Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เอกสารประกอบการจัดการเรียนการสอนสังคมศึกษา 5 ส33101

เอกสารประกอบการจัดการเรียนการสอนสังคมศึกษา 5 ส33101

Published by BURINTHORNVORAVITAR, 2020-05-16 07:22:59

Description: เอกสารประกอบการจัดการเรียนการสอนสังคมศึกษา ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 (มัธยมศึกษาตอนปลาย)
โดย
บุรินทรวรวิทย์ พ่วนอุ๋ย
(กศ.บ.วิชาการศึกษา สังคมศึกษา เกียรตินิยม)
ข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครู

เพื่อการเรียนการสอนออนไลน์ รายวิชาส33101 สังคมศึกษา 3 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนรัตนโกสินทร์สมโภชบางขุนเทียน
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 1
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ

Search

Read the Text Version

[DOCUMENT TITLE] [Document subtitle]



มาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบบั ท่ี 2) พ.ศ. 2545 และ (ฉบบั ท่ี 3) พ.ศ. 2553 ใหค้ วามสาคัญในการจัดการศึกษาท่ี ต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมี ความสาคัญท่ีสุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตาม ธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ ด้วยเหตุน้ีจึงเห็นความสาคัญของการจัดการเรียนรู้ให้ ผู้เรียนได้เรียนรู้เต็มตามศักยภาพ และพัฒนาตนเองอยู่ ตลอดเวลา โดยการใช้ส่ือกลาง ประกอบการการจัดการเรียนรู้เพ่ือเพ่ิมพูนทักษะการเรียนรู้ให้ผู้เรียนพัฒนาตนเองอย่าง มน่ั คง เอกสารประกอบการการเรียนรู้ สาระท่ี 1 ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 6 (ม.ปลาย) กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เกิดข้ึนด้วยความมุ่งม่ัน ตระหนัก เพื่อเพ่ิมพูนประสบการณ์ให้ม่ันคงถาวรแก่ผู้เรียน ใหผ้ ู้เรยี นไดเ้ กดิ การเรียนรตู้ ามความสามารถ และพฒั นาตนเองตามศักยภาพตลอดเวลา เอกสารประกอบการการเรียนรู้ สาระท่ี 1 ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 6 (ม.ปลาย) ฉบับนี้สอดคล้องกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้น พ้ืนฐาน พ.ศ.2551 ตามมาตรฐานการเรียนรู้ และตัวช้ีวัด (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) เป็นกรอบทิศทางในการกาหนดเน้ือหา ทักษะ กระบวนการเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนการ สอน รวมถึงการวัดและประเมินทักษะการเรียนรู้ของผู้เรียนประกอบด้วย 10 หน่วย การเรยี นรู้ อย่างไรก็ตามเนื้อหาลึก และกว้างในหลายประเด็น ประกอบกับต้องเป็นปัจจุบัน การจะศกึ ษาวิชาสงั คมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรมให้ประสบความสาเร็จน้ัน จงึ ควรศกึ ษา เพ่ิมเติมจากแหล่งเรียนรู้รอบตัว ข้อมูลจากเว็ปไชต์ สารสนเทศต่าง ๆ ซึ่งจะสามารถ เพิ่มพูนประสบการณก์ ารเรียนรู้ใหเ้ กดิ ศกั ยภาพตามความสมารถของแต่ละบุคคลได้ ผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเอกสารประกอบการการเรียนรู้ สาระที่ 1 ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 6 (ม.ปลาย) ที่จะช่วยอานวยความสะดวก ในการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ใหผ้ ู้เรียนได้เกิดการเรยี นรตู้ ลอดจนมีผลสัมฤทธิท์ างการเรียน ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐานกาหนดไว้เป็นอย่างดี บุรนิ ทรวรวิทย์ พว่ นอุย๋

ก ข คำช้แี จงกำรใช้เอกสำรประกอบกำรเรียน ค คำชี้แจงมำตรฐำนตวั ช้วี ดั ค หนว่ ยกำรเรียนรู้ 1 ประวตั ิ และความสาคัญของพระพุทธศาสนา........................................................1 2 พทุ ธประวัติ และชาดก...........................................................................................................9 3 วันสาคญั ทางพระพุทธศาสนา และศาสนพิธี...........................................................21 4 หลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนา.........................................................................................33 5 พระไตรปฎิ ก และพุทธศาสนสุภาษิต.............................................................................47 6 การบริหารจติ และเจริญปญั ญา......................................................................................52 7 พทุ ธสาวก พุทธสาวิกา และศาสนกิ ชนตวั อย่าง....................................................56 8 หน้าที่ และมารยาทชาวพุทธ .............................................................................................68 9 ความรทู้ ว่ั ไปเกี่ยวกบั ศาสนา .............................................................................................74 10 ศาสนาสาคญั ในประเทศไทย...............................................................................................77 สอ่ ง O-Net .......................................................................................................................................................................89 บรรณานุกรม ...................................................................................................................................................................112

1. เอกสารประกอบการเรียนรู้สาระท่ี 1 ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม ชั้น มธั ยมศึกษาปที ี่ 6 น้ปี ระกอบดว้ ย 10 หนว่ ยการเรียนรู้ต่อไปนี้ หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 1 ประวตั ิ และความสาคัญของพระพุทธศาสนา หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 2 พทุ ธประวตั ิ และชาดก หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ 3 วันสาคญั ทางพระพทุ ธศาสนา และศาสนพธิ ี หน่วยการเรียนรู้ท่ี 4 หลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนา หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 5 พระไตรปฎิ ก และพุทธศาสนสภุ าษิต หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 6 การบริหารจิต และเจรญิ ปัญญา หน่วยการเรยี นร้ทู ่ี 7 พทุ ธสาวก พทุ ธสาวกิ า และศาสนิกชนตวั อย่าง หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 8 หนา้ ที่ และมารยาทชาวพุทธ หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 9 ความรู้ทั่วไปเกีย่ วกบั ศาสนา หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 10 ศาสนาสาคญั ในประเทศไทย 2. อ่านคาแนะนาในการใช้เอกสาร และปฏบิ ัติตามขนั้ ตอนอยา่ งตงั้ ใจ 3. อา่ นทาความเขา้ ใจกบั จุดประสงคเ์ พอ่ื การปฏิบัติตามใหบ้ รรลวุ ัตถปุ ระสงค์ 4. ศึกษาเน้ือหาก่อนการทากิจกรรมพัฒนาการเรียนรู้ หรือทากิจกรรมพร้อมกับ การเรียนรู้ และทาแบบทดสอบ “ส่อง O-NET” 5. นักเรยี นต้องมคี วามซอ่ื สัตย์ สุจริตตอ่ ตนเอง สำระและมำตรฐำนกำรเรยี นรู้ สำระที่ 1 ศำสนำ ศลี ธรรม จรยิ ธรรม มำตรฐำน ส 1.1 รู้ และเข้ำใจประวัติ ควำมสำคัญ ศำสดำ หลักธรรมของ พระพุทธศำสนำหรือศำสนำที่ตนนับถือและศำสนำอื่น มีศรัทธำที่ถูกต้อง ยึดมั่น และปฏิบัติ ตำมหลักธรรม เพ่ืออย่รู ว่ มกนั อยำ่ งสันตสิ ขุ 1. วเิ คราะห์สังคมชมพทู วีป และคตคิ วามเชอ่ื ทางศาสนาสมยั ก่อนพระพุทธเจ้า หรือ สงั คมสมยั ของศาสดาท่ตี นนับถือ

2. วิเคราะห์ พระพุทธเจ้าในฐานะเป็นมนุษย์ผู้ฝึกตนได้อย่างสูงสุดในการตรัสรู้ การก่อตั้ง วิธีการสอนและการเผยแผ่พระพุทธศาสนา หรือวิเคราะห์ประวัติศาสดาท่ีตนนับถือ ตามทก่ี าหนด 3. วิเคราะห์พุทธประวัติด้านการบริหาร และการธารงรักษาศาสนา หรือ วิเคราะห์ ประวัติศาสดาทต่ี นนับถอื ตามทก่ี าหนด 4. วเิ คราะห์ข้อปฏิบตั ทิ างสายกลางในพระพทุ ธศาสนา หรอื แนวคิดของศาสนาทต่ี นนับ ถอื ตามที่กาหนด 5. วิเคราะห์การพัฒนาศรัทธา และปัญญาที่ถูกต้องในพระพุทธศาสนา หรือแนวคิด ของศาสนาที่ตนนบั ถอื ตามทกี่ าหนด 6. วิเคราะห์ลักษณะประชาธิปไตยในพระพทุ ธศาสนา หรือแนวคิดของศาสนาที่ตนนบั ถอื ตามท่ีกาหนด 7. วเิ คราะห์หลักการของพระพทุ ธศาสนากับหลักวทิ ยาศาสตร์ หรือแนวคิดของศาสนา ที่ตนนบั ถอื ตามทก่ี าหนด 8. วิเคราะห์การฝึกฝนและพัฒนาตนเอง การพ่ึงตนเอง และการมุ่งอิสรภาพใน พระพุทธศาสนา หรอื แนวคดิ ของศาสนาทตี่ นนับถือตามทีก่ าหนด 9. วิเคราะห์พระพุทธศาสนาวา่ เป็นศาสตร์แห่งการศึกษาซ่ึงเน้นความสัมพันธ์ของเหตุ ปจั จยั กบั วธิ กี ารแก้ปัญหา หรือแนวคิดของศาสนาท่ีตนนบั ถือตามทก่ี าหนด 10. วิเคราะห์พระพุทธศาสนาในการฝกึ ตนไม่ให้ประมาท มุ่งประโยชน์และสันติภาพ บคุ คล สังคมและโลก หรือแนวคดิ ของศาสนาท่ีตนนบั ถอื ตามที่กาหนด 11. วเิ คราะหพ์ ระพทุ ธศาสนากบั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี งและการพัฒนาประเทศ แบบย่ังยนื หรอื แนวคิดของศาสนาท่ีตนนับถือตามท่ีกาหนด 12. วิเคราะห์ความสาคัญของพระพุทธศาสนาเก่ียวกับการศึกษาที่สมบูรณ์ การเมือง และสันตภิ าพ หรือแนวคิดของศาสนาทต่ี นนบั ถอื ตามที่กาหนด 13. วิเคราะห์หลักธรรมในกรอบอรยิ สัจ 4 หรอื หลกั คาสอนของศาสนาที่ตนนับถือ 14. วิเคราะห์ข้อคิดและแบบอย่างการดาเนินชีวิตจากประวัติสาวก ชาดกเรื่องเล่า และศาสนกิ ชนตัวอยา่ ง ตามทก่ี าหนด 15. วิเคราะห์คุณค่าและความสาคัญของการสังคายนา พระไตรปิฎก หรือคัมภีร์ของ ศาสนาทต่ี นนับถือ และการเผยแผ่ 16. เช่ือมั่นต่อผลของการทาความดี ความช่ัว สามารถวิเคราะห์สถานการณ์ที่ต้อง เผชญิ และตดั สนิ ใจเลอื กดาเนนิ การหรอื ปฏิบตั ิตนได้อย่างมีเหตุผลถูกตอ้ งตามหลักธรรม จรยิ ธรรม และกาหนดเป้าหมาย บทบาทการดาเนินชีวิตเพ่ือการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข และอยู่ร่วมกันเป็น ชาติอย่างสมานฉนั ท์ 17. อธิบายประวัติศาสดาของศาสนาอน่ื ๆ โดยสงั เขป 18. ตระหนักในคุณค่าและความสาคัญของค่านิยม จริยธรรมท่ีเป็นตัวกาหนดความ เชื่อและพฤตกิ รรมทแี่ ตกตา่ งกันของศาสนิกชนศาสนาต่าง ๆ เพอ่ื ขจัดความขดั แยง้ และอยรู่ ่วมกนั ใน สังคมอย่างสนั ตสิ ุข

19. เห็นคุณค่า เชื่อม่ัน และมุ่งม่ันพัฒนาชวี ิตดว้ ยการพฒั นาจิตและพัฒนาการเรียนรู้ ดว้ ยวิธีคิดแบบโยนโิ สมนสกิ าร หรอื การพัฒนาจิตตามแนวทางของศาสนาทตี่ นนับถือ 20. สวดมนต์ แผ่เมตตา และบรหิ ารจิตและเจริญปญั ญาตามหลักสติปัฏฐาน หรือตาม แนวทางของศาสนาท่ตี นนับถอื 21. วิเคราะห์หลักธรรมสาคัญในการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขของศาสนาอื่น ๆ และ ชกั ชวน ส่งเสรมิ สนับสนนุ ให้บคุ คลอ่ืนเห็นความสาคัญของการทาความดี ต่อกนั 22. เสนอแนวทางการจัดกิจกรรม ความร่วมมือของทุกศาสนาในการแก้ปัญหาและ พฒั นาสงั คม มำตรฐำน ส 1.2 เข้ำใจ ตระหนักและปฏิบัติตนเป็นศำสนิกชนท่ีดี และธำรงรักษำ พระพทุ ธศำสนำหรอื ศำสนำท่ตี นนับถอื 1. ปฏบิ ัตติ นเปน็ ศาสนิกชนทดี่ ตี อ่ สาวก สมาชกิ ในครอบครวั และคนรอบขา้ ง 2. ปฏบิ ตั ติ นถกู ตอ้ งตามศาสนพิธพี ธิ กี รรมตามหลกั ศาสนาทตี่ นนบั ถือ 3. แสดงตนเป็นพทุ ธมามกะหรอื แสดงตนเปน็ ศาสนิกชนของศาสนาทตี่ นนบั ถือ 4. วิเคราะห์หลักธรรม คติธรรมที่เก่ียวเน่ืองกับวันสาคัญทางศาสนา และเทศกาลที่ สาคญั ของศาสนาทีต่ นนับถอื และปฏิบตั ติ นไดถ้ ูกต้อง 5. สัมมนาและเสนอแนะแนวทางในการธารงรักษาศาสนาทีต่ นนบั ถอื อนั สง่ ผลถึงการ พฒั นาตน พัฒนาชาติและโลก

❖ o ดนิ แดนทเี่ ปน็ ประเทศอนิ เดีย ปากีสถาน เนปาล และบังกลาเทศในปัจจบุ นั หรือ “เอเชยี ใต้” o ทวปี ใหญ่ทางทิศใต้ของเขาพระสเุ มรุซ่งึ เป็น 1 ใน 4 ทวีปของชาวภารตะ (อตุ รกรุ ทุ วปี บพุ วเิ ทหทวีป ชมพทู วปี และอมรโคยานทวปี ) ❖ o มชั ฌมิ ประเทศ ประกอบด้วยแคว้นใหญ่ 16 แควน้ o ปจั จันตประเทศ ดินแดนของแควน้ เล็ก 5 แคว้ น สกั กะ โกลยิ ะ วิเทหะ อังคุตตราปะ ❖ o เช่ือว่าปรากฏการณ์ธรรมชติเกิดจากเทพเจ้า ภาพ1 : มหาชนบท 16 แคว้น บันดาล ใหเ้ กดิ จึงมกี ารต้งั ช่ือ บชู า บวงสรวงเซ่นไหว้เทพเจ้า เพือ่ ใหเ้ กิดความสงบสุข ❖ o คาสอน พิธีกรรม ของพราหมณท์ าให้เกิดความเชื่อเรอื่ งวรรณะ และเช่ือว่าวรรณะ พราหมณ์เปน็ วรรณะทร่ี ับคาสอนจากเทพเจา้ ❖ o ปรชั ญา ทาให้คนในสังคมต่างตอ้ งการคน้ หาคาตอบของชีวิตทท่ี าให้พ้นจากความทุกข์ ❖ o เกดิ วรรณะใดยอ่ มมแี นวทางชีวิตท่ตี ายตัว พรำหมณ์ ศกึ ษาคาภรี ์ คาสอน กษัตริย์ นักรบ และปกครองบ้านเมือง แพศย์ ประชาชน พ่อค้า ศูทร พวกใช้แรงงาน จณั ทำล เกิดจากวรรณะของแมต่ า่ กว่าตา่ งวรรณะของพ่อเปน็ ชนชน้ั ต่าสุดของสงั คม 1 พระมหามนสั กิตฺติสาโร สถาบันพฒั นาคุณภาพวชิ าการ, พระพุทธศาสนา ช้ันมัธยมศกึ ษาปที ่ี 4-6, (กรุงเทพมหานคร พัฒนาคณุ ภาพวิชาการ (พว.) 2560) หนา้ 9

สรรพสงิ่ เกดิ จากเหตุ ไมม่ สี ง่ิ ใด ร้วู ่าสาเหตขุ องปญั หาคอื อะไร แลว้ เกดิ หรอื สูญสลายไปโดยไมม่ ี หาวธิ ีการแก้ไขใหต้ รงจุด ย่อม คลี่คลายปัญหาได้ สาเหตุ ปัญหาย่อมมสี าเหตุ เอาชีวิตรอดอย่างไร การแกป้ ัญหาได้ยอ่ มรู้ ความพลัดพราก เปา้ หมายของการแก้ไข โดย ใชป้ ัญญา และความเพียร การเจ็บป่วย การตายไม่ พยามแกป้ ัญหา สมปราถนา ทฤษฎสี ากลท่พี ระพทุ ธเจา้ เนน้ ยา้ อยตู่ ลอดเวลา

หนทางสคู่ วามดบั ทุกข์ หน่ึงในอริยสัจ 4 เรยี กอีกอยา่ งวา่ ทกุ ขนโิ รธคามินีปฏปิ ทา หรอื การลงมอื ปฏิบัตเิ พือ่ ใหพ้ น้ จากปัญหา โดยใช้หลกั ทางสายกลาง ❖ สัมมากัมมนั ตะ ❖ สมั มาสติ ❖ สัมมาทฏิ ฐิ .......................................................... ..................................................... ..................................................... ❖ สัมมาวาจา ❖ สัมมาสมาธิ ❖ สมั มาสังกปั ปะ .......................................................... ..................................................... ..................................................... ❖ สัมมาอาชวี ะ ❖ สัมมาวายามะ ..................................................... ..................................................... ❖ การสารวม กาย วาจา ใจ ให้เรยี บร้อย การสารวมกาย การสารวมวาจา ใหอ้ ยู่ในบัญญตั ิศีล ❖ คอื การต้งั ใจม่นั หรอื ยดึ ม่นั อารมณ์ใด อารมณห์ น่ึงเพียงอยา่ งเดยี ว ❖ คอื ความรอบรู้ การคดิ ได้ นกึ ได้ ❖ ความเชอ่ื มัน่ ในส่ิงดีงามทีป่ ระกอบด้วยเหตุ และผลนาไปสกู่ ารพฒั นา o เชือ่ วา่ มนษุ ยม์ ีศักยภาพในการพัฒนาตนให้บรรลถุ งึ ความดพี ร้อม o เช่อื มั่นในสิ่งที่เกดิ ขึ้นลว้ นมีสาเหตุ และเม่ือกระทาสง่ิ นน้ั ลง ไปแลว้ ก็จะไดผ้ ลตามมา o ทาส่งิ ใดลงไปย่อมได้รบั ผลของการกระทา ฉะนั้นจะกระทาส่ิงใดตอ้ งทาด้วยความไม่ประมาท ระมัดระวงั ตัวเองอยเ่ สมอ

❖ ใช้ปัญญาคน้ หาเหตผุ ล o มน่ั คงแน่วแนใ่ นเป้าหมาย หรือส่งิ ทที่ า o สมาธิยอ่ มเกิด เม่อื มีสมาธิแล้วกจ็ ะพัฒนาสิ่งนน้ั ๆ ได้อย่างรอบคอบ o ดว้ ยจติ แน่วแน่ สมาธอิ ยกู่ บั ตัว เพ่ือใชป้ ัญญานนั้ อยา่ งรอบคอบ ❖ แก่ภิกษุภายใต้พระธรรมวินัย เคารพกันตามความ อาวโุ ส หรือใหเ้ สรีภาพในการท่ีจะนับถือ หรอื ไม่นบั ถอื พระพุทธศาสนาหรอื ไม่ โดยไม่บงั คับ ❖ ให้ความสาคัญกับกิจกรรม หรือการปฏิบัติ อย่างเสมอตน้ เสมอปลาย เช่น ภกิ ษุลงอุโบสถอย่างพรอ้ มเพรยี ง ❖ กิจการงานใดท่ีภิกษุลงความเห็นท่ีเปน็ มติตอ้ งไดร้ ับการสนับสนนุ จากภกิ ษดุ ้วยกนั ดว้ ยความเห็นเอกฉนั ท์จึงสามารถปฏบิ ัติกจิ การงานนน้ั ได้ ❖ นอกจากกิจการงานใดท่ีภิกษุลงความเห็นท่ีเป็นมติเอกฉันท์แล้ว หากมี ข้อโตแ้ ย้งหรอื ไม่สามารถลงมติเป็นเอกฉนั ทไ์ ด้ใหย้ ดึ เสียงข้างมาก หรือ เยภุยยสิกา ❖ ภิกษุทุกรูปล้วนมีสิทธิ เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นหรือ คัดค้านได้ โดยกระทาในท่ปี ระชมุ สงฆ์ ❖ ใช้ประสบการณ์ มีการพสิ ูจนผ์ ่านตา หู จมกู ลิน้ กาย ใจ เชน่ พระพุทธเจ้า พิสูจนห์ นทางแหง่ การพน้ ทกุ ข์โดยเลอื กใช้หลักทางสายกลางเพอ่ื หลดุ พ้น ❖ วิทยาศษสตรม์ ุง่ แสวงหาความจริงด้านวตั ถุ พระพทุ ธศาสนามุ่งแสวงหา ความจริงภายในจติ ใจ หรอื วธิ ีการแก้ไขปญั หาด้วยปญั ญา บนพนื้ ฐานเหตุ และผล ❖ จะเชื่อเร่ืองใดน้นั ตอ้ งพสิ ูจน์โดยหลกั กำลำมสูตร โดยประมวลความคดิ ดว้ ย ปัญญาพจิ ารณาดว้ ยเหตุผล เชอ่ื โดยใคร่ครวญ มเี หตผุ ล คดิ วิเคราะห์ดว้ ยปัญญา ❖ อยา่ เชอ่ื เพยี งเพราะได้ยินตามกันมา ❖ อย่าเช่ือเพราะคาดคะเน ❖ อย่าเชื่อเพราะยึดถอื สืบกนั มา ❖ อยา่ เช่อื เพราะมอี าการ ❖ อย่าเชอ่ื เพราะขา่ วลอื ❖ อย่าเช่อื เพราะตรงความเห็นตน ❖ อย่าเชื่อเพราะอา้ งตารา ❖ อย่าเชือ่ ว่าผพู้ ดู สมควรเชือ่ ❖ อย่าเชอ่ื เพราะเดาเอาเอง ❖ อยา่ เชอื่ เพราะเป็นครขู องตน

❖ การคิดแบบแยบคาย โดยใช้สติปัญญาเป็นตัวกากับ ซ่ึงทาให้ บุคคลสามารถคิดวิเคราะห์เป็น โดยคิด และวิเคราะห์ได้อย่างถูกวิธี มีระบบ มีระเบียบ ต่อเนื่องจากเหตุสู่ผล เชื่อมโยงกันภายใต้พื้นฐานของคุณธรรมที่จะนาไปสู่การปฏิบัติ และ การแกป้ ญั หาได้อยา่ งเหมาะสม ประกอบด้วยวธิ คี ดิ 10 วิธี สบื สาวปัจจัย แยกแยะ สามญั ลักษณะ อรยิ สจั คดิ วเิ คราะห์หา ส่วนประกอบ รทู้ ันส่งิ ทีเ่ กดิ ขนึ้ คน้ หาเหตุและผล เหตผุ ลประกอบ แยกส่วนประกอบ มีอยู่ และดบั ส้ินไป จดั หมู่ แบง่ ประเภท อรรถสัมพนั ธ์ คณุ โทษ และ เพ่ืออะไร อยา่ งไร ทางออก จดุ มุ่งหมายอะไร คดิ ในแง่ดี คิดในแงร่ ้าย คณุ ค่าแท้ ปลกุ เร้าคณุ ธรรม คดิ มในปจั จุบัน วภิ ชั วาท คณุ คา่ เทียม คดิ ใหก้ าลังใจ คิดอย่างมสี ติ แยกประเด็น ประโยชน์ที่เกิดข้นึ คิดสร้างสรรค์ ไมล่ ุ่มหลง งมงาย มองหลายมุม ❖ กำหนดปัญหำ (ทกุ ข์) ตั้งสมมติฐำน (สมทุ ัย) ทดลองเกบ็ ขอ้ มูล (มรรค) วิเครำะห์ข้อมูล (มรรค) สรุปผล (นิโรธ)

❖ การฝึกตนเอง 3 ข้ันตอน หรอื สกิ ขา o = ควบคุมตนเองมิใหป้ ระพฤติชวั่ ทางกาย (การกระทา) วาจา (ไมพ่ ดู คา หยาบ เพ้อเจอ้ สอ่ เสียด โกหก) o = มสี มาธิ พัฒนาจิตใจให้มคี ุณธรรม หรือคิดดี มจี ติ เมตตา แน่ว แนใ่ นสงิ่ ท่ีกระทา o = ไข่วควา้ ความรู้ อบรมจติ ใจ พัฒนาระดับความรทู้ ง้ั ทางโลก และทางธรรม เพื่อยกระดับจิตใจให้สูงขนึ้ ❖ เป้าหมายของการฝกึ ตนคือ วิมตุ ติ หรอื การหลุดพ้น หรือนพิ พาน o คนทกุ คนลว้ นมไิ ดบ้ วชทางพระพุทธศาสนา การจะถึงวิมุตตไิ ดน้ ้นั ทได้ยากแต่ พระพทุ ธศาสนาเน้นการสอนให้ ลด ละ ลเก เทา่ ที่จะทาได้ หรอื ไม่ตกเป็นทาส ของวัตถุกามอารมณ์ การประพฤปฏบิ ตั ดิ ว้ ยกาย วาจา อยู่บนพ้ืนฐานของศลี ความถูกต้อง พอควร ควบคุมจติ ใจ ให้มีสมาธิตลอดเวลา เพื่อการคิดวเิ คราะหอ์ ย่างรอบคอบ แกไ้ ขปัญหาได้ ศึกษาค้นควา้ ความรู้ใหร้ ู้จริง แตกฉานในเรอ่ื งนัน้ ๆ เพ่อื ให้ในการคิดแก้ไข ปญั หาและพฒั นาสิ่งตา่ ง ๆ ได้อยา่ งสมบรู ณ์ ทุกสรรพส่งิ ล้วนมีเหตุปัจจัย และเสอ่ื มสลายเมอ่ื เสอื่ มเหตุปจั จัย ปรกฎคาสอนในพระพุทธศาสนา เปน็ ศาสตร์แห่งเหตุผล และสามารถแยกได้เป็นคู่ คือ อรยิ สัจ ❖ ผล ❖ เหตุ ❖ ผล ❖ เหตุ

❖ มีสติรอบคอบ ระมดั ระวงั ไม่ทาเหตุแห่งความผิดพลาดเสียหาย และไม่ละเลยโอกาสท่ีจะทาเหตุ แห่งความดีงาม และความเจรญิ แนวทางในการปฏบิ ตั ิตนไม่ให้ประมาทนนั้ มี 4 ประการ ❖ สุข สนั ติภาพของสังคมโลกเกดิ ขนึ้ ไดด้ ว้ ยหลักวธิ ที างพระพุทธศาสนา หลกั ธรรมทเ่ี ก้ือกลู สมาชกิ ในสังคม ละเวน้ เบยี ดเบียนผู้อ่นื สละความเหน็ แก่ตวั ทาน สละความโกรธ ชงั สละจากความหลงผดิ ลุ่มหลง ปิยวาจา ยึดม่ันในความอดทน แน่วแนใ่ นธรรม คาสอน อตั ถจรยิ า สมานตั ตตา เสมอตนั เสมอปลาย ❖ อธิปไตย 3 คอื หลักธรรมท่เี กยี่ วกับการเมอื ง และการอยูร่ ่วมกนั อย่างสนั ติภาพ

❖ การพ่ึงพาตนเอง อยู่อย่างประมาณตน มีเหตุผล ไม่ฟุ่มเฟือย โดยปฏิบัติตามหลักทาง สายกลาง บุญกริยาวัตถุ อุบาสกธรรม และโดยเฉพาะสัปปุริสธรรม 7 ประการ ที่เป็น หลักธรรมในการดารงชีวิตตามหลักความพอเพียง ยกตัวอย่างเช่น สัปปุริสธรรม 7 กับ เศรษฐกจิ พอเพียง ❖ อัตถัญญุตา ❖ ธัมมัญญตุ า ❖ กาลญั ญุตา .............................. .............................. ................................. ❖ มัตตัญญตุ า ❖ อตั ตัญญตุ า รู้จักตน ❖ ปริสญั ญุตา .............................. .............................. ................................. ❖ การพฒั นาต้องคานงึ ถงึ การวางรากฐานทมี่ นั่ คง ❖ ปคุ คลปโรปรัญญุตา จึงเกิดผลต่อมนุษยชาติ และเพื่อป้องกนั การเกดิ ปญั หาต่าง ๆ ................................. ตามมา เช่น ปัญหาอาชญากรรม ปัญหาด้านสขุ ภาพ ท้ังกายและจิต ปัญหามลพษิ ปัญหา ภยั ธรรมชาติ ฯลฯ ❖ ปจั จบุ ันมกี ารพฒั นาทม่ี นั่ คงโดยใช้เศรษฐกิจพอเพยี งตามแตฐ่ านะของบุคคลเป็นแนวทางใน การดาเนินชีวติ ประจาวนั ประกอบกับการปฏบิ ัตติ ามหลกั ธรรมของพระพทุ ธศาสนาอยา่ ง จรงิ จงั และสม่าเสมอ .............................................................................. .............................................................................. .............................................................................. .............................................................................. .............................................................................. .............................................................................. .............................................................................. .............................................................................. ................................................. ............................................................................... ................................................. ................................................. ............................................................................... ................................................. ................................................. ............................................................................... ................................................. ................................................. ............................................................................... ................................................. ................................................. ................................................. ................................................. .................................................

❖ ❖ ตรัสรู้ คอื การรู้แจง้ ในสจั ธรรม ความจรงิ อนั ประเสรฐิ 4 ประการ ความจริงของปัญหาท้ัง สาเหตุของปัญหา แก้ปัญาหาด้วย วิธกี าร และการ ปฏิบัตเิ พื่อแก้ปัญหา กายและใจ การคน้ หาสาเหตุ ❖ พระโคตมสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ในวันขึ้น 15 ค่าเดือน 6 ท้ังได้พิจารณาแล้วว่าการจะ ประกาศ พระศาสนาได้นั้นต้องเป็นผู้ท่ีสามารถสอนได้ และเข้าใจง่ายในระดับดี เพื่อให้คน เหล่านั้นช่วยเผยแผ่พระศาสนา กลุ่มคนแรกที่มีคุณสมบัติน้ันคือปัจวัคคีย์ และต้องการ หักล้างความเข้าใจผิดกับปัจวัคคีย์ ด้วยเหตุนี้พระพุทธเจ้าจึงเสด็จไปโปรดแสดงปฐมเทศนา แกป่ ัจวคั คีย์เปน็ กลมุ่ แรกในวันขน้ึ 15 คา่ เดอื น 8 ณ ป่าอิสปิ ตนมฤคทายวัน อัญญาโกณฑญั ญะ อัญญาโกณฑญั ญะขอบวช เข้าใจหลักธรรม เกดิ พระสงฆ์รปู แรกใน พระพุทธศาสนา

❖ เชื่อว่ามนุษย์ สามารถพัฒนาตนเองได้ด้วยแนวทาง ท่ีถูกต้อง และเหมาะสม และการฝกึ ฝนตนเอง ❖ ความประเสริฐของมนุษย์ อยู่ที่การอบรม และการฝึกฝนพัฒนาตนเอง ด้วย ความพยายาม และความเข้าใจในประเด็นปัญหา อยา่ งแจ่งแจง้ ❖ การตรัสรู้ คือ เคร่ืองหมายความสาเร็จ ซึ่งได้มาด้วยความ พยายาม อดทน และความเพียร ใช้สติปัญญา อย่างถูกตอ้ งเหมาะสม ❖ อธบิ ายใหเ้ ข้าใจ ชดั เจน พระพทุ ธรปู ปางบาเพญ็ ทุกขรกิรยิ า o (ก่อนตรสั ร้)ู o จงู ใจให้ทาตาม o มั่นใจในความสาเร็จทจี่ ะเกดิ ขึ้น o ไมน่ า่ เบ่อื ❖ o o ▪ ▪ ▪ o เลือกสอนเป็นรายบคุ คล เนือ่ งจากความรู้พ้นื ฐานแตกต่างกัน o เขม้ งวดและผ่อนปรนบางเวลา o ใหก้ าลงั ใจ หรือชมเชย เอตทคั คะ (ผ้เู ป็นเลิศ) เพือ่ ส่งเสริมให้ทาความดี ตาหนิตักเตอื นเมือ่ ประพฤตผิ ดิ ❖ o สนทนาด้วยความใกลช้ ดิ o ใชใ้ นการประชุมใหญ่ หรอื เพอ่ื อธบิ าย แกค่ นหมมู่ าก

o ▪ ตอบแบบตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม ▪ ยอ้ นถามคาถามกลับ แล้วคอ่ ยตอบ ▪ แยกตอบเป็นประเดน็ ▪ ปญั หานอกเรอ่ื ง หรือชวนทะเลาะ ไมท่ าอะไรให้ดีข้ึน o ธรรมทเ่ี กิดขึ้นจากการกระทาที่ไมบ่ ังควร จงึ ต้องวางกฎข้อบังคับ พุทธจรยิ า การบาเพ็ญประโยชน์ของพระพทุ ธเจา้ 3 ประการ บาเพญ็ ประโยชนแ์ กโ่ ลกในฐานะทเ่ี ปน็ มนษุ ยค์ นหนึ่ง อาศยั พุทธภารกจิ 5 ประการ ภำคเช้ำ ออกบัณฑบาตร แสดงธรรมโปรดสรรพสัตว์ ภำคบำ่ ย แสดงธรรมโปรดประชาชน ยำม 1 ประทานโอวาทตอบปัญหาแก่สงฆ์ ยำม 2 ตอบปัญหาแก่เทวดา ยำม3 สอดส่องบุคคลท่ีควร โปรดแสดงธรรม ทาประโยชน์ในฐานะพระพุทธเจ้า ไม่ละเลยญาติพีน่ อ้ ง หรอื การทาหนา้ ทข่ี องตนใหถ้ ึงพร้อม เชน่ ในสงครามแยง่ นา้ โรหณิ ี โปรดทา ความเข้าใจกับพระญาติดว้ ยเหตุผล สงครามกย็ ุตลิ ง ❖ ภายหลังพระสารีบุตร และพระโมคลานะเป็นสาวกแล้วมี การพฒั นาบริหารแบบเรียบง่ายมงุ่ หวงั ความสาเร็จเป็นหลกั และมีการพฒั นาการบริหาร พระพุทธศาสนาเรอื่ ยมา o ขน้ึ ตรงตอ่ พระพุทธเจ้า มีพระสารีบตุ รเป็นพระธรรมเสนาบดี o กระจายความรับผดิ ชอบสู่พระอุปัชฌาจารย์ ยดึ หลกั เอ้อื เฟ้ือปราถนาดีตอ่ กนั

o มีความซบั ซ้อนมากขนึ้ การรวมหมู่สงฆด์ ว้ ยกันจึงมคี วามลาบาก เพิ่มขนึ้ จึงมีเจ้าอาวาส และคณาจารยร์ ับผดิ ชอบดแู ลภายในอาราม o มีเจ้าอาวาสเป็นผู้รับผิดชอบ โดยพระธรรมวนิ ัย เปน็ แกนกลางของการบริหาร ❖ สร้างความม่ันคง ให้แข็งแกร่งโดยพระธรรมวินยั ❖ พทุ ธบรษิ ัทเปน็ ผรู้ ักษาพระพุทธศาสนา ประกอบดว้ ย ภิกษุ ภกิ ษณุ ี อบุ าสก อุบาสกิ า มีหนา้ ที่ 4 ประการ o ศึกษาธรรมคาสอน o ปฏิบัติธรรมคาสอน o เผยแผ่ธรรมคาสอน o ปกปอ้ งคุ้มครองพระพุทธศาสนา ชาดก คอื “การเวยี นว่ายตายเกิดของพระพทุ ธเจ้า” ในทศชาติสดุ ทา้ ย หรือเร่อื งราวเก่ยี วกบั พระ โพธิสตั ย์ 10 ชาติ สดุ ทา้ ย ก่อนเสวยพระชาติเปน็ เจ้าชายสทิ ธัตถะ และบาเพ็ญเพยี รจนสาเรจ็ เป็น พระสัมมาสัมพทุ ธเจา้ เตมยี ชาดก เนกขัมมบารมี มหำชนกชำดก วิริยบำรมี สวุ รรณสามชาดก เมตตาบารมี เนมิราชชาดก มโหสถชำดก อธิษฐานบารมี ภูริทตั ตชาดก ปัญญำบำรมี จนั ทกมุ ารชาดก พรหมนารทชาดก ศีลบารมี ขันติบารมี วธิ ุรชาดก อเุ บกขาบารมี เวสสันดรชำดก สจั จบบารมี ทำนบำรมี

❖ พระนางผุสดีเทพอัปสรสิ้นบุญจากสวรรค์ ท้าวสักกะเทวราช (พระอินทร์) สวามีจึงให้พร 10 ประการ หน่ึงในพร 10 ประการคือ ขอให้มีโอรสที่ทรงเกียรติยศเหนือกษัตริย์ ทัง้ หลายและมีใจบุญ ❖ พระนางผสุ ดีไดจ้ ตุ ลิ งมาเป็นพระราชธดิ าพระเจา้ มทั ทราช ❖ ได้อภิเษกสมรสกบั พระเจา้ กรงุ สญชยั ❖ ตอ่ มาไดป้ ระสตู ิพระโอรสนามวา่ “เวสสันดร” ❖ วันท่ีประสูตินั้นช้างฉัททันต์ตกลูกเป็นช้างเผือกขาว บริสุทธม์ิ นี ามวา่ “ปัจจยั นาค” ❖ เม่ือพระเวสสันดรเจริญชนม์ 16 พรรษา พระราช บิดาก็ยกสมบัติให้ครอบครอง และทรงอภิเษก กับนางมัทรี มีพระโอรสช่ือ ชาลี ราชธิดา ช่ือ ภาพ : กณั ฑ์ทศพร จาก จติ รกรรมฝาผนังวัดประยรุ วงศาวาส กณั หา ❖ พระเจ้ากาลิงคะแหง่ นครกาลงิ ครฐั ได้ส่งพราหมณม์ าขอพระราชทานช้างปัจจยั นาค ที่เชือ่ ว่า เป็นชา้ งแห่งความอดุ มสมบูรณ์ พระองค์จึงพระราชทานช้างปจั จัยนาค แก่พระเจ้ากาลิงคะ ❖ ชาวกรุงสัญชยั ไม่พอใจ จงึ ร้องให้พระเจา้ สญั ชัยเนรเทศพระเวสสันดรออกนอกพระนคร ❖ ก่อนท่ีพระเวสสันดรพร้อมด้วยพระนางมัทรี ชาลี และกัณหา ออกจากพระนคร ทูลขอ พระราชทานบาเพญ็ มหาสัตสตกทาน คอื การให้ทานครั้งย่งิ ใหญ่ เสรจ็ การบาเพ็ญทานแล้ว กเ็ ดนิ ทางออกจากนคร ภาพจาก https://xn--v3cdwa6co.com/ ❖ เมื่อเดินทางถึงนครเจตราชทง้ั แวะเขา้ ประทับพักหนาศาลา ❖ กษัตริยผ์ ูค้ รองนครเจตราชจงึ ทลู เสดจ็ ครองเมือง แต่พระเวสสนั ดรทรงปฏิเสธ ❖ เม่ือเสดจ็ ถึงถงึ เขาวงกตได้พบศาลาอาศรม ซงึ่ ทา้ ววิษณกุ รรมเนรมิตตามพระบัญชาของท้าว สกั กะเทวราช ทงั้ ส่ีจงึ ทรงผนววชเป็นฤๅษพี านักในอาศรมสบื มา

❖ พราหมณ์แก่ชื่อชูชก เดินทางไปทูลขอกัณหาชาลีเพ่ือเป็นทาสรับใช้ แต่ถูกขัดขวางจาก พราหมณเ์ จตบุตรผรู้ กั ษาประตปู า่ ❖ ชชู กได้อ้างพระราชสาสน์ของเจา้ กรุงสัญชัยแก่พราหมณเ์ จตบตุ ร จึงไดพ้ าชูชกไปยงั ต้นทางท่ี จะไปอาศรมของฤๅษี ❖ พระนางมัทรีฝันรา้ ยเหมือนบอกเหตุแห่งการพลัดพรากรงุ่ เช้าเมื่อนางมัทรเี ข้าป่าหาอาหาร ชูชกจึงเข้าเฝา้ ทูลขอสองกุมาร แตส่ องกุมารไปซอ่ นตวั ทส่ี ระ ภาพจาก https://xn--v3cdwa6co.com/ ❖ พระเวสสนั ดรเสด็จติดตามสองกมุ าร พบแลว้ จงึ มอบให้แก่ชูชก ❖ พระอินทร์ทราบการมอบ 2 กุมารให้แก่ชูชก จึงเกรงว่าพระเวสสันดรจะมองพระนางมัทรี ให้เป็นทานอีกเพื่อให้การบาเพ็ญทานของพระเวสสันดรบรรลุผลสมบูรณ์ พระอินทร์จึง จาแลงเป็นพรหมณเ์ ขา้ มาขอพระนางมทั รี ❖ แต่พระเวสสันดรเข้าใจว่าบุคคลน้ีไม่ใช่คนธรรมดา จึงประทานพระนางมัทรีให้ พระอินทร์ จึงจาแลงกายเป็นตามเดมิ แล้วถวายพระนางมัทรีคืน ❖ ชูชกนาสองกุมารไปกรุงสีพี พระเจ้ากรุงสีพีเห็นสองกุมารจึงทรงพระราชทานไถ่คืน และ ทราบความจรงิ ❖ พระเจา้ กรงุ สัญชัยรบั สงั่ ใหเ้ ชิญพระเวสสนั ดร พระนางมทั รกี ลับพระนครสบื ราชสมบัติ ❖ เมืองกาลิงคะเกิดความอุดมสมบูณแ์ ล้ว พระเจ้ากาลงิ คะจงึ ใหพ้ ราหมณ์นาชา้ งปจั จัยนาคคืน แกก่ รุงสพี ี ❖ เมื่อทั้ง 6 พระองค์กลับมาพบกันก็สวมกอดกรรณแสงจนสลบทั้ง 6พระองค์ ขณะน้ันเกิด ฝนโบกขรพรรษตอ้ งพระวรกายจึงทรงฟืน้ ❖ พระเวสสันดรสละพรตครองราชสมบัติ ภาพจาก https://xn--v3cdwa6co.com/

การบาเพญ็ ปญั ญาบารมีโดย พระมโหสถเปน็ ชอ่ื ของพระโพธสิ ตั ว์ใน เร่ืองมโหสถชาดก เปน็ ชาดกเรือ่ งท่ี 5 ในทศชาติ ทรงบาเพ็ญปญั ญาบารมี คือ มีความรอบรู้ ความเข้าใจชัดเจน สามารถแยกแยะเหตุ และผลดี และชั่ว คณุ และโทษ ประโยชน์ และมิใช่ ประโยชน์ เปน็ ตน้ ภาพจาก https://i.pinimg.com/originals

❖ พระโพธิสัตว์เม่ือเสวยพระชาติเป็นมโหสถบุตรเศรษฐี ผู้มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดมาก ผูค้ นตา่ งมาขอให้ชว่ ยตดั สินคดพี พิ าท และแก้ไขปญั หาอยเู่ นอื ง ๆ ❖ ชื่อเสียงของมโหสถเล่ืองลือไปถึงพระเจ้าวิเทหราชแห่งกรุงมิถิลา พระองค์ได้ทรงทดลอง สตปิ ัญญาของมโหสถด้วยวิธีตา่ ง ๆ จนเป็นที่พอพระทัย และขอมโหสถไว้เปน็ ราชบตุ ร เพอื่ ชว่ ยงานราชการ ❖ มโหสถได้ใช้สติปัญญา แก้ไขปัญหาต่าง ๆ ท้ังปัญหาภายในบ้านเมือง คือเอาชนะที่ปรึกษา หรือราชบณั ฑติ คนอืน่ ๆ ท่ีรษิ ยาใส่ความได้ และปัญหาศึกสงคราม รวมทงั้ ยังใช้สตปิ ัญญา ช่วยพระชนมช์ พี ของพระเจา้ วเิ ทหราชไวไ้ ด้ ❖ พระโพธสิ ัตวเ์ มอ่ื เสวยพระชาตเิ ปน็ มโหสถบุตรเศรษฐี ❖ ผู้มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดมาก ผู้คนต่างมาขอให้ช่วยตัดสินคดีพิพาท และแก้ไขปัญหาอยู่ เนอื ง ๆ ❖ ชื่อเสียงของมโหสถเลื่องลือไปถึงพระเจ้าวิเทหราชแห่งกรุงมิถิลา พระองค์ได้ทรงทดลอง สตปิ ัญญาของมโหสถด้วยวธิ ีตา่ ง ๆ จนเปน็ ทีพ่ อพระทัย และขอมโหสถไว้เปน็ ราชบุตร เพอ่ื ชว่ ยงานราชการ ❖ มโหสถได้ใช้สติปัญญา แก้ไขปัญหาต่าง ๆ ทั้งปัญหาภายในบ้านเมือง คือเอาชนะที่ปรกึ ษา หรือราชบณั ฑิตคนอ่ืน ๆ ท่ีริษยาใส่ความได้ และปัญหาศกึ สงคราม รวมทัง้ ยังใชส้ ตปิ ญั ญา ช่วยพระชนมช์ พี ของพระเจ้าวเิ ทหราชไวไ้ ด้ ........................................................... ........................................................... ........................................................... ........................................................... ........................................................... ........................................................... ........................................................... ........................................................... ........................................................... ........................................................... ........................................................... ........................................................... ........................................................... ........................................................... ........................................................... ........................................................... ........................................................... ........................................................... ........................................................... ........................................................... ........................................................... ........................................................... ........................................................... ........................................................... ........................................................... ........................................................... ........................................................... ........................................................... ........................................................... ...........................................................

พระชาตทิ ี่ 2 ในทศชาติชาดก 10 ชาติสุดทา้ ยกอ่ นทพ่ี ระโพธสิ ตั ว์จะมาประสูตเิ ปน็ เจา้ ชายสิทธัตถะ และตรสั รู้เปน็ พระสมั มาสัมพุทธเจา้ ชาดกเร่ืองนีเ้ ปน็ การบำเพญ็ ควำมเพียรเป็นบารมี ภาพ2 : พระมหาชนกหาชนก ❖ พระเจา้ มหาชนก กษัตรยิ ์แหง่ กรุงมิถลิ า มพี ระโอรสสองพระองค์ พระนามวา่ \"อริฏฐชนก\" และ \"โปลชนก\" ❖ เม่ือพระเจา้ มหาชนกสวรรคตแล้ว อรฏิ ฐชนกไดค้ รองราชสมบัติ และตง้ั พระโปลชนกเป็น อุปราช โปลชนกทรงรับใชอ้ ริฏฐชนกด้วยความภักดีมาโดยตลอด ❖ อามาตย์ผู้ใกล้ชดิ พระอริฏฐชนก คอยใส่รา้ ยวา่ โปลชนกคิดไมซ่ อื่ อยบู่ ่อยครง้ั อรฏิ ฐชนกจึงมี บัญชาให้จองจาพระโปลชนก พระโปลชนกได้ต้ังจติ อธษิ ฐานใหเ้ ครอื่ งจองจาหักลง และ สามารถหลบหนีไปยังชายแดนกรงุ มิถลิ าได้ ❖ ผู้คนเห็นใจในความไมเ่ ปน็ ธรรมที่พระโปลชนกไดร้ บั และไดเ้ ข้ามาสวามภิ ักดิจ์ านวนมาก พระองคจ์ งึ ตัดสินพระทยั นาทัพกลบั มายงั กรุงมถิ ลิ าพร้อมส่งสารขอใหอ้ รฏิ ฐชนกมอบราช สมบัติ หรือออกมารบกับตน อรฏิ ฐชนกเลอื กท่ีจะยกทพั ออกมาสู้ และสวรรคตในทร่ี บ ราช สมบตั ติ กเปน็ ของพระโปลชนก ภาพ3 : พระเทวีมีพระประสตู กิ าล ตงั้ พระนามพระโอรสตามพระอัยกาว่า \"มหาชนก\" 2 ภาพพระมหาชนก จาก http://www.tairomdham.net/index.php?action=profile;u=9;area=showposts;sa=topics;start=660 3 ภาพพระเทวมี พี ระประสตู ิกาล จาก http://www.tairomdham.net/index.php?action=profile;u=9;area=showposts;sa=topics;start=660

❖ \"พระเทว\"ี มเหสีของอริฏฐชนกซง่ึ กาลงั ทรงครรภ์จึงปลอมตวั หนีออกนอกเมืองท่ามกลาง ความโกลาหล แล้วเสดจ็ ไปจนถึงเมืองกาลจมั ปากะ ได้พราหมณผ์ หู้ นึง่ ชอ่ื \"อทุ ิจจพราหมณ์ มหาศาล\" อปุ การะไว้ในฐานะนอ้ งสาว ❖ ระหวา่ งทางในมหาสมทุ ร เจอพายุ และลม่ ลง ลกู เรอื ตายหมดยงั แต่พระมหาชนกรอดผู้ เดียว ทรงอดทนวา่ ยนา้ ในมหาสมุทรด้วยความเพียร 7 วัน 7 คืน ❖ จนได้พบนางมณีเมขลา เมอ่ื นางมณเี มขลาได้โตต้ อบข้อธรรมะกับพระมหาชนกจนเปน็ ที่ พอใจแลว้ นางจึงอุ้มพระมหาชนกไปสง่ ยังมถิ ลิ านคร ภาพ4 พระมหาชนก ❖ โปลชนกประชวร และสวรรคต เหลอื เพยี งพระราชธดิ า \"สวี ลเี ทวี\" ก่อนสวรรคตทรงตัง้ ปริศนาเรอ่ื งขุมทรพั ย์ท้งั สิบหกไว้ทดสอบผจู้ ะขึ้นครองราชย์ตอ่ ไป แต่ไม่มผี ูใ้ ดไขปริศนาได้ ❖ เหล่าอามาตย์จึงได้ประชมุ กนั แล้วปล่อยราชรถ ราชรถก็แล่นไปยังพระแท่นที่พระมหาชน กบรรทมอยู่ เหล่าอามาตยจ์ งึ เชญิ เสดจ็ ข้นึ ครองราชย์ และอภิเษกกบั สีวลเี ทวี ทรงไข ปรศิ นาตา่ ง ๆ ได้ และทรงครองราชสมบัติโดยธรรม ❖ หลงั จากนน้ั พระองค์จึงให้อามาตย์ทัง้ หลายรับพระเทวผี ้เู ป็นพระราชมารดา และอทุ จิ จ พราหมณม์ หาศาลให้ลงมาอยทู่ กี่ รุงมถิ ลิ าด้วยกัน 4 พระมหาชนก จาก http://www.tairomdham.net/index.php?action=profile;u=9;area=showposts;sa=topics;start=6 60

❖ ครง้ั พระมหาชนกได้เสด็จประพาสอทุ ยาน ซ่ึงมตี ้นมะมว่ งต้นใหญ่อยู่สองตน้ ตน้ หน่ึงมผี ล รสชาตวิ เิ ศษยิง่ นัก อกี ตน้ หน่งึ ไม่มีผล พระองคเ์ สวยผลของตน้ มะม่วงทม่ี ผี ลเพยี งเลก็ น้อย แลว้ เสด็จประพาสในพระราชอุทยานตอ่ ❖ ทรงดารวิ ่าเมือ่ เสด็จกลับมาทต่ี ้นมะม่วงอกี คร้ังจะเสวยผลมะมว่ งนน้ั อกี ฝ่ายมหาชน ทัง้ หลายทกุ ชนชนั้ ครัน้ เห็นพระมหาชนกเสวยผลมะม่วงแลว้ กก็ รเู ขา้ แยง่ กนั เก็บผลมะม่วงนั้น ไปกนิ บา้ ง ทเ่ี ก็บเอาผลมะมว่ งไมไ่ ด้ก็พากันทาลายต้นมะมว่ งเสียด้วยหวงั วา่ จะไมใ่ ห้คนอ่นื ได้ กนิ เช่นเดียวกบั ตน ❖ เมื่อเสด็จกลบั มาอกี คร้งั ได้ทอดพระเนตรเห็นต้นมะม่วงทม่ี ีผลโคน่ ล้มหกั ทาลายลง สว่ นต้น มะมว่ งที่ไมม่ ผี ลยังคงตั้งตระหง่านอยู่ กท็ รงสลดพระราชหฤทัย ❖ ทรงปรารภในข้อธรรมะและคดิ หาหนทางแก้ไขใน ❖ ทา้ ยทสี่ ดุ พระมหาชนกนอ้ มพระหทยั ไปในการ สง่ิ ท่เี กดิ ข้นึ บรรพชา ในทีส่ ดุ ก็สละราชสมบตั ิและออกผนวช ❖ พระองค์จึงเชญิ อุทจิ จพราหมณม์ หาศาล เพอื่ ทรง บาเพญ็ สมณธรรมในปา่ ทรงเปล่งอุทานวา่ แนะอบุ ายในการฟื้นฟตู น้ มะมว่ งท่เี สยี หายให้ “การบวชเปน็ ความแทจ้ ริงหนอ” กลับมามีผลได้ และทรงปรึกษาเรอื่ งการตัง้ สถานท่ี ❖ ความอดทนต่อความไมด่ ี มีความตง้ั ใจ หรือ อบรมวิชาความรูต้ ่าง ๆ เพ่อื ขจดั ความไมร่ ้ขู อง ปณธิ าน อันแน่วแน่ ในการทีจ่ ะกระทาความดี มหาชน หรอื เร่ืองดี ๆ ให้สาเร็จด้วยความพยายาม ❖ อุทจิ จพราหมณ์มหาศาลเหน็ ดว้ ยกับแนว หรอื การลงมอื ทาใหส้ าเรจ็ ให้สดุ ความสามารถ พระราชดาริดังกลา่ ว และรับรองว่าจะนา ทท่ี าได้ และทาให้ดที ี่สดุ พระราชดารเิ หล่านัน้ ไปปฏบิ ตั ใิ หบ้ ังเกิดผลตอ่ ไป

........................................................... ........................................................... ........................................................... ........................................................... ........................................................... ........................................................... ........................................................... ........................................................... ........................................................... ........................................................... ........................................................... ........................................................... ........................................................... ........................................................... ........................................................... ........................................................... ........................................................... ........................................................... ........................................................... ........................................................... ........................................................... ........................................................... ........................................................... ........................................................... ........................................................... ........................................................... ........................................................... ........................................................... ........................................................... ...........................................................

❖ o มาฆบูชา มาจากคาวา่ มาฆบรู ณมีบชู า หมายถึง การบชู าในวันเพญ็ เดอื น 3 (ขนึ้ 15 ค่า เดือน 3) o หากปีใดตรงกับปีอธิกมาส คอื เดอื น 8 สองคร้ังก็จะตรงกบั วนั เพญ็ เดอื น 4 o วันท่ีพทุ ธศาสนกิ ชนแสดงความเคารพต่อพระธรรม o นยิ มเรียกวันน้ีวา่ จตุรงคสนั นบิ าต ❖ o พระอรหันตสาวก 1250 รูป o มาประชมุ กันโดยมิไดน้ ัดหมาย ณ เวฬุวันมหาวิหาร กรงุ ราชคฤห์ o พระอรหนั ล้วนเป็นเอหภิ ิกขุอุปสมั ปทา o พระพุทธองคแ์ สดงโอวทปาฏโิ มกข์ ❖ o คาสอนอันเป็นหัวใจของพระพทุ ธศาสนา ไดแ้ ก่ พระพุทธพจน์ 3 คาถาก่งึ คอื ▪ การไมท่ าความชวั่ ทง้ั ปวง ▪ การบาเพ็ญแต่ความดี ▪ การทาจติ ของตนใหผ้ อ่ งใส o วันมาฆบูชาจงึ เปน็ วนั พระธรรมดว้ ยคาสอนในวนั นเี้ ป็นหวั ใจของพระพทุ ธศาสนา ข้นึ 15 ค่าเดอื น 3

ภาพ5 พุทธประวตั ิ ❖ วั น วิ ส า ข บู ช า เ ป็ น วั น ส า คั ญ ส า ก ล ที่ ส ห ป ร ะ ช า ช า ติ ประกาศ ถือเป็นวันสาคัญท่ีสุดทางพระพุทธศาสนา คือ เป็นวันคล้ายวันประสูติ (ก่อน พทุ ธศกั ราช 80 ปี) ตรสั รู้ (ก่อนพทุ ธศกั ราช 45 ป)ี และปรนิ พิ พาน (ก่อนพุทธศักราช 1 ปี หรอื พุทธศกั ราชที่ 1 ตามการนบั พทุ ธศักราชของเมยี นมาร์ ศรลี งั กา) ของพระพทุ ธเจ้า ❖ o ทุกข์ (ปัญหา ความเดือนร้อน) สมุทัย (สาเหตุของปัญหา) นิโรธ (เป้าหมาย หรือ การแก้ปญั หา) มรรค (วิธีปฏิบติ ลงมอื ทาเพ่ือให้แกป้ ญั หา ) ❖ การตรสั รู้ของพระพุทธเจา้ เปน็ การอนุเคราะหส์ รรพสัตว์ใหเ้ ขา้ ใจความเปน็ จรงิ ความเป็นไป ในเหตุ และผล เพอื่ ทาให้มนษุ ย์รจู้ ักวธิ ีแกไ้ ขปัญหา หรอื การดบั ทขุ ์ ขนึ้ 15 ค่ำ เดอื น 6 5 ธีร์ ธรี ์ธรรม

❖ o วนั คล้ายวนั ถวายพระเพลงิ พทุ ธสรรี ะ o แรม 8 ค่าเดือน 6 หรอื เดือน 7 เมือ่ ปนี นั้ ตรงกบั ปีอธกิ มาส o พุทธศาสนกิ ชนควรระลกึ ถงึ พระพทุ ธเจา้ วา่ แมท้ รงเพรยี บพรอ้ มทกุ อย่างกย็ ังเสด็จ ดับขันธปรินพิ พาน ❖ o ทกุ สรรพส่งิ ในโลกและจกั รวาลล้วนเป็นอนิจจงั ไม่มีความแนน่ อน ทกุ คนควรสร้าง บญุ กุศลตามครรลองธรรม “อปั ปมาทะ” หรือความไมป่ ระมาท o การบชู า 2 ประการ คือการบูชาด้วยสิ่งของ และการบชู าด้วยการปฏบิ ตั ิ o “เธอทง้ั หลายพึงยังประโยชนต์ นและประโยชนท์ ่านดว้ ยความไม่ประมาทเถิด” แรม 8 ค่า เดือน 6 ภาพ6 ถวายพระเพลิงพระพทุ ธสรรี ะและแบง่ พระบรมสารีริกธาตุ ภาพ7 พระพระพุทธไสยาสน์ 6 ภาพถวายพระเพลงิ พระพุทธสรีระและแบ่งพระบรมสารีริกธาตุ พระทน่ี ่ังพทุ ไธสวรรค์ วงั หน้า กรงุ เทพมหานคร 7 ภาพพระพทุ ธรูปปางปรินพิ พาน (ปางไสยาสน์) ศิลปะสุโขทยั ประดษิ ฐาน ณ วหิ ารพระศรีศาสดา วดั บวรนิเวศวหิ ารราชวรวิหาร

❖ o อาสาฬหบูชา มาจากคาว่า อาสาฬหบรู ณมีบูชา หมายถึงการบชู าในวนั เพญ็ เดอื น 8 o หากปใี ดตรงกับปีอธิกมาสกจ็ ะตรงกับวันเพญ็ เดอื น 8 หนท่ี 2 o เป็นวันทพ่ี ระรัตนตรยั ครบองค์ 3 o โกณฑัญญะ ขอบวชเปน็ ภิกษุในพระพทุ ธศาสนา o วันแรกของการประกาศพระพทุ ธศาสนา o เกดิ พระสงฆ์รปู แรกในพระพทุ ธศาสนาจึงเปรยี บเสมือนเป็นวนั พระสงฆ์ ❖ o ไมส่ ุดขั้วท้งั 2 ทาง คอื กามสขุ ลั ลกิ าโยค (ความสขุ ทางเนื้อหนัง) และ อัตตกลิ ม ถานุโยค (ทรมานตนจนลาบาก) ให้ยดึ ทางสายกลาง o เทศนาอรยิ มรรค และรูห้ น้าท่ีแห่งอรยิ สัจ สรปุ ได้เป็นไตรสิกขา คือศีล สมาธิ ปัญญา o เทศนาอนตั ตลักขณสตู ร ขนั ธ์ทง้ั 5 เป็นอนตั ตา ข้นึ 15 คา่ เดอื น 8

❖ o วันสาหรับพุทธศาสนิกชนฟังธรรม รักษาศีล เจรญิ ภาวนา o เรยี กกนั ท่วั ไปว่า “วนั พระ” o วันพระเลก็ วันขึ้น และวันแรม 8 คา่ o วันพระใหญ่ วนั ขึ้น 15 ค่า และวนั แรม 14 คา่ (ในเดอื นขาด) หรอื 15 ค่าใน เดอื นเตม็ (เดือนย่ี เดอื น 4 เดอื น 6 เดือน 8 เดือน 10 เดือน 12) o เป็นการถืออุโบสถศลี ของอบุ าสก อุบาสิกา o ฟงั ธรรมเทศนา ❖ o วันเขา้ พรรษาเป็นวนั ทพ่ี ระภิกษสุ งฆ์อธิษฐานว่าจะอยูป่ ระจาอาวาสใดอาวาสหนึ่ง เป็นระเวลา 3 เดอื น ไมจ่ าริกไปค้างคนื ที่อื่นแมแ้ ตค่ ืนเดยี ว o เข้าพรรษามี 2 วันคอื ▪ วันแรม 1 ค่า เดือน 8 “ปุรมิ พรรษา” หรอื พรรษาตน้ ออกพรรษาขน้ึ 15 คา่ เดอื น 11 ▪ วันแรม 1 คา่ เดอื น 9 “ปัจฉิมพรรษา” หรอื พรรษาหลงั ออกพรรษาในวัน ข้ึน 15 ค่าเดอื น 12 o ช่วงวันเข้าพรรษา เป็นช่วงเวลาทช่ี าวบา้ นจะประกอบอาชีพทาไรท่ านา ดังนั้นการ กาหนดให้ภกิ ษสุ งฆ์หยุดการเดินทางจารกิ ไปในสถานทีต่ า่ งๆ จะช่วยให้ต้นกล้าของ พันธ์พุ ชื ตลอดจนสตั ว์เล็กสัตวน์ อ้ ยไม่ได้รับความเสียหายจากการเดินธดุ งค์ o เพอ่ื ใหพ้ ระสงฆ์ไดห้ ยดุ พักจากการจาริกเผยแผ่พระศาสนายงั สถานท่ีตา่ ง ๆ ท่เี ปน็ ไป ดว้ ยความยากลาบากในชว่ งฤดฝู น o เพอ่ื ศกึ ษาพระธรรมวินยั จากพระสงฆ์ท่ีทรงความรู้ o พทุ ธศาสนกิ ชน และมอี ายุครบบวช (20 ปี) จะนิยมถอื บรรพชาอุปสมบทเป็น พระสงฆ์เพอ่ื อยู่จาพรรษาตลอดท้ัง 3 เดือน โดยพุทธศาสนกิ ชนชาวไทยจะเรยี กการ บรรพชาอปุ สมบทเพือ่ จาพรรษาตลอดพรรษากาลวา่ บวชเอาพรรษา

