Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 41213สรุปย่อ - กฎหมายว่าด้วยทรัพย์สิน (ชมรมนศ.มส

41213สรุปย่อ - กฎหมายว่าด้วยทรัพย์สิน (ชมรมนศ.มส

Published by inuthai_monta, 2022-07-10 05:58:29

Description: 41213สรุปย่อ - กฎหมายว่าด้วยทรัพย์สิน (ชมรมนศ.มส

Search

Read the Text Version

41213 กฎหมายว่าด้วยทรัพย์สนิ (Property Law) หนว่ ยที่ 1 ความหมาย ประเภท และความสมั พนั ธข์ องทรพั ยส์ ิน 1. คำำ วำ่ “ทรัพย์” และ “ทรัพย์สิน” มีควำมหมำยแตกต่ำงกัน กลำ่ วคือ ทรัพย์สินน้ันมีควำมหมำยกว้ำงกว่ำ และครอบคลมุ ถึงทรัพย์ดว้ ย ทรพั ย์จึงเป็นสว่ นหน่ึงของทรพั ย์สนิ 2. ทรัพย์สินอำจแบ่งออกได้เป็นหลำยประเภท ทั้งนี้ข้ึนอยู่กับจะใช้เกณฑ์ใดเป็นหลักในกำรแบ่ง แต่กำร แบ่งประเภททสี่ ำำคัญคอื กำรแบ่งเปน็ สังหำรมิ ทรพั ย์ และอสงั หำริมทรพั ย์ 3. ทรัพย์สินนั้น โดยเฉพำะตัวทรัพย์อำจมีควำมสัมพันธ์เก่ียวข้องกับทรัพย์อื่นๆ ในลักษณะท่ีเป็นส่วน ควบ อุปกรณ์ หรือดอกผลของทรพั ย์อ่ืน 1.1 ความหมายและประเภทของทรัพย์สนิ 1. ทรัพยห์ มำยถงึ วตั ถทุ มี่ ีรูปร่ำง มีตัวตนในสภำพธรรมชำติ สำมำรถจับตอ้ งสัมผสั ได้ 2. ทรัพยส์ ินหมำยถงึ ทรัพย์และวตั ถุไมม่ ีรูปร่ำง ซงึ่ อำจมีรำคำและอำจถือเอำได้ 3. ทรพั ย์สนิ อำจแบง่ ออกเป็นประเภท ทัง้ น้ีขน้ึ อยู่กบั กำรท่ีจะยึดเกณฑ์ใดเป็นตัวแบ่งทรพั ย์สินเหล่ำน้ัน 4. อสังหำริมทรัพย์ หมำยถึง ท่ีดิน ทรัพย์ท่ีติดอยู่กับที่ดินเป็นกำรถำวร ทรัพย์ที่ประกอบเป็นอันเดียวกับ เนื้อท่ีดิน และรวมท้ังทรัพย์สิทธิที่เกี่ยวกับที่ดิน หรือทรัพย์ที่ติดอยู่กับท่ีดิน หรือประกอบเป็นอันเดียว กบั ทด่ี ินน้ัน 5. สังหำริมทรัพย์ หมำยถึง ทรัพย์สินอ่ืนท่ีไม่ใช่อสังหำริมทรัพย์ และหมำยรวมถึงสิทธิอันเก่ียวกับ ทรัพยส์ ินท่ที เี่ ป็นสังหำริมทรัพย์นั้นด้วย 6. ทรพั ยแ์ บ่งได้ คอื ทรัพยท์ ่แี บง่ ออกจำกกนั เป็นสว่ นๆ แลว้ ยังคงรปู บริบูรณด์ ังเช่นทรัพย์เดิม 7. ทรัพย์แบ่งไม่ได้ คือ ทรัพย์ท่ีไม่อำจแบ่งแยกออกจำกกัน โดยให้คงภำวะเดิมของทรัพย์และหมำยรวม ถึงทรพั ย์ที่มีกฎหมำยกำำหนดว่ำแบ่งไม่ไดด้ ว้ ย 8. ทรพั ย์นอกพำณิชย์ คอื ทรัพยส์ นิ ท่ไี มอ่ ำจถือเอำได้ และโอนแก่กันมิได้ โดยชอบดว้ ยกฎหมำย 9. ทรัพย์ในพำณชิ ย์ คอื ทรพั ยส์ ินที่สำมำรถซ้อื ขำยกันได้โดยชอบดว้ ยกฎหมำย 1.1.1 ความหมายของทรัพย์และทรัพยส์ นิ ส่ิงท่เี ป็นวตั ถทุ ีม่ ีรูปรำ่ ง และพิจำรณำว่ำ เป็น “ทรัพย”์ หรอื ไม่ หนังสือ ปำกกำ แว่นตำ นำฬิกำ สร้อยคอ บ้ำน โต๊ะ เก้ำอี้ ศำลำ รถยนต์ จักรยำน เส้ือ รองเท้ำ ต้นไม้ แกว้ นำ้ำ รม่ กระถำง กระปอ๋ ง ตะกรำ้ ถงั ขยะ

2 วัตถุที่มีรูปร่ำงดังที่ยกตัวอย่ำงมำเป็น “ทรัพย์” ทั้งหมดเพรำะเป็นวัตถุท่ีมีรูปร่ำง อำจมีรำคำและถือเอำ ได้ วัตถทุ ี่ไมม่ ีรูปร่ำง และเหตผุ ลวำ่ ทำำ ไมแตล่ ะตัวอยำ่ งเปน็ “ทรัพยส์ ิน” แต่ไม่เปน็ “ทรัพย”์ วัตถุไม่มีรูปร่ำง เช่น ลิขสิทธ์ สิทธิบัตร เครื่องหมำยกำรค้ำ สิทธิกำรเช่ำ สิทธิในช่ือเสียงกำรค้ำ (Goods Will) สิทธิในกำรใช้สื่อและสูตรในกำรกระกอบกำรค้ำ (Franchise) สิทธิจำำนำำ สิทธิจำำ นอง สิทธิเรยี กร้องให้ชำำ ระหนี้ ตัวอย่ำงทีย่ กมำเปน็ “ทรัพย์สิน” เพรำะ (เปน็ วัตถุ) ไม่มีรปู รำ่ ง ซง่ึ อำจมรี ำคำและอำจถอื เอำได้ 1.1.2 ประเภทของทรพั ยส์ ิน นิยำมของ “อสงั หำรมิ ทรพั ย”์ นนั้ ประกอบดว้ ยทรัพย์ประเภทใดบำ้ ง อสังหำรมิ ทรัพย์ประกอบด้วย (1)ทดี่ นิ ตวั อยำ่ งเชน่ ทดี่ นิ มีโฉนด ท่ีดนิ มี น.ส. 3 และสทิ ธิภำระจำำ ยอมบนทด่ี ิน เป็นต้น (2)ทรพั ย์อนั ติดอย่กู ับทดี่ ินอย่ำงถำวร ตวั อย่ำงเช่น บำ้ น ต้นมะขำม สะพำน (3)ทรพั ย์ทปี่ ระกอบเป็นอนั เดียวกับทดี่ ิน ตัวอย่ำงเช่น เนอ้ื ดนิ แร่ ธำตุในดิน (4)ทรัพย์สิทธิอันเกี่ยวกับที่ดิน ตัวอย่ำงเช่น กรรมสิทธิ์ในที่ดิน สิทธิครอบครอง ในท่ีดิน น.ส. 3 และสิทธิภำระจำำยอมบนท่ดี ินเป็นตน้ ยกตวั อย่ำง “ทรัพย์ทแี่ บ่งได”้ และ “ทรัพย์ทแ่ี บง่ ไมไ่ ด้” ทรัพย์ที่แบ่งได้คือ ข้ำวสำร น้ำำ ตำล ขนมปัง กะปิ นำ้ำ ปลำ เชือก นำำ้ เงินตรำ น้ำำ มัน ท่ีดิน ส่วนทรัพย์ที่ แบ่งไม่ได้ คอื รถยนต์ จักรยำน ร่ม หนงั สือ ปำกกำ แวน่ ตำ นำฬกิ ำขอ้ มอื รองเท้ำ ชอ้ นส้อม กำงเกง อธิบำยควำมหมำยของ “ทรัพยน์ อกพำณชิ ย์” และยกตวั อยำ่ งทรพั ย์นอกพำณชิ ย์ ทรัพย์นอกพำณิชย์คือ ทรัพย์ท่ีไม่อำจถือเอำได้โดยสภำพ และรวมทั้งทรัพย์ท่ีโอนแก่กันมิได้โดยชอบ ดว้ ยกฎหมำย ตัวอยำ่ งทรัพย์ทไ่ี มอ่ ำจถือเอำได้ เชน่ ก้อนเมฆ ท่ีดนิ บนดวงจันทร์ และทรัพย์ท่ีโอนแก่กันมิได้เช่น ปืน เถ่อื น ยำบ้ำ ทส่ี ำธำรณสมบัติของแผน่ ดิน 1.2 ความสมั พันธ์ของทรัพย์สนิ 1. สว่ นควบ คือ สว่ นซงึ่ โดยสภำพแห่งทรพั ย์หรอื โดยจำรตี ประเพณีแห่งทอ้ งถ่ินเป็นสำระสำำคัญในควำม เปน็ อย่ขู องทรัพย์นั้น และไมอ่ ำจแยกจำกกันได้นอกจำกจะทำำ ลำย ทำำ ให้บุบสลำย หรือทำำให้ทรัพย์นน้ั เปลีย่ นแปลงรูปทรงหรอื สภำพไป เจ้ำของทรัพย์ยอ่ มมีกรรมสทิ ธ์ิในสว่ นควบของทรพั ยน์ ้ัน 2. อปุ กรณ์ คือ สังหำริมทรัพย์ซึ่งโดยปกตินิยมเฉพำะถ่ินหรือโดยเจตนำชัดแจ้งของทรัพย์ท่ีเป็นประธำน เป็นของใช้ประจำำ อยู่กับทรัพย์ท่ีเป็นประธำนเป็นอำจิณ เพ่ือประโยชน์แก่กำรจัดดูแล ใช้สอย หรือ รักษำทรัพย์ท่ีเป็นประธำน และเจ้ำของทรัพย์ได้นำำมำสู่ทรัพย์ท่ีเป็นประธำนโดยกำรนำำ มำติดต่อหรือ ปรับเข้ำไว้ หรอื ทำำโดยประกำรอื่นใดในฐำนะเปน็ ของใชป้ ระกอบกับทรัพยท์ เ่ี ปน็ ประธำนน้นั อุปกรณ์ สอบซอ่ มวันอาทติ ยท์ ี่ 6 สิงหาคม 2549 เวลา 08.30-11.00 น.

3 ที่แยกออกจำกทรัพย์ที่เป็นประธำนเป็นกำรช่ัวครำวก็ยังไม่ขำดจำกกำรเป็นอุปกรณ์ของทรัพย์ที่เป็น ประธำนนนั้ อปุ กรณ์ย่อมตกตดิ ไปกับทรัพยท์ ีเ่ ปน็ ประธำนเวน้ แตจ่ ะมีกำรกำำ หนดไว้เป็นอย่ำงอน่ื 3. ดอกผลธรรมดำ คือ ส่ิงท่ีเกดิ ข้นึ ตำมธรรมชำติของทรัพย์ ซ่ึงไดม้ ำจำกตัวทรัพยโ์ ดยกำรมหี รือใชท้ รัพย์ นน้ั ตำมปกตินิยม และสำมำรถถอื เอำไดเ้ ม่ือขำดจำกทรัพย์น้นั 4. ดอกผลนติ นิ ยั คอื ทรัพยห์ รอื ประโยชนอ์ ย่ำงอื่นที่ไดม้ ำเป็นครัง้ ครำวแก่เจำ้ ทรัพยจ์ ำกผู้อน่ื เพ่อื กำรทไ่ี ด้ ใชท้ รพั ยน์ ัน้ และสำมำรถคำำนวณและถอื เอำไดเ้ ป็นรำยวนั หรอื ตำมระยะเวลำทก่ี ำำ หนดไว้ 1.2.1 สว่ นควบของทรพั ย์ ทรพั ยอ์ ยำ่ งหน่ึงนน้ั สำมำรถเปน็ ส่วนควบของทรัพย์อีกอย่ำงหนึ่งหรือไม่ และทรัพย์น้ันๆประกอบด้วย สว่ นควบอะไรบ้ำง ตัวอย่ำงของทรพั ยท์ ม่ี ลี กั ษณะเปน็ ส่วนควบ ตำมมำตรำ 144 (1)เขม็ นำฬิกำเปน็ สว่ นควบของนำฬกิ ำ (2)หนิ เปน็ ส่วนควบกบั พนื้ คอนกรีตของบ้ำน (3)เสน้ ดำ้ ยเปน็ สว่ นควบกับเส้อื (4)ขำโต๊ะเป็นส่วนควบของโต๊ะ (5)หฟู งั โทรศพั ท์เปน็ สว่ นควบของเคร่อื งโทรศัพท์ กรณีบำ้ น เรือน อำคำร หรือสงั หำริมทรพั ย์อ่ืนท่ปี ลกู อยู่บนทีด่ ินและไม่ตกเป็นสว่ นควบกับทด่ี ินนั้น ตวั อย่ำงของอสังหำริมทรัพย์ท่เี ข้ำข้อยกเวน้ ตำมมำตรำ 146 ไมต่ กเปน็ ส่วนของทีด่ นิ (1)บำ้ นทป่ี ลูกบนท่ดี ินเชำ่ (2)บำ้ นที่ปลกู บนทดี่ ินทีท่ ี่ผู้ปลูกมีสทิ ธิเหนือพน้ื ดิน (3)ตกึ แถวที่ปลกู บนทด่ี ินเช่ำ (4)ตน้ ทเุ รียนท่ปี ลูกในท่ีเชำ่ เพือ่ ทำำ สวน (5)ถนนทีส่ รำ้ งโดยได้รบั ควำมยินยอมจำกเจ้ำของที่ดิน มาตรา 144 ส่วนควบของทรัพย์ หมำยควำมว่ำ ส่วนซ่ึงโดย สภำพแห่งทรัพย์ หรือโดยจำรีต ประเพณีแห่งท้องถ่ินเป็นสำระสำำคัญ ในควำมเป็นอยู่ของทรัพย์น้ัน และไม่อำจแยกจำกกันได้นอกจำกจะ ทำำ ลำย ทำำ ใหบ้ บุ สลำย หรอื ทำำใหท้ รพั ย์น้ันเปล่ยี นแปลงรูปทรงหรอื สภำพไป เจ้ำของทรพั ยย์ ่อมมีกรรมสทิ ธิ์ในส่วนควบของทรพั ยน์ ้นั มาตรา 145 ไม้ยืนต้นเปน็ ส่วนควบกับท่ีดินทไ่ี ม้นน้ั ขึน้ อยู่ ไม้ลม้ ลุกหรอื ธัญชำติอันจะเก็บเกี่ยวรวง ผลได้ครำวหนงึ่ หรอื หลำยครำวต่อปีไมเ่ ปน็ สว่ นควบกับทด่ี ิน มาตรา 146 ทรัพย์ซ่ึงติดกับท่ีดินหรือติดกับโรงเรือนเพียงชั่วครำว ไม่ถือว่ำเป็นส่วนควบกับที่ดิน หรือโรงเรือนนั้น ควำมข้อน้ีให้ใช้บังคับ แก่โรงเรือนหรือส่ิงปลูกสร้ำงอย่ำงอื่นซึ่งผู้มีสิทธิในที่ดินของผู้อื่นใช้ สทิ ธนิ ้ันปลกู สร้ำงไว้ในทด่ี ินนั้นด้วย สอบซ่อมวนั อาทิตย์ที่ 6 สิงหาคม 2549 เวลา 08.30-11.00 น.

4 1.2.2 อุปกรณ์ของทรพั ย์ สังหำรมิ ทรัพยร์ อบตัวว่ำสิ่งใดเปน็ อปุ กรณ์ของทรพั ยใ์ ด ตัวอย่ำงสังหำรมิ ทรพั ย์ท่เี ป็นอุปกรณ์ของทรพั ย์ประธำน - เครอ่ื งมือซอ่ มรถยนต์เปน็ อปุ กรณข์ องเครื่องยนต์ - ลำำ โพงเปน็ อปุ กรณ์ของเคร่ืองกระจำยเสยี ง - เตำเปน็ อปุ กรณข์ องครวั - ลูกกญุ แจเป็นอปุ กรณข์ องแมก่ ุญแจ - กลอนเปน็ ประตูบำ้ นเป็นอุปกรณข์ องบ้ำน ก. ทำำ สัญญำซื้อรถยนต์คันหน่ึงจำก ข. โดยมิได้มีข้อตกลงเกี่ยวกับเคร่ืองเสียงที่ติดตั้งอยู่ในรถคันดัง กล่ำว เมื่อถึงกำำ หนดเวลำส่งมอบ ข. จะถอดเคร่ืองเสียงน้ันออกก่อนส่งมอบรถยนต์คันดังกล่ำว แต่ ก. ไม่ ยนิ ยอมโดยอ้ำงวำ่ เคร่ืองเสียงติดต้ังอยู่ในรถยนต์ย่อมเป็นอุปกรณ์ของรถยนต์ ข. จึงต้องส่งมอบเคร่ืองเสียงนัน้ ให้แก่ตนด้วย ดงั นใี้ ห้วินิจฉัยว่ำขอ้ อ้ำงของ ก. รบั ฟังไดห้ รือไม่ เพรำะเหตุใด ตำม ปพพ. มำตรำ 147 อปุ กรณห์ มำยควำมว่ำ สังหำริมทรัพย์ซึ่งโดยปกตินิยมเฉพำะถิ่น หรือโดย เจตนำชัดแจ้งของเจ้ำของทรัพย์ที่เป็นประธำน เป็นของใช้ประจำำ อยู่กับทรัพย์ที่เป็นประธำนเป็นอำจิณ เพ่ือ ประโยชน์แก่กำรจัดกำร ดูแล ใช้สอย หรือรักษำทรัพย์ท่ีเป็นประธำน และเจ้ำของทรัพย์ได้นำำมำสู่ทรัพย์ที่เป็น ประธำน โดยกำรนำำติดต่อหรือปรับเข้ำไว้ หรือทำำโดยประกำรอ่ืนใดในฐำนะเป็นของใช้ประกอบทรัพย์ท่ีเป็น ประธำนนั้น อุปกรณ์ที่แยกออกจำกทรัพย์ท่เี ปน็ ประธำนเปน็ กำรช่วั ครำว กย็ ังไม่ขำดจำกกำรเปน็ อุปกรณีของทรัพย์ ท่เี ปน็ ประธำนนัน้ อุปกรณ์ย่อมตกติดไปกับทรัพย์ที่เปน็ ประธำนเว้นแต่จะมีกำรกำำ หนดไวเ้ ป็นอยำ่ งอื่น ตำมปัญหำเคร่ืองเสียงท่ีติดตั้งอยู่ในรถคันดังกล่ำว แม้จะเป็นของใช้ประจำำ อยู่ในรถยนต์นั้น แต่ก็เป็น เพียงทรัพย์ท่ีมีไว้เพื่อประโยชน์แก่เจ้ำของรถยนต์มิใช่เพ่ือประโยชน์แก่กำรที่จะจัด ดูแล ใช้สอย หรือรักษำ รถยนต์นั้น เคร่ืองเสียงที่ติดต้ังอยู่ในรถยนต์จึงมิใช่อุปกรณ์ของรถยนต์ ตำมบทบัญญัติแห่ง ป.พ.พ. มำตรำ 147 วรรคแรก ดังกล่ำว เคร่ืองเสียงมิใช่อุปกรณ์ของรถยนต์จึงไม่ตกติดไปกับรถยนต์ ตำมมำตรำ 147 วรรคสำม ดังกลำ่ ว ข. จงึ ไมต่ ้องส่งมอบเครอื่ งเสยี งนัน้ ให้ ก. ฉะนนั้ ขอ้ อำ้ งของ ก. จึงรับฟังไม่ไดต้ ำมเหตุผลดังกล่ำว มาตรา 147 อุปกรณ์ หมำยควำมว่ำ สังหำริมทรัพย์ซ่ึงโดย ปกตินิยมเฉพำะถิ่น หรือโดยเจตนำชัด แจ้งของเจ้ำของทรัพย์ที่เป็น ประธำนเปน็ ของใช้ประจำำ อยู่กับทรัพย์ท่ีเปน็ ประธำนเป็นอำจิณเพ่ือ ประโยชน์แก่ กำรจัดดูแล ใช้สอย หรือรักษำทรัพย์ที่เป็นประธำน และ เจ้ำของทรัพย์ได้นำำ มำสู่ทรัพย์ท่ีเป็นประธำนโดย กำรนำำ มำตดิ ต่อหรอื ปรับเข้ำไว้ หรือทำำโดยประกำรอ่ืนใดในฐำนะเป็นของใชป้ ระกอบกับ ทรพั ยท์ ่ีเปน็ ประธำน นนั้ สอบซอ่ มวันอาทิตย์ท่ี 6 สิงหาคม 2549 เวลา 08.30-11.00 น.

5 อุปกรณ์ที่แยกออกจำกทรัพย์ท่เี ปน็ ประธำนเป็นกำรช่ัวครำวก็ ยงั ไม่ขำดจำกกำรเปน็ อุปกรณ์ของทรัพย์ ทีเ่ ปน็ ประธำนนนั้ อุปกรณย์ ่อมตกติดไปกับทรพั ยท์ เี่ ปน็ ประธำน เวน้ แต่จะมีกำร กำำหนดไวเ้ ป็นอย่ำงอืน่ 1.2.3 ดอกผลของทรพั ย์ ทรัพย์ใดเป็น “ดอกผลธรรมดำ” ของทรัพยใ์ ด ดอกผลธรรมดำ คอื - ลูกมะพร้ำวเปน็ ดอกผลของตน้ มะพรำ้ ว - ลกู กระต่ำยเป็นดอกผลของกระต่ำยตัวเมีย - ดอกกลว้ ยไม้เปน็ ดอกผลของต้นกล้วยไม้ - ผลแตงโมเป็นดอกผลของต้นแตงโม - ขอแกะเป็นดอกผลของแกะ ทรพั ย์ใดเป็น “ดอกผลนติ ินยั ” ของทรัพย์ใด ดอกผลนติ นิ ัย คอื - คำ่ เชำ่ - ดอกเบย้ี – เงนิ ปนั ผลหนุ้ – ค่ำหน้ำดิน – คำ่ ผ่ำนทำง เป็นตน้ มาตรา 148 ดอกผลของทรัพย์ ได้แก่ ดอกผลธรรมดาและ ดอกผลนิตินัย ดอกผลธรรมดำ หมำยควำมว่ำ สิ่งที่เกิดขึ้นตำมธรรมชำติของ ทรัพย์ซ่ึงได้มำจำกตัวทรัพย์ โดยกำรมีหรือใช้ทรัพย์น้ันตำมปกติ นยิ ม และสำมำรถถอื เอำได้เม่อื ขำดจำกทรัพย์นั้น ดอกผลนติ นิ ัย หมำยควำมว่ำ ทรัพยห์ รือประโยชนอ์ ย่ำงอ่ืนที่ ได้มำเป็นคร้งั ครำวแกเ่ จ้ำของทรัพย์จำกผู้ อื่นเพอ่ื กำรทีไ่ ดใ้ ช้ทรพั ย์นัน้ และสำมำรถคำำนวณและถือเอำไดเ้ ปน็ รำยวันหรอื ตำมระยะเวลำท่ี กำำ หนดไว้ แบบประเมนิ ผลการเรียนหน่วยท่ี 1 1. ควำมแตกต่ำงระหว่ำงควำมหมำยของคำำว่ำ “ทรัพย์” และ “ทรัพย์สิน” คือ ทรัพย์ต้องมีตัวตน แต่ทรพั ย์สินอำจมีคัวตนหรือไมม่ กี ็ได้ 2. สิ่งท่เี ป็นทรพั ย์สิน แตไ่ ม่เปน็ ทรพั ย์ไดแ้ ก่ ลขิ สทิ ธิ์ และ สิทธิบัตร 3. ทรัพย์สินท่ีจัดว่ำเป็นอสังหำริมทรัพย์ได้แก่ ต้นมะพร้ำวท่ีปลูกในสวน และ สิทธิเก็บกิน ( พวกเอกสำรแสดงสิทธิในท่ีดิน ต้นข้ำวที่ปลูกในนำ และดินท่ีถูกเคล่ือนย้ำยเพ่ือไปถมท่ี อำกำศธำตทุ ่อี ย่เู หนือพ้นื ดิน ไม่ใชอ่ สังหำรมิ ทรัพย์) 4. ทรพั ยส์ ินต่อไปนีเ้ ปน็ สังหำริมทรัพย์ สิทธิบตั รในกำรประดิษฐ์ห่นุ ยนต์ สิทธิจำำนำำ (อำกำศที่ พัดไปมำ นำำ้ ทะเลในท้องทะเล ดินใต้ท้องนำำ้ สถำนีรถไฟใต้ดิน ไม่ใช่ทรัพย์สินท่ีเป็น อสังหำริมทรัพย์ ) 5. ทรัพยส์ ินนอกพำณิชยไ์ ด้แก่ ยำบ้ำ ทว่ี ดั (ปนื ดอกไมไ้ ฟ นำ้ำ ยำเคมี ไม่ถือว่ำเป็นทรพั ย์สินนอก พำณชิ ย์) สอบซอ่ มวนั อาทติ ยท์ ี่ 6 สิงหาคม 2549 เวลา 08.30-11.00 น.

6 6. ทรัพย์ของรถยนต์ท่ีไม่เป็นส่วนควบกับรถยนต์ได้แก่ ยำงอะไหล่ ล้ออะไหล่ (กันชน ไฟทำ้ ย กระจกมองข้ำง เครอื่ งยนต์ จดั เปน็ ส่วนควบของรถยนต์) 7. ส่ิงปลูกสรำ้ งทที่ ำำข้ึนท่ีไมต่ กเปน็ ส่วนควบกบั ทด่ี ินได้แก่ บ้ำนท่ีปลูกอยู่บนทีด่ ินเช่ำ (สะพำน เรือนครวั ทปี่ ลกู แยกจำกตัวบ้ำน ร้ัวบำ้ น ยุ้งขำ้ ว จะตกเป็นสว่ นควบกบั ท่ีดนิ ) 8. ทรัพย์ท่ีใช้ประจำำ อยู่ในบ้ำนท่ีจัดเป็นอุปกรณ์ของบ้ำนได้แก่ กลอนประตู ขอสับหน้ำต่ำง (หน้ำต่ำง ฝำกนั้ หอ้ ง พดั ลม และหลังคำโรงครัว ไม่ใชอ่ ปุ กรณข์ องบ้ำน) 9. ทรพั ยท์ ีจ่ ดั ว่ำเป็นดอกผลธรรมดำคอื ขนแกะทีต่ ัดจำกตัวแกะ ลูกสนุ ขั 10. ทรัพย์สินท่ีถือว่ำเป็นดอกผลนิตินัยคือ ค่ำเช่ำนำท่ีจ่ำยเป็นข้ำวเปลือก ลูกของสุนัขตัวผู้ที่ได้ จำกกำรเอำไปเปน็ พ่อพันธุ์ หนว่ ยที่ 2 สภาพของทรัพย์สิทธแิ ละบุคคลสิทธิ 1. ทรพั ยส์ ทิ ธเิ ป็นสทิ ธิของบคุ คลท่ีมอี ยเู่ หนอื ทรัพยส์ นิ โดยมีวตั ถุแหง่ สทิ ธิเปน็ ทรพั ยส์ ิน 2. ทรัพย์สิทธิมีอยู่หลำยชนิด เท่ำท่ีปรำกฏโดยกำรบัญญัติไว้ใน บรรพ 4 ประมวลกฎหมำยแพ่งและ พำณิชย์ มีตัวอยำ่ งเช่น กรรมสิทธ์ิ สทิ ธคิ รอบครอง สิทธิอำศัย ภำระจำำยอม สิทธิเหนือพื้นดิน สิทธิเก็บ กิน และภำระตดิ พันในอสงั หำริมทรัพย์ 3. กำรทรงทรัพย์สทิ ธิหรอื กำรแสดงออกซ่ึงกำรมีทรัพย์สทิ ธินนั้ กฎหมำยเห็นเปน็ เรื่องสำำคญั บำงกรณีจึง กำำ หนดใหแ้ สดงออกทำงทะเบยี นใหช้ ดั เจน 4. ทรพั ยส์ ทิ ธอิ ำจระงบั สิ้นไปโดยผลแหง่ กำรแสดงเจตนำ โดยผลของกฎหมำย และโดยสภำพธรรมชำติ 2.1 บ่อเกดิ และความหมายของทรัพย์สิทธแิ ละบคุ คลสิทธิ 1. ทรัพย์สิทธเิ ป็นสิทธิของบุคคลท่ีมอี ย่เู หนอื ทรัพย์สิน โดยมีวัตถุแห่งสิทธิเป็นทรัพย์สิน ส่วน บคุ คลสิทธิเปน็ สิทธขิ องบคุ คลทม่ี ีอยู่เหนือบคุ คลที่ตนมีนิติสัมพันธ์ด้วย โดยมีวัตถุแห่งสิทธิ เปน็ กำรกระทำำกำร หรอื งดเว้นกระทำำ กำร 2. ทรัพย์สิทธิสำมำรถก่อต้ังขึ้นแต่โดยอำศัยอำำนำจแห่งนิติบัญญัติของกฎหมำยเท่ำนั้น แต่ บุคคลสิทธิอำจก่อต้ังขึ้นโดยนิติกรรมสัญญำหรือโดยนิติเหตุ หรือโดยบัญญัติแห่งกฎหมำ ยอน่ื ๆ ก็ได้ 2.1.1 ความหมายของทรัพย์สทิ ธิและบคุ คลสิทธิ ทรัพยสิทธิและบุคคลสิทธมิ คี วำมหมำยแตกต่ำงกนั อยำ่ งไร ทรัพยส์ ิทธแิ ละบคุ คลสทิ ธมิ ีควำมหมำยแตกต่ำงกันดังนี้ สอบซอ่ มวันอาทิตย์ท่ี 6 สิงหาคม 2549 เวลา 08.30-11.00 น.

7 1) ทรัพยสทิ ธเิ ปน็ สทิ ธิทม่ี อี ยเู่ หนือทรัพยส์ นิ เป็นวัตถแุ ห่งสิทธิ ตำมมำตรำ 1336 สว่ น บุคคลสิทธิเป็นสิทธิท่ีมีอยู่เหนือบุคคลโดยมีวัตถุแห่งสิทธิเป็นกำรกระทำำ งดเว้นกำรก ระทำำ ส่งมอบทรพั ย์สนิ มำตรำ 194 2) ทรัพยสิทธิโดยปกติสำมำรถใช้อำำ นำจ แห่งสิทธิยันต่อบุคคลได้ทั่วไปเรียกว่ำสิทธิเด็ด ขำด สว่ นบุคคลสทิ ธิโดยปกตเิ ปน็ สิทธเิ รียกร้องได้เฉพำะบุคคลผเู้ ป็นลกู หน้ีแหง่ สิทธิจึง เป็นสิทธิสัมพัทธ์ 3) ทรัพยสิทธิเป็นสิทธิเหนือทรัพย์ ผู้ทรงสิทธิจึงสำมำรถได้ด้วยตนเองโดยตรงไม่จำำ ต้อง ขอใช้สทิ ธิน้ันๆ ผำ่ นทำงศำล ส่วนบคุ คลสิทธทิ ตี่ ้องใช้บังคับบคุ คลอกี บคุ คลหน่ึงกำรใช้ สทิ ธจิ ึงตอ้ งใชส้ ทิ ธิผำ่ นทำงศำลที่มอี ำำ นำจวินิจฉัย 4) ปกติทรัพยสิทธิท่ีมีแต่อำยุควำมได้สิทธิ (ยกเว้นภำระจำำ ยอม ภำระติดพันใน อสังหำรมิ ทรัพย์ท่ีจะส้ินไปเม่ือใช้สิทธิ) แต่บุคคลสทิ ธิไมม่ ีอำยุควำมเสียสิทธิมีแต่เมื่อ ผู้ทรงสิทธิไม่ใช้สิทธิทำงศำลภำยในในกำำหนดก็จะเสียสิทธิเรียกว่ำสิทธิเรียกร้องขำด อำยุควำม ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 193/9 5) ทรัพยสิทธิสำมำรถก่อตั้งได้ด้วยอำศัยอำำ นำจตำมกฎหมำย ป.พ.พ. มำตรำ 1298 ส่วนบุคคลสิทธิสำมำรถก่อต้ังได้ด้วยอำศัยนิติกรรมหรือนิติเหตุ หรือโดยบทบัญญัติ ของกฎหมำย กำรศกึ ษำเรือ่ งทรัพยสิทธแิ ละบคุ คลสิทธิให้ประโยชน์อยำ่ งไรบำ้ ง กำรศกึ ษำเรือ่ งทรพั ยสิทธแิ ละบคุ คลสิทธิทำำใหเ้ กดิ ประโยชน์แกผ่ ู้ทำำกำรศึกษำสองประกำรคือ (1)เกดิ ควำมเข้ำใจควำมสัมพันธ์ระหว่ำงกฎหมำยลักษณะหนีแ้ ละกฎหมำยลกั ษณะทรัพย์ (2)ทำำให้เกิดประโยชน์ในกำรพจิ ำรณำเพื่อนำำไปฟอ้ งร้องคดีตอ่ ศำลเปน็ ต้นวำ่ - ถ้ำฟ้องในฐำนะเป็นเจ้ำของทรัพยสิทธิ โจทก์ต้องเป็นผู้ทรงทรัพย์สิทธินั้น แต่หำกฟ้องโดย อำศัยมูลบุคคลสิทธิเป็นสภำพข้อหำต้องอำศัยกำรที่โจทก์เป็นคู่สัญญำ จึงจะทำำให้โจทก็ทั้ง สองกรณีเปน็ โจทกท์ ่ีชอบดว้ ยกฎหมำย - อำยคุ วำมฟ้องรอ้ ง ถ้ำหำกฟ้องโดยอำศยั มูลทรพั ย์สทิ ธิตำมปกตไิ ม่มกี ำำหนดอำยุควำม แต่หำก ฟ้องโดยอำศัยมูลบุคคลสิทธิจะต้องดำำเนินกำรในกำำ หนดอำยุควำมของบุคคลสิทธิประเภท นนั้ ๆ 2.1.2 บอ่ เกดิ ของทรัพยส์ ทิ ธิและบคุ คลสิทธิ บอ่ เกิดแห่งทรัพยสิทธิมีอะไรบ้ำง ทรัพยสิทธิมีบ่อเกิดทำงเดียว คือ โดยอำำ นำจของกฎหมำยต่ำงๆ ท่ีได้บัญญัติกำรก่อต้ังไว้แล้ว ซึ่ง อำำ นำจดังกล่ำวอำจเห็นได้ในประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์หรือกฎหมำยเฉพำะอ่ืน เช่น พระรำชบัญญัติ ลิขสิทธ์ิ พ.ศ. 2537 พระรำชบัญญัติสิทธิบตั ร พ.ศ. 2522 พระรำชบญั ญตั ิเคร่ืองหมำยกำรค้ำ พ.ศ. 2534 สอบซอ่ มวันอาทติ ย์ที่ 6 สิงหาคม 2549 เวลา 08.30-11.00 น.

8 บ่อเกดิ แห่งบคุ คลสิทธิมอี รไรบ้ำง บคุ คลสทิ ธิมบี อ่ เกดิ ไดห้ ลำยทำงเป็นตน้ ว่ำ 1) โดยอำศัยนิติกรรมหรือสัญญำ จำก ป.พ.พ. มำตรำ 149 กึงมำตรำ 181 และ มำตรำ 354 ถงึ มำตรำ 368 2) โดยมูลละเมดิ จำก ป.พ.พ. มำตรำ 420 3) โดยมลู จัดงำนนอกส่ัง จำก ป.พ.พ. มำตรำ 395 ถึง มำตรำ 405 4) โดยมลู ลำภมิควรได้ จำก ป.พ.พ. มำตรำ 406 ถึง มำตรำ 419 หรอื 5) โดยบทบัญญัติอื่นๆ ของกฎหมำยเช่น ป.พ.พ. มำตรำ 1461 สิทธิที่จะได้รับ อปุ กำระเลย้ี งดู มำตรำ 1564 สทิ ธิทีจ่ ะไดร้ ับกำรอุปกำระดำ้ นกำรศึกษำตำมสมควร 2.2 ประเภทของทรพั ย์สิทธิ 1. ทรัพย์สิทธ์ิอำจแบ่งได้เป็นสองประเภทใหญ่ๆ คือ ทรัพย์สิทธิประเภทกรรมสิทธิ์และทรัพย์ สิทธิประเภทตดั ทอนกรรมสิทธิ์ 2. ทรัพย์สิทธิประเภทกรรมสิทธ์ิแบ่งได้เป็น 5 ชนิด คือ กรรมสิทธิ์ สิทธิครอบครอง ลิขสิทธ์ิ สิทธบิ ัตร และเคร่ืองหมำยกำรค้ำ 3. ทรัพย์สิทธ์ิประเภทตัดทอนกรรมสิทธิ์แบ่งได้เป็น 9 ชนิด คือ ภำระจำำยอม สิทธิอำศัยใน โรงเรียน สิทธิเหนือพ้ืนดิน สิทธิเก็บกิน ภำระติดพันในอสังหำริมทรัพย์ สิทธิจำำ นอง สิทธิ จำำ นำำ สิทธยิ ึดหน่วงและบุรมิ สทิ ธิ 2.2.1 ทรัพยส์ ทิ ธปิ ระเภทกรรมสิทธิ์ ทรพั ยสิทธิประเภทกรรมสิทธม์ิ ีกช่ี นดิ ทรัพยสทิ ธปิ ระเภทกรรมสิทธติ์ ำมกฎหมำยอำจมอี ยู่ 5 ชนดิ คอื 1. กรรมสทิ ธ์ิ ป.พ.พ. มำตรำ 1336 2. สิทธิครอบครอง ป.พ.พ. มำตรำ 1367 3. ลขิ สิทธ์ิ พ.ร.บ. ลขิ สทิ ธ์ พ.ศ. 2537 4. สิทธิบตั ร พ.ร.บ. สิทธิบตั ร พ.ศ. 2537 5. เครอื่ งหมำยกำรค้ำ พ.ร.บ. เครือ่ งหมำยกำรค้ำ พ.ศ. 2534 2.2.2 ทรัพยสทิ ธปิ ระเภทตดั ทอนกรรมสิทธิ์ ทรัพย์สินประเภทตัดทอนกรรมสิทธิ์มีอะไรบำ้ ง ทรัพยส์ นิ ประเภทตดั ทอนกรรมสทิ ธิม์ ดี งั นี้ 1. ภำระจำำยอม 2. สิทธิอำศยั ในโรงเรือน สอบซ่อมวนั อาทิตย์ที่ 6 สิงหาคม 2549 เวลา 08.30-11.00 น.

9 3. สิทธเิ หนอื พน้ื ดิน 4. สิทธเิ กบ็ เงนิ 5. ภำระติดพันในอสังหำริมทรัพย์ 6. สทิ ธจิ ำำนอง 7. สทิ ธจิ ำำนำำ 8. สทิ ธิยึดหน่วง 9. บรุ ิมสทิ ธิ 2.3 การทรงทรพั ย์สทิ ธแิ ละการสิน้ ไปของทรัพย์สทิ ธิ 1. กำรแสดงออกซ่ึงทรงทรัพย์สิทธิ เพื่อให้บุคคลอื่นรู้ถึงกำรมีอยู่ของทรัพย์สิทธิและบุคคล ผทู้ รงสทิ ธิ ซ่ึงกอ่ ใหเ้ กดิ หน้ำทีท่ ่จี ะตอ้ งงดเวน้ ไม่เขำ้ ใจไปรบกวนขดั ทรัพย์สนิ นน้ั 2. กำรทรงทรัพยส์ ทิ ธิแบง่ ออกเปน็ 2 วิธี คอื โดยทำงทะเบียน โดยกำรครอบครอง 3. บุคคลเท่ำน้ันที่สำมำรถเป็นผู้ทรงทรัพย์สิทธิ แต่ทรัพย์ด้วยกันเองไม่ว่ำทรัพย์นั้นจะเป็นส่ิงมี ชวี ติ หรือไม่ กไ็ มส่ ำมำรถอยู่ในฐำนะเป็นผูท้ รงทรัพย์สทิ ธไิ ด้ 4. ทรัพย์สิทธิย่อมสนิ้ สภำพไปได้ 3 ทำงคอื สน้ิ ไปโดยสภำพแห่งธรรมชำตขิ องทรัพย์สิทธนิ นั้ สนิ้ ไปโดยผลแหง่ เจตนำและสิ้นไปโดยผลของกฎหมำยเป็นเหตุให้ผ้ทู รงสิทธิไม่สำมำรถอ้ำง ทรพั ยส์ ิทธิเป็นประโยชนแ์ กต่ นไดอ้ ีกตอ่ ไป 2.3.1 ลักษณะทว่ั ไปของการเป็นผทู้ รงทรพั ยสทิ ธิ กำรแสดงออกซ่ึงกำรทรงทรัพยสิทธิแบ่งออกเป็นก่ีวิธี และกำรที่กฎหมำยกำำ หนดให้กำรซื้อขำย อสังหำรมิ ทรัพยต์ อ้ งทำำเปน็ หนงั สอื และจดทะเบยี นนัน้ เป็นกำรควบคมุ ในทำงใด สำมำรถแบ่งออกได้ 2 วธิ ี คือแสดงออกโดยกำรครอบครองและแสดงออกโดยทำงทะเบียน อนง่ึ กำร ซ้ือขำยอสังหำริมทรัพย์น้นั กฎหมำยกำำ หนดให้ตอ้ งทำำ ตำมแบบของนติ ิกรรมที่กำำหนดไว้ ดงั ปรำกฏในประมวล กฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ มำตรำ 456 วรรคแรก และเปน็ กำรควบคมุ ในทำงเปดิ เผย 2.3.2 การทรงทรพั ย์สิทธิในสงั หาริมทรพั ย์ กำรแสดงออกซ่ึงกำรทรงทรัพยสิทธิในสังหำริมทรัพยน์ ั้นโดยทั่วไปแล้วจะแสดงออกโดยกำรครอบ ครอง แต่มีสังหำรมิ ทรัพยบ์ ำงชนิดท่ีต้องกำรแสดงออกโดยทำงทะเบียน สังหำริมทรัพยเ์ หลำ่ นน้ั ได้แก่อะไรบำ้ ง สังหำริมทรัพย์ที่กฎหมำยกำำ หนดกำรแสดงออกซึ่งกำรทรงทรัพยสิทธิทำงทะเบียน ได้แก่เรือกำำปั่น เรือมีระวำงต้ังแต่หกตันข้ึนไป เรือกลไฟ หรือเรือยนต์มีระวำงตั้งแต่ห้ำตันข้ึนไป แพ สัตว์พำหนะ เคร่ืองจักร บำงชนิด และพวกทรพั ยส์ ินไมม่ รี ูปร้ำง 2.3.3 การทรงทรพั ย์สิทธิในอสงั หารมิ ทรัพย์ สอบซอ่ มวันอาทิตย์ที่ 6 สิงหาคม 2549 เวลา 08.30-11.00 น.

10 อสังหำริมทรัพย์น้ัน โดยหลักแล้วต้องแสดงออกซึ่งกำรทรงทรัพยสิทธิโดยทำงทะเบียน หำกไม่ แสดงออกทำงทะเบยี น ผลทำงกฎหมำยจะเป็นอยำ่ งไร อสังหำริมทรัพย์นั้น หำกไม่แสดงออกทำงทะเบียน จะไม่มีผลเป็นทรัพย์สิทธิที่ใช้ยันได้แก่บุคคล ทั่วไป นอกจำกนั้นยังอำจเสยี สิทธแิ กผ่ สู้ ุจรติ ได้ ใน ป.พ.พ. มีนิติกรรมใดบ้ำงท่ที ำำ ใหบ้ คุ คลไดม้ ำซึง่ ทรพั ยสทิ ธิอยำ่ งใดอย่ำงหนึง่ นิติกรรมซ้ือขำยแลกเปล่ียน ให้เช่ำทรัพย์ เช่ำซื้อ ยืม จ้ำงทำำ ของ จำำนอง จำำ นำำ ประณีประนอมยอม ควำม ตั๋วเงิน และนิติกรรมอ่ืนๆ ท่ีคู่กรณีตกลงกันและมีผลทำำ ให้บุคคลได้มำซึ่งทรัพยสิทธิอย่ำงใดอย่ำงหนึ่ง เชน่ กำรเล่นแชร์เปยี หวย เปน็ ต้น กำรเพกิ ถอนทะเบยี นตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1300 นน้ั มขี อ้ ยกเวน้ อยำ่ งไรบำ้ ง มขี อ้ ยกเว้นวำ่ จะต้อสู้บุคคลภำยนอกผสู้ ุจรติ และเสียคำ่ ตอบแทนไมไ่ ด้ 2.3.4 การส้ินไปของทรัพย์สทิ ธิ กำรท่ที รัพย์สนิ สน้ิ ไปโดยสภำพธรรมชำตนิ ้ัน ทำำใหท้ รพั ยสิทธสิ น้ิ ไปไดอ้ ย่ำงไร กำรที่จะมีทรัพยสิทธิขึ้นมำได้ จะต้องมีตัวทรัพย์สินขึ้นมำก่อน ดังน้ันหำกทรัพย์สินสูญสิ้นไปทรัพย สทิ ธจิ งึ ต้องสญู สน้ิ ตำม ไปดว้ ยเช่น แก๊สระเหยออกไปในอำกำศยอ่ มทำำ ใหก้ รรมสทิ ธ์ิในแก๊สนัน้ สนิ้ ไปด้วย เจตนำของบุคคลทำำ ให้ทรัพยสิทธสิ ิ้นไปไดอ้ ยำ่ งไร ทรพั ยสิทธิจะส้ินไปหรอื ไม่จะต้องดูว่ำบทบัญญัติของกฎหมำยกำำ หนดให้คู่กรณีแสดงเจตนำเลิกหรือ ระงับทรัพยสทิ ธนิ ้นั ๆ ได้หรอื ไม่ เช่น ภำระจำำ ยอม คสู่ ัญญำอำจตกลงเลกิ กนั ได้เป็นตน้ กำรท่ีทรัพยสทิ ธสิ ิน้ ไปโดยผลของกฎหมำยน้ันมหี ลักเกณฑ์อยำ่ งไรบำ้ ง กำรท่ีทรัพยสิทธิส้ินไป จะต้องแล้วแต่ชนิดทรัพยสิทธิ เพรำะกฎหมำยบัญญัติไว้แตกต่ำงกันตำม ประเภทของกฎหมำย แบบประเมนิ ผลการเรียนหน่วยที่ 2 1. สทิ ธิของบุคคลที่มีเหนอื ทรพั ย์สินเรียกว่ำ ทรพั ยส์ ิทธิ 2. สิทธทิ มี่ ีวตั ถุแห่งสทิ ธิเปน็ ทรพั ย์สนิ เรียกว่ำ ทรัพยส์ ทิ ธิ 3. สทิ ธิสัมพันธ์เป็นสทิ ธิท่ีนกั กฎหมำยใชเ้ รียกสิทธิ บคุ คลสิทธิ 4. นกั กฎหมำยเยอรมันเรยี กบคุ คลสทิ ธิว่ำ สทิ ธิสมั พัทธ์ 5. สิ่งของ ไมใ่ ชว่ ัตถุแหง่ หน้ี (กำรกระทำำ กำรสง่ มอบ กำรงดเวน้ กระทำำ เปน็ วัตถแุ ห่งหน้ี) 6. กำรได้ทรพั ย์สิทธิทไ่ี ม่ต้องจดทะเบียนไดแ้ ก่ ลิขสทิ ธ์ิ 7. จำ้ งแรงงำนทที่ ำำขน้ึ บนอสังหำริมทรัพย์ ไมใ่ ช้บุรมิ สิทธิพเิ ศษเหนอื อสงั หำริมทรพั ย์ 8. คำ่ แรงงำนเพ่ือกสกิ รรม ไม่ใชบ่ ุรมิ สทิ ธพิ เิ ศษเหนือสังหำริมทรัพย์ 9. คำ่ ปลงศพ เป็นบรุ ิมสทิ ธสิ ำมญั สอบซอ่ มวันอาทิตยท์ ่ี 6 สิงหาคม 2549 เวลา 08.30-11.00 น.

11 10. ค่ำจำ้ งเสมียนทำำ งำนในบริษัทมบี ุรมิ สทิ ธิ ท่ียังค้ำงจำ่ ยถอยหลงั 4 เดอื นไมเ่ กิน 100,000 บำท 11.บรุ ิมสทิ ธคิ ่ำอุปโภคประจำำวนั มี ค้ำงชำำระอย่ถู อยหลงั ไป 6 เดอื น 12. บุริมสิทธใิ นผูพ้ ักอำศยั ในโรงแรมมีเหนือ เครื่องเดนิ ทำงของผอู้ ำศยั 13. กำรก่อตั้งทรัพย์สทิ ธทิ ำำได้โดย อำศัยอำำนำจของกฎหมำย 14. เชำ้ ซอื้ บำ้ น ไมถ่ ือเป็นทรพั ยส์ ิทธิ (ภำระจำำ ยอม สิทธอิ ำศยั สิทธเิ กบ็ กิน ถือเป็นทรพั ย์สิทธิ) 15. สทิ ธิเก็บกนิ มไี ดใ้ น ทรพั ยส์ ินทุกชนดิ 16.สทิ ธบิ ตั ร เปน็ ทรัพยส์ นิ ประเภทกรรมสทิ ธ์ิ 17. ทรัพยสิทธปิ ระเภทตดั ทอนกรรมสิทธิ์ ได้แก่ สิทธิยดึ หน่วง 18. ทรพั ยส์ ทิ ธใิ นทรพั ย์สนิ ของผูอ้ ่ืนคอื ภำระจำำยอม 19. สังหำริมทรัพย์ท่ีไม่ต้องจดทะเบียนกำรได้มำคือ เคร่ืองบิน (เรือกำำปั่น เรือนแพ สัตว์พำหะนะ ต้องจด ทะเบยี น) หนว่ ยท่ี 3 กรรมสทิ ธิ์และกรรมสิทธ์ริ วม 1. กรรมสิทธ์ิเปน็ สิทธิท่ีได้มำตำมกฎหมำย (de jure) กล่ำวคือกฎหมำยบัญญัติรับรองให้บุคคลมี อำำนำจอยู่เหนือทรัพย์สิน ฉะนั้นอำำนำจแห่งกรรมสิทธิ์ เจ้ำของทรัพย์สินจึงมีสิทธิใช้สอย จำำ หน่ำยได้ ดอกผล ติดตำมเอำคืนและขัดขวำงมิให้ผู้อื่นสอดเข้ำเก่ียวข้องกับทรัพย์สินของตนโดยมิชอบด้วย กฎหมำย นอกจำก นี้กฎหมำยยังบัญญัติให้เจ้ำของที่ดินมีแดนกรรมสิทธ์ิ รวมทั้งบัญญัติให้เจ้ำของ อสงั หำริมทรัพยม์ ีสทิ ธขิ จัดเหตเุ ดอื ดรอ้ นรำำ คำญดว้ ย 2. กรรมสิทธ์ิรวม เปน็ เร่ืองของบุคคลหลำยคนต่ำงก็เป็นเจ้ำของทรัพย์สินอันเดียวกัน โดยเจ้ำของทุกคน ต่ำงก็เป็นเจ้ำของทุกส่วนของทรัพย์สินอันเดียวกันน้ัน เจ้ำของรวมทุกคนต่ำงก็มีอำำนำจในฐำนะของ กรรมสิทธ์เิ ช่นเดยี วกนั แต่จะต้องใชส้ ทิ ธไิ ม่ขดั แยง้ ต่อเจำ้ ของรวมคนอื่น ฉะนน้ั กฎหมำยจงึ ตอ้ งบัญญตั ิ สิทธแิ ละหนำ้ ที่ของเจ้ำของรวมไว้เป็นกำรเฉพำะ 3.1 กรรมสทิ ธิ์ 1. กรรมสิทธิ์มีลักษณะสำำ คัญ 7 ประกำร คือ เป็นสิทธิที่กฎหมำยให้อำำนำจบุคคลมีอยู่เหนือทรัพย์สิน เป็นทป่ี ระชุมแหง่ สทิ ธิท้ังปวง เป็นทรพั ยส์ ิทธชิ์ นิดหนงึ่ ท่มี ีอำำนำจเหนอื กวำ่ ทรพั ย์สนิ อ่ืนๆ เปน็ สิทธิทม่ี ี ตวั ทรพั ย์เปน็ วัตถแุ ห่งสิทธิ เปน็ สิทธเิ ดด็ ขำด เปน็ สิทธทิ ่ีก่อใหเ้ กิดอำำ นำจหวงกันไว้โดยเฉพำะ และเป็น สิทธิถำวร กฎหมำยบัญญัติรับรองให้เจ้ำของทรัพย์สินมีสิทธิพ้ืนฐำน 5 ประกำรคือ สิทธิใช้สอย สอบซ่อมวันอาทิตยท์ ี่ 6 สิงหาคม 2549 เวลา 08.30-11.00 น.

12 จำำหน่ำย ได้ดอกผลติดตำมเอำคืนและขัดขวำงมิให้ผู้อื่นสอดเข้ำเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินของตน โดยมิ ชอบด้วยกฎหมำย 2. เจ้ำของท่ดี นิ ย่อมมีแดนกรรมสทิ ธิ์ บนพืน้ ดิน เหนือพน้ พนื้ ดิน และใตพ้ ้ืนดินนน้ั นอกจำกน้ีกำรใชส้ ทิ ธิ ที่เป็นเหตุให้เจ้ำของอสังหำริมทรัพย์ได้รับควำมเสียหำยท่ีเกิดควรคำดคิด หรือคำดหมำยได้ว่ำจะเป็น ไปตำมปกติและเหตุอันควร ในเม่ือเอำตำำแหน่งท่ีอยู่แห่งทรัพย์น้ันมำคำำ นึงประกอบ เจ้ำของ อสังหำริมทรัพย์นัน้ มีสิทธทิ จ่ี ะปฏิบตั ิกำรเพอื่ ยงั ควำมเสียหำยหรอื เดอื ดรอ้ นน้ันใหส้ น้ิ ไป 3.1.1 อาำ นาจแห่งกรรมสทิ ธ์ิ ทองบรรจุพระเครื่องไว้ในเจดีย์บรรจุกระดูกของบรรพบุรุษ ซึ่งตั้งอยู่บริเวณอุโบสถวัด ทุกปีลูก หลำนก็จะไปเคำรพกรำบไหว้โดยตลอดมำเป็นเวลำกว่ำ 10 ปี ภำยหลังวัดจะสร้ำงอุโบสถใหม่ทำงวัดจึง เคลือ่ นย้ำยเจดยี อ์ อกจำกบรเิ วณอโุ บสถและเจำะเอพระเคร่ืองไปเกบ็ ไว้ ทองทรำบเรือ่ งจึงไปขอคนื แต่กรรมกำร วัดอ้ำงว่ำหมดอำยุควำมเรียกคืนแลว้ ดังน้ใี หว้ ินิจฉยั ว่ำข้ออ้ำงของกรรมกำรวดั รบั ฟงั ได้หรือไมเ่ พรำะเหตุใด ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1336 ภำยในบังคับแห่งกฎหมำย เจ้ำของทรัพย์สินมีสิทธิใช้สอยและ จำำหน่ำยทรัพย์สินของตนและได้ดอกผลแห่งทรัพย์สินน้ัน กับท้ังมีสิทธิติดตำมและเอำคืนซ่ึงทรัพย์สินของตน จำกบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้และมีสิทธิขัดขวำงมิให้ผู้อ่ืนสอดเข้ำเก่ียวข้องกับทรัพย์สินน้ัน โดยชอบด้วย กฎหมำย ตำมปัญหำ ทองบรรจุพระเครื่องไว้ในเจดีย์บรรจุกระดูกของบรรพบุรุษซ่ึงตั้งอยู่บริเวณอุโบสถ ของวดั ทุกปลี ูกหลำนก็ไปเคำรพกรำบไหว้โดยตลอดมำเปน็ เวลำกวำ่ 10 ปีแลว้ เหน็ ไดว้ ่ำทองไม่มีเจตนำสละ ละท้ิงพระเครื่องซ่ึงบรรจุไว้ในเจดีย์ดังกล่ำวแต่ประกำรใด เชน่ น้ี พระเครื่องดังกล่ำวยังเป็นกรรมสิทธิ์ของทอง อยเู่ ม่ือทำงวัดเคลือ่ นย้ำยเจดีย์นัน้ ออกไปจำกพระอุโบสถและเจำะเอำพระเครอื่ งนั้นไปเก็บไว้ ทองทรำบเร่ืองจึง ไปขอคนื แต่ทำงกรรมกำรวัดอำ้ งว่ำหมดอำยุควำมเรียกคนื แล้ว เช่นน้ีเปน็ ข้ออ้ำงที่มชิ อบด้วยกฎหมำย เพรำะจ้ำ ของกรรมสิทธิ์ย่อมมีสิทธิติดตำมและเอำคนื ซึ่งทรพั ย์สินของตนจำกบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1336 ดังกล่ำว ทั้งน้ีมีสิทธิติดตำมเอำคืนโดยอำำ นำจแห่งเจ้ำของกรรมสิทธิ์ดังกล่ำวไม่มีกำำ หนดอำยุ ควำม ฉะนน้ั ข้ออำ้ งของกรมกำรวดั จึงรบั ฟังไมไ่ ดต้ ำมเหตผุ ลดงั กล่ำว ก. ได้ยักยอกกำำ ไลหยกโบรำณของ ข. ไปขำยให้ ค. ซึ่งเป็นพ่อค้ำขำยของเก่ำในรำคำ 200,000 บำท โดย ค.ไม่ทรำบว่ำเป็นของที่ยักยอกมำและได้ขำยต่อให้กับบุคคลอ่ืนไปโดยไม่ทรำบชื่อ ในรำคำ 300,000 บำท เมอื่ ข. ทรำบเรือ่ งจึงแจง้ ให้ ค.ส่งมอบเงนิ กำำ ไร 100,000 บำท ใหแ้ ก่ตน มิฉะนั้นจะฟ้องร้องดำำ เนินคดี ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่ำ ข. มีสิทธิจะเรียกเงินกำำไรดังกล่ำวจำก ค.ได้หรือไม่ เพรำะ เหตุใด ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1336 ภำยในบังคับแห่งกฎหมำย เจ้ำของทรัพย์สินมีสิทธิใช้สอยและ จำำ หน่ำยทรพั ย์สินของตน และได้ดอกผลแห่งทรัพย์สินนั้น กับท้ังมีสิทธิติดตำมและเอำคืนซึ่งทรัพย์สินของตน สอบซอ่ มวนั อาทิตยท์ ี่ 6 สิงหาคม 2549 เวลา 08.30-11.00 น.

13 จำกบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ และมีสิทธิขัดขวำงมิให้ผู้อื่นสอดเข้ำเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินนัน้ โดยมิชอบด้วย กฎหมำย ตำมปญั หำ ค.พ่อคำ้ ขำยของเก่ำรับซ้ือกำำไลหยกโบรำณจำก ก.โดยไมท่ รำบวำ่ เป็นของที่ ก.ยกั ยอก มำจำก ข. และ ค. ได้ขำยกำำไลหยกน้ันให้แก่บุคคลอื่นโดยไม่ทรำบชื่อ ค.ได้กำำไรจำกกำรน้ีหน่ึงแสนบำท เมื่อ ข.เจำ้ ของท่ีแท้จริงทรำบเรื่องจึงเรียกให้ ค. ส่งมอบเงินกำำ ไรดังกล่ำวคืนให้แก่ตนน้ัน ข.ในฐำนะเจ้ำของ ทรพั ย์มีสทิ ธิตดิ ตำมและเอำคนื ทรพั ย์สินของตน ซึ่งกค็ ือกำำไลหยกดงั กล่ำวจำกผู้ไม่มสี ทิ ธจิ ะยึดถอื ไว้ตำมมำตรำ 1336 ดังกล่ำว บคุ คลทย่ี ึดถอื กำำ ไลหยกซ่งึ เป็นทรัพยส์ นิ ของ ข.ไว้ก็คอื บคุ คลทไ่ี มท่ รำบชอื่ ซ่ึงได้ซอ้ื ไปจำก ค.ดงั น้ี ค.จงึ มิใช่บคุ คลทยี่ ดึ ถือทรพั ย์สนิ ของ ข. ไว้ แม้ ค.จะได้กำำ ไรจำกกำรขำยทรพั ยส์ นิ ของ ข. แต่ ค. ได้ ทำำกำรโดยสจุ ริตจงึ ไมต่ ้องรบั ผดิ ต่อ ข. แตป่ ระกำรใด ฉะนั้น ข. จึงมีสิทธิติดตำมเอำคืนกำำไลหยกของตนจำกบุคคลผู้ไม่ทรำบช่ือซึ่งยึดถือทรัพย์สินไว้ เท่ำน้ัน หำท่จี ะมีสิทธทิ ีจ่ ะเรยี กเงนิ กำำไรดงั กล่ำวจำก ค. ไดไ้ ม่ 3.1.2 แดนกรรมสทิ ธิแ์ ละสิทธขิ จดั เหตุเดือดร้อนราำ คาญ เทียนกับธูปมีบ้ำนอยู่ติดกัน และหลังคำบ้ำนบำงส่วนของเทียนย่ืนลำำ้ เข้ำไปในเขตที่ดินของธูป เทียน ซ้ือท่ีดินพร้อมบ้ำนหลงั น้มี ำจำกเจำ้ ของเดมิ และอยอู่ ำศัยมำเป็นเวลำ 8 ปีแล้ว โดยธูปกร็ เู้ รื่องกำรลุกลำำ้ ดงั กลำ่ ว มำโดยตลอด แต่ก็มิได้ว่ำกล่ำวประกำรใด ต่อมำเทียนกับธูปมีเร่ืองผิดใจกัน ธูปจึงเรียกให้เทียนร้ือถอนหลังคำ ส่วนที่ยนื่ ลำ้ำ ออกไป แต่เทียนต่อสู้ว่ำหลังคำบำ้ นของตนย่ืนไปในอำกำศไม่เก่ียวกับทรัพย์สินของธูป และถ้ำผิด ธูปก็เห็นมำเป็นเวลำกว่ำ 8 ปีแล้ว คดีเป็นอนั ขำดอำยุควำม ดังน้ี ใหว้ ินิจฉัยวำ่ ข้อต่อสู้ของเทียนรับฟังได้หรือ ไม่ เพรำะเหตุใด ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1335 แดนกรรมสิทธ์ิที่ดินนั้นกินทั้งเหนือพ้นพ้ืนดิน และใต้พ้ืนดินด้วย มำตรำ 1336 เจ้ำของทรัพย์สินมีสิทธิขัดขวำงมิให้ผู้อ่ืนสอดเข้ำเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินนั้น โดยมิชอบด้วย กฎหมำย ตำมปัญหำ หลังคำบ้ำนบำงส่วนของเทียนท่ีย่ืนลำำ้ เข้ำไปในเขตท่ีดินของธูป จึงเป็นกำรรุกล้ำำแดน กรรมสทิ ธท์ิ ีด่ ินของธูปในเขตเหนือพ้ืนดนิ ตำมมำตรำ 1335 ดงั กล่ำว ธปู ในฐำนะเจ้ำของทรพั ยส์ นิ จงึ มสี ิทธิ ขัดขวำงมิให้ผู้อ่ืนสอดเข้ำเก่ียวข้องกับทรัพย์สินนั้น โดยมิชอบด้วยกฎหมำย ตำมมำตรำ 1336 ทั้งน้ีสิทธิ ของเจ้ำของกรรมสิทธ์ติ ำมมำตรำ 1336 นนั้ ไมอ่ ยู่ในบงั คับของบทบญั ญัติแห่งกฎหมำยว่ำดว้ ยอำยคุ วำม ฉะนนั้ ข้อต่อสขู้ องเทียนจึงรบั ฟงั ไมไ่ ด้ ตำมเหตุผลดังกลำ่ ว บำ้ นของแดงมีทำงออกทำงเดียวคือด้ำนที่ติดกับถนนของเทศบำล ไม่มีทำงออกทำงอื่นเพรำะด้ำนอื่น มีที่ดินผ้อู ่นื ลอ้ มอยู่ ตอ่ มำเทศบำลได้สร้ำงสะพำนลอยข้ำมถนนโดยมีทำงขึน้ ด้ำนหนึ่งกีดขวำงทำงเข้ำ ออกบ้ำน ของนำยแดง จนนำยแดงไม่สำมำรถเข้ำออกได้ นอกจำกต้องปืนข้ำมรำวสะพำนดังกล่ำวด้วยควำมยำกลำำ บำก นำยแดงจึงร้องเรยี นให้เทศบำลรื้อทำงขน้ึ สะพำนลอยน้ันเสยี แต่เทศบำลไม่ยินยอมโดยอ้ำงวำ่ ทำงเทศบำลสรำ้ ง ทำงขน้ึ สะพำนลอยบนทำงเท่ำสำธำรณะมไิ ด้รุกลำำ้ ท่ีดนิ ของนำยแดงแต่ประกำรใด อกี ท้ังเทศบำลได้กระทำำโดย สจุ ริตเพอ่ื สำธำรณะประโยชน์จึงไม่อำจรื้อถอนได้ดังน้ี ให้วนิ จิ ฉัยวำ่ นำยแดงจะมีข้อต่อสอู้ ยำ่ งใดหรือไม่ สอบซอ่ มวันอาทิตย์ที่ 6 สิงหาคม 2549 เวลา 08.30-11.00 น.

14 ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1337 บุคคลใดใช้สิทธิของตนเป็นเหตุให้เจ้ำของอสังหำริมทรัพย์ได้รับ ควำมเสียหำยหรือเดือดร้อนเกินท่ีควรคิดหรือคำดหมำยได้ว่ำจะเป็นไปตำมปกติและเหตุอันควร เมื่อเอำสภำพ และตำำแหน่งท่ีอยู่แห่งทรัพย์นั้นมำคำำ นึงประกอบไซร้ ท่ำนว่ำเจ้ำของอสังหำริมทรัพย์มีสิทธิปฏิบัติกำรเพื่อยัง ควำมเสียหำยหรือเดือดรอ้ นน้ันใหส้ ิ้นไป ทง้ั นีไ้ ม่ลบลำ้ งสิทธิที่จะเรียกเอำคำ่ ตอบแทน ตำมปัญหำ เทศบำลได้สร้ำงสะพำนลอยข้ำมถนนโดยมีทำงขึ้นลงด้ำนหนึ่งกีดขวำงทำงเข้ำออกบ้ำน ของนำยแดง จนนำยแดงไม่สำมำรถเข้ำออกได้นอกจำกต้องปีนข้ำมรำวสะพำนดังกล่ำวด้วยควำมยำกรำำ บำก ดังนีเ้ ห็นได้ว่ำกำรกระทำำของเทศบำลเป็นเหตใุ ห้นำยแดงซึ่งเป็นเจ้ำของอสังหำริมทรัพย์ไดร้ ับควำมเสียหำยและ เดือดร้อนเกินท่ีควรคิดหรือคำดหมำยได้ว่ำจะเป็นไปตำมปกติและเหตุอันควรแล้ว นำยแดงเจ้ำของ อสังหำริมทรัพย์จึงมีสิทธิปฏิบัติกำรเพ่ือยังควำมเสียหำยหรือเดือดร้อนให้สิ้นไป ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1337 ดังกล่ำว อน่ึงมำตรำ 1337 นั้นใช้บังคับแก่บุคคลทั่วไปรวมทั้งเทศบำลด้วย แม้เทศบำลจะได้ กระทำำโดยสุจริตเพ่ือสำธำรณะประโยชน์ก็ไม่มีกฎหมำยใดให้อำำนำจเทศบำลท่ีจะไม่ต้องปฏิบัติตำมมำตรำ 1337 ดังนี้นำยแดงจึงมีข้อต่อสู้เทศบำลโดยยก ป.พ.พ. มำตรำ 1337 ดังกล่ำวข้ึนเป็นข้อตอ่สู้เพ่ือให้ เทศบำลร้อื ถอนทำงขึ้นสะพำนน้นั ออกไปได้ 3.2 กรรมสทิ ธ์ริ วม 1. กรรมสิทธ์ิรวมเป็นเร่ืองของบุคคลหลำยคนถือกรรมสิทธ์ิรวมกันในทรัพย์สินอันเดียวกัน และทุกคน เปน็ เจ้ำของทุกสว่ นของทรพั ย์สินนนั้ รวมกัน โดยลกั ษณะดงั กล่ำว กฎหมำยจงึ กำำ หนดให้เจ้ำของรวมมี ส่วนตำมข้อสันนษิ ฐำนของกฎหมำย มีสิทธิจัดกำรทรัพย์สิน ต่อสู้บุคคลภำยนอกใช้ทรัพย์สินและได้ ซ่งึ ดอกผลจำำหน่ำยหรือกอ่ ภำระตดิ พนั รวมทั้งมีหน้ำทอ่ี อกค่ำใชจ้ ่ำยตำมสว่ น 2. เจ้ำของมีสิทธิเรียกให้แบ่งทรัพย์นั้นได้ โดยแบ่งทรัพย์นั้นเองระหว่ำงเจ้ำของรวม หรือขำยทรัพย์สิน แล้วเอำเงินท่ีขำยได้แบ่งกัน โดยเจ้ำของรวมคนหนึ่งๆ ต้องรับผิดชอบตำมส่วนของตนเช่นเดียวกับผู้ ขำยในทรัพย์สิน ซึ่งเจ้ำของรวมคนอื่นๆได้รับไปในกำรแบ่งน้ัน รวมทั้งต้องรับผิดร่วมกันต่อบุคคล ภำยนอกในหนี้อันเกี่ยวกับทรัพย์สินรวม และรับผิดต่อเจ้ำของรวมคนอ่ืนในหนี้ซึ่งเกิดจำกกำรเป็น เจำ้ ของรวมด้วย 3.2.1 ลักษณะและผลของกรรมสิทธ์ิรวม เอก โท และ ตรีเป็นเจำ้ ของโรงแรมเล็กๆ แห่งหน่ึงร่วมกันโดยเอกเป็นเจ้ำของ 1 ส่วน โท 2 ส่วน และตรี 3 ส่วน เอกกับโทมีควำมเห็นร่วมกันว่ำ ต้องปรับปรุงโรงแรมใหม่โดยเปล่ียนจำกระบบพัดลมเป็น ระบบเคร่ืองปรับอำกำศ เพ่ือยกระดับโรงแรมและเพ่ิมค่ำเช่ำห้องให้สูงขึ้น แต่ตรีคัดค้ำน โดยอ้ำงว่ำตนเป็นหุ้น ส่วนใหญ่ เม่ือตนไม่เห็นด้วย หำกเอกกับโทดำำเนินกำรกันไปเอง ย่อมเป็นกำรกระทำำ ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมำย ดงั น้ี ใหว้ นิ ิจฉยั ว่ำข้ออ้ำงของตรีรับฟังได้หรือไม่ สอบซอ่ มวนั อาทติ ย์ท่ี 6 สิงหาคม 2549 เวลา 08.30-11.00 น.

15 ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1358 วรรคสำม ในเรื่องกำรจัดกำรอันเปน็ สำระสำำคัญ ทำ่ นว่ำข้อตกลงกนั โดยคะแนนขำ้ งมำกแหง่ เจ้ำของรวมและคะแนนข้ำงมำกนน้ั ตอ้ งมสี ว่ นไมต่ ่ำำ กว่ำคร่งึ หนึ่งแห่งคำ่ ทรพั ย์สิน ตำมปัญหำกำรปรับปรุงโรงแรมใหม่โดยเปล่ียนจำกระบบพัดลมเป็นระบบเครื่องปรับอำกำศนั้น เป็นกำรจัดกำรทรัพย์สินโดยวิธีท่ีต่ำงไปจำกกำรจัดกำรธรรมดำจึงเป็นเร่ืองของกำรจัดกำรอันเป็นสำระสำำคัญ ตำมมำตรำ 1358 วรรคสำมดังกล่ำว กำำ หนดใหต้ ้องตกลงกันโดยคะแนนเสียงข้ำงมำกของเจ้ำของรวมและ คะแนนข้ำงมำกน้ัน ต้องมีส่วนไม่ตำำ่ กว่ำคร่ึงหนึ่งแห่งค่ำทรัพย์สิน เมื่อเอกกับโทมีควำมเห็นร่วมกันจึงนับเป็น เสียงข้ำงมำกของเจำ้ ของรวม และมีสว่ นของควำมเป็นเจ้ำของรวมกันได้ 3 ส่วน ซึง่ เปน็ คร่ึงหนง่ึ ของทรพั ย์สนิ ทั้งหมด จึงมีส่วนไม่ต่ำำ กว่ำครึ่งแห่งมูลค่ำทรัพย์สิน ตำมมำตรำ 1358 วรรคสำมดังกล่ำวแล้ว เอกกับโคจึง ดำำเนินกำรในเรือ่ งจดั กำรอันเป็นสำระสำำคัญดังกลำ่ วได้โดยชอบด้วยกฎหมำย ฉะนน้ั ขอ้ อำ้ งของตรีจงึ รบั ฟงั ไมไ่ ด้ กำรที่เอกกับโท ตกลงกนั ย่อมเป็นคะแนนข้ำงมำกแห่งเจำ้ ของรวม และคะแนนขำ้ งมำกน้ันมสี ว่ นไม่ตำ่ำ กว่ำครง่ึ หนึ่ง แห่งคำ่ ทรัพย์สนิ ตำมมำตรำ 1358 วรรคสำมแล้ว เด่นกับดังเป็นเจ้ำของรถบรรทุกคันหน่ึงร่วมกันโดยเด่นถือกรรมสิทธิ์ 2 ใน 3 และดังถือ กรรมสิทธิ์ 1 ใน 3 ท้ังสองตกลงกันวำ่ ใครจะเอำไปใช้เมื่อใดก็ไก้ แต่ขอให้บอกกันให้รู้ล่วงหน้ำ และจะไม่ ใช้ซำ้ำกัน ปรำกฏว่ำในระหว่ำงท่ีเด่นนำำไปใช้หนึ่งเดือนนั้น ต้องจ่ำยค่ำซ่อมเคร่ืองยนต์ไป 30,000 บำท และค่ำนำ้ำ มันเชื้อเพลิง 12,000 บำท เด่นจึงเรียกให้ดังออกค่ำใช้จ่ำยค่ำซ่อมเครื่องยนต์และค่ำน้ำำ มันเช้ือ เพลิงดังกล่ำว คนละครึ่งดงั นใ้ี ห้วินิจฉยั วำ่ ดงั จะมีข้อต่อสเู้ พียงใด ตำม ป.พ.พ.มำตรำ 1362 เจำ้ ของรวมคนหนง่ึ ๆ จำำต้องช่วยเจ้ำของรวมคนอ่ืนๆตำมส่วนของตน ในกำรออกคำ่ จัดกำร ค่ำภำษอี ำกร และค่ำรักษำ กบั ทงั้ ค่ำใชท้ รัพยส์ นิ รวมกนั ด้วย ตำมปัญหำ เด่นกับดังเป็นเจ้ำของรถรถบรรทุกคันหนึ่งร่วมกัน โดยเด่นถือกรรมสิทธิ์ 2 ใน 3 และ ดังถือกรรมสิทธ์ิ 1 ใน 3 ปรำกฏว่ำในระหว่ำงท่ีเด่นนำำไปใช้เป็นเวลำ 1 เดือนนั้น ต้องจ่ำยค่ำซ่อม เครื่องยนต์ไป 30,000 บำท ค่ำซ่อมเครื่องยนต์ดังกล่ำวเป็นค่ำรักษำทรัพย์สิน ดังต้องช่วยออก 1 ใน 3 ตำมส่วนของตน ตำมมำตรำ 1362 ดังกล่ำวน้ันคือ 10,000 บำท สำำหรับค่ำน้ำำมันเชื้อเพลิงมิใช่ ทรพั ย์สนิ รวมกัน แต่เปน็ ค่ำใชจ้ ่ำยทรพั ย์เปน็ สว่ นตัว ดังจงึ ไม่มีหน้ำที่ตอ้ งช่วยออกค่ำทรัพยใ์ ช้ทรัพยส์ ินเปน็ กำร สว่ นตวั แต่อยำ่ งใด ฉะนั้น ดังจึงมีข้อต่อสู้โดยออกค่ำใช้จ่ำยเฉพำะค่ำซ่อมเครื่องยนต์ อันเป็นค่ำรักษำทรัพย์สินตำมตำม สว่ นของตนเท่ำน้นั 3.2.2 การแบ่งทรพั ย์สินอันเป็นกรรมสทิ ธร์ิ วม นกกับแมวซื้อที่ดินหน้ำกว้ำง 6 เมตร ยำวตลอดแนวเพ่ือทำำถนนเข้ำที่ดินของแต่ละคน โดยถือ กรรมสิทธิ์คนละคร่ึง ต่อมำนกต้องกำรปรับปรุงถนนจำกดินลูกรังเป็นคอนกรีตแต่แมวคัดค้ำนโดยอ้ำงเหตุว่ำ เป็นกำรสิ้นเปลอื งและเกนิ ควำมจำำ เปน็ หำกจะทำำ กข็ อใหน้ กออกคำ่ ใช้จ่ำยแตเ่ พียงฝ่ำยเดียวนกโกรธมำกจงึ เรยี ก ให้แบ่งถนนคนละครึ่ง คือแบ่งตำมหน้ำกว้ำคนละ 3 เมตรเพ่ือจะได้ถนนคอนกรีตในส่วนของตนดังน้ี ให้ วนิ จิ ฉยั ว่ำข้อเรียกร้องให้แบ่งถนนคนละครึง่ ของนกรบั ฟงั ไดห้ รอื ไมเ่ พรำะเหตุใด สอบซอ่ มวนั อาทิตย์ที่ 6 สิงหาคม 2549 เวลา 08.30-11.00 น.

16 ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1363 วรรคแรก เจ้ำของรวมคนหน่ึงๆ มีสิทธิเรียกให้แบ่งทรัพย์สินได้ เวน้ แต่จะมีนิติกรรมขดั อยู่ หรือถำ้ วัตถุทป่ี ระสงค์ทเี่ ป็นเจำ้ ของรวมกนั น้ันมีลกั ษณะเปน็ กำรถำวร ก็เรียกให้แบ่ง ไม่ได้ ตำมปญั หำนกกับแมวซอ้ื ทด่ี นิ หนำ้ กว้ำง 6 เมตรยำวตลอดแนวเพอ่ื ทำำถนนเข้ำทดี่ ินของแต่ละคน โดยถอื กรรมสิทธิ์คนละครึ่ง เช่นน้ีเห็นได้ว่ำวัตถุประสงค์ที่เป็นเจ้ำของถนนรวมกันน้ันมีลักษณะเป็นกำรถำวร นกจึง เรียกให้แบ่งถนนคนละคร่ึงตำมหน้ำกว้ำงคนละ 3 เมตร เพื่อจะได้ทำำถนนคอนกรีตเฉพำะส่วนของตนไม่ได้ เป็นกำรขัดต่อบทบญั ญัตแิ ห่ง ป.พ.พ. มำตรำ 1363 วรรคแรกดังกลำ่ ว ฉะน้ันข้อเรียกร้องให้แบ่งถนนคนละคร่ึงของนกจึงรับฟังไม่ได้เพรำะวัตถุประสงค์ของกำรเป็น เจ้ำของรวมกันน้ัน มลี ักษณะเป็นกำรถำวรต้องหำ้ มตำมมำตรำ 1363 วรรคแรก หน่ึง สอง และสำม เป็นเจ้ำของโคฝูงหน่ึงร่วมกันโดยแต่ละคนถือกรรมสิทธิ์เท่ำกัน ต่อมำทั้งสำมคน ตกลงแบ่งโคกันตำมส่วนคนละ 100 ตัว แต่ปรำกฏว่ำโคส่วนของสำมที่ได้รับแบ่งไปนั้นตำยท้ังหมดเพรำะ ป่วยเป็นโรคร้ำยอยู่ก่อนแล้ว ต้องทำำ ลำยซำกทั้งหมด ในส่วนที่โคตำยท้ังหมดน้ัน คิดเป็นเงิน 600,000 บำท สำมจึงเรียกให้หนึ่งและสองชดใช้ค่ำเสียหำยให้ตนคนละ 300,000 บำท เช่นนี้ ให้วินิจฉัยว่ำหน่ึง และสองจะมีข้อตอ่ สู้เพียงใด ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1366 เจ้ำของรวมคนหนึ่งๆ ต้องรับผิดตำมส่วนของตนเช่นเดียวกับผู้ขำย ในทรพั ยส์ นิ ซง่ึ เจ้ำของรวมคนอืน่ ๆ ได้รบั ไปในกำรแบง่ ตำมปัญหำ หนึ่ง สอง และสำม เป็นเจ้ำของโคฝูงหนึ่งร่วมกันโดยแต่ละคนถือกรรมสิทธ์ิเท่ำกันภำย หลังกำรแบ่งทรัพยส์ ิน ปรำกฏว่ำโคส่วนของสำมทีไ่ ดร้ ับแบ่งไปตำมท้ังหมด เพรำะปว่ ยเป็นโรคร้ำยอยู่ก่อนแล้ว เช่นน้ี หนึง่ สองต้องรับผิดในควำมชำำ รุดบกพร่อง ตำมส่วนของตนเช่นเดียวกับผู้ขำย ตำมมำตรำ 1366 ดัง กล่ำว เมื่อโคที่ส่วนของสำมท่ีตำยท้ังหมด คิดเป็นเงิน 600,000 บำท แต่ละคนจะต้องรับผิดชอบตำม ส่วนคือ คนละ 200,000 บำท สำมจึงเรียกให้หน่ึงและสอง ชดใช้ค่ำเสียหำยให้ตนได้ คนละ 200,000 บำท ฉะน้ัน หน่ึงและสองจึงมีข้อต่อสู้ว่ำ จะต้องรับผิดตำมส่วนของตนคือคนละ 200,000 บำท มใิ ช่ 300,000 บำท ตำมทสี่ ำมเรยี กร้อง แบบประเมนิ ผลการเรียนหน่วยท่ี 3 1. สัตว์เล้ียงของ ก. ถูกขโมยบ่อยๆ ก. จึงนำำมำฆ่ำเปน็ อำหำรกินเสียทั้งหมด เช่นน้ี เป็นสิทธิตำม สทิ ธจิ ำำหน่ำย ของเจ้ำของทรพั ย์ 2. แดนกรรมสทิ ธิม์ ีได้เฉพำะกบั ทรพั ย์สนิ ประเภท ทดี่ นิ เท่ำนัน้ 3. บทบัญญัติเรื่องเหตุเดือดร้อนรำำคำญ ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1337 น้ันมุ่งคุ้มครอง เจ้ำของ อสังหำริมทรัพย์ มาตรา 1337 บุคคลใดใช้สิทธิของตนเป็นเหตุให้เจ้ำของอสังหำริมทรัพย์ ได้รับควำมเสียหำย หรือ เดือดร้อนเกินท่คี วรคิดหรือคำดหมำยได้ว่ำจะเป็นไป ตำมปกติ และเหตุอันควรในเมื่อเอำสภำพและตำำแหน่งท่ี สอบซ่อมวันอาทิตยท์ ่ี 6 สิงหาคม 2549 เวลา 08.30-11.00 น.

17 อยู่แหง่ ทรัพย์สินนั้นมำ คำำ นึงประกอบไซร้ ท่ำนว่ำเจ้ำของอสังหำริมทรพั ย์มีสิทธิจะปฏิบัติกำรเพ่ือยัง ควำมเสีย หำยหรอื เดือดร้อนน้นั ใหส้ ิน้ ไป ทัง้ นี้ไมล่ บลำ้ งสิทธิทจี่ ะเรียกเอำค่ำ ทดแทน 4. ผู้กอ่ เหตเุ ดือดร้อนรำำคำญ ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1337 นน้ั จะเป็น บคุ คลใดกไ็ ด้ 5. เจ้ำของรวมคนหน่ึงจะอ้ำงภำระจำำ ยอมโดยอำยุควำมข้ึนยันเจ้ำของรวมคนอื่น ไม่ได้เพรำะ เจำ้ ของรวมทุกคนยอ่ มเปน็ เจำ้ ของทุกส่วนของทรัพย์สินนั้น 6. เจ้ำของรวมคนหนึ่งๆ จะทำำ กำรเพอื่ รกั ษำทรัพยส์ ิน กระทำำ ไดเ้ สมอ 7. ก. กับ ข. เป็นเจ้ำของรถยนต์คันหนึ่งรวมกันโดย ก. ถือกรรมสิทธ์ิ 2 ส่วน และ ข. ถือ กรรมสิทธ์ิ 1 ส่วน ทั้งสองตกลงผลัดกันใช้ตำมควำมจำำ เป็นในระหว่ำงที่ ก. นำำรถไปใช้ 1 เดือน ต้องจ่ำยค่ำนำ้ำ มันไป 3,000 บำท เช่นนี้ ก. จะเรียกให้ ข. ช่วยจ่ำยค่ำนำ้ำมันนั้น ไม่ ได้ เพรำะมิใช่คำ่ ใช้ทรพั ย์สนิ เพือ่ ประโยชน์รวมกัน 8. สทิ ธเิ รยี กใหแ้ บ่งทรัพย์สินอนั เปน็ กรรมสิทธริ์ วมนัน้ จะตดั โดยนติ กิ รรม ไดค้ รำวละไมเ่ กนิ 10 ปี 9. กำรแบ่งทรัพย์สินอันเป็นกรรมสิทธ์ิรวม โดยกำรตกลงกันเองน้ันจะต้องใช้คะแนนเสียงของ จำำ นวนเจ้ำของรวมทั้งหมดเหน็ ชอบ 10. ถ้ำเจ้ำของรวมต้องรับผิดร่วมกันต้อบุคคลภำยนอกในหนี้อันเก่ียวกับทรัพย์สินรวม ในเวลำแบ่ง กำรจะเรียกให้เอำทรัพย์สินรวมนั้นชำำระหนี้เสียก่อน กฎหมำยกำำหนดให้เป็นสิทธิของ เจ้ำของ รวมดว้ ยกนั เอง 11. ลักษณะของกรรมสทิ ธ์ิ เปน็ สิทธทิ ่ีกฎหมำยใหอ้ ำำนำจบุคคลมอี ยูเ่ หนือทรัพย์สิน 12. ก. ให้สิทธิอำศัยแก่ ข. ในโรงเรือนของตนเอง เช่นน้ี เป็นสิทธิตำม สิทธจิ ำำ หน่ำย ของเจ้ำของ ทรัพยส์ นิ 13. แดนกรรมสทิ ธค์ิ รอบคลมุ พนื้ ทีบ่ รเิ วณ บนพืน้ ดนิ เหนอื พน้ พ้นื ดิน ใตพ้ น้ื ดนิ 14. เจ้ำของรวมคนใดจะอ้ำงอำยุควำมครอบครองปรปักษ์ขึ้นยันเจ้ำของรวมคนอื่นไม่ได้ เว้นแต่ใน กรณี เจำ้ ของรวมไดแ้ ยกกำรครอบครองกนั เปน็ สัดสว่ นแลว้ 15. ในเร่ืองกำรจัดกำรตำมธรรมดำ เจ้ำของรวมคนหนึ่งๆ จะกระทำำ ได้หำกเจ้ำของรวมฝ่ำยข้ำงมำก เหน็ ชอบ 16. ก. กับ ข. เป็นเจ้ำของบ้ำนหลังหนึ่งรวมกัน โดย ก. ถือกรรมสิทธิ์ 1 ส่วน และ ข. ถือ กรรมสิทธิ์ 2 ส่วน ก. ตกลงให้ ข. ครอบครองบ้ำนนั้นแต่ฝ่ำยเดียว ต่อมำ ข. ได้จ่ำยค่ำซ่อม บ้ำนไป 30,000 บำท เช่นน้ี ข. จะเรียกให้ ก. ช่วยจ่ำยค่ำซ่อมดังกล่ำว ได้ จำำ นวน 10,000 บำท ตำมส่วนเพรำะเปน็ ค่ำรักษำทรัพยส์ นิ 17. ถึงแม้วำ่ วัตถุประสงค์ที่เป็นเจ้ำของรวมกันน้นั มีลักษณะเป็นกำรถำวร เจ้ำของรวมคนหน่ึงๆ จะ เรยี กให้แบง่ ทรัพย์สินนัน้ ไมไ่ ดโ้ ดยเดด็ ขำด สอบซ่อมวันอาทิตยท์ ่ี 6 สิงหาคม 2549 เวลา 08.30-11.00 น.

18 18. กำรแบ่งทรัพย์สินอนั เป็นกรรมสทิ ธ์ิรวม โดยกำรตกลงกนั นนั้ จะต้องเปน็ ไปตำมสัดส่วนกำรถอื กรรมสทิ ธ์หิ รือไม่ คำาตอบ อำจแบ่งกนั ตำ่ งไปไดต้ ำมแตข่ อ้ ตกลงของเจำ้ ของรวม 19. เจ้ำของรวมต้องรับผิดชอบตำมส่วนของตน ในทรัพย์สินซึ่งเจ้ำของรวมคนอ่ืนๆได้รับไปในกำร แบ่งเชน่ เดียวกับ ผขู้ ำย หนว่ ยท่ี 4 การได้มาซ่งึ กรรมสิทธ์ิ 1. กำรไดม้ ำซึ่งกรรมสิทธิ์น้ัน อำจได้มำโดยหลักส่วนควบ ตำมหลักที่ว่ำเจ้ำของทรัพยย์ ่อมมีกรรมสิทธิ์ใน ส่วนควบของทรัพย์นั้น ซึ่งมีทั้งกำรได้กรรมสิทธ์ิมำในกรณีส่วนควบของที่ดิน และในกรณีส่วนควบ ของสังหำรมิ ทรัพย์ 2. กำรเขำ้ ถืออสังหำริมทรัพย์ไม่มีเจ้ำของหรือของตกหำยในบำงกรณี อำจเปน็ เหตุให้ได้มำซ่ึงกรรมสิทธิ์ ได้รวมทั้งกำรเป็นผู้รับโอนโดยสุจริต หำกเข้ำข้อยกเว้นหลักผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่ำผู้โอน ก็อำจเป็น เหตุใหไ้ ดม้ ำซ่ึงกรรมสิทธเิ์ ชน่ เดียวกนั การได้มาโดยหลักสว่ นควบ 1. กำรไดม้ ำซึ่งกรรมสทิ ธใ์ิ นกรณีส่วนควบของทด่ี ินน้ัน อำจมไี ด้ 6 กรณี คือ กรณีที่งอกริมตลิ่ง กรณี สรำ้ งโรงเรอื นในทีด่ ินของผู้อนื่ กรณสี ร้ำงโรงเรอื นรุกล้ำำเข้ำไปในท่ีดินของผอู้ น่ื กรณผี ูเ้ ปน็ เจ้ำของ ท่ดี นิ โดยมีเง่ือนไขสรำ้ งโรงเรอื น กรณีกำรกอ่ สร้ำงและเพำะปลูกในทดี่ ิน และกรณเี อำสมั ภำระของ ผอู้ ื่นมำปลูกหรอื สร้ำงในทดี่ ินของตนเอง 2. กำรได้มำซ่ึงกรรมสิทธ์ิในกรณีส่วนควบของสังหำริมทรัพย์ อำจมีได้ 2 กรณี คือ กรณีเอำ สงั หำรมิ ทรัพยข์ องบุคคลหลำยคนมำรวมกันและกรณใี ชส้ มั ภำระของบุคคลอ่ืนทำำสิ่งใดขึ้นใหม่ การได้มาในกรณีส่วนควบของทด่ี ิน แดงมีท่ีดินมีโฉนดแปลงหนง่ึ อยู่ตดิ กับแม่นำำ้ ตอ่ มำเกดิ ดนิ ทบั ถมกันจนเป็นทดี่ อนกลำงแม่นำ้ำน้ัน และ ดินท่ีตื้นเขินงอกเข้ำมำจนจรดท่ีดินของแดง เป็นเน้ือท่ีประมำณ 50 ตำรำงวำ แดงจึงเข้ำครอบครองทำำกินใน ที่ดินนนั้ เมื่อทำงรำชกำรทรำบเรอื่ งจึงยื่นคำำ ขำดใหแ้ ดงออกจำกที่ดนิ ดงั กล่ำวมฉิ ะนน้ั จะฟ้องร้องดำำเนินคดี ดังนี้ ใหว้ นิ ิจฉยั วำ่ แดงจะมีขอ้ ตอ่ ส้เู พยี งใด ตำม ป.พ.พ.มำตรำ 1308 ที่ดินแปลงใดเกิดที่งอกริมตล่ิง ที่งอกย่อมเป็นทรัพย์สินของท่ีดิน แปลงนนั้ มำตรำ 1309 เกำะที่เกิดในทะเลสำบ หรือในเขตน่ำนน้ำำ ของประเทศก็ดี และท้องนำำ้ ที่เขินข้ึนก็ดี เปน็ ทรพั ย์สนิ ของแผน่ ดนิ สอบซอ่ มวันอาทติ ย์ที่ 6 สิงหาคม 2549 เวลา 08.30-11.00 น.

19 ตำมปัญหำที่ดอนที่เกิดข้ึนกลำงแม่นำ้ำและดินต้ืนเขินงอกเข้ำมำจนจรดท่ีดินของแดงเป็นเนื้อที่แปะ มำณ 50 ตำรำงวำน้ัน ย่อมมีสภำพเป็นเกำะหรือท้องนำ้ำ ตื้นเขิน อันเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินตำมมำตรำ 1309 มิใชท่ ง่ี อกรมิ ตล่ิง อันจะตกเปน็ กรรมสิทธข์ิ องเจำ้ ของท่ีดนิ รมิ ตล่งิ นน้ั ตำมมำตรำ 1308 เพรำะท่ี งอกรมิ ตลงิ่ จะต้องเปน็ ทงี่ อกออกจำกตล่งิ ไปในแมน่ ำ้ำ มิใช่งอกจำกทด่ี อนกลำงแมน่ ำ้ำ เข้ำหำตลิ่ง ฉะน้ัน แดงไม่มีข้อต่อสู้กับทำงรำชกำร และต้องออกจำกที่ดินดังกล่ำวเพรำะที่ดินน้ันมีสภำพเป็น ทรพั ย์สินของแผ่นดิน มใิ ชท่ ี่งอกรมิ ตลิ่ง เสือสร้ำงบ้ำนหลังหนึ่ง แต่ได้ทำำ ถังส้วมซีเมนต์รุกลำ้ำ เข้ำไปฝังอยู่ในท่ีดินของช้ำง โดยเข้ำใจว่ำอยู่ใน เขตที่ดินของตน เมื่อมีกำรรังวัดตรวจสอบเขตจึงทรำบข้อเท็จจริงดังกล่ำว เสือจึงเสนอเงินตอบแทนแก่ช้ำงเป็น ค่ำท่ีดิน แต่ช้ำงไม่ยอมและยืนยันให้เสือรื้อถอนออกไป ดังน้ีให้วินิจฉัยว่ำ เสือจะได้รับกำรคุ้มครองตำม กฎหมำยอย่ำงใด หรือไม่ ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1312 วรรคหนง่ึ บุคคลใดสรำ้ งโรงเรือนรุกลำ้ำเข้ำไปในท่ีดนิ ของผู้อ่ืนโดย สุจริตไซร้ท่ำนว่ำบุคคลนั้นเปน็ เจ้ำของโรงเรือนที่สร้ำงขึน้ แต่ต้องเสียเงินให้แก่เจ้ำของท่ีดินเป็นค่ำใช้ที่ดินน้ัน และจดทะเบียนเป็นภำระจำำ ยอม ตำมปญั หำเสือทำำถังส้วมซีเมนต์รุกลำ้ำ เขำ้ ไปฝังอยู่ในท่ีดินของช้ำงโดยเข้ำใจว่ำอยู่ในเขตท่ีดินของตน แตถ่ ังสว้ มซีเมนตม์ ิใช่โรงเรอื นและอยู่นอกโรงเรือนไมเ่ ป็นสว่ นหนง่ึ ของโรงเรือน แมเ้ สอื จะกระทำำโดยสิจรติ ก็ ไม่ได้รับกำรคุ้มครองตำมมำตรำ 1312 วรรคหน่ึงดังกล่ำว แม้เสือจะเสนอเงินตอบแทนแก่ช้ำงเป็นค่ำใช้ ท่ีดนิ แต่ชำ้ งไมย่ อม เสือกต็ ้องรอื้ ถอนถงั ส้วมซีเมนตน์ ้ันออกไป ฉะนนั้ เสือจงึ ไม่รับกำรคมุ้ ครองตำมมำตรำ 1312 วรรค 1 แตป่ ระกำรใด การได้มาในกรณีส่วนควบของสังหารมิ ทรัพย์ จำำ ปีเช่ำซ้ือรถยนต์คันหนง่ึ ซงึ่ ไม่มีตัวถงั จำกจำำ ปำ และจำำ ปีได้ว่ำจ้ำงต่อตวั ถังรถขึ้นเพ่อื ใช้ในกำรขนส่ง ของ ตอ่ มำจำำปีและจำำปำตกลงเลิกสญั ญำเช่ำซอ้ื ตอ่ กนั ใหถ้ ือวำ่ เช่ำซื้อเป็นค่ำเช่ำรถยนต์น้ัน แตไ่ ม่ได้ตกลงกันใน เร่ืองตัวถังรถดังกลำ่ ว เมื่อจำำปำมำรับมอบรถยนตน์ ้ันคนื จำำปไี ด้ย่นื ข้อเรยี กร้องให้จำำปำร้ือตวั ถังรถซึ่งต่อเติมขึ้น นน้ั คนื แก่ตน ดงั นใ้ี หว้ นิ ิจฉัยว่ำจำำ ปำจะมีข้อตอ่ ส้อู ยำ่ งไร ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1316 บัญญัติวำ่ “ถำ้ อสังหำริมทรัพย์ของบุคคลหลำยคนมำรวมเข้ำกันจน เป็นส่วนควบหรือแบ่งแยกไม่ได้ไซร้ท่ำนว่ำบุคคลเหล่ำน้ันเป็นเจ้ำของรวมแห่งทรัพย์ท่ีรวมเข้ำกันแต่ละคนมี สว่ น ตำมคำ่ แห่งทรพั ย์ของตนในเวลำท่ีรวมเข้ำกับทรัพยอ์ น่ื ” ถ้ำทรัพย์อันหนึ่งอำจถือได้ว่ำเป็นทรัพยป์ ระธำนไซร้ ทำ่ นว่ำเจำ้ ของทรัพย์นัน้ เป็นเจ้ำของทรัพยท์ ่ีรวม เขำ้ กนั แต่ผู้เดียว แต่ตอ้ งใช้คำ่ แห่งทรพั ยอ์ ืน่ ๆ ใหแ้ ก่เจ้ำของทรพั ย์นั้นๆ ตำมปัญหำ จำำปีเช่ำซ้ือรถยนต์คันหนึ่งซึ่งไม่มีตัวถังจำกจำำ ปำ และจำำปีได้ว่ำจ้ำงต่อตัวถังรถขึ้นเพื่อใช้ ในกำรขนส่งของ เช่นน้ีจึงเป็นกำรเอำสังหำริมทรัพย์ของบุคคลหลำยคนมำรวมเข้ำกันจนเป็นส่วนควบ หรือ แบ่งแยกไม่ได้ แต่ตัวรถยนต์ของจำำ ปำถือได้ว่ำเป็นทรพั ย์ประธำน จำำปำเจำ้ ของตัวรถยนต์จึงเป็นเจ้ำของตัวถังท่ี สอบซอ่ มวนั อาทติ ยท์ ี่ 6 สิงหาคม 2549 เวลา 08.30-11.00 น.

20 รวมเข้ำด้วยกนั แต่ผ้เู ดียว แต่ต้องใชค้ ำ่ แห่งทรัพยอ์ ่ืนใหแ้ กเ่ จำ้ ของทรพั ยน์ ั้น ตำมมำตรำ 1316 วรรค สองดัง กล่ำว ฉะน้นั จำำปำจึงมีข้อต่อสู้ที่จะไม่ต้องรื้อตัวถังซึ่งต่อเติมขึ้นน้ันคืน แต่ต้องชดใช้ค่ำใช้จ่ำยในกำรต่อตัว ถังรถยนต์นนั้ แก่จำำปี เงินถอื วสิ ำสะขณะทท่ี องไมอ่ ยู่ นำำ ไม้สักทองไปแกะสลักเป็นทับหลงั นำรำยณ์บรรทมสินธ์ุ และนำำ ไป ตั้งแสดงในงำนนิทรรศกำร ทองทรำบเรื่องจึงตำมทวงคืนโดยยินดีจะชำำระค่ำแกะสลักให้ตำมมูลค่ำจริงคือ 20,000 บำท เงินไม่ยอมคืน แต่ยินดีชำำ ระค่ำไม้สักท่ีได้แกะสลักแล้วให้ตำมมูลค่ำจริงคือ 19,990 บำท ดงั นัน้ ใหว้ ินิจฉยั วำ่ เงนิ กับทองใครมีสทิ ธใิ นงำนไม้แกะสลักนน้ั ดกี วำ่ กัน ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1317 บุคคลใดใช้สัมภำระของบุคคลอื่นทำำส่งใดข้ึนใหม่เจ้ำของสัมภำระ เปน็ เจ้ำของส่ิงนน้ั โดยมติ อ้ งคำำ นึงวำ่ สมั ภำระนั้นจะกลับคนื ตำมเดมิ ไดห้ รอื ไม่ แตต่ ้องใชค้ ำ่ แรงงำน แต่ถำ้ แรงงำนเกนิ กวำ่ ค่ำสมั ภำระที่ใช้นัน้ มำก ผกู้ ระทำำ เป็นเจ้ำของทรัพยท์ ่ที ำำ ข้ึนแต่ต้องใช้ค่ำสัมภำระ ตำมปัญหำ เงินใช้ไม้สักซ่ึงเป็นสัมภำระของทองทำำ สิ่งใหม่ขึ้นคือแกะสลักเป็นทับหลังนำรำยณ์ บรรทมสินธุ์ โดยค่ำแกะสลักหรือแรงงำนน้ันมีมูลค่ำเกินกว่ำค่ำสัมภำระเพียง 10 บำท ซึ่งถือได้ว่ำเกินกว่ำ เพียงเล็ก น้อยเท่ำนั้น ค่ำแรงงำนมิได้เกินกว่ำค่ำสัมภำระมำก จึงไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นตำมมำตรำ 1317 วรรคสอง ฉะนน้ั เจ้ำของสัมภำระจึงเป็นเจำ้ ของสิ่งน้ันตำมมำตรำ 1317 ดังนั้นทองจึงมีสิทธิในงำนไม้แกะ สลักนนั้ ดีกว่ำเงิน การไดม้ าซึง่ ทรัพยส์ นิ ไม่มเี จา้ ของและการรับโอนโดยสุจริต 1. กำรได้มำซ่ึงทรัพย์สินไม่มีเจ้ำของน้ัน กรณีสังหำริมทรัพย์ไม่มีเจ้ำของบุคคลอำจได้มำซึ่ง กรรมสิทธ์ิโดยกำรเข้ำถือเอำ สำำหรับกรณีทรัพย์สินที่ไม่มีผู้ครอบครอง อำจได้กรรมสิทธ์ิในกรณี เดียวคือ ผเู้ ก็บได้ซ่ึงทรัพย์สินหำยแลว้ ผู้มสี ทิ ธิจะรบั ทรัพย์สนิ มไิ ด้เรียกเอำภำยในหนึง่ ปีนับแต่วนั ที่ เก็บได้ 2. กำรได้มำโดยกำรรับโอนโดยสุจริตน้ัน เป็นกำรได้มำโดยพฤติกำรณ์พิเศษอันเป็นกำรคุ้มครอง บุคคล ภำยนอกผู้รับโอนโดยสุจริต ซึ่งมีกรณีสำำ คัญๆ คือกรณีบุคคลหลำยคนเรียกเอำ สังหำริมทรัพย์เดียวกัน โดยอำศัยหลักกรรมสิทธ์ิต่ำงกัน กรณีได้ทรัพย์สินจำกกำรขำยทอดตลำด ตำมคำำสั่งศำลหรือเจ้ำพนักงำนพิทักษ์ทรัพย์ในคดีล้มละลำย กรณีสิทธิของบุคคลผู้ได้เงินตรำและ กรณีซ้อื ทรพั ยส์ ินในกำรขำยทอดตลำดในทอ้ ง ตลำดหรือจำกพอ่ ค้ำซึ่งขำยของชนดิ นน้ั กำรได้มำซง่ึ ทรพั ยส์ ินไม่มีเจ้ำของ สมชำยทะเลำะกับแฟนสำวและโกรธท่ีแฟนสำวคืนแหวนทองซึ่งตนให้เป็นของขวัญจึงขว้ำงแหวน ทองนั้นท้ิงไปในกองขยะแล้วจำกไป สมศรีเห็นเหตุกำรณ์จึงเข้ำไปค้นหำจนพบแหวนทองน้ัน สุดสวยอยู่ใน เหตุกำรณด์ ว้ ยเห็นว่ำแหวนนั้นสวยมำกจงึ ขอซ้อื สมศรเี กรงวำ่ เก็บไวอ้ ำจมีปัญหำยุง่ ยำกจึงขำยแหวนทองน้ันให้ สุดสวยไป ในวันรุ่งขึ้น สมชำยนึกเสียดำยแหวนทองน้ันจึงกลับมำหำที่เดิมและทรำบควำมจริงว่ำสุดสวยเป็น สอบซ่อมวนั อาทติ ย์ที่ 6 สิงหาคม 2549 เวลา 08.30-11.00 น.

21 คนรับซื้อแหวนนั้นไป สมชำยจึงตำมไปทวงแหวนคืนจำกสดุ สวย ดังนี้ใหว้ ินจิ ฉัยว่ำสดุ สวยจะมีขอ้ ตอ่ สอู้ ยำ่ งไร หรือไม่ ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1319 ถ้ำเจ้ำของสังหำริมทรัพย์เลิกครอบครองทรัพย์ด้วยเจตนำสละ กรรมสิทธิ์ไซร้ ท่ำนวำ่ สังหำริมทรัพยน์ ั้นไมม่ ีเจ้ำของ มำตรำ 1318 บคุ คลอำจได้มำซึ่งกรรมสิทธ์ิแห่งสังหำริมทรัพย์อันไม่มีเจ้ำของโดยเข้ำถือเอำ เว้น แต่กำรเขำ้ ถือเอำตอ้ งหำ้ มดว้ ยกฎหมำย หรอื ฝำ่ ฝืนสทิ ธขิ องบคุ คลอ่นื ท่ีจะเข้ำถือเอำสงั หำรมิ ทรพั ย์น้ัน ตำมปัญหำ สมชำยทะเลำะกับแฟนสำวและโกรธที่แฟนสำวคืนแหวนทองซ่ึงตนให้เป็นของขวัญจึง ขว้ำงแหวนทองน้ันท้ิงไปในกองขยะ ถือได้ว่ำสมชำยได้เลิกครอบครองสังหำริมทรัพย์ด้วยเจตนำสละ กรรมสิทธแิ์ ล้ว แหวนทองน้ันจงึ เป็นสังหำริมทรพั ยท์ ่ีไมม่ เี จ้ำของตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1319 ดังกลำ่ ว สมศรีเข้ำไปค้นหำจนพบแหวนทองน้ัน จึงถือได้ว่ำสมศรีได้มำซึ่งกรรมสิทธ์ิแห่งแหวนทองนั้นซึ่ง เป็นสังหำริมทรัพยอ์ ันไม่มีเจำ้ ของ โดยเข้ำถือเอำ ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1318 ดังกล่ำว สุดสวยเป็นผูร้ ับซื้อ แหวนทองน้ันจำกสมศรผี เู้ ปน็ เจ้ำของกรรมสทิ ธิ์ สดุ สวยจึงได้กรรมสทิ ธิใ์ นแหวนทองนั้นโดยชอบ ฉะนนั้ สดุ สวยจึงมขี ้อต่อสู้ตำมหลกั กฎหมำยดงั กล่ำว กรณีโบรำณวัตถุตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1325 วรรคสองต่ำงกับกรณีสังหำริมทรัพย์มีค่ำตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1328 ในประเด็นสำำคัญอยำ่ งไร กรณีโบรำณวัตถุตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1325 วรรคสองต่ำงกับกรณีสังหำริมทรัพย์มีค่ำ ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1328 ในประเด็นสำำคัญ 5 ประกำร ดงั ต่อไปนี้ (1) โบรำณวัตถุตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1325 วรรคสอง น้ัน จะเป็นสังหำริมทรัพย์มีค่ำ หรือไม่ก็ได้แต่ต้องเป็นโบรำณวัตถุ ในทำงกลับกัน สังหำริมทรัพย์มีค่ำตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1328 นนั้ จะเป็นโบรำณวัตถหุ รอื ไม่ก็ได้ แต่ต้องเปน็ สงั หำรมิ ทรพั ยม์ คี ำ่ (2) โบรำณวตั ถุตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1325 วรรคสองนนั้ จะตอ้ งเป็นทรพั ย์สนิ หำย แต่ สังหำริมทรพั ยม์ ีค่ำตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1328 นนั้ จะตอ้ งเปน็ ทรัพยท์ ี่ซอ่ นหรือฝงั ไว้เท่ำนั้น หำกเป็นทรัพย์ท่ีตกหล่นอยู่โดยไม่ได้ซ่อนหรือฝังไว้ ไม่เปน็ สังหำริมทรัพย์มี ค่ำตำมมำตรำ 1328 (3) โบรำณวัตถุตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1325 วรรคสองนั้น โดยพฤติกำรณ์อันมีผู้อ้ำงว่ำ เป็นเจ้ำของได้ แต่สังหำริมทรัพย์มีค่ำตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1328 นั้น โดย พฤติกำรณ์ตอ้ งไมม่ ีผ้ใู ดสำมำรถอ้ำงว่ำเปน็ เจ้ำของได้ (4) โบรำณวัตถุตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1325 วรรคสองนั้น กรรมสิทธ์ิจะตกเป็นของ แผ่นดนิ ต่อเม่ือต้องรอให้พ้น 1 ปี ตำมมำตรำ 1325 วรรคแรกเสียก่อน นน่ั คือ ผู้มี สิทธ์ิจะรับทรัพย์สินนั้น มิได้เรียกเอำภำยใน 1 ปี นับแต่วันที่เก็บได้ กรรมสิทธิ์ใน โบรำณวัตถุนั้นจึงจะตกเป็นของแผ่นดิน แต่สังหำริมทรัพย์มีค่ำตำม ป.พ.พ. มำตรำ สอบซอ่ มวนั อาทติ ยท์ ี่ 6 สิงหาคม 2549 เวลา 08.30-11.00 น.

22 1328 นน้ั กรรมสิทธ์ิตกเป็นของแผ่นดินในทันทที ่ีมีผู้เกบ็ ได้ ไม่ต้องรอใหพ้ น้ 1 ปี ดังเช่นในกรณตี ำมมำตรำ 1325 วรรคสอง (5) โบรำณวัตถุตำมมำตรำ 1325 วรรคสองนั้น ผู้เก็บได้มีสิทธ์ิจะได้รับรำงวัลร้อยละ 10 (หรือ 1 ใน 10) แห่งค่ำทรัพย์สินน้ัน แต่สังหำริมทรัพย์มีค่ำตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1328 นน้ั ผเู้ ก็บได้มีสิทธิทีจ่ ะไดร้ ับรำงวัล 1 ใน 3 แหง่ ค่ำทรัพย์สินน้ัน กำรไดม้ ำโดยกำรรับโอนโดยสจุ ริต ก. ตกลงขำยเงินตรำสมัยรัชกำรท่ี 5 ให้กับ ค. โดยนัดชำำ ระรำคำและส่งมอบในวันรุ่งข้ึน แต่ยัง ไมท่ ันได้ส่งมอบ ข. ซ่ึงเป็นบุตรของ ก. เข้ำใจวำ่ อย่ำงไรเสีย ก. กต็ ้องยกเงินตรำนั้นใหเ้ ป็นมรดกตกทอดแก่ ตน ข. จึงถือวิสำสะนำำ เงินตรำน้ันไปขำยให้ ง. โดย ง. รับซื้อไว้ด้วยควำมสุจริตและได้ชำำ ระรำคำพร้อมทั้ง รับมอบเงินตรำนั้นไว้เรียบร้อย เม่ือ ค. ทรำบเร่ืองจึงติดตำมทวงถำมเงินตรำน้ันคืนจำก ง. แต่ ง. ไม่ยินยอม โดยอ้ำงว่ำทรัพย์ท่ีตนซื้อไว้เป็นเงินตรำอีกท้ังตนได้ครอบครองไว้แล้วจึงได้รับกำรคุ้มครองตำมกฎหมำยดังนี้ ใหท้ ำ่ นวนิ จิ ฉัยว่ำ ข้ออ้ำงของ ง. รับฟังได้หรือไม่ เพรำะเหตุใด ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1303 วรรค 1 ถ้ำบุคคลหลำยคนเรียกเอำสังหำริมทรัพย์เดียวกัน โดย อำศยั หลักกรรมสทิ ธต์ิ ่ำงกันไซร้ ทำ่ นวำ่ ทรัพย์สินน้นั ตกอยู่ในครอบครองของบุคคลใด บคุ คลนนั้ มีสิทธิย่ิงกว่ำ บคุ คลอน่ื ๆ แต่ต้องไดท้ รพั ยน์ นั้ มำโดยมีค่ำตอบแทนและได้กำรครอบครองโดยสจุ ริต มำตรำ 1331 สิทธิของบุคคล ผู้ได้เงินตรำมำโดยสุจริตนั้น ท่ำนว่ำมิเสียไปถึงแม้ภำยหลังจะ พสิ ูจนไ์ ดว้ ำ่ เงนิ นน้ั มิใช่ของบุคคลซ่ึงได้โอนให้มำ ตำมปัญหำ ก. ตกลงขำยเงินตรำสมัยรัชกำรท่ี 5 ให้กับ ค. แม้จะยังไม่ได้ชำำ ระรำคำและส่งมอบ กรรมสิทธ์ิในเงินตรำน้ันก็โอนไปยัง ค. นับแต่ตกลงซื้อขำยแล้ว ในเร่ืองน้ีกรณีกำรชำำ ระรำคำและกำรส่งมอบ เปน็ เพียงวัตถแุ หง่ หนี้ ไมเ่ ก่ียวกับกำรโอนกรรมสิทธ์ิในทรัพยส์ ินแต่ประกำรใด สว่ นกำรที่ ข. ถือวิสำสะนำำ เงนิ ตรำนน้ั ไปขำยใหก้ ับ ง. แม้ ง. จะได้ครอบครองเงนิ ตรำน้ันไวโ้ ดยสจุ ริตและมคี ำ่ ตอบแทน แต่ ง . มไิ ด้ซื้อเงิน ตรำนั้นจำกบุคคลคนเดียวกับท่ีขำยให้ ค. หำกเป็นกำรซื้อจำก ข. ซึ่งเป็นบุคคลที่ไม่มีอำำนำจจะขำยให้ ฉะน้ัน ง. จะอ้ำงกำรครอบครอง โดยอำศัยหลักกรรมสิทธ์ิต่ำงกันตำมมำตรำ 1303 วรรค 1 ขน้ึ ต่อสู้กับ ค. หำ ไดไ้ ม่ อีกทั้งเงินตรำตำมปัญหำดงั กลำ่ ว เปน็ เงินตรำสมัยรัชกำรที่ 5 ซึ่งเป็นเงนิ ตรำทยี่ กเลิกไปแล้วมิใช่เงิน ตรำทีใ่ ช้ชำำ ระหนี้ได้ตำมกฎหมำย ฉะนน้ั ง. จึงไมไ่ ดร้ บั กำรค้มุ ครองตำมมำตรำ 1331 ดังกล่ำว ดงั น้ัน ขอ้ อ้ำงของ ง. จึงรบั ฟังไมไ่ ด้ตำมเหตผุ ลดงั กล่ำว ทวนซ้ือช้ำงเชือกหน่ึงจำกกำรขำยทอดตลำดในกำรบังคับคดีตำมคำำ พิพำกษำของศำล ทองเจ้ำ ของ ที่แท้จริงเหน็ ว่ำ เปน็ กำรขำยทอดตลำดท่มี ิชอบ จึงย่ืนคำำรอ้ งขอให้ศำลเพกิ ถอนกำรขำยทอดตลำดน้ัน และคดีอยู่ ระหว่ำงกำรพิจำรณำคดีของศำล ทวนได้จดทะเบียนโอนขำยช้ำงดังกล่ำวให้แก่แทน โดยแทนรับโอนไว้โดย สุจริต ต่อมำศำลพิพำกษำให้เพิกถอนกำรขำยทอดตลำดนั้น ทองจึงเรียกให้แทนส่งมอบช้ำงดังกล่ำวคืนแก่ตน แต่แทนต่อสู้ว่ำตนรับโอนมำจำกทวนผู้ซ้ือทรัพย์สินมำจำกกำรขำยทอดตลำด และตนเป็นผู้รับโอนโดยสุจริต สอบซ่อมวนั อาทิตย์ท่ี 6 สิงหาคม 2549 เวลา 08.30-11.00 น.

23 เสียค่ำตอบแทน และจดทะเบียนโดยสุจริตแล้ว ย่อมได้รับกำรคุ้มครองตำมกฎหมำย ดังน้ี ให้ทำ่ นวนิ ิจฉัยว่ำข้อ ต่อสูข้ องแทนรับฟงั ไดห้ รอื ไม่ เพรำะเหตุใด ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1330 สทิ ธขิ องบคุ คลผซู้ ้อื ทรพั ยส์ นิ โดยสจุ ริตในกำรขำยทอดตลำดตำมคำำ สั่งศำลหรือคำำส่ังเจ้ำพนักงำนรักษำทรัพย์ในคดีล้มละลำยน้ัน ท่ำนว่ำมิเสียไป ถึงแม้ภำยหลังจะพิสูจน์ได้ว่ำ ทรัพยน์ น้ั มิใช่ทรพั ย์ของจำำเลย หรอื ลูกหน้ีโดยคำำ พพิ ำกษำหรือผ้ลู ม้ ละลำย ตำมปัญหำ ทวนซื้อช้ำงเชือกหนึ่งจำกกำรขำยทอดตลำดในกำรบังคับคดีตำมคำำ พิพำกษำของศำล แต่ ต่อมำศำลได้พิพำกษำให้เพิกถอนกำรขำยทอดตลำดนั้น จึงถือว่ำไม่มีกำรขำยทอดตลำดช้ำงดังกล่ำว และไม่มี กำรจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมกำรโอนกรรมสิทธ์ิในช้ำงนั้นแก่ทวนแต่ประกำรใด ทวนจึงไม่ได้รับกำร คุ้มครองตำมมำตรำ 1330 เม่ือทวนผู้โอนไม่มีสิทธิในช้ำงนนั้ ด้วย ตำมหลักผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่ำผู้โอน แทนจึงตอ้ งส่งมอบช้ำงดงั กลำ่ วคืนแก่ทองเจ้ำของที่แท้จริง ฉะนน้ั ขอ้ ตอ่ ส้ขู องแทนจงึ รับฟังไมไ่ ด้ ตำมเหตุผลดังกล่ำว บริษัท ก. ได้รับอนุญำตจำกทำงรำชกำรให้ประกอบธุรกิจซ้ือขำยแลกเปลี่ยนรถยนต์ บริษัท ก. ได้ ซ้ือรถยนต์คนั หนึ่งจำกนำยแดงซึ่งนำำ มำขำย ณ ที่ทำำกำรของบริษัท แต่แท้ที่จริงแล้วรถยนต์คันดังกล่ำวเป็นของ บริษัท ข. ซ่ึงประกอบธุรกิจซ้ือขำยแลกเปลี่ยนรถยนต์เชน่ เดียวกัน แต่รถยนต์คนั ดังกล่ำวถูกคนร้ำยฉ้อโกงไป เม่ือ 3 ปี ก่อน บริษัท ข. ทรำบเรื่องจึงได้ทวงรถยนต์คันดังกล่ำวคืนจำกบริษัท ก. ดังน้ีให้วินิจฉัยว่ำ บริษัท ก. จะมีข้อต่อสู้อยำ่ งไร หรือไม่ ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1332 บุคคลผู้ซื้อทรัพย์สินมำโดยสุจริตในกำรขำยทอดตลำด หรือในทำง ท้องตลำด หรือจำกพ่อค้ำซึ่งขำยของชนิดนน้ั ไม่จำำ ต้องคืนแก่เจ้ำของท่ีแท้จริง เว้นแต่เจ้ำของจะชดใช้รำคำที่ซื้อ มำ ตำมปัญหำ บริษัท ก. ได้ซื้อรถยนต์คันหนึ่งจำกนำยแดงซึ่งนำำมำขำย ณ ท่ีทำำกำรของบริษัท ดังนี้ บรษิ ทั ก. จึงมใิ ชผ่ ซู้ ือ้ ทรัพยส์ นิ มำจำกกำรขำยทอดตลำด หรอื ในท้องตลำดและไม่ปรำกฏว่ำนำยแดงเป็นพอ่ ค้ำ ซึ่งขำยของชนดิ นนั้ แตป่ ระกำรใด บรษิ ัท ก. จงึ ไมม่ สี ทิ ธิที่จะยึดถือรถยนต์คนั ดงั กล่ำวไว้ ตำมมำตรำ 1332 ดังกล่ำว บริษัท ก. ต้องคืนรถยนต์คันดังกล่ำวให้แก่บริษัท ข. เจ้ำของที่แท้จริงโดยไม่ได้รับกำรคุ้มครองใน สว่ นของรำคำทซ่ี ้อื มำแตป่ ระกำรใด ฉะนน้ั บริษัท ก. จึงไมม่ ขี อ้ ต่อสแู้ ต่ประกำรใด ตำมนยั สำำ คัญแหง่ มำตรำ 1332 ดงั กล่ำว แบบประเมนิ ผลการเรียนหนว่ ยที่ 4 1. บุคคลใดสรำ้ งโรงเรือนในที่ดนิ ของบุคคลอ่ืนโดยสุจริต กฎหมำยบญั ญัติให้ผใู้ ดเป็นเจ้ำของ โรงเรือน คำาตอบ เจำ้ ของที่ดิน 2. บุคคลใดสร้ำงโรงเรือนในท่ีดินของผู้อ่ืนโดยสุจริตกฎหมำยบัญญัติให้เจ้ำของท่ีดินเป็น เจ้ำของโรงเรือนแต่จะต้องชดใช้ให้แก่เจ้ำของโรงเรือน โดยชดใช้ค่ำที่ดินเพียงท่ีเพ่ิมขึ้น เพรำะสรำ้ งโรงเรอื นนั้น สอบซ่อมวันอาทิตยท์ ี่ 6 สิงหาคม 2549 เวลา 08.30-11.00 น.

24 3. กรณใี ดกฎหมำยบญั ญัติใหจ้ ดทะเบียนสทิ ธิเปน็ ภำระจำำ ยอมได้ คาำ ตอบ สรำ้ งโรงเรือนรุกลำ้ำ เขำ้ ไปในทีด่ นิ ของผอู้ น่ื โดยสจุ ริต 4. กำรจดทะเบียนภำระจำำ ยอมในกรณีสร้ำงโรงเรือนรุกลำ้ำเข้ำไปในท่ีดินของผู้อื่นโดยสุจริต นั้น กฎหมำยบัญญัติให้เจ้ำของท่ีดินจะเรียกให้เพิกถอนได้ในกรณี โรงเรือนน้ันสลำยไป แลว้ 5. กรณีผู้เป็นเจ้ำของท่ีดินโดยมีเงื่อนไข สร้ำงโรงเรือนในที่ดินน้ัน และภำยหลังท่ีดินตกเป็น ของบุคคลอ่ืนตำมเง่ือนไข กฎหมำยให้นำำ บทบัญญัติในเร่ืองใดมำใช้บังคับ คำาตอบ ลำภมิ ควรได้ 6. กรณีผู้เป็นเจ้ำของท่ีดินโดยมีเง่ือนไข สร้ำงโรงเรือนในท่ีดินตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1313 นัน้ ข้อที่เปน็ เง่ือนไขดังกล่ำวคือ เจ้ำของท่ีดินจะต้องโอนที่ดินนั้นคนื แก่เจ้ำของ เดมิ หรือบุคคลอนื่ 7. กรณีสังหำริมทรัพย์มำรวมเข้ำกันจนเป็นส่วนควบโดยไม่มีทรัพย์ประธำน ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1316 วรรคแรกนน้ั ใครเป็นเจ้ำของทรัพย์ท่ีรวมเข้ำดว้ ยกัน คาำ ตอบ แต่ละคนมี สว่ นเป็นเจำ้ ของตำมคำ่ แหง่ ทรัพย์ของตน 8. บุคคลใดใช้สัมภำระของบุคคลอ่ืนทำำสิ่งใดขึ้นใหม่ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1317 วรรค แรกน้นั ใครเป็นเจ้ำของสมั ภำระ คำาตอบ เจำ้ ของสมั ภำระ 9. ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1318 บุคคลอำจได้มำซ่ึงกรรมสิทธ์ิแห่งสังหำริมทรัพย์ไม่มี เจำ้ ของโดยวธิ ใี ด คาำ ตอบ กำรแสดงเจตนำยดึ ถอื 10. สัตว์ป่ำที่คนจับได้นั้น ถ้ำมันกลับคืนอิสระและเจ้ำของไม่ติดตำมภำยในเวลำ โดยพลัน กฎหมำยบญั ญัติใหเ้ ป็นสตั ว์ป่ำไมม่ ีเจำ้ ของ 11. ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1323 (3) บุคคลเก็บได้ซึ่งทรัพย์สินหำย ต้องส่งมอบทรัพย์ นนั้ แกพ่ นักงำนเจ้ำหน้ีที่ ภำยในเวลำภำยใน 3 วนั 12. กรณบี ุคคลหลำยคนเรียกเอำสังหำรมิ ทรพั ยเ์ ดยี วกันโดยอำศยั หลักกรรมสทิ ธิต์ ่ำงกัน ในกำร วินจิ ฉัยว่ำใครจะมีสทิ ธิดีกวำ่ กันนั้น กฎหมำยยึดหลกั กำรครอบครองเป็นเกณฑ์ 13. สิทธิของบุคคลผู้ได้มำซ่ึงทรัพย์สินโดยมีค่ำตอบแทนและโดยสุจริตนั้นไม่เสียไป แม้ว่ำผู้ โอนใหจ้ ะได้ทรัพย์ สินนั้นมำโดยนติ ิกรรมทีม่ ลี ักษณะ โมฆยี ะ 14. กรณีอสังหำริมทรัพย์มำรวมเข้ำกันจนเป็นส่วนควบโดยมีทรัพย์ประธำนตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1316 วรรคสองน้ัน ใครเป็นเจ้ำของทรัพย์ที่รวมเข้ำด้วยกัน คาำ ตอบ เจ้ำของ ทรัพยป์ ระธำน 15. บุคคลใดใช้สัมภำระของบุคคลอ่ืนทำำสิ่งใดขึ้นใหม่กฎหมำยให้ผู้ทำำ เป็นเจ้ำของทรัพย์ท่ีทำำ ขน้ึ ในกรณี คำ่ แรงเกินกวำ่ ค่ำสัมภำระนน้ั มำก สอบซอ่ มวนั อาทติ ยท์ ี่ 6 สิงหาคม 2549 เวลา 08.30-11.00 น.

25 16. สังหำริมทรัพย์อำจมีสภำพเป็นทรัพย์ไม่มีเจ้ำของได้ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1319 หำก เจ้ำของได้กระทำำ กำร เลกิ กำรครอบครองโดยเจตนำสละกรรมสทิ ธ์ิ 17. ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1320 วรรค สำม สัตว์ปำ่ ซ่ึงเลี้ยงเช่ืองแล้ว จะกลำยเปน็ สัตว์ไม่มี เจำ้ ของหำก มนั ท้งิ ที่ไป 18. ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1323 (2) บุคคลเก็บได้ซึ่งทรัพย์สินหำยต้องแจ้งแก่ผู้มีสิทธิ จะรบั ทรพั ยส์ นิ น้ันภำยในเวลำ โดยมิชกั ช้ำ 19. กรณีบคุ คลหลำยคนเรยี กเอำสังหำริมทรัพยเ์ ดียวกันโดยอำศัยหลักกรรมสิทธ์ิต่ำงกันนั้น ไม่ ใชบ้ งั คบั กับกรณี ทรพั ย์สนิ หำย 20. ผู้ซ้ือทรัพย์สินจำกกำรขำยทอดตลำดในท้องตลำดหรือจำกพ่อค้ำซึ่งขำยของชนิดนั้นศำล ฎกี ำได้ตีควำม “ผูซ้ อื้ ” ใหห้ มำยควำมรวมถงึ “ผเู้ ชำ่ ซอ้ื ” ดว้ ย หนว่ ยที่ 5 การใชส้ ทิ ธแิ ละข้อจาำ กดั ในการใช้สทิ ธิ 1. บุคคลแม้จะมีสิทธิและสำมำรถใช้สิทธิตำมที่กฎหมำยรับรอง และคุ้มครองให้ซึ่งก่อให้เกิดหน้ำท่ีแก่ บุคคลคลอื่นที่จะต้องไม่ละเมิดหรือก้ำวล่วงในสิทธิของตนก็ตำม แต่ก็มีข้อจำำกัดในกำรใช้สิทธิตำม หลักทั่ว ไปคือต้องใช้สิทธิโดยสุจริต และไม่ทำำ ควำมเสียหำยแก่ผู้อื่น และยังมีข้อจำำ กัดในกำรใช้สิทธิ เฉพำะกรณตี ำมท่ีกฎหมำยหรือหรือข้อตกลงในนิตกิ รรมสัญญำจำำ กดั กำรใช้สทิ ธิ 2. ขอ้ จำำ กดั ในกำรใช้สิทธขิ องเจำ้ ของอสังหำริมทรัพย์ เป็นข้อจำำกัดในกำรใช้สิทธิของเจ้ำของสิทธิเฉพำะ กรณีซึ่งประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์บัญญัติจำำกัดกำรใช้สิทธิของเจ้ำของอสังหำริมทรัพย์ หรือ เจ้ำของที่ดินไว้เพ่ือประโยชน์ซ่ึงกันและกันของเจ้ำของท่ีดินที่มีเขตติดต่อกัน หรือเพื่อประโยชน์แก่ บคุ คลท่วั ไป หรือสำธำรณประโยชน์ การใชส้ ทิ ธิและข้อจาำ กดั ในการใชส้ ทิ ธิโดยท่ัวไป 1. สิทธิหมำยถึงอำำนำจหรือประโยชน์ที่บุคคลมีอยู่โดยกฎหมำยรับรอง และคุ้มครองให้ซึ่งเจ้ำของ สิทธิย่อมมีอำำนำจหรือมีควำมสำมำรถที่จะใช้สิทธิของตน หรือกระทำำกำรต่ำงๆ ได้ภำยในของ เขตที่กฎหมำยรับรองไว้ 2. เจ้ำของสิทธิหรอื ผทู้ รงสิทธิ แมจ้ ะมอี ำำนำจในกำรใชส้ ิทธิของตนโดยสุจริต มคี วำมรับผิดชอบต่อ บุคคลอื่น ไม่ทำำ ควำมเสียหำยให้แก่บุคคลอื่น แม้จะไม่มีกฎหมำยหรือข้อสัญญำกำำหนดห้ำมไว้ โดยเฉพำะก็ตำม ซ่ึงเปน็ ข้อจำำ กัดในกำรใช้สทิ ธิตำมหลักท่ัวไป นอกจำกน้ีเจ้ำของสิทธิหรือผู้ทรง สิทธิอำจถูกกฎหมำยหรือข้อตกลงในนิติกรรมสัญญำจำำกัดกำรใช้สิทธิของตนก็ได้ซึ่งเป็นข้อ จำำกัดในกำรใช้สิทธเิ ฉพำะกรณี สอบซอ่ มวันอาทติ ย์ท่ี 6 สิงหาคม 2549 เวลา 08.30-11.00 น.

26 สิทธแิ ละการใชส้ ิทธิ สทิ ธิตำมกฎหมำยหมำยควำมว่ำอยำ่ งไร สิทธิตำมกฎหมำย (Legal Rights) หมำยถึงอำำ นำจหรือประโยชน์อันบุคคลมีอยู่โดย กฎหมำยรับรองและคุ้มครองให้ซึ่งไม่หมำยรวมถึงสิทธิอื่นๆ ท่ีไม่มีค่ำบังคับทำงกฎหมำย เช่น สิทธิทำงศีล ธรรม สิทธิทำงธรรมชำติหรือสิทธิมนุษยธรรม แต่ถ้ำมีกฎหมำยบัญญัติรับรองสิทธิดังกล่ำวไว้สิทธิน้ันก็กลำย เปน็ สทิ ธิตำมกฎหมำย สิทธิตำมกฎหมำยอำจแยกเป็นสิทธิท่ีเกี่ยวกับสภำพบุคคลประกำรหน่ึง และสิทธิที่เก่ียวกับทรัพย์สิน อีกประกำรหนง่ึ ข้อจาำ กัดในการใช้สิทธิ หลักกฎหมำยท่ัวไปท่ีว่ำ “ผู้ที่ใช้สิทธิของตน ย่อมไม่ทำำควำมเสียหำยแก่บุคคลอ่ืน” หมำยควำมว่ำ อย่ำงไร และมีบัญญัติไว้ในกฎหมำยไทยหรอื ไมอ่ ยำ่ งไร “ผู้ท่ีใช้สิทธิของตน ย่อมไม่ทำำ ควำมเสียหำยแก่บุคคลอื่น” ซึ่งเป็นหลักกฎหมำยท่ัวไปตำมสุภำษิต โรมันนั้น หมำยควำมว่ำแม้เจ้ำของสิทธิจะมีอำำนำจในกำรใช้สิทธิตำมกฎหมำยของตนได้แก่กำรใช้สิทธิน้ันก็ อำจกระทบต่อสิทธิของเจ้ำของสิทธิคนอ่ืนได้เช่นกัน ดังนั้น เจ้ำของสิทธิหรือผู้ใช้สิทธิจึงต้องใช้สิทธิโดยมี ควำมรับผิดชอบท่ีจะไม่ก้ำวลว่ งสิทธิของบคุ คลอ่นื หรอื ทำำ ควำมเสยี หำยให้แกบ่ ุคคลอนื่ แม้จะไม่มีกฎหมำยหรอื ขอ้ ตกลงในนิติกรรมและสญั ญำกำำ หนดหำ้ มไวก้ ็ตำม ป.พ.พ. ไดน้ ำำ หลักกฎหมำยทั่วไปดงั กล่ำวมำบัญญัติไว้ในมำตรำ 5 และมำตรำ 421 ดังน้ี “มำตรำ 5 ในกรณใี ช้สทิ ธิแห่งตนก็ดี ในกำรชำำ ระหนกี้ ็ดี บุคคลทุกคนต้องกระทำำโดยสุจรติ ” “มำตรำ 421 กำรใช้สิทธิซ่ึงมีแต่จะให้เกิดเสียหำยแก่บุคคลอ่ืนน้ัน ท่ำนว่ำเป็นกำรอันมิชอบด้วย กฎหมำย” ขอ้ จาำ กกั ในการใชส้ ิทธขิ องเจ้าของอสังหาริมทรพั ย์ 1. ขอ้ จำำกัดแหง่ เจำ้ ของอสงั หำรมิ ทรพั ย์ซ่งึ กฎหมำยกำำหนดไว้นั้นไมต่ อ้ งจดทะเบยี น แต่ต้องกำร ถอนหรือแก้ไขหย่อนลงต้องทำำ นิติกรรมเป็นหนังสือ และจดทะเบียนกับพนักงำนเจ้ำหน้ำที่ สำำ หรับขอ้ จำำ กัดซึ่งกำำ หนดไวส้ ำำ หรับสำธำรณะประโยชน์ กฎหมำยนน้ั ห้ำมมิให้ถอนหรือแก้ ใหห้ ยอ่ นลงทั้งสน้ิ 2. ทำำ เลทีต่ ัง้ ของทดี่ นิ สูงหรือต่ำำตำมธรรมชำติ เปน็ ทมี่ ำของข้อจำำ กดั สิทธิทที่ ำำใหเ้ จ้ำของที่ดินตำ่ำ จำำ ต้องรบั น้ำำซึง่ ไหลตำมธรรมดำหรือไหลเพรำะกำรระบำยน้ำำนั้นจำกทด่ี ินสูงมำในท่ดี ินของ ตน และเจ้ำของท่ี ดินริมทำงนำ้ำ จะชักนำ้ำเอำไว้เกินควำมจำำ เปน็ แก่ตนจนเป็นเหตุเส่ือมเสียแก่ ทด่ี ินแปลงอืน่ ซึ่งอย่ตู ำมทำงนำ้ำนั้นมิได้ สอบซ่อมวนั อาทติ ย์ท่ี 6 สิงหาคม 2549 เวลา 08.30-11.00 น.

27 3. เจ้ำของที่ดินซ่ึงมีแนวเขตท่ีดินติดต่อกับท่ีดินแปลงอื่น อำจมีปัญหำเกี่ยวกับกำรใช้สิทธิใน ที่ดนิ ตำมหลักกรรมสิทธิ์และแดนกรรมสิทธ์ิ กฎหมำยจึงจำำ กัดสิทธิของเจ้ำของกรรมสิทธิ์ไว้ บ้ำงบำงประกำรโดยกำำ หนดไว้อย่ำงชัดเจน หรือกำำหนดไว้เป็นข้อสันนิษฐำนของกฎหมำย เพื่อประโยชน์ร่วมกันของเจ้ำของท่ีดินติด ต่อกันทั้งสองฝ่ำย และเพ่ือขจัดปัญหำข้อขัดแย้ง หรือข้อพิพำทเกีย่ วกบั กำรใชส้ ิทธใิ นทดี่ ินของเจำ้ ของทด่ี นิ ติดต่อกนั นั้น 4. ท่ดี นิ แปลงหนึ่งอำจถูกท่ีดนิ แปลงอื่นลอ้ มอยจู่ นไม่มที ำงออกถงึ ทำงสำธำรณะได้ กฎหมำยจึง ให้สิทธิแก่เจ้ำของที่ดินแปลงท่ีถูกล้อมผ่ำนท่ีดินซึ่งล้อมอยู่ไปสู่ทำงสำธำรณะได้ตำมควำม จำำ เป็นซึ่งเจ้ำของที่ดินแปลงที่ถูกล้อมต้องใช้ค่ำทดแทนให้แก่เจ้ำของท่ีดินแปลงท่ีเปิดทำง จำำ เป็นเพ่ือควำมเสียหำยอนั เกิดจำกเหตุนั้น ถ้ำไม่มีทำงออกเพรำะเกิดจำกควำมแบ่งแยกหรือ แบ่งโอนทดี่ นิ ซ่ึงเดิมมที ำงออกอยแู่ ล้วน้ัน แปลงทไ่ี ม่มีทำงออกเพรำะเหตุดงั กลำ่ วมีสทิ ธเิ รียก เอำทำงจำำ เป็นได้เฉพำะบนท่ีดินแปลงที่ได้แบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันเท่ำน้ัน และไม่ต้องเสีย คำ่ ทดแทนแต่จะเรียกเอำทำงเดนิ จำกที่ดินแปลงอ่นื ไม่ได้ 5. บุคคลท่ัวไปก็อำจเข้ำไปใช้ประโยชน์ในที่ดินของบุคคลอ่ืนได้ ถ้ำเจ้ำของไม่ได้ก้ันและมิได้ หวงห้ำมตำมที่กฎหมำยกำำหนดไว้ หรือในกรณีมีประเพณีแห่งท้องถิ่นให้ทำำ ได้และเจ้ำของ ไม่ห้ำมเฉพำะกำรเข้ำไปใช้ประโยชน์บำงประกำร ทั้งน้ีเพื่อให้ท่ีดินท่ีเจ้ำของมิได้ทำำ ประโยชนแ์ ละมไิ ดห้ ้ำมเกดิ ประโยชนแ์ กบ่ ุคคลอื่นบำ้ งตำมสมควร การจดทะเบียนถอนหรือเปลี่ยนแปลงขอ้ จำากัด เอกและโทเป็นเจ้ำของที่ดนิ ตดิ กันตกลงทำำ นิตกิ รรมเป็นหนงั สือ หำ้ มมิใหค้ ่สู ญั ญำขดุ บ่อ สระหลุมรบั นำ้ำ โสโครก ในระยะสองเมตรจำกแนวเขตที่ดินตำมบทบัญญัติแห่ง ป.พ.พ. มำตรำ 1342 วรรคหนึ่ง ต่อ มำเอกตอ้ งกำรเลีย้ งปลำแรดเพื่อขำยในช่วงเศรษฐกจิ ตกต่ำำ จึงขดุ บอ่ ขนำดใหญห่ ่ำงจำกแนวเขตท่ีดินติดกับทด่ี นิ ของโทเพียงหนึ่งเมตร โทจึงว่ำเอกทำำผิดสัญญำแต่เอกอ้ำงว่ำสัญญำนั้นเป็นโมฆะใช้บังคับกันไม่ได้ เพรำะกำร ทำำ นิติกรรมเชน่ นัน้ ตอ้ งทำำ เป็นหนังสือและจดทะเบียนกับพนักงำนเจ้ำหน้ำท่ี จึงจะมีผลสมบูรณ์ใช้บังคับกันได้ ใหว้ นิ ิจฉยั ว่ำข้ออ้ำงของเอกชอบด้วยกฎหมำยหรอื ไม่ เพรำะเหตใุ ด ป.พ.พ. มำตรำ 1338 วรรคหน่งึ บัญญตั วิ ำ่ “ขอ้ จำำ กดั สิทธิแหง่ เจำ้ ของอสงั หำรมิ ทรัพยซ์ ึง่ กฎหมำยกำำหนดไว้ ท่ำนว่ำไม่จำำต้องจดทะเบยี น” กรณีตำมปัญหำเป็นเรื่องกำรขุดบ่อสระ หลุมรับน้ำำโสโครก หรือหลุมรับปุ๋ย หรือขยะมูลฝอยซึ่ง มำตรำ 1342 วรรคหน่ึง กำำ หนดว่ำจะขุดในระยะสองเมตรจำกแนวเขตที่ดินไม่ได้ บทบัญญัติในมำตรำดัง กลำ่ วจงึ เป็นข้อจำำกัดสิทธแิ ห่งเจ้ำของอสังหำริมทรพั ยซ์ ึ่งกฎหมำยกำำ หนดไว้จงึ ไม่จำำต้องจดทะเบียนตำมมำตรำ 1338 วรรคหน่ึงแต่ถ้ำจะถอนหรือแก้ข้อจำำกัดตำมมำตรำ 1342 ให้หย่อนลงน้ัน จะต้องทำำ นิติกรรม เป็นหนังสือและจดทะเบียนกับพนกั งำนเจ้ำหน้ำที่ จะทำำนติ ิกรรมตกลงกันเองไม่ไดต้ ำมมำตรำ 1338 วรรค หนึ่ง ข้อตกลงของเอกและโทที่ได้ทำำ นิติกรรมเป็นหนังสือห้ำมมิใหค้ ู่สัญญำขุดบ่อสระ หลุมรับนำ้ำ โสโครกนับ เป็นข้อตกลงซึ่งเป็นข้อจำำ กัดสิทธิของเจ้ำของกรรมสิทธ์ิ ท่ี ป.พ.พ. กำำ หนดไว้อย่ำงชัดเจนแล้ว จึงไม่ต้องจด สอบซ่อมวนั อาทติ ยท์ ี่ 6 สิงหาคม 2549 เวลา 08.30-11.00 น.

28 ทะเบียนดังนั้นข้ออ้ำงของเอกท่ีอ้ำงว่ำ “สัญญำน้ันเป็นโมฆะใช้บังคับกันไม่ได้ เพรำะกำรทำำ นิติกรรมเช่นนั้น ต้องทำำ เป็นหนงั สือและจดทะเบียนกบั พนักงำนเจ้ำหน้ำทีจ่ ึงจะมีผลสมบูรณ์ใช้บังคับกันได”้ น้ันจึงเปน็ ข้ออำ้ งที่ ไม่ชอบด้วยกฎหมำยตำมมำตรำ 1338 และมำตรำ 1342 ดังกล่ำว ขอ้ จาำ กดั เก่ยี วกับการรับน้าำ ตามสภาพทางธรรมชาตขิ องท่ดี ิน เสรีเจ้ำของที่ดินสูงได้ระบำยนำ้ำ จำกบ่อเลี้ยงปลำช่อนของตนลงสู่ท่ีดินของสิทธิซึ่งอยู่ตำ่ำ กว่ำ สิทธิใน ฐำนะเพอ่ื นบ้ำนจงึ แจ้งให้เสรที รำบว่ำไม่มีสิทธิระบำยนำ้ำน้นั ลงมำทดี่ นิ ของตน แต่เสรีกบั อำ้ งวำ่ สิทธิเปน็ เจ้ำของ ท่ีดินตำ่ำจำำ ต้องรับนำ้ำ ท่ีไหลเพรำะกำรระบำยจำกที่ดินสูงมำในท่ีดินของตน และสิทธิก็ไม่ได้รับควำมเสียหำย เพรำะกำรระบำยน้ำำนั้นแต่อย่ำงใด สิทธิจึงไม่มีสิทธิห้ำมมิให้ตนระบำยน้ำำน้ันจำกที่ดินของตน ให้วินิจฉัยข้อ อ้ำงของเสรีชอบดว้ ยกฎหมำยหรือไม่ เพรำะเหตใุ ด ป.พ.พ. มำตรำ 1340 วรรคหนง่ึ บัญญัตวิ ่ำ “เจ้ำของที่ดินจำำ ต้องรับน้ำำซ่ึงไหลเพรำะระบำยจำกที่ดินสูงลงมำในท่ีดินของตนถ้ำก่อนท่ีจะระบำย นนั้ นำ้ำ ได้ไหลเข้ำมำในทีด่ นิ ของตนตำมธรรมดำอยู่แลว้ ” ตำมปัญหำเปน็ กรณีท่ีเสรีเจำ้ ของท่ีดินสูงได้ระบำยนำ้ำจำกบ่อเลี้ยงปลำช่อนของตนลงสู่ที่ดินของสิทธิ ซึ่งอยู่ตำ่ำ กว่ำ ไม่ใช่กำรระบำยน้ำำตำมธรรมชำติเช่นน้ำำ ฝนซ่ึงก่อนที่จะระบำยนำำ้ น้ำำได้ไหลเข้ำมำในที่ดินของ สิทธิซ่ึงอยู่ตำำ่ กว่ำตำมธรรมดำอยู่แล้วตำมหลักกฎหมำยในมำตรำ 1340 ซึ่งเป็นข้อจำำ กัดสิทธิของเจ้ำของ ท่ีดนิ ต่ำำที่จำำต้องยอมรับน้ำำน้ัน กำรระบำยนำ้ำเช่นน้ีจึงเป็นกำรกระทำำ โดยไม่มีสิทธิตำมกฎหมำย แม้สิทธิจะมิได้ รับควำมเสียหำยเพรำะกำรระบำยน้ำำ ก็ตำม แต่สิทธิย่อมมีสิทธิที่จะห้ำม หรือฟ้องร้องมิให้เสรีระบำยน้ำำจำกบ่อ เลี้ยงปลำช่อนลงสู่ท่ีดินของตนในฐำนะเจ้ำของกรรมสิทธิ์ในที่ดินตำมมำตรำ 1336 ข้ออ้ำงของเสรีจึงเป็น ข้ออ้ำงที่ไมช่ อบตำมกฎหมำย ขอ้ จาำ กดั เพ่ือประโยชน์แหง่ เจ้าของอสังหาริมทรัพย์หรือเจา้ ของท่ดี นิ ติดตอ่ กนั ยิ่งและยอดเปน็ เจ้ำของท่ีดินติดต่อกัน ได้ร่วมกันปลูกต้นตะโกโดยทำำ เปน็ รั้วต้นไม้ตำมแนวเขตที่ดิน เพื่อใช้เป็นแนวแบ่งเขตท่ีดินท้ังสองแปลงตำมแนวหลักเขตของกรมท่ีดิน ต่อมำย่ิงต้องกำรจะตัดร้ัวต้นไม้ดัง กล่ำวเพรำะต้นตะโกได้ขยำยแนวรุกลำ้ำ เข้ำไปในเขตที่ดินของตนโดยจะก่อกำำแพงเป็นแนวเขตแทนและขอให้ ยอดร่วมออกค่ำใช้จ่ำยในกำรตัดร้ัวต้นไม้และกำรก่อกำำแพงด้วย แต่ยอดไม่ยอมให้ตัดโดยอ้ำงว่ำต้นตะโกนั้น นอกจำกจะใชเ้ ป็นร้วั และยังใชเ้ ปน็ หลกั เขตอีกดว้ ย ใหว้ นิ จิ ฉัยวำ่ ย่ิงมีสิทธิตดั ตน้ ตะโกโดยให้ยอดรว่ มออกค่ำใช้ จำ่ ยและกอ่ กำำแพงหรือไม่ เพรำะเหตุใด ป.พ.พ. วำงหลักไวว้ ่ำ “เมื่อรั้วต้นไม้ หรือคูซ่ึงมิได้ใช้เป็นรำงระบำยนำ้ำเป็นของเจ้ำของท่ีดินท้ังสองข้ำงรวมกัน ท่ำนว่ำ เจ้ำของข้ำงใดข้ำงหน่ึงมีสิทธิที่จะตัดร้ัวต้นไมห้ รือถนนคูน้นั ได้ถึงแนวเขตที่ดินของตน แต่ต้องก่อกำำแพง หรือ ทำำรั้วตำมแนวเขตนนั้ ” มำตรำ 1345 สอบซ่อมวนั อาทิตย์ที่ 6 สิงหาคม 2549 เวลา 08.30-11.00 น.

29 “เจำ้ ของแต่ละฝำ่ ยจะต้องกำรให้ขุดหรือตัดต้นไม้ก็ได้ ค่ำใช้จำ่ ยในกำรนั้นต้องเสียเท่ำกันท้ังสองฝ่ำย แตถ่ ้ำเจ้ำของอกี ฝำ่ ยหน่งึ สละสทิ ธิในตน้ ไม้นนั้ ไซร้ฝ่ำยท่ตี อ้ งกำรขดุ หรอื ตัดตอ้ งเสยี ค่ำใช้จ่ำยฝ่ำยเดียว ถำ้ ต้นไม้ นัน้ เป็นหลักเขตและจะหำหลักเขตอื่นไม่เหมำะเหมือน ท่ำนว่ำฝ่ำยหนึ่งฝ่ำยใดจะต้องกำรให้ขุดหรือตัดไม่ได้” มำตรำ 1346 วรรคสอง กรณีตำมปัญหำเมื่อต้นตะโกซึ่งอยู่บนแนวเขตท่ีดินเป็นของย่ิงและยอดเจ้ำของท่ีดินท้ังสองข้ำงร่วม กันโดยเจตนำปลูกเพื่อใช้เป็นร้ัวต้นไม้แบ่งเขตที่ดินตำมแนวหลักเขตของกรมที่ดิน ยิ่งซึ่งเป็นเจ้ำของร่วมฝ่ำย หน่ึงจะขุดหรือตัดต้นตะโกซึ่งใช้เป็นร้ัวต้นไม้น้ันได้ถึงแนวเขตที่ดินของตน แต่ต้องก่อกำำแพงหรือทำำ ร้ัวตำม แนวเขตที่ดินน้ันตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1345 ยอดจะไม่ยอมให้ตัดไม่ได้เพรำะเป็นข้อจำำกัดกรรมสิทธ์ิอีก ทงั้ รั้วตน้ ตะโกไม่ใช่หลักเขตตำมมำตรำ 1346 วรรคสอง แม้จะมีเจตนำปลูกเพ่ือใหเ้ ปน็ เครอื่ งหมำยแบ่งเขต ที่ดินก็ตำมเพรำะมีหลักเขตของกรมที่ดินอยู่แล้ว สำำหรับค่ำใช้จ่ำยในกำรตัดต้นตะโกนั้น หำกยอดต้องกำรต้น ตะโกซงึ่ ตนเปน็ เจ้ำของรว่ มด้วยนนั้ ยอดกต็ องเสยี คำ่ ใชจ้ ่ำยในกำรตัดร่วมเทำ่ กันทัง้ สองฝ่ำย แตถ่ ำ้ ยอดสละสิทธิ ในต้นตะโก ย่ิงซึ่งเป็นฝ่ำยต้องกำรตัดก็ต้องเสียค่ำใช้จ่ำยฝ่ำยเดียว มำตรำ 1346 วรรคสอง และต้องเสียค่ำ ใชจ้ ำ่ ยในกำรกอ่ กำำ แพงตำมแนวเขตนั้นแต่เพียงผูเ้ ดียวตำมมำตรำ 1345 ดว้ ยเช่นกัน ฟ้ำได้ขออนุญำตเดือนเจ้ำของที่ดินติดต่อกันเพ่ือเข้ำไปวำงบันไดติดต้ังกันสำดและรำงนำ้ำฝนของตน ซึ่งอยู่ใกล้แนวเขตที่ดิน และขอวำงท่อระบำยนำ้ำผ่ำนท่ีดนิ ของเดือนไปสู่ทำงระบำยนำ้ำ สำธำรณะด้วยเพรำะไม่มี ทำงอ่ืนท่ีจะระบำยออกสู่ทำงระบำยสำธำรณะได้ โดยฟ้ำยินดีจ่ำยค่ำทดแทนตำมที่เดือนจะเสนอมำ แต่เดือนไม่ ยอมให้ฟ้ำเขำ้ ไปในที่ดินของตนเพื่อติดตั้งกันสำดและรำงนำำ้ ฝน และบอกฟ้ำว่ำหำกเสนอค่ำทดแทนในกำรวำง ท่อระบำยน้ำำให้ตำมสมควรแก่ควำมเสียหำยของตนแล้วจะอนุญำตให้ทำำ ได้ตำมท่ีต้องกำรทั้งหมด ดังน้ีให้ วนิ จิ ฉัยว่ำฟำ้ มสี ิทธิกระทำำกำรดงั กลำ่ วหรอื ไม่ ป.พ.พ. วำงหลักไว้ว่ำ “มำตรำ 1351 เจ้ำของที่ดิน เมื่อบอกล่วงหน้ำตำมสมควรแล้วอำจใชท้ ่ีดนิ ติดต่อเพียงทจ่ี ำำ เป็นใน กำรปลกู สรำ้ งหรือซอ่ มแซมรั้วกำำ แพง หรือโรงเรือน ตรงหรือใกล้แนวเขตของตนแต่จะเข้ำไปในโรงเรือนที่อยู่ ของเพ่ือนบ้ำนข้ำงเคียงไมไ่ ด้ เวน้ แตไ่ ด้รับคำำยินยอม” มำตรำ 1351 วรรคหนงึ่ “ท่ำนว่ำเจ้ำของที่ดินได้รับค่ำทดแทนตำมสมควรแล้วต้องยอมให้ผู้อื่นวำงท่อนำ้ำ ท่อระบำยน้ำำ สำย ไฟฟ้ำหรือสิ่งอื่นซ่ึงคล้ำยกันผ่ำนท่ีดินของตน เพื่อประโยชน์แก่ที่ดินติดต่อ ซึ่งถ้ำไม่ยอมให้ผ่ำนก็ไม่มีทำงจะ วำงท่อได้ หรือถ้ำจะวำงได้ก็เปลืองเงินมำกเกินควร แต่เจ้ำของท่ีดินอำจยกเอำประโยชน์ของตนขึ้นพิจำรณำ ด้วย” มำตรำ 1352 วรรคหนึง่ กรณีตำมปัญหำ เม่ือฟ้ำได้ขออนุญำตเดือนแล้ว ฟ้ำย่อมมีสิทธิเข้ำไปใช้ท่ีดินของเดือนเพื่อวำงบันใด ติดต้ังกนั สำดและรำงน้ำำ ฝน แมเ้ ดือนจะไมอ่ นญุ ำตกไ็ ม่มีควำมผดิ ทง้ั ทำงแพ่งและทำงอำญำเป็นกำรเขำ้ ไปเพยี งที่ จำำเป็นในกำรติดต้ังกันสำดและรำงน้ำำ ฝนตำมมำตรำ 1351 วรรคหนึ่ง ซ่ึงเป็นบทจำำกัดสิทธิของเจ้ำของ กรรมสิทธิ์ ส่วนกำรวำงท่อระบำยน้ำำน้ันแม้จะเป็นข้อจำำ กัดสิทธิของเจ้ำของที่ดินตำมมำตรำ 1352 เช่น สอบซ่อมวันอาทติ ย์ท่ี 6 สิงหาคม 2549 เวลา 08.30-11.00 น.

30 เดียวกันก็ตำม แต่ฟ้ำต้องเป็นฝ่ำยเสนอค่ำทดแทนให้เดือน และจะวำงท่อระบำยนำ้ำได้เมื่อเดือนได้รับค่ำ ตอบแทนตำมสมควรแลว้ ตำมมำตรำ 1352 วรรคหนึ่งเท่ำน้ัน ขอ้ จำากดั เกย่ี วกบั ทางจาำ เป็นกบั การใชท้ ่ดี ินเพอื่ ประโยชนแ์ ก่บุคคลทวั่ ไป สุดใจมีท่ีดินสองแปลง แปลงแรกติดทำงสำธำรณะ แปลงท่ีสองอยู่หลังท่ีดินแปลงแรกไม่ติดทำง สำธำรณะ สุดใจให้สุดทำงเช่ำที่ดินแปลงทส่ี องโดยให้สดุ ทำงใช้ที่ดินแปลงแรกผำ่ นๆไปสู่ทำงสำธำรณะได้ ต่อ มำสุดใจได้ให้ชอบจติ เช่ำทด่ี นิ แปลงแรกเพือ่ สรำ้ งหอ้ งแถว ชอบจติ ไดส้ ร้ำงหอ้ งแถวบนท่ีดนิ แปลงแรกเตม็ พื้นที่ จนทำำ ให้สุดทำงไม่สำมำรถผ่ำนท่ีดินแปลงแรกออกสู่ทำงสำธำรณะได้ ให้วินิจว่ำสุดทำงจะฟ้องขอให้เปิดทำง จำำ เป็นไดห้ รือไม่ เพรำะเหตุใด ป.พ.พ. มำตรำ 1349 วรรคหนึ่งบัญญัติว่ำ “ที่ดินแปลงใดท่ีมีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มี ทำงออกถึงทำงสำธำรณะไดไ้ ซร้ ทำ่ นว่ำเจ้ำของท่ีดนิ แปลงนนั้ จะผำ่ นทด่ี นิ ซึง่ ลอ้ มอยู่ไปส่ทู ำงสำธำรณะได”้ กรณีตำมปัญหำผู้ที่จะได้สิทธิใช้ทำงจำำ เป็นผำ่ นทดี่ ินแปลงอ่ืนซ่ึงล้อมที่ดินของตนจนไม่มีทำงออกถึง ทำงสำธำรณะได้ตำมมำตรำ 1349 นั้น ต้องเป็นเจ้ำของท่ีดินซึ่งถูกล้อมอยู่ตำมแนวคำำ พิพำกษำฎีกำที่ 2196/2514 หำกเปน็ เพียงเจ้ำของโรงเรอื นหรือผเู้ ชำ่ ทด่ี ิน แม้จะถกู ทดี่ ินอืน่ ล้อมอยกู่ ไ็ ม่มีสทิ ธิฟ้องรอ้ ง หรือเรียกร้องทำงจำำ เป็น ดังนั้นสุดทางผู้เป็นผู้เช่ำจึงฟ้องขอให้เปิดทำงจำำ เป็นไม่ได้ อีกท้ังกำรเรียกร้องให้เปิด ทำงจำำเป็นนั้นต้องเป็นท่ีดินต่ำงแปลงต่ำงเจ้ำของกัน (คำำ พิพำกษำฎีกำท่ี 517/2509) แต่กรณีนี้แม้จะ เป็นที่ดินต่ำงแปลงกัน แต่ต่ำงก็เป็นท่ีดินของเจ้ำของเดียวกันจะเรียกร้องเอำจำกบุคคลอ่ืนซึ่งไม่ใช่เจ้ำของ กรรมสิทธิ์ในที่ดนิ ก็ไมไ่ ด้ เพรำะบทบัญญตั ิในมำตรำ 1349 เปน็ ขอ้ จำำกัดสิทธิของเจ้ำของกรรมสทิ ธนิ์ น่ั เอง แบบประเมนิ ผลการเรยี นหนว่ ยที่ 5 1. บคุ คลสิทธิ เป็นสิทธิที่เก่ยี วกับทรัพย์สนิ 2. กำรใช้สิทธิซ่ึงมีแต่จะให้เกิดเสียหำยแก่บุคคลอื่นน้ัน ประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ บญั ญตั วิ ่ำเป็นกำรกระทำำ ที่ ไมช่ อบดว้ ยกฎหมำย 3. กำรนำำ งำนอันมีลิขสิทธ์ิของผู้อื่นไปจัดพิมพ์เผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญำตเป็นกำรกระทำำ ท่ี ไม่มีสทิ ธิกระทำำ 4. ข้อจำำกดั สิทธิแหง่ เจ้ำของอสงั หำริมทรพั ยซ์ ึ่งกฎหมำยกำำหนดไว้นัน้ จะถอนหรอื แกใ้ หห้ ยอ่ น ลง ได้โดยทำำ เป็นหนังสือและจดทะเบียนกับพนักงำนเจำ้ หนำ้ ท่ี 5. เอกและโทเปน็ เจ้ำของที่ดินตดิ ตอ่ กัน เอกไดถ้ มทด่ี ินของตนใหส้ ูงขนึ้ เพ่ือไมใ่ หน้ ำำ้ ท่วมที่ดิน ของตนเมอื่ ฝนตกนำำ้ จึงไหลจำกทด่ี ินของเอกลงส่ทู ีด่ นิ ของโท โทจึงทำำคนั ดนิ ก้ันไว้ไม่ให้นำ้ำ ไหลทว่ มที่ดินของตนเอกอ้ำงว่ำโทไม่มีสิทธิทำำเช่นน้ัน เพรำะโทเป็นเจ้ำของที่ดินตำำ่ จึงต้อง รับนำ้ำ ซึ่งไหลจำกท่ีดินสูงตำมกฎหมำยกรณีน้ีโทต้องเปิดทำงระบำยนำำ้ ให้เอกตำมข้ออ้ำงดัง สอบซอ่ มวนั อาทติ ย์ท่ี 6 สิงหาคม 2549 เวลา 08.30-11.00 น.

31 กล่ำวหรือไม่ เพรำะเหตุใด คำาตอบ ไม่ต้องเปิด เพรำะท่ีดินของเอกไม่ใช่ที่ดินสูงตำม ธรรมชำติ 6. ถ้ำเอกต้องกำรขุดร่องเพื่อวำงท่อระบำยน้ำำ ลึกหน่ึงเมตร เอกต้องขุดห่ำงจำกแนวเขตที่ดิน อย่ำงน้อย ห้ำสบิ เซนตริเมตร 7. หนึ่งและสองเจ้ำของท่ีดินติดต่อกันได้ร่วมกันขุดคูเป็นแนวเขตที่ดิน ถ้ำหนึ่งต้องกำรถมคู เพรำะเกรงว่ำจะเปน็ อนั ตรำยแก่บุตรของตน หน่ึงมีสิทธทิ ำำได้หรือไม่ คาำ ตอบ ได้แต่ต้องถม ถงึ แนวเขตของตนเทำ่ นั้น และตอ้ งทำำ ร้ัวตำมแนวเขตทดี่ ิน 8. เจ้ำของท่ีดินจะตัดรำกไม้ กิ่งไม้ ซ่ึงรุกล้ำำ เข้ำมำจำกที่ดินติดต่อกันและเอำไว้เสียเลยได้หรือ ไม่ คำาตอบ ไดโ้ ดยไมต่ ้องบอกกลำ่ วเฉพำะรำกไม้ แตก่ ่งิ ไม้ต้องบอกกลำ่ ว ถำ้ ไม่ตดั จึงตดั เอำ เสยี ได้ 9. เทพได้แบ่งแยกที่ดินแปลงหน่ึงของตน ซ่ึงอยู่ติดกับทำงสำธำรณะออกเป็น 10 แปลง ท่ี ให้ที่ดินแปลงที่แบ่งแยกแปลงหนึ่งท่ี หนู เป็นผู้ซ้ือไม่มีทำงออกสู่ทำงสำธำรณะได้ เพรำะ ถูกที่ดินแปลงอื่นอีก 9 แปลงท่ีเกิดจำกกำรแบ่งที่ดินปิดล้อม หนูจะขอให้เจ้ำของที่ดิน แปลงที่แบ่งแยกแปลงใดแปลงหน่ึงเปิดทำงจำำ เป็นให้ได้หรือไม่ อย่ำงไร และต้องเสียค่ำ ทดแทนหรือไม่ คาำ ตอบ ได้โดยไม่ต้องเสียค่ำทดแทนใดๆ 10. แคบเป็นเจำ้ ของทด่ี ินแปลงใหญ่แปลงหน่ึงโดยไม่ได้กั้นรัว้ และไม่ได้ทำำประโยชน์แต่อย่ำง ใด ฉวยจะพำฝูงววั ของตนเข้ำไปเล้ียงกินหญ้ำกินน้ำำในที่ดินของแคบได้หรือไม่ คาำ ตอบ ได้ เพรำะเปน็ ข้อจำำกดั ในกำรใชส้ ทิ ธิ แต่แคบย่อมหำ้ มได้เสมอ 11. บคุ คลสทิ ธิ ไม่ใช่สิทธเิ ก่ยี วกับสภำพบุคคล 12. ประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์มำตรำ 5 บัญญัติหลักทั่วไปในกำรใช้สิทธิ และในกำร ชำำระหนไี้ วใ้ ห้กระทำำโดยสุจรติ 13. กำรผลิตไข่เค็มที่จังหวัดเชียงใหม่โดยใช้ชื่อว่ำ “ไข่เค็มไชยำ” ในขณะท่ียังไม่มีกฎหมำย ทรพั ยส์ ินทำงปัญญำเกี่ยวกับสิ่งบ่งชี้ทำงภูมิศำสตร์ เป็นกำรกระทำำที่ มสี ิทธิกระทำำ โดยชอบ ด้วยกฎหมำย 14. ขอ้ จำำ กัดสิทธิแห่งเจ้ำของอสังหำริมทรพั ยซ์ ่ึงกำำหนดไว้เพื่อสำธำรณะประโยชน์นั้น จะถอน หรือแก้ไขใหห้ ยอ่ นลงได้หรือไม่ คำาตอบ ไมไ่ ด้ เวน้ แต่จะออกเป็นกฎหมำย 15. เสรีเจ้ำของทดี่ ินต่ำำ ไดท้ ำำคันดินปดิ ก้ันมิใหน้ ้ำำซึ่งไหลตำมธรรมดำจำกท่ีดินของอำำนำจซึ่งอยู่ สูงกว่ำลงสู่ที่ดินของตน จนทำำ ให้น้ำำท่วมที่ดินของอำำ นำจ กรณีน้ีเสรีมีสิทธิกระทำำ ดังกล่ำว ได้หรือไม่ คำาตอบ ไมม่ ีสิทธิ เพรำะเป็นท่ีดนิ สูงตำ่ำตำมธรรมชำติ 16. ย้ิมตอ้ งกำรขดุ หลมุ ส้วมลึก 2.20 เมตร ยิ้มตอ้ งขุดหำ่ งจำกแนวเขตที่ กวำ่ 2 เมตร สอบซอ่ มวันอาทติ ยท์ ี่ 6 สิงหาคม 2549 เวลา 08.30-11.00 น.

32 17. กบและเขียดเป็นเจ้ำของรั้วต้นไม้ทั้งสองข้ำงร่วมกัน กบจะตัดรั้วต้นไม้นั้นโดยเขียดไม่ อนุญำตได้หรือไม่ คำำตอบ ตัดได้แต่ต้องตัดถึงแนวเขตที่ดินของตนเท่ำนั้นละก่อสร้ำง กำำแพงหรอื ทำำ รัว้ ตำมแนวเขตน้ัน 18. ฟ้ำและดนิ เปน็ เจ้ำของทด่ี ินติดกัน ต่ำงก็ปลูกมะม่วงในที่ดินของตน แต่ก่ิงต้นมะม่วงของฟ้ำ รุกลำำ้ เข้ำไปในท่ีดนิ ของดินเกือบทุกต้น ทำำให้ผลมะม่วงหล่นลงในท่ีดินของดินจำำ นวนมำก ผลมะม่วงท่ีหล่นนั้นเป็นของใคร คำาตอบ เป็นของดิน เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่ำหล่นจำกต้น ของตน 19. น้อยสร้ำงบ้ำนพักอำศัยบนท่ีดินตำบอด ซึ่งไม่มีทำงออกสู่ทำงสำธำรณะซึ่งเป็นที่ดินที่น้อย เช่ำจำกนิด น้อยจะขอผ่ำนที่ดินแปลงท่ีล้อมอยู่ไปสู่ทำงสำธำรณะได้หรือไม่ คาำ ตอบ ไม่ได้ เพรำะน้อยไม่ใช่เจ้ำของทีด่ นิ 20. ยอดจะเข้ำไปในท่ีดนิ ของย่ิงซึ่งเปน็ ทป่ี ่ำเพ่อื เก็บผลไม้ป่ำ และเห็ดทขี่ ึ้นโดยธรรมชำติได้หรอื ไม่ คาำ ตอบ ได้ ถำ้ มจี ำรีตประเพณีแห่งท้องถิน่ ให้ทำำได้ และ ยงิ่ ไมห่ ำ้ ม หนว่ ยที่ 6 สทิ ธคิ รอบครอง 1. ลทิ ธิครอบครองเปน็ ทรัพย์สทิ ธิชนดิ หนึ่ง ซึง่ ได้มำตำมข้อเทจ็ จรงิ (de facto) ต่ำงกบั สิทธอิ ่นื ๆ ซึ่งต้องได้มำตำมกฎหมำย (de jure) สิทธิครอบครองจึงอำจได้มำโดยกำรยึดถือด้วยเจตนำ ยึดถือเพื่อตน โดยไม่ต้องคำำนึงว่ำจะได้มำโดยชอบด้วยกฎหมำยหรือไม่ และอำจส้ินสุดลงเมื่อขำดจำก กำรยดึ ถือด้วยเจตนำยึดถือเพอ่ื ตน 2. ผู้ทรงสิทธิครอบครองมีอำำนำจเหนือทรัพย์สินน้ันใกล้เคียงเจ้ำของกรรมสิทธ์ิ สำมำรถใช้ต่อสู้หรือยก ขน้ึ ยันแก่บคุ คลทัว่ ไปได้โดยไม่จำำกัด เวน้ แตเ่ จ้ำของกรรมสิทธิ์เทำ่ นนั้ และกำรครอบครองโดยปรปกั ษ์ อำจเป็นเหตุใหไ้ ดม้ ำซ่งึ กรรมสทิ ธิ์ในทรัพย์สินนั้นได้ 6.1 ลกั ษณะ การไดม้ าและการสน้ิ สดุ ซ่ึงสทิ ธิครอบครอง 1. สิทธิครอบครองเป็นทรัพย์สิทธิชนิดหน่ึงที่ได้มำตำมข้อเท็จจริง อำจมีได้ทั้งสังหำริมทรัพย์ และอสัง หำริมทรัพย์ เป็นสิทธิที่มีอยู่ได้ตรำบเท่ำท่ีครอบครองและอำจอยู่ได้โดยลำำ พังหรือ แทรกอยู่ในสทิ ธอิ ื่นๆ ก็ได้ และผู้ทรงสิทธิอำจเป็นเจ้ำของหรือมิได้เป็นเจ้ำของทรัพย์สินก็ได้ เหตุที่กฎหมำยรับรองสิทธิครอบครอง ก็เพื่อกำรรักษำควำมสงบเรียบร้อยของบ้ำนเมือง เป็น ประโยชน์ในกำรใช้บังคับกฎหมำย และกำรใช้ประโยชน์ในทำงเศรษฐกิจ นอกจำกน้ีสิทธิ ครอบครองยงั เกี่ยวขอ้ งกับหลักเกณฑ์ทำงกฎหมำย ทั้งในทำงแพ่งและใน ทำงอำญำ สอบซ่อมวันอาทิตย์ที่ 6 สิงหาคม 2549 เวลา 08.30-11.00 น.

33 2. สทิ ธิครอบครองอำจไดม้ ำโดยกำรยดึ ถอื ดว้ ยตนเอง ผอู้ นื่ ยึดถือไวใ้ ห้หรือได้มำโดยกำรเปลย่ี น ลักษณะแห่งกำรยึดถือก็ได้ และสิทธิครอบครองอำจสิ้นสุดไปโดยกำรถูกแย่งกำรครอบครอง กำรสละเจตนำครอบครอง หรือกำรโอนกำรครอบครองกไ็ ด้ 6.1.1 ลักษณะของสิทธคิ รอบครอง สทิ ธิครอบครองมลี ักษณะสำำ คัญอยำ่ งไร สิทธิครอบครองมีลักษณะสำำ คัญ 7 ประกำรดังตอ่ ไปน้ี 1) สิทธิครอบครองเป็นทรัพยส์ นิ ชนิดหนึ่ง 2) สิทธิครอบครองเปน็ สิทธทิ ีไ่ ด้มำตำมข้อเทจ็ จรงิ 3) สทิ ธิครอบครองอำจมีได้ท้ังในสังหำริมทรัพย์และอสังหำริมทรัพย์ 4) สทิ ธคิ รอบครองมีอยไู่ ดต้ รำบเทำ่ ที่ครอบครอง 5) สิทธิครอบครองเป็นสิทธิทอี่ ำจอย่ไู ดโ้ ดยลำำ พัง 6) สิทธิครอบครองอำจแทรกอยใู่ นกรรมสทิ ธ์ิ บคุ คลสทิ ธิ และทรพั ย์สนิ อนื่ ๆ ได้ 7) สทิ ธิครอบครองมีได้ทง้ั กรณีผูท้ รงสทิ ธเิ ปน็ เจำ้ ของ และมไิ ดเ้ ป็นเจำ้ ของทรพั ย์สิน ยกตังอยำ่ ง ขอ้ สันนษิ ฐำนของกฎหมำยที่เป็นประโยชน์แกผ่ ู้ครอบครอง มำ 5 กรณี (1) บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินไว้ให้สันนิษฐำนไว้ก่อนว่ำ บุคคลน้ันยึดถือเพ่ือตน (ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1366) (2) ผู้ครอบครองนั้นให้สันนิษฐำนไว้ก่อนว่ำ ครอบครองโดยสุจริต โดยควำมสงบ และ โดยเปดิ เผย (ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1370) (3) ถ้ำพิสูจน์ได้ว่ำ บุคคลใดครองทรัพย์สินเดียวกันสองครำวให้สันนิษฐำนไว้ก่อนว่ำ บคุ คลน้ันไดค้ รอบครองตดิ ตอ่ กนั ตลอดเวลำ (ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1371) (4) สิทธิท่ีผู้ครอบครองใช้ในทรัพย์สินท่ีครอบครองน้ัน ให้สันนิษฐำนไว้ก่อนว่ำเป็น สทิ ธทิ ีผ่ คู้ รอบครองมีตำมกฎหมำย (ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1371) (5) ดอกผลของต้นไม้ที่หล่นตำมธรรมดำลงในที่ดินแปลงใด ให้สันนิษฐำนไว้ก่อนว่ำ เปน็ ดอกผลของท่ีดนิ แปลงนน้ั (ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1348) เขำ้ ไปในอสงั หำรมิ ทรัพยข์ องตนเอง อำจเป็นควำมผิดฐำนบกุ รกุ ตำม ปอ.มำตรำ 362 ไดห้ รอื ไม่ กำรเข้ำไปในอสังหำริมทรัพย์ของตนเองก็อำจเปน็ ควำมผิดฐำนบุกรุกตำม ปอ.มำตรำ 362 ได้ดัง กรณตี ่อไปนี้ 1) ในกรณีท่ีเจ้ำของอสังหำริมทรัพย์ได้ส่งมอบกำรครอบครองให้ผู้อื่นเช่ำหรืออำศัย แลว้ เขำ้ ไปรบกวนกำรครอบครองของเขำ กเ็ ป็นกำรผิดบุกรกุ ได้ 2) กรณีอสังหำริมทรัพย์นั้นถูกผู้อื่นครอบครองปรปักษ์จนได้กรรมสิทธ์ิแล้ว ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1382 แม้ท่ีดินจะมีชื่อปรำกฏเป็นเจ้ำของตำมเอกสำรแสดง กรรมสิทธิ์ แต่กำรบรุ ุกเขำ้ ไปในอสังหำริมทรพั ยน์ ั้นก็เป็นกำรผดิ บุกรกุ ได้ สอบซ่อมวันอาทติ ยท์ ี่ 6 สิงหาคม 2549 เวลา 08.30-11.00 น.

34 6.1.2 การไดม้ าและการสน้ิ สดุ ซง่ึ สิทธคิ รอบครอง แดงจำ้ งดำำ เข้ำไปครอบครองท่ีดินที่ดินมือเปลำ่ แปลงหนึง่ ที่มีผทู้ อดทิ้งให้เปน็ ทรี่ กรำ้ งว่ำงเปล่ำมำนำน แล้ว เพื่อที่แดงจะได้เข้ำไปทำำ กินในภำยหลัง อีกปีเศษต่อมำแดงจะเข้ำไปทำำกินในท่ีดินแปลงดังกล่ำวแต่ดำำ ไม่ ยินยอมโดยอ้ำงว่ำ ตนเป็นผู้มิสิทธิครอบครองเพรำะสิทธิครอบครองนั้นต้องยึดถือตำมควำมเป็นจริง เม่ือแดง มิได้เป็นผู้ครอบครองท่ีแท้จริงจึงหำมีสิทธิครอบครองไม่ และตนยินดีจะคืนเงินค่ำจ้ำงทั้งหมดให้ ดังนี้ให้ วินจิ ฉยั วำ่ ขอ้ อำ้ งของดำำ รับฟงั ไดห้ รอื ไม่ เพรำะเหตุใด ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1368 บคุ คลอำจไดม้ ำซึง่ สิทธิครอบครองโดยผู้อื่นยดึ ถือไวใ้ ห้ ตำมปัญหำ แดงจ้ำงดำำ เข้ำไปครอบครองท่ีดินมือเปล่ำแปลงหนึ่งที่มีผู้อ่ืนทอดทิ้งไว้เป็นท่ีรกร้ำงว่ำง เปล่ำมำเป็นเวลำนำนแล้วเพื่อท่ีแดงจะได้เข้ำไปทำำกินในภำยหลังน้ัน เห็นได้ว่ำดำำ เข้ำยึดถือโดยอำศัยสิทธิของ แดงและเปน็ กำรยดึ ถือแทนแดง ดำำไมไ่ ดใ้ ชส้ ิทธิครอบครอง แดงจึงเป็นผู้ได้มำซึง่ สิทธิครอบครองโดยดำำยึดถือ ไว้ ตำมมำตรำ 1368 ดังกล่ำว โดยไมจ่ ำำ เป็นต้องครอบครองดว้ ยตนเองแตป่ ระกำรใด ฉะนนั้ ขอ้ อำ้ งของดำำจงึ รบั ฟังไม่ได้ ชำตยิ อมออกจำกที่ดินมือเปล่ำของตนเพรำะหลงเช่ือคำำบอกกล่ำวของของพนักงำนว่ำ ท่ีดินน้ันเป็นท่ี สำธำรณะ ภำยหลัง 10 ปีเศษต่อมำ มีกำรรังวัดสอบเขตที่ดินใหม่ ปรำกฎว่ำท่ีดินดังกล่ำวอยู่นอกเขตพื้นท่ี สำธำรณะ ดงั นีใ้ ห้วนิ จิ ฉัยว่ำ ชำติจะเรียกรอ้ งที่ดนิ ดงั กล่ำวคืนไดห้ รือไม่ เพรำะเหตุใด ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1377 ถ้ำผู้ครอบครองสละเจตนำครอบครอง หรือไม่ยึดถือทรพั ย์สินตอ่ ไป ไซร้ กำรครอบครองย่อมสิน้ สุดลง ถำ้ เหตุอนั มสี ภำพเป็นเหตชุ ัว่ ครำวมมี ำขดั ขวำงมิให้ผ้คู รอบครองถือทรัพย์สนิ ไว้ไซร้ ทำ่ นว่ำกำรครอบ ครองไม่สิน้ สุด ตำมปัญหำกำรท่ีชำติยอมออกจำกท่ีดินมือเปล่ำของตนเพรำะหลงเช่ือคำำบอกกล่ำวของเจ้ำพนักงำน ท่ีดินนั้นเป็นท่ีสำธำรณะ ภำยหลัง 10 ปีเศษต่อมำ มีกำรรังวัดสอบเขตที่ดินใหม่ ปรำกฏว่ำที่ดินดังกล่ำวอยู่ นอกเขตที่สำธำรณะน้ัน เห็นไดว้ ่ำชำติยินดีออกจำกท่ีดินดังกล่ำวเป็นเวลำถึง 10 ปี เศษแล้ว ถือไม่ได้ว่ำจะมี เหตุอันมีสภำพเป็นกำรชั่วครำวมำขัดขวำง มิให้ชำติยึดถอื ทรัพย์สิน ตำม ป .พ.พ. มำตรำ 1377 วรรคสอง จึงถือได้ว่ำชำติสละเจตนำครอบครองหรือไม่ยึดถือท่ีดินน้ันต่อไป กำรครอบครองของชำติจึงส้ินสุดลงตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1377 วรรคหน่ึง คำำพิพำกษำฎกี ำท่ี 2954/2523 ดังน้นั ชำตจิ ะเรียกร้องที่ดินดงั กลำ่ วคืนไมไ่ ด้ 6.2 ผลของลิทธคิ รอบครองและการครอบครองปรปกั ษ์ 1. ผู้ทรงสิทธิครอบครองย่อมได้รับประโยชน์จำกข้อสันนิษฐำนของกฎหมำย และมีสิทธิในกำร ปลดเปลอ้ื งกำรรบกวนและกำรเอำคืนซ่ึงกำรครอบครอง มขี อ้ ต่อสกู้ บั ผมู้ ีสิทธิเอำทรพั ยค์ ืน ตลอดจน มอี ำำ นำจในกำรโอนสทิ ธิครอบครองน้ัน สอบซอ่ มวนั อาทิตย์ท่ี 6 สิงหาคม 2549 เวลา 08.30-11.00 น.

35 2. บคุ คลผคู้ รอบครองทรพั ย์สนิ ของผู้อน่ื ไวโ้ ดยสงบ และโดยเปดิ เผยด้วยเจตนำเป็นเจ้ำของ ถำ้ ได้ครอบ ครองติดต่อกันตำมหลักเกณฑ์ท่ีกฎหมำยกำำหนด ผู้ครอบครองย่อมได้กรรมสิทธ์ิในทรัพย์สินนั้น โดยกำรครอบครองปรปักษ์ 6.2.1 ผลของสิทธคิ รอบครอง ผู้ครอบครองทรัพย์สินสองครำวตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1371 นั้น จะได้รับประโยชน์จำกข้อ สันนษิ ฐำนของกฎหมำย ก็ต่อเมือ่ ต้องปรำกฏขอ้ เท็จจรงิ ประกำรใดเสียกอ่ น ผู้ครอบครองทรัพย์สินสองครำว ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1371 น้ัน จะได้รับประโยชน์จำกข้อ สนั นษิ ฐำนของกฎหมำย ต่อเม่ือตอ้ งปรำกฏข้อเทจ็ จรงิ 2 ประกำรดงั นี้ (1) ต้องครอบครองทรัพย์สนิ เดียวกันเท่ำนัน้ หำกมิใช่ทรัพย์สนิ เดียวกัน จะอำ้ งประโยชน์ จำกข้อสันนษิ ฐำน ตำมมำตรำ 1371 ไมไ่ ด้ (2) ต้องครอบครองทรัพย์สินน้ันสองครำว คือครำวแรกกับครำวหลัง จะทำำ ให้ได้รับ ประโยชน์ใน ช่วงกลำง คือกฎหมำยให้สันนิษฐำนว่ำได้ครอบครองติดต่อกันตลอด เวลำ หำกพสิ ูจน์ได้เพียงว่ำครอบครอง ครำวแรกหรือครำวหลังเพียงครำวเดียวเท่ำนั้น กไ็ ม่ไดร้ ับประโยชน์จำกข้อสันนิษฐำน ตำมมำตรำ 1371 ดงั กลำ่ ว สิทธิฟ้องคดีเพื่อปลดเปลื้องกำรรบกวนกำรครอบครองตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1374 วรรคสอง แตกต่ำงกับสิทธิท่ีจะปฏิบัติกำรเพื่อยังควำมเสียหำยหรือเดือดร้อนให้สิ้นไป ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1337 ในประเด็นสำำคัญอย่ำงไร สิทธิฟ้องคดีเพ่ือปลดเปล้ืองกำรรบกวนกำรครอบครองตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1374 วรรคสอง ต่ำงกับสิทธิท่ีจะปฏิบัติกำรเพื่อยังควำมเสียหำยหรือเดือดร้อนให้สิ้นไป ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1337 ใน ประเด็นสำำคัญคือมำตรำ 1337 นั้นมุ่งคุ้มครองเจ้ำของอสังหำริมทรัพย์หำกเป็นเพียงผู้ครอบครองท่ีมิใช่ เจ้ำของจะใช้สิทธิตำมมำตรำ 1337 โดยลำำพังไม่ได้ แต่มำตรำ 1374 น้นั มุ่งคุ้มครองผู้ครอบครองซ่ึง จะเป็นเจ้ำของหรือไม่ก็ได้ และสิทธิตำมมำตรำ 1337 น้ัน อำจใช้สิทธิได้โดยไม่ต้องฟ้องร้องในศำล แต่ สทิ ธิที่จะใหป้ ลดเปลือ้ งกำรรบกวนกำรครอบครองตำมมำตรำ 1374 จะต้องฟ้องคดใี นศำลเทำ่ น้ัน นิลกับหยกต่ำงก็มีท่ีดินอยู่ติดต่อกัน แต่แนวเขตที่ดินไม่ชัดเจน ท้ังสองต่ำงก็กันไม่ให้อีกฝ่ำยหน่ึงเข้ำ เกี่ยวข้องในท่ีดินพิพำท ซึ่งเป็นป่ำกระถินอยู่บริเวณแนวเขตท่ีดินท่ีติดต่อกันนั้น ต่อมำหยกได้ย้ำยไปอยู่ต่ำง จังหวัดนิลไดโ้ อกำสจึงเขำ้ ไปตัดฟันป่ำกระถินออกและปลุกโรงเรือนอยู่อำศัย ในเขตที่ดินพิพำทดัง กล่ำว โดย หยกไม่ทรำบเรื่อง อีกปีเศษต่อมำหยกจะขำยท่ีดินนั้นจึงทรำบเร่ือง และให้เจ้ำพนักงำนรังวัดสอบเขตปรำกฏ ว่ำที่ดินทีเ่ คยพิพำทกันนั้นอยู่ในเขตท่ีดินของหยก และโรงเรอื นของนิลท่ีปลูกบนที่ดินพิพำทน้ันรุกล้ำำ เข้ำไปใน เขตท่ีดินของหยกท้ังหลัง หยกจึงยื่นคำำ ขำดให้นิลรื้อถอนโรงเรือนดังกล่ำวออกไปและส่งมอบท่ีดินคืน ให้ วนิ จิ ฉยั ว่ำ นลิ จะมีขอ้ ตอ่ สอู้ ยำ่ งไร หรอื ไม่ สอบซอ่ มวนั อาทิตยท์ ่ี 6 สิงหาคม 2549 เวลา 08.30-11.00 น.

36 ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1375 “ถ้ำผู้ครอบครองถูกแย่งกำรครอบครองโดยมิชอบด้วยกฎหมำย ไซร้ ทำ่ นว่ำผคู้ รอบครองมีสิทธจิ ะไดค้ ืนซง่ึ กำรครอบครอง เวน้ แต่อีกฝ่ำยหน่ึงมสี ทิ ธิเหนอื ทรพั ย์สนิ ดีกว่ำซ่ึงจะ เปน็ เหตใุ ห้เรียกคืนจำกผู้ครอบครองได้ กำรฟ้องคดีเพื่อเอำคืนซ่ึงกำรครอบครองนั้น ท่ำนว่ำต้องฟ้องภำยในหน่ึงปีนับแต่เวลำถูกแย่งกำร ครอบครอง” ตำมปัญหำ นิลกับหยกต่ำงก็มีท่ีดินมือเปล่ำอยู่ติดต่อกันและพิพำทกันในที่ดินแนวเขตส่วนที่เป็นป่ำ กระถนิ เม่ือนิลเข้ำไปตดั ฟันปำ่ กระถินออกและปลูกโรงเรือนอยู่อำศยั ในเขตทด่ี ินดงั กลำ่ ว ยอ่ มถือได้ว่ำเป็นกำร แย่งกำรครอบครอง ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1375 วรรคสอง เมื่อหยกทรำบเร่ืองภำยหลังถูกแย่งกำรครอบ ครองเปน็ เวลำเกินหนึ่งปี หยกจงึ ไม่อำจฟอ้ งเรยี กคืนซ่ึงที่ดนิ พพิ ำทดังกลำ่ วได้ ฉะนน้ั นลิ จงึ มขี อ้ ตอ่ สตู้ ำม ป.พ.พ. มำตรำ 1375 ดังกลำ่ ว 6.2.2 การครอบครองปรปกั ษ์ ขนุนปลอมหนังสือมอบอำำนำจของบิดำไปจดทะเบียนขำยเรือนแพให้แก่ทุเรียน โดยทุเรียนไม่ทรำบ เขำ้ ใจว่ำเป็นกำรโอนโดยชอบ อีก 6 ปีต่อมำ บิดำของขนุนทรำบเร่ืองจึงเรียกให้ทุเรียนส่งมอบเรือนแพนั้นคืน แก่ตน มฉิ ะนน้ั จะฟอ้ งรอ้ งดำำเนนิ คดี ดังนีใ้ ห้วินิจฉยั ว่ำทเุ รยี นจะมีข้อต่อสอู้ ยำ่ งไร หรือไม่ ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1382 บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินผู้อื่นไว้โดยควำมสงบ และโดยเปิด เผยดว้ ยเจตนำเป็นเจ้ำของ ถ้ำเป็นอสังหำริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลำสิบปี ถ้ำเป็นสังหำริมทรัพย์ ไดค้ รอบครองตดิ ต่อกันเป็นเวลำห้ำปไี ซร้ ทำ่ นว่ำบคุ คลนัน้ ได้กรรมสิทธ์ิ ตำมปญั หำทุเรียนซ้ือเรอื นแพมำจำกขนุน และได้จดทะเบียนโอนกนั เรียบร้อย โดยทุเรยี นไม่ทรำบว่ำ ขนุนปลอมหนงั สอื มอบอำำนำจของบดิ ำ เขำ้ ใจเ่ ป็นกำรโอนโดยชอบ จึงเห็นได้ว่ำทุเรยี นกระทำำโดยสจุ ริตและได้ ครอบครองเรือนแพน้ันดว้ ยเจตนำเป็นเจ้ำของ และไม่ปรำกฏว่ำทุเรียนครอบครองโดยไม่สงบหรือโดยไม่เปิด เผยแตป่ ระกำรใด แมเ้ รอื นแพนั้นจะมใิ ช่ของขนุนผูข้ ำย แตเ่ มือ่ ทเุ รยี นได้ครอบครองแทนผูอ้ ่ืน แต่ได้ครอบครอง โดยควำมสงบ และโดยเปิดเผยด้วยเจตนำเป็นเจ้ำของสำำหรับเรือนแพซ่ึงเป็นสังหำริมทรัพย์ติดต่อกันเป็นระยะ เวลำเกินห้ำปี ทุเรียนจึงไดก้ รรมสทิ ธิ์ ตำมมำตรำ 1382 ดังกล่ำว ฉะนน้ั ทุเรียนจงึ มีข้อต่อสู้โดยอ้ำงกำรครอบครองปรปกั ษไ์ ดต้ ำมมำตรำ 1382 ดังกลำ่ ว ธนเข้ำไปทำำ กินในท่ีดินมีโฉนดแปลงหน่ึงของเทพ โดยสำำคัญผิดว่ำเป็นท่ีดินของตนเอง แท้จริงแล้ว ท่ีดินของธนเป็นอีกแปลงหน่ึงซึ่งอยู่ใกล้เคียงกัน 10 ปีเศษต่อมำ เทพทรำบเร่ืองจึงเรียกให้ธนออกจำกที่ดิน แปลงดังกล่ำว โดยอ้ำงวำ่ กำรครอบครองโดยสำำคัญผิดว่ำเป็นของตนเองน้นั เป็นกำรครอบครองโดยไม่รู้วำ่ เป็น ของบุคคลอื่น แม้จะครอบครองเป็นเวลำนำนเท่ำใดก็ไม่ได้กรรมสิทธ์ิ ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่ำ ข้ออ้ำงของเทพรับ ฟงั ไดห้ รอื ไม่ เพรำะเหตใุ ด ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1382 บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยควำมสงบและโดย เปิดเผยด้วยเจตนำเป็นเจ้ำของ ถ้ำเป็นอสังหำริมทรัพย์ได้ครอบครองเป็นเวลำติดต่อกันเป็นสิบปี ถ้ำเป็น สังหำรมิ ทรัพย์ได้ครอบครองตดิ ตอ่ กนั เปน็ เวลำห้ำปีไซร้ ทำ่ นว่ำบุคคลนน้ั ไดก้ รรมสทิ ธิ์ สอบซอ่ มวนั อาทิตย์ท่ี 6 สิงหาคม 2549 เวลา 08.30-11.00 น.

37 ตำมปญั หำธนเขำ้ ไปครอบครองทด่ี ินมโี ฉนดแปลงหนงึ่ ของเทพ โดยสำำ คญั ผดิ วำ่ เปน็ ท่ดี ินของตนเอง มำเป็นเวลำ 10 ปีเศษแล้ว จึงเห็นได้ว่ำธนเข้ำไปครอบครองท่ีดินของผู้อื่นโดยสงบและโดยเปิดเผย ด้วย เจตนำเปน็ จ้ำของเม่ือครอบครองตดิ ต่อกันเปน็ เวลำสิบปี ธนย่อมได้กรรมสิทธ์ิโดยกำรครอบครองปรปักษ์ ตำม มำตรำ 1382 ดังกล่ำว กำรครอบครองปรปักษ์ตำมบทบัญญัติในมำตรำ 1382 นั้น ต้องเป็นกำรครอบ ครองทรัพย์สินของบุคคลอน่ื แม้สำำ คัญผิดว่ำเป็นของตนเอง ก็ถือว่ำเป็นของบุคคลอ่ืนอยู่นั่นเอง หำจำำเป็นต้อง ครอบครองโดยรวู้ ่ำเป็นของบคุ คลอื่นไม่ ฉะนนั้ ขอ้ อ้ำงของเทพจึงรบั ฟังไม่ได้ ธนมขี ้อตอ่ ส้โู ดยกำรครอบครองปรปักษด์ ังกลำ่ ว แบบประเมนิ ผลการเรียนหน่วยที่ 6 1. สิทธิทไ่ี มใ่ ชล่ ักษณะของสิทธคิ รอบครองได้แก่ สทิ ธิที่ไดม้ ำตำมกฎหมำย และ บคุ คลสทิ ธิ 2. สิทธิครอบครองที่เกย่ี วขอ้ งกบั ควำมสมบรู ณข์ องนิตกิ รรมได้แก่ กำรใหส้ งั หำริมทรัพย์ 3. กำรเปลี่ยนลักษณะแห่งกำรยึดถือ ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1381 น้ันกำำหนดให้ทำำ ได้โดยวิธี บอก กล่ำว 4. กำรฟ้องคดีเพื่อเอำคืนซ่ึงกำรครอบครองนั้น ต้องฟ้องภำยในระยะเวลำ 1 ปี นับแต่ถูกแย่งกำรครอบ ครอง 5. ในเรอ่ื งกำรสละเจตนำครอบครองตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1377 นนั้ ไม่มีแบบของกำรแสดงเจตนำ 6. ป.พ.พ. มำตรำ 1370 ให้สันนิษฐำนไว้ก่อนว่ำ ผู้ครอบครองได้ครอบครอง โดยสุจริต และ โดย สงบและเปิดเผย 7. ถ้ำผู้ครอบครองถูกรบกวนกำรครอบครองทรัพย์สินโดยมิชอบ ผู้ครอบครองมีสิทธิจะให้ปลดเปลื้อง กำรรบกวนนั้นได้ และถ้ำเป็นที่น่ำวิตกว่ำจะยังมีกำรรบกวนอีก ผู้ครอบครองมีสิทธิ ขอต่อศำลให้ส่ัง หำ้ ม 8. ถำ้ ผรู้ บั โอนยึดถอื ทรัพย์น้นั อย่แู ล้ว กำรโอนไปซึ่งกำรครอบครองจะตอ้ งกระทำำ เพยี งแสดงเจตนำ 9. กำรครอบครองปรปักษ์จะกระทำำไดก้ บั ทรัพย์สนิ ประเภท ทรพั ย์สนิ ทม่ี กี รรมสทิ ธ์ิเท่ำนน้ั 10. กำรครอบครองปรปักษ์แพท่ีอยู่อำศัยของผู้อื่นโดยสำำ คัญผิดว่ำเป็นของตนเอง ต้องครอบครองมำเป็น เวลำ นำน 5 ปี จงึ จะได้กรรมสทิ ธิ์ 11. สทิ ธคิ รอบครองทเี่ ก่ียวขอ้ งกบั หลกั ฐำนแห่งสัญญำ ได้แก่ สญั ญำจะซอ้ื จะขำยอสังหำรมิ ทรพั ย์ 12. กำรบอกกล่ำวเปล่ียนเป็นลักษณะแห่งกำรยึดถือตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1381 นั้น ต้องกระทำำโดย วิธี บอกกลำ่ วด้วยวำจำหรอื โดยปริยำยกไ้ ด้ 13. กรณีที่มีนิติสัมพันธ์ต่อกันมำก่อน กำรบอกกล่ำวเปลี่ยนเจตนำแห่งกำรยึดถือ เป็นกำรแย่งกำรครอบ ครองตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1375 แล้ว 14. กำรละทิ้งทรัพย์สินเพรำะเหตุ ฝนตกหนักจนน้ำำ ท่วมเข้ำไปครอบครองไม่ได้ ยังไม่ถือว่ำเป็นกำรสละ เจตนำครอบครอง สอบซอ่ มวันอาทติ ยท์ ่ี 6 สิงหาคม 2549 เวลา 08.30-11.00 น.

38 15. กรณีครอบครองทรพั ย์สนิ เดยี วกันสองครำว กฎหมำยให้สนั นษิ ฐำนไว้ก่อนว่ำบุคคลนั้นไดค้ รอบครอง ติดต่อกนั ตลอดเวลำนน้ั ครำวแรกกบั ครำวหลังจะหำ่ งกนั เท่ำใดยังไม่มีกำำ หนดระยะเวลำในกรณีน้ี 16. พฤติกรรมท่ีถือว่ำเป็นกำรรบกวนกำรครอบครองตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1374 ได้แก่ (1) เข้ำทำำ ร้ัวในที่ครอบครองของผู้อ่ืน (2) เข้ำไปกรีดยำงในท่ีครอบครองของผู้อ่ืน (3) จอดแพอยู่ใน ลำำ คลองบังหน้ำทด่ี ินของผ้อู นื่ (4) เอำพืชผลเข้ำไปปลูกในทีค่ รอบครองของผู้อน่ื 17. ถ้ำจะส่งมอบทรัพย์สินคืนแก่บุคคลผู้มีสิทธิเอำคืนนั้น ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1376 ให้นำำ บทบญั ญัติในเรอ่ื ง ลำภมิควรได้ มำใช้บังคับโดยอนุโลม 18. ท่ีดินมี น.ส. 3 จะครอบครองปรปักษ์ได้หรือไม่ เพรำะเหตุใด คำาตอบ ไม่ได้ เพรำะเจ้ำของมีเพียง สิทธคิ รอบครอง 19. กรณีถูกแย่งครอบครองสังหำริมทรัพย์ และยื่นฟ้องต่อศำลภำยใน 1 ปี แต่กว่ำจะได้กลับคืนมำจริงก็ เวลำเลยไป 2 ปี เศษ แล้ว เช่นนี้จะถอื วำ่ กำรครอบครองสะดดุ หยดุ ลงหรือไม่ เพรำะเหตุใด คำาตอบ ไม่ สะดดุ หยดุ ลง เพรำะได้ยนื่ ฟอ้ งภำยใน 1 ปี หนว่ ยที่ 7 ภาระจาำ ยอม 1. ภำระจำำยอมเป็นทรัพยสิทธิชนิดที่จำำ กัดตัดตอนกรรมสิทธ์ิอย่ำงหน่ึง ซ่ึงเป็นเหตุให้เจ้ำของ อสังหำ รมิ ทรพั ยต์ อ้ งรบั กรรมหรืองดเว้นกำรใช้สทิ ธบิ ำงอยำ่ ง เพือ่ ประโยชน์แก่อสังหำรมิ ทรัพย์ อ่ืน ภำระจำำ ยอมน้ันอำจได้มำโดยผลของกฎหมำย โดยนิติกรรม และโดยอำยุควำม นอกจำกนี้ ภำระจำำ ยอมยังมลี กั ษณะสำำ คญั แตกตำ่ งจำกสทิ ธิอื่นๆ 2. เจ้ำของสำมยทรัพย์ ไม่มีสิทธิทำำให้เกิดภำระเพิ่มข้ึนแก่ภำรยะทรัพย์ แต่มีสิทธิทำำกำรอันจำำเป็น เพ่อื รักษำและใช้สอยภำระจำำ ยอม ในขณะที่เจ้ำของภำรยทรพั ย์กจ็ ะตอ้ งไม่กระทำำกำรใด อันเป็น เหตุใหป้ ระโยชน์ แห่งภำระจำำ ยอมลดไปหรือเส่ือมควำมสะดวก แต่อำจเรียกให้ย้ำยภำระจำำยอม ไปยังส่วนอ่ืนของทรพั ย์ได้ 3. ภำระจำำ ยอมอำจระงับส้ินไป โดยผลของกฎหมำย โดยนติ กิ รรม และโดยอำยคุ วำม 7.1 ความหมาย การได้มา และลักษณะของภาระจำายอม 1. ภำระจำำ ยอมเป็นทรัพย์สิทธิชนิดทจ่ี ำำ กัดตัดทอนกรรมสิทธิ์อย่ำงหน่ึง อนั เป็นเหตุให้เจ้ำของอสังหำ ริม ทรัพย์หนึ่งซ่ึงเรียกว่ำ ภำรยทรัพย์ต้องรับกรรมบำงอย่ำงซึ่งกระทบถึงสิทธิของตน หรือต้องงดเว้นกำร ใช้สิทธิบำงอย่ำงอันมีอยู่ในกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินนั้น เพื่อประโยชน์แก่อสังหำริมทรัพย์อื่นซ่ึงเรียกว่ำ สำมยทรัพย์ 2. ภำระจำำยอมอำจได้มำโดย 3 ทำง ได้แก่ (1) โดยผลของกฎหมำยกล่ำวคือ เป็นกำรได้มำตำม บทบัญญัติแห่งกฎหมำย (2) โดยนิติกรรมกล่ำวคือ เป็นกำรได้มำตำมเจตนำของคู่กรณี และ (3) สอบซ่อมวนั อาทิตยท์ ี่ 6 สิงหาคม 2549 เวลา 08.30-11.00 น.

39 โดยอำยุควำมกล่ำวคือ เป็นกำรได้มำจำกกำรใช้สิทธิโดยสงบเปิดเผย และเจตนำได้ภำระจำำยอมติดต่อ กนั เปน็ เวลำ 10 ปี 3. ภำระจำำยอมมีลักษณะสำำ คัญ 5 ประกำร ได้แก่ (1) ภำระจำำยอมย่อมตกติดไปกับสำมยทรัพย์ (2) ภำระจำำยอมย่อมตกติดไปกับภำรยทรัพย์ (3) ภำระจำำ ยอมยอ่ มมีอยู่แก่ทุกส่วนของภำรยทรัพย์ที่แยก ออกไป (4) ภำระจำำยอมย่อมมีอยู่เพื่อประโยชนแ์ ก่ทุกส่วนของสำมยทรพั ย์ท่ีแยกออกไป และ (5) ภำระจำำยอมซึ่งเจ้ำของรวมแห่งสำมยทรัพย์คนหน่ึงได้มำหรือใช้อยู่นั้นมีผลต่อเจ้ำของรวมทุกคนโดย ควำมหมำย กำรได้มำ และลักษณะสำำ คัญของภำระจำำ ยอมดังกล่ำว ภำระจำำ ยอมจึงมีลักษณะท่ีแตกต่ำง กับทำงจำำเปน็ และทรัพย์สทิ ธิอ์ ืน่ ๆ ในหลำยประกำร 7.1.1 ความหมายของภาระจาำ ยอม หลักเกณฑ์อนั เป็นสำระสำำคัญของภำระจำำยอมมอี ะไรบำ้ ง อธบิ ำยโดยสงั เขป หลกั เกณฑ์อันเป็นสำระสำำคัญของภำระจำำยอมนั้นมี 3 ประกำรดงั ตอ่ ไปนี้ (1) ทรัพย์สินท่ีเก่ียวเนื่องกับภำระจำำยอมต้องเป็นอสังหำริมทรัพย์และต้อง ประกอบดว้ ยอสงั หำรมิ ทรัพย์สองอสังหำริมทรัพย์ต่ำงเจำ้ ของกนั (2) เจ้ำของอสังหำริมทรัพย์อันเป็นภำรยทรัพย์ ต้องรับกรรมบำงอย่ำงซ่ึง กระทบถึงทรัพย์สินของตน หรือต้องงดเว้นกำรใช้สิทธิบำงอันมีอยู่ใน กรรมสิทธท์ิ รัพย์สนิ นั้น (3) กรรมหรือข้องดเว้นกำรใช้สิทธิดังกล่ำวจะต้องเป็นประโยชน์โดยตรงแก่ อสงั หำริมทรัพยอ์ ่นื อันเปน็ สำมยทรัพย์น้นั เจ้ำของโคยินยอมให้นำำ โคไปไถนำให้แก่เจ้ำของนำได้ในทุกฤดูกำลทำำนำ ดังนี้เป็นภำระจำำยอมได้ หรือไม่ เพรำะเหตุใด เป็นภำระจำำยอมไม่ได้ เพรำะภำระจำำยอมต้องเป็นกรณีอสังหำริมทรัพย์สองอสังหำริมทรัพย์ แต่โด เป็นสังหำริมทรัพย์มิใช่อสังหำริมทรัพย์ กรณีนี้จึงไม่ใช่เป็นเร่ืองของเจ้ำของอสังหำริมทรัพย์ต้องรับกรรม เพื่อ ประโยชน์แก่อสังหำรมิ ทรัพย์อืน่ ฉะนนั้ จึงไมใ่ ชภ่ ำระจำำยอม เจำ้ ของที่ดินแปลงหนึ่งยินยอมให้เจ้ำของที่ดินข้ำงเคียงรวมท้ังบริวำรเข้ำไปจับปลำในหนองน้ำำ ซ่ึงอยู่ ในที่ดินของเจำ้ ของทีด่ นิ น้ันได้ ดงั น้นั เป็นภำระจำำ ยอมไดห้ รอื ไม่ เพรำะเหตุใด เป็นภำระจำำยอมไม่ได้ เพรำะภำระจำำยอมต้องเปน็ ประโยชนโ์ ดยตรงแกอ่ สังหำริมทรพั ยอ์ ันเป็นสำมย ทรัพย์น้ัน แต่กำรยินยอมให้เข้ำไปจับปลำในหนองนำำ้ เป็นประโยชน์แก่เจ้ำของอสังหำริมทรัพย์ซ่ึงเป็น ประโยชนเ์ ฉพำะแก่ตัวบุคคล โดยไม่เกย่ี วกับอสังหำรมิ ทรพั ยเ์ ลยฉะนนั้ จงึ เปน็ ภำระจำำยอมไมไ่ ด้ 7.1.2 การได้มาซงึ่ ภาระจำายอม ภำระจำำยอมอำจไดม้ ำโดยทำงใดบำ้ ง ภำระจำำยอมอำจไดม้ ำโดย 3 ทำงคอื สอบซ่อมวันอาทิตย์ที่ 6 สิงหาคม 2549 เวลา 08.30-11.00 น.

40 (1) โดยผลของกฎหมำย (2) โดยนิตกิ รรม (3) โดยอำยคุ วำม ภำระจำำยอมซ่ึงได้มำโดยนิติกรรมน้ัน หำกมิได้ทำำ เป็นหนังสือและจดทะเบียนกับพนักงำนเจ้ำหน้ำท่ี ผลจะเปน็ ประกำรใด ภำระจำำยอมซึ่งได้มำโดยนิติกรรมนั้นหำกมิได้ทำำ เป็นหนังสือและจดทะเบียนกับพนักงำนเจ้ำหน้ำท่ี จะมีผลไม่บริบูรณ์ในฐำนะเป็นทรัพย์สินตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1299 วรรค 1 จึงไม่ตกติดไปกับภำรย ทรัพย์ และจะยกเป็นข้อต่อสู้กับบุคคลภำยนอกผู้รับโอนภำรยทรัพย์นั้นไม่ได้คงมีผลเรียกร้องบังคับกันได้ใน ระหวำ่ ง คู่กรณเี ท่ำน้นั หน่ึงเดินผ่ำนทุ่งหญ้ำเล้ียงสัตว์สำธำรณะเป็นเวลำกว่ำ 10 ปีติดต่อกันเช่นนี้หนึ่งจะยกอำยุควำมขึ้น อ้ำงสทิ ธิทำงภำระจำำ ยอมไดห้ รือไม่ เพรำะเหตใุ ด ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1306 ท่ำนห้ำมมิให้ยกอำยุควำมข้ึนเป็นข้อต่อสู้กับแผ่นดินในเรื่อง ทรัพยส์ นิ อนั เป็นสำธำรณะสมบตั ิของแผ่นดนิ ตำมปัญหำ ทุ่งหญ้ำเลี้ยงสัตว์สำธำรณะ เป็นทรัพย์สินสำำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันย่อมเป็นสำธำรณะ สมบัติของแผ่นดนิ ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1304 (2) ฉะน้ัน หนึ่งจึงต้องห้ำมมิให้ยกอำยุควำมข้ึนเปน็ ข้อ ต่อสู้กับแผ่นดนิ ในเรือ่ งทรพั ย์สนิ อันเป็นสำธำรณะสมบัติของแผน่ ดนิ ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1306 ดงั กลำ่ ว ก. อำศัยเดินผ่ำนท่ีดินของ ข. มำเป็นเวลำหลำยสิบปีแล้วเช่นน้ี ก. จะได้ภำระจำำ ยอมโดยอำยคุ วำม หรือไม่ เพรำะเหตุใด ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1401 ภำระจำำยอมอำจได้มำโดยอำยุควำมท่ำนให้นำำบทบัญญัติว่ำด้วยอำยุ ควำมไดส้ ิทธิ อันกลำ่ วไว้ในสำธำรณะ 3 แหง่ บรรพหน้ีมำใชบ้ ังคับโดยอนุโลม มำตรำ 1382 บคุ คลใดครอบครองทรพั ยส์ นิ ของผู้อื่นไว้โดยควำมสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนำ เป็นเจ้ำของ ถำ้ เปน็ อสังหำริมทรพั ย์ได้ครอบครองติดตอ่ กันเปน็ เวลำสบิ ปี ท่ำนว่ำบคุ คลน้นั ได้กรรมสทิ ธิ์ ตำมปัญหำ ก. อำศัยเดินผ่ำนท่ีดินของ ข. จึงเห็นได้ว่ำ ก. มิได้ใช้สิทธิโดยปรปักษ์ต่อ ข. ฉะนั้น แม้ ก. จะเดินผ่ำนที่ดินของ ข. เป็นเวลำนำนเท่ำใด ก็ไม่ได้สิทธิภำระจำำ ยอมตำมมำตรำ 1401 ประกอบ มำตรำ 1382 แตป่ ระกำรใด ภำระจำำ ยอมซ่ึงได้มำโดยอำยุควำมนั้น หำกมิได้ไปจดทะเบียนจะยกเป็นข้อต่อสู้บุคคลภำยนอกได้ หรือไม่ เพรำะเหตุใด ภำระจำำ ยอมซ่ึงได้มำโดยอำยคุ วำมนนั้ แม้มิได้นำำ ไปจดทะเบียนก็ยกเป็นข้อต่อสู้บุคคลภำยนอกได้ไม่ อยู่ในบังคับแห่ง ป.พ.พ. มำตรำ 1299 วรรคสอง ทั้งนี้เพรำะผู้รับโอนภำรยทรัพย์มิใช่เป็นผุ้ได้สิทธิใน ภำระจำำ ยอมหำกแต่ภำระจำำยอมท่ตี กติดไปนั้นเปน็ กำรรอนสิทธิผู้รับโอนตำม ป.พ.พ. มำตรำ 480 ฉะน้ัน ภำระจำำยอมที่ได้มำโดยอำยุควำมจึงไม่อยู่ในบังคับของมำตรำ 1299 วรรคสอง ตำมท่ีมีคำำ พิพำกษำฎีกำท่ี 800/2502 ไดว้ นิ จิ ฉยั ไว้เป็นบรรทดั ฐำน สอบซอ่ มวนั อาทติ ยท์ ี่ 6 สิงหาคม 2549 เวลา 08.30-11.00 น.

41 7.1.3 ลกั ษณะของภาระจาำ ยอม ก. เจ้ำของที่ดนิ แปลงหน่ึงจดทะเบียนให้ ข. เจำ้ ของที่ดนิ แปลงข้ำงเคยี งไดส้ ิทธทิ ำงภำระจำำยอมผ่ำน ที่ดินของตน ต่อมำ ก.ได้จดทะเบียนโอนขำยที่ดินภำรยทรัพย์นั้นให้แก่ ค. และ ข. ได้จดทะเบียนสิทธิเก็บ กนิ ในทด่ี ินสำมทรพั ยน์ ้ันให้แก่ ง. ดังนี้ ค. และ ง. ตอ้ งผกู พันตอ่ ภำระจำำ ยอมหรือไม่ เพรำะเหตุใด ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1393 วรรคหนึ่ง ถ้ำมิได้กำำ หนดไว้เป็นอย่ำงอ่ืนในนิติกรรมอันก่อให้เกิด ภำระจำำยอมไซร้ ทำ่ นว่ำภำระจำำยอมยอ่ มติดไปกับสำมยทรัพยไ์ ดจ้ ดทะเบยี นซึ่งได้จำำหนำ่ ย หรือตกไปในบงั คับ แหง่ สทิ ธอิ ืน่ ตำมปัญหำ ก. เจ้ำของภำรยทรัพย์ได้จดทะเบียนโอนขำยภำรยทรัพย์นั้นให้แก่ ค. ภำระจำำยอมย่อม ตกติดไป กับภำรยทรัพย์ ฉะน้ัน ค. จึงต้องผูกพันกับสิทธิภำระจำำ ยอมนั้น และ ข. ได้จดทะเบียนให้สิทธิเก็บ กินในท่ีดินสำมยทรัพย์น้ันแก่ ง. ภำระจำำ ยอมย่อมตกติดไปกับสำมยทรัพย์ซึ่งได้จำำ หน่ำยหรือตกไปในบังคับ ของสทิ ธอิ ืน่ ตำมมำตรำ 1393 วรรคหนงึ่ ดังกลำ่ ว ฉะนั้น ง. จึงเป็นผู้ทรงสิทธิภำระจำำ ยอมผ่ำนทำงในที่ดินของ ค. ได้ท้ัง ค. และ ง. ต้องผูกพันต่อ ภำระจำำยอมน้ัน หนึ่งจดทะเบียนให้สองได้สิทธิภำระจำำยอมในกำรเดินผ่ำนท่ีนำของตนผ่ำนไปยังที่นำของสอง ต่อ มำสองได้แบ่งขำยท่ีนำส่วนหน่ึงของตนให้แก่สำม ดังน้ีหนึ่งจะปฏิเสธมิให้สำมผ่ำนท่ีนำของตนโดยอ้ำงว่ำตน ให้สทิ ธภิ ำระจำำยอมแกส่ องมิไดใ้ หแ้ ก่สำม ได้หรือไม่ เพรำะเหตใุ ด ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1395 ถ้ำมีกำรแบ่งแยกสำมยทรัพย์ท่ำนว่ำภำระจำำยอมยังคงมีอยู่เพื่อ ประโยชนแ์ ก่ทกุ สว่ นทีแ่ ยกออกนน้ั ตำมปัญหำ สองได้แบ่งขำยที่นำส่วนหนึ่งของตนให้แก่สำมภำระจำำ ยอมยังคงมีอยู่เพื่อประโยชน์แก่ สำมยทรพั ย์ทกุ สว่ นทีแ่ ยกออกไป ตำมมำตรำ 1395 ดังกล่ำว ฉะนนั้ ภำระจำำ ยอมจงึ ยังคงมอี ย่เู พ่ือประโยชน์ แก่ที่นำส่วนที่แบ่งแยกแก่สำมด้วย ข้ออ้ำงของหนึ่งที่ว่ำตนได้ให้สิทธิภำระจำำยอมแก่สองมิได้ให้แก่สำมจึงรับ ฟังไม่ได้เพรำะภำระจำำ ยอมย่อมมีอยู่เพื่อประโยชน์แก่อสังหำริมทรัพย์มิใช่เจำะจงเพ่ือประโยชน์แก่บุคคลใด รวมทัง้ ภำระจำำ ยอมยังคงมีอยูเ่ พ่ือประโยชน์แก่ทกุ สว่ นทแ่ี ยกออกไปนั้น ตำมมำตรำ 1395 ดงั กลำ่ ว ฉะนนั้ หน่ึงจงึ ปฏิเสธมิให้สำมผ่ำนท่ีนำของตนไมไ่ ด้ ก. และ ข. เป็นเจ้ำของกรรมสิทธ์ิรวมในที่ดินแปลงหน่ึง ก. แต่ผู้เดียวที่ใช้สิทธิเดินผ่ำนที่ดินของ ค. จนได้ภำระจำำยอมโดยอำยุควำม โดย ข. มิได้มีส่วนร่วมด้วยเลยเพรำะอยู่อำศัยในจังหวัดอ่ืน ต่อมำ ข. ได้ ยำ้ ยไปอยูอ่ ำศัยในที่ดินแปลงดังกล่ำว ดงั น้ี ค. จะปฏิเสธมใิ ห้ ข. เดินผ่ำนที่ดินของตนได้หรอื ไม่ เพรำะเหตใุ ด ตำม ป.พ.พ. มำตรำ มำตรำ 1396 ภำระจำำยอมซ่ึงเจ้ำของรวมแห่งสำมยทรัพย์คนหน่ึงได้มำ หรอื ใช้อยู่นั้นท่ำนให้ถือว่ำเจ้ำของรวมไดม้ ำหรอื ใชอ้ ยูด่ ว้ ยกันทกุ คน ตำมปัญหำ ก. และ ข. เป็นเจ้ำของกรรมสิทธ์ิรวมในท่ีดินแปลงหน่ึง ก. แต่ผู้เดียวได้ใช้สิทธิเดิน ผ่ำนทีด่ นิ ของ ค. จนได้ภำระจำำ ยอมโดยอำยุควำมแม้ ข. จะมไิ ด้มีส่วนรว่ มด้วย แต่ภำระจำำยอมซ่ึงเจ้ำของรวม แหง่ สำมยทรพั ยค์ นหนึ่งไดม้ ำหรอื ใช่อยู่นั้นให้ถือว่ำเจำ้ ของรวมได้มำหรือใช้อย่ดู ว้ ยกนั ทุกคน สอบซ่อมวนั อาทิตย์ท่ี 6 สิงหาคม 2549 เวลา 08.30-11.00 น.

42 ฉะนั้น ข. จึงได้สิทธิภำระจำำยอมนั้นด้วยตำมมำตรำ 1396 ดังกล่ำว ค. จึงปฏิเสธมิให้ ข. เดิน ผำ่ นทีด่ ินของตนไม่ได้ ภำระจำำ ยอมตำ่ งกบั ทำงจำำเป็นในประเด็นใดบ้ำง ภำระจำำยอมต่ำงกับทำงจำำเป็นในประเด็นทีส่ ำำคัญ 9 ประกำร ดังต่อไปน้ี (1) ทรัพย์สินอันเก่ียวกับภำระจำำ ยอม ต้องประกอบด้วยอสังหำริมทรัพย์สอง อสังหำริมทรัพย์แต่ทรัพย์สินอันเก่ียวกับทำงจำำ เป็นต้องเป็นที่ดินเท่ำนั้นไม่เก่ียวกับ อสังหำริมทรัพยอ์ ่ืน (2) ภำระจำำยอมไม่มีข้อจำำ กัดว่ำจะเป็นกำรใช้สิทธิประเภทใด แต่ทำงจำำ เป็นจำำ กัดเฉพำะ ในเรอื่ งทำงสญั จรเท่ำนนั้ ประโยชน์อ่ืนจะอ้ำงทำงจำำ เปน็ ไม่ได้ (3) ในส่วนของทำงภำระจำำยอมไม่จำำตอ้ งถูกล้อมจนไม่มที ำงออก แตท่ ำงจำำ เปน็ น้นั จำำกัด เฉพำะกรณที ่ดี ินถูกล้อมจนไม่มที ำงออกสทู่ ำงสำธำรณะไดเ้ ท่ำนั้น (4) ในส่วนของทำงภำระจำำ ยอมจะใช้เป็นทำงสัญจรไปสู่ท่ีใดก็ได้ไม่มีข้อจำำ กัด แต่ทำง จำำ เป็นนั้นจำำกดั เฉพำะกรณผี ่ำนท่ีดินท่ลี อ้ มออกไปส่ทู ำงสำธำรณะเทำ่ นนั้ (5) ภำระจำำยอมน้ัน ภำรยทรัพย์กับสำมยทรัพย์ไม่จำำ ต้องต้ังอยู่ติดต่อกันเสมอไป แต่ทำง จำำ เป็นจะต้องผ่ำนทีด่ นิ ทอ่ี ยตู่ ดิ ตอ่ กนั หรอื อยตู่ ่อเนอ่ื งกับที่ดนิ ทีต่ ดิ ต่อกันเ้ทำ่ นั้น (6) ภำระจำำ ยอมเป็นสิทธิซ่ึงเจ้ำของสำมยทรัพย์จะได้ใช้ แต่ทำงจำำเป็นเป็นข้อจำำกัดสิทธิ ของเจำ้ ของที่ดนิ ตำมควำมหมำยในมำตรำ 1338 (7) ภำระจำำยอมอำจได้มำโดยผลของกฎหมำยโดยนิติกรรม หรือโดยอำยุควำม แต่ทำง จำำ เป็นน้ันเป็นข้อจำำ กัดสิทธิโดยผลของกฎหมำยตำมมำตรำ 1349 และมำตรำ 1350 (8) ในเรื่องค่ำตอบแทน ภำระจำำยอมท่ีได้มำโดยผลของกฎหมำยอำจเสียค่ำทดแทนหรือ ไม่ก็ได้แล้วแต่กรณี ภำระจำำยอมท่ไี ด้มำโดยนติ ิกรรมข้ึนอยู่กับควำมตกลงของคู่กรณี ส่วนภำระจำำยอมท่ีได้มำโดยอำยุควำมหำจำำต้องเสียค่ำทดแทนไม่ แต่ทำงจำำเป็นนั้น มำตรำ 1349 วรรคท้ำยกำำหนดให้ต้องชดใช้ค่ำทดแทนเว้นแต่กรณีตำมมำตรำ 1350 กรณีเดยี วท่ีไมจ่ ำำตอ้ งเสียคำ่ ทดแทน (9) ภำระจำำยอมอำจสิ้นไปโดยผลของกฎหมำยโดยนิติกรรม หรือโดยอำยุควำม แต่ทำง จำำเป็นน้ันจะส้ินไปเม่ือหมดควำมจำำเป็นเท่ำน้ัน ไม่มีกรณีระงับส้ินไปดังเช่นภำระ จำำยอม 7.2 สิทธิและหน้าทขี่ องเจ้าของ สามยทรัพยแ์ ละภารยทรัพย์ 1. เจ้ำของสำมยทรัพย์ไม่มีสิทธิทำำ ให้เกิดภำระเพ่ิมข้ึนแก่ภำรยทรัพย์ แต่มีสิทธิทำำ กำรอัน จำำเป็นเพ่อื รักษำและใชส้ อยภำระจำำ ยอม สอบซอ่ มวนั อาทิตยท์ ่ี 6 สิงหาคม 2549 เวลา 08.30-11.00 น.

43 2. เจำ้ ของภำรยทรพั ย์จะต้องไมก่ ระทำำ กำรใดเป็นเหตใุ ห้ประโยชนแ์ ห่งภำระจำำยอมลดไปหรือ เสอ่ื มควำมสะดวก แตอ่ ำจเรียกให้ย้ำยภำระจำำ ยอมไปยงั ส่วนอื่นของทรพั ยไ์ ด้ 7.2.1 สิทธิและหน้าท่ีของเจา้ ของสามยทรพั ย์ กรณีเจ้ำของสำมยทรัพย์ ไม่มีสิทธิทำำกำรเปลี่ยนแปลงในภำรยทรัพย์หรือสำมยทรัพย์ซึ่งทำำให้เกิด ภำระเพิ่มขึ้นแก่ภำรยทรัพย์ ตำมมำตรำ 1388 กับกรณีควำมต้องกำรแห่งเจ้ำของสำมยทรัพย์เปล่ียนแปลง ไปไมใ่ ห้สิทธิแก่เจ้ำของสำมยทรัพย์ที่จะทำำให้เกิดภำระเพ่ิมข้ึนแก่ภำรยะทรัพย์ ตำมมำตรำ 1389 นนั้ แตก ตำ่ งกนั อย่ำงไร กรณีห้ำมทำำ ให้เกิดภำระเพิ่มข้ึนแก่ภำรยทรัพย์ ตำมมำตรำ 1388 กับมำตรำ 1389 มีควำม แตกตำ่ งกันดังต่อไปน้ี กรณีตำม มำตรำ 1388 ภำระท่ีเพ่ิมขึ้นแก่ภำรยทรัพย์นนั้ เกิดจำกกำรที่เจ้ำของสำมยทรัพย์กระทำำ กำรเปล่ียนแปลงภำรยทรัพย์หรือสำมยทรัพย์ แต่กรณีตำมมำตรำ 1389 ภำระที่เพ่ิมขึ้นแก่ภำรยทรัพย์น้ัน เกิดจำกควำมต้องกำรแห่งเจ้ำของสำมยทรัพย์เปล่ียนแปลงไป โดยมิได้กระทำำกำรเปลี่ยนแปลงใดๆ ในภำรย ทรพั ย์หรอื ในสำมยทรัพย์น้ันเลย ก. ไดภ้ ำระจำำยอมโดยอำยุควำมเดินผ่ำนที่ดินของ ข. ซ่ึงมีขอบเขตทำงกวำ้ ง 2 เมตร ต่อมำ ก. จะ ทำำ กำรปรับปรุงเป็นทำงคอนกรีตและขยำยทำงให้กว้ำงเพ่ิมขึ้นเป็น 3 เมตร เพ่ือให้สำมำรถนำำ รถเข้ำออกได้ สะดวกขน้ึ เช่นน้ี ก. มีสิทธกิ ระทำำ กำรได้หรือไม่ เพรำะเหตุใด ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1388 เจ้ำของสำมยทรัพย์ไม่มีสิทธิทำำ กำรเปลี่ยนแปลงในภำรยทรัพย์หรือ ในสำมยทรพั ยซ์ ่ึงทำำให้เกิดภำระเพ่มิ ข้ึนแกภ่ ำรยทรัพย์ ตำมปัญหำ เดิม ก. ได้ภำระจำำ ยอมโดยอำยุควำมเดินผ่ำนที่ดินของ ข. ซึ่งมีขอบเขตทำงกว้ำง 2 เมตร กำรท่ี ก. จะทำำกำรปรับปรุงทำงภำระจำำ ยอมใหเ้ ป็นทำงคอนกรตี น้ัน ไมเ่ ป็นกำรทำำให้เกดิ ภำระเพ่มิ ขนึ้ แก่ ภำรยทรัพย์แต่ประกำรใด แต่กำรที่ ก. จะขยำยทำงให้กว้ำงเพิ่มขึ้นเป็น 3 เมตรนน้ั ย่อมเป็นกำรเปล่ียนแปลง ในภำรยทรัพย์ ซึ่งทำำ ให้เกดิ ภำระเพ่ิมข้ึนแกภ่ ำรยทรพั ย์ ตอ้ งหำ้ มตำมมำตรำ 1388 ฉะนั้น ก. มีสิทธิทำำ กำรปรับปรุงทำงภำระจำำ ยอมให้เป็นทำงคอนกรีตได้แต่ไม่มีสิทธิขยำยทำงให้ กวำ้ งกว่ำเดมิ เป็นกำรตอ้ งห้ำมตำมมำตรำ 1388 หนึ่งได้ภำระจำำ ยอมในกำรชักน้ำำจำกลำำ ลำงของสองมำใช้ในที่ดินของตนต่อมำลำำ รำงน้ีต้ืนเขิน น้ำำ ไหลผำ่ นไม่สะดวก หนึ่งจะเข้ำไปขุดลอกลำำรำงให้นำ้ำ ไหลผำ่ นได้สะดวกเหมือนเดิมโดยไม่ต้อขอควำมยินยอม จำกสองก่อนไดห้ รอื ไม่ เพรำะเหตุใด ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1391 วรรค 1 เจ้ำของสำมยทรัพย์มีสิทธิทำำกำรทุกอย่ำงอันจำำ เป็นเพื่อ กำรรกั ษำและใชภ้ ำระจำำยอม แตต่ ้องเสยี คำ่ ใช้จ่ำยของตนในกำรนี้เจ้ำของสำมยทรพั ย์จะกอ่ ใหเ้ กดิ ควำมเสยี หำย แก่ภำรยทรัพยไ์ ด้ก็แตน่ ้อยทส่ี ดุ ตำมพฤติกำรณ์ ตำมปัญหำ หนึ่งได้ภำระจำำ ยอมในกำรชักนำ้ำจำกลำำ รำงของสองมำใช้ในท่ีดินของตน ต่อมำลำำรำงตื้น เขนิ นำ้ำ ไหลไม่สะดวก หนงึ่ ในฐำนะเจ้ำของสำมยทรัพยจ์ งึ มีสทิ ธิทำำ กำรทกุ อย่ำงอันจำำ เป็นเพอ่ื รกั ษำและใช้ภำระ สอบซ่อมวนั อาทติ ย์ท่ี 6 สิงหาคม 2549 เวลา 08.30-11.00 น.

44 จำำ ยอม ตำมมำตรำ 1391 วรรค 1 เช่นนี้หนึ่งจึงมีสิทธิตำมกฎหมำยที่จะเข้ำไปขุดลอกลำำ รำงให้นำ้ำไหล ผำ่ นไดส้ ะดวกเหมอื นเดมิ โดยไมต่ ้องขอควำมยนิ ยอมจำกสองกอ่ น แต่ประกำรใด ฉะนั้น หน่ึงจะเข้ำไปขุดลอกลำำ รำงให้นำ้ำไหลสะดวกเหมือนเดิมได้โดยไม่ต้องได้รับควำมยินยอม กอ่ นตำมมำตรำ 1391 วรรค 1 ดังกล่ำว 7.2.2 สิทธแิ ละหนา้ ทข่ี องเจ้าของภารยทรพั ย์ ก. เจ้ำของสำมยทรัพย์ได้ก่อสร้ำงสะพำนเช่ือมตึก 2 หลังของตน โดยสะพำนน้ันคร่อมทำงภำระ จำำยอมสูงจำกพ้ืน 5 เมตร ไม่กีดขวำงทำงเดินรถเข้ำออกของ ข.เจ้ำของสำมยทรัพย์เช่นน้ี ข. จะเรียกให้ ก. ร้ือถอนสะพำนน้ันออกไปไดห้ รือไม่ เพรำะเหตใุ ด ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1330 ท่ำนมิให้เจ้ำของภำรยทรัพย์ประกอบกรรมใดๆ อันจะเป็นเหตุให้ ประโยชน์แหง่ ภำระจำำยอมลดไปหรือเสอื่ มควำมสะดวก ตำมปัญหำ ก. เจำ้ ของภำรยทรัพย์ได้สร้ำงสะพำนเชอ่ื มตึก 2 หลังของตน โดยสะพำนนัน้ คร่อมทำง ภำระจำำ ยอมสูงจำกพ้ืน 5 เมตรเมื่อสะพำนนัน้ ไมก่ ีดขวำงทำงเดินรถเข้ำออกของ ข. เจำ้ ของสำมยทรัพย์ กำร สรำ้ งสะพำนเชื่อมดังกล่ำวจึงไม่เป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภำระจำำ ยอมลดลงไปหรือเสื่อมควำมสะดวก ไม่ต้อง หำ้ มตำมมำตรำ 1390 ดงั กล่ำว ฉะนน้ั ข. จึงเรยี กให้ ก. รื้อสะพำนนนั้ ออกไปไม่ได้ ตำมเหตผุ ลดังกลำ่ ว เดมิ ทำงภำระจำำยอมผำ่ นทำงทิศตะวนั ออกของทีด่ ินของ ก. แตต่ ่อมำ ก. เรียกใหย้ ้ำยทำงภำระจำำ ยอม ไปทำงทิศตะวันตกของภำรยทรัพย์ โดยอ้ำงว่ำจะทำำ ให้ ข. เจ้ำของสำมยทรัพยผ์ ่ำนทำงได้สะดวก เพรำะระยะ ทำงใกล้ข้ึน และ ก. ยินยอมเสียค่ำใช้จ่ำยเอง แต่ตำมข้อเท็จจริงระยะทำงเท่ำเดิมมิได้ใกล้หรือไกลขึ้นแต่อย่ำง ใด เชน่ นี้ ข. จะคดั ค้ำนมใิ ห้ ก. ยำ้ ยทำงภำระจำำ ยอมนัน้ ไดห้ รอื ไม่ เพรำะเหตุใด ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1392 ถำ้ ภำระจำำ ยอมแตะตอ้ งเพยี งสว่ นหนึ่งแหง่ ภำรยทรัพย์ เจ้ำของทรพั ย์ นั้นอำจเรียกให้ย้ำยไปยังส่วนอื่นก็ได้ แต่ต้องแสดงได้ว่ำกำรย้ำยนั้นเป็นประโยชน์แก่ตนและรับเสียค่ำใช้จ่ำย ทั้งนีต้ ้องไม่ทำำ ให้ควำมสะดวกของเจำ้ ของสำมยทรพั ยล์ ดนอ้ ยลง ตำมปัญหำ ก. เรียกให้ย้ำยทำงภำระจำำ ยอมโดยอ้ำงว่ำจะทำำให้ ข. เจ้ำของสำมยทรัพย์ผ่ำนทำงได้ สะดวก เพรำะระยะทำงใกล้ขึ้น แม้ ก. จะยนิ ยอมเสยี ค่ำใช้จ่ำยเองแต่สิทธิของเจ้ำของสำมยทรพั ยท์ ีจ่ ะย้ำยภำระ จำำยอมนน้ั ควำมสะดวกมำกข้ึนของเจ้ำของสำมยทรัพย์มิใช่เหตุผลสำำคัญหำกแต่หลักเกณฑ์ในกำรย้ำยประกำร หน่ึงต้องแสดงได้ว่ำกำรย้ำยน้ันเป็นประโยชน์แก่ตน เมื่อขำดหลักเกณฑ์ดังกล่ำวสิทธิกำรเรียกร้องให้ย้ำยตำม มำตรำ 1392 จึงไม่เกดิ ข้ึน ฉะนน้ั ข. จงึ คัดค้ำนมิให้ ก. ยำ้ ยภำระจำำยอมได้ ตำมเหตผุ ลดงั กล่ำว 7.3 การระงบั ส้ินไปแหง่ ภาระจำายอม สอบซ่อมวนั อาทติ ย์ที่ 6 สิงหาคม 2549 เวลา 08.30-11.00 น.

45 1. ภำระจำำยอมอำจระงับส้ินไปโดยผลของกฎหมำย ได้แก่ โดยภำรยทรัพย์หรือสำมยทรัพย์สลำยไป ท้ังหมด โดยภำรยทรัพย์หรือสำมยทรัพย์ตกเป็นของเจ้ำของคนเดียวกันในกรณีภำระจำำ ยอมมิได้จด ทะเบียน และโดยภำระจำำยอมหมดประโยชนแ์ ก่สำมยทรัพย์ 2. ภำระจำำยอมอำจระงับสิน้ ไปโดยนติ ิกรรม ไดแ้ ก่ โดยกำำหนดโดยระยะเวลำในนิติกรรม โดยควำมตกลง ของคู่กรณี โดยกำรแสดงเจตนำสละภำระจำำ ยอม โดยกำรบอกเลิกควำมยินยอม และโดยกำรเรียกให้ พน้ จำกภำระจำำ ยอม 3. ภำระจำำยอมอำจระงับสิ้นไปโดยอำยุควำม ได้แก่ กำรท่ีมิได้ใช้ภำระจำำ ยอมน้ันเป็นระยะเวลำ 10 ปี ตดิ ตอ่ กนั 7.3.1 การระงบั ส้ินไปโดยผลของกฎหมาย ภำระจำำยอมระงับส้ินไปโดยผลของกฎหมำยมีกรณีตำมบทบญั ญตั ิแห่ง ป.พ.พ. มำตรำใดบำ้ ง ภำระจำำ ยอมระงับสิ้นไปโดยผลของกฎหมำย มกี รณีตำมบทบัญญตั แิ ห่ง ป.พ.พ. ดงั ต่อไปน้ี (4) ตำมมำตรำ 1397 กรณีภำรยทรพั ยห์ รือสำมยทรัพยส์ ลำยไปท้ังหมด (5) ตำมมำตรำ 1398 กรณีภำรยทรัพย์และสำมยทรัพย์ตกเป็นของเจ้ำของคน เดยี วกนั เฉพำะกรณีภำระจำำ ยอมซึง่ มิไดจ้ ดทะเบยี น (6) ตำมมำตรำ 1400 วรรค 1 กรณีภำระจำำยอมหมดประโยชน์แก่สำมยทรัพย์ ถ้ำภำรยทรัพย์สลำยไปเกือบท้ังหมด ยังเหลือแต่เพียงเล็กน้อย แต่ก็ไม่เป็นประโยชน์อะไรกับสำมย ทรพั ยน์ นั้ อกี เช่นนี้ ภำระจำำยอมจะระงบั ส้ินไปตำมมำตรำ 1397 หรอื ไม่ กรณีภำรยทรัพย์สลำยไปเกือบท้ังหมด เม่ือสลำยไปยังไม่หมด แม้ยังเหลืออยู่เพียงเล็กน้อย ภำระ จำำ ยอมก็ยังไม่สิ้นไปตำมมำตรำ 1397 แต่เมื่อภำรยทรัพย์ที่เหลืออยู่ไม่เป็นประโยชน์อะไรกับสำมยทรัพย์ อกี ภำระจำำ ยอมกย็ ังไมส่ น้ิ ไป ตำมมำตรำ 1400 วรรค 1 ก. และ ข. เป็นเจ้ำของกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงหนึ่งร่วมกัน และได้ภำระจำำ ยอมโดยอำยุควำมผ่ำน ท่ีดินของ ค. ตอ่ มำ ก. และ ข. ไดซ้ ื้อที่ดินภำรยทรัพย์ของ ค. มำเป็นกรรมสทิ ธิ์ร่วมกันอกี ภำยหลัง ก. และ ข. ไดข้ ำยทด่ี ินอันเป็นสำมยทรัพย์เดิมให้ ง. เชน่ น้ี ง. จะอำ้ งภำระจำำยอมเดินผำ่ นท่ีดินของ ก. และ ข. อัน เปน็ ภำรยทรพั ยเ์ ดมิ ไดห้ รอื ไม่ เพรำะเหตุใด ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1398 ถ้ำภำรยทรัพย์ตกเป็นเจ้ำของคนเดียวกัน ท่ำนว่ำเจ้ำของจะได้เพิก ถอนกำรจดทะเบยี นกไ็ ด้ แต่ถำ้ ยงั มิได้เพิกถอนทะเบียนไซร้ ภำระจำำยอมยังคงมอี ยูใ่ นสว่ นบุคคลภำยนอก ตำมปญั หำ ก. และ ข. เปน็ เจ้ำของกรรมสิทธ์ใิ นที่ดินแปลงหนึ่งร่วมกันและได้ภำระจำำยอมโดยอำยุ ควำมผ่ำนท่ีดินของ ค. ต่อมำ ก. และ ข. ได้ซ้ือที่ดินภำรยทรัพยข์ อง ค. มำเป็นกรรมสิทธิ์ร่วมกันอีก จึงเท่ำ กับภำรยทรัพย์และสำมยทรัพย์ตกเป็นเจ้ำของคนเดียวกัน ในเมื่อเป็นภำระจำำยอมโดยอำยุควำมโดยมิได้จด ทะเบียน ภำระจำำ ยอมยอ่ มระงับสิน้ ไปตำมมำตรำ 1398 ดังกล่ำวเม่อื ภำระจำำยอมระงบั สิ้นไปแลว้ แม้ ง.จะ เป็นบุคคลภำยนอกผู้รับโอนสำมยทรัพย์เดิมนั้น ก็ไม่ทำำให้ภำระจำำยอมที่ระงับสิ้นไปแล้ว กลับมีข้ึนมำอีกแต่ ประกำรใดเวน้ แต่จะก่อภำระจำำ ยอมขึ้นใหม่ไมเ่ กย่ี วกบั ภำระจำำยอมเดิม สอบซ่อมวนั อาทติ ยท์ ่ี 6 สิงหาคม 2549 เวลา 08.30-11.00 น.

46 ฉะนนั้ ง. จะอำ้ งภำระจำำยอมเดนิ ผ่ำนทีด่ ินของ ก. และ ข. อันเปน็ ภำรยทรพั ย์เดมิ ไมไ่ ด้ หน่ึงได้รับภำระจำำยอมผ่ำนภำรยทรัพย์ของสองไปขำยของท่ีตลำด ซ่ึงอยู่ติดกับภำรยทรัพย์ของสอง ตอ่ มำตลำดถกู ขำยกจิ กำรและเปลี่ยนไปเปน็ โรงงำนซงึ่ ล้อมรว้ั โดยรอบ ทำำใหท้ ำงภำระจำำยอมเดมิ กลำย เปน็ ทำง ตัน หนง่ึ ไม่ได้ใชท้ ำงนั้นอีกตอ่ ไป เช่นนี้ ภำระจำำ ยอมน้ันจะส้นิ สุดไปหรอื ไม่ เพรำะเหตุใด ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1400 ถ้ำภำระจำำ ยอมหมดประโยชน์แก่สำมยทรัพย์ไซร้ ท่ำนว่ำภำระ จำำ ยอมนัน้ สน้ิ ไป.... ตำมปญั หำ หนงึ่ ไดภ้ ำระจำำ ยอมผำ่ นภำรยทรพั ย์ของสองไปขำยของที่ตลำดซึ่งตง้ั อยู่ติดกบั ภำรย ทรพั ย์ ของสอง ต่อมำตลำดถูกขำยกิจกำรและเปลี่ยนไปเป็นโรงงำนซึ่งล้อมรั้วโดยรอบ ทำำให้ทำงภำระจำำยอมเดิม กลำยเปน็ ทำงตัน หน่ึงไม่ได้ใชท้ ำงนัน้ อีกต่อไป เช่นน้ี เหน็ ได้ว่ำ ภำระจำำ ยอมนนั้ หมดประโยชน์แก่สำมยทรัพย์ ภำระจำำ ยอมยอ่ มสิน้ ไปตำมมำตรำ 1400 ดงั กลำ่ ว ฉะนน้ั ภำระจำำ ยอมน้ันยอ่ มระงับสนิ้ ไป ตำมเหตุผลดังกลำ่ ว 7.3.2 การระงับสิน้ ไปโดยนติ ิกรรม มีกรณใี ดบำ้ งที่ภำระจำำยอมระงบั ส้ินไปโดยนติ ิกรรม ภำระจำำยอมระงบั สน้ิ ไปโดยนิตกิ รรมน้ันมี 5 กรณี ดงั ต่อไปนี้ (1)กรณีพ้นกำำหนดระยะเวลำในนิตกิ รรม (2)กรณคี วำมตกลงระงบั ของเจำ้ ของภำรยทรัพยแ์ ละเจ้ำของสำมยทรพั ย์ (3)กรณีผูท้ รงสิทธแิ สดงเจตนำสละภำระจำำ ยอม (4)กรณีของเจำ้ ภำรยทรัพย์บอกเลิกภำระจำำ ยอม (5)กรณีเจ้ำของภำรยทรพั ย์เรยี กให้พ้นจำกภำระจำำยอม หนึ่งตกลงด้วยวำจำให้สองชักนำำ้ จำกคูน้ำำ ของตนไปใช้ในที่ดินของสองได้ โดยมีกำำหนดระยะเวลำ 10 ปี เวลำผ่ำนไปเพียง 2 ปี หน่ึงก็ขำยท่ีดินอันเป็นภำรยทรัพย์ของตนให้แก่สำม โดยสำมรู้อยู่แล้วว่ำหน่ึง กับสองมขี ้อตกลงเช่นว่ำนั้น ดังน้ี สำมจะปฏิเสธไม่ให้สองชักนำำ้ จำกคูนำ้ำภำระจำำ ยอมเดิมได้หรือไม่ เพรำะเหตุ ใด ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1299 วรรค 1 ภำยในบังคับแห่งบทบัญญัติในประมวลกฎหมำยนี้หรือ กฎหมำยอ่ืนท่ำนว่ำได้มำโดยนิติกรรมซ่ึงอสังหำริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิหรือทรัพย์สินอันเก่ียวกับ อสังหำริมทรัพยน์ นั้ ไมบ่ รบิ รู ณ์ เวน้ แต่นติ กิ รรมจะได้ทำำ เป็นหนังสือและได้จดทะเบยี นกำรได้มำกบั พนกั งำนเจำ้ หนำ้ ที่ ตำมปัญหำ หนึ่งกับสองตกลงก่อภำระจำำ ยอมกันด้วยวำจำ มิได้ทำำ เป็นหนังสือและจดทะเบียนกำรได้ มำกับพนักงำนเจ้ำหน้ำที่ ภำระจำำ ยอมนัน้ จงึ มีผลไม่บริบูรณ์ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1299 วรรค 1 ดังกล่ำว ซ่ึงใช้บังคับได้เฉพำะในระหว่ำงคู่กรณีจะยกเป็นข้อต่อสู้บุคคลภำยนอกมิได้ เช่นน้ี แม้สำมจะได้รู้อยู่แล้วว่ำมี ภำระจำำ ยอมเช่นว่ำนั้น แตเ่ มอื่ สำมไม่ตกลงยินยอมด้วย แมภ้ ำระจำำ ยอมนน้ั ยงั เหลือเวลำอกี ถึง 8 ปี กช็ อบที่สอง กับหนงึ่ จะวำ่ กลำ่ วกันเอง สองจะยกเอำสทิ ธิภำระจำำยอมซึ่งมิไดจ้ ดทะเบียนขึ้นเป็นข้อตอ่ สกู้ ับสำมไม่ได้ สอบซ่อมวันอาทิตย์ท่ี 6 สิงหาคม 2549 เวลา 08.30-11.00 น.

47 ฉะนน้ั สำมจึงปฏิเสธมิให้สองชักนำ้ำจำกคูน้ำำ ภำระจำำยอมได้ ตำมเหตผุ ลดังกล่ำว ก. จดทะเบียนให้ ข. ได้ภำระจำำยอมผ่ำนท่ีดินของตนได้ ต่อมำ ก. ได้แบ่งแยกภำรยทรัพย์น้นั โอน ขำยให้ ค. ส่วนหน่ึงและ ง. ส่วนหน่ึง ซึ่งส่วนที่แบ่งแยกออกไปน้ันอยู่นอกขอบเขตของทำงภำระจำำยอม ค. และ ง. จงึ เรียกให้ท่ีดนิ ส่วนของตนพ้นจำกภำระจำำ ยอม เชน่ น้ี ข. จะคดั ค้ำนได้หรือไม่ เพรำะเหตุใด ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1354 ถ้ำมีกำรแบง่ แยกภำรยทรัพย์ ท่ำนวำ่ ภำระจำำยอมยงั คงมีอยู่ยังคงมีอยู่ แกท่ ุกส่วนท่ีแยกออก แต่ถ้ำในส่วนใดภำระจำำยอมน้นั ไม่ใช้และใช้ไม่ได้ตำมรูปกำร ทำ่ นว่ำเจ้ำของส่วนนั้นจะ เรยี กให้พน้ จำกภำระจำำยอมก็ได้ ตำมปัญหำ ก. จดทะเบียนให้ ข. ได้ภำระจำำยอมผ่ำนที่ดินของตนได้ ต่อมำ ก. ได้แบ่งแยกภำรย ทรพั ยน์ ้ันโอนขำยให้ ค. ส่วนหนึ่งและ ง. ส่วนหนึ่ง ซงึ่ ในส่วนที่แบ่งแยกออกไปนั้นอยนู่ อกขอบเขตของทำง ภำระจำำยอม เช่นนี้เห็นว่ำส่วนของ ค. และ ง. ท่ีแยกออกไปนั้น ภำระจำำยอมย่อมไม่ใช้และใช้ไม่ได้ตำม รูปกำร ค. และ ง. เจำ้ ของสว่ นที่แยกออกไปน้ันย่อมเรยี กให้พ้นจำกภำระจำำยอมได้ ตำมมำตรำ 1394 ดัง กล่ำว ฉะนั้น ข. จะคัดค้ำนไม่ได้ เพรำะ ค. และ ง. ใช้สิทธิเรียกให้พ้นจำกภำระจำำ ยอมได้โดยชอบด้วย กฎหมำยดังกล่ำว 7.3.3 การระงับส้ินไปโดยอายคุ วาม ก. ได้สิทธิภำระจำำ ยอมโดยจดทะเบียนผ่ำนทำงในที่ดนิ ของ ข. ต่อมำ ก. และ ข. ขดั ผลประโยชน์ กันทำงธุรกิจกำรค้ำ ข. ไดข้ ่มขู่คุกคำมจน ก. ต้องย้ำยจำกสำมยทรัพย์น้ัน ไปอยู่ท่ีจังหวัดอ่ืนเป็นเวลำถึง 10 ปี เม่ือ ข. เจ้ำของสำมยทรัพย์เสียชีวิตแล้ว ก. จึงกลับเข้ำมำอยู่อำศัยในสำมยทรัพย์เดิมน้ันอีก และจะใช้สิทธิ ภำระจำำ ยอมเดมิ ผ่ำนภำรยทรพั ย์น้ัน ดังน้ที ำยำทของ ข. จะมีขอ้ ตอ่ สูห้ รือไม่ เพรำะเหตใุ ด ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1399 ภำระจำำ ยอมนั้นถำ้ มิไดใ้ ช้ 10 ปี ท่ำนวำ่ ย่อมสิน้ ไป ตำมปัญหำ ก. ได้สิทธิภำระจำำยอมโดยจดทะเบียน ผ่ำนทำงในที่ดินของ ข. ต่อมำ ก. และ ข. ขดั ผลประโยชน์กันทำงธุรกิจกำรค้ำ ข. ไดข้ ่มขู่คุกคำมจน ก. ต้องยำ้ ยไปอยจู่ ังหวดั อน่ื เป็นเวลำถึง 10 ปีเช่นนี้ ภำระจำำ ยอมนน้ั ย่อมมิได้ใช้สิบปี ภำระจำำยอมนัน้ ย่อมส้ินไป ตำมมำตรำ 1399 ดังกล่ำว ไม่ว่ำกำรท่ีมิได้ใช้ นนั้ จะเกดิ จำกสำเหตุใด เพรำะกฎหมำยพเิ ครำะห์เฉพำะผลท่เี กดิ ขึ้นเท่ำนน้ั ฉะนน้ั ทำยำทของ ข. จึงมขี อ้ ตอ่ สู้ภำระจำำ ยอมน้ันระงับสน้ิ ไปแลว้ ตำมมำตรำ 1399 ดังกลำ่ ว หน่ึงไดส้ ทิ ธภิ ำระจำำ ยอมผำ่ นทด่ี ินของสองโดยอำยคุ วำม ต่อมำหนึง่ ได้ไปทำำงำนต่ำงประเทศเป็นเวลำ ถึง 9 ปี แล้วกับมำอยู่เมืองไทยและได้ใช้ทำงภำรยทรัพย์นั้นอีกเพียง 6 เดือน ก็กลบั ไปทำำงำนต่ำงประเทศอีก เป็นเวลำ 2 ปี จึงกลับมำอยู่อำศัยในสำมยทรัพย์เดิมน้ัน แต่สองไม่ยอมให้หนึ่งผ่ำนที่ดินของตนโดยอ้ำงว่ำ ภำระจำำยอมระงบั สิน้ ไปแล้ว เช่นนี้หน่งึ จะมีขอ้ ตอ่ สู้อย่ำงไร ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1399 ภำระจำำ ยอมนั้น ถำ้ มิได้ใช้สบิ ปที ำ่ นว่ำยอ่ มสนิ้ ไป แบบประเมนิ ผลการเรยี นหน่วยท่ี 7 สอบซ่อมวันอาทิตย์ที่ 6 สิงหาคม 2549 เวลา 08.30-11.00 น.

48 1. ทรพั ย์สินที่จะตกอยภู่ ำยใต้ภำระจำำยอมไดจ้ ะตอ้ งเป็นทรพั ยส์ ินประเภท อสังหำริมทรพั ย์ 2. กำรใช้สิทธิโดยกำรขออำศัยอำจเป็นเหตุให้ได้มำซึ่งภำระจำำ ยอมโดยอำยุควำม ไม่ได้ เพรำะ มใิ ชเ่ ปน็ กำรใชส้ ทิ ธโิ ดยเจตนำจะไดภ้ ำระจำำยอม 3. ในเรื่องภำระจำำยอมและทำงจำำเป็น อำจได้สิทธิทั้งภำระจำำยอมและทำงจำำเป็นในเส้นทำง เดยี วกนั ได้ 4. ปกั เสำเดินสำยไฟในทำงภำระจำำ ยอมเดมิ เปน็ กำรทำำให้เกดิ ภำระเพ่มิ ข้ึนแก่ภำรยทรัพย์ 5. ภำระจำำยอมในประเทศไทยคดีทขี่ นึ้ สู่ศำลสว่ นใหญ่เป็นเรอ่ื งเก่ียวกบั ทำงสญั จร 6. กรณีเจำ้ ของสำมยทรพั ยต์ อ้ งเสียค่ำใช้จ่ำยของตนเองในกำรซอ่ มแซมทไ่ี ด้ทำำไปแล้ว หำกเจ้ำ ของภำรยทรัพยไ์ ดร้ ับประโยชน์ดว้ ย เจ้ำของภำรยทรัพย์ ตอ้ งออกค่ำใชจ้ ่ำยดว้ ยตำมส่วนแหง่ ประโยชน์ 7. ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1392 เจำ้ ของทรัพยอ์ ำจเรยี กใหย้ ำ้ ยภำระจำำ ยอมไปยังส่วนอน่ื ได้ ในกรณี ภำระจำำ ยอมแตะตอ้ งเพียงส่วนหนง่ึ แห่งภำรยทรัพย์ 8. ถำ้ ภำรยทรพั ย์สลำยไปท้งั หมด ภำระจำำ ยอมจะมผี ล สิน้ ไปโดยผลของกฎหมำย 9. ถ้ำมกี ำรแบ่งแยกภำรยทรัพย์ ภำระจำำ ยอมยังคงมีอยู่แก่ทกุ ส่วนท่ีแยกออกไป 10. ภำระจำำ ยอมนั้นถำ้ ไม่ไดใ้ ชไ้ ปภำยในระยะเวลำเท่ำใดยอ่ มสนิ้ ไป คำาตอบ ไม่มีกำรสิ้นไปโดย ไมใ่ ช้ 11. ทรพั ยส์ นิ ทเ่ี ป็นสำมยทรพั ย์ไดจ้ ะตอ้ งเปน็ ทรัพยส์ ิน เฉพำะอสังหำรมิ ทรัพย์ 12. กำรได้ภำระจำำ ยอมโดยผลของกฎหมำยแล้ว ต่อมำอำจได้ภำระจำำยอมโดยอำยุควำมอีกใน กรณีเดยี วกนั ได้ หำกได้ใชส้ ิทธโิ ดยครบหลกั เกณฑต์ ำมกฎหมำย 13. เร่ืองเกี่ยวกับภำระจำำ ยอมและทำงจำำ เป็น ภำระจำำ ยอมไม่จำำ กัดประเภทสิทธิ แต่ทำงจำำเป็น จำำ กัดเฉพำะกรณีทำงสัญจร 14. ทำำ ทำงภำระจำำ ยอมเดิมจำกโรยกรวดเป็นเทคอนกรีต ไม่เป็นกำรทำำให้เกิดภำระเพ่ิมขึ้นแก่ ภำรยทรัพย์ 15. ภำระจำำ ยอมเป็นทรพั ยสทิ ธิชนิด จำำ กัดตดั ทอนกรรมสิทธิ์ 16. ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1391 เจ้ำของสำมยทรัพย์มีสิทธิทำำ กำรทุกอย่ำงอันจำำเป็นเพ่ือ รักษำและใช้ภำระจำำ ยอม แต่จะก่อให้เกิดควำมเสียหำยแก่ภำรยทรัพย์ ได้ก็แต่น้อยที่สุดตำม พฤตกิ ำรณ์ 17. ถ้ำภำระจำำ ยอมแตะต้องเพียงส่วนหน่ึงแห่งภำรยทรัพย์นน้ั อำจเรยี กให้ย้ำยไปยังส่วนอื่นก็ได้ แตต่ ้องแสดงไดว้ ำ่ กำรยำ้ ยน้นั เป็นประโยชนแ์ ก่ตน 18. กรณีถ้ำมีควำมเป็นไปมีทำงให้กลับใช้ภำระจำำ ยอมได้ ภำระจำำ ยอมน้ันอำจกลับมีขึ้นอีกได้ นน้ั เป็นกรณี ภำระจำำ ยอมหมดประโยชน์แก่สำมยทรพั ยโ์ ดยสิ้นเชิง สอบซ่อมวนั อาทติ ยท์ ี่ 6 สิงหาคม 2549 เวลา 08.30-11.00 น.

49 19. ภำระจำำยอมท่ีได้จดทะเบียนไว้แล้ว ถ้ำภำรยทรัพย์และสำมยทรัพย์ตกเป็นของเจ้ำของคน เดียวกนั จะต้องเพิกถอนกำรจดทะเบียน มิฉะนน้ั ยงั คงมผี ลอยใู่ นส่วนบุคคลภำยนอก 20. กรณีไม่ได้ใช้ภำระจำำยอมเป็นเวลำ 10 ปี ภำระจำำ ยอมน้ันย่อมส้ินไปทุกกรณีไม่มีข้อ ยกเวน้ หนว่ ยที่ 8 ทรพั ย์สิทธอิ ่นื ๆ 1. สิทธิอำศัย สิทธิเหนือพ้ืนดิน สิทธิเก็บกิน และภำระติดพันในอสังหำริมทรัพย์เป็นทรัพย์สิทธิอันเก่ียว กับอสังหำริมทรพั ย์ ท่กี ำำหนดใหบ้ ุคคลมสี ิทธิใช้ได้ หรือได้รบั ประโยชน์จำกอสังหำรมิ ทรพั ยข์ องผูอ้ ื่น หรือกล่ำวอีกนัยหน่ึงเป็นทรัพย์สิทธิ์ที่จำำกัดตัดทอนสิทธ์ิของเจ้ำของอสังหำริมทรัพย์ท่ีอยู่ภำยใต้แห่ง สิทธิเหลำ่ นี้ 2. กำรไดม้ ำ กำรเปลี่ยนแปลง และกำรระงับสิน้ ไปของทรัพยสทิ ธิอ่นื ๆ นน้ั จะต้องทำำ เปน็ หนังสือและจด ทะเบียนตอ่ พนกั งำนเจ้ำหนำ้ ที่ 3. ทรัพยสิทธิอื่นๆนี้ อำจมีกำำ หนดเวลำหรือกำำ หนดตลอดชีวิตของผู้ทรงสิทธิหรือผุ้รับประโยชน์หรือ เจำ้ ของอสังหำริมทรัพย์ทีอ่ ย่ภู ำยใตบ้ ังคับสทิ ธนิ นั้ ๆ หรือมีกำำ หนดเวลำกไ็ ด้ 8.1 สิทธิอาศัย 1. สิทธิอำศัยเป็นทรัพยสิทธิท่ีกำำหนดให้ผู้ทรงสิทธิ และบุคคลในครอบครัวอยู่อำศัยในโรง เรือนของผอู้ ืน่ โดยไม่ตอ้ งเสียค่ำเช่ำ 2. กำรได้มำ กำรเปลี่ยนแปลง และกำรระงับส้ินไปของสิทธิอำศัยนั้น จะต้องทำำเป็นหนังสือ และจดทะเบยี นตอ่ พนักงำนเจ้ำหน้ำท่ี 3. สิทธอิ ำศยั เป็นสทิ ธิเฉพำะตวั ของผ้ทู รงสทิ ธิ จงึ ไม่อำจโอนหรือรับมรดกกนั ต่อไปไมไ่ ด้ 4. สิทธิอำศัยอำจมีกำำ หนดเวลำหรือกำำ หนดตลอดชีวิตของผู้ทรงสิทธิอำศัย หรือไม่มีกำำ หนด เวลำก็ได้ 8.1.1 ลักษณะของสิทธิอาศยั ลักษณะของสิทธอิ ำศยั ท่สี ำำคัญมอี ย่ำงไรบำ้ ง สทิ ธิอาศยั มีหลักสำาคัญดังตอ่ ไปน้ี (1) สิทธิอำศัยเป็นสิทธิท่ีให้บุคคลใดมีสิทธิอยู่อำศัยในโรงเรือนของผู้อ่ืน โดยไม่เสียค่ำเช่ำ และมี สทิ ธิเกบ็ ดอกผลธรรมดำเพยี งเท่ำที่จำำ เปน็ แก่ควำมต้องกำรของครัวเรอื น (2) สิทธิอำศัยจะได้มำโดยทำงนิติกรรมเท่ำนั้น และจะต้องทำำ เป็นหนังสือและจดทะเบียนกำรได้ มำน้ันตอ่ พนกั งำนเจ้ำหนำ้ ทจ่ี งึ จะมีผลเป็นทรัพย์สิทธใิ ชอ้ ำ้ งยนั บุคคลท่ัวไปได้ สอบซ่อมวนั อาทิตยท์ ่ี 6 สิงหาคม 2549 เวลา 08.30-11.00 น.

50 (3) สทิ ธอิ ำศัยเป็นสิทธเิ ฉพำะตวั ของผูท้ รงสิทธอิ ำศัยจงึ โอนกันไม่ได้ แมโ้ ดยทำงมรดก (4) สทิ ธอิ ำศัยอำจมีกำำหนดเวลำหรอื ไม่ก็ได้ และจะกำำ หนดตลอดชีวิตของผูท้ รงสิทธิอำศัยกไ็ ด้ ก. ให้ ข. อำศัยอยู่ในบ้ำนของตนโดยไม่ต้องเสียค่ำเช่ำบ้ำนมีกำำหนด 10 ปี และได้ทำำ สัญญำต่อ กันไว้เป็นหนังสือ ต่อมำ ข. อยู่ในบำ้ นของ ก. ได้ 5 ปี ก. ยกบ้ำนน้ันกับ ค. ค. ไม่ยอมให้ ข. อยู่ในบ้ำน นัน้ ต่อไป ข. ก็ไม่ยอมออกจำกบ้ำนน้ันโดยอ้ำงว่ำตำมสัญญำระหว่ำงตนกับ ก. นัน้ ตนมีสิทธิอำศัยในบ้ำนนี้ อีกเป็นเวลำ 5 ปี และ ค. รับโอนบ้ำนนั้นไปโดยไม่สจุ รติ และไม่เสยี ค่ำตอบแทน ดังน้ีระหวำ่ ง ข. และ ค. ผู้ ใดมีสิทธใิ นบำ้ นดงั กลำ่ วน้ดี กี ว่ำกัน จำกอุทำหรณ์ ค. ผ้รู บั โอนบ้ำนจำก ก. มีสิทธิดกี ว่ำ ข. ผู้อำศัยในบ้ำนหลังน้ัน ส่วน ข. นัน้ แม้จะมี สัญญำให้สิทธิอำศัยระหว่ำงตนกับ ก. แต่สัญญำดังกล่ำวเป็นเพียงบุคคลสิทธิใช้อ้ำงยันได้ระหว่ำงตนกับ ก. เท่ำนั้น เนื่องจำกกำรได้มำซ่ึงสิทธิอำศัยเป็นกำรได้มำซ่ึงทรัพย์สิทธิชนิดหน่ึงน้ัน จะต้องทำำ เป็นหนังสือและจด ทะเบยี นต่อพนักงำนเจ้ำหน้ำทีจ่ ึงจะบริบรู ณ์เปน็ ทรัพยส์ ทิ ธิ แต่กำรไดม้ ำซึ่งทรพั ย์สทิ ธิอำศยั ของ ข. นน้ั เพียงแต่ ทำำเปน็ หนังสือแต่มิไดจ้ ดทะเบียนต่อพนกั งำนเจ้ำหน้ำทจ่ี ึงไม่อำจใช้อ้ำงยืนยันต่อ ค. ซึ่งเปน็ บุคคลภำยนอกได้ สำำ หรับข้ออ้ำงของ ข. ท่ีว่ำ ค. ไม่สุจริตก็ไม่ปรำกฏข้อเท็จจริงว่ำ ค. ไม่สุจริตแต่ประกำรใด และไม่มี กฎหมำยบัญญัติว่ำบุคคลภำยนอกจะต้องสุจริตหรือไม่ กำรท่ี ค. ไม่ได้เสียค่ำตอบแทนน้ันก็ไม่มีกฎหมำย บญั ญตั วิ ำ่ บุคคลภำยนอกจะตอ้ งเสียคำ่ ตอบแทนหรือไม่ ดังนนั้ ถำ้ ค. ไม่ตอ้ งกำรให้ ข. อยู่ในบำ้ นนนั้ ต่อไป ค. ย่อมมีสทิ ธิให้ ข. ออกจำกบ้ำนนั้นได้ 8.1.2 ผลของสิทธอิ าศัย ผูท้ รงสิทธอิ ำศัยมสี ทิ ธิและหนำ้ ทอ่ี ย่ำงไรบำ้ ง ผทู้ รงสิทธิอำศัยมสี ิทธแิ ละหนำ้ ทีด่ งั ต่อไปนี้ สิทธขิ องผูท้ รงสิทธอิ ำศยั (1)อย่อู ำศยั ในโรงเรือนของผอู้ ืน่ โดยไม่ตอ้ งเสยี ค่ำเช่ำ (2)เก็บดอกผลธรรมดำเพียงเทำ่ ทีจ่ ำำ เป็นแก่ควำมต้องกำรของครัวเรือน หนำ้ ท่ขี องผู้ทรงสิทธิอำศัย (1)ใชโ้ รงเรอื นตำมปกติประเพณหี รอื ทีก่ ำำ หนดไวใ้ นนติ กิ รรมกอ่ ต้ังสิทธอิ ำศัย (2)สงวนโรงเรอื นอย่ำงวิญญูชนจะพงึ สงวนทรัพย์สินของตน และบำำรุงรักษำและซ่อมแซมเล็กนอ้ ย (3)ยอมใหผ้ อู้ ำศยั หรือตัวแทนเขำ้ ตรวจดโู รงเรือนเป็นคร้ังครำว (4)ไม่ดัดแปลงตอ่ เตมิ โรงเรือน (5)สง่ คืนโรงเรอื นให้ผูใ้ หอ้ ำศยั เมอื่ สิทธอิ ำศยั ระงับส้นิ ไป 8.1.3 การระงับสิน้ ไปซ่งึ สิทธิอาศัย เหตุของกำรสิ้นไปซง่ึ สิทธิอำศยั มอี ย่ำงไรบ้ำง เหตุของกำรระงับสน้ิ ไปซ่ึงสทิ ธิอำศยั สอบซ่อมวันอาทติ ยท์ ี่ 6 สิงหาคม 2549 เวลา 08.30-11.00 น.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook