Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แผนการจัดการเรียนรู้ คุณครูจันทร์ทิพย์ ศรีจันทร์

แผนการจัดการเรียนรู้ คุณครูจันทร์ทิพย์ ศรีจันทร์

Published by jatu library, 2022-06-27 02:22:56

Description: แผนการจัดการเรียนรู้ คุณครูจันทร์ทิพย์ ศรีจันทร์

Search

Read the Text Version

กล่ันแบบธรรมดา ความร๎อนที่ให๎ไมํจาเป็นต๎องควบคุมเหมือนการกล่ันลาดับสํวน แตํก็ไมํควรให๎ความร๎อนท่ีสูงเกินไป เพราะความรอ๎ นท่สี ูง เกินไป อาจจะไปทาลายสารท่ีเราต๎องการกลั่นเพราะฉะน้ัน ประสิทธิภาพในการกล่ันลาดับสํวนจึงดีกวําการ กล่ันแบบธรรมดา 2.3.3การกลัน่ น้ามนั ดิบ (refining) เน่ืองจากน้ามันดิบ ประกอบด๎วยสารประกอบไฮโดรคาร์บอนหลายพันชนิด ดังน้ันจึงไมํสามารถแยกสารที่มี อยํอู อกเปน็ สารเดี่ยวๆได๎ อีกท้ังสารเหลวนี้มจี ุดเดือดใกล๎ เคียงกันมากวิธีการแยกองค์ ประกอบน้ามันดิบจะทาได๎โดย การกลั่นลาดับสวนและเก็บสารตามชวงอุณหภูมิ ซึ่งกํอนท่ีจะกลั่นจะต๎องนาน้ามันดิบมาแยกเอาน้าและสารประกอบ กามะถนั ออกซิเจน ไนโตรเจนและโลหะหนักอื่นๆ ออกไปกํอนที่จะนาไปเผาที่อุณหภูมิ 320-385 C ผลิตภัณฑ์ท่ีได๎ จากการกล่ัน ไดแ๎ กํ - ก๏าซ (C1 – C4) ซ่ึงเป็ นของผสมระหวํางกา๏ ซมเี ทน อเี ทน โพรเพนและบิวเทน เป็นต๎นประโยชน์ : มีเทนใช๎ เปน็ เชื้อเพลิงผลติ กระแสไฟฟูา อีเทน โพรเพนและบิวเทน ใชใํ นอุตสาหกรรม - ปโิ ตรเคมี และโพรเพนและบิวเทนใชํ ทาก๏าซหุงต๎ม (LPG) - แนฟทาเบา (C5 – C7) ประโยชน์ : ใชท๎ าตวั ทาละลาย – แนฟทาหนัก (C6 – C12) หรอื เรียกวํานา้ - มนั เบนซินประโยชน์ : ใช๎ทาเชอื้ เพลิงรถยนต์ - น้ามันก๏าด (C10 – C14) ประโยชน : ใชท๎ าเช้ือเพลิงสาหรับตะเกียงและเครอื่ งยนต์ - น้ามนั ดีเซล (C14 – C19) ประโยชน์ : ใชํ ทาเช้อื เพลิงเครือ่ งยนต์ดีเซล ไดแ๎ กํ รถบรรทุก, เรือ - นา้ มันหลอํ ล่ืน (C19 – C35) ประโยชน:์ ใชทํ าน้ามันหลํ อลื่นเคร่ืองยนตเครื่องจกั รกล - ไขนา้ มนั เตาและยางมะตอย (C > C35) 2.3.4 การสกัดโดยการกลั่นดว้ ยไอน้า เป็นวิธีการสกัดสารออก จากของผสมโดยใช๎ไอน้าเป็นตัวทาละลาย วิธีนี้ใช๎สาหรับแยกสารที่ละเหยงําย ไมํ ละลายน้า และไมํทาปฏิกิริยากับน้า ออกจากสารท่ีระเหยยาก การสกัดโดยการกลั่นด๎วยไอน้านอกจากใช๎สกัดสาร ระเหยงํายออกจากสารระเหยยาก แล๎วยังสามารถใช๎แยกสารที่มีจุดเดือดสูงและสลายตัวที่จุดเดือดของมันได๎อีก เพราะการกลั่นโดยวิธีน้ีความดันไอเป็นความดันไอของไอน้าบวกความดันไอของของ เหลวท่ีต๎องการแยก จึงทาให๎ ความดันไอเทาํ กบั ความดนั ของบรรยากาศกํอนทีอ่ ณุ หภมู ิจะถึงจุดเดอื ด ของของเหลวท่ีต๎องการแยก ของ ผสมจึงกล่ัน ออกมาท่ีอุณหภูมิต่ากวําจุดเดือดของของเหลวท่ีต๎องการแยก เชํน สาร A มีจุดเดือด 150 C เมื่อสกัดโดยการกลั่น ด๎วยไอน้าจะได๎สาร A กลายเป็นไอออกมา ณ อุณหภูมิ 95 C ท่ีความดัน 760 มิลลิเมตรของปรอท อธิบายได๎วํา ที่ 95 C ถ๎าความดันไอของสาร A เทํากับ 120 มิลลิเมตรของปรอท และไอน้าเทํากับ 640 มิลลิเมตรของปรอท เมื่อ ความดนั ไอของสาร A รวมกับไอนา้ จะเทาํ กบั 760 มิลลเิ มตรของปรอท หรือเทํากับความดันบรรยากาศ จึงทาให๎สาร A และน้ากลายเป็นไอออกมาได๎ที่อุณหภูมิต่ากวําจุดเดือดของสาร Aตัวอยํางการแยกสารโดยการกล่ันด๎วยไอน้าได๎แกํ การแยกน้ามันหอมระเหยออกจาก สํวนตํางๆของพืชเชํนการแยกน้ามันยูคาลิปตัสออกจากใบยูคาลิปตัสการแยก

น้ามนั มะกรดู ออกจากผวิ มะกรดู การแยกนา้ มนั อบเชยจากเปลอื กต๎นอบเชยเปน็ ต๎นในการกลั่น ไอน้าจะไปทาให๎น้ามัน หอมระเหยกลายเป็นไอแยกออกมาพร๎อมกับไอน้าเม่ือทาให๎ไอ ของของผสมควบแนํนโดยผํานเคร่ืองควบแนํนก็จะได๎ นา้ และน้ามนั หอมระเหยปนกนั แตํ แยกชนั้ กนั อยํูทาให๎สามารถแยกเอานา้ มันหอมระเหยออกจากน้าไดง๎ ําย 2.4 การตกผลึก (Crystallization) คือกระบวนการเกิดผลึกของแข็งจากสารละลาย(solution) จากของเหลว (melt) หรือไอ (vapor)โดย กระบวนการดังกลําว อาจเกิดขึน้ เองในธรรมชาตหิ รอื เกดิ ข้นึ จากการทดลองในห๎องปฏิบัติการตัวอยําง การเกิดผลึกใน ธรรมชาติ เชนํ ผลกึ นา้ แขง็ (ice crystals) หมิ ะ (snow) เปน็ ต๎น ผลกึ ของสารอินทรยี เ์ ชนํ อินซูลนิ และน้าตาล ผลึกของ ธาตุเชํน แกลเลียม และซลิ ิกอน ซึ่งสามารถเกดิ ในธรรมชาติและถกู สงั เคราะห์ การเลือกตัวทาละลายทเี่ หมาะสมต่อการตกผลกึ มีหลกั ในการเลอื กดงั น้ี 1. ละลายสารที่ตอ๎ งการตกผลกึ ในขณะร๎อนไดด๎ ี และละลายได๎น๎อยหรือไมํละลายเลยท่ีอุณหภมู ติ า่ (ขณะเยน็ ) 2. ไมลํ ะลายสารปนเปื้อนขณะรอ๎ นหรือละลายได๎นอ๎ ยขณะรอ๎ น แตํละลายได๎ดขี ณะเยน็ 3. ควรมจี ดุ เดือดต่า เพื่อสามารถกาจดั ออกจากผลกึ ไดง๎ ําย 4. ไมทํ าปฏิกิริยากบั สารที่ตอ๎ งการตกผลกึ 5. ควรทาใหส๎ ารทที่ ต่ี อ๎ งการทาใหบ๎ ริสทุ ธเิ์ กิดเป็นผลึกทม่ี ีรูปรํางชดั เจน 6. ไมํเปน็ พิษ 7. หางําย และราคาถูก

แบบทดสอบกอ่ นเรยี น-หลังเรยี น เร่อื งการแยกสาร คาชี้แจง จงเลอื กคาตอบท่ีถูกตอ๎ งทสี่ ดุ เพียงคาตอบเดียว 1. ข๎อใดเปน็ หลักการแยกสารด๎วย “การกรอง” ก. แยกสารเนื้อผสมที่องค์ประกอบของของแขง็ ที่ไมํละลายในของเหลว ข. แยกสารเน้อื ผสมท่ีมีอนภุ าคของแกส๏ ปนอยํใู นสารละลาย ค. แยกสารเนื้อผสมท่ีองคป์ ระกอบของสารท่ลี ะลายน้าได๎ ง. แยกสารเน้ือผสมท่ีมีอนภุ าคของของเหลวปนอยูใํ นสารละลาย 2. ข๎อใดเปน็ หลักการแยกสารดว๎ ย “การกลนั่ ” ก. แยกสารที่มีจุดเดือดตํางกัน ข. แยกสารทมี่ สี ภาพการละลายตาํ งกัน ค. แยกสารที่มีขนาดของอนุภาคแตกตํางกัน ง. แยกสารทมี่ ีความสามารถในการละลายและถูกดดู ซบั บนตัวดดู ซับแตกตํางกนั 3. ขอ๎ ใดเปน็ หลกั การแยกสารด๎วย “สกดั ดว๎ ยตวั ทาละลาย” ก. แยกสารท่มี จี ุดเดือดตํางกนั ข. แยกสารทม่ี ีสภาพการละลายตํางกนั ค. แยกสารที่มีขนาดของอนุภาคแตกตาํ งกนั ง. แยกสารที่มีความสามารถในการ ละลายและถูกดูดซับบนตวั ดดู ซับแตกตาํ งกัน 4. ข๎อใดเป็นหลักการแยกสารด๎วย “โครมาโตกราฟี” ก. แยกสารทีม่ จี ดุ เดือดตํางกัน ข. แยกสารที่มสี ภาพการละลายตํางกนั ค. แยกสารทม่ี ีขนาดของอนุภาคแตกตํางกนั ง. แยกสารที่มคี วามสามารถในการ ละลายและถูกดูดซับบนตวั ดูดซบั แตกตาํ งกัน 5. การแยกสารเนื้อเดยี วด๎วยวธิ โี ครมาโทกราฟีพบวาํ บนกระดาษกรองมีสีปรากฏ3 สี สารน้คี ือสารอะไร ก. ธาตุ ข. สารละลาย ค. สารบรสิ ุทธ์ิ ง. สารประกอบ

6. การสเี ขียวจากใบเตย ควรใช๎วธิ ใี ด ก.การกลั่นธรรมดา ข. การกลั่นด๎วยไอน้า ค. การกลัน่ ลาดบั สํวน ง. การใช๎ตวั ทาละลาย 7. ผลึกเกดิ จากสารในขอ๎ ใด ก. สารละลายอ่มิ ตวั ข. สารละลายเขม๎ ข๎น ค. สารละลายเจอื จาง ง. สารเน้ือผสม 8. ถ๎าตงั้ ถว๎ ยสารละลายคอปเปอร์ซลั เฟตไวใ๎ นห๎องนานถึง 7 วนั ก็ยงั ไมํตกผลึก ข๎อใดกลาํ วถกู ต๎อง ก.สารละลายนน้ั มีฝุนละอองปลิวมาผสม ข.สารละลายนั้นอมิ่ ตวั แตอํ ุณหภมู ิไมํ เยน็ จัด ค.สารละลายน้ันไมํอม่ิ ตัว จึงไมสํ ามารถ ตกผลกึ ได๎ ง.สารละลายไมตํ กผลกึ เพราะตัวถกู ละลายเปน็ ของเหลว 9. สมชาย สมคั ร และอภิสิทธิ์ แบงํ สารละลายอิม่ ตวั ของคอปเปอร์ซัลเฟต (จุนส)ี ไปทาใหต๎ กผลกึ ในกลํอง พลาสตกิ คนละกลํอง ปรากฏวําผลึกจุนสีท่ไี ด๎มีรปู ราํ งเปน็ สี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน ไมเํ หมือนรูปในหนังสือแบบเรียน เขา ทง้ั 3 คน ควรสรุปผลการทดลองตามขอ๎ ใด ก. ผลึกจุนสีมรี ูปราํ งไดห๎ ลายอยาํ ง ข. ผลการทดลองแสดงวําไมํใชํจนุ สี ค. ผลึกจุนสีมรี ูปรํางสเ่ี หล่ยี มขนม เปียกปูน ง. ผลกึ จนุ สมี ีรูปรํางเหมือนรปู ในหนังสือ แบบเรยี น 10. ถ๎ามฝี นุ ผงอยูํในนา้ เชอื่ ม เราควรแยกฝุนผงออกดว๎ ยวธิ ใี ด ก. การกรอง ข. การกลน่ั ค.การระเหย ง.การตกตะกอน เฉลยแบบทดสอบ 1. ก 2. ก 3.ข 4.ง 5.ข 6. ก 7.ก 8. ค 9.ข 10. ก

แผนการจดั การเรียนรู้ รายวชิ าคุณธรรมและจรยิ ธรรมในการใชส้ อ่ื สงั คมออนไลน์ ครั้งที่ 5 ภาคเรยี นที่ 1 ปกี ารศึกษา 2565 กศน.ตาบลศรโี คตร ระดับประถมศึกษา ๑. สัปดาห์ที่ 5 วันที่ 14 เดือน มถิ ุนายน พ.ศ. 2565 เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐น. ๒. วชิ า คุณธรรมและจริยธรรมในการใชส้ ือ่ สงั คมออนไลน์ รหัสวชิ า สค0200035 จานวน 3 หนํวยกิต ๓. มาตรฐานท่ี 5.2 มคี วามร๎ู ความเขา๎ ใจ เห็นคุณคํา และสบื ทอดศาสนา วัฒนธรรม ประเพณี เพื่อการอยํู รวํ มกันอยํางสันติสุข ๔. หน่วยการเรยี นรู้/เรือ่ ง การสอ่ื สารในยคุ ดจิ ิทัล ๕. สาระสาคญั 1. บอกความหมาย องค์ประกอบ และวัตถปุ ระสงคข์ องการสื่อสาร ได๎ 2. บอกความหมายและรูปแบบ ของการส่ือสารในยุคดจิ ทิ ัลได๎ 3. บอกความหมายและ ความสาคญั ของเครือขํายตอํ สงั คมออนไลนไ์ ด๎ 4. ตระหนักถงึ ความสาคญั ของ เครือขาํ ยสงั คมออนไลน์ 5. ระบปุ ระเภทของเครือขําย สังคมออนไลนท์ ่ีนยิ มใช๎ใน ปัจจุบนั เชนํ FACEBOOK INSTARGRAM TWITTER เป็นตน๎ 6. บอกประโยชน์และข๎อจากดั ของเครือขาํ ยสงั คมออนไลน์ได๎ ๖. เน้อื หา 1. ความหมายองค์ประกอบ และวตั ถปุ ระสงค์ของการ ส่ือสาร 2. ความหมายและรูปแบบ ของการสื่อสารในยคุ ดจิ ิทลั 3. เครอื ขํายสังคมออนไลน์ (Social Network) 3.1 ความหมายและ ความสาคญั ของเครือขําย สงั คมออนไลน์ 3.2 ประเภทของ เครอื ขาํ ยสังคมออนไลนท์ ่ี นิยมใช๎ในปัจจบุ ัน 3.3 ประโยชนแ์ ละ ขอ๎ จ ากัดของเครือขํายสังคม ออนไลน์ 4. มารยาทการสื่อสารในยุค ดิจิทลั 5. แนวโน๎มสือ่ ดิจิทลั ใน อนาคต 6. กรณศี ึกษา : การใช๎ ประโยชนก์ ารส่อื สารในยุค ดิจทิ ัล 7. จดุ ประสงคก์ ารเรียนร/ู้ ผลการเรยี นร้ทู คี่ าดหวงั 1. การสือ่ สารในยุคดจิ ิทลั ความหมาย องคป์ ระกอบ และวัตถุประสงคข์ องการส่ือสาร ความหมาย และ รูปแบบของ การส่ือสารในยคุ ดจิ ทิ ลั เครือขํายสงั คมออนไลน์ (Social Network ) มารยาทการสือ่ สารในยุคดิจทิ ัล แนวโน๎มสอ่ื ดจิ ทิ ัล และกรณีศึกษา : การใชป๎ ระโยชน์การส่ือสารในยคุ ดิจิทัล 2. คณุ ธรรมและจรยิ ธรรมในการใชส๎ ่อื สงั คมออนไลน์ ความหมายและความสาคัญของคุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณในการใชส๎ ่ือสังคม ออนไลน์ ความสาคัญ การรเู๎ ทําทันส่ือ ความรบั ผดิ ชอบในการใช๎สือ่ สังคมออนไลน์ กฎหมายเกีย่ วกับการ ใช๎ส่อื สังคมออนไลน์ ความแตกตํางระหวํางคณุ ธรรมจริยธรรมและกฎหมายเกีย่ วกับการใช๎ส่อื สงั คม ออนไลน์ และกรณีศึกษา : การละเมิดคุณธรรมและจรยิ ธรรมในการใชส๎ อ่ื สงั คมออนไลน์ 8. การบรู ณาการกับหลักแนวคิดของเศรษฐกิจพอเพียง (2 เง่ือนไข 3 หลักการ การเช่อื มโยงสูํ 4 มิต)ิ ความรู้ - นักศึกษามคี วามร๎ู เร่ือง การสื่อสารในยคุ ดิจทิ ัล - นกั ศกึ ษามคี วามรเ๎ู รื่อง คุณธรรมและจรยิ ธรรมในการใชส๎ ่ือสังคมออนไลน์

คุ ณธรรม - มคี วามมงุํ มัน่ ในการทางาน - มคี วามสามคั คใี นหมูํคณะ - ใฝุหาความร๎เู พ่อื พฒั นาอยูํเสมอ พอประมาณ - มีความพอประมาณในเร่อื งของเวลาการแบงํ เวลาในการศกึ ษาหาความร๎ูและการใช๎สอ่ื สงั คมออนไลน์ได๎อยํางเหมาะสม - พอประมาณในเครื่องมือส่ือสารในยุคดจิ ทิ ลั มเี หตผุ ล - ไดค๎ วามรู๎เก่ียวกบั เคร่ืองมือส่อื สารในยคุ ดจิ ิทลั - ได๎ความรเู๎ กี่ยวกบั คุณธรรมและจรยิ ธรรมในการใช๎สื่อสงั คมออนไลน์ มภี ูมคิ มุ้ กัน - รู๎จักเครื่องมือส่อื สารในยุคดิจิทลั เพื่อนาไปปรับใช๎ในการดารงชวี ติ - มีคณุ ธรรมและจริยธรรมในการใชส๎ ่ือสงั คมออนไลน์ เพื่อเตรียมความพร๎อมในการ เปลีย่ นแปลงด๎านการส่ือสารในยคุ ดจิ ิทัล วัตถุ - ร๎จู กั เลอื กเคร่ืองมือสือ่ สารในยุคดิจทิ ัล เพื่อใชใ๎ นการดารงชีวติ - มที ักษะในการเลือกและการใช๎เครือ่ งมือส่ือสารในยคุ ดจิ ิทัล ทเ่ี ป็นประโยชน์มาใชใ๎ นการ ดาเนนิ ชีวติ ของตวั เองในชุมชนและสังคม สังคม - มที กั ษะการอยํูรวํ มกันในกลุํม และทางานรํวมกับผ๎ูอ่ืนได๎อยาํ งมคี วามสขุ - สามารถนาความรท๎ู ่ีได๎ไปเผยแพรํใหก๎ ับครอบครวั และชุมชน ส่ิงแวดล้อม - รูจ๎ กั การนาความร๎เู กี่ยวกับเคร่ืองมือสือ่ สารในยุคดจิ ทิ ลั เพือ่ พฒั นาสิ่งแวดล๎อมให๎นําอยํู - มคี ุณธรรมและจรยิ ธรรมในการใช๎สือ่ สังคมออนไลน์ เพื่อนาไปใช๎ในชวี ิตประจาวนั วัฒนธรรม - สบื ทอดและเผยแพรขํ ๎อมลู สํูครอบครวั ชมุ ชน และสงั คม 9. กระบวนการจดั การเรยี นรแู้ ละกิจกรรมเพมิ่ เติม ขั้นตอนท่ี 1 การกาหนดสภาพ ปญั หา ความต้องการในการเรียนรู้ (O : Orientation) ครอู ธบิ ายความหมายองคป์ ระกอบ และวตั ถปุ ระสงค์ของการ สอ่ื สาร และรปู แบบ ของการสอ่ื สาร ในยคุ ดิจิทัล ความสาคัญของเครอื ขํายตํอ สงั คมออนไลนไ์ ด๎ ข้ันตอนท่ี 2 การแสวงหาขอ้ มลู และจัดการเรียนรู้ (N : New ways of learning) 1. ครูแบํงผ๎เู รียนกลุมํ ละ 3-5 คน 2. ครูใหผ๎ เู๎ รยี น ดู VCD เร่ืองการใชส๎ อื่ การใช๎โซเชียลมีเดยี ให๎ปลอดภัย เวบ็ ไซต์ https://www.youtube.com/watch?v=TcKZGckHDbE 3. ครูและผูเ๎ รยี นสรปุ สิ่งท่ไี ดเ๎ รียนรร๎ู ํวมกัน และผ๎ูเรียนบันทึกสรปุ สง่ิ ได๎เรียนรลู๎ งในสมุดบันทกึ กิจกรรม ข้นั ตอนท่ี 3 การปฏบิ ตั ิและนาไปประยุกต์ใช้(I : Implementation) 1. ครใู หผ๎ ูเ๎ รยี นออกมานาเสนอประโยชน์ของส่ือออนไลน์

2. ใหผ๎ เู๎ รียนแสดงความคดิ เห็นเพม่ิ เติมจากการนาเสนอของแตํละคนวําจะนาไปประยุกต์ใช๎ใน ชีวติ ประจาวนั ได๎อยาํ งไร 1. ครูและผู๎เรยี นสรปุ สิง่ ท่ีไดเ๎ รียนรรู๎ ํวมกนั และผ๎เู รียนบนั ทึกสรปุ สง่ิ ไดเ๎ รียนรู๎ลงในสมดุ บนั ทึก กิจกรรม ข้ันตอนที่ 4 การประเมินผล (E : Evaluation) 1. ครูสมํุ ผเ๎ู รียนประมาณ 3-5 คน ให๎ตอบคาถามในประเดน็ ผ๎ูเรยี นจะนาสิง่ ท่ีไดเ๎ รยี นรูเ๎ รอื่ งสือ่ การใช๎ โซเชียลมีเดียใหป๎ ลอดภยั 2. ครูและผู๎เรยี นสรปุ สง่ิ ที่ไดเ๎ รียนรูร๎ ํวมกัน และผเ๎ู รยี นบนั ทึกสรปุ สิ่งได๎เรยี นร๎ูลงในสมุดบันทึก กิจกรรม 3. ใบงาน 10.สอ่ื /แหล่งเรียนรู้ 1. คลิปวดี ีทศั นเ์ รอื่ งการใช๎สอ่ื ออนไลน์ 2. คลปิ วดี ีทศั น์ ประโยชนก์ ารใชส๎ อื่ ออนไลน์ 3. ใบความร๎ู 4. ใบงาน ๑1. การวัดและประเมินผล ๑1.๑วธิ ีการวดั และประเมินผล - การสังเกตพฤตกิ รรมการทางานรวํ มกบั ผอ๎ู ่ืน ของผ๎เู รยี นรายบคุ คล - ใบงาน ๑๐.๒ เคร่ืองมอื วดั และประเมินผล - แบบบันทึกผลการสังเกตพฤติกรรมการทางานรวํ มกบั ผ๎ูอ่ืน ของผู๎เรียนรายบุคคล - ผลจากการตรวจใบงาน ๑๐.๓ เกณฑก์ ารวดั และการประเมนิ ผล ปรบั ปรุง - ผลการสงั เกตพฤติกรรมการทางานรวํ มกบั ผู๎อนื่ ของผู๎เรยี นรายบุคคล ระดับดี พอใช๎ ควร - ใบงานคะแนนเตม็ ๑๐ คะแนน กจิ กรรมเสนอแนะ ..................................................................................................................................................................................... ลงช่อื …………………………………………….ครูผสู๎ อน (นางสาวจนั ทรท์ ิพย์ ศรลี ยั ) ครู กศน.ตาบล ข้อเสนอแนะของผู้บริหาร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………......................………........ ลงชอื่ ………………………………………………………ผ๎อู นุมตั แิ ผน (นางปัทมาภรณ์ ศรเี นตร) ผ๎ูอานวยการ กศน.อาเภอจตุรพกั ตรพมิ าน

บนั ทึกหลังการจัดการเรยี นรู้ กศน.ตาบลศรโี คตร คร้ังท่ี 5 วนั ท่ี 14 เดือน มถิ ุนายน พ.ศ. 2565 ครูผส๎ู อน นางสาวจันทรท์ พิ ย์ ศรลี ัย ระดับ ประถมศึกษา เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐ น. สาระความร๎ูพืน้ ฐาน รายวิชาคณุ ธรรมและจรยิ ธรรมในการใช้สือ่ สงั คมออนไลน์ รหัสวชิ า สค0200035 จานวนผูเ๎ รยี นท้ังหมด ............... คนเข๎าเรียน…………………คน ไมเํ ข๎าเรียน……………………….คน ๑. ผลการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้การประเมินโดยใช๎ แบบทดสอบกํอนเรียน - หลังเรียน พบวาํ คะแนนการทดสอบหลังเรียน มากกวาํ กอํ นเรียนจานวน ........ คนคดิ เปน็ ร๎อยละ............ คะแนนการทดสอบหลงั เรยี น นอ๎ ยกวาํ กํอนเรยี นจานวน ......... คนคดิ เปน็ รอ๎ ยละ............ ๒. เน้ือหา/สาระ ..................................................................................................................................... ........................... ....................................................................................................... ......................................................... ............................................................................................................................. ................................... ๓. กจิ กรรมการเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. .......... ๔. ปญั หา/อปุ สรรค การเรียนการสอน ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................... ๕. แนวทางการแก้ปัญหา ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................... ลงชอ่ื ....................................................... (นางสาวจันทรท์ ิพย์ ศรลี ัย) ครูผส๎ู อน วันท.ี่ ............../.................../............... ความคิดเหน็ /ขอ้ เสนอแนะของผบู้ ริหาร ............................................................................................................................. ............................................................ ............................................................................................................................... .......................................................... ....................................................................................................................................................... ลงชอื่ .................................................................. (นางปทั มาภรณ์ ศรีเนตร) ผ๎ูอานวยการ กศน.อาเภอจตุรพกั ตรพิมาน

ใบความรู้ เรื่อง เทคโนโลยีดิจิทัล ความร๎เู กยี่ วกบั ยุคดิจิทัล ปจั จบุ นั กลุํมคนทีเ่ กิดและเติบโตในยุคเทคโนโลยดี ิจทิ ลั เรียกวาํ Digital native ซง่ึ เดก็ และ เยาวชนเกย่ี วขอ๎ งกบั สง่ิ ตาํ ง ๆ ที่เป็นดิจทิ ัลด๎วยรูปแบบและชอํ งทางทีแ่ สนงาํ ยดายในทุกที่และทกุ เวลา ท่ี ตอ๎ งการ ตวั อยาํ งการมีสํวนรํวมแบบออนไลน์ อาทิเชํน Social networking Instant-massing (IM) Video- streaming การแชรภ์ าพ และการใช๎อนิ เทอร์เนต็ แบบเคลื่อนที่ การแนะนา เก่ยี วกบั การใชเ๎ ทคโนโลยอี ินเทอรเ์ น็ตจะ ไมใํ ชเํ รือ่ งจาเปน็ สาหรับเด็กและ เยาวชนยคุ ดจิ ทิ ัล เพราะพวกเขาสามารถพัฒนาทกั ษะเกี่ยวกบั เทคโนโลยีอนิ เทอรเ์ น็ต ไดอ๎ ยาํ งรวดเรว็ เมื่อเปรียบเทียบกับกลุมํ คนท่ีมีอายุมากกวํา แตํทวําการใช๎งานที่ปราศจากคาแนะนาก็ทาให๎พวกเค๎า ยงั คงเป็นเพียงผใู๎ ช๎เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมือสมคั รเลนํ ซง่ึ อาจนาไปสขํู ๎อกังวลและ ปญั หาตาํ งๆ เก่ยี วกบั การใชเ๎ ทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่ือสารท่ีเหมาะสมและถกู ต๎อง เพื่อให๎ ความรู๎ในเร่ืองดงั กลําวแกํเด็กและ เยาวชน เด็กและเยาวชนจาเป็นต๎องพัฒนาความร๎ู การคดิ เชิง วเิ คราะห์ รวมถึงทักษะการสื่อสารและการจัดการ สารสนเทศสาหรบั ยคุ ดิจิทลั 1. ความหมายการรู๎ดจิ ทิ ัล การร๎ดู จิ ิทลั (Digital Literacy) คือ การผนวกกนั ของทักษะความรู๎และความเข๎าใจ ที่ผู๎เรียน ต๎องเรยี นรเ๎ู พื่อทีจ่ ะมีสวํ นรํวมอยํางเตม็ ที่และมีความปลอดภยั ในโลกยุคดจิ ิทลั มากขึ้น ทกั ษะความร๎ู และ ความเขา๎ ใจนเ้ี ปน็ กญุ แจสาคัญของหลักสูตรการศึกษาขัน้ พ้ืนฐานทง้ั ระดับประถมศกึ ษาและ มัธยมศึกษา และควรจะ ผสานให๎อยํใู นการเรียนการสอนของทุกรายวิชาทุกระดบั ชน้ั นอกจากนย้ี ัง เก่ยี วข๎องกบั ความรูค๎ วามสามารถและ ทกั ษะของบคุ คลในการเขา๎ ถึงดิจิทัล ประเมินคุณภาพของดิจิทัล และใช๎ดจิ ิทลั อยํางมปี ระสิทธภิ าพทกุ รูปแบบ ผูร๎ ู๎ ดิจทิ ลั จะต๎องมีทักษะในดา๎ นตํางๆ เชํน ทักษะการคิด วิเคราะห์และ/หรือ การคิดอยาํ งมวี ิจารณญาณ ทักษะการใช๎ ภาษา ทกั ษะการใช๎คอมพวิ เตอร์ เป็นต๎น นอกจากน้ี Digital literacy หมายถึงทักษะความเข๎าใจและใช๎เทคโนโลยี ดจิ ทิ ลั โดยเป็น ทกั ษะในการนาเครื่องมอื อปุ กรณ์ และเทคโนโลยีดิจิทลั ท่มี อี ยํูในปัจจบุ ัน อาทิ คอมพวิ เตอร์ โทรศัพท์ แทปเลต โปรแกรมคอมพิวเตอร์ และสอ่ื ออนไลน์ มาใช๎ใหเ๎ กดิ ประโยชนส์ งู สดุ ในการสอ่ื สาร การ ปฏิบัตงิ าน และ การท างานรวํ มกนั หรือใชเ๎ พื่อพัฒนากระบวนการทางาน หรอื ระบบงานในองคก์ รใหม๎ ี ความทนั สมัยและมี ประสทิ ธภิ าพ ทักษะดงั กลําวครอบคลุมความสามารถ 4 มติ ิ ไดแ๎ กํ การใช๎(Use) เขา๎ ใจ (Understand) การสร๎าง (create) และเข๎าถึง (Access) เทคโนโลยดี ิจิทลั ได๎อยาํ งมปี ระสิทธภิ าพ ทั้งน้ีคาที่แสดงลักษณะความรสู๎ ามารถดิจิทัลคือ รใู๎ ช๎ รู๎ เข๎าใจ ร๎สู ร๎างสรรค์ซงึ่ ถอื เปน็ ความสามารถสาหรบั การร๎ดู จิ ิทลั โดยมรี ายละเอียดดังนี้ ใช๎ (Use) แสดงถึงความ คลํองแคลวํ ทางเทคนิคที่จาเป็นในการใชก๎ บั คอมพวิ เตอร์และ อนิ เทอร์เน็ตชดุ รูปแบบพน้ื ฐานสาหรับการพัฒนาทักษะ ทางเทคนิคที่จาเปน็ รวมถงึ ความสามารถใน การใชโ๎ ปรแกรมคอมพวิ เตอร์ เชนํ โปรแกรมประมวลผล เวบ็ เบราเซอร์E- mail และการสอื่ สารอนื่ ๆ เคร่อื งมือคน๎ หาและฐานข๎อมูลออนไลน์ เข๎าใจ (Understand) คือความสามารถทจี่ ะเข๎าใจ บรบิ ทท่ีเกีย่ วข๎อง และประเมินสอื่ ดิจทิ ัล ตระหนักถงึ ความสาคญั ของการประเมนิ ผลทสี่ าคัญในการทาความเขา๎ ใจ ดจิ ิทัลเนอ้ื หาของส่ือ และการ ประยกุ ตใ์ ช๎สามารถสะท๎อนให๎เห็นถึงรปู รํางการเพิ่มหรือจัดการกบั ความร๎ูสึกความเชือ่ ของเราและ ความรูส๎ กึ เก่ยี วกับโลกรอบตัวเราความเข๎าใจความสาคัญของสื่อดิจิทลั ท่ีชวํ ยให๎บุคคลเก็บเกี่ยว ผลประโยชนแ์ ละลดความเส่ียง การมีสวํ นรวํ มในสังคมเตม็ รูปแบบดจิ ิทลั ทกั ษะชุดนี้ยงั รวมถงึ การ พัฒนาทักษะการ

จัดกาสารสนเทศและการแข็งคาํ ของสิทธิคนและความรับผิดชอบในการไปถึง ทรัพย์สนิ ทางปญั ญา ในเศรษฐกจิ ความร๎ู ชาวแคนาดาจาเป็นต๎องร๎วู ิธีการหาประเมนิ ผลและมี ประสทิ ธภิ าพใช๎ขอ๎ มลู เพ่ือการสื่อสารการท างานรํวมกันและ แก๎ปัญหาในชีวิตสํวนตัวและเป็นมอื อาชีพ ของพวกเขา สร๎างสรรค์ (Create) ความสามารถในการสร๎างเนื้อหาและมี ประสิทธิภาพ การติดตํอ ส่ือสารโดยใช๎ความหลากหลายของสือ่ ดจิ ิทลั เป็นเครื่องมือ การสร๎างสอื่ ดิจทิ ลั มคี วามหมาย มากกวํา ความสามารถในการใชโ๎ ปรแกรมประมวลผลหรอื เขยี นอเี มล์ รวมถึงความสามารถในการปรับ การสอื่ สารกับ สถานการณ์และผรู๎ บั สารการสรา๎ งและตดิ ตํอส่ือสารโดยใช๎สื่อผสม เชํน ภาพวดี ิโอและ เสยี งประกอบอยํางมี ประสิทธภิ าพและมคี วามรับผิดชอบ ประกอบกับเน้ือหาเวบ็ ไซต์ที่ผู๎เรียนสร๎าง เชนํ บลอ็ กและเวทีสนทนา วดี ิโอและ ภาพถาํ ยรวํ มกนั เลนํ เกมทางสงั คม และรปู แบบอื่นๆ ของสื่อ สงั คม แนวคิดน้ยี ังตระหนักถงึ ส่ิงทเี่ ปน็ ความร๎ูในโลก ดจิ ทิ ลั ท่ีไมเํ พียงแตสํ ร๎างความชานาญทางดา๎ น เทคโนโลยเี ทาํ นน้ั แตํยังคานึงถึงจริยธรรม การปฏิบัติทางสงั คมและการ สะทอ๎ นส่งิ ที่ฝังอยูํในการ เรยี นร๎ู การใชเ๎ วลาวาํ ง และการใชช๎ วี ิตประจาวัน ภายใต๎การร๎ูดจิ ทิ ัล คือความหลากหลายของ ทักษะตาํ ง ๆ ที่เกยี่ วข๎องสัมพันธ์กันซ่งึ ทกั ษะ เหลาํ นัน้ อยภูํ ายใต๎การรส๎ู ่ือ (Media literacy) การรูเ๎ ทคโนโลยี (Technology literacy) การร๎ู สารสนเทศ (Information literacy) การรู๎เกย่ี วกบั สิ่งท่เี ห็น (Visual literacy) การรู๎การส่ือสาร (Communication literacy) และการรสู๎ งั คม (Social literacy การรู๎สื่อ (Media Literacy) การรส๎ู ่อื สะท๎อนความสามารถของผเู๎ รยี นเกย่ี วกบั การเข๎าถงึ การวเิ คราะห์ และ การผลิตสื่อ ผํานความเข๎าใจและการตระหนักเก่ียวกับ 1.ศลิ ปะ ความชานาญในเทคโนโลยีสวํ นใหญมํ กั จะเกยี่ วข๎องกับความร๎ดู จิ ทิ ลั ซึ่งครอบคลมุ จากทักษะคอมพวิ เตอรข์ ั้นพืน้ ฐานสูํ ทกั ษะทซี่ บั ซอ๎ นมากขึ้น เชนํ การแกไ๎ ขภาพยนตร์ดิจิทัลหรอื การเขยี นรหัสคอมพิวเตอร์ การรส๎ู ารสนเทศ (Information literacy) การรส๎ู ารสนเทศเป็นอีกสงิ่ ท่ีสาคัญของการรู๎ดิจทิ ัลซง่ึ ครอบคลุมความสามารถในการ ประเมินวําสารสนเทศใดท่ีผ๎ูเรียน ต๎องการ การรู๎วธิ ีการทจี่ ะคน๎ หาสารสนเทศทีต่ ๎องกาแบบรออนไลน์ และการรู๎การประเมินและการใช๎สารสนเทศที่ สบื คน๎ ได๎ การรู๎สารสนเทศถูกพัฒนาเพื่อการใช๎หอ๎ งสมดุ มันยังสามารถเข๎าได๎ดีกับยุคดจิ ิทลั ซงึ่ เป็นยุคท่ีมีข๎อมลู สารสนเทศออนไลนม์ หาศาลซ่ึงไมํไดม๎ ีการกรอง ดงั น้ันการรว๎ู ธิ ีการคิดวเิ คราะห์เกยี่ วกับแหลํงทีม่ าและเน้ือหานับเป็น สิ่งจาเปน็ การรเ๎ู ก่ยี วกับสิ่งที่เห็นสะท๎อนความสามารถของของผูเ๎ รียนเกย่ี วกับความเข๎าใจ การแปล ความหมายสิ่งที่ เหน็ การวเิ คราะห์ การเรยี นรู๎ การแสดงความคิดเหน็ และความสามารถในการใชส๎ งิ่ ท่ี เห็นนัน้ ในการท างานและการ ดารงชีวติ ประจาวนั ของตนเองได๎ รวมถึงการผลิตข๎อความภาพไมํวาํ จะผาํ นวตั ถุ การกระทา หรือสญั ลักษณ์ การรู๎ เกย่ี วกับสง่ิ ท่เี หน็ เปน็ ส่งิ จาเป็นสาหรับการเรยี นร๎แู ละ การสื่อสารในสงั คมสมัยใหมํ การรู๎การส่อื สาร (Communication literacy การรูก๎ ารสื่อสารเป็นรากฐานสาหรับการคิด การจดั การ และการเชอื่ มตํอกับคนอ่ืนๆ ใน สงั คมเครือขําย ทุกวันนเี้ ดก็ และเยาวชนไมเํ พยี งจาเป็นต๎องเข๎าใจการบรู ณาการความร๎จู ากแหลํงตํางๆ เชนํ เพลง วิดีโอ ฐานข๎อมูลออนไลน์ และ ส่อื อื่นๆ พวกเคา๎ ยังจาเป็นต๎องรวู๎ ิธีการใชแ๎ หลํงสารสนเทศ เหลําน้ันเพอื่ เผยแพรํและแลกเปล่ียนความรู๎ การรูส๎ ังคม (Social literacy)

การร๎สู งั คมหมายถึงวฒั นธรรมแบบการมีสวํ นรวํ ม ซง่ึ ถูกพฒั นาผํานความรํวมมือและ เครอื ขําย เยาวชน ตอ๎ งการทักษะสาหรบั การท างานภายในเครอื ขาํ ยทางสังคม เพ่อื การรวบรวมความรู๎ การเจรจาขา๎ มวัฒนธรรมที่ แตกตําง และการผสานความขัดแยง๎ ของข๎อมลู 1. ความสาคญั ของการรด๎ู ิจิทัล เทคโนโลยใี หโ๎ อกาสในการมีสวํ นรวํ มของการเรียนรู๎ ชุมชน สงั คม และ กิจกรรมการทางาน ทุกคนจะตอ๎ งมีความรูด๎ ิจิทัลเพือ่ ใช๎ประโยชนส์ ูงสดุ ดังนี้ 2. ดา๎ นการศึกษา การรูด๎ จิ ิทลั เปน็ สงิ่ จาเป็นสาหรบั การศึกษาของบุคคลทุกระดบั ท้ังการศึกษาในระบบ โรงเรียน การศึกษานอกระบบโรงเรยี น การศึกษาตามอัธยาศยั และการเรียนรู๎ตลอดชีวิต โดยเฉพาะ อยาํ งย่ิง การศึกษาในปัจจบุ ันที่ มกี ารปฏริ ปู การเรียนรท๎ู เี่ นน๎ ผเู๎ รียนเปน็ สาคญั ดังนัน้ บทบาทของผู๎สอน จงึ เปล่ียนเปน็ ผใ๎ู ห๎ คาแนะนาช้แี นะโดยอาศัยทรัพยากรเป็นพื้นฐานสาคญั รวมไปถึงทรพั ยากรทาง เทคโนโลยดี ว๎ ย 3. ด๎านการดารงชวี ิตประจาวนั การร๎ดู ิจิทัลเปน็ สงิ่ สาคัญย่งิ ในการดารงชวี ิตประจาวนั เพราะผูร๎ ด๎ู ิจทิ ัลจะเปน็ ผู๎ทส่ี ามารถ วเิ คราะห์ประเมนิ และใชง๎ านเทคโนโลยสี ารสนเทศใหเ๎ กิดประโยชน์สงู สุดแกํตนเอง เม่ือต๎องการ ตดั สินใจ เรอื่ งใดเรื่องหนง่ึ ได๎อยํางมีประสิทธภิ าพ ก็สามารถใชค๎ วามรูจ๎ ากการรูด๎ ิจิทลั เขา๎ มาชวํ ยในการ หาขอ๎ มลู แล๎วจึงคํอย ตดั สนิ ใจ เป็นต๎น 4. ด๎านการประกอบอาชีพ การรดู๎ ิจิทัลมีความสาคัญตอํ การประกอบอาชีพของบุคคล เพราะสามารถแสวงหา ดิจทิ ลั เพ่อื เปน็ ตัวชวํ ยดา๎ นสารสนเทศ ทีม่ ีความจาเป็นตํอการประกอบอาชพี ของตนเองได๎ เชนํ เกษตรกร เมื่อประสบ ปัญหาโรคระบาดกบั พชื ผลทางการเกษตรของตน สามารถใชค๎ วามร๎ดู า๎ นการรดู๎ จิ ทิ ลั เขา๎ มา ชวํ ยในการหาตัวยาหรือ สารเคมเี พื่อมากา จัดโรคระบาด ดงั กลาํ วได๎ เป็นต๎น 5. ด๎านสังคม เศรษฐกจิ และการเมือง การร๎ดู จิ ิทัลเปน็ สงิ่ สาคญั โดยเฉพาะสงั คมในยุคเทคโนโลยสี ารสนเทศ บคุ คลจาเปน็ ต๎องรู๎ ดิจทิ ลั ร๎ูสารสนเทศเพื่อปรับตนเองใหเ๎ ข๎ากับสังคม เศรษฐกจิ และการเมือง เชนํ การอยรํู ํวมกนั ใน สังคม การบรหิ ารจัดการ การดาเนนิ ธรุ กจิ และการแขํงขนั การบริหารบ๎านเมืองของผน๎ู าประเทศ เป็น ตน๎ การรด๎ู ิจทิ ลั จะทาให๎กา๎ วหนา๎ มากกวาํ ผอู๎ ื่นหนง่ึ กา๎ วเสมออาจกลาํ วไดว๎ าํ ผ๎รู ด๎ู ิจิทลั คือ ผูท๎ ี่มี อานาจ สามารถาชวี้ ดั ความสามารถของ องค์กรหรือประเทศชาตไิ ด๎ ดงั นนั้ ประชากรทเี่ ปน็ ผ๎ูร๎ูดิจทิ ลั จึงถอื วาํ เปน็ ทรัพยากรท่ีมีคาํ มากทีส่ ดุ ของประเทศ 3. ผลกระทบของการรูด๎ ิจทิ ลั การรู๎ดจิ ทิ ัลมคี วามสาคัญมาก ในยคุ เทคโนโลยีสารสนเทศ เพราะมีการนามา ประยกุ ต์อยูํใน ทกุ ด๎าน ตลอดจนชีวติ ประจาวัน จงึ สํงผลกระทบหลายด๎าน ท้ังด๎านการเรียน ดา๎ นสังคม ดา๎ นเมืองการ ปกครอง การประกอบอาชพี เพราะทกุ ดา๎ นล๎วนแล๎วแตํใชเ๎ ทคโนโลยเี ข๎ามา ชํวยเพ่ิมโอกาสและการใช๎ ใหเ๎ กิด ประโยชนส์ ูงสดุ นอกจากน้ยี งั ชํวยใหอ๎ อนไลน์อยาํ งปลอดภยั หากแตลํ ะบุคคลมีความสามารถในการตัดสินใจ ที่ เหมาะสมและมีข๎อมลู เก่ยี วกบั การใช๎เทคโนโลยที จ่ี ะสํงผลกระทบ ตํอการศึกษาตลอดชวี ติ รวมถึง ชีวิตการท างานใน อนาคตด๎วย หากขาดทักษะการรู๎ดิจทิ ัล อาจจะสงํ ผล กระทบ ดังนี้ -โอกาสหรือขอบเขตทางการศกึ ษาแคบลง -โอกาสในการประกอบอาชีพทีด่ ีลดนอ๎ ยลง -พฒั นาศกั ยภาพของตนเองได๎ไมเํ ตม็ ท่ี เนอื่ งจากไมมํ ีการติดตามข๎อมลู ขําวสารท่ีทันสมยั -อาจเกิดความไมํปลอดภัยในการใช๎เทคโนโลยี เน่ืองจากความรู๎เทาํ ไมํถงึ กาล และขาด ทักษะการรด๎ู จิ ิทลั จน สํงผล กระทบไปในทางทีไ่ มํดไี ด๎ 4. ทกั ษะสาคัญในการร๎ดู ิจทิ ลั ในยุคแหํงการแขํงขันทางสงั คมคํอนข๎างสูงในปัจจบุ นั สํงผลตอํ การปรบั ตวั ให๎ ทัดเทยี มและ เทาํ ทนั กบั ความเปล่ียนแปลงท่เี กิดขนึ้ ในบริบททางสังคมในทุกมิตริ อบดา๎ น ดงั น้นั การเสริมสร๎างองค์

ความรู๎ (Content Knowledge) ทักษะเฉพาะทาง (Specific Skills) ความเชย่ี วชาญเฉพาะดา๎ น (Expertise) และ สมรรถนะของการรู๎เทาํ ทนั (Literacy) จึงเป็นตวั แปรสาคัญทีต่ อ๎ งเกดิ ขึ้นกบั ตวั ผูเ๎ รียนในการเรยี นรู๎ยุคสงั คมแหงํ การ เปลย่ี นแปลงในศตวรรษที่ 21 นีไ้ ด๎อยํางมีประสทิ ธภิ าพ ทักษะ 3R4C ประกอบดว๎ ย 3R ได๎แกํ Reading (อํานออก) ความสามารถด๎านภาษา (Literacy) หมายถงึ ความสามารถในการอาํ น เพื่อรู๎ เขา๎ ใจ วเิ คราะห์ สรปุ สาระสาคัญ ประเมนิ สิง่ ท่ีอาํ นจากสอื่ ประเภทตาํ งๆ รจู๎ กั เลือกอํานตามวัตถปุ ระสงค์ นาไปใช๎ในชวี ติ ประจาวนั และการอยํรู ํวมกันใน สังคม ใช๎การอาํ นเพื่อการศึกษาตลอดชวี ติ และส่ือสาร เปน็ ภาษาเขยี นได๎ถกู ตอ๎ งตามหลักการใชภ๎ าษาและอยําง สรา๎ งสรรค์ 1. ความสามารถในการอําน หมายถงึ พฤติกรรมการรู๎ ความเข๎าใจ การสรุปสาระสาคญั การวเิ คราะห์ และ การประเมินได๎ 2. ร๎ู หมายถึง ความสามารถบอกความหมาย เร่ืองราว ข๎อเทจ็ จริง และเหตกุ ารณต์ ํางๆ 3. เขา๎ ใจ หมายถึง ความสามารถในการแปลความ ตีความ ขยายความ และสรปุ อา๎ งอิง 4. สรปุ สาระสาคญั หมายถงึ ความสามารถในการสรปุ ใจความสาคัญของเน้ือเรือ่ งได๎อยําง ส้ัน ๆ กระชับ และครอบคลมุ 5. วเิ คราะห์ หมายถึง ความสามารถในการแยกแยะเร่ืองราว ข๎อเท็จจรงิ เหตุผล ขอ๎ คิดเห็น คุณคาํ และ สํวนประกอบอนื่ ๆ 6. ประเมิน หมายถึง ความสามารถในการตัดสินความถกู ต๎อง ความชัดเจน ความเหมาะสม คุณคํา ตาม เกณฑ์ทกี่ าหนด ความร๎พู ้ืนฐานเกี่ยวกับการเขียน การเขียนเป็นการส่อื สารด๎วยอักษร ถํายทอดความรู๎ ความคดิ อารมณ์ ความรูส๎ กึ ประสบการณข์ องผู๎เขียนไปสผํู อ๎ู าํ น ทักษะการเขียนเป็นทกั ษะทเี่ ป็นท้ังศิลป์และศาสตร์ กลาํ วคือ การ เขียน ตอ๎ งใชภ๎ าษาท่ีไพเราะประณีต สื่อได๎ท้ังอารมณ์ ความคิด ความร๎ู ต๎องใชศ๎ ลิ ปะ ท่กี ลําววาํ เป็น ศาสตรเ์ พราะการเขียน ทุกชนดิ ต๎องประกอบด๎วยความร๎ู หลักการและวธิ กี าร การเขียนมีความสาคญั สาหรบั มนุษย์ ย่งิ โลกในปัจจุบันมคี วาม เจรญิ ก๎าวหน๎าไปอยาํ ง รวดเรว็ การเขียนยงิ่ ทวีความสาคัญมากขึน้ ตามไปด๎วยซ่ึงสามารถสรปุ ความสาคัญของการเขยี น ได๎ ดังนี้ 1. การเขียนเป็นการสือ่ สารอยํางหนง่ึ 2. การเขยี นเปน็ การแสดงออกซึ่งภูมปิ ญั ญาของมนษุ ย์ 3. การเขียน เป็นเครอ่ื งมอื ถาํ ยทอดมรดกทางสตปิ ัญญา 4. การเขยี นเป็นเครื่องมอื สร๎างความสามคั คแี ละความเจริญรํงุ เรือง ในทาง ตรงกันขา๎ มกใ็ ช๎ เปน็ เคร่อื งบํอนท าลายไดเ๎ ชํนกัน การเขยี นจะบรรลุผลตามวตั ถุประสงค์หรอื ไมนํ ้ัน สิ่งส าคัญอยาํ ง หนงึ่ คือ การเขยี นต๎องมี จุดมํุงหมายซึ่งสามารถจาแนกไดด๎ ังน้ี 1. การเขียนเพ่ือการเลําเรื่อง > เป็นการน าเรื่องราวท่ีสาคัญมาถํายทอดเป็นข๎อเขยี น เชํน การเขยี นเลาํ ประวตั ิ 2. การเขียนเพื่ออธบิ าย > เป็นการเขยี นเพ่ือชแ้ี จงอธบิ ายวิธีใช๎ วธิ ที า ขัน้ ตอนการท า เชํน อธิบายการใช๎ เครื่องมือตาํ งๆ 3. การเขยี นเพ่ือแสดงความคดิ เหน็ > เป็นการเขยี นเพ่อื วิเคราะห์ วิจารณ์ แนะนา หรอื แสดงความคิดเหน็ เก่ยี วกับเรอื่ งใดเรื่องหนง่ึ 4. การเขยี นเพอ่ื โนม๎ นา๎ วใจ > เป็นการเขียนที่ผ๎เู ขยี นมีจุดประสงค์ท่ีจะชักจงู โนม๎ น๎าวใจให๎ ผ๎อู ํานยอมรับใน สิ่งทผี่ เู๎ ขียนเสนอ 5. การเขยี นเพือ่ กจิ ธรุ ะ > เป็นการเขยี นทผี่ ู๎เขียนมีจดุ ประสงค์อยํางใดอยาํ งหนึ่ง การเขยี น ชนิดน้จี ะมี รปู แบบการเขยี นและลกั ษณะการใชภ๎ าษาทแ่ี ตกตํางกนั ไปตามประเภทของการเขียน (A)Rithmetics (คดิ เลขเปน็ ) ความสามารถในการน าความรทู๎ างคณิตศาสตร์ไปประยุกตใ์ ชใ๎ นสถานการณต์ ําง ๆ ใน ชวี ติ ประจ าวนั ไดแ๎ กํ ความสามารถในการแกป๎ ญั หาดว๎ ยวิธกี ารท่หี ลากหลาย การใหเ๎ หตุผล การ สื่อสาร การสือ่ ความหมายทางคณิตศาสตร์ การนาเสนอ การเช่อื มโยงความรู๎และการมีความคดิ ริเรม่ิ สรา๎ งสรรค์

คณิตศาสตร์ในชวี ติ ประจาวัน หมาย ถงึ การนาความร๎ู เนือ้ หา หลักการทางคณิตศาสตร์ ใน ระดับทเี่ หมาะสม กับผูเ๎ รยี น ไปประยุกต์ใชใ๎ นกิจกรรมทเ่ี กย่ี วข๎องกบั ผ๎เู รียน หรือใชอ๎ ธิบาย ปรากฏการณ์ เหตกุ ารณ์ใกลต๎ ัวที่สามารถพบ เหน็ ได๎ในชวี ติ ประจาวนั ท่ัวไป ทุกเหตุการณท์ ่เี กิดข้ึนไมํ วาํ จะเกิดขนึ้ ทกุ วนั หรือนาน ๆ คร้ัง ทั้งทีเ่ กีย่ วข๎องกบั เรา โดยตรงหรือโดยออ๎ ม ล๎วนแตสํ ามารถโยง ใหเ๎ ขา๎ กบั คณติ ศาสตร์ได๎ทงั้ สิน้ 4C ได๎แกํ Critical Thinking การคิด วิเคราะห์ การเรียนร๎ูทกั ษะการคดิ วเิ คราะห์ควรมเี ปูาหมายและวิธกี ารดงั ตํอไปนี้ เปาู หมาย : สามารถใช๎เหตผุ ล คดิ ได๎ อยํางเป็นเหตุเปน็ ผลหลากหลายแบบ ได๎แกํ คิดแบบอุปนัย (inductive) คิด แบบอนมุ าน (deductive) เป็นตน๎ แลว๎ แตสํ ถานการณ์ เปาู หมาย : สามารถใช๎การคดิ กระบวนระบบ (systems thinking) วเิ คราะห์ได๎วาํ ปจั จยั ยํอยมี ปฏิสัมพนั ธ์กนั อยํางไร จนเกดิ ผลในภาพรวมเปาู หมาย วิเคราะห์และประเมนิ ขอ๎ มลู หลกั ฐาน การโต๎แย๎ง การกลําวอ๎าง และความเชื่อ วเิ คราะหเ์ ปรยี บเทียบและประเมนิ ความเหน็ หลกั ๆ สงั เคราะห์และเชอื่ มโยงระหวํางสารสนเทศกบั ข๎อ โต๎แย๎ง แปลความหมายของสารสนเทศและสรุปบนฐานของการวเิ คราะห์ ตคี วามและทบทวนอยาํ งจริงจัง (critical reflection) ในดา๎ นการเรียนรู๎ และกระบวนการ เปาู หมาย : สามารถแก๎ปัญหาได๎ ฝึกแก๎ปญั หาทีไ่ มคํ ๎นุ เคยหลากหลาย แบบ ท้ังโดยแนวทางทย่ี อมรับกนั ท่วั ไป และแนวทางที่ แหวกแนว ต้งั คาถามสาคัญทชี่ วํ ยทาความกระจาํ งใหแ๎ กํมมุ มอง ตาํ ง ๆ เพ่ือน าไปสูํทางออกท่ีดีกวาํ การเรยี นทักษะเหลาํ น้ีทาโดย PBL (Project-Based Learning) Communication การสือ่ สาร การออกแบบการเรยี นรูท๎ ักษะการสือ่ สาร ควรมีเปูาหมายและวิธีการดังตํอไปน้ี เปาู หมาย : ทกั ษะในการสือ่ สารอยาํ งชดั เจน เรียบเรยี งความคดิ และมมุ มอง (idea) ไดเ๎ ป็นอยํางดีส่อื สารออกมาให๎ เขา๎ ใจงํายและ งดงาม และมีความสามารถสอ่ื สารไดห๎ ลายแบบ ท้ังด๎วยวาจา ขอ๎ เขยี น และภาษาท่ีไมใํ ชํภาษาพดู และ เขยี น (เชํน ทาํ ทาง สหี นา๎ ) ฟังอยาํ งมีประสิทธิผล เกิดการสือ่ สารจากการต้ังใจฟงั ให๎เหน็ ความหมาย ทง้ั ด๎านความรู๎ คุณคาํ ทัศนคติ และความตัง้ ใจใช๎การสื่อสารเพื่อบรรลเุ ปูาหมายหลายดา๎ น เชนํ แจ๎งให๎ทราบบอกให๎ทา จูงใจ และ ชกั ชวน ส่อื สารอยาํ งได๎ผลในสภาพแวดล๎อมท่ีหลากหลาย รวมท้ังในสภาพทส่ี ื่อสารกันด๎วยหลาย ภาษา เปาู หมาย : ทักษะในการรวํ มมือกับผอ๎ู นื่ แสดงความสามารถในการท างานอยาํ งไดผ๎ ล และแสดงความเคารพใหเ๎ กียรติทมี งานที่มี ความ หลากหลาย แสดงความยดื หยํนุ และชวํ ยประนีประนอมเพื่อบรรลุเปาู หมายรํวมกนั แสดงความรบั ผิดชอบ รวํ มกนั ในงานท่ีตอ๎ งทารํวมกันเป็นทมี และเหน็ คุณคาํ ของบทบาทของผ๎ู รวํ มทีมคนอ่นื ๆ Collaboration การรวํ มมือ การออกแบบการเรียนรท๎ู ักษะการรวํ มมือ ควรมีเปูาหมายและวธิ ีการดงั ตํอไปนี้ เปูาหมาย : ทักษะในการรวํ มมือกับ ผู๎อืน่ แสดงความสามารถในการท างานอยาํ งไดผ๎ ล และแสดงความเคารพให๎เกียรตทิ ีมงานท่มี ี ความหลากหลาย แสดง ความยืดหยุนํ และชวํ ยประนีประนอมเพ่ือบรรลุเปาู หมายรํวมกัน แสดงความรบั ผิดชอบรํวมกนั ในงานท่ีตอ๎ งทารวํ มกนั เป็นทมี และเหน็ คุณคาํ ของบทบาทของ ผร๎ู ํวมทมี คนอนื่ ๆ Creativity ความคิดสรา๎ งสรรค์ การออกแบบการเรียนรู๎ ทกั ษะความคิดสร๎างสรรค์ ควรมเี ปาู หมายและวธิ กี ารดงั ตํอไปน้ี เปูาหมาย : ทักษะการความคดิ สร๎างสรรค์ ใชเ๎ ทคนคิ สรา๎ งมุมมองหลากหลายเทคนิค เชนํ การระดมความคดิ (brainstorming) สรา๎ งมมุ มองแปลกใหมํ ท้งั ทเ่ี ป็นการ ปรับปรงุ เล็กน๎อยจากของเดิม หรอื เปน็ หลกั การทแ่ี หวก แนวโดยสิน้ เชงิ ชักชวนกันทาความเขา๎ ใจ ปรับปรุง วิเคราะห์ และประเมินมมุ มองของตนเอง เพ่ือพัฒนา ความเข๎าใจเกย่ี วกับการคดิ อยาํ งสร๎างสรรค์ 5. สรุป ในอนาคตเน้อื หาการ เรยี นร๎แู บบดจิ ติ อลจะเขา๎ มาแทนท่ีและบทบาทในการศกึ ษา หนงั สือ ทว่ั ไปจะกลายเป็นเอกสารประกอบในเน้ือหา รายวิชาทีเ่ ปน็ ทฤษฏพี น้ื ฐาน เพราะเนื้อหาไมคํ ํอยมีการ เปลยี่ นแปลง แตสํ าหรบั เนอื้ หารายวิชาทม่ี กี ารเปลี่ยนแปลงได๎ ตลอดเวลา เชนํ เนอ้ื หาดา๎ นคอมพวิ เตอร์และวทิ ยาการตาํ งๆ เนอ้ื หาการเรียนรแู๎ บบดิจิตอลจะเขา๎ มาแทนท่ีไดเ๎ พราะ สามารถแก๎ไขเน้ือหาได๎ สะดวก อกี ทง้ั ข้ันตอนการผลติ หนงั สอื ทวั่ ไปจะใช๎ เวลานาน เน้อื หาการเรียนรแู๎ บบดจิ ติ อลจะ ทาให๎ผ๎ทู ี่ สนใจในเน้อื หาตําง ๆไดม๎ ีความรู๎จากเน้ือหานนั้ ๆ โดยท่ีไมจํ าเปน็ ต๎องเข๎าเรียนในสถานศึกษา อนาคต ของ

เนื้อหาการเรยี นรู๎แบบดิจิตอลไมไํ ด๎ขึ้นอยกูํ ับผู๎อํานเทําน้ัน แตํยงั ขนึ้ อยํูกับการพฒั นาและการ คิดค๎นรปู แบบใหมํ ๆ เพ่อื ทาให๎มีความสะดวกในการอํานใหม๎ ากขึ้น และทาใหเ๎ น้ือหามีความนําสนใจ มากข้ึน นอกจากน้นั แลว๎ เนอ้ื หาการ เรยี นร๎แู บบดิจติ อลจะเขา๎ ไปทาให๎เกิดการเปลย่ี นแปลงในตลาด ส่ิงพมิ พเ์ ชนํ หนงั สือพมิ พ์ วารสาร นิตยสาร เป็นตน๎ จะถูกผลิตมาในรูปแบบที่เปน็ แบบดิจติ อลมาก ขน้ึ ในอนาคต แ

ใบงานท่ี ๑ ๑. จงอธิบายความหมายของการรดู้ ิจิทัล …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………......................................................................………………………………… ๒. จงอธิบายความหมายของการรู้การส่อื สาร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………......................................................................………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………….......................................................................………………… ช่อื .............................................................นามสกุล..............................................ระดบั ประถมศกึ ษา ใบงานท่ี ๒

๑. จงอธิบายความสาคญั ของการรดู้ จิ ิทัล …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………… ๒. จงยกตัวอย่างผลกระทบจากการรู้ดิจิทัล …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………… ช่อื .............................................................นามสกุล..............................................ระดับประถมศกึ ษา

แผนการจดั การเรียนรู้ รายวิชาสขุ ศกึ ษาพลศึกษา ครั้งที่ ๑ การจัดทาหน่วยเรียนร้บู ูรณาการหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2565 กศน.ตาบลศรีโคตร ระดับประถมศึกษา 1. สปั ดาห์ที่ ๖ วนั ท่ี 2๑ เดือน พฤษภาคม พ.ศ.2565 เวลา 09.00 - 12.00 น. 2. วชิ า สขุ ศกึ ษาพลศกึ ษา รหัสวิชา ทช1100๒ จานวน 2 หนํวยกติ 3. มาตรฐานท่ี 4.2 มคี วามร๎ู ความเข๎าใจ ทักษะและเจตคตทิ ี่ดเี กีย่ วกบั การดูแล สํงเสริมสขุ ภาพอนามยั และ ความปลอดภัยในการดาเนนิ ชีวติ 4. หนว่ ยการเรยี นร/ู้ เรอ่ื งร่างกายของเรา 5. สาระสาคญั โครงสร๎างหน๎าทกี่ ารทางานของระบบอวัยวะในรํางกายท่สี าคัญ ระบบสามารถปฏบิ ตั ติ นในการดูแลรกั ษาและ ปอู งกนั อาการผดิ ปกติของระบบอวัยวะสาคัญ ระบบอธบิ ายพัฒนาการและการเปลีย่ นแปลงตามวยั ของมนษุ ยด์ ๎าน รํางกาย จติ ใจ อารมณ์ สังคม สตปิ ญั ญาได๎อยํางถูกต๎อง 6. เน้อื หา ๑. วัฎจักรของชวี ติ มนุษย์ ๒. โครงสรา๎ งหนา๎ ที่และการทางานของอวยั วะสาคัญ ของรํางกาย -อวัยวะภายนอกได๎แกํ ผวิ หนัง หู ตาคอ จมูก ฟนั ผม เล็บ ฯลฯ - อวัยวะภายใน ไดแ๎ กํ หวั ใจ ปอด กระเพาะ ลาไส๎ ตับ ไต ๓. การดแู ลรกั ษา ปอู งกนั ความผิดปกติ ของรํางกาย 7. จุดประสงค์การเรียนร้/ู ผลการเรียนรู้ที่คาดหวงั (ดจู ากผงั การออกข๎อสอบ) ๑. อธบิ ายการเปล่ยี นแปลงและพัฒนาการตามวัยของราํ งกายได๎ ๒. อธบิ ายโครงสร๎างและการทางานของอวยั วะภายใน และภายนอก ๓. อธบิ ายวิธกี ารดูแลรักษาปูองกนั ความผดิ ปกติของอวัยวะทส่ี าคัญของรํางกายทั้งภายในและภายนอกได๎ 8. การบูรณาการกบั หลกั แนวคิดของเศรษฐกจิ พอเพียง (2 เง่ือนไข 3 หลกั การการเชอื่ มโยงสู่ 4 มติ ิ) ความรู้ รว๎ู ําควรวง่ิ อยาํ งไรจึงจะถูกกตกิ า และมคี วามระมดั ระวังไมํให๎หกลม๎ หรือเป็นอนั ตราย คุณธรรม ร๎แู พ๎ รชู๎ นะ ร๎ูอภยั พอประมาณ - นักเรยี นร๎วู ําวิ่งเตม็ ที่ได๎เร็วแคํไหนไมํเกินกาลงั ของตนเองจงึ เป็นประโยชนต๑ ํอตนเองและกลํุมเพ่ือน มเี หตุผล - ร๎จู ักวธิ กี ารและกตกิ าของเกมอยาํ งถกู ตอ๎ ง มภี ูมคิ ้มุ กนั - ราํ งกายที่แข็งแรงทาให๎ไมมํ ีโรคภัยไข๎เจ็บ

วตั ถุ - ชํวยให๎รํางกายแข็งแรง - ฝึกความคลอํ งแคลงํ ในการเคล่อื นไหน - มีความรูค๎ วาม เขา๎ ใจในการเลนํ เกมวง่ิ เป้ยี วได๎อยํางถูกวธิ ี สงั คม - มคี วามสามคั คีในหมํผู ูเ๎ ลนํ เปน็ อยาํ งดี สง่ิ แวดล้อม - สามารถนาอปุ กรณ๑ในทอ๎ งถิ่นมาใชป๎ ระโยชนไ๑ ด๎อยาํ งเหมาะสม วัฒนธรรม - มรี ะเบียบวินัย และร๎จู ักเคารพกฎกติกา 9. กระบวนการจดั การเรียนรู้และกิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นท่ี 1 กาหนดสภาพปัญหาการเรยี นรู้ ๑.ครสู อบถามนักศึกษาเร่ืองเก่ียวกับพัฒนาการทางราํ งกาย ๒.ชแี้ จงจุดประสงค์การเรียนรู๎ ขนั้ ที่ 2 แสวงหาขอ้ มูลและจัดการเรียนรู้ ๑.ครูอธิบายเร่อื งเก่ยี วกบั รํางกายของเราและการวางแผนชีวิต ขั้นท่ี 3 การปฏิบัตแิ ละการนาไปใช้ ๑. ครูสรุปองคค์ วามร๎ูในเน้ือหาเร่อื งเกี่ยวกบั รํางกายของเราและการวางแผนชวี ติ ๒. นกั ศึกษาซักถาม และแลกเปลยี่ นความร๎ู กจิ กรรมเพมิ่ เติม ให๎นักศึกษาทารายงานค๎นคว๎าเพ่มิ เติมเกย่ี วกับหนา๎ ที่ การทางานของอวัยวะ ตาํ งๆของรํางกาย ข้นั ท่ี 4 การประเมินผลการเรียนรู้ 1. ประเมนิ ผลจากการทาใบงาน 2. การสังเกตการมีสํวนรํวม 10. สอื่ /แหล่งเรียนรู้ - โปสเตอร์ระบบอวัยวะที่สาคัญของราํ งกาย - ส่ือ Internet - ใบงานที่ 1 เร่ือง การพัฒนาการของราํ งกาย - หอ๎ งสมุด 11. การวดั ผลและประเมนิ ผล 1. วธิ ีการวดั และประเมินผล - แบบประเมินผลการสังเกตพฤติกรรมการทางานรํวมกบั ผอ๎ู ืน่ ของนักศึกษารายบุคคล - ใบงาน - แบบทดสอบกํอนเรียน-หลงั เรียน 2. เครื่องมือวัดและประเมินผล.

- ประเมนิ ผลการสังเกตพฤติกรรมการทางานรํวมกับผ๎อู ่นื ของนักศกึ ษารายบุคคล - ผลจากการตรวจใบงาน - คะแนนแบบทดสอบกํอนเรียนและหลังเรียน 3. เกณฑก์ ารวดั และการประเมนิ ผล - แบบประเมนิ ผลการสงั เกตพฤติกรรมการทางานรํวมกบั ผูอ๎ ืน่ ของนักศึกษารายบุคคล ระดบั ดี พอใช๎ และควรปรบั ปรุง - ใบงานคะแนนเต็ม 10 คะแนน - แบบทดสอบกํอนเรยี น-หลังเรยี น เกณฑผ์ ํานและไมผํ าํ น กิจกรรมเสนอแนะ ............................................................................................................................................... .......................................... ................................................................................................................................................................... ลงชือ่ …………………………………………….ครูผู๎สอน (นางสาวจนั ทร์ทพิ ย์ ศรีลยั ) ครู กศน.ตาบล ข้อเสนอแนะของผู้บรหิ าร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………........ ลงชือ่ ………………………………………………………ผอู๎ นมุ ัติแผน (นางปัทมาภรณ์ ศรเี นตร) ผู๎อานวยการ กศน.อาเภอจตุรพกั ตรพิมาน

บันทึกหลังการจัดการเรยี นรู้ การจัดทาหน่วยเรียนร้บู รู ณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ครง้ั ที่ 6 วันที่ 21 เดือน มิถุนายน พ.ศ. 2565 ครูผสู๎ อน นางสาวจนั ทร์ทิพย์ ศรีลยั ระดบั ประถมศึกษา เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐ น. สาระการดาเนนิ ชีวติ รายวชิ า สขุ ศึกษาพลศึกษา รหสั วิชา ทช1๑๐๐2 จานวนผู๎เรียนทัง้ หมด ............... คนเข๎าเรียน…………………คน ไมํเข๎าเรยี น……………………….คน ๑. ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การประเมนิ โดยใช๎ แบบทดสอบกํอนเรียน - หลังเรียน พบวํา คะแนนการทดสอบหลังเรียน มากกวํากํอนเรียนจานวน ........ คนคิดเปน็ รอ๎ ยละ............ คะแนนการทดสอบหลงั เรยี น น๎อยกวาํ กํอนเรียนจานวน ......... คนคิดเป็นร๎อยละ............ ๒. เนือ้ หา/สาระ ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................... ๓. กจิ กรรมการเรียนการสอน ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. .......... ๔. ปัญหา/อุปสรรค การเรียนการสอน .............................................................................................................................. .................................. ................................................................................................ ................................................................ ............................................................................................................................. ................................... ๕. แนวทางการแก้ปญั หา ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................... ลงชือ่ ....................................................... (นางสาวจันทรท์ พิ ย์ ศรลี ยั ) ครูผส๎ู อน วันที่.............../.................../............... ความคดิ เห็น/ขอ้ เสนอแนะของผบู้ ริหาร ............................................................................................................................. ............................................................ ............................................................................................................................. ............................................................ ....................................................................................................................................................... ลงชอ่ื .................................................................. (นางปทั มาภรณ์ ศรีเนตร) ผ๎อู านวยการ กศน.อาเภอจตรุ พักตรพมิ าน วนั ท.ี่ ............../.................../...............

ใบคามรู้ เร่อื งรา่ งกายของเรา ร่างกายมนษุ ย์โครง่ กระดกู ท่ใี หญ่ เปน็ โครงสร๎างทัง้ หมดของมนษุ ย์ ประกอบด๎วยเซลลเ์ มจมนษุ ยห์ ลายชนดิ ท่ี รวมกนั เปน็ เนือ้ เย่ือซึ่งรวมกนั เป็นระบบอวยั วะ สง่ิ เหลาํ นค้ี งอบั ดุลและความแขง็ แรงของรํางกายมนุษย์ ราํ งกายมนษุ ย์ ประกอบดว๎ ยศรี ษะ, คอ, ลาตวั (ซึ่งรวมถงึ กล๎ามเน้ือหน๎าอกใหญแํ ละหนา๎ ท๎องใตผ๎ วิ หนังมีกลา๎ มเน้อื มดั และมี กลา๎ มเน้อื ทแี่ ขนและมือ, ขา เท๎า และมีไขกระดูกสันหลงั เติมโปรตนี ใหร๎ ํางกาย2เทาํ การศึกษารํางกายมนุษยเ์ ช่อื มโยงกับกายวิภาคศาสตร์ สรีรวทิ ยา มิญชวทิ ยา และคพั ภวิทยา รํางกายมีความ แตกตาํ งทางกายวภิ าคแบบตําง ๆ สรรี วิทยามํุงไปที่ระบบและอวัยวะของมนษุ ยแ์ ละการทางานของอวยั วะ หลาย ระบบและกลไกมีปฏิกริ ิยาตํอกนั เพื่อคงภาวะธารงดุล โดยมีระดับทปี่ ลอดภัยของสารตาํ ง ๆ เชนํ นา้ ตาลและออกซเิ จน ในเลอื ด องคป์ ระกอบ ธาติตําง ๆ ของรํางกายมนุษย์โดยมวล จุลธาตุท้งั หมดมจี านวนนอ๎ ยกวําร๎อยละ 1 โดยแตลํ ะอยํางมจี านวนน๎อยกวํา รอ๎ ยละ 0.1 ราํ งกายมนุษย์ประกอบดว๎ ยธาตุครบตําง ๆ เชนํ ไฮโดรเจน ออกซิเจน คาร์บอน แคลเซยี ม และฟอสฟอรัส [] ธาตุเหลาํ นี้อยํใู นเซลลน์ ับล๎านลา๎ นและสวํ นประกอบที่ไมํใชเํ ซลล์ในราํ งกายมนุษย์ ประมาณร๎อยละ 60 ของราํ งกายชายโตเตม็ วยั เปน็ นา้ คดิ เป็นปรมิ าณประมาณ 42 ลติ ร ในจานวนน้ี 19 ลติ ร เป็นน้าภายนอกเซลล์รวมถึงน้าเลอื ดปริมาณ 3.2 ลิตร และสารนา้ แทรกปรมิ าณ 8.4 ลิตร และสวํ นท่ีเหลอื เป็นน้า ภายในเซลลจ์ านวน 23 ลิตร[2] สํวนประกอบและความเป็นกรดของน้าทั้งในและนอกเซลล์ถูกรักษาไวอ๎ ยาํ ง ดี อิเลก็ โทรไลต์หลกั ของนา้ ภายนอกเซลลใ์ นราํ งกายไดแ๎ กํ โซเดยี ม และคลอไรด์ สํวนสาหรบั นา้ ภายในเซลล์ไดแ๎ กํ โพแทสเซียมและฟอสเฟตอืน่ [3] เซลล์ ราํ งกายประกอบด๎วยเซลลน์ บั ลา๎ นล๎านซึ่งเปน็ หนํวยพ้ืนฐานของสิ่งมีชีวิต[4] ขณะโตเตม็ วยั มนุษย์มีเซลล์ ประมาณ 30[5]–37[6] ลา๎ นลา๎ นเซลล์ในราํ งกาย ปริมาณจากจานวนเซลลท์ ง้ั หมดในอวยั วะตาํ ง ๆ และเซลลป์ ระเภท ตําง ๆ นอกจากนร้ี ํางกายยงั เปน็ ท่อี าศัยของเซลล์ที่ไมํใชํมนุษยจ์ านวนเทาํ ๆ กัน[5] รวมถึงสิ่งมชี วี ติ หลายเซลล์ซ่งึ อาศัย

ในทางเดินอาหารและบนผิวหนัง[7] ราํ งกายไมํไดป๎ ระกอบไปดว๎ ยเซลลเ์ พยี งอยาํ งเดียว เซลล์ตั้งอยใํู นเมจสารเปลย่ี น เซลลผ์ ิวทปี่ ระกอบดว๎ ยโปรตนี เชํน คอลลาเจน ลอ๎ มรอบด๎วยนา้ ภายนอกเซลล์ มนษุ ยท์ ี่นา้ หนัก 70 กโิ ลกรมั มีเซลล์ที่ ไมํใชํเซลลม์ นษุ ย์และวัสดุท่ีไมํใชํเซลล์ เชํน กระดูกและเนือ้ เย่ือเกย่ี วพนั น้าหนักเกือบ 25 กิโลกรมั [5] เซลลใ์ นราํ งกายทางานไดด๎ ๎วยดเี อ็นเอซึง่ อยํูในนิวเคลียสของเซลล์ ข๎างในนวิ เคลยี ส สํวนของดีเอ็นเอถกู คัดลอก และสงํ ไปยังตัวของเซลลใ์ นรูปแบบของอาร์เอน็ เอ[8] จากน้ันอารเ์ อ็นเอถูกใชเ๎ พ่ือสร๎างโปรตนี ซ่งึ เปน็ สํวนประกอบ พน้ื ฐานสาหรบั เซลล์ กิจกรรมของเซลล์ และผลติ ภัณฑข์ องเซลล์ โปรตนี เปน็ ตัวกาหนดหนา๎ ของเซลลแ์ ละการ แสดงออกของยนี เซลล์สามารถควบคุมตัวเองได๎จากปรมิ าณโปรตีนทผ่ี ลิต[9] อยาํ งไรกต็ าม ไมใํ ชทํ ุกเซลลท์ ่จี ะมดี เี อน็ เอ เซลลบ์ างชนดิ เชนํ เซลล์เม็ดเลือดแดงสูญเสยี นิวเคลียสเม่อื โตเต็มที่ เนือ้ เยือ่ ราํ งกายประกอบไปด๎วยเนื้อเยื่อหลายแบบ โดยเนื้อเย่ือถูกใหค๎ วามหมายวําคือกลํุมเซลลท์ ่มี ีหนา๎ ทเี่ ฉพาะ การศกึ ษาเกย่ี วกับเน้ือเยื่อเรยี กวาํ มญิ ชวิทยาและมักศกึ ษาผํานกลอ๎ งจลุ ทรรศน์ รํางกายประกอบไปดว๎ ยเนื้อเย่อื สี่ชนดิ หลกั คอื เน้ือเย่อื บผุ ิว เน้ือเยื่อเก่ยี วพนั เนอ้ื เย่ือประสาท และเนือ้ เยื่อกลา๎ มเนื้อ เซลลท์ ตี่ ง้ั อยํบู นพ้ืนผิวท่ีพบกับโลกภายนอกหรอื ในทางเดนิ อาหาร (เน้ือเยอ่ื บผุ ิว) หรอื เน้อื เยอ่ื บุ โพรง (endothelium) มหี ลายรปู แบบและรูปรําง ตั้งแตเํ ซลลแ์ บนช้นั เดยี ว ไปจนถึงเซลล์ในปอดท่ีมีซีเลยี คลา๎ ยเส๎นผม ไปจนถึงเซลล์แทํงทรงกระบอกท่บี ุกระเพาะอาหาร เซลลเ์ นื้อเยื่อบโุ พรงเป็นเซลล์ที่บุชอํ งภายในรวมทง้ั เส๎นเลอื ดและ ตอํ มตาํ ง ๆ เซลลบ์ ุควบคมุ วาํ สิง่ ไหนสามารถผาํ นหรือไมสํ ามารถผํานเข๎าไปได๎ ปกปูองโครงสร๎างภายใน และทาหน๎าท่ี เปน็ พื้นผวิ รับความรู๎สกึ อวัยวะ ดูเพ่ิมเติมที่: รายการอวัยวะของรา่ งกายมนษุ ย์ อวยั วะเปน็ กลมํุ เซลล์ท่ีมีโครงสร๎างและหนา๎ ที่เฉพาะ[12] ซง่ึ ตง้ั อยภํู ายในราํ งกาย ตัวอยาํ งเชนํ หวั ใจ ปอด และ ตบั อวัยวะหลายอยํางอยใํู นชํองวํางภายในราํ งกายรวมถึงชํองวาํ งในลาตัวและโพรงเย่ือหมุ๎ ปอด ดูเพ่มิ เติมที:่ รายการระบบของรา่ งกายมนุษย์ ระบบไหลเวียน ดบู ทความหลักท่ี: ระบบไหลเวยี น ระบบไหลเวียนประกอบดว๎ ยหวั ใจ หลอดเลือด (หลอดเลือดแดง หลอดเลือดดา และหลอดเลอื ดฝอย) หัวใจทา หนา๎ ท่ขี บั เคล่ือนการไหลเวยี นของเลือด โดยเลือดเปน็ ด่ัง \"ระบบขนสํง\" ในการขนยา๎ ยออกซิเจน เช้ือเพลิง สารอาหาร ของเสีย เซลล์ในระบบภูมคิ ๎ุมกนั และตวั นาสงํ สารเคมี (เชนํ ฮอร์โมน) จากสวํ นหนึง่ ของราํ งกายไปยังอีกสํวน เลือด ประกอบดว๎ ยนา้ ท่ขี นสํงเซลล์ในระบบไหลเวียน รวมถึงบางเซลล์ทเี่ ดนิ ทางจากเน้ือเยื่อไปกลับหลอดเลือด รวมท้ังไปยัง และจากม๎ามและไขกระดูก

ระบบย่อยอาหาร ดบู ทความหลกั ที่: ระบบยอ่ ยอาหาร ระบบยอํ ยอาหารประกอบดว๎ ยปากรวมถึงล้ินและฟัน, หลอดอาหาร, กระเพาะอาหาร, ทางเดนิ อาหาร, ลาไส๎ เล็กและใหญํ รวมถงึ ไสต๎ รง รวมถึงตบั , ตับอํอน, ถงุ น้าดี และตํอมน้าลาย ทาหน๎าทเี่ ปล่ยี นอาหารเป็นโมเลกุลทีเ่ ล็ก มี คณุ คาํ ทางอาหาร และไมเํ ป็นพิษ เพ่ือใหส๎ ามารถกระจายและดดู ซึมไดใ๎ นราํ งกาย[16] ระบบตอ่ มไร้ทอ่ ดูบทความหลกั ที่: ระบบตอ่ มไรท้ ่อ ระบบตอํ มไร๎ทอํ ประกอบด๎วยตํอมไร๎ทอํ หลัก รวมถงึ ตอํ มใต๎สมอง ตอํ มไทรอยด์ ตํอมหมวกไต ตับออํ น ตอํ ม พาราไทรอยด์ และตํอมบงํ เพศ ทวาํ อวัยวะและเนอื้ เย่ือเกือบทัง้ หมดผลติ ฮอรโ์ มนตํอมไร๎ทํอเฉพาะเชํนกัน ฮอร์โมน ตอํ มไรท๎ ํอทาหน๎าทีเ่ ป็นตวั สํงสญั ญาณจากระบบรํางกายหนึ่งไปยงั อกี ระบบหนึง่ เพื่อบอกถงึ สถานะตาํ ง ๆ ทาให๎เกิด การเปล่ียนแปลงการทางาน[17] ระบบภูมคิ ุ้มกนั ดูบทความหลักท่:ี ระบบภมู คิ ุ้มกนั ระบบภมู คิ ม๎ุ กนั ประกอบด๎วยเซลล์เม็ดเลอื ดขาวและแดงทางานปกติ ตอํ มไทมัส ตํอมน้าเหลอื ง และทางเดิน นา้ เหลือง ซงึ่ เป็นสํวนหนึง่ ของระบบน้าเหลอื ง ระบบภมู ิคุ๎มกนั ทาใหร๎ ํางกายสามารถแยกแยะเซลลแ์ ละเนื้อเยื่อตนเอง ออกจากเซลล์และสง่ิ ภายนอก เพื่อตอํ ต๎านหรอื ทาลายเซลลห์ รือสิ่งแปลกปลอมจากภายนอกโดยใช๎โปรตีนเฉพาะและ เชนํ แอนตบิ อดี ไซโตไคน์, toll-like receptors และอื่น ๆ

ระบบผิวหนงั ดบู ทความหลกั ท:่ี ระบบผิวหนัง ระบบผิวหนังประกอบด๎วยผิวหนังทปี่ กคลุมรํางกาย รวมถงึ เส๎นผม และเลบ็ รวมถงึ โครงสรา๎ งอน่ื ๆ ทมี่ หี นา๎ ท่ี สาคญั เชนํ ตํอมเหง่ือและตอํ มไขมัน ผิวหนังทาหนา๎ ที่หอํ หํุม เป็นโครงสรา๎ ง และปูองกันอวัยวะอ่นื และยงั เป็นตวั รบั ร๎ู ถงึ โลกภายนอก[18][19] ระบบน้าเหลือง ดูบทความหลกั ที:่ ระบบนา้ เหลอื ง ระบบนา้ เหลอื งสกดั ขนสงํ และเปล่ียนแปลงน้าเหลือง หรือน้าท่ีอยํรู ะหวาํ งเซลล์ ระบบน้าเหลอื งคลา๎ ยกับ ระบบไหลเวยี นทั้งในเชงิ โครงสรา๎ งและหน๎าที่พ้นื ฐานซง่ึ คือการขนสงํ น้าในราํ งกาย[20] ระบบกลา้ มเนอื และกระดกู ดูบทความหลกั ท:่ี ระบบกลา้ มเนือและกระดกู ระบบกล๎ามเน้ือและกระดกู ประกอบด๎วยโครงกระดูกมนษุ ย์ (รวมถึงกระดูก เอน็ ยึด เอน็ กลา๎ มเนือ้ และกระดูก ออํ น) และกลา๎ มเนอ้ื ท่ียดึ ตดิ ระบบนีเ้ ปน็ โครงสร๎างพน้ื ฐานของราํ งกายและเปน็ ตัวใหค๎ วามสามารถในการขยับ นอกจากจะทาหน๎าที่เปน็ โครงสรา๎ งแล๎ว กระดูกชน้ิ ใหญํในรํางกายยงั บรรจุไขกระดูก ซง่ึ เปน็ ท่ีผลิตเซลลเ์ ม็ดเลือด นอกจากน้ี กระดูกทุกชิน้ ยังเป็นทเี่ กบ็ สะสมหลักของแคลเซียมและฟอสเฟต ระบบนสี้ ามารถแบงํ ออกเป็นระบบกล๎าม เน้ือและระบบกระดูก ระบบประสาท ดบู ทความหลักท:ี่ ระบบประสาท ระบบประสาทประกอบด๎วยระบบประสาทกลาง (สมองและไขสนั หลัง) และระบบประสาทนอกสวํ นกลาง ประกอบด๎วยเส๎นประสาทและปมประสาทนอกสมองและไขสนั หลัง สมองเป็นอวัยวะแหํงความคดิ อารมณ์ ความทรง จา และการประมวนทางประสาทสมั ผสั และทาหน๎าท่ีในหลายมุมมองของการส่ือสารและควบคุมระบบและหน๎าท่ตี ําง

ๆ ความรสู๎ กึ พิเศษประกอบดว๎ ย การมองเห็น การไดย๎ นิ การรับรู๎รส และการดมกลน่ิ ซงึ่ ตา,ห,ู ลิ้น, และจมูกรวบรวม ขอ๎ มูลจากสง่ิ รอบตวั [22] ระบบสบื พันธ์ุ ดูบทความหลักที่: ระบบสบื พันธม์ุ นุษย์ ระบบสืบพนั ธ์ุประกอบดว๎ ยตํอมบํงเพศและอวยั วะเพศทงั้ ภายในและภายนอก ระบบสบื พนั ธผ์ุ ลิตเซลล์สบื พนั ธุ์ ในแตลํ ะเพศ, ให๎กลไกสาหรับการรวมกนั ของเซลลส์ บื พนั ธุ์, และสาหรับเพศหญงิ ยังใหส๎ งิ่ แวดล๎อมในการพฒั นาทารก ในเกา๎ เดือนแรก[23] ระบบหายใจ ดบู ทความหลกั ที่: ระบบหายใจ ระบบหายใจประกอบด๎วยจมูก คอหอย หลอดลม และปอด อวยั วะเหลาํ นี้นาออกซิเจนจากอากาศและขบั คารบ์ อนไดออกไซด์และนา้ กลับไปยงั อากาศ ระบบทางเดนิ ปัสสาวะ ดบู ทความหลักท:่ี ระบบทางเดินปสั สาวะ ระบบทางเดนิ ปัสสาวะประกอบดว๎ ยไต ทํอไต กระเพาะปัสสาวะ และทํอปัสสาวะ โดยทาหนา๎ ท่ขี ับสงิ่ เปน็ พิษ ออกจากเลือดเพ่ือผลิตปัสสาวะซึง่ ขนสงํ โมเลกลุ ของเสยี และไอออนสวํ นเกินและนา้ ออกจากรํางกาย

ใบงาน ๑ เรื่อง การพฒั นาการของร่างกาย ช่อื .........................................................................………………………………………………………………………ชน้ั .............. คาชี้แจง ๑.จับคูก่ บั เพื่อนแล้วเปรียบเทียบลกั ษณะการเจริญเตบิ โตของตนเองและเพอื่ น รายการเปรียบเทยี บ ตวั เรา เพื่อน 1.ด้านร่างกาย ๒.ด้านจิตใจ ๒. ใหน้ ักศกึ ษาวาดภาพจินตนาการวา่ เม่ือนักศกึ ษาอยู่ชั้นประถมศึกษาปที ี่ 5 นักศึกษาจะมีลักษณะ อยา่ งไร

แผนการจดั การเรียนรู้ รายวิชาสุขศึกษาพลศกึ ษา คร้ังท่ี ๗ การจดั ทาหน่วยเรยี นรูบ้ ูรณาการหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2565 กศน.ตาบลศรโี คตร ระดับประถมศกึ ษา 1. สปั ดาหท์ ี่ ๗ วนั ท่ี 2๘ เดือน พฤษภาคม พ.ศ.2565 เวลา 09.00 - 12.00 น. 2. วิชา สุขศึกษาพลศกึ ษา รหสั วิชา ทช1100๒ จานวน 2 หนํวยกติ 3. มาตรฐานที่ 4.2 มคี วามรู๎ ความเขา๎ ใจ ทักษะและเจตคติทดี่ เี ก่ียวกับการดูแล สํงเสริมสขุ ภาพอนามยั และ ความปลอดภัยในการดาเนนิ ชีวิต 4. หนว่ ยการเรียนรู/้ เร่ืองการวางแผนครอบครวั และพัฒนาการทางเพศ 5. สาระสาคัญ การเปลีย่ นแปลงเม่ือเข๎าวยั หนุํมสาววิธีการหลีกเลยี่ งพฤติกรรมทนี่ าไปสํูการมเี พศสมั พนั ธ์ การลํวงละเมิดทาง เพศและการต้ังครรภท์ ไ่ี มํพึงประสงค์และวธิ ีการดแู ลสุขภาพทางเพศทเี่ หมาะสมและไมทํ าให๎เกิดปัญหาทางเพศ 6. เนื้อหา ๑. การวางแผนชีวิต และครอบครวั -การวางแผนชวี ิต -การเลือกคู๎ครอง -การปรับตัวในชีวติ สมรส -การตั้งครรภ์ การมีบตุ ร การเล้ียงดบู ตุ ร ๒. ปัญหาและสาเหตกุ ารรนุ แรงในครอบครัว ๓. การสร๎างสัมพนั ธภาพทดี่ ีระหวาํ งพํอแมลํ ูก และคสํู ามภี รรยา (การสอ่ื สารเร่ืองเพศในครอบครัว) 7. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้/ผลการเรียนรู้ทีค่ าดหวัง (ดูจากผังการออกข๎อสอบ) ๑. รแู๎ ละวิเคราะหต์ นเอง และวางแผนการดาเนนิ ชีวิตได๎อยํางเหมาะสม ๒. เรยี นรู๎วิธสี รา๎ งสัมพันธ์ภาพท่ีดรี ะหวํางครอบครวั และวธิ ีการส่ือสารเรอื่ งเพศในครอบครัว ๓. เรียนรพ๎ู ฒั นาการทางเพศในแตํละชวํ งวัย ๔. เรียนรวู๎ ิธปี ูองกนั โรคติดตอํ ทางเพศสมั พันธ์ ๘. การบูรณาการกบั หลกั แนวคดิ ของเศรษฐกจิ พอเพียง (2 เง่ือนไข 3 หลักการการเชอื่ มโยงสู่ 4 มิต)ิ ความรู้ - ความร๎ูการดาเนินชีวิต การวางแผนชีวติ การปรบั ตวั ในการใช๎ชีวติ - ความรูใ๎ นการปูองกนั ตัวเองในสังคม คุณธรรม - มคี วามรับผดิ ชอบ ความมีสติ ความสามคั คี อดทน และตรงตอํ เวลา พอประมาณ - มีการใช๎จาํ ยในครอบครัว แบบพอเพียง ไมํฟุมเฟือย พอกนิ พอใช๎ มเี หตุผล - ผเู๎ รยี นรู๎จกั เลอื กใช๎ วัสดอุ ปุ กรณ๑ที่มีอยํู อยํางประหยัดและ คุม๎ คาํ ในการดาเนินชีวิตประจาวัน

มีภูมิคุม้ กัน -รู๎จักการวางแผน กระบวนการดาเนินชีวิตอยํางเป็นระบบ ให๎ประสบความสาเร็จ และปลอดภยั - ปรบั ตัวในการดาเนนิ ชีวติ พร๎อมรบั การเปลีย่ นแปลงใน สงั คม วัตถุ - วิธีการขั้นตอนในการดูแลตนเองเร่ืองเพศศึกษา การใช๎ชีวิตในสังคม ในภาวะเศรษฐกิจ คําเงนิ ลอยตวั ของกิน ของใช๎แพงมาก สงั คม - รจู๎ กั แบํงหนา๎ ท่ี รบั ผดิ ชอบในครอบครัว -แลกเปลีย่ น เรียนรู๎จากเพื่อนบ๎านในชุมชน สิง่ แวดล้อม - คนในครอบครวั มชี ีวิตความเปน็ อยูํท่ีดี จะทาให๎เกดิ สภาพแวดลอ๎ มชวี ิตคนในครอบครวั สงํ ผลทาใหค๎ นในสงั คมดขี ้นึ ด๎วย วัฒนธรรม - บุคคลในครอบครัวชุมชน มีชวี ติ ความเป็นอยูทํ ด่ี ี เกิดการแบํงปันจากรํนุ สูํรนํุ ตํอกนั ไป 9. กระบวนการจดั การเรียนรูแ้ ละกิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นท่ี 1 กาหนดสภาพปญั หาการเรยี นรู้ ๑. ครูสอบถามนกั ศึกษาเรื่องเกยี่ วกับการวางแผนชีวิต และครอบครวั ๒. ชแ้ี จงจุดประสงค์การเรียนร๎ู ข้ันที่ 2 แสวงหาขอ้ มูลและจัดการเรยี นรู้ ๑. ครูอธบิ ายเร่ืองการวางแผนชีวติ ๒. นักศึกษาแบํงกลุมํ ๓ กลํุม ใหน๎ ักศกึ ษา ค๎นคว๎า เร่ืองการวางแผนชวี ติ และสรุปเน้ือหาท่ีได๎ ออกมาในรปู แบบผังมโนทัศน์ (Mapping) ๓. ตัวแทนนกั ศึกษาแตลํ ะกลํุม นาเสนอหนา๎ ชัน้ เรยี น ในรปู แบบผงั มโนทัศน์ (Mapping) ๔. เรยี นร๎วู ธิ ีปอู งกันโรคติดตํอทางเพศสัมพันธ์ ขน้ั ที่ 3 การปฏิบัติและการนาไปใช้ ๑. ครสู รุปองคค์ วามร๎ูในเน้อื หาเร่ืองเกีย่ วกับรํางกายของเราและการวางแผนชวี ติ ๒. นกั ศึกษาซักถาม และแลกเปลยี่ นความร๎ู 3. ครูและผ๎เู รยี นชํวยกันสรุปเนอื้ หาสาระสาคัญของเร่ืองและจดบันทึก ขั้นท่ี 4 การประเมนิ ผลการเรียนรู้ 1. ประเมินผลจากการทาใบงาน 2. การสงั เกตการมสี ํวนรํวม 3. แบบทดสอบกํอนเรียน – หลังเรียน

10. สื่อ/แหล่งเรียนรู้ - สอื่ Internet - ใบงานท่ี 1 เรอื่ ง สขุ ภาพทางเพศ - แบบทดสอบกํอนเรยี น – หลังเรียน เร่อื ง สุขภาพทางเพศ - หอ๎ งสมดุ - ศกึ ษาใน Youtube ลิงค์ https://www.youtube.com/watch?v=R5GG08upIcs 11. การวัดและประเมินผล 1. วิธกี ารวัดและประเมนิ ผล - แบบประเมินผลการสังเกตพฤติกรรมการทางานรวํ มกบั ผอ๎ู น่ื ของผเู๎ รียนรายบุคคล - ใบงาน - แบบทดสอบกํอนเรียน-หลงั เรยี น 2. เครื่องมือวัดและประเมนิ ผล. - ประเมินผลการสงั เกตพฤตกิ รรมการทางานรํวมกบั ผ๎อู น่ื ของผเู๎ รยี นรายบุคคล - ผลจากการตรวจใบงาน - คะแนนแบบทดสอบกอํ นเรียนและหลงั เรยี น 3. เกณฑ์การวัดและการประเมินผล - แบบประเมนิ ผลการสังเกตพฤติกรรมการทางานรํวมกบั ผูอ๎ ่ืนของผ๎เู รียนรายบุคคล ระดบั ดี พอใช๎ ควรปรบั ปรงุ - ใบงานคะแนนเต็ม 10 คะแนน - แบบทดสอบกํอนเรียน-หลงั เรยี น เกณฑ์ผํานและไมผํ ําน กิจกรรมเสนอแนะ ............................................................................................................................. ............................................................ ................................................................................................................................................................... ลงช่ือ…………………………………………….ครผู ๎สู อน (นางสาวจนั ทร์ทิพย์ ศรลี ัย) ครู กศน.ตาบล ข้อเสนอแนะของผู้บรหิ าร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………........ ลงชื่อ………………………………………………………ผอู๎ นุมัติแผน (นางปทั มาภรณ์ ศรเี นตร) ผ๎ูอานวยการ กศน.อาเภอจตรุ พักตรพมิ าน

บนั ทึกหลังการจัดการเรียนรู้ การจัดทาหน่วยเรยี นรบู้ ูรณาการหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง ครั้งท่ี 7 วันที่ 28 เดือน มถิ ุนายน พ.ศ.2565 ครูผ๎สู อน นางสาวจันทร์ทพิ ย์ ศรีลยั ระดับ ประถมศึกษาเวลา 09.00-12.00 น. สาระทักษะการดาเนนิ ชีวติ รายวชิ า สุขศึกษาพลศึกษา รหัสวชิ า ทช11002 จานวนผูเ๎ รยี นท้งั หมด ............... คนเขา๎ เรยี น…………………คน ไมเํ ข๎าเรียน……………………….คน 1. ผลการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................... 2. เนอื้ หา/สาระ ............................................................................................................................. ................................... .................................................................................. .............................................................................. ............................................................................................................................. ................................... 3. กจิ กรรมการเรียนการสอน ............................................................................................................................. ................................... ...................................................................................... ...................................................................................... ............................................................................................................................. .......... 4. ปัญหา/อุปสรรค การเรยี นการสอน ............................................................................................................................... ................................. ................................................................................................. ............................................................... ............................................................................................................................. ................................... 5. แนวทางการแก้ปัญหา ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................... ลงชอ่ื ....................................................... (นางสาวจันทรท์ ิพย์ ศรีลยั ) ครูผสู๎ อน วันท่ี.............../.................../............... ความคิดเห็น/ขอ้ เสนอแนะของผบู้ ริหาร ............................................................................................................................. ............................................................ ............................................................................................................................. ............................................................ ....................................................................................................................................................... ลงชื่อ.................................................................. (นางปัทมาภรณ์ ศรีเนตร) ผูอ๎ านวยการ กศน.อาเภอจตุรพกั ตรพมิ าน วนั ท.่ี ............../.................../............... ใบความรู้

เร่ืองเพศศกึ ษา เม่อื รํางกายเจริญเติบโตผํานเขา๎ สูํแตํละชํวงวัย ยํอมเกิดการเปลีย่ นแปลงทกุ ด๎าน ไมวํ ําจะเปน็ พฒั นาการทางกาย จิตใจ รวมถงึ ดา๎ นสงั คม ชวํ งวยั รุนํ เป็นชํวงสาคัญของการเปลยี่ นแปลงอยาํ งรวดเร็ว และยังมีเรอ่ื งของฮอร์โมนเพศเข๎า มาเก่ยี วข๎อง วัยรํุนจึงควรทาความเข๎าใจกบั รํางกาย จติ ใจของตนเอง รวมทัง้ ควรไดร๎ ับการสํงเสรมิ การเรยี นร๎เู ร่อื งเพศ ซึง่ เป็นสวํ นหนึ่งของชีวติ มนุษย์ตั้งแตํเกดิ จนตายกว็ ําได๎ ขณะเดยี วกนั สิ่งแวดลอ๎ มรอบ ๆ ตวั ก็มีข๎อมูลเร่ืองเพศท่สี งํ ตํอกันมา เมื่อวยั รนํุ ได๎รบั ร๎ูอาจเชือ่ ไปตามนัน้ โดยมิได๎ไตรํตรองหรือไมํกลา๎ สอบถามขอ๎ เทจ็ จรงิ จากผู๎อ่นื เพราะความอาย ดงั นนั้ การศึกษาเพื่อให๎วัยรํุน \"รูจ๎ ักตนเอง” จึงสาคญั และจาเป็นอยํางย่ิง เพื่อใหไ๎ ด๎ก๎าวเดินไป ชวํ งวยั ตอํ ไปอยําง มั่นคงและมั่นใจ ดังคาพูดของทาํ น กฤษณมรู ติ นักปราชญช์ าวอินเดยี ท่ีกลาํ วไว๎วํา “กํอนจะเดนิ ทางไกล เธอต๎อง เดินทางใกล๎กอํ น ใกลท๎ ่ีสุดน้ันคอื ตวั เธอ กํอนจะทาส่งิ ใด ๆ เธอตอ๎ งเขา๎ ใจตัวเอง” 1.1 รจู้ กั เพศศึกษา องคก์ ารอนามยั โลก (World Health Organization หรอื WHO) ได๎นิยามคาวาํ เพศศึกษาไว๎ดังน้ี เพศศึกษา หรือ Sexuality Education หมายถึง เพศศาสตร์ศึกษา คือ การสอนความเปน็ เพศชาย ความเป็นเพศ หญิง พัฒนาการของราํ งกาย และการแสดงออกในเร่อื งเพศตามวัยตามเพศเมื่อพฒั นาไปถงึ จุดหนึง่ จะเกิดอะไร เปลย่ี นแปลงอยาํ งไร ควรประพฤตปิ ฏิบตั ิอยาํ งไร ปูองกนั อยํางไร แก๎ไขอยาํ งไร เม่ือถึง วัยหมดฮอรโ์ มนสมรรถภาพ หยอํ นยาน ควรปฏบิ ัติอยาํ งไร เรียกได๎วําเป็นการเรียนร๎เู รือ่ งความเปน็ เพศ ต้งั แตํวัยเดก็ จนถงึ วัยชรา กระทรวงพัฒนาสงั คมและความมัน่ คงของมนุษยใ์ ห๎ความหมายเพศศกึ ษาวํา “เปน็ กระบวนการ เรยี นรค๎ู วามเป็นเพศ ชาย ความเปน็ เพศหญิง พฒั นาการของราํ งกาย และการแสดงออกในเรื่องเพศของคน ทุกเพศทกุ วยั ตลอดชวํ งชวี ติ ได๎ อยํางเหมาะสม สอดคล๎องกบั วิถีชีวติ ภาษา วัฒนธรรม เพ่อื ให๎เกดิ ความ เขา๎ ใจและยอมรับนับถอื ตนเอง เคารพให๎ เกียรติกนั โดยคานึงถงึ สทิ ธิสวํ นบุคคล สามารถคดิ ตัดสินใจเลอื ก และดาเนินชีวิตทางเพศของตนได๎อยาํ งที่ตนพงึ ประสงค์ มีความภาคภมู ิใจ นับถอื ตนเอง ไดร๎ ับการปฏบิ ัติ และปฏิบัติตํอผู๎อืน่ เกีย่ วกับเพศอยํางเคารพ ใหเ๎ กยี รติ นบั ถือ เป็นอสิ ระ ปลอดภัย มีความรบั ผิดชอบ ตํอตนเองและคนทกุ เพศ\" องคก์ ารแพทย์ กลาํ วไว๎วํา \"เพศศึกษาเป็นกระบวนการจดั การเรียนร๎ูเกยี่ วกับเพศท่ีครอบ พัฒนาการทางราํ งกาย จิตใจ การทางานของสรีระ และการดูแลสขุ อนามัย ทศั นคติ คํานิยม สัมพันธภาพ พฤติกรรมทางเพศ มิตทิ างสงั คม และวฒั นธรรมทมี่ ีผลตํอวิถชี วี ิตทางเพศ เป็นกระบวนการพัฒนาท้งั ดา๎ น ความรู๎ ความคดิ ทศั นคติ อารมณ์ และทักษะ ท่ีจาเป็นสาหรับบคุ คล ทีจ่ ะชํวยให๎สามารถเลือกดาเนินชวี ิต ทางเพศอยาํ งเปน็ สุขและปลอดภยั สามารถพัฒนาและ ดารงความสมั พันธ์กับผ๎อู น่ื ได๎อยํางมี ความรับผิดชอบและสมดุล\" สรปุ เพศศกึ ษา หมายถงึ การเรยี นรว๎ู ถิ ชี ีวติ มนุษย์ตั้งแตเํ กิดจนตาย หรอื เรยี กวําการเรยี นรู๎ ตลอดชีวิตในเรื่องเพศที่มี หลากหลายมติ เิ ขา๎ มาเกี่ยวข๎องเพือ่ ใหม๎ นษุ ย์ได๎พัฒนาความร๎ู ความคิด อารมณ์ ทัศนคติ รวมถึงทักษะทีส่ าคัญและ จาเป็นในการดารงชีวิต เพ่ือรักษาสมั พันธภาพในการอยํรู ํวมกับผ๎ูอืน่ อยํางเปน็ สขุ เพศศึกษาไมใํ ชํเฉพาะเป็นเร่อื งของ การมเี พศสมั พนั ธอ์ ยํางทีห่ ลายคนคิดและเขา๎ ใจ แตเํ พศศึกษามเี น้ือหาครอบคลมุ ดังตํอไปนี้ 1.1.1 พฒั นาการของมนุษย์ การเปล่ยี นแปลงทางสรีระเม่ือเข๎าสูํวัยหนุมํ สาว พัฒนาการทางเพศ การสบื พนั ธ์ุ ภาพลักษณ์ ตํอราํ งกาย ตัวตนทาง เพศ และรสนิยมทางเพศ พฒั นาการของมนุษย์ หมายถงึ กระบวนการเปล่ยี นแปลงของมนุษย์ทุกสวํ น ทั้งในโครงสรา๎ ง (Structure) และแบบ แผน (Pattern) ท่ีตอํ เน่ืองกนั ต้ังแตํแรกเกิดจนตลอดชวี ิต ซึ่งเป็นกระบวนการ ทเี่ ปลยี่ นแปลงทั้งทางรํางกายและจติ ใจ ผสมผสานกันเปน็ ชน้ั ๆ จากระยะหน่ึงไปสอํู ีกระยะหน่ึง เพื่อจะไปสูํ วุฒิภาวะทาใหเ๎ กดิ ความเจรญิ งอกงามตามลาดบั องคป์ ระกอบท่ีมีผลต่อการพฒั นาการของมนุษย์

1. พนั ธุกรรม หมายถงึ ลกั ษณะทางกายและพฤติกรรมที่ถํายทอดจากบรรพบรุ ุษสลูํ ูกหลาน จากพํอแมํถาํ ยทอดสลูํ กู โดยทางเซลลส์ บื พนั ธุ์ท่เี รียกวํา “โครโมโซม” (Chromosome) พนั ธกุ รรม ท่ีมีผลตอํ มนุษย์ เชํน เปน็ ตัวกาหนดรปู ราํ ง เพศ สผี ม ผิว และระดบั สตปิ ัญญา เปน็ ตน๎ และพันธกุ รรม ทมี่ ีอิทธพิ ลตํอพฒั นาการของมนุษย์ที่สาคัญ คือ “ยนี ” (Gene) ทเ่ี ปน็ ตวั กาหนดให๎แตํละบคุ คลมีพัฒนาการ ทีแ่ ตกตาํ งกนั 2. วฒุ ภิ าวะ เป็นกระบวนการพัฒนาการท่ีเกิดข้นึ ตามธรรมชาตขิ องมนษุ ย์ โดยที่ไมตํ ๎อง อาศัยการฝึกประสบการณ์ เชํน การเปลงํ เสียง การยืน การเดนิ และการว่งิ เป็นตน๎ เป็นพฒั นาการตามปกติ เม่อื ถึงวยั กจ็ ะทาได๎เอง 3. การเรียนรู๎ เป็นกระบวนการพัฒนาการทเ่ี กดิ ขน้ึ จากพืน้ ฐานการฝึกหัดประสบการณ์เป็น สาคัญ สิง่ ทสี่ นบั สนนุ การ เรียนรไู๎ ดเ๎ ปน็ อยํางดคี ือความพร๎อมทเ่ี กิดขึ้นเองตามธรรมชาติและความพร๎อมที่ เกิดจากการกระต๎นุ 4. ส่ิงแวดลอ๎ ม คือ ส่งิ ทอี่ ยรูํ อบตัวบุคคลนน้ั ๆ ท้ังมีชวี ติ และไมํมชี วี ติ รวมถึงระบบครอบครัว สังคมและระบบ วฒั นธรรม 1.1.2 สมั พันธภาพ สมั พันธภาพในมติ ิของครอบครัว เพ่ือน การคบเพอ่ื นตาํ งเพศ ความรัก การใช๎ชวี ิตคูํ การแตงํ งาน การเป็นพํอแมํ ความสมั พนั ธร์ ะหวํางคน 2 คน อาจเป็นคนระหวาํ งครอบครวั เดียวกนั เชํน สามภี รรยา แมํกบั ลกู พก่ี ับน๎อง เป็นต๎น คนสวํ นใหญมํ ีความต๎องการที่จะมีสัมพันธภาพทดี่ ีตํอกัน มีความรักความเขา๎ ใจกัน ชวํ ยเหลือกนั ในเรื่องตําง ๆ นัน้ มี ปัจจยั ที่สํงเสริมให๎เกิดสัมพันธภาพที่ดีตํอกัน คือ การชมเชยหรือชืน่ ชม ทเ่ี หมาะสม การติเพอ่ื กอํ และการแก๎ไขความ ขดั แยง๎ ในเชงิ สรา๎ งสรรค์ นอกจากน้มี ปี จั จัยหรือองค์ประกอบ อื่น ๆ ทีช่ ํวยสรา๎ งสมั พนั ธภาพ เชํน ความใกล๎ชดิ การ สอ่ื สาร เปน็ ตน๎ องคป์ ระกอบพ้นื ฐานของการสรา้ งสัมพันธภาพระหวา่ งบุคคลเกดิ จากองค์ประกอบ 3 ประการ คือ 1. ความใกลช๎ ิด การท่ีบคุ คลใกลช๎ ดิ กนั กํอให๎เกิดความสัมพันธ์มากกวาํ บุคคลท่อี ยหูํ ํางไกลกัน 2. ความเหมือนกันหรือความคล๎ายกนั โดยทฤษฎีแลว๎ มนุษย์มแี นวโนม๎ ที่จะสร๎าง ความสมั พนั ธ์และมีความชอบพอกับ คนท่ีมีความเหมือนหรอื คลา๎ ยกับตัวเอง 3. สถานการณ์ เป็นตัวแปรหน่ึงท่ที าให๎มนษุ ยเ์ กดิ ความสมั พนั ธท์ ดี่ ีตอํ กนั เชนํ การมโี อกาส ไดแ๎ ลกเปล่ียนความรูส๎ ึกท่ี ดรี วํ มกนั การมโี อกาสปรบั ตวั เขา๎ กบั บุคคลอื่น และการเติมเต็มความต๎องการของ กนั และกัน เปน็ ต๎น 1.1.3 พฤติกรรมทางเพศ พฤติกรรมทางเพศทพี่ ฒั นาไปตามชวํ งชีวติ การเรียนรอู๎ ารมณ์ทางเพศ การจัดการอารมณ์เพศ การชํวยตนเอง จินตนาการทางเพศ การแสดงออกทางเพศ การละเว๎นการมเี พศสัมพนั ธ์ การตอบสนองทางเพศ การเส่ือมสมรรถภาพ ทางเพศ พฤตกิ รรมทางเพศ หมายถงึ การกระทาหรอื การปฏบิ ัติตนที่เก่ียวข๎องกบั เร่ืองเพศ หมาย รวมถงึ พฤติกรรมท่ี แสดงออกภาพนอกท่สี ามารถมองเหน็ ไดด๎ ๎วยตาเปลํา ปจั จัยทม่ี ีอิทธิพลต่อพฤตกิ รรมทางเพศ เม่อื พิจารณาปัจจัยที่มอี ิทธิพลตอํ พฤติกรรมทางเพศ สามารถแบํงออกเปน็ 3 ด๎าน คือ ด๎านชีววิทยา ดา๎ น จิตสังคม และด๎านวฒั นธรรม 1. ปจั จัยดา๎ นชีววิทยา เปน็ ปจั จยั ท่ีมีผลตอํ พฤติกรรมของบุคคลตามพฒั นาการของมนษุ ย์ ซึง่ พฤติกรรมวัยรุํนจะมีการ เปลย่ี นแปลงสัมพนั ธก์ นั ระหวาํ งการเจริญเติบโต รํางกาย และจิตใจ 2. ปัจจยั ดา๎ นจิตสงั คม โดยธรรมชาติแลว๎ พฤติกรรมมนุษย์นอกจากจะเกิดจากแรงขับ ทางเพศตามธรรมชาตแิ ล๎ว ยัง ขนึ้ อยํกู ับส่ิงอ่ืน ๆ ทางสงั คมด๎วย ในปจั จบุ ันสภาพแวดลอ๎ มจะมอี ิทธพิ ล เหนอื จิตใจและอารมณข์ องเด็กวยั รํุน เน่ืองจากเปน็ วยั แหงํ การเรยี นรแู๎ ละการสังเกตพฤตกิ รรมบคุ คลใน สังคมและเปน็ วัยทม่ี ีความรู๎สกึ ไวตํอสิ่งกระตนุ๎ 3. ปัจจยั ด๎านวฒั นธรรม วฒั นธรรมทางเพศ หมายถงึ ระบบของการให๎ความหมาย ความรู๎ และความเช่ือตาํ ง ๆ รวมท้งั การปฏิบตั ิที่มีผลตอํ โครงสรา๎ งของระบบความคดิ ความเช่ือ และพฤติกรรมทาง เพศของบุคคล ในบริบทของ สงั คมท่ีแตกตาํ งกันผํานบทบาททางสังคม บรรทดั ฐาน และทัศนคติจากสถาบัน ตาํ ง ๆ ในสังคม

1.1.4 สุขภาพทางเพศ เพื่อหลีกเล่ียงผลกระทบท่ีไมํพึงประสงค์จากความสมั พันธ์ทางเพศ การให๎ความรเ๎ู กย่ี วกับ การมีเพศสัมพันธท์ ี่ ปลอดภัย วธิ ีการคมุ กาเนิด การทาแท๎ง การปอู งกนั โรคตดิ ตอํ ทางเพศสัมพนั ธ์และเอดส์ การลํวงละเมิดทางเพศ ความ รนุ แรงทางเพศ และอนามัยเจริญพนั ธุ์ วยั รนํุ เป็นวยั ทตี่ ๎องการเรียนร๎ูเร่ืองเพศศึกษามากกวาํ วัยอ่ืน เนอ่ื งจากวัยรนํุ เปน็ วัยของ การเปล่ยี นแปลงทั้งทางดา๎ น ราํ งกาย จติ ใจ อารมณ์ และสังคม เป็นอยํางมาก เป็นวยั หัวเล้ยี วหวั ตอํ แตกํ ลับ ไมํคํอยได๎รับขอ๎ มลู และบริการเก่ยี วกบั สขุ ภาพทางเพศทถ่ี ูกต๎องและเหมาะสม เพราะสังคมไทยยังมองเรื่อง เพศศึกษาเป็นเร่ืองไกลตวั ยังไมํจาเปน็ ทจี่ ะต๎อง ให๎ความรู๎ หรือมองเหน็ วาํ เป็นเรอื่ งท่ีไมเํ หมาะสม จงึ ทาให๎เกิดปัญหาทางเพศกับวัยรํนุ มากมายอยาํ งที่เห็นในปัจจบุ ัน ดังน้นั การให๎ความรเู๎ ร่ืองเพศศึกษาท่ถี ูกตอ๎ งกับ วยั รนํุ จงึ เป็นเรื่องทส่ี าคัญมาก 1.1.5 สังคมและวัฒนธรรม วธิ ีการเรียนรแ๎ู ละแสดงออกในเรอื่ งเพศของบุคคลไดร๎ ับอิทธพิ ลจากสง่ิ แวดลอ๎ ม บรรยากาศ ทางสงั คม และสงั คม เพศศึกษาจึงควรเปิดโลกทัศน์ให๎เขา๎ ใจบทบาททางเพศ เรื่องเพศในบริบทของสงั คม วฒั นธรรม กฎหมาย ศลิ ปะ และ ส่อื ตําง ๆ . 1. ด๎านสังคม มปี จั จัยทเี่ กยี่ วข๎องคือ สถานท่ีพกั อาศยั แหลํงบนั เทิง สง่ิ พมิ พ์ สอื่ กระต๎นุ ทาง เพศและส่ือมวลชน 2. ดา๎ นวัฒนธรรม ทม่ี อี ิทธิพลตํอพฤติกรรมทางเพศที่สาคัญ คือ ความเชื่อเก่ยี วกบั บทบาท ทางเพศและการปฏบิ ตั ติ น ตํอเพศตรงข๎าม และคํานยิ มทางเพศ 1.1.6 ทกั ษะท่จี าเปน็ ในการดาเนนิ ชีวติ เพราะความรแ๎ู ละขอ๎ มลู ทีไ่ ด๎รับเกยี่ วกบั เพศนนั้ ไมํเพยี งพอที่จะชวํ ยใหเ๎ ยาวชนสามารถรบั มือ กบั เหตุการณ์และแรง กดดนั ตาํ ง ๆ ที่ประสบในชีวติ จริง เพศศึกษา ควรนาไปสูกํ ารพัฒนาใหเ๎ ยาวชน เกดิ ทักษะทจี่ าเป็นในการดาเนนิ ชวี ติ ไดแ๎ กํ 1. การให๎คุณคํากับสงิ่ ตาํ ง ๆ ซึง่ ระบบการใหค๎ ุณคําน้เี ปน็ ตัวชีน้ าพฤติกรรม เปาู หมาย และ การดาเนนิ ชีวติ ของเรา 2. การส่ือสาร การรับฟัง การแลกเปลี่ยนความรสู๎ กึ นึกคดิ ทสี่ อดคล๎องหรอื แตกตํางกัน 3. การตดั สินใจ การตํอรอง การทาความตกลงเพ่อื บรรลคุ วามตัง้ ใจหรอื ทางเลือกทตี่ น สามารถรับผดิ ชอบได๎ 4. การรักษาและยนื ยันในความเป็นตัวของตัวเอง สามารถแสดงความรส๎ู กึ ความต๎องการของ ตนเอง โดยเคารพใน สิทธขิ องผู๎อ่ืน 5. การจัดการกับแรงกดดนั จากเพ่ือน สิ่งแวดลอ๎ ม และอคติทางเพศ 6. การแสวงหาคาแนะนา ความชํวยเหลอื การจาแนกแยกแยะข๎อมูลทถ่ี ูกตอ๎ งและไมํถูกตอ๎ ง

ใบงานที่ 1 รู้จักตนเอง ตอนที่ 1 จงตอบคาถามต่อไปนี้ 1. ตามนยิ ามขององคก์ ารอนามยั โลก (WHO) เพศศึกษาหมายถงึ อะไร ............................................................................................................................. ................................................... ............................................................................................................................. ................................................... ............................................................................................................................................................................. .. 2. เร่ืองเพศศกึ ษามเี น้ือหาครอบคลมุ เก่ยี วกบั เร่ืองใดบา๎ ง ............................................................................................................................. ................................................... .................................................................................................................................................... ............................ ...................................................................................................... .......................................................................... 3. จงอธบิ ายการเปล่ยี นแปลงและการเจริญเติบโตของวัยรนํุ ท้ังทางราํ งกาย จติ ใจและอารมณ์ สังคม และ สติปญั ญา ............................................................................................................................. ................................................... ............................................................................................................................. ................................................... ................................................................................................................................................................................ 4. จงอธิบายการดแู ลรักษาความสะอาดระบบอวัยวะสบื พันธข์ุ องเพศชาย ............................................................................................................................. ................................................... ............................................................................................................................................... ................................. ................................................................................................. ............................................................................... 5. จงอธบิ ายการดแู ลรกั ษาความสะอาดระบบอวยั วะสบื พันธขุ์ องเพศหญิง ............................................................................................................................. .................................................. .............................................................................................................................................. ................................. ................................................................................................. ..............................................................................

ใบงานท่ี 2 ตอบคาถามพฒั นาการคดิ เกี่ยวกับอิทธิพลทมี่ ีผลตํอพฤติกรรมทางเพศแลว๎ นาเสนอครูผสู๎ อน 1. อทิ ธพิ ลของครอบครวั มผี ลต่อพฤตกิ รรมทางเพศและการดาเนินชีวิตอยา่ งไร วเิ คราะห์อิทธิพลของครอบครัว เพ่อื น สงั คม และวัฒนธรรมทมี่ ผี ลตอํ พฤติกรรมทางเพศและการดาเนินชีวิต ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... .............................................................................................................................................................................. 2. อทิ ธิพลของเพ่ือนมีผลต่อพฤติกรรมทางเพศและการดาเนนิ ชีวติ ของนักเรยี นอยา่ งไร วิเคราะห์อิทธิพลของครอบครัว เพอื่ น สงั คม และวัฒนธรรมทม่ี ผี ลตํอพฤติกรรมทางเพศและการดาเนินชีวิต ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... .............................................................................................................................................................................. 3. วฒั นธรรมมีผลต่อพฤติกรรมทางเพศอย่างไร วเิ คราะห์อิทธิพลของครอบครัว เพื่อน สังคม และวฒั นธรรมท่ีมีผลตํอพฤติกรรมทางเพศและการดาเนนิ ชีวิต ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... .............................................................................................................................................................................. 4. อิทธพิ ลของสังคมมผี ลต่อพฤตกิ รรมทางเพศอยา่ งไร วเิ คราะห์อิทธิพลของครอบครัว เพอื่ น สงั คม และวฒั นธรรมที่มีผลตอํ พฤติกรรมทางเพสและการดาเนนิ ชีวิต ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... .............................................................................................................................................................................. 5. นกั เรียนมีแนวคดิ หรือวิถีทางในการสร้างชวี ติ ใหม้ ีความสุขอย่างไร วิเคราะห์อิทธิพลของครอบครัว เพ่อื น สังคม และวฒั นธรรมท่ีมีผลตํอพฤติกรรมทางเพศและการดาเนินชีวิต ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... ..............................................................................................................................................................................

แบบทดสอบก่อนเรียน เรอ่ื งเพศ คาช้ีแจง เลือกคาตอบทถ่ี ูกต้องที่สุดเพยี งคาตอบเดียว จานวน ๑๐ ข้อ ๑. ข๎อใดเป็นทัศนคตทิ างเพศท่ผี ดิ ตํอวัฒนธรรมไทย ก. การไมํสวมถุงยางอนามัย ข. การมีคํูนอนหลายคน ค. การมีเพศสัมพันธ์กับทุกคนไมํเลือกหนา๎ ง. ถกู ทุกข๎อ ๒. ข๎อใดเป็นทัศนคติเรื่องเพศเชงิ ลบทไ่ี มถํ ูกต๎อง ก. การคมุ กาเนดิ กับคูนํ อน ข. การกั นวลสงวนตวั ค. การมเี พศสมั พันธท์ ป่ี ลอดภัยร๎จู กั ปอู งกัน ง. การแสดงออกทางเพศสมั พันธอ์ ยํางเสรี ๓. ขอ๎ ใดหมายถึงเจตคติในเรื่องเพศเชงิ บวก ก. แกม๎ มีเพศสัมพนั ธ์กับเพือ่ นชาย ข. หมึก ศกึ ษาเกี่ยวกับเรื่องทางเพศ ค. ปุก คิดวาํ เร่ืองทางเพศเปน็ เรื่องท่นี ํารงั เกียจ ง. ถกู ทกุ ขอ๎ ๔. ทศั นคตทิ างเพศในเชงิ ลบหมายถึงข๎อใด ก. ความรสู๎ ึกเสอื่ มเสีย เกลียดชงั ข. การตอํ ต๎านกกระเบยี บของสังคม ค. ความคดิ ในแงํลบในเร่ืองใดเรอื่ งหนงึ่ ง. ถูกทกุ ขอ๎ ๕. นอ๎ ยยอมมเี พศสัมพนั ธ์กบั บคุ คลทแี่ กํกวําเพอื่ ต๎องการโทรศัพท์มือถอื เครอื่ งใหมํ นกั เรียนคดิ วํา พฤติกรรมของน๎อย ถูกต๎องหรอื ไมํ เพราะเหตุใด ก. ไมถํ ูกต๎อง เพราะนอ๎ ยมีเพศสมั พันธ์กบั คนที่ แกํกวํา ข. ไมถํ ูกต๎อง เพราะนอ๎ ยมีเพศสัมพนั ธก์ บั คนท่ี ไมไํ ด๎รัก ค. ไมํถูกตอ๎ ง เพราะน๎อยควรได๎รับเงินเปน็ คาํ ตอบแทน มากกวาํ ง. ไมถํ กู ต๎อง เพราะน๎อยมีคาํ นยิ มทผี่ ิดและอยากได๎ ของตอบแทน ๖. หากจาเป็นตอ๎ งทาแผลและสมั ผัสเลอื ดของผ๎ูอน่ื ควรปอู งกันตนเองอยํางไร ก. ล๎างมือกํอนและหลังทาแผล ข. สวมเสอ้ื ผ๎าให๎มิดชดิ และสะอาด ค. สวมถุงมือยางทุกครั้งกํอนทาแผล ง. ใชแ๎ อลกอฮอล์เช็ดมอื และเครอ่ื งมือกํอน

๗. พฤติกรรมใดไมํทาให๎ติดโรคเอดส์ ก. กอดกบั ผตู๎ ดิ เชือ้ เอดส์ ข. มเี พศสัมพันธก์ บั ผ๎ูปุวยโดยไมปํ ูองกัน ค. รับประทานข๎าวกับผู๎ติดเชอ้ื เอดส์เปน็ ประจา ง. ถกู ทั้งข๎อ ก และ ค ๘. กลํุมเพอ่ื นแบบใดที่มกี ารแสดงออกทางเพศอยาํ ง เหมาะสม ก. ไกแํ ละตุ๏ก พาเพื่อนไปน่งั ดื่มสรุ า ข. นกและแอน พาเพ่ือนไปม่ัวสมุ เสพสารเสพติด ค. แตนและแจํม จับกลมํุ หยอกล๎อเพ่อื นผหู๎ ญิง ง. กอ๎ ยและกุ๎ง ชวนเพื่อนเลนํ ฟุตบอลหลัง เลกิ เรยี น ๙. คํานิยมใดของไทยทช่ี ํวยลดปัญหาเพศสัมพันธ์ ในวยั เรยี น ก. การเอ้ือเฟ้ือเผอ่ื แผํ ข. การกตญั ญูกตเวที ค. อยาํ ชงิ สกุ กํอนหําม ง. เห็นอกเหน็ ใจกัน ๑๐. โรคซิฟิลสิ เปน็ โรคที่เกิดมาจากเช้อื ชนิดใด ก. เชอื้ รา ข. เช้อื ปรสิต ค. เชอ้ื แบคทเี รยี ง. เชื้อปรสติ เฉลย 1.ง. 2. ง. 3.ข. 4.ง. 5.ค. 6.ค. 7.ง. 8.ค. 9.ค. 10.ค.

แผนการจดั การเรยี นรู้ รายวิชาภาษาไทย ครั้งท่ี 8 การจัดทาหนว่ ยเรียนรูบ้ รู ณาการหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง ภาคเรยี นท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2565 ระดบั ประถมศึกษา กศน.ตาบลศรีโคตร ๑. สปั ดาห์ท่ี 8 วนั ท่ี 5 เดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2565 เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐น. ๒. วิชา ภาษาไทย รหสั วิชา พท1๑๐๐๑ จานวน 3 หนํวยกติ ๓. มาตรฐานท่ี ๒.1 มีความรู๎ ความเข๎าใจ และทกั ษะพ้ืนฐานเกี่ยวกบั ภาษาและการส่ือสาร ๔. หน่วยการเรยี นรู/้ เรอื่ งการอําน ๕. สาระสาคญั 5.1 เห็นความสาคัญของการอํานท้งั การอํานออกเสียงและอาํ นในใจ 5.1 สามารถอํานได๎อยาํ งถูกต๎อง และอาํ นไดเ๎ ร็ว เขา๎ ใจความหมายของถ๎อยคา ข๎อความ เน้อื เรือ่ งท่ีอําน 5.2มมี ารยาทในการอาํ น และนสิ ัยรกั การอําน ๖. เนอื้ หา ๑. ความสาคญั หลักการ และ จดุ มํงุ หมายของการอําน ออกเสยี งและการอํานในใจ 2. การอํานร๎อยแกว 3. การอํานร๎อยกรอง 4. การเลอื กอํานหนังสอื และประโยชนของการอําน 5. การสร๎างนสิ ัยรักการอําน และมารยาทในการอํานท่ีดี 7. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้/ผลการเรยี นร้ทู ค่ี าดหวัง ๑. เข๎าใจความสาคญั หลกั การและจุดมงํุ หมายของการอาํ นท้งั อํานออกเสียงและอาํ นในใจ ๒. อาํ นออกเสียงคา ข๎อความ บทความ บทสนทนา เรื่องสั้น บทร๎อยกรองและบทร๎องเลํน บทกลอมเด็ก ๓. อธบิ ายความหมายของคาและข๎อความท่ีอําน ๔. ปฏบิ ัติตนเป็นผู๎มีมารยาทในการอาํ นและมนี ิสัยรักการอําน 8. การบรู ณาการกบั หลักแนวคิดของเศรษฐกิจพอเพียง (2 เงอ่ื นไข 3 หลักการ การเชือ่ มโยงสู่ 4 มิต)ิ ความรู้ -การสบื ค๎นและระบบการจดั หนงั สอื ในกิจกรรมกศน.ตาบล -ระเบยี บการใชก๎ ศน.ตาบล การยืมหนังสอื คณุ ธรรม - ความรับผดิ ชอบตํอหนังสือทีอ่ ํานหรือยืมกลบั มาอําน - การตรงตํอเวลาในการเข๎ากิจกรรม รวมทงั้ การคืนหนงั สือท่ียืมมาด๎วย - ความเกรงใจผูอ๎ นื่ ทใี่ ชห๎ นงั สือหรอื สถานที่รวํ มกับเรา - การแบํงปนั ให๎ผอ๎ู ืน่ ไดม๎ โี อกาสใชบ๎ รกิ ารของกศน.ตาบล เพ่ือการศกึ ษาค๎นควา๎ หรือการบันเทิงอยําง เทาํ เทียมกัน พอประมาณ

- พอกบั เวลาวํางท่ีมีอยํู - พอประมาณกับชํวงเวลา วําเวลาใดควรเขา๎ ไมํควรอาํ นหนังสือ - พอประมาณกบั สถานท่ีทจี่ ะรองรบั ผใ๎ู ชบ๎ รกิ ารได๎ มเี หตผุ ล - เป็นการใชเ๎ วลาวํางให๎เป็นประโยชน์ - เปน็ การแสวงหาความรดู๎ ๎วยตนเอง - สร๎างนสิ ัยรักการอําน เปน็ บุคคลแหงํ การเรียนร๎ู มีภมู ิคุม้ กัน -ต๎องตระหนักและเห็นประโยชน์ของการอาํ นหนงั สือทง้ั ในและนอกหอ๎ งสมุด -ต๎องฝกึ นิสัยใฝรุ ๎ูและเกิดความสุขความสขุ ในการอาํ น วัตถุ - การใชบ๎ ริการหนังสือและสอ่ื ตํางๆ จากกศน.ตาบล โดยไมํต๎องซ้ือหามาเองทาให๎ประหยัดคําใช๎จําย และเกิดประโยชนก์ บั การเรยี นร๎อู ยํางมาก สงั คม - การเขา๎ ใชบ๎ รกิ ารกศน.ตาบลบอํ ยๆ ทาให๎ไดร๎ จ๎ู ักการปรบั ตัวในการเข๎าสังคมรํวมกบั ผ๎ูอืน่ ทีจ่ ะไมํทา ใหต๎ นเองเดือดร๎อน ไมํทาใหส๎ ังคมเดือดรอ๎ น มีความร๎ูจากการอาํ นหนังสือในกศน.ตาบล เรื่องการเมือง การปกครองท่ี ทนั ยคุ ทันเหตุการณ์สามารถใหค๎ าปรึกษากับชมุ ชนในเร่ืองราวตํางๆโดยอยูํบนพ้ืนฐานของหลักวิชาการที่ถกู ตอ๎ ง สงิ่ แวดล้อม - กศน.ตาบลมบี รรยายกาศ สภาพแวดลอ๎ ม นาํ อํานหนงั สือ วัฒนธรรม - วัฒนธรรมการแบํงปัน การเคารพสถานที่ กฎ กติกาของสังคม 9. กระบวนการจดั การเรยี นรแู้ ละกิจกรรมการเรยี นรู้ ขั้นที่ ๑ กาหนดสภาพปญั หาการเรียนรู้ (O : Orientation) ๑. ให๎ผู๎เรยี นอําน บทร๎อยกรอง และรํวมกนั สรุปใจความสาคญั ของบทร๎อยกรอง 2. ผูเ๎ รียนและครรู ํวมกนั สรา๎ งความเข๎าใจเกีย่ วกับหลักการเขียนประเภทตําง ๆ และรํวมกันกาหนด วธิ กี ารเรยี น ขนั้ ที่ 2 แสวงหาข้อมลู และจัดการเรียนรู้ (N : New ways of learning) 1. อธิบายการอาํ นบทร๎อยกรอง มปี ระโยชนอ์ ยํางไร และมีวธิ กี ารอยาํ งไร 2. อธบิ าย เรอื่ ง หลักความสาคญั และจดุ มุํงหมายของการอําน 3. นกั ศึกษาทาแบบทดสอบยํอยเพื่อประเมินผ๎ูเรยี นวาํ มีความเข๎าใจหรือไมํ 4. อธบิ ายถงึ หลกั การเขียนสื่อสาร การเขียนเรียงความและยํอความ การเขยี นเพ่ือการส่ือสาร การ เขยี นรายงาน การเขยี นกรอกแบบรายการ มารยาทในการเขยี น และการสร๎างนสิ ยั รักการอําน ข้นั ที่ ๓ การปฏิบัติและการนาไปใช้ (I : Implementation) 1. ผ๎เู รยี นและผ๎สู อนรวํ มกันสรุปในตอนท๎ายเพ่ือเปน็ การทบทวนและสรุปความรู๎ 2. นักศึกษาและครูชํวยการสรปุ ความรทู๎ ่ีได๎รับจากการเรยี นรใ๎ู นบทเรียนนี้ สามารถนาไป ประยุกต์ใชใ๎ นชวี ิตประจาวันได๎อยํางไร ขน้ั ที่ ๔ การประเมนิ ผลการเรียนรู้ (E : Evaluation) ๑. ใบงาน

๒. คน๎ คว๎าเพิม่ เติม 3. เรือ่ ง วรรณคดีและวรรณกรรม 4. เรอ่ื ง ภาษาไทยกบั ชํองทางการประกอบอาชีพ 10. ส่ือ/แหล่งเรยี นรู้ 1. หนังสือแบบเรยี น 2. แบบทดสอบกํอนเรยี น/หลงั เรียน 3. ใบงาน 4. อินเทอรเ์ น็ต 11. การวัดและประเมนิ ผล 1. วธิ กี ารวัดและประเมินผล - แบบประเมินผลการสงั เกตพฤติกรรมการทางานรวํ มกบั ผ๎อู น่ื ของนกั ศึกษารายบุคคล - ใบงาน - แบบทดสอบกํอนเรยี น-หลงั เรยี น 2. เคร่ืองมอื วัดและประเมนิ ผล. - ประเมนิ ผลการสงั เกตพฤติกรรมการทางานรวํ มกับผู๎อน่ื ของนกั ศึกษารายบคุ คล - ผลจากการตรวจใบงาน - คะแนนแบบทดสอบกํอนเรียนและหลงั เรียน 3. เกณฑก์ ารวัดและการประเมนิ ผล - แบบประเมนิ ผลการสงั เกตพฤติกรรมการทางานรํวมกับผ๎ูอ่ืนของนกั ศึกษารายบุคคล ระดับดี พอใช๎ และควรปรบั ปรงุ - ใบงานคะแนนเตม็ 10 คะแนน แบบทดสอบกํอนเรียน-หลงั เรียน เกณฑผ์ าํ นและไมผํ ําน กจิ กรรมเสนอแนะ ............................................................................................ ............................................................................................. ................................................................................................................................................................... ลงช่ือ…………………………………………….ครูผส๎ู อน (นางสาวจนั ทรท์ พิ ย์ ศรีลยั ) ครู กศน.ตาบล ข้อเสนอแนะของผู้บริหาร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………............................. ลงชือ่ ………………………………………………………ผ๎ูอนุมตั ิแผน (นางปทั มาภรณ์ ศรีเนตร) ผ๎ูอานวยการ กศน.อาเภอจตุรพักตรพมิ าน

บนั ทึกหลังการจดั การเรียนรู้ การจดั ทาหนว่ ยเรียนร้บู รู ณาการหลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง กศน.ตาบลศรีโคตร ครง้ั ท่ี 8 วันท่ี 5 เดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2565 ครผู สู๎ อน นางสาวจนั ทร์ทิพย์ ศรีลัย ระดบั ประถมศึกษา เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐ น. สาระความรู๎พนื้ ฐาน รายวิชาภาษาไทย รหสั วิชา พท1๑๐๐๑ จานวนผ๎เู รียนท้ังหมด ............... คนเข๎าเรียน…………………คน ไมเํ ข๎าเรยี น……………………….คน ๑. ผลการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้การประเมนิ โดยใช๎ แบบทดสอบกํอนเรียน - หลังเรยี น พบวํา คะแนนการทดสอบหลงั เรยี น มากกวาํ กํอนเรียนจานวน ........ คนคิดเป็นร๎อยละ............ คะแนนการทดสอบหลงั เรียน น๎อยกวาํ กํอนเรยี นจานวน ......... คนคิดเป็นร๎อยละ............ ๒. เนื้อหา/สาระ ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................... ๓. กจิ กรรมการเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. .......... ๔. ปัญหา/อุปสรรค การเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ................................... .......................................................................................... ...................................................................... ............................................................................................................................. ................................... ๕. แนวทางการแก้ปัญหา ............................................................................................................................... ................................. ................................................................................................. ............................................................... ............................................................................................................................. ................................... ลงชือ่ ....................................................... (นางสาวจันทรท์ พิ ย์ ศรีลยั ) ครผู ๎สู อน วันที่.............../.................../............... ความคดิ เหน็ /ขอ้ เสนอแนะของผู้บริหาร ............................................................................................................................. ............................................................ ............................................................................................................................. ............................................................ ....................................................................................................................................................... ลงช่อื .................................................................. (นางปทั มาภรณ์ ศรเี นตร) ผู๎อานวยการ กศน.อาเภอจตุรพกั ตรพมิ าน

แผนการจดั การเรยี นรู้ รายวิชาภาษาไทย ครัง้ ที่ 9 การจดั ทาหน่วยเรยี นรู้บรู ณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2565 ระดบั ประถมศกึ ษา กศน.ตาบลศรีโคตร ๑. สปั ดาหท์ ่ี 9 วันที่ 12 เดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2565 เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐น. ๒. วชิ า ภาษาไทย รหัสวิชา พท1๑๐๐๑ จานวน 3 หนวํ ยกติ ๓. มาตรฐานที่ ๒.1 มคี วามรู๎ ความเขา๎ ใจ และทักษะพน้ื ฐานเก่ยี วกับภาษาและการสื่อสาร ๔. หน่วยการเรียนรู/้ เรือ่ ง วรรณคดี วรรณกรรม ๕. สาระสาคัญ มนษุ ย์ใชภ๎ าษาสร๎างมนุษย์สัมพนั ธ์ พฒั นาความคิด แสวงหาความร๎หู ากเข๎าใจหลกั การใช๎ภาษา และนาไปใช๎ในการส่ือสาร ได๎อยาํ งถูกต๎องทั้งการพูดการเขียนและกํอใหเ๎ กิดประโยชน์ ท้ังสํวนตนและ สํวนรวม ๖. เนอื้ หา 1. เรือ่ งราว นิทาน นิทานพ้นื บ๎านและ วรรณกรรมทอ๎ งถ่ิน 2. เรอ่ื งราววรรณคดีทมี่ ี ความหลากหลาย - กลอนบทละคร (สังขท์ อง) - กลอนนิทาน (พระอภัยมณ)ี - กลอนเสภา (ขุนช๎าง ขนุ แผน) 7. จุดประสงคก์ ารเรียนร/ู้ ผลการเรียนรทู้ คี่ าดหวัง อธิบายถงึ ประโยชน และคุณคําของนิทาน นิทานพนื้ บ๎าน วรรณกรรม และวรรณกรรมในทอ๎ งถ่นิ 8. การบูรณาการกบั หลักแนวคดิ ของเศรษฐกิจพอเพียง (2 เง่อื นไข 3 หลักการ การเชือ่ มโยงสู่ 4 มติ )ิ ความรู้ - การสบื ค๎นนทิ านพ้นื บา๎ น ในกจิ กรรมกศน.ตาบล - เรอื่ งเลํานทิ านพ้ืนบา๎ นจากชนรุํนหลัง - ความรูห๎ ากเข๎าใจหลกั การใช๎ภาษาในการสื่อสาร คณุ ธรรม - การตรงตอํ เวลาในการเขา๎ กิจกรรม -ศกึ ษาค๎นควา๎ วรรณกรรมท๎องถน่ิ หรือการบันเทิงอยํางเทําเทียมกนั พอประมาณ - พอกับเวลาวํางที่มอี ยูํ - พอประมาณกับชวํ งเวลาการอาํ นนทิ านพน้ื บา๎ น มีเหตผุ ล - เป็นการใช๎เวลาวํางให๎เปน็ ประโยชน์ - เปน็ การแสวงหาความรู๎ด๎วยตนเอง มีภมู ิค้มุ กนั -ต๎องตระหนักและเหน็ ประโยชน์ของวรรณคดี -ต๎องฝึกนิสัยใฝรุ แู๎ ละเกดิ ความสุขความสขุ ในการอาํ น

วตั ถุ - ประหยัดคาํ ใช๎จาํ ยและเกดิ ประโยชนก์ ับการเรียนร๎ูอยํางมาก สงั คม - การเขา๎ ใช๎บริการกศน.ตาบลบอํ ยๆ ทาให๎ไดร๎ ๎ูจักการปรบั ตัวในการเข๎าสงั คมรํวมกับผู๎อน่ื ทจ่ี ะไมทํ า ใหต๎ นเองเดือดร๎อน ไมํทาใหส๎ ังคมเดือดร๎อน มคี วามรจ๎ู ากการอํานหนังสอื ในกศน.ตาบล เรือ่ งวรรณคดี วรรณกรรม สง่ิ แวดล้อม - บรรยายกาศ สภาพแวดลอ๎ ม นาํ อํานหนังสือ วฒั นธรรม - วัฒนธรรมการแบงํ ปัน การเคารพสถานที่ กฎ กติกาของสังคม 9. กระบวนการจัดการเรยี นรู้และกิจกรรมการเรยี นรู้ ขั้นที่ ๑ กาหนดสภาพปัญหาการเรียนรู้ (O : Orientation) ผเ๎ู รียนและครูรวํ มกันพูดคุยเรื่องการใช๎ภาษาถ่นิ ของชุมชน และให๎ผเู๎ รยี นได๎แสดงความคิดเห็นถึง ประเด็นการใช๎ภาษาถน่ิ พืน้ บ๎าน พร๎อมยกตัวอยาํ ง ขน้ั ที่ 2 แสวงหาข้อมลู และจัดการเรียนรู้ (N : New ways of learning) 1. ครอู ธิบายถงึ ลักษณะนิทาน นทิ านพืน้ บา๎ นและ วรรณกรรมทอ๎ งถิ่น และวรรณคดีท่ีมี ความ หลากหลาย 2. ครอู ธบิ าย รปู แบบชองกลอนบทละคร 3. ครอู ธิบาย รูปแบบชองกลอนนิทาน 4. ครูอธบิ าย รูปแบบกลอนเสภา ขน้ั ที่ ๓ การปฏบิ ตั ิและการนาไปใช้ (I : Implementation) ๑. นกั ศึกษาทาแบบทดสอบกํอน - หลงั เรยี น ๒. ครสู รปุ องค์ความร๎ใู นเนื้อหา ๓. นักศึกษาซักถาม และแลกเปลี่ยนความรู๎ ข้นั ท่ี ๔ การประเมนิ ผลการเรียนรู้ (E : Evaluation) งานมอบหมาย ให๎นกั ศึกษาคน๎ คว๎าเพิ่มเติม เร่ืองการแยกสาร จากแหลํงเรียนร๎ู ห๎องสมดุ , กศน.ตาบล,อนิ เตอรเ์ น็ต 10. ส่อื /แหล่งเรียนรู้ 1. หนงั สือเรยี นสาระความรพ๎ู ื้นฐาน รายวชิ าภาษาไทย ระดับประถมศกึ ษา รหสั พท11001 2. ใบความร๎ู 3. อินเทอรเ์ นต็ 11. การวดั และประเมินผล 1. วิธกี ารวดั และประเมนิ ผล - แบบประเมินผลการสังเกตพฤติกรรมการทางานรํวมกบั ผูอ๎ นื่ ของนกั ศึกษารายบุคคล - ใบงาน - แบบทดสอบกํอนเรยี น-หลังเรยี น 2. เคร่อื งมือวดั และประเมินผล.

- ประเมินผลการสังเกตพฤติกรรมการทางานรํวมกับผ๎ูอน่ื ของนักศึกษารายบคุ คล - ผลจากการตรวจใบงาน - คะแนนแบบทดสอบกอํ นเรียนและหลงั เรยี น 3. เกณฑ์การวัดและการประเมินผล - แบบประเมินผลการสงั เกตพฤติกรรมการทางานรวํ มกบั ผอ๎ู ืน่ ของนกั ศึกษารายบุคคล ระดบั ดี พอใช๎ และควรปรับปรงุ - ใบงานคะแนนเตม็ 10 คะแนน - แบบทดสอบกํอนเรียน-หลังเรยี น เกณฑผ์ ํานและไมํผําน กิจกรรมเสนอแนะ ......................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ลงชอ่ื …………………………………………….ครผู ๎สู อน (นางสาวจนั ทรท์ ิพย์ ศรลี ัย) ครู กศน.ตาบล ข้อเสนอแนะของผู้บริหาร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………............................. ลงชื่อ………………………………………………………ผอ๎ู นุมตั ิแผน (นางปทั มาภรณ์ ศรเี นตร) ผู๎อานวยการ กศน.อาเภอจตรุ พกั ตรพมิ าน

บนั ทึกหลังการจดั การเรียนรู้ การจัดทาหนว่ ยเรียนรูบ้ รู ณาการหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง กศน.ตาบลศรีโคตร ครงั้ ท่ี 8 วันที่ 5 เดอื น กรกฎาคม พ.ศ. 2565 ครูผ๎สู อน นางสาวจันทรท์ พิ ย์ ศรลี ยั ระดบั ประถมศึกษา เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐ น. สาระความรู๎พน้ื ฐาน รายวชิ าภาษาไทย รหสั วิชา พท1๑๐๐๑ จานวนผ๎เู รียนทั้งหมด ............... คนเข๎าเรยี น…………………คน ไมเํ ข๎าเรียน……………………….คน ๑. ผลการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้การประเมินโดยใช๎ แบบทดสอบกํอนเรียน - หลังเรยี น พบวาํ คะแนนการทดสอบหลงั เรียน มากกวาํ กํอนเรยี นจานวน ........ คนคดิ เป็นรอ๎ ยละ............ คะแนนการทดสอบหลังเรยี น น๎อยกวํากํอนเรยี นจานวน ......... คนคดิ เปน็ รอ๎ ยละ............ ๒. เน้อื หา/สาระ ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................... ๓. กิจกรรมการเรียนการสอน ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. .......... ๔. ปัญหา/อปุ สรรค การเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................... ๕. แนวทางการแก้ปญั หา ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................... ลงชื่อ....................................................... (นางสาวจนั ทร์ทพิ ย์ ศรีลัย) ครูผส๎ู อน วนั ท่.ี ............../.................../............... ความคดิ เห็น/ขอ้ เสนอแนะของผ้บู ริหาร ............................................................................................................................. ............................................................ ............................................................................................................................... .......................................................... ....................................................................................................................................................... ลงชื่อ.................................................................. (นางปทั มาภรณ์ ศรเี นตร) ผอ๎ู านวยการ กศน.อาเภอจตรุ พักตรพมิ าน

ใบความรู้ เรื่อง วรรณกรรมปัจจุบันและวรรณกรรมท้องถิน่ 1. ความหมาย วรรณกรรมท้องถิน่ หมายถึง วรรณกรรมท่ีปรากฎอยูํในทอ๎ งถน่ิ ภาคตาํ ง ๆ ของไทย ทงั้ ทีเ่ ป็นลาย ลกั ษณ์ หรือมขุ ปาฐะ ซึง่ แตกตํางไปจากวรรณกรรมแบบฉบับ เพราะวรรณกรรมท๎องถ่นิ นั้นชาวทอ๎ งถ่นิ สรา๎ ง ขน้ึ มา ชาวท๎องถน่ิ ใช๎ (อาํ น, ฟัง) และชาวท๎องถน่ิ เปน็ ผอู๎ นุรักษ์ โดยมวี ดั เป็นศูนยก์ ลาง รปู แบบของฉันทลักษณจ์ งึ เปน็ ไปตามความนิยมของท๎องถ่ินน้นั ๆวรรณกรรมท๎องถิ่นมเี นื้อหาสาระ และคตนิ ิยมเกย่ี วกับพุทธศาสนาเปน็ สํวน ใหญํ เนื่องจากคนไทยทกุ ภาพในอดีตมีคตินยิ มในการสรา๎ งหนังสือถวายวัด โดยเชอ่ื กันวําจะได๎อานิสงส์อยํางแรง อกี ประการหน่งึ วดั กเ็ ปน็ สานักเลําเรยี นของกลุ บตุ ร กลุ ธิดาของประชาชน ฉะน้นั การสร๎างสรรคว์ รรณกรรมท๎องถ่ินยังมี สํวนให๎นักเรยี นไดฝ๎ กึ อาํ นหรอื ทวบทวนนอกเหนือไปจากแบบเรียน (จนิ ดามณี ปฐมมาลา ปฐม ก.กา) ซ่ึงสวํ นใหญํ เป็นวรรณกรรมประเภทนิทานคติธรรม 2. ความเปน็ มาของการศกึ ษาวรรณกรรมทอ้ งถนิ่ การศกึ ษาวรรณกรรมไทยนั้น เราจะมาเร่ิมศึกษากัน เม่อื สมยั รชั กาลที่ 5 กลําวคอื มีการจัดตัง้ โบราณคดี สโมสรขน้ึ เมอื่ พ.ศ. 2450 ในครัง้ นั้นไดร๎ วบรวม ชาระ ซอํ มแซมวรรณกรรมที่กระจัดกระจาย และมีการพิมพ์ เผยแพรํ ซ่ึงเปน็ การอนรุ ักษว์ รรณกรรมโบราณของไทยไว๎ได๎สํวนหนึ่ง คณะกรรมการโบราณคดสี โมสรได๎ศึกษา รวบรวมวรรณกรรมท่ที ํานมปี ระสบการณ์ คือรจู๎ ักและเคยอาํ นสมัยเลําเรียน ซึง่ สํวนใหญํเปน็ วรรณกรรมที่แพรํหลาย อยํใู นกลุํมชนชั้นนาคือ ขนุ นาง นกั ปราชญ์ ราชบณั ฑิต สวํ นวรรณกรรมที่แพรหํ ลายอยใํู นกลมุํ ชาวบ๎าน หรือชาว วัด หรอื ในท๎องถิ่นที่หาํ งไกล เขา๎ ใจวําทํานเหลาํ นั้นคงยังมิไดศ๎ ึกษารวบรวม อกี ประการหนึง่ ในช่ัวระยะเวลาอนั สั้นที่ จัดตงั้ โบราณคดีสโมสรน้ัน ข๎อมูลในสํวนกลางหรือราชสานัก คงมีมากเกินกวําทีจ่ ะศึกษารวบรวมในระยะเวลาอันสน้ั ในสมยั รัชกาลที่6 แหงํ กรุงรตั นโกสินทร์ ได๎จดั ต้งั วรรณคดีสโมสรข้ึน เมอ่ื พ.ศ. 2457 คงจะสบื เน่ืองมาจากโบราณคดีสโมสรน่นั เอง คณะกรรมการชดุ นี้ได๎พยายามทีจ่ ะจัดจาแนกวรรณกรรม โดยพิจารณาวําเปน็ ระยะเวลาใดควรแกํการยกยํอง ในสมยั จดั ตง้ั วรรณคดีสโมสรน้นั เป็นระยะเวลาไมนํ านนักก็ส้ินสมยั รชั กาลท่ี 6 จากน้ันกข็ าดแรงสนบั สนนุ การศึกษารวบรวมวรรณกรรม จงึ อยํูในวงจากัด ยงั มิได๎ขยายขอบเขตไปศึกษา วรรณกรรมท่ีแพรํหลายอยูํในกลุํมชาวบา๎ น ชาววดั และวรรณกรรมในท๎องถ่ินที่หาํ งไกล หลงั จากนน้ั เป็นตน๎ มารวมเวลาประมาณกงึ่ ศตวรรษ กุลบตุ ร กุลธิดาชาวไทย กไ็ ด๎ศึกษาเลําเรียนเฉพาะ วรรณกรรมที่ไดศ๎ ึกษารวบรวมชาระกนั ในครั้งนั้นเทําน้นั ไมํปรากฎวํา ได๎มกี ารศกึ ษาชาระ รวบรวมวรรณกรรมอ่ืน ๆ ใหก๎ ว๎างขวางตํอไป วรรณกรรมชาวบา๎ น ชาววัด เหลําน้นั จึงถกู ทอดท้ิงมาเป็นเวลาเนิน่ นาน ตํอมาเม่อื ราว พ.ศ. 2502 สถาบนั การศกึ ษาระดับอุดมศึกษาได๎แนวคดิ มาจากตะวนั ตกที่นยิ มศึกษา เรอื่ งราวทางพ้นื บ๎าน และเสนอเปน็ วิทยากรในหลักสูตรเรียกชือ่ วํา Folklore จึงนาวิธกี ารเหลาํ นน้ั มาจดั เข๎าใน หลกั สตู รระดบั อุดมศึกษา เรียกชื่อวาํ \"คติชาวบา๎ น\" บ๎าง \"คตชิ นวิทยา\" บา๎ ง จากการศึกษาวิชาสาขาคตชิ นวทิ ยาน้ัน ทาให๎เราทราบถึงแนวคดิ คตนิ ยิ ม ปรัชญาชวี ิตของสังคมในท๎องถิน่ ตํางๆ ของไทย ซ่งึ มีรายละเอียดปลกี ยํอยตาํ งไปจากคตินยิ ม ปรชั ญาชวี ติ และสังคมของภาคกลางเกือบ สน้ิ เชงิ ฉะน้นั จึงมกี ารศกึ ษาท่ลี ึกซ้ึงลงไป ในเอกสารทอ๎ งถิน่ ตาํ งๆ จงึ พบวาํ ในเอกสารท๎องถนิ่ เหลํานน้ั เป็นคลังของ แนวคดิ คํานยิ มของสงั คมท๎องถ่ิน อันแอบแฝงอยํูในรูปนิทานเหลาํ นนั้ ฉะนัน้ จงึ ทาใหน๎ ักวชิ าการในสาขาอื่นๆ เริ่ม ตระหนกั ถึงคณุ คําความสาคัญของขอ๎ มูลทางคตชิ นวิทยาโดยเฉพาะวรรณกรรม ประจวบกับ เมื่อชวํ งปี พ.ศ.2510- พ.ศ.2520 นกั ศึกษาเริ่มมีปฏกิ ริ ยิ าตํอต๎านการศึกษาวรรณคดี โดยมีทศั นคติตํอวรรณคดที ่ีอยํใู นหลกั สตู รระดบั ประถมศกึ ษา มธั ยมศึกษา และอุดมศึกษาน้ัน เปน็ วรรณคดีของชนชน้ั สูง หรือวรรณกรรมเพอ่ื รบั ใชศ๎ กั ดนิ า ไมํ กํอใหเ๎ กดิ แนวคิดสรา๎ งสรรคใ์ ดๆ รงั แตใํ ห๎เกดิ ความเบื่อหนํายฉะนั้นเมื่อตอนปลายปี พ.ศ.2519 จงึ มีการจัดรายวชิ า วรรณกรรมท๎องถนิ่ ในสถานศกึ ษาระดับอดุ มศึกษา สํวนระดับประถมศกึ ษา และมัธยมศกึ ษา มีการเสนอให๎อําน วรรณกรรมท๎องถ่นิ ของภาคตําง ๆ เปน็ หนังสืออํานประกอบอยูํบา๎ ง

3. ข้อแตกตา่ งระหวา่ งวรรณกรรมแบบฉบับกับวรรณกรรมท้องถน่ิ จากการศึกษาวรรณกรรมท๎องถ่นิ ของภาคเหนือ ภาคอสี าน ภาคใต๎ และภาคกลางแลว๎ พบวาํ มีรูปแบบตาํ ง ไปจากวรรณกรรมแบบฉบับอยมํู าก ตามลาดบั ความใกลช๎ ิดกับรฐั บาลกลางหรือราชสานักทีเ่ ปน็ เชนํ น้ี เพราะวาํ พ้ืนฐานของสังคม มโนทัศน์ของกวี ตลอดจนบันทึกสภาพสังคมในสมยั ท่ีกาเนดิ วรรณกรรมน้นั ๆ ตามมโนทัศนข์ อง กวี วทิ ย์ ศวิ ะศรยี านนท์ (2504 : 183) กลําววาํ กวคี นเดียวกเ็ ปรยี บเหมอื น 3 คน คือ นอกจากเปน็ ผูแ๎ ตํงหนังสอื แล๎ว ยังเป็นหนํวยหนึ่งของคนรุํนน้ัน และเปน็ พลเมอื งดว๎ ย เนอ่ื งจากเหตนุ ี้ นอกจากจะตอ๎ งสงั วรในอาชพี ประพนั ธ์ ของตนในฐานะท่ีเป็นกวี ในฐานะทเี่ ปน็ หนํวยหนึง่ ของคนสมัยนนั้ กย็ ํอมจะทาเอาหูไปนาเอาตาไปไรเํ สียกบั เหตุการณ์ท่ีตนเหน็ ตาตาประจกั ษอ์ ยํูแกใํ จหาได๎ไมํ และในฐานะที่เป็นพลเมืองอีกเลํา ก็จะต๎องใสํใจเหตุการณ์ บา๎ นเมอื ง ความเคล่ือนไหวของประเทศชาติ ตลอดจนชนช้ันและอาชพี ทีต่ นเป็นหนํวยหนง่ึ อีกดว๎ ย กวีหรือผู๎เขยี นยํอมสอดแทรกสภาพของสงั คมสมัยนัน้ ๆ ลงไปในวรรณกรรมทเี่ ขาได๎สร๎างสรรค์ และใน ฐานะทเี่ ป็นหนวํ ยหน่ึงของประชาคมนัน้ ยํอมจะใสํความคิดเหน็ มโนทัศน์ของตนลงไปด๎วย แตใํ นขณะเดยี วกันใน บทบาทของกวหี รอื นกั ประพันธ์ จงึ เสนอทัศนคติในบทบาทฐานะนั้นอกี ดว๎ ย ฉะนัน้ ปัจจยั ดงั กลาํ วข๎างตน๎ จึงมีสํวน สาคัญทแ่ี ยกรปู แบบของวรรณกรรมแบบฉบบั กบั วรรณกรรมท๎องถ่ินให๎แตกตํางกนั เมือ่ พจิ ารณารูปแบบของวรรณกรรมแบบฉบบั กับวรรณกรรมท๎องถนิ่ ทแ่ี ตกตํางกันไปนนั้ ทาใหเ๎ ห็นวํา วรรณกรรมแบบฉบับเปน็ วรรณกรรมที่แพรํหลาย และเจรญิ อยูํในราชสานกั เร่มิ ตงั้ แตํกวีผ๎สู รา๎ งสรรค์ ซึง่ เป็นผคู๎ งแกํ เรียน พน้ื ฐานการศกึ ษาสูง และอยูํในฐานะเหนือกวาํ ทางด๎านสงั คม ฉะนน้ั คํานยิ ม สภาวะของสงั คม จนทัศนะที่กวี สอดแทรกในวรรณกรรมนั้นจึงเปน็ มโนทศั น์ของสังคมชนั้ สูง ซง่ึ ตาํ งไปจากวรรณกรรมทอ๎ งถน่ิ ท่ีกวเี ปน็ ชาวบา๎ น ธรรมดาหรือภกิ ษุ และอยใูํ นภาวะของสงั คมแบบชาวบา๎ นโดยทว่ั ไป ฉะนน้ั คํานิยม สภาวะของสงั คม และทศั นะท่กี วี สอดแทรกลงไปในวรรณกรรมท่เี ขาสรา๎ งสรรคน์ นั้ จะเป็นมโนทัศน์(คาบาลี สันสกฤต) หรอื บทกวนี ิพนธ์ท่ี ซบั ซ๎อน เชนํ ฉันท์ สวํ นใหญํจะใช๎กวนี พิ นธ์ทน่ี ยิ มในท๎องถ่ินน้ัน ๆ 4. ประโยชน์ของการศกึ ษาวรรณกรรมทอ้ งถ่ิน ขอ๎ มูลทางคตชิ นวิทยา เปน็ ท่ีสนใจของนักศึกษาทางดา๎ นมานุษยวทิ ยามาโดยตลอด เพราะข๎อมูลเหลําน้ีเปน็ ขอ๎ มลู เบื้องต๎นที่สืบทอดกนั มาในประชาคมทอ๎ งถน่ิ ตํางๆ ในการวิเคราะห์ขอ๎ มูลทางดา๎ นคติชนนนั้ ทาให๎นัก มานษุ ยวทิ ยาสามารถเขา๎ ใจลักษณะของสงั คม คาํ นิยม ปรัชญาชีวติ และวิถีทางแหงํ ชีวติ ตลอดจนระบบของสงั คมของ กลุมํ ชนน้ันๆ วรรณกรรมท๎องถ่ินเป็นข๎อมลู สาคัญในข๎อมูลทั้งหลาย ทางด๎านคติชนวทิ ยา ทจ่ี ะสะท๎อนใหเ๎ หน็ สภาวะ ของประชาคมน้นั ๆ เปน็ อยาํ งดปี ระโยชน์ในการศึกษาวรรณกรรมท๎องถิน่ สรปุ ได๎ 3 ประการ ดงั น้ี 4.1 ประโยชน์ทางด้านวิชาการ ผู๎ศกึ ษาวรรณกรรมทอ๎ งถ่ินจะเข๎าใจในส่งิ ตํอไปน้ี 4.1.1 ปรชั ญาชีวิตและสงั คมของทอ๎ งถ่นิ อนั เป็นพ้นื ฐานของสงั คม เชนํ ความเช่อื คตินยิ ม จารีต ประเพณี เป็นต๎น 4.1.2 การจดั ระเบียบสังคม หรือการควบคุมสังคม อนั เปน็ พนั ธกรณขี องกลุมํ ชนตอ๎ งประพฤติ ปฏบิ ตั ิ เพ่อื ความสงบสขุ ของประชาคมน้นั ๆ บทบัญญตั ิตาํ งๆ อันเป็นปทัสฐานของสังคมนนั้ ไดส๎ ่งั สอนสืบตํอกนั มา โดยมิไดม๎ ีการจดบนั ทึกไว๎ แตกํ ็ปรากฎอยูํในวรรณกรรมท๎องถ่นิ เหลาํ นัน้ ในขอ๎ น้ตี ๎องเข๎าใจรวํ มกนั วาํ สังคมชนบทใน สมยั อดีต กฎหมายของของรฐั บาลกลางมิได๎มสี วํ นเก่ยี วขอ๎ งในการควบคุมสงั คมมากนัก แตปํ รัชญาพุทธศาสนา จารีต ความเชือ่ คตินยิ ม ซงึ่ เปน็ ท่ียอมรบั ของประชาคมจะมบี ทบาทควบคุมสังคมอยํางยิ่ง 4.1.3 ประวัติศาสตร์สังคมของท๎องถน่ิ วรรณกรรมท๎องถ่นิ เปน็ ขอ๎ มูลสาคญั ในการศึกษา ประวตั ิศาสตร์สงั คมของท๎องถ่ิน โดยเฉพาะทางด๎านการจดั ระบบสังคมการควบคุมสงั คมตลอดจนจารตี ประเพณขี อง สังคมนนั้ 4.1.4 ภาษาถน่ิ วรรณกรรมทอ๎ งถ่นิ โดยเฉพาะวรรณกรรมลายลักษณ์ท่ีได๎บนั ทึกไวต๎ งั้ แตํสมยั อดีต จาเปน็ คลังแหงํ คาภาษาถ่นิ ถึงแม๎บางคาจะเลิกใชไ๎ ปแล๎วในปัจจุบนั แตกํ ย็ ังปรากฎในเอกสารวรรณกรรมท๎องถิน่

เหลาํ นั้น นอกจากให๎นักภาษาศาสตร์ ยงั สามารถเห็นการคลีค่ ลายของคาภาษาไทยได๎ดีจากเอกสารวรรณกรรม ทอ๎ งถน่ิ ตําง ๆ ของไทย 4.1.5 เป็นการก๎าวหน๎าทางวิชาการ การตระหนักถึงคุณคําของวรรณกรรมท๎องถ่ิน จนไดม๎ ีการ นามาจดั อยํูในหลกั สูตรการศึกษาระดบั อดุ มศึกษา ซ่งึ มแี นวโนม๎ ในการท่ีจะสงํ เสริมการศึกษารวบรวมคน๎ คว๎า วรรณกรรมท๎องถิ่นเหลํานนั้ ใหก๎ ว๎างขวางยง่ิ ขนึ้ อนั เปน็ ปัจจัยสาคญั ในการอนุรกั ษศ์ ลิ ปวฒั นธรรมท๎องถ่ิน ซงึ่ หมายถึง เอกลักษณ์ของชนชาติไทย 4.1.6 เปน็ การอนรุ ักษว์ รรณกรรมท๎องถิ่นตาํ ง ๆ ของไทยไมํให๎สาปสูญกํอนภาวะอนั ควร 4.2 ประโยชนท์ างดา้ นปจั เจกบุคคล 4.2.1 เพ่ือให๎นักศกึ ษาหรือผู๎ศึกษาวรรณกรรมท๎องถิ่น มีมโนทัศนอ์ นั กว๎าง ยอมรบั แนวคดิ ปรชั ญาชวี ติ ของชนทกุ ช้ัน ทุกท๎องถิน่ ทุกสงั คม 4.2.2 ผ๎ศู ึกษาวรรณกรรมท๎องถนิ่ จะทราบถงึ ความเปน็ อจั ฉริยะของบรรพบรุ ุษของตน และของ ท๎องถ่นิ อ่ืนอกี ด๎วย 4.2.3 ยอมรับแนวคดิ ของชนชาติตํางท๎องถ่ิน ตาํ งสงั คมและตํางยุคสมยั 4.2.4 ได๎รับประสบการณ์ของชวี ิตกว๎างขวางย่งิ ขนึ้ 4.2.5 มีโอกาสได๎เรียนรูภ๎ าษาถ่ิน วัฒนธรรมของท๎องถน่ิ อื่น ๆ อกี ด๎วย 4.3 ประโยชนท์ างดา้ นการเมืองการปกครอง 4.3.1 ผศ๎ู ึกษาวรรณกรรมท๎องถ่ิน จะเกดิ ความรัก ความเข๎าใจ ความภูมิใจในอดีตของทอ๎ งถิน่ ท่ีตน มภี ูมลิ าเนาอยูํและท๎องถ่นิ อ่ืน ๆ ของคติด๎วย ซงึ่ กํอให๎เกิดชาตนิ ยิ ม ภูมิใจในวฒั นธรรมของชาติ 4.3.2 ผูศ๎ กึ ษาวรรณกรรมท๎องถ่ินจะเกิดความรักความเข๎าใจในท๎องถิ่นของตน ผู๎ศึกษาวรรณกรรม ทอ๎ งถน่ิ จะตระหนักในคุณคาํ และยอํ มมคี วามหวงแหนซึง่ จะกํอใหเ๎ กิดการอนุรกั ษว์ รรณกรรมท๎องถน่ิ อีกดว๎ ย 4.3.3 ทาให๎ความเข๎าใจอนั ดีระหวํางชนในชาติ และยํอมมีความสมานสามัคคกี ัน 4.3.4 กอํ ให๎เกดิ การพัฒนา ระบบสงั คมของชาติยอํ มมีทศิ ทาง โดยอาศัยระบบสังคม ทอ๎ งถ่นิ ปรชั ญาชีวิตในสงั คมทอ๎ งถ่ิน อันเป็นพนื้ ฐานในการพฒั นาการเปรียบเทียบความแตกตํางระหวํางวรรณกรรม แบบฉบบั กบั วรรณกรรมท๎องถ่นิ มดี งั น้ี วรรณกรรมแบบฉบับ วรรณกรรมท้องถิ่น 1. ชนชั้นสงู เจ๎านาย ขา๎ ราชสานัก มีสทิ ธิมสี วํ นเป็น 1. ชาวบ๎านท่วั ไปมสี ิทธเิ ปน็ เจา๎ ของ เจา๎ ของ - ผูส๎ ร๎างสรรค์ - ผใ๎ู ช๎ - ผ๎ูสร๎างสรรค์ รวมถึงจดบนั ทกึ คัดลอก - ผ๎ูอนรุ กั ษ์ - ผู๎ใช๎ (อาํ น, ฟัง - ผู๎อนรุ กั ษ์ - แพรํหลายในหมูบํ า๎ น - แพรํหลายในราชสานัก 2. กวปี ระพันธเ์ ปน็ นกั ปราชญ์ ราชบัณฑติ หรอื 2. กวี ผ๎ปู ระพนั ธ์ เปน็ ชาวพื้นบ๎าน หรอื พระภกิ ษุ สร๎างสรรค์ เจา๎ นาย ฉะนน้ั คํานยิ ม มโนทศั น์ ทเี่ หน็ สงั คมสมัยน้ัน จงึ วรรณกรรมข้นึ มาด๎วยใจรกั มากกวาํ \"บาเรอท๎าวไธธ๎ ิราชผ๎มู ี จากัดอยํูในรวั้ ในวังหรอื มีการสอดแทรกสภาวะของสงั คมก็ บุญ\"ฉะน้นั มโนทัศน์เก่ียวกบั สภาวะของสังคม จงึ เปน็ สงั คม เป็นแบบมองเห็นสังคมแบบเบือ้ งบน ชาวบ๎านแบบประชาคมท๎องถิ่น 3. ภาษาและกวีโวหารนยิ มการใชค๎ าศัพทบ์ าลี 3. ภาษาทใ่ี ช๎เป็นภาษางําย เรียบ ๆ มุงํ การส่ือความหมาย สนั สกฤต โดยเชื่อวาํ เป็นการแสดงภูมปิ ญั ญาของกวีแพรว เป็นสาคญั สวํ นใหญํเปน็ ภาษาทอ๎ งถิน่ นนั้ ละเว๎น

พราวไปด๎วยกวีโวหารทเ่ี ข๎าใจยาก คาศัพทบ์ าลี สนั สกฤต โวหารนยิ มสานวนทใ่ี ชใ๎ นทอ๎ งถิน่ 4. เน้ือหาสวํ นใหญํ มุํงในการยอพระเกียรติ ทัง้ ทางตรง 4. เนอ้ื หาสวํ นใหญํมํงุ ในทางระบายอารมณ์ บันเทงิ ใจ แตแํ ฝง และทางอ๎อม แตํกม็ เี นอ้ื หาทเี่ กี่ยวกบั การผํอนคลาย คติธรรมทางพทุ ธศาสนา แม๎วาํ ตัวเอกของเรื่องจะเป็นกษตั ริย์ ทางดา๎ นอารมณ์ และศาสนาอยํูไมํน๎อย กต็ าม แตํมิได๎มงํุ ยอพระเกียรติมากนัก 5. เหมอื นกับวรรณกรรมแบบฉบบั ยกยํองสถาบันกษัตริย์ 5. คาํ นยิ ม อดุ มคติ ยดึ ปรชั ญาชีวิตแบบสังคมชาว แตํไมํเนน๎ มากนัก พทุ ธ และยกยํองสถาบันกษัตริยอ์ ีกดว๎ ย

ใบงาน เรอ่ื งวรรณคดี วรรณกรรม -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- 1. จงสรปุ ความหมายของ “วรรณคดี” ............................................................................................................................................................ ............................. ...................................................................................................... ................................................................................... ............................................................................................................................. ........................................................... 2. วรรณคดี วรรณกรรมไทยปจั จุบนั และวรรณท๎องถ่ินมีความสาคญั อยาํ งไร ............................................................................................................................. ............................................................ ............................................................................................................................. ............................................................ ........................................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ........................................................... 3. วรรณคดี วรรณกรรมไทยปัจจุบนั และวรรรณกรรมทอ๎ งถนิ่ แบงํ เปน็ ก่ีประเภท ประเภทใดบ๎าง (พร๎อมยกตวั อยาํ ง) ............................................................................................ ............................................................................................. ............................................................................................................................. ............................................................ ............................................................................................................................. ............................................................ ................................................ ......................................................................................................... ................................ ...................................................................................................................... ................................................................... ............................................................................................................................. ........................................................... ................................................................................................................................. ......................................................


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook