแ์ ละเจต คติทางวิทยาศาสตร์ได้ 3. นาความรู้ และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ไปใชแ้ ก้ปญ๎ หาต่างๆ ได้ 4. อธิบายความหมาย ความสาคญั และความสมั พนั ธข์ องเทคโนโลยีต่อชวี ติ และสงั คมได้ 5. นาความรู้ และเลือกใช้เทคโนโลยไี ด้อยา่ งเหมาะสม 6. เลอื กใช้วสั ดุ และอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตรไ์ ด้อย่างถกู ต้องและเหมาะสม

82 7. เกดิ เจตคตทิ างวิทยาศาสตร์ 8. มีจิตวิทยาศาสตร์ 8. การบูรณาการกบั หลักแนวคิดของเศรษฐกิจพอเพยี ง (2 เงอ่ื นไข 3 หลักการ การเช่ือมโยงสู่ 4 มติ ิ) ความรู้ สรปุ ความ จับประเดน็ สาคญั ของเรอื่ งทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ คณุ ธรรม - มคี วามอดทน - มคี วามขยัน - มีความซื่อสตั ย์ พอประมาณ - เนือ้ หาวชิ าท่เี รียนรู้มคี วามเหมาะสมกบั ชวั่ โมงที่จัดการเรียนการสอน - ผูเ้ รยี นเลอื กวิชาทีส่ ามารถศึกษาเองไดเ้ ป็นการเรียนแบบ กรต. มเี หตุผล - นาทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรม์ าปรับใช้ในชีวิตประจาวัน - นาขั้นตอนกระบวนการคดิ มาใช้เพือ่ ใหเ้ กดิ ลาดบั ขน้ั มภี ูมิค้มุ กนั - คิดอยา่ งมลี าดับขนั้ ตอน วตั ถุ - ผ้เู รยี นมสี ือ่ การเรยี นที่เหมาะสมกับเน้ือหาทเี่ รยี น สังคม - ผเู้ รียนสามารถทางานรว่ มกับคนอ่ืนได้อยา่ งมีความสุข - ผเู้ รยี นใชก้ ระบวนการกลุ่มไดอ้ ยา่ งเหมาะสม สิง่ แวดล้อม - เนื้อหาบางเร่ืองสามารถเรียนผา่ นสอื่ ออนไลน์ วัฒนธรรม - มีหลักการคิดทถ่ี า่ ยทอดกนั มาเร่อื ยๆ 9. กระบวนการจดั การเรียนรู้และกิจกรรมการเรียนรู้ ขนั้ ที่ 1 กาหนดสภาพปญั หาการเรียนรู้ (O : Orientation) 1. ครพู ดู คุยกับนกั ศกึ ษา ถงึ เทคโนโลยีสมยั ใหมแ่ ละสิ่งอานวยความสะดวกในการดาเนินชีวติ ของคนเรา เชน่ ดา้ นการสื่อสาร เทคโนโลยีด้านการแพทย์ เทคโนโลยดี า้ นอวกาศ ขั้นท่ี 2 แสวงหาขอ้ มลู และจัดการเรียนรู้ (N : New ways of learning)

83 1. ครกู บั ผู้เรียนรว่ มกนั วางแผนการเรียนรใู้ นเร่ือง ธรรมชาติและความสาคญั ของวิทยาศาสตรแ์ ละ เทคโนโลยี 2. ครสู นทนากบั ผเู้ รยี นเกี่ยวกับความสาคญั ของวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 3. ผู้เรียนศึกษาเนื้อหาเพ่ิมเตมิ จากใบความรู้และสือ่ อินเตอรเ์ น็ต ข้นั ที่ 3 การปฏบิ ัติและการนาไปใช้ (I : Implementation) 1. แบง่ กลุ่มผเู้ รียนกลุ่มละ 3 คน ใหร้ ว่ มกนั แลกเปลี่ยนเรยี นรู้ศกึ ษาใบความรู้ เร่ือง ธรรมชาติทาง วิทยาศาสตร์และทกั ษะทางวิทยาศาสตร์ แล้วทากิจกรรมในใบงาน 2. ผู้เรยี นแต่ละกลมุ่ รว่ มกันสรุปกิจกรรมจากใบความรู้ ครูกบั ผเู้ รยี นร่วมกนั สรุป ความรู้ ท่ไี ดร้ ับ ขนั้ ท่ี 4 การประเมินผลการเรียนรู้ (E : Evaluation) 1. ครแู ละผเู้ รียนรว่ มกันสรปุ เรอื่ งกระบวนทางวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยที างวทิ ยาศาสตร์ 2. ให้ผเู้ รยี นทาแบบทดสอบยอ่ ย 10. ส่ือ/แหล่งเรียนรู้ 1. หนังสือเรียน 2. แบบฝึกหดั 3. ส่ืออินเตอร์เน็ต 11. การวัดและประเมินผล 11.1วิธีการวดั และประเมนิ ผล - ใบงาน 11.2 เครื่องมือวดั และประเมินผล - ผลจากการตรวจใบงาน 11.3 เกณฑ์การวัดและการประเมินผล - ใบงานคะแนนเต็ม 10คะแนน กิจกรรมเสนอแนะ ................................................................................................................. ..................................................................... ............................................................................................................................. ............................................................ .............................................................................................................................. ........................................................ ลงชอ่ื …………………………………………….ครผู สู้ อน (นางสาวจันทรท์ ิพย์ ศรีลยั ) ครู กศน.ตาบล ข้อเสนอแนะของผู้บรหิ าร

84 …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….............. ............................................................................................................................. ............................................................ ลงช่ือ………………………………………………………ผูอ้ นมุ ตั แิ ผน (นางปท๎ มาภรณ์ ศรเี นตร) ผอู้ านวยการ กศน.อาเภอจตุรพกั ตรพมิ าน บนั ทกึ หลังการจัดการเรียนรู้ กศน.ตาบลศรโี คตร ครง้ั ที่ 10 วนั /เดอื น/ปีวนั ที่ 15 เดอื น กรกฎาคม พ.ศ. 2565 ครผู ู้สอนนางสาวจนั ทรท์ ิพย์ ศรีลยั ระดบั มัธยมศึกษาตอนตน้ เวลา 09.00-12.00 น. สาระความรู้พ้ืนฐาน รายวิชา วทิ ยาศาสตร์ รหัสวชิ า พว21001 1. ผลการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้การประเมนิ โดยใช้ แบบทดสอบก่อนเรยี น - หลังเรียน พบว่า คะแนนการทดสอบหลงั เรยี น มากกวา่ ก่อนเรยี นจานวน ........ คนคดิ เปน็ รอ้ ยละ............ คะแนนการทดสอบหลังเรียน นอ้ ยกว่าก่อนเรียนจานวน ......... คนคดิ เป็นรอ้ ยละ............ 2. เน้อื หา/สาระ/รายวิชา ............................................................................................................................. ...................................... ......................................................................................................................................... .......................... 3. กจิ กรรมการเรียนการสอน ................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ...................................... 4. ปญั หา/อุปสรรคการเรียนการสอน ............................................................................................................................. ...................................... ................................................................................................................................................................... 5. แนวทางการแก้ปญั หา ............................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................................................. ...................................... ลงช่ือ.........................................................(ผ้บู ันทึก)

85 (นางสาวจนั ทร์ทพิ ย์ ศรีลยั ) ครู กศน.ตาบล ความเหน็ /ข้อเสนอของผบู้ รหิ าร ............................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................................................. ...................................... ลงช่อื .................................................. (นางป๎ทมาภรณ์ ศรเี นตร) ผอู้ านวยการ กศน.อาเภอจตุรพกั ตรพิมาน ใบความรู้ เร่ืองธรรมชาตขิ องวทิ ยาศาสตร์และทักษะทางวิทยาศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์เป็นเร่อื งของการเรยี นรเู้ กย่ี วกบั ธรรมชาติ โดยมนุษยใ์ ช้กระบวนการสังเกตสารวจ ตรวจสอบ ทดลองเกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และนาผลมาจัดเป็นระบบหลกั การ แนวคดิ และทฤษฎี แนวคดิ และ ทฤษฎี ดงั นัน้ ทกั ษะวิทยาศาสตร์ จึงเปน็ การปฏิบัติเพอ่ื ใหไ้ ดม้ าซ่ึงคาตอบในขอ้ สงสยั หรือข้อสมมติฐานตา่ ง ๆ ของ มนุษยต์ ัง้ ไว้ ทกั ษะทางวิทยาศาสตร์ ประกอบด้วย 1. การสังเกตเปน็ วธิ กี ารได้มาของข้อสงสยั รับรขู้ อ้ มูลพิจารณาขอ้ มลู จากปรากฏการณท์ างธรรมชาติที่เกิดขน้ึ 2. ตงั้ สมมติฐานเป็นการการระดมความคดิ สรุปส่ิงทีค่ าดวา่ จะเป็นคาตอบของปญ๎ หาหรือขอ้ สงสัยนนั้ ๆ 3. ออกแบบการทดลองเพ่อื ศกึ ษาผลของตัวแปรท่ีต้องศึกษาโดยควบคุมตัวแปรอ่ืน ๆ ท่ีอาจมีผลต่อตัวแปร ทต่ี ้องการศกึ ษา 4. ดาเนินการทดลองเป็นการจักกระทากับตัวแปรที่กาหนดซ่ึงได้แก่ตัวแปรต้นตัวแปรตามและตัวแปรที่ต้อง ควบคุม 5. รวบรวมขอ้ มูลเปน็ การบนั ทกึ รวบรวมผลการทดลองหรือผลจากการกระทาของตวั แปรที่กาหนด 6. แปลและสรุปผลการทดลอง ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ประกอบด้วย 13 ทักษะ ดังน้ี 1. ทักษะข้นั มูลฐาน 8 ทักษะ ได้แก่

86 1.1 ทกั ษะการสงั เกต ( Observing ) 1.2 ทกั ษะการวัด ( Measuring ) 1.3 ทักษะการจาแนกหรอื ทักษะการจดั ประเภทส่ิงของ ( Classifying ) 1.4 ทกั ษะการใชค้ วามสมั พันธร์ ะหวา่ งสเปสกับเวลา( Using Space/Relationship ) 1.5 ทักษะการคานวณและการใชจ้ านวน ( Using Numbers ) 1.6 ทักษะการจัดกระทาและส่อื ความหมายขอ้ มลู ( Communication ) 1.7 ทกั ษะการลงความเหน็ จากข้อมูล ( Inferring ) 1.8 ทักษะการพยากรณ์ ( Predicting ) 2. ทักษะขน้ั สูงหรือทักษะขัน้ ผสม 5 ทักษะ ได้แก่ 2.1 ทักษะการต้ังสมมตุ ฐิ าน ( Formulating Hypothesis ) 2.2 ทกั ษะการควบคุมตวั แปร ( Controlling Variables ) 2.3 ทกั ษะการตีความและลงข้อสรปุ ( Interpreting data ) 2.4 ทกั ษะการกาหนดนิยามเชงิ ปฏบิ ตั ิการ ( Defining Operationally ) 2.5 ทกั ษะการทดลอง ( Experimenting ) รายละเอยี ดทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ทัง้ 13 ทักษะ มีรายละเอียดโดยสรุปดังนี้ ทกั ษะการสงั เกต (Observing)หมายถงึ การใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ในการสังเกต ได้แก่ ใช้ตาดูรูปร่าง ใช้หู ฟง๎ เสียง ใช้ลิน้ ชมิ รส ใช้จมกู ดมกล่นิ และใชผ้ ิวกายสมั ผสั ความรอ้ นเย็น หรอื ใชม้ ือจบั ต้องความอ่อนแข็ง เป็นต้น การใช้ ประสาทสัมผัสเหล่าน้ีจะใช้ทีละอย่างหรือหลายอย่างพร้อมกัน เพ่ือรวบรวมข้อมูลก็ได้โดยไม่เพ่ิมความคิดเห็นของผู้ สงั เกตลงไป ทักษะการวัด (Measuring) หมายถึง การเลือกและการใช้เคร่ืองมือวัดปริมาณของสิ่งของออกมาเป็นตัว เลขท่แี น่นอนไดอ้ ยา่ งเหมาะสม และถกู ต้องโดยมีหนว่ ยกากบั เสมอในการวดั เพือ่ หาปริมาณของส่ิงท่ีวัดต้องฝึกให้ผู้เรียน หาคาตอบ 4 คา่ คือ จะวดั อะไร วดั ทาไม ใชเ้ คร่ืองมอื อะไรวดั และจะวัดได้อยา่ งไร ทักษะการจาแนกหรือทักษะการจัดประเภทสิ่งของ (Classifying) หมายถึง การแบ่งพวกหรือการ เรียงลาดับวัตถุ หรือส่ิงที่อยู่ในปรากฏการณ์โดยการหาเกณฑ์หรือสร้างเกณฑ์ในการจาแนกประเภท ซึ่งอาจใช้เกณฑ์ ความเหมือนกัน ความแตกต่างกัน หรือความสัมพันธ์กันอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ ซ่ึงแล้วแต่ผู้เรียนจะเลือกใช้เกณฑ์ใด นอกจากน้ีควรสร้างความคิดรวบยอดให้เกิดข้ึนด้วยว่าของกลุ่มเดียวกันน้ัน อาจแบ่งออกได้หลายประเภท ทั้งนี้ข้ึนอยู่ กับเกณฑท์ ี่เลือกใช้ และวตั ถุช้ินหนง่ึ ในเวลาเดียวกันจะต้องอยเู่ พยี งประเภทเดยี วเท่านัน้ ทักษะการใช้ความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับเวลา (Using Space/Relationship) หมายถึง การหา ความสมั พนั ธ์ระหว่างมิติต่างๆ ทเี่ กย่ี วกับสถานท่ี รูปทรง ทศิ ทาง ระยะทาง พ้ืนที่ เวลา ฯลฯ เช่น การหาความสัมพันธ์ ระหว่าง สเปสกับสเปส คือ การหารูปร่างของวัตถุโดยสังเกตจากเงาของวัตถุ เมื่อให้แสงตกกระทบวัตถุในมุมต่างๆกัน ฯลฯ การหาความสัมพนั ธ์ระหว่าง เวลากบั เวลา เชน่ การหาความสมั พนั ธร์ ะหว่างจังหวะการแกว่งของลูกตุ้ม นาฬิกากบั จงั หวะการเต้นของชีพจร ฯลฯ

87 การหาความสัมพนั ธ์ระหว่าง สเปสกับเวลา เชน่ การหาตาแหน่งขอวัตถุที่เคล่ือนท่ีไปเม่ือเวลาเปล่ียนไป ฯลฯ ทกั ษะการคานวณและการใช้จานวน (Using Numbers) หมายถึง การนาเอาจานวนที่ได้จากการวัด การ สังเกต และการทดลองมาจัดกระทาให้เกิดค่าใหม่ เช่น การบวก ลบ คูณ หาร การหาค่าเฉล่ีย การหาค่าต่างๆ ทาง คณิตศาสตร์ เพ่ือนาค่าท่ีได้จากการคานวณ ไปใช้ประโยชน์ในการแปลความหมาย และการลงข้อสรุป ซ่ึงในทาง วิทยาศาสตร์เราตอ้ งใชต้ วั เลขอยู่ตลอดเวลา เช่น การอา่ น เทอร์โมมิเตอร์ การตวงสารต่าง ๆเปน็ ต้น ทกั ษะการจัดกระทาและส่ือความหมายข้อมูล (Communication) หมายถงึ การนาเอาข้อมูล ซึ่งได้มาจาก การสังเกต การทดลอง ฯลฯ มาจัดกระทาเสียใหม่ เช่น นามาจัดเรียงลาดับ หาค่าความถี่ แยกประเภท คานวณหาค่า ใหม่ นามาจัดเสนอในรูปแบบใหม่ ตัวอย่างเช่น กราฟ ตาราง แผนภูมิ แผนภาพ วงจร ฯลฯ การนาข้อมูลอย่างใดอย่าง หนงึ่ หรือหลาย ๆ อยา่ งเชน่ นเ้ี รยี กวา่ การส่ือความหมายข้อมูล ทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล (Inferring) หมายถึง การเพ่ิมเติมความคิดเห็นให้กับข้อมูลที่มีอยู่อย่างมี เหตุผลโดยอาศัยความรู้หรือประสบการณ์เดิมมาช่วย ข้อมูลอาจจะได้จากการสังเกต การวัด การทดลอง การลง ความเห็นจากข้อมูลเดียวกนั อาจลงความเห็นไดห้ ลายอย่าง ทกั ษะการพยากรณ์ (Predicting) หมายถงึ การคาดคะเนหาคาตอบล่วงหน้าก่อนการทดลองโดยอาศัยข้อมูลที่ ได้จากการสงั เกต การวัด รวมไปถึงความสัมพนั ธ์ระหวา่ งตัวแปรที่ไดศ้ กึ ษามาแลว้ หรืออาศยั ประสบการณ์ท่เี กิดซา้ ๆ ทักษะการตั้งสมมุติฐาน (Formulating Hypothesis) หมายถึง การคิดหาค่าคาตอบล่วงหน้าก่อนจะทาการ ทดลอง โดยอาศัยการสังเกต ความรู้ ประสบการณ์เดิมเป็นพ้ืนฐาน คาตอบท่ีคิดล่วงหน้ายังไม่เป็นหลักการ กฎ หรือ ทฤษฎมี ากอ่ น คาตอบที่คิดไวล้ ว่ งหนา้ นี้ มักกล่าวไว้เป็นขอ้ ความทบี่ อกความสัมพันธ์ ระหว่างตัวแปรต้นกับตัวแปรตาม เชน่ ถา้ แมลงวันไปไข่บนก้อนเนอื้ หรือขยะเปยี กแล้วจะทาใหเ้ กดิ ตัวหนอน ทักษะการควบคุมตวั แปร (ControllingVariables) หมายถงึ การควบคมุ ส่งิ อนื่ ๆ นอกเหนอื จากตัวแปรอิสระ ที่จะ ทาให้ผลการทดลองคลาดเคล่ือน ถ้าหากว่าไม่ควบคุมให้เหมือนๆกัน และเป็นการปูองกันเพื่อมิให้มีข้อโต้แย้ง ขอ้ ผดิ พลาดหรือตัดความไม่น่าเชอ่ื ถอื ออกไป ตัวแปรแบง่ ออกเปน็ 3 ประเภท คอื 1. ตัวแปรอสิ ระหรือตัวแปรต้น 2. ตวั แปรตาม 3. ตัวแปรทตี่ ้องควบคุม ทักษะการตคี วามและลงข้อสรปุ ( Interpreting data ) ข้อมลู ทางวทิ ยาศาสตร์ สว่ นใหญจ่ ะอยูใ่ นรปู ของลักษณะตาราง รูปภาพ กราฟ ฯลฯ การนาข้อมูลไปใช้ จึงจาเปน็ ตอ้ งตีความให้สะดวกทจี่ ะสอื่ ความหมายไดถ้ ูกต้องและเขา้ ใจตรงกัน การตคี วามหมายขอ้ มูล คือ การบรรยายลกั ษณะและคุณสมบตั ิ

88 การลงขอ้ สรปุ คือ การบอกความสัมพนั ธข์ องขอ้ มูลทม่ี อี ยู่ เช่น ถ้า ความดันน้อย น้าจะเดือด ที่อุณหภูมิ ต่าหรือน้าจะเดอื ดเร็ว ถ้าความดนั มากนา้ จะเดือดท่อี ณุ หภูมสิ งู หรอื นา้ จะเดือดชา้ ลง ทักษะการกาหนดนยิ ามเชงิ ปฏิบัติการ (DefiningOperationally) หมายถึง การกาหนดความหมาย และ ขอบเขตของคาตา่ ง ๆท่ีมีอยู่ในสมมุติฐานที่จะทดลองให้มีความรัดกุม เป็นท่ีเข้าใจตรงกันและสามารถสังเกตและวัดได้ เช่น “การเจริญเติบโต” หมายความว่าอย่างไร ต้องกาหนดนิยามให้ชัดเจน เช่น การเจริญเติบโดหมายถึง มีความสูง เพมิ่ ขน้ึ เป็นตน้ ทักษะการทดลอง (Experimenting) หมายถึง กระบวนการปฏิบัติการโดยใช้ทักษะต่าง ๆ เช่น การสังเกต การวัด การพยากรณ์ การต้ังสมมุติฐาน ฯลฯ มาใช้ร่วมกันเพื่อหาคาตอบ หรือทดลองสมมุติฐานท่ีตั้งไว้ ซ่ึง ประกอบด้วยกจิ กรรม 3 ข้ันตอน 1. การออกแบบการทดลอง 2. การปฏบิ ตั กิ ารทดลอง 3. การบนั ทกึ ผลการทดลอง การใชก้ ระบวนการวทิ ยาศาสตร์ แสวงหาความรู้ หรือแก้ป๎ญหาอย่างส่าเสมอ ช่วยพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ ทางวทิ ยาศาสตร์ เกิดผลผลิตหรือผลิตภัณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ เกิดผลผลิตหรือผลิตภัณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ ท่ีแปลกใหม่ และมคี ุณคา่ ต่อการดารงชีวติ ของมนุษย์มากข้นึ คุณลักษณะของบุคคลที่มีจิตวทิ ยาศาสตร์ 6 ลกั ษณะ 1.เปน็ คนท่มี เี หตุผล 1) จะต้องเป็นคนท่ียอมรบั และเช่อื ในความสาคัญของเหตผุ ล 2) ไม่เชอ่ื โชคลาง คาทานาย หรอื ส่ิงศักดิ์สทิ ธติ์ ่าง ๆ 3)คน้ หาสาเหตุของป๎ญหาหรือเหตุการณ์และหาความสัมพนั ธ์ของสาเหตุกบั ผลทเี่ กิดขน้ึ 4) ตอ้ งเป็นบุคคลท่ีสนใจปรากฏการณ์ต่าง ๆ ท่ีเกดิ ขนึ้ และจะต้องเป็นบุคคลท่ีพยายามค้นหาคาตอบว่า ปรากฏการณ์ต่าง ๆ นั้นเกดิ ขึน้ ไดอ้ ยา่ งไร และทาไมจงึ เกดิ เหตกุ ารณ์เชน่ น้นั 2.เป็นคนทีม่ คี วามอยากร้อู ยากเหน็ 1) มคี วามพยายามทีจ่ ะเสาะแสวงหาความรใู้ นสถานการณ์ใหม่ ๆ อยู่เสมอ 2) ตระหนักถึงความสาคญั ของการแสวงหาขอ้ มลู เพิ่มเตมิ เสมอ 3) จะตอ้ งเป็นบุคคลทีช่ อบซักถาม ค้นหาความร้โู ดยวธิ กี ารตา่ ง ๆ อยเู่ สมอ 3. เปน็ บคุ คลที่มีใจกวา้ ง 1)เปน็ บคุ คลทกี่ ลา้ ยอมรับการวพิ ากษ์วจิ ารณ์จากบคุ คลอ่นื 2)เปน็ บคุ คลท่จี ะรบั รู้และยอมรับความคดิ เหน็ ใหม่ ๆ อยู่เสมอ 3)เปน็ บุคคลท่เี ต็มใจทจ่ี ะเผยแพรค่ วามรู้และความคดิ ให้แก่บคุ คลอื่น 4)ตระหนกั และยอมรบั ขอ้ จากดั ของความรู้ท่ีคน้ พบในปจ๎ จุบัน 4. เป็นบุคคลทมี่ คี วามซอื่ สตั ย์ และมีใจเป็นกลาง 1) เป็นบคุ คลทีม่ ีความซ่ือตรง อดทน ยตุ ิธรรม และละเอียดรอบคอบ 2) เปน็ บุคคลทีม่ คี วามม่นั คง หนักแน่นต่อผลท่ีได้จากการพิสูจน์

89 3) สงั เกตและบนั ทกึ ผลต่าง ๆ อย่างตรงไปตรงมา ไม่ลาเอียง และมีอคติ 5. มคี วามเพยี รพยายาม 1) ทากิจกรรมท่ีได้รับมอบหมายใหเ้ สรจ็ สมบรู ณ์ 2) ไม่ทอ้ ถอยเม่ือผลการทดลองลม้ เหลว หรอื มีอุปสรรค 3) มีความตั้งใจแน่วแนต่ ่อการค้นหาความรู้ 6. มคี วามละเอียดรอบคอบ 1) ร้จู กั ใช้วจิ ารณญาณก่อนที่จะตดั สินใจใด ๆ 2) ไมย่ อมรบั สิง่ หนง่ึ สงิ่ ใดจนกว่าจะมีการพิสจู นท์ ่เี ชื่อถือได้ 3) หลีกเล่ียงการตัดสนิ ใจ และการสรุปผลท่ยี งั ไมม่ ีการวิเคราะห์แล้วเป็นอยา่ งดี

90 ใบงานท่ี 1. ให้นักศกึ ษาอธิบายทกั ษะทางวิทยาศาสตร์ ประกอบดว้ ยอะไรบา้ ง ............................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ............................... ............................................................................................................................. ............................... ............................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ............................... ................................................................................................................................................. ........... ....................................................................................................................... ..................................... ............................................................................................................................. ............................... 2. แบ่งกลมุ่ และร่วมกันอภิปราย สรปุ 6 คณุ ลักษณะของบุคคลที่มีจิตวทิ ยาศาสตร์ ............................................................................................................................. ............................... .................................................................................... ........................................................................ ............................................................................................................................. ............................... ....................................................................................................................................................... ..... ............................................................................................................................. ............................... ............................................................................................................................. ............................... ............................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ............................... ...................................................................................................................................... ...................... ............................................................................................................ ................................................ ............................................................................................................................. ............................... ............................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ...............................

91 แบบทดสอบย่อย จงนาตัวอกั ษรหนา้ ทักษะต่าง ๆ ไปเติมหน้าขอ้ ที่สมั พันธก์ นั ก. ทักษะการสังเกต ข. ทกั ษะการวดั ค. ทกั ษะการคานวณ ง. ทกั ษะการจาแนกประเภท จ. ทกั ษะการทดลอง ............1. ม้ามี 4 ขา สุนขั ม4ี ขา ไก่มี 2 ขา นกมี 2 ขา ชา้ งมี 4 ขา ............2.ด.ญ.วไิ ล วัดอณุ หภมู ิของอากาศได้ 40 C ............3. ด.ญ.อริษากาลังทดสอบวิทยาศาสตร์ ............4. ด.ญ. พนดิ า กาลงั เทสารเคมี ............5. ด.ช. สุบินใชต้ ลับเมตรวดั ความยาวของสนามตะกร้อ ............6. ด.ญ. อพจิ ิตรแบง่ ผลไมไ้ ด้ 2 กลมุ่ คือ กลุม่ รสเปรี้ยวและรสหวาน ............7. วรรณนิภา ดูภาพยนตรว์ ทิ ยาศาสตร์ 3 มติ ิ ............8. ด.ญ. นันทพร หยดสารละลายไอโอดีน ลงบนข้าวเหนียวท่เี ตรยี มไว้ ............9. รปู ทรงกระบอกมีความสูงประมาณ 4 นิ้ว ผิวเรียบ ............10. นักวทิ ยาศาสตร์แบง่ พชื ออกเปน็ 2 พวก คือ พชื ใบเล้ียงเดีย่ วและพชื ใบเล้ยี งคู่

92 แผนการจดั การเรียนรูร้ ายวชิ าวิทยาศาสตร์ คร้ังท่ี 2 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 ระดบั มัธยมศึกษาตอนตน้ กศน.ตาบลศรีโคตร 1. สปั ดาห์ที่ 11 วันที่ 20 เดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2565 เวลา 09.00-12.00น. 2. วิชา วิทยาศาสตร์ รหสั วิชา พว21001 จานวน 4 หน่วยกิต 3. มาตรฐานท่ี 2.2 มคี วามรู้ความเข้าใจ และทักษะพน้ื ฐานเก่ียวกบั คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 4. หนว่ ยการเรียนร/ู้ เรอ่ื ง โครงงานวทิ ยาศาสตร์ 5. สาระสาคญั อธิบายธรรมชาติและความสาคัญของวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี 6. เน้อื หา 1. ประเภทของโครงงาน 2. การเลือกหัวข้อโครงงาน 3. การเขยี นโครงงาน 4. การวางแผน และการทาโครงงาน 5. การนาเสนอโครงงาน 7. จุดประสงค์การเรยี นรู้/ผลการเรียนรทู้ ่คี าดหวัง (ดูจากผงั การออกขอ้ สอบ) 1. อธิบายประเภท เลือกหัวข้อ วางแผน วิธที า นาเสนอและประโยชน์ของโครงงานได้ 2. วางแผนการทาโครงงานได้ 3. ทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์กลุ่มได้ 4. อธบิ ายและบอกแนวไดใ้ นการนาผลจากโครงงานไปใชไ้ ด้ 5. นาความรู้เกี่ยวกบั วทิ ยาศาสตร์ กระบวนการทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละโครงงานไปใชไ้ ด้ 8. การบรู ณาการกบั หลกั แนวคิดของเศรษฐกจิ พอเพียง (2 เงอ่ื นไข 3 หลกั การ การเชอ่ื มโยงสู่ 4 มติ ิ) ความรู้ สรุปความ จบั ประเดน็ สาคญั ของเรอ่ื งโครงงานวทิ ยาศาสตร์ คุณธรรม - มีความรบั ผิดชอบ - มคี วามขยนั - มคี วามคิดสรา้ งสรรค์ พอประมาณ - เน้อื หาวชิ าท่ีเรียนรมู้ ีความเหมาะสมกับวยั ของผู้เรียน - ผเู้ รียนเลอื กวชิ าทสี่ ามารถศึกษาเองไดเ้ ปน็ การเรียนแบบ กรต. มเี หตุผล - เลอื กทาโครงงานทีส่ นใจ

93 - โครงงานท่ไี ด้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและผู้อืน่ มภี ูมิคุ้มกัน - มคี วามรู้เรื่องโครงงาน วตั ถุ - วสั ดอุ ุปกรณ์ในการใช้ประดิษฐ์โครงงาน สังคม - ผเู้ รียนแลกเปลย่ี นความคดิ เห็นรว่ มกนั ได้ - ผ้เู รยี นใชก้ ระบวนการกลุ่มได้อยา่ งเหมาะสม สงิ่ แวดล้อม - โครงงานบางโครงงานสามารถใชว้ ัสดุอปุ กรณท์ ีเ่ หลือใช้ได้ วัฒนธรรม - สามารถใช้วัสดพุ ้นื บ้านมาประดษิ ฐเ์ ป็นชิ้นงานโครงงานได้ 9. กระบวนการจัดการเรยี นรู้และกจิ กรรมการเรยี นรู้ ขั้นที่ 1 กาหนดสภาพปัญหาการเรยี นรู้ (O : Orientation) 1. ครูนาตัวอย่างโครงงานวทิ ยาศาสตรม์ าใหผ้ เู้ รียนดู แล้วครแู ละผเู้ รยี นร่วมกนั สนทนาเกยี่ วกับความหมาย จดุ ประสงค์ ประเภท และการจดั ทาโครงงานวิทยาศาสตร์ 2. ผู้เรยี นดแู ผนภูมิ วิธีการจดั ทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ แลว้ ร่วมกนั สนทนาซักถามในสิ่งทสี่ งสยั ครูอธบิ าย เก่ียวกบั การจัดทาโครงงานวิทยาศาสตร์ให้ผู้เรยี นเข้าใจ ขัน้ ท่ี 2 แสวงหาขอ้ มลู และจัดการเรียนรู้ (N : New ways of learning) 1. ผู้เรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 5-6 คน ให้แต่ละกลุ่มวางแผนการจัดทาโครงงาน โดยเลือกหัวข้อโครงงานที่ สนใจ และจัดทาเป็นเค้าโครงย่อของโครงงาน เพ่ือนาเสนอให้ครูตรวจพิจารณา แล้วนามาแก้ไขปรับปรุงตามท่ีครู เสนอแนะ 2. ผเู้ รียนศึกษาเนือ้ หาเพิม่ เติมจากใบความรู้และสื่ออนิ เตอร์เนต็ 3. ให้แต่ละกลุ่มวางแผนการจัดทาโครงงานโดยมีครูเป็นท่ีปรึกษาและดาเนินการจัดทาโครงงานตามที่ได้ วางแผนไว้ ขั้นท่ี 3 การปฏิบัติและการนาไปใช้ (I : Implementation) 1. ตัวแทนแตล่ ะกลุม่ ออกมานาเสนอผลการจดั ทาโครงงาน 2. ครูและผเู้ รียนกลุม่ อ่ืนๆ รว่ มกันสนทนาซักถาม 3. ครูและนักเรียนรว่ มกนั นาเสนอโครงงาน โดยทาเปน็ แผงโครงงาน หรอื จัดนทิ รรศการร่วมกัน 4. ผู้เรียนร่วมกันอภิปรายว่า จะนาความรู้ที่ได้จากการจัดทาโครงงานวิทยาศาสตร์ไปใช้ประโยชน์ใน ชีวติ ประจาวันไดอ้ ยา่ งไร ขน้ั ที่ 4 การประเมนิ ผลการเรยี นรู้ (E : Evaluation)

94 1. ครูและผู้เรยี นชว่ ยกนั สรุปสาระสาคญั ทุกหวั ข้อ/ลงในกระดาษรวบรวมสง่ เปน็ รูปเลม่ 2. ประเมนิ ผลการจัดกจิ กรรม 10. ส่ือ/แหล่งเรียนรู้ 1. หนังสือเรยี น 2. แบบฝกึ หัด 3. สอ่ื อนิ เตอรเ์ น็ต 11. การวัดและประเมินผล 11.1วธิ กี ารวดั และประเมนิ ผล - ใบงาน 11.2 เครือ่ งมือวดั และประเมินผล - ผลจากการตรวจใบงาน 11.3 เกณฑ์การวัดและการประเมินผล - ใบงานคะแนนเตม็ 10คะแนน กจิ กรรมเสนอแนะ ............................................................................................................................. ....................................................... .............................................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................ ........................................................................................ ลงชอ่ื …………………………………………….ครูผสู้ อน (นางสาวจนั ทร์ทิพย์ ศรลี ยั ) ครู กศน.ตาบล ขอ้ เสนอแนะของผู้บริหาร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………........ ............................................................................................................................................................................... .......... ......................................................................................................................... ................................................................ ............................................................................................................................. ........................................................... ลงชอ่ื ………………………………………………………ผ้อู นมุ ัติแผน (นางปท๎ มาภรณ์ ศรเี นตร) ผู้อานวยการ กศน.อาเภอจตุรพักตรพิมาน

95 บันทึกหลังการจัดการเรียนรู้ กศน.ตาบลศรีโคตร คร้งั ท่ี 11 วัน/เดอื น/ปวี ันที่ 20 เดอื น กรกฎาคม พ.ศ. 2565 ครผู ู้สอนนางสาวจนั ทร์ทิพย์ ศรีลัย ระดับ มัธยมศึกษาตอนต้น เวลา 09.00-12.00 น. สาระความรู้พ้นื ฐาน รายวิชา วทิ ยาศาสตร์ รหัสวชิ า พค21001 จานวนผเู้ รียนทง้ั หมด ............... คนเขา้ เรยี น…………………คน ไม่เขา้ เรียน……………………….คน 1. ผลการจดั กิจกรรมการเรียนรู้การประเมนิ โดยใช้ แบบทดสอบก่อนเรยี น - หลงั เรยี น พบว่า คะแนนการทดสอบหลังเรียน มากกว่าก่อนเรยี นจานวน ........ คนคดิ เป็นร้อยละ............ คะแนนการทดสอบหลังเรียน น้อยกว่าก่อนเรียนจานวน ......... คนคดิ เป็นรอ้ ยละ............ 2. เนือ้ หา/สาระ/รายวิชา ................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ...................................... 3. กจิ กรรมการเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ...................................... ................................................................................................................................................................... 4. ปัญหา/อุปสรรคการเรียนการสอน ............................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................................................. ...................................... 5. แนวทางการแก้ปัญหา ................................................................................................................................................................ ... ............................................................................................................................. ...................................... ลงชอ่ื .........................................................(ผ้บู ันทึก) (นางสาวจันทรท์ ิพย์ ศรลี ยั ) ครู กศน.ตาบล ความเหน็ /ข้อเสนอของผู้บรหิ าร ............................................................................................................................................................. ...... ............................................................................................................................ ....................................... ลงช่ือ.................................................. (นางปท๎ มาภรณ์ ศรีเนตร) ผ้อู านวยการ กศน.อาเภอจตุรพกั ตรพมิ าน