101 พอประมาณ -รู๎จักนาหลักธรรมสาคัญๆในศาสนาของตนมาประพฤติปฏิบัตใิ ห๎สามารถอยรํู วํ มกันกบั ศาสนาอ่นื ไดอ๎ ยํางสันติสขุ มเี หตผุ ล - ได๎ความร๎ู ความเข๎าใจในวฒั นธรรมประเพณีของประเทศไทยและประเทศในเอเชยี มีภมู คิ ุ้มกนั - เหน็ คุณคําและประโยชนใ์ นการนาหลกั ธรรม คาสอนในศาสนาทตี่ นนับถือ มาประพฤติ ปฏิบัติเพือ่ ใหเ๎ ปน็ คน ดีในสังคม วัตถุ - มีความรู๎ เรอ่ื งศาสนา วฒั นธรรม ประเพณี ทีส่ อดคลอ๎ งกบั วถิ ีชีวิตของคนในชุมชน สงั คม - มที ักษะการอยรูํ วํ มกันในชุมชน และยอมรับฟังความคดิ เห็นของผ๎ูอืน่ สง่ิ แวดล้อม - เหน็ คณุ คําของการรกั ษาศาสนา วัฒนธรรม ประเพณี ในชมุ ชนของผู๎เรียน วฒั นธรรม - มีความร๎เู รอื่ งวฒั นธรรมประเพณี - ปฏบิ ัติตนตามขนมธรรมเนยี มประเพณไี ทยได๎อยํางเหมาะสม 9. กระบวนการจัดการเรียนรู้และกิจกรรมการเรยี นรู้ ขน้ั ท่ี 1 กาหนดสภาพปัญหาการเรยี นรู้ (O : Orientation) 1. ครูสร๎างความค๎ุนเคยกับผเ๎ู รียนโดยการเปดิ ประเดน็ เรื่องศาสนาท่นี กั เรียนสํวนใหญนํ ับถือแล๎วถามถงึ ความสาคัญและเหตุผลทีต่ ๎องนับถอื ศาสนานน้ั ๆ 2. ครูทาความเขา๎ ใจกับวิชาพร๎อมมาตรฐานและชีแ้ จงตัวชวี้ ดั ของหนํวยการเรียนรู๎ 3. ครูทกั ทายกลาํ วนาและอธบิ ายการกาหนดเปูาหมายและการวางแผนการเรียนรเ๎ู กีย่ วกับความเป็นมาของ ศาสนาในประเทศไทยและในทวีปเอเชีย 4. ครูและผเู๎ รยี นรํวมกันอภิปรายถึงประวตั คิ วามเป็นมาของศาสนาท่ีคนไทยนับถือและศาสนาอ่นื ๆทร่ี ู๎จักใน สงั คม 5. ครูเปดิ โอกาสใหผ๎ ูเ๎ รยี นซักถามขอ๎ สงสัยกอํ นเข๎าสบูํ ทเรียนข้ันตํอไป ข้นั ท่ี 2 แสวงหาข้อมลู และจัดการเรียนรู้ (N : New ways of learning) 1. ครแู ละผ๎ูเรยี นวางแผนวิธกี ารเรียนร๎เู นอ้ื หาเร่ืองความเป็นมาและหลักธรรมของศาสนาในประเทศ ไทยและในทวปี เอเชีย 2. ครูแจกใบความร๎ู เร่ือง ศาสนาพุทธ คริสต์ อิสลาม ฮนิ ดู 3. ครูแจกใบความรู๎ เรื่อง วฒั นธรรม ประเพณีของไทยและเอเชยี 4. ครูแจกใบความรู๎ เรื่อง หลกั ธรรมของศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม และศาสนาฮินดู 5. ครูจัดทาฉลากแยกเปน็ ศาสนา พทุ ธ คริสต์ อิสลาม ฮนิ ดู แลว๎ แบงํ กลุํมผูเ๎ รยี นออกเป็น 4 กลมุํ จากน้ันครูให๎ตัวแทนกลมุํ ออกมาจับฉลากเพ่อื ศกึ ษาประวัติความเป็นมาและความสาคัญ หลักคาสอน ศาสนา ของแตํ ละศาสนาท่จี บั ฉลากได๎
102 6. ครูกาหนดการเรยี นรู๎ท่เี กี่ยวกับวัฒนธรรม ประเพณีของไทยและเอเชยี แลว๎ แบงํ กลํุมผ๎ูเรยี น ออกเปน็ 4 กลุมํ จากนัน้ ครใู หต๎ ัวแทนกลํมุ ออกมาจบั ฉลากเพื่อศึกษาประวตั คิ วามเป็นมาและความสาคัญของ วฒั นธรรม ประเพณขี องไทยและเอเชียทจี่ บั ฉลากได๎ 7. ครูใหผ๎ ๎เู รียนเขียนแผนภาพความคิดเกย่ี วกบั หัวขอ๎ ทตี่ นเองไดร๎ บั มอบหมาย 8. ครูให๎ผเ๎ู รยี นสํงตัวแทนกลมุํ ออกมานาเสนอหน๎าชน้ั เรยี นในเรอื่ งที่ตนเองได๎ศึกษาค๎นควา๎ ข้ันท่ี 3 การปฏิบตั แิ ละการนาไปใช้ ( I : Implementation) 1. ครแู ละผูเ๎ รียนสรปุ เน้ือหาที่ได๎เรียนรรู๎ ํวมกัน 2. ครูให๎ผเู๎ รียนรํวมกันจัดปูายนิเทศแสดงผลงานของตนเอง ขนั้ ที่ 4 การประเมนิ ผลการเรยี นรู้ (E : Evaluation) 1. ครูให๎ผเู๎ รียนมีสวํ นรํวมในการประเมนิ ผลชิ้นงานของแตลํ ะกลุมํ โดยการเขยี นชอ่ื ของตนเองในชน้ิ งานท่ี ตนเองช่นื ชอบ 2. ครูสงั เกตจากการมีสํวนรํวมของผ๎ูเรียน 10. สื่อ/แหล่งเรยี นรู้ 1. ใบความร๎ู 2. หนังสอื เรยี น 3. ใบงาน 11. การวดั และประเมนิ ผล 11.1 วธิ กี ารวัดและประเมินผล - แบบประเมนิ ผลการสังเกตพฤติกรรมการทางานรํวมกับผ๎อู ื่นของนักศึกษารายบคุ คล - ใบงาน 11.2 เครอ่ื งมือวดั และประเมินผล. - ประเมนิ ผลการสังเกตพฤติกรรมการทางานรวํ มกบั ผอ๎ู ืน่ ของนักศึกษารายบคุ คล - ผลจากการตรวจใบงาน 11.3 เกณฑก์ ารวัดและการประเมินผล - แบบประเมนิ ผลการสังเกตพฤติกรรมการทางานรํวมกบั ผู๎อื่นของนกั ศึกษารายบุคคล ระดับดี พอใช๎ และควรปรับปรงุ - ใบงานคะแนนเต็ม 10 คะแนน กจิ กรรมเสนอแนะ ............................................................................................................................. ............................................................ ลงชอ่ื …………………………………………….ครูผสู๎ อน (นายประมวล เจรญิ สุข) ครู กศน.ตาบล ข้อเสนอแนะของผู้บริหาร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชือ่ ……………………………………………ผู๎อนุมัติแผน (นางปทั มาภรณ์ ศรเี นตร) ผู๎อานวยการ กศน.อาเภอจตุรพักตรพิมาน
103 บันทึกหลังการจดั การเรยี นรู้ การจดั ทาหนว่ ยเรยี นรูบ้ รู ณาการหลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง กศน.ตาบลนา้ ใส ครัง้ ท่ี 10 วันท่ี 19 เดอื น กรกฎาคม พ.ศ. 2565 ครผู สู๎ อน นายประมวล เจริญสุข ระดบั ประถมศึกษา เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐ น. สาระพฒั นาสังคม รายวชิ าศาสนาและหนา๎ ท่ีพลเมอื ง รหัสวิชา สค1๑๐๐2 จานวนผ๎ูเรยี นทง้ั หมด ............... คนเขา๎ เรียน…………………คน ไมเํ ขา๎ เรียน……………………….คน ๑. ผลการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้การประเมินโดยใช๎ แบบทดสอบกํอนเรียน - หลงั เรยี น พบวํา คะแนนการทดสอบหลงั เรียน มากกวํากํอนเรียนจานวน ........ คนคดิ เปน็ รอ๎ ยละ............ คะแนนการทดสอบหลังเรียน นอ๎ ยกวาํ กํอนเรยี นจานวน ......... คนคิดเปน็ รอ๎ ยละ............ ๒. เนอื้ หา/สาระ ................................................................................................................ ......................................... ............................................................................................................................. ............................ ......................................................................................................................................................... ๓. กิจกรรมการเรียนการสอน ............................................................................................................................. ............................ ............................................................................................................................. ............................................... ...................................................................................................................................... ๔. ปญั หา/อปุ สรรค การเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ............................ ............................................................................................................................... .......................... ........................................................................................................ ................................................. ๕. แนวทางการแก้ปัญหา ............................................................................................................................. ............................ ......................................................................................................................................................... ลงชอ่ื ....................................................... (นายประมวล เจรญิ สขุ ) ครูผ๎ูสอน วนั ที.่ ............../.................../............... ความคิดเห็น/ขอ้ เสนอแนะของผู้บริหาร ........................................................................................................................................................................ ................. .................................................................................................................. ................................. ลงชื่อ.................................................................. (นางปทั มาภรณ์ ศรีเนตร) ผ๎อู านวยการ กศน.อาเภอจตรุ พักตรพมิ าน
104 ใบความรู้ที่ 1 เร่ือง ศาสนา วฒั นธรรม ประเพณี หลกั ธรรมของศาสนาตา่ งๆ ของโลก ศาสนามีความสาคัญตํอการดาเนินชีวิตของบุคคลในสังคม เพราะศาสนาทุกศาสนามีจุดมุํงหมายเพ่ือให๎ทา ความดีละเว๎นความช่ัว ศาสนาจงึ มอี ิทธิพลตอํ คนในสงั คม องคป์ ระกอบของศาสนา มดี ังนี้ 1. ศาสดา คือ ผกู๎ อํ ตัง้ ศาสนา 2. คมั ภีร์ คอื หลกั คาสอนเกยี่ วกับศีลธรรมจรรยา 3. นกั บวช คือผสู๎ ืบทอดคาสอน 4. พธิ กี รรม คือ การปฏิบัติในการทาพิธีทางศาสนา 5. ศาสนสถาน คือ สถานที่ควรเคารพบูชาและใช๎ประกอบพิธีทางศาสนา ศาสนาอิสลาม ไมํมีนักบวช แตํมี ศาสดา มีคมั ภีร์ มศี าสนสถาน และพิธกี รรม นบั เปน็ ศาสนาเชํนกนั ความสาคญั ของศาสนา 1. เป็นพื้นฐานของกฎศลี ธรรมของสังคม 2. เปน็ แหลงํ กาเนดิ จริยธรรม 3. เป็นแหลงํ ทที่ าใหเ๎ กดิ ศิลปวัฒนธรรม และประเพณี 4. เปน็ กลไกของรฐั ในการควบคมุ สังคม 5. เปน็ บรรทดั ฐานของสังคมท่ีใช๎ในการปฏิบตั ิเพอื่ ใหเ๎ ปน็ ไปในแนวเดยี วกนั ที่มา :http://www.baanjomyut.com/library_2/extension-3/human_society/01.html ความหมายของวัฒนธรรม \"วฒั นธรรม\" หมายถึง \"แบบอยํางหรือวิถีการดาเนินชีวิตของชุมชนแตํละกลํุม เป็นตัวกาหนดพฤติกรรมการ อยูํรํวม กันอยํางปกติสุขในสังคม\" วัฒนธรรมแตํละสังคมจะแตกตํางกัน ข้ึนอยํูกับข๎อจากัดทางภูมิศาสตร์ และ ทรัพยากร ตํางๆ ลักษณะอีกประการหนึ่งของวัฒนธรรมคือ เป็นการส่ังสมความคิด ความเชื่อ วิธีการ จากสังคมรํุน กํอนๆ มกี ารเรยี นรู๎ และสามารถถาํ ยทอดไปยังรํนุ ตํอๆ ไปได๎ วฒั นธรรมใดที่มีรูปแบบ หรือแนวความคิดท่ีไมํเหมาะสม ก็อาจจะเลือนหายไป วฒั นธรรม เป็นสงิ่ ทแ่ี สดงความเป็นชาติให๎ปรากฏชัดเจนข้ึน ประเทศไทยมีวัฒนธรรมที่โดดเดํนทาให๎คนไทย แตกตํางจากชาติอื่น ๆ มีเอกลักษณ์ประจาชาติท่ีเห็นได๎จากภาษาที่ใช๎ อุปนิสัยใจคอ ความร๎ูสึกนึกคิดตลอดจนการ แสดงออกที่นุํมนวล อันมีผลมาจากสังคมไทยท่ีเป็นสังคมแบบประเพณีนา และเป็นสังคมเกษตรกรรม เนื่องจาก ประชากรสํวนใหญํใชช๎ ีวิตอยูํในชนบท สภาพของสิ่งแวดล๎อมที่ดี กลํอมเกลาจิตใจมีความโอบอ๎อมอารี มีน้าใจเอ้ือเฟื้อ เกือ้ กลู ซึง่ กนั และกนั ตลอดมา หากแบงํ วฒั นธรรมด๎วยมิติทางการทอํ งเท่ียวแลว๎ จะสามารถแบํงออกได๎เป็น 2 ประเภท ได๎แกํ วัฒนธรรมท่ีเป็นนามธรรม หมายถึงสิ่งท่ีไมํใชํวัตถุ ไมํสามารถมองเห็น หรือจับต๎องได๎ เป็นการแสดงออกใน ด๎าน ความคิด ประเพณี ขนบธรรมเนยี ม แบบแผนของพฤตกิ รรมตําง ๆ ที่ปฏิบัติสืบตํอกันมา เป็นท่ียอมรับกันในกลํุม ของ ตนวําเป็นสงิ่ ที่ดงี ามเหมาะสม เชํน ศาสนา ความเชื่อ ความสนใจ ทัศนคติ ความร๎ู และความสามารถ วัฒนธรรม ประเภทนี้เป็นสํวนสาคัญท่ีทาให๎เกิด วัฒนธรรมท่ีเป็นรูปธรรมข้ึนได๎และในบางกรณีอาจพัฒนาจนถึงข้ันเป็น อารย ธรรม (Civilization) ก็ได๎ เชํน การสร๎างศาสนสถานในสมัยกํอน เมื่อเวลาผํานไปจึงกลายเป็นโบราณสถาน ที่มี ความสาคัญทางประวตั ศิ าสตร์
105 หากพจิ ารณาความหมาย และลกั ษณะของวฒั นธรรมทีก่ ลาํ วไว๎ขา๎ งตน๎ แลว๎ ทรัพยากรการทํองเที่ยวประเภทท่ี 2 เป็นผลผลิตของวัฒนธรรมที่มีตัวตน เป็นรูปธรรมเห็นได๎ชัดเจน สํวนประเภทท่ี 3 มีสภาพแรกเริ่มมาจาก แนวความคิด ความเชื่อและวิถีชวี ติ ซง่ึ เปน็ นามธรรม แตไํ ด๎มกี ารพัฒนาจนมีลกั ษณะทางวัฒนธรรมท่ีเป็นรูปแบบขึ้นมา ทาให๎นัก ทอํ งเท่ยี วสามารถสมั ผัสทรพั ยากรการทอํ งเท่ียวประเภทน้ีได๎โดยตรง จึงเห็นได๎ชัดเจนวํา วัฒนธรรมท่ีเป็นแนวความคิด ความเช่ือ เป็นนามธรรมล๎วน ๆ แตํเพียงอยํางเดียว ไมํถือ วําเป็น ทรัพยากรทางการทํองเท่ียว วัฒนธรรมท่ีเป็นรูปธรรมเทําน้ัน จึงจะสามารถพัฒนาให๎เป็นจุดสนใจของ นกั ทอํ งเทยี่ วได๎ ตัวอยาํ งวัฒนธรรมท่จี ะนามาใชป๎ ระโยชนใ์ นการทอํ งเท่ียว ไดแ๎ กํ แหลํงทํองเที่ยวประเภทโบราณสถาน อุทยาน ประวตั ศิ าสตร์ ศาสนสถาน โบราณวตั ถุ งานศลิ ปกรรม สถาปัตยกรรม นาฏศิลป์ การละเลํนพ้ืนบ๎าน เทศกาล และงาน ประเพณี งานศลิ ปหัตถกรรมทพ่ี ัฒนามาเปน็ สินค๎าประจาทอ๎ งถิ่น ตลอดจนวิถีชีวิตความเป็นอยํู และอัธยาศัย ไมตรขี อง คนไทย ล๎วนแล๎วแตํเป็นทรัพยากรการทํองเที่ยวที่สาคัญของประเทศไทย เป็นเสมือนตัวเสริมการทํองเท่ียว ให๎มีความ สมบูรณ์ เป็นจุดเดํนหรือจุดขายของแหลํงทํองเที่ยวนั้นๆ เพิ่มความประทับใจให๎นักทํองเที่ยวได๎มากขึ้น ถึงแม๎วํา ประเทศไทยจะมีทรัพยากรประเภทศิลปวัฒนธรรมท่ีหลากหลาย แตํก็มีการผสมผสานสอดคล๎องเป็น วัฒนธรรมไทย ได๎อยํางกลมกลนื ความหมายของประเพณี ประเพณีไทย มีความหมายรวมถึง แบบความเชื่อ ความคิด การกระทา คํานิยม ทัศนคติ ศีลธรรม จารีต ระเบียบ แบบแผน และวิธีการกระทาส่ิงตํางๆ ตลอดจนถึงการประกอบพิธีกรรมในโอกาสตํางๆ ที่กระทากันมาแตํใน อดีต ลักษณะสาคัญของประเพณี คอื เป็นสิง่ ท่ีปฏบิ ตั ิเชื่อถอื มานานจนกลายเป็นแบบอยํางความคิด หรือการ กระทาที่ สบื ตอํ กันมา และยงั มอี ทิ ธิพลอยํูในปัจจบุ นั ประเพณีเกดิ จากความเชื่อในส่งิ ทม่ี อี านาจเหนือมนษุ ย์ เชํน อานาจของดินฟูาอากาศ และเหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึน โดยไมํทราบสาเหตุตํางๆ ฉะนั้น ประเพณี คือ ความประพฤติของคนสํวนรวมที่ถือกันเป็นธรรมเนียม หรือ เป็น ระเบียบแบบแผน และสืบตํอกันมาจนเป็นพิมพ์เดียวกัน และยังคงอยํูได๎ก็เพราะมีส่ิงใหมํเข๎ามาชํวยเสริม สร๎างส่ิงเกํา อยูํเสมอ และกลมกลืนเข๎ากนั ไดด๎ ี ประเพณี คือ ระเบยี บแบบแผนในการปฏบิ ตั ิทีเ่ ห็นวําดีกวํา ถูกต๎องกวํา หรือเป็นท่ยี อมรบั ของคนสํวนใหญํใน สังคมและมีการปฏิบตั ิสบื ตํอกันมา ประเพณี คือ ความประพฤติท่ีสืบตํอกันมาจนเป็นที่ยอมรับของคนสํวนใหญํในหมํูคณะ เป็นนิสัยสังคม ซึ่ง เกดิ ขึ้นจากการท่ีต๎องเอาอยํางบุคคลอ่ืน ๆ ท่ีอยํูรอบๆ ตน หากจะกลําวถึงประเพณีไทยก็หมายถึง นิสัยสังคม ของคน ไทยซ่ึงได๎รับมรดกตกทอดมาแตํด้ังเดิมและมองเห็นได๎ในทุกภาคของไทย ประเพณี เป็นเร่ืองของความประพฤติของ กลุํมชน ยึดถือเป็นแบบแผนสืบตํอกันมานาน ถ๎าใครประพฤตินอก แบบ ถือเป็นการผิดประเพณี เป็นการแสดงถึง เอกลักษณข์ องชาตอิ ีกอยํางหนึ่ง โดยเนือ้ หาสาระแลว๎ ประเพณี กับวัฒนธรรมเป็นส่ิงท่กี ลุํมชนในสังคมรํวมกันสร๎างข้ึน แตํประเพณีเป็นวัฒนธรรมที่มีเง่ือนไขท่ีคํอนข๎าง ชัดเจน กลําวคือเป็นสิ่งท่ีสังคมสร๎างขึ้นเป็นมรดก คนรุํนหลังจะต๎อง รับไว๎ และปรบั ปรุงแกไ๎ ขให๎ดยี งิ่ ๆ ข้นึ ไป รวมท้ังมกี ารเผยแพรํแกํคนในสังคมอื่นๆ ดว๎ ย ท่มี า :https://www.gotoknow.org/posts/508581
106 ใบงานท่ี 1 เร่อื ง ศาสนา วฒั นธรรม ประเพณี เรอ่ื ง ความหมาย ความสาคัญของวัฒนธรรมประเพณี …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. เรอ่ื ง วัฒนธรรมประเพณีท่สี าคัญของท๎องถิ่น และของประเทศ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. เร่ือง การอนุรกั ษ์ สืบสานวฒั นธรรมประเพณไี ทย …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. เรอ่ื ง คํานิยมที่พงึ ประสงค์ของไทยและของท๎องถน่ิ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… เรอ่ื ง การประพฤตปิ ฏิบัติตนตามคาํ นิยมท่ีพึงประสงค์ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
107 แผนการจัดการเรยี นรู้ รายวิชาศาสนาและหนา้ ที่พลเมอื ง คร้งั ท่ี 11 การจัดทาหนว่ ยเรยี นรบู้ ูรณาการหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2565 กศน.ตาบลนา้ ใส ระดับประถมศึกษา ๑. สปั ดาหท์ ี่ 11 วันท่ี 26 เดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2565 เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐น. ๒. วชิ าศาสนาและหนา้ ที่พลเมือง รหัสวชิ า สค1๑๐๐2 จานวน 2 หนวํ ยกิต ๓. มาตรฐานที่ 5.3 ปฏิบตั ติ นเปน็ พลเมืองดตี ามวถิ ปี ระชาธปิ ไตย มีจติ สาธารณะ เพอื่ ความสงบสขุ ของสงั คม ๔. หนว่ ยการเรียนรู้/เรอ่ื งหน๎าท่ีพลเมืองไทย ๕. สาระสาคญั เป็นสาระท่ีเกี่ยวกับความหมายของประชาธิปไตย สิทธิ เสรีภาพ บทบาทหนา๎ ทีข่ องพลเมืองใน วิถปี ระชาธปิ ไตย การมีสํวนรํวมในการปฏบิ ัติตนตามกฎหมาย มคี ุณธรรมและคาํ นิยมพ้ืนฐานในการอยู รํวมกันอยํางปรองดองสมานฉันท์ ปัญหา และสถานการณการเมอื งการปกครองทีเ่ ป็นกรณีตัวอยํางท่ี เกดิ ขึน้ ในชุมชน กฎหมายท่ีเก่ียวขอ๎ งกับตนเองและครอบครวั กฎหมายทีเ่ ก่ยี วข๎องกับชมุ ชน กฎหมายอ่นื ๆ เชนํ กฎหมายแรงงานและสวัสดิการ กฎหมายวําด๎วยสทิ ธเิ ด็กและสตรี และการมสี วํ นรํวมของประชาชน ในการปูองกันและปราบปรามการทุจริต ๖. เน้ือหา เรื่องที่ 1 รฐั ธรรมนูญ เรื่องที่ 2 ความรูเบ้อื งตน๎ เกี่ยวกับกฎหมาย เรื่องท่ี 3 กฎหมายที่เกย่ี วข๎องกับตนเองและครอบครัว เรือ่ งที่ 4 กฎหมายทีเ่ กีย่ วกบั ชุมชน เรื่องท่ี 5 กฎหมายอนื่ ๆ ๗. จดุ ประสงค์การเรยี นร้/ู ผลการเรยี นรูท้ ่คี าดหวงั (ดจู ากผังการออกข๎อสอบ) 1. รแู ละเขา๎ ใจในเรอื่ ง สทิ ธิ เสรภี าพ บทบาทหนา๎ ที่ และคุณคาํ ของความเป็นพลเมอื งดี ตามแนวทางประชาธิปไตย 2. ตระหนักในคุณคําของการปฏิบัตติ นเป็นพลเมืองดตี ามวิถปี ระชาธปิ ไตยและมคี ุณธรรม คานยิ มพน้ื ฐาน ในการอยูรวํ มกนั อยํางปรองดองสมานฉนั ท์ 3. แยกแยะปัญหา และสถานการณการเมอื งการปกครองท่เี กิดขน้ึ ในชุมชน 4. รแู ละเข๎าใจสาระทว่ั ไปเก่ียวกบั กฎหมาย 5. นาความรูกฎหมายทเ่ี ก่ยี วขอ๎ งกับตนเอง ครอบครวั ชุมชน และประเทศชาตไิ ปใชใ๎ นชวี ติ ประจาวันได 6. เหน็ คณุ คํา และประโยชนของการปฏิบัตติ นตามกฎหมาย 7. มจี ติ สานึกในการปูองกนั ปญั หาการทจุ รติ ๘. การบูรณาการกับหลักแนวคิดของเศรษฐกิจพอเพยี ง (2 เง่อื นไข 3 หลักการ การเช่ือมโยงสู่ 4 มติ ิ) ความรู้ - นักศกึ ษามีความรู๎เร่ือง สทิ ธิ เสรภี าพ บทบาทหน๎าท่ี และคณุ คําของความเป็นพลเมืองดี ตามแนวทางประชาธิปไตย - ความร๎ูเรื่องกฎหมายทเ่ี กยี่ วข๎องกบั ตนเอง ครอบครวั ชมุ ชน และประเทศชาติไปใช๎ใน ชีวติ ประจาวนั ได คุณธรรม
108 - เคารพในระเบียบกฎหมายและปฏบิ ัตอิ ยาํ งมคี ุณธรรมตํอตนเองและชมุ ชน เชนํ การ ชํวยเหลือ การไมเํ บยี ดเบียน การยดึ ถือประเพณี คาํ นิยมและสังคม พอประมาณ - ร๎ูจักบทบาทและหน๎าที่ความเปน็ พลเมืองดี และการวเิ คราะห์แนวทางการสรา๎ งเสริมความ เป็นพลเมืองดีของตนเองและชมุ ชน มีเหตผุ ล - การเรยี นถงึ เหตผุ ลและความจาเปน็ ของกฎหมายทคี่ วรรใู๎ นการดารงชีวิตประจาวนั - เขา๎ ใจในการปกครองและการเมืองตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง - การวิเคราะห์เปรียบเทยี บการเมืองการปกครองระบอบประชาธปิ ไตย ตามแนวทาง เศรษฐกิจพอเพยี งกับการปกครองในระบบอน่ื ๆ มีภูมคิ ุ้มกัน - เขา๎ ใจและหาแนวทางการสร๎างเสริมความเปน็ พลเมืองดีใหก๎ ับตนเองและคนอื่นได๎ - ทาตนเปน็ ประโยชน์ตํอครอบครวั ชุมชนและสงั คม วตั ถุ - รู๎จกั เคารพในระเบียบกฎหมายและปฏิบตั ิอยํางมีคุณธรรมตอํ ตนเองและชุมชน สังคม - มีทักษะการอยํรู ํวมกันในชุมชน และทางานรวํ มกบั ผู๎อนื่ ได๎อยํางมีความสขุ สง่ิ แวดล้อม - นาความรูกฎหมายทเี่ กีย่ วข๎องกับตนเอง ครอบครัว ชุมชน และประเทศชาติไปใชใ๎ น ชวี ิตประจาวนั วฒั นธรรม - เห็นคุณคาํ ของการปฏิบตั ติ นเปน็ พลเมอื งดตี ามวิถปี ระชาธปิ ไตยและมีคณุ ธรรม - เหน็ คณุ คํา และประโยชนของการปฏิบัติตนตามกฎหมาย 9. กระบวนการจัดการเรียนรู้และกิจกรรมการเรียนรู้ ขัน้ ที่ ๑ กาหนดสภาพปัญหาการเรียนรู้ (O : Orientation) 1. ครชู วนผูเ๎ รยี นพดู คุยเกีย่ วกับรัฐธรรมนูญวํามีความสาคัญและเกย่ี วข๎องกับการดาเนนิ ชวี ิตประจาวนั อยาํ งไร 2. ครแู ละผ๎ูเรียนรวํ มกันอภิปรายเรอื่ งโครงสร๎างและสาระสาคัญของรัฐธรรมนูญแหงํ ราชอาณาจักร ไทยพร๎อมกับพูดคุยเร่ืองบทบาท หน๎าท่ีในการปฏบิ ัติเปน็ พลเมืองดี 3. ครูเปดิ โอกาสให๎ผู๎เรยี นซักถามข๎อสงสัยกํอนเข๎าสํูบทเรียนขนั้ ตอํ ไป ขน้ั ที่ ๒ แสวงหาขอ้ มลู และจัดการเรยี นรู้ (N : New ways of learning) 1. ครแู จกใบความร๎เู รื่อง ความเป็นมา หลักการ เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนญู 2. ครูให๎ผ๎ูเรยี นศึกษาใบความรู๎ พร๎อมทง้ั สรปุ ใจความสาคัญมาตามความเข๎าใจของนักศึกษา 3. ครูสมํุ ตวั อยาํ งผู๎เรยี นออกมาแสดงความความคิดเหน็ ตามทต่ี นเองสรุปไว๎
109 4. ครแู บํงกลํุมผเ๎ู รยี นออกเป็น 2 กลมํุ เพอื่ ศึกษากรณีตวั อยํางเกยี่ วกับเหตุการณ์ 14 ตลุ า และ พฤษภาทมฬิ วาํ เกดิ การเปล่ียนแปลงอยํางไรจากกรณตี ัวอยํางท่ี 2 กรณี 5. ครูให๎ผู๎เรยี นสํงตัวแทนกลมํุ นาเสนอความรู๎จากการศกึ ษากรณีตวั อยําง พร๎อมถกแถลงรํวมกัน 6. ครใู ห๎ผ๎ูเรียนทาใบงาน เรอ่ื ง ความเป็นมา หลกั การ เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนญู 7. ครแู จกใบความร๎ู เร่ือง โครงสรา๎ งและสาระสาคัญของรัฐธรรมนูญ 8. ครูแบงํ กลํุมผู๎เรยี นออกเป็น 3 กลํุม แลว๎ ให๎แตํละกลุมํ คัดเลอื กหวั หนา๎ กลมํุ รองหัวหนา๎ กลุํม และเลขานุการการ จากนัน้ ใหห๎ ัวหน๎ากลํมุ ออกมาจบั ฉลากเพื่อเลือกหวั ข๎อของรฐั ธรรมนูญแหํงราชอาณาจกั รไทยท่ี จะตอ๎ งนาไปศึกษาคน๎ ควา๎ พร๎อมยกตวั อยาํ งรฐั ธรรมนูญทจ่ี าเปน็ และการนาไปใช๎สาหรับการดาเนินชีวิตในสงั คม ปัจจบุ ันดังน้ี ดังน้ี หมวด 3 สิทธิเสรีภาพของชนชาวไทย หมวด 4 หนา๎ ท่ีของชนชาวไทย หมวด 14 การปกครองสํวนทอ๎ งถน่ิ 9. ครูใหผ๎ ู๎เรียนแตํละกลํมุ จัดบอร์ดแสดงผลงานของแตลํ ะกลมุํ ตามหวั ข๎อที่ไดไ๎ ปศกึ ษาแลว๎ นาผลงาน มานาเสนอหนา๎ ช้ันเรียน 10. ครูแจกใบความร๎ู เร่ืองสทิ ธิ เสรภี าพและหน๎าที่ของประชาชน 11. ครใู หผ๎ ู๎เรียนศกึ ษาค๎นคว๎าขอ๎ มูลทเี่ ก่ียวกบั สทิ ธิเสรีภาพและหนา๎ ท่ีของประชาชนจาก ใบงาน หนงั สอื สอื่ สงิ่ พิมพห์ รือแหลงํ เรียนรู๎ เชนํ อนิ เตอร์เนต็ แล๎วสรปุ เปน็ ใบงานสํงครู 12. ครใู หผ๎ ๎เู รยี นนาผลการศกึ ษาคน๎ ควา๎ มานาเสนอในกลุํมผ๎ูเรียนใหเ๎ พอื่ นฟังโดยการสํุมตัวอยําง พร๎อมทง้ั ใหผ๎ ู๎เรยี นนาใบงานสํงครู ขั้นท่ี ๓ การปฏบิ ัตแิ ละการนาไปใช้ (I : Implementation) ครแู ละผูเ๎ รยี นรวํ มกันแลกเปลี่ยนเรียนรูแ๎ ละสรุปความรู๎เบื้องตน๎ ท่ีไดจ๎ ากแบบสอบถาม เพื่อนามา วิเคราะห์สรปุ ผล และจดั ทารายงานรวบรวมเป็นแฟูมสะสมงาน ขน้ั ที่ ๔ การประเมนิ ผลการเรียนรู้ (E : Evaluation) 1. ครูสงั เกตจากการมสี วํ นรวํ มของผ๎เู รียน 2. ตรวจใบงาน 10. สอื่ /แหล่งเรียนรู้ - หนงั สือแบบเรียน - ใบงาน - ใบความร๎ู - สื่ออินเตอรเ์ น็ต ๑1. การวัดและประเมนิ ผล 11.1 วิธกี ารวดั และประเมินผล - แบบประเมินผลการสงั เกตพฤติกรรมการทางานรํวมกับผอ๎ู ่ืนของนักศึกษารายบุคคล - ใบงาน 11.2 เครอื่ งมอื วดั และประเมินผล. - ประเมินผลการสังเกตพฤตกิ รรมการทางานรํวมกับผ๎ูอ่ืน ของนักศกึ ษารายบคุ คล - ผลจากการตรวจใบงาน
110 11.3 เกณฑก์ ารวดั และการประเมนิ ผล - แบบประเมนิ ผลการสงั เกตพฤติกรรมการทางานรํวมกบั ผอู๎ ืน่ ของนกั ศึกษารายบคุ คล ระดับดี พอใช๎ และควรปรับปรุง - ใบงานคะแนนเต็ม 10 คะแนน กจิ กรรมเสนอแนะ ............................................................................................................................. ............................................................ ......................................................................................................................................................................................... ลงชือ่ ……………………………………ครผู ูส๎ อน (นายประมวล เจริญสขุ ) ครู กศน.ตาบล ขอ้ เสนอแนะของผู้บริหาร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ลงช่อื ……………………………………………ผ๎อู นุมตั ิแผน (นางปัทมาภรณ์ ศรีเนตร) ผ๎อู านวยการ กศน.อาเภอจตรุ พักตรพิมาน
111 บนั ทกึ หลังการจัดการเรียนรู้ การจัดทาหน่วยเรยี นรบู้ ูรณาการหลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง กศน.ตาบลน้าใส ครงั้ ท่ี ๑1 วันท่ี 26 เดอื น กรกฎาคม พ.ศ. 2565 ครผู ๎สู อน นายประมวล เจรญิ สขุ ระดบั ประถมศึกษา เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐ น. สาระพฒั นาสงั คม รายวิชาศาสนาและหนา๎ ท่ีพลเมือง รหสั วชิ า สค1๑๐๐2 จานวนผ๎ูเรยี นทั้งหมด ............... คนเข๎าเรียน…………………คน ไมเํ ข๎าเรียน……………………….คน ๑. ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การประเมนิ โดยใช๎ แบบทดสอบกํอนเรียน - หลังเรียน พบวํา คะแนนการทดสอบหลงั เรียน มากกวาํ กํอนเรียนจานวน ........ คนคดิ เป็นรอ๎ ยละ............ คะแนนการทดสอบหลงั เรียน นอ๎ ยกวาํ กํอนเรียนจานวน ......... คนคิดเป็นรอ๎ ยละ............ ๒. เนอื้ หา/สาระ ............................................................................................................................. ............................ ......................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ............................ ๓. กิจกรรมการเรียนการสอน ............................................................................................................................. ............................ ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ......... ๔. ปัญหา/อุปสรรค การเรียนการสอน ............................................................................................................................. ............................ ......................................................................................................................................................... ๕. แนวทางการแก้ปญั หา ............................................................................................................................. ............................ ................................................................................................................................ ......................... ลงชอ่ื ....................................................... (นายประมวล เจริญสุข) ครูผ๎สู อน วันที่.............../.................../............... ความคดิ เหน็ /ขอ้ เสนอแนะของผู้บริหาร .............................................................................................................................................. ........................................... ........................................................................................ ........................................................... ลงชอ่ื .................................................................. (นางปัทมาภรณ์ ศรเี นตร) ผ๎ูอานวยการ กศน.อาเภอจตุรพกั ตรพิมาน วันท่.ี ............../.................../...............
112 ใบความร้ทู ่ี 1 เรือ่ ง สทิ ธิ เสรภี าพบทบาทหนา้ ทีข่ องพลเมืองในวถิ ปี ระชาธปิ ไตย พ้ืนฐานความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธปิ ไตย สิ่งหน่ึงท่ีจะทาให๎สังคมไทยมีความสงบสุขและเกิดสันติสุขได๎ คือ คนไทยทุกคนต๎องปฏิบัติตนเป็นพลเมืองใน ระบบประชาธิปไตย มีหลักประประชาธิปไตยในการดารงชีวิต ปฏิบัติตนตามกฎหมาย และดารงตนเป็นประโยชน์ตํอ สังคม ซ่ึงการสร๎างความเป็นพลเมืองไมํใชํการทาให๎ประชาชนรู๎ถึงสิทธิและหน๎าท่ีท่ีตนเองมี แตํส่ิงท่ีจะต๎องทาให๎ ประชาชนได๎เรียนรู๎และเข๎าใจอยํางถูกต๎องสิ่งแรกคือ “พื้นฐานความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย มีหลัก 3 ประการ คอื 1. เคารพศักดิศ์ รีความเป็นมนุษย์ ที่ทุกคนเกิดมามีคุณคําเทํากันมิอาจลํวงละเมิดได๎ การมีอิสรภาพและความ เสมอภาค การยอมรับในเกียรติภูมิของแตํละบุคคล โดยไมํคานึงถึงสถานภาพทางสังคม ยอมรับความแตกตํางของทุก คน 2. เคารพสิทธิ เสรีภาพ และกฎกติกาของสังคมที่เป็นธรรม โดยให๎ความสาคัญตํอสิทธิ เสรีภาพ การมีกฎ กตกิ าทว่ี างอยํบู นความยุติธรรมและชอบธรรม มีหลกั นิตริ ัฐในการค๎ุมครองสทิ ธิเสรีภาพมิใหถ๎ ูกละเมดิ 3. รับผิดชอบตํอตนเอง ผ๎ูอ่ืน และสังคม โดยตระหนักถึงบทบาท หน๎าท่ีของความเป็นพลเมืองในระบอบ ประชาธปิ ไตยท่มี ุํงเน๎นเนอื้ หาทม่ี ีคณุ ลักษณะสาคัญในหน๎าท่ีและความรับผิดชอบของตนเองตํอสังคม การดารงตนเป็น ประโยชนต์ อํ สงั คมชํวยเหลือเก้อื กลู กนั ใช๎สติปัญญาในการแก๎ไขปัญหาด๎วยเหตุและผล ดังน้ัน หากประชาชนได๎เข๎าใจ ในหลักพน้ื ฐานความเป็นพลเมอื ง ท้งั 3 หลักการทีก่ ลําวขา๎ งตน๎ อยาํ งถกู ตอ๎ งแล๎ว และสามารถนาไปปฏิบัติให๎เกิดผลได๎ กจ็ ะทาให๎สงั คมไทยพฒั นาเปน็ สังคมประชาธิปไตยอยํางแท๎จริง หลักพ้นื ฐานความเปน็ พลเมืองในระบอบประชาธปิ ไตย การปกครองในระบอบประชาธิปไตย เป็นการปกครองท่ีประชาชนทุกคนมีสํวนรํวมในการปกครองประเทศ การปกครองในระบอบประชาธิปไตยจะประสบความสาเร็จได๎นั้นจะต๎องสร๎าง “ความเป็นพลเมือง” ให๎ประชาชน สามารถปกครองตนเองได๎ ดังนั้น ความเป็น “พลเมืองในระบอบประชาธิปไตย” จึงมีคุณลักษณะที่สาคัญ คือ เป็น บุคคลท่ีสามารถแสดงบทบาทหน๎าท่ีและความรับผิดชอบของตนเองตํอสังคม อีกทั้งดารงตนเป็นประโยชน์ตํอสังคม ชํวยเหลือเก้อื กูลกัน อนั จะกํอใหเ๎ กดิ การพฒั นาสงั คมและประเทศชาติ ใหเ๎ ปน็ สังคมประชาธิปไตย ซึ่งการสร๎างพลเมือง ใหม๎ คี วามเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยนัน้ มีหลักพ้นื ฐานอยูํ 3 ประการ ดงั นี้ 1.เคารพศักด์ศิ รคี วามเปน็ มนุษย์ 2. เคารพสิทธิ เสรภี าพ และกฎกติกาของสงั คมทเ่ี ปน็ ธรรม 3. รับผิดชอบตอํ ตนเอง ผู๎อื่น และสังคม ท้ังน้ี หลักพ้ืนฐานดังกลําว จะเป็นแนวทางในการปฏิบัติตนของการเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย ท่ี มํุงเน๎นถึงการดาเนนิ ชีวิตในสังคมประชาธปิ ไตย โดยในแตลํ ะหลักการมรี ายละเอียดดังนี้ หลกั การที่ 1 เคารพศกั ด์ศิ รีความเปน็ มนษุ ย์ได๎แกํ การยอมรับในเกียรติภูมิของแตํละบุคคล โดยไมํคานึงถึง สถานภาพทางสังคม หลกั การน้มี อี งค์ประกอบยอํ ย ดังน้ี 1.สานกึ รู๎ในคุณคาํ ศักดิ์ศรีความเปน็ มนุษย์ 2. ตระหนกั ในความเสมอภาคของความเป็นมนษุ ย์
113 3. เคารพในความหลากหลายทางสังคมวัฒนธรรม 4. ยดึ หลักอดทน อดกลน้ั ตอํ ความคิดเห็นท่แี ตกตําง ศกั ดศ์ิ รคี วามเป็นมนุษย์ คอื อะไร มนุษย์นอกเหนือจากต๎องมีปัจจัยสี่เพ่ือการดารงชีวิตแล๎วมนุษย์ยังถูกผลักดันด๎วยความปรารถนาที่จะเป็ นท่ี ยอมรับของคนในสังคม เพื่อให๎เกิดความเคารพตนเอง (Self esteem) และในสํวนน้ีได๎นาไปสูํความรู๎สึกของความ ตอ๎ งการมีศกั ด์ิศรีนัน่ คอื “ศกั ด์ิศรคี วามเปน็ มนษุ ย์” ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เป็นคุณคําที่มีลักษณะเฉพาะ อันสืบเน่ืองมาจากความเป็นมนุษย์และเป็นคุณคําที่ ผกู พนั อยํเู ฉพาะกบั ความเป็นมนษุ ยเ์ ทาํ นั้น โดยไมํขน้ึ อยกํู ับเงอื่ นไขอน่ื ใดทงั้ สิน้ เชนํ เชือ้ ชาติ ศาสนา ศักด์ิศรีความเป็น มนุษย์น้ันจะได๎รับความเคารพเสมอไมํวําบุคคลน้ันจะมีสถานะทางสังคมอยํางไร และยังคงมีติดตัวบุคคลตลอดไป ทั้ง ในเวลาที่ยังมีชีวิตอยูํหรือได๎ส้ินชีวิตไปแล๎ว ศักด์ิศรีความเป็นมนุษย์มีฐานะเหนือกวําสิทธิเสรีภาพท่ัวไป และเป็นคุณ คําท่ีมิอาจจะลํวงละเมดิ ได๎ การเคารพศักดิศ์ รคี วามเป็นมนุษยเ์ ป็นการยอมรับในเกยี รติภมู ิของแตํละบุคคล โดยไมํคานึงถึงสถานภาพทาง สังคม สังคมปัจจุบันมักจะละเลยศักด์ิศรีความเป็นมนุษย์ เพราะมีการให๎คุณคําของคนแตกตํางกัน สังคมท่ัวไปให๎ คณุ คาํ ของความเป็นคนท่สี ถานภาพทางสังคมของผู๎น้ัน เชํน เป็นกานัน นายทหาร นกยกรัฐมนตรี ผ๎ูพิพากษา เป็นต๎น สถานภาพทางสงั คมของคนแตํละคน ไมใํ ชตํ ัวชว้ี ดั วํามนุษย์หรือคนนั้นมีศักดิ์ศรีของมนุษย์หรือไมํ แตํศักดิ์ศรีความเป็น มนษุ ย์ คอื การให๎คุณคําความเป็นคนตามธรรมชาติของมนุษย์ไมํวําจะเกิดมาพิการ เป็นเด็ก ผ๎ูหญิง ผู๎ชาย และเกิดมา เป็นคนปัญญาอํอน หรือยากจน คนทุกคนท่ีเกิดมาถือวํามีคุณคําเทํากัน ต๎องปฏิบัติตํอกันอยํางเสมอภาคกัน เพราะ การปฏิบัติตํอกันของผู๎คนในสังคมอยํางเสมอภาคกันเป็นการเคารพศักด์ิศรีความเป็นมนุษย์ และหากมีผ๎ูกระทา ความผิดก็ต๎องวําไปตามกระบวนการกฎหมาย ผ๎ูใดท่ีละเมิดศักด์ิศรีของความเป็นมนุษย์ของผ๎ูอื่น ผู๎น้ันกระทาผิด กฎหมายอยํางรุนแรง กระทาผิดตํอหลักศาสนา และกระทาผิดตํอศีลธรรม การธารงไว๎ซึ่งศักด์ิศรีของความเป็นมนุษย์ จะตอ๎ งกระทาโดยรัฐในเบื้องต๎น ได๎แกํ การพยายามขจัดตัวแปรท่ีจะนาไปสูํความเหลื่อมล๎าในสังคม สิ่งที่รัฐต๎องทาให๎ เกดิ ข้นึ ให๎ได๎กค็ อื ตอ๎ งทาใหม๎ นุษย์ที่อยูํในสังคมอยํภู ายใต๎การปกครองของรฐั ดารงชวี ิตอยํางมคี วามสขุ กลําวไดว๎ ํา ศักดศิ์ รคี วามเปน็ มนุษย์ หมายถงึ ความมีอิสรภาพในการที่จะกาหนดชะตาชีวิตของตนเองทั้งสิทธิ ในชีวิตและรํางกาย และสิทธิในความเสมอภาคในด๎านตํางๆ การได๎รับการยอมรับให๎เป็นสํวนหนึ่งของสังคม โดย ปราศจากเงอื่ นไข อาทิ เช้ือชาติ ศาสนา วัย และวัฒนธรรมที่แตกตํางกัน อันจะนามาซ่ึงการถูกลิดรอนสิทธิและความ เสมอภาคทางสังคม รวมไปถึงการถูกเลือกปฏิบัติจากคนในสังคมนั้นๆ โดยศักด์ิศรีของความเป็นมนุษย์ถือวําเป็นสิ่งท่ี ติดตัวทุกคนมาตั้งแตํกาหนด ไมํมีใครสามารถพรากสิทธิดงกลําวจากปัจเจกบุคคล (ความเป็นตัวตน) ได๎มนุษย์ทุกคน ลว๎ นมคี ุณคาํ ในตนเองซ่ึงควรจะไดร๎ บั การปฏบิ ตั ิอยํางเทาํ เทยี มกัน ความเสมอภาคของความเป็นมนุษย์หมายถึงอะไร ความเสมอภาค เร่ิมจากแนวคิดที่วําคนเรามีคุณคําและ ศกั ด์ิศรเี ทาํ เทียมกันตั้งแตํเกดิ มศี กั ยภาพ มีความสามารถท่จี ะเรียนรไ๎ู ด๎ เปลีย่ นแปลงได๎ มนษุ ย์ตํางชํวยเหลือเกื้อกูลกัน จนทาให๎สังคมอยูํรอดจนทุกวันนี้ แตํละคนล๎วนมีคุรูปการ (การอุดหนุนทาความดี) ตํอมวลมนุษย์ตามกาลัง และ ความสามารถซ่ึงแตํละคน รักชีวิต รักเกียรติศักด์ิของตน และต๎องการมีชีวิตอยํูรอดปลอดภัย มีความสุข สังคมต๎อง สรา๎ งคุณคาํ ใหมทํ ่ีเคารพคณุ คาํ และศักด์ิศรีความเปน็ มนษุ ย์ ไมํวาํ จะแตกตํางหรอื เหมอื นกันประการใด
114 ความเสมอภาค เป็นคาทมี่ กั ไดย๎ นิ พร๎อมกบั คาวาํ สทิ ธิเสรภี าพ และศักด์ิศรคี วามเปน็ มนษุ ย์ กลุํมคาดังกลําวมี นยั สาคญั ตอํ การพิทักษ์ประโยชน์ สรา๎ งความสงบ และการอยอูํ ยํางสันติสาหรบั มนุษยท์ ุกคนพึงได๎รับนับแตํการปฏิสนธิ ไปจนถงึ สิ้นชวี ิต ความเสมอภาคเป็นหลักสาคญั ในการเช่อื มประสานสิทธิ เสรีภาพและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ให๎เป็น จริงไดใ๎ นทางปฏิบัติ ความเสมอภาค (Equality)คืออะไร ความหมายตามหลักสิทธิมนุษยชน หมายถึง ความเทําเทียมของมนุษย์ ทุกคนในการได๎รับสิทธิพื้นฐานตามหลักสิทธิมนุษยชน โดยผํานการปฏิบัติตํอกันระหวํางมนุษย์ตํอมนุษย์ ด๎วยความ เคารพตํอสิทธิและศักดิ์ศรคี วามเปน็ มนุษย์ ความหมายตามหลกั กฎหมาย หมายถงึ หลักการพืน้ ฐานของความยุตธิ รรม ท่ีกาหนดให๎มีการปฏิบัติตํอบุคคล ทีเ่ ก่ียวข๎องกับเรือ่ งน้นั ๆ อยํางเทาํ เทียมกัน ความหมายตามระบบประชาธิปไตย หมายถึง การที่ประชาชนทุกคนในประเทศมีความเสมอภาค หรือความ เทําเทียมกันในเร่ืองสิ่งจาเป็นข้ันพ้ืนฐาน ในท่ีนี้หมายถึง ส่ิงที่จาเป็นขั้นพ้ืนฐานตํอการอยํูรอด และพัฒนาตัวเองตาม หลักสิทธิมนุษยชนคือ ปัจจัยส่ี ความม่ันคงปลอดภัยในชีวิตและรํางกาย การนับถือศาสนา การศึกษาและการรับร๎ู ขําวสาร การเข๎าถึงบริการสาธารณะและสวัสดิการสังคม การประกอบอาชีพ การมีสํวนรํวมทางการเมือง และการ ไดร๎ บั ความค๎ุมครองตามกฎหมาย ความหลากหลายทางสังคมวัฒนธรรม การสรา๎ งความเป็นพลเมืองในสงั คมไทยทส่ี ํงเสรมิ ความเปน็ ประชาธิปไตย ยํอมต๎องสอดคล๎องกับ “วัฒนธรรม ของสังคมไทย” หากไมํสอดคล๎องกันแล๎ว ความเป็นพลเมืองก็ไมํมีความหมาย หรือไมํเป็นท่ียอมรับของคนในสังคม ดังนั้น การสร๎างความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยของไทย จึงต๎องกระทาควบคํูกันไปกับการสร๎าง “วฒั นธรรมของสังคมไทย” ท่สี อดคล๎องกับความเปน็ พลเมืองในระบอบประชาธปิ ไตยของไทยดว๎ ย การสรา๎ งวฒั นธรรมให๎กับพลเมืองที่สาคัญคือ การสร๎าง “วัฒนธรรมทางจิตใจ” เป็นการสร๎างพลเมืองให๎มีจิต สาธารณะรักความเป็นธรรม สานึกในพันธะหน๎าท่ีตํอสังคมและเพื่อนมนุษย์และมีความร๎ูมากพอท่ีจะประเมินวําการ กระทาหน่ึงๆ ของตนจะมีผละกระทบตอํ สํวนรวมอยาํ งไร เพือ่ จะเลือกดที ่สี ุดวําตนควรจะทาอะไร และทาอยํางไร เพ่ือ สร๎างประโยชน์ให๎สังคมหรือสํวนรวม ขณะเดียวกันก็มีความกล๎าหาญทางจริยธรรมคือ กล๎าพูด กล๎าเขียน หรือกล๎า กระทาในสิ่งท่ีตนเชื่อวําถูกต๎องดีงามแม๎วําตนเองจะต๎องได๎รับผลร๎ายจากการพูด การเขียน การกระทาในสิ่งที่ตนเช่ือ วําถูกต๎องดีงามก็ตาม นอกจากน้ียังต๎องใจกว๎าง รับฟังความคิดเห็นที่แตกตําง โดยพร๎อมที่จะพิจารณาความเห็นที่ แตกตาํ ง โดยพร๎อมทจ่ี ะพิจารณาความเห็นที่แตกตํางด๎วยใจท่ีเป็นธรรมใจกว๎างมากพอท่ีจะเปล่ียนความคิดเมื่อได๎รับรู๎ เหตุผลและข๎อเท็จจริงที่ดีกวํา และเปิดโอกาสให๎ผู๎อ่ืนได๎มีสํวนรํวมในความสาเร็จตํางๆ วัฒนธรรมทางจิตใจจะเกิดข้ึน ได๎ก็ตํอเม่ือ “พลเมืองไทย” เป็นผ๎ูท่ี “เห็นคุณคําความเป็นมนุษย์” บนพ้ืนฐานของความรู๎ความเข๎าใจคือ มีความร๎ู ความเขา๎ ใจมนษุ ยใ์ นบรบิ ททางสังคมหรือในเง่ือนไขสภาพแวดล๎อมทต่ี ํางกัน ไมํใช๎มาตรฐานของตนเองในการตัดสินคน อื่นอยํางงํายๆ ยอมรับความแตกตํางหลากหลาย และมีความเห็นอกเห็นใจผู๎อ่ืนท่ีอยํูในบริบทหรือเงื่อนไข สภาพแวดล๎อมที่แตกตําง ไมํวําจะเป็นเร่ืองของทัศนคติทางการเมือง หรือความผิดพลาดที่เกิดจากความ ร๎ูเทาํ ไมํถึงการณ์ หรอื เกดิ จากสถานการณ์ท่ีกดดนั เป็นต๎น
115 การสร๎างวัฒนธรรมความเป็นพลเมืองอีกอยํางหน่ึงคือการสร๎างให๎พลเมืองมี “วัฒนธรรมทางความรู๎” เป็น การเสริมสรา๎ งให๎มคี วามรู๎ ให๎ร๎ูจกั ใชว๎ ิจารณญาณ หรือทัศนะวิพากษ์ ความคิดเห็น และนโยบายของทุกฝุาย สามารถมี สํวนรํวมทางการเมืองอยํางฉลาดสร๎างสรรค์ ก็จะทาให๎สังคมไทยเป็นสังคมท่ีใช๎ความร๎ู และใช๎สติปัญญาในกา ร แก๎ปัญหา แทนการใช๎อานาจเป็นหลักเป็นการเปลี่ยน “วิถีไทย” จาก “อานาจนิยม” เป็น “ความร๎ูนิยม” หรือ “ปัญญานิยม” ในปัจจุบันการนิยาม คาวํา“ความจริง ความดี ความงาม” ในสังคมไทยได๎แปรเปลี่ยนไปเพราะบริบททาง เศรษฐกจิ สงั คมและวฒั นธรรมเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะเทคโนโลยีสารสนเทศ ทาให๎เกิดการ “คิดตําง” คือ คิดตําง บนฐานความเชื่ออีกแบบหนึ่ง โดยไมํพยายามที่จะทาความเข๎าใจปรากฏการณ์ตํางๆ ที่ซับซ๎อนและรอบด๎าน น่ัน หมายถึง เปน็ การ “คดิ ในกรอบ” หรือ “มองมิตเิ ดยี ว” ความรเ๎ู กย่ี วกบั การเปล่ียนแปลงจะชํวยให๎พลเมืองไทยสามารถ ทจี่ ะเข๎าใจ และมีทศั นะวพิ ากษ์ ตํอความคิด และตํอความเคล่ือนไหวในเรื่องตําง ๆ มากยิ่งขึ้น วัฒนธรรมเดิมของไทย เรายงั มีทัศนะตอํ ความรู๎ คอื การทํองจา ประเด็นความร๎ูที่กลําวถึง คือ การเปล่ียนจารีตทางความร๎ูหรือวัฒนธรรมเดิม ของไทย เป็นวัฒนธรรมทางความรู๎ของพลเมืองในระบบประชาธิปไตย จะต๎องทาให๎การเรียนการสอนไมํเน๎นการ ทํองจาเน้ือหาวิชา แตํจะต๎องใช๎เน้ือหาวิชาเป็นเคร่ืองมือในการพัฒนาวิธีคิดวิธีการสร๎างความร๎ู ตลอดจนวิธีการ ประยุกต์ใชค๎ วามรู๎ท่ีตระหนักวาํ คนสามารถมองเหน็ “ความจรงิ ” ตาํ งกัน หรือมี “ความจริง” จากหลายมุมมอง ซ่ึงแตํ ละคนต๎องสามารถมองจากมุมมองของคนอื่นๆ หรือสามารถมองจากมุมมองของคนท่ีมีฐานคิดตํางกัน ไมํคิดวําเร่ือง หนึ่งๆ จะต๎องมีคาตอบถูกหรือผิดที่ตายตัว แตํพร๎อมจะเปล่ียนความคิดหรือมุมมองของตนเม่ือพบคาอธิบายใหมํท่ี ดีกวํา ความอดทน อดกลน้ั ในความแตกตา่ ง ความอดทน มาจากคาวํา ขันติ หมายถึง การรักษาปกติภาวะของตนไว๎ได๎ ไมํวําจะถูกกระทบกระทั่งด๎วยส่ิง อันเป็นท่ีพึงปรารถนา หรือไมํพึงปรารถนาก็ตาม มีความมั่นคงหนักแนํนเหมือนแผํนดิน ซ่ึงไมํหวั่นไหววําจะมีคนเท อะไรลงไปไมํวําจะเป็นของเสีย ของหอม ของสกปรกหรือของดีงามก็ตาม งานทุกชิ้นในโลกไมํวําจะเป็นงาน เล็กงาน ใหญํ ท่ีสาเร็จขึ้นมาได๎นอกจากจะอาศัยปัญญาเป็นตัวนาแล๎ว ล๎วนต๎องอาศัยคุณธรรมประการหน่ึงเป็นพื้นฐานจึง สาเรจ็ ได๎ คณุ ธรรมนน้ั ก็คือ “ขนั ต”ิ อดกลั้นในความแตกตําง หมายถึง การยอมรับความแตกตํางของกันและกันวําเป็นส่ิงท่ีปกติของมนุษย์ ทั้ง ความแตกตํางในเร่ืองกายภาพและในเร่ืองพฤติกรรม ความร๎ูสึกนึกคิดการแสดงออกซึ่งความคิดเห็น และตราบใดท่ี ความแตกตํางนั้นไมํทาความเดือดร๎อนเสียหายแกํผู๎ใด การไมํกลําวหาใครงําย ๆ โดยไมํคิดใครํครวญให๎รอบคอบ เสียกํอน ซ่ึงการอดกล้ันในความแตกตํางจะเกิดขึ้นได๎ก็ตํอเมื่อคนเรามีความเคารพซ่ึงกันและกัน อันนามาซ่ึงการเห็น พ๎องต๎องกันท่ีจะไมํเห็นด๎วยกันได๎ และสามารถสร๎างเอกภาพในความแตกตํางของการอยํูรํวมกันในสังคมได๎ และ แนนํ อนวาํ ความอดทน อดกล้ัน ของแตํละคนยํอมไมํเหมือนกัน ขีดจากัดของคนก็ตํางกัน การท่ีจะตัดสินวําคนนั้น คน นี้ ไมํมคี วามอดทน อดกลั้น จะต๎องพจิ ารณาองค์ประกอบหลายๆ ดา๎ นดว๎ ยกนั จากทีก่ ลําวข๎างต๎น ในหลักพื้นฐานความเป็นพลเมือง ของการเคารพศักด์ิศรีความเป็นมนุษย์จึงเป็นการเคารพ ในความเป็นคน ในความเป็นมนุษย์โดยไมํแบํงชั้นวรรณะ ไมํดูถูก ดูแคลนกัน ไมํถือยศ ถือศักดิ์ ถือชาติตระกูล ถือชน ชั้น และเคารพในความสามารถของกันและกัน เปิดโอกาสให๎แสดงความสามารถ แสดงความคิดเห็น ให๎การยกยํอง ชมเชย ยอมรับในความแตกตํางและพร๎อมท่ีจะอดทน อดกล้ัน และถ๎าคนเราเคารพซึ่งกันและกันมากข้ึนเทําใด ก็จะ
116 เกิดความเช่ือถือ ศรัทธา อันจะทาให๎เกิดความรักความปรารถนาดีตํอกัน เกิดความรํวมมือที่ดีตํอกันในสังคม เพ่ือ สรา๎ งสรรคส์ ่งิ ดีๆ และรวํ มกนั แกไ๎ ขปัญหาตํางๆ ใหส๎ าเร็จลลุ วํ งไปได๎ หลกั การท่ี 2 การเคารพสทิ ธิ เสรภี าพ และกฎกติกาของสังคมทเี่ ปน็ ธรรมได๎แกํ การให๎ความสาคัญตํอสิทธิ เสรีภาพ กฎกตกิ า ของสงั คมทีท่ ุกคนมสี ํวนกาหนดข้ึน หลักการน้ีมีองค์ประกอบยํอยดังน้ี 1. ร๎จู ักสทิ ธิ และเสรภี าพของตนเอง โดยรวู๎ ําตนเองเป็นเจา๎ ของอธิปไตยและเปน็ สมาชกิ คนหนง่ึ ของสังคม 2. เคารพและปกปอู งสทิ ธแิ ละเสรภี าพของตนเอง ของผูอ๎ น่ื และของชุมชน โดยไมํให๎ผู๎ในลํวงละเมิดอันขัดตํอ กฎหมาย 3. เคารพกฎกติกาสังคม โดยกฎกติกานั้นต๎องต้ังอยูํบนความยุติธรรมและความชอบธรรม หากยังมีกฎกติกา ใดไมํยุติธรรมและไมํชอบธรรม ก็ยํอมสามารถปรับปรุง แก๎ไข หรือยกเลิกตามครรลองหรือเง่ือนไขที่กาหนดไว๎ใน กฎหมาย มใิ ชใํ ชว๎ ิธกี ารอน่ื ใดทีไ่ มํถกู ตอ๎ งตามกฎหมาย 4. ยดึ หลกั นิติรฐั (Rule of Law) โดยมหี ลกั การพ้นื ฐานในการคุม๎ ครองสทิ ธิ เสรีภาพของพลเมือง มิให๎ถูกลํวง ละเมิดโดยบุคคล กลํุมคน หรอื รัฐ สทิ ธิ เสรภี าพ คอื อะไร สิทธิ (Rights)หมายถึง สิทธิเป็นสิ่งที่ติดตัวมนุษย์ทุกคนตามธรรมชาติท่ีได๎เกิดมาเป็นมนุษย์ ซ่ึงไมํมีใครลํวง ละเมิดไดท๎ กุ คนท่ีเกดิ มามสี ิทธิท่ีจะมชี วี ติ อยูํรอด และต๎องมีชีวิตอยํูอยํางสมเกียรติและมีศักด์ิศรีความเป็นมนุษย์ ความ มีอยํขู องสทิ ธติ ามธรรมชาติน้ี แมเ๎ ม่ือยังไมํมีกฎหมายรองรบั สทิ ธิกย็ งั มีอยูํ เสรภี าพ (Freedom)หมายถึง การที่มนุษย์สามารถทาอะไรก็ได๎ภายใต๎ของเขตของศีลธรรมอันดีงาม โดยไมํ เบยี ดเบยี นสงั คม หรอื ไมลํ ํวงลา๎ สทิ ธขิ องบคุ คลอน่ื หรือสิทธขิ องสํวนรวม เราจึงเห็นวํามีการใช๎คา 2 คานี้พร๎อมกัน คือ สิทธิและเสรีภาพ ในปฏิญญาสากลวําด๎วยสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ (Universal Declaration of Human Rights) มักจะใช๎คาวําสิทธิเสรีภาพที่จะแสดงความคิดเห็นและแสดงออก หรือสิทธิและเสรีภาพในการเลือกคํูครอง และสร๎างครอบครบั เป็นต๎น สทิ ธิ เสรภี าพในความเป็นพลเมอื ง เปน็ สิทธิ เสรีภาพเกยี่ วกบั การที่สามารถเรียกร๎องความต๎องการข้ันพ้ืนฐาน จากรัฐในฐานะที่เป็นราษฎรของรัฐได๎ ซ่ึงรัฐมีหน๎าท่ีให๎การสนองตอบในรูปของบริการสาธารณะ ถือเป็นสิทธิที่จะร๎อง ของได๎ จะรบั เอาได๎หรือเป็นสิทธิท่ีติดตัวมา โดยเกิดขึ้นมาจากความเป็นพลเมืองหรือราษฎรของรัฐ โดยท่ีรัฐไมํอาจจะ ปฏเิ สธความรบั ผิดชอบหรอื ความชํวยเหลอื ดว๎ ยการเพิกเฉยไมกํ ระทาการตอบสนองตามข๎อเรียกร๎องของประชาชน ซึ่ง สิทธิและเสรภี าพท่รี ัฐมีหนา๎ ทีใ่ นการให๎ความค๎งุ ครองได๎ เชนํ - สทิ ธแิ ละเสรภี าพในการศกึ ษา - สทิ ธขิ องผ๎ูบรโิ ภค - เสรภี าพในการชมุ นุม - เสรภี าพในการรวมตัวเปน็ หมคูํ ณะ - สทิ ธกิ ารรบั ข๎อมลู ขาํ วสารจากรฐั - เสรภี าพการจัดตัง้ พรรคการเมอื ง
117 - สิทธิในการได๎รับการบริการสาธารณสขุ และสวัสดกี ารจากรัฐ - สทิ ธิในการฟอู งหนวํ ยราชการ - สิทธใิ นการมีสวํ นรวํ มกับรัฐ - สิทธิในการคดั ค๎านการเลือกตงั้ - สิทธใิ นการเข๎าชือ่ เสนอกฎหมายและข๎อบัญญัตทิ ๎องถิน่ - สทิ ธใิ นการเข๎าชื่อถอดถอนผ๎ูดารงตาแหนํงทางการเมืองทัง้ ระดบั ชาติ และระดับท๎องถน่ิ ทง้ั นี้ การใช๎สทิ ธใิ นการเข๎าชื่อเสนอกฎหมายน้นั มขี อบเขตจากัดตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแหํงราชอาณาจักร ไทยพุทธศักราช 2550 เฉพาะกฎหมายเก่ียวกับสิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทยตามหมวด 3 และเกี่ยวกับ แนวนโยบายพืน้ ฐานแหํงรัฐตามหมวด 5 เทาํ น้ัน จากทกี่ ลําวข๎างต๎นสิทธิเป็นส่ิงท่จี ะรอ๎ งขอได๎ หรอื จะรับเอาได๎ หรือเป็นสิทธิท่ีติดตัวมาโดยเกิดขึ้นมาจากความ เป็นพลเมืองของรัฐ ซึ่งการได๎รับความยุติธรรมจากการใช๎สิทธิสาคัญกวําการได๎รับประโยชน์จากสิทธิที่เทํากัน เชํน พลเมืองที่เป็นเด็กได๎รับสิทธิการศึกษาภาคบังคับฟรี แตํพลเมืองท่ีเป็นผ๎ูใหญํได๎รับสิทธิในการออกเสียงเลือกตั้ง และ สมัครรับเลือกต้ัง ขณะท่ีพลเมืองท่ีด๎อยโอกาสจะได๎รับสิทธิการสงเคราะห์จากรัฐ ทั้งท่ีคนปกติทั่วไปไมํได๎รับสิทธิ ดังกลําว ดังน้ัน สิทธิเสรีภาพในความเป็นพลเมือง จึงเป็นสิทธิของพลเมืองท่ีไมํจาเป็นวําทุกคนจะต๎องได๎รับประโยชน์ เทํากันหากแตเํ ป็นสิทธิอะไรของใครกเ็ ป็นหน๎าท่ีของรฐั ท่จี ะตอ๎ งรบั ผดิ ชอบในการสนองตอบตํอการใช๎สิทธิน้ัน กลําวคือ พลเมอื งท่เี ป็นเด็กยํอมสามารถเรยี กร๎องการศกึ ษาฟรีในภาคบงั คบั จากรัฐได๎ เชํนเดียวกับผู๎ใหญํก็ยํอมสามารถเรียกร๎อง การใช๎สิทธิออกเสียงเลือกต้ังได๎ ดังนั้น สิทธิเสรีภาพของพลเมืองจึงเป็นสิทธิท่ีสงวนไว๎ให๎ซ่ึงเป็นหน๎าที่ของรัฐที่จะต๎อง จดั หาใหป๎ ระชาชน ประชาธปิ ไตยคือการปกครองระบอบโดย “กติกา” ที่มาจากประชาชน ระบอบประชาธิปไตย ต๎องใช๎ “กติกา” การปกครองโดย “กติกา” คือการปกครองโดยกฎหมาย (The Rule of Law) หรอื ทเี่ รยี กวํา “นติ ริ ัฐ” ซึง่ หมายถงึ รัฐทมี่ ีการปกครองด๎วยกฎหมาย และหลักแหํงกฎหมายที่เป็นธรรม หรือ รฐั ท่ปี กครองโดยกติกา มิใชํปกครองโดยอาเภอใจ หรือใช๎กาลัง โดยทุกคนจะต๎องอยูํภายใต๎กฎหมาย และจะมีอานาจ กระทาการใดทก่ี ระทบตอํ สิทธเิ สรีภาพประชาชนได๎ ตอํ เมื่อมกี ฎหมายให๎อานาจไว๎เทํานั้น และเน่ืองจากประชาธิปไตย คือ การปกครองโดยประชาชน กฎหมายที่ใช๎ในการปกครอง จึงต๎องมาจากประชาชน กฎหมายในระบอบ ประชาธปิ ไตยจงึ มใิ ชํคาสงั่ ของผ๎มู อี านาจ หากเป็นการตกลงกันของประชาชน วาํ จะอยํูรํวมกันโดยมีกติกาอยํางไร และ โดยเหตุท่ีมีประชาชนจานวนมากจนไมํสามารถจะไปออกกฎหมายด๎วยตนเองโดยตรงได๎ การออกกฎหมายจึงทาโดย ผํานผแ๎ู ทน และน่ีคืออานาจหนา๎ ท่ขี องสภาผ๎แู ทนราษฎรที่ “ราษฎร” ไดเ๎ ลอื กเขา๎ ไปทาหนา๎ ทอี่ อกกฎหมายแทนตนเอง การปกครองในระบอบประชาธิปไตยมีการแบํงอานาจออกเป็นอานาจนิติบัญญัติ (ตรากฎหมาย) อานาจ บรหิ าร (ใช๎กฎหมาย) และอานาจตุลาการ (ตีความกฎหมาย) เพ่ือให๎เกิดการตรวจสอบและถํวงดุลอานาจ (checks & balances) ไมํให๎ผู๎มีอานาจใช๎อานาจได๎ตามอาเภอใจ หากต๎องใช๎ภายใต๎กฎหมายหรือกติกาที่มาจากประชาชน ประเทศที่ปกครองด๎วยระบอบประชาธิปไตยจะต๎องนาหลักการทั้งหลายเหลํานี้มาบัญญัติไว๎ในรัฐธรรมนูญ การ ปกครองในระบอบประชาธิปไตยรฐั ธรรมนญู จงึ เปน็ “กฎหมายสูงสดุ ในการปกครองประเทศ” หลกั การท่ี 3 รบั ผิดชอบต่อตนเอง ผอู้ นื่ และสังคม
118 เปน็ การตระหนักถงึ บทบาท หน๎าทแี่ ละพันธกิจของความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย มีองค์ประกอบ ยํอยดังนี้ 1.ทาหน๎าท่ีของตนเองในฐานะสมาชกิ ของสงั คม เชนํ การเสียภาษี การเกณฑ์ทหาร เป็นตน๎ 2.กาหนดทิศทางของสังคมรํวมกนั เพื่อนาไปสสํู งั คมท่เี ป็นธรรมและสนั ตสิ ุข เชนํ การไปใช๎สิทธิเลือกตั้ง การมี สํวนรวํ มในการประชาพิจารณ์ เปน็ ตน๎ 3. ใชห๎ ลกั การประชาธปิ ไตยในการแก๎ปัญหาของสังคม เชํน การมีสวํ นรวํ มในการแก๎ปัญหาด๎วยเหตุและผลใน เวทสี าธารณะ เป็นต๎น 4. ยอมรับหลกั เสยี งข๎างมากและเคารพสทิ ธเิ สยี งขา๎ งน๎อย เชนํ การเคารพมติทีป่ ระชุม เปน็ ต๎น หน้าท่แี ละความรับผดิ ชอบของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย การอยูํรํวมกันในสังคมประชาธิปไตยนั้น นอกจากจะมีสิทธิเสรีภาพแล๎ว สิ่งที่จะขาดไมํได๎อีกประการหน่ึงคือ หน๎าท่ีและความรับผิดชอบ ในสังคมประชาธิปไตยนอกจากได๎กาหนดในเรื่องของสิทธิเสรีภาพไว๎แล๎ว ยังได๎กาหนด หน๎าท่ีของประชาชนไว๎อีกด๎วย การที่ต๎องกาหนดหน๎าท่ีของประชาชนในสํวนท่ีเกี่ยวข๎องกับรัฐไว๎เชํนน้ีก็เพื่อให๎ ประชาชนในระบอบประชาธิปไตยได๎เกิดความตระหนักวํา ภายใต๎การปกครองนี้ประชาชนจะต๎องเสียสละความรู๎ ความสามารถของตนเองเพื่อประโยชน์ตํอสํวนรวมและความเจริญก๎าวหน๎าของการปกครองระบอบประชาธิปไตย รฐั ธรรมนูญแหงํ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช 2550 ได๎กาหนดหน๎าท่ีสาคัญๆ อันจะเป็นประโยชน์แกํสํวนรวมของ ชนชาวไทยไว๎ในหลายๆ ดา๎ น เชนํ กาหนดให๎บุคคลมีหน๎าที่รักษาไว๎ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครอง ในระบอบประชาธปิ ไตยอนั มพี ระมหากษตั ริย์ทรงเปน็ ประมุขและยังมีหนา๎ ที่ที่สาคญั อืน่ ๆ อาทิ 1. บคุ คลมหี น๎าทป่ี ฏิบตั ิตามกฎหมาย 2. บุคคลมหี นา๎ ท่ีไปใชส๎ ทิ ธิเลือกต้งั 3. บุคคลมีหน๎าที่ปูองกันประเทศ รับราชการทหาร เสียภาษีอากร ชํวยเหลือราชการ รับการศึกษาอบรม พิทักษป์ กปูอง และสืบสานศลิ ปวฒั นธรรมของชาติ ภูมิปัญญาทอ๎ งถนิ่ อนุรกั ษท์ รัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอ๎ ม 4. บุคคลผ๎ูเป็นข๎าราชการ พนักงาน หรือลูกจ๎างของหนํวยราชการ หนํวยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ หรือ ของราชการสํวนท๎องถิ่น และเจ๎าหน๎าที่อื่นของรัฐ มีหน๎าที่ดาเนินการให๎เป็นไปตามกฎหมายเพื่อรักษาประโยชน์ สวํ นรวม อานวยความสะดวกและให๎บรกิ ารแกปํ ระชาชน การปกครองในระบอบประชาธิปไตยจะมีความเจริญก๎าวหน๎าไปมากน๎อยเพียงใดหรือไมํนั้น สํวนหนึ่งก็อยูํที่ ความรับผิดชอบของประชาชน ถ๎าพ้ืนฐานความรับผิดชอบของประชาชนสํวนใหญํยังไมํดีแล๎ว การปกครองระบอบ ประชาธิปไตยก็มักจะขาดเสถียรภาพตามไปด๎วย ในเร่ืองความรับผิดชอบนั้นสามารถจาแนกได๎ออกเป็น 2 สํวนคือ ความรับผิดชอบตํอตนเองและความรับผิดชอบตอํ สังคม ความรบั ผิดชอบต่อตนเอง หมายถึง การรบั รูฐ๎ านะและบทบาทของตนทเ่ี ป็นสํวนหนึ่งของสังคมจะต๎องดารงตนให๎อยํูในฐานะท่ีชํวยเหลือ ตัวเองได๎ รู๎จักวําสิ่งใดถูก สิ่งใดผิด ยอมรับผลการกระทาของตนเองทั้งที่เป็นผลดีและผลเสีย เพราะฉะนั้นบุคคลที่มี ความรับผดิ ชอบในตนเองยํอมจะไตรตํ รองดูใหร๎ อบคอบกํอนวาํ ส่ิงทจี่ ะกํอให๎เกิดผลดเี ทํานน้ั ความรบั ผดิ ชอบตํอตนเอง มรี ะดับแตกตาํ งกันไป เชนํ เดก็ เยาวชนตอ๎ งรบั ผดิ ชอบในเรื่องการศึกษาหาความรู๎ การชํวยเหลือครอบครัวเทําที่จะทาได๎ ท้ังน้ี รวมถึงความรับผิดชอบในการเอาใจใสํดูแลพํอ แมํ ปุู ยํา ตา ยาย หรือ
119 เครือญาติตามแบบวัฒนธรรมไทย ในวัยหนํุมสาวยิ่งต๎องมีความรับผิดชอบตํอตนเองมากย่ิงขึ้นไปอีก เชํน การ ขวนขวายหางานทา การคิดพัฒนาวิชาชีพให๎เกิดความเจริญก๎าวหน๎า วัยสูงอายุ ต๎องมีความรับผิดชอบในการนา ประสบการณ์ชีวิตท่ีตนเองผํานพบมาถํายทอดให๎กับเยาวชนรํุนหลังได๎ศึกษา หรือแม๎แตํการอบรมส่ังสอนให๎ลูกหลาน เครือญาตปิ ระพฤตปิ ฏิบตั ิตนเปน็ คนดี ความรบั ผิดชอบตอ่ สงั คม หมายถงึ ภาระหนา๎ ท่ขี องบุคคลทจ่ี ะต๎องเกย่ี วขอ๎ ง และมีสํวนรํวมตํอสวัสดิภาพของสังคมท่ีตนเองดารงอยูํ ซ่ึง เป็นเรื่องที่เก่ียวข๎องกับหลายสิ่งหลายอยํางต้ังแตํสังคมขนาดเล็กๆ จนถึงสังคมขนาดใหญํ การกระทาของบุคคลใด บุคคลหนึ่งยํอมมีผลกระทบตํอสังคมไมํมากก็น๎อย บุคคลทุกคนจึงต๎องมีภาระหน๎าที่และความรับผิดชอบที่จะต๎อง ปฏบิ ัตติ ํอสังคม ดงั ตอํ ไปน้ี 1. ความรับผิดชอบตํอหน๎าท่ีพลเมือง ได๎แกํ การปฏิบัติตามกฎระเบียบของสังคม การรักษาทรัพย์สินของ สงั คม การชวํ ยเหลือผอู๎ ืน่ และการใหค๎ วามรํวมมือกับผูอ๎ ่นื 2. ความรับผิดชอบตํอครอบครัว ได๎แกํ การเคารพเชื่อฟังผู๎ปกครอง การชํวยเหลืองานบ๎านและการรักษา ชอื่ เสียงของครอบครัว 3. ความรับผิดชอบตํอโรงเรียน ได๎แกํ ความต้ังใจเรียน การเช่ือฟังครู – อาจารย์ การปฏิบัติตากฎของ โรงเรยี นและการรักษาสมบัตขิ องโรงเรียน 4. ความรับผิดชอบตํอเพื่อน ได๎แกํ การชํวยตักเตือนแนะนาเมื่อเพ่ือนกระทาผิด การชํวยเหลือเพื่อนอยําง เหมาะสม การใหอ๎ ภัยเม่ือเพือ่ นทาผดิ การไมทํ ะเลาะและเอาเปรยี บเพอื่ น และการเคารพสิทธซิ งึ่ กันและกัน ทั้งน้ี ถ๎าหากประชาชนสํวนใหญํไมํเข๎าใจบทบาทหน๎าที่และความรับผิดชอบของตนเองแล๎ว การพัฒนา ประชาธิปไตยก็จะไมํเกิดข้ึน ด๎วยเหตุนี้ประเทศใดก็ตามที่ต๎องการให๎การปกครองระบอบประชาธิปไตยมีความเป็น ปึกแผํนม่ันคงแล๎วประเทศนั้นจะต๎องเรํงจัดการศึกษาให๎กับประชาชนอยํางทั่วถึง ซ่ึงประชาธิปไตยจะเจริญก๎าวหน๎า ตํอไปได๎นั้น ประชาชนจะต๎องพัฒนาส่ิงเหลํานี้ด๎วย คือ การพัฒนาตนเอง การมีวินัยในตนเอง การเสียสละเพื่อ ประโยชนส์ วํ นรวม และการใช๎สตปิ ัญญาและเหตุผล การพัฒนาตนเอง ประชาธิปไตยจะพัฒนาก๎าวหน๎าไปได๎มากน๎อยเพียงใดนั้น ปัจจัยสาคัญอยูํท่ีการพัฒนา ตนเองของประชาชนเป็นหลัก การพัฒนาตนเองของประชาชน หมายถึง การพัฒนาในหลายๆ ด๎าน แตํการพัฒนา เบื้องต๎นที่สาคัญที่สุดก็คือ การพัฒนาตนเองทางด๎านการศึกษา คนท่ีมีการศึกษานั้นจะเป็นคนที่มีระบบและระเบียบ ทางความคิดอยํางเป็นเหตุเป็นผล เม่ือพบกับปัญหาใดปัญหาหนึ่งที่จะต๎องตัดสินใจก็จะใช๎ความรู๎ที่ส่ังสมมานั้น ไตรํตรองเพือ่ การตัดสินใจได๎อยาํ งมหี ลักมีเกณฑ์ การปกครองระบอบประชาธิปไตย มีความจาเป็นท่ีจะต๎องอาศัยคนท่ี มีความรู๎มากเป็นพิเศษ ทั้งน้ีเพราะความร๎ูของคนจะชํวยให๎การวิเคราะห์สิ่งท่ีปรากฏขึ้นในสังคมเป็นไปอยํางถูกต๎อง มากขึน้ และมีความเปน็ ตวั ของตัวเองสงู ทจ่ี ะตดั สินใจสง่ิ ใดไดด๎ ว๎ ยความเช่ือมั่นโดยไมตํ ๎องมีใครมาโน๎มนา๎ ว การมวี ินัยในตนเอง สังคมประชาธิปไตยเป็นสังคมของการอยูํรํวมกันโดยอาศัยกฎเกณฑ์ที่ประชาชนชํวยกัน เสนอแนวคิด โดยผํานผ๎ูแทนที่ตนเลือกเข๎าไปทาหน๎าที่แทน แล๎วนากฎเกณฑ์นั้นประกาศให๎ทุกคนรับรู๎รํวมกันวํา
120 จะตอ๎ งปฏบิ ัติรวํ มกันอยํางไร การท่ีประชาชนยอมรับและปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ดังกลําวจนกํอให๎เกิดความเป็นระเบียบ เรียบร๎อยขน้ึ ในสงั คมประชาธิปไตย ลักษณะเชนํ นี้เรียกได๎วาํ ประชาชนในสงั คมนน้ั เป็นผ๎ูท่ีมีระเบยี บวินัย วินัยในตนเอง หมายถึง การที่บุคคลใดบุคคลหน่ึงเลือกข๎อประพฤติปฏิบัติสาหรับตนโดยสมัครใจ ไมํมีใคร บังคับหรือถูกควบคุมจากอานาจใดๆ ข๎อประพฤติปฏิบัติน้ีต๎องไมํขัดกับความสงบสุขของสังคม วินัยในตนเองเกิดจาก ความสมัครใจของบคุ คลที่ผาํ นการเรยี นรู๎อบรม และเลอื กสรรไวเ๎ ปน็ หลักปฏิบตั ิประจาตน การเสียสละเพื่อประโยชน์ส่วนรวม คนที่อยูํรํวมกันเพื่อความสงบสุข ควรจะมีคุณธรรมคือ ความเสียสละ นั่นหมายถึงการเสียสละความสุขสํวนตัวเพ่ือสํวนรวม เพราะถ๎าตํางคนตํางเห็นแกํตัว ไมํเห็นแกํคนอื่นแล๎ว สํวนรวมก็ จะเดือดร๎อนเมื่อสํวนรวมเกดิ ความเดือดร๎อนเสียแลว๎ ความสขุ ความสงบจะเกิดข้นึ ได๎อยาํ งไร ความเสียสละเป็นคุณธรรมข้ันพื้นฐานของผ๎ูที่อยํูรํวมกันในสังคม ทุกคนในสังคมต๎องมีน๎าใจเอ้ือเฟ้ือ เสียสละ แบํงปันให๎แกํกัน ไมํมีจิตใจคับแคบ เห็นแกํตัว ความเสียสละจึงเป็นคุณธรรมเคร่ืองผูกมิตรไมตรี ยึดเหน่ียวจิตใจไว๎ เปน็ เคร่ืองมือสร๎างลกั ษณะนิสัยใหเ๎ ป็นคนทเ่ี ห็นแกปํ ระโยชนส์ ขุ สวํ นรวมมากกวําประโยชน์สขุ สํวนตัว การเสียสละเป็นกิจกรรมสาคัญอยํางหนึ่งในสังคม เริ่มต้ังแตํครอบครัวท่ีเป็นหนํวยเล็ก ๆ ของสังคม ต๎อง เสียสละความสุขสํวนตัว เสียสละทรัพย์สินท่ีหามาได๎ด๎วยความเหนื่อยยากลาบากให๎แกํกัน ทั้งในยามปกติและคราว จาเปน็ ดงั ท่ีเห็นได๎จากการเสียสละ บรจิ าคทรพั ย์ ส่งิ ของเพ่ือชํวยเหลือกนั มักจะมีการรบั บริจาคเพ่ือนาเงินหรือส่ิงของ ไปชํวยเหลือผ๎ูท่ีได๎รับความเสียหายอันเกิดจากภัยพิบัติตําง ๆ เชํน อุทกภัย วาตภัย เป็นต๎น หรือไมํก็มีการรับบริจาค ส่ิงของเพื่อนาไปสร๎างเป็นสาธารณะประโยชน์ให๎แกํสังคมสํวนรวม บุคคลผ๎ูมีน๎าใจเสียสละมีจิตใจโอบอ๎อมอารี เอ้ือเฟ้ือเผ่ือแผํทุกคนในสังคม ชํวยเหลือเทําที่เห็นวําสมควรจะชํวยเหลือได๎ เห็นใครควรแกํการชํวยเหลือก็ชํวยเหลือ ตามกาลังมากบ๎างน๎อยบ๎าง หรือบางครั้งก็ชํวยเหลือด๎วยกาลังกาย กาลังทรัพย์ ซ่ึงบางครั้งก็ด๎วยกาลังสติปัญญา โดย ทุกๆ ครัง้ ที่ชํวยเหลอื มุํงจะปลดเปลอ้ื งความทุกข์ของผู๎อ่ืนด๎วยความเต็มใจ ผ๎ูท่ีฝึกฝนมาดีในเรื่องของการเสียสละ ยํอม สละได๎โดยงําย ไมํต๎องฝืนใจ สามารถท่ีจะทาได๎อยํางสม่าเสมอ ความเอื้อเฟื้อเผ่ือแผํและการเสียสละท่ีเหมาะสม ยํอม ใหผ๎ ลท่ีดีเสมอ กอํ ใหเ๎ กิดความช่นื ชมยินดตี อํ กนั ไมํวาํ จะเป็นผ๎ูให๎หรือผู๎รับ คนท่ีมีน๎าใจเสียสละคิดจะเฉลี่ยแบํงปันลาภ ผลและความสุขของแกํผ๎ูอ่ืน อยูํเสมอน้ัน ใครๆ ก็อยากคบหาสมาคมด๎วย ดังนั้น ผ๎ูที่มองการณ์ไกลควรพยายาม เสียสละแบํงปันวันละนิด เป็นการสร๎างนิสัย อุปนิสัยและอัธยาศัยที่ดีให๎แกํตนเอง ซึ่งอุปกนิสัยนี้จะคํอยๆ ฝังลึกลงใน จติ ใจ กลายเป็นอุปนสิ ยั ทมี่ นั่ คงทาลายได๎โดยยาก สาหรับประชาชนในฐานะเป็นเจ๎าของประเทศ ท่ีมีหน๎าที่ต๎องเสียสละ รัฐได๎กาหนดให๎ประชาชนมีหน๎าที่เสีย ภาษีให๎กับรัฐด๎วยเหตุท่ีประชาชนท่ีมีฐานะทางเศรษฐกิจดีจึงต๎องเสียภาษีให๎กับรัฐด๎วยจานวนเงินมากน๎อยตามท่ีรัฐ กาหนด ซ่ึงบางคนอาจจะเสียภาษีด๎วยจานวนเงินท่ีมาก บางคนอาจจะเสียภาษีเพียงเล็กน๎อย หรือบางคนที่มีรายได๎ น๎อยอาจจะไมํต๎องเสียภาษีแตํอยํางใด การเสียภาษีนับเป็นการเสียสละอยํางหน่ึงของประชาชนภายใต๎การปกครอง ระบอบประชาธิปไตย เงินภาษีดังกลําวจะเป็นเงินท่ีรัฐนาไปพัฒนาประเทศ เชํน สร๎างถนน จัดให๎มีน๎าประปา ไฟฟูา โรงพยาบาล ปรับปรุงสภาพแวดล๎อม เป็นต๎น ซ่ึงส่ิงเหลําน้ีจะเป็นประโยชน์ตํอสังคมโดยสํวนรวม การเสียสละเพื่อ ประโยชน์สํวนรวมเชํนนี้ บางคนต๎องเสียสละมาก บางคนเสียสละน๎อย ตามกฎเกณฑท์ ่ไี ดก๎ าหนดไวใ๎ นสงั คม การใช้สตปิ ญั ญาและเหตุผล การปกครองในระบอบประชาธิปไตย จาเป็นจะต๎องอาศัยความร๎ูความสามารถ ของประชาชนในการชํวยเหลือเก้ือกูลกัน เพ่ือให๎เกิดการพัฒนาเจริญมากย่ิงข้ึนไป ซ่ึงการปกครองในระบบ
121 ประชาธิปไตยจะเจริญหรอื เสื่อมถอยขนึ้ อยูํกบั สตปิ ญั ญาและการใช๎เหตผุ ลของประชาชนเป็นสาคัญ โดยทั่วไปแล๎ว คา วาํ “สติ” กับ “ปญั ญา” น้ัน มกั จะนาไปพูดในความหมายทรี่ วมกนั เป็น “สตปิ ญั ญา” “สติ”ท่ีเราพูดกนั โดยทัว่ ไป หมายถึง การระลึกได๎ การไมพํ ลงั้ เผลอ “ปัญญา”หมายถึง ความรอบร๎ู ปัจจุบันคาวํา“ปัญญา” ยังหมายถึง การรู๎เหตุรู๎ผล ร๎ูดีรู๎ชั่ว ร๎ูถูกร๎ูผิด รู๎ถึงการ ควรไมํควร ร๎ูคุณรโ๎ู ทษ รู๎พนิ ิจพจิ ารณา ร๎จู กั การวินจิ ฉัย ร๎จู กั การจาแนกแยกแยะ เป็นตน๎ การท่ีสังคมเกิดปัญหาความวํุนวายในทุกวันน้ี สาเหตุหนึ่งก็เพราะมนุษย์ขาดสิตย้ังคิด ทาให๎เกิดความ พลั้งเผลอไปสรา๎ งความเดอื ดร๎อนใหก๎ บั ผ๎อู ืน่ เอารัดเอาเปรยี บผ๎ูอน่ื จนเกิดความวุํนวาย นอกจากสติแล๎ว สังคมของการ ปกครองในระบอบประชาธิปไตยยังต๎องการปัญญาของประชาชนในสังคมมาชํวยกันสร๎างสรรค์ประชาธิปไตยอีกด๎วย ปัญญาเป็นสง่ิ จาเป็นสาหรับการปกครองในระบอบประชาธปิ ไตยเป็นอยํางยิง่ เพราะปญั ญาของมนุษย์จะทาให๎เกิดการ พฒั นาสิ่งตาํ งๆ ให๎เจรญิ ก๎าวหน๎ามากมาย มกี ารคิดค๎นระบอบการปกครองและใชป๎ ญั ญาคอํ ยปรับเปล่ียนคํอยพัฒนาให๎ ระบอบการปกครองเหมาะสมตามยุคตามสมัยมาจนถึงปัจจุบัน นอกจากใช๎สติปัญญาแล๎ว ยังจะต๎องใช๎เหตุผลเข๎ามา ชํวยในการตัดสนิ ใจในเรื่องทีจ่ ะนามาใช๎เปน็ หลกั เกณฑก์ าหนดให๎ทกุ คนอยรํู ํวมกนั อยํางมคี วามสุข เหตุผล เป็นเรอ่ื งที่มีความสาคญั ไมนํ ๎อยไปกวําเรื่องสติ ปญั ญา ท้งั สติ ปญั ญาและเหตผุ ล ตํางกเ็ ป็นองค์ประกอบของ กันและกัน น่ันคอื เมอื่ ร๎ูจักใช๎สติ แตํถา๎ ขาดปัญญาแลว๎ สตเิ พียงอยํางเดียวก็ไมํสามารถสร๎างความเจริญให๎กับสงั คมได๎ ในขณะเดียวกนั ถ๎ามีแตํปัญญาแตขํ าดสติ มนุษยก์ ็อาจจะใช๎ปญั ญาไปในทางท่ีเอารัดเอาเปรียบหรอื สรา๎ งความ เดอื ดรอ๎ นแกสํ งั คมได๎ หรอื ถา๎ มที ้ังสตแิ ละปัญญา แตํไมรํ ๎ูจักการไตรํตรองด๎วยเหตุด๎วยผลแลว๎ สตกิ บั ปัญญาก็อาจจะทา ใหเ๎ กดิ การตดั สนิ ใจในเร่ืองตาํ งๆ ไมํวาํ จะเปน็ เรือ่ งชีวติ สังคม การเมือง หรอื เรื่องอืน่ ๆ เกิดความผดิ พลาดไดเ๎ ชํนกัน
122 ใบงาน เรอื่ ง หนา้ ที่พลเมือง เรือ่ ง ความร๎ูเบ้ืองตน๎ เกีย่ วกับกฎหมาย …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. เรอ่ื ง กฎหมายทเ่ี กยี่ วข๎องกบั ตนเองและครอบครัว …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. เรื่อง กฎหมายทเ่ี กย่ี วข๎องกับชมุ ชน …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. เรื่อง กฎหมายอ่นื ๆ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. เรอ่ื ง การปฏิบตั ิตนตามกฎหมายและการรกั ษาสิทธิ เสรีภาพ ของคนในกรอบของกฎหมาย …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
123 แผนการจัดการเรียนรู้ รายวชิ าช่องทางการเข้าส่อู าชีพ ครง้ั ท่ี 12 การจัดทาหนว่ ยเรียนรบู้ รู ณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2565 กศน.ตาบลน้าใส ระดบั ประถมศึกษา ๑. สปั ดาห์ท่ี 12 วันที่ 2 เดือน มิถุนายน พ.ศ. 2565 เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐น. ๒. วิชา ชอ่ งทางการเข้าสู่อาชีพ รหัสวิชา อช1๑๐๐๑ จานวน 2 หนวํ ยกิต 3. มาตรฐานท่ี ๓.๑ มีความรู๎ ความเข๎าใจและเจตคติที่ดีในงานอาชพี มองเห็นชํองทางและตดั สนิ ใจประกอบ อาชีพไดต๎ ามความต๎องการและศักยภาพของตนเอง 4. หนว่ ยการเรยี นร้/ู เรอื่ งชอ่ งทางการประกอบอาชีพ 5. สาระสาคัญ อาชีพต่าง ๆท่อี ยู่ในท้องถน่ิ ประเทศ ภมู ภิ าค มีมากมายหลายอาชีพ แต่ละอาชีพตอ้ งใชค้ วามรคู้ วามสามารถ ทักษะตา่ งกัน 6. เนือ้ หา ๑. ความสาคัญและความจาเป็นในการมองเหน็ ชอ่ งทางการประกอบอาชีพ ๒. ความเป็นไปไดใ้ นการเข้าสู่อาชพี ในชุมชน ๓. การลาดบั อาชีพและเหตผุ ล 7. จุดประสงค์การเรยี นร้/ู ผลการเรยี นรทู้ ี่คาดหวัง (ดูจากผังการออกข๎อสอบ) เม่อื ศึกษาจบแล้ว ผ้เู รียนสามารถ ๑. อธิบายความสาคญั และความจาเปน็ ในการมองเห็นช่องทางการประกอบอาชีพ ๒. ศึกษาอาชีพในชุมชน เพื่อวิเคราะห์ ความเป็นไปได้ ๓. การลาดบั อาชีพ โดยพิจารณา ความเป็นไปได้ 8. การบรู ณาการกับหลกั แนวคิดของเศรษฐกิจพอเพียง (2 เงอ่ื นไข 3 หลกั การ การเชอื่ มโยงสู่ 4 มติ )ิ ความรู้ - นักศกึ ษามีความร๎เู ร่ือง ช่องทางการประกอบอาชพี - รู้จกั วธิ ีในการเลือกประกอบอาชีพ คุณธรรม - ซือ่ สัตย์ สจุ รติ อดทน มคี วามเพียร ใช้สตปิ ัญญาในการประกอบอาชีพ พอประมาณ - ความพอประมาณในการเลือกชอ่ งทางประกอบอาชีพใหเ้ หมาะสมกับทนุ ทรัพย์ แรงงาน วชิ าชีพ อายุ เวลา ความชอบและความสนใจ มเี หตผุ ล -ความมีเหตผุ ลในการวางเปา้ หมายของชีวติ ในการประกอบอาชีพ มีภูมิค้มุ กัน
124 - มีงานทา มรี ายได้ มีเงินออม สามารถใชเ้ วลาว่างใหเ้ กิดประโยชนส์ ูงสดุ วัตถุ - มีทักษะในการเลือกชอํ งทางการประกอบอาชีพได๎อยํางเหมาะสม สังคม - มกี ารอยูํรวํ มกันในชมุ ชน และทางานรํวมกับผูอ๎ ื่นได๎อยํางมคี วามสุข - สามารถนาความร๎ูเรื่องชอํ งทางการประกอบอาชีพ ไปใช๎ในการดาเนนิ ชวี ิต สิ่งแวดล้อม - ประกอบอาชีพท่ีสุจริต ไมํเบียดเบียนผู๎อนื่ ทาให๎ชุมชนนาํ อยํู วฒั นธรรม - การอยํูรวํ มกนั ในสงั คม ไมํเบียดเบียนผ๎ูอ่ืน 9. กระบวนการจดั การเรียนรู้และกิจกรรมการเรยี นรู้ ข้ันท่ี ๑ กาหนดสภาพปัญหาการเรียนรู้ (O : Orientation) ๑. ครูอธิบายความสาคญั และความจาเปน็ ในการประกอบอาชีพ ในการทางานอาชพี ของตนเองได้ ๒. ให้นกั ศึกษาทาแบบทดสอบก่อนเรยี น ข้ันท่ี ๒ แสวงหาข้อมลู และจัดการเรียนรู้ (N : New ways of learning) ๑.ครู อธบิ ายความสาคัญและความจาเป็นในการมองเหน็ ช่องทางการประกอบอาชีพ ศึกษาอาชีพใน ชมุ ชน เพือ่ วเิ คราะห์ ความเป็นไปได้ การลาดับอาชีพ โดยพจิ ารณา ความเป็นไปได้ ๒.ทาแบบทดสอบหลงั การพบกลมุ่ ข้ันที่ ๓ การปฏบิ ัตแิ ละการนาไปใช้ (I : Implementation) ครสู รปุ ความสาคญั และความจาเปน็ ในการประกอบอาชีพ ลักษณะช่องทางการประกอบอาชีพ และ อาชีพในชมุ ชน สงั คม ประเทศ ขั้นท่ี ๔ การประเมินผลการเรียนรู้ (E : Evaluation) ผู๎เรียนสามารถนาความรู๎ และประสบการณ์ในการประกอบอาชพี ท่ผี เ๎ู รยี นสนใจมาประยุกตใ์ ช๎ได๎ ใหน้ ักศึกษาทาใบงาน ช่องทางการประกอบอาชีพ 10. สอ่ื /แหล่งเรยี นรู้ - หนังสือแบบเรียน -ใบความร๎ู - ใบงาน - สือ่ อินเตอร์เน็ต ๑1. การวดั และประเมินผล 11.1 วธิ กี ารวดั และประเมนิ ผล - แบบประเมนิ ผลการสังเกตพฤติกรรมการทางานรํวมกบั ผอู๎ น่ื ของนกั ศึกษารายบคุ คล - ใบงาน 11.2 เคร่อื งมอื วดั และประเมินผล.
125 - ประเมนิ ผลการสงั เกตพฤตกิ รรมการทางานรวํ มกับผ๎ูอนื่ ของนักศกึ ษารายบคุ คล - ผลจากการตรวจใบงาน 11.3 เกณฑ์การวดั และการประเมินผล - แบบประเมินผลการสังเกตพฤติกรรมการทางานรวํ มกบั ผ๎อู ืน่ ของนกั ศึกษารายบคุ คล ระดบั ดี พอใช๎ และควรปรบั ปรุง - ใบงานคะแนนเตม็ 10 คะแนน กิจกรรมเสนอแนะ ............................................................................................................................. ............................................................ ......................................................................................................................................................................................... …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชื่อ………………………………………ครผู ส๎ู อน (นายประมวล เจรญิ สุข) ครู กศน.ตาบล ขอ้ เสนอแนะของผู้บรหิ าร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ลงชือ่ ……………………………………………ผอ๎ู นมุ ตั ิแผน (นางปทั มาภรณ์ ศรีเนตร) ผ๎ูอานวยการ กศน.อาเภอจตุรพักตรพิมาน
126 บันทึกหลังการจัดการเรียนรู้ การจัดทาหน่วยเรยี นรบู้ ูรณาการหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง กศน.ตาบลนา้ ใส ครั้งที่ 12 วันที่ 2 เดือน สงิ หาคม พ.ศ. 2565 ครูผู๎สอน นายประมวล เจริญสุข ระดบั ประถมศึกษา เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐ น. สาระการประกอบอาชีพ รายวชิ าชํองทางการเขา๎ สอํู าชีพ รหัสวชิ า อช1๑๐๐๑ จานวนผู๎เรยี นทั้งหมด ............... คนเข๎าเรยี น…………………คน ไมเํ ข๎าเรยี น……………………….คน ๑. ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การประเมินโดยใช๎ แบบทดสอบกํอนเรยี น - หลังเรียน พบวาํ คะแนนการทดสอบหลังเรียน มากกวํากอํ นเรยี นจานวน ........ คนคดิ เปน็ รอ๎ ยละ............ คะแนนการทดสอบหลงั เรยี น นอ๎ ยกวาํ กํอนเรยี นจานวน ......... คนคดิ เปน็ ร๎อยละ............ ๒. เน้อื หา/สาระ ......................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ............................ .............................................................................................................................. ........................... ๓. กจิ กรรมการเรียนการสอน ......................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ............................................... ..................................................................................................................................... . ๔. ปญั หา/อปุ สรรค การเรยี นการสอน ................................................................................................. ........................................................ ............................................................................................................................. ............................ ......................................................................................................................................................... ๕. แนวทางการแก้ปัญหา ............................................................................................................................. ............................ ............................................................................................................................. ............................ ลงช่ือ....................................................... (นายประมวล เจรญิ สขุ ) ครูผส๎ู อน วันท.ี่ ............../.................../............... ความคิดเหน็ /ข้อเสนอแนะของผู้บริหาร ............................................................................................................................. ............................................................ ................................................................................................................................................... ลงชือ่ .................................................................. (นางปทั มาภรณ์ ศรเี นตร) ผ๎อู านวยการ กศน.อาเภอจตรุ พกั ตรพมิ าน
127 ใบความรู้ เรอื่ ง ความสาคญั และความจาเป็นในการประกอบอาชีพ อาชพี หมายถึง การทากจิ กรรม การทางาน การประกอบการท่ไี มเํ ปน็ โทษแกสํ ังคม และมีรายไดต๎ อบแทน โดย อาศัยแรงงาน ความรู๎ ทักษะ อปุ กรณ์ เครอ่ื งมอื วิธีการ แตกตํางกนั ไป กลมุํ อาชีพตามลักษณะการประกอบอาชีพ มี ๒ลักษณะ คือ อาชีพอสิ ระ และอาชพี รบั จ๎าง ๑. อาชีพอิสระ หมายถงึ อาชีพทกุ ประเภททผ่ี ๎ปู ระกอบการดาเนินการด๎วยตนเอง แตเํ พียงผูเ๎ ดยี วหรือเปน็ กลุํม อาชีพอิสระเปน็ อาชีพที่ไมํต๎องใชค๎ นจานวนมาก แตํหากมีความจาเป็นอาจมีการจา๎ งคนอ่ืนมาชวํ ยงานได๎ เจา๎ ของ กจิ การเป็นผู๎ลงทุน และจาหนํายเอง คิดและตดั สนิ ใจดว๎ ยตนเองทุกเร่อื ง ซ่ึงชวํ ยให๎การพัฒนางานอาชพี เปน็ ไปอยําง รวดเร็วทนั ตํอเหตกุ ารณ์ การประกอบอาชีพอสิ ระ เชนํ ขายอาหาร ขายของชา ซํอมรถจักรยานยนต์ ฯลฯ ในการ ประกอบอาชีพอิสระ ผ๎ปู ระกอบการจะตอ๎ งมีความร๎ู ความสามารถในเรื่อง การบรหิ าร การจัดการ เชํน การตลาด ทาเล ที่ตั้ง เงินทนุ การตรวจสอบ และประเมินผล เป็นตน๎ นอกจากนย้ี ังตอ๎ งมีความอดทนตํองานหนัก ไมถํ ๎อถอยตอํ ปญั หาอุปสรรคท่ีเกดิ ขึ้น มคี วามคิดรเิ ริม่ สรา๎ งสรรค์ และมองเห็นภาพการดาเนินงาน ของตนเองได๎ทะลุปรุโปรํง ๒. อาชีพรับจา้ ง หมายถึง อาชีพที่มีผ๎ูอืน่ เป็นเจ๎าของกิจการ โดยตวั เองเปน็ ผ๎ูรบั จา๎ ง ทางานให๎ และได๎รบั คาํ ตอบแทน เป็นคําจ๎าง หรอื เงนิ เดือน อาชีพรบั จ๎างประกอบด๎วย บุคคล ๒ฝุาย ซง่ึ ได๎ตกลงวําจา๎ งกนั บุคคลฝุายแรก เรยี กวาํ \"นายจา๎ ง\" หรอื ผูว๎ าํ จ๎าง บุคคลฝุายหลังเรียกวํา \"ลูกจ๎าง\" หรอื ผ๎ูรบั จา๎ ง มคี ําตอบแทนท่ผี ว๎ู าํ จา๎ งจะต๎องจาํ ย ให๎แกํ ผูร๎ บั จ๎างเรยี กวํา \"คําจ๎าง\" การประกอบอาชีพรบั จา๎ ง โดยท่วั ไปมลี ักษณะ เปน็ การรับจา๎ งทางานในสถาน ประกอบการหรือโรงงาน เปน็ การรับจ๎างในลกั ษณะการขายแรงงาน โดยได๎รบั คําตอบ แทนเปน็ เงนิ เดือน หรือ คําตอบแทนท่ีคดิ ตามชิ้นงานทีท่ าได๎ อตั ราคําจ๎างขึน้ อยกํู ับการกาหนด ของเจา๎ ของสถานประกอบการ หรือนายจา๎ ง การทางานผรู๎ บั จ๎างจะทาอยภํู ายในโรงงาน ตามเวลาทีน่ ายจา๎ งกาหนด การประกอบอาชีพรับจา๎ งในลักษณะนีม้ ีขอ๎ ดี คือ ไมํต๎องเสีย่ ง กับการลงทนุ เพราะลูกจ๎างจะใชเ๎ คร่ืองมอื อปุ กรณ์ที่นายจา๎ งจดั ไวใ๎ หท๎ างานตามทีน่ ายจา๎ ง กาหนด แตมํ ีข๎อเสีย คือ มักจะเป็นงานที่ทาซา้ ๆ เหมือนกนั ทุกวัน และต๎องปฏิบัตติ ามกฎ ระเบียบของนายจ๎าง ในการ ประกอบอาชีพรับจ๎างนั้น มปี ัจจยั หลายอยํางท่เี ออื้ อานวยให๎ผูป๎ ระกอบอาชีพ รบั จา๎ งมคี วามเจริญก๎าวหนา๎ ได๎ เชนํ ความร๎ู ความชานาญในงาน มนี ิสัยการทางานท่ดี ี มีความกระตอื รือร๎น มานะ อดทน ในการทางาน ยอมรับกฎเกณฑ์ และเชอื่ ฟังคาสงั่ มีความซื่อสัตย์ สจุ ริต ความขยนั หม่ันเพยี ร รบั ผดิ ชอบ มีมนษุ ย์สมั พนั ธ์ท่ีดี รวมท้งั สขุ ภาพอนามยั ท่ี ดี อาชพี ตําง ๆ ในโลกมมี ากมาย หลากหลายอาชีพ ซง่ึ บุคคลสามารถจะเลือกประกอบ อาชพี ไดต๎ ามความถนดั ความ ตอ๎ งการ ความชอบ และความสนใจ ไมวํ ําจะเป็นอาชีพ ประเภทใด จะเปน็ อาชีพอิสระ หรอื อาชีพรับจา๎ ง ถา๎ หากเป็น อาชีพทสี่ จุ ริตยํอมจะทาให๎ เกิดรายได๎มาสํูตนเอง และครอบครวั ถา๎ บคุ คลผู๎นัน้ มีความมุํงมั่น ขยัน อดทน ตลอดจน มี ความร๎ู ข๎อมูลเกี่ยวกบั อาชีพตําง ๆ จะทาให๎มองเห็นโอกาสในการเขา๎ สํูอาชีพ และพฒั นา อาชีพใหมํ ๆ ให๎เกิดขน้ึ อยูํ เสมอ ความหมายและความสาคัญของการประกอบอาชีพ การประกอบอาชีพเป็นทม่ี าของรายได๎ เพื่อนาไปใช๎จํายในการดารงชวี ติ ซ่งึ จาเป็นตอ๎ งอาศยั ปัจจยั สี่ ไดแ๎ กํ อาหาร ทอี่ ยํูอาศยั เคร่ืองนํงุ หํม และยารกั ษาโรค ในอดตี สิ่งของตํางๆเหลํานเี้ ปน็ หน๎าท่ีของพํอแมํ เปน็ ผจู๎ ัดหาใหแ๎ กํสมาชกิ ด๎วยการผลิตขึน้ ใชเ๎ องในครอบครวั โดยไมํจาเปน็ ต๎องใชเ๎ งนิ ซื้อหา ปจั จุบันการดารงชีวิตใน สังคมไดเ๎ ปลยี่ นแปลงไป ประชาชนมกี ารศกึ ษามกขึ้น ความรู๎ทีไ่ ดร๎ บั จะเป็นพ้นื ฐานในการประกอบอาชีพ เพื่อใหม๎ ี รายไดม๎ าซื้อปจั จัยส่แี ละสงิ่ ของอืน่ ๆในการดารงชีวิตและสร๎างมาตรฐานทดี่ ีให๎แกตํ นเอง ครอบครัว และสงั คม อาชพี มีอยํมู ากมาย ควรพิจารณาเลอื กประกอบอาชีพทมี่ ีความถนัดและความสนใจ สุจริต มีความมน่ั คงในชีวิตและมี
128 รายได๎เพียงพอความจาเปน็ ของการประกอบอาชีพมีดังน้ี ๑. เพ่อื ตนเอง เป็นการประกอบอาชีพเพ่ือให๎ไดเ๎ งนิ หรอื รายไดม๎ าจบั จํายใชส๎ อยสาหรับการดาเนนิ ชีวิต และตอบสนอง ความตอ๎ งการของตนเอง เชํน ซอ้ื เคร่ืองซักผ๎า เครอ่ื งตดั หญ๎า เตาไมโครเวฟ รถยนต์ ฯลฯ ซื้อสง่ิ สรา๎ งความบนั เทิงและการพักผํอน เชนํ วทิ ยุ โทรทศั น์ วดี ิทัศน์ตลอดจนซ้ือสินค๎า ฟุมเฟือย เชํน เครื่องประดบั ราคาแพง น้าหอม เครื่องสาอาง เปน็ ต๎น ๒. เพอี่ ครอบครัว ครอบครัวเปน็ หนวํ ยสังคมที่เลก็ ท่ีสุด สมาชกิ ของครอบครัวประกอบดว๎ ย พํอ แมํ ลูก ซง่ึ มภี าระหนา๎ ที่ที่ จะต๎องปฏิบตั ิตอํ กนั เชํน พํอแมํมหี นา๎ ท่เี ลี้ยงดูลูกและให๎การศึกษา เพือ่ ประกอบอาชีพในอนาคต ลกู มีหนา๎ ทีศ่ ึกษา เลาํ เรยี นจนสาเร็จการศกึ ษา แลว๎ แสวงหาอาชพี เพ่ือหารายได๎มาเลย้ี งดตู นเอง พอํ แมํ และทกุ คนในครอบครัว ให๎ มีมาตรฐานความเป็นอยูทํ ี่ดีข้ึน ๓. เพ่อื ชุมชน ครอบครวั เปน็ สวํ นหนง่ึ ของชมุ ชนหรือสังคม หากสมาชิกแตลํ ะครอบครวั ประกอบอาชีพท่ีสดุ จรติ ถูกต๎องตาม กฎหมาย และมีอาชีพทมี่ น่ั คง รายได๎ดี และมโี อกาสก๎าวหน๎าภายในชมุ ชน ทาให๎ชุมชนเข๎มแข็ง เศรษฐกิจของ ชมุ ชนเจรญิ รงํุ เรอื งสามารถพงึ่ พาตนเองได๎ ๔. เพ่ือประเทศชาติ เมอ่ื ประชาชนในชาติมีการประกอบอาชีพ มรี ายไดม๎ าเลีย้ งตนเองและครอบครัว ทาให๎อตั ราการวาํ งงานลด น๎อยลง ยอํ มเป็นการแกไ๎ ขปัญหาสังคมให๎กบั รัฐบาล สภาพสังคมมคี วามเป็นอยํูทด่ี ี มกี ารใช๎ทรัพยากรภายใน ชมุ ชน รายได๎เกิดการหมนุ เวียน ทาให๎เศรษฐกจิ โดยรวมของประเทศก๎าวหน๎า ผลจากการท่ีประชาชนประกอบ อาชพี มงี านทา มรี ายได๎ ชมุ ชนมีความเข๎าแข็งและชาระภาษีให๎แกํรฐั เพื่อรฐั จะได๎นาไปพัฒนาประเทศในด๎าน ตาํ งๆ เชํน การสร๎างถนน สะพาน เข่ือน โรงไฟฟาู เปน็ ตน๎ การประกอบอาชีพของประชาชน ในชุมชนและใน ประเทศ จึงเป็นการชํวยพฒั นาประเทศชาติได๎อีกทางหน่ึง จากความจาเป็นดังกลําว ทาใหท๎ กุ คนในชาติต๎องประกอบอาชพี เพ่อื ให๎มรี ายไดเ๎ ลย้ี งตนเองและ ครอบครัว ซึ่งจะนาพาความสขุ มาสชํู มุ ชนหรือสงั คมโดยรวม และกํอให๎เกดิ ผลดีตํอประเทศชาติในด๎านการสรา๎ ง ความเจริญและความมนั่ คงทางเศรษฐกิจ การแก๎ไขปัญหาทางสงั คมและการพฒั นาประเทศให๎ก๎าวไกล สามารถ แขํงขันในระดับมาตรฐานสากลได๎ สรปุ อาชีพ หมายถึง การประกอบการท่มี รี ายไดต๎ อบแทนโดยใช๎แรงงาน ความรู๎ ทักษะอปุ กรณ์ เครอื่ งมือ สถานท่ี วธิ กี ารต๎องเปน็ อาชพี สุจรติ และไมํมีผลเสียตํอชุมชนสังคมและประเทศชาติมนุษย์เราจาเปน็ ตอ๎ งมีปจั จยั ตํางๆ เพ่ือ ตอ๎ งการดารงชีวิต เชนํ มีที่อยูํอาศยั มีอาหารรบั ประทาน มีเครือ่ งนงํุ หํม มียารกั ษาโรคตาํ งๆ ซ่งึ ท้ัง๔อยํางน้ีจะเปน็ พนื้ ฐานของการดารงชีวิตทว่ั ไป แตบํ างคนก็อาจมีความจาเป็นอนื่ ๆ อีก เชนํ รถยนต์ โทรศัพท์มอื ถือ ข้นึ อยูํกบั ความ จาเป็นในการประกอบอาชพี หรอื ความจาเปน็ ตํอการดารงชวี ติ ประจาวัน การจะมปี จั จัยตํางๆเหลาํ นี้ ขึน้ อยูํกับฐานะ ทางการเงนิ ซ่ึงก็คือความสามารถในการหารายได๎ของแตํละบคุ คล
129 ใบงาน เร่อื ง ช่องทางการประกอบอาชพี ให้ผเู้ รยี นสรุปความรู้ท่ไี ด้เรยี น ตอบคาถามในหัวข้อตอ่ ไปน้ี 1. เพราะเหตุใดคนทกุ คนจะต้องมอี าชพี ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 2. ชมุ ชนจะได้ประโยชนอ์ ย่างไรกับการที่คนในชุมชน มรี ายได้จากการประกอบอาชพี ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. ประเทศจะได้ประโยชนอ์ ะไรจากการท่ีคนในประเทศ มรี ายได้จากการประกอบอาชีพ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 4. เพราะอะไรจงึ ต้องมีความรู้ ในเรื่องอาชีพในชมุ ชน ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
130 แผนการจดั การเรยี นรู้ รายวิชาช่องทางการเขา้ สูอ่ าชีพ ครัง้ ที่ 13 การจัดทาหนว่ ยเรยี นรู้บูรณาการหลักปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2565 กศน.ตาบลน้าใส ระดบั ประถมศึกษา ๑. สปั ดาห์ที่ 13 วนั ที่ 9 เดอื น สิงหาคม พ.ศ. 2565 เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐น. ๒. วิชาชอ่ งทางการเข้าสอู่ าชีพ รหสั วิชา อช1๑๐๐๑ จานวน 2 หนวํ ยกติ 3. มาตรฐานท่ี ๓.๑ มีความร๎ู ความเขา๎ ใจและเจตคตทิ ี่ดีในงานอาชีพ มองเหน็ ชอํ งทางและตัดสนิ ใจประกอบ อาชีพได๎ตามความต๎องการและศกั ยภาพของตนเอง 4. หน่วยการเรยี นร/ู้ เรอ่ื งการงานอาชพี 5. สาระสาคญั การงานอาชีพแบํงกลํมุ ไดด๎ งั น้ี อาชพี เกษตรกรรม งานอาชีพด๎านอุตสาหกรรม งานอาชีพด๎านพานิชยกรรม งานอาชีพด๎านสรา๎ งสรรค์ และอาชีพยอํ ย ๆ อกี มากมาย ดังน้นั ควรศกึ ษาวเิ คราะห์ ขอบขาํ ยอาชีพกระบวนการทางาน ใหเ๎ ขา๎ ใจ 6. เนือ้ หา ๑. ความสาคญั และความจาเป็นในการประกอบอาชีพ ๒. อาชพี ในชุมชน ๓. การประกอบอาชีพในภูมภิ าค ห๎าทวปี 7. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู/้ ผลการเรยี นร้ทู ่คี าดหวัง (ดูจากผงั การออกข๎อสอบ)เมื่อศกึ ษาจบแล๎ว ผู๎เรียนสามารถ ๑. อธิบายความสาคญั และความจาเปน็ ในการประกอบอาชีพ ๒. อธิบายวิเคราะหล์ ักษณะขอบขาํ ยกระบวนการผลิตงานอาชพี ในชมุ ชน สงั คม ประเทศได๎ ๓. อธิบายการจดั งานอาชีพในชมุ ชนสังคม ประเทศและภูมิภาค หา๎ ทวปี ได๎ ๔. อธิบายคุณธรรมจริยธรรมในการทางาน ดา๎ นอาชพี ได๎ ๕. อธิบายการอนรุ ักษพ์ ลงั งานและสงิ่ แวดล๎อม ในการทางานอาชพี ได๎ 8. การบรู ณาการกับหลกั แนวคดิ ของเศรษฐกิจพอเพียง (2 เงอื่ นไข 3 หลกั การ การเช่อื มโยงสู่ 4 มติ )ิ ความรู้ - นักศึกษามคี วามรู๎เร่ือง ความสาคัญและความจาเป็นในการประกอบอาชีพ คณุ ธรรม - ซอื่ สัตย์ สุจริต อดทน มีความเพยี ร ใชส๎ ตปิ ัญญาในการประกอบอาชีพ พอประมาณ - ความพอประมาณในการประกอบอาชีพใหเ๎ หมาะสมกบั ทุนทรัพย์ แรงงาน วชิ าชพี อายุ วยั ทาเลท่ตี ้งั เวลาความชอบและความสนใจ มีเหตุผล - ความมีเหตผุ ลในการวางเปูาหมายของชวี ิตในการประกอบอาชีพ มีภมู ิคุม้ กัน - มีงานทา มรี ายได๎ มีเงินออม สามารถใชเ๎ วลาวํางให๎เกิดประโยชน์สงู สดุ วัตถุ
131 - รจ๎ู ักเลอื กประกอบอาชีพได๎อยาํ งเหมาะสมและคุ๎มคาํ - มีทักษะในการเลอื กประกอบอาชพี สงั คม - มีทักษะการอยรํู ํวมกันในกลํุม และทางานรํวมกับผ๎ูอน่ื ได๎อยาํ งมีความสุข - สามารถนาความรเ๎ู รื่องการประกอบอาชีพ ไปใช๎ในการดาเนินชวี ิต สิง่ แวดล้อม -รจ๎ู กั ประกอบอาชีพท่สี ุจริต ไมํเบียดเบียนผู๎อื่น ทาให๎ชุมชนนาํ อยูํ วฒั นธรรม - การอยรํู วํ มกันในสังคม ไมเํ บียดเบยี นผูอ๎ น่ื 9. กระบวนการจดั การเรยี นรูแ้ ละกจิ กรรมการเรยี นรู้ ข้ันที่ ๑ กาหนดสภาพปญั หาการเรยี นรู้ (O : Orientation) ๑. ครูอธิบายความสาคญั และความจาเป็นในการประกอบอาชพี ในการทางานอาชพี ของตนเองได๎ ๒. ให๎นักศึกษาทาแบบทดสอบกอํ นเรียน ขัน้ ท่ี ๒ แสวงหาข้อมลู และจัดการเรียนรู้ (N : New ways of learning) ๑. ครูอธบิ ายความสาคญั และความจาเปน็ ในการประกอบอาชีพ ลักษณะขอบขํายกระบวนการผลติ งานอาชพี ในชมุ ชน สังคม ประเทศ การจดั งานอาชีพในชุมชนสงั คม ประเทศและภูมภิ าค ห๎าทวปี คุณธรรมจรยิ ธรรม ในการทางาน ดา๎ นอาชีพได๎ อธิบายการอนุรกั ษพ์ ลังงานและสิ่งแวดลอ๎ ม ในการทางานอาชีพได๎ ๒. ทาแบบทดสอบหลังการพบกลมุํ ขน้ั ที่ ๓ การปฏิบัติและการนาไปใช้ (I : Implementation) ครูสรุปความสาคัญและความจาเป็นในการประกอบอาชีพ ลักษณะขอบขาํ ยกระบวนการผลิตงาน อาชีพในชมุ ชน สังคม ประเทศ ขน้ั ท่ี ๔ การประเมนิ ผลการเรียนรู้ (E : Evaluation) ผเู๎ รียนสามารถนาความร๎ู และประสบการณ์ในการประกอบอาชพี ทีผ่ ๎เู รียนสนใจมาประยุกต์ใช๎ได๎ ให๎นักศึกษาทาใบงาน การงานอาชีพ 10. สือ่ /แหล่งเรียนรู้ - หนังสอื แบบเรยี น - ใบความร๎ู - ใบงาน - ส่อื อินเตอรเ์ น็ต 11. การวดั และประเมินผล 11.1 วิธีการวัดและประเมินผล - แบบประเมนิ ผลการสงั เกตพฤติกรรมการทางานรวํ มกบั ผู๎อ่ืนของนกั ศึกษารายบุคคล - ใบงาน 11.2 เครื่องมอื วดั และประเมินผล. - ประเมนิ ผลการสงั เกตพฤติกรรมการทางานรวํ มกบั ผู๎อ่นื ของนักศกึ ษารายบุคคล - ผลจากการตรวจใบงาน 11.3 เกณฑ์การวดั และการประเมนิ ผล
132 - แบบประเมนิ ผลการสงั เกตพฤติกรรมการทางานรวํ มกบั ผอู๎ ่ืนของนักศึกษารายบคุ คล ระดบั ดี พอใช๎ และควรปรับปรุง - ใบงานคะแนนเต็ม 10 คะแนน กจิ กรรมเสนอแนะ ............................................................................................................................. ............................................................ ......................................................................................................................................................................................... ................................................................................................... ...................................................................................... ........................................................................................................................................................................................ ลงชื่อ……………………………………ครผู ู๎สอน (นายประมวล เจรญิ สุข) ครู กศน.ตาบล ขอ้ เสนอแนะของผู้บริหาร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ............................................................................................................................. ............................................................ ......................................................................................................................................................................................... ลงชือ่ ……………………………………………ผอ๎ู นุมตั ิแผน (นางปทั มาภรณ์ ศรีเนตร) ผูอ๎ านวยการ กศน.อาเภอจตรุ พกั ตรพิมาน
133 บนั ทึกหลังการจัดการเรียนรู้ การจดั ทาหนว่ ยเรียนรู้บรู ณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง กศน.ตาบลนา้ ใส คร้ังที่ 13 วันที่ 9 เดอื น สิงหาคม พ.ศ. 2565 ครผู ๎ูสอน นายประมวล เจรญิ สขุ ระดับ ประถมศึกษา เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐ น. สาระการประกอบอาชพี รายวิชาชํองทางการเข๎าสอูํ าชีพ รหสั วชิ า อช1๑๐๐๑ จานวนผ๎เู รียนท้งั หมด ............... คนเข๎าเรียน…………………คน ไมํเขา๎ เรยี น……………………….คน ๑. ผลการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้การประเมนิ โดยใช๎ แบบทดสอบกํอนเรยี น - หลังเรียน พบวํา คะแนนการทดสอบหลงั เรียน มากกวํากอํ นเรยี นจานวน ........ คนคิดเปน็ ร๎อยละ............ คะแนนการทดสอบหลังเรยี น นอ๎ ยกวํากํอนเรยี นจานวน ......... คนคดิ เปน็ รอ๎ ยละ............ ๒. เนอ้ื หา/สาระ .................................................................................................. ....................................................... ............................................................................................................................. ............................ ......................................................................................................................................................... ๓. กจิ กรรมการเรยี นการสอน ........................................................................................................................... .............................. ............................................................................................................................. ............................................... ....................................................................................................................................................... ๔. ปญั หา/อปุ สรรค การเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ............................ ............................................................................................................................. ............................ ......................................................................................................................................................... ๕. แนวทางการแก้ปัญหา ............................................................................................................................. ............................ ............................................................................................................................. ............................ ลงชือ่ ....................................................... (นายประมวล เจรญิ สขุ ) ครูผ๎ูสอน วนั ท่.ี ............../.................../............... ความคดิ เหน็ /ข้อเสนอแนะของผ้บู ริหาร ............................................................................................................................. ............................................................ ............................................................................................................................................ .............................. ลงชอื่ .................................................................. (นางปัทมาภรณ์ ศรีเนตร) ผ๎ูอานวยการ กศน.อาเภอจตุรพักตรพิมาน
134 ใบความรู้ เรอื่ ง การงานอาชีพ เรื่อง อาชีพในชมุ ชน การเปล่ียนแปลงทางดา๎ นสังคมและสงิ่ แวดล๎อมความเจริญก๎าวหนา๎ ทางด๎านเทคโนโลยีมีผลตอํ ชีวติ ความ เป็นอยํูและโดยเฉพาะการประกอบอาชีพของคนในหมํบู ๎านได๎แกํการเกิดอาชีพใหมํหรือการอนุรักษ๑อาชพี เดมิ ให๎อยูํใน ทอ๎ งถิน่ ดังนี้ ๑. การสรา๎ งอาชพี จากชํองวาํ งระหวํางอาชีพโดยอาศยั ชํองวาํ งระหวาํ งอาชีพ๒ อาชพี เชํนอาชีพขยายลาไม๎ไผํ โดยซ้อื จากแหลงํ ปลูกไปขายให๎กับแหลงํ ทาเคร่อื งจักสาน ๒. การสรา๎ งอาชีพจากผลของการประกอบอาชพี โดยอาศยั ผลพลอยได๎จากอาชพี เดมิ เชนํ ทาภาชนะใสขํ อง จากทางมะพรา๎ วจากต๎นมะพร๎าวที่ปลกู เป็นอาชีพอยูแํ ลว๎ ๓. การสร๎างอาชพี จากทรพั ยากรทอ๎ งถ่นิ เป็นการสรา๎ งอาชีพใหมโํ ดยการนาทรัพยากรท่ีมีอยํใู นท๎องถน่ิ มาใช๎ให๎ เปน็ ประโยชนเ๑ ชํนทาอฐิ จากดินเหนยี วทม่ี ีอยูใํ นทอ๎ งถนิ่ ๔. การสรา๎ งอาชพี จากความต๎องการของตลาดเปน็ การสรา๎ งอาชพี ใหมโํ ดยอาศยั ข๎อมูลทางการตลาดเชํนเลีย้ ง กบเพราะตลาดมีความต๎องการมากหรือปลูกผกั ปลอดสารพิษ ๕. การสร๎างอาชีพท่ีขาดแคลนในทอ๎ งถ่ินเป็นการสร๎างอาชีพใหมโํ ดยอาศยั ข๎อมูลในทอ๎ งถ่นิ เชํนอาชพี รบั ซํอม มอเตอร๑ไซคเ๑ กดิ ขนึ้ เพราะชาํ งในหมบํู ๎านขาดแคลน ๖. ประกอบอาชพี ตามบรรพบรุ ุษพํอแมํปูุยาํ ตายายทาอาชีพอะไรรุํนลกู รํุนหลานกจ็ ะดาเนินการตํอเชํนอาชีพ ขายกว๐ ยเตย๋ี วถ๎ามีช่ือเสยี งก็จะขายจนกระทั่งรุํนลกู รํุนหลาน ๗. ประกอบอาชพี ตามสภาพภูมิประเทศซง่ึ ในประเทศไทยประกอบดว๎ ยสภาพพืน้ ที่ท่ีเป็นภเู ขาท่ีราบลมํุ ที่ดอน ดังนั้นการเพาะปลูกขึ้นอยํกู บั สภาพพนื้ ทด่ี ๎วย เชํนทีร่ าบลุํมสามารถทานาได๎อยใูํ กล๎ทะเลประกอบอาชีพด๎านประมง หรือบางทาเล สามารถจัดเปน็ แหลงํ ทํองเทย่ี วได๎ ๘. ประกอบอาชพี ตามนโยบายของรฐั บาลหรอื ของผปู๎ ระกอบการเองซง่ึ ในพน้ื ท่ีไมเํ คยทามากํอนเชนํ นา ยางพาราไปปลูกทางภาคอีสานแตํเดมิ ยางพาราจะปลกู กันทางภาคใต๎เป็นสํวนใหญํอาชีพในโลกนม้ี หี ลากหลายและ คนเราต๎องมีอาชีพเพ่ือให๎มีรายไดเ๎ ลีย้ งตนเองครอบครวั การมอี าชีพของตนเองต๎องอาศยั ปัจจยั หลายอยาํ งเชํนความรู๎ ความสามารถเงนิ ทใ่ี ช๎ในการลงทนุ มสี ถานท่ีมีตลาดรองรับอาชพี เหลํานี้ได๎แกํงานบ๎านงานเกษตรงานประดิษฐแ๑ ละงาน ธรุ กิจ งานบ้าน เปน็ อาชพี ที่เกี่ยวกับงานบา๎ นเชํนผา๎ และเครอ่ื งแตงํ กายอาหารและโภชนาการผา๎ และเครื่องแตํงกายงานผ๎า และเคร่ืองแตงํ กายสงิ่ สาคัญคือผา๎ สาหรบั ใช๎เป็นวสั ดุทีส่ าคัญในการนาผา๎ มาทาเครือ่ งนุงํ หมํ แล๎วยังมปี ระโยชนใ๑ ช๎สอย
135 อยาํ งอื่นอีกเชํนผา๎ ปูโตะ๏ หมอนองิ ท่นี อนผา๎ มาํ นดังนนั้ จงึ ควรมคี วามร๎คู วามเข๎าใจเกย่ี วกับผา๎ นอกจากน้อี าจจะมีงาน บรกิ ารท่ีเกีย่ วข๎องตํางๆเชนํ งานซักรดี งานรับปะชนุ เสอ้ื ผา๎ ผ๎าท่ีนิยมเลือกใช๎ชนดิ ของผ๎าท่ีเรารจู๎ ักกนั แพรํหลายได๎แกํผา๎ ฝาู ยผ๎าลนิ นิ ผา๎ ไหมผา๎ ขนสัตวแ๑ ละผา๎ ที่ทาจากเสน๎ ใยสงั เคราะห๑ อาหารและโภชนาการ ความหมายของอาหาร อาหารหมายถงึ ส่ิงที่คนรับประทานหรือกนิ เข๎าไปแลว๎ มผี ลทาให๎รํางกายเจรญิ เตบิ โตแข็งแรงและทาให๎รํางกาย ดาเนนิ ชีวิตอยํไู ดซ๎ ึ่งอาหารนนั้ รวมไปถึงนา้ ด๎วย ความสาคัญของอาหาร ๑. ทาใหร้ ่างกายมีการเจริญเติบโตเป็นสงิ่ ทีส่ าคญั สาหรับการเจรญิ เตบิ โตของเด็กหากรบั ประทานอาหารไมํ เพียงพอกบั ความต๎องการของรํางกายอาจทาให๎เกดิ โรคตํางๆได๎และมีสภาพรํางกายไมสํ มบูรณ๑ ๒. ทาให้ร่างกายมภี ูมิตา้ นทานโรคเม่ือได๎รบั อาหารท่ีเหมาะสมตามหลักโภชนาการแลว๎ รํางกายสามารถที่จะ ตํอสก๎ู บั เช้อื โรคตํางๆได๎ ๓. มีอายุยืน เมื่อรับประทานอาหารครบถ๎วนรํางกายแข็งแรงทาให๎สุขภาพดแี ละมีผลทาใหอ๎ ายุยืนยาว อาหารหลกั ๕หมู่ หมู่ท๑่ี ไดแ๎ กํอาหารประเภทเน้อื สตั วต๑ าํ งๆไขปํ ลานมถ่ัวเมล็ดแห๎งเปน็ แหลงํ ของสารอาหารประเภทโปรตนี หมู่ท๒ี่ ได๎แกํอาหารประเภทขา๎ วแปงู น้าตาลเผอื กมนั ขา๎ วโพดเปน็ แหลํงของสารอาหารประเภทคารโ๑ บไฮเดรต หมู่ท๓ี่ ไดแ๎ กํอาหารประเภทผักใบเขยี วพืชผกั ตํางๆเปน็ แหลํงของสารอาหารประเภทแรํธาตุตํางๆและวิตามิน หมู่ท๔ี่ ไดแ๎ กํอาหารประเภทผลไมต๎ ํางๆเป็นแหลงํ ของสารอาหารประเภทคาร๑โบไฮเดรตเพราะมนี ้าตาลมาก จึงทาให๎ได๎พลังงานมากกวาํ ผักและเป็นแหลงํ ของแรํธาตแุ ละวติ ามนิ ตํางๆ หมูท่ ๕่ี ได๎แกอํ าหารประเภทไขมนั ท่ีไดจ๎ ากสัตว๑และพชื เชํนนา้ มันหมนู ้ามนั ถวั่ น้ามนั งานา้ มนั ราขา๎ วเป็นแหลํง ของสารอาหารประเภทไขมนั อาหารหลกั ๕หมทํู ่ีกาหนดขนึ้ อยูํกับผู๎บริโภคควรรบั ประทานให๎ครบประจาทกุ วันและได๎สดั สวํ นทเี่ หมาะสมกับ ความต๎องการของรํางกายเพื่อรํางกายมีสุขภาพท่ีดีไมํเปน็ โรคขาดสารอาหาร อาชพี ทเ่ี กี่ยวข้องกบั อาหารและโภชนาการ ๑. อาชีพเปิดรา้ นขายอาหาร เชํนขายข๎าวแกงขายอาหารตามส่งั ขายก๐วยเต๋ยี วขายขนมจีนบางร๎านอาจจะ ขายเฉพาะอยาํ งหรือหลายอยํางอยํูในร๎านเดียวกนั ขนาดของรา๎ นขนึ้ อยํูกบั การลงทุนและจานวนลกู คา๎ ดังนนั้ การตัง้ รา๎ นอาหารจะต๎องเลือกทาเล สารวจลักษณะของลูกค๎าเชนํ รายได๎ของลูกค๎าความชอบชนดิ และรสชาตขิ องอาหารการ เปดิ ร๎านอาหารต๎องควบคูไํ ปกับการขายเครื่องด่ืม
136 ๒. อาชีพขายเครือ่ งด่ืม รา๎ นประเภทนจี้ ะเนน๎ เคร่อื งดม่ื เป็นหลักถา๎ เครื่องดม่ื ขนาดเล็กอาจจะขายเฉพาะ เคร่ืองดื่มประเภทกาแฟซ่ึงมีหลากหลายชนดิ อาจขายตามข๎างทางหรือห๎างก็ไดถ๎ า๎ ขายเคร่ืองดมื่ ทมี่ ีแอลกอฮอล๑ก็อาจจะ มอี าหารประเภทของวํางใหแ๎ กล๎มดว๎ ยสวํ นใหญํก็จะมดี นตรีและอาจมสี ถานทส่ี าหรับเต๎นราไดท๎ ่เี รยี กกันวาํ Pub (ผับ) ๓. อาชพี ขายขนม อาจมีบางคนท่ีต๎องการเปิดร๎านขายขนมอยาํ งเดยี วเชํนขายขนมทม่ี ีความเยน็ ขายขนม ประเภทไขขํ ายขนมไทยเชนํ บัวลอยเผอื กเตา๎ สํวนขายประเภทเบเกอรซ่ี ึ่งอาจควบกบั การขายเครื่องดมื่ ดว๎ ยการเรียกช่อื อาจแตกตํางกันเชํนร๎านขายข๎าวแกงอาจจะอยูขํ ๎างถนนในตึกแถวภตั ตาคารบางรา๎ นก็มดี นตรีดว๎ ย ๔. อาชีพขายอาหารปน่ิ โต อาชพี น้ีไมํจาเปน็ ต๎องเปดิ รา๎ นขายอาหารแตํใช๎วธิ ีประชาสมั พันธใ๑ หท๎ ราบวาํ มี ธุรกจิ ประเภทน้ีเพ่ือให๎ลูกคา๎ ส่ังจองราคาและชนดิ ของอาหารขนึ้ อยกํู ับการตกลงกันบางคนรบั อาหารเฉพาะวนั ทางาน และสามารถเลือกอาหารได๎อาชพี นตี้ อ๎ งอาศยั รสชาติของอาหารเปน็ หลักการสํงตรงตํอเวลาการเลือกสถานที่ก็ไมํ จาเปน็ อาจจะใช๎สถานท่ีในบ๎านได๎ ๕. อาชีพถนอมอาหาร การถนอมอาหารเหมือนการเก็บอาหารให๎มอี ายุยนื คงทน เชํนการตากแหง๎ การ รมควันการดองการทาเค็มการใชน๎ า้ ตาลอาชีพน้ีขนึ้ อยํูกับวสั ดทุ รัพยากรท่มี ีอยใํู นท๎องถ่นิ เชํนอยใูํ กล๎ทะเลก็อาจจะทา ปลาเคม็ ปลาแดดเดียวหอยดองหรือในท๎องถน่ิ ที่มพี ชื ผกั มากกจ็ ะถนอมผักโดยการดองผัก หรือมผี ลไม๎มากก็ใชว๎ ธิ ีเชื่อมเชนํ ทามะตูมเช่ือม ๖. อาชพี บรกิ ารจดั เลี้ยง เป็นอาชพี ที่มีบริการจดั เลยี้ งอาหารนอกสถานท่เี ชํนจัดแบบบุฟเฟตุ โ๑ ต๏ะจีน รายละเอยี ดเกีย่ วกบั ราคาและชนิดของอาหารข้นึ อยํูกบั การตกลง งานเกษตร งานเกษตรหมายถึงงานท่เี ก่ียวกับการปลูกพชื เลย้ี งสัตวแ๑ ละอาชีพทีเ่ กย่ี วข๎องตามกระบวนการผลติ และการ จดั การผลผลิตมีการใช๎เทคโนโลยีเพ่ือการเพ่ิมผลผลิตปลูกฝังความรับผดิ ชอบขยนั อดทนการอนุรักษ๑พลังงานและ สิ่งแวดลอ๎ มงานเกษตรสํวนใหญเํ ก่ียวข๎องกับการปลูกพชื จะเหน็ วําในอดีตเรามีพชื หลายชนิดที่สามารถสํงออกไปขาย ตาํ งประเทศได๎ เชนํ ขา๎ วยางพาราขา๎ วโพดมนั สาปะหลงั สํวนสัตวแ๑ ละการประมงยงั น๎อยโดยเฉพาะการประมงตอ๎ งอาศัย สภาพพื้นทที่ ่ีติดชายทะเลการประกอบอาชีพเกษตรจะก๎าวหน๎าอยาํ งไรต๎องเขา๎ ใจพ้นื ฐานเกษตรโดยเฉพาะเร่อื งดนิ และ ปุย๋ จงึ เปน็ สิง่ สาคญั ในการเจริญเติบโตของพืช อาชพี ท่ีเกี่ยวขอ้ งกับงานเกษตร ๑. อาชพี ปลกู พืช อาจจะปลูกพชื ชนิดเดยี วหรือปลกู พืชหลายชนดิ ผสมกันเชนํ ปลกู พืชผกั แตํมีหลายชนดิ หรอื ปลูกพชื ประเภทตํางๆเชํนปลูกผักปลูกผลไม๎และทานาด๎วย ๒. อาชพี เลี้ยงสตั ว เป็นอาชีพทีท่ าไดท๎ ่ัวประเทศการเลีย้ งสตั วบ๑ างชนดิ ข้ึนอยํูกับสภาพพื้นทที่ รัพยากรและ สงิ่ แวดลอ๎ มเชนํ อยํูตดิ ทะเลก็ประกอบอาชีพประมงจบั ปลาจบั หอย
137 ๓. อาชีพเกษตรผสมผสาน เป็นอาชพี เกษตรประกอบด๎วยหลายประเภททมี่ ีการเก้ือกูลกนั เชํนมีการปลูกพชื รวมกบั การเลี้ยงสตั วโ๑ ดยเอาเศษพืชมาให๎สตั ว๑กนิ เอามูลสตั ว๑ไปใสพํ ืชหรอื ผสมผสานกนั ระหวํางพืชเชํนเกื้อกูลกันโดย อาศยั รมํ เงาจากต๎นไม๎ทีใ่ หญํกวํา ๔. อาชีพแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร โดยเอาผลผลติ ทางการเกษตรท่เี หลือจากการขายหรอื เป็นชํวงทม่ี ี ราคาตกตา่ กน็ ามาแปรรปู ไดเ๎ ชํนการตากแห๎งการดองการรมควันการเชอ่ื ม ๕. อาชพี พ่อค้าคนกลาง เป็นอาชพี ท่ีรับซื้อสินค๎าจากอกี ทห่ี น่งึ ไปยงั อกี ที่หนงึ่ ซงึ่ ไมตํ ๎องเปน็ ผผ๎ู ลติ เองเชํนมี การรับซ้ือสินคา๎ หลากหลายจากผู๎ผลิตไปขายตลาด ๑. การปลกู พืช ประเภทของการปลกู พืช สามารถแบํงพชื ออกตามลกั ษณะการใช๎ดังนี้ (๑) พชื ไรํคือพชื ท่ีปลกู โดยอาศัยสภาพดนิ ฟาู อากาศในพื้นท่ีสํวนใหญํอาศยั น้าฝนเชนํ การปลกู ข๎าวโพดอ๎อย ข๎าวมนั สาปะหลงั (๒) พชื สวนเชํนปลกู ผกั ผลไมไ๎ ม๎ดอกไม๎ประดบั ต๎องมกี ารดูแลรักษาอยํางใกล๎ชิดมนุษย๑ต๎องดแู ลมากกวาํ พืชไรํ เชนํ ให๎นา้ การปูองกันกาจดั ศัตรูพืช (๓) พชื ปุาเปน็ พชื ที่ไมํต๎องการดูแลรักษาหรือมนุษยป๑ ลูกขนึ้ โดยอาศัยธรรมชาตทิ ส่ี อดคล๎องกับพชื ชนิดที่ เกิดขึ้นเองในปาุ เชํนการปลกู สักปลกู ไผํ (๔) พืชสมุนไพรหมายถึงพืชท่ีมีสรรพคุณในการรักษาโรคได๎ท้งั หมดพืชและสตั วบ๑ างชนดิ ยังนามาสกัดเปน็ เครอื่ งสาอางเชํนวาํ นหางจระเขอ๎ ญั ชนั ขมน้ิ เป็นอาหารเสรมิ เชํนกระชายกระเทียมเปน็ เคร่ืองดื่ม เชํนบัวบกคาฝอยตะไครใ๎ ช๎ปรุงแตงํ อาหารเชนํ หอมแดงมะนาว ๒. การเลี้ยงสตั ว ประเภทของการเล้ียงสัตวแบํงตามลกั ษณะของสัตว๑ไดด๎ งั นี้ (๑) สัตว๑ใหญํนิยมเลย้ี งกันแพรํหลายเปน็ สตั วท๑ ่ีเลี้ยงไวเ๎ พ่อื ใช๎งานใชเ๎ ป็นพาหนะเลี้ยงเป็นอาชีพเชนํ โคเนือ้ โค กระบือ (๒) สัตวเ๑ ล็กนยิ มเลี้ยงในครวั เรือนเปน็ อาชีพเปน็ อาหารหรือเพอ่ื ความเพลดิ เพลนิ เชนํ สกุ รแพะกระตาํ ย (๓) สัตวป๑ กี เป็นสตั วป๑ ระเภทมปี ีกเชํนไกเํ ปด็ หาํ นนก (๔) สัตวน๑ า้ เปน็ สัตว๑ทีอ่ าศัยในนา้ หรือครงึ่ บกครง่ึ นา้ เชนํ ปลากงุ๎ กบและตะพาบน้า งานชา่ ง งานช่างหมายถึงงานหรอื ส่งิ ท่ีเกิดขึน้ จากการทางานของชาํ งท่มี ีความรู๎ความชานาญในงานนนั้ ๆ ทกั ษะเปน็ สิ่งจาเปน็ ในการเป็นชํางเพราะเปน็ การสรา๎ งความรู๎ความชานาญในการทางานส่งิ ใดสง่ิ หน่ึงโดยมขี นั้ ตอนดงั น้ี
138 ๑. การศึกษาหาความรู๎กับงานชํางนนั้ ๆกอํ นท่ีจะลงมอื ปฏิบตั ิงานนั้นๆเพื่อให๎ทราบธรรมชาติของงานเชนํ งาน ไฟฟูาต๎องเข๎าใจเกย่ี วกบั ธรรมชาติของกระแสไฟฟูาการทางานของอุปกรณ๑ตํางๆจากคํูมอื ประกอบของอุปกรณ๑น้นั ๆ ๒.การวิเคราะห๑สาเหตุของการชารดุ เสียหายของชิน้ สวํ นอุปกรณห๑ รอื ส่งิ กํอสร๎างศกึ ษาชนิดของวสั ดุและหนา๎ ท่ี ของช้ินสํวนอปุ กรณ๑ในแตลํ ะสํวนกอํ นทาการถอดหรือแก๎ไขซํอมแซม ๓. การจดั เตรยี มอปุ กรณใ๑ นการถอดประกอบช้ินสํวนในแตํละอปุ กรณเ๑ ครื่องมือในการซํอมเชํนคอ๎ นคีมไขควง ตลับเมตรฯลฯใหเ๎ หมาะสมกับลกั ษณะงานนน้ั ๔. การวางแผนและกาหนดขั้นตอนการปฏิบัตงิ านในแตลํ ะสํวนให๎เหมาะสมและการใช๎วัสดุอุปกรณ๑อะไรบ๎าง งบประมาณที่ใชค๎ วามคุม๎ คํากับการซํอมบารุง ๕. การปฏิบตั งิ านคือการทางานทีละขน้ั ตอนตามท่ีไดศ๎ ึกษาวิเคราะหแ๑ ละวางแผนไวเ๎ ป็นการฝึกให๎มีการสังเกต ตรวจสอบและคน๎ คว๎าเพื่อทาการทดลองและแก๎ไขข๎อบกพรอํ งหรือจดุ เสียให๎ดีขน้ึ หรืออยูํในสภาพเดมิ ที่สามารถใช๎ได๎ ตํอไป ๖. เมื่อทาการซํอมแซมเรียบร๎อยแล๎วให๎ตรวจสภาพความเรียบรอ๎ ยอปุ กรณ๑ใสํครบถว๎ นถูกตอ๎ งหรอื ไมํแล๎วจงึ ทาการทดลองวําสามารถใช๎ได๎หรอื ไมหํ รือต๎องทาการปรบั ปรงุ แก๎ไขให๎ดตี ํอไปประเภทของงานชําง ๑. ชํางไฟฟูาเปน็ ผูม๎ ีความชานาญเกี่ยวกับธรรมชาตแิ ละการทางานของระบบไฟฟูาประโยชนแ๑ ละโทษของ ไฟฟูาเชํนเดนิ สายไฟในอาคารชาํ งวทิ ยุโทรทศั น๑ ๒. ชํางไม๎เป็นผู๎มีความชานาญเกย่ี วกับงานไมเ๎ ชํนการทาเฟอร๑นเิ จอรจ๑ ากไมท๎ าโตะ๏ เก๎าอ้ีหรืองานกํอสร๎างจาก ไม๎ ๓. ชาํ งยนตเ๑ ปน็ ผ๎ูมคี วามชานาญเกย่ี วกับเคร่ืองยนต๑กลไกการทางานของเคร่อื งยนต๑เชนํ เปน็ ชํางซอํ มรถยนต๑ รถจกั รยานยนต๑ ๔. ชํางประปาเปน็ ผ๎ูมีความชานาญเกีย่ วกบั การวางทํอประปาธรรมชาติการไหลของน้าการเชื่อมตอํ ทํอใน ลักษณะตํางๆ ๕. ชาํ งปนู เปน็ ผ๎ูมีความชานาญเกย่ี วกบั การกํออฐิ ถือปูนการฉาบการเทพืน้ คอนกรีต ๖. ชาํ งทาสเี ปน็ ผมู๎ คี วามชานาญเก่ียวกบั การทาสกี ับวัสดุตํางๆแลว๎ ยังมคี วามชานาญเกยี่ วกบั การเลือกใช๎สกี ับ วสั ดตุ าํ งๆ ๗. ชํางเชื่อมเปน็ ผู๎มีความชานาญเกย่ี วกบั งานเชื่อมการใช๎เคร่ืองมือเคร่ืองจกั รในการเชอื่ มอาชพี ทเี่ กี่ยวข๎อง เชํนอาชพี ทาเหล็กดดั ประตูหนา๎ ตําง อาชพี ทเี่ กี่ยวขอ้ งกบั งานช่าง
139 ๑. เปน็ อาชพี ตามความชานาญเชนํ ชาํ งไฟฟูาชํางไม๎ชํางยนตช๑ าํ งประปาชํางปูนชาํ งทาสีชาํ งเชื่อมโดยอาจใช๎ ความรค๎ู วามสามารถรับงานเองมีการบริหารจัดการคดิ ราคาไดเ๎ องติดตามการทางานเองจัดการหาลูกค๎าเองหรือบางคน ใช๎ความชานาญเปน็ ลกู จา๎ งงานกํอสรา๎ ง ๒. เปดิ ร๎านซอํ มเชนํ ซํอมเคร่ืองไฟฟูาซํอมเคร่ืองรถยนตข๑ ึ้นอยกูํ ับความชานาญของแตํละคน งานประดิษฐ๑ งานประดิษฐห๑ มายถึงส่ิงทที่ าข้นึ ใหมโํ ดยใช๎วสั ดตุ าํ งๆท้ังทเ่ี ปน็ วัสดเุ หลือใช๎หรอื วัสดทุ ว่ั ๆไปแลว๎ นาไปใช๎ให๎เกดิ ประโยชน๑เชนํ ๑. เป็นกิจกรรมท่ีชํวยให๎เกดิ ความคิดริเริม่ สรา๎ งสรรค๑ ๒. เปน็ การใชเ๎ วลาวาํ งให๎เกดิ ประโยชน๑ ๓. เปน็ การฝึกใหร๎ ๎จู ักสงั เกตส่ิงรอบๆตัวและนามาใช๎ประโยชน๑ได๎ ๔. สร๎างความภาคภูมิใจกบั ผู๎ประดิษฐ๑ ๕. สามารถสรา๎ งงานและสร๎างรายได๎เพอื่ เปน็ พืน้ ฐานการประกอบอาชีพได๎ขอบขาํ ยของงานประดษิ ฐ๑ งานประดิษฐตา่ งๆ สามารถเลอื กทาไดต๎ ามความต๎องการและประโยชนใ๑ ชส๎ อยซึง่ แบงํ เป็น๔ประเภทได๎ดังนี้ ๑. ประเภทของเลํนเปน็ ของเลํนเพื่อความเพลดิ เพลนิ ของเลนํ เพ่ือการคดิ เชํน งานปั้นงานจักสานวสั ดทุ ่ใี ชเ๎ ชํน กระดาษผา๎ เชอื กพลาสติก ๒. ประเภทของใช๎อาจทาขนึ้ เพอ่ื ใช๎ในชีวิตประจาวันเชํนตะกรา๎ กระบงุ งานไม๎ไผผํ า๎ เชด็ เท๎าผา๎ ปโู ต๏ะวัสดุทีใ่ ช๎ เชนํ กระดาษไม๎ไผดํ นิ ผา๎ เหลก็ ใบตอง ๓. ประเภทของตกแตํงใชต๎ กแตงํ สถานทบี่ า๎ นเรือนใหม๎ ีความสวยงามเชนํ การประดิษฐด๑ อกไมแ๎ จกันภาพวาด งานแกะสลัก ๔. ประเภทเคร่ืองใช๎งานพิธที าข้นึ เพื่อใชใ๎ นพิธที างศาสนาในชวํ งโอกาสตาํ งๆและงานประเพณเี ชํนลอยกระทง งานเขา๎ พรรษางานออกพรรษางานศพเครื่องใช๎ในงานพิธที างศาสนาเชนํ พานพํุมมาลัยเคร่ืองแขวนบายศรกี ารจดั ดอกไม๎ในงานศพ วสั ดุอปุ กรณท๑ ีใ่ ชใ๎ นงานประดษิ ฐ๑จะเป็นของใชเ๎ ล็กๆเชํนกรรไกรเข็มด๎ายกาวมีดตะปูค๎อนแปรงสีเลือ่ ย จักรเยบ็ ผ๎ากระดาษ อาชีพที่เกี่ยวข้องกบั งานประดษิ ฐ อาชพี นกั ประดิษฐ๑เป็นอาชีพที่ผลิตสิ่งของเคร่ืองใชซ๎ ึ่งจะต๎องเป็นผท๎ู ่มี คี วามคิดสร๎างสรรค๑ทันตํอความต๎องการ ของตลาด ลกั ษณะการประกอบอาชีพได๎แกํผลิตเสร็จแลว๎ ขายความคดิ ให๎กับบรษิ ัทหรือคิดแลว๎ ผลิตเองสํงขายให๎รา๎ นคา๎ หรือผลิตเองแลว๎ ขายเองโดยตรงกระบวนการผลิตงานประดษิ ฐ๑
140 ใบงาน เรื่อง การงานอาชีพ ๑. ใหผ๎ ๎เู รียนสารวจอาชีพในชมุ ชน ภมู ภิ าค และในโลก มา ๑๐ อาชพี ลงในแบบสารวจโดยดาเนินการดงั ตอํ ไปน้ี 1. ชื่ออาชีพ....................................................................................................................................... 2. ที่ตัง้ .............................................................................................................................................. 3. การประกอบอาชพี (ใหม๎ รี ายละเอยี ดระยะเวลาการประกอบอาชพี ตัง้ แตํเริม่ ต๎นจนถงึ ปัจจบุ นั ) ๒. ให๎ผเ๎ู รยี นเลอื กอาชีพทส่ี นใจมา ๑อาชีพ พร๎อมดว๎ ยเหตุผลท่ีเลอื กประกอบอาชีพนนั้ ............................................................................................................................. ............................................... .............................................................................................................................................. .............................. .................................................................................................... ........................................................................ ............................................................................................................................. ............................................. ......................................................................................................................................... ...............................
141 แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาสังคมศึกษา คร้งั ที่ 14 ภาคเรยี นท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2565 ระดบั ประถมศึกษา กศน.ตาบลนา้ ใส ๑. สปั ดาหท์ ี่ 14 วนั ท่ี 16 เดือน สงิ หาคม พ.ศ.2565 เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐น. ๒. วิชา สงั คมศกึ ษา รหัสวชิ า สค1๑๐๐๑ จานวน 2 หนํวยกติ ๓. มาตรฐานที่ 5.3 ปฏิบัตติ นเปน็ พลเมืองดตี ามวิถปี ระชาธิปไตย มจี ติ สาธารณะ เพอ่ื ความสงบสุขของสงั คม ๔. หน่วยการเรยี นรู้/เรอ่ื ง ภูมิศาสตร์ทางกายภาพประเทศไทย ๕. สาระสาคัญ ลักษณะทางกายภาพและสรรพสงิ่ ในโลก มคี วามสัมพนั ธซ์ ่งึ กันและกัน และมผี ลกระทบตํอระบบ นิเวศ ธรรมชาติ การนาแผนท่ีและเคร่ืองมือภมู ศิ าสตร์มาใช๎ในการค๎นหาขอ๎ มลู จะชวํ ยให๎ไดรบั ข๎อมลู ท่ชี ัดเจนและ นาไปสูการใช๎การจัดการไดอยํางมีประสทิ ธภิ าพ การปฏิสมั พนั ธร์ ะหวาํ งมนุษย์กับสภาพแวดลอ๎ มทางกายภาพ ทาให๎ เกดิ สร๎างสรรคว์ ัฒนธรรมและจติ สานึกรวํ มกันในการอนรุ ักษ์ทรพั ยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ๎ ม เพ่ือการ พฒั นาท่ี ยั่งยืน ๖. เนอ้ื หา เร่อื งที่ 1 ลักษณะทางภูมิศาสตร์กายภาพของชุมชน เรอ่ื งท่ี 2 ลักษณะทางภมู ิศาสตร์กายภาพของประเทศไทย เรือ่ งที่ 3 การใชข๎ ๎อมลู ภูมิศาสตรก์ ายภาพชุมชน ทองถ่ิน เพ่ือใช๎ในการดารงชีวติ เรือ่ งท่ี 4 ทรัพยากรธรรมชาติและการอนรุ กั ษท์ รัพยากรธรรมชาติ เรื่องที่ 5 ศกั ยภาพของประเทศไทย ๗. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้/ผลการเรยี นร้ทู ่ีคาดหวัง (ดจู ากผังการออกข๎อสอบ) 1. อธิบายลักษณะภูมิศาสตร์ทางกายภาพของประเทศไทยได 2. บอกความสมั พันธร์ ะหวาํ งปรากฏการณทางธรรมชาติกับการดาเนินชีวิตได 3. ใช๎แผนทแี่ ละเครื่องมอื ภูมิศาสตร์ได๎อยาํ งเหมาะสม 4. วิเคราะห์สภาพแวดลอ๎ มทางกายภาพ วัฒนธรรมและกระบวนการเปล่ยี นแปลทาง ลกั ษณะกายภาพและลักษณะวัฒนธรรมท๎องถ่ินได 5. วเิ คราะหศ์ กั ยภาพของชมุ ชนทอ๎ งถิน่ เพ่อื เชื่อมโยงเขาสูอาชพี 8. การบรู ณาการกบั หลกั แนวคดิ ของเศรษฐกิจพอเพียง (2 เงื่อนไข 3 หลกั การ การเชอ่ื มโยงสูํ 4 มติ ิ) ความรู้ - นกั ศึกษามีความรูเ๎ ร่ือง ลักษณะทางภมู ศิ าสตรก์ ายภาพของชุมชนและประเทศไทย - นกั ศกึ ษามคี วามรู๎เรื่อง ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละการอนรุ ักษ์ทรัพยากรธรรมชาติของชุมชน และประเทศไทย - นักศกึ ษามคี วามรู๎เรื่อง ประวัติศาสตรต์ ง้ั แตํยคุ อดีตถึงยคุ ปจั จบุ ัน คุณธรรม - มคี วามมํุงม่ันในการทางาน - มคี วามสามัคคใี นหมํูคณะ - ใฝุหาความรู๎เพอื่ พฒั นาอยํูเสมอ พอประมาณ - มคี วามพอประมาณในเรื่องของเวลาการแบงํ เวลาในการศึกษาหาความร๎ู
142 มีเหตุผล - ไดค๎ วามรเู๎ กี่ยวกับลักษณะทางภมู ิศาสตรก์ ายภาพของชมุ ชนและประเทศไทย - ได๎ความร๎เู กยี่ วกบั ประวัตศิ าสตรต์ ั้งแตํยคุ อดีตถึงยุคปจั จุบัน มีภมู คิ ุ้มกนั -ร๎ูจกั ลกั ษณะทางภูมศิ าสตร์กายภาพของชุมชนและประเทศไทยเพื่อนาไปปรับใชใ๎ นการ ดารงชวี ิต วตั ถุ - รจ๎ู กั เลอื กภูมศิ าสตร์กายภาพชุมชน ทองถิ่น เพ่ือใช๎ในการดารงชวี ติ -มที ักษะในการเลอื กภมู ิศาสตรก์ ายภาพชมุ ชนที่เปน็ ประโยชนม์ าใชใ๎ นการวางแผนการ ดาเนนิ ชวี ติ ของตวั เองในชุมชนและสังคม สงั คม - มที กั ษะการอยูํรวํ มกนั ในกลุํม และทางานรํวมกบั ผู๎อน่ื ได๎อยาํ งมคี วามสุข - สามารถนาความรูท๎ ี่ได๎ไปเผยแพรํใหก๎ ับครอบครัวและชมุ ชน สงิ่ แวดล้อม - รจ๎ู ักการนาความรู๎เกี่ยวกบั ลกั ษณะทางภมู ศิ าสตรก์ ายภาพของชุมชนและประเทศไทย เพ่ือ เปน็ ขอ๎ มลู ในการรักษาสมดลุ รวมไปถงึ การอนรุ ักสงิ่ แวดล๎อม ของชุมชนและประเทศไทย วฒั นธรรม - สบื สานภมู ปิ ัญญาท๎องถ่นิ และแหลํงเรียนรูส๎ ู๎คนรุํนหลัง 9. กระบวนการจัดการเรียนรแู้ ละกจิ กรรมการเรยี นรู้ ข้นั ท่ี ๑ กาหนดสภาพปัญหาการเรียนรู๎ (O : Orientation) ๑. ครูทักทายผ๎เู รียน บอกวัตถุประสงค์การเรยี นร๎ู ๒. ครทู ักทายกลาํ วนาและสร๎างความคุน๎ เคยกับผเ๎ู รียนพร๎อมกับเปิดประเดน็ พูดคุยกบั ผเู๎ รียนเรื่องความร๎ู เบอ้ื งต๎นเก่ียวกับประวตั ิศาสตรข์ องผ๎เู รยี นแตลํ ะคน และรํวมกันอภิปรายความร๎ูเบ้ืองตน๎ เก่ียวกบั ประวัติศาสตร์เพื่อนาเข๎าสํบู ทเรียน ๓. ครูเปิดภาพยนตร์เรื่องพระนเรศวรให๎ผ๎ูเรยี นดู และสรา๎ งความเข๎าใจรวํ มกันและวเิ คราะห์การ เปลย่ี นแปลงทางประวตั ศิ าสตร์ตัง้ แตยํ คุ อดตี ถึงยคุ ปจั จบุ นั ๔. ครแู ละผ๎ูเรยี นรํวมกันอภปิ รายและสรา๎ งความเขา๎ ใจเก่ยี วกบั เหตุการณ์ทางประวัติศาสตรโ์ ดย เรยี งลาดบั เหตกุ ารณ์กํอน-หลัง ๕. ครเู ปิดโอกาสให๎ผเ๎ู รยี นซักถามข๎อสงสัยกอํ นเข๎าสบํู ทเรยี นในขน้ั ตํอไป ๖. สอบถามความร๎เู ร่อื งลักษณะทางภูมศิ าสตร์กายภาพของชุมชน ทองถนิ่ ข้นั ท่ี ๒ แสวงหาขอ๎ มลู และจดั การเรยี นรู๎ (N : New ways of learning) 1. ครูและผู๎เรยี นวางแผนวิธกี ารเรียนร๎ูเน้อื หาที่กาหนด 2. ครแู จกใบความรใู๎ หผ๎ เ๎ู รียนศกึ ษา 3. ครแู บงํ กลํุมผูเ๎ รียน 5 กลํมุ แลว๎ ให๎แตํละกลุํมคดั เลอื กหวั หน๎ากลุมํ รองหวั หนา๎ กลุํม และ เลขานกุ าร และสมาชกิ จากน้ันให๎หัวหนา๎ กลุํมออกมาจบั ฉลากเพื่อเลือกหวั ขอ๎ ท้งั หมด 5 เร่อื ง เรือ่ งที่ 1 ลกั ษณะทางภมู ศิ าสตร์กายภาพของชุมชน เรื่องที่ 2 ลกั ษณะทางภูมศิ าสตร์กายภาพของประเทศไทย เรื่องท่ี 3 การใช๎ข๎อมูลภมู ิศาสตรก์ ายภาพชมุ ชน ทองถิ่น เพื่อใช๎ในการดารงชีวติ เร่ืองที่ 4 ทรัพยากรธรรมชาติและการอนรุ กั ษท์ รัพยากรธรรมชาติ
143 เร่ืองที่ 5 ศักยภาพของประเทศไทย แล๎วใหผ๎ ๎ูเรยี นนาเอาความร๎ูท่ีศึกษาตามเรื่องที่กาหนดให๎แล๎วนามาปรบั ใช๎ในการดาเนินชีวติ ในสังคม ปัจจบุ นั ในด๎านใดบ๎าง และนาเสนอเพื่อแลกเปลยี่ นเรยี นรหู๎ นา๎ ชนั้ เรยี น ขนั้ ท่ี ๓ การปฏบิ ตั ิและการนาไปใช๎ (I : Implementation) ๑. ผเู๎ รียนสงํ ตวั แทนนาเสนอความรท๎ู จี่ บั ฉลากไดแ๎ ล๎วนาความรน๎ู ้นั มาปรบั ใชใ๎ นการดาเนนิ ชีวติ ใน สงั คมปจั จบุ นั 2. ผู๎เรียนสรุปสาระสาคญั ทไ่ี ด๎รับจากการนาเสนอของแตํละกลํมุ ลงในสมุดแลว๎ สงํ ครู ๓. ครูเพิ่มเตมิ ความรูใ๎ ห๎แกํผ๎ูเรียน ๔. ให๎ผู๎เรียนทาแบบทดสอบความรหู๎ ลังเรียน ขนั้ ที่ ๔ การประเมนิ ผลการเรียนรู๎ (E : Evaluation) ๑.ใหผ๎ เ๎ู รียนแตํละคนสรุปความร๎ทู ไี่ ดจ๎ ากการวเิ คราะห์ของแตลํ ะกลุมํ มาสํงครูในลักษณะของใบงาน ๒. ครแู ละผูเ๎ รียนรวํ มกันสรุปความรท๎ู ่ไี ดร๎ บั 10. สอื่ /แหล่งเรียนรู้ - แบบเรยี นวิชาสงั คมศกึ ษา - ใบความร๎ู /ใบงาน - กระดาษปร๏ูฟ / ปากกาเมจิก - สถานทพ่ี บกลุํม - ภมู ิปัญญาชาวบา๎ น และแหลงํ เรยี นรใ๎ู นท๎องถน่ิ ๑1. การวัดและประเมนิ ผล ๑1.๑ วธิ กี ารวัดและประเมนิ ผล - การสังเกตพฤตกิ รรมการทางานรวํ มกับผอ๎ู ื่น ของผเู๎ รียนรายบุคคล - ใบงาน ๑1.๒ เครื่องมือวัดและประเมินผล - ผลการสังเกตพฤตกิ รรมการทางานรวํ มกับผ๎ูอื่น ของผ๎ูเรียนรายบคุ คล - ผลจากการตรวจใบงาน ๑๐.๓ เกณฑก์ ารวดั และการประเมินผล - การสังเกตพฤติกรรมการทางานรวํ มกับผอู๎ นื่ ของผ๎ูเรียนรายบุคคล ระดบั ดี พอใช๎ ควรปรับปรุง - ใบงานคะแนนเต็ม ๑๐ คะแนน
144 กจิ กรรมเสนอแนะ ............................................................................................................................. ............................................................ ................................................................................................................................................................... ลงชอ่ื …………………………………………….ครผู ๎ูสอน (นายประมวล เจรญิ สขุ )) ครู กศน.ตาบล ขอ้ เสนอแนะของผู้บริหาร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………........ ลงช่ือ………………………………………………………ผอู๎ นมุ ตั ิแผน (นางปัทมาภรณ์ ศรีเนตร) ผู๎อานวยการ กศน.อาเภอจตรุ พกั ตรพมิ าน
145 บันทกึ หลังการจดั การเรยี นรู้ กศน.ตาบลนา้ ใส คร้ังที่ 14 วนั ที่ 16 เดือน สิงหาคม พ.ศ.2565 ครูผสู๎ อน นายประมวล เจรญิ สุข ระดับ ประถมศึกษา เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐ น. สาระการพฒั นาสังคม รายวิชาสังคมศกึ ษา รหัสวชิ า สค1๑๐๐๑ จานวนผเ๎ู รียนทง้ั หมด ............... คนเขา๎ เรียน…………………คน ไมํเขา๎ เรยี น……………………….คน ๑. ผลการจดั กิจกรรมการเรียนรู้การประเมนิ โดยใช๎ แบบทดสอบกํอนเรียน - หลังเรียน พบวํา คะแนนการทดสอบหลังเรียน มากกวํากอํ นเรยี นจานวน ........ คนคดิ เปน็ ร๎อยละ............ คะแนนการทดสอบหลังเรียน น๎อยกวาํ กํอนเรียนจานวน ......... คนคดิ เปน็ รอ๎ ยละ............ ๒. เน้ือหา/สาระ ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................................................................................. ... ............................................................................................................................. ................................... ๓. กจิ กรรมการเรียนการสอน ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................................................................................. ........... ........................................................................................................................ ............... ๔. ปัญหา/อุปสรรค การเรียนการสอน ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................... ๕. แนวทางการแก้ปญั หา ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................... ลงชอื่ .......................................................ครผู ูส๎ อน (นายประมวล เจรญิ สขุ ) วันท.่ี ............../.................../............... ความคดิ เหน็ /ข้อเสนอแนะของผู้บริหาร ............................................................................................................................. ............................................................ ............................................................................................................................. ............................................................ ......................................................................................................................................................................................... ลงช่ือ.................................................................. (นางปัทมาภรณ์ ศรเี นตร) ผู๎อานวยการ กศน.อาเภอจตรุ พักตรพิมาน
146 ใบความรู้ ลักษณะทางกายภาพของประเทศไทย ที่ตัง้ และลักษณะทั่วไปของประเทศไทย ทต่ี ง้ั ประเทศไทยตง้ั อยบํู รเิ วณตอนกลางของคาบสมุทรอนิ โดจนี มีท่ตี ั้งตามพิกัดภมู ิศาสตรด์ ังน้ี ต้ังอยปูํ ระมาณระหวาํ งละติจูด 5 องสา 37 ลิปดาเหนือ กบั 20 องสา 27 ลิปดาเหนอื และระหวาํ ง ลองจจิ ูด 97 องศา 22 ลิปดาตะวนั ออก กับ 105 องศา 37 ลปิ ดาตะวนั ออก หรือบริเวณซีกโลกเหนือในเขต ละตจิ ดู ต่า ระหวาํ งเส๎นศนู ยส์ ูตร กบั เส๎นทรอปิกออกฟเคนเซอร์ นนั่ เอง จงึ จดั อยํใู นประเทศเขตร๎อน จากทีป่ ระเทศไทยทาเลทีต่ ้ังเป็นคาบสมุทร จึงสํงผลดีตอํ การเพาะปลูกของประเทศตลอดมา และ ประเทศไทยต้ังอยูํทํามกลางดินแดนของภาคพน้ื เอเชียตะวันออกเฉยี งใต๎ นับเปน็ จุดยุทธศาสตร์สาคัญแหํงหน่ึงของโลก อาณาเขตติดต่อ 1. อาณาเขตตดิ ตอ่ กบั สหภาพพม่า มดี นิ แดนดนิ ตํอกับพมําในภาคเหนือ ภาคตะวันตกและภาคใต๎รวม 10 จังหวดั แนวพรมแดนอาศัยทวิ เขาและแมํนา้ เปน็ เส๎นกั้นเขตแดนตามธรรมชาติ 2. อาณาเขตติดตอ่ กับสาธารณรฐั ประชาธิปไตยประชาชนลาว มีพรมแดนติดตอํ กับสาธารณรฐั ประชาธิปไตยประชาชนลาวในภาคเหนือและภาคตะวันออก เฉยี งเหนือ รวม 11 จังหวดั มแี มํนา้ โขงเปน็ เสน๎ ก้ัน พรมแดนทางน้าท่สี าคัญ สวํ นพรมแดนทางบกมีทวิ เขาหลวงพระบางก้ันทางตอนบน และทวิ เขาพนมดงรักบางสํวนก้นั เขตแดนตอนลําง 3. อาณาเขตตดิ ต่อกบั ราชอาณาจักรกมั พชู า มีพรมแดนติดตํอกบั ราชอาณาจกั รกัมพูชาในภาค ตะวันออกเฉยี งเหนือ และภาคตะวันออก รวม 7 จงั หวัด 4. อาณาเขตติดตอ่ กับมาเลเซีย มีพรมแดนตดิ ตอํ กับมาเลเซีย ในภาคใต๎ 4 จังหวัด มีเทือกเขาสนั กาลา ครี แี ละแมํนาโก – ลก จงั หวัดนราธิวาสเป็นเสน๎ ก้ันแดน 5. อาณาเขตทางทะเล ติดตํอกบั ทะเลท้ังด๎านอําวไทยและดา๎ นทะเลอนั ดามนั รวมเป็นระยะทาง 2,705 กโิ ลเมตร 1 ) อาณาเขตติดตอํ กับอําวไทย มีทั้งส้ิน 16 จังหวดั อยํูในภาคกลาง 3 จังหวดั ภาคตะวนั ออก 4 จัง หวด ภาคตะวนั ตก 2 จงั หวดั ภาคใต๎ 7 จังหวัด 2 ) อาณาเขตติดตํอกบั ทะเลอันดามัน มที ้ังส้ิน 6 จงั หวดั อยใํู นภาคใต๎ ลักษณะทางกายภาพของประเทศไทย ลักษณะภูมิประเทศ คือ สภาพท่วั ๆ ไปบนผิวโลก มีลกั ษณะทางภูมิประเทศทแี่ ตกตํางกนั ในแตลํ ะ ทอ๎ งถนิ่ ซึ่งมีลักษณะท่ีแตกตํางกนั ไป ปจั จัยทกี่ ่อใหเ้ กิดลกั ษณะภูมิประเทศ เกิดจากการผันแปรของเปลอื กโลกเน่ืองจากพลงั งานภายในโลก ทาให๎เปลอื กโลกถูกบีบอัดยกตัวสูงขน้ึ หรือทะเลต่าลงและอีกประการหนงึ่ เกดิ จาก การกระทาของตัวกระทาตํางๆ นอกจากการเปลี่ยนแปลงอันเกดิ จากกระบวนการทางธรรมชาตแิ ลว๎ การกระทาของมนุษยก์ ็มีสํวนในการ ทาใหเ๎ กิดลักษณะภมู ิประเทศบางอยาํ งได๎เชนํ กัน แตํมีขอบเขตจากัดกวําการกระทาตามกระบวนการทางธรรมชาติ ลักษณะโครงสรา้ งภมู ปิ ระเทศของไทย มี ลกั ษณะโครงสรา๎ ง ภมู ิประเทศทีเ่ กดิ จากการเคลอ่ื นไหวของเปลือกโลกกับการกระทาของแมํน้าลาธาร
147 ใน ระยะเวลาทผ่ี ํานมา และเขตภมู ิภาคทางภมู ิศาสตร์ของคณะกรรมการภมู ิศาสตร์ โดยแบงํ ออกเปน็ 6 เขตใหญํ ดงั น้ี 1. เขตภเู ขาและหบุ เขาภาคเหนอื บรเิ วณ ท่ีสูงและภูเขาท้ังหมดในภาคเหนอื ภมู ปิ ระเทศบรเิ วณทสี่ ูง ของภาคนี้ มีลกั ษณะเป็นภูเขาและหบุ เขาสลบั กันเป็นแนวยาว บริเวณทส่ี ูงภาคเหนือนี้ถือวําเป็นแหลงํ กาเนิดของ แมนํ า้ สายสาคัญของประเทศ ภาคเหนือเป็นแหลงํ ทรพั ยากรธรรมชาติท่ีสาคัญหลายชนดิ อาชีพของประชากรในภาคน้ี ไดแ๎ กํ กา เพาะปลูก การเลยี้ งสัตว์ และการทาเหมืองแรํ 2. เขตทร่ี าบลุ่มภาคกลาง บรเิ วณท่รี าบตอนกลางและตอนลํางของลํุมแมํน้าทง้ั หมดทไ่ี หลลงสอูํ ําวไทย จงึ ทาให๎บรเิ วณแองํ แผนํ ดินท่ีตา่ ถูกทับถมด๎วยโคลนตะกอนสงู ๆ ขนึ้ จนในทส่ี ดุ อยเํู หนือระดบั นา้ กลายเป็นท่รี าบ ซึ่ง เป็นบรเิ วณที่ราบกว๎างขาวงท่ีสดุ ในประเทศ เขตทรี่ าบภาคกลางอาจแบํงได๎เป็น 2 บริเวณ 2.1 บริเวณท่ีราบลุมํ น้าตอนบนและบรเิ วณขอบทรี่ าบตอนลําง 2.2 บริเวณทร่ี าบลุมํ นา้ ตอนลําง 3. เขตเทอื กเขาและหุบเขาภาคตะวันตก บริเวณน้ีอยทํู างด๎านตะวนั ตกของเขตท่ีราบภาคตะวนั ตก ลักษณะภูมิประเทศสํวนใหญเํ ปน็ ทวิ เขาและหบุ เขาสลับซบั ซ๎อน มลี กั ษณะเป็นเทือกเขาและหุบเขามากกวาํ ทรี่ าบซ่ึง คล๎ายกบั ภาคเหนือ ประชากรในภาคน้มี ไี มมํ ากนักเพราะเป็นเขตปาุ เขา ภาคตะวนั ตกเป็นดินแดนท่ีอดุ มไปดว๎ ย ทรพั ยากรธรรมชาตหิ ลายประเภทมคี วามสาคัญ ตํอการพัฒนาเศรษฐกิจ มแี หลํงน้าทีส่ มบูรณ์ที่เหมาะแกํการทา เกษตรกรรม มีปาุ ไม๎และสตั วป์ าุ นานาชนดิ เปน็ แหลงํ ผลตแิ รํโลหะและอโลหะท่ีสาคญั ในด๎านอตุ สาหกรรม รวมทั้งเป็น แหลงํ พลงั งานน้ามันท่นี ามาพัฒนาและใชป๎ ระโยชน์ได๎อยํางมหาศาล 4. เขตชายฝั่งตะวนั ออกของอา่ วไทย เปน็ เขตที่มีเนอ้ื ทน่ี อ๎ ยทส่ี ุด ภูมปิ ระเทศโดยทัว่ ไปจะเปน็ ทีร่ าบลํุมแมนํ า้ และที่ ราบชายฝ่งั ทะเล มฝี นตกชุกและมปี ุาไมเ๎ หมือนภาคใตแ๎ ละภาคเหนอื มีการเพาะปลกู พืชไรแํ ละการคา๎ เหมือนภาค กลางและภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ ยงั เป็นแหลงํ ทรัพยากรธรรมชาติทส่ี าคญั ทางเศรษฐกิจหลายอยาํ ง 5. เขตท่ีราบภาคตอวันออกเฉียงเหนือ พื้นท่ี สวํ นใหญเํ ปน็ ท่รี าบสงู ลักษณะของพืน้ ทีเ่ ป็นแอํงคล๎าย จานลาดเอยี งไปทางตะวันออกเฉียงใต๎ไปทางบริเวณ แมนํ า้ โขง แมว๎ ําภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื จะเปน็ ภาคทีม่ ีพน้ื ที่ กวา๎ งใหญทํ สี่ ุด หากทางด๎านทรพั ยากรธรรมชาตทิ สี าคัญเป็นพน้ื ฐานในการพัฒนาเศรษฐกิจแล๎ว อาจด๎อยกวาํ ภาคอื่นๆ 6. เขตคาบสมุทรภาคใต้ เป็นพน้ื ที่ราบ บริเวณชายฝั่งทะเล และภูเขาทเ่ี ปน็ แกนหรือสันของคาบสมทุ ร มีลักษณะภูมปิ ระเทศและภมู ิอากาศแตกตํางจากภาคอืน่ ๆ อยาํ งชัดเจน พ้ืนทส่ี วํ นใหญํประกอบด๎วยเทอื กเขา ซึง่ เป็น แกนกลางเขตคาบสมุทรที่สาคัญ ลักษณะชายฝ่งั ทางภาคใตม๎ ีลักษณะของพนื้ แผํนดนิ ทมี่ ีการยกตวั สงู ข้นึ ด๎วยเหตนุ ้ี ชายฝัง่ อําวไทยจึงมีท่ีราบชายฝัง่ เปน็ บรเิ วณกว๎างจึงเปน็ แหลํงเพาะปลูกท่ีสาคัญของภาคใต๎ ภาคใต๎เปน็ แหลงํ ที่อุดม ด๎วยทรัพยากรธรรมชาติที่มคี ําหลายชนดิ โดยเฉพาะตามแนวชายฝั่งทะเลและนาํ นนา้ ท้งั 2 ดา๎ น เปน็ แหลงํ สัตวน์ า้ และแรํธาตทุ ่ีมีความสมบรู ณ์ทั้งยังเปน็ แหลงํ ผลิตพืช เศรษฐกจิ ท่สี าคญั หลายชนิด ลกั ษณะภูมิอากาศ ปจั จยั ท่ีมผี ลต่อภูมอิ ากาศของประเทศไทย 1. ทต่ี งั้ ตามแนวละตจิ ูด ประเทศไทยตั้งอยเํู หนือเส๎นศนู ย์สูตร โดยมรี ะยะหาํ งตามแนวละตจิ ูดจากเส๎น ศนู ยส์ ูตรไมํมากนัก จงึ ได๎รับความร๎อนจากแสงอาทิตย์ตลอดทง้ั ปแี ละถือวาํ เป็นเขตร๎อน 2. ความใกลไ้ กลจากทะเล สํวนตอนบนของประเทศอยูํในพ้ืนท่ีแผํนดนิ ใหญํ สํวนตอนลํางเปน็ คาบสุ ทรอยํูติดทะเล จงึ ทาให๎ภมู อิ ากาศแตลํ ะภาคแตกตํางกัน ไมํวําจะเปน็ อุณหภูมิปริมาณนา้ ฝนหรือฤดกู าล
148 3. ลักษณะภูมปิ ระเทศ ท่ีมีอทิ ธิพลต่อสภาพภูมอิ ากาศ 3.1 ความสูงของพน้ื ท่ี 3.2 การวางตวั ของภูเขา 3.3 ทศิ ทางของลมประจา ลมมรสมุ ที่พดั ผํานประเทศไทยมี 2 ชนดิ ตามทศิ ทางลมที่พัดมาคือ 1 ) ลมมรสมุ ตะวันตกเฉียงใต๎ 2 ) ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ องค์ประกอบของภูมิอากาศ 1. อุณหภมู ิ อุณหภมู ิในประเทศไทยแบงํ ออกเป็น 2 บรเิ วณอยํางกวา๎ งๆ ตามลกั ษณะภูมิอากาศ คือ 1.1 ประเทศไทยตอนบน ไดแ๎ กํ ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนอื ภาคกลาง และภาคตะวันออก 1.2 ประเทศไทยตอนล่าง ได๎แกํ ภาคใต๎ อุณหภมู ติ ลอดท้ังปจี ะไมเํ ปลี่ยนแปลงมากนัก 2. ปรมิ าณน้าฝน มีคํอนข๎างมาก สํวนใหญํมกั เกิดในรูปของฝนตกหนักในระยะสั้น และมักพบในเวลา เย็นหรือเชา๎ ตรํู การพิจารณาฝนในประเทศไทยอาจแบํงออกไดเ๎ ป็น 2 บรเิ วณ คอื 2.1 ประเทศไทยตอนบน 2.2 ประเทศไทยตอนลําง 3. ฤดูกาล ประเทศไทยแบงํ ฤดูกาลออกเปน็ 3 ฤดู ดังนี้ 3.1 ฤดูฝน เริม่ ต้ังแตํประมาณกลางเดือนพฤษภาคมจนถึงเดือนเมษายน มรี ะยะเวลา 5 – 6 เดือน โดยลมมรสมุ ตะวันตกเฉยี งใต๎ไดพ๎ ัดปกคลุมประเทศไทยแล๎ว 3.2 ฤดูหนาว เริม่ ต้งั แตํกลางเดือนพฤศจกิ ายน ไปจนถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์ มรี ะยะเวลา 3 เดือน ในระยะนี้ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือได๎พัดปกคลุมประเทศไทยทาให๎อุณหภูมิลดลง 3.3 ฤดูร้อน เร่มิ ตงั้ แตกํ ลางเดือนภมุ ภาพันธไ์ ปจนถึงกลางเดอื นพฤษภาคม มีระยะเวลา 3 เดือน เป็น ระยะท่ีลมมรสมุ ตะวันออกเฉียงเหนอื อํอนกาลังลง กิจกรรมทางเศรษฐกิจในแต่ละภาค ภาคเหนอื ประชากรสํวนใหญปํ ระกอบอาชพี เกษตรกรรมและรองลงมาคืออุตสาหกรรม 1. การเกษตรกรรม สวํ นใหญํประกอบอาชีพเพาะปลูก เลีย้ งสตั ว์ ทาปาุ ไม๎ 2. การอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมสํวนใหญเํ ปน็ อุตสาหกรรมข้นั ต๎น 3. การทาเหมืองแร่ โดยเฉพาะแรแํ มงกานสี ซีไลต์ ฟลอู อไรต์ และดินขาว เปน็ แรํท่ผี ลิตได๎มากกวาํ ภาคอ่นื ๆ ของ ประเทศ 4. การคมนาคมขนส่ง มีระบบการคมนาคมขนสงํ ทางถนน ทางรถไฟ และทางอากาศ 5. การท่องเที่ยว การทํองเท่ยี วมคี วามสาคัญคอํ นข๎างมาก มีแหลอํ งทอํ งเที่ยว ทั้งภายในประเทศและตํางประเทศ ภาคกลาง 1. การเกษตรกรรม มี แมํน้าสายสาคัญไหลผาํ น และทกี ารชลประทานท่ีมีประสิทธิภาพ ทาให๎เป็นแหลํงปลกู ข๎าวท่ี สาคัญของประเทศ การเลีย้ งสตั ว์ จงั หวดั นครปฐมเป็นแหลํงเลย้ี งสุกรทีส่ าคญั ที่สุดของประเทศ 2. การอุตสาหกรรม โรงงานผลติ อาหารสาเร็จรูปทเี่ ป็นโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญตํ ั้งอยํใู นเขตกรงุ เทพมหานคร 3. การทาเหมืองแร่ ภาคกลางเป็นเขตหนิ ใหมํทเี่ กดิ จากการทับถมของโคลนตะกอน แรํทีผ่ ลิตได๎สวํ นใหญํเปน็ แรํ อโลหะและแรํเช้ือเพลิง 4. การคมนาคมขนส่ง เปน็ จุดรวมของการคมนาคมขนสํงทงั้ ทางถนน ทางรถไฟ ทางน้า และทางอากาศ
149 5. การทอ่ งเท่ียว มีแหลํงทํองเท่ียวทางประวตั ิศาสตรแ์ ละวฒั นธรรมทีเ่ ป็นทส่ี นใจของนักทอํ งเท่ียวทั้งชาวไทยและ ตํางประเทศ ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ 1. การเกษตรกรรม มกี ารเลี้ยงสตั ว์มากกวาํ ภาคอืน่ ๆ นอกจากนกี้ จ็ ะมีการทานา การปลูกพชื ไรํทที่ นความแหง๎ แล๎งได๎ ดี 2. การอตุ สาหกรรม สํวนใหญเํ ป็นโรงงานแปรรูปผลผลติ ทางการเกษตร โรงงานจะตงั้ อยใูํ นจังหวัดใหญํๆ ของภาค 3. การทาเหมอื งแรํ มีแรเํ พียง 2 –3 ชนดิ จังหวัดที่มีการทาเหมืองแรคํ ือ เลย นครราชสมี า อุดรธานี และ หนองบวั ลาภู 4. การคมนาคมขนสง่ มีการคมนาคมขนสงํ ทางถนน ทางรถไฟ ทางน้า และทางอากาศ 5. การท่องเที่ยว ท่ีสาคัญในภาคน้จี ะเกี่ยวข๎องสมั พนั ธก์ บั ประวตั ิศาสตร์ และวัฒนธรรม ภาคตะวันออก 1. การเกษตรกรรม สวํ นใหญจํ ะมีการปลูกพชื ไรํ มีการทานาบรเิ วรลมุํ แมนํ ้าปราจนี บุรี และแมนํ า้ ปางปะกง มีการทา สวนผลไม๎และยางพาราทีจ่ ังหวัด จนั ทบรุ ี ตราด ปราจีนบุรี และมกี ารประมงท้ังประมงน้าจืดและประมงน้าเค็ม 2. การอตุ สาหกรรม มมี ากในจงั หวัดชลบุรีและรองลงมาคือระยอง 3. การทาเหมอื งแร่ แรทํ ีส่ าคัญมี 3 ชนดิ รัตนชาติ ทรายแก๎ว พลวง 4. การคมนาคมขนส่ง มีการคมนาคมขนสํงทางถนน ทางรถไฟ ทางน้า และทางอากาศ 5. การท่องเท่ียว แหลํงทํองเทย่ี วทีร่ จ๎ู กั จักกันดที ้งั ในหมนํู กั ทอํ งเท่ียวชาวไทยและชาวตํางชาติ ภาคตะวันตก 1. การเกษตรกรรม มกี ารทานาบรเิ วณทร่ี าบลมํุ แมํนา้ การปลูกพชื ไรํ การทาสวนผลไม๎ การเล้ยี งสัตว์ การประมง แหลงํ ประมงนา้ จืดทากนั มากบริเวณเขื่อนและแมํนา้ สายใหญํๆ มกี ารทาประมงน้าเค็มในพน้ื ท่ี 2 จังหวดั คือ เพชรบรุ ี และประจวบคีรีขนั ธ์ 2. การอตุ สาหกรรม มีการทาอตุ สาหกรรมน้าตาลมาก การผลติ เครื่องปน้ั ดนิ เผา และอุตสาหกรรมแปรรูปสับปะรด 3. การทาเหมอื งแร่ มีทวิ เขาซงึ่ เป็นหินเกําแกํมีแหลํงแรํทเี่ กดิ จากหินอัคนี เชนํ แรํดุก แรํตะกั่ว แรสํ ังกะสี แรํ เฟลด์สปาร์ แรฟํ ลูออไรต์ และแรรํ ตั นชาติ 4. การคมนาคมขนส่ง มกี ารคมนาคมขนสงํ ทางถนน ทางรถไฟ ทางน้า 5. การท่องเที่ยว แหลงํ ทอํ งเทีย่ วทางธรรมชาติและทางวัฒนธรรมมากในจังหวดั กาญจนบุรี สถานท่ีตากอากาศตาม ชายฝั่งทะเล และตลาดน้าดาเนนิ สะดวก ภาคใต้ 1. การเกษตรกรรม มกี ารปลูกข๎าว แหลํงปลูกข๎าวทดี่ ีทส่ี ดุ คือ จังหวัดนครศรีธรรมราชา พทั ลุงและสงขลา ไมํยนื ตน๎ ที่ ปลูกกันมาก ไดแ๎ กํ ยางพารา มะพร๎าว เป็นต๎น ไมผ๎ ล ได๎แกํ เงาะ ทเุ รียน ลางสาด เปน็ ต๎น มีการเลี้ยงโคและกระบือ มากกวาํ เขตอ่ืนๆ มีการทาประมงน้าเคม็ ในทุกจังหวดั ท่ีมพี ื้นทต่ี ิดชายฝั่งทะเล 2. การอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมขนาดใหญํ ได๎แกํ โรงงานถลงุ แรดํ ีบุก อตุ สาหกรรมทาปลากระป๋อง สวํ นโรงงาน อุตสาหกรรมขนาดเล็ก ได๎แกํ การแปรรูปไม๎ เป็นต๎น 3. การทาเหมอื งแร่ ภาคใต๎มีการผลติ แรํทีส่ าคญั หลายชนิด 4. การคมนาคมขนส่ง การขนสงํ ทางถนน ทางหลวงสายหลักคอื ถนนเพชรเกษม มีการคมนาคมขนสํงทางรถไฟ ทาง
150 ใบงานที่ 1 ๑. ใหผ๎ ๎เู รียนอธิบายวําสภาพภูมศิ าสตรข์ องประเทศไทย ท้ัง 6 เขต มี อะไรบ๎าง และแตลํ ะเขตสวํ นมากประกอบ อาชพี อะไร ............................................................................................................................. ............................................... ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ............................................... ............................................................................................................................. ............................................... ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ............................................... ............................................................................................................................. ............................................... ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ............................................... ............................................................................................................................. ............................................... ........................................................................................................................... ๒. ผ๎เู รียนคิดวาํ ประเทศไทยมีทรัพยากรอะไรทม่ี ากท่ีสุด บอกมา 5 ชนดิ แตลํ ะชนิดสํงผลตอํ การดาเนนิ ชวี ิตของ ประชากรอยํางไรบา๎ ง ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ............................................... ............................................................................................................................. ............................................... ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ............................................... ............................................................................................................................. ............................................... ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ............................................... ............................................................................................................................. ............................................... ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ............................................... ............................................................................................................................. ............................................... ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................. ............................................................
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189