Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แผนการจัดการเรียนรู้ คุณครูประมวล เจริญสุข

แผนการจัดการเรียนรู้ คุณครูประมวล เจริญสุข

Published by jatu library, 2022-06-27 02:23:07

Description: แผนการจัดการเรียนรู้ คุณครูประมวล เจริญสุข

Search

Read the Text Version

51 ความดันไอของสาร A รวมกบั ไอนา้ จะเทํากับ 760 มิลลเิ มตรของปรอท หรือเทํากับความดันบรรยากาศ จึงทาให๎สาร A และนา้ กลายเป็นไอออกมาได๎ท่ีอุณหภูมิต่ากวําจุดเดือดของสาร Aตัวอยํางการแยกสารโดยการกล่ันด๎วยไอน้าได๎แกํ การแยกน้ามันหอมระเหยออกจาก สํวนตํางๆของพืชเชํนการแยกน้ามันยูคาลิปตัสออกจากใบยูคาลิปตัสการแยก น้ามัน มะกรูดออกจากผิวมะกรดู การแยกน้ามันอบเชยจากเปลอื กตน๎ อบเชยเปน็ ต๎นในการกล่ัน ไอน้าจะไปทาให๎น้ามัน หอมระเหยกลายเป็นไอแยกออกมาพร๎อมกับไอน้าเมื่อทาให๎ไอ ของของผสมควบแนํนโดยผํานเครื่องควบแนํนก็จะได๎ นา้ และน้ามนั หอมระเหยปนกันแตํ แยกชนั้ กนั อยูทํ าใหส๎ ามารถแยกเอาน้ามนั หอมระเหยออกจากน้าไดง๎ ําย 2.4 การตกผลึก (Crystallization) คือกระบวนการเกิดผลึกของแข็งจากสารละลาย(solution) จากของเหลว (melt) หรือไอ (vapor)โดย กระบวนการดงั กลาํ ว อาจเกิดขน้ึ เองในธรรมชาตหิ รือเกดิ ขึ้นจากการทดลองในห๎องปฏิบัติการตัวอยําง การเกิดผลึกใน ธรรมชาติ เชนํ ผลึกน้าแขง็ (ice crystals) หิมะ (snow) เปน็ ตน๎ ผลึกของสารอินทรียเ์ ชนํ อินซูลินและนา้ ตาล ผลึกของ ธาตุเชํน แกลเลียม และซลิ ิกอน ซงึ่ สามารถเกดิ ในธรรมชาตแิ ละถกู สงั เคราะห์ การเลอื กตวั ทาละลายท่เี หมาะสมตอ่ การตกผลกึ มหี ลักในการเลือกดังนี้ 1. ละลายสารท่ีตอ๎ งการตกผลกึ ในขณะร๎อนไดด๎ ี และละลายได๎น๎อยหรือไมลํ ะลายเลยท่ีอุณหภูมิต่า(ขณะเย็น) 2. ไมลํ ะลายสารปนเปื้อนขณะรอ๎ นหรือละลายไดน๎ ๎อยขณะร๎อน แตํละลายไดด๎ ีขณะเยน็ 3. ควรมีจุดเดือดตา่ เพ่ือสามารถกาจดั ออกจากผลึกไดง๎ ําย 4. ไมทํ าปฏิกริ ิยากบั สารทต่ี อ๎ งการตกผลกึ 5. ควรทาให๎สารที่ทต่ี ๎องการทาให๎บริสทุ ธ์เิ กิดเป็นผลึกท่ีมรี ูปราํ งชดั เจน 6. ไมเํ ปน็ พิษ 7. หางาํ ย และราคาถูก

52 แบบทดสอบก่อนเรยี น-หลงั เรยี น เรื่องการแยกสาร คาชี้แจง จงเลือกคาตอบท่ีถูกตอ๎ งทส่ี ุด เพยี งคาตอบเดยี ว 1. ข๎อใดเป็นหลักการแยกสารด๎วย “การกรอง” ก. แยกสารเนื้อผสมที่องค์ประกอบของของแข็งที่ไมํละลายในของเหลว ข. แยกสารเน้ือผสมที่มีอนุภาคของแกส๏ ปนอยํใู นสารละลาย ค. แยกสารเนื้อผสมท่ีองค์ประกอบของสารทลี่ ะลายน้าได๎ ง. แยกสารเน้อื ผสมท่ีมีอนุภาคของของเหลวปนอยํใู นสารละลาย 2. ข๎อใดเปน็ หลกั การแยกสารด๎วย “การกลั่น” ก. แยกสารทม่ี จี ุดเดอื ดตาํ งกนั ข. แยกสารทม่ี สี ภาพการละลายตํางกัน ค. แยกสารที่มีขนาดของอนุภาคแตกตาํ งกัน ง. แยกสารทมี่ ีความสามารถในการละลายและถูกดูดซบั บนตวั ดดู ซับแตกตํางกนั 3. ข๎อใดเป็นหลกั การแยกสารดว๎ ย “สกดั ด๎วยตวั ทาละลาย” ก. แยกสารทมี่ ีจดุ เดือดตาํ งกัน ข. แยกสารท่มี ีสภาพการละลายตาํ งกนั ค. แยกสารทมี่ ีขนาดของอนภุ าคแตกตาํ งกนั ง. แยกสารทีม่ ีความสามารถในการ ละลายและถูกดดู ซับบนตวั ดดู ซับแตกตาํ งกนั 4. ข๎อใดเปน็ หลักการแยกสารด๎วย “โครมาโตกราฟี” ก. แยกสารทมี่ จี ดุ เดือดตํางกัน ข. แยกสารทมี่ สี ภาพการละลายตํางกัน ค. แยกสารท่มี ีขนาดของอนภุ าคแตกตํางกัน ง. แยกสารที่มีความสามารถในการ ละลายและถูกดดู ซับบนตวั ดูดซบั แตกตํางกัน 5. การแยกสารเน้ือเดยี วดว๎ ยวิธีโครมาโทกราฟพี บวาํ บนกระดาษกรองมีสีปรากฏ3 สี สารน้ีคอื สารอะไร ก. ธาตุ ข. สารละลาย ค. สารบรสิ ุทธ์ิ ง. สารประกอบ

53 6. การสีเขยี วจากใบเตย ควรใชว๎ ธิ ีใด ก.การกลนั่ ธรรมดา ข. การกล่นั ด๎วยไอน้า ค. การกลัน่ ลาดับสํวน ง. การใช๎ตวั ทาละลาย 7. ผลึกเกิดจากสารในข๎อใด ก. สารละลายอิม่ ตัว ข. สารละลายเข๎มข๎น ค. สารละลายเจอื จาง ง. สารเนื้อผสม 8. ถ๎าต้ังถ๎วยสารละลายคอปเปอรซ์ ัลเฟตไว๎ในห๎องนานถึง 7 วัน ก็ยงั ไมํตกผลึก ขอ๎ ใดกลําวถูกต๎อง ก.สารละลายน้ันมีฝุนละอองปลวิ มาผสม ข.สารละลายนน้ั อ่มิ ตวั แตอํ ุณหภูมิไมํ เย็นจดั ค.สารละลายน้ันไมํอิ่มตัว จงึ ไมสํ ามารถ ตกผลกึ ได๎ ง.สารละลายไมตํ กผลกึ เพราะตวั ถูก ละลายเปน็ ของเหลว 9. สมชาย สมัคร และอภสิ ิทธ์ิ แบงํ สารละลายอม่ิ ตวั ของคอปเปอรซ์ ัลเฟต (จุนส)ี ไปทาให๎ตกผลกึ ในกลํอง พลาสติกคนละกลํอง ปรากฏวาํ ผลึกจนุ สีทีไ่ ดม๎ ีรูปรํางเป็นสี่เหลีย่ มขนมเปียกปูน ไมํเหมอื นรูปในหนังสอื แบบเรยี น เขา ทงั้ 3 คน ควรสรุปผลการทดลองตามข๎อใด ก. ผลึกจุนสีมีรูปรํางได๎หลายอยาํ ง ข. ผลการทดลองแสดงวําไมใํ ชจํ ุนสี ค. ผลกึ จุนสมี รี ปู รํางสเ่ี หลยี่ มขนม เปียกปูน ง. ผลึกจนุ สมี ีรปู รํางเหมือนรปู ในหนงั สือ แบบเรียน 10. ถา๎ มีฝุนผงอยูํในนา้ เชือ่ ม เราควรแยกฝุนผงออกดว๎ ยวธิ ใี ด ก. การกรอง ข. การกล่ัน ค.การระเหย ง.การตกตะกอน เฉลยแบบทดสอบ 1. ก 2. ก 3.ข 4.ง 5.ข 6. ก 7.ก 8. ค 9.ข 10. ก

54 แผนการจดั การเรียนรู้ รายวชิ าคุณธรรมและจริยธรรมในการใช้สื่อสังคมออนไลน์ คร้งั ที่ 5 ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2565 กศน.ตาบลโกคล่าม ระดบั ประถมศกึ ษา ๑. สปั ดาหท์ ่ี 5 วันที่ 14 เดอื น มิถนุ ายน พ.ศ. 2565 เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐น. ๒. วชิ า คณุ ธรรมและจริยธรรมในการใช้ส่อื สังคมออนไลน์ รหัสวิชา สค0200035 จานวน 3 หนวํ ยกิต ๓. มาตรฐานท่ี 5.2 มีความรู๎ ความเข๎าใจ เห็นคุณคํา และสบื ทอดศาสนา วฒั นธรรม ประเพณี เพื่อการอยูํ รวํ มกันอยํางสนั ตสิ ุข ๔. หนว่ ยการเรยี นร/ู้ เร่ือง การส่อื สารในยุคดจิ ทิ ลั ๕. สาระสาคัญ 1. บอกความหมาย องค์ประกอบ และวตั ถปุ ระสงค์ของการสอื่ สาร ได๎ 2. บอกความหมายและรูปแบบ ของการส่อื สารในยุคดิจทิ ัลได๎ 3. บอกความหมายและ ความสาคัญของเครือขาํ ยตอํ สังคมออนไลนไ์ ด๎ 4. ตระหนักถงึ ความสาคญั ของ เครือขาํ ยสงั คมออนไลน์ 5. ระบปุ ระเภทของเครือขําย สงั คมออนไลนท์ ี่นิยมใชใ๎ น ปจั จุบัน เชํน FACEBOOK INSTARGRAM TWITTER เปน็ ตน๎ 6. บอกประโยชนแ์ ละข๎อจากัด ของเครือขํายสงั คมออนไลน์ได๎ ๖. เน้อื หา 1. ความหมายองค์ประกอบ และวตั ถปุ ระสงคข์ องการ สื่อสาร 2. ความหมายและรปู แบบ ของการส่ือสารในยุคดิจิทลั 3. เครือขํายสังคมออนไลน์ (Social Network) 3.1 ความหมายและ ความสาคัญของเครือขาํ ย สงั คมออนไลน์ 3.2 ประเภทของ เครือขาํ ยสังคมออนไลน์ท่ี นิยมใชใ๎ นปัจจุบนั 3.3 ประโยชน์และ ข๎อจ ากัดของเครือขาํ ยสังคม ออนไลน์ 4. มารยาทการสื่อสารในยุค ดจิ ทิ ัล 5. แนวโน๎มส่อื ดิจทิ ลั ใน อนาคต 6. กรณีศึกษา : การใช๎ ประโยชน์การสื่อสารในยุค ดิจทิ ลั 7. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้/ผลการเรยี นรู้ที่คาดหวงั 1. การสอื่ สารในยุคดจิ ทิ ัล ความหมาย องคป์ ระกอบ และวัตถุประสงคข์ องการส่ือสาร ความหมาย และ รปู แบบของ การสื่อสารในยุคดิจิทลั เครือขํายสงั คมออนไลน์ (Social Network ) มารยาทการสื่อสารในยุคดจิ ทิ ัล แนวโน๎มสื่อดิจทิ ัล และกรณีศึกษา : การใชป๎ ระโยชน์การสื่อสารในยุคดจิ ิทัล 2. คณุ ธรรมและจริยธรรมในการใช๎สื่อสังคมออนไลน์ ความหมายและความสาคัญของคุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณในการใชส๎ ่ือสังคม ออนไลน์ ความสาคญั การรู๎เทาํ ทนั สื่อ ความรบั ผดิ ชอบในการใชส๎ อ่ื สังคมออนไลน์ กฎหมายเก่ียวกบั การ ใช๎ส่อื สังคมออนไลน์ ความแตกตํางระหวํางคณุ ธรรมจริยธรรมและกฎหมายเก่ียวกับการใชส๎ ่ือ สงั คม ออนไลน์ และกรณีศึกษา : การละเมดิ คณุ ธรรมและจรยิ ธรรมในการใชส๎ ื่อสังคมออนไลน์ 8. การบรู ณาการกับหลกั แนวคิดของเศรษฐกจิ พอเพยี ง (2 เงอ่ื นไข 3 หลักการ การเชอื่ มโยงสูํ 4 มิติ) ความรู้ - นกั ศกึ ษามคี วามรู๎ เรื่อง การสอ่ื สารในยคุ ดิจทิ ลั - นักศกึ ษามคี วามรูเ๎ ร่ือง คุณธรรมและจรยิ ธรรมในการใช๎ส่ือสงั คมออนไลน์

55 คุ ณธรรม - มคี วามมงํุ ม่ันในการทางาน - มคี วามสามคั คีในหมํูคณะ - ใฝหุ าความร๎เู พื่อพัฒนาอยํูเสมอ พอประมาณ - มีความพอประมาณในเรื่องของเวลาการแบํงเวลาในการศึกษาหาความร๎ูและการใช๎สื่อ สังคมออนไลน์ได๎อยาํ งเหมาะสม - พอประมาณในเคร่ืองมอื สื่อสารในยุคดิจทิ ัล มีเหตุผล - ไดค๎ วามรเู๎ กีย่ วกบั เครื่องมือส่ือสารในยุคดิจิทัล - ได๎ความรเู๎ กี่ยวกบั คุณธรรมและจริยธรรมในการใช๎ส่อื สงั คมออนไลน์ มีภูมิคุ้มกัน - ร๎จู ักเคร่ืองมือส่อื สารในยุคดจิ ทิ ัล เพื่อนาไปปรับใช๎ในการดารงชวี ติ - มีคณุ ธรรมและจริยธรรมในการใชส๎ ่ือสังคมออนไลน์ เพ่ือเตรยี มความพร๎อมในการ เปลี่ยนแปลงด๎านการสื่อสารในยคุ ดิจิทลั วัตถุ - รจ๎ู ักเลือกเคร่ืองมือสื่อสารในยุคดิจิทัล เพ่ือใช๎ในการดารงชีวติ - มีทกั ษะในการเลือกและการใช๎เคร่ืองมือสื่อสารในยุคดิจิทลั ทเี่ ปน็ ประโยชนม์ าใช๎ในการ ดาเนินชีวิตของตวั เองในชุมชนและสงั คม สงั คม - มีทกั ษะการอยํูรวํ มกนั ในกลุํม และทางานรํวมกบั ผ๎ูอ่นื ได๎อยํางมคี วามสขุ - สามารถนาความร๎ูท่ีได๎ไปเผยแพรใํ ห๎กับครอบครวั และชุมชน สงิ่ แวดล้อม - ร๎ูจกั การนาความรเ๎ู กย่ี วกบั เครื่องมือสื่อสารในยุคดิจิทัล เพอ่ื พัฒนาสิ่งแวดลอ๎ มให๎นาํ อยํู - มีคณุ ธรรมและจริยธรรมในการใช๎ส่ือสงั คมออนไลน์ เพอ่ื นาไปใชใ๎ นชวี ิตประจาวัน วัฒนธรรม - สืบทอดและเผยแพรํข๎อมลู สํูครอบครัว ชุมชน และสังคม 9. กระบวนการจัดการเรียนรู้และกิจกรรมเพ่ิมเติม ขนั้ ตอนท่ี 1 การกาหนดสภาพ ปัญหา ความตอ้ งการในการเรียนรู้ (O : Orientation) ครูอธิบายความหมายองคป์ ระกอบ และวตั ถุประสงค์ของการ ส่อื สาร และรปู แบบ ของการสื่อสาร ในยุคดจิ ทิ ลั ความสาคญั ของเครือขํายตํอ สงั คมออนไลน์ได๎ ขนั้ ตอนที่ 2 การแสวงหาขอ้ มูลและจัดการเรยี นรู้ (N : New ways of learning) 1. ครแู บํงผเู๎ รียนกลํุมละ 3-5 คน 2. ครใู หผ๎ ๎เู รยี น ดู VCD เรอ่ื งการใช๎สอื่ การใชโ๎ ซเชยี ลมเี ดียใหป๎ ลอดภยั เวบ็ ไซต์ https://www.youtube.com/watch?v=TcKZGckHDbE 3. ครูและผ๎ูเรยี นสรุปส่งิ ที่ได๎เรยี นรร๎ู วํ มกนั และผู๎เรียนบันทึกสรปุ สง่ิ ได๎เรยี นรลู๎ งในสมุดบันทกึ กิจกรรม ขัน้ ตอนท่ี 3 การปฏิบัติและนาไปประยกุ ต์ใช้(I : Implementation)

56 1. ครใู หผ๎ ๎ูเรียนออกมานาเสนอประโยชน์ของส่อื ออนไลน์ 2. ใหผ๎ เู๎ รยี นแสดงความคิดเห็นเพม่ิ เติมจากการนาเสนอของแตลํ ะคนวาํ จะนาไปประยุกต์ใช๎ใน ชวี ิตประจาวนั ได๎อยํางไร 1. ครแู ละผเ๎ู รียนสรุปสงิ่ ที่ไดเ๎ รยี นรร๎ู วํ มกนั และผ๎เู รยี นบันทึกสรุปส่ิงไดเ๎ รียนรูล๎ งในสมุดบันทึก กิจกรรม ข้ันตอนที่ 4 การประเมินผล (E : Evaluation) 1. ครูสํมุ ผ๎เู รียนประมาณ 3-5 คน ใหต๎ อบคาถามในประเด็นผเ๎ู รียนจะนาสง่ิ ท่ีไดเ๎ รียนรเ๎ู รื่องสอ่ื การใช๎ โซเชยี ลมเี ดยี ใหป๎ ลอดภัย 2. ครูและผ๎ูเรียนสรปุ สิ่งที่ได๎เรียนร๎ูรํวมกัน และผู๎เรียนบนั ทึกสรปุ สิง่ ไดเ๎ รียนร๎ูลงในสมดุ บันทกึ กิจกรรม 3. ใบงาน 10.สือ่ /แหล่งเรียนรู้ 1. คลปิ วีดที ศั นเ์ รือ่ งการใชส๎ อื่ ออนไลน์ 2. คลปิ วีดีทัศน์ ประโยชน์การใช๎ส่ือออนไลน์ 3. ใบความร๎ู 4. ใบงาน ๑1. การวัดและประเมินผล ๑1.๑วิธีการวัดและประเมินผล - การสงั เกตพฤติกรรมการทางานรวํ มกบั ผอู๎ ่นื ของผ๎เู รยี นรายบคุ คล - ใบงาน ๑๐.๒ เคร่ืองมอื วดั และประเมินผล - แบบบันทกึ ผลการสังเกตพฤตกิ รรมการทางานรํวมกบั ผู๎อื่น ของผเู๎ รยี นรายบุคคล - ผลจากการตรวจใบงาน ๑๐.๓ เกณฑก์ ารวดั และการประเมนิ ผล - ผลการสังเกตพฤติกรรมการทางานรวํ มกบั ผู๎อ่นื ของผเู๎ รียนรายบุคคล ระดบั ดี พอใช๎ ควร ปรับปรงุ - ใบงานคะแนนเตม็ ๑๐ คะแนน กจิ กรรมเสนอแนะ ..................................................................................................................................................................................... ลงชือ่ …………………………………………….ครูผ๎สู อน (นายประมวล เจรญิ สขุ ) ครู กศน.ตาบล ขอ้ เสนอแนะของผู้บรหิ าร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………......................………........ ลงชือ่ ………………………………………………………ผอู๎ นุมัตแิ ผน (นางปัทมาภรณ์ ศรีเนตร) ผอู๎ านวยการ กศน.อาเภอจตุรพกั ตรพิมาน

57 บนั ทึกหลังการจดั การเรียนรู้ กศน.ตาบลน้าใส คร้ังท่ี 5 วนั ที่ 14 เดือน มถิ ุนายน พ.ศ. 2565 ครูผสู๎ อน นายประมวล เจรญิ สุข ระดบั ประถมศึกษา เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐ น. สาระความรู๎พ้นื ฐาน รายวิชาคุณธรรมและจรยิ ธรรมในการใชส้ อื่ สงั คมออนไลน์ รหัสวชิ า สค0200035 จานวนผู๎เรยี นทั้งหมด ............... คนเข๎าเรียน…………………คน ไมเํ ข๎าเรยี น……………………….คน ๑. ผลการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้การประเมินโดยใช๎ แบบทดสอบกํอนเรยี น - หลังเรียน พบวาํ คะแนนการทดสอบหลังเรียน มากกวาํ กํอนเรยี นจานวน ........ คนคิดเปน็ ร๎อยละ............ คะแนนการทดสอบหลงั เรยี น นอ๎ ยกวาํ กํอนเรยี นจานวน ......... คนคิดเป็นรอ๎ ยละ............ ๒. เนื้อหา/สาระ ................................................................................................................................................ ................ .................................................................................................................. .............................................. ............................................................................................................................. ................................... ๓. กจิ กรรมการเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. .......... ๔. ปัญหา/อปุ สรรค การเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................... ๕. แนวทางการแก้ปญั หา ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................... ลงชือ่ ....................................................... (นายประมวล เจริญสุข) ครผู ูส๎ อน วันท.ี่ ............../.................../............... ความคดิ เหน็ /ขอ้ เสนอแนะของผบู้ ริหาร ............................................................................................................................. ............................................................ ................................................................................................................................. ........................................................ ....................................................................................................................................................... ลงช่ือ.................................................................. (นางปทั มาภรณ์ ศรเี นตร) ผ๎ูอานวยการ กศน.อาเภอจตรุ พกั ตรพมิ าน

58 ใบความรู้ เรอื่ ง เทคโนโลยดี จิ ทิ ัล ความรู๎เกี่ยวกับยุคดจิ ิทลั ปจั จุบนั กลมํุ คนท่เี กิดและเตบิ โตในยคุ เทคโนโลยีดิจทิ ลั เรยี กวํา Digital native ซง่ึ เด็กและ เยาวชนเกย่ี วขอ๎ งกับสง่ิ ตาํ ง ๆ ทเ่ี ป็นดจิ ิทลั ดว๎ ยรปู แบบและชอํ งทางท่แี สนงํายดายในทุกทแ่ี ละทุกเวลา ที่ ต๎องการ ตวั อยํางการมีสํวนรํวมแบบออนไลน์ อาทิเชนํ Social networking Instant-massing (IM) Video- streaming การแชร์ภาพ และการใช๎อนิ เทอร์เนต็ แบบเคลื่อนท่ี การแนะนา เกีย่ วกับการใช๎เทคโนโลยีอนิ เทอรเ์ น็ตจะ ไมใํ ชเํ รื่องจาเปน็ สาหรับเด็กและ เยาวชนยคุ ดิจทิ ัล เพราะพวกเขาสามารถพัฒนาทกั ษะเกี่ยวกบั เทคโนโลยีอินเทอรเ์ น็ต ได๎อยาํ งรวดเร็ว เมื่อเปรยี บเทียบกบั กลํุมคนทมี่ ีอายมุ ากกวํา แตํทวาํ การใชง๎ านท่ีปราศจากคาแนะนาก็ทาให๎พวกเค๎า ยงั คงเป็นเพียงผ๎ใู ช๎เทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่ือสารมือสมัครเลนํ ซึง่ อาจนาไปสูขํ ๎อกังวลและ ปัญหาตาํ งๆ เกย่ี วกับการใชเ๎ ทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารที่เหมาะสมและถูกต๎อง เพือ่ ให๎ ความรูใ๎ นเรือ่ งดงั กลาํ วแกํเด็กและ เยาวชน เดก็ และเยาวชนจาเปน็ ต๎องพฒั นาความร๎ู การคดิ เชงิ วิเคราะห์ รวมถึงทักษะการส่อื สารและการจัดการ สารสนเทศสาหรับยุคดิจิทัล 1. ความหมายการรู๎ดจิ ทิ ัล การรด๎ู ิจทิ ลั (Digital Literacy) คอื การผนวกกันของทักษะความร๎ูและความเข๎าใจ ทีผ่ ๎ูเรยี น ตอ๎ งเรยี นรเ๎ู พ่ือท่จี ะมีสวํ นรํวมอยํางเตม็ ท่ีและมีความปลอดภยั ในโลกยคุ ดิจิทลั มากขึ้น ทกั ษะความร๎ู และ ความเข๎าใจนี้เปน็ กุญแจสาคัญของหลักสูตรการศึกษาข้นั พื้นฐานทัง้ ระดบั ประถมศึกษาและ มัธยมศกึ ษา และควรจะ ผสานให๎อยํใู นการเรยี นการสอนของทุกรายวชิ าทุกระดบั ชนั้ นอกจากน้ียัง เกีย่ วข๎องกับความรู๎ความสามารถและ ทกั ษะของบุคคลในการเข๎าถงึ ดจิ ทิ ลั ประเมนิ คุณภาพของดิจทิ ลั และใช๎ดจิ ิทัลอยาํ งมีประสทิ ธิภาพทกุ รปู แบบ ผู๎รู๎ ดิจิทัลจะตอ๎ งมที ักษะในด๎านตํางๆ เชํน ทกั ษะการคดิ วิเคราะหแ์ ละ/หรือ การคิดอยํางมีวิจารณญาณ ทักษะการใช๎ ภาษา ทักษะการใชค๎ อมพิวเตอร์ เปน็ ตน๎ นอกจากนี้ Digital literacy หมายถึงทกั ษะความเขา๎ ใจและใชเ๎ ทคโนโลยี ดจิ ิทลั โดยเปน็ ทกั ษะในการนาเครอ่ื งมือ อปุ กรณ์ และเทคโนโลยีดจิ ทิ ัลที่มอี ยใํู นปจั จบุ ัน อาทิ คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ แทปเลต โปรแกรมคอมพิวเตอร์ และสอื่ ออนไลน์ มาใช๎ใหเ๎ กดิ ประโยชน์สูงสุด ในการส่อื สาร การ ปฏบิ ตั งิ าน และ การท างานรวํ มกัน หรอื ใชเ๎ พ่ือพัฒนากระบวนการทางาน หรอื ระบบงานในองค์กรให๎มี ความทนั สมัยและมี ประสทิ ธิภาพ ทักษะดงั กลําวครอบคลมุ ความสามารถ 4 มิติ ได๎แกํ การใช๎(Use) เขา๎ ใจ (Understand) การสรา๎ ง (create) และเขา๎ ถึง (Access) เทคโนโลยดี ิจิทลั ไดอ๎ ยํางมีประสิทธิภาพ ทั้งนีค้ าท่แี สดงลักษณะความรสู๎ ามารถดจิ ิทลั คือ รู๎ใช๎ ร๎ู เขา๎ ใจ รสู๎ รา๎ งสรรคซ์ งึ่ ถือเป็น ความสามารถสาหรบั การรด๎ู ิจิทัลโดยมีรายละเอยี ดดงั น้ี ใช๎ (Use) แสดงถงึ ความ คลอํ งแคลวํ ทางเทคนิคทจ่ี าเป็นในการใช๎กับคอมพวิ เตอร์และ อนิ เทอรเ์ นต็ ชดุ รปู แบบพ้ืนฐานสาหรับการพฒั นาทักษะ ทางเทคนิคทีจ่ าเปน็ รวมถงึ ความสามารถใน การใช๎โปรแกรมคอมพวิ เตอร์ เชํน โปรแกรมประมวลผล เว็บเบราเซอร์E- mail และการสอ่ื สารอนื่ ๆ เครอ่ื งมือคน๎ หาและฐานข๎อมลู ออนไลน์ เข๎าใจ (Understand) คือความสามารถทจ่ี ะเข๎าใจ บรบิ ทท่ีเก่ยี วข๎อง และประเมินส่ือดจิ ทิ ัล ตระหนักถึงความสาคัญของการประเมินผลที่สาคัญในการทาความเข๎าใจ ดจิ ิทลั เนื้อหาของสื่อ และการ ประยุกต์ใชส๎ ามารถสะท๎อนให๎เหน็ ถงึ รูปราํ งการเพ่มิ หรือจัดการกับความร๎ูสกึ ความเช่อื ของเราและ ความร๎ูสกึ เกี่ยวกับโลกรอบตวั เราความเขา๎ ใจความสาคัญของสื่อดิจิทลั ทีช่ ํวยใหบ๎ ุคคลเก็บเกย่ี ว

59 ผลประโยชนแ์ ละลดความเสยี่ ง การมีสํวนรวํ มในสังคมเต็มรูปแบบดิจิทลั ทักษะชุดน้ียงั รวมถงึ การ พัฒนาทักษะการ จัดกาสารสนเทศและการแข็งคาํ ของสิทธคิ นและความรบั ผิดชอบในการไปถึง ทรัพยส์ นิ ทางปัญญา ในเศรษฐกจิ ความรู๎ ชาวแคนาดาจาเปน็ ต๎องร๎ูวธิ ีการหาประเมนิ ผลและมี ประสิทธภิ าพใชข๎ ๎อมลู เพ่ือการส่ือสารการท างานรํวมกันและ แก๎ปญั หาในชวี ติ สวํ นตวั และเปน็ มืออาชพี ของพวกเขา สรา๎ งสรรค์ (Create) ความสามารถในการสร๎างเนื้อหาและมี ประสทิ ธิภาพ การติดตอํ สือ่ สารโดยใชค๎ วามหลากหลายของสอ่ื ดจิ ทิ ัลเปน็ เคร่ืองมือ การสร๎างสื่อดจิ ทิ ัลมคี วามหมาย มากกวํา ความสามารถในการใชโ๎ ปรแกรมประมวลผลหรือเขยี นอเี มล์ รวมถึงความสามารถในการปรับ การสอ่ื สารกบั สถานการณ์และผรู๎ บั สารการสรา๎ งและตดิ ตํอสอ่ื สารโดยใช๎สื่อผสม เชํน ภาพวดี ิโอและ เสียงประกอบอยํางมี ประสิทธิภาพและมคี วามรบั ผิดชอบ ประกอบกับเนือ้ หาเวบ็ ไซตท์ ผ่ี ูเ๎ รียนสรา๎ ง เชํนบล็อกและเวทสี นทนา วดี ิโอและ ภาพถาํ ยรํวมกนั เลํนเกมทางสังคม และรปู แบบอนื่ ๆ ของสื่อ สังคม แนวคดิ น้ียังตระหนักถึงส่งิ ท่เี ปน็ ความรใ๎ู นโลก ดจิ ิทัลที่ไมํเพยี งแตสํ ร๎างความชานาญทางดา๎ น เทคโนโลยีเทํานั้น แตยํ งั คานงึ ถึงจรยิ ธรรม การปฏิบัตทิ างสังคมและการ สะทอ๎ นสิ่งทฝี่ ังอยํูในการ เรียนรู๎ การใชเ๎ วลาวําง และการใชช๎ ีวิตประจาวนั ภายใตก๎ ารรู๎ดจิ ทิ ัล คอื ความหลากหลายของ ทกั ษะตําง ๆ ทีเ่ กย่ี วข๎องสัมพันธ์กันซ่ึงทักษะ เหลําน้ันอยูํภายใต๎การรส๎ู อื่ (Media literacy) การร๎ูเทคโนโลยี (Technology literacy) การรู๎ สารสนเทศ (Information literacy) การร๎ูเกี่ยวกับส่งิ ท่ีเหน็ (Visual literacy) การรู๎การส่ือสาร (Communication literacy) และการร๎สู ังคม (Social literacy การร๎สู ื่อ (Media Literacy) การร๎สู ือ่ สะท๎อนความสามารถของผ๎เู รียนเก่ียวกบั การเข๎าถงึ การวเิ คราะห์ และ การผลติ สือ่ ผํานความเข๎าใจและการตระหนักเกยี่ วกบั 1.ศลิ ปะ ความชานาญในเทคโนโลยีสวํ นใหญมํ ักจะเกยี่ วข๎องกับความรด๎ู ิจทิ ัล ซึง่ ครอบคลมุ จากทักษะคอมพิวเตอรข์ ้ันพ้นื ฐานสูํ ทกั ษะที่ซบั ซอ๎ นมากขนึ้ เชนํ การแกไ๎ ขภาพยนตรด์ จิ ิทลั หรือ การเขยี นรหสั คอมพิวเตอร์ การรส๎ู ารสนเทศ (Information literacy) การรสู๎ ารสนเทศเป็นอกี สงิ่ ท่สี าคัญของการรูด๎ จิ ทิ ัลซ่งึ ครอบคลมุ ความสามารถในการ ประเมินวาํ สารสนเทศใดทผ่ี ๎ูเรยี น ต๎องการ การร๎วู ธิ กี ารท่ีจะค๎นหาสารสนเทศทีต่ ๎องกาแบบรออนไลน์ และการรู๎การประเมินและการใช๎สารสนเทศท่ี สบื คน๎ ได๎ การรสู๎ ารสนเทศถูกพัฒนาเพ่ือการใชห๎ อ๎ งสมดุ มันยงั สามารถเข๎าได๎ดีกับยคุ ดจิ ิทลั ซ่ึงเปน็ ยุคท่ีมีข๎อมูล สารสนเทศออนไลนม์ หาศาลซง่ึ ไมํได๎มีการกรอง ดงั นัน้ การรวู๎ ธิ กี ารคิดวิเคราะห์เกี่ยวกบั แหลงํ ท่มี าและเน้ือหานบั เป็น สิ่งจาเปน็ การรเ๎ู กยี่ วกบั สงิ่ ทเี่ ห็นสะทอ๎ นความสามารถของของผ๎เู รยี นเกยี่ วกบั ความเข๎าใจ การแปล ความหมายส่ิงท่ี เหน็ การวิเคราะห์ การเรยี นรู๎ การแสดงความคดิ เหน็ และความสามารถในการใชส๎ งิ่ ท่ี เหน็ นน้ั ในการท างานและการ ดารงชีวิตประจาวนั ของตนเองได๎ รวมถึงการผลิตข๎อความภาพไมํวาํ จะผํานวัตถุ การกระทา หรือสญั ลักษณ์ การรู๎ เกีย่ วกับสิง่ ทเ่ี หน็ เป็นสิง่ จาเป็นสาหรบั การเรยี นรู๎และ การส่อื สารในสงั คมสมยั ใหมํ การรก๎ู ารสอื่ สาร (Communication literacy การร๎กู ารสื่อสารเป็นรากฐานสาหรับการคิด การจดั การ และการเชือ่ มตํอกบั คนอื่นๆ ใน สงั คมเครือขําย ทุกวันนเี้ ดก็ และเยาวชนไมํเพยี งจาเปน็ ต๎องเข๎าใจการบูรณาการความรู๎จากแหลงํ ตํางๆ เชนํ เพลง วิดโี อ ฐานข๎อมลู ออนไลน์ และ สอ่ื อน่ื ๆ พวกเคา๎ ยังจาเป็นต๎องรวู๎ ธิ กี ารใช๎แหลงํ สารสนเทศ เหลํานน้ั เพ่ือเผยแพรํและแลกเปลยี่ นความรู๎

60 การรู๎สงั คม (Social literacy) การรู๎สังคมหมายถึงวัฒนธรรมแบบการมสี ํวนรวํ ม ซง่ึ ถูกพฒั นาผาํ นความรวํ มมือและ เครือขาํ ย เยาวชน ตอ๎ งการทักษะสาหรับการท างานภายในเครือขาํ ยทางสงั คม เพอ่ื การรวบรวมความรู๎ การเจรจาข๎ามวัฒนธรรมที่ แตกตาํ ง และการผสานความขดั แยง๎ ของข๎อมลู 1. ความสาคญั ของการร๎ูดิจทิ ัล เทคโนโลยีให๎โอกาสในการมีสวํ นรํวมของการเรียนรู๎ ชุมชน สงั คม และ กจิ กรรมการทางาน ทุกคนจะต๎องมีความร๎ูดิจทิ ลั เพอ่ื ใช๎ประโยชน์สงู สดุ ดงั น้ี 2. ดา๎ นการศึกษา การรู๎ดจิ ิทัลเปน็ ส่ิงจาเป็นสาหรับการศึกษาของบุคคลทุกระดับ ท้ังการศึกษาในระบบ โรงเรียน การศกึ ษานอกระบบโรงเรียน การศึกษาตามอัธยาศัย และการเรียนรู๎ตลอดชีวติ โดยเฉพาะ อยํางยิ่ง การศกึ ษาในปัจจบุ ันที่ มีการปฏิรูปการเรยี นร๎ทู ่ีเน๎นผเู๎ รยี นเปน็ สาคญั ดังนัน้ บทบาทของผ๎ูสอน จึงเปล่ียนเป็นผู๎ให๎ คาแนะนาชแ้ี นะโดยอาศยั ทรัพยากรเปน็ พื้นฐานสาคัญ รวมไปถึงทรพั ยากรทาง เทคโนโลยีดว๎ ย 3. ดา๎ นการดารงชีวติ ประจาวนั การรูด๎ ิจิทลั เป็นสงิ่ สาคัญย่ิงในการดารงชีวติ ประจาวัน เพราะผู๎รด๎ู จิ ิทัลจะเป็น ผ๎ูทสี่ ามารถ วเิ คราะหป์ ระเมนิ และใชง๎ านเทคโนโลยีสารสนเทศให๎เกิดประโยชนส์ ูงสุดแกตํ นเอง เม่ือต๎องการ ตัดสินใจ เรอ่ื งใดเร่ืองหนงึ่ ไดอ๎ ยํางมปี ระสทิ ธภิ าพ ก็สามารถใชค๎ วามรจ๎ู ากการรูด๎ จิ ทิ ัลเข๎ามาชํวยในการ หาขอ๎ มลู แล๎วจงึ คอํ ย ตัดสนิ ใจ เป็นต๎น 4. ด๎านการประกอบอาชีพ การรด๎ู จิ ทิ ลั มคี วามสาคัญตํอการประกอบอาชีพของบคุ คล เพราะสามารถแสวงหา ดิจทิ ัล เพอื่ เป็นตัวชํวยด๎านสารสนเทศ ทม่ี คี วามจาเป็นตํอการประกอบอาชีพของตนเองได๎ เชนํ เกษตรกร เม่ือประสบ ปญั หาโรคระบาดกบั พชื ผลทางการเกษตรของตน สามารถใช๎ความรูด๎ า๎ นการรู๎ดจิ ทิ ัลเข๎ามา ชวํ ยในการหาตวั ยาหรอื สารเคมีเพื่อมากา จัดโรคระบาด ดังกลาํ วได๎ เป็นตน๎ 5. ดา๎ นสงั คม เศรษฐกิจ และการเมือง การรูด๎ จิ ิทัลเป็นสิง่ สาคญั โดยเฉพาะสงั คมในยุคเทคโนโลยสี ารสนเทศ บคุ คลจาเป็นต๎องรู๎ ดจิ ทิ ัล ร๎ูสารสนเทศเพ่ือปรบั ตนเองใหเ๎ ข๎ากบั สังคม เศรษฐกจิ และการเมอื ง เชํน การอยูํรํวมกนั ใน สงั คม การบรหิ ารจดั การ การดาเนินธุรกจิ และการแขํงขนั การบรหิ ารบ๎านเมืองของผู๎นาประเทศ เป็น ต๎น การร๎ูดจิ ิทัล จะทาให๎ก๎าวหนา๎ มากกวาํ ผ๎ูอน่ื หน่งึ กา๎ วเสมออาจกลาํ วไดว๎ ําผร๎ู ดู๎ จิ ทิ ลั คือ ผู๎ท่มี ี อานาจ สามารถาชี้วัดความสามารถของ องค์กรหรือประเทศชาตไิ ด๎ ดงั นน้ั ประชากรทเ่ี ป็นผู๎รูด๎ จิ ทิ ลั จงึ ถือวาํ เป็นทรัพยากรทม่ี ีคํามากท่ีสุดของประเทศ 3. ผลกระทบของการรูด๎ ิจิทลั การรู๎ดิจิทลั มคี วามสาคญั มาก ในยคุ เทคโนโลยีสารสนเทศ เพราะมีการนามา ประยุกต์อยํูใน ทกุ ดา๎ น ตลอดจนชีวิตประจาวัน จึงสงํ ผลกระทบหลายด๎าน ทั้งด๎านการเรียน ด๎านสงั คม ดา๎ นเมืองการ ปกครอง การประกอบอาชีพ เพราะทุกด๎านล๎วนแล๎วแตใํ ช๎เทคโนโลยเี ข๎ามา ชํวยเพิ่มโอกาสและการใช๎ ให๎เกดิ ประโยชน์สูงสดุ นอกจากนยี้ งั ชวํ ยให๎ออนไลน์อยํางปลอดภยั หากแตลํ ะบุคคลมีความสามารถในการตัดสินใจ ท่ี เหมาะสมและมีขอ๎ มลู เก่ียวกับการใชเ๎ ทคโนโลยที ่จี ะสํงผลกระทบ ตํอการศึกษาตลอดชีวติ รวมถึง ชวี ติ การท างานใน อนาคตดว๎ ย หากขาดทักษะการร๎ูดิจิทลั อาจจะสงํ ผล กระทบ ดังนี้ -โอกาสหรอื ขอบเขตทางการศกึ ษาแคบลง -โอกาสในการประกอบอาชีพทด่ี ลี ดน๎อยลง -พัฒนาศักยภาพของตนเองได๎ไมํเตม็ ท่ี เนือ่ งจากไมํมีการตดิ ตามข๎อมลู ขาํ วสารที่ทันสมยั -อาจเกดิ ความไมํปลอดภยั ในการใชเ๎ ทคโนโลยี เนือ่ งจากความรู๎เทาํ ไมถํ ึงกาล และขาด ทักษะการรูด๎ ิจทิ ัล จน สงํ ผล กระทบไปในทางทไี่ มํดไี ด๎

61 4. ทักษะสาคัญในการรู๎ดิจิทัล ในยุคแหงํ การแขงํ ขนั ทางสังคมคํอนขา๎ งสูงในปัจจบุ ันสงํ ผลตอํ การปรบั ตวั ให๎ ทัดเทยี มและ เทาํ ทันกับความเปลย่ี นแปลงทีเ่ กิดขึ้นในบริบททางสังคมในทุกมิติรอบดา๎ น ดังน้ันการเสริมสรา๎ งองค์ ความรู๎ (Content Knowledge) ทักษะเฉพาะทาง (Specific Skills) ความเช่ยี วชาญเฉพาะดา๎ น (Expertise) และ สมรรถนะของการรเู๎ ทาํ ทัน (Literacy) จึงเป็นตวั แปรสาคญั ท่ตี ๎องเกดิ ข้นึ กบั ตัว ผ๎ูเรยี นในการเรียนรู๎ยคุ สังคมแหํงการ เปล่ยี นแปลงในศตวรรษท่ี 21 น้ีไดอ๎ ยํางมีประสิทธภิ าพ ทักษะ 3R4C ประกอบด๎วย 3R ได๎แกํ Reading (อาํ นออก) ความสามารถด๎านภาษา (Literacy) หมายถึง ความสามารถในการอําน เพื่อร๎ู เข๎าใจ วิเคราะห์ สรุปสาระสาคัญ ประเมินส่ิงท่ีอํานจากสือ่ ประเภทตํางๆ รูจ๎ ักเลอื กอํานตามวัตถปุ ระสงค์ นาไปใช๎ในชีวติ ประจาวันและการอยรํู ํวมกันใน สงั คม ใช๎การอาํ นเพื่อการศึกษาตลอดชีวิต และส่ือสาร เปน็ ภาษาเขยี นได๎ถูกตอ๎ งตามหลกั การใชภ๎ าษาและอยําง สรา๎ งสรรค์ 1. ความสามารถในการอาํ น หมายถงึ พฤติกรรมการรู๎ ความเขา๎ ใจ การสรุปสาระสาคัญ การวเิ คราะห์ และ การประเมนิ ได๎ 2. ร๎ู หมายถึง ความสามารถบอกความหมาย เร่ืองราว ขอ๎ เท็จจริง และเหตุการณ์ตาํ งๆ 3. เข๎าใจ หมายถึง ความสามารถในการแปลความ ตีความ ขยายความ และสรปุ อ๎างอิง 4. สรุปสาระสาคญั หมายถึง ความสามารถในการสรปุ ใจความสาคัญของเนื้อเร่ืองได๎อยําง สน้ั ๆ กระชับ และครอบคลุม 5. วเิ คราะห์ หมายถึง ความสามารถในการแยกแยะเร่ืองราว ขอ๎ เท็จจริง เหตุผล ขอ๎ คดิ เหน็ คณุ คาํ และ สวํ นประกอบอืน่ ๆ 6. ประเมนิ หมายถงึ ความสามารถในการตดั สนิ ความถูกต๎อง ความชดั เจน ความเหมาะสม คุณคํา ตาม เกณฑ์ท่ีกาหนด ความรพ๎ู ืน้ ฐานเก่ียวกบั การเขียน การเขียนเป็นการส่อื สารด๎วยอกั ษร ถํายทอดความรู๎ ความคิด อารมณ์ ความร๎สู ึก ประสบการณข์ องผ๎ูเขียนไปสูผํ ๎อู ําน ทักษะการเขียนเป็นทักษะท่เี ปน็ ท้ังศลิ ป์และศาสตร์ กลาํ วคือ การ เขยี น ตอ๎ งใชภ๎ าษาท่ไี พเราะประณีต สอื่ ได๎ทั้งอารมณ์ ความคิด ความร๎ู ตอ๎ งใชศ๎ ิลปะ ท่ีกลําววาํ เป็น ศาสตรเ์ พราะการเขียน ทกุ ชนดิ ตอ๎ งประกอบด๎วยความร๎ู หลักการและวิธกี าร การเขยี นมคี วามสาคญั สาหรบั มนุษย์ ยง่ิ โลกในปจั จุบันมคี วาม เจรญิ ก๎าวหนา๎ ไปอยําง รวดเร็ว การเขียนยงิ่ ทวคี วามสาคญั มากขึ้นตามไปด๎วยซึ่งสามารถสรุปความสาคัญของการเขียน ได๎ ดังน้ี 1. การเขียนเป็นการสือ่ สารอยาํ งหนงึ่ 2. การเขยี นเป็นการแสดงออกซึ่งภมู ิปญั ญาของมนษุ ย์ 3. การเขียน เป็นเคร่ืองมือถาํ ยทอดมรดกทางสติปญั ญา 4. การเขยี นเป็นเคร่ืองมือสรา๎ งความสามัคคแี ละความเจริญรํงุ เรือง ในทาง ตรงกนั ขา๎ มก็ใช๎ เป็นเครือ่ งบํอนท าลายไดเ๎ ชนํ กัน การเขยี นจะบรรลผุ ลตามวตั ถปุ ระสงค์หรือไมนํ ้ัน สง่ิ ส าคัญอยําง หน่งึ คอื การเขยี นต๎องมี จดุ มํงุ หมายซงึ่ สามารถจาแนกไดด๎ ังน้ี 1. การเขียนเพ่ือการเลาํ เรื่อง > เปน็ การน าเรอื่ งราวท่สี าคัญมาถํายทอดเปน็ ขอ๎ เขยี น เชํน การเขยี นเลํา ประวตั ิ 2. การเขียนเพื่ออธบิ าย > เป็นการเขยี นเพื่อชีแ้ จงอธบิ ายวิธีใช๎ วธิ ีทา ขนั้ ตอนการท า เชํน อธิบายการใช๎ เครอ่ื งมือตาํ งๆ 3. การเขยี นเพอ่ื แสดงความคดิ เห็น > เป็นการเขียนเพอื่ วิเคราะห์ วจิ ารณ์ แนะนา หรือ แสดงความคดิ เหน็ เก่ียวกับเรอื่ งใดเร่ืองหน่ึง 4. การเขยี นเพื่อโนม๎ นา๎ วใจ > เป็นการเขยี นทีผ่ ๎เู ขยี นมจี ุดประสงค์ทีจ่ ะชกั จงู โนม๎ น๎าวใจให๎ ผู๎อาํ นยอมรับใน ส่ิงท่ผี ูเ๎ ขียนเสนอ 5. การเขียนเพอ่ื กิจธุระ > เป็นการเขียนทผี่ ูเ๎ ขียนมีจดุ ประสงค์อยาํ งใดอยาํ งหนง่ึ การเขยี น ชนิดนี้จะมี รปู แบบการเขียนและลักษณะการใชภ๎ าษาทแ่ี ตกตาํ งกันไปตามประเภทของการเขียน (A)Rithmetics (คิดเลขเปน็ ) ความสามารถในการน าความรูท๎ างคณิตศาสตร์ไปประยุกต์ใช๎ในสถานการณ์ตําง ๆ ใน ชีวติ ประจ าวัน ไดแ๎ กํ

62 ความสามารถในการแกป๎ ัญหาด๎วยวธิ กี ารท่หี ลากหลาย การให๎เหตุผล การ ส่อื สาร การสอ่ื ความหมายทางคณิตศาสตร์ การนาเสนอ การเชอื่ มโยงความรูแ๎ ละการมีความคิดริเริ่ม สร๎างสรรค์ คณติ ศาสตร์ในชวี ติ ประจาวัน หมาย ถงึ การนาความร๎ู เนื้อหา หลกั การทางคณิตศาสตร์ ใน ระดับท่ีเหมาะสม กับผเู๎ รยี น ไปประยุกต์ใช๎ในกิจกรรมท่ีเก่ยี วข๎องกับผูเ๎ รียน หรือใชอ๎ ธบิ าย ปรากฏการณ์ เหตกุ ารณใ์ กลต๎ วั ทส่ี ามารถพบ เห็นไดใ๎ นชวี ติ ประจาวนั ทั่วไป ทกุ เหตุการณท์ ่เี กิดขนึ้ ไมํ วําจะเกิดขึ้นทุกวนั หรือนาน ๆ คร้ัง ทง้ั ทีเ่ กี่ยวข๎องกับเรา โดยตรงหรอื โดยออ๎ ม ล๎วนแตสํ ามารถโยง ใหเ๎ ขา๎ กบั คณิตศาสตร์ได๎ทง้ั สนิ้ 4C ได๎แกํ Critical Thinking การคิด วิเคราะห์ การเรียนร๎ูทกั ษะการคิดวเิ คราะห์ควรมีเปาู หมายและวธิ กี ารดงั ตํอไปน้ี เปาู หมาย : สามารถใช๎เหตผุ ล คดิ ได๎ อยํางเป็นเหตเุ ปน็ ผลหลากหลายแบบ ได๎แกํ คดิ แบบอปุ นยั (inductive) คิด แบบอนุมาน (deductive) เปน็ ต๎น แล๎วแตสํ ถานการณ์ เปาู หมาย : สามารถใชก๎ ารคิดกระบวนระบบ (systems thinking) วเิ คราะห์ได๎วาํ ปจั จัยยํอยมี ปฏสิ ัมพนั ธ์กนั อยํางไร จนเกดิ ผลในภาพรวมเปูาหมาย วเิ คราะหแ์ ละประเมินข๎อมูลหลกั ฐาน การโต๎แยง๎ การกลาํ วอ๎าง และความเชื่อ วิเคราะหเ์ ปรยี บเทยี บและประเมินความเหน็ หลกั ๆ สงั เคราะห์และเชอ่ื มโยงระหวาํ งสารสนเทศกับข๎อ โต๎แยง๎ แปลความหมายของสารสนเทศและสรปุ บนฐานของการวเิ คราะห์ ตีความและทบทวนอยาํ งจริงจัง (critical reflection) ในดา๎ นการเรียนร๎ู และกระบวนการ เปาู หมาย : สามารถแก๎ปัญหาได๎ ฝึกแก๎ปัญหาทไี่ มํค๎ุนเคยหลากหลาย แบบ ท้งั โดยแนวทางท่ยี อมรับกนั ทว่ั ไป และแนวทางที่ แหวกแนว ตั้งคาถามสาคญั ทีช่ ํวยทาความกระจํางให๎แกํมุมมอง ตําง ๆ เพ่ือน าไปสทูํ างออกที่ดีกวาํ การเรยี นทักษะเหลาํ นี้ทาโดย PBL (Project-Based Learning) Communication การสื่อสาร การออกแบบการเรียนรท๎ู ักษะการส่อื สาร ควรมเี ปาู หมายและวธิ กี ารดงั ตํอไปนี้ เปูาหมาย : ทกั ษะในการส่ือสารอยาํ งชดั เจน เรยี บเรยี งความคิดและมมุ มอง (idea) ไดเ๎ ป็นอยํางดีสอ่ื สารออกมาให๎ เข๎าใจงาํ ยและ งดงาม และมีความสามารถสื่อสารไดห๎ ลายแบบ ทง้ั ดว๎ ยวาจา ขอ๎ เขียน และภาษาที่ไมํใชภํ าษาพูดและ เขยี น (เชนํ ทาํ ทาง สหี น๎า) ฟังอยํางมีประสิทธผิ ล เกิดการสื่อสารจากการต้ังใจฟังใหเ๎ หน็ ความหมาย ทง้ั ดา๎ นความร๎ู คุณคาํ ทัศนคติ และความตงั้ ใจใช๎การส่อื สารเพื่อบรรลเุ ปาู หมายหลายด๎าน เชํน แจง๎ ใหท๎ ราบบอกให๎ทา จูงใจ และ ชักชวน สอื่ สารอยํางไดผ๎ ลในสภาพแวดล๎อมท่ีหลากหลาย รวมทง้ั ในสภาพที่สื่อสารกันด๎วยหลาย ภาษา เปาู หมาย : ทกั ษะในการรํวมมือกับผ๎ูอ่นื แสดงความสามารถในการท างานอยํางไดผ๎ ล และแสดงความเคารพให๎เกยี รติทีมงานทีม่ ี ความ หลากหลาย แสดงความยดื หยุนํ และชวํ ยประนปี ระนอมเพื่อบรรลุเปูาหมายรวํ มกัน แสดงความรบั ผิดชอบ รํวมกันในงานท่ีต๎องทารวํ มกันเปน็ ทีมและเห็นคุณคําของบทบาทของผู๎ รํวมทมี คนอน่ื ๆ Collaboration การรํวมมือ การออกแบบการเรยี นร๎ูทักษะการรํวมมือ ควรมีเปาู หมายและวิธีการดงั ตํอไปน้ี เปูาหมาย : ทักษะในการรวํ มมือกับ ผู๎อื่น แสดงความสามารถในการท างานอยาํ งไดผ๎ ล และแสดงความเคารพใหเ๎ กยี รติทีมงานท่ีมี ความหลากหลาย แสดง ความยดื หยุนํ และชํวยประนปี ระนอมเพ่ือบรรลุเปาู หมายรวํ มกัน แสดงความรบั ผดิ ชอบรํวมกันในงานท่ีตอ๎ งทารํวมกนั เป็นทีมและเหน็ คณุ คาํ ของบทบาทของ ผูร๎ ํวมทมี คนอืน่ ๆ Creativity ความคิดสรา๎ งสรรค์ การออกแบบการเรียนรู๎ ทักษะความคดิ สร๎างสรรค์ ควรมเี ปูาหมายและวธิ กี ารดังตํอไปน้ี เปาู หมาย : ทักษะการความคดิ สรา๎ งสรรค์ ใชเ๎ ทคนคิ สร๎างมมุ มองหลากหลายเทคนิค เชํน การระดมความคดิ (brainstorming) สร๎างมมุ มองแปลกใหมํ ทัง้ ทเี่ ป็นการ ปรบั ปรุงเลก็ นอ๎ ยจากของเดิม หรือเปน็ หลกั การท่แี หวก แนวโดยสิน้ เชิง ชกั ชวนกนั ทาความเข๎าใจ ปรับปรงุ วเิ คราะห์ และประเมินมมุ มองของตนเอง เพือ่ พัฒนา ความเขา๎ ใจเกีย่ วกับการคดิ อยาํ งสร๎างสรรค์ 5. สรปุ ในอนาคตเน้อื หาการ เรยี นร๎แู บบดจิ ิตอลจะเข๎ามาแทนท่ีและบทบาทในการศกึ ษา หนังสือ ทว่ั ไปจะกลายเปน็ เอกสารประกอบในเน้ือหา รายวิชาทเ่ี ปน็ ทฤษฏีพืน้ ฐาน เพราะเน้ือหาไมํคํอยมีการ เปลยี่ นแปลง แตสํ าหรับเนอื้ หารายวิชาที่มีการเปล่ยี นแปลงได๎

63 ตลอดเวลา เชนํ เน้ือหาดา๎ นคอมพิวเตอร์และวิทยาการตาํ งๆ เนอ้ื หาการเรยี นรแู๎ บบดิจิตอลจะเขา๎ มาแทนที่ไดเ๎ พราะ สามารถแก๎ไขเน้ือหาได๎ สะดวก อีกทัง้ ขน้ั ตอนการผลิตหนังสอื ท่ัวไปจะใช๎ เวลานาน เนื้อหาการเรยี นรู๎แบบดิจิตอลจะ ทาให๎ผท๎ู ี่ สนใจในเนื้อหาตําง ๆไดม๎ ีความรจ๎ู ากเน้ือหานั้น ๆ โดยท่ไี มจํ าเป็นต๎องเข๎าเรียนในสถานศึกษา อนาคต ของ เนอ้ื หาการเรียนร๎ูแบบดิจิตอลไมํไดข๎ ึ้นอยูํกับผ๎ูอาํ นเทาํ นั้น แตยํ ังข้ึนอยํูกบั การพัฒนาและการ คิดคน๎ รปู แบบใหมํ ๆ เพื่อทาให๎มีความสะดวกในการอาํ นให๎มากขึ้น และทาให๎เน้ือหามคี วามนาํ สนใจ มากขึน้ นอกจากนนั้ แล๎วเนอ้ื หาการ เรียนรแู๎ บบดิจติ อลจะเขา๎ ไปทาใหเ๎ กิดการเปลี่ยนแปลงในตลาด ส่งิ พิมพ์เชํน หนังสือพิมพ์ วารสาร นิตยสาร เป็นตน๎ จะถูกผลิตมาในรูปแบบทเ่ี ปน็ แบบดจิ ติ อลมาก ขึ้นในอนาคต แ

64 ใบงานที่ ๑ ๑. จงอธิบายความหมายของการรู้ดิจทิ ัล …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………......................................................................………………………………… ๒. จงอธบิ ายความหมายของการร้กู ารสื่อสาร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………......................................................................………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………….......................................................................………………… ชือ่ .............................................................นามสกลุ ..............................................ระดับประถมศึกษา

65 ใบงานที่ ๒ ๑. จงอธิบายความสาคัญของการรูด้ ิจิทัล …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………… ๒. จงยกตัวอยา่ งผลกระทบจากการรู้ดจิ ทิ ัล …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………… ชอ่ื .............................................................นามสกุล..............................................ระดบั ประถมศกึ ษา

66 แผนการจัดการเรียนรู้ รายวิชาสุขศึกษาพลศึกษา ครั้งท่ี ๑ การจัดทาหนว่ ยเรยี นรู้บรู ณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2565 กศน.ตาบลน้าใส ระดบั ประถมศึกษา 1. สัปดาห์ที่ ๖ วนั ท่ี 2๑ เดือน พฤษภาคม พ.ศ.2565 เวลา 09.00 - 12.00 น. 2. วิชา สขุ ศึกษาพลศึกษา รหัสวชิ า ทช1100๒ จานวน 2 หนวํ ยกิต 3. มาตรฐานท่ี 4.2 มีความร๎ู ความเขา๎ ใจ ทักษะและเจตคติท่ดี เี กี่ยวกบั การดูแล สํงเสริมสขุ ภาพอนามยั และ ความปลอดภยั ในการดาเนนิ ชีวิต 4. หนว่ ยการเรยี นร้/ู เรอ่ื งร่างกายของเรา 5. สาระสาคญั โครงสรา๎ งหนา๎ ท่ีการทางานของระบบอวัยวะในรํางกายท่ีสาคญั ระบบสามารถปฏิบัตติ นในการดแู ลรกั ษาและ ปูองกันอาการผดิ ปกติของระบบอวยั วะสาคัญ ระบบอธบิ ายพัฒนาการและการเปลีย่ นแปลงตามวัยของมนุษย์ด๎าน รํางกาย จิตใจ อารมณ์ สงั คม สตปิ ัญญาได๎อยํางถูกต๎อง 6. เนื้อหา ๑. วฎั จักรของชวี ิตมนษุ ย์ ๒. โครงสรา๎ งหนา๎ ทแ่ี ละการทางานของอวยั วะสาคญั ของรํางกาย -อวัยวะภายนอกได๎แกํ ผิวหนงั หู ตาคอ จมูก ฟัน ผม เลบ็ ฯลฯ - อวัยวะภายใน ไดแ๎ กํ หวั ใจ ปอด กระเพาะ ลาไส๎ ตับ ไต ๓. การดแู ลรักษา ปอู งกัน ความผดิ ปกติ ของรํางกาย 7. จดุ ประสงคก์ ารเรียนร/ู้ ผลการเรยี นรทู้ ค่ี าดหวัง (ดูจากผงั การออกข๎อสอบ) ๑. อธิบายการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการตามวัยของรํางกายได๎ ๒. อธบิ ายโครงสรา๎ งและการทางานของอวัยวะภายใน และภายนอก ๓. อธบิ ายวธิ ีการดแู ลรกั ษาปูองกนั ความผิดปกติของอวยั วะทสี่ าคญั ของรํางกายทงั้ ภายในและภายนอกได๎ 8. การบรู ณาการกับหลักแนวคิดของเศรษฐกจิ พอเพียง (2 เง่อื นไข 3 หลกั การการเชอ่ื มโยงสู่ 4 มติ )ิ ความรู้ รูว๎ ําควรว่ิงอยาํ งไรจงึ จะถกู กตกิ า และมคี วามระมดั ระวงั ไมใํ หห๎ กลม๎ หรือเปน็ อันตราย คณุ ธรรม รู๎แพ๎ รช๎ู นะ รู๎อภัย พอประมาณ - นกั เรยี นรว๎ู าํ วิง่ เต็มที่ได๎เรว็ แคํไหนไมํเกินกาลงั ของตนเองจงึ เป็นประโยชนต๑ ํอตนเองและกลุํมเพ่ือน มเี หตผุ ล - รู๎จกั วธิ กี ารและกติกาของเกมอยํางถูกต๎อง มภี มู ิคุม้ กนั - ราํ งกายทแี่ ข็งแรงทาใหไ๎ มํมีโรคภยั ไข๎เจบ็

67 วัตถุ - ชวํ ยใหร๎ ํางกายแข็งแรง - ฝกึ ความคลํองแคลํงในการเคล่อื นไหน - มีความรูค๎ วาม เขา๎ ใจในการเลํนเกมวง่ิ เปย้ี วได๎อยาํ งถูกวธิ ี สังคม - มีความสามคั คีในหมํผู ูเ๎ ลนํ เป็นอยาํ งดี สิ่งแวดล้อม - สามารถนาอุปกรณ๑ในท๎องถิ่นมาใช๎ประโยชนไ๑ ด๎อยาํ งเหมาะสม วฒั นธรรม - มีระเบียบวนิ ัย และร๎จู กั เคารพกฎกติกา 9. กระบวนการจดั การเรียนรูแ้ ละกิจกรรมการเรียนรู้ ข้ันท่ี 1 กาหนดสภาพปญั หาการเรียนรู้ ๑.ครูสอบถามนักศึกษาเร่ืองเก่ยี วกบั พฒั นาการทางราํ งกาย ๒.ช้ีแจงจุดประสงคก์ ารเรยี นรู๎ ขั้นท่ี 2 แสวงหาข้อมลู และจัดการเรียนรู้ ๑.ครอู ธิบายเร่อื งเก่ยี วกับราํ งกายของเราและการวางแผนชีวติ ขั้นท่ี 3 การปฏิบตั ิและการนาไปใช้ ๑. ครสู รปุ องค์ความร๎ูในเน้ือหาเรือ่ งเกย่ี วกบั ราํ งกายของเราและการวางแผนชวี ติ ๒. นกั ศกึ ษาซักถาม และแลกเปล่ยี นความรู๎ กจิ กรรมเพมิ่ เติม ให๎นักศึกษาทารายงานคน๎ ควา๎ เพ่ิมเติมเก่ียวกับหนา๎ ที่ การทางานของอวัยวะ ตํางๆของรํางกาย ข้นั ท่ี 4 การประเมนิ ผลการเรียนรู้ 1. ประเมนิ ผลจากการทาใบงาน 2. การสงั เกตการมสี ํวนรวํ ม 10. ส่อื /แหล่งเรยี นรู้ - โปสเตอร์ระบบอวยั วะทสี่ าคัญของรํางกาย - สอ่ื Internet - ใบงานที่ 1 เร่อื ง การพฒั นาการของรํางกาย - หอ๎ งสมดุ 11. การวัดผลและประเมินผล 1. วิธกี ารวัดและประเมนิ ผล - แบบประเมินผลการสงั เกตพฤติกรรมการทางานรวํ มกบั ผ๎อู ่ืนของนักศึกษารายบคุ คล - ใบงาน - แบบทดสอบกํอนเรียน-หลงั เรยี น 2. เครอ่ื งมอื วดั และประเมนิ ผล.

68 - ประเมนิ ผลการสังเกตพฤตกิ รรมการทางานรํวมกบั ผู๎อ่ืน ของนักศกึ ษารายบคุ คล - ผลจากการตรวจใบงาน - คะแนนแบบทดสอบกอํ นเรียนและหลังเรียน 3. เกณฑ์การวดั และการประเมินผล - แบบประเมินผลการสังเกตพฤติกรรมการทางานรํวมกับผ๎อู ่นื ของนักศึกษารายบคุ คล ระดบั ดี พอใช๎ และควรปรบั ปรงุ - ใบงานคะแนนเตม็ 10 คะแนน - แบบทดสอบกํอนเรียน-หลงั เรยี น เกณฑผ์ ํานและไมํผาํ น กิจกรรมเสนอแนะ ..................................................................................................................................................... .................................... ................................................................................................................................................................... ลงช่อื …………………………………………….ครผู ส๎ู อน (นายประมวล เจรญิ สขุ ) ครู กศน.ตาบล ขอ้ เสนอแนะของผู้บริหาร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………........ ลงชอ่ื ………………………………………………………ผอ๎ู นมุ ัติแผน (นางปทั มาภรณ์ ศรีเนตร) ผู๎อานวยการ กศน.อาเภอจตุรพักตรพมิ าน

69 บันทึกหลังการจัดการเรียนรู้ การจดั ทาหน่วยเรียนรูบ้ รู ณาการหลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง คร้งั ท่ี 6 วนั ท่ี 21 เดอื น มิถุนายน พ.ศ. 2565 ครผู ส๎ู อน นายประมวล เจริญสขุ ระดบั ประถมศึกษา เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐ น. สาระการดาเนนิ ชวี ติ รายวิชา สุขศกึ ษาพลศึกษา รหัสวิชา ทช1๑๐๐2 จานวนผ๎เู รยี นทง้ั หมด ............... คนเข๎าเรยี น…………………คน ไมเํ ขา๎ เรยี น……………………….คน ๑. ผลการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้การประเมนิ โดยใช๎ แบบทดสอบกํอนเรยี น - หลังเรยี น พบวาํ คะแนนการทดสอบหลังเรยี น มากกวาํ กอํ นเรยี นจานวน ........ คนคิดเป็นร๎อยละ............ คะแนนการทดสอบหลงั เรียน น๎อยกวาํ กํอนเรยี นจานวน ......... คนคดิ เป็นร๎อยละ............ ๒. เน้ือหา/สาระ ............................................................................................................................. ................................... ...................................................................................... .......................................................................... ............................................................................................................................. ................................... ๓. กิจกรรมการเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ................................... .......................................................................................... .................................................................................. ............................................................................................................................. .......... ๔. ปญั หา/อปุ สรรค การเรียนการสอน ................................................................................................................................... ............................. ..................................................................................................... ........................................................... ............................................................................................................................. ................................... ๕. แนวทางการแก้ปญั หา ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................... ลงชื่อ....................................................... (นายประมวล เจริญสขุ ) ครูผส๎ู อน วนั ที.่ ............../.................../............... ความคิดเหน็ /ขอ้ เสนอแนะของผู้บริหาร ............................................................................................................................. ............................................................ ............................................................................................................................. ............................................................ ....................................................................................................................................................... ลงชอ่ื .................................................................. (นางปัทมาภรณ์ ศรีเนตร) ผ๎อู านวยการ กศน.อาเภอจตรุ พกั ตรพิมาน วนั ที.่ ............../.................../...............

70 ใบคามรู้ เรอ่ื งร่างกายของเรา ร่างกายมนุษย์โครง่ กระดกู ท่ีใหญ่ เป็นโครงสรา๎ งท้ังหมดของมนุษย์ ประกอบดว๎ ยเซลลเ์ มจมนษุ ยห์ ลายชนิดท่ี รวมกันเปน็ เน้อื เย่ือซ่งึ รวมกันเปน็ ระบบอวัยวะ สง่ิ เหลาํ น้คี งอบั ดลุ และความแขง็ แรงของรํางกายมนุษย์ ราํ งกายมนษุ ย์ ประกอบดว๎ ยศรี ษะ, คอ, ลาตัว (ซึง่ รวมถึงกล๎ามเนอ้ื หนา๎ อกใหญแํ ละหน๎าท๎องใตผ๎ วิ หนงั มีกลา๎ มเน้ือมัดและมี กลา๎ มเนอื้ ทีแ่ ขนและมือ, ขา เท๎า และมีไขกระดูกสันหลงั เตมิ โปรตีนให๎รํางกาย2เทาํ การศึกษารํางกายมนุษย์เช่อื มโยงกบั กายวภิ าคศาสตร์ สรีรวทิ ยา มิญชวิทยา และคพั ภวิทยา ราํ งกายมีความ แตกตํางทางกายวภิ าคแบบตําง ๆ สรีรวทิ ยามุํงไปทรี่ ะบบและอวัยวะของมนุษย์และการทางานของอวัยวะ หลาย ระบบและกลไกมปี ฏกิ ริ ิยาตํอกันเพื่อคงภาวะธารงดลุ โดยมรี ะดับท่ีปลอดภยั ของสารตําง ๆ เชํน น้าตาลและออกซิเจน ในเลอื ด องคป์ ระกอบ ธาติตําง ๆ ของรํางกายมนุษย์โดยมวล จลุ ธาตุทง้ั หมดมีจานวนน๎อยกวํารอ๎ ยละ 1 โดยแตํละอยํางมีจานวนนอ๎ ยกวาํ รอ๎ ยละ 0.1 ราํ งกายมนุษยป์ ระกอบด๎วยธาตุครบตาํ ง ๆ เชนํ ไฮโดรเจน ออกซเิ จน คารบ์ อน แคลเซยี ม และฟอสฟอรัส [] ธาตุเหลาํ นอี้ ยํูในเซลลน์ บั ลา๎ นล๎านและสํวนประกอบท่ีไมํใชเํ ซลล์ในรํางกายมนุษย์ ประมาณร๎อยละ 60 ของราํ งกายชายโตเตม็ วยั เป็นนา้ คิดเป็นปรมิ าณประมาณ 42 ลิตร ในจานวนนี้ 19 ลิตร เป็นน้าภายนอกเซลล์รวมถึงน้าเลือดปริมาณ 3.2 ลติ ร และสารน้าแทรกปรมิ าณ 8.4 ลติ ร และสวํ นที่เหลือเป็นนา้ ภายในเซลล์จานวน 23 ลิตร[2] สวํ นประกอบและความเป็นกรดของน้าทั้งในและนอกเซลลถ์ ูกรกั ษาไว๎อยาํ ง ดี อิเลก็ โทรไลต์หลักของน้าภายนอกเซลล์ในรํางกายไดแ๎ กํ โซเดียม และคลอไรด์ สวํ นสาหรบั นา้ ภายในเซลลไ์ ด๎แกํ โพแทสเซยี มและฟอสเฟตอืน่ [3]

71 เซลล์ ราํ งกายประกอบดว๎ ยเซลล์นับลา๎ นลา๎ นซง่ึ เปน็ หนวํ ยพน้ื ฐานของส่ิงมชี วี ติ [4] ขณะโตเต็มวยั มนษุ ย์มเี ซลล์ ประมาณ 30[5]–37[6] ลา๎ นลา๎ นเซลลใ์ นราํ งกาย ปริมาณจากจานวนเซลล์ท้ังหมดในอวัยวะตําง ๆ และเซลลป์ ระเภท ตาํ ง ๆ นอกจากน้ีรํางกายยังเปน็ ทอ่ี าศัยของเซลล์ท่ีไมใํ ชํมนุษยจ์ านวนเทํา ๆ กัน[5] รวมถึงส่งิ มีชวี ติ หลายเซลล์ซ่ึงอาศัย ในทางเดนิ อาหารและบนผวิ หนงั [7] ราํ งกายไมํไดป๎ ระกอบไปด๎วยเซลล์เพียงอยาํ งเดียว เซลล์ตั้งอยูใํ นเมจสารเปลยี่ น เซลลผ์ วิ ที่ประกอบดว๎ ยโปรตนี เชํน คอลลาเจน ล๎อมรอบด๎วยน้าภายนอกเซลล์ มนษุ ยท์ ่ีนา้ หนัก 70 กโิ ลกรมั มเี ซลล์ที่ ไมํใชํเซลลม์ นุษย์และวสั ดุท่ีไมํใชํเซลล์ เชํน กระดกู และเนอื้ เยอ่ื เกย่ี วพัน น้าหนักเกือบ 25 กโิ ลกรัม[5] เซลล์ในราํ งกายทางานไดด๎ ว๎ ยดเี อ็นเอซ่ึงอยํูในนวิ เคลียสของเซลล์ ขา๎ งในนิวเคลียส สํวนของดีเอน็ เอถูกคัดลอก และสํงไปยังตวั ของเซลลใ์ นรูปแบบของอาร์เอน็ เอ[8] จากนั้นอารเ์ อ็นเอถูกใช๎เพือ่ สรา๎ งโปรตีนซง่ึ เปน็ สวํ นประกอบ พ้นื ฐานสาหรบั เซลล์ กิจกรรมของเซลล์ และผลิตภัณฑ์ของเซลล์ โปรตีนเปน็ ตวั กาหนดหนา๎ ของเซลล์และการ แสดงออกของยีน เซลลส์ ามารถควบคุมตัวเองได๎จากปริมาณโปรตีนท่ผี ลิต[9] อยํางไรกต็ าม ไมํใชทํ ุกเซลลท์ จ่ี ะมดี ีเอน็ เอ เซลล์บางชนดิ เชนํ เซลลเ์ มด็ เลอื ดแดงสญู เสียนวิ เคลียสเม่ือโตเตม็ ท่ี เนอื้ เยอื่ รํางกายประกอบไปดว๎ ยเนื้อเย่ือหลายแบบ โดยเน้ือเยื่อถูกใหค๎ วามหมายวําคือกลํุมเซลล์ทีม่ หี น๎าท่เี ฉพาะ การศกึ ษาเกีย่ วกบั เนือ้ เย่ือเรยี กวาํ มญิ ชวทิ ยาและมกั ศกึ ษาผาํ นกลอ๎ งจุลทรรศน์ รํางกายประกอบไปด๎วยเนื้อเยอ่ื สชี่ นิด หลกั คือ เนื้อเยอื่ บุผิว เนือ้ เยื่อเกยี่ วพัน เน้ือเยื่อประสาท และเน้ือเย่ือกลา๎ มเน้อื เซลลท์ ่ตี งั้ อยูบํ นพน้ื ผวิ ทพี่ บกับโลกภายนอกหรือในทางเดนิ อาหาร (เนื้อเยื่อบผุ วิ ) หรือเนื้อเยอ่ื บุ โพรง (endothelium) มหี ลายรูปแบบและรปู ราํ ง ต้ังแตํเซลล์แบนชน้ั เดยี ว ไปจนถงึ เซลล์ในปอดที่มีซีเลียคลา๎ ยเสน๎ ผม ไปจนถึงเซลลแ์ ทํงทรงกระบอกท่ีบุกระเพาะอาหาร เซลล์เนือ้ เย่ือบโุ พรงเปน็ เซลล์ทีบ่ ชุ อํ งภายในรวมท้งั เสน๎ เลอื ดและ ตอํ มตาํ ง ๆ เซลลบ์ คุ วบคมุ วาํ สงิ่ ไหนสามารถผาํ นหรือไมํสามารถผํานเขา๎ ไปได๎ ปกปูองโครงสร๎างภายใน และทาหน๎าท่ี เป็นพื้นผวิ รับความรสู๎ กึ อวัยวะ ดเู พมิ่ เติมที่: รายการอวยั วะของรา่ งกายมนษุ ย์ อวยั วะเป็นกลํมุ เซลล์ที่มโี ครงสรา๎ งและหนา๎ ท่เี ฉพาะ[12] ซง่ึ ตง้ั อยภํู ายในราํ งกาย ตัวอยาํ งเชนํ หัวใจ ปอด และ ตบั อวัยวะหลายอยาํ งอยํูในชํองวํางภายในราํ งกายรวมถึงชํองวํางในลาตัวและโพรงเย่ือห๎มุ ปอด ดเู พมิ่ เติมท:่ี รายการระบบของร่างกายมนุษย์

72 ระบบไหลเวียน ดูบทความหลกั ท่ี: ระบบไหลเวียน ระบบไหลเวยี นประกอบด๎วยหัวใจ หลอดเลือด (หลอดเลือดแดง หลอดเลอื ดดา และหลอดเลอื ดฝอย) หัวใจทา หนา๎ ท่ขี บั เคล่ือนการไหลเวียนของเลือด โดยเลอื ดเป็นด่ัง \"ระบบขนสงํ \" ในการขนยา๎ ยออกซเิ จน เชอื้ เพลงิ สารอาหาร ของเสยี เซลล์ในระบบภูมคิ มุ๎ กัน และตวั นาสงํ สารเคมี (เชํน ฮอรโ์ มน) จากสํวนหน่ึงของรํางกายไปยังอีกสํวน เลือด ประกอบด๎วยนา้ ทขี่ นสํงเซลลใ์ นระบบไหลเวียน รวมถงึ บางเซลลท์ เ่ี ดนิ ทางจากเน้ือเย่ือไปกลับหลอดเลือด รวมทัง้ ไปยัง และจากมา๎ มและไขกระดกู ระบบย่อยอาหาร ดูบทความหลักที่: ระบบยอ่ ยอาหาร ระบบยอํ ยอาหารประกอบดว๎ ยปากรวมถงึ ลิน้ และฟนั , หลอดอาหาร, กระเพาะอาหาร, ทางเดนิ อาหาร, ลาไส๎ เลก็ และใหญํ รวมถึงไส๎ตรง รวมถึงตบั , ตบั อํอน, ถงุ นา้ ดี และตํอมน้าลาย ทาหน๎าท่เี ปลี่ยนอาหารเปน็ โมเลกุลที่เล็ก มี คุณคําทางอาหาร และไมเํ ป็นพษิ เพื่อให๎สามารถกระจายและดูดซมึ ไดใ๎ นรํางกาย[16] ระบบต่อมไร้ทอ่ ดบู ทความหลกั ท่ี: ระบบตอ่ มไรท้ อ่ ระบบตอํ มไร๎ทอํ ประกอบดว๎ ยตอํ มไร๎ทํอหลัก รวมถงึ ตอํ มใตส๎ มอง ตอํ มไทรอยด์ ตํอมหมวกไต ตบั ออํ น ตํอม พาราไทรอยด์ และตํอมบํงเพศ ทวําอวัยวะและเน้อื เย่ือเกือบท้ังหมดผลติ ฮอร์โมนตํอมไร๎ทอํ เฉพาะเชํนกัน ฮอร์โมน ตอํ มไร๎ทํอทาหน๎าทเี่ ปน็ ตัวสงํ สญั ญาณจากระบบราํ งกายหน่ึงไปยังอีกระบบหน่ึงเพอื่ บอกถงึ สถานะตําง ๆ ทาให๎เกดิ การเปลี่ยนแปลงการทางาน[17]

73 ระบบภูมคิ มุ้ กัน ดบู ทความหลักท:่ี ระบบภมู คิ ุ้มกนั ระบบภูมิค๎ุมกนั ประกอบดว๎ ยเซลล์เม็ดเลอื ดขาวและแดงทางานปกติ ตอํ มไทมัส ตํอมน้าเหลอื ง และทางเดนิ นา้ เหลือง ซ่งึ เปน็ สวํ นหนึ่งของระบบน้าเหลอื ง ระบบภูมิคมุ๎ กนั ทาใหร๎ ํางกายสามารถแยกแยะเซลลแ์ ละเนื้อเย่ือตนเอง ออกจากเซลล์และส่งิ ภายนอก เพื่อตํอต๎านหรอื ทาลายเซลล์หรอื สงิ่ แปลกปลอมจากภายนอกโดยใช๎โปรตีนเฉพาะและ เชํน แอนตบิ อดี ไซโตไคน์, toll-like receptors และอืน่ ๆ ระบบผิวหนัง ดบู ทความหลักที่: ระบบผวิ หนัง ระบบผวิ หนังประกอบดว๎ ยผิวหนงั ท่ปี กคลุมรํางกาย รวมถงึ เสน๎ ผม และเลบ็ รวมถึงโครงสรา๎ งอนื่ ๆ ทม่ี หี นา๎ ที่ สาคัญ เชํน ตอํ มเหงื่อและตํอมไขมัน ผิวหนงั ทาหน๎าทหี่ ํอหํุม เปน็ โครงสรา๎ ง และปูองกันอวัยวะอืน่ และยังเปน็ ตวั รับรู๎ ถงึ โลกภายนอก[18][19] ระบบน้าเหลอื ง ดูบทความหลกั ท่:ี ระบบนา้ เหลือง ระบบน้าเหลืองสกดั ขนสํง และเปลี่ยนแปลงน้าเหลือง หรือน้าที่อยํรู ะหวํางเซลล์ ระบบน้าเหลอื งคลา๎ ยกับ ระบบไหลเวียนท้งั ในเชิงโครงสร๎างและหนา๎ ท่ีพืน้ ฐานซึง่ คือการขนสงํ น้าในรํางกาย[20] ระบบกลา้ มเนือและกระดกู ดูบทความหลักที่: ระบบกลา้ มเนือและกระดกู ระบบกล๎ามเนื้อและกระดกู ประกอบดว๎ ยโครงกระดูกมนษุ ย์ (รวมถึงกระดูก เอ็นยึด เอน็ กลา๎ มเน้ือ และกระดูก ออํ น) และกลา๎ มเนื้อที่ยึดตดิ ระบบนเี้ ปน็ โครงสรา๎ งพนื้ ฐานของรํางกายและเป็นตัวให๎ความสามารถในการขยบั

74 นอกจากจะทาหน๎าท่ีเปน็ โครงสร๎างแลว๎ กระดกู ช้ินใหญํในรํางกายยังบรรจุไขกระดูก ซ่งึ เปน็ ทผี่ ลติ เซลลเ์ ม็ดเลือด นอกจากนี้ กระดูกทุกชิน้ ยงั เป็นทเ่ี ก็บสะสมหลักของแคลเซียมและฟอสเฟต ระบบนี้สามารถแบํงออกเปน็ ระบบกลา๎ ม เนอ้ื และระบบกระดูก ระบบประสาท ดบู ทความหลักท่:ี ระบบประสาท ระบบประสาทประกอบดว๎ ยระบบประสาทกลาง (สมองและไขสนั หลงั ) และระบบประสาทนอกสํวนกลาง ประกอบด๎วยเส๎นประสาทและปมประสาทนอกสมองและไขสนั หลัง สมองเป็นอวยั วะแหํงความคิด อารมณ์ ความทรง จา และการประมวนทางประสาทสัมผสั และทาหน๎าที่ในหลายมุมมองของการส่ือสารและควบคุมระบบและหน๎าทีต่ ําง ๆ ความรสู๎ ึกพิเศษประกอบดว๎ ย การมองเห็น การไดย๎ นิ การรบั รู๎รส และการดมกล่ิน ซง่ึ ตา,ห,ู ลิ้น, และจมูกรวบรวม ขอ๎ มลู จากสง่ิ รอบตัว[22] ระบบสบื พนั ธ์ุ ดบู ทความหลกั ท:่ี ระบบสบื พันธุม์ นุษย์ ระบบสบื พันธ์ุประกอบด๎วยตํอมบํงเพศและอวยั วะเพศทั้งภายในและภายนอก ระบบสืบพันธ์ผุ ลิตเซลลส์ ืบพนั ธุ์ ในแตํละเพศ, ใหก๎ ลไกสาหรบั การรวมกันของเซลล์สืบพนั ธุ์, และสาหรับเพศหญิงยงั ให๎ส่งิ แวดลอ๎ มในการพฒั นาทารก ในเกา๎ เดือนแรก[23] ระบบหายใจ ดูบทความหลกั ท:่ี ระบบหายใจ ระบบหายใจประกอบดว๎ ยจมูก คอหอย หลอดลม และปอด อวัยวะเหลํานี้นาออกซิเจนจากอากาศและขับ คารบ์ อนไดออกไซด์และน้ากลับไปยงั อากาศ ระบบทางเดินปัสสาวะ ดูบทความหลักที่: ระบบทางเดินปัสสาวะ

75 ระบบทางเดนิ ปสั สาวะประกอบด๎วยไต ทอํ ไต กระเพาะปสั สาวะ และทํอปัสสาวะ โดยทาหน๎าทีข่ ับส่งิ เป็นพษิ ออกจากเลือดเพื่อผลิตปัสสาวะซึ่งขนสํงโมเลกุลของเสียและไอออนสํวนเกนิ และน้าออกจากรํางกาย ใบงาน ๑ เรอื่ ง การพฒั นาการของร่างกาย ชื่อ.........................................................................………………………………………………………………………ชน้ั .............. คาชีแ้ จง ๑.จับคู่กบั เพอ่ื นแล้วเปรียบเทียบลกั ษณะการเจริญเติบโตของตนเองและเพื่อน รายการเปรยี บเทียบ ตัวเรา เพ่ือน 1.ดา้ นรา่ งกาย ๒.ดา้ นจิตใจ ๒. ใหน้ กั ศึกษาวาดภาพจินตนาการว่าเมือ่ นักศึกษาอยู่ชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 5 นกั ศึกษาจะมีลักษณะ อยา่ งไร

76 แผนการจดั การเรียนรู้ รายวิชาสุขศกึ ษาพลศึกษา ครง้ั ที่ ๗ การจัดทาหน่วยเรียนรบู้ ูรณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2565 กศน.ตาบลนา้ ใส ระดับประถมศกึ ษา 1. สัปดาห์ที่ ๗ วนั ท่ี 2๘ เดือน พฤษภาคม พ.ศ.2565 เวลา 09.00 - 12.00 น. 2. วิชา สขุ ศกึ ษาพลศึกษา รหัสวชิ า ทช1100๒ จานวน 2 หนํวยกติ 3. มาตรฐานท่ี 4.2 มคี วามร๎ู ความเขา๎ ใจ ทักษะและเจตคติท่ดี ีเก่ียวกับการดแู ล สํงเสริมสุขภาพอนามยั และ ความปลอดภัยในการดาเนินชีวิต 4. หน่วยการเรยี นรู้/เรือ่ งการวางแผนครอบครัวและพัฒนาการทางเพศ 5. สาระสาคญั การเปลีย่ นแปลงเมื่อเขา๎ วัยหนมํุ สาววิธีการหลีกเลีย่ งพฤติกรรมท่ีนาไปสํูการมีเพศสัมพันธ์ การลํวงละเมิดทาง เพศและการต้ังครรภท์ ไี่ มํพึงประสงค์และวธิ กี ารดแู ลสขุ ภาพทางเพศท่เี หมาะสมและไมทํ าให๎เกิดปญั หาทางเพศ 6. เนอื้ หา ๑. การวางแผนชวี ิต และครอบครวั -การวางแผนชวี ิต -การเลือกค๎ูครอง -การปรับตัวในชีวิตสมรส -การตงั้ ครรภ์ การมบี ตุ ร การเลย้ี งดบู ตุ ร ๒. ปญั หาและสาเหตกุ ารรุนแรงในครอบครวั ๓. การสรา๎ งสมั พันธภาพทีด่ ีระหวาํ งพํอแมลํ ูก และคสูํ ามีภรรยา (การสอ่ื สารเรื่องเพศในครอบครวั ) 7. จดุ ประสงค์การเรียนร/ู้ ผลการเรยี นรู้ทคี่ าดหวงั (ดจู ากผังการออกข๎อสอบ) ๑. รู๎และวิเคราะห์ตนเอง และวางแผนการดาเนินชีวติ ได๎อยํางเหมาะสม ๒. เรียนรว๎ู ธิ สี ร๎างสมั พนั ธ์ภาพที่ดีระหวํางครอบครวั และวิธกี ารส่ือสารเรอ่ื งเพศในครอบครัว ๓. เรยี นร๎ูพฒั นาการทางเพศในแตํละชํวงวัย ๔. เรียนร๎วู ิธีปูองกันโรคติดตํอทางเพศสัมพันธ์ ๘. การบรู ณาการกับหลักแนวคิดของเศรษฐกจิ พอเพียง (2 เงอื่ นไข 3 หลกั การการเชอื่ มโยงสู่ 4 มติ ิ) ความรู้ - ความรู๎การดาเนินชวี ิต การวางแผนชวี ิต การปรบั ตัวในการใชช๎ ีวิต - ความรู๎ในการปูองกนั ตัวเองในสงั คม คุณธรรม - มีความรับผิดชอบ ความมสี ติ ความสามัคคี อดทน และตรงตอํ เวลา พอประมาณ - มกี ารใช๎จํายในครอบครัว แบบพอเพยี ง ไมฟํ มุ เฟอื ย พอกนิ พอใช๎ มีเหตผุ ล - ผ๎ูเรียนรจู๎ กั เลอื กใช๎ วัสดุอปุ กรณ๑ทม่ี ีอยูํ อยํางประหยัดและ คมุ๎ คาํ

77 ในการดาเนินชวี ติ ประจาวนั มภี มู คิ ุม้ กนั -ร๎ูจักการวางแผน กระบวนการดาเนินชีวิตอยํางเป็นระบบ ให๎ประสบความสาเร็จ และปลอดภัย - ปรบั ตัวในการดาเนนิ ชีวิตพร๎อมรับ การเปลยี่ นแปลงใน สงั คม วตั ถุ - วิธีการขั้นตอนในการดูแลตนเองเรื่องเพศศึกษา การใช๎ชีวิตในสังคม ในภาวะเศรษฐกิจ คําเงนิ ลอยตวั ของกนิ ของใช๎แพงมาก สงั คม - รจ๎ู ักแบงํ หน๎าท่ี รับผิดชอบในครอบครวั -แลกเปล่ยี น เรยี นรจู๎ ากเพื่อนบ๎านในชุมชน ส่ิงแวดล้อม - คนในครอบครวั มชี วี ิตความเปน็ อยทํู ี่ดี จะทาให๎เกดิ สภาพแวดล๎อมชวี ติ คนในครอบครวั สํงผลทาให๎คนในสังคมดขี ึน้ ด๎วย วฒั นธรรม - บคุ คลในครอบครัวชุมชน มีชวี ติ ความเป็นอยํูท่ดี ี เกดิ การแบํงปนั จากรุนํ สรํู นํุ ตํอกันไป 9. กระบวนการจัดการเรยี นรู้และกจิ กรรมการเรยี นรู้ ขั้นท่ี 1 กาหนดสภาพปญั หาการเรยี นรู้ ๑. ครสู อบถามนักศกึ ษาเรอื่ งเกยี่ วกับการวางแผนชวี ิต และครอบครัว ๒. ชีแ้ จงจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู๎ ขั้นท่ี 2 แสวงหาข้อมลู และจัดการเรียนรู้ ๑. ครูอธบิ ายเร่ืองการวางแผนชวี ิต ๒. นักศึกษาแบํงกลํมุ ๓ กลํมุ ให๎นกั ศกึ ษา ค๎นควา๎ เร่ืองการวางแผนชีวติ และสรปุ เน้ือหาท่ีได๎ ออกมาในรูปแบบผังมโนทัศน์ (Mapping) ๓. ตัวแทนนกั ศึกษาแตํละกลํุม นาเสนอหนา๎ ชั้นเรยี น ในรปู แบบผังมโนทัศน์ (Mapping) ๔. เรียนรูว๎ ิธปี ูองกันโรคตดิ ตํอทางเพศสมั พันธ์ ขน้ั ที่ 3 การปฏิบัติและการนาไปใช้ ๑. ครสู รุปองค์ความรู๎ในเนอ้ื หาเรื่องเก่ียวกับรํางกายของเราและการวางแผนชีวิต ๒. นกั ศึกษาซักถาม และแลกเปล่ียนความรู๎ 3. ครแู ละผเ๎ู รยี นชวํ ยกันสรปุ เนื้อหาสาระสาคัญของเร่ืองและจดบันทึก ขน้ั ที่ 4 การประเมินผลการเรยี นรู้ 1. ประเมินผลจากการทาใบงาน 2. การสังเกตการมสี วํ นรํวม 3. แบบทดสอบกํอนเรยี น – หลงั เรยี น

78 10. สือ่ /แหล่งเรียนรู้ - สื่อ Internet - ใบงานที่ 1 เรือ่ ง สุขภาพทางเพศ - แบบทดสอบกํอนเรยี น – หลังเรยี น เรื่อง สขุ ภาพทางเพศ - ห๎องสมุด - ศกึ ษาใน Youtube ลิงค์ https://www.youtube.com/watch?v=R5GG08upIcs 11. การวัดและประเมนิ ผล 1. วธิ ีการวดั และประเมนิ ผล - แบบประเมินผลการสังเกตพฤติกรรมการทางานรํวมกบั ผอ๎ู ่นื ของผเู๎ รียนรายบคุ คล - ใบงาน - แบบทดสอบกํอนเรยี น-หลังเรยี น 2. เคร่อื งมือวดั และประเมินผล. - ประเมินผลการสังเกตพฤตกิ รรมการทางานรํวมกบั ผู๎อืน่ ของผ๎ูเรยี นรายบคุ คล - ผลจากการตรวจใบงาน - คะแนนแบบทดสอบกอํ นเรียนและหลงั เรยี น 3. เกณฑ์การวัดและการประเมนิ ผล - แบบประเมนิ ผลการสังเกตพฤติกรรมการทางานรํวมกับผ๎ูอ่นื ของผู๎เรียนรายบุคคล ระดับดี พอใช๎ ควรปรบั ปรุง - ใบงานคะแนนเต็ม 10 คะแนน - แบบทดสอบกํอนเรียน-หลังเรียน เกณฑผ์ าํ นและไมผํ ําน กจิ กรรมเสนอแนะ .................................................................................................. ....................................................................................... ................................................................................................................................................................... ลงช่ือ…………………………………………….ครผู ส๎ู อน (นายประมวล เจรญิ สขุ ) ครู กศน.ตาบล ขอ้ เสนอแนะของผู้บรหิ าร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………........ ลงชื่อ………………………………………………………ผู๎อนุมตั ิแผน (นางปัทมาภรณ์ ศรีเนตร) ผูอ๎ านวยการ กศน.อาเภอจตุรพกั ตรพิมาน

79 บันทกึ หลังการจดั การเรยี นรู้ การจัดทาหน่วยเรยี นร้บู ูรณาการหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง คร้งั ที่ 7 วันที่ 28 เดือน มิถุนายน พ.ศ.2565 ครผู ูส๎ อน นายประมวล เจรญิ สขุ ระดบั ประถมศึกษาเวลา 09.00-12.00 น. สาระทักษะการดาเนนิ ชีวิต รายวชิ า สขุ ศึกษาพลศึกษา รหัสวชิ า ทช11002 จานวนผเู๎ รียนท้ังหมด ............... คนเขา๎ เรียน…………………คน ไมเํ ข๎าเรียน……………………….คน 1. ผลการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................................................................................ 2. เนอ้ื หา/สาระ ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................................................. ................................... ........................................................................................... ..................................................................... 3. กจิ กรรมการเรียนการสอน ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. .......... 4. ปญั หา/อุปสรรค การเรียนการสอน ............................................................................................................................. ................................... .................................................................................... ............................................................................ ............................................................................................................................. ................................... 5. แนวทางการแก้ปัญหา ............................................................................................................................. ................................... ........................................................................................... ..................................................................... ลงชอื่ ....................................................... (นายประมวล เจรญิ สุข) ครผู ส๎ู อน วนั ที่.............../.................../............... ความคิดเห็น/ข้อเสนอแนะของผู้บริหาร ................................................................................................ ......................................................................................... ............................................................................................................................. ............................................................ .............................................................................................................. ......................................... ลงชอ่ื .................................................................. (นางปัทมาภรณ์ ศรีเนตร) ผอู๎ านวยการ กศน.อาเภอจตรุ พกั ตรพมิ าน วนั ที.่ ............../.................../...............

80 ใบความรู้ เรือ่ งเพศศึกษา เมือ่ ราํ งกายเจริญเติบโตผาํ นเขา๎ สแูํ ตลํ ะชวํ งวยั ยํอมเกดิ การเปลยี่ นแปลงทุกด๎าน ไมวํ าํ จะเป็น พัฒนาการทางกาย จิตใจ รวมถงึ ด๎านสงั คม ชํวงวัยรนํุ เป็นชํวงสาคัญของการเปลย่ี นแปลงอยํางรวดเร็ว และยังมีเร่อื งของฮอร์โมนเพศเข๎า มาเกี่ยวข๎อง วยั รํุนจึงควรทาความเข๎าใจกับรํางกาย จติ ใจของตนเอง รวมทงั้ ควรไดร๎ บั การสํงเสริมการเรียนรูเ๎ รอ่ื งเพศ ซงึ่ เป็นสํวนหนึ่งของชวี ติ มนุษย์ตัง้ แตํเกดิ จนตายก็วําได๎ ขณะเดยี วกนั สิ่งแวดล๎อมรอบ ๆ ตวั ก็มขี ๎อมลู เร่ืองเพศที่สงํ ตํอกันมา เม่อื วัยรุนํ ไดร๎ ับร๎ูอาจเชอ่ื ไปตามนั้น โดยมิได๎ไตรตํ รองหรือไมํกลา๎ สอบถามขอ๎ เทจ็ จริง จากผอู๎ ืน่ เพราะความอาย ดังนน้ั การศกึ ษาเพ่ือใหว๎ ัยรนํุ \"รูจ๎ กั ตนเอง” จงึ สาคัญและจาเป็นอยาํ งย่ิง เพื่อใหไ๎ ด๎ก๎าวเดินไป ชวํ งวยั ตํอไปอยําง ม่นั คงและม่นั ใจ ดังคาพูดของทาํ น กฤษณมูรติ นักปราชญ์ชาวอนิ เดยี ท่ีกลาํ วไว๎วาํ “กํอนจะเดนิ ทางไกล เธอต๎อง เดนิ ทางใกล๎กํอน ใกล๎ทสี่ ดุ น้นั คือตัวเธอ กํอนจะทาสิ่งใด ๆ เธอตอ๎ งเข๎าใจตวั เอง” 1.1 รู้จกั เพศศกึ ษา องคก์ ารอนามยั โลก (World Health Organization หรอื WHO) ได๎นยิ ามคาวําเพศศึกษาไว๎ดังนี้ เพศศึกษา หรือ Sexuality Education หมายถงึ เพศศาสตรศ์ กึ ษา คือ การสอนความเปน็ เพศชาย ความเปน็ เพศ หญงิ พฒั นาการของราํ งกาย และการแสดงออกในเรือ่ งเพศตามวัยตามเพศเม่ือพฒั นาไปถึง จุดหนึ่ง จะเกิดอะไร เปลีย่ นแปลงอยาํ งไร ควรประพฤติปฏิบัติอยํางไร ปูองกนั อยาํ งไร แก๎ไขอยํางไร เม่ือถงึ วัยหมดฮอรโ์ มนสมรรถภาพ หยอํ นยาน ควรปฏิบตั อิ ยํางไร เรียกไดว๎ าํ เป็นการเรียนรเู๎ รอื่ งความเปน็ เพศ ตง้ั แตํวยั เด็กจนถงึ วัยชรา กระทรวงพฒั นาสังคมและความม่นั คงของมนษุ ย์ให๎ความหมายเพศศกึ ษาวํา “เปน็ กระบวนการ เรียนรค๎ู วามเปน็ เพศ ชาย ความเป็นเพศหญิง พัฒนาการของรํางกาย และการแสดงออกในเร่ืองเพศของคน ทุกเพศทุกวยั ตลอดชวํ งชวี ติ ได๎ อยาํ งเหมาะสม สอดคลอ๎ งกบั วิถชี ีวิต ภาษา วัฒนธรรม เพ่ือให๎เกิดความ เข๎าใจและยอมรับนบั ถอื ตนเอง เคารพให๎ เกียรติกัน โดยคานงึ ถึงสทิ ธิสวํ นบุคคล สามารถคิดตดั สินใจเลอื ก และดาเนินชีวิตทางเพศของตนได๎อยาํ งที่ตนพึง ประสงค์ มีความภาคภมู ิใจ นับถอื ตนเอง ได๎รบั การปฏบิ ัติ และปฏบิ ัติตอํ ผู๎อนื่ เกี่ยวกับเพศอยํางเคารพ ให๎เกยี รติ นบั ถือ เปน็ อสิ ระ ปลอดภัย มีความรบั ผดิ ชอบ ตอํ ตนเองและคนทกุ เพศ\" องคก์ ารแพทย์ กลาํ วไว๎วาํ \"เพศศึกษาเป็นกระบวนการจดั การเรียนรู๎เก่ยี วกบั เพศท่ีครอบ พัฒนาการทางราํ งกาย จิตใจ การทางานของสรรี ะ และการดูแลสขุ อนามยั ทศั นคติ คํานิยม สมั พันธภาพ พฤติกรรมทางเพศ มิตทิ างสังคม และวัฒนธรรมทม่ี ีผลตํอวถิ ชี ีวิตทางเพศ เป็นกระบวนการพัฒนาทงั้ ด๎าน ความร๎ู ความคิด ทัศนคติ อารมณ์ และทักษะ ท่จี าเป็นสาหรบั บคุ คล ที่จะชํวยให๎สามารถเลือกดาเนินชวี ติ ทางเพศอยาํ งเปน็ สขุ และปลอดภยั สามารถพฒั นาและ ดารงความสมั พันธก์ ับผู๎อื่นได๎อยาํ งมี ความรบั ผิดชอบและสมดลุ \" สรุป เพศศึกษา หมายถึง การเรียนรว๎ู ถิ ีชีวติ มนุษย์ตง้ั แตเํ กิดจนตาย หรอื เรยี กวาํ การเรียนร๎ู ตลอดชวี ติ ในเรอ่ื งเพศท่ีมี หลากหลายมิติเข๎ามาเกีย่ วข๎องเพอื่ ใหม๎ นษุ ย์ได๎พฒั นาความร๎ู ความคดิ อารมณ์ ทัศนคติ รวมถงึ ทกั ษะท่ีสาคญั และ จาเป็นในการดารงชวี ติ เพื่อรักษาสัมพันธภาพในการอยรูํ ํวมกับผูอ๎ นื่ อยํางเปน็ สขุ เพศศึกษาไมํใชเํ ฉพาะเปน็ เรอื่ งของ การมีเพศสัมพันธอ์ ยาํ งท่หี ลายคนคิดและเขา๎ ใจ แตํเพศศึกษามีเน้ือหาครอบคลุมดังตํอไปนี้ 1.1.1 พัฒนาการของมนุษย์ การเปล่ียนแปลงทางสรรี ะเม่ือเข๎าสวํู ัยหนุํมสาว พัฒนาการทางเพศ การสบื พนั ธ์ุ ภาพลกั ษณ์ ตอํ รํางกาย ตัวตนทาง เพศ และรสนิยมทางเพศ พัฒนาการของมนุษย์ หมายถงึ กระบวนการเปล่ยี นแปลงของมนษุ ย์ทุกสํวน ทง้ั ในโครงสร๎าง (Structure) และแบบ แผน (Pattern) ท่ีตอํ เนื่องกนั ตั้งแตแํ รกเกิดจนตลอดชีวิต ซงึ่ เปน็ กระบวนการ ทีเ่ ปลย่ี นแปลงท้ังทางรํางกายและจิตใจ ผสมผสานกนั เป็นช้ัน ๆ จากระยะหนึง่ ไปสํูอีกระยะหนง่ึ เพ่ือจะไปสํู วุฒภิ าวะทาใหเ๎ กิดความเจรญิ งอกงามตามลาดบั

81 องคป์ ระกอบที่มีผลต่อการพัฒนาการของมนุษย์ 1. พันธุกรรม หมายถึง ลักษณะทางกายและพฤติกรรมที่ถํายทอดจากบรรพบุรุษสํูลูกหลาน จากพํอแมํถํายทอดสลูํ กู โดยทางเซลล์สบื พนั ธ์ุท่ีเรียกวํา “โครโมโซม” (Chromosome) พันธุกรรม ท่ีมผี ลตอํ มนุษย์ เชํน เป็นตวั กาหนดรูปราํ ง เพศ สผี ม ผวิ และระดับสตปิ ัญญา เปน็ ต๎น และพนั ธกุ รรม ทม่ี ีอิทธิพลตอํ พฒั นาการของมนุษย์ทีส่ าคัญ คอื “ยนี ” (Gene) ที่เป็นตวั กาหนดใหแ๎ ตํละบุคคลมพี ัฒนาการ ทีแ่ ตกตํางกัน 2. วุฒิภาวะ เป็นกระบวนการพฒั นาการท่ีเกดิ ขน้ึ ตามธรรมชาตขิ องมนุษย์ โดยที่ไมตํ ๎อง อาศัยการฝกึ ประสบการณ์ เชนํ การเปลํงเสียง การยนื การเดนิ และการวิง่ เปน็ ต๎น เป็นพฒั นาการตามปกติ เมอื่ ถงึ วัยกจ็ ะทาได๎เอง 3. การเรียนร๎ู เป็นกระบวนการพัฒนาการทเี่ กิดขน้ึ จากพื้นฐานการฝกึ หัดประสบการณเ์ ปน็ สาคัญ สิ่งท่สี นับสนุนการ เรยี นร๎ูไดเ๎ ปน็ อยํางดคี ือความพรอ๎ มที่เกิดขนึ้ เองตามธรรมชาตแิ ละความพร๎อมท่ี เกิดจากการกระตน๎ุ 4. สง่ิ แวดล๎อม คือ สิง่ ทอ่ี ยํูรอบตวั บุคคลนน้ั ๆ ทั้งมีชีวิตและไมํมชี ีวติ รวมถงึ ระบบครอบครวั สงั คมและระบบ วัฒนธรรม 1.1.2 สมั พนั ธภาพ สมั พนั ธภาพในมติ ิของครอบครวั เพอ่ื น การคบเพอ่ื นตํางเพศ ความรัก การใช๎ชีวติ คูํ การแตํงงาน การเปน็ พํอแมํ ความสัมพนั ธ์ระหวํางคน 2 คน อาจเป็นคนระหวํางครอบครวั เดียวกัน เชํน สามภี รรยา แมํกบั ลูก พ่ีกบั น๎อง เป็นตน๎ คนสํวนใหญมํ ีความต๎องการท่ีจะมีสัมพันธภาพที่ดีตํอกัน มีความรกั ความเขา๎ ใจกัน ชํวยเหลอื กันในเรื่องตําง ๆ น้นั มี ปจั จยั ท่ีสํงเสรมิ ให๎เกิดสมั พันธภาพทดี่ ีตํอกัน คือ การชมเชยหรือชนื่ ชม ท่ีเหมาะสม การติเพ่ือกอํ และการแก๎ไขความ ขัดแยง๎ ในเชิงสรา๎ งสรรค์ นอกจากนี้มปี จั จัยหรือองค์ประกอบ อื่น ๆ ทีช่ ํวยสรา๎ งสัมพันธภาพ เชํน ความใกล๎ชดิ การ ส่อื สาร เป็นตน๎ องค์ประกอบพนื้ ฐานของการสร้างสัมพันธภาพระหว่างบุคคลเกิดจากองคป์ ระกอบ 3 ประการ คือ 1. ความใกลช๎ ดิ การท่ีบคุ คลใกลช๎ ดิ กันกํอใหเ๎ กิดความสมั พันธ์มากกวาํ บคุ คลทีอ่ ยํหู าํ งไกลกัน 2. ความเหมือนกันหรือความคล๎ายกนั โดยทฤษฎแี ล๎วมนุษยม์ ีแนวโนม๎ ทจี่ ะสรา๎ ง ความสัมพนั ธแ์ ละมีความชอบพอกับ คนที่มคี วามเหมือนหรือคล๎ายกบั ตัวเอง 3. สถานการณ์ เปน็ ตวั แปรหนึ่งท่ีทาให๎มนุษยเ์ กิดความสัมพนั ธท์ ีด่ ีตํอกัน เชนํ การมีโอกาส ไดแ๎ ลกเปล่ยี นความร๎ูสึกที่ ดรี วํ มกัน การมีโอกาสปรับตวั เข๎ากับบุคคลอืน่ และการเตมิ เต็มความต๎องการของ กนั และกนั เปน็ ต๎น 1.1.3 พฤติกรรมทางเพศ พฤตกิ รรมทางเพศที่พฒั นาไปตามชํวงชีวิต การเรียนรูอ๎ ารมณท์ างเพศ การจดั การอารมณเ์ พศ การชํวยตนเอง จนิ ตนาการทางเพศ การแสดงออกทางเพศ การละเว๎นการมีเพศสัมพนั ธ์ การตอบสนองทางเพศ การเสื่อมสมรรถภาพ ทางเพศ พฤตกิ รรมทางเพศ หมายถงึ การกระทาหรือการปฏิบตั ิตนทเี่ กีย่ วข๎องกับเรื่องเพศ หมาย รวมถึง พฤติกรรมที่ แสดงออกภาพนอกทีส่ ามารถมองเหน็ ไดด๎ ว๎ ยตาเปลํา ปจั จัยที่มีอทิ ธพิ ลต่อพฤตกิ รรมทางเพศ เมือ่ พิจารณาปัจจยั ท่ีมอี ิทธิพลตํอพฤตกิ รรมทางเพศ สามารถแบํงออกเปน็ 3 ด๎าน คือ ด๎านชีววิทยา ด๎าน จติ สังคม และด๎านวฒั นธรรม 1. ปัจจัยดา๎ นชวี วิทยา เป็นปัจจยั ท่ีมีผลตํอพฤติกรรมของบุคคลตามพฒั นาการของมนษุ ย์ ซ่งึ พฤติกรรมวยั รนํุ จะมกี าร เปลีย่ นแปลงสมั พนั ธก์ ันระหวาํ งการเจริญเติบโต รํางกาย และจติ ใจ 2. ปจั จยั ด๎านจิตสงั คม โดยธรรมชาติแลว๎ พฤติกรรมมนุษย์นอกจากจะเกิดจากแรงขับ ทางเพศตามธรรมชาติแลว๎ ยงั ขนึ้ อยูกํ ับส่ิงอ่ืน ๆ ทางสังคมด๎วย ในปัจจบุ ันสภาพแวดล๎อมจะมีอิทธิพล เหนือจิตใจและอารมณข์ องเด็กวัยรนํุ เนอ่ื งจากเป็นวัยแหงํ การเรียนร๎แู ละการสงั เกตพฤติกรรมบคุ คลใน สังคมและเป็นวยั ทีม่ ีความร๎ูสกึ ไวตํอสิง่ กระต๎ุน

82 3. ปัจจัยด๎านวฒั นธรรม วฒั นธรรมทางเพศ หมายถงึ ระบบของการใหค๎ วามหมาย ความร๎ู และความเชื่อตําง ๆ รวมท้งั การปฏิบัติที่มีผลตํอโครงสร๎างของระบบความคิด ความเชอ่ื และพฤติกรรมทาง เพศของบุคคล ในบรบิ ทของ สังคมทแ่ี ตกตาํ งกนั ผํานบทบาททางสงั คม บรรทัดฐาน และทศั นคติจากสถาบัน ตาํ ง ๆ ในสังคม 1.1.4 สขุ ภาพทางเพศ เพ่ือหลกี เล่ียงผลกระทบที่ไมํพงึ ประสงค์จากความสัมพนั ธท์ างเพศ การให๎ความรเู๎ กยี่ วกับ การมีเพศสมั พันธ์ท่ี ปลอดภยั วิธีการคุมกาเนิด การทาแทง๎ การปูองกนั โรคตดิ ตอํ ทางเพศสัมพนั ธแ์ ละเอดส์ การลํวงละเมิดทางเพศ ความ รุนแรงทางเพศ และอนามยั เจรญิ พันธุ์ วยั รุํนเป็นวยั ทตี่ ๎องการเรียนร๎เู รอื่ งเพศศึกษามากกวําวยั อื่น เนื่องจากวัยรํนุ เปน็ วยั ของ การเปลย่ี นแปลงทัง้ ทางดา๎ น รํางกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคม เป็นอยํางมาก เป็นวัยหัวเล้ยี วหวั ตอํ แตํกลบั ไมํคํอยได๎รบั ข๎อมูลและบริการเกีย่ วกับ สุขภาพทางเพศทถ่ี ูกตอ๎ งและเหมาะสม เพราะสงั คมไทยยังมองเร่ือง เพศศึกษาเปน็ เรื่องไกลตัว ยังไมํจาเป็นทจ่ี ะต๎อง ให๎ความร๎ู หรือมองเหน็ วาํ เปน็ เร่ืองที่ไมํเหมาะสม จึงทาให๎เกิดปัญหาทางเพศกบั วยั รนํุ มากมายอยํางทเ่ี ห็นในปจั จุบัน ดงั น้นั การให๎ความร๎ูเร่ืองเพศศกึ ษาทีถ่ ูกต๎องกับ วัยรํนุ จงึ เป็นเรอื่ งท่ีสาคัญมาก 1.1.5 สงั คมและวฒั นธรรม วิธกี ารเรียนร๎ูและแสดงออกในเร่ืองเพศของบุคคลไดร๎ บั อิทธพิ ลจากสิ่งแวดลอ๎ ม บรรยากาศ ทางสังคม และสังคม เพศศึกษาจึงควรเปิดโลกทัศน์ให๎เขา๎ ใจบทบาททางเพศ เร่ืองเพศในบริบทของสังคม วัฒนธรรม กฎหมาย ศิลปะ และ สอื่ ตําง ๆ . 1. ดา๎ นสงั คม มีปจั จยั ทเี่ กี่ยวข๎องคือ สถานที่พักอาศยั แหลงํ บันเทงิ ส่งิ พมิ พ์ ส่ือกระตุ๎นทาง เพศและส่ือมวลชน 2. ดา๎ นวัฒนธรรม ที่มอี ทิ ธิพลตํอพฤตกิ รรมทางเพศทีส่ าคัญ คือ ความเช่ือเกยี่ วกับบทบาท ทางเพศและการปฏบิ ัตติ น ตํอเพศตรงข๎าม และคาํ นยิ มทางเพศ 1.1.6 ทักษะทจ่ี าเป็นในการดาเนินชีวติ เพราะความรู๎และข๎อมลู ทไ่ี ด๎รับเกี่ยวกับเพศน้นั ไมเํ พยี งพอที่จะชํวยให๎เยาวชนสามารถรบั มือ กับเหตุการณ์และแรง กดดันตําง ๆ ท่ปี ระสบในชีวิตจริง เพศศึกษา ควรนาไปสกูํ ารพัฒนาใหเ๎ ยาวชน เกิดทักษะทจ่ี าเปน็ ในการดาเนินชวี ิต ไดแ๎ กํ 1. การให๎คุณคํากับสง่ิ ตาํ ง ๆ ซึง่ ระบบการให๎คณุ คํานเ้ี ปน็ ตัวชี้นาพฤตกิ รรม เปาู หมาย และ การดาเนนิ ชวี ติ ของเรา 2. การส่ือสาร การรบั ฟงั การแลกเปลีย่ นความร๎ูสึกนึกคดิ ที่สอดคล๎องหรือแตกตํางกัน 3. การตดั สินใจ การตํอรอง การทาความตกลงเพือ่ บรรลุความตงั้ ใจหรอื ทางเลือกท่ีตน สามารถรับผิดชอบได๎ 4. การรกั ษาและยนื ยันในความเปน็ ตัวของตัวเอง สามารถแสดงความรู๎สกึ ความต๎องการของ ตนเอง โดยเคารพใน สิทธขิ องผอู๎ ื่น 5. การจดั การกบั แรงกดดันจากเพ่ือน ส่ิงแวดล๎อม และอคตทิ างเพศ 6. การแสวงหาคาแนะนา ความชวํ ยเหลือ การจาแนกแยกแยะข๎อมูลที่ถูกตอ๎ งและไมํถูกต๎อง

83 ใบงานท่ี 1 ร้จู กั ตนเอง ตอนท่ี 1 จงตอบคาถามต่อไปนี้ 1. ตามนยิ ามขององคก์ ารอนามัยโลก (WHO) เพศศึกษาหมายถงึ อะไร ............................................................................................................................. ................................................... ............................................................................................................................. ................................................... ............................................................................................................................................................................... 2. เรอื่ งเพศศึกษามีเนื้อหาครอบคลุมเก่ยี วกับเรื่องใดบา๎ ง ............................................................................................................................. ................................................... .................................................................................................................................................... ............................ ...................................................................................................... .......................................................................... 3. จงอธบิ ายการเปลีย่ นแปลงและการเจรญิ เติบโตของวยั รุํนทัง้ ทางรํางกาย จติ ใจและอารมณ์ สังคม และ สตปิ ัญญา ............................................................................................................................. ................................................... ............................................................................................................................. ................................................... ................................................................................................................................................................................ 4. จงอธิบายการดูแลรกั ษาความสะอาดระบบอวัยวะสืบพันธขุ์ องเพศชาย ............................................................................................................................. ................................................... ............................................................................................................................................... ................................. ................................................................................................. ............................................................................... 5. จงอธบิ ายการดูแลรักษาความสะอาดระบบอวยั วะสืบพันธ์ขุ องเพศหญงิ ............................................................................................................................. .................................................. .............................................................................................................................................. ................................. ................................................................................................. ..............................................................................

84 ใบงานที่ 2 ตอบคาถามพัฒนาการคิดเก่ียวกับอิทธพิ ลทมี่ ีผลตํอพฤติกรรมทางเพศแลว๎ นาเสนอครูผ๎ูสอน 1. อทิ ธิพลของครอบครัวมผี ลต่อพฤติกรรมทางเพศและการดาเนนิ ชีวิตอย่างไร วิเคราะห์อิทธพิ ลของครอบครัว เพอ่ื น สังคม และวัฒนธรรมที่มีผลตอํ พฤติกรรมทางเพศและการดาเนนิ ชวี ติ ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... .............................................................................................................................................................................. 2. อทิ ธพิ ลของเพ่ือนมีผลต่อพฤตกิ รรมทางเพศและการดาเนนิ ชีวิตของนกั เรยี นอย่างไร วเิ คราะหอ์ ิทธิพลของครอบครัว เพื่อน สงั คม และวฒั นธรรมทม่ี ีผลตอํ พฤติกรรมทางเพศและการดาเนินชวี ิต ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... .............................................................................................................................................................................. 3. วฒั นธรรมมีผลต่อพฤติกรรมทางเพศอยา่ งไร วเิ คราะหอ์ ิทธพิ ลของครอบครัว เพือ่ น สงั คม และวัฒนธรรมทม่ี ผี ลตอํ พฤติกรรมทางเพศและการดาเนนิ ชีวติ ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... .............................................................................................................................................................................. 4. อิทธิพลของสังคมมผี ลต่อพฤติกรรมทางเพศอยา่ งไร วเิ คราะหอ์ ิทธิพลของครอบครัว เพื่อน สงั คม และวัฒนธรรมทม่ี ผี ลตํอพฤติกรรมทางเพสและการดาเนินชีวิต ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... .............................................................................................................................................................................. 5. นกั เรียนมีแนวคดิ หรือวิถีทางในการสร้างชีวติ ให้มคี วามสุขอยา่ งไร วเิ คราะหอ์ ิทธพิ ลของครอบครัว เพอ่ื น สงั คม และวฒั นธรรมท่ีมผี ลตอํ พฤติกรรมทางเพศและการดาเนินชีวิต ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... ..............................................................................................................................................................................

85 แบบทดสอบกอ่ นเรียน เรือ่ งเพศ คาช้ีแจง เลือกคาตอบท่ถี ูกต้องท่ีสดุ เพียงคาตอบเดยี ว จานวน ๑๐ ข้อ ๑. ข๎อใดเป็นทัศนคตทิ างเพศทผ่ี ิดตอํ วัฒนธรรมไทย ก. การไมสํ วมถุงยางอนามยั ข. การมคี นูํ อนหลายคน ค. การมีเพศสัมพันธก์ บั ทุกคนไมเํ ลือกหน๎า ง. ถูกทกุ ขอ๎ ๒. ขอ๎ ใดเป็นทัศนคตเิ รื่องเพศเชิงลบท่ไี มํถูกต๎อง ก. การคมุ กาเนิดกับคํูนอน ข. การักนวลสงวนตวั ค. การมเี พศสัมพันธ์ที่ปลอดภัยรจ๎ู กั ปอู งกนั ง. การแสดงออกทางเพศสัมพันธอ์ ยาํ งเสรี ๓. ขอ๎ ใดหมายถึงเจตคติในเร่ืองเพศเชิงบวก ก. แกม๎ มเี พศสมั พนั ธก์ บั เพ่อื นชาย ข. หมึก ศกึ ษาเก่ียวกับเร่อื งทางเพศ ค. ปกุ คดิ วําเร่ืองทางเพศเป็นเรอื่ งที่นํารงั เกียจ ง. ถูกทุกข๎อ ๔. ทัศนคตทิ างเพศในเชงิ ลบหมายถงึ ข๎อใด ก. ความรู๎สึกเสื่อมเสยี เกลียดชัง ข. การตอํ ต๎านกกระเบียบของสงั คม ค. ความคิดในแงํลบในเรื่องใดเรือ่ งหน่ึง ง. ถกู ทกุ ข๎อ ๕. นอ๎ ยยอมมีเพศสมั พนั ธ์กับบคุ คลท่แี กํกวาํ เพ่ือต๎องการโทรศพั ท์มือถือเครอ่ื งใหมํ นักเรียนคดิ วํา พฤติกรรมของน๎อย ถูกต๎องหรอื ไมํ เพราะเหตุใด ก. ไมํถูกตอ๎ ง เพราะนอ๎ ยมเี พศสมั พนั ธก์ บั คนที่ แกกํ วาํ ข. ไมํถูกต๎อง เพราะน๎อยมเี พศสัมพนั ธ์กบั คนท่ี ไมไํ ดร๎ ัก ค. ไมํถูกต๎อง เพราะนอ๎ ยควรได๎รบั เงินเป็น คําตอบแทน มากกวาํ ง. ไมถํ กู ต๎อง เพราะน๎อยมีคํานยิ มทผี่ ดิ และอยากได๎ ของตอบแทน ๖. หากจาเปน็ ต๎องทาแผลและสัมผสั เลอื ดของผ๎ูอ่นื ควรปอู งกนั ตนเองอยาํ งไร ก. ลา๎ งมือกํอนและหลงั ทาแผล ข. สวมเส้อื ผ๎าให๎มดิ ชดิ และสะอาด ค. สวมถุงมือยางทกุ ครง้ั กํอนทาแผล ง. ใช๎แอลกอฮอล์เช็ดมอื และเครอ่ื งมือกอํ น

86 ๗. พฤติกรรมใดไมํทาให๎ติดโรคเอดส์ ก. กอดกับผต๎ู ดิ เช้ือเอดส์ ข. มเี พศสัมพนั ธก์ บั ผ๎ูปวุ ยโดยไมปํ ูองกนั ค. รบั ประทานขา๎ วกบั ผ๎ูตดิ เชอ้ื เอดส์เป็นประจา ง. ถูกทงั้ ข๎อ ก และ ค ๘. กลมํุ เพือ่ นแบบใดท่ีมีการแสดงออกทางเพศอยาํ ง เหมาะสม ก. ไกํและตกุ๏ พาเพ่ือนไปน่งั ดื่มสุรา ข. นกและแอน พาเพ่ือนไปมั่วสุมเสพสารเสพตดิ ค. แตนและแจมํ จบั กลมํุ หยอกลอ๎ เพ่ือนผูห๎ ญิง ง. กอ๎ ยและกงุ๎ ชวนเพอื่ นเลนํ ฟตุ บอลหลงั เลิกเรียน ๙. คาํ นิยมใดของไทยทช่ี วํ ยลดปญั หาเพศสัมพันธ์ ในวยั เรียน ก. การเอื้อเฟ้ือเผ่ือแผํ ข. การกตญั ญูกตเวที ค. อยาํ ชิงสุกกํอนหําม ง. เห็นอกเหน็ ใจกัน ๑๐. โรคซฟิ ิลิสเปน็ โรคทีเ่ กิดมาจากเชอื้ ชนิดใด ก. เชอื้ รา ข. เชือ้ ปรสติ ค. เช้อื แบคทเี รยี ง. เชอ้ื ปรสิต เฉลย 1.ง. 2. ง. 3.ข. 4.ง. 5.ค. 6.ค. 7.ง. 8.ค. 9.ค. 10.ค.

87 แผนการจดั การเรียนรู้ รายวิชาภาษาไทย คร้ังที่ 8 การจดั ทาหน่วยเรียนรบู้ รู ณาการหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง ภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2565 ระดับประถมศึกษา กศน.ตาบลนา้ ใส ๑. สปั ดาหท์ ่ี 8 วนั ที่ 5 เดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2565 เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐น. ๒. วชิ า ภาษาไทย รหสั วชิ า พท1๑๐๐๑ จานวน 3 หนํวยกิต ๓. มาตรฐานที่ ๒.1 มคี วามร๎ู ความเขา๎ ใจ และทกั ษะพื้นฐานเกย่ี วกับภาษาและการสื่อสาร ๔. หน่วยการเรียนร้/ู เรอ่ื งการอาํ น ๕. สาระสาคญั 5.1 เหน็ ความสาคญั ของการอาํ นทง้ั การอํานออกเสยี งและอาํ นในใจ 5.1 สามารถอํานได๎อยํางถูกต๎อง และอํานไดเ๎ รว็ เขา๎ ใจความหมายของถ๎อยคา ข๎อความ เน้อื เร่อื งที่อาํ น 5.2มีมารยาทในการอําน และนสิ ัยรักการอําน ๖. เนื้อหา ๑. ความสาคญั หลกั การ และ จุดมงุํ หมายของการอําน ออกเสยี งและการอํานในใจ 2. การอํานร๎อยแกว 3. การอํานร๎อยกรอง 4. การเลอื กอํานหนังสือ และประโยชนของการอําน 5. การสร๎างนิสัยรกั การอําน และมารยาทในการอํานท่ีดี 7. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นร้/ู ผลการเรียนรทู้ ่ีคาดหวงั ๑. เข๎าใจความสาคัญ หลกั การและจุดมงุํ หมายของการอํานท้งั อาํ นออกเสียงและอํานในใจ ๒. อาํ นออกเสยี งคา ข๎อความ บทความ บทสนทนา เรื่องสั้น บทรอ๎ ยกรองและบทร๎องเลํน บทกลอมเด็ก ๓. อธบิ ายความหมายของคาและข๎อความทอี่ าํ น ๔. ปฏิบตั ติ นเป็นผ๎มู ีมารยาทในการอํานและมนี สิ ยั รักการอําน 8. การบูรณาการกบั หลักแนวคดิ ของเศรษฐกจิ พอเพียง (2 เงอ่ื นไข 3 หลักการ การเช่ือมโยงสู่ 4 มิต)ิ ความรู้ -การสบื คน๎ และระบบการจัดหนังสือในกจิ กรรมกศน.ตาบล -ระเบยี บการใชก๎ ศน.ตาบล การยืมหนังสือ คณุ ธรรม - ความรับผิดชอบตอํ หนงั สือที่อํานหรือยืมกลบั มาอําน - การตรงตํอเวลาในการเขา๎ กิจกรรม รวมทัง้ การคืนหนงั สือที่ยมื มาด๎วย - ความเกรงใจผ๎อู น่ื ทีใ่ ช๎หนังสือหรือสถานท่ีรวํ มกบั เรา - การแบํงปนั ให๎ผ๎อู นื่ ได๎มโี อกาสใช๎บริการของกศน.ตาบล เพ่ือการศึกษาคน๎ ควา๎ หรือการบันเทงิ อยาํ ง เทาํ เทียมกัน

88 พอประมาณ - พอกบั เวลาวํางท่ีมอี ยูํ - พอประมาณกับชวํ งเวลา วําเวลาใดควรเข๎า ไมํควรอํานหนงั สอื - พอประมาณกบั สถานท่ีทจี่ ะรองรบั ผ๎ูใชบ๎ ริการได๎ มีเหตผุ ล - เปน็ การใชเ๎ วลาวาํ งให๎เป็นประโยชน์ - เป็นการแสวงหาความรู๎ด๎วยตนเอง - สรา๎ งนสิ ยั รักการอําน เปน็ บุคคลแหงํ การเรียนร๎ู มีภมู ิคมุ้ กัน -ต๎องตระหนักและเห็นประโยชนข์ องการอํานหนังสือทง้ั ในและนอกห๎องสมุด -ตอ๎ งฝกึ นิสัยใฝรุ ูแ๎ ละเกดิ ความสุขความสุขในการอาํ น วัตถุ - การใชบ๎ ริการหนงั สือและสอื่ ตํางๆ จากกศน.ตาบล โดยไมํต๎องซื้อหามาเองทาให๎ประหยัดคําใช๎จําย และเกิดประโยชนก์ บั การเรียนรู๎อยาํ งมาก สังคม - การเข๎าใช๎บรกิ ารกศน.ตาบลบํอยๆ ทาให๎ไดร๎ ๎ูจกั การปรับตัวในการเขา๎ สังคมรวํ มกบั ผ๎ูอืน่ ท่จี ะไมํทา ใหต๎ นเองเดือดร๎อน ไมํทาใหส๎ ังคมเดือดร๎อน มีความรจ๎ู ากการอํานหนงั สือในกศน.ตาบล เรอื่ งการเมอื ง การปกครองท่ี ทันยคุ ทันเหตุการณส์ ามารถให๎คาปรึกษากบั ชมุ ชนในเรื่องราวตํางๆโดยอยบํู นพ้นื ฐานของหลักวชิ าการท่ถี กู ต๎อง สงิ่ แวดล้อม - กศน.ตาบลมบี รรยายกาศ สภาพแวดลอ๎ ม นําอํานหนงั สอื วัฒนธรรม - วัฒนธรรมการแบงํ ปนั การเคารพสถานท่ี กฎ กติกาของสังคม 9. กระบวนการจัดการเรียนรแู้ ละกจิ กรรมการเรียนรู้ ขั้นที่ ๑ กาหนดสภาพปัญหาการเรียนรู้ (O : Orientation) ๑. ให๎ผเู๎ รยี นอาํ น บทร๎อยกรอง และรํวมกันสรุปใจความสาคัญ ของบทร๎อยกรอง 2. ผ๎เู รยี นและครรู ํวมกันสร๎างความเขา๎ ใจเกยี่ วกับหลกั การเขยี นประเภทตาํ ง ๆ และรํวมกันกาหนด วธิ กี ารเรยี น ข้นั ที่ 2 แสวงหาข้อมูลและจัดการเรียนรู้ (N : New ways of learning) 1. อธบิ ายการอํานบทร๎อยกรอง มีประโยชน์อยาํ งไร และมวี ธิ ีการอยํางไร 2. อธบิ าย เรอ่ื ง หลักความสาคญั และจดุ มํงุ หมายของการอําน 3. นกั ศึกษาทาแบบทดสอบยํอยเพ่ือประเมนิ ผเู๎ รียนวํามีความเข๎าใจหรือไมํ 4. อธิบายถงึ หลักการเขยี นส่ือสาร การเขยี นเรยี งความและยอํ ความ การเขยี นเพื่อการส่ือสาร การ เขียนรายงาน การเขยี นกรอกแบบรายการ มารยาทในการเขียน และการสรา๎ งนสิ ยั รักการอําน ขั้นที่ ๓ การปฏิบตั ิและการนาไปใช้ (I : Implementation) 1. ผ๎ูเรยี นและผ๎สู อนรวํ มกันสรุปในตอนท๎ายเพื่อเปน็ การทบทวนและสรปุ ความรู๎ 2. นกั ศึกษาและครชู วํ ยการสรปุ ความร๎ทู ีไ่ ดร๎ ับจากการเรยี นรูใ๎ นบทเรียนน้ี สามารถนาไป ประยุกตใ์ ชใ๎ นชวี ติ ประจาวันไดอ๎ ยาํ งไร

89 ข้นั ท่ี ๔ การประเมินผลการเรียนรู้ (E : Evaluation) ๑. ใบงาน ๒. ค๎นคว๎าเพมิ่ เติม 3. เร่ือง วรรณคดีและวรรณกรรม 4. เร่ือง ภาษาไทยกับชํองทางการประกอบอาชีพ 10. สื่อ/แหล่งเรยี นรู้ 1. หนงั สอื แบบเรียน 2. แบบทดสอบกํอนเรียน/หลังเรียน 3. ใบงาน 4. อนิ เทอรเ์ น็ต 11. การวัดและประเมนิ ผล 1. วธิ ีการวดั และประเมนิ ผล - แบบประเมนิ ผลการสงั เกตพฤติกรรมการทางานรวํ มกับผูอ๎ ืน่ ของนักศึกษารายบคุ คล - ใบงาน - แบบทดสอบกํอนเรียน-หลงั เรียน 2. เครื่องมอื วัดและประเมินผล. - ประเมินผลการสังเกตพฤติกรรมการทางานรํวมกบั ผู๎อนื่ ของนกั ศึกษารายบคุ คล - ผลจากการตรวจใบงาน - คะแนนแบบทดสอบกอํ นเรียนและหลงั เรียน 3. เกณฑ์การวดั และการประเมินผล - แบบประเมินผลการสังเกตพฤติกรรมการทางานรํวมกับผู๎อื่นของนกั ศึกษารายบคุ คล ระดับดี พอใช๎ และควรปรบั ปรุง - ใบงานคะแนนเตม็ 10 คะแนน แบบทดสอบกํอนเรียน-หลังเรยี น เกณฑผ์ ํานและไมํผําน กิจกรรมเสนอแนะ .............................................................................................. ........................................................................................... ................................................................................................................................................................... ลงช่อื …………………………………………….ครผู ๎ูสอน (นายประมวล เจรญิ สุข) ครู กศน.ตาบล ข้อเสนอแนะของผู้บรหิ าร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………............................. ลงชอ่ื ………………………………………………………ผ๎อู นมุ ัตแิ ผน (นางปัทมาภรณ์ ศรีเนตร) ผ๎อู านวยการ กศน.อาเภอจตรุ พักตรพมิ าน

90 บันทกึ หลังการจดั การเรยี นรู้ การจดั ทาหน่วยเรียนรู้บูรณาการหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง กศน.ตาบลนา้ ใส ครง้ั ท่ี 8 วนั ที่ 5 เดอื น กรกฎาคม พ.ศ. 2565 ครผู ๎ูสอน นายประมวล เจริญสุข ระดบั ประถมศึกษา เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐ น. สาระความรู๎พื้นฐาน รายวชิ าภาษาไทย รหสั วชิ า พท1๑๐๐๑ จานวนผ๎ูเรียนทัง้ หมด ............... คนเขา๎ เรียน…………………คน ไมํเขา๎ เรยี น……………………….คน ๑. ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การประเมินโดยใช๎ แบบทดสอบกํอนเรยี น - หลงั เรียน พบวํา คะแนนการทดสอบหลงั เรียน มากกวาํ กอํ นเรียนจานวน ........ คนคิดเป็นรอ๎ ยละ............ คะแนนการทดสอบหลังเรยี น นอ๎ ยกวํากํอนเรยี นจานวน ......... คนคดิ เปน็ ร๎อยละ............ ๒. เน้อื หา/สาระ ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................... ๓. กิจกรรมการเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ................................... ....................................................................................... ..................................................................................... ............................................................................................................................. .......... ๔. ปัญหา/อุปสรรค การเรียนการสอน ................................................................................................................................ ................................ .................................................................................................. .............................................................. ............................................................................................................................. ................................... ๕. แนวทางการแก้ปัญหา ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................... ลงช่อื ....................................................... (นายประมวล เจรญิ สุข) ครผู ๎สู อน วันท.ี่ ............../.................../............... ความคิดเห็น/ขอ้ เสนอแนะของผูบ้ ริหาร ............................................................................................................................. ............................................................ ............................................................................................................................. ............................................................ ....................................................................................................................................................... ลงชอ่ื .................................................................. (นางปทั มาภรณ์ ศรเี นตร) ผอู๎ านวยการ กศน.อาเภอจตุรพกั ตรพิมาน

91 แผนการจดั การเรียนรู้ รายวิชาภาษาไทย คร้งั ที่ 9 การจดั ทาหน่วยเรยี นรู้บูรณาการหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง ภาคเรยี นที่ 1 ปกี ารศึกษา 2565 ระดับประถมศกึ ษา กศน.ตาบลน้าใส ๑. สัปดาหท์ ี่ 9 วนั ที่ 12 เดอื น กรกฎาคม พ.ศ. 2565 เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐น. ๒. วชิ า ภาษาไทย รหสั วชิ า พท1๑๐๐๑ จานวน 3 หนํวยกิต ๓. มาตรฐานท่ี ๒.1 มีความร๎ู ความเข๎าใจ และทักษะพน้ื ฐานเกีย่ วกบั ภาษาและการสื่อสาร ๔. หนว่ ยการเรียนร/ู้ เรอื่ ง วรรณคดี วรรณกรรม ๕. สาระสาคญั มนุษยใ์ ชภ๎ าษาสร๎างมนุษย์สัมพันธ์ พัฒนาความคิด แสวงหาความรู๎หากเข๎าใจหลักการใช๎ภาษา และนาไปใช๎ในการส่ือสาร ได๎อยํางถูกต๎องท้ังการพูดการเขียนและกํอให๎เกิดประโยชน์ ทั้งสวํ นตนและ สวํ นรวม ๖. เนอ้ื หา 1. เร่อื งราว นิทาน นทิ านพื้นบา๎ นและ วรรณกรรมทอ๎ งถิน่ 2. เรื่องราววรรณคดีทีม่ ี ความหลากหลาย - กลอนบทละคร (สงั ขท์ อง) - กลอนนิทาน (พระอภัยมณี) - กลอนเสภา (ขุนช๎าง ขุนแผน) 7. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นร/ู้ ผลการเรยี นรู้ที่คาดหวัง อธบิ ายถงึ ประโยชน และคณุ คําของนทิ าน นทิ านพ้ืนบา๎ น วรรณกรรม และวรรณกรรมในทอ๎ งถิ่น 8. การบรู ณาการกบั หลักแนวคิดของเศรษฐกจิ พอเพียง (2 เง่ือนไข 3 หลักการ การเช่อื มโยงสู่ 4 มติ ิ) ความรู้ - การสบื ค๎นนทิ านพน้ื บ๎าน ในกิจกรรมกศน.ตาบล - เรอื่ งเลาํ นทิ านพ้ืนบ๎านจากชนรนํุ หลงั - ความร๎ูหากเขา๎ ใจหลกั การใช๎ภาษาในการส่ือสาร คณุ ธรรม - การตรงตอํ เวลาในการเขา๎ กิจกรรม -ศึกษาค๎นคว๎าวรรณกรรมทอ๎ งถนิ่ หรือการบนั เทิงอยํางเทําเทียมกนั พอประมาณ - พอกบั เวลาวํางที่มอี ยูํ - พอประมาณกบั ชํวงเวลาการอาํ นนทิ านพื้นบา๎ น มเี หตุผล - เป็นการใช๎เวลาวํางให๎เปน็ ประโยชน์ - เปน็ การแสวงหาความร๎ูดว๎ ยตนเอง มภี ูมคิ ุ้มกัน -ตอ๎ งตระหนักและเหน็ ประโยชน์ของวรรณคดี

92 -ตอ๎ งฝกึ นสิ ัยใฝุรูแ๎ ละเกดิ ความสขุ ความสุขในการอาํ น วตั ถุ - ประหยดั คําใชจ๎ าํ ยและเกดิ ประโยชนก์ บั การเรยี นรอ๎ู ยาํ งมาก สังคม - การเข๎าใชบ๎ ริการกศน.ตาบลบํอยๆ ทาให๎ไดร๎ ูจ๎ ักการปรบั ตัวในการเข๎าสงั คมรํวมกบั ผู๎อ่นื ท่จี ะไมํทา ใหต๎ นเองเดือดร๎อน ไมํทาใหส๎ ังคมเดือดรอ๎ น มคี วามรูจ๎ ากการอํานหนงั สอื ในกศน.ตาบล เรอ่ื งวรรณคดี วรรณกรรม สิง่ แวดล้อม - บรรยายกาศ สภาพแวดลอ๎ ม นาํ อํานหนังสอื วัฒนธรรม - วัฒนธรรมการแบงํ ปนั การเคารพสถานที่ กฎ กติกาของสังคม 9. กระบวนการจดั การเรยี นรู้และกจิ กรรมการเรียนรู้ ขนั้ ท่ี ๑ กาหนดสภาพปัญหาการเรยี นรู้ (O : Orientation) ผูเ๎ รียนและครรู ํวมกนั พดู คุยเรื่องการใช๎ภาษาถิน่ ของชุมชน และให๎ผเู๎ รียนได๎แสดงความคิดเห็นถึง ประเด็นการใชภ๎ าษาถนิ่ พืน้ บา๎ น พรอ๎ มยกตวั อยาํ ง ขน้ั ที่ 2 แสวงหาขอ้ มลู และจัดการเรียนรู้ (N : New ways of learning) 1. ครูอธิบายถงึ ลกั ษณะนิทาน นทิ านพื้นบา๎ นและ วรรณกรรมทอ๎ งถิ่น และวรรณคดีทีม่ ี ความ หลากหลาย 2. ครูอธบิ าย รูปแบบชองกลอนบทละคร 3. ครูอธิบาย รปู แบบชองกลอนนิทาน 4. ครูอธบิ าย รปู แบบกลอนเสภา ขน้ั ท่ี ๓ การปฏิบตั ิและการนาไปใช้ (I : Implementation) ๑. นกั ศึกษาทาแบบทดสอบกํอน - หลังเรยี น ๒. ครสู รุปองค์ความรูใ๎ นเนื้อหา ๓. นักศึกษาซักถาม และแลกเปลย่ี นความร๎ู ขนั้ ที่ ๔ การประเมินผลการเรียนรู้ (E : Evaluation) งานมอบหมาย ให๎นกั ศึกษาค๎นคว๎าเพ่ิมเติม เรื่องการแยกสาร จากแหลงํ เรยี นรู๎ ห๎องสมุด, กศน.ตาบล,อินเตอร์เน็ต 10. สอ่ื /แหล่งเรียนรู้ 1. หนังสอื เรยี นสาระความรูพ๎ ้ืนฐาน รายวชิ าภาษาไทย ระดับประถมศกึ ษา รหัส พท11001 2. ใบความร๎ู 3. อนิ เทอรเ์ น็ต 11. การวดั และประเมินผล 1. วธิ ีการวัดและประเมนิ ผล - แบบประเมินผลการสงั เกตพฤติกรรมการทางานรํวมกับผู๎อนื่ ของนกั ศึกษารายบคุ คล - ใบงาน

93 - แบบทดสอบกํอนเรยี น-หลังเรยี น 2. เครอื่ งมือวดั และประเมินผล. - ประเมนิ ผลการสงั เกตพฤตกิ รรมการทางานรํวมกบั ผ๎อู น่ื ของนกั ศกึ ษารายบคุ คล - ผลจากการตรวจใบงาน - คะแนนแบบทดสอบกอํ นเรียนและหลงั เรียน 3. เกณฑ์การวัดและการประเมนิ ผล - แบบประเมินผลการสงั เกตพฤติกรรมการทางานรวํ มกบั ผู๎อ่ืนของนักศึกษารายบุคคล ระดบั ดี พอใช๎ และควรปรบั ปรุง - ใบงานคะแนนเต็ม 10 คะแนน - แบบทดสอบกํอนเรียน-หลงั เรยี น เกณฑผ์ ํานและไมผํ ําน กิจกรรมเสนอแนะ ......................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ลงช่อื …………………………………………….ครผู ส๎ู อน (นายประมวล เจรญิ สขุ ) ครู กศน.ตาบล ขอ้ เสนอแนะของผู้บริหาร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………............................. ลงชือ่ ………………………………………………………ผอู๎ นมุ ตั แิ ผน (นางปัทมาภรณ์ ศรเี นตร) ผู๎อานวยการ กศน.อาเภอจตรุ พักตรพมิ าน

94 บนั ทกึ หลังการจดั การเรียนรู้ การจัดทาหนว่ ยเรยี นร้บู ูรณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง กศน.ตาบลนา้ ใส คร้งั ท่ี 8 วันท่ี 5 เดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2565 ครูผ๎สู อน นายประมวล เจริญสขุ ระดับ ประถมศึกษา เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐ น. สาระความร๎ูพื้นฐาน รายวชิ าภาษาไทย รหสั วิชา พท1๑๐๐๑ จานวนผูเ๎ รียนทงั้ หมด ............... คนเข๎าเรยี น…………………คน ไมํเข๎าเรียน……………………….คน ๑. ผลการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้การประเมนิ โดยใช๎ แบบทดสอบกํอนเรยี น - หลงั เรียน พบวํา คะแนนการทดสอบหลงั เรียน มากกวาํ กํอนเรียนจานวน ........ คนคดิ เปน็ รอ๎ ยละ............ คะแนนการทดสอบหลงั เรยี น น๎อยกวาํ กํอนเรยี นจานวน ......... คนคิดเปน็ รอ๎ ยละ............ ๒. เน้ือหา/สาระ ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................... ๓. กิจกรรมการเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. .......... ๔. ปญั หา/อุปสรรค การเรียนการสอน ............................................................................................................................. ................................... .................................................................................. .............................................................................. ............................................................................................................................. ................................... ๕. แนวทางการแก้ปัญหา ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................... ลงชื่อ....................................................... (นายประมวล เจรญิ สุข) ครูผูส๎ อน วนั ที่.............../.................../............... ความคดิ เห็น/ขอ้ เสนอแนะของผบู้ ริหาร ............................................................................................................................. ............................................................ ............................................................................................................................. ............................................................ ....................................................................................................................................................... ลงชื่อ.................................................................. (นางปัทมาภรณ์ ศรเี นตร) ผู๎อานวยการ กศน.อาเภอจตุรพักตรพิมาน

95 ใบความรู้ เรื่อง วรรณกรรมปัจจบุ นั และวรรณกรรมทอ้ งถ่นิ 1. ความหมาย วรรณกรรมท้องถนิ่ หมายถงึ วรรณกรรมทป่ี รากฎอยูํในทอ๎ งถน่ิ ภาคตําง ๆ ของไทย ท้ังท่เี ป็นลาย ลกั ษณ์ หรอื มขุ ปาฐะ ซง่ึ แตกตํางไปจากวรรณกรรมแบบฉบับ เพราะวรรณกรรมทอ๎ งถนิ่ นั้นชาวท๎องถ่ินสร๎าง ขึน้ มา ชาวทอ๎ งถน่ิ ใช๎ (อาํ น, ฟงั ) และชาวทอ๎ งถน่ิ เป็นผู๎อนรุ กั ษ์ โดยมีวัดเป็นศูนย์กลาง รปู แบบของฉนั ทลักษณจ์ งึ เปน็ ไปตามความนยิ มของท๎องถ่นิ นนั้ ๆวรรณกรรมท๎องถิ่นมเี นือ้ หาสาระ และคตินิยมเก่ยี วกบั พุทธศาสนาเปน็ สํวน ใหญํ เนอื่ งจากคนไทยทกุ ภาพในอดีตมีคตินิยมในการสรา๎ งหนงั สือถวายวัด โดยเชื่อกันวําจะได๎อานิสงส์อยํางแรง อีก ประการหนึง่ วดั ก็เป็นสานักเลําเรียนของกลุ บตุ ร กุลธิดาของประชาชน ฉะนั้นการสร๎างสรรค์วรรณกรรมท๎องถ่นิ ยังมี สํวนใหน๎ กั เรยี นไดฝ๎ ึกอํานหรือทวบทวนนอกเหนือไปจากแบบเรียน (จินดามณี ปฐมมาลา ปฐม ก.กา) ซ่ึงสวํ นใหญํ เป็นวรรณกรรมประเภทนิทานคติธรรม 2. ความเปน็ มาของการศกึ ษาวรรณกรรมทอ้ งถ่ิน การศกึ ษาวรรณกรรมไทยนน้ั เราจะมาเริ่มศึกษากัน เมื่อสมยั รัชกาลท่ี 5 กลําวคือมีการจดั ตั้งโบราณคดี สโมสรขึ้น เมื่อ พ.ศ. 2450 ในครงั้ นั้นได๎รวบรวม ชาระ ซอํ มแซมวรรณกรรมท่ีกระจัดกระจาย และมีการพิมพ์ เผยแพรํ ซึง่ เป็นการอนรุ ักษว์ รรณกรรมโบราณของไทยไวไ๎ ด๎สํวนหน่ึง คณะกรรมการโบราณคดสี โมสรไดศ๎ ึกษา รวบรวมวรรณกรรมที่ทาํ นมปี ระสบการณ์ คอื ร๎จู ักและเคยอํานสมัยเลาํ เรยี น ซึ่งสวํ นใหญํเป็นวรรณกรรมที่แพรํหลาย อยใํู นกลุํมชนชน้ั นาคือ ขุนนาง นักปราชญ์ ราชบัณฑติ สวํ นวรรณกรรมทแ่ี พรํหลายอยใูํ นกลุมํ ชาวบ๎าน หรอื ชาว วดั หรือในท๎องถิน่ ทห่ี าํ งไกล เข๎าใจวําทาํ นเหลาํ นั้นคงยงั มิไดศ๎ ึกษารวบรวม อีกประการหนง่ึ ในชวั่ ระยะเวลาอันสน้ั ท่ี จัดตัง้ โบราณคดสี โมสรนน้ั ข๎อมูลในสวํ นกลางหรือราชสานกั คงมีมากเกินกวาํ ทีจ่ ะศึกษารวบรวมในระยะเวลาอันส้นั ในสมัยรชั กาลที่6 แหงํ กรุงรัตนโกสินทร์ ไดจ๎ ดั ตั้งวรรณคดสี โมสรข้ึน เม่ือ พ.ศ. 2457 คงจะสืบ เนอ่ื งมาจากโบราณคดสี โมสรนนั่ เอง คณะกรรมการชุดน้ีได๎พยายามที่จะจัดจาแนกวรรณกรรม โดยพิจารณาวาํ เปน็ ระยะเวลาใดควรแกํการยกยํอง ในสมัยจัดตั้งวรรณคดีสโมสรนัน้ เปน็ ระยะเวลาไมนํ านนักก็สน้ิ สมยั รัชกาลที่ 6 จากน้ันกข็ าดแรงสนบั สนุนการศึกษารวบรวมวรรณกรรม จงึ อยูใํ นวงจากัด ยังมไิ ด๎ขยายขอบเขตไปศึกษา วรรณกรรมท่ีแพรหํ ลายอยํูในกลมํุ ชาวบา๎ น ชาววดั และวรรณกรรมในท๎องถิน่ ที่หํางไกล หลังจากน้ันเป็นต๎นมารวมเวลาประมาณก่งึ ศตวรรษ กลุ บตุ ร กลุ ธิดาชาวไทย ก็ได๎ศึกษาเลําเรียนเฉพาะ วรรณกรรมที่ไดศ๎ ึกษารวบรวมชาระกันในคร้งั นนั้ เทําน้นั ไมํปรากฎวาํ ได๎มีการศกึ ษาชาระ รวบรวมวรรณกรรมอ่ืน ๆ ให๎กวา๎ งขวางตํอไป วรรณกรรมชาวบ๎าน ชาววดั เหลาํ น้ันจงึ ถกู ทอดท้ิงมาเป็นเวลาเน่นิ นาน ตํอมาเม่อื ราว พ.ศ. 2502 สถาบันการศกึ ษาระดับอุดมศกึ ษาได๎แนวคิดมาจากตะวนั ตกที่นิยมศึกษา เรือ่ งราวทางพน้ื บ๎าน และเสนอเป็นวทิ ยากรในหลักสูตรเรียกช่อื วํา Folklore จงึ นาวิธีการเหลาํ นน้ั มาจดั เข๎าใน หลกั สูตรระดับอุดมศึกษา เรียกชอื่ วํา \"คติชาวบ๎าน\" บา๎ ง \"คตชิ นวทิ ยา\" บ๎าง จากการศึกษาวิชาสาขาคติชนวิทยานั้น ทาให๎เราทราบถึงแนวคดิ คตนิ ยิ ม ปรชั ญาชวี ติ ของสังคมในท๎องถ่ิน ตาํ งๆ ของไทย ซง่ึ มรี ายละเอยี ดปลกี ยํอยตํางไปจากคตนิ ิยม ปรัชญาชวี ติ และสังคมของภาคกลางเกือบ สน้ิ เชิง ฉะนนั้ จึงมกี ารศกึ ษาท่ีลึกซง้ึ ลงไป ในเอกสารทอ๎ งถิน่ ตํางๆ จึงพบวาํ ในเอกสารทอ๎ งถน่ิ เหลาํ นัน้ เปน็ คลงั ของ แนวคดิ คาํ นยิ มของสังคมท๎องถ่นิ อนั แอบแฝงอยูใํ นรูปนิทานเหลํานัน้ ฉะนั้นจึงทาให๎นกั วชิ าการในสาขาอืน่ ๆ เรม่ิ ตระหนกั ถึงคณุ คาํ ความสาคัญของข๎อมลู ทางคติชนวทิ ยาโดยเฉพาะวรรณกรรม ประจวบกบั เมื่อชวํ งปี พ.ศ.2510- พ.ศ.2520 นักศึกษาเร่ิมมีปฏิกิริยาตํอต๎านการศึกษาวรรณคดี โดยมีทศั นคติตํอวรรณคดที ี่อยูํในหลกั สตู รระดบั ประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอดุ มศึกษานนั้ เป็นวรรณคดีของชนชน้ั สงู หรือวรรณกรรมเพอ่ื รับใชศ๎ ักดนิ า ไมํ กอํ ให๎เกิดแนวคดิ สร๎างสรรค์ใดๆ รังแตํให๎เกิดความเบื่อหนาํ ยฉะน้นั เม่ือตอนปลายปี พ.ศ.2519 จึงมีการจัดรายวชิ า

96 วรรณกรรมท๎องถนิ่ ในสถานศกึ ษาระดับอุดมศึกษา สวํ นระดบั ประถมศกึ ษา และมัธยมศกึ ษา มีการเสนอให๎อาํ น วรรณกรรมท๎องถน่ิ ของภาคตําง ๆ เป็นหนงั สืออํานประกอบอยบูํ า๎ ง 3. ข้อแตกต่างระหวา่ งวรรณกรรมแบบฉบับกับวรรณกรรมท้องถ่ิน จากการศึกษาวรรณกรรมท๎องถิน่ ของภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคใต๎ และภาคกลางแล๎ว พบวาํ มรี ปู แบบตําง ไปจากวรรณกรรมแบบฉบับอยํูมาก ตามลาดับความใกลช๎ ิดกับรัฐบาลกลางหรือราชสานักทีเ่ ป็นเชนํ นี้ เพราะวาํ พืน้ ฐานของสังคม มโนทัศน์ของกวี ตลอดจนบันทึกสภาพสงั คมในสมัยที่กาเนิดวรรณกรรมน้ัน ๆ ตามมโนทัศน์ของ กวี วทิ ย์ ศวิ ะศรียานนท์ (2504 : 183) กลําววํากวคี นเดียวก็เปรยี บเหมอื น 3 คน คอื นอกจากเป็นผู๎แตํงหนังสอื แล๎ว ยังเป็นหนวํ ยหนึง่ ของคนรํนุ น้ัน และเป็นพลเมอื งด๎วย เน่อื งจากเหตนุ ้ี นอกจากจะต๎องสงั วรในอาชีพประพันธ์ ของตนในฐานะท่ีเปน็ กวี ในฐานะทเ่ี ป็นหนํวยหนึ่งของคนสมยั นั้น ก็ยอํ มจะทาเอาหไู ปนาเอาตาไปไรเํ สียกับ เหตุการณ์ที่ตนเห็นตาตาประจักษ์อยํูแกใํ จหาได๎ไมํ และในฐานะท่ีเป็นพลเมืองอีกเลาํ ก็จะต๎องใสใํ จเหตุการณ์ บา๎ นเมือง ความเคลือ่ นไหวของประเทศชาติ ตลอดจนชนช้ันและอาชีพที่ตนเป็นหนวํ ยหนงึ่ อกี ดว๎ ย กวีหรอื ผเ๎ู ขียนยํอมสอดแทรกสภาพของสงั คมสมัยนน้ั ๆ ลงไปในวรรณกรรมที่เขาได๎สร๎างสรรค์ และใน ฐานะท่เี ปน็ หนวํ ยหนึ่งของประชาคมนั้น ยอํ มจะใสํความคิดเห็น มโนทศั นข์ องตนลงไปดว๎ ย แตํในขณะเดยี วกันใน บทบาทของกวหี รือนกั ประพันธ์ จึงเสนอทัศนคติในบทบาทฐานะน้ันอีกด๎วย ฉะนัน้ ปัจจัยดังกลาํ วข๎างตน๎ จึงมสี วํ น สาคัญทแ่ี ยกรูปแบบของวรรณกรรมแบบฉบบั กบั วรรณกรรมทอ๎ งถ่นิ ให๎แตกตํางกัน เมอื่ พิจารณารูปแบบของวรรณกรรมแบบฉบบั กบั วรรณกรรมทอ๎ งถิน่ ทแ่ี ตกตาํ งกันไปนน้ั ทาใหเ๎ หน็ วาํ วรรณกรรมแบบฉบบั เป็นวรรณกรรมท่ีแพรหํ ลาย และเจริญอยูใํ นราชสานัก เรมิ่ ตัง้ แตํกวผี ส๎ู รา๎ งสรรค์ ซง่ึ เปน็ ผ๎คู งแกํ เรยี น พ้นื ฐานการศกึ ษาสูง และอยํูในฐานะเหนือกวาํ ทางดา๎ นสงั คม ฉะน้ันคํานิยม สภาวะของสังคม จนทัศนะท่ีกวี สอดแทรกในวรรณกรรมนนั้ จึงเปน็ มโนทศั นข์ องสังคมช้ันสูง ซง่ึ ตาํ งไปจากวรรณกรรมทอ๎ งถน่ิ ท่ีกวเี ปน็ ชาวบา๎ น ธรรมดาหรือภกิ ษุ และอยํใู นภาวะของสังคมแบบชาวบ๎านโดยทั่วไป ฉะนน้ั คํานยิ ม สภาวะของสังคม และทศั นะที่กวี สอดแทรกลงไปในวรรณกรรมท่ีเขาสร๎างสรรคน์ นั้ จะเป็นมโนทศั น์(คาบาลี สนั สกฤต) หรอื บทกวีนิพนธ์ท่ี ซับซ๎อน เชนํ ฉันท์ สวํ นใหญํจะใช๎กวนี ิพนธท์ ่ีนยิ มในท๎องถิ่นนนั้ ๆ 4. ประโยชน์ของการศกึ ษาวรรณกรรมทอ้ งถิ่น ข๎อมลู ทางคติชนวิทยา เป็นที่สนใจของนักศึกษาทางด๎านมานุษยวิทยามาโดยตลอด เพราะข๎อมูลเหลาํ นเ้ี ป็น ข๎อมลู เบื้องตน๎ ทส่ี ืบทอดกันมาในประชาคมทอ๎ งถ่ินตาํ งๆ ในการวเิ คราะห์ขอ๎ มลู ทางดา๎ นคตชิ นน้ันทาให๎นกั มานุษยวิทยาสามารถเขา๎ ใจลักษณะของสังคม คาํ นิยม ปรัชญาชวี ิตและวิถีทางแหงํ ชวี ิต ตลอดจนระบบของสังคมของ กลุํมชนน้ันๆ วรรณกรรมท๎องถิน่ เปน็ ข๎อมูลสาคัญในข๎อมูลทั้งหลาย ทางด๎านคตชิ นวิทยา ทจี่ ะสะท๎อนให๎เหน็ สภาวะ ของประชาคมนั้นๆ เป็นอยํางดปี ระโยชนใ์ นการศึกษาวรรณกรรมท๎องถิ่น สรุปได๎ 3 ประการ ดังน้ี 4.1 ประโยชนท์ างดา้ นวิชาการ ผศ๎ู ึกษาวรรณกรรมท๎องถิน่ จะเข๎าใจในสง่ิ ตํอไปนี้ 4.1.1 ปรัชญาชวี ิตและสงั คมของท๎องถิน่ อันเปน็ พ้นื ฐานของสังคม เชนํ ความเชอื่ คตินิยม จารีต ประเพณี เปน็ ต๎น 4.1.2 การจดั ระเบยี บสังคม หรอื การควบคมุ สังคม อันเป็นพนั ธกรณขี องกลํุมชนตอ๎ งประพฤติ ปฏบิ ัติ เพอ่ื ความสงบสขุ ของประชาคมนน้ั ๆ บทบญั ญตั ิตํางๆ อนั เป็นปทัสฐานของสังคมนัน้ ไดส๎ ัง่ สอนสบื ตํอกนั มา โดยมไิ ด๎มีการจดบันทึกไว๎ แตกํ ็ปรากฎอยํูในวรรณกรรมท๎องถ่ินเหลํานัน้ ในข๎อน้ีต๎องเขา๎ ใจรํวมกนั วํา สงั คมชนบทใน สมัยอดตี กฎหมายของของรัฐบาลกลางมิได๎มีสวํ นเก่ียวข๎องในการควบคุมสงั คมมากนกั แตปํ รชั ญาพทุ ธศาสนา จารตี ความเช่อื คตินยิ ม ซ่ึงเปน็ ทย่ี อมรบั ของประชาคมจะมีบทบาทควบคมุ สงั คมอยํางยิ่ง 4.1.3 ประวตั ิศาสตรส์ ังคมของท๎องถิน่ วรรณกรรมท๎องถิ่นเปน็ ข๎อมลู สาคัญในการศึกษา ประวัตศิ าสตรส์ งั คมของท๎องถิ่น โดยเฉพาะทางด๎านการจัดระบบสังคมการควบคมุ สังคมตลอดจนจารีตประเพณขี อง สังคมน้นั

97 4.1.4 ภาษาถ่ิน วรรณกรรมท๎องถิ่นโดยเฉพาะวรรณกรรมลายลักษณ์ทไ่ี ด๎บนั ทกึ ไวต๎ ง้ั แตํสมัยอดตี จาเป็นคลงั แหงํ คาภาษาถนิ่ ถึงแมบ๎ างคาจะเลิกใช๎ไปแลว๎ ในปัจจุบัน แตกํ ็ยังปรากฎในเอกสารวรรณกรรมท๎องถนิ่ เหลํานั้น นอกจากใหน๎ ักภาษาศาสตร์ ยงั สามารถเห็นการคล่คี ลายของคาภาษาไทยไดด๎ ีจากเอกสารวรรณกรรม ท๎องถิน่ ตําง ๆ ของไทย 4.1.5 เป็นการก๎าวหนา๎ ทางวชิ าการ การตระหนักถึงคุณคาํ ของวรรณกรรมท๎องถ่นิ จนได๎มีการ นามาจดั อยูํในหลกั สตู รการศึกษาระดับอุดมศึกษา ซ่ึงมแี นวโนม๎ ในการทจ่ี ะสงํ เสรมิ การศกึ ษารวบรวมคน๎ คว๎า วรรณกรรมท๎องถิน่ เหลํานน้ั ให๎กว๎างขวางย่งิ ข้นึ อนั เป็นปัจจัยสาคญั ในการอนรุ ักษศ์ ลิ ปวฒั นธรรมท๎องถนิ่ ซงึ่ หมายถึง เอกลกั ษณ์ของชนชาติไทย 4.1.6 เป็นการอนรุ ักษว์ รรณกรรมท๎องถิ่นตําง ๆ ของไทยไมํใหส๎ าปสูญกํอนภาวะอนั ควร 4.2 ประโยชน์ทางด้านปจั เจกบคุ คล 4.2.1 เพ่ือใหน๎ กั ศกึ ษาหรอื ผู๎ศึกษาวรรณกรรมท๎องถนิ่ มมี โนทศั นอ์ นั กว๎าง ยอมรบั แนวคิด ปรชั ญาชวี ติ ของชนทุกชน้ั ทุกทอ๎ งถิ่น ทุกสงั คม 4.2.2 ผู๎ศกึ ษาวรรณกรรมท๎องถิ่น จะทราบถงึ ความเป็นอจั ฉรยิ ะของบรรพบรุ ุษของตน และของ ทอ๎ งถน่ิ อ่ืนอกี ดว๎ ย 4.2.3 ยอมรับแนวคิดของชนชาตติ าํ งท๎องถ่ิน ตํางสังคมและตาํ งยุคสมยั 4.2.4 ได๎รับประสบการณ์ของชีวิตกวา๎ งขวางย่ิงขึน้ 4.2.5 มโี อกาสไดเ๎ รียนรูภ๎ าษาถนิ่ วัฒนธรรมของท๎องถ่นิ อ่ืน ๆ อกี ด๎วย 4.3 ประโยชนท์ างด้านการเมอื งการปกครอง 4.3.1 ผศู๎ กึ ษาวรรณกรรมท๎องถนิ่ จะเกดิ ความรัก ความเข๎าใจ ความภูมิใจในอดีตของท๎องถิน่ ทตี่ น มีภูมลิ าเนาอยํูและท๎องถิน่ อื่น ๆ ของคติดว๎ ย ซงึ่ กํอใหเ๎ กิดชาตนิ ยิ ม ภูมิใจในวฒั นธรรมของชาติ 4.3.2 ผศู๎ ึกษาวรรณกรรมท๎องถนิ่ จะเกิดความรักความเข๎าใจในท๎องถ่ินของตน ผู๎ศกึ ษาวรรณกรรม ท๎องถนิ่ จะตระหนักในคุณคาํ และยอํ มมีความหวงแหนซ่ึงจะกํอให๎เกิดการอนุรักษ์วรรณกรรมทอ๎ งถน่ิ อีกด๎วย 4.3.3 ทาให๎ความเขา๎ ใจอันดีระหวํางชนในชาติ และยอํ มมีความสมานสามัคคกี ัน 4.3.4 กอํ ใหเ๎ กดิ การพัฒนา ระบบสังคมของชาตยิ อํ มมีทศิ ทาง โดยอาศัยระบบสงั คม ท๎องถน่ิ ปรชั ญาชีวติ ในสังคมท๎องถิน่ อนั เป็นพน้ื ฐานในการพัฒนาการเปรียบเทียบความแตกตํางระหวํางวรรณกรรม แบบฉบบั กบั วรรณกรรมท๎องถ่นิ มีดงั นี้ วรรณกรรมแบบฉบับ วรรณกรรมท้องถ่นิ 1. ชนชั้นสูง เจา๎ นาย ขา๎ ราชสานัก มสี ิทธมิ สี ํวนเปน็ 1. ชาวบ๎านทั่วไปมสี ทิ ธเิ ป็นเจ๎าของ เจา๎ ของ - ผูส๎ ร๎างสรรค์ - ผใ๎ู ช๎ - ผ๎ูสรา๎ งสรรค์ รวมถงึ จดบนั ทึก คัดลอก - ผ๎ูอนุรักษ์ - ผใ๎ู ช๎ (อาํ น, ฟงั - ผูอ๎ นุรักษ์ - แพรํหลายในหมํูบ๎าน - แพรํหลายในราชสานัก 2. กวีประพันธเ์ ปน็ นกั ปราชญ์ ราชบัณฑิต หรอื 2. กวี ผป๎ู ระพนั ธ์ เป็นชาวพ้ืนบา๎ น หรือพระภกิ ษุ สร๎างสรรค์ เจา๎ นาย ฉะนนั้ คาํ นิยม มโนทศั น์ ทีเ่ ห็นสังคมสมัยนน้ั จึง วรรณกรรมขึน้ มาดว๎ ยใจรักมากกวาํ \"บาเรอทา๎ วไธ๎ธิราชผู๎มี จากดั อยูํในร้ัวในวังหรอื มีการสอดแทรกสภาวะของสงั คมก็ บุญ\"ฉะนั้นมโนทัศน์เกยี่ วกับสภาวะของสังคม จงึ เป็นสังคม เป็นแบบมองเห็นสังคมแบบเบือ้ งบน ชาวบ๎านแบบประชาคมท๎องถ่ิน

98 3. ภาษาและกวีโวหารนยิ มการใชค๎ าศัพท์บาลี 3. ภาษาทใ่ี ชเ๎ ป็นภาษางาํ ย เรยี บ ๆ มํงุ การสื่อความหมาย สันสกฤต โดยเชอ่ื วําเปน็ การแสดงภูมปิ ญั ญาของกวแี พรว เปน็ สาคัญ สวํ นใหญเํ ปน็ ภาษาทอ๎ งถ่ินน้ัน ละเว๎น พราวไปดว๎ ยกวีโวหารท่ีเขา๎ ใจยาก คาศัพทบ์ าลี สันสกฤต โวหารนิยมสานวนทใ่ี ช๎ในท๎องถิน่ 4. เน้ือหาสวํ นใหญํ มุํงในการยอพระเกยี รติ ท้ังทางตรง 4. เนือ้ หาสวํ นใหญํมงุํ ในทางระบายอารมณ์ บันเทิงใจ แตํแฝง และทางอ๎อม แตกํ ม็ เี นอ้ื หาทีเ่ กย่ี วกบั การผํอนคลาย คตธิ รรมทางพทุ ธศาสนา แม๎วําตวั เอกของเรื่องจะเป็นกษัตริย์ ทางดา๎ นอารมณ์ และศาสนาอยํไู มนํ ๎อย กต็ าม แตํมไิ ด๎มํงุ ยอพระเกยี รติมากนัก 5. เหมือนกับวรรณกรรมแบบฉบบั ยกยํองสถาบนั กษัตรยิ ์ 5. คาํ นยิ ม อดุ มคติ ยดึ ปรชั ญาชีวติ แบบสงั คมชาว แตํไมํเนน๎ มากนัก พุทธ และยกยํองสถาบันกษัตริย์อกี ดว๎ ย

99 ใบงาน เรือ่ งวรรณคดี วรรณกรรม -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- 1. จงสรุปความหมายของ “วรรณคดี” ...................................................................................................................................................... ................................... ................................................................................................ ......................................................................................... ............................................................................................................................. ........................................................... 2. วรรณคดี วรรณกรรมไทยปัจจบุ ันและวรรณท๎องถิ่นมีความสาคัญอยาํ งไร ............................................................................................................................. ............................................................ ............................................................................................................................. ............................................................ ......................................................... ..................................................................................... .......................................... ............................................................................................................................. ........................................................... 3. วรรณคดี วรรณกรรมไทยปจั จบุ นั และวรรรณกรรมท๎องถิ่น แบํงเปน็ กป่ี ระเภท ประเภทใดบ๎าง (พรอ๎ มยกตัวอยําง) ...................................................................................... ................................................................................................... ............................................................................................................................. ............................................................ ............................................................................................................................. ............................................................ ......................................................................................................................................................... ................................ ................................................................................................................ ......................................................................... ............................................................................................................................. ........................................................... ............................................................................................................................. ..........................................................

100 แผนการจดั การเรียนรู้ รายวิชาศาสนาและหนา้ ทพ่ี ลเมอื ง คร้ังท่ี 10 การจดั ทาหนว่ ยเรียนรบู้ รู ณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง ภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2565 กศน.ตาบลน้าใส ระดับประถมศึกษา ๑. สัปดาหท์ ่ี 10 วันที่ 19 เดอื น กรกฎาคม พ.ศ. 2565 เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐น. ๒. วิชา ศาสนาและหนา้ ทพี่ ลเมอื ง รหสั วชิ า สค1๑๐๐2 จานวน 2 หนํวยกติ ๓. มาตรฐานที่ 5.2 มีความร๎ู ความเข๎าใจ เหน็ คุณคาํ และสืบทอดศาสนา วัฒนธรรม ประเพณีของประเทศใน ทวีปเอเชยี ๔. หน่วยการเรียนร/ู้ เรอื่ งศาสนา วัฒนธรรม ประเพณี ๕. สาระสาคญั จัดให๎มีการค๎นคว๎าหาความรู๎ จากส่อื เอกสาร ตารา ส่ืออิเล็กทรอนิกส์ ภูมิปญั ญา สถาบนั ทางศาสนา การฝึก ปฏบิ ัติ การทาโครงงาน การจดั กลุํมอภปิ รายแลกเปล่ยี นเรียนร๎ู การวิเคราะห์ สถานการณจ์ าลอง การสรปุ ผลการ เรยี นรู๎ และนาเสนอในรูปแบบตํางๆ ๖. เนอื้ หา 1. ความเป็นมาของศาสนาในประเทศไทยและในทวปี เอเชยี ดังน้ี ศาสนาพุทธ ศาสนาครสิ ต์ ศาสนาอิสลาม ศาสนาฮนิ ดู 2. หลักธรรมในแตํละศาสนาที่ทาให๎อยํรู วํ มกับศาสนาอนื่ ไดอ๎ ยาํ งมีความสุข 3. วฒั นธรรมประเพณีในประเทศไทยและประเทศในเอเชีย ภาษา, การแตงํ กาย, อาหาร, ประเพณี ๗. จุดประสงคก์ ารเรียนรู/้ ผลการเรยี นรู้ทค่ี าดหวัง (ดจู ากผงั การออกข๎อสอบ) 1. มคี วามรู๎ ความเข๎าใจเก่ียวกบั ความเปน็ มาของศาสนาตํางๆ ในประเทศไทย และประเทศในทวปี เอเชีย 2. นาหลกั ธรรมสาคญั ๆในศาสนาของตนมาประพฤติปฏิบตั ใิ หส๎ ามารถอยูรํ วํ มกนั กบั ศาสนาอ่นื ได๎ อยํางสนั ติสุข ดีในสังคม 3. เหน็ ประโยชนใ์ นการนาหลักธรรม คาสอนในศาสนาทต่ี นนบั ถือ มาประพฤตปิ ฏบิ ตั ิเพอ่ื ใหเ๎ ป็นคน 4. มีความรู๎ ความเขา๎ ใจในวัฒนธรรมประเพณีของประเทศไทยและประเทศในเอเชยี ๘. การบูรณาการกับหลักแนวคิดของเศรษฐกิจพอเพยี ง (2 เง่ือนไข 3 หลักการ การเชอื่ มโยงสู่ 4 มติ ิ) ความรู้ - นกั ศกึ ษามคี วามรเ๎ู รื่องเกย่ี วกับความเป็นมาของศาสนาตาํ งๆ ในประเทศไทย และประเทศ ในทวปี เอเชยี - นักศึกษามีความร๎ูในวัฒนธรรมประเพณีของประเทศไทยและประเทศในเอเชีย คุณธรรม - หลกั ธรรม คาสอน - การประพฤตปิ ฏิบตั ติ น


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook