51 ใบความรู้ที่1 เร่อื ง สมบัติ สมบตั ิการไมเทากัน ใหผูเรยี นทบทวนเรือ่ งสมบัติการเทากนั ในเร่อื งทีผ่ านมาเพ่ือเปนความรูเพิ่มเติม สวนใน เร่อื งน้จี ะเนนเรื่องสมบัตกิ ารไมเทากันเทาน้ัน ประโยคคณิตศาสตรจะใชสญั ลกั ษณ > , < , ≥ , ≤ , ≠ แทนการไมเท ากัน เรยี กการไมเทากัน วา “อสมการ” (Inequalities) บทนิยาม a < b หมายถงึ a นอยกวา b a > b หมายถึง a มากกวา b กําหนดให a, b, c เปนจาํ นวนจริงใด ๆ 1. สมบตั กิ ารถายทอด ถา a > b และ b > c แลว a > c 2. สมบตั ิการบวกดวยจํานวนทเ่ี ทากนั ถา a > b แลว a + c > b+ c 3. จาํ นวนจรงิ บวกและจาํ นวนจริงลบ a เปนจาํ นวนจริงบวก ก็ตอเมอื่ a > 0 a เปนจาํ นวนจริงลบ กต็ อเมื่อ a < 0 4. สมบัติการคูณดวยจํานวนเทากนั ท่ีไมเทากบั ศนู ย กรณีท่ี 1 ถา a > b และ c > 0แลว ac > bc กรณที ี่ 2 ถา a > b และ c < 0แลว ac < bc 5. สมบตั กิ ารตดั ออกสําหรบั การบวก ถา a + c > b + c แลว a > b 6. สมบัตกิ ารตัดออกสําหรับการคูณ กรณีที่ 1 ถา ac > bc และ c > 0แลว a > b กรณีที่ 2 ถา ac > bc และ c < 0แลว a < b บทนิยาม a ≤ b หมายถึง a นอยกวาหรอื เทากบั b a ≥ b หมายถึง a มากกวาหรือเทากบั b a < b < c หมายถึง a < b และ b < c a ≤ b ≤ c หมายถงึ a ≤ b และ b ≤ c
52 แบบฝกหัดท่ี 1 1. ใหผเู รียนบอกสมบตั กิ ารไมเทากัน (เมอ่ื ตัวแปรเปนจาํ นวนจริงใดๆ) 1. ถา x 3 แลว 2x 6 ……………………………………………………………….. 2. ถา y7 แลว -2y < 14 ……………………………………………………………….. 3. ถา x+1 6 แลว x+2 7 ………………………………………………………….. 4. ถา y+3 5 แลว y 2 ……………………………………………………………… 5. ถา x 7 และ 7 y แลว xy ………………………………………………………. 6. ถา a 0 แลว a+1 0 +1 …………………………………………………………. 7. ถา b 0 แลว b + (-2) 0+(-2) …………………………………………………… 8. ถา c -2 แลว (-1)c (-1)(-2) …………………………………………………….
53 แผนการจัดการเรียนรรู้ ายวิชาคณติ ศาสตร์ คร้งั ที่ 6 ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2565 ระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย กศน.ตาบลหนองผือ 1. สปั ดาห์ท่ี 7 วันที่ 23 เดอื น มิถนุ ายน พ.ศ. 2565 เวลา 09.00-12.00น. 2. วชิ า คณติ ศาสตร์ รหัสวชิ า พค31001 จาํ นวน 5 หนว่ ยกิต 3. มาตรฐานที่ 2.2 มีความรู้ ความเขา้ ใจ และทักษะพนื้ ฐานเกย่ี วกับคณิตศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ และเทคโนโลยี 4. หน่วยการเรยี นร/ู้ เรื่อง เซต 5. สาระสําคัญ เซต โดยทว่ั ไปหมายถึง กลุ่ม คน สตั ว์ ส่ิงของ ทร่ี วมกนั เป็นกลุ่ม โดยมสี มบตั ิบางอย่างร่วมกัน และบรรดาสงิ่ ท้งั หลาย ทอ่ี ยู่ในเซตเราเรยี กวา่ “ สมาชิก” ในการศึกษาเร่อื งเซตจะประกอบไปด้วย เซต เอกภพสมั พัทธ์ สับเซตและเพาเวอร์ เซต 6. เน้ือหา เซต ความหมายของเซต และการเขยี นเซต 7. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู/้ ผลการเรยี นรทู้ ค่ี าดหวัง (ดจู ากผังการออกข้อสอบ) 1. อธบิ ายความหมายเก่ียวกับเซต 2. การดําเนินการของเซต 8. การบรู ณาการกับหลักแนวคดิ ของเศรษฐกิจพอเพยี ง (2 เงือ่ นไข 3 หลกั การ การเชื่อมโยงสู่ 4 มิต)ิ ความรู้ - มีความรูเ้ รอ่ื งเซต ความหมายของเซต และการเขียนเซต มคี วามสามารถในการเชื่อมโยงท่จี ะการนาํ ความรู้ เรอ่ื งเซตท่เี รยี นไปประยุกต์ใชใ้ นชีวติ ประจําวัน คณุ ธรรม - มคี วามขยนั - มีความสามคั คีในการทาํ งานรว่ มกัน - มคี วามตงั้ ใจและมุ่งมนั่ พอประมาณ - รจู้ ักประเมนิ ความรู้ ความสามารถของตนเองและเพือ่ น - จัดสรรเวลาในการ ทํากิจกรรม มีเหตผุ ล - สามารถใชค้ วามรูเ้ ร่อื งเซตในการ ทํากิจกรรมและแบบฝึกหัดได้ - นําความรเู้ ร่อื งเซตไปประยกุ ตใ์ ช้ ในการดาํ เนนิ ชีวติ ประจาํ วัน มีภมู ิค้มุ กนั - มกี ารวางแผนในการปฏิบตั ิ กิจกรรม - สามารถนาํ ความรู้ไปปรบั ให้เขา้ กับ การใช้ชวี ติ ประจําวันไดอ้ ย่างเหมาะสม วตั ถุ - ไดร้ บั ความรู้เกีย่ วกับ เรอ่ื งเซต - ทักษะการคิด
54 สังคม - ทักษะการร่วมกนั ตอบ คําถามและแสดงความ คดิ เหน็ - ผูเ้ รยี นไดช้ ว่ ยเหลือ ซง่ึ กันและกัน สิง่ แวดล้อม - รูจ้ กั การใช้ส่ือและ แหล่งเรียนรอู้ ย่าง คุ้มค่าและค้มุ เวลา วัฒนธรรม - ดาํ รงตนอยู่ใน สงั คมอยา่ งมีความสขุ - มีทกั ษะในการ คาํ นวณและการนาํ ไป ใชไ้ ดอ้ ย่างเหมาะสม 9. กระบวนการจัดการเรยี นรู้และกิจกรรมการเรยี นรู้ ขน้ั ที่ 1 กาํ หนดสภาพปัญหาการเรียนรู้ (O : Orientation) ครแู ละผเู้ รียนร่วมกันกําหนดสภาพปัญหา ความต้องการในการเรียนร้เู รื่องเซต ความหมายของเซต และการเขยี นเซต ขั้นท่ี 2 แสวงหาข้อมูลและจัดการเรียนรู้ (N : New ways of learning) ให้ผเู้ รียนศกึ ษา เรื่องเซต จากหนังสอื เรยี นสาระความรู้พน้ื ฐาน รายวิชาคณติ ศาสตร์ ระดับ มัธยมศึกษาตอนปลาย รหัส พค31001 ขั้นที่ 3 การปฏิบตั แิ ละการนําไปใช้ (I : Implementation) 1. ครใู ห้ผ้เู รียนระดมความคดิ ถอดบทเรยี นใหส้ อดคลอ้ งกบั หลักเศรษฐกจิ พอเพยี ง 2. ครแู ละผู้เรยี นร่วมกนั แลกเปลยี่ นเรียนรู้และสรปุ ความรเู้ บือ้ งตน้ ที่ได้จากแบบสอบถาม เพอ่ื นํามาวเิ คราะหส์ รปุ ผล และจัดทํารายนาํ เสนอ ข้ันท่ี 4 การประเมนิ ผลการเรียนรู้ (E : Evaluation) 1. ใหผ้ ้เู รียนออกมาหน้าชน้ั เรยี น เพอื่ นําเสนอการถอดบทเรียนให้สอดคลอ้ งกบั หลัก เศรษฐกิจพอเพียง จากนน้ั ครูให้คะแนน 2. แบบทดสอบหลงั เรยี น 10. สื่อ/แหล่งเรยี นรู้ - หนงั สอื แบบเรยี น - แบบทดสอบก่อนเรยี น - ส่ืออินเตอรเ์ น็ต 11. การวัดและประเมนิ ผล 11.1 วธิ ีการวัดและประเมนิ ผล - แบบประเมนิ ผลการสังเกตพฤติกรรมการทาํ งานร่วมกบั ผ้อู ่นื ของนกั ศึกษารายบุคคล - ใบงาน 11.2 เครอ่ื งมือวัดและประเมินผล. - ประเมินผลการสงั เกตพฤติกรรมการทํางานรว่ มกับผู้อื่น ของนกั ศกึ ษารายบุคคล - ผลจากการตรวจใบงาน
55 11.3 เกณฑก์ ารวัดและการประเมนิ ผล - แบบประเมนิ ผลการสังเกตพฤติกรรมการทาํ งานรว่ มกบั ผอู้ นื่ ของนักศึกษารายบคุ คล ระดบั ดี พอใช้ และควรปรบั ปรุง - ใบงานคะแนนเต็ม 10 คะแนน กจิ กรรมเสนอแนะ ............................................................................................................................. ............................................................ ................................................................................................................................................................... ลงช่อื …………………………………………….ครูผสู้ อน (นายพงศกร อุดมอรยิ ทรัพย์) ครู กศน.ตาํ บล ข้อเสนอแนะของผูบ้ รหิ าร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ............................................................................................................................. ................................... ลงชอ่ื ………………………………………………………ผอู้ นมุ ัติแผน (นางปทั มาภรณ์ ศรีเนตร) ผอู้ าํ นวยการ กศน.อําเภอจตุรพักตรพิมาน
56 บันทกึ หลังการจัดการเรียนรู้ กศน.ตาบลหนองผือ ครั้งที่ 6 วัน/เดือน/ปีวนั ที่ วนั ท่ี 23 เดอื น มถิ นุ ายน พ.ศ. 2565 ครผู สู้ อนนายพงศกร อุดมอริยทรพั ย์ ระดับ มธั ยมศึกษาตอนปลาย เวลา 09.00-12.00 น. สาระความรู้พืน้ ฐาน รายวิชา คณติ ศาสตร์ รหสั วิชา พค31001 จาํ นวนนักศกึ ษาทงั้ หมด ............... คนเข้าเรยี น…………………คน ไมเ่ ขา้ เรยี น……………………….คน 1. ผลการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้การประเมนิ โดยใช้ แบบทดสอบก่อนเรียน - หลงั เรยี น พบว่า คะแนนการทดสอบหลังเรยี น มากกว่าก่อนเรียนจํานวน ........ คนคิดเป็นร้อยละ............ คะแนนการทดสอบหลงั เรียน น้อยกว่าก่อนเรยี นจาํ นวน ......... คนคิดเป็นร้อยละ............ 2. เนื้อหา/สาระ/รายวชิ า .......................................................................................................................................................... ......... ......................................................................................................................... .......................................... 3. กจิ กรรมการเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ...................................... ..................................................................................................................................................... .............. 4. ปัญหา/อุปสรรคการเรยี นการสอน ................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ...................................... 5. แนวทางการแกป้ ญั หา ............................................................................................................................. ...................................... .................................................................................... ............................................................................... ลงชอ่ื .........................................................(ผ้บู นั ทกึ ) (นายพงศกร อุดมอรยิ ทรพั ย์) ครู กศน.ตาํ บล วนั ท่ี........../................/............. ความเห็น/ข้อเสนอของผบู้ ริหาร ............................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................................................. ...................................... ลงชื่อ.................................................. (นางปัทมาภรณ์ ศรเี นตร) ผู้อาํ นวยการ กศน.อําเภอจตรุ พกั ตรพมิ าน
57 ใบความรู้ท่ี 1 เรอ่ื ง เซต เซต (Sets) 1.1 ความหมายของเซต เซต หมายถงึ กลุมสง่ิ ของตาง ๆ ไมวาจะเปน คน สัตว สง่ิ ของหรือ นพิ จนทางคณิตศาสตร ซึ่งระบุสมาชกิ ในกลุมได ยกตัวอยาง เซต เชน 1) เซตของวิทยาลัยเทคนิคในประเทศไทย 2) เซตของพยัญชนะในคําวา “คณุ ธรรม” 3) เซตของจํานวนเต็ม 4) เซตของโรงเรียนระดับมธั ยมศกึ ษาในจังหวัดสกลนคร เรียกสิ่งตาง ๆ ท่ีอยูในเซตวา “สมาชกิ ” ( Element ) ของเซตนนั้ เชน 1) วทิ ยาลัยเทคนคิ ดอนเมืองเปนสมาชกิ เซตวทิ ยาลัยเทคนิคในประเทศไทย 2) “ร” เปนสมาชิกเซตพยัญชนะในคําวา “คณุ ธรรม” 3) 5 เปนสมาชิกของจํานวนเตม็ 4) โรงเรยี นดงมะไฟวิทยาเปนสมาชิกเซตโรงเรียนระดบั มัธยมศกึ ษาในจังหวดั สกลนคร วิธีการเขียนเซต การเขียนเซตเขียนได 2แบบ 1. แบบแจกแจงสมาชกิ ของเซต โดยเขยี นสมาชกิ ทุกตัวของเซตลงในเครื่องหมายวงเล็บ ปกกาและใชเคร่ืองหมาย จุลภาค(,) คัน่ ระหวางสมาชกิ แตละตวั นนั้ ตวั อยางเชน A = {1, 2, 3, 4, 5} B = { a, e, i, o, u} C = {...,-2,-1,0,1,2,...} 2. แบบบอกเงื่อนไขของสมาชิกในเซต โดยใชตวั แปรแทนสมาชกิ ของเซต และบอก สมบัตขิ องสมาชกิ ในรปู ของตวั แปร ตัวอยางเชน A = { x | x เปนจาํ นวนเต็มบวกทีม่ ีคานอยกวาหรือเทากบั 5} B = { x | x เปนสระในภาษาองั กฤษ} C = {x |x เปนจํานวนเต็ม} สญั ลักษณเซต โดยท่วั ๆ ไป การเขยี นเซตหรือการเรยี กชอ่ื ของเซตจะใชอักษรภาษาอังกฤษตัวพิมพ ใหญไดแก A , B , C , . . . , Y , Z เปนตน ทง้ั น้ีเพ่ือความสะดวกในการอางอิงเมื่อเขยี นหรือกลาวถึงเซต นน้ั ๆ ตอไป สําหรบั สมาชกิ ใน เซตจะเขียนโดยใชอกั ษรภาษาอังกฤษตัวพมิ พเล็ก มสี ญั ลักษณอีกอยางหนึ่งท่ีใชอยูเสมอ ๆในเรอ่ื งเซต คือสญั ลักษณ ( Epsilon) แทนความหมายวา อยใู น หรือ เป นสมาชกิ เชน กาํ หนดให เซต A มีสมาชิกคือ 2 , 3 , 4 , 8 , 10 ดังน้นั 2 เปนสมาชิกของ A หรอื อยูใน A เขียนแทนดวย 2 A 10 เปนสมาชกิ ของ A หรอื อยูใน A เขียนแทนดวย 10 A ใชสัญลกั ษณ แทนความหมาย “ไมอยู หรือไมเปนสมาชกิ ของเซต เชน 5 ไมเปนสมาชกิ ของเซต A เขียนแทนดวย 5 A 7 ไมเปนสมาชิกของเซต A เขยี นแทนดวย 7 A
58 ชนิดของเซต เซตวาง ( Empty Set or Null Set ) บทนิยาม เซตวาง คือ เซตท่ีไมมีสมาชกิ ใชสัญลกั ษณ หรือ { } แทนเซตวาง ( เปนอกั ษรกรีก อานวา phi) ตวั อยาง เชน A = { x |x เปนชอื่ ทะเลทรายในประเทศไทย } ดังนน้ั A เปนเซตวาง เนือ่ งจากประเทศไทยไมมีทะเลทราย B = { x | x I + และ x + 2 = x } ดงั นั้น B เปนเซตวาง เน่ืองจากไมมีจาํ นวนเตม็ บวกทน่ี าํ มาบวกกบั 2 แลวได ตัวมนั เอง เซต B จึงไมมีสมาชิก เซตจาํ กดั ( Finite Set ) บทนยิ าม เซตจาํ กัด คือ เซตที่สามารถระบจุ าํ นวนสมาชิกในเซตได ตัวอยางเชน A = { 1 , 2 , {3} } มีจํานวนสมาชิก 3 ตัว หรือ n(A) = 3 B = { x | x เปนจาํ นวนเต็มและ 1 ≤ x ≤ 100 } มีจํานวนสมาชกิ 100 ตวั เซตอนนั ต ( Infinite Set ) บทนยิ าม เซตอนันต คือ เซตท่ไี มใชเซตจํากัด ( หรือเซตท่ีมีจํานวนสมาชิกไมจํากดั นั่นคือ ไมสามารถนบั จํานวน สมาชิกไดแนนอน ) ตวั อยางเชน A = { -1 , -2 , -3 , … } B = { x |x = 2n เมือ่ n เปนจํานวนนบั } C = { x | x เปนจํานวนจริง } T = { x | x เปนจาํ นวนนับ } เซตทเ่ี ทากัน ( Equal Set ) เซตสองเซตจะเทากันก็ตอเมือ่ ท้ังสองเซตมสี มาชกิ อยางเดียวกัน และจํานวนเทากนั บทนิยาม เซต A เทากบั เซต B เขียนแทนดวย A = B หมายความวา สมาชกิ ทุกตัวของเซต A เปนสมาชิกทุกตวั ของ เซต B และสมาชิกของเซต B เปนสมาชิกทุกตัวของเซต A เซตทเ่ี ทยี บเทากนั ( Equivalentl Sets ) เซตทเี่ ทยี บเทากนั คือเซตทีม่ ีจํานวนสมาชกิ เทากนั และสมาชิกของเชตจบั คูกนั ไดพอดี แบบหนง่ึ ตอแบบหน่ึง สญั ลกั ษณ เชต A เทียบเทากับเชต B แทนดวย A ↔ B บทนยิ าม เซต A เทียบเทากับเซต B เขียนแทนดวย A ~ B หรือ A ↔ B หมายความวา สมาชกิ ของ A และสมาชิก ของ B สามารถจบั คหู นึ่งตอหนึ่งไดพอด
59 แบบฝกหัดท่ี 1 1. จงเขียนเซตตอไปนี้แบบแจกแจงสมาชิก 1) เซตของจังหวดั ในประเทศไทยที่มชี อ่ื ขนึ้ ตนดวยพยญั ชนะ “ส” 2) เซตของสระในภาษาองั กฤษ 3) เซตของจาํ นวนเต็มบวกท่ีมสี ามหลกั 4) เซตของจาํ นวนคบู วกที่มีคานอยกวา 20 5) เซตของจํานวนเตม็ ลบทม่ี ีคานอยกวา –120 6) { x|x เปนจํานวนเต็มท่มี ากกวา 5 และนอยกวา 15 } 7) { x|x เปนจาํ นวนเตม็ ทอ่ี ยูระหวาง 0 กบั 0 } 2. จงบอกจํานวนสมาชกิ ของเซตตอไปนี้ 1) A = {3456} 2) B = {a,b,c,de,fg,hij,} 3) C = { x|x เปนจาํ นวนเตม็ บวกท่ีอยูระหวาง 10 ถึง 35 } 4) D = { x|x เปนจาํ นวนเต็มบวกทีน่ อยกวา9 } 3. จงเขียนเซตตอไปนีแ้ บบบอกเงื่อนไข 1) K = { 2,4,6,8} 2) P = { 1,2,3,...} 3) H = { 1,4,9,16,25,...} 4. จงพิจารณาเซตตอไปน้ี เปนเซตวางหรอื เซตจาํ กดั หรอื เซตอนันต 1) เซตของสระในภาษาไทย 2) เซตของจํานวนเตม็ ที่อยูระหวาง 21 และ 300 3) A = { x | x เปนจํานวนเต็มและ x 0 } 4) B = { x | x เปนจาํ นวนเต็มคูทนี่ อยกวา 2 } 5) C = { x | x = 9 และ x –3 = 5} 6) A = { x | x เปนจํานวนนบั ที่นอยกวา 1 } 7) E = { x | x เปนจาํ นวนเฉพาะ 1 x 3 } 8) F = { x | x เปนจาํ นวนเตม็ 4 x 5 } 9) B = { x | x เปนจํานวนนับ x 2 + 3x + 2 = 0 } 10) D = { x | x เปนจํานวนเตม็ ท่หี ารดวย 5 ลงตวั }
60 แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาคณิตศาสตร์ คร้ังท่ี 7 ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2565 ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย กศน.ตาบลหนองผือ 1. สัปดาห์ท่ี 8 วนั ท่ี 30 เดือน มิถนุ ายน พ.ศ. 2565 เวลา 09.00-12.00น. 2. วชิ า คณติ ศาสตร์ รหัสวชิ า พค31001 จํานวน 5 หนว่ ยกติ 3. มาตรฐานท่ี 2.2 มีความรู้ ความเขา้ ใจ และทักษะพื้นฐานเกีย่ วกบั คณติ ศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ และเทคโนโลยี 4. หนว่ ยการเรียนร้/ู เรอ่ื ง ความนา่ จะเปน็ 5. สาระสําคัญ ความนาจะเปน คอื จาํ นวนที่แสดงใหทราบวาเหตุการณใดเหตกุ ารณหนึ่ง มโี อกาสเกิดข้ึนมาก หรอื นอยเพยี งใด สิ่งทจ่ี ําเปนตองทราบทาํ ความเขาใจ คือ - การทดลองสุม (Random Experiment) - แซมเปลสเปซ (Sample Space) - เหตกุ ารณ (Event) 6. เนอื้ หา ความนาจะเปนของเหตกุ ารณ การนาํ ความนาจะเปนไปใช้ 7. จุดประสงค์การเรยี นรู้/ผลการเรียนรูท้ ่ีคาดหวงั (ดจู ากผังการออกข้อสอบ) 1. อธิบายความนาจะเปนของเหตกุ ารณ 2. การการนาํ ความนาจะเปนไปใช้ 8. การบูรณาการกบั หลกั แนวคดิ ของเศรษฐกจิ พอเพยี ง (2 เง่ือนไข 3 หลักการ การเช่ือมโยงสู่ 4 มติ ิ) ความรู้ - มีความรู้เรอ่ื งความนาจะเปนของเหตุการณ การนําความนาจะเปนไปใช้ มีความสามารถในการเช่อื มโยงทจ่ี ะการนําความรู้ เรอื่ งความนาจะเปนที่เรยี นไปประยุกต์ใช้ในชวี ติ ประจาํ วัน คุณธรรม - มคี วามขยัน - มคี วามสามัคคใี นการทํางานร่วมกนั - มคี วามตงั้ ใจและม่งุ มัน่ พอประมาณ - รู้จักประเมินความรู้ ความสามารถของตนเองและเพอื่ น - จดั สรรเวลาในการ ทํากจิ กรรม มเี หตผุ ล - สามารถใชค้ วามรู้เร่ืองความนาจะเปนในการ ทํากิจกรรมและแบบฝกึ หดั ได้ - นาํ ความรู้เรอื่ งความนาจะเปนไปประยุกต์ใช้ ในการดาํ เนนิ ชวี ติ ประจําวัน มภี มู คิ มุ้ กนั - มกี ารวางแผนในการปฏบิ ัติ กจิ กรรม - สามารถนาํ ความรู้ไปปรับให้เขา้ กบั การใชช้ วี ติ ประจาํ วนั ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม วัตถุ - ไดร้ บั ความรู้เกย่ี วกับ เรื่องความนาจะเปน
61 - ทักษะการคิด สงั คม - ทักษะการร่วมกนั ตอบ คาํ ถามและแสดงความ คิดเห็น - ผเู้ รียนได้ช่วยเหลอื ซึ่งกนั และกัน สง่ิ แวดล้อม - รจู้ กั การใช้สอื่ และ แหลง่ เรยี นรู้อยา่ ง คมุ้ ค่าและคุ้มเวลา วฒั นธรรม - ดาํ รงตนอยใู่ น สงั คมอย่างมีความสขุ - มีทกั ษะในการ คํานวณและการนาํ ไป ใชไ้ ด้อย่างเหมาะสม 9. กระบวนการจัดการเรียนรู้และกจิ กรรมการเรียนรู้ ข้ันที่ 1 กําหนดสภาพปญั หาการเรยี นรู้ (O : Orientation) - ครูและผูเ้ รยี นร่วมกันกาํ หนดสภาพปญั หา ความต้องการในการเรยี นรู้เรอ่ื งความนาจะเปนของ เหตกุ ารณ การนําความนาจะเปนไปใช้ ขน้ั ที่ 2 แสวงหาข้อมลู และจดั การเรียนรู้ (N : New ways of learning) - ให้ผเู้ รยี นศึกษา เร่ืองความนาจะเปนของเหตุการณ การนาํ ความนาจะเปนไปใช้ จาก ใบความรู้และหนังสอื เรียนสาระความรู้พนื้ ฐาน รายวิชาคณิตศาสตร์ ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนปลาย รหสั พค 31001 ขน้ั ที่ 3 การปฏบิ ัตแิ ละการนําไปใช้ (I : Implementation) 1. ครใู หผ้ เู้ รียนระดมความคดิ ถอดบทเรียนให้สอดคล้องกับหลกั เศรษฐกจิ พอเพยี ง 2. ครแู ละผูเ้ รยี นรว่ มกนั แลกเปล่ยี นเรียนรู้และสรปุ ความรเู้ บื้องตน้ ที่ไดจ้ ากแบบสอบถาม เพือ่ นาํ มาวเิ คราะห์สรปุ ผล และจดั ทํารายนาํ เสนอ ข้ันท่ี 4 การประเมนิ ผลการเรียนรู้ (E : Evaluation) 1. ใหผ้ ูเ้ รยี นออกมาหน้าช้นั เรียน เพือ่ นําเสนอการถอดบทเรียนใหส้ อดคล้องกับหลัก เศรษฐกิจพอเพียง จากนัน้ ครูให้คะแนน 2. แบบทดสอบหลงั เรียน 10. ส่ือ/แหล่งเรียนรู้ - หนงั สอื แบบเรยี น - แบบทดสอบก่อนเรยี น - ส่ืออนิ เตอร์เน็ต 11. การวดั และประเมนิ ผล 11.1 วิธีการวดั และประเมนิ ผล - แบบประเมินผลการสังเกตพฤติกรรมการทาํ งานรว่ มกับผอู้ ่นื ของนักศึกษารายบคุ คล - ใบงาน 11.2 เคร่อื งมอื วดั และประเมินผล. - ประเมินผลการสังเกตพฤติกรรมการทํางานร่วมกบั ผู้อ่นื ของนักศกึ ษารายบุคคล - ผลจากการตรวจใบงาน
62 11.3 เกณฑ์การวดั และการประเมินผล - แบบประเมนิ ผลการสังเกตพฤติกรรมการทํางานร่วมกบั ผูอ้ นื่ ของนกั ศึกษารายบุคคล ระดบั ดี พอใช้ และควรปรับปรงุ - ใบงานคะแนนเต็ม 10 คะแนน กจิ กรรมเสนอแนะ ............................................................................................................................. ............................................................ ................................................................................................................................................................... ลงชอ่ื …………………………………………….ครูผสู้ อน (นายพงศกร อุดมอรยิ ทรัพย์) ครู กศน.ตาํ บล วนั ที่............/................../............... ข้อเสนอแนะของผู้บรหิ าร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ............................................................................................................................. ................................... ลงช่ือ………………………………………………………ผูอ้ นมุ ัตแิ ผน (นางปทั มาภรณ์ ศรีเนตร) ผู้อํานวยการ กศน.อําเภอจตุรพักตรพมิ าน
63 บนั ทกึ หลังการจดั การเรยี นรู้ กศน.ตาบลหนองผือ คร้งั ท่ี 7 วนั /เดอื น/ปวี นั ที่ วนั ที่ 30 เดอื น มถิ นุ ายน พ.ศ. 2565 ครูผ้สู อนนายพงศกร อุดมอริยทรพั ย์ ระดับ มัธยมศึกษาตอนปลาย เวลา 09.00-12.00 น. สาระความรู้พ้ืนฐาน รายวชิ า คณติ ศาสตร์ รหสั วิชา พค31001 จาํ นวนนกั ศึกษาทัง้ หมด ............... คนเข้าเรยี น…………………คน ไม่เข้าเรยี น……………………….คน 1. ผลการจดั กจิ กรรมการเรยี นรกู้ ารประเมินโดยใช้ แบบทดสอบก่อนเรียน - หลังเรียน พบว่า คะแนนการทดสอบหลังเรยี น มากกวา่ กอ่ นเรียนจาํ นวน ........ คนคิดเปน็ รอ้ ยละ............ คะแนนการทดสอบหลังเรยี น นอ้ ยกว่าก่อนเรียนจาํ นวน ......... คนคิดเปน็ รอ้ ยละ............ 2. เนอื้ หา/สาระ/รายวิชา ............................................................................................................................. ...................................... ................................................................................................................................................................... 3. กิจกรรมการเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................................................. ...................................... 4. ปัญหา/อุปสรรคการเรยี นการสอน ................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ...................................... 5. แนวทางการแกป้ ัญหา ............................................................................................................................. ...................................... ................................................................................................................................................................... ลงชอื่ .........................................................(ผูบ้ ันทกึ ) (นายพงศกร อดุ มอรยิ ทรพั ย์) ครู กศน.ตาํ บล วันท่ี .........../................/................ ความเหน็ /ข้อเสนอของผบู้ รหิ าร ............................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................................................. ...................................... ลงชื่อ.................................................. (นางปัทมาภรณ์ ศรเี นตร) ผ้อู ํานวยการ กศน.อาํ เภอจตุรพกั ตรพิมาน
64 ใบความรู้ท่ี 1 เร่ือง ความนาจะเปนของเหตกุ ารณ ในชวี ิตประจาวัน ความนาจะเปนของเหตกุ ารณ ในชวี ิตประจําวนั มักพบกบั การคาดคะเน หรอื การประมาณเหตุการณ หรือโอกาส เพอ่ื ใชในการ ตัดสนิ ใจ โอกาสท่เี หตุการณนน้ั จะเกดิ ไดมมี ากนอยเพยี งใด ข้ึนอยูกับอตั ราสวนระหวางจํานวนสมาชิก ของ เหตุการณน้ัน กับจํานวนครงั้ ของการทํางานผูเรยี นจึงตองทราบ และทาํ ความเขาใจ กับคําเหลาน้ี 1. การทดลองสุม (Random Experiment) คอื การทดลองท่ีไมสามารถระบผุ ลลพั ธไดอยางแนนอน แต บอกไดวาผลลัพธของการทดลองนน้ั มีโอกาสเกิดอะไรขน้ึ ไดบาง ตวั อยางท่ี 1 การทดลองโยนลูกเตา 1 ลูก 1 ครง้ั แตมทีจ่ ะเกิดขึ้นได คอื แตม 1, 2, 3, 4, 5 หรอื 6 ซ่งึ ไมสามารถ บอกไดวาจะเปนแตมอะไรใน 6 แตมน้ี ดังนัน้ ผลลพั ธท้ังหมดท่จี ะเกิดขน้ึ คือแตม 1, 2, 3, 4, 5, 6 2. แซมเปลสเปซ (Sample Space ) เปนเซตท่มี สี มาชกิ ประกอบดวยสงิ่ ท่ีตองการ ทั้งหมด จากการ ทดลองอยา งใดอยางหนึ่ง ( บางครั้งเรยี กวา Universal Set ) เขียนแทนดวย S เชน ตัวอยางที่4 ในการโยนลูกเตาถาตองการดูวาหนาอะไรจะขึ้นมาจะได ผลลัพธท่อี าจจะเกิดขน้ึ ไดคือ ลูกเตาข้นึ แตม 1 หรอื 2 หรือ 3 หรอื 4 หรือ 5 หรอื 6 ดงั นัน้ แซมเปลสเปซทไี่ ด คือ S = 1, 2, 3, 4, 5, 6 ตัวอยางท่ี 5 จากการทดลองสุมโดยการทดลองทอดลกู เตา 2ลกู 1. จงหาแซมเปลสเปซของแตมของลกู เตาท่หี งายขน้ึ วธิ ีทํา 1. เน่ืองจากโจทยสนใจแตมของลูกเตาทีห่ งายข้ึน ดังนนั้ เราตองเขียนแตมของลูกเตาทม่ี ีโอกาส ท่ีจะหงายขน้ึ มา ท้ังหมด และเพื่อความสะดวกให (a ,b) แทนผลลพั ธท่ีอาจจะเกดิ ข้ึน โดยท่ี a แทนแตมทหี่ งายข้ึนของลูกเตาลกู แรก b แทนแตมทหี่ งายขนึ้ ของลูกเตาลกู ทีส่ อง ดงั น้นั แซมเปลสเปซของการทดลองสุมคือ S = {(1,1),(1,2),(1,3),(1,4),(1,5),(1,6), (2,1),(2,2),(2,3),(2,4),(2,5),(2,6), (3,1),(3,2),(3,3),(3,4),(3,5),(3,6), (4,1),(4,2),(4,3),(4,4),(4,5),(4,6), (5,1),(5,2),(5,3),(5,4),(5,5),(5,6), (6,1),(6,2),(6,3),(6,4),(6,5),(6,6)} 3. เหตกุ ารณ (event) คือ เซตทเี่ ปนสบั เซตของ Sample Space หรือเหตุการณทเี่ ราสนใจ จากการทดลองสุม ตวั อย างท่ี 7 ในการโยนลูกเตา1ลูก1 ครัง้ ถาผลลพั ธทีส่ นใจคือ จํานวนแตมท่ีได จะได S = {1, 2, 3, 4, 5, 6} ถาให E1 เปนเหตกุ ารณที่ไดแตมซึ่งหารดวย3 ลงตัว จะไดE1 = {3, 6} E2 เปนเหตุการณท่ีไดแตมมากกวา2 จะไดE2 = {3, 4, 5, 6}
65 ตวั อยางท่ี 8 ถุงใบหนึง่ มลี กู บอลสขี าว3ลูก สีแดง2ลกู หยบิ ลูกบอลออกจากถุง2ลกู จงหา 1.แซมเปลสเปซของสีของลูกบอลและเหตุการณทจ่ี ะไดลูกบอลสขี าว 2.แซมเปลสเปซของลูกบอลท่ีหยิบมาไดและเหตุการณที่จะไดลกู บอลเปนสขี าว 1 ลูก สแี ดง 1 ลกู การนําความนาจะเปนไปใช การนําความนาจะเปนไปใช ตองการใหผูทศี่ ึกษาทราบวาเหตุการณตางๆนั้นมีโอกาสจะ เกิดขึน้ มาก หรือนอยเพียงใด เพ่ือชวยในการประกอบการตัดสินใจ เชน ตวั อยางท่ี 1 ไพสาํ รับหน่ึงมี52ใบ แบงเปน 2 สี 4 ชนดิ คอื สีแดงไดแกโพแดงกบั ขาวหลามตัด สีดาํ ไดแก โพดํากบั ดอกจิก แตละชนิดมี13 ใบ จงหาความนาจะเปนท่หี ยบิ มา 1 ใบแลวไดโพดําหรอื สี แดง วิธีทาํ S = ไพทั้งหมดมี52 ใบ หยบิ มาทลี ะ 1 ใบจะได52 วิธี
66 แบบฝกหัดที่ 1 เรอ่ื ง ความนาจะเปนของเหตุการณ ในชวี ิตประจาวนั 1. จากการทดลองสุมตอไปน้ี จงเขียนแซมเปลสเปซและเหตุการณทส่ี นใจในการทดลองน้นั ๆ (1) ไดหวั สองเหรียญจากการโยนเหรยี ญสองอนั หน่ึงคร้งั (2) ไดผลรวมของแตมบนหนาลกู เตาทง้ั สองเปน 2 หรอื 6 จากการโยนลูกเตาสองลกู หนงึ่ ครงั้ (3) หยบิ ไดสลากหมายเลข 5 หรือ 6 หรอื 7 หรอื 8 จากสลาก 10 ใบซงึ่ เขยี นหมายเลข 1 ถงึ 10 กาํ กับไว (4) ไดนักเรยี นท่ถี นดั มือซายในหองเรยี นท่ีทานเรียนอยู (5) ไดสลากท่ีมีรางวัลจากการจบั สลากทป่ี ระกอบดวยสลากทมี่ ีรางวลั 3 ใบ และไมมี รางวัล 7 ใบ (6) ไดคําตอบจากครอบครวั 3 ครอบครัววามจี ักรเย็บผาใชทง้ั สามครอบครวั (7) ไดลกู บอลสขี าว 2 ลกู สดี ํา 1 ลกู ในการหยิบลกู บอล 3 ลกู จากกลองซึง่ บรรจุลกู บอลสี ขาว 3 ลูก และสีดาํ 2 ลูก (8) ไดแตมที่เหมือนกันหรอื ไดแตม 2 จากลกู เตาลกู ใดลกู หนึง่ ในการทอดลูกเตาพรอมกัน สองลูก (9) ไดหวั และแตมท่ีมากกวา 4 จากการโยนเหรียญหนึ่งเหรียญและทอดลูกเตาหน่งึ ลูก หน่ึงครั้ง (10) ไดสที ่ชี อบคอื สีฟาหรือสีชมพจู ากการสอบถามนางสาวสุชาดาถงึ สีของกระดาษ เช็ดหนาท่ชี อบสองสีจากสี ทัง้ หมด 5 สี คือ ขาว ฟา ชมพู เขียว และเหลือง 2. ทอดลูกเตา 2 ลกู สองครง้ั ความนาจะเปนท่จี ะไดแตมรวมเปน 7 ในคร้ังแรกและไดแตมรวมเปน 10 ในครง้ั ที่ 2 เทากับเทาใด ............................................................................................................................................................. .................................................................................... ......................................................................... 3. ชางกอสรางกลุมหน่ึงมี 10 คน ประกอบดวย ชางปูน 6 คน และชางไม 4 คน ถาตองการเลือกชาง 7 คน จากกลุ มนี้ ความนาจะเปนที่จะไดชางปนู 4 คน และชางไม 3 คน เทากับเทาใด ............................................................................................................................. ................................ ................................................................................................. ............................................................
67 แผนการจัดการเรียนรายวิชาวิทยาศาสตร์ ครั้งท่ี 8 ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2565 ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนปลาย กศน.ตาบลหนองผือ 1. สปั ดาหท์ ี่ 9 วันท่ี 7 เดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2565 เวลา 09.00-12.00 น. 2. วิชา วิทยาศาสตร์ รหสั วชิ า พว31001 จํานวน 5 หนว่ ยกิต 3. มาตรฐานท่ี ๒.๒ มคี วามรู้ความเข้าใจ ทักษะพื้นฐานเก่ียวกบั คณติ ศาสตร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 4. หนว่ ยการเรียนรู้/เรือ่ ง ธรรมชาติทางวิทยาศาสตรแ์ ละทักษะทางวิทยาศาสตร์ 5. สาระสาคัญ มคี วามรู้ ความเขา้ ใจ ทักษะ และเห็นคุณคาํ เก่ียวกับกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี สิ่งมชี ีวติ ระบบนิเวศ ทรัพยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดล้อม ในท๎องถ่นิ และประเทศ สาร แรง พลงั งาน กระบวนการเปลีย่ นแปลง ของโลก และดาราศาสตร์ มีจิตวิทยาศาสตร์และนําความรู้ไปใช้ประโยชน์ในการ ดําเนนิ ชีวติ 6. เน้อื หา 1. กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 1.1 ความหมายและความสําคัญของวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี 1.2 กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 1.2.1วิธีการทางวทิ ยาศาสตร์ 5 ข้นั 1.2.2 ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 13 ทักษะ 1.2.3 เจตคตทิ างวิทยาศาสตร์ 6 ลกั ษณะ 1.2.4 จิตวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี 7. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้/ผลการเรยี นรทู้ ่คี าดหวงั (ดจู ากผังการออกข้อสอบ) 1. นกั ศกึ ษาสามารถอธบิ ายธรรมชาติและความสาํ คญั ของวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีได้ 2. นกั ศกึ ษาสามารถอธิบายกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ วิธกี ารทางวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทาง วทิ ยาศาสตรแ์ ละเจตคตทิ างวทิ ยาศาสตร์ 3. นกั ศกึ ษาสามารถนําความรู้ และกระบวนการทางวิทยาศาสตรไ์ ปใช้แกป้ ญั หาต่างๆได้ 4. นกั ศึกษาเกดิ เจตคตทิ างวิทยาศาสตรแ์ ละมจี ิตวทิ ยาศาสตร์ 5. นักศกึ ษาสามารถอธิบายความหมาย ความสาํ คญั และความสมั พนั ธ์ของเทคโนโลยตี อ่ ชีวติ และสงั คม นํา ความรู้ และเลอื กใชเ้ ทคโนโลยีในชวี ติ ประจําวนั ไดอ้ ย่างเหมาะสม 6. นักศึกษามีทักษะในการเลือกใช้วัสดอุ ุปกรณท์ างวิทยาศาสตร์ และสารเคมีได้ ๘. การบูรณาการกับหลักแนวคดิ ของเศรษฐกิจพอเพียง (2 เง่ือนไข 3 หลกั การ การเชือ่ มโยงสู่ 4 มติ ิ) ความรู้ - นักศกึ ษามีความรู้เรื่อง ธรรมชาติและความสําคญั ของวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี - นกั ศกึ ษามีความรเู้ รื่อง กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ วิธีการทางวทิ ยาศาสตร์ ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และเจตคติทางวิทยาศาสตร์ - นักศกึ ษาสามารถอธิบายความหมาย ความสําคัญ และความสมั พนั ธ์ของเทคโนโลยตี ่อชวี ติ และสังคม นําความรู้ และเลอื กใช้เทคโนโลยีในชีวติ ประจําวันได้อย่างเหมาะสม - นักศึกษามที ักษะในการเลอื กใช้วัสดุอปุ กรณ์ทางวทิ ยาศาสตร์ และสารเคมีได้
68 คณุ ธรรม - มีความชอื่ สัตยส์ ุจริตในการทํางาน - มีความสามคั คใี นหมู่คณะ - มีความขยนั อดทน พอประมาณ - รจู้ ักการเลือกใช้สอ่ื เทคโนโลยีใหเ้ ข้ากบั อาชพี - ใช้ทรัพยากรกรอยา่ งคุ้มค่าและเกดิ ประโยชนส์ ูงสุด มีเหตผุ ล - ได้ความรเู้ ก่ียวกับหลักธรรมชาติ - ปฏบิ ตั ิตนตามหลกั ธรรมชาตติ ามหลักของเศรษฐกจิ พอเพียง มีภูมคิ ุ้มกนั - สามารถสร้างรายได้และสามารถเตรียมพร้อมรับสถานการณ์การเปล่ยี นแปลงทาง เศรษฐกิจได้ วัตถุ - รู้จักเลอื กใชเ้ ทคโนโลยีที่เหมาะสมสอดคล้องกบั ความต้องการ - มที ักษะในการใชอ้ ปุ กรณ์เทคโนโลยี และการดแู ลรกั ษา สงั คม - มที กั ษะการอยรู่ ่วมกันในกลุ่ม และทํางานรว่ มกบั ผู้อื่นได้อย่างมีความสขุ - ชว่ ยเหลอื เกือ้ กูลกนั - รรู้ กั สามคั คี - รจู้ ักแบง่ ปนั สิง่ แวดล้อม - รู้จกั การนําเอาเทคโนโลยีทเ่ี หมาะสมมาใช้ประโยชนส์ งู สุด - รู้และรักษาธรรมชาติ วัฒนธรรม - ต่อยอดภมู ิปญั ญาท้องถิ่น ในการนาหลักธรรมชาตมิ าใช้ - สร้างและสบื ทอดจิตสานึกและเจตคตสิ ู่ชนร่นุ หลัง 9. กระบวนการจัดการเรยี นรู้และกิจกรรมการเรยี นรู้ ขน้ั ท่ี 1 กําหนดสภาพปญั หาการเรยี นรู้ (O : Orientation) ครผู สู้ อนและนักศึกษาสนทนาแลกเปล่ยี นถึงปัญหาของชุมชน ผลกระทบดา้ นตา่ งๆทม่ี ีใน ปัจจุบนั วา่ เป็นอย่างไร ข้ันท่ี 2 แสวงหาข้อมูลและจัดการเรยี นรู้ (N : New ways of learning) 1. ให้นกั ศึกษาทําแบบทดสอบกอ่ นเรยี นดว้ ย Google form เพื่อทดสอบความรู้เบอ้ื งต้น 2. ให้นักศกึ ษาศึกษาเรอื่ งฝกึ ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรแ์ ละเจตคตทิ างวิทยาศาสตร์ จาก หนงั สือเรียน สาระความรู้พ้ืนฐาน รายวิชาวิทยาศาสตร์ ระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย รหสั พว31001 3. ครใู ช้สอ่ื You Tube เรอ่ื ง ธรรมชาตทิ างวิทยาศาสตรแ์ ละทักษะทางวิทยาศาสตร์เพ่ืออธิบาย ความรเู้ พม่ิ เตมิ ใหน้ ักศึกษา
69 ข้นั ท่ี 3 การปฏิบตั แิ ละการนําไปใช้ (I : Implementation) 1. ผู้เรยี นสามารถนําความรู้ และประสบการณ์หลงั จากการเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง 2. ผ้เู รยี นสามารถแกไ้ ขปัญหา อปุ สรรคในการทํางานไดแ้ ต่ละคร้งั พร้อมสรุปจดั ทํารายงาน รวบรวมเปน็ แฟมู สะสมงาน ขนั้ ที่ 4 การประเมนิ ผลการเรียนรู้ (E : Evaluation) 1. ครแู ละผู้เรยี นนาํ แฟมู สะสมผลงาน และผลงานที่ได้จากการปฏิบตั ิ สรปุ เป็นองค์ความรู้ เพื่อใชเ้ ป็นแนวทาง กระบวนการปฏบิ ตั งิ าน 2. ครูวัดผลประเมินผลผู้เรยี นจากเกณฑ์วดั ผลประเมนิ ผล 3. ครสู ามารถประเมนิ ผลการเรยี นรู้ของผเู้ รยี น และผู้เรียนสามารถประเมินความรภู้ ายใน กลุ่มหรอื ของตนเองได้ 10. สือ่ /แหล่งเรยี นรู้ 1. ใบความรู้ 2. หนงั สอื เรียน 3. ใบงาน 4. อินเตอรเ์ นต็ 11. การวดั และประเมินผล 11.1 วธิ กี ารวดั และประเมนิ ผล - แบบประเมินผลการสังเกตพฤติกรรมการทาํ งานร่วมกบั ผู้อน่ื ของนักศึกษารายบุคคล - ใบงาน - แบบทดสอบก่อนเรยี น-หลงั เรยี น 11.2 เคร่อื งมอื วัดและประเมินผล. - ประเมนิ ผลการสังเกตพฤตกิ รรมการทํางานร่วมกบั ผู้อน่ื ของนักศกึ ษารายบุคคล - ผลจากการตรวจใบงาน - คะแนนแบบทดสอบก่อนเรียนและหลงั เรียน 11.3 เกณฑก์ ารวดั และการประเมนิ ผล - แบบประเมินผลการสงั เกตพฤติกรรมการทํางานร่วมกบั ผ้อู ื่นของนกั ศึกษารายบุคคล ระดับดี พอใช้ และควรปรับปรุง - ใบงานคะแนนเตม็ 10 คะแนน - แบบทดสอบก่อนเรียน-หลงั เรียน เกณฑผ์ า่ นและไม่ผา่ น
70 กจิ กรรมเสนอแนะ ............................................................................................................................. ............................................................ ............................................................................................................................. ................................ ลงชอื่ …………………………………………….ครผู สู้ อน (นายพงศกร อุดมอรยิ ทรพั ย์) ครู กศน.ตาํ บล ขอ้ เสนอแนะของผู้บริหาร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………...... ลงชอื่ ………………………………………………………ผู้อนุมัติแผน (นางปัทมาภรณ์ ศรเี นตร) ผู้อํานวยการ กศน.อาํ เภอจตรุ พกั ตรพิมาน
71 บันทกึ หลังการจดั การเรยี นรู้ คร้ังที่ 8 วนั ท่ี 7 เดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2565 ครผู ้สู อน นายพงศกร อุดมอริยทรัพย์ ระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย เวลา 09.00-12.00 น. สาระความรู้พื้นฐาน รายวชิ า วทิ ยาศาสตร์ รหัสวิชา พว31001 จาํ นวนผู้เรยี นทั้งหมด ............... คนเขา้ เรยี น…………………คน ไม่เข้าเรียน……………………….คน 1. ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การประเมินโดยใช้ แบบทดสอบก่อนเรียน - หลังเรยี น พบว่า คะแนนการทดสอบหลงั เรียน มากกว่าก่อนเรียนจาํ นวน ........ คนคดิ เปน็ ร้อยละ............ คะแนนการทดสอบหลงั เรียน น้อยกวา่ ก่อนเรยี นจาํ นวน ......... คนคิดเปน็ ร้อยละ............ 2. เน้อื หา/สาระ ............................................................................................................................. ................................................. ...................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ................................................ 3. กจิ กรรมการเรียนการสอน ............................................................................................................................. ................................................ .................................................................................................................................................................................. ....... .......................................................................................................................... ................................. 4. ปัญหา/อุปสรรค การเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ................................................ ............................................................................................................................................... ............................... ................................................................................................... ............................................................. ...... 5. แนวทางการแก้ปัญหา .......................................................................................................................................... ................................... ............................................................................................................................. ................................................ ............................................................................................................................. ........................................ . ลงชอ่ื .............................................ครผู สู้ อน (นายพงศกร อดุ มอรยิ ทรพั ย์) ครู กศน.ตําบล วันท่ี ........../................./................ ความคิดเหน็ /ขอ้ เสนอแนะของผบู้ ริหาร ............................................................................................................................. ............................................................ ......................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. .......................... ลงช่ือ.................................................................. (นางปทั มาภรณ์ ศรีเนตร) ผู้อาํ นวยการ กศน.อําเภอจตรุ พักตรพิมาน
72 แบบทดสอบกอ่ นเรยี นและหลงั เรยี น ใหน้ ักศึกษาเลือกข้อที่ถกู ทส่ี ุด 1.ข้อใดไม่ใชอ่ าการทีเ่ กดิ จากการใช้ยาที่พบอยบู่ ่อยๆ ก.การติดยา ข.การดื้อยา ค.การแพ้ยา ง.การเจริญอาหาร 2.สารทีใ่ ส่ในลูกชนิ้ ทําใหล้ กู ช้ินกรอบ คือสารชนดิ ใด ก.บอแร็กซ์ ข.ผงชูรส ค.สารกันบูด ง.ผลกรอบ 3.เราควรอา่ นฉลากผลติ ภณั ฑ์ทุกครง้ั กอ่ นการใช้งานเพราะเหตใุ ด ก. เพื่อใช้ผลิตภัณฑ์ได้อย่างถูกวิธี และถูกขั้นตอน ข. เพื่อปูองกันอันตรายท่ีได้รับจากการใช้สารเคมี ค. เพื่อใช้ผลิตภัณฑ์ได้ถูกต้องกับงานแต่ละประเภท ง. ถูกทุกข้อที่กล่าวมา 4.ขอ้ ใดไม่จําเปน็ ต้องระบุฉลากผลติ ภณั ฑท์ าํ ความสะอาด ก.สถานท่ีผลิต ข.ส่วนประกอบที่สาํ คัญ ค.วันหมดอายุ ง.สถานท่ีวางจาํ หน่าย 5.ขอ้ ใดคือสารท่ีใช้ทําผงชรู ส ก.สารบอแรกซ์ ข.ขัณฑสกร ค.โซเดียมคลอไรด์ ง.โซเดียมเมตาฟอสเฟต เฉลย 1ง 2ก 3ง 4ง 5ง
73 ใบความรูท้ ่ี 1 เร่ือง ธรรมชาติทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละทักษะทางวทิ ยาศาสตร์ วทิ ยาศาสตรเ์ ปน็ เรือ่ งของการเรียนร้เู กีย่ วกบั ธรรมชาติ โดยมนษุ ยใ์ ช้กระบวนการสงั เกต สํารวจ ตรวจสอบ ทดลองเกีย่ วกบั ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และนําผลมาจัดเปน็ ระบบหลักการ แนวคดิ และทฤษฎี ดังนั้น ทกั ษะ วทิ ยาศาสตร์ จึงเป็นการปฏิบัติ เพอื่ ให้ได้มาซึ่งคําตอบในข้อสงสยั หรอื ข้อสมมติฐานตา่ ง ๆ ของมนษุ ยต์ ง้ั ไว้ ทักษะทาง วทิ ยาศาสตร์ ประกอบด้วย 1. การสังเกต เป็นวธิ ีการได้มาของข้อสงสัย รบั รู้ขอ้ มูล พิจารณาข้อมูล จากปรากฏการณ์ทางธรรมชาตทิ ่ี เกดิ ข้ึน 2. ตง้ั สมมตฐิ าน เป็นการการระดมความคดิ สรปุ สิง่ ที่คาดวา่ จะเป็นคําตอบของปญั หาหรอื ข้อสงสัยน้ัน ๆ 3. ออกแบบการทดลอง เพื่อศึกษาผลของตวั แปรทต่ี ้องศกึ ษา โดยควบคุมตัวแปรอืน่ ๆ ที่อาจมีผลตอ่ ตวั แปรทต่ี ้องการศึกษา 4. ดําเนนิ การทดลอง เปน็ การจัดกระทํากับตวั แปรทกี่ าํ หนด ซง่ึ ได้แก่ ตวั แปรตน้ ตวั แปรตาม และตัวแปรท่ี ต้องควบคุม 5. รวบรวมข้อมลู เป็นการบนั ทกึ รวบรวมผลการทดลองหรือผลจากการกระทําของตัวแปท่กี ําหนด 6. แปลและสรุปผลการทดลอง ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ประกอบดว้ ย 13 ทักษะ ดังน้ี ทักษะการสังเกต (Observing) หมายถงึ การใชป้ ระสาทสัมผัสทัง้ 5 ในการสังเกต ไดแ้ ก่ ใช้ตาดรู ปู ร่าง ใชห้ ูฟังเสียง ใช้ลิน้ ชมิ รส ใชจ้ มกู ดมกลิน่ และใช้ผิวกายสัมผสั ความรอ้ นเยน็ หรือใชม้ ือจับต้องความอ่อน แขง็ เปน็ ตน้ การใชป้ ระสาทสัมผัสเหล่าน้ีจะใชท้ ลี ะอยา่ งหรือหลายอย่างพร้อมกัน เพ่อื รวบรวมข้อมลู ก็ได้โดยไม่เพมิ่ ความคิดเหน็ ของผู้สังเกตลงไป ทกั ษะการวัด (Measuring) หมายถงึ การเลือกและการใช้เคร่ืองมือวัดปริมาณของสิ่งของออกมาเป็นตัว เลขที่แน่นอนได้อย่างเหมาะสม และถูกตอ้ งโดยมหี น่วยกาํ กับเสมอในการวัด เพื่อหาปรมิ าณของสง่ิ ทีว่ ดั ต้องฝึกให้ ผเู้ รียนหาคําตอบ 4 ค่า คอื จะวัดอะไร วัดทําไม ใช้เคร่ืองมืออะไรวดั และจะวดั ได้อย่างไร ทักษะการจาแนกหรือทกั ษะการจัดประเภทสิ่งของ (Classifying) หมายถงึ การแบ่งพวกหรือการ เรียงลาํ ดับวัตถุ หรือสงิ่ ที่อยใู่ ปรากฏการณ์ โดยการหาเกณฑห์ รือสรา้ งเกณฑ์ในการจาํ แนกประเภท ซึ่งอาจใชเ้ กณฑ์ ความเหมอื นกัน ความแตกต่างกัน หรอื ความสัมพันธก์ ันอย่างใดอย่างหนึง่ ก็ได้ ซงึ่ แล้วแต่ผู้เรยี นจะเลอื กใชเ้ กณฑ์ใด นอกจากนคี้ วรสรา้ งความคดิ รวบยอดใหเ้ กิดขน้ึ ด้วยว่าของกลมุ่ เดียวกนั นัน้ อาจแบ่งออกได้หลายประเภท ทงั้ นข้ี ึ้นอยู่ กับเกณฑท์ ่ีเลือกใช้ และวัตถุชิ้นหนึง่ ในเวลเดยี วกันจะต้องอยเู่ พยี งประเภทเดียวเท่านัน้ ทักษะการใชค้ วามสัมพนั ธร์ ะหวา่ งสเปซกบั เวลา (Using Space/Relationship)หมายถึง การหา ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งมติ ติ า่ งๆ ที่เกี่ยวกบั สถานท่ี รูปทรง ทิศทาง ระยะทาง พื้นท่ี เวลา ฯลฯ เช่น การหา ความสัมพันธร์ ะหวา่ ง สเปซกับสเปซ คือ การหารูปร่างของวัตถุ โดยสังเกตจากเงาของวัตถุเมื่อใหแ้ สงตกกระทบวัตถุ ในมุมต่างๆกนั ฯลฯ การหาความสมั พันธ์ระหวา่ ง เวลากับเวลา เช่น การหาความสัมพันธ์ระหว่างจังหวะการแกว่งของ ลกู ตุ้มนาฬิกากับจังหวะการเต้นของชีพจร ฯลฯ
74 การหาความสมั พันธ์ระหวา่ ง สเปซกับเวลา เช่น การหาตําแหน่งของวตั ถทุ เี่ คล่ือนทไี่ ปเมื่อเวลา เปล่ียนไป ฯ ทักษะการคานวณและการใชจ้ านวน (Using Numbers) หมายถงึ การนาํ เอาจํานวนทีไ่ ดจ้ ากการวดั การ สงั เกต และการทดลองมาจัดกระทาํ ให้เกิดคา่ ใหม่ เช่น การบวก ลบ คูณ หาร การหาคา่ เฉลยี่ การหาค่าตา่ งๆ ทาง คณิตศาสตร์ เพือ่ นําค่าที่ไดจ้ ากการคํานวณ ไปใชป้ ระโยชนใ์ นการแปลความหมาย และการลงข้อสรุป ซึ่งในทาง วิทยาศาสตร์เราต้องใชต้ ัวเลขอย่ตู ลอดเวลา เช่น การอ่านเทอร์โมมเิ ตอร์ การตวงสารตา่ ง ๆ เป็นตน้ ทกั ษะการจดั กระทาและสื่อความหมายข้อมูล (Communication) หมายถงึ การนําเอาข้อมลู ซ่ึงได้มาจาก การสังเกต การทดลอง ฯลฯ มาจดั กระทาํ เสียใหม่ เช่น นํามาจดั เรยี งลาํ ดับ หาค่าความถี่ แยกประเภท คํานวณหาค่า ใหม่ นาํ มาจดั เสนอในรปู แบบใหม่ ตวั อยา่ งเชน่ กราฟ ตาราง แผนภูมิ แผนภาพ วงจร ฯลฯ การนาํ ข้อมลู อย่างใด อย่างหน่งึ หรือหลาย ๆ อย่างเชน่ นีเ้ รียกว่า การสือ่ ความหมายขอ้ มลู ทกั ษะการลงความเหน็ จากข้อมลู (Inferring) หมายถึง การเพิม่ เตมิ ความคิดเหน็ ให้กับข้อมลู ที่มีอยู่อย่างมี เหตผุ ลโดยอาศยั ความร้หู รือประสบการณ์เดมิ มาช่วย ข้อมูลอาจจะไดจ้ ากการสังเกต การวดั การทดลอง การลง ความเหน็ จากข้อมูลเดยี วกนั อาจลงความเหน็ ได้หลายอย่าง ทกั ษะการพยากรณ์ (Predicting) หมายถงึ การคาดคะเนหาคําตอบลว่ งหน้าก่อนการทดลองโดยอาศยั ข้อมลู ที่ไดจ้ ากการสังเกต การวดั รวมไปถึงความสัมพันธ์ระหวา่ งตัวแปรท่ีได้ศึกษามาแล้ว หรอื อาศัยประสบการณ์ที่ เกดิ ซ้ํา ๆ ทกั ษะการตงั้ สมมตุ ิฐาน (Formulating Hypothesis) หมายถึง การคิดหาค่าคําตอบลว่ งหนา้ กอ่ นจะทาํ การทดลอง โดยอาศัยการสงั เกต ความรู้ ประสบการณ์เดิมเปน็ พืน้ ฐาน คําตอบที่คิดล่วงหน้ายังไม่เป็นหลักการ กฎ หรอื ทฤษฎีมาก่อน คาํ ตอบท่ีคิดไว้ลว่ งหน้าน้ี มักกลา่ วไวเ้ ป็นขอ้ ความทบ่ี อกความสัมพันธ์ ระหว่างตวั แปรตน้ กับตวั แปรตามเช่น ถ้าแมลงวนั ไปไข่บนก้อนเนื้อ หรอื ขยะเปยี กแล้วจะทาํ ให้เกิดตวั หนอน ทักษะการควบคุมตัวแปร (Controlling Variables) หมายถึง การควบคุมส่งิ อนื่ ๆ นอกเหนือจากตัวแปร อสิ ระ ทจี่ ะทําให้ผลการทดลองคลาดเคลื่อน ถา้ หากว่าไม่ควบคมุ ให้เหมือน ๆ กนั และเป็นการปอู งกันเพ่ือมิใหม้ ีข้อ โต้แย้ง ข้อผิดพลาดหรือตดั ความไม่น่าเชอื่ ถือออกไป ตัวแปรแบ่งออกเปน็ 3 ประเภท คอื 1. ตัวแปรอสิ ระหรอื ตวั แปรต้น 2. ตวั แปรตาม 3. ตวั แปรทตี่ ้องควบคุม ทกั ษะการตีความและลงข้อสรปุ (Interpreting data) ขอ้ มลู ทางวิทยาศาสตร์ สว่ นใหญจ่ ะอยูใ่ นรูปของลักษณะตาราง รปู ภาพ กราฟ ฯลฯ การนําข้อมูลไปใช้จึง จําเป็นต้องตีความให้สะดวกท่ีจะสื่อความหมายได้ถกู ตอ้ งและเข้าใจตรงกัน การตคี วามหมายขอ้ มูล คือ การบรรยายลกั ษณะและคณุ สมบตั ิ การลงขอ้ สรุป คือ การบอกความสมั พนั ธ์ของข้อมูลที่มอี ยู่ เชน่ ถา้ ความดนั นอ้ ย นํ้าจะเดือด ที่อณุ หภมู ติ ํ่าหรือนํา้ จะเดือดเรว็ ถา้ ความดนั มากน้าํ จะเดือดที่อุณหภูมสิ ูงหรือนํ้าจะเดือดชา้ ลง ทกั ษะการกาหนดนิยามเชงิ ปฏบิ ัติการ (Defining Operationally) หมายถงึ การกําหนดความหมาย และขอบเขตของคาํ ตา่ ง ๆ ท่ีมอี ย่ใู นสมมติฐานท่ีจะทดลองให้มคี วามรดั กุม เป็นที่เขา้ ใจตรงกนั และสามารถสงั เกตและ วัดได้ เชน่ “ การเจริญเตบิ โต ” หมายความว่าอยา่ งไร ต้องกาํ หนดนิยามใหช้ ัดเจน เชน่ การเจริญเตบิ โตหมายถงึ มี ความสูงเพิ่มขน้ึ เป็นต้น ทกั ษะการทดลอง ( Experimenting ) หมายถึง กระบวนการปฏบิ ัติการโดยใช้ทักษะตา่ ง ๆ เช่น การ สงั เกต การวัด การพยากรณ์ การต้งั สมมตุ ฐิ าน ฯลฯ มาใชร้ ว่ มกนั เพื่อหาคาํ ตอบ หรือทดลอง
75 สมมุตฐิ านท่ีตงั้ ไว้ ซึ่งประกอบดว้ ยกิจกรรม 3 ขั้นตอน 1. การออกแบบการทดลอง 2. การปฏิบัตกิ ารทดลอง 3. การบนั ทึกผลการทดลอง การใชก้ ระบวนการวิทยาศาสตร์ แสวงหาความรู้ หรอื แกป้ ัญหาอย่างสมํา่ เสมอ ชว่ ยพัฒนาความคดิ สรา้ งสรรคท์ างวทิ ยาศาสตร์ เกดิ ผลผลติ หรือผลิตภัณฑท์ างวทิ ยาศาสตร์ เกิดผลผลติ หรือผลิตภัณฑท์ างวทิ ยาศาสตร์ ท่ี แปลกใหม่ และมคี ุณคา่ ต่อการดาํ รงชวี ติ ของมนุษย์มากขนึ้
76 ใบงานท่ี 1 ธรรมชาติทางวิทยาศาสตรแ์ ละทักษะทางวิทยาศาสตร์ คาชี้แจง ใหน้ ักศึกษาตอบคาถามต่อไปน้ี 1. จากการสังเกตของนักศึกษา ทง้ั 2 ภาพมคี วามแตกตา่ งกันอย่างไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………..…………2. นักศกึ ษาคิดวา่ เพราะเหตุใด จงึ ทําใหท้ ้งั 2 ภาพ มคี วามแตกต่างกนั …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………..……3. ให้นักศึกษาอธิบาย ทกั ษะทางวิทยาศาสตร์ท้ัง 13 ทกั ษะ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………..………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………..……………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………..……………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………..……………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………..……………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………..………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………..……………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………..…………
77 4. ใหน้ กั ศึกษาอธิบายกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรท์ ง้ั 5 ข้ันตอน ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………..………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………..……………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………..……………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………..………… 5. จงนาํ ตวั อักษรหนา้ ทักษะต่าง ๆ ไปเตมิ หน้าข้อทสี่ ัมพันธ์กนั ก. ทกั ษะการสงั เกต ข. ทกั ษะการวัด ค. ทักษะการคํานวณ ง. ทักษะการจาํ แนกประเภท จ. ทกั ษะการทดลอง ............1. ด.ญ.อรษิ ากาํ ลงั ทดสอบวิทยาศาสตร์ ............2.ด.ญ.วิไล วดั อุณหภมู ิของอากาศได้ 40 ํC ............3. ม้ามี 4 ขา สุนขั ม4ี ขา ไก่มี 2 ขา นกมี 2 ขา ชา้ งมี 4 ขา ............4. ด.ญ. พนิดา กําลังเทสารเคมี ............5. ด.ช. สุบินใชต้ ลับเมตรวัดความยาวของสนามตะกรอ้ ............6. ด.ญ. อพิจติ รแบ่งผลไม้ได้ 2 กลุ่ม คอื กล่มุ รสเปรี้ยวและรสหวาน ............7. วรรณนภิ า ดภู าพยนตรว์ ิทยาศาสตร์ 3 มติ ิ ............8. ด.ญ. นันทพร หยดสารละลายไอโอดนี ลงบนข้าวเหนียวท่เี ตรยี มไว้ ............9. รปู ทรงกระบอกมีความสูงประมาณ 4 น้วิ ผิวเรียบ ............10. นกั วิทยาศาสตร์แบ่งพชื ออกเป็น 2 พวก คือ พชื ใบเล้ยี งเด่ียวและพชื ใบเล้ียงคู่
78 6. นักศึกษาสามารถนําความรแู้ ละกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ไปใช้ในการแกป้ ัญหาตา่ ง ๆ ได้อยา่ งไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………..………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………..……………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………..……………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………..……………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………..……………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………..………… ชื่อ ................................................................. กศน. ตําบล ............................ ระดับ ............................
79 แผนการจดั การเรียนรู้รายวิชาวิทยาศาสตร์ คร้ังท่ี 9 ภาคเรยี นท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2565 ระดบั มัธยมศึกษาตอนปลาย กศน.ตาบลหนองผือ 1. สัปดาห์ท่ี 01 วันท่ี 21 เดอื น กรกฎาคม พ.ศ. 2565 เวลา 09.00-12.00 น. 2. วิชา วิทยาศาสตร์ รหัสวชิ า พว31001 จาํ นวน 5 หน่วยกิต 3. มาตรฐานท่ี 2.2 มคี วามรูค้ วามเข้าใจและทักษะพนื้ ฐานเกย่ี วกับคณติ ศาสตรว์ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 4. หนว่ ยการเรียนรู้/เร่ือง พันธุกรรมและความหลากหลายทางชีวภาพ 5. สาระสําคญั มคี วามรู้ ความเขา้ ใจ ทักษะ และเหน็ คุณคา่ เกยี่ วกบั กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ส่งิ มีชวี ิต ระบบนิเวศทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดลอ้ ม ในท้องถน่ิ ประเทศและโลก สาร แรง พลงั งาน กระบวนการ เปลี่ยนแปลงของโลก และดาราศาสตร์ มีจิตวทิ ยาศาสตร์และนาํ ความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ในการดาํ เนนิ ชีวิต 6. เนอื้ หา 1. พันธกุ รรม การถ่ายทอดทางพนั ธุกรรม การแปรผนั ทางพันธุกรรม และการผ่าเหล่า 2. ความหลากหลายทางชีวภาพ 3. โรคที่เกดิ จากการถ่ายทอดทางพันธกุ รรม และการนาํ ไปใชใ้ นชีวิตประจาํ วัน 4. ชนิดพันธุ์ต่างถน่ิ ท่ีส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและสิ่งแวดลอ้ ม 7. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู/้ ผลการเรยี นรทู้ ีค่ าดหวัง (ดจู ากผงั การออกข้อสอบ) 1. อธิบายกระบวนการถ่ายทอดทางพนั ธกุ รรม การแปรผนั ทางพันธกุ รรม การผา่ เหล่า และการเกิดความ หลากหลายทางชวี ภาพ 2. อธบิ ายลกั ษณะทางพนั ธุกรรมของบุคคล 3. อธิบายปจั จยั ทท่ี ําให้สงิ่ แวดล้อมเกิดการเปลย่ี นแปลง ๘. การบูรณาการกับหลกั แนวคิดของเศรษฐกิจพอเพียง (2 เงอื่ นไข 3 หลกั การ การเชอื่ มโยงสู่ 4 มติ ิ) ความรู้ - นกั ศกึ ษามคี วามรู้เรื่อง พันธุกรรมและความหลากหลายทางชวี ภาพ - นักศึกษานาํ ความรู้เรอ่ื ง พนั ธุกรรมและความหลากหลายทางชีวภาพ ตามหลักของปรัชญา ของเศรษฐกจิ พอพียง คณุ ธรรม - มีความชอ่ื สัตยส์ ุจรติ ในการทาํ งาน - มีความสามคั คใี นหมู่คณะ - มคี วามขยนั อดทน พอประมาณ - รจู้ ักการเลอื กใช้ธรรมชาติทางชวี ภาพมาปรับใชก้ บั ชีวิตประจําวัน - ใช้ทรพั ยากรกรอย่างคมุ้ ค่าและเกดิ ประโยชน์สูงสุด มีเหตุผล - ไดค้ วามรู้เกย่ี วกบั ธรรมชาติทางชวี ภาพมาปรับใช้กบั หลักเศรษฐกิจพอเพียง - รจู้ กั การนาํ เอาความรหู้ ลกั พันธุ์กรรมและความหลากหลายทางชีวภาพมาใช้แก้ปญั หาใน
80 ชีวิตประจําวนั มีภมู ิคุ้มกัน - สามารถสร้างรายไดแ้ ละสามารถเตรยี มพร้อมรับสถานการณ์การเปล่ียนแปลงทาง เศรษฐกิจได้ วตั ถุ - รูจ้ กั เลือกใช้เทคโนโลยที เี่ หมาะสม นาํ หลักธรรมชาติมาและความหลากหลายทางชีวภาพมา ใช้สอดคล้องกบั ความต้องการ - มที ักษะในการใช้อปุ กรณ์เทคโลโลยี และการดแู ลรักษา สงั คม - มีทกั ษะการอยรู่ ว่ มกนั ในกลุ่ม และทํางานร่วมกบั ผู้อน่ื ได้อยา่ งมคี วามสุข - ชว่ ยเหลือเกอ้ื กลู กัน - รรู้ ักสามัคคี ส่งิ แวดล้อม - รู้จกั เลอื กใชธ้ รรมชาติทางชีวภาพมาปรับใชก้ บั ชีวติ ประจําวัน ประโยชนส์ งู สุด - สรา้ งชุมชนใหเ้ ป็นแหล่งธรรมชาติ รกั ษาสมดุลของสงิ่ แวดล้อม กาจัดมลพิษของโลก วัฒนธรรม - ตอ่ ยอดภมู ิปญั ญาท้องถิน่ ในการทาพฒั นาแหล่งเรียนรู้ แหล่งธรรมชาติในชุมชน 9. กระบวนการจัดการเรียนรแู้ ละกิจกรรมการเรยี นรู้ ข้ันท่ี 1 กาํ หนดสภาพปัญหาการเรียนรู้ (O : Orientation) ครผู ู้สอนและนักศึกษาสนทนาแลกเปล่ยี นถงึ ปัญหาของชุมชน ผลกระทบดา้ นตา่ งๆทม่ี ีในปจั จบุ ันวา่ เปน็ อย่างไร ข้ันที่ 2 แสวงหาขอ้ มลู และจดั การเรยี นรู้ (N : New ways of learning) 1. ให้นกั ศกึ ษาทําแบบทดสอบก่อนเรยี นดว้ ย Google form เพ่ือทดสอบความรเู้ บือ้ งต้น 2. ใหน้ ักศึกษาศึกษาเรื่อง พันธกุ รรมและความหลากหลายทางชวี ภาพ 3. ครใู ชส้ ่ือ You Tube เรอ่ื ง พันธุกรรมและความหลากหลายทางชีวภาพ เพ่ืออธบิ ายความรู้ เพิม่ เติมให้นกั ศกึ ษา
81 ขน้ั ท่ี 3 การปฏบิ ตั แิ ละการนําไปใช้ (I : Implementation) 1. ผ้เู รยี นสามารถนาํ ความรู้ และประสบการณห์ ลงั จากการเรยี นรู้ด้วยตนเอง 2. ผู้เรียนสามารถแก้ไขปญั หา อุปสรรคในการทาํ งานไดแ้ ต่ละคร้งั พรอ้ มสรปุ จัดทํา รายงานรวบรวมเปน็ แฟมู สะสมงาน ข้นั ท่ี 4 การประเมินผลการเรียนรู้ (E : Evaluation) 1. ครูและผ้เู รยี นนําแฟมู สะสมผลงาน และผลงานท่ีได้จากการปฏบิ ตั ิ สรุปเปน็ องค์ ความรเู้ พื่อใชเ้ ป็นแนวทาง กระบวนการปฏิบตั ิงาน 2. ครูวัดผลประเมินผลผเู้ รยี นจากเกณฑว์ ดั ผลประเมินผล 3. ครสู ามารถประเมินผลการเรยี นรูข้ องผู้เรยี น และผู้เรยี นสามารถประเมนิ ความรู้ ภายในกลุ่มหรือของตนเองได้ 10. ส่ือ/แหล่งเรยี นรู้ 1. ใบความรู้ 2. หนงั สือเรยี น 3. ใบงาน 11. การวัดและประเมนิ ผล 11.1 วิธกี ารวดั และประเมินผล - แบบประเมนิ ผลการสงั เกตพฤติกรรมการทาํ งานรว่ มกบั ผู้อื่นของนักศึกษารายบุคคล - ใบงาน - แบบทดสอบก่อนเรยี น-หลงั เรยี น 11.2 เครือ่ งมอื วัดและประเมินผล. - ประเมินผลการสังเกตพฤตกิ รรมการทํางานร่วมกบั ผ้อู น่ื ของนักศึกษารายบคุ คล - ผลจากการตรวจใบงาน - คะแนนแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน 11.3 เกณฑก์ ารวัดและการประเมนิ ผล - แบบประเมินผลการสงั เกตพฤติกรรมการทํางานรว่ มกับผูอ้ ื่นของนักศึกษารายบคุ คล ระดับดี พอใช้ และควรปรบั ปรงุ - ใบงานคะแนนเต็ม 10 คะแนน - แบบทดสอบก่อนเรยี น-หลงั เรยี น เกณฑ์ผ่านและไมผ่ ่าน
82 กจิ กรรมเสนอแนะ ............................................................................................................................. ............................................................ ............................................................................................................................................................. ลงชื่อ……………………………………...ครูผสู้ อน (นายพงศกร อุดมอริยทรัพย์) ครู กศน.ตาํ บล ขอ้ เสนอแนะของผูบ้ ริหาร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………...... ลงชื่อ………………………………………………………ผอู้ นมุ ตั แิ ผน (นางปทั มาภรณ์ ศรีเนตร) ผู้อํานวยการ กศน.อาํ เภอจตุรพกั ตรพิมาน
83 บันทกึ หลังการจดั การเรยี นรู้ คร้งั ที่ 9 วนั ท่ี 21 เดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2565 ครูผสู้ อน นายพงศกร อดุ มอรยิ ทรพั ย์ ระดับ มัธยมศึกษาตอนปลาย เวลา 09.00-12.00 น. สาระความรู้พน้ื ฐาน รายวชิ า วทิ ยาศาสตร์ รหสั วชิ า พว31001 จํานวนผ้เู รียนทงั้ หมด ............... คนเขา้ เรียน…………………คน ไม่เข้าเรยี น……………………….คน 1. ผลการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้การประเมินโดยใช้ แบบทดสอบก่อนเรยี น - หลังเรียน พบว่า คะแนนการทดสอบหลงั เรียน มากกว่ากอ่ นเรยี นจาํ นวน ........ คนคดิ เปน็ รอ้ ยละ............ คะแนนการทดสอบหลงั เรียน น้อยกว่าก่อนเรียนจาํ นวน ......... คนคดิ เปน็ ร้อยละ............ 2. เนื้อหา/สาระ ............................................................................................................................. ......................................... ............................................................................................................................. ......................................... .................................................................................. .............................................................................. ...... 3. กจิ กรรมการเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ......................................... ......................................................................................... ....................................................................... ...... ............................................................................................................................. ......................................... 4. ปัญหา/อุปสรรค การเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ......................................... .................................................................... ............................................................................................ ...... ............................................................................................................................. ......................................... ............................................................................................................................. ......................................... 5. แนวทางการแก้ปญั หา .......................................................... ...................................................................................................... ...... ............................................................................................................................. ......................................... ............................................................................................................................. ......................................... ลงชอื่ ..................................................ครูผ้สู อน. (นายพงศกร อดุ มอรยิ ทรพั ย์) ครู กศน.ตําบล วนั ท่.ี .........../.............../.................. ความคิดเหน็ /ขอ้ เสนอแนะของผู้บริหาร ............................................................................................................................. ............................................................ ................................................................................................................................................................... ลงช่อื .................................................................. (นางปทั มาภรณ์ ศรเี นตร) ผ้อู าํ นวยการ กศน.อาํ เภอจตุรพกั ตรพมิ าน
84 ใบความรู้ที่ เรอ่ื งพันธกุ รรมและความหลากหลายทางชีวภาพ เร่อื ง พนั ธกุ รรมและความหลากหลายทางชีวภาพ การถ่ายทอดลักษณะทางพันธกุ รรม ลกั ษณะทางพนั ธุกรรม ส่ิงมีชีวิตแต่ละชนิดมีลักษณะเฉพาะตัว ทําให้สิ่งมีชีวิตแตกต่างกัน เช่น ลักษณะสีผิว ลักษณะเส้นผม ลักษณะสีตา สีและกล่ินของ ดอกไม้ รสชาตขิ องผลไม้ เสยี งของนกชนดิ ตา่ ง ๆ ลกั ษณะเหลา่ นจี้ ะถกู ส่งผ่านจากพ่อ แม่ ไปยังลูกได้ หรือส่งผ่านจากคนรุ่นหนึ่งไปยัง รนุ่ ต่อไป ลกั ษณะทีถ่ ูกถา่ ยทอดน้ีเรียกว่า ลกั ษณะทางพันธุกรรม ( genetic character ) การที่จะพิจารณาวา่ ลกั ษณะใดลกั ษณะหน่ึง เปน็ ลักษณะทางพันธุกรรมนนั้ ตอ้ งพจิ ารณาหลาย ๆ รนุ่ เพราะลักษณะบางอย่างไม่ปรากฏในร่นุ ลกู แตป่ รากฏในรุ่นหลาน ลกั ษณะต่าง ๆ ในสง่ิ มชี ีวิตท่เี ปน็ ลกั ษณะทางพนั ธุกรรม สามารถถ่ายทอดจากรุ่นหนึ่งไปยังรุ่นต่อ ๆ ไปโดยผ่านทางเซลล์สืบพันธุ์ เป็น หนว่ ยกลางในการถ่ายทอดเมอ่ื เกดิ การปฏสิ นธิระหวา่ งเซลล์ไข่ของแม่และเซลล์อสุจขิ องพ่อ สิ่งมีชีวิตชนิดหน่ึง มีลักษณะเฉพาะตัวที่แตกต่างจากลักษณะของสิ่งมีชีวิตชนิดอ่ืน ๆ เราจึงอาศัยคุณสมบัติเฉพาะตัวที่ไม่ เหมือนกันในการระบชุ นิดของส่ิงมีชวี ิต ลูกแมวได้รับการถ่ายทอดลกั ษณะพันธกุ รรมจากพ่อแม่ ผลไมช้ นิดตา่ ง ๆ แมว้ า่ สิ่งมีชีวิตชนดิ เดยี วกันยงั มลี กั ษณะทีแ่ ตกต่างกนั เชน่ คนจะมีรปู รา่ ง หนา้ ตา กิริยาท่าทาง เสยี งพูด ไม่เหมือนกัน เราจึงบอกได้ว่า เป็นใคร แม้ว่าจะเป็นฝาแฝดร่วมไขค่ ล้ายกันมาก เมื่อพิจารณาจรงิ แลว้ จะไมเ่ หมือนกัน ลักษณะของสิ่งมีชีวิต เช่น รูปร่าง สีผิว สี และกลิ่นของดอกไม้ รสชาติของผลไม้ ลักษณะเหล่านี้สามารถมองเห็นและสังเกตได้ง่าย แต่ลักษณะของสิ่งมีชีวิตบางอย่างสังเกตได้ ยาก ตอ้ งใช้วธิ ซี บั ซอ้ นในการสังเกต เชน่ หมเู่ ลือด สติปญั ญา เปน็ ตน้ ความแปรผันของลักษณะทางพันธกุ รรม ความแปรผนั ของลักษณะทางพันธกุ รรม(genetic variation) หมายถงึ ลักษณะทแ่ี ตกตา่ งกนั เน่ืองจากพันธุกรรมท่ีไม่เหมือนกัน และสามารถถา่ ยทอดไปสูร่ นุ่ ลกู ได้ โดยลูกจะได้รับการถา่ ยทอดลักษณะทางพันธกุ รรมมาจากพ่อครึ่งหนึ่งและได้รับจากแม่อีกคร่ึงหนึ่ง เช่น ลักษณะเสน้ ผม สขี องตา หมู่เลือด ซึ่งแบง่ ออกเป็น 2 แบบ คือ 1. ลักษณะท่ีมีความแปรผันแบบต่อเนื่อง ( continuous variation) เป็นลักษณะทางพันธุกรรมท่ีไม่สามารถแยกความแตกต่างได้ชัดเจน ลกั ษณะพนั ธกุ รรมเชน่ น้ี มักเกยี่ วข้องกันทางดา้ นปรมิ าณ เช่น ความสูง น้ําหนัก โครง ร่าง สีผิว ลักษณะ ที่มีความแปรผันต่อเน่ืองเป็นลักษณะที่ได้รับอิทธิพลจาก พนั ธุกรรม และสิ่งแวดล้อมรว่ มกนั
85 ลักษณะทีม่ คี วามแปรผันต่อเนื่อง 2. ลักษณะที่มีความแปรผันแบบ 1598237416000000000000 ไมต่ ่อเน่อื ง (discontinuous variation) เป็น ลักษณะทางพันธุกรรมท่ีสามารถแยกความ แตกต่างได้อย่างชัดเจน ไม่แปร ลกั ษณะทม่ี คี วามแปรผนั ไม่ต่อเนื่อง ผันตามอิทธิพลของสิ่งแวดล้อม ลักษณะทาง พันธุกรรมเช่นนี้เป็นลักษณะที่เรียกว่า ลักษณะทางคุณภาพ ซึ่งเกิดจากอิทธิพลทาง พันธุกรรมเพยี งอยา่ งเดียว เชน่ ลักษณะหมเู่ ลอื ด ลักษณะเส้นผม ความถนัดของมอื จํานวนชั้นตา เปน็ ต้น การศกึ ษาการถา่ ยทอดลกั ษณะทางพนั ธศุ าสตร์ เกรเกอร์ เมนเดล (Gregor Mendel) เป็นบาทหลวงชาวออสเตรีย ด้วยความเป็นคน รักธรรมชาติ รู้จักวิธีการ ปรบั ปรงุ พันธุ์พชื และสนใจด้านพนั ธกุ รรม เมนเดลไดผ้ สมถว่ั ลนั เตา เพือ่ ศกึ ษาการถา่ ยทอดลักษณะทางพนั ธุกรรมลักษณะภายนอก ของถ่ัวเตาท่ีเมนเดลศึกษามีหลายลักษณะ แต่เมนเดลได้เลือกศึกษาเพียง 7 ลักษณะ โดยแต่ละลักษณะนั้นมีความแตกต่างกันอย่าง ชดั เจน เชน่ ต้นสูงกบั ตน้ เต้ยี ลักษณะเมล็ดกลมกับเมล็ดขรุขระถ่ัวท่ีเมนเดลนํามาใช้เป็นพ่อพันธุ์และแม่พันธ์ุน้ันเป็นพันธ์ุแท้ท้ังคู่ โดย การนําต้นถั่วลันเตาแต่ละสายพันธุ์มาปลูกและผสมภายในดอกเดียวกัน เม่ือต้นถ่ัวลันเตาออกฝัก นําเมล็ดแก่ไปปลูก จากนั้นรอ จนกระทงั่ ตน้ ถัว่ ลันเตาเจริญเติบโต จึงคัดเลือกต้นท่ีมีลักษณะเหมือนพ่อแม่ นํามาผสมพันธ์ุต่อไปด้วย วิธีการเช่นเดียวกับคร้ังแรกทํา เช่นนี้ต่อไปอีกหลาย ๆ รุ่น จนได้เปน็ ตน้ ถ่วั ลนั เตาพนั ธ์แุ ทม้ ีลักษณะเหมอื นพ่อแม่ทกุ ประการ จากการผสมพันธรุ์ ะหวา่ งต้นถ่ัวลนั เตาท่มี ีลกั ษณะแตกต่างกัน 7 ลักษณะ เมนเดลไดผ้ ลการทดลองดงั ตาราง ตารางแสดงผลการทดลองของเมนเดล ลกั ษณะของพ่อแม่ทีใ่ ชผ้ สม ลูกรุ่นที่ 1 ลักษณะทป่ี รากฏ ลกู รนุ่ ที่ 2 เมลด็ กลม X เมล็ดขรขุ ระ เมลด็ กลมทกุ ตน้ เมล็ดกลม 5,474 เมล็ด เมล็ดสเี หลอื ง X เมล็ดสีเขยี ว เมล็ดสีเหลืองทกุ ต้น เมลด็ ขรขุ ระ 1,850 เมลด็ เมล็ดสเี หลือง 6,022 ต้น ฝกั อวบ X ฝกั แฟบ ฝักอวบทกุ ตน้ เมล็ดสีเขียว 2,001 ตน้ ฝกั อวบ 882 ตน้ ลกั ษณะของพอ่ แมท่ ่ใี ช้ผสม ลกู ร่นุ ที่ 1 ฝักแฟบ 229 ตน้ ลักษณะทปี่ รากฏ ฝกั สเี ขยี ว X ฝกั สเี หลอื ง ฝักสีเขยี วทุกต้น ลกู รนุ่ ท่ี 2 ฝักสเี ขียว 428 ตน้
86 ดอกเกิดที่ลําต้น X ดอกเกิดท่ี ดอกเกิดที่ลําตน้ ทุกตน้ ฝักสเี หลอื ง 152 ต้น ยอด ดอกเกดิ ทีล่ ําต้น 651 ต้น ดอกเกดิ ที่เกดิ ยอด 207 ต้น ดอกสมี ่วง X ดอกสีขาว ดอกสีมว่ งทกุ ตน้ ดอกสมี ว่ ง 705 ตน้ ดอกสขี าว 224 ต้น ตน้ สงู X ตน้ เตยี้ ต้นสูงทกุ ต้น ตน้ สงู 787 ตน้ ตน้ เตีย้ 277 ตน้ X หมายถงึ ผสมพนั ธุ์ เมนเดลเรียกลักษณะต่าง ๆ ที่ปรากฏในลูกรุ่นท่ี 1 เช่น เมล็ดกลม ลําต้นสูง เรียกว่า ลักษณะเด่น ( dominance ) ส่วน ลักษณะที่ไม่ปรากฏในรุ่นลูกที่ 1 แต่กลับปรากฏในรุ่นที่ 2 เช่น เมล็ดขรุขระ ลักษณะต้นเต้ีย เรียกว่า ลักษณะด้อย ( recessive ) ซึ่ง ลักษณะแต่ละลกั ษณะในลูกรุ่นที่ 2 ให้อัตราสว่ น ลกั ษณะเดน่ : ลกั ษณะดอ้ ย ประมาณ 3 : 1 จากสัญลักษณ์ตัวอักษรภาษาอังกฤษ ( TT แทนต้นสูง, tt แทนต้นเต้ีย )แทนยีนท่ีกําหนด เขียนแผนภาพแสดงยีนที่ควบคุม ลกั ษณะ และผลของการถา่ ยทอดลักษณะในการผสมพนั ธ์รุ ะหวา่ งถว่ั ลนั เตาตน้ สงู กบั ถวั่ ลันเตาต้นเต้ีย และการผสมพันธุ์ระหว่างลูกรุ่น ที่ 1 ได้ดังแผนภาพ พ่อแม่ เซลลส์ ืบพนั ธุเ์ พศผู้ เซลลส์ ืบพนั ธุเ์ พศเมีย ลูกรุ่นท่ี 1 ผลของการผสมพนั ธร์ุ ะหว่างถั่วลนั เตาตน้ สงู กับถัว่ ลันเตาต้นเตยี้
87 ในลกู รุ่นที่ 1 เมื่อยนี T ทีค่ วบคุมลกั ษณะตน้ สงู ซ่ึงเป็นลักษณะเด่น เข้าคูก่ ับยนี t ทีค่ วบคมุ ลักษณะตน้ เต้ียซึ่งเป็นลกั ษณะด้อย ลักษณะที่ ลกู รุน่ ท่ี 1 เซลลส์ บื พนั ธุเ์ พศผู้ เซลลส์ บื พนั ธุเ์ พศ เมยี ลูกรุ่นที่ 2 ผลของการผสมพันธรุ์ ะหวา่ งลูกรุ่นท่ี 1 ต่อมานกั ชีววทิ ยารุ่นหลงั ไดท้ าํ การทดลองผสมพนั ธุ์ถว่ั ลนั เตาและพืชชนดิ อืน่ อีกหลายชนิด แลว้ นํามาวเิ คราะห์ขอ้ มลู ทางสถิติ คล้ายกับทเ่ี มนเดลศึกษา ทําให้มีการรื้อฟ้ืนผลงานของเมนเดล จนในท่ีสุดนักชีววิทยาจึงได้ให้การยกย่องเมนเดลว่าเป็นบิดาแห่งวิชา พันธุศาสตร์ หนว่ ยพนั ธกุ รรม โครโมโซมของส่ิงมชี วี ิต หน่วยพื้นฐานท่สี าํ คญั ของสิง่ มีชีวติ คือ เซลลม์ ีส่วนประกอบทส่ี ําคญั 3 ส่วน ไดแ้ ก่ นวิ เคลียส ไซโทพลาสซึมและเยื่อหุ้มเซลล์ ภายในนิวเคลยี สมีโครงสร้างท่ีสามารถติดสีได้ เรียกว่า โครโมโซม และพบว่าโครโมโซมมีความเก่ียวข้องกับการถ่ายทอดลักษณะทาง พนั ธุกรรม โดยท่วั ไปส่ิงมีชีวติ แต่ละชนดิ หรือสปีชสี ์ (species)จะมจี ํานวนโครโมโซมคงที่ดงั แสดงในตาราง ตารางจาํ นวนโครโมโซมของเซลลร์ ่างกายและเซลลส์ บื พันธขุ์ องสง่ิ มชี วี ิตบางชนดิ ชนดิ ของสง่ิ มชี ีวิต จาํ นวนโครโมโซม ในเซลลร์ ่างกาย ( แทง่ ) ในเซลลส์ ืบพนั ธุ์ ( แท่ง ) แมลงหว่ี 8 4 ถ่ัวลนั เตา 14 7 ขา้ วโพด 20 10
ข้าว 24 88 ออ้ ย 80 ปลากดั 42 12 คน 46 40 ชมิ แปนซี 48 21 ไก่ 78 23 แมว 38 24 39 19 โครโมโซมในเซลลร์ า่ งกายของคน 46 แท่ง นํามาจดั คู่ได้ 23 คู่ ซึ่งแบ่งได้เปน็ 2 ชนดิ คือ 1. ออโตโซม ( Autosome ) คอื โครโมโซม 22 คู่ ( คทู่ ่ี 1 – 22 ) ทีเ่ หมอื นกันทง้ั เพศหญิงและเพศชาย 2. โครโมโซมเพศ ( Sex Chromosome ) คอื โครโมโซมอกี 1 คู่ ( ค่ทู ่ี 23 ) ในเพศหญงิ และเพศชายจะต่างกัน เพศหญิงมีโครโมโซมเพศ แบบ XX สว่ นเพศชายมีโครโมโซมเพศแบบ XY โดยโครโมโซม Y จะมขี นาดเลก็ กว่าโครโมโซม X ยีน และ DNA ยีน เป็นส่วนหน่ึงของโครโมโซม โครโมโซมหนึ่ง ๆ มียีนควบคุมลักษณะต่าง ๆ เป็นพัน ๆ ลักษณะ ยีน ( gene ) คือ หน่วย พันธุกรรมท่คี วบคมุ ลกั ษณะตา่ ง ๆ จากพ่อแม่โดยผ่านทางเซลล์สืบพนั ธ์ไุ ปยังลูกหลาน ยีนจะอยู่เป็นคู่บนโครโมโซม โดยยีนแต่ละคู่จะ ควบคุมลักษณะท่ถี ่ายทอดทางพนั ธกุ รรมเพียงลักษณะหน่ึงเท่าน้ัน เช่น ยีนควบคุมลักษณะสีผิว ยีนควบคุมลักษณะลักยิ้ม ยีนควบคุม ลักษณะจํานวนชัน้ ตา เปน็ ตน้ ภายในยนี พบวา่ มีสารเคมที ่ีสาํ คัญชนดิ หนง่ึ คือ DNA ซ่งึ ยอ่ มาจาก Deoxyribonucleic acid ซง่ึ เปน็ สารพนั ธุกรรม พบในสิ่งมีชีวิต ทุกชนิด ไมว่ ่าจะเป็นพชื สัตว์ หรอื แบคทเี รียซึ่งเป็นส่งิ มีชวี ติ เซลลเ์ ดยี ว เป็นตน้ DNA เกิดจากการตอ่ กันเป็นเสน้ โมเลกุลยอ่ ยเป็นสายคล้ายบันไดเวียน ปกตจิ ะอยเู่ ป็นเกลยี วคู่
89 ดเี อ็นเอเป็นสารพนั ธกุ รรมท่ีอยภู่ ายในโครโมโซมของสิง่ มชี ีวติ ในสิ่งมชี วี ติ แตล่ ะชนิดจะมีปรมิ าณ DNA ไม่เท่ากัน แต่ในสิ่งมชี ีวติ เดียวกนั แต่ละเซลล์มปี รมิ าณ DNA เทา่ กนั ไม่ว่าจะเป็นเซลล์ กลา้ มเน้ือ หัวใจ ตับ เปน็ ต้น ความผิดปกตขิ องโครโมโซมและยนี สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดมีลักษณะแตกต่างกัน อันเป็นผลจากการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม แต่ในบางกรณีพบบุคคลท่ีมี ลักษณะบางประการผิดไปจากปกติเน่ืองจากความผิดปกตขิ องโครโมโซมและยนี ความผดิ ปกติทางพนั ธุกรรมที่เกดิ ในระดบั โครโมโซม เชน่ ผูป้ ุวยกลุ่มอาการดาวน์ มจี ํานวนโครโมโซมคู่ท่ี 21 เกินกว่าปกติ คือมี 3 แท่ง ส่งผลให้มีความผดิ ปกติทางร่างกาย เชน่ ตาชี้ขึน้ ลิน้ จุกปาก ด้งั จมูกแบน นิว้ มอื สั้นปูอม และมีการพฒั นาทางสมองชา้ ความผิดปกติทางพันธกุ รรมท่ีเกิดในระดบั ยนี เชน่ โรคธาลัสซเี มยี เกดิ จากความผิดปกติของยีนท่ีควบคุมการสร้างฮีโมโกลบิน ผู้ปุวยมี อาการซีด ตาเหลอื ง ผวิ หนังคล้าํ แดง ร่างกายเจรญิ เตบิ โตช้า และตดิ เชอื้ ง่าย ก. ผู้ปุวยอาการดาวน์ ข. ผู้ปุวยท่เี ป็นโรคธาลัสซีเมยี ตาบอดสี เป็นความผิดปกติทางพันธุกรรมในระดับยีน ผู้ที่ตาบอดสีจะมองเห็นสีบางชนิด เช่น สีเขียว สีแดง หรือสีนํ้าเงินผิดไปจาก ความเป็นจริง
90 คนท่ีตาบอดสีส่วนใหญม่ กั ไดร้ บั การถา่ ยทอดทางพนั ธกุ รรมจากพอ่ แม่หรอื บรรพบุรษุ แตค่ นปกติการเกิดตาบอดสีได้ถ้าเซลล์ เกี่ยวกับการรับสีภายในตาได้รับความกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงดังน้ันคนที่ตาบอดสีจึงไม่เหมาะแก่การประกอบอาชีพบางอาชีพ เชน่ ทหาร แพทย์ พนกั งานขับรถ เปน็ ต้น การกลายพันธ์ุ (mutation) การกลายพนั ธุ์เป็นการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมในระดับยีนหรอื โครโมโซม ซึง่ เป็นผลมาจากการเปลย่ี นแปลงท่เี กิดข้นึ กับดี เอน็ เอ ซ่ึงมผี ลต่อการสงั เคราะห์โปรตีนในเซลล์ของสิ่งมชี ีวติ โดยที่โปรตีนบางชนิดทําหน้าที่เป็นโครงสร้างของเซลล์และเนื้อเย่ือ บาง ชนดิ เป็นเอนไซม์ควบคุมเมแทบอลิซมึ การเปล่ียนแปลงของ
91 แบบทดสอบก่อนเรียน-หลงั เรยี น เร่อื งพนั ธุกรรมและความหลากหลายทางชีวภาพ 1. การถ่ายทอดลกั ษณะต่างๆจากรุ่นหนง่ึ ไปสู่อีกรุน่ หนึง่ เรยี กวา่ ก. ยีน ข. ดีเอน็ เอ ค. พนั ธกุ รรม ง. โครโมโซม 2. ขอ้ ใดไม่ใช้ลกั ษณะการถา่ ยทอดทางพันธกุ รรม ก. สีผิว ข. สตปิ ญั ญา ค. ความรู้ ง. ลักย้มิ 3. ใครคือบดิ าแหง่ พนั ธศุ าสตร์ ก. อริสโตเตลิ ข. เกรเกอร์ เมนเดล ค. โทมสั แอดสิ ัน ง. รักเทอร์ ฟอรด์ 4. ส่ิงที่ควบคมุ ลกั ษณะทางพันธุกรรม คือ ก. ยีน ข. ดี เอน็ เอ ค. โครโมโซม ง. อาร์ เอ็น เอ 5. ข้อใดไม่ใช่โรคท่ีเกดิ จากการผิดปกติทางพันธุกรรม ก. โรคธาลสั ซเี มยี ข. โรคตาบอดสี ค. โรคดาวน์ซินโดม ง. โรคไข้เลอื ดออก 6. โครโมโซมเพศอยทู่ ่คี ู่เทา่ ใด ก. คทู่ ี่ 20 ข. คูท่ ่ี 21 ค. คูท่ ่ี 22 ง. คู่ที่ 23 7. การเปล่ยี นแปลงสภาพของยีนทผ่ี ดิ ปกติไปจากเดิมเรยี กว่าอะไร ก. พันธุกรรม ข. การตดั ต่อยีน ค. การผ่าเหลา่ ง. ถูกทุกข้อ
92 8. ขอ้ ใดเปน็ ประโยชน์ของอนุกรมวธิ าน ก. เพ่อื ความสะดวกทจี่ ะนํามาศึกษา ข. เพอ่ื สะดวกในการนํามาใช้ประโยชน์ ค. เพือ่ เป็นการฝึกทักษะในการจัดจาํ แนกสง่ิ ตา่ งๆ ง. ถกู ทุกข้อ 9. การจัดหมวดหมู่ ของสง่ิ มชี ีวติ ช้ันใดใหญ่ที่สดุ ก. จีนสั ข. ไฟลมั ค. อาณาจักร ง. ออรเ์ ดอร์ 10.การจดั หมวดหมู่ ของส่งิ มีชีวิตชั้นใดเล็กที่สดุ ก. จีนัส ข. ไฟลมั ค. อาณาจักร ง. ออรเ์ ดอร์
93 แผนการจัดการเรยี นรูร้ ายวิชาวิทยาศาสตร์ ครั้งที่ 10 ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2565 ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย กศน.ตาบลหนองผือ 1. สัปดาหท์ ่ี 11 วันที่ 2 เดอื น สงิ หาคม พ.ศ. 2565 เวลา 09.00-12.00 น. 2. วชิ า วทิ ยาศาสตร์ รหัสวชิ า พว311001 จํานวน 5 หน่วยกิต 3. มาตรฐานท่ี มคี วามรู้ ความเขา้ ใจ ทักษะ และเหน็ คุณค่าเก่ียวกับกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สิ่งมชี วี ิต ระบบนเิ วศทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดลอ้ ม ในท้องถิน่ ประเทศและโลก สาร แรง พลังงาน กระบวนการ เปลยี่ นแปลงของโลก และดาราศาสตร์ มีจิตวทิ ยาศาสตร์และนาความรู้ไป 4. หน่วยการเรียนร/ู้ เรื่อง ประเภทของโครงงานวิทยาศาสตร์ 5. สาระสําคญั 1. โครงงานวิทยาศาสตรป์ ระเภทสาํ รวจ เป็นโครงงานท่ีผูศ้ ึกษา ศึกษาโดยการสํารวจข้อมูลแล้วนาํ ข้อมลู ที่ได้มาจดั กระทาํ ใหม่ใหเ้ ปน็ ระบบและ นําเสนอในรปู แบบ ตาราง กราฟ แผนภมู ิ หรือคาํ อธิบาย 2. โครงงานวิทยาศาสตรป์ ระเภททดลอง เปน็ โครงงานท่ีผู้ศกึ ษาจะต้องออกแบบการทดลอง และดําเนินการทดลอง 3. โครงงานวทิ ยาศาสตร์ประเภทพฒั นาหรือสิง่ ประดษิ ฐ์ เป็นการประดษิ ฐ์หรือพัฒนาส่งิ ประดิษฐ์ สร้างอปุ กรณ์เคร่อื งมือเคร่ืองใช้ โดยการประยุกต์นําหลกั การทาง วิทยาศาสตรม์ าใช้ เพ่ือให้ไดส้ ่ิงประดษิ ฐ์ที่มปี ระสิทธภิ าพเพ่ือประโยชน์ใชส้ อยตา่ ง ๆ 4. โครงงานวทิ ยาศาสตรป์ ระเภททฤษฏีหรืออธิบาย เป็นโครงงานทผ่ี ูศ้ ึกษาเสนอทฤษฏหี รอื คําอธิบายสิ่งตา่ ง ๆ หรือปรากฏการณ์แนวคดิ ใหม่ ๆ ท่ผี ูศ้ ึกษานํา หลกั การทางวิทยาศาสตร์ ทฤษฏหี รือข้อมูลมาสนับสนุน 6. เน้อื หา 1. ประเภทของโครงงาน 2. การเลอื กหวั ขอ้ โครงงาน 3. การวางแผนการกระทาํ โครงงาน 4. การนําเสนอโครงงาน 5. ประโยชน์ของโครงงานเพื่อการพฒั นาคุณภาพชวี ิต 7. จดุ ประสงค์การเรียนรู้/ผลการเรยี นรทู้ คี่ าดหวงั (ดูจากผังการออกข้อสอบ) 1. อธิบายประเภท เลือกหัวข้อ วางแผน วิธีทาํ นําเสนอและประโยชน์ของโครงงาน 2. นาํ ความรเู้ ก่ยี วกบั วิทยาศาสตร์ กระบวนการทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละโครงงานไปใช้ 3. วางแผนการทาํ โครงงาน 4. ทาํ โครงงานวิทยาศาสตร์ 5. อธิบายและบอกแนวไดใ้ นการนําผลจากโครงงานไปใช้ 6. นําความรู้เก่ยี วกับวทิ ยาศาสตร์ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และโครงงานไปใช้
94 ๘. การบูรณาการกบั หลกั แนวคดิ ของเศรษฐกจิ พอเพียง (2 เงื่อนไข 3 หลักการ การเชื่อมโยงสู่ 4 มติ ิ) ความรู้ - นักศึกษามีความรเู้ ร่ือง โปรตนี จากรงั ไหม ,สรรพคณุ จากรงั ไหม - อปุ กรณ์ และวิธกี ารทาสบรู่ ังไหม คณุ ธรรม - มีความมงุ่ ม่ันในการทางาน - มคี วามสามคั คใี นหมู่คณะ - ใฝห่ าความรเู้ พือ่ พฒั นาอยู่เสมอ พอประมาณ - ร้จู กั อตั ราสว่ นของรังไหมตอ่ กลเี ซอรนี ที่ทาให้ได้ผลติ ภัณฑส์ บู่ทไ่ี ด้มาตรฐาน และมี คณุ ภาพ - ใช้รงั ไหมในท้องถิน่ ทาเปน็ สบู่ได้อยา่ งคุ้มคา่ และเกิดประโยชนส์ ูงสุด มเี หตุผล - ได้ความรู้เกย่ี วกบั โปรตนี ในรงั ไหม - ไดส้ บูร่ ังไหมทีเ่ ป็นผลิตภณั ฑจ์ ากธรรมชาติใชแ้ ทนสบู่ในท้องตลาดท่เี ส่ียงต่อ สารเคมี มีภมู ิคมุ้ กัน - รู้จักการทาสบู่จากรังไหมเป็นผลติ ภัณฑท์ างธรรมชาตซิ งึ่ ปลอดภัยไม่มสี ารพษิ ตกคา้ ง - สามารถตอ่ ยอดความรู้ สร้างผลติ ภณั ฑ์ สร้างรายไดใ้ หช้ มุ ชน วตั ถุ - รูจ้ กั เลือกใช้ผลติ ภณั ฑ์ในทอ้ งถ่ินได้อย่างคมุ้ ค่าและเหมาะสม - มีทักษะในการใชอ้ ปุ กรณว์ ทิ ยาศาสตร์ และการดแู ลรกั ษา สงั คม - มีทักษะการอยรู่ ่วมกนั ในกลุ่ม และทางานร่วมกบั ผู้อ่นื ได้อย่างมคี วามสขุ - สามารถนาความรูด้ า้ นโครงงานวิทยาศาสตร์ และการทาสบไู่ ปตอ่ ยอดให้กบั ชมุ ชน ส่ิงแวดล้อม - รู้จกั การนํารงั ไหมที่มอี ย่ใู นทอ้ งถน่ิ มาพัฒนาเป็นสบรู่ งั ไหมไดอ้ ยา่ งคุ้มค่า และเกิด ประโยชน์สงู สดุ - สบจู่ ากรงั ไหมเป็นผลิตภณั ฑ์ธรรมชาติ ไมเ่ ปน็ พิษต่อสิ่งแวดลอ้ ม วฒั นธรรม - ตอ่ ยอดภมู ิปญั ญาท้องถ่ินในการทาสบ่จู ากรังไหม เพื่อเพ่ิมมลู คา่ และพฒั นา ผลติ ภัณฑ์
95 9. กระบวนการจัดการเรียนรู้และกจิ กรรมการเรยี นรู้ ขั้นท่ี 1 กาํ หนดสภาพปญั หาการเรยี นรู้ ครูทบทวนความรู้เดิมของนักศึกษา โดยใช้คาถามช้นี าวา่ ในการเรยี นคร้ังกอ่ นเรื่องกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี “ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรข์ อ้ ใดทเ่ี ปน็ จดุ เร่ิมตน้ ในการคิดแบบวิทยาศาสตร์” ทกั ษะการสงั เกต จากนนั้ ครูให้นกั ศกึ ษายกตัวอย่างเรื่องการสังเกตในชีวติ ประจาวนั และครูโยงเนื้อหาทีจ่ ะสอนคอื โครงงานวทิ ยาศาสตร์ ว่าเป็นกจิ กรรมท่ีต้องใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการศึกษาค้นควา้ เกบ็ รวบรวมข้อมูล จนถึงการแปลผลสรุปผล และการเสนอผลการศกึ ษา ขนั้ ที่ 2 แสวงหาข้อมลู และจัดการเรยี นรู้ 1. ใหน้ ักศกึ ษาทาํ แบบทดสอบก่อนเรียนด้วย Google form เพือ่ ทดสอบความรู้เบ้อื งตน้ 2. ให้นักศึกษา ศึกษาเร่ืองประเภทของโครงงานวิทยาศาสตร์ และขัน้ ตอนการทําโครงงานวิทยาศาสตร์ จากหนังสือเรียนสาระความรู้พืน้ ฐาน รายวชิ าวทิ ยาศาสตรร์ ะดบั มัธยมศึกษาตอนปลาย รหสั พว31001 3. ครใู ช้ส่ือ Power point เร่ือง ประเภทของโครงงานวทิ ยาศาสตร์ และข้ันตอนการทําโครงงาน วิทยาศาสตร์(เคา้ โครงของโครงงานวิทยาศาสตร์) เพื่ออธิบายความรเู้ พ่มิ เตมิ ใหน้ ักศึกษา ข้นั ท่ี 3 การปฏบิ ัติและการนาไปใช้ ครใู หน้ กั ศึกษาระดมความคดิ ถอดบทเรียนโครงงานเร่อื งสบจู่ ากรังไหมให้สอดคลอ้ งกับ หลัก เศรษฐกิจพอเพยี งใส่กระดาษชาร์ท ขน้ั ที่ 4 การประเมินผลการเรยี นรู้ 1. ให้นักศึกษาออกมาหนา้ ชั้นเรียน เพื่อนําเสนอการถอดบทเรียนโครงงานเรื่องสบจู่ ากรัง ไหมใหส้ อดคล้องกับหลกั เศรษฐกจิ พอเพียง จากนนั้ ครูใหค้ ะแนน 2. แบบทดสอบหลงั เรยี น 10. ส่อื /แหล่งเรยี นรู้ 1. หนังสือเรยี นสาระความรู้พื้นฐาน รายวิชาวทิ ยาศาสตร์ระดับมธั ยมศึกษาตอนปลาย รหัส พว31001 2. Power point เร่ือง ประเภทของโครงงานวทิ ยาศาสตร์ และข้ันตอนการทาํ โครงงานวิทยาศาสตร์ 3. กระดาษชารท์ ถอดบทเรยี นโครงงานเรอื่ งสบู่จากรงั ไหมใหส้ อดคล้องกบั หลักเศรษฐกิจพอเพยี ง 10. การวดั และประเมนิ ผล การวดั ผลตามจุดประสงค์ เคร่อื งมือการวดั ผล เกณฑก์ ารประเมินผล ผา่ นการตอบคาถามได้ ความรู้ (Knowledge) แบบทดสอบหลังเรยี น 80% ข้นึ ไป อธิบายเรอ่ื งการฟัง การดู ผู้เรยี นจบั ประเด็นสาคัญ เข้าใจในหลักการ ฟงั การดู 80% ข้ึนไปมมี ารยาทในการ การพูดได้ ฟงั และการดู ผเู้ รยี น 80% ข้นึ ไปมสี ่วนร่วมในการอธิบาย ทักษะ (Skill) กระดาษชารท์ แลกเปลยี่ นความคิดเห็น เลอื กหวั ข้อการฟัง การดู ดาเนินการ นาเสนอ เจตคติ (Attitude) แบบสงั เกตพฤติกรรม มคี วามรสู้ ึก เจตคตทิ ด่ี ตี ่อ การฟัง การดู แบบมีเหตผุ ล
96 กจิ กรรมเสนอแนะ ............................................................................................................................. ............................................................ ......................................................................................................................................................................................... ลงช่ือ…………………………………………….ครูผู้สอน (นายพงศกร อดุ มอริยทรัพย์) ครู กศน.ตําบล ข้อเสนอแนะของผู้บริหาร ............................................................................................................................. ............................................................ ......................................................................................................................................................................................... ลงช่ือ………………………………………………………ผู้อนมุ ัตแิ ผน (นางปทั มาภรณ์ ศรีเนตร) ผอู้ าํ นวยการ กศน.อําเภอจตุรพกั ตรพิมาน
97 บนั ทกึ หลังการจัดการเรยี นรู้ กศน.ตาบลหนองผือ คร้ังที่ 10 วนั /เดอื น/ปวี ันที่ 2 เดือน สิงหาคม พ.ศ. 2565 ครผู ูส้ อนนายพงศกร อดุ มอริยทรัพย์ ระดับ มธั ยมศึกษาตอนปลาย เวลา 09.00-12.00 น. สาระความรู้พื้นฐาน รายวชิ า วิทยาศาสตร์ รหสั วชิ า พว31001 จาํ นวนผูเ้ รียนท้งั หมด ............... คนเขา้ เรียน…………………คน ไมเ่ ขา้ เรยี น……………………….คน 1. ผลการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้การประเมนิ โดยใช้ แบบทดสอบก่อนเรยี น - หลงั เรียน พบว่า คะแนนการทดสอบหลงั เรยี น มากกวา่ ก่อนเรยี นจานวน ........ คนคดิ เป็นรอ้ ยละ............ คะแนนการทดสอบหลังเรยี น น้อยกวา่ ก่อนเรยี นจานวน ......... คนคดิ เปน็ ร้อยละ............ 2. เนอื้ หา/สาระ/รายวิชา ............................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................ ....................................................................... 3. กิจกรรมการเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................................................. ...................................... 4. ปญั หา/อุปสรรคการเรยี นการสอน ................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ...................................... 5. แนวทางการแก้ปญั หา ............................................................................................................................. ...................................... ................................................................................................................................................................... ลงชื่อ.........................................................(ผูบ้ ันทกึ ) (นายพงศกร อุดมอริยทรัพย์) ครู กศน.ตาบล วนั ที่........./................/............... ความเหน็ /ข้อเสนอของผู้บรหิ าร ............................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................................................. ...................................... ลงชือ่ .................................................. (นางปัทมาภรณ์ ศรีเนตร) ผู้อานวยการ กศน.อาเภอจตุรพกั ตรพมิ าน
98 ใบความรู้ที่ 1 เร่ือง หวั ข้อโครงงาน 1. ช่ือโครงงาน \"สบู่จากรังไหม\" 2. ชื่อผูท้ าโครงงาน ................ 3. ชือ่ ที่ปรกึ ษาโครงงาน ................. 4. ทมี่ าและความสาคัญ เนอื่ งจากรังไหมเป็นวัตถดุ บิ ท้องถิน่ จากธรรมชาติที่มีประโยชน์ เช่น ตัวไหมทีเ่ ปน็ ดักแด้ไว้ รบั ประทาน เสน้ ไหมทีไ่ ดจ้ ากตวั ไหมใช้ทอผ้า อีกท้ังรังไหมยังประกอบดว้ ยโปรตนี 2 ชนดิ คือ ไฟโบรอิน และเซรซิ นิ ซงึ่ มสี รรพคณุ ในการยบั ย้ังแบคทีเรีย , ตา้ นอนุมูลอสิ ระ ,ปอู งกนั แสง UV และให้ความ ชุ่มชนื่ แก่ผวิ ดังนั้นผจู้ ัดทาํ จึงเหน็ ความสําคัญในการนาํ รงั ไหมมาสกัดโปรตีน เพื่อเนาํ ไปใช้ทาํ “สบจู่ ากรังไหม” จงึ เปน็ อีกหนงึ่ วิธีในการนํารงั ไหมมาใชใ้ หค้ ุ้มคา่ 5. วตั ถุประสงค์ 1. เพ่ือทําสบู่ที่มสี ว่ นผสมของโปรตีนจากรงั ไหม 2. เพื่อใชว้ สั ดุจากธรรมชาติในทอ้ งถ่ินมาใชป้ ระโยชน์ 3. ส่งเสริมให้คนหนั มาใช้ผลิตภณั ฑจ์ ากธรรมชาติไร้สารเคมี 6. สมมตฐิ านของโครงงาน(ถา้ ม)ี 7. วัสดุอปุ กรณ์ 1. หมอ้ ตนสแตนเลส 9. เทอร์โมมิเตอร์ 2. ทพั พี 10. เครอื่ งช่งั 3. มดี 11. นํา้ กล่ัน 4. กรรไกร 12. กลีเซอรีน 5. เขียง 13. พมิ พ์สบู่ 6. รังไหม 14. ดรอปเปอร์ 7. เตาแมเ่ หลก็ ไฟฟูา 8. นํ้ามนั หอมระเหย 8.วิธีดาเนินการ - การเตรียมรงั ไหม นาํ รังไหมไปชง่ั เพ่ือให้ไดน้ ํ้าหนกั ทต่ี ้องการ ใช้กรรไกรตัดให้เปน็ ช้ินเล็ก ๆ จากนัน้ นาํ ไปลา้ งทาํ ความ สะอาดด้วยน้าํ เปล่า พกั ใหส้ ะเดด็ นาํ้ ประมาณ 15 นาที -การตม้ รงั ไหม นํา้ กลัน่ ตอ่ รังไหม อตั ราส่วน 500 มลิ ลลิ ิตร : 21.39 กรัม ต้มน้ํากลัน่ ในหม้อต้มสแตนเลสที่ อุณหภูมิ 80-90 องศา ใส่รังไหมต้มไวเ้ ปน็ เวลา 30 นาที -วิธีทาสบู่ 1. ตวงปริมาตรนํ้ารงั ไหมที่ต้มได้ 35 กรมั เทใสภ่ าชนะ 2. ตุ๋นกลีเซอรีน 312 กรมั ใหล้ ะลายจนเป็นของเหลว
99 3. ใชเ้ ทอรโ์ มมเิ ตอรว์ ัดอุณหภูมขิ องนา้ํ รงั ไหม และกลีเซอรีนที่เตรียมไวใ้ หม้ ีอุณหภมู ิใกลเ้ คยี งกัน ประมาณ 40-50 องศา 4. เทกลีเซอรีน และน้ํารงั ไหมลงในภาชนะ จากนั้นใช้ทัพพีคนกลเี ซอรนี และนํา้ รงั ไหมให้เปน็ เนือ้ เดียวกนั ระหวา่ งคนให้ใชด้ รอปเปอร์หยดน้ํามนั หอมระเหย 1 หยด คนใหเ้ ขา้ กัน 5. จากน้นั เทใส่แม่พิมพส์ บู่ ต้ังท้ิงไว้ให้สบู่แขง็ ตัว แล้วแกะสบอู่ อกจากพิมพ์ 9. แผนปฏิบตั ิการ ....................... 10. ผลท่คี าดวา่ จะได้รับ 1. ได้สบูท่ ่ผี ลติ จากผลิตภณั ฑ์ทางธรรมชาติ ซงึ่ ปลอดภัยไม่มีสารพษิ ตกค้าง 2. สามารถต่อยอดความรู้ สร้างผลติ ภณั ฑ์ สร้างรายได้ 11. เอกสารอา้ งอิง ......................
100 แบบทดสอบ ก่อน-หลังเรียน เรอื่ ง ประเภทของโครงงานวิทยาศาสตร์ และขนั้ ตอนการทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ คาชแ้ี จง 1) แบบทดสอบเปน็ แบบเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จํานวน 5 ขอ้ ใชเ้ วลา 5 นาที 1. ประเภทของโครงงานวทิ ยาศาสตร์ จําแนกไดก้ ป่ี ระเภท ก. 2 ประเภท ข. 4 ประเภท ค. 5 ประเภท ง. 7 ประเภท 2. โครงงานประเภทใดท่มี ลี ักษณะกจิ กรรมที่เป็นการศึกษาหาคาํ ตอบด้วยกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ก. โครงงานประเภทสาํ รวจ ข. โครงงานประเภทการพัฒนาหรอื ประดิษฐ์ ค. โครงงานประเภททดลอง ง. โครงงานประเภทการสรา้ งทฤษฎีหรืออธิบาย 3. โครงงาน เรือ่ งเคร่ืองสง่ สัญญาณกันขโมย นักศึกษาคดิ ว่าเป็นโครงงานประเภทใด ก. โครงงานประเภทการพฒั นาหรอื ประดิษฐ์ ข. โครงงานประเภททดลอง ค. โครงงานประเภทสํารวจ ง. โครงงานประเภทการสร้างทฤษฎหี รอื อธิบาย 4. ข้นั ตอนการทําโครงงานวทิ ยาศาสตร์มีก่ขี น้ั ตอน ก. 3 ขนั้ ตอน ข. 5 ขนั้ ตอน ค. 7 ข้นั ตอน ง. 9 ข้นั ตอน 5. “เป็นข้อความสั้น ๆ กะทัดรัด ชดั เจน สื่อความหมายตรง และมคี วามเฉพาะเจาะจงวา่ จะศึกษาเรื่องใด” ข้อความ ดังกล่าวคอื สว่ นใดของรายงาน ก. ชอื่ โครงงาน ข. ทม่ี าและความสําคญั ค. วัตถปุ ระสงคโ์ ครงงาน ง. ผลทีค่ าดว่าจะได้รับ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183