แรม 15 คา่ เดือน 11 ภาพ8 พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากดาวดงึ ส์ ❖ วันออกพรรษา คอื วันสิ้นสุดระยะการ จาพรรษา หรือออกจากการอยปู่ ระจาที่ใน ฤดฝู นซึ่งตรงกับวันขึน้ 15 ค่า เดือน 11 ❖ วนั ออกพรรษาน้ี เรียกอกี อย่างหน่ึงว่า \"วนั มหาปวารณา“ และจะมพี ธิ ปี าวรณา ❖ คาวา่ \"ปวารณา\" แปลวา่ \"อนญุ าต\" หรอื \"ยอมให\"้ คือ เป็นวนั ที่เปดิ โอกาสใหพ้ ระภิกษุ สงฆ์ด้วยกนั ว่ากล่าวตักเตอื นกนั ได้ ในขอ้ ท่ผี ิดพลั้งล่วงเกินระหวา่ งทีจ่ าพรรษาอยู่ด้วยกัน ❖ ในวันออกพรรษาชาวบา้ นมักจะกระทาคือ การบาเพญ็ กุศล เช่น ทาบุญตกั บาตร จดั ดอกไม้ ธปู เทียน ไปบชู าพระท่ีวดั และฟงั พระธรรมเทศนา ❖ ของทช่ี าวพทุ ธนิยมนาไปใส่บาตรในวนั น้กี ็คอื ขา้ วต้มมัดไต้ และข้าวตม้ ลกู โยน และการร่วม กุศลกรรมการ \"ตกั บาตรเทโว\" คาว่า \"เทโว\" ย่อมาจาก “เทโวโรหน\" แปลว่าการเสดจ็ จาก เทวโลกการตักบาตรเทโว จงึ เป็นการระลกึ ถึงวันที่ พระพทุ ธองคเ์ สด็จกลบั จากการโปรด พระพุทธมารดาในเทวโลก ❖ การถวายผ้าอาบนา้ ฝนแดพ่ ระสงฆต์ ลอดเข้าพรรษา เรม่ิ ถวายตัง้ แต่แรม 1 ค่า เดอื น 7 ไปจนถึงขน้ึ 15 ค่า เดือน 8 พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตนุ่งหมุ่ ได้ตงั้ แต่ แรม 1 คา่ เดอื น 8 ไป และหา้ มมิใหพ้ ระภิกษุสงฆ์แสวงหาผา้ นงุ่ ห่มจากทรงอนญุ าตไว้ การถวายผ้าอาบน้าฝน นิยมถวายในวนั ขนึ้ 15 ค่าเดอื น 8 เนอื่ งจากเปน็ ที่อาสาฬหบชู า ที่พุทธศาสนกิ ชนไปวดั ทาบุญใหญ่ก่อนเข้าพรรษา 1 วนั 8 พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากดาวดึงส์ หอศลิ ป์สมเดจ็ พระนางเจ้าสิรกิ ติ ์ิ พระบรมราชนิ ีนาถ ถนนราชดาเนนิ กรงุ เทพมหานคร

ทาบญุ ตักบาตร เวยี นเทยี น ฟงั ธรรมเทศนา ถวายสงั ฆทาน พระสงฆป์ วารนาออกพรรษา ถืออุโบสถศลี ถวำยผ้ำอำบน้ำฝน ถวายเทียนพรรษา งดอบายมขุ ตอนท่ี 1 ทบทวน 6. เป็นวันคลา้ ยวันถวายพระเพลิง พระพทุ ธสรี 1. เป็นวันท่ีมีพระรัตนตรัยครบองคส์ าม ได้แก่ รของพระพทุ ธเจ้า ก. วันวสิ าขบชู า ข. วันมาฆบชู า ก. วนั วิสาขบูชา ข. วันมาฆบชู า ค. วันอาสาฬหบูชา ง. วันอฐั มีบูชา ค. วนั อาสาฬหบูชา ง. วนั อฐั มีบูชา 2. . เป็นวันที่พระพทุ ธเจา้ แสดง ธัมจักกัปวัตนสตู ร 7. เปน็ วนั ทพี่ ระสงฆส์ ามารถว่ากล่าวตกั เตอื น ก. วันวิสาขบชู า ข. วนั มาฆบูชา กนั ได้ ค. วันอาสาฬหบชู า ง.วันอัฐมบี ูชา ก. วนั วิสาขบชู า ข. วนั มาฆบูชา 3. วันใดเปน็ วนั ท่พี ระพุทธเจา้ แสดงโอวาทปาติโมกข์ ค. วนั เข้าพรรษา ง. วันออกพรรษา ก. วนั วสิ าขบชู า ข. วันมาฆบชู า 8. เป็นวันทน่ี ยิ มเรยี กกันวา่ เป็นวัน ค. วนั อาสาฬหบูชา ง. วันอฐั มีบูชา พระพุทธเจ้า ได้แก่ 4. ความสาคัญของโอวาทปาตโิ มกขค์ อื ขอ้ ใด ก. วนั วสิ าขบูชา ข. วนั มาฆบูชา ก. การไม่ทาบาป ค. วันอาสาฬหบชู า ง. วนั อฐั มบี ชู า ข. การทาความดี 9. เปน็ วนั ท่ีนยิ มตักบาตเทโว ค. การไม่มที กุ ข์ ก. วันวสิ าขบชู า ข. วันมาฆบูชา ง. การทาดี ละช่ัว ทาจติ ใจให้บริสทุ ธ์ิ ค. วนั เข้าพรรษา ง. วนั ออกพรรษา 5. หลกั ธรรมท่พี ระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ ปัญจวคั คยี ์ 10. การทอดกฐินนิยมทอดหลงั วนั ใดภายใน คอื ข้อใด ระยะเวลา 1 เดือน ก. อทิ ธบิ าท 4 ข. อรยิ สัจ 4 ก. วันวสิ าขบูชา ข. วันมาฆบูชา ค. พรหมวิหาร 4 ง. กศุ ลกรรม ค. วันเข้าพรรษา ง. วันออกพรรษา

ตอนท่ี 2 เติมขอ้ ควำมปริศนำใหถ้ กู ตอ้ ง 1. 2. 3. 4. 5. 10. 6. 7. 8. 9. แนวนอน 1. หลักธรรมทก่ี ล่าวถึงทางสายกลาง เกีย่ วข้องในวนั อาสาฬหบูชา 3. หลักธรรมท่ีพระพุทธเจา้ ทรงแสดงปฐมเทศนาแกป่ ัญจวคั คยี ์ 5. เหตุการณส์ าคัญทีเ่ กิดขึน้ พร้อมกนั 4 ประการในวันเดียวกัน 6. วันที่มีพระรตั นตรยั ครบองค์ 3 7. วนั ทพ่ี ระพทุ ธเจ้าเสด็จไปแสดงธรรมแกพ่ ระพทุ ธมารดาบนสวรรค์ชน้ั ดาวดงึ ส์ 8. การตกั บาตรที่จดั ขึ้นเน่อื งในวันออกพรรษา 9. การบชู าดว้ ยส่งิ ของ 10. ถวายวัตถทุ าน แนวตง้ั 2. พิธีทเ่ี ปดิ โอกาสใหพ้ ระสงฆส์ ามารถวา่ กล่าวตักเตอื นกันได้ 4. วนั ทพ่ี ระพุทธเจา้ ทรงแสดงโอวาทปาตโิ มกข์ 6. วันทีพ่ ระพุทธเจา้ เปดิ โลกท้ังสาม

❖ พิธตี ่าง ๆ ท่ีเกีย่ วขอ้ งกับพระพทุ ธศาสนา เฉพาะตวั บคุ คล แบง่ เป็น 2 ประเภท o พธิ กี รรมทพ่ี ุทธบริษัทควรปฏิบัติ เช่น พธิ แี สดงตนเปน็ พทุ ธมามกะ เวียนเทยี นในวัน สาคญั รกั ษาอโุ บสถศลี o พิธีกรรมทส่ี งฆค์ วรปฏบิ ตั ิ เชน่ เขา้ พรรษา อุโบสถกรรม ออกพรรษา พธิ กี รรมใน วนั ธรรมสวนะ ❖ พธิ ีทาบญุ หรือความดีงาม ทีเ่ ก่ียวเนือ่ งกบั ชีวติ และครอบครัว แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ o งานมงคล เชน่ ทาบญุ เน่อื งในโอกาสตา่ ง ๆ o งานอวมงคล คือการทาบญุ ทเี่ ก่ยี วเนือ่ งกบั ผลู้ ่วงลบั เชน่ งานศพ งานทาบญุ อฐั ิ ❖ พธิ ีถวายทานแด่พระสงฆ์ หรือ ถวายวตั ถทุ าน มี 2 ประการคอื o ปาฏิบุคลิกทาน = ถวายโดยเจาะจงภิกษุรปู ใดรูปหน่งึ o สังฆทาน = ถวายโดยไม่เจาะจงภกิ ษุ ❖ พิธที าบญุ เนอ่ื งในเทศกาลตา่ ง ๆ เช่น ทาบุญเนื่องในวนั ฉตั รมงคง วนั เฉลิม พระชนมพรรษา วนั ปใี หม่ วนั สงกรานต์ ❖ พุทธบรษิ ทั พร้อมบรเิ วณพธิ ี โดยเรยี นจากพระภกิ ษุ สามเณร อบุ าสก อุบาสกิ า ❖ ประธานสงฆก์ ระทาพธิ ีบชู าพระรัตนตรยั ❖ ประธานสงฆ์เดินเวยี นประทักษณิ (เวยี นขวา) 3 รอบ ❖ รอบที่ 1 ระลึกถงึ พระพทุ ธคุณ บทสวดอติ ปิ โส... ❖ รอบท่ี 2 ระลกึ ถงึ พระธรรมคุณ บทสวด สวากขาโต... ❖ รอบท่ี 3 ระลกึ ถึงพระสังฆคุณ บทสวด สุปฏปิ ันโน... ❖ ครบ 3 รอบแล้วนาเคร่ืองบูชาไปปักบูชา แล้วประชุมพรอ้ มกัน ณ ปรัมพิธี สวดมนต์ ทาวตั ร แลว้ ฟังธรรมเทศนาเปน็ อนั เสร็จพธิ ี

❖ สังฆทาน คือ ทานท่ีถวายพระสงฆท์ ัว่ ไป มไิ ดเ้ จาะจงวา่ เป็นภกิ ษุรปู ใดรูปหนง่ึ ❖ ไทยทาน คือ ของสาหรบั ทาทาน ❖ ไทยธรรม คอื ของสาหรบั ทาบุญ ❖ แต่ก็หมายถึง สิ่งของท่ีถวายเป็นทานเรียกว่า เคร่ืองไทยธรรม ประกอบด้วย ภัตตาหาร น้า ผ้า หรอื เครอื่ งนุ่งห่ม พาหนะหรือปัจจยั ค่าพาหนะ มาลัย หรอื ดอกไม้ ธูปเทียน เคร่อื งชาระล้าง ร่างกาย เครอ่ื งนอน เสนาสนะประกอบทอ่ี ยู่อาศยั หรือ โต๊ะ เก้าอี้ เคร่ืองใหแ้ สงสว่าง ❖ มีวตั ถุประสงฆ์เพ่ือสบื ต่อระเบียบประเพณีทางพระพทุ ธศาสนา สร้างอานิสงสแ์ ก่ตนเอง และชว่ ยฝกึ จิตใจในเกดิ การเสยี สละ ❖ ในสมยั พทุ ธกาลพระพทุ ธองค์ทรงอนญุ าตให้ภกิ ษุใชผ้ า้ ได้เพยี ง 3 ผืน และครัง้ หนึ่งนาง วิสาขาได้ทลู เชญิ พระพทุ ธองค์ และพระสาวกรับภัตตาหารที่บา้ นตน ในรุ่งเชา้ ไดว้ านใหน้ าง นางทาสไี ปกราบอารธนา และขณะขน้ั เปน็ ช่วงทฝี่ นตกพระสงฆ์จงึ ไดอ้ อาบนา้ ฝน เมอ่ื นาง ทาสีไปถึงวดั เชตวนั ได้พบกับภกิ ษุเปลือกกายกลางแจ้งเข้าใจว่าเปน็ พวกชวี ก จงึ เขา้ ใจวา่ ไม่มี พระสงฆ์ จึงไดก้ ลบั ไปบอกนางวิสาขา ❖ นางวิสาขาภิจารณาด้วยปญั ญาจงึ เข้าใจวา่ นา่ จะเป็นพระสงฆ์ที่กาลังอาบนา้ ครัง้ ฝนหยุดตน จึงไดใ้ ห้นางทางสไี ปกราบอาราธนาอีกครงั้ และกพ็ บพระสงฆ์เต็มลานวดั นางวสิ าขาได้ กราบทูลพระพทุ ธเจ้า ให้พระสงฆ์สามารถรับผา้ อาบน้าฝนไดอ้ กี ผนื หนงึ่ อปุ ถัมภพ์ ระศำสนำ ผำ้ อำบนำ้ ฝน วัตถปุ ระสงค์ ชว่ งเวลำถวำย ควำมนยิ ม เพ่อื ทาบุญ และ แรม 1 คา่ เดือน 7 ถงึ พทุ ธศาสนกิ ชนนยิ มถวาย อปุ ถมั ภ์พระภิกษุสงฆ์ ขนึ้ 15 ค่าเดอื น 8 ในวันพระ บางวัดถวาย วนั วนั เข้าพรรษา

❖ กฐิน แปลวา่ ไม้สะดงึ สมยั ก่อนการตดั เยบ็ จวี รต้องใชไ้ ม้สะดงึ ในการตดั เย็บ ❖ เมื่อตดั เยบ็ ผา้ กฐินแลว้ จึงนาไปถวายพระภกิ ษสุ งฆ์ ผู้จาพรรษาตลอด 3 เดือน เรยี กวา่ ทอดกฐิน ❖ ทอดกฐนิ คอื การนาผ้ากฐนิ ไปวางไว้หนา้ พระสงฆ์อย่างน้อย 5 รูป โดยมไิ ดต้ ั้งใจถวายแค่ พระสงฆร์ ปู ใดรูปหนง่ึ ❖ พระสงฆ์จะทาการมอบดว้ ยกิจของท่านเอง ❖ วัตถปุ ระสงค์ เป็นการทาบุญสร้างอานสิ งส์ อปุ ถัมภพ์ ระสงฆ์ สืบต่อพระพุทธศาสนา เปดิ โอกาสให้มีการสรา้ งบุญ สร้างกุศล ❖ ระยะเวลาทอดกฐนิ ต้ังแต่ แรม 1 ค่า เดอื น 11 ถงึ ข้ึน 15 ค่าเดอื น 12 จะทอกอ่ น หรอื หลงั ไมไ่ ด้ ทอดไดป้ ลี ะ 1 ครัง้ ต่อวัด ❖ วดั ท่ีทอดกฐินไดต้ อ้ งมีภกิ ษจุ าพรรษาอย่างนอ้ ย 5 รปู ❖ คอื การบวชสามเณร ท่ีมอี ายไุ ม่ตา่ กว่า 7 ปี แตไ่ ม่ถึง 20 ปบี รบิ ูรณ์ o เป็นชาย ไม่ต่ากว่า 7 ปี ไมเ่ ปน็ โรคติดตอ่ อวัยวะครบ 32 ประการไมม่ ีขอ้ หา้ มตามพระธรรมวนิ ัย ❖ คือ การบวชเปน็ พระด้วยวิธญี ตั ตจิ ตตุ ถกรรมวาจาอุปทา หรอื บวชโดย สงฆ์สวดประกาศ หรอื บวชในทีป่ ระชมุ สงฆ์ o ชายอายุ 20 ข้นึ ไป ไมเ่ ปน็ บุคคลตอ้ งห้าม ไม่เป็น โรคตดิ ต่อ ไมต่ ้องโทษ ไดร้ ัอนญุ าติจากบิดา มารดา ข้าราชการต้องไดร้ บั อนญุ าติ จากสงั กดั กุศลพิธี บญุ พิธี ทานพธิ ี ปกิณกพธิ ี .............................การกรวดนา้ .............................พิธที อดกฐิน .............................งานทาบุญวันครบวันตาย 100 วัน ...........................การถวายสังฆทาน .............................การแสดงตนเป็นพุทธมามกะ .............................การเวียนเทียนในวันสาคัญ .............................การทาบุญอัฐิ .............................พิธขี นึ้ บ้านใหม่ ...............................การประเคนของถวายพระสงฆ์ .............................งานมงคลสมรส

กำรถวำยสงั ฆทำน กล่าวคาถวายสังฆทาน เตรียมเครือ่ งสังฆทาน โดยคานึงถึงความเหมาะสม บูชาพระรตั นตรยั อาราธนาศีล สมาทานศีล กล่าวนะโม นิมนตพ์ ระสงฆโ์ ดยไมเ่ จาะจง ถวายสงั ฆทาน หลังจากน้นั กรวดนา้ และรบั พร กำรถวำยผ้ำอำบนำ้ ฝน บูชาพระรัตนตรัย อาราธนาศลี สมาทานศลี กลา่ วนะโม เตรยี มเครอื่ งอาบนา้ ฝนให้เรียบร้อย ถวายผ้าอาบนา้ ฝน หลงั จากนน้ั กรวดนา้ และรับพร กล่าวคาถวายผ้าอาบน้าฝน พธิ ีทอดกฐิน ขัน้ ทอดกฐิน : นาผา้ ไตรจวี รใส่พานแวน่ ฟา้ และบริวารกฐินวางต่อ หน้าพระสงฆ์ ข้ันการจดั เตรยี มเคร่อื งกฐิน : โดยเฉพาะผ้าไตรจวี ร กลา่ วคาถวายกฐิน จากนนั้ ถวายผ้ากฐนิ แดป่ ระธานสงฆ์ และบรวิ าร กฐนิ แดพ่ ระสงฆ์ จากนั้นรบั พร ขน้ั จองกฐนิ : แจ้งให้เจ้าอาวาสของวดั ทราบ บชู าพระรตั นตรัย อาราธนาศีล สมาทานศลี กลา่ วนะโม “บรรพชำ” และ “อปุ สมบท” มีควำมหมำยแตกตำ่ งกนั อยำ่ งไร ...................................................................................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................................................................................

❖ แก้วอนั ประเสริฐสามประการ ประกอบดว้ ยพทุ ธรตั น ธรรมรตั น และสงั ฆรตั น พระ รตั นตรยั เป็นองค์ประกอบทสี่ าคญั เปน็ แหลง่ รวมความดงี าม และสริ มิ งคลแกก่ ารเร่มิ ปฏิบตั ิพิธกี ารตา่ ง ๆ o พระสมั มาสมั พุทธเจ้า ผ้ทู รงค้นพบสจั ธรรม และประกาศพระศาสนา o พระธรรม คอื ความเปน็ จริงที่พระพุทธเจา้ ทรงค้นพบ o พระสงฆ์ ผู้เล่อื มใสในคาสอน ออกบวช และปฏิบัติตาม พร้อมกับการเผยแผ่พระศาสนา ❖ พระพทุ ธองค์มพี ระปญั ญารอบรู้ถงึ ความจรงิ ของสรรพสัตว์ทงั้ หลาย ทรงทราบชัดถงึ ความจริงเหล่านั้น และนาความจรงิ เหล่าน้ันมาเปิดเผยช้แี จงแสดงแก่โลก เพือ่ ชี้ให้สรรพสตั วท์ ัง้ หลายเหน็ หนทางพน้ ทกุ ขไ์ ด้จริง ❖ พระทัยบริสุทธ์ิ สะอาดหมดจด จากอาสวะกิเลสเครื่องเศร้าหมอง ทง้ั หลาย คือความสืบเนื่องจากปญั ญาท่ีทาให้จติ ใจหลบั ไหนไปตามกิเลส ❖ ประกอบด้วยความกรุณาต่อสรรพสัตว์ท้งั หลาย ช่วยเหลอื ไม่เลือก ชาติ ชนั้ วรรณะแต่ประการใด เพื่อให้อยูร่ ่วมกนั ไดอ้ ย่างปกตสิ ขุ ❖ ❖

................................................ ................................................ ................................................ ................................................ ................................................ ................................................ ................................................ ................................................ ................................................ ................................................ ................................................ ................................................ ................................................ ................................................ ................................................ ................................................ ................................................ ................................................ ❖

ทกุ ขค์ วามจริงที่ควรรู้ ปญั หำกำย ปญั หำใจท่ีเกดิ ในตัวตน ❖ ปัญหาท่ีกอ่ ใหเ้ กิดความไม่สบายทงั้ กาย และใจ ปญั หาของการเกดิ ทกุ ขม์ ี หลายประการหน่งึ ในน้ัน เกิดจากขันธ์ 5 o ……………………………………………………………………………………………………… o ………………………………………………………………………………………………………... o …………………………………………………………………………………………………... o ………………………………………………………………………………………………………… ▪ สขุ เวทนา …………………………………………………………………………………………... ▪ ทกุ ขเวทนา ………………………………………………………………………………………... ▪ อเุ บกขาเวทนา …………………………………………………………………………………… o ………………………………………………………………………………………………………………. ❖ ธรรมดาของโลกมี 4 คู่ o มีทรัพย์ หรือผลประโยชน์ก็ล้วนหมดได้เช่นกัน o มยี ศสงู วนั น้ี วันหนา้ กค็ นื ส่สู ามัญ o ธรรมดาสรรเสริญ และนินทาสิ่งสาคญั คอื สติเตือนตน o หมดความสขุ ความทกุ ข์จะตามมา

❖ คอื ธรรมชาติทส่ี รา้ งสรรคส์ ิง่ ต่าง ๆ ด้วยการคดิ และมหี นา้ ทสี่ ะสมความคดิ น้นั ไว้ o จิตสามารถคิดไปได้ไกล และรบั อารมณ์ไวไ้ ดม้ าก เชน่ อา่ นนวนิยายก็มีจติ นา การไปได้ไกลกวา่ หนังสือหนึง่ เลม่ o จติ คิดอะไรได้มากมาย แตไ่ มส่ ามารถคิดได้หลายอยา่ ง ในเวลาเดียว จติ คดิ เรว็ ว่องไว และรบั รไู้ ด้หลายอยา่ ง o ไมม่ รี ูปรา่ ง ไมม่ ตี วั ตน ไมส่ ามารถคานวณขนาด ปรมิ าณได้ o หรอื มีรา่ งกายเปน็ ที่อาศัยของจิต ร่างกายมลี ักษณะเปน็ ฑรงเหมอื นถา้ คือ อาการหรอื การแสดงออกของจิต มีลักษณะท่ีเกดิ ดับพรอ้ มกับจิต เป็นอารมณข์ องจติ เชน่ ความโกรธ ความชอบ ธรรมทีค่ วรละ หรือสาเหตุของปัญหา คือความทกุ ข์ ❖ ▪ ...................................................................................................................................... o ▪ ......................................................................................................................................... ▪ ....................................................................................................................................... o ▪ ................................................................................................................................... ▪ ................................................................................................................................. ▪ .............................................................................................................................

❖ ❖ กฎแห่งกรรมใครทาดีก็ได้ดี ใครทาชั่วไดช้ ว่ั แบง่ ออกเป็น 3 กลุม่ 12 กรรม o ▪ กรรมนาไปเกิด เชน่ ถ้ากรรมชวั่ กน็ าไปในทุคติ กรรมดนี าไปสู่สคุ ติ ▪ กรรมท่ีสนับสนนุ ทั้งเร่ืองดี และไม่ดี เชน่ ถา้ ชนกรรมเปน็ กุศล กรือกรรมดี กรรมอุปถัมภก์ จ็ ะดีตามไปดว้ ย ▪ กรรมเบียดเบยี นกาลงั กรรมที่ดีและชวั่ ใหเ้ บาลง เช่น เกดิ เป็นลกู เศรษฐี มีชีวิตสมบรู ณอ์ ุปปีฬกรรมจะทอนกาลังให้ เกเร เรยี น หนงั สือไม่จบ ▪ กรรมตัดรอนทาลายกรรมทงั้ ดี และไม่ดี ทาหน้าที่ไมใ่ หผ้ ลใด ๆ o ▪ กรรมหนัก ให้ผลมาก ▪ การทาดี และชัว่ ที่สะสมไว้มาก แต่เปน็ เรือ่ งเล็กนอ้ ยอาจสง่ ผล ต่อนสิ ัย และเลิกกระทาสงิ่ นั้นได้ยาก ▪ กรรมใกล้ตาย นึกถงึ การกระทาเม่ือใกลต้ าย ▪ การกระทาทท่ี าลงไปโดยมเี จตนาเบา o ▪ การกระทาทีใ่ ห้ผลทนั ตาเหน็ ▪ การกระทาทีต่ ้องใช้เวลาเหน็ ผล หรอื อาจเปน็ ชาติหนา้ ▪ การกระทาที่ตดิ ตวั ไปเร่ือย ๆ จนกว่าจะมี โอกาสได้ผล ▪ การกระทาท่หี มดโอกาสใหผ้ ล คือ ใหผ้ ลแล้ว เช่น ตอ้ งโทษ ตดิ คกุ 2 ปี และติดครบแล้ว และหมดโอกาสใหผ้ ลเช่นตอ้ งโทษปรับ แต่ โทษหนักสดุ คือจาคุก เมือ่ จาคกุ แล้วโทษปรับก็หมดไป ❖ ความยดึ มั่น ถือม่ันยึดตดิ ในกิเลส ตัณหา 4 ประการ o กำมุปำทำน ยดึ ติดในรปู รส กลิน่ เสยี ง สมั ผัส ท่ีน่าพอใจ o ทฏิ ฐุปำทำน ยึดม่นั ใน ทฏิ ฐิ ยดึ ถือความคดิ ทฤษฎี ลัทธิ ความเช่ือ หรอื หลักคา สอนของแนวคดิ ใดแนวคิดหนึง่ วา่ เปน็ ส่ิงถูกต้องเทา่ น้นั o สลีพพั ตปุ ำทำน ยดึ มั่นในศีล หรอื แบบแผน ท่ถี อื ปฏบิ ตั โิ ดยไมม่ ีเหตผุ ล จนกลายเปน็ ความงมงาย o อตั ตวำทปุ ำทำน ยึดมัน่ ในตัวตน คดิ ว่ามี ตวั มตี นทแ่ี ทจ้ รงิ โดยมองไม่เห็นความ จริงของสิง่ ท้งั หลายว่าเปน็ เพียงสิง่ ทป่ี รงุ แตง่ ขน้ึ จริงแล้วสิง่ ต่าง ๆ ลว้ นเกิดขน้ึ ตง้ั อยู่และสญู สลายไปตามกาลเวลา

❖ คดิ เรอ่ื งดีท่เี ปน็ กษุ ศล 3 ประการ คดิ เรื่องรา้ ย แงร่ า้ ย 3 ประการ ❖ ❖ ........................................................................................ ........................................................................................ ........................................................................................ ........................................................................................ ❖ ❖ ........................................................................................ ........................................................................................ ........................................................................................ ........................................................................................ ❖ ❖ ........................................................................................ ........................................................................................ ........................................................................................ ........................................................................................ ❖ กฎแห่งเหตุผล ควบคุมความเปน็ ไปของธรรมชาติ 5 ประการ o กฎของธรรมชาติ วา่ ด้วยอากาศ อณุ หภมู ิ ฤดูกาล o กฎความเปน็ ไปแนน่ อนของธรรมชาติ หรือส่ิงมชี วี ติ ปลกู เงาะไดเ้ งาะ ไม่ได้ทุเรียน o กฎแห่งการรบั รู้ อารมณ์ ความรสู้ ึก o หลักการทว่ั ไปของการกระทา หรอื ทาดีไดด้ ี ทาชว่ั ได้ช่ัว o กฎของความเปน็ ไปของสิง่ ตา่ ง ๆ เกดิ ขึน้ ตง้ั อยู่ และดับไปเป็นเร่อื ง ธรรมดาของโลก ❖ ธรรมอันแสดงใหเ้ หน็ ว่าสรรพสิง่ ในโลกล้วนมกี ารพงึ่ พาอาศัยกัน เปรยี เสมือนห่วงโซค่ ลอ้ งกนั 12 ประการ ความไม่รู้ในอรยิ สจั 4 การเสวยอารมณส์ ขุ ทกุ ข์ หรอื เฉยๆ สภาพท่เี กิดข้นึ มีการเปลยี่ นแปลง ความทะยาน ความอยาก การรบั รอู้ ารมณ์ ความยดึ มนั่ ถอื มน่ั สิง่ ท่มี รี ปู รา่ ง และไมม่ ีรูปร่าง กระบวนการเกิด ภาวะของชวี ิต อายตนะท้ัง 6 ประการ การเกิด การกระทบของอายตนะภายใน ความแก่ตัว ชราภาพ อายตนภายนอก และวญิ ญาณ

❖ สิง่ ทป่ี ิดกั้น หรอื ขดั ขวางไมใ่ ห้ทาความดี ทาใหจ้ ติ เศรา้ หมอง ปัญญาออ่ นกาลังลง มี 5 ประการ o หรือความรักใคร่ พอใจ ใฝฝ่ นั ตดิ พัน เพราะอยากได้คนรกั ▪ วิธีแก้ ..................................................................................................................................................... o คดิ ปองร้าย ผกู ความเจบ็ ปวดนกึ ถงึ การแกแ้ คน้ ▪ วิธแี ก้ ..................................................................................................................................................... o ความเหงา งว่ งซึม หดหู่เย็นชาไม่รับความดหี รอื แสดงความดอี อกมา ▪ วธิ ีแก้ ..................................................................................................................................................... o ความฟ้งุ ซา่ น ราคาญ หงดุ หงิด ไมพ่ อใจ ไมย่ ินดี ยนิ รา้ ย ไม่ สามารถทาไดด้ ง่ั ใจหมาย ▪ วิธแี ก้ ..................................................................................................................................................... o ความสงสัย ลังเล ไมแ่ นใ่ จ ชะงักงนั ตอ่ การทาความดี ▪ วิธีแก้ ..................................................................................................................................................... ธรรมทคี่ วรบรรลุ หรอื การ แก้ไขปญั หาใหต้ รงจดุ ตรงสาเหตุ หลุดพน้ จาก ความทุกข์ ❖ การพฒั นาตนใหม้ คี วามเจรญิ ทง้ั ทางกาย และจติ ใจ มี 4 ประการ o ..................................................................................................................................................... o ........................................................................................................................................................ o ........................................................................................................................................................ o ............................................................................................................................................

❖ หลุดพน้ จาก กเิ ลส หรอื ความทุกข์ แกไ้ ขปญั หาได้ o หลุดพน้ ชว่ั คราว แก้ไขปัญหาไดช้ ว่ั ขณะหนง่ึ o ดับกิเลสด้วยธรรมคู่ปรบั หรือการแกป้ ญั หาด้วยการกระทาในสิ่งท่ี ตรงขา้ มกนั เชน่ มีจติ นอ้ มไปในการใหเ้ พ่ือระงบั ความโลภ o หลุดพ้นโดยเดด็ ขาด ตดั กิเลสได้ แกป้ ัญหาได้ o หลุดพน้ ด้วยความสงบ หรอื แกไ้ ขปัญหาด้วยธรรมทีท่ าใหพ้ น้ โลก หรือเหนอื กวา่ คนอืน่ เชน่ พระอรยิ สงฆ์ o การบรรลุถึงความสุข หลุดพ้นดว้ ยการสลัดออก ปลอดโปร่ง หรอื นพิ พาน ❖ ดับกเิ ลส หลดุ จากความทกุ ข์ เกดิ ความสงบไดอ้ ย่างย่ังยนื และไม่กลับมาเกิด หรอื เกดิ ปัญหาความทุกข์ได้อีกมี 2 ประการ การถึงนิพพานทีม่ ีขนั ธ์ทัง้ 5 เหลอื อยู่ การดับกเิ ลสอย่างสมบรู ณ์โดยไม่มขี นั ธ์ เปน็ การพัฒนาจติ ใจของตนเองจนเกิด 5 เหลอื อยู่ หรอื นิพพานของพระ ลกั ษณะ ความสว่างทางใจรแู้ จ้งในความ อรหันต์ หรอื ปรนิ พิ พาน ทุกข์ รแู้ จ้งในความเปลี่ยนแปลง และ การรแู้ จง้ ในสิ่งที่ไม่ใชต่ วั ตน ไม่เกดิ ความ หวน่ั ไหวในจติ ใจ

ธรรมที่ควรเจริญ ควรปฏิบัตเิ พอ่ื ใหห้ ลดุ พ้น จากความทุกข์ แกไ้ ขปัญหาสาเรจ็ ❖ ธรรมของสัตบรุ ุษ หรอื แก่ของพระศาสนา 3 ประการ o การศกึ ษาความรู้ ความเขา้ ใจทีถ่ ูกตอ้ ง ชัดเจน o หลกั วิธกี ารปฏบิ ตั ิทถี่ ูกต้อง หรือมรรค หรอื ไตรสกิ ขา o ผลจากการปฏิบตั ิ หรอื ผลจากการปฏิบัติมรรค หรอื นิพพาน หรอื สามารถแกไ้ ขปญั หาได้ อยา่ งมคี วามสขุ ❖ กาลงั รกั ษาจติ ใจทาลายความชว่ั ใหเ้ กิดความมั่นใจในตนเอง 5 ประการ o ................................................................................................................................................................ o .................................................................................................................................................................... o .......................................................................................................................................................................... o ................................................................................................................................................................... o .............................................................................................................................................................. ❖ การใช้ประโยชนจ์ ากทรพั ย์ตามความเหมาะสม o ใชจ้ ่ายทรพั ยเ์ ล้ยี งตนเอง เลย้ี งดคู รอบครวั มารดาบิดา ใหเ้ ป็นสุข o ใชท้ รพั ยบ์ ารุงเลย้ี งมติ รสหาย ผู้รว่ มกจิ การงานใหเ้ ป็นสขุ o ใช้ปอ้ งกันภยนั ตรายตา่ ง ๆ o ทาพลี คอื การสละบารงุ สงเคราะห์ o บารงุ สมณพราหมณ์ สงฆ์ ▪ ทาพลี คือ การสละบารงุ สงเคราะห์ 5 ประการ ▪ อตถิ ิพลี ตอ้ นรบั แขก ปฏิสนั ถารอยา่ งเหมาะสม ▪ ญาติพลี สงเคราะห์ญาตยิ ามจาเปน็

▪ ราชพลี บารุงราชการดว้ ยการเสยี ภาษอี ากร เปน็ ต้น ▪ เทวตาพลี บารงุ เทวดา ส่งิ ที่เคารพนบั ถอื ตามลทั ธิความเชอ่ื หรือตามขนม ธรรมเนยี มของสงั คม ▪ ปพุ พเปตพลี ทาบญุ อุทศิ ใหแ้ ก่บุพการีทล่ี ่วงลับไปแลว้ เป็นการแสดงความ กตญั ญูร้คู ุณ ❖ ธรรมของพระราชา หรอื ธรรมของผูน้ า ผปู้ กครอง เปน็ คณุ สมบตั ิ พน้ื ฐาน ทจ่ี ะนาความสุขผ่ ู้ใต้ปกครอง 10 ประการ การให้ ความรัก สารวมระมดั ระวงั เมตตา กรณุ า ทางกาย วาจา ใจ เสยี สละความสขุ ซอื่ สัตยส์ ุจริต สว่ นตน สภุ าพ อ่อนโยน ข่มความโกรธ ใจเย็น เพยี รพยายาม ไม่เบยี ดเบียนผอู้ ืน่ อดทน หักห้ามใจ ไม่กระทาผดิ การงานทงั้ ปวง ❖ ธรรมแห่งความสามัคคี o เมตตากายกรรม .............................................................................................................................................. o เมตตาวจกี รรม ................................................................................................................................................. o เมตตามโนกรรม .............................................................................................................................................. o สาธารณโภคี ...................................................................................................................................................... o สลี สามญั ญตา ................................................................................................................................................... o ทิฏฐิสามัญญตา ................................................................................................................................................

❖ ธรรมแหง่ ความเข้าใจในสภาวะความเปน็ จริงจากการปฏิบตั สิ มาธิ 9 ประการ o มองเห็นความเป็นไปของสัตว์โลก เกดิ ขึ้น ต้ังอยู่ และดับไป o มองเห็นการดับสลาย o มองเหน็ สังขารเปน็ สง่ิ นา่ หลัว o มองเห็นสังขารปนเป้อื น มีโทษ บกพรอ่ ง o เบือ่ หนา่ ยสังขาร o ปราถนาความหลดุ พน้ o แสวงหาหนทางหลุดพ้น o สงั ขารเป็นเร่ืองไม่ยินดี ยนิ รา้ ย ไม่มอี ยูจ่ รงิ o เข้าใจในอริยสัจ นาไปสมู่ รรคผล หรืออรยิ บุคคล ❖ ธรรมอนั นาไปสู่ความเจรญิ ทางปญั ญา หรอื การพัฒนาปญั ญาของตน 4 ประการ ........................................................................................ ........................................................................................ ........................................................................................ ........................................................................................ ........................................................................................ ........................................................................................ ........................................................................................ ........................................................................................ ........................................................................................ ........................................................................................ ........................................................................................ ........................................................................................ ❖ หลกั ธรรมของอบุ าสก อุบาสิกา 4 ประการ o ................................................................................................................................................................ o .................................................................................................................................................. o ........................................................................................................................................................ o ................................................................................... o .......................................................................................................................... ❖ หลักการทางาน หลักประกอบการของผปู้ ระกอบอาชพี ค้าขาย o ตาดี มองเห็นความเปน็ ไปของระบบตลาด รจู้ กั สนิ คา้ และบริการ o เชย่ี วชาญเฉพาะดา้ น รู้ เข้าใจ ในความตอ้ งการของผคู้ น o พ่ึงพาอาศยั คนอ่ืนได้ทงั้ การลงทนุ และการดาเนินธรุ กิจ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook