Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เรื่องจริงสอนใจ

เรื่องจริงสอนใจ

Published by thaiislamlib.com, 2022-06-08 05:27:39

Description: เรื่องเล่าที่เกิดจากเรื่องจริงในประวัติศาสตร์อิสลาม

Search

Read the Text Version

บาซันฏียสําราญและเพลิดเพลินใจอยูกับความเพอฝน ซึ่งขณะนี้เขามองเห็นประหน่ึงวา โลกท้ังโลกนน้ั อยใู ตฝา เทา ของเขาแลว ทันใดน้ันทานอมิ าม ไดเอยขน้ึ ในขณะทท่ี า นเทาแขนเพอื่ ท่ีจะลกุ ขนึ้ ยนื วา “โออ ะฮมัด !!” บาซันฏียซึ่งกําลังลองลอยไปกับความคิดถึงกับสะดุงและตื่นจากความฝน ทานอิมามจึง กลาววา “ทุกส่ิงทุกอยางที่เกิดข้ึนกับทานในค่ําคืนน้ี จงอยาใหมันเปนสาเหตุแหงความภาคภูมิใจ จนเกดิ การหย่งิ ทรนงตอบคุ คลอื่นอยางเด็ดขาด เพราะในอดีตที่ผานมา เม่ือซออะฮ บุตรของ ซูฮาน (หนึ่งจากผูชวยเหลือที่ยิ่งใหญของอิมามอะลี) ปวยหนัก ทานอิมามอะลีไดไปเยี่ยมเขาและแสดง ความมีเมตตา และไมตรีจิตรตอเขาโดยการเอาฝา มือของทานวาง และลูบไลบ นหนาผากและศีรษะ ของเขา และกอนอําลากลับทานอิมามอะลีไดกลาวกับเขาวา ”การแสดงออกของฉันที่มีใดๆ ตอเจา นี้มิไดเปนส่ิงพิเศษอันใดเลย ฉันทําสิ่งน้ีก็เพราะเปนหนาที่ที่ฉันจะตองกระทํา และผูใดก็ตามจง อยาไดยึดถือวา ส่ิงที่ไดรับจากการกระทําเชนนี้ คือสาเหตุแหงความดีเลิศของตนเองอยางเด็ดขาด มันมิใชเ ชนน้ันหรอก (เพือ่ มิไหน าํ ไปสูความทรนงตน) (41) 38….เมื่ออะกลี เปนแขกของทา นอมิ ามอะลี ในสมัยท่ีทานอิมามอะลีดํารงตําเหนงผูนําของอาณาจักรอิสลาม อะกีลไดเดินทางมายัง เมืองกูฟะฮซ่ึงเปนเมืองหลวงในขณะนั้น และเปนแขกของทานอิมามอะลีนองชายของเขา เม่ือไป ถึงอิมามอะลีไดกลาวกับลูกชายคนโตของทาน (อิมามฮาซัน) วา ใหนําเสื้อคลุมมามอบใหลุงเพ่ือ เปนของขวัญ อิมามฮาซันจึงนําเสื้อคลุมซ่ึงเปนสมบัติของทานเองมอบแกลุงของทาน เม่ือถึงเวลา พลบค่ํา ดวยเหตุท่ีอากาศรอนอบอาวทั้งสองจึงข้ึนไปน่ังสนทนากันบนดาดฟาของบานพัก จนกระทั่งเวลาอาหารคํ่ามาถึง ในฐานะที่เปนแขกของผูนําแหงมวลมุสลิม เปนธรรมดาอยูเองที่เขา จะตองนึกถึงอาหารท่ีหลากหลายสีสัน แตแลวเหตุการณก็ผิดไปจากที่เขาคาดหวังไว อาหารท่ีถูก จัดข้ึนเปนเพียงอาหารธรรมดาไมมีอะไรพิเศษเลยแมแตนอย เขาจึงถามอิมามอะลีผูเปนนองชาย ดวยความฉงนวา “นค่ี ืออาหารทง้ั หมดท่ีมหี รอื ” อิมามอะลี : “แลว น่ีไมใ ชค วามโปรดปรานของพระผเู ปน เจา ดอกหรือ ตัวฉันเองยังขอบคุณตอ พระองคอ ยเู สมอถึงความโปรดปรานอนั มากมายน้”ี อะกลี : “เม่ือเปนเชน นั้นฉัน จะตอ งรบี บอกถึงเปา หมายท่ีฉนั มาเปนแขกของเจาเสียเลยดีกวา เพราะฉนั จะไดรีบกลับไปบาน เพ่ือเจาจะไดไมตองลําบากมากนัก เรื่องมีอยูวา ฉันตกตกอยูภายใต ภาวะท่ีมีหนี้สินมากมาย จึงอยากขอใหเจาชวยสั่งใหคนไปจายหนี้ใหแกฉันโดยเร็วดวยเถิด (ดวย ยจากอํานาจที่เจามีอยู) และจากนั้นถาอยากจะชวยเหลือพ่ีชายของเจาอีกสักเล็กนอย ก็ตามแตใจ จะปรารถนา” อมิ าม อะลี : “ทา นมีหน้ีสนิ อยเู ทาไหรห รอื ” อะกลี : “หนึง่ แสนดิรฮัม” 50

อิมาม อะลี : “หน่ึงแสนดิรฮัม ทําไมถึงมากมายขนาดน้ัน ฉันเสียใจจริงๆ พี่ชายเอย ฉันไมมี ทรัพยส ินมากมาย ขนาดท่จี ะจา ยหนสี้ นิ ใหท า นไดหรอก แตอยางไรก็ตาม อีกไมนานเม่ือถึงเวลาฉัน ไดรับเงินคาตอบแทน ฉันจะนําเอาไปใหแกทาน เพ่ือใหทานผอนคลายหนี้สินลงไปไดบาง และ มาตรวาครอบครัวของฉันไมมีรายจายเลยละก็ ฉันจะยกเงินคาตอบแทนสวนท่ีเปนของฉันใหทาน ทงั้ หมดเลยโดยไมเหลอื ไว” อะกีล : “อะไรกัน เจาจะใหฉันคอยจนถึงเวลาจายเงินเดือนกระนั้นหรือ ในขณะท่ีทรัพยสิน ของคลังกลางอยูในมือของเจา แลวบอกใหฉันคอยจนกวาจะแบงเงินคาตอบแทนของเจาใหแก ฉัน… เจาสามารถท่ีจะใชจายเงินจากคลังกลางเทาใดก็ไดที่ปรารถนา แลวทําไมตองปลอยใหถึง เวลารับเงินคาตอบแทนเลา ขอถามเจาวาเงินคาตอบแทนของเจามีสักเทาไหรหรือ สมมุติวาเจายก ใหแ กฉ นั ท้ังหมด เงินจาํ นวนน้ันจะชวยเหลือฉนั ไดม ากนอยเพียงใดกัน” อิมาม อะลี : “ฉันแปลกใจกับคําแนะนําของทานมาก เงินกองคลังกลางจะมีหรือไมมี มัน เกี่ยวของอะไรกับเราสองคนหรือ ฉันกับทานก็เปนประชาชนธรรมดาที่ไมมีความแตกตางอะไรไป จากประชาชนคนอื่นๆ เลย ใชแลวในความเปนจริงทานคือพ่ีชายของฉัน และฉันจําเปนที่จะตอง ชวยเหลอื ทานเทาท่สี ามารถจะชว ยได แตตองจากเงินทองของฉนั ไมใชเ งนิ ของคลงั กลาง“ ถอยคําในการตอบโตระหวางท้ังสอง ดําเนินตอไปจนกระทั่งอะกีลไดขอใหทานอะลีอนุญาต ใหคนจายเงนิ ของคลงั กลาง จายเงินแกเขาในจาํ นวนทีเ่ พียงพอ เพ่ือจะไดนําไปชาํ ระหนีส้ ิน สถานที่ซึ่งท้ังสองน่ังคุยกันอยูนั้น สามารถมองเห็นตลาดภายในเมืองกูฟะฮไดอยางชัดเจน และภายในตลาดมีตูนิรภยั สาํ หรบั เกบ็ ทรพั ยสนิ เงินทองของเหลาพอคา วางอยู ในขณะทอ่ี ะกีลยงั คง ยืนยันรองขออยางเดิมอยูน้ัน ทานอะลีจึงกลาวกับอะกีลวา “ถาหากทานยังไมยุติความคิดเชนน้ัน และไมยอมรับฟงเหตุผลจากฉัน ดังนั้นฉันจะแนะนําใหทานปฏิบัติอะไรสักอยางหนึ่ง ซ่ึงถาทานทํา สําเรจ็ ทานสามารถทจ่ี ะชาํ ระหน้ีสนิ ไดห มดสนิ้ อยางแนน อน และอาจจะยังเหลือเงนิ อกี มากมาย” อะกลี : “กระทาํ สง่ิ ใดหรอื ” อิมามอะลี : “จงมองลงไปที่ตลาดขางลางน้ัน ทานจะเห็นวามีตูเก็บเงินอยูมากมาย ฉะน้ัน เมือ่ ตกดึกปราศจากผูคนอยูใ นตลาด จงลงไปแลวทาํ ลายตนู ้นั เสยี จากนั้นทา นตอ งการทรพั ยสินสัก เทา ไหรกจ็ งหยบิ เอาตามใจปรารถนา” อะกีล : “ตเู ก็บเงินของใครกนั ” อิมามอะลี : “ของพอ คาประชาชน ซ่งึ ไดเ กบ็ รักษาเงินทองเอาไวในตูน ัน้ ” อะกีล : “โอ ไฉนเจาจึงแนะนําฉันใหทําลายตูทรัพยสินของประชาชน ซึ่งพวกเขาอุตสาหะใน การทํามาหากินกวาจะไดเงินมา แลวนํามาเก็บรักษาไวในตูน้ี แสดงวาเจาจะใหฉันไปขโมยมันมา หรือ” อิมามอะลี : “ฉะนั้นที่ทานแนะนําใหฉันเปดคลังกลางของบรรดาประชาชน เอาทรัพยสิน มอบใหแกทาน แลวน่ันคือทรัพยสินของใครกันละ น่ีก็เปนทรัพยสมบัติของประชาชนเชนเดียวกัน 51

ประชาชนซ่ึงพวกเขากําลังนอนหลับอยางสบาย โดยไมรูอิโหนอิเหนภายในบานของพวกเขาขณะนี้ ยงั ไงละ หรอื จะใหฉันแนะนาํ ทา นอกี สกั อยา งหนงึ่ ถาทานตอ งการ” อะกีล : “แนะนําอะไรกันอีกละ” อิมามอะลี : “ถาทานพรอมแลวก็จงหยิบดาบของทานข้ึนมา ฉันก็จะหยิบดาบของฉัน เชนเดียวกัน ใกลๆ เมืองกูฟะฮมีเมืองเกาแกอยูเมืองหนึ่งช่ือ ฮีเราะฮ ท่ีน่ันมีผูทําธุรกิจการคาที่ ร่ํารวยหลายคน เราท้ังสองเขาไปแลวปลนพอคาสักคนหน่ึงจากพวกเขาเหลาน้ัน และฉวยเอาเงิน ทองอนั มากมายนัน้ มาเสยี บา ง” อะกลี : “โอนองชายของฉันเอย ฉันมิไดม าทน่ี ่ี เพอื่ ท่จี ะขโมยทรัพยข องผูคน ดงั ที่ทานแนะนํา เลย ฉันเพียงแคบอกเจา วา ขอใหอนญุ าติใหจายเงินจากคลังกลางใหฉันสักเล็กนอย เพื่อที่ฉันจะได นาํ ไปชาํ ระหนี้สิน” อิมามอะลี : “ไมเปนการดีกวาหรือ ท่ีจะขโมยทรัพยสินจากคนเพียงคนเดียว กับการท่ีจะ ขโมยทรัพยสินของบรรดาประชาชนท้ังมวล หมายถึงทรัพยสินที่เปนของประชาชนทุกคน เปนไปได อยางไรที่เราเอาเงินของคนๆ หน่ึงดวยคมดาบเปนการขโมย ในขณะที่ฉกฉวยเอาเงินของผูคน ทั้งหมดไมใ ชการขโมย ทานคดิ หรือวาการขโมยนน้ั หมายถงึ การที่บุคคลหนึ่งทาํ รายอีกคนหนึ่ง และ แยงชิงเอาทรัพยสินของเขาผูนั้นไป การขโมยที่รายแรงท่ีสุดจากการขโมยประเภทตางๆ ก็คือส่ิงท่ี ทา นไดแ นะนําใหฉ นั กระทาํ ขณะนนี้ น่ั เอง” (42) 39… ความฝน ท่นี าสะพึง เขารูสกึ กังวลใจและรอ นรุมเปน อยางยงิ่ กับความฝนที่เขาฝนเห็น ทุกคร้ังเม่ือตีความหมาย ออกมาทําใหเขารูสึกหวาดผวาตอสิ่งนั้น เขาจึงเขาพบทานอิมามซอดิก ดวยความกังวลใจยิ่ง และ เลาความฝนของเขาใหทานอิมามซอดิกฟงวา “ฉันฝนวา ฉันเห็นเหมือนกับมีเงามืดที่มองเห็นอยาง เลอื นรางคลา ยคนควบมาเขา มา ในมอื ของเขามีดาบคมกรบิ พรอ มกบั กวัดแกวง ไปมาในอากาศเม่ือ ต่นื ขึน้ ฉันหวาดกลวั และตกใจมาก จงึ อยากใหทา นอมิ ามโปรดแกฝน นี้วา หมายถงึ สิง่ ใด” ทานอิมาม : “แนนอนจะตองมีชายผูหนึ่งที่ทานรูจัก และเขามีทรัพยสมบัติอยู เพราะทานมี ความคิดท่ไี มดตี อ เขา คือทานตองการทีจ่ ะยึดเอาสมบัติของเขามา โดยวิธีการตางๆ ที่ทานสามารถ จะกระทําได ขอใหทานจงเกรงกลัวตอพระเจา ซึ่งสรางทานมาและจะเรียกเจากลับคืนพระองค เม่ือใดก็ได จงเกรงกลวั พระองค และลมเลิกความคิดนนั้ เสียเดีย่ วนี้” ชายผูนั้น : “สัจธรรมแหงผูรูท่ีแทจริงคือทาน และทานไดรับความรูมาจากสัจธรรมนั้น ฉัน ขอสารภาพวา ฉันมีความคิดเชนน้ันจริงๆ คือเพื่อนบานของฉัน มีไรอยูแปลงหน่ึง และเขามีความ รอนรนท่ีจะใชเงินอยางมาก จึงตองการที่จะขายท่ีแปลงนั้น ซึ่งไมมีใครซื้อไดนอกจากฉัน ทุกวันฉัน เฝาคดิ หาหนทางวา จะทาํ อยา งไร ทจ่ี ะเปนเจา ของที่แปลงนนั้ ดวยจํานวนเงนิ ท่ีนอยทส่ี ุด” (43) 52

40… ณ. ทพี่ ํานกั ของบนีสะอีดะห ในคํ่าคืนหนึ่งขณะที่มีฝนตกเล็กนอย และอากาศชื้น อิมามซอดิก ไดใชความเงียบสงบดึก สงัด และคํ่าคืนที่มืดมิด ออกมาจากบานของทานมุงสูซอลละห บะนี สะอีดะฮเพียงผูเดียว โดย ไมไดบอกกลาวแกผูใดเลย ขณะน้ันมุอัลลา บุตรของคานีสสาวกผูหนึ่งของทานอิมาม ไดเฝามอง การเดินออกไปจากบานของทานอิมามอยูหางๆ และรําพึงกับตนเองวา “ฉันจะยอมใหทานอิมามอ อกไปขางนอกโดยลําพังผูเดียว ในยามดึกด่ืนเชนน้ีไดอยางไรกัน เขาจึงออกเดินตามทานอิมามไป หางๆ เพียงเห็นเงามืดของทานอิมามเทานั้นเอง ในขณะท่ีเขาเดินสังเกตการณตามทานอยู ทันใด นั้นเอง เขามองเห็นเหมือนกับมีส่ิงหนึ่งตกลงมาจากบาของทานอิมามลงสูพ้ืนดิน และไดยินเสียง ทานอิมามพูดวา “โอพระองค จงคืนส่ิงนี้แกเราดวยเถิด” มุอัลลาจึงรีบเขาไปหาทานอิมมาม และ กลา วสลาม เม่ือทา นอมิ ามไดย ินเสยี งมอุ ลั ลา ทา นจําไดจงึ ถามขึน้ วา “เจาคอื มุอลั ลาใชม้ยั ” มอุ ลั ลา : “ใชขอรับทา นอมิ าม “ หลังจากท่ีเขาตอบทานอิมามแลว เขาไดเพงมองไปยังสิ่งของที่ตกลงบนพ้ืนและหกกอง กระจัดกระจายอยูทั่วพ้ืน เขาจงึ เหน็ วา มันคือขนมปง จํานวนหนง่ึ ทานอมิ าม : “เก็บรวบรวมมันจากพื้นใหฉันหนอ ย” มุอัลลารีบเก็บขนมปงท่ีกองอยูบนพ้ืนรวบรวม แลวก็สงใหทานอิมาม ซ่ึงเม่ือเก็บรวมแลวก็ เต็มถงุ หนังใบใหญใบหนึ่ง ทคี่ นเพียงคนเดยี วจะยกมนั ดวยความลาํ บากพอสมควร เพื่อข้ึนบนบา มอุ ัลลา : “ขออนุญาติใหฉันไดแ บกมนั เองเถิด” ทานอิมาม : “ไมตอ งหรอก ฉันมีความเหมาะสมกวา เจา ท่จี ะกระทําสงิ่ นั้น “ ทานอิมามจึงยกถุงหนังใสขนมปงขึ้นบา และเดินตอไปพรอมดวยมุอัลลา จนถึงซอลละห บนี สะอีดะฮ ท่ีนั่นคือท่ีพํานักของผูยากไรและขัดสน และที่นั่นคือที่พํานักของผูที่ไมมีที่พักอาศัย ทั้งหมดกําลังหลับสนิท ไมมีใครต่ืนอยูเลยแมเพียงคนเดียว ทานอิมามจึงแจกจายขนมปงโดยสอด เอาไวใ ตเสอื้ ของแตล ะคนจนครบ มุอัลลา : “พวกเขาท้ังหมดเปนชีอะฮ และยอมรับการเปนอิมามของทานหรือ ทานถึง ลําบากเอาขนมปงมาใหพ วกเขาในคา่ํ ดนื่ เชนนี”้ อิมาม : “ไมหรอก พวกเขาไมมีความเช่ือตอความเปนผูนํา (ของฉัน) หรอก มาตรวาพวก เขามคี วามเชื่อตอ เร่ืองผูนาํ ฉันจะนาํ เกลือมาใหพวกเขาดวย (44) 41… สลามของพวกยาฮดู ีย วันหน่ึงขณะที่ทานหญิงอาอิชะฮภรรยาของทานศาสดา กําลังน่ังอยูกับทานศาสดา ขณะนั้นมีชายชาวยิวผูหนึ่งเขามาหา และกลาวทักทายแสดงความสันติแกทานศาสดา ดวยคําวา “อัซาม อะลยั กุม” ซ่ึงหมายถึง ความตายจงมีแกทาน ตอมาอีกช่ัวครู อีกคนหน่ึงตามเขามาอีก และ กลาวแกทานศาสดาเชนเดียวกับคนแรก แนนอนมันไมใชเร่ืองบังเอิญ แตมันคือแผนการท่ีจะกล่ัน 53

แกลงทานศาสดา ดวยถอยคําดังกลาว จึงเปนเหตุใหทานหญิงอาอิชะฮมีความโกรธอยางมาก ทา นถงึ กบั ตะโกนใสห นาพวกเขาวา ”ความตายจงมีแกพ วกเจา นั่นแหละ” ทานศาสดาจึงกลาววา “โอ อาอิชะฮ จงอยาไดใชถอยคําท่ีไมสุภาพ เพราะถอยคําที่หยาบ และไมสุภาพนั้น ถามันกอตัวข้ึนเปนรูปรางแลว มันก็จะเปนรูปแบบที่นาเกลียดท่ีสุด ความนอบ นอมและความอดทนนั้น มาตรวามันไดถูกวางอยูในทุกๆ สิ่งแลว สิ่งนั้นก็จะเปนสิ่งที่สวยงาม และ ถาความออนโยนน้ี ถูกยกออกไปจากส่ิงใดก็ตามความสวยงามของส่ิงน้ัน ก็จะถูกลบเลือนไป ในทนั ที ไฉนเจา จึงโมโหและโกรธเคอื งละ” อาอิชะฮ : ”โอทานศาสดา ทานมิไดยินดอกหรือวา พวกเขาหยาบคายและยโสโอหัง เพียงใดทีไ่ ดก ลาวแทนคาํ ทักทายวาอยา งไร” ทานศาสดา : ”ไดยินซิ ทําไมจะไมไดยิน ฉันก็ไดตอบแกพวกเขาไปแลวเชนกันวา อะลัย กมุ (บนทา นดว ยเชน กนั ) แคนกี้ ็เปนการเพียงพอแลว ” (45) 42… จดหมายฉบับหน่ึงทีส่ งมายงั อบซู ัร ฆฟิ ฟารี อบูซัรไดรับจดหมายฉบับหน่ึง เม่ือเปดอานดูจึงรูวาถูกสงมาจากแดนไกล บุคคลผูหน่ึงได เขียนจดหมายมาขอคําตักเตือนท่ีครอบคลุมเน้ือหาอยางกวางๆ ซึ่งบุคคลน้ีรูจักอบูซัรดีวาเปนที่รัก และเอ้ืออาทรของทานศาสดา ซึ่งทานนิยมยกยองเขาอยางมากมาย พรอมกับสอนวิทยปญญาให อยูเสมอ อบูซัรไดตอบจดหมายเปนประโยคสั้นๆ ประโยคเดียว ซ่ึงมีใจความวา จงอยาปฏิบัติสิ่งท่ี ไมดี และจงอยาเปนศัตรูกับคนท่ีเจารักมากที่สุดในหมูประชาชนท้ังหลาย เขาปดผนึกจดหมาย แลวสงกลับไปยังผูที่ขอคําตักเตือนมา ตอมาไมนาน เม่ือผูน้ันไดรับจดหมายที่ตอบกลับมาของอบู ซัร และหลังจากอานจดหมายน้ันแลวเขาไมเขาใจเลย วาหมายความวาอยางไร เขาครุนคิดและ ถามตัวเองวา ”นี่คืออะไร “ อบูซัรตองการบอกอะไรแกฉันหรือ จงอยาปฏิบัติส่ิงที่ไมดี และจงอยา เปน ศตั รกู ับคนท่ีเจารักมากที่สุดในหมูประชาชนทั้งหลาย มันหมายถึงส่ิงใดกัน เปนที่รูๆ กันอยูแลว ในส่ิงน้ี ไมตองบอกก็รูวาตองทําดีกับคนที่เรารัก จะเปนไปไดหรือ ท่ีมนุษยคนหนึ่งมีผูเปนที่รักย่ิง ของเขา (หรือคนที่รักท่ีสุดในบรรดาคนที่เขารักท้ังหมด) แลวมนุษยคนนั้น จะปฏิบัติไมดีหรือเปน ศัตรูกับผูเปนที่รักยิ่งของเขา เปนไปไมไดอยางแนนอน และอบูซัรก็เปนเสมือนลุกมานของ ประชาชาติ และเปนผูท่ีมีสติปญญาท่ีเฉลียวฉลาดเฉียบแหลม เขาจึงไมมีทางเลือกอื่นใดอีก นอกจากตอ งถามกลบั ไปยังอบูซรั และขอคาํ อธิบายจากตวั เขาเอง เขาจึงเขียนจดหมายไปหาอบูซัร อีกคร้ังหนึ่ง เพื่อขอความกระจางจากคําพูดประโยคนั้น อบูซัรจึงตอบกลับไปวา “ความหมายของ ฉันก็คือ ผูท่ีเปนท่ีรักยิ่งของเจาในหมูผูคน ก็คือตัวของเจาเอง มิไดหมายถึงบุคคลอื่นใด เพราะเจา รักตัวของเจาเอง ยิ่งกวาบุคคลอื่นแนนอนท่ีสุด ท่ีฉันบอกวาจงอยาเปนศัตรูกับคนท่ีเจารักมากที่สุด กวาทุกคน หมายถึงจงอยาแสดงกิริยาที่เปนปรปกษกับตนเอง หรือเจาไมรูวาทุกการกระทําบาป 54

และขัดขืนคําสั่งของพระองคนั้น มันจะเปนภัยอันตรายตอตัวเจาเองโดยตรง และภัยอันตราย เหลานั้นจะตกอยกู ับตัวเจา เอง” (46) 43… สินจา งท่ไี มไดกําหนดราคา วันหนึ่งท่ีสุไลมานบุตรของญะอฟร ญะอฟารีและอิมามริฎอ มีกิจธุระรวมกันอยูนอกเคหะ สถาน จนกระทั่งตะวันใกลจะลับขอบฟา สุไลมานจึงขอตัวเพื่อกลับไปบานของเขา แตทานอิ มามริฎอ ไดกลาวเเกเขาวา ”จะเปนการดีกวามาตรวาทานจะไปยังบานของฉัน และคางคืนท่ีนั่น เพ่อื ปรึกษาหารือกนั ” สุไลมานจึงนอมรับคําเชิญน้ัน เม่ือเขาไปในบริเวณบาน ทานอิมามเห็นคนรับ ใชของทานกําลังสาละวนอยูกับการเพราะปลูกดอกไม และทานเหลือบไปเห็นชายแปลกหนาคน หนง่ึ กําลงั ชว ยปลกู ดอกไมอยดู ว ยอยา งขมกั เขมน ทา นอมิ าม จึงถามวา ”น่นั ใครกนั บรรดาคนใช : วันนเ้ี ราไดจ า งเขามาเองเพอื่ ใหชว ยทาํ งานกับเรา” อิมาม : “กด็ ี แลวพวกเจา กําหนดคาจา งของเขาเทา ไหร” บรรดาคนใช : “เรามิไดกําหนดคาจางเอาไว แตอยางไรก็ตาม เราจะใหคาตอบแทนแกเขา และจะทําใหเขาพอใจตอส่งิ นั้นในทส่ี ดุ ” อมิ ามแสดงสหี นา บง บอกถึงความไมพ อใจตอพวกเขาอยา งมาก จากน้นั จึงหนั ไปทางคนใช เหลาน้ัน และตําหนิการกระทําของพวกเขาอยางมาก พรอมกับการแนะนําส่ังสอน สุไลมานไดเขา มาหาทานอิมาม แลว พูดข้นึ วา “ไฉนทานจึงตอ งไมพอใจดวยเลา อมิ าม : “ฉันเคยบอกพวกเขาหลายครั้งแลววา ถาไมไดก ําหนดคาจางไวใหชัดเจน ก็จงอยา จางใครมาทํางาน ประการแรกคือกําหนดคาจางใหแกเขากอน แลวใหเขาทํางานเพราะถาเรา ปฏิบัติเชานั้น (กําหนดคาจาง) เมื่อเสร็จส้ินจากการงาน นอกจากคาแรงงานที่เราจายใหเขาแลว เราอาจจะเพ่ิมใหเขาอีกนอกเหนือจากคาแรงท่ีกําหนด เขาก็จะขอบคุณ และมีความรักตอนายจาง เพราะใหเงินเขา มากกวาท่ีเรากําหนดเอาไวแตตน ความรักระหวางเรากับเขาจะมีมากขึ้น หรือ เพียงแตเราใหคาแรงเขา ตามท่ีกําหนดเอาไว เขาก็พึงพอใจอยูแลว แตตรงกันขาม ถาหากเราไมได กําหนดคาแรงเอาไวตั้งแตตนแลวไซร็ ก็ใหเขาทํางาน จนเม่ือเสร็จส้ินจากงานแลว เราจึงยื่นใหเขา เทาที่เราตองการ ถึงแมวาเปนจํานวนมากก็ตาม เรารูหรือวาเขาจะพึงพอใจ และมีความรักตอเรา บางทีเขาอาจจะคิดวา เรานั้นใหคาแรงแกเขานอยมาก (เพราะไมไดกําหนดเอาไวกอนลงมือ ทํางาน) (47) 44… บา วหรือนาย (ถอ ยคาํ อนั ศักด์ิสิทธิ ประหนึง่ มนตสกด) เสียงสังสรรเฮฮาดังล่ันออกมาจากบานหลังหน่ึง ซ่ึงไมวาใครก็ตาม ท่ีเดินผานหนาบานหลัง น้ัน ก็จะรูไดทันทีวาเกิดอะไรขี้น เพระวาเครื่องดองของเมาถูกนํามาดื่มกินกันอยางสนุกสนามเปน นิจสิน คนทําความสะอาดเดินออกมาจากบานหลังนั้น เพ่ือทิ้งขยะนอกบาน ขณะนั้นเองมีชายผู 55

หน่ึง ซ่ึงใบหนาของเขาบงบอกถึงการเปนผูปฏิบัติคุณธรรมความดีอยางมากมาย กับรองรอยแหง การกมกราบอันยาวนานปรากฏบนหนาผากปรากฏใหเห็น เขาเดินผานมาทางน้ัน และถามคนรับ ใชผนู ั้นวา “เจาของบานหลงั น้ีเปนบาวหรือเปน นาย” คนรับใช : “เปน นายครับ” ชายผูน้ัน : “แนนอนทีเดียว เขาตองเปนนายแน ถาเขาเปนบาวละก็ เขาจะตองมีความเกรง กลัวตอ นายที่แทจ รงิ ของเขาบาง และเขาจะไมจดั เตรยี มสิ่งตอ งหามมาบรโิ ภคเชนนี้แนน อน” การสนทนาพดู จากนั ระหวางคนรับใชกับชายผูนั้น เปนไปอยางยาวนานพอสมควร จนเปน เหตุใหเมื่อคนรับใชกลับเขาไปในบาน จึงถูกนายสอบถามวา “ไฉนจึงลาชานัก” คนรับใชจึงเลา เรือ่ งราวใหฟงโดยละเอียด ตัง้ แตบุคลิกภาพของชายแปลกหนา ตลอดจนถอยคําสนทนาท่ีไดพูดจา กันโดยเฉพาะประโยคที่วา “เขาตองเปนนายแนนอน” เพราะถาเปนบาวก็จะตองเกรงกลัวนายที่ แทจริงเมื่อไดรับฟงเร่ืองราวจากปากคําของคนรับใช ทําใหเขาครุนคิดอยูครูหนึ่ง และคําพูดที่วา “ถาเขาเปนบาวเขาจะเกรงกลัวตอนายผูมีเอกสิทธิทุกๆ อยางเหนือเขา” มันเปรียบเสมือนคมมีดที่ กรีดลงบนหัวใจ จากน้ันเขาจึงลุกขึ้นจากท่ีนั่งอยางฉับพลัน วิ่งออกจากบานไปโดยท่ีไมทันไดสวม รองเทาเขาพยายามตามหาเจาของคําพูดน้ัน เขาวิ่งตอไปจนกระท่ังพบกับเจาของคําพูดน้ัน ซ่ึงก็ มิใชใครอ่ืน นอกจากทานอิมามมูซา บุตรของญะอะฟรนั่นเอง (อิมามที่เจ็ด) เขาเขาไปฉวยมือทาน ไวแ นน และสารภาพความผดิ พรอ มกับขออภยั โทษตอ พระผูเปนเจาทันทตี อทานอิมาม ประวัติศาสตรไดบันทึกเรื่องราวของชายผูซ่ึงว่ิงตามหาอิมามมูซาเพื่อสารภาพผิด และขอ อภัยโทษในวันน้ัน ที่เขาวิ่งมาดวยเทาเปลา และนับจากวันน้ันเขาจึงเปนท่ีรูจักกันในนาม “บาชัร บุตรของฮาริษ บุตรของอับดุรเราะฮมาน มัรวาซีย” หรือภายใตสมญานามท่ีวา “อัลฮาฟย” ซึ่ง แปลวา “เทา เปลา ” และทุกคนเรียกเขาวา บาชัร ฮาฟย จนกระท่ังนาทีสุดทายท่ีเขามีชีวิตอยู เขาได ปฏิบัติตามคําสัญญาที่ใหไวกับทานอิมาม โดยเขาไมกระทําบาปอีกเลย แมวาในอดีตเขาจะอยูใน จําพวกคนท่ีใชจายฟุมเฟอยสุรุยสุราย (ในฐานะบุตรของมหาเศรษฐี) แตหลังจากท่ีพบกับทานอิ มาม และกลับเนื้อกลับตัว เขาจึงไดอยูในแถวของบรรดาผูท่ีมีความยําเกรงและมีความศรัทธามั่น ตอ พระผเู ปน เจาตลอดอายขุ ยั ของเขา (48) 45… ณ มกี อต มาลิก บุตรของอะนัส เปนนักวิชาการศาสนาท่ีมีช่ือเสียงผูหน่ึงในเมืองมะดีนะฮ (49) ในป หนึ่งเขาไดเดินทางติดตามทานอิมามซอดิกไปทําพิธีฮัจญ เมื่อไปถึง ณ มีกอต และเมื่อถึงเวลาที่ ตองสวมเสื้อชุดประกอบพิธีฮัจญ (ผาขาวสองผืน ไมมีรองรอยตัดเย็บ ใชหมและนุงอยางละหนึ่ง ผนื ) และกลา วตลั บหี  หมายถงึ หารกลาวท่ีเปน ทร่ี ูจ กั กนั ดี คอื “ลบั บัยกล้ั ลอฮฮมุ มะลับบัยก” เม่ือทุก คนกลาวประโยคน้ัน มาลิก บุตรของอะนัสไดสังเกตุเห็นทานอิมามซอดิก มีอากัปกิริยาเปล่ียนไป จากเดิมโดยส้ินเชงิ เขาเหน็ วาขณะที่จะกลาวตัลบีหออกมา ทานมีทาทางตื่นตระหนกและเกรงกลัว 56

แมแตเสียงที่จะกลาวออกมาก็ยังติดอยูในลําคอของทานอยางละลํ่าละลัก และไมสามารถท่ีจะ ควบคุมจิตใจที่ประหว่ันของทานใหสงบลงได จนทําใหทานเกือบจะพลัดตกลงมาจากพาหนะ มาลิ กจึงเดินเขามาหาทาน แลวกลาววา “โอบุตรแหงศาสดาของพระผูเปนเจา ไมมีทางเลือกอื่นใดแลว จงกลา วซิกร นีอ้ อกมาเถิดเทา ท่ีทานทําได” ทานอิมามกลาววา “โอบุตรของอบี อามิร ฉันจะหาญกลาและจะสรางความกลาหาญแก ตัวเองไดอยางไร เพื่อกลาวลับบัยก การกลาวลับบัยกหมายถึง โอพระองคส่ิงใดก็ตามที่พระองค ทรงประสงค ขาจะตอบรับสิ่งน้ันโดยฉับพลัน และพรอมเสมอสําหรับการรับใชพระองค แลวฉันมี ความมั่นใจอันใดหรือ ท่ีจะอาจหาญกลาวส่ิงน้ีตอพระผูเปนเจาของฉัน และแสดงตนเปนบาวซึ่ง พรอมท่ีจะปฏิบัติและรับใชพระองคตลอดกาล มาตรพระองคทรงตอบแกฉันวา “ลา ลับบัยก” เมื่อ ถงึ เวลานนั้ ฉนั จะทําฉนั ใด” (50) 46… ถุงอนิ ทผาลัม เมื่อทานอิมามอะลีไดออกมาจากบานตามปกติ และมุงสูทองทะเลทรายซ่ึงเปนสวนผลไม และทานมีความชํานาญในการทํางาน (เพาะปลูก) ในสถานที่น้ันอยางมาก และคร้ังน้ีทานเดินไป พรอมกับแบกถุงใบหนึ่งติดตัวไปดวย ระหวางทางบุคคลหนึ่งถามทานวา “โอ อะลี ทานกําลังแบก ขนอะไรอยูห รอื ” อมิ ามอะลี : “ตน อินทผาลมั หากเปนพระประสงคของพระเจา” ชายผนู นั้ : “ตน อนิ ทผาลมั หรอื !!!!..” ความสงสัยของชายผูน้ัน เพ่ิงจะมากระจางก็ตอเมื่อหลังจากน้ัน ไมมานเทาไร เขาและ ผูอื่นอีกหลายคนไดประจักษแกสายตาวา เมล็ดพันธุอินทผาลัมท่ีทานอิมามอะลีแบกไป เม่ือ เพาะปลูกและมีความหวังวาในอนาคตอันใกล ทุกๆ เมล็ดจะงอกเงยขึ้นมาเปนตนอินทผาลัมและ เติบโตจนเปนสวนอินทผาลัมในท่ีสุดนั้น บัดนี้เมล็ดตางๆ เหลาน้ันไดเจริญงอกงามขึ้นมาทุกเมล็ด อยางนาทึ่งทเี ดียว (51) 47…เหงือ่ ท่ีออกมาจากการทาํ งาน ขณะท่ที า นอมิ ามมูซา กาชิม กําลังมุงม่ันอยูกับการทํางาน และปรับปรุงพ้ืนดินอยู ในสวน หนึ่งซ่ึงเปนกรรมสิทธของทานเอง ทานทํางานอยางหนักจนเหง่ือไหลโทรมกาย ทําใหเสื้อผาและ รางกายของทานเปยกโชกอยูน้ัน อะลี บุตรของฮัมซะฮ บาฏออีนียไดผานมาเห็น และกลาวกับ ทา นอิมามวา “ชีวิตของฉันขอพลเี พ่ือทา น ไฉนทานจึงไมมอบหนา ทีน่ ใ้ี หกับใครคนใดคนหนง่ึ เลา ” ทานอิมามตอบวา “ทําไมฉันจึงตองมอบหมายใหเปนหนาที่ของผูอื่นดวย ในขณะท่ีบุคคล อื่นทีเ่ ขาประเสิรฐกวา ฉนั กย็ ังทํางานเย่ียงนีเ้ ชน กัน” อะลี บุตรของอบีฮัมซะฮ บาฏออีนีย ”อยางเชน ผใู ดบา งขอรับกระผม ” 57

ทานอิมาม : “ศาสดาของพระองค และทานผูนําของบรรดาผูศรัทธาอะลี บุตครของอ บีฏอลิบ รวมท้ังทานปู (อิมามบากิร) หรือบิดา (ทานอิมามซอดิก) ของฉัน เพราะแทจริงแลวการ ทํางานในเรือกสวนไรนา คือแบบอยางหน่ึงของบรรดาศาสดาและตัวแทนของศาสดา และบาวท่ีดี ของพระผเู ปนเจาเชนเดยี วกนั ” (52) 48..เพอื่ นซึง่ ตองตัดขาดจากกัน บางคร้ังเพ่ือนสนิทแมวาจะรักกันมากเพียงใด ก็ใชวาจะไมมีสิทธิแยกจากกันหรือตัด ขาดกัน เพราะวันหนึ่งมาตรวามีส่ิงใดเปนเหตุ สิ่งท่ีไมคาดคิดก็ยอมเกิดข้ึนไดเสมอ บางคร้ังผูคน รูจักเขาในนามของเพ่ือนอีกคนหนึ่ง มากกวาท่ีจะรูจักชื่อจริงของเขา เพราะสวนมากเม่ือผูคนจะ เรยี กเพื่อนของเขาอกี คน กจ็ ะไมเ อยช่อื จรงิ เพยี งแตก ลาววา “เพอื่ นของทา น” ใชแลวชายผูหนึ่ง เขาถูกเรียกวา ”เพื่อนของทานอิมามซอดิก“ เปนท่ีรูจักกันดีในหมูผูคน และวันนัน้ ซ่งึ เปนวันท่ีเหมือนกับวันอื่นๆ ท่ีท้ังสองอยูดวยกัน และเขาไปในตลาดเย็บรองเทา แตไม มีผูใดคาดคิดวา กอนท่ีท้ังสองจะออกมาจากตลาดแหงน้ัน ความเปนเพื่อนตองถูกตัดขาดจากกัน โดยส้นิ เชิงตลอดไป ในวันนน้ั เขาติดตามทา นอิมามไปเชน ทุกคร้ัง และเขาไปในตลาดเย็บรองเทา แหงหน่ึง โดยมีทาส ผิวดาํ ของเขาตดิ ตามไปในตลาดดวย โดยตามอยูขา งหลังหา งๆ เมื่อมาถึงกลางตลาดเขาหันไปมอง ขางหลัง และไมเห็นทาสผิวดําของเขา และอีกไมกี่กาวตอมา เขาก็หันไปมองอีกเปนคร้ังท่ีสอง ก็ไม เห็นทาสผิดดําของเขา จากน้ันคร้ังที่สามที่เขาหันไป ก็ยังไมเห็นอีก เนื่องจากทาสผิดดําผูนั้น กําลัง เพลดิ เพลินอยูกับการมองดูส่ิงของตางๆ หลากหลายภายในตลาด จนลาหลังจากนายของเขา และ อีกคร้ังหน่ึงที่เขาหันไปก็พบทาสผิวดําของเขากําลังยืนเพลินอยู เขาจึงบริภาษทาสผิวดําของเขา ดวยความโกรธวา “มารดาของเจา ไปหดหัวอยูที่ไหนมาหรือ” พรอมกับถอยคําดาทอท่ีหยาบคาย ตอ ทาสอยางมากมาย เม่ือคําพดู เชนนั้นหลุดออกมาจากปากของเขา อิมามซอดิกจึงแปลกใจอยาง ยง่ิ ทานไดย กมือของทา นตบไปทีไ่ หลของเขาอยางแรงพรอมกบั กลาววา “มหาบริสุทธิ์เปนสิทธิของ พระผูเปนเจา ไฉนทานจึงดาทอ และใชถอยคําที่เสียหายตอมารดาของเขาเลา ฉันคิดวาทานคือ ชายผูซึ่งมีความยําเกรงและศรัทธายิ่ง ขณะนี้ฉันรูแลววา ทานไมไดมีความศรัทธาเลยแมแตเพียง นอ ยนิด” เขากลาววา : ” โอบุตรแหง ทานศาสดา ทาสผูนี้มีเช้ือสายสะนาดีย ( เปนชนเผาหนึ่งซ่ึงบูชา เจว็ด) และมารดาของเขากเ็ ปนชาวสะนาดียเหมือนกัน ทานก็รูดีวาชาวเผาน้ีมิไดเปนมุสลิม รวมทั้ง มารดาของทาสผนู เี้ ชนเดยี วกนั ฉนั จึงคดิ วา แมจ ะดาทอใชว าจาทเ่ี สยี หายตอมนั ไปบางก็ไมเ ปน ไร” ทา นอมิ าม : “แมว ามารดาของเขาจะเปนผปู ฏิเสธ แตทานรูไหมวา ทุกๆ เผาพันธุของมนุษย มเี อกลกั ษณและกฏเกณใ นการแตง งานของพวกเขาเอง และเมอ่ื พวกเขาไดปฏิบตั ติ รงกับแบบอยา ง 58

และกฏเกณของพวกเขาแลว การมี้พศสัมพันธของพวกเขาก็ไมถือวาเปนการผิดประเวณี และลูกๆ ขอพวกเขา กไ็ มไ ดถ กู พิจารณาวา เปน ลกู นอกสมรสเชนเดยี วกัน หลงั จากท่ีอิมามซอดกิ ไดอ ธิบายใหเขาฟง จนจบส้ินแลว ทา นจงึ กลา วกบั เขาวา “นับแตนี้ไป ทา นจงหางไกลจากฉัน” จากวันนั้นมา ไมมีผูใดเห็นเขาไปไหนมาไหนกับทานอิมามซอดิกอีกเลย จนกระทั่งลม หายใจสุดทา ยของเขา (53) 49… ผลลพั ธแหง วาจาท่ีไมร ะวัดระวงั คนรับใชของอับดุลลอฮ บุตรของมุกัฟฟะฮยืนคุมกุมบังเหียนมาเจานายของเขาอยูหนา บาน ซุฟยาน บุตรของ มุอาวิยะฮ มะลาบีเจาเมืองบัศเราะฮ ซ่ึงเขาจะตองคอยเจานายจนกวาเขา จะเสร็จสิน้ ภารกจิ แลวออกมา เพอื่ ใชม าเปนพาหนะกลบั ยงั บานพกั เขาคอยอยูอยางเนิ่นนานก็ยังไมเห็นนายของเขากลับออกมาจากบานหลังนั้นสักที ผูคนท่ี เขาไปทํากิจธุระในนั้นหลังนายของเขาตางก็กลับออกมากันหมดส้ินแลว แตยังไมมีว่ีแววนายของ เขาเลย เขาจึงเริ่มกังวล จึงพยายามสืบเสาะถามไถดูจากทุกคนที่เขาออกไปมา บางก็ไดรับคําตอบ วา ไมร ูไมเ หน็ บางก็หันมามองเขาหัวจรดเทา และสา ยหนา โดยมิไดปริปากพดู แมแตคําเดยี ว เมื่อเวลาลวงเลยไป เขายิ่งเริ่มเปนหวง และหมดหวังท่ีจะตามหาเจานายของเขาได จึง ตดั สินใจเดินทางไปหาอีซาและสุไลมาน (ทัง้ สองเปนนบตุ รชายของอะลี บตุ รของอบั ดุลลฮ บุตรของ อับบาส ซึ่งมีศักด์ิเปนอาของคอลีฟะฮในสมัยน้ันคือ มันศูร ดาวานีกีย และบุตรของมูกัฟฟะฮมี ตําแหนงเปนเลขานุการสวนตัวของพวกเขาทั้งสอง) จากนั้นเขาจึงไดเลาเร่ืองราวใหคนท้ังสองฟง โดยละเอียด อีซาและสุไลมานมีความรัก และชื่นชมตออับดุลลอฮ บุตรของมุกัฟฟะฮเปนอยางยิ่ง เน่ืองจากเขาผูรู เปนนักเขียนที่มีความสามารถและเปนนักแปลที่เชี่ยวชาญยิ่ง ทั้งสองใหความ คุมครองแก บุตรของมกัฟฟะฮอยางเปดเผยอยูเสมอมา ดวยเหตุน้ีจึงทําใหบุตรของมุกัฟฟะฮเพ่ิม ความยโส และทรนงมากยงิ่ ข้ึน เพราะปกตโิ ดยธรรมดาแลวเขาคือชายผูซึ่งหยาบคายสามหาว และ มิเกรงกลัวผูใ ดอยูแลว เขาไมเคยที่ละเวนที่จะใชวาจาถากถางท่ิมแทงเสียดสีผูอื่นเลย และดวยการ คุมครอง สนับสนุนของ อีซากับสุไลมาน ซ่ึงเปนถึงอาของคอลีฟะอทําใหเขาเพิ่มความกราวราว และอวดดี มากยงิ่ ขึ้น อซี าและสไุ ลมานไดเรียกรอ งขอตวั อบั ดุลอฮ บุตรของมุกัฟฟะฮ จากซุฟยาน บุตรของมอาว ยะฮ แตซุฟยานปฏิเสธไมรูเห็น และกลาววาบุตรของมุกัฟฟะฮยังมิไดมายังบานของเขา อยางไรก็ ตาม เหตุการณท่ีเกิดข้ึนเปนเวลากลางวันแสกๆ ซ่ึงหลายคนเห็นบุตรของมุกัฟฟะฮ เขาไปในบาน หลังนั้น และสามารถเปนพยานได จนซุฟยานไมอาจปฏเิ สธไดอกี ตอไป 59

เม่ือเรื่องราวลุกลามบานปลาย จนเปนเหตุใหเกิดความสงสัยวา จะเปนการฆาตกรรม เพราะบุตรของมุกัฟฟะฮมิใชคนสามัญธรรมดา เขาเปนถึงผูรูและนักเขียนท่ีโดงดัง จึงเกิดขอ ถกเถียงเปนสองผาย ฝายหน่ึงเปนถึงเจาเมืองบัศเราะฮ และอีกฝายมีศักด์ิเปนอาของคอลีฟะฮใน สมัยนั้น ในที่สุดเรื่องราวจึงถูกนําไปถึงราชสํานักของคอลีฟะฮในเมืองแบกแดด ท้ังสองฝายตางก็มี พยานและผูรูเห็นอยูในเหตุการณ ทั้งหมดไดเขาพบคอลีฟะฮ การสอบสวนจึงเริ่มขึ้น พยานทุกคน ใหปากคาํ หลงั จากสอบปากคาํ ของพยานจบสิน้ มันศูรไดก ลาวกบอาทัง้ สองวา “ไมม ีปญ หาสาํ หรบั ฉันแตอยางใดท่ีจะสั่งประหารซุฟยานทันที ในขอหาผูเปนผูลงมือสังหารบุตรของมุกัฟฟะฮ แตคน หน่งึ จากทา นท้ังสอง จะตองใหคํารบั รองที่จะรบั ผิดชอบดวย มาตรวาบุตรของมุกัฟฟะฮยังมีชีวิตอยู และภายหลังจากการประหารซฟุ ยานแลว บุตรของมุกัฟฟะฮเกิดเดินเขามาทางประตูน้ี (พรอมกับชี้ นิ้วไปประตูซ่ึงอยูดานหลังเขา) ในสภาพท่ียังมีชีวิตอยู และสมบูรณครบถวนทุกประการแลว ฉันจะ ประหารผใู ดเปนการแกแคนหรอื ชดเชยแกช วี ติ ของซุฟยาน และใครจะเปนเปน ผรู บั รอง” อีซาและสุไลมาน เกิดความสับสนและงุนงงตอคําถามนี้ พวกเขาจึงพากันคิดวา บุตรของ มุกัฟฟะฮอาจยังมีชีวิตอยู และซุฟยานไดสงตัวบุตรของมุกัฟฟะฮมาใหคอลีฟะฮกอนหนานี้แลว ทั้ง สองจึงยกเลกิ ขอครหาน้ันทันที ดวยความกลัวและจากไป กาลเวลาไดลวงเลยไปขาวคราวของบุตร ของมุกัฟฟะฮ และรองรอยของเขามิไดมีใหใครไดยินอีก และเร่ิมจะเลือนรางไปทีละนอยถูกจนลืม เลอื นไปในท่ีสดุ หลังจากที่เรื่องราวจางหายไป จึงเปนท่ีเขาใจกันในหมูผูคนภายหลังวา บุตรของมุกัฟฟะฮ ผูซึ่งไมเคยหยุดยั้งคําพูดหยาบคายของตัวเอง กลาวคําผรุสวาทซุฟยาน บุตรของมุอาวิยะฮ แมตอ หนาฝงู ชนกต็ าม เขาใชว าจากรา วรา วถงึ มารดาของซุฟยาน ซึ่งเปน ถึงเจาเมือง ทําใหซุฟยานนน้ั ทกุ คร้ังที่เจอกับคําดาทอของบุตรของมุกัฟฟะฮ ก็ไดแตหลบซอนอยูในที่กําบังเทานั้น เพราะความ ละอายตอ ผูคน อยา งไรก็ตาม ซฟุ ยานคิดอยเู สมอวา วนั หนงึ่ เขาจะตอ งแกแคนบตุ รของมกุ ฟั ฟะฮให ได แตเมื่อคิดถึงผูคุมครองท้ังสองของบุตรของมุกัฟฟะฮ ทั้งอีซาและสุไลมาน ซึ่งเปนอาของคอ ลีฟะฮ เขาจึงไมกลาท่ีจะตัดสินใจใดๆ จนกระท่ังเหตุการณหน่ึงไดเกิดข้ึน และน่ันคือนาทีทองของ ซุฟยานวันหนึ่ง เมื่ออับดุลลอฮ บุตรของอะลี ซึ่งเปนอาอีกผูหนึ่งของมันศูร (คอลีฟะฮ) ตองการให คอลฟี ะฮเซ็นชอื่ เพือ่ รับรองความปลอดภัย และใหมีการคุมครองแกเขา อับดุลลอฮจึงขอรองใหบุตร ของ มุกัฟฟะฮ (ซ่ึงเปนเลขานุการสวนตัวของพี่ชายของเขา) เปนผูรางจดหมายฉบับน้ัน บุตรของ มุกัฟฟะฮ จึงเขียนจดหมายฉบับน้ันข้ึนมา ภายในจดหมายขอความคุมครองและความปลอดภัย ฉบับนั้น บุตรของมุกัฟฟะฮ ไมลืมที่จะสอดแทรกถอยคําท่ีเขาถนัด โดยมีขอความท่ีลบหลูเกียรติ ของมันศูร คอลีฟะฮผูทารุณของราชวงคอับบาสยะฮอยางมากมาย เม่ือจดหมายฉบับน้ันไปถึงมือ ของมันศูร จึงสรางความเคียดแคนและโกรธเคืองแกเขาเปนอยางมาก เมื่อเขาถามวา “ใครเปนคน รางจดหมายฉบับนี้“ ไดรับคําตอบวา “บุตรของมุกัฟฟะฮ “ ดังนั้นมันศูรจึงมีความรูสึกเดียวกันกับที่ ซุฟยาน บุตรของมุอาวิยะฮ มเี มอื่ พบกบั ส่ิงนี้ 60

มันศูรจึงสงสารลับไปยังซุฟยาน วาใหจัดการกับบุตรของมุกัฟฟะฮ ซุฟยานจึงไดโอกาส วันหนึ่งบุตรของมุกัฟฟะฮ ไดเดินทางไปยังบานพักของซุฟยานเพ่ือทําธุรกิจบางอยาง เขาจึงใหคน รับใชคอยดูแลมาของเขาอยูขางนอกบาน เม่ือเขาไปในบานของซุฟยาน คนรับใชกลุมหน่ึง พรอม กับเพชรฆาตของเจาเมือง กําลังน่ังกันอยูในหองหน่ึงอยางพรอมหนา มีเตาไฟท่ีลุกโชนอยูในหอง น้นั ดว ย เม่อื ซฟุ ยานเหน็ บตุ รของมุกฟั ฟะฮ ปรากฏตวั ตอ หนา เขาถอ ยคําดา ท่หี ยาบคายตา งๆ ซงึ่ เขา ไดยินมาจากบุตรของมุกัฟฟะฮ ประหน่ึงวามันไดรวมตัวกันเปนรูปรางขึ้นมาทันที ความเคียดแคน ชิงชงั ทอี่ ยภู ายในมันลุกโชนข้ึนมาฉับพลัน ดั่งเตาไฟท่ีตั้งอยูเบื้องหนาของเขา ซุฟยานหันหนาไปหา บุตรของมุกัฟฟะฮ และกลาววา “ยังจําไดไหมถอยคําอันหยาบชาสามาณยท่ีเจามีตอขา และ แมกระทั่งตอมารดาของขา บัดน้ีคือเวลาแหงการชําระความแคนของขา การขออภัยโทษใน ชวงเวลาน้ีจะไมเปนประโยชนอันใดสําหรับเจาเลย” จากนั้นบุตรของมุกัฟฟะฮจึงถูกลางแคน และ ถูกสงั หารในรปู แบบท่ีเลวรายทส่ี ดุ จากความเลวทรามทัง้ มวลในวนั นั้นเอง (54) 50… นาทสี ดุ ทายของลน้ิ ใบมดี โกน อะลี บุตรของ อับบาสซึ่งเปนที่รูจักกันในนามของ อิบนิรรูมีย เขาเปนกวีท่ีมีชื่อเสียงในทาง กลาวบทกวีเยย หยนั และสรรเสริญเยินยอราชวัง ในยุคสมยั ของอบั บาสยิ ะฮ ซ่ึงเปนชวงสุดทายของ ศตวรรษท่ีสามฮิจญเราะฮศักราช (คริสตศตวรรษที่ ๙) วันหน่ึงภายในที่ประชุมของบรรดาขุนนาง ช้นั ผูใ หญผ ูชวยของอบั บาสยิ ะฮผูห น่งึ นามวา กอเซ็ม บุตรของอบั ดุลลอฮ และอบิ นิรรูมยี กวผี นู ั้นก็นั่ง รวมอยูในท่ีชุมนุมแหงน้ันดวยเชนกัน อิบนิรรูมียมักจะเปนผูท่ีมีความลําพองและภูมิใจอยูเสมอ ตอ ความสามารถพิเศษของเขาทั้งในการพูด และการกลาวบทกวี กอเซ็ม บุตรของอับดุลลอฮมีความ เกรงกลัวตอคําพูดที่ใชถากถางของอิบนิรรูมียย่ิงนัก และไมพึงพอใจตอเขา แตกอเซ็มก็ซอนเรน ความรูสึกเอาไว โดยไมแสดงทาทีอันใดออกมาใหเห็น แมวาอิบนิรรูมียจะสรางความกังวลใจใหแก เขาอยูเนืองนิจ แตก็ยังไมเลิกที่จะยุงกับเขาสักที กอเซ็มจึงออกคําส่ังไปยังคนของเขาใหใสยาพิษ ลงในอาหารของอบิ นิรรมู ีย หลังจากที่อิบนิรรูมียไดรับประทานอาหารนั้นแลว เขาก็รูไดทันทีวาโดน วางยาพิษเสียแลว เขาจึงรีบลุกข้ึนทันที และเดินออกไปขางนอก กอเซ็มกลาววา “ทานกําลังจะไป ไหน” อิบนริ รูมยี  : “กจ็ ะไปยงั สถานที่ซึง่ ทา นจะสง ขา ไปยังไงละ ” กอเซ็ม : “มาตรวา เปนเชน นั้น ฉันขอฝากสลามถงึ พอ แมข องฉนั ดว ยนะ” อบิ นิรรมู ีย : “ขอโทษ ฉันไมไ ดผา นไปทางขมุ นรกหรอก” อิบนิรรูมียไดกลับไปยังบานของเขาและรักษาตัว แตก็ไมมีผลดีขึ้นเลย ในท่ีสุดเขาก็ ตองสนิ้ ชวี ติ ลงดว ยยาพษิ น้ัน เพราะลิ้นใบมีดโกนของเขาเองแทๆ (55) 51… เพอ่ื นรวมงานทัง้ สอง 61

ความราบรื่นและความจริงใจ ตลอดจนการรวมงานกันอยางซื่อสัตยสุจริตอยางยาวนาน ของทั้งสอง คนหนึ่งคือฮิชาม บุตรของฮะกัม และอีกผูหนึ่งคือ อับดุลลอฮ บุตรของยาซีด อาบาฏีย ไดสรางความฉงนสนเทหแกผูคนแหงเมืองกูฟะฮเปนอยางมาก เพราะท้ังสองกลายเปนส่ิงเตือนใจ สําหรับบรรดาผูที่มีสหายรวมงานในดานของความจริงใจ และซื่อสัตยตอกัน เขาทั้งสองรวมกันต้ัง รานขายเคร่ืองเย็บปกถักรอย ในการดําเนินชีวิตระหวางเขาท้ังสอง ไมเคยมีเรื่องบาดหมางหรือ ทะเลาะเบาะแวง กันแมแตเร่อื งเดียว สิ่งหนึ่งท่ีเปนสาเหตุแหงความแปลกประหลาดใจของผูคน และนําไปเลาสูกันฟงอยาง มากมายก็คือ เขาทั้งสองมีหลักความเช่ือในศาสนา และยึดถือนิกายท่ีแตกตางกัน ซึ่งเรียกไดวาอยู กันคนละความเช่ือเลยทีเดียว เพราะวาฮิชามคือผูรูและนักปราศรัยท่ีมีช่ือเสียงของสายธารชีอะฮ อิ มามยี ะฮ เปนสาวกผใู กลชิดของทานอิมามซอดิก และมีความเช่ือตอการเปนผูนํา (อีมามะฮ) ของ ครอบครัวงศวานของทานศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) แตอับดุลลอฮ บุตรของยาซีด เปนหน่ึงจาก บรรดาผูรูของสายอาบาฏียะฮ (56) ซ่ึงในกรณีน้ันจําเปนจะตองปกปองนิกายของตนเอง ทั้งสอง เปรียบเสมือนสองสมรภูมิท่ีกําลังเผชิญหนากันอยู แตทวาเขาทั้งสองสามารถควบคุมความมีอคติ ในการยึดถอื นกิ ายของตนไว และไมยอมใหม นั เขามาเกย่ี วของกบั กจิ การอื่นๆ ในชีวิตประจําวันของ พวกเขาเลย ทั้งสองคาขายรวมกันดว ยความสขุ มุ เยือกเย็น และที่นา แปลกใจยิ่งไปกวาน้ันคือ แมวา บรรดาชีอะฮซึง่ เปนลกู ศษิ ยของฮิชามจะไดไปมาหาสูกับฮชิ าม ณ รา นคา แหงนน้ั และบางครัง้ ฮิชาม ก็ใชสถานที่แหงนั้น เปนท่ีสอนวิชาการทางศาสนาก็ตาม (ตามความเช่ือของชีอะฮ) และแนนอนทุก คร้ังอับดุลลอฮจะไดยินไดฟง คําสอนที่ขัดแยงกับนิกายของตัวเองอยางสิ้นเชิง แตเขาก็มิไดแสดง อาการโกรธหรือขัดแยงออกมาเลยแมแตครั้งเดียว และเชนเดียวกันเมื่อมีการเรียนการสอนของ เหลาบรรดาสมาชิกอาบาฎียะฮท่ีมาเลาเรียนจากอับดุลลอฮ ซึ่งคําสอนสวนมากมักจะเปนการ โจมตนี กิ ายอ่ืนเปน สว นใหญ แตฮิชามเองก็มิไดแ สดงทา ทใี ดออกมาใหเ ห็น วันหนง่ึ อับดลุ ลอฮไ ดก ลาวแกฮชิ ามเพอ่ื นรักของเขาวา “ฉนั กับทานเปน เพ่อื นทรี่ ใู จกนั ดีและ ทานก็รูจักฉันดีเพียงพอ ฉันมีความประสงคที่จะใหทานตอบรับการท่ีฉันจะเปนบุตรเขยของทาน พรอมกบั จดั การแตง งานลกู สาวของทานคอื ฟาฏมิ ะฮ ใหก ับฉัน” ฮิชามตอบอับดุลลอฮเพียงประโยคเดียววา “ฟาฏิมะฮคือผูศรัทธา (มุอมินะฮ)“ เม่ืออับ ดุลลอฮไดยินคําตอบเชนนั้นเขาจึงมิไดตอบสิ่งใด และมิไดพูดถึงเร่ืองนั้นอีกเลย และใน ขณะเดียวกันคําตอบในลักษณะปฏิเสธ ก็ไมสามารถที่จะสั่นคลอนความเปนเพื่อนระหวางเขาทั้ง สองไดแมแตนอย การทาํ งานรวมกนั ยังคงดาํ เนนิ ตอไปอยางปกติ ประหนึ่งวาความตายเทานั้นท่ีจะ สามารถแยกเขาท้งั สองออกจากกนั ได (57) 52… การหามดมื่ สรุ า 62

เมอื่ มันศูรมคี ําส่งั ใหเปดกุญแจกองคลัง ที่เก็บทรัพยสินของคลังกลางออกมา และแจกจาย แกประชาชน ชักรอนียคือผูหนึ่งจากบรรดาผูคนท่ีหลั่งใหลกันมาเพ่ือรับสวนแบงจากทรัพยสินจาก คลังกลาง แตเปนเพราะไมมีผูใดรูจักเขาเลย เขาจึงไมรูวาจะขอความชวยเหลือจากใคร เพื่อให ไดรบั สว นแบง ของเขาจากคลังกลางน้ันดวย อันที่จริงชักรอนียก็คือผูท่ีมีเกียรติ และมีชื่อเสียงผูหนึ่ง เน่ืองจากปูของเขาเคยเปนทาสมากอน และไดรับการปลดปลอยเปนอิสระโดยทานศาสดา และ เชน เดียวกันขักรอนียก ็ไดร บั มรดกแหงอสิ รภาพอนั นนั้ มาจากพอ ของเขา พวกเขาถกู เรยี กวา “เมาลา รอซูลุลลอฮ” หมายถึงทานศาสดาไดปลดปลอยเขาใหเปนไท น่ีคือความภาคภูมิใจและการไดรับ เกียรติน้ัน เขาจึงถูกนับรวมอยูในจํานวนผูไดรับการปลดปลอยดวยเชนกัน และโดยสวนตัวแลวเขา มคี วามสัมพันธอันดีงามตอครอบครวั ทา นศาสดาดว ย ในขณะที่ชักรอนียอยูในอาการกระวนกระวายเพราะสาเหตุดังกลาวอยูน้ัน เขาเหลือบไป เห็นทานอิมามซอดิก เขาจึงรีบเดินไปขางหนาเพื่อพบทาน และขอความชวยเหลือจากทาน ทานอิ มาม จึงเดินไปและรับสวนแบงมาใหชักรอนียในท่ีสุด และในขณะท่ีทานย่ืนสิ่งของใหแกชักรอนีย ทานไดกลาวแกเขาดวยน้ําเสียงที่ออนโยนวา “การงานที่ดีจากทุกๆ คนนั้นลวนเปนส่ิงดี แต ความสัมพันธและเกียรติยศที่เจามีอยูเนื่องจากเรา ซ่ึงทุกคนรูดีวาเจาน้ันมีความสัมพันธท่ีดีกับ ครอบครวั แหง ทานศาสดา การงานที่ดีนั้นก็จะย่ิงดีข้ึนและสวยงามข้ึน และการงานท่ีช่ัวชาจากทุกๆ คนน้ันลวนเปนสิ่งท่ีชั่วชา โดยเฉพาะสําหรับเจาแลว เน่ืองดวยเจาเปนผูที่มีเกียรติดังกลาว ดังนั้น การงานท่ชี ่วั ชาจึงต่ําทรามยิง่ นักทเี ดยี ว” เม่อื จบคาํ พูดทานอมิ ามซอดกิ จึงจากไป ชักรอนียเม่ือไดฟงเชนน้ันเขาก็เขาใจทันทีวา ทานอิมามลวงรูถึงความลับท่ีเขาไดปกปดไว น่ันก็คือทานรูวาเขาด่ืมสุรา และเม่ืออิมามรูวาเขาคือผูท่ีดื่มสิ่งมึนเมาจึงแสดงความมีไมตรีจิต และ แสดงความรักตอเขา และทานอิมามจึงกลาวถอยคําดังกลาวเพ่ือใหเขารับรูถึงความผิดของตัวเอง ภายในจิตใตสํานึกของเขาแลว เขารูสึกละอายแกใจเปนอยางมาก ภายหลังจากที่เขาไดตําหนิ ตนเองแลว เขาจึงยุติการกระทาํ สงิ่ น้นั ในที่สุด (58) 53… เสอื้ ของคอลฟี ะฮ ในยุคสมัยที่อุมัร บุตรของอับดุลอาซิซ ดํารงตําแหนงคอลีฟะฮ วันหน่ึงเขาขึ้นไปปราศรัย บนแทนเทศนา ในระหวางนั้นประชาชนที่น่ังฟงการปราศรับของเขาอยู ตางเห็นคอลีฟะฮของพวก เขาใชมือจับชายเสื้อคลุมและกระพือไปมาอยูเสมอ การกระทําเชนน้ันสรางความประหลาดใจแกผู ท่ีน่ังอยูในมัสยิดเปนอยางมาก และตางก็ถามกันวาไฉนในระหวางการปราศรัยคอลีฟะฮจึงตองจับ อยูท ี่ชายเสอ้ื คลมุ และกระพอื พดั ไปมาอยตู ลอดเวลา เมื่อการชุมนุมเสร็จส้ินลง พวกเขาจึงไดรับคําตอบออกมาวา คอลีฟะฮไดคํานึงถึงเงินกอง คลังกลางของประชาชน และเพ่ือเปนการทดแทนของพวกที่เคยกระทําเลยเถิด ในหนาที่การงาน และเนื่องจากผูท่ีอยูในตําแหนงกอนหนาเขา ไดใชจายทรัพยสินของกองคลังกลางอยางฟุมเฟอย 63

ส้ินเปลืองสุรุยสุราย คอลีฟะฮจึงใชเส้ือคลุมเพียงตัวเดียว และเมื่อซักแลวบางคร้ังยังไมทันแหง เนอื่ งจากไมมีเสื้อคลุมตัวอ่ืน คอลีฟะฮจึงไมมีทางเลือกนอกจากจะตองสวมเสื้อคลุมตัวนั้นดวยเหตุ นี้จงึ ตอ งกระพอื มนั ไปมาอยเู สมอ เพ่ือที่จะใหมนั ไดแ หงเรว็ ข้ึน (59) 54… ชายหนุมกับอากัปกิรยิ าของเขา ทานศาสดาไดละหมาดซุบฮรวมกับประชาชนในมัสยิด เม่ืออาทิตยสองแสงจึงทําใหทาน สามารถมองเห็นใบหนาของทุกคนไดชัดเจนยิ่งขึ้น ในระหวางนั้นเองสายตาของทานศาสดา สงั เกตเห็นชายหนมุ คนหน่งึ ซง่ึ ทา ทางของเขาไมค อ ยสูจะดีนัก ศีรษะของเขามิไดตั้งอยูน่ิงบนบาของ เขาเลย มนั สา ยไปสายมาอยูต ลอดเวลา ทานศาสดาไดม องไปยงั ใบหนา ของเขาทาน และพบวาเขา มีอาการอิดโรยซูบซีด ดวงตาทั้งสองลึกลงไปในเบาตา รางกายซูบผอม ทานศาสดาจึงถามเขาวา “เจา ใชช วี ิตอยใู นสภาพเชนไร” ชายหนมุ : “ฉันอยูในสภาพของผทู ่เี ช่อื มน่ั ในอัลลอฮ” โอ ทานศาสดา “ ทานศาสดา : “ทุกๆ ความเช่ือมัน่ ตอ งมรี อ งรอยของมนั ซงึ่ จะเปน เคร่ืองชช้ี ดั ถงึ ความจรงิ นนั้ และเคร่ืองหมาย หรือรอ งรอยแหงการเชือ่ ม่นั ของเจาคอื อะไร” ชายหนุม : “ความเชื่อมั่นของฉันคือสิ่งที่บงบอกถึงความเจ็บปวดรวดราวที่มีอยู ในยามคํ่า คืนการหลับนอนถูกแยกออกจากฉัน และในชวงกลางวันฉันไดทําใหมันจบส้ินลงดวยความหิวโหย ฉันหันหลังใหกับโลกนี้ และทุกสิ่งทุกอยาง และมุงหนาไปยังอีกดานหนึ่ง มันเปนเสมือนหนึ่งวาฉัน เหน็ บลั ลงั กของพระผูเ ปนเจา ไดถ กู ตง้ั ม่นั อยใู นสถานท่ีแหง การสอบสวน ในขณะที่ส่ิงถูกสรางตางๆ ชุมนุมกันอยู เหมือนกับวามันเปนท่ีประจักษแกสายตาของฉันอยางชัดแจงวา ชาวสวรรคกําลังเบิก บานใจ และชาวนรกกําลังอยูในการถูกลงโทษอันแสนเจ็บปวด เสียงรํ่ารองโหยหวน ประหนึ่งวา เสยี งลุกโชนของเปลวไฟในนรกซึ่งเสยี งนนั้ ยงั คงสะทอนอยใู นโสตประสาทของฉนั จนกระทงั่ บัดน้ี ทานศาสดา ไดหันไปทางประชาชนแลวกลาววา “น่ีคือบาวผูหนึ่งซึ่งพระผูเปนเจา ไดสอง แสงประทีปแหงศรัทธา (อิหมาน) แกเขาแลว “ จากนั้นทานศาสดา ไดหันไปยังชายหนุมผูนั้นแลว กลา ววา “จงรักษาสภาพท่ีดเี ลศิ เชน นเี้ อาไว” ชายหนุม ไดต อบวา “โอ รอซูลุลลอฮ !!!! โปรดวิงวอน ใหพ ระผูเปนเจา ทรงประทานการญิฮาด และการเปน ชะฮดี แกฉนั ดวยเถิด” ทานศาสดา ไดยกมือขึ้นขอดุอาอใหแกเขาตอมาไมนานนักซ่ึงการญิฮาด (การตอสูใน หนทางของพระผูเปนเจาไดมีมา) และชายหนุมผูนั้นก็ไดเขารวมในการญิฮาดคร้ังนั้นดวย บุคคลท่ี สิบซึง่ ไดร ับชะฮดี (การเสียชีวิตในหนทางของพระผูเปน เจา) คือเขานน่ั เอง (60) 55… ผูอ พยพแหงอบสิ สิเนีย นับวนั ทมี่ สุ ลิมเพิ่มจํานวนข้ึนเร่ือยๆ ในเมืองมักกะฮ การทารุณกรรมและความกดดันตางๆ ของผูตอตานชาวมักกะฮ ทําใหผูท่ีเขารับอิสลามแลวจํานวนหน่ึงกลับไปเปนผูปฏิเสธเหมือนเดิม ตรงกันขามก็มีผูคนอีกจํานวนมากตางก็มุงเขารับศาสนาอิสลามเพ่ิมขึ้น การยอมรับอิสลามของ 64

ผูคนอยางไมลดละและทอถอยของประชาชน พรอมกับการยืนหยัดและยึดม่ันอยางเขมแข็ง โดยที่ พวกเขาจะไมยอมหันหลังออกจากศาสนาอิสลามอีกไมวาจะดวยวิธีใดก็ตาม ส่ิงนี้ไดสรางความ โกรธแคนชิงชังแกผูปฏิเสธเปนอยางย่ิง พวกเขาไดเพ่ิมความโหดรายทารุณตางๆ นานามากย่ิงขึ้น ทกุ วนั จนกระท่ังสถานการณของบรรดามุสลิมเร่ิมคับขันข้ึนทุกที แตกระนั้นพวกเขาก็ยังมีความ อดทนอยางสูง แตเพื่อเปนการหลีกเล่ียงความเลวรายท้ังหลาย และปลดปลอยบรรดามุสลิมจาก ความทารุณของกลุมผูปฏิเสธช่ัวขณะหนึ่ง ทานศาสดาจึงเสนอแกบรรดามุสลิมวา ใหเดินทางออก จากเมืองมักกะฮ และอพยพไปสูอบิสสิเนีย ทานศาสดากลาววา “เพราะผูปกครองอบิสสิเนียใน ปจจุบันเปนผูมีความยุติธรรม พวกทานสามารถที่จะอาศัยอยูในเขตการปกครองของเขาเปนการ ช่วั คราว จนกวาพระผูเปน เจา จะทรงตระเตรียมความเมตตาและชว ยเหลอื แกท ุกคน” ดวยเหตุนีม้ ุสลิมจํานวนหน่ึง จึงอพยพสูเมืองอบิสสิเนียซ่ึงพวกเขาไดใชชีวิตอยูท่ีน่ันอยางสุข สบาย และสามารถปฏิบัติศาสนกิจไดอยางเสรีภาพ ผิดกับท่ีอยูในมักกะฮพวกเขาตองปฏิบัติ ศาสนกิจแบบหลบๆซอนๆ เม่ือผูปฏิเสธชาวมักกะฮไดรับขาววามุสลิมจํานวนหน่ึงไดอพยพไปท่ีอ บิสสิเนียและใชชีวิตอยูที่นั่นอยางสุขสบาย พวกเขาจึงมีความหวาดวิตกเปนยิ่งนัก กลุมผูปฏิเสธ เกรงวาหลักการอิสลามอาจจะถูกจัดต้ังข้ึนที่นั่น จึงประชุมปรึกษาหารือกันถึงเร่ืองน้ี และสรุปวา พวกเขาจะตองหาวิถีทางเพ่ือท่ีจะใหพวกมุสลิมกลับมาอยูในมักกะฮและอยูในความควบคุมของ พวกเขาเหมือนเดมิ ในการปฎบิ ัตงิ านครงั้ นพี้ วกเขาไดค ดั เลือกชายสองคนท่ีเห็นวาเหมาะสม และมี ความสามารถ ฉลาดหลักแหลมตอการปฏิบัติงานนี้ พรอมกันนั้นยังไดสงของขวัญลํ้าคามากมาย สําหรบั เนกสุ กษตั ริยแหง เมอื งอบิสสิเนีย และบรรดาขุนนางชั้นผูใหญ ตลอดจนผูใกลชิดและบุคคล ผูที่กษัตริยเนกุสเชื่อในคําพูดของพวกเขา กลุมผูปฏิเสธไดส่ังกําชับแกทั้งสองคนวา เม่ือพวกทาน เขาสูเมืองอบิสสิเนียแลว กอนอื่นจงเขาไปพบกับบรรดาผูใกลชิดของกษัตริยเนกุส และมอบของ กํานัลใหพวกเขา และจงกลาวกับพวกเขาวา “เมื่อไมนานมาน้ีมีชนกลุมหนึ่งท่ีโงเขลาและ รูเทาไมถึงการณจากเผาของพวกเรา ซึ่งไดหันหลังใหกับศาสนาของเราเอง รวมท้ังมิไดยอมรับใน ศาสนาของพวกทาน (คริสเตียน) และขณะนี้พวกเขาไดอพยพมาอาศัยอยูในอาณาจักรของทาน บรรดาผูอาวโุ สจากเผา ของเราไดสงเราท้ังสองมายงั พวกทาน เพอ่ื ขอความรวมมือ ในการขับไลพ วก เขาออกจากอาณาจักรของพวกทาน ใหกลับไปยังบัานเกิดเมืองนอนของพวกเขา และพวกเราจะ ขอรองแกพวกทานวา เม่ือพวกเรานําเรื่องนี้ข้ึนทูลตอกษัตริยเนกุสใหทรงทราบแลว ขอใหพวกทาน สนบั สนุนและเหน็ ดีเห็นดว ยกบั พวกเรา” ตัวแทนสองคนท่ีสงมาจากเผากุเรชไดเขาพบบุคคลตางๆ ตามท่ีคาดหมายไว และมอบ ของขวัญแกทุกคน จากนั้นทั้งสองจึงเริ่มปฏิบัติหนาท่ีซ่ึงไดรับมอบหมายมา หลังจากไดรับคําม่ัน สัญญาจากทุกคนวา เม่อื เรือ่ งนี้ถูกนําข้นึ ทลู แกกษัตรยิ เนกสุ พวกเขาจะใหการสนบั สนนุ อยางเตม็ ที่ 65

ตัวแทนท้ังสองคนจึงไดเขาเฝากษัตริยเนกุสในวันตอมา พรอมถวายของขวัญอันล้ําคาแกเน กสุ และทลู ใหทรงทราบเกย่ี วกบั วตั ถปุ ระสงคข องพวกเขาทเ่ี ดนิ ทางมา ภายในทองพระโรงตอหนาพระพักตรของกษัตริยเนกุส เขาทั้งสองไดรับการสนับสนุนจาก ผูคนท่ีน่ังอยูรายรอบ ตามสัญญาที่ตกลงกันไว ทุกคนตางลงความเห็นหมือนกันวา จะตองออก คําสั่งอยางเรงดวน เพ่ือขับไลพวกมุสลิมกลับไปยังถิ่นเดิมของพวกเขา แตกษัตริยเนกุสไมเห็นดวย กับขอเสนอแนะน้ัน และกลาววา “ประชาชนจํานวนหนึ่งไดอพยพรอนแรมจากประเทศของตนเอง มาหลบภัยอยูในประเทศของฉัน มันไมเปนการถูกตองเท่ียงธรรมเลยที่ฉันจะออกคําส่ังใดๆ เพื่อขับ ไลพวกเขา โดยที่ไมไดรับรูความเปนมาหรือสงกลับไปอยางไมมีเหตุผล ดังน้ันจึงจําเปนอยางย่ิงที่ จะตองนําพวกเขามา ณ ที่น้ี และฟงถอยแถลงของพวกเขา เพ่ือท่ีฉันจะตัดสินใจไดถูกวาจะตองทํา อยา งไรตอ ไป” หลังจากท่ีคําพูดประโยคสุดทายไดหลุดออกมาจากปากของเนกุส สีหนาของตัวแทนจาก ชาวกุเรช มักกะฮก็ซีดเผือดลง และแสดงอาการหวาดวิตกออกมาอยางเห็นไดชัด เพราะส่ิงที่พวก เขากลัวท่ีสุดก็คือ การพบปะเจรจากันระหวางกษัติยเนกุสและบรรดามุสลิมผูอพยพ พวกเขาเห็น ดวย แมกระท่ังจะใหมุสลิมเหลานั้นอยูในอบิสสิเนียตอไป แตจะตองไมมีโอกาสไดพูดคุยกับกษัติย เนกุส เพราะส่ิงที่พวกเขาหวาดวิตกก็คือส่ิงน้ีเอง เพราะผูท่ีหลงใหลไปกับศาสนาใหมนี้ ก็ เนื่องมาจากไดรับฟงคําพูดจาปราศรัย โดยเฉพาะจากมุฮัมมัด ผูซ่ึงกลาววามัน (สาสน) ไดถู ประทานลงมาแกฉ ันจากพระผเู ปน เจา ในขณะเดียวกนั มีแรงดึงดดู อนั นา มหัศจรรยยิ่งซอนเรน อยใู น คาํ พูดเหลานน้ั กลุม ชาวกเุ รชผูปฏเิ สธเกรงวา ความสําเร็จใจการเผยแผอิสลามท่ีทานศาดามุฮัมมัด ไดกระทําในมักกะฮ อาจจะเกิดขึ้นในอบิสสิเนียอีกก็เปนได โดยเฉพาะถอยคําของกษัติยเนกุสท่ี แสดงใหเห็นถึงการไมเห็นดวย ที่จะขับไลพวกมุสลิมออกไปอยางไรเหตุผล พรอมกับเปดโอกาสให เขา เฝา เมือ่ พวกเขาหมดหนทางทีจ่ ะแกไ ข จงึ ตอ งรอคอยวนั ทจ่ี ะเผชญิ หนา กันอยา งพรอ มเพรยี ง บรรดามุสลิมรับรูขาวการมาของตัวแทนแหงเผากุเรชเปนอยางดี และยังรูถึงเปาหมายที่ แทจริงของพวกเขาดวย แมกระทั่งการเขาพบกับบุคคลผูใกลชิดกับเนกุสหลายคน พรอมกับมอบ ของขวัญอันล้ําคาแกพ วกเขาเหลานน้ั พวกเขา (มสุ ลิม) มีความกระวนกระวายใจไมน อ ยซงึ่ มาตรวา แผนการของพวกกเุ รชบรรลผุ ลสําเรจ็ ตามตอ งการ นัน่ หมายถึงพวกเขาจะตองกลับคืนสมู ักกะฮด ว ย ความจําใจ บรรดามุสลิมไดรวมกันปรึกษาหารือ เพ่ือเตรียมคําตอบเอาไวในที่ประชุม ซ่ึงพวกเขาจะถูก นําไปพบกับกษัตริยเนกุสตอหนาบรรดาผูรู และนักปราชญท้ังหลาย และเห็นพองกันวาชีวิตและ ความเปนอยูในยุคแหงความโงเขลาปาเถ่ือนและงมงาย (ญาฮิลียะฮ) กับการมาของอิสลามพรอม ดวยสัจธรรมทั้งหลายภายในนั้น คือส่ิงที่จะนํามาเปนถอยแถลง และจะไมกลาวสิ่งใดท่ีขัดแยงตอ ความเปนจริงอยางเด็ดขาด 66

อันเนื่องมาจากวาสิ่งที่จะตองพูดคุยกันในที่ประชุมวันนี้ เก่ียวกับเรื่องของศาสดาท่ีเกิดข้ึนมา ใหม กษัตริยเนกุสแหงอบิสสิเนียจึงสั่งใหผูรูทางศาสนาในสมัยนั้น (คริสตศาสนา) เขารวมดวย ดังน้ันจํานวนหน่ึงนักบวชในคริสตศาสนาจํานวนหนึ่ง จึงถูกเชิญมารวมประชุมอยางเปนทางการ ดวยการตอ นรบั เปนพิเศษ ซึ่งมีคําภีรวางอยูตรงหนาของทุกคน ขาราชการขุนนางตางก็นั่งกันอยูใน ทีป่ ระจําตาํ แหนงของแตล ะคน การจัดพิธซี งึ่ เปนไปทง้ั ในรปู แบบของศาสนาและรูปแบบของกษัตรยิ  ไดทําใหที่ประชุมแหงน้ันมีเกียรติ และโออาสงางามยิ่งนัก กษัตริยเนกุสประทับอยูบนบัลลังกของ พระองค และผูเขารวมประชุมท้ังหลายก็น่ังอยูในที่ของตัวเองท่ีถูกจัดเตรียมไว ซึ่งทุกคนตางก็ ยอมรับวา เปนพิธีการท่ีถูกจัดข้ึนอยางใหญโตจริงๆ ความศรัทธาท่ีผูอพยพมุสลิมมีตออิสลามได สรางขวัญและกาํ ลังใจท่เี ขมแขง็ เปน พิเศษแกพ วกเขาไปในตัว พวกเขากาวเทาเขาไปในท่ีประชุมแหงน้ัน ดวยความม่ันใจและหนักแนน ญะอฟร บุตรของ อบีฏอลิบเดินนําหนาและมีคนอ่ืนตามหลังเขามาทีละคน พวกเขามิไดใหความสนใจหรือตะลึงงัน ตอสถานท่ีหรือพิธีท่ีถูกจัดข้ึนอยางโออาและยิ่งใหญเลยแมแตนอยนิด ท่ีสําคัญก็คือส่ิงท่ีผูคน ท้ังหลายจะตองปฏิบัติ เมื่อเขาเฝากษัตริยในสมัยนั้น (ก็คือการแสดงความเคารพภักดีดวย อากัปกิริยาอยางดุษณีหรือยอมจํานน) แตพวกเขามิไดปฏิบัติสิ่งนั้นเลย พวกเขาเพียงแตกลาววา ความสนั ตพิ ึงมแี ดท านและทุกๆคน (อัสสลามอุ าลยั กมุ ) การปฏิบัติดังกลาวของกลุมมุสลิมผูอพยพ ในทัศนะของผูท่ีอยูในที่ประชุมน้ัน ถือวาเปนการ ดูหมิ่นตอกษัตริยของพวกเขา หลายคนจึงทักทวงขึ้น และไดรับคําตอบจากกลุมมุสลิมวา “เน่ืองจากหลักการในศาสนาของเราเปนเชนน้ี เราจึงตองอพยพเรรอนมาที่นี่ กลาวคือไมเปนการ อณุญาตท่ีจะใหพวกเราเคารพภักดี โคงหรือกราบกรานตอผูหน่ึงผูใด และสิ่งใดๆ นอกจากพระเจา องคเดียวเทา น้นั ” การสําแดงออก ตลอดจนถอยคําที่กลาวออก มาตอหนาที่ประชุมแหงนั้นของกลุมมุสลิมได สรางความหวาดวติ กใหแ กหวั ใจทกุ ดวงของผทู ่ีอยู ณ ท่ีนนั่ ในขณะเดยี วกันก็สรางความเขมแข็งนา เกรงขาม และไดเ พ่ิมเกีรยติคณุ อันประหลาดย่งิ แกบ รรดามุสลิม ประหน่งึ วาความโออาหรูหราตางๆ ในที่ประชมุ แหง นัน้ แทบจะหมดราศีลงและทาํ ใหเ หน็ ความแตกตางไดอ ยา งชัดเจนทีเดียว กษตั ริยเนกสุ ซ่ึงรับหนา ทเี่ ปนผูซักถามดวยพระองคเอง กลาวขึ้นวา “ศาสนาใหมของพวกทาน คอื ศาสนาอะไร ทาํ ไมจึงขดั กบั ศาสนาเดมิ ของพวกทา นเองและศาสนาของเราดว ย” ผนู าํ ของบรรดามุสลมิ ในอบสิ สิเนยี คอื ญะอฟร บตุ รของอบีฏิลิบ พี่ชายของทานอิมามอะลี ซึ่ง ไดม ีการตระเตรยี มกันไวแลววา คือผูที่จะรับหนาที่ในการตอบคําถามตางๆ เอง จากน้ันญะอฟรจึง ตอบกษัตริยเนกุสวา “เราคือประชาชาติซึ่งเคยมีชีวิตอยูแบบผูไรสติปญญา พวกเรากราบไหวและ บูชารูปปน เราเคยปฏิบัติไมดีตอเพ่ือนบานของเราเอง เราเคยรวมประเวณีแบบสําสอนไมถูกตอง ตามหลักการ เราเคยตัดขาดจากเครือญาติ เราเคยรับประทานซากสัตวท่ีตายแลว และผูมีอํานาจ ในพวกเราชอบที่จะแยงชงิ สทิ ธิของผอู อนแอกวา ในขณะทเี่ ราอาศยั และใชชวี ติ อยูในสภาพนั้น พระ 67

ผูเปนเจาไดทรงแตงต้ังศาสดาทานหน่ึงมายังพวกเรา ซึ่งฐานะแหงความเปนผูบริสุทธ์ิของทานน้ัน เปนท่ีรูกันอยางดีในหมูพวกเรา ทานไดเชิญชวนพวกเราใหรูจักความเปนเอกะของพระผูเปนเจา และเคารพภกั ดีตอพระองคเพียงผูเดียวเทาน้ัน ทานหามปรามพวกเราจากการกราบไหวบูชารูปปน หิน ไมและธรรมชาติทั้งหลาย ทานส่ังใหเราพูดแตความจริง ซ่ือสัตยในคํามั่นสัญญา และสราง ความสัมพันธตอเครือญาติ ใหเกียรติเพ่ือนบานและคนอ่ืนๆ ทานหามพวกเราจากการรวมประเวณี โดยไมถูกตองตามหลักการ และหามกลาวถอยคําที่เปนมุสา หามฉอโกงทรัพยสินของเด็กกําพรา และกลาวหาตอหญิงบริสุทธ์ิ ทานสั่งแกพวกเราวา จงอยานําเอาสิ่งใดมาเทียบเคียงกับพระผูเปน เจา ในการเคารพภักดีพระองค และใหภกั ดตี อ พระองค บรจิ าคทาน และการถือศีลอด ฯลฯ พวกเราเช่ือฟงและศรัทธาในตัวทาน ใหคําปฏิญาณตนตอทาน และปฏิบัติตามคําส่ังของ ทานทุกประการ ตามที่ไดกลาวมาแลวขางตน แตทวาชนเผาของเราผูปฏิเสธคําสอนของทาน รุกรานขัดขวางพวกเรา และหลอกลอพวกเราใหหนีหางออกจากคําสั่งตางๆ ของทาน ใหกลับไปใช ชีวิตในสภาพเดิมที่พวกเราเคยเปนอยู น่ันก็คือการกลับไปกราบไหวบูชารูปปน และใชชีวิตอยูใน สภาพเดิมที่เคยเปนมา เมื่อพวกเราปฏิเสธ พวกเขาก็ทารุณกรรมพวกเรา และนี่คือสาเหตุท่ีทําให พวกเราตองเรรอนอพยพมายังประเทศของทานและพวกเรามีความหวังวาในสถานท่ีแหงน้ี เราจะ ได้ัรบั ควมอบอุน และอยูในความคมุ ครองของทานดวย” เม่ือทานญะอฟร บุตรของอบีฏอลิบกลาวจบ กษัตริยเนกุสจึงกลาวข้ึนวา “คําพูดตางๆ ที่ ศาสดาของพวกทานกลาวอางวาเปนวิวรณ และมาจากอีกโลกหนึ่งท่ีถูกประทานมายังทาน พวก ทา นสามารถทองจาํ บทหน่ึงบทใดจากคัมภีรน ั้นไดบางไหม” ญะอฟร “ไดขอรบั ” กษตั รยิ เนกสุ “ดงั นน้ั จงกลา วมาสักหน่ึงบทท่ีทานรูมา” ญะอฟร บุตรของอบีฏิลิบ เขาใจถึงสถานการณดี เน่ืองจากทุกคนท่ีรวมอยูในที่ประชุมแหง นั้นเปนผูท่ีนับถือศาสนาคริสต โดยเฉพาะกษัตริยเนกุสและบรรดานักบวช (บาทหลวง) ณ ท่ีน้ันมี คัมภีรอินญีลอันสูงสงวางอยูเบื้องหนาของทุกคน จึงเรียกไดวาเปนท่ีประชุมของคริสตศาสนิกชนก็ วาได ทานญะอฟรจึงเลือกเอาบทมัรยัม (มารีมารดาของพระเยซู) เพื่อใหเขากับสถาการณใน ขณะนั้น เพราะเปนเร่ืองราวที่เก่ียวกับทานหญิงมัรยัม ทานศาสดาอีซา ศาสดายะหยา (จอหน เดอะแบ็บติสท) และทานศาสดาซาการียา (ชากาเรีย) ทานเริ่มอานเปนวรรคสั้นๆ ดวยเสียงอัน ไพเราะเปนพิเศษดวยความม่ันใจและหนักแนน ซ่ึงมันเปนความปรารถนาของทาน ที่ตองการจะ อานโองการเหลาน้ี เพราะภายในโองการเหลานั้น มีการอรรธถาธิบายท่ีชัดเจนเที่ยงธรรมและ ถูกตอง (ของคัมภีรอัลกุรอาน) ในเรื่องราวของทานศาสดาอีซา และทานหญิงมัรยัม แกชาวคริส เตียนระดับแกนนําในที่แหงน้ันทุกคน และตองการที่จะเปดเผยใหพวกเขาเขาใจวา (ในคัมภีรอัลกุ รอานก็ไดกลาววา) เมื่อสถานภาพของทานศาสดาอีซาและทานหญิงมัรยัม ขึ้นไปสูการเปนผู 68

บริสุทธิ์ท่ีสูงสง และท้ังสองมิไดสอแสดงสัญญาณหน่ึงสัญญาณใดออกมา เพื่อใหเห็นถึงความเปน พระผเู ปน เจา เลย ผูท ่ีรว มอยใู นทีป่ ระชมุ ตา งตะลึงงนั หลายคนนา้ํ ตาหล่ังลงมาอาบแกม จากนั้นกษัตริยเนกุสจึงไดกลาววา “ขอสาบานตอพระเจาที่เท่ียงแท สิ่งที่พระเยซูเคยกลาว เอาไวก็คอื สง่ิ นี้ ถอยคําท้งั หลายเหลา น้ีกบั คาํ พดู ของพระเยซูมาจากรากฐานเดียวกัน” หลงั จากน้ันพระองคจึงหันไปหาตัวแทนของเผากุเรชและกลาววา “พวกเจาจงออกไปเสียจาก ที่นเ่ี ดยี่ วนี”้ และทรงส่ังใหค นื ของกาํ นัลทีพ่ วกเขานํามากลับไปดวย ตอมาไมนานกษัตริยเนกุสก็เขารับอิสลามอยางเปนทางการ และส้ินพระชนมในปที่ 9 ห ศักราชอิสลาม ทานศาสดาไดนมาซแกผูเสียชีวิตใหพระองค จากแดนไกล (หมายเหตุ อบิสสิเนีย คอื เอธโิ อเปยในปจ จบุ นั นนั่ เอง (ผูแปล) ) (61) ๕6… ผปู ระกอบการงานและแสงแดด เมอ่ื อิมามซอดกิ อยใู นชดุ เสื้อผา ชุดเกา ๆ ท่ใี ชในการทํางาน มือถือพล่ัวที่ใชสําหรับพรวนดิน ขมักเขมนอยูกับการทํางานภายในสวนของทานเอง จนเหง่ือไหลโทรมกาย ในระหวางน้ันเอง อุมัร ชีบานียไดเดินเขามา และเมื่อเห็นทานอิมามอยูในสภาพท่ีเหน็ดเหน่ือย ทามกลางแสงแดดเชนน้ัน เขาก็คิดวาสาเหตุท่ีทานอิมามจําเปนตองจับพล่ัว และตรากตรําทํางานหนักดวยตนเองเชนน้ี อาจจะเปนเพราะทานอิมามไมมีผูใดเปนผูชวยเหลือ ทานจึงจําเปนตองทํางานดวยตนเอง เขาเดิน เขามาใกลทานอิมาม แลวกลาววา “สงพลั่วพรวนดินมาใหฉันเถิด ฉันจะชวยทํางานใหทาน “ ทานอิมามกลาวกบเขาวา “ไมตองหรอก อันท่ีจริงแลวฉันรักและชอบผูชายซึ่งมีความ อุตสาหะพยายามเพ่ือใหไดมาซงึ่ ปจจยั ยังชพี ภายใตแสงแดดทีแ่ ผดจา” (62) 57…. เพ่ือนบา นคนใหม ชายซึ่งเปนผูชวยเหลือทานศาสดาคนหน่ึง ซื้อบานแถบชานเมืองมะดีนะฮไวหน่ึงหลัง เม่ือ เขายา ยไปอาศยั อยทู ่ีบานหลังนัน้ แลว เขาจึงมารูภายหลังวาเพื่อนบานท่ีใกลชิดของเขาผูหนึ่งเปนผู ทข่ี าดคุณธรรมความดีและไรม ารยาท เขาจึงมาหาทานศาสดา และกลาวกับทานวา “ฉันไดซื้อบานหลังหนึ่งแถบชานเมืองมะดี นะฮ และยา ยส่งิ ของไปอยูที่นั่นแลว แตที่นาเสียใจอยางหนึ่งคือเพื่อนบานที่อยูใกลกับฉัน นอกจาก ฉันจะไมไดร ับความสงบแลว ฉันยังไมไดรับความปลอดภัยจากความช่ัวรายของเขาดวย และฉันไม แนใจวา เขาจะไมกอ ใหเ กิดภยั อนั ตรายแกฉันในภายหนา ทานศาสดาจึงมคี ําส่ังใหผูศรัทธาส่ีทานคือ อะลี ซัลมาน อบูซารและอีกคนหน่ึง (ซ่ึงไมเปน ที่แนชัดวา คือผใู ด แตมผี ูใหทศั นะวา อาจจะเปนมกิ ดาด) ใหไ ปปาวประกาศดว ยเสียงอนั ดังในมัสยิด แกประชาชนท้ังชายหญิงวา “ใครก็ตามท่ีเพื่อนบานของเขามิไดอยูในความคุมครองของเขา เขาไม ไมใ ชผูศรทั ธา“ 69

คําประกาศนถ้ี ูกกลา วขน้ึ ถึงสามคร้ังดวยกัน หลังจากน้ันทานศาสดาไดยกมือของทานขึ้น และช้ไี ปทัง้ ส่ีทศิ แลวกลาววา “ทกุ ๆ ทิศจํานวนสีส่ บิ หลงั คาเรือนก็ถกู นับวา เปน เพอื่ นบาน” (63) 58… คําสัง่ เสียสดุ ทา ย เมอ่ื ทา นหญงิ อมุ มุฮามีดะฮม ารดาของทา นอิมามมูซากาซิม เห็นอบบู าศีร ซ่ึงเขามาพบนาง เพ่ือกลา วแสดงความเสียใจตอการจากไปของสามีผูยิ่งใหญของนาง (อิมามซอดิก ) นํ้าตาของนาง ไดใหลนองออกมา อบูบาศีรถึงกับอดกล้ันอารมณไมอยู จึงรองใหออกมาเชนเดียวกัน เมื่อทาน หญิงอุมมุฮามีดะฮหยุดรองให นางจึงกลาวแกอบูบาศีรวา “ทานไมไดอยูในชวงลมหายใจสุดทาย ของทา นอิมาม เพราะไดเกิดเหตกุ ารณที่นา แปลกใจ” อบูบาศีรจึงถามวา “เกิดเรื่องอันใดหรือครับ” นางตอบวา “ในชวงลมหายใจสุดทายของ ทานอิมามซอดิก ดวงตาของทานปดอยูอยางสงบนิ่ง ฉับพลันทานไดลืมตาขึ้นแลวกลาววา “จง เรียกบรรดาญาติพี่นองของฉันมาใหหมดทุกคน” ซ่ึงพวกเราตกตะลึงกันมากเพราะในชวงวิกฤติ เชน นี้ ไฉนทานอิมามจึงออกคําสั่งอยางเรงดวน พวกเราจึงใหความสําคัญมาก จากน้ันทุกคนจึงมา รวมกันหมด ไมวาจะเปนญาติพี่นองหรือคนใกลชิดของทานอิมาม ทุกคนตางก็เฝาคอยวาใน ชว งเวลาทสี่ ําคัญเชนนีว้ า ทา นอิมามจะกลาวหรือปฏิบตั ิส่งิ ใด เม่อื ทา นอิมามเห็นทุกคนมารวมตวั กนั หมดแลว ทานจึงกลา วแกพ วกเขาวา “การชว ยเหลือ ของเราจะไมถูกมอบใหแ กบ คุ คลท่ีไมไ ดใ หความสาํ คัญกบั การนมาซ (เคารพภักดีตอพระเจา) อยาง แนน อน” (64) 59… นุซยั บะห บาดแผลลึกท่ีจารึกอยูบนไหลของนุซัยบะห บุตรสาวของกะบ (ซ่ึงนางถูกเรียกวา อุมมุอา มาเราะห ตามช่อื บตุ รชายของนางเอง) ยังคงเหลือรองรอยใหเห็นอยู ซ่ึงเปนบาดแผลฉกรรจท่ีไดรับ ในอดีตที่ผา นมา บรรดาสตรีโดยเฉพาะหญงิ สาว ซึ่งพวกเธอไมไดสัมผัสกบั ชวงสมยั ของทา นศาสดา เน่ืองจากในขณะน้ันพวกเธอยังเปนเด็กเล็กๆ อยู ทุกครั้งท่ีไดเห็นบาดแผลลึกท่ีไหลของนุซัยบะห ดว ยความอยากรูอยากเห็น พวกเธอจึงสอบถามถึงเหตุการณในคร้ังนั้นวาเปนมาอยางไร และอะไร คือสาเหตุของบาดแผลที่อยูบนไหลของนุซัยบะห ทุกคนประสงคท่ีจะฟงเรื่องราวท่ีนาฉงนของนุ ซัยบะหในสงครามอุฮดุ จากปากของนางเอง นุซยั บะหเ องนั้น ไมเคยคาเคดิ มากอนเลยวานางและสามีพรอมลูกชายสองคน จะไดรวมอยู ในสมรภูมิรบในสงครามอุฮุด เคียงบาเคียงไหลกับบรรดานักรบทั้งหลาย เพื่อปกปองทานศาสดา นางเพียงแตมีหนาท่ีแบกถุงหนังบรรจุน้ํา เพื่อแจกจายแกทหารและผูที่ไดรับบาดเจ็บจากการตอสู และไดนําผา พนั แผลติดตวั ไปดว ย เพื่อท่ีจะใชก ับผทู ี่ไดรับบาดเจ็บ นางไมเคยคาดฝนมากอนเลยวา จะไดปฏิบตั ภิ ารกจิ ทีม่ ากไปกวาสองอยา งทีก่ ลา วมาแลว 70

เมอ่ื การสรู บเรม่ิ ข้ึน แมว าฝา ยมุสลมิ จะมจี าํ นวนทหารทไ่ี มมากมายและอาวธุ ยุทโปกรณก ไ็ ม พรอมเทาไรนัก แตก็สามารถบุกทะลวงขาศึกไดอยางกลาหาญ จนทําใหฝายศัตรูหนีแตกกระเจิง และท้งิ ทองทะเลทรายทวี่ างเปลา เอาไว แตเพราะการละเมิดคําส่ังและความประมาทของผูที่เฝาอยู ณ. เนินเขา เพียงชั่วอึดใจเดียวศัตรูไดโจมตีทางขางหลัง สถานการณจึงเปล่ียนไป และทหารมุสลิม สว นหนง่ึ ไดแ ตกทัพหนจี ากทา นศาสดากันเปน จาํ นวนมาก นุซัยบะหมองเห็นสถานการณทกี่ ําลงั เกิดข้ึนเชนน้ัน นางรีบวางถุงหนังลงบนพิ้นดิน แลวควา ดาบไวในมือทันที บางคร้ังนางตอสูกับศัตรูดวยดาบ และบางคร้ังก็ตอสูดวยการยิงลูกธนู โลกําบัง ของพวกนักรบที่ตกอยูบนพื้น นางก็หยิบขึ้นมาและใชเปนเกราะกําบังคมดาบของศัตรู ทันใดนั้น นางก็ไดยินเสียงของทหารฝายศัตรูผูหน่ึงตะโกนข้ึนมาวา “มุฮัมมัดอยูไหน มุฮัมมัดอยูไหน” นุ ซัยบะหวิ่งไปตามเสียงนั้นทันที และใชดาบฟนลงไปที่รางของทหารผูนั้นหลายครั้งดวยกัน แต เน่ืองจากทหารศัตรูผูนั้น สวมเส้ือเกราะหนาถึงสองชั้น ดาบที่นุซัยบะหกระหน่ําฟนลงไปจึงไรผล มันผูน้ันไดหันมา และฟนลงไปท่ีบาของนางอยางแรง เม่ือทานศาสดาเห็นเลือดพุงออกมาจากไหล ของนุซัยบะห ทานจึงเรียกลูกชายคนหน่ึงของนาง และกลาวกับเขาวา “รีบไปจัดการกับบาดแผล ของมารดาเจาเด่ียวน้ี” เขาจึงรีบรุดไปหามารดาของเขาและพันแผลใหนางอยางดี หลังจากนั้นนาง จงึ ลกุ ขึ้นตอ สกู บั ศตั รอู กี คร้งั หนงึ่ ในระหวางนั้นเอง นุซัยบะหเห็นลูกชายของนางไดรับบาดเจ็บเชนเดียวกัน นางรีบเอา ผาพันแผลท่ีนางพกติดตัวมาดวย แลวนําออกมาพันท่ีบาดเจ็บใหบุตรชายของนาง ทานศาสดา มองเห็นความหาญกลาของสตรีผูนี้ ทานถึงกับเผยย้ิมออกมา และเมื่อนุซัยบะหไดพันแผลใหบุคร ชายของนางเสรจ็ แลว นางจึงกลาวแกเขาวา “โอ บุตรของฉันจงเคลื่อนไหวไปโดยรีบเรง และเตรียม สรู บตอ” นุซัยบะหยังไมทันจบคําพดู ของนาง ทา นศาสดาไดชไ้ี ปยงั ชายผหู น่ึงและกลาววา “นนั่ คอื ผู ซึ่งทํารายบุตรชายของเจา” นุซัยบะหลุกขึ้นจูโจมชายผูเปนศัตรูนั้นทันทีประหนึ่งพญาราชสีย และ ฟนลงไปที่นองของชายผูนั้น จนลมลงบนพื้นดินในท่ีสุด ทานศาสดากลาววา “เจาไดแกแคนอยาง สาสมแลว ขอขอบคณุ พระองคพระผเู ปนเจา ท่ีทรงประทานความมชี ัยแกเ จา และทรงเปด แสงสวาง แกด วงตาของเจา” สวนหน่ึงของมุสลิมไดสละชีพไป และบางสวนไดรับบาดเจ็บ นุซัยบะหมีบาดแผลท่ีไหลและ ฉกรรจมากจนนางไมค ิดวา จะมีชวี ิตอยูอ กี ตอไปได หลังจากสงครามอุฮุดผานไป เพื่อเปนการแนใจตอสถานการณของฝายศัตรู ทานศาสดาจึง ออกคําส่งั ใหเดนิ ทางไปสู “ฮัมรออลุ อะสัด” เมือ่ กองทหารเรมิ่ ออกเดนิ ทางนซุ ยั บะหม คี วามประสงค จะรวมเดินทางไปดวย ในขณะท่ีอยูในสภาพเชนน้ัน แตเนื่องจากบาดแผลฉกรรจที่นางไดรับทําให นางไมสามารถเคลือนไหวไดสะดวกงายดายนัก เม่ือทานศาสดาเดินทางกลับจาก ฮัมรออุล อะสัด ยังไมทันที่จะกลับเขาบาน ทานศาสดาไดสงคนไปดูอาการของนุซัยบะห และถามไถถึงบาดแผล 71

ของนาง เม่ือทานศาสดาไดรับทราบขาวจากอาการที่ดีขึ้นของนาง ทานรูสึกปติยินดีเปนอยางยิ่ง (65) 60… ความประสงคข องทา นศาสดาอีซา วันหนึ่งทานศาสดาอีซไดกลาวกับสาวกของทานวา “ฉันมีความประสงคในส่ิงหนึ่งซ่ึงถา หากพวกทานใหสัญญาวาจะกระทําใหฉันได ฉันจึงจะบอกใหพวกทานรู” บรรดาสาวกกลาววา “ทกุ สงิ่ ทุกอยา งท่ีทานสั่ง เราจะปฏบิ ัติตามทันท”ี จากน้ันทานศาสดาอีซาจึงลุกขึ้นจากท่ี และไดชําระลางเทาของสาวกแตละคนจนครบ หลงั จากน้นั บรรดาสาวกตางก็เสียอกเสยี ใจตอเหตกุ ารณน้ันไปตามๆ กนั แตเน่ืองจากพวกเขาไดให สัญญาตอทานศาสดาอีซาไปแลว วาจะตอบรับความประสงคของทาน พวกเขาจึงตองจําใจยอม ภายหลังจากทานศาสดาอีซาลางเทาใหพวกเขาทุกคนแลว บรรดาสาวกจึงกลาววา “ทานอาจารย ของพวกเราที่เคารพนับถือ ตามความเปนจริงแลว เปนการสมควรย่ิงท่ีพวกเราจะตองชําระลางเทา ของทาน มากกวา ทีท่ า นจะมาลา งเทา ของพวกเราในลักษณะเชน น้ี” ทานศาสดาอีซากลาววา “ฉันกระทําส่ิงน้ีเพ่ือความเขาใจแกพวกเจาวา ผูรูท้ังหลาย เขาจะ ดีเลิศกวาทุกคนไดก็ตอ เมื่อเขารับใชประชาชน (หมายถึง ผูรูจงอยาไดคิดวาฉันน้ันเปนผูรู และ ประชาชนจะตองรับใชฉัน แตในทางตรงกันขาม ผูรูท่ีดีเลิศที่สุดคือผูรูที่รับใชประชาชนนั่นเอง) ฉัน ไดปฏิบัติสิ่งที่ทําใหตัวของฉันเองมีความถอมตนยิ่งข้ึน และใหพวกเจาไดเรียนรูสิ่งนี้ และภายหลัง จากฉัน พวกทานตองรับหนาทีใ่ นการสง่ั สอนและนาํ ทางประชาชน พวกทานจงทาํ ใหแ บบอยางและ แนวทางของพวกทาน อยูภายใตการรับใชสิ่งถูกสรางเถิด โดยเฉพาะรากฐานแหงวิทยปญญา จะ เจริญงอกงามไดในสถานท่ีๆ มีความออนนอมถอมตน ไมใชอยูบนสถานท่ีซึ่งเต็มไปดวยความหย่ิง ทรนง เหมอื นกับตน หญา ทมี่ ันจะเจริญงอกงามข้ึนมาได (66) 61… ความรจู ากการเก็บรวบรวมฟน ในทะเลทราย ครัง้ หน่งึ ในการเดนิ ทางของทานศาสดา รว มกับเหลา สาวกของทาน เม่ือถึงเวลาหยุดพัก ณ สถานท่ีแหงหนึ่ง ซึ่งเปนสถานท่ีทุรกันดารมาก ไมมีแมแตหญาสักตนเดียวในที่แหงนั้น เมื่อทุกคน หยดุ พกั ผอนกันแลว ฟน และไฟจึงเปนส่ิงท่ีจําเปนยิ่งสําหรับพวกเขา ทานศาสดาจึงกลาวข้ึนวา “จง ไปเก็บรวบรวมฟน มาเพื่อกอ ไฟ” ท้ังหมดจึงกลา วตอบแกทานศาสดาวา “โอ ทานศาสดาทานไมเห็น ดอกหรือวา ในสถานที่แหงน้ีเวิ้งวางวางเปลาเสียเหลือเกิน และไมมีส่ิงใดอยูเลย จึงไมนาที่จะมีไม เพ่ือกอไฟขึ้นมาได” ทานศาสดาตอบพวกเขาวา “มาตรวาเปนเชนน้ัน ก็ใหทุกคนใชความพยายาม เทาทที่ กุ คนสามารถหามาได (แมเพยี งเศษเลก็ ๆ กต็ าม)” เหลาสาวกจึงแยกยายกันออกไปในทองทะเลทรายอันวางเปลา และคนหาบนพ้ืนทราย อยางละเอียดถี่ถวน ซึ่งถาพวกเขาเห็นแมวาเศษกิ่งไมเล็กๆ ก็จะเก็บมันข้ึนมาทันที จากนั้นไมนาน 72

เศษไมช้ินเล็กช้ินนอยที่ทุกคนหามาได ตามความสามารถของตัวเอง ก็ถูกนํามากองไวในกอง เดยี วกัน ปรากฏวากลายเปน กองฟน ขนึ้ มาไดก องหนง่ึ ในขณะนั้นเองทานศาสดาไดกลาวขึ้นวา “บาปเล็กๆนอยๆ ก็เปรียบเสมือนเศษไมเล็กๆ นี้ เชนเดียวกัน ซ่ึงไมมีใครใสใจตอบาปเหลานั้น แตทวาทุกสิ่งทุกอยางของผูท่ีคนหายอมมีผลติดตาม มา เหมือนกับพวกทานท่ีหาฟนมา ซึ่งเมื่อรวมกันเปนกองฟนแลวไดถึงขนาดนี้ บาปของพวกทานก็ เชนกัน มันจะพอกพูนข้ึนเร่ือยๆ จนกระท่ังวันหนึ่งพวกทานจะไดเห็นมันจากบาปเล็กๆ เหลานั้น ท่ี พวกทานมองขาม (ไมใสใ จ) วาจะถูกรวบรวมอยมู ากมายเพยี งใด” (67) 62… สุราในวงอาหาร มันศูร ดาวานีกีย บางคร้ังบางคราวเขาไดพยายามใชเลหกลตางๆ นานา เพ่ือเชิญชวน ทานอิมาม จากเมืองมะดีนะฮมายังอิรัก แตก็ไมเปนผลสําเร็จ จากน้ันไมนานเม่ือทานอิมาม เดินทางมายังอิรักดวยตนเองแลว เขาไดใหคนคอยสอดสองติดตามดูความเคลื่อนไหวของทาน อยางใกลชิด บางคร้ังก็ขัดขวางการเดินทางกลับไปยังมักกะฮของทานเปนเวลาหลายวัน เพื่อ ควบคุมทานอิมาม ใหอยูในสายตาของเขาตลอดเวลา ระยะหนึ่งท่ีทานอิมามซอดิก พํานักอยูใน เมืองอิรัก นายทหารผูหนึ่งของมันศูรไดจัดงานเล้ียง เนื่องในการขลิบปลายอวัยวะเพศบุตรชายของ เขา ในงานนัน้ มีการเชิญแขกเหร่ือมากมาย และจัดงานเลี้ยงกันอยางเอิกเริก ผูคนจากหลายชนชั้น ถูกเชิญมาเปนแขกในงานเล้ียงนั้น หนึ่งจากบรรดาผูคนเหลานั้นคือทานอิมามซอดิก แขกตางๆ ท่ีมารวมงานตางนั่งรายลอมรอบกัน และรวมกันรับประทานอาหาร ในระหวางน้ันแขกผูหน่ึงไดรอง ขอน้ําดื่ม แตพวกเขากลับยื่นแกวท่ีมีสุราใหแขกผูนั้นแทนนํ้า (ดวยเลหกลของพวกเขา) เม่ือทานอิ มามซอดิกเห็นดังนั้นทานจึงลุกข้ึนจากสํารับอาหารทันที และเดินออกไปจากงานเล้ียงนั้น พวกเขา จึงไปขย้ันขยอและออนวอนใหทานอิมามกลับเขามาในงานอีกครั้ง แตทานอิมามไมยอมกลับและ กลาววา “ทานศาสดา กลาววา “ใครก็ตามท่ีนั่งรวมอยูในวงสุรา หรือสิ่งมึนเมา พระผูเปนเจาจะ ทรงสาปแชงเขา” (68) 63… การน่งิ ฟง เสยี งอา นอลั กรุ อาน บตุ รของมัสอูด คือผหู นึ่งจากบรรดานกั บนั ทกึ โองการอัลกุรอาน ทุกๆ โองการที่ถูกประทาน ลงมายังทานศาสดา เขาจะบนั ทกึ เอาไวทกุ ตัวอักษร และเรยี บเรยี งอยา งเรียบรอ ย วันหน่ึงทานศาสดากลาวกับเขาวา “จงอานอัลกุรอานใหฉันฟงสักบทหนึ่ง” บุตรของมัสอูด ไดเปดแผนกระดาษที่เขาบันทึกอัลกุรอานเอาไว ซ่ึงตรงกับบิทนิสาอ (ผูหญิง) เขาจึงเร่ิมอานทันที ทานศาสดานง่ิ ฟง อยา งสงบและตั้งใจจนถึงโองการท่ี 41 73

“แลว (ในวันชาติหนาพวกเนรคุณจะมีสภาพ) เปนอยางไรเลา เมื่อเราไดนําสักขีพยาน (คือ ศาสนทูต) มาจากทุกๆ ประชาชาติ และเราจะนําตัวเจา (มุฮัมมัด) มาเปนสักขีพยานแกประชาชาติ น”ี้ หลังจากท่ีบุตรของมัสอูดอานจบโองการนี้แลว ดวงตาของทานศาสดาก็นองไปดวยนํ้าตา และทา นกลา ววา “พอแลว จงยุตแิ คน นั้ ” (69) 64… ชายผูม ีช่อื เสยี งในหมผู ูค น ในยุคสมัยนั้นนามของชายผูหน่ึงถูกกลาวขานกันอยางกวางขวางในหมูประชาชน และ ช่ือเสียงของเขา เปนไปในทางของผูที่มีความยําเกรงตอพระผูเปนเจา และมีความเครงครัดใน ศาสนาเปนอยางยิ่ง ทุกๆ การกระทําของเขา ผูคนจะกลาวขวัญและนิยมยกยองถึงความดีงาม คําพูดตางๆ เก่ียวกับชายผูนั้น ในฐานะท่ีเขาเปนคนธรรมดาสามัญชน ถูกกลาวย้ําครั้งแลวครั้งเลา ตอหนาทาน อิมามซอดิกอยูเสมอ จึงทําใหทานอิมามตองขบคิดและตัดสินใจวาสักวันหนึ่งทาน จะตองไปพบกับชายผูมีเกียรติย่ิง และเปนท่ีรักย่ิงของประชาชนผูน้ันใหจงได โดยท่ีมิตองใหผูใด ไดรับรู วนั หน่งึ ทาน จงึ ไปหาเขาโดยทีไ่ มมีผใู ดรูจักทาน ทานเหน็ บรรดาผูคนที่นิยมชมชอบเขาจาก หลายชนชั้น รายลอมรอบๆ ชายผูนั้น พรอมกับเสียงพูดคุยของผูคนดังออกมาจากวงลอมนั้น ส่ิง แรกทีป่ ระจักษแ กสายตาของทานอิมามกค็ อื ความเปนผูมีมารยาทและสภุ าพ ตลอดจนอากัปกิริยา ทาทางของเขานั่นเองที่เปนเสนหดึงดูดใจแกผูคน ภายหลังจากท่ีผูคนไดแยกยายกันกลับไปจน หมดแลว เขาจึงออกเดินไปตามทางคนเดียว ทานอิมามจึงเดินสะกดรอยตาม เขาไปหางๆ เพื่อที่ ตองการรูวาเขาจะไป ณ แหงใด และไฉนเขาจึงสามารถสรางความดึงดูดใจและมีช่ือเสียงในหมู ผูคน ตอมาไมน านนักชายผนู น้ั ไดม าหยุดยืนอยูหนารานขายขนมปงรานหน่ึง อิมามรูสึกแปลก ใจอยางยิ่งตอส่ิงที่ทานพบเห็น น่ันก็คือทานเห็นเขายืนอยูครูหน่ึงเม่ือปลอดจากสายตาผูคนและ เจาของราน เขาแอบหยิบขนมปงสองชิ้นอยางชาๆ และซอนเอาไวในเสื้อคลุม จากนั้นก็เดินจากไป ทานอิมามก็คาดการณวา บางทีเขาอาจซื้อขนมปงน้ันและจายคาขนมปงไวแลวกอนหนาน้ี หรือ อาจจะใหทีหลังก็เปนได แตมาตรวาเปนเชนน้ัน ไฉนจึงตองคอยใหปลอดจากสายตาของเจาของ ราน แลว หยิบและจากไป เม่ือเปนเชนน้ัน ทานจึงคงติดตามดูพฤติกรรมของเขาตอ และความฉงนที่ทานเห็นจาก รานขายขนมปงยังมิทันจางหาย ทานเห็นเขาไปหยุดยืนอยูหนารายขายผลไมอีก และการ ปฏิบัติการอยางเดียวกันก็เกิดข้ึนอีก เขาถวงเวลาเล็กนอยเมื่อคนขายผลไมเผลอ เขาไดหยิบผล ทับทิมมาสองใบ และแอบซุกไวในเส้ือคลุมอีก จากน้ันจึงรีบเดินมุงหนาออกไป ทานอิมามซอดิกมี ความแปลกใจเพ่ิมขึ้นเปนทวีคูณ จากนั้นความสงสัยของทานอิมามก็ถูกทําใหกระจางออกมาใน ท่ีสุด เมื่อทานเห็นเขามุงตรงไปยังบุคคลผูหน่ึงท่ีกําลังปวยหนัก และไดยื่นขนมปงและผลทับทิมท่ี 74

เขานํามา ใหกับผูปวยคนนั้น ในเวลานั้นเอง ทานอิมามจึงตรงรี่เขาไปหาเขาและบอกกับเขาวา “วนั นีฉ้ นั ไดเหน็ การกระทําที่นาแปลกประหลาดของเจาแลวท้ังหมด” ทานบอกใหเขารับรูวา ทานได ตดิ ตามดพู ฤตกิ รรมของเขามาทุกระยะในวันนี้ และขอคําอธบิ ายการกระทาํ ดังกลา วจากเขาดว ย เขามองหนาทานอิมาม และกลาววา “ฉันคิดวาทานคงเปนญะอฟร บุตรของมุฮัมมัดใช ไหม” อิมาม ซอดกิ : “ใชแลว ทา นคดิ ถูกแลว ฉันคือญะอฟร บตุ รของมุฮัมมัด “ ชายผูนนั้ : “แตทวา ทา นเปน ถงึ ทายาทแหงทานศาสดา และเปนเชอ้ื สายทม่ี เี กยี รตยิ งิ่ แตน า เสยี ดายและเสียใจอยางยิง่ ทที่ านโงเ ขลาเบาปญญาเชนน้ี” อิมามซอดิก : “ทานเหน็ ความโงเ ขลาของฉันตรงไหนหรอื ” ชายผูนั้น : “จากคําถามของทานนั่นเอง คือการบงบอกถึงความไมฉลาดของทาน และก็ เปนท่ีรูกันวา แมกระทั่งการคิดคํานวนงายๆ ในเรื่องของศาสนาทานก็ขาดความรู และความเขาใจ ทานไมรูดอกหรือวาพระผูเปนเจาตรัสไวในคําภีรอัลกุรอานวา “ทุกๆ การกระทําของการงานท่ีดี จะ ไดรบั การตอบแทนถึงสิบเทา ดว ยกัน” และเชน กันพระองคทรงตรสั อกี วา “และทุกๆ การกระทาํ บาป จะมีการลงโทษเพียงเทาเดียว” เม่ือบวกลบกันแลวฉันขโมยขนมปงสองช้ินเทากับฉันมีบาปสอง บาป และฉันขโมยผลทับทิมอีกสองใบ ก็มีเพิ่มอีกสองบาปรวมกันแลวฉันมีบาปส่ีบาปดวยกัน แต อีกดานหนึ่ง ฉันแจกจายขนมปงในหนทางของพระผูเปนเจาถึงสองชิ้น และผลทับทิมอีกสองใบซึ่ง เม่ือคิดคํานวนแลว ฉันจะไดรับคาตอบแทนถึงส่ีสิบเทาดวยกัน และน่ีคือการคิดแบบงายๆ ซ่ึง ผลลัพธของมันก็ชัดแจง คือเม่ือเราเอาสี่มาลบกับสี่สิบผลลัพธก็คือสามสิบหกที่คงเหลือสามสิบหก ดังนั้นฉันไดกระทําความดีถึงสามสิบหกผลบุญดวยกัน วิธีคิดคํานวนแบบงายๆ เชนนี้ ซึ่งฉันไดคิด มนั ข้ึนมา แตทานไรความสามารถตอความเขาใจในมนั เอง อิมาม ซอดิก : “ขอพระผูเปนเจา ประทานความตายแกทาน ผูท่ีโงเขลาเบาปญญา นั่นคือ ทานเอง ซ่ึงคิดคํานวณโดยความคิดของตัวเอง ทานไมเคยไดยินโองการอัลกุรอานดอกหรือท่ีมี ความวา “พระผูเปนเจาจะทรงยอมรับการงานจากบรรดาผูท่ีมีความยําเกรงเทาน้ัน ถึงตรงน้ีทาน เอามาคดิ เอาเองแบบงายๆ ทานน้ันไดต กอยูในการกระทําผดิ บาปอยา งแทจริง ทานยอมรบั ผดิ วา ได กระทําบาปถึงส่ีบาปดวยกัน และเม่ือทานไดข โมยเอาทรพั ยส นิ ของประชาชน มาแจกจายไปในนาม ของการใหท าน มิใชเ พียงแตจะไมไ ดรบั การตอบแทนอยางเดียวเทานั้น แตทวาทานจะตองไดรับผล การกระทําบาปอกี จากทกุ ๆ สีอ่ ยางน้ัน (ท่ีหยบิ เอาสิ่งของจากประชาชนโดยที่เจาของไมรูมาบริจาค ทาน) ดังนั้นบาปอีกสี่บาปบวกกับสี่บาปแรกรวมทั้งหมดแปดบาป และในผลแหงการกระทําของ เจา นั้นไมมีการกระทาํ ความดหี ลงเหลืออยเู ลยแมแ ตน อยนิด” อิมามซอดกิ อธิบายแกเขา ในขณะท่ีสายตาแหง ความงนุ งงและอวดดขี องเขาเพงมองไปยงั ใบหนาของทา นอมิ ามอยา งไมก ระพรบิ ตา จากน้ันทานอมิ ามจงึ ผละจากเขามา และกลับยงั บา นพัก 75

เม่ือทานอิมาม เลาเร่ืองราวนี้แกบรรดาผูใกลชิดแลว ทานจึงกลาววา “การอรรถาธิบาย และสาธยายแบบเดาสุม (ไมมีความรู) ในเร่ืองราวของศาสนา นอกจากจะเปนเหตุใหตนเองหลง ทางแลว ยังทาํ ใหผ ูอ ่นี ตองหลงทางอีกดวย” (70) 65… ถอยคาํ ซง่ึ สรางพละกาํ ลงั แกท านอบฎู อลบิ ในยุคแรกแหง การเผยแผอิสลามทานศาสดา ไดยืนหยัดตอสูกับฝายตรงขามชาวเผากุเรชผู ปฏิเสธดวยความลําบากยากยิ่ง การเผยแผดําเนินไปอยางไมรีรอ เพ่ือใหบรรลุเปาหมายที่ทาน ศาสดาต้งั เอาไว และทา นไดแ นะนําประชาชนใหยุติจากการกราบไหวบูชารูปปนตางๆ และใหพวก เขาใชสติปญญา ในการที่จะยอมรับเอารูปเจว็ดมาเปนพระเจา ทานศาสดาไดบอกใหพวกเขาเลิก การปฏิบัติตามบรรดาบรรพบุรุษ ผูหลงทางของพวกเขาเสีย ทําใหพวกบูชาเจว็ดเผากุเรชมีความ แคนเคืองและเดือดดาลยงิ่ นัก พวกเขาจึงไปพบกับทา นอบูฏอลิบ (ลุงของทานศาสดา) เพื่อใหเปนผู เจรจากับทานศาสดาใหยุติการเผยแผนั้นเสีย มิเชนน้ันแลวพวกเขาจะขัดขวางและลุกข้ึนตอตาน กันเอง ทานอบูฏอลิบไดพูดจาประนีประนอม จนฝายกุเรชผูบูชาเจว็ดยอมกลับไป จากน้ันการเผย แผไดรุดหนาไป มีผลสําเร็จติดตามมามากมาย ประชาชนพากันตื่นตัวและกลาวขวัญถึงการมา ปรากฏของมุฮัมมัด และตางก็ทยอยกันเขารวมกับทานวันแลววันเลา จนพวกกุเรชผูปฏิเสธได ประชุมกันและสรุปออกมาวา จะปลอยใหสถานการณเปนเชนนี้อีกตอไปไมได พวกเขาจึงตกลงใจ ใหคําม่ันสัญญากันวาตองทําทุกวิถีทาง เพื่อที่จะยุติและขจัดความวุนวายน้ีออกไป พวกเขาจึง ตัดสินใจพากันไปพบทานอบูฏอลิบอีกคร้ังหน่ึง เพ่ือที่จะพูดคุยกันถึงเร่ืองดังกลาว และในครั้งน้ี จะตอ งย่นื คําขาดในทนั ที บรรดาหัวหนาเผาของชาวกุเรชไดมาหาทานอบูฏอลิบ และกลาววา “พวกเราไดขอรอง ทานแลววา ใหหยุดยั้งและหามปรามหลานชายของทานเสีย แตทานก็ยังน่ิงเฉย พวกเราไมอยากท่ี จะกระทําอะไรรุนแรงลงไป กอนที่จะเจรจากับทาน ในฐานะท่ีเปนผูอาวุโสและมีเกียรติ อยางไรก็ ตาม นับแตน้ีเปนตนไปความอดทนของเราหมดส้ินลงแลว เพราะเขา (ทานศาสดา) ไดดูหม่ินพระ เจาของพวกเรา ดูถกู สตปิ ญ ญาของพวกเรา และกลาวหาปูยาตายายของพวกเราวา เปนผูหลงทาง ปราศจากความรู เขานําพาประชาชนจากเผาตางๆ รวมทั้งเผาของกุเรชใหออกจากการเคารพบูชา พระเจา (ซ่ึงเปนรูปปน) ของพวกเรา ดังนั้นเรามาในคร้ังน้ี เพื่อย่ืนคําขาดตอทาน ถาหากวาทานยัง มิไดหามปรามหลานชายของทาน จากการปฏิบัติดังกลาว พวกเราจะไมใหเกียรติในความเปนผู อาวุโสของทานอีกตอไป และเราจะประกาศสงครามกับเขาหรือรวมทั้งทานดวย เพ่ือยุติการบอน ทําลายของเขาลงเสียโดยเร็ว การยื่นคําขาดของกลุมผูปฏิเสธชาวกุเรชในครั้งน้ี เปนเหตุให ทา นอบฏู อลิบไมส บายใจอยา งยิ่ง เพราะแตไหนแตไรมาทา นไมเ คยไดย นิ คาํ พูดหยาบคาย และขม ขู ในลักษณะเชนน้ีมากอนเลย ซ่ึงก็เปนที่รูกันดีอยูวาอบูฏอลิบไมมีกําลังพอที่จะตอกรกับชาวกุเรชผู ปฏิเสธกลุมนี้ไดแนนอน มาตรวาเหตุการณไดยืดเย้ือไปสูจุดหนึ่งที่เต็มไปดวยอันตรายแลว ตัวทาน 76

เองและหลานชาย (ทานศาสดา) ตลอดจนครอบครัวของเขาทั้งหมด จะถูกทําลายลงอยางแนนอน ทานจงึ สง คนของทา นไปเพอ่ื เชญิ ทานศาสดามาพบ จากนน้ั ทานอบูฏอลบิ จึงเลา เร่ืองราวท้ังหมดให ทานศาสดารับทราบ และกลาววา “เมื่อเปนเชนนี้ก็จงยับยั้งการเผยแผสักระยะหน่ึง เพราะเราทั้ง สองกําลังอยูในระหวางอันตราย” ทานศาสดาจึงรูไดทันทีวา การย่ืนคําขาดของชาวกุเรชมีผลอยาง มากตอทา นอบฏู อลิบ ดงั นัน้ ทา นศาสดาจึงตอบทา นอบูฏอลิบเพยี งประโยคเดียว ซึ่งมันทําใหความ หวาดวติ กตอคาํ ขตู างๆ ของชาวกุเรชไดหายไป จากความคิดของเขาทันที ทานศาสดากลาววา “โอ ทานลุงท่ีเคารพ !!! ฉันขอกลาวเพียงวามาตรวาพวกเขาจะเอาดวงอาทิตยมาวางไวในมือขวาของ ฉนั และดวงจนั ทรว างไวในมือขา งซา ย แลวใหฉ ันหยุดย้งั จากการเผยแผ ฉนั กจ็ ะไมยุติอยางแนนอน “เม่ือจบคําพูดประโยคนั้นทานศาสดา ไดอําลาทานอบูฏอลิบไปดวยน้ําตานองหนา แตไมทันท่ีจะ ออกไปไดก่ียางกาว ทานอบูฏอลิบไดเรียกทานศาสดาอีก เมื่อทานศาสดาหันกลับมาทานอบูฏอลิ บจึงกลาวขึ้นวา “ถาหากวาเปนเชนนั้น ไมวาจะเกิดส่ิงใดข้ึนก็ตามจงดําเนินการเผยแผตอไปตามที่ เจา เหน็ ดีเหน็ งาม ขอสาบานตอพระองคฉันจะยืนหยัดปกปองคุมครองเจาจนลมหายใจสุดทายเลย ทเี ดยี ว (71) 66… นกั ศกึ ษาผสู ูงอายุ สักกากียคือนักประดิษฐเคร่ืองใชไมสอยฝมือเย่ียม จากความสามารถและพรสวรรคที่มีอยู เขาไดประดิษฐขวดใสน้ําหมึกเล็กๆ ขวดหนึ่งที่สวยงาม พรอมทั้งมีฝาปดท่ีเกไก ซึ่งคูควรแกการ นําเสนอตอกษัตริยในสมัยนั้นเปนอยางยิ่ง เขาไดรับคําชมเชยและสรรเสริญตอผลงานทางดาน ศิลปะของเขาอยูเปนเนืองนิจ วันหนึ่งเขาจึงนําผลงานของเขาเสนอแกกษัตริย ดวยความหวังรอย พันประการทเี่ ขาอาจจะไดรับ แตเหตุการณท่ีไมคาดฝนไดเกิดข้ึน จนทําใหความคิดและการดําเนิน ชีวิตของเขาตองเปล่ียนแปรผันไปโดยส้ินเชิง เพราะวาในระหวางที่กษัตริยกําลังเพลิดเพลินอยูกับ การชมส่ิงประดิษฐของเขาอยูน้ัน เปนเวลาเดียวกับความเพอฝนของสักกากียกําลังคิดเพลิดเพลิน อยูกับการจินตนาการอนาคตของเขา ก็มีเสียงแววมาวานักวิชาการทางดานภาษาและวรรณคดี ตลอดจนผูรูทางกฏหมายกําลังจะเขาเฝา และเม่ือบรรดานักวิชาการเหลาน้ันนั่งกันอยูพรอม ณ เบื้องหนากษัตริย สิ่งประดิษฐของสักกากียจึงหมดความหมายไปในทันที เมื่อกษัตริยหันความ สนใจและเจรจาอยูกบั ผรู ดู งั กลา วจนลืมสักกากยี แ ละสง่ิ ประดิษฐของเขาอยางไมใยดี ส่ิงที่ประจักษ แกสายตาของเขาในครั้งน้ัน เปนสิ่งผลักดันใหเกิดการเปลี่ยนแปลง และมันลํ้าลึกเขาไปในจิต วิญญาณแหงความทะเยอทะยานของเขาในฉับพลัน เขารูวาคํายกยองสรรเสริญจากกษัตริยที่เขา รอคอยนั้นคงจะไมเกิดขึ้นอยางแนนอน รวมท้ังความหวังตางๆ ของเขาที่คาดไวก็มลายสิ้น แตทวา ความรูสึกแหงความทะเยอทะยานไมไดหยุดอยูแคนั้น เขาไมอาจจะนิ่งเฉยอยูไดและเขาจะทําเชน ไร เขาคิดไดวาเขาจะทําส่ิงน้ันสิ่งนี้ส่ิงที่ผูอื่นสามารถ และเขาจะตองเปนเหมืนด่ังนักปราชญ เหลานั้นใหได เขาจะตองศึกษาเลาเรียน และเรียกความหวังตางๆ กลับคืนมากับวิถีทางนี้ (การเลา 77

เรียน) แมวาเขาจะเปนผูท่ีชาญฉลาดสักเพียงใดก็ตาม แตวัยหนุมแนนของเขาไดผานมาแลว จึง ไมใชเร่ืองงายเลยตอการที่จะเร่ิมตนการศึกษาต้ังแตข้ันพ้ืนฐาน และรวมชั้น/กับเด็กวัยรุน แตก็ไมมี หนทางเลอื กใดๆ เหมือนด่งั ปลาเมอื่ มันถกู ยกขน้ึ มาจากน้าํ คราใดจงึ เปน สิ่งใหมตอ มนั ทุกครา ส่ิงที่เจ็บปวดท่ีสุดจากปญหาท้ังหลายคือ เมื่อเขาเร่ิมตนการศึกษา เขามองไมเห็น ความสามารถ หรือพรสวรรคของเขาตอ งานดา นนี้เลยแมแตน อย บางทีอาจเปนเพราะวาระยะเวลา หลายสบิ ปทีเ่ ขาหมกมนุ อยูกบั การงานดา นหตั ถกรรมของเขาก็เปน ได ที่ทําใหค วามสามารถของเขา ในเร่ืองของการศึกษาวิชาการและวรรณคดีแข็งกระดางในท่ีสุด แตไมวาจะเปนเพราะเขามีอายุขัย มากแลว หรือความสามารถของเขาไมมีเลยในดานน้ีก็ตาม สิ่งเหลาน้ันไมสามารถที่จะหยุดยั้งการ ตดั สนิ ใจทีเ่ ขาไดม ุง มัน่ เอาไว เขาไดศกึ ษาเลาเรยี นอยางเอาจรงิ เอาจัง จนในท่ีสุดกเ็ กิดเร่อื งข้ึนจนได ผูรูคนหนึ่งซ่ึงเปนอาจารยสอนวิชากฎหมายอิสลามของแนวทางชาฟอีไดสอนเขาวา “ความ เชื่อของครูคือ หนังของสุนัขจะไมสะอาดไดดวยการฟอก” เขาเฝาทองจําประโยคน้ีคร้ังแลวคร้ังเลา เพ่ือที่จะสอบใหไดคะแนนดีๆ แตเมื่อถึงเวลาที่จะตอบคําถามนี้เขากลับอธิบายวา “ความเชื่อของ สนุ ัขคอื หนังของครจู ะไมส ะอาดดว ยการฟอก” เสยี งหวั เราะเฮฮาของนกั เรยี นรว มชัน้ ดังขึ้น ซ่ึงน่ีคือขอพิสูจนสําหรับทุกคนแลวา ชายสูงอายุ ผูนี้ซ่ึงมีความปรารถนาที่จะเลาเรียน แตเขาคงไปไมถึงไหนอยางแนนอน สักกากียไมสามารถจะ ศึกษาในโรงเรียนท่ีอยูในเมืองอีกตอไปได เขาจึงมุงหนาสูทะเลทรายดวยความนอยใจ โลกท่ีกวาง ใหญไพศาลขณะนี้ คับแคบเสียเหลือเกินสําหรับเขา เขาเดินไปถึงเชิงเขาแหงหน่ึงโดยบังเอิญ และ สังเกตเห็นหยดนํ้า ซ่ึงหยดลงบนหินกอนหนึ่ง และผลพวงจากการหยดลงมาของนํ้าวันแลววันเลา สามารถทําใหหินกอนนั้นกรอนเปนรองรอยไดในท่ีสุด เขาใชความคิดคํานึงและฉับพลันความคิด ของเปนเสมือนกระแสไฟฟาซึ่งว่ิงผานสมองของเขา เขากลาวกับตัวเองวา “ดวงใจของฉันถึงแมวา จะไมมีความพรอมเพียงใดก็ตาม แตมันก็มิไดแข็งแกรงไปกวาหินกอนน้ีเลย เปนไปไมไดท่ีมัน (ดวงใจ) จะยืนหยัดโดยปราศจากผลลัพธใดๆ เลย เขาหวลกลับมาอีกคร้ังและใชความพยายาม อยางมากมายจนกระท่ังความสามารถ และพรสวรรคของเขาจุดประกายข้ึนมาในดานของวิชาการ และในที่สุด เขาคือหน่ึงจากบรรดาผูรูทางวรรณคดีท่ีหาตัวจับไดยากผูหน่ึง ในยุคนั้นเชนเดียวกัน (72) 67… นกั พฤกษาศาสตร ภายในสถานศกึ ษาที่ชารลด เู ลนเลาเรียนอยู บรรดาครบู าอาจารยของเขาตางก็หมดหวังใน ตัวชารล พวกเขาไดต กลงกนั วาจะสง ขา วและขอเสนอแนะไปยังบิดาของเขาซึ่งเปนนกั บวชใหไดรูวา อยาไดมีความหวังในตัวลูกชายของเขาทางดานการศึกษาในทางวิชาการมากมายนัก เพราะพวก เขายังมองไมเห็นความสามารถใดๆ ในตัวของชารลเลย จะเปนการดีกวาถาหากสงเขาไปเรียนใน สายวชิ าชพี ท่ีเห็นวาเหมาะสม เพอื่ เขาจะไดม ุง หนา ศกึ ษาในทางนั้น 78

แตทั้งบิดาและมารดาของชารลซึ่งมีความรักและหวงใยในตัวของชารลอยางมากจึงยังไมส้ิน หวัง ทัง้ สองจึงตกลงทจ่ี ะสง เขาเขา เรยี นในวทิ ยาลัยการแพทย แตเนือ่ งจากฐานะในทางการเงินของ ครอบครวั ก็ไมค อยจะดนี ักบางครงั้ จงึ มีอุปสรรคเก่ียวกับคาใชจายในการเลาเรียน แตโชคยังเขาขาง เขาอยูเขาจึงไดรับความเมตตาและชวยเหลือจากชายใจบุญผูหนึ่งซึ่งอยูใจสวนของวิทยาลัย และ รจู ักคุน เคยกบั ชารลเ ปนอยา งดี อยางไรก็ตามความยากลําบากตองเกิดขึ้นแกเขาแนนอนเพราะเขา ไมไดมีจิตใจชอบท่ีจะศึกษาในสาขาที่บิดามารดาของเขาสนับสนุนใหศึกษาเลยแมแตนอย แตเขา รักชอบท่ีจะเรียนสาขาพฤกษาศาสตรมากกวา เพราะเขารักและชอบมวลพฤกษชาติมาต้ังแต เยาวว ยั เขารับมรดกแหงความรักในมวลแมกไมม าจากบิดาของเขาเอง ภายในสวนของบิดาเต็มไป ดวยพันธุไมนานาชนิด ในสมัยท่ีเขายังเปนเด็กอยูทุกครั้งท่ีเขารองใหมารดาของเขาจะตองเด็ด ดอกไมใ หเขาอยูเ สมอ เพ่ือทีเ่ ขาจะไดหยดุ รองให ในระหวางท่ีเขาศึกษาเลาเรียนอยูในวิทยาลัยแพทยน้ันเขาไดพบกับบทความเลมหน่ึงท่ี เขยี นเก่ียวกบั พฤกษศาสตรเปนภาษาฝร่งั เศษ และเขารักท่จี ะใครครวญตอความเรนลับของพชื พนั ธุ ไม ซ่ึงในชวงเวลานั้นเร่ืองหน่ึงซึ่งเปนที่สนใจของเหลานักพฤกษาศาสตรอยางมาก ก็คือการเรียบ เรียงหมวดหมูที่ถูกตองของพันธุไมตางๆ ชารลประสบความสําเร็จในการเรียบเรียงหมวดหมูของ พันธุไมนานาชนิดในรูปของตนตัวผูและตนตัวเมีย ซ่ึงเปนการนําเสนอส่ิงใหมๆ และไดสรางความ สนใจแกผูคนควาทุกคนเปนอยางมาก เขาไดรวบรวมความสําเร็จเปนรูปเลมและไดรับความนิยม อยางแพรหลายจนเปนเหตุใหเขาไดรับตําแหนงหนึ่งที่สําคัญในวิทยาลัยท่ีเขากําลังศึกษาอยู ใน สาขาซง่ึ เปนท่ีแนชัดวาเขามีพรสวรรคอยู แตเนื่องจากความอิจฉาริษยาของผูอื่นจึงเปนอุปสรรคตอ การดาํ รงตาํ แหนง นน้ั ชารลรูสึกปล้ืมปติยินดีย่ิงตอความสําเร็จของเขาซึ่งมันเปนครั้งแรกในชีวิตที่เขาไดล้ิมรสแหง ความสําเร็จ อยางไรก็ตามเขามิไดใสใจตอความไมหวังดีน้ันเทาใดนัก (ความอิจฉา) เขาไดมอบ ภารกิจหนึ่งใหแกตนเอง น่ันก็คือการเตรียมตัวออกเดินทางเพื่อการคนควาวิจัยเก่ียวกับธรรมชาติ เขาไดตระเตรียมสัมภาระในการเดินทาง ซ่ึงมีกระเปาที่ไมใหญโตนัก เส้ือผา กลองถายรูป และ แผนกระดาษนําหรับบรรทึกจํานวนหนึ่งเขาออกเดินไปลําพังผูเดียวซ่ึงเปนระยะทางถึงเจ็ดพัน กโิ ลเมตร และไดเผชญิ กับปญ หาตา งๆ ท่ีแปลกตาและนาฟงมากมาย ในป 1735 (สามปตอ มา) เขา ไดเดินทางกลับพรอมดวยมรรคผลตางๆ มากมายท่ีเขาไดรับจากการคนควาวิจัย เม่ือเขานึกถึง สวเี ดนซึง่ เปน บา นเกิดเมอื งนอนของเขา เขาคิดวา สําหรับเขามันยังไมมีอะไรที่มั่นคงถาวรนัก เขาจึง มุงหนาสูเมืองฮอมบรูกกอน และที่นั่นท่ีเขาไดเขาชมพิพิธภัณฑแหงหนึ่ง เขาไดเสนอสิ่งท่ีเขาไดรับ มาจากการเดินทางรอนแรมในคร้ังน้ันซึ่งเปนส่ิงมีคาสําหรับเขาอยางมาก และเขามีความภูมิใจตอ สงิ่ นนั้ ดวย เขาไดเสนอสง่ิ นั้นแกหัวหนา พพิ ธิ ภัณฑ ซึ่งมันเปนงูชนดิ หนึง่ สฟี าและมหี ัวเจด็ หวั หัวของ มันแตล ะหัวมเิ พียงแตจ ะคลา ยกับหัวงูเทาน้ัน แตทวายังจะคลายกับหัวของพังพอนอีกดวย หัวหนา 79

ของพิพิธภัณฑรูสึกโกรธแคนผูชมผูน้ีเปนอยางมาก เขาถือวาไมเปนสิริมงคลเลยจึงออกคําส่ังใหไล เขาออกไปนอกพิพิธภณั ฑแ หงนน้ั ทันที ชารลยังคงมุงหนาไปตามวิถีทางของเขาตอ และไดทําวิทยานิพนธุระดับปริญญาเอกใน สาขาแพทยจนสําเร็จ และไดเขียนหนังสือไวเลมหน่ึงในระหวางการเดินทางของเขาชื่อวา “เคร่ืองจักรแหง ธรรมชาต”ิ และถูกตีพิมพในเมืองลีเดน หนังสือเลมน้ีไดสรางชื่อเสียงแกเขาจนโดง ดัง จนกระท่ังมหาเศษฐีในเมืองอัมสเตอรดัมไดเสนอใหเขารับตําแหนงบริหารสวนพฤกษชาติที่ สวยงามของเขา เม่ือเปนเชนน้ันชารลจึงไดโอกาศท่ีจะหยุดพักผอนเสียท่ีกับการรอนแรมที่แสน เหน็ดเหน่ีอยของเขา เขาจึงตอบรับขอเสนอน้ี และดวยความชวยเหลือจากผูอุปถัมของเขาทําให เขาไดมีโดกาสเยือนประเทศฝร่ังเศษในที่สุด เขาไดใชเวลาอยูกับการเก็บรวบรวมพืชพันธุตางๆ ใน ปาดูมูน และในที่สุดโรคคิดถึงบานของผูท่ีจากบานเกิดเมืองนอนไดรุมเรามากเขา เขาจึงเดินทาง กลับประเทศ สวีเดนในที่สุด ซึ่งในประเทศของเขาเองก็ไดรูถึงคุณคาของเขาเปนอยางดี จึงไดมอบ สิ่งท่ีนาภาคภูมิใจและคูควรตอความเปนอัจฉริยะของเขาดวยความพยายามของเขาเอง ซึ่งบรรดา ครูบาอาจารยของสถาบันที่เขาเคยศึกษามาในชวงแรกก็ไดพากันมาแสดงความยินดีตอ ความสําเรจ็ อันสูงสงกบั อดีตศิษยเกา ที่พวกเขามองไมเหน็ วแ่ี ววแหง ความสําเรจ็ มากอน (73) 68… นกั ปราศรัย เดมุสตีน คือนักปราศรัยและนักการเมืองท่ีมีชื่อเสียงหนึ่งของประเทศยูนาน (กรีกใน ปจจุบัน) ซ่ึงถือกําเนิดมาในปเดียวกันกับ อาริสโตเติล (นักปรัชญากรีก) และในขณะเดียวกันก็ เสยี ชีวติ ในปเดียวกันอีกดวย ตั้งแตเขาเร่ิมเติบโตมาหรือจําความไดเขาเฝาฝกฝนตนเองสําหรับการ เตรยี มพรอ มทีจ่ ะเปน นักพดู ทด่ี ี แตม ิใชว า เพื่อทีเ่ ขาจะไดเปนนักเทศนา หรอื เปน ครสู อนจรยิ ธรรมทด่ี ี และไมใชเพ่ือที่จะเปนนักปราศรัยตัวยงในเรื่องของการเมืองหรือสังคม และมิใชเพื่อที่จะเปน ทนายความที่ดีในการพดู โตตอบในชน้ั ศาล แตค วามต้งั ใจของเขาเพียงอยางเดียวคือการท่ีเขาจะได พูดจาตอบโตใหไ ดดที ี่สดุ ในช้ันศาลตอ หนา ผพู ิพากษา กับฝา ยตรงขา มซึ่งพวกเขาเปนผูค วบคุมและ เปน ตัวแทนในการดแู ลมรดกท้ังหมดของบดิ าของงเขาในสมัยท่ีเขายงั เยาววัยอยู และพวกเขาไดฮุบ เอาทรพั ยสินทั้งหมดอันมากมายมหาศาลเหลาน้ันซ่ึงจะตองตกทอดมาเปนมรดกของเขาเอง ไปจน หมดสน้ิ เขาไดใชเวลาฝกการพูดอยูชวงระยะหนึ่ง และในที่สุดเขาก็มิไดรับอะไรเลยแมแตนอยจาก มรดกท่ีพอ ของเขาไดละไวใ ห แตทวาเขากลับมีความสามารถในดานการพูดและปราศรัยมากข้ึนซึ่ง เขาตงั้ ใจไววา จะหาโอกาสปราศรยั ตอหนาฝูงชน ในการปราศรยั ครง้ั แรกเขามีความรสู ึกไมไดสมดัง ใจหวัง (ไมเปนที่นาพอใจ) ความบกพรองตางๆ ในการปราศรัยไมวาจะเปนเรื่องธรรมชาติจาก น้าํ เสยี งของเขาเอง สาํ เนยี งและการใชภ าษา การหายใจสนั้ ๆ หรอื ในดานเทคนิคอนื่ ๆ ของการพดู มี ขอบกพรองใหเห็นอยูอยางตอเนื่อง แตดวยความชวยเหลือและการใหกําลังใจจากบรรดามิตร 80

สหาย พรอมกับความอุตสาหะและความเพียรพยายามของเขาที่มีอยู เขาสามารถลบลางขอเสีย ตางๆ ดังกลาวจนหมดส้ิน จากนั้นเขาไดเตรียมบานหลังหน่ึงซึ่งเปนชั้นใตดินเพ่ือเปนสถานที่ฝกฝน การพูดอยูลําพังผูเดียว เขาไดเอาหินกอนหินเล็กๆใสไวในปากเพ่ือเปนการปรับปรุงสําเนียง และ ภาษาพรอมกับกลาวโคลงกลอนดวยเสียงอันดัง และการว่ิงขึ้นลงระหวางขางบนขางลางเพ่ือทําให มีการหยุดหายใจไดนานๆ ในขณะพูดปราศรัย (เพ่ือจะไดทําใหประโยคไมขาดตอน) หรืออานคํา รอยกรองท่ียาวๆ ดวยลมหายใจคร้ังเดียวเขาไดยืนพูดตอหนาเงาของตนเองเพ่ือที่จะไดเห็นกิริยา ทาทางของเขาขณะกําลังพูด และปรับปรุงทวงทาที่ไมเหมาะสมใหดีข้ึน เขาปฏิบัติดังกลาวซ้ําแลว ซํ้าเลา จนกระทงั่ ตอ มาเขาจึงกลายเปนนกั ปราศรยั ท่ีโดงดงั ผูห นง่ึ ของโลกผหู น่งึ เชนเดยี วกัน (74) 69… มรรคผลจากการไปเยอื นฏออฟิ ในชวงระยะเวลาไลเล่ียกันที่ทานอบูฏอลิบลุงของทานศาสดา และทานหญิงคอดิยะฮ ภรรยาที่แสนดขี องทา นไดจ ากโลกนไี้ ปทาํ ใหท า นศาสดา ขาดผอู ุปถมั ภความชว ยเหลือและคุมครอง เม่ือยามออกเผยแผน่ันคือทานอบูฏอลิบ และบอเกิดแหงความอบอุนใจของทานภายในบานคือ ทา นหญิงคอดยิ ะฮ การจากไปของทานอบูฏอลิบไดสรางความยากลําบากแกทานศาสดาเปนย่ิงนักเหลาผู ปฏิเสธชาวกุเรชไดรังควาญทานศาสดามากยิ่งขึ้น เพียงไมกี่วันภายหลังการจากไปของผูเปนลุง ขณะที่ทานศาสดาเดินอยูในตรอกเล็กๆ แหงหน่ึงภายในเมืองมักกะฮ พวกเขาเทขยะเต็มถังลงบน ศีรษะของทาน ทานศาสดาเดินกลับบานไปในสภาพที่รางกายเปรอะเปอนไปดวยขยะที่สกปรก บตุ รขี องทานศาสดาคอื ทา นหญิงฟาตมิ ะฮไดว ิ่งมาหาบดิ าของนาง และรีบทําความสะอาดศีรษะให ทานศาสดาแลเห็นหยดนํ้าตาไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองของบุตรสาวตัวนอย ทานกลาววา “ลูก นอยของพอจงอยารํ่าใหและอยาระทมทุกขเลย พอของเจามิใชอยูลําพังผูเดียวดอก พระผูเปนเจา คอื ผพู ิทักษข องเรา” หลังจากเหตุการณน้ันผานไปไมนาน ทานศาสดาไดเดินทางออกไปนอกเมืองมักกะฮเแตพี ยงลําพัง และมุงหนาสูเมืองท่ีมีชื่อเสียง และอุดมสมบูรณไปดวยพืชพันธุธันญาหาร ซ่ึงมีช่ือวา “ฏอ อีฟ” ซึ่งตง้ั อยทู างภาคใตข องเมืองมกั กะฮ ซ่ึงเปนแหลง พกั ผอนของกลมุ พอคาผูม่ังค่ังทั้งหลาย ทาน ตัดสินใจที่จะไปเชิญชวน และเผยแผอสิ ลามแกห มูชนเผา “ซากฟิ ” ซึง่ อาศัยอยูในเมืองนั้น อยา งไรกต็ ามทานศาสดาเองมิไดหวังส่ิงใดมากมายนักจากประชาชนเผาซากิฟ เพราะทาน ทราบดีวา ผูคนเหลาน้ันก็มีอุดมการณเดียวกับชาวมักกะฮ ซึ่งแมวาพวกเขาจะอาศัยอยูใกลกับ สถานกะอบะฮ แตใชชีวิตอยูอยางมีความสุขภายใตการเซนไหวและเคารพบูชาเจว็ดตางๆ ที่วาง เรียงรายอยู แตเปนเพราะวาทานศาสดาไมเคยถูกครอบงําดวยความส้ินหวัง ความทอแทหรือแมแตจะ ยอทอ และเฝาครุนคิดตอปญหาท่ีเปนอุปสรรคตางๆนานา ทานเปนเจาของหัวใจที่แกรงกลาเด็ด 81

เด่ียวและมีองคประกอบท่ีสมบูรณแบบ ซึ่งทานพรอมที่จะยืนหยัดเผชิญหนากับปญหาท่ีใหญท่ีสุด อยตู ลอดเวลา เม่ือทานเขาไปยังเมืองฏออิฟ ทานไดฟงคําเยาะเยยถากถางตางๆ ที่ทานเคยไดยินเสมอมา จากชาวมักกะฮ ชายผูหน่ึงกลาววา “ขอถามจริงๆ เถิดวา ในโลกนี้ไมมีใครอีกแลวหรือ พระองคจึง แตง ตัง้ ใหเจา เปนศาสดา” อีกคนหนง่ึ กลาววา “ฉันจะไปขโมยผาคลมุ กะอบ ะฮเสียเดี่ยวน้เี ลย ถา เจา คือศาสนทตู ของพระองค” คนทีส่ ามกลา ววา “ฉนั ไมอ ยากจะคุยกับเจาเลยแมแตคําเดียว” และยังมี ถอยคาํ อีกมากมายที่พวกเขาสรรหามา เพอ่ื ดหู มิน่ ถากถางทา นศาสดา พวกเขามไิ ดตอบโตด วยการ ไมยอมรับฟงทานเพียงอยา งเดยี วเทา นน้ั เนอ่ื งจากพวกเขากลัววาทานศาสดา อาจจะไปพบปะกับ ผูห น่ึงผูใดเขาและสนทนากนั ในเรือ่ งของสัจธรรมอสิ ลามตัวตอ ตวั พวกเขาจึงยุยงเด็กกลุมหน่ึง และ พวกอันธพาลหัวไมอีกจํานวนหน่ึงใหขับไลทานศาสดาใหออกจากเมืองฏออิฟไป พวกเหลานั้นจึง ทาํ รายทาน เพอ่ื ขบั ไลใหออกไปจากเมืองดวยการขวางทานดว ยกอนหนิ และกลาวถอ ยคาํ ผรุสวาท สาปแชงตางๆ นานา ทานศาสดาตองรีบออกจากเมืองฏออิฟ ดวยความเจ็บปวดรวดราวจาก บาดแผล ซ่ึงเกิดจากการถูกขวางปาดวยกอนหิน และพยุงรางไปยังสวนผลไมแหงหนึ่ง ที่อยูชาน เมืองฏออิฟ ซ่ึงสวนดังกลาวเปนของอุตบะฮและชัยบะฮ (สองเศรษฐีจากเผากุเรช) ซ่ึงเปนเวลา เดียวกับท่ีเขาทั้งสองอยู ณ ท่ีแหงนั้น และคอยสังเกตการณอยูอยางมิใหพลาดสายตา ท้ังสองมี ความพึงพอใจตอเหตกุ ารณทเ่ี กดิ ขึน้ ตอทานศาสดา เปนอยาง เมื่อบรรดาพวกเด็กๆ เกเรและอันธพาลแหงฏออิฟไดทยอยกลับกันไปหมดแลว ทานศาสดา จึงทรุดกายลงเพื่อพักผอนใตรมเงาของตนองุน ซึ่งหางจากอุตบะฮและชัยบะฮพอสมควร ขณะน้ัน ทานศาสดาอยูอยางโดดเดี่ยวกับพระผูเปนเจาผูทรงสูงสงของทาน และขอความชวยเหลือไปยัง พระองค ผซู ่ึงไมต อ งการความชวยเหลอื จากสง่ิ อ่นื ใด และกลาววา … “ขาแตพระองคผูทรงอภิบาล ความออนแอและไรทางสูของตัวขาพระองค ขาขอฟองรองตอ พระองคจากการปดกั้นหนทาง และการดูถูกเยยหยันจากเหลาประชาชนน้ี และจากบรรดาผูท่ีกดขี่ ขมเหง พระองคคือพระผูเปนเจาของขาพระองค พระองคจะทรงปลอยใหขาพระองคอยูกับผูใดเลา กับคนแปลกหนาท่ีเขารังเกียจเดียดฉันตอขาพระองค หรือกับศัตรูท่ีพระองคทรงทําใหขาพระองคมี อํานาจเหนือเขา โอพระองคทุกส่ิงทุกอยางที่เกิดขึ้นตอขาพระองค ใชวาขาพระองคจะคูควรตอสิ่ง นั้น หรือใชวาพระองคจะทรงกริ้วโกรธตอขาพระองค หามิไดโอพระผูอภิบาลแหงขาพระองค ขา พระองคภูมิใจอยางยิ่งตอทุกส่ิงทุกอยางที่เกิดขึ้นในวันน้ี ท้ังหมดลวนเปนความโปรดปราน ความ ยินดีและความเมตตาจะแผขยายมากข้ึนสําหรับขาพระองค ขาพระองคขอพึ่งพิงไปยังอาตมันของ พระองค ซ่ึงความมืดมนตางๆ จะสวางไสวดวยรัศมีนั้น และภารกิจตางๆ ทั้งในโลกน้ี และโลกหนา จะถูกตองเที่ยงธรรมดวยรัศมีนั้น มาตรวาจากความพิโรธของพระองคที่ประทานมายังขาพระองค หรือการลงโทษของพระองคที่ลงมายังขาพระองค ขาพระองคขอนอมรับดวยความภาคภูมิใจ โอ พระผเู ปนเจา ของขาพระองค เพื่อทพ่ี ระองคจ ักทรงพงึ พระทัยตอ ขาพระองค ไมมีผเู ปล่ียนแปลงใดๆ 82

และไมมีอํานาจใดในโลกน้ี นอกจากจะมาจากพระองคเพียงเทานั้น และดวยความประสงคแหง พระองคเพยี งผูเดยี ว” อุตบะฮและชัยบะฮซ่ึงแมจะดีอกดีใจตอการพายแพของทานศาสดา แตดวยคํานึงถึงความ ใกลชิดทางเครือญาติ พวกเขาไดสั่งให “อาดาส” (ซ่ึงเปนทาสรับใชชาวคริสเตียนและติดตามพวก เขามาดวย) นําองุนเต็มถาดนํามาใหทานศาสดา ซ่ึงกําลังนั่งอยูใตรมเงาตนองุน พวกเขากําชับให ทาสรบั ใชรบี วางถาดองุนไวต รงหนา แลว รีบกลบั มาทันที โดยมิตองพูดจากบั ทา น อาดาสไดเอาถาดองุนมาวางตอหนาทานศาสดา และกลาววา “เชิญ” ทานศาสดาจึงเอ้ีอ มมือไปหยบิ ผลองุนมา และกอนทจี่ ะรบั ประทานผลองนุ ทา นกลาววา “บิสมิลลาฮ” อาดาสซง่ึ ไมเ คย ไดยินประโยคนี้มากอนเลยในชีวิต และนี่เปนคร้ังแรกท่ีเขาไดยินประโยคน้ี จึงเพงมองไปยังใบหนา ของทานศาสดา และกลาวข้ึนวา “ถอยคําท่ีทานกลาวเม่ือสักครูน้ี มิไดเปนถอยคําที่ประชาชนใน แถบนี้กลาวกนั มนั เปน ประโยคท่ีหมายถงึ สิ่งใดหรอื ” ทา นศาสดา : “อาดาส เจา มาจากแหงหนใดหรือ และเจา นบั ถอื ศาสนาอะไร” อาดาส : “พ้ืนเพเดิมของฉนั คอื นัยนาวา และฉนั เปนครสิ เตยี น” ทานศาสดา : “ชาวนัยนาวา ชาวเมืองของบาวผูมีความยําเกรงตอพระผูเปนเจา ยูนุสบุตร ของมาตาหรอื ” อาดาส : “อะไรกันน่ี!!! ทานอยูที่นี่ทามกลางหมูชนเหลาน้ีทานรูจักช่ือของยูนุส บุตรของ มาตามาจากแหลงใดกนั เม่อื ฉันอยทู นี่ ัยนาวาจะหาใครสักสิบคนเพื่อที่จะถามพวกเขาวารูจักช่ือมา ตาบดิ าของยูนุสหรอื ไมกม็ ิพานพบ” ทานศาสดา : “ยูนุสคือพ่ีชายของฉัน เขาเปนศาสนทูตของพระผูเปนเจา และเชนเดียวกัน ฉนั ก็คือศาสนทูตของพระองคด วย” อุตบะฮกับชัยบะฮเม่ือเห็นอาดาสยืนน่ิงเฉยอยูเชนนั้น จึงรูไดทันทีวาเขากําลังสนทนาอยู กบั ทานศาสดาอยางแนนอน จึงสรา งความไมพึงพอใจแกเขาทั้งสองเปนอยา งยง่ิ เพราะสิง่ ทชี่ าวกุเร ชและกลุมผูปฏิเสธแหงมักกะฮกลัวท่ีสุดจากทุกๆ สิ่งก็คือ การสนทนาสองตอสองระหวางทาน ศาสดากับผูคนท้ังหลาย ตอมาเพียงชั่วขณะเดียว พวกเขาจึงเห็นอาดาสคุกเขาลงพรอมกับจุมพิต มือและท่ัวทั้งเรือนรางของทานศาสดา คนหนึ่งจากพวกเขาจึงกลาวข้ึนวา “เห็นหรือยังวาเขาได ทาํ ลายทาสผูไมม ีทางสูเ ขาใหแลว ” (75) 70… อบู อสิ ฮาก ซอบีย อบูอิสฮาก ซอบียคือนักปราชญและนักเขียนผูมีชื่อเสียงในศตวรรษที่ส่ีของศักราชอิสลาม ชว งระยะเวลาหน่ึง เขาไดร ับหนา ทเ่ี ปน สมุหบัญชีในราชสํานักของคอลีฟะฮอับบาสยะฮ และในราช สํานักของอิซซัดเดาละฮ บัคติยาร (อาลิบาวัย) อบู อิสฮาก เปนผูนับถือแนวทางซอบีย ซึ่งมีความ เชือ่ ตอความเปน เอกะของพระผเู ปน เจา แตไ มย อมรับหลักการแหงผสู ่ือสาสน นาบูวัต อิซซัดเดาละฮ 83

บัคติยาร พยายามอยางยิ่งที่จะใหเขาเขารับอิสลามแตก็ไมเปนผลสําเร็ จจึงไดแตเพียงทําใหอบูอิส ฮากพอใจตออิสลามเทาน้ัน อบู อิสฮากถือศีลอดในเดือนรอมฏอนเพื่อใหเกียรติแกมุสลิมและ ทองจําอัล กุรอานไดเปนจํานวนมาก เขาไดเอยถอยคําจากอัล กุรอาน และนํามาเขียนไวใน จดหมายและขอเขียนตางๆ ของเขาอยางมากมาย อบู อิสฮากคือชายผูคงแกเรียนเปนนักเขียน นัก วรรณคดี และกวี เปนมิตรสหายของทานซัยยิดชาริฟริฎอ (ซ่ึงเปนอัฉริยะบุคคลที่มีความรู ความสามารถอยางมาก) อบูอิสฮากเสียชีวิตประมาณในป ฮ.ศ.384 และในพิธีฝงศพของเขาทาน ซัยยิดชาริฟริฎอ ไดอานบทกวีเพ่ือไวอาลัยและแสดงความเสียใจตอการจากไปของเขา ถึงสามบท ดว ยกนั มใี จความวา…. “พวกเจาเห็นหรือไมว า บุคคลน้ันคอื ใคร ผทู ี่ถกู วางลงในหีบศพและกาํ ลงั เคล่ีอนยา ยไป พวกเจา เหน็ หรอื ไมว า แสงสวา งแหง ชุมชนไดมอดลงเชน ไร เสมอื นภูเขาลกู หนึ่งไดพ ังทะลาย ซ่งึ ถาหากวามันไดพ งั ทะลายลงในทองทะเล ความต่ืนตระหนกก็จะบงั เกิดขึน้ ทองทะเลก็จะเต็มไปดวยฟองของมนั ทันที กอ นท่ฉี นั ยงั ไมเ ห็นดนิ กลบรา งของทา น ฉันมิเคยเชอื่ เลยวาดินสามารถจะทบั ถมภเู ขาทีม่ หึมาได” หลังจากนั้นไมนานทานซัยยิดก็ถูกเยยหยันถากถางจากบรรดาผูท่ีไมมองการณไกล พวก เขากลาววา “ไมคูควรอยางยิ่งท่ีบุคคลเยี่ยงทานซ่ึงเปนเสมือนผงธุลีหน่ึงของทานศาสดา ที่จะมา กลาวบทกวีแสดงความโศกเศราและเสียใจ ตอการจากไปของชายผูซึ่งนับถือแนวทางซอบีย และ ปฏิเสธบทบญั ญัติของเราตลอดมา ทา นซัยยดิ ตอบวา “ฉันไดกลา วกวีแสดงความอาลัยตอ วชิ าการและความรขู องเขา มากกวา ทีฉ่ ันจะแสดงความอาลัยแกต ัวเขา” (76) 71…ปรารถนา (ในการคนหา) ความจรงิ ความปรารถนาในการแสวงหาสัจธรรม และการมุงไปสูแหลงกําเนิดแหงความเช่ือม่ันใน พระผเู ปนเจา ไดสรา งความรอ นรมุ ใจใหแกอ ุนวาน บัสรีย เปน อยางยิง่ เขาออกเดินทางไกลมุงหนาสู เมืองมะดีนะฮ ซ่ึงเปนศูนยรวมของบรรดาผูรู และนักรายงานวจนะของทานศาสดา และเปน ศูนยกลางแหงการเผยแผอิสลามอีกดวย เขาไดเขาพบกับมาลิก บุตรของอะนัส ซึ่งเปนนักรายงาน วจนะของทานศาสดาและเปน ผูคงแกเรียนท่มี ชี ื่อเสยี งในเมอื งมะดนี ะฮ เม่ือเขาศกึ ษาอยูกับมาลิก โดยปกติแลวมาลิกจะสอนวจนะแตละบทท่ีกลาวโดยทานศาสดา และใหผ ูทศี่ ึกษากับเขาบันทกึ เอาไว อุนวาน บัสรยี  ก็รวมอยูในบรรดาลูกศิษยลูกหาคนอื่นๆ ของมา 84

ลิกดวย เขามีความมุงมั่นอยูกับการบันทึกตัวบทตางๆ ของวจนะ และบันทึกไวในความทรงจํา รวมทั้งที่มาของตัวบท และบรรดารายชื่อของบุคคลผูซึ่งไดรายงานวจนะท้ังหลายติดตอกันมา เพ่ือทจ่ี ะเปนสงิ่ ชว ยบรรเทาความกระหายทจ่ี ะศกึ ษา ซึ่งอยูภายในตวั ของเขาลงไดบ า ง ในชวงน้ันเปนเวลาที่ทานอิมามซอดิก ไมไดพํานักอยูในมะดีนะฮ แตตอมาไมนานทานอิ มามซอดิกก็เดินทางกลับมายังมะดีนะฮ อุนวาน บัสรียซึ่งเคยศึกษาอยูกับมาลิกมากอนแลว จึง แสดงความจํานงท่ีจะขอศึกษากับทานอิมามซอดิก แตทานอิมามซอดิกมีความประสงคท่ีจะให เปลวไฟแหงความรักท่ีอยูในตัวเขา ในการแสวงหาสัจธรรมลุกโชติชวงมากกวาน้ี ทานจึงทําทีเปน ปฏเิ สธตอความตองการของอุนวาน ทานกลาวกับอุนวาน บัสรียวา “ตามปกติฉันเปนคนที่มีงานยุง มาก เพราะฉันตองนั่งรําลึกถึงพระผูเปนเจา และวิงวอนขอพรตลอดทั้งวันท้ังคืน เจาจงอยาได รบกวนฉันเลย และควรจะไปศึกษากบั มาลกิ ตอไปเหมอื นทเี่ จา เคยศกึ ษามากอ นหนานี”้ คําตอบปฏิเสธแบบไมใหตั้งตัวเชนนี้ ประหน่ึงหินกอนใหญมหึมาไดหลนทับลงบนศีรษะของ อนุ วาน บันรยี ใ นทันที จนกระทัง่ เขารสู ึกเกลียดชังตวั เองขึน้ มาทันที เขาคิดวามาตรทา นอมิ ามซอดกิ ไดเหน็ ความสามารถท่ีอยูในตัวเขาบาง อยางนอยทานอิมามคงจะไมผลักใสเขาเชนน้ีอยางแนนอน ดว ยความทอ แท เขาเดินเขาไปในมัสยิดทานนบีฯ และกลาวสลามจากนั้นจึงไดเดินทางกลับไปยัง บา นของเขา ในสภาพของผทู ห่ี มดหวังในชวี ติ เชาวนั รุง ขน้ึ เขาออกจากบา นมุง ตรงไปยงั มสั ยดิ ของทานนบฯี อีก และไดปฏิบตั ินมาซสองรอ กาอัต เขาไดคร่ําครวญรําพันตอพระผูเปนเจาวา “โอพระองค พระองคคือเจาของแหงเหลาดวงใจ ทุกดวง ขาฯ ขอจากพระองคไดทรงโปรดทําใหหัวใจของญะอฟร บุตรของมุฮัมมัด (ซึ่งหมายถึง ทานอิมามซอดิก) มีความเอ็นดูสงสารตอขาบาง และขอใหขาฯน้ันไดอยูในสายตาของเขาเถิด และ โปรดทําใหข าฯ ไดเรียนรวู ิชาการจากเขาดวย เพือ่ ทขี่ าฯ จกั ไดพบกบั หนทางทเ่ี ทยี่ งแท” หลังจากนมาซเสร็จและขอพรแลว เขาไดเดินทางกลับบานทันที ทุกเส้ียววินาทีท่ีผานไปเขา มีความรูสึกวา ความรักของเขาท่ีมีตอทานอิมามซอดิก ย่ิงทวีความรุนแรงมากขึ้น ดวยเหตุน้ีเองท่ี เขาตองทนทุกขทรมานอยางมากตอการถูกหางเหิน ความปวดราวสุดแสนจะทรมานนี้ไดคุมขังเขา ไวในมุมหนึ่งภายในบาน เขาจะไมออกไปไหนเลย เวนแตออกไปยังมัสยิดเพื่อการนมาซ สิ่งหน่ึงก็ คือการที่อิมามซอดิกไดกลาวกับเขาวา อยามารบกวนฉันเลย และอีกส่ิงหน่ึงความปรารถนาและ ความรักที่อยูภายในยิ่งรุมราวมากขึ้น ซ่ึงเขาเชื่อม่ันวาจะไมพานพบสิ่งท่ีพึงพอใจ และเปนท่ีรักตอ เขามากไปกวาน้ีอีกแลว ความปวดราวในดวงใจและความทุกขระทมย่ิงทวีความรุนแรงข้ึน จนเขา ไมสามารถท่ีจะอดทนตอไปอีกได เขาเรงสวมเสื้อผาและรองเทาในฉับพลัน จากนั้นจึงมุงตรงไปยัง บานของทานอมิ ามซอดิก คนรับใชของทานอิมามไดเขา มาหาและถามวา “ทานมีธุระกิจอนั ใดหรือ” อนุ วาน บสั รยี  : “ฉนั เพียงแตมากลาวสลามตอทานอมิ ามเทานนั้ ” คนใชอ ิมาม : “ทานอมิ าม กําลงั ทาํ นมาซอย”ู 85

ครูหนึ่งตอมาคนใชของทานอิมามไดออกมา และกลาววา ดวยพระนามของพระผูเปนเจา เชญิ ขางในไดเ ลย” อุนวานจึงเดินเขาไปในบาน เม่ือเห็นทานอิมามซอดิก เขาจึงกลาวสลามแกทาน ซึง่ ทา นก็ตอบรบั สลามเขา พรอ มทั้งขอพรใหเขาบทหนึ่งและถามอุนวานวา อะไรคือสมญานามของ เจา หรอื อุนวาน บัสรยี  : “อบอู ับดิลลาฮ ขอรบั กระผม” อิมาม ซอดิก : “ขอใหพระองคทรงปกปองสมญานามนี้ของเจา และทรงโปรดประทานทาง นาํ แกเ จาดว ยเถิด” เมอ่ื เขาไดยนิ คาํ ขอพรบทน้จี ากทา นอมิ าม เขามคี วามเบกิ บานใจเปน อยางยิ่ง เขากลา วกบั ตนเองวา ถึงแมวาฉันจะไมไดรับสิ่งใดเลยจากการมาพบทานอิมามในครั้งนี้ เพียงคําขอพรน้ีบท เดียว ก็ถือวาเปนการเพียงพอแลวสําหรับฉัน ทานอิมามกลาวกับเขาวา “แลวเจามีธุระอันใดและ ตอ งการสงิ่ ใดหรอื ” อุนวาน บัสรีย : “ฉันไดขอจากพระผูเปนเจา ใหพระองคทรงทําใหหัวใจของทานมีความ เมตตาตอฉันบาง และทรงโปรดทําใหฉันไดรับวิชาความรูจากทานดวย ฉันหวังวาพระองคจะทรง ตอบรับคาํ วิงวอนของฉัน” อิมามซอดิก : “โอ อบาอับดิลลาฮ การรูจักพระผูเปนเจาและรัศมีแหงคววามเช่ือมั่นนั้น มิใชวาจะไดมาดวยการท่ีเจาเขานอกออกในไปมาระหวางประตูบานโนนหรือบานนี้ หรือไปศึกษา เลาเรียนกับผูน้ันผูนี้หรอกนะ เจาจะไมไดรับส่ิงนั้นเลยถาปฏิบัติดังกลาว เพราะความรูน้ีมิไดอยูใน ตํารา รัศมีหนึ่งซึ่งเม่ือใดก็ตามท่ีพระองคจะทรงประสงคนําทางบาวผูหนึ่งผูใด พระองคจะทรง ประทานไปยังบุคคลผูน้ัน และถาหากวาเจาปรารถนาตอการท่ีจะรูจักรัศมีน้ี ก็จงแสวงหาการเปน บาวและการเคารพภักดีท่ีแทจริงในจิตวิญญาณของเจา จงคนหามันจนกวาจะพบ จงปรารถนา ความรูจากการ ปฎิบัติ จงถามหาจากพระองค และพระองคจะทรงนํามาตอบสนองภายในหัวใจ ของเจา เอง (77) 72… เสาะหาความเชือ่ มั่น) ในทกุ ๆ ประเทศทก่ี วางขวางแหงซัลกู ยี  (ราชวงคหน่ึงท่ีปกครองเอเชียกลางและตะวันตก ต้ังแตศตวรรษที่ 11-13) เมืองแบกแดดและเมืองนีชาบูร ซึ่งเปรียบเสมือนดาวสองดวงที่เจิดจาทอ แสงอยูบนฟากฟา บรรดานักศึกษาวิชาการศาสนาโดยสวนมากจะมุงหนาไปสู มหาวิทยาลัยท่ี ใหญโตในสองเมืองนี้ เพ่ือศึกษาคนควา ผูอํานวยการแหงสถาบันการศึกษาเมืองนีชาบูรคือทาน อบุลมาอาลา อิมามุลฮารามัยน ุวัยนีย เขารับหนาที่ต้ังแตป ฮ.ศ.450- ฮ.ศ. 478 และมีนักศึกษา หลายรอยคน ทุกคนเปนเด็กหนุมท่ีเอาจริงเอาจังตอการศึกษา ในจํานวนนักศึกษาเหลาน้ัน มีอยู สามคนท่ีมีความดฉลาดเฉียบแหลมและความสามารถที่นายกยองยิ่ง จนโดดเดนกวาผูอื่นก็คือ มุฮัมมัด ฆอซาลี ตูสีย กียา ฮารอสีย อะฮม ัด บตุ รของมฮุ ัมมัด คอฟย  86

คาํ ยกยอ งของอิมามุล ฮารอมัยนตอสามคนน้ี ไดแพรกระจายไปท่ัวทุกสารทิศวา “ฆอซาลี คือ ทะเลทมี่ คี ลืน่ ลมซัดสาด กยี า คือเสอื โครง ทด่ี รุ า ย คอฟย คือเปลวไฟท่ลี ุกโชน” อยา งไรกต็ ามฆอซาลี คือผูท่ีเดนที่สุดจากท้ังสาม ดวยเหตุน้ีเองมุฮัมมัด ฆอซาลี จึงเปนผูท่ีเชิดหนาชูตาของ สถาบันการศกึ ษาในนชี าบูรยคุ น้นั และอิมามลุ ฮารอมยั น ไดส ้นิ ชีวติ ลงในป ฮ.ศ. 478 สําหรบั ฆอซา ลีซ่ึงเปนบุคคลท่ีหาผูเสมอเหมือนไดยากน้ัน ไดเขารับตําแหนงรัฐมนตรีผูทรงคุณวุฒิของซัลูกีย และเปนขุนนางแหงราชวงคมาลิก ตูสียในเวลาตอมา และ ณ สถานท่ีแหงน้ันอีกเชนกัน เขามีชีวิต อยอู ยา งมเี กียรติ และเปนท่รี กั ของทกุ คน ทุกครัง้ ท่มี ีการถกปญ หากนั ในวชิ าการตา งๆ กับผูรูท่ีอยูใน ระดับเดียวกัน ฆอซาลีมักจะเปนผูท่ีเหนือกวาอยูเสมอ เมื่อตําแหนงผูอํานวยการสถาบันการศึกษา แหงเมืองแบกแดดวางลง และรอคอยผูรูที่มีความสามารถมาบริหารและประสิทธิประสาทวิชาการ ซึ่งก็ไมตองสงสัยเลยวา ไมมีใดเหมาะสมกวาชายหนุมผูมีความเปนอัจฉริยะ ซึ่งเพิ่งจะเดินทาง กลบั มาจากแควนครู าซาน (นชี าบูร) ใหมๆ เย่ยี งมุฮัมมัด ฆอซาลีได ในป ฮ.ศ.484 ฆอซาลีไดเขารับ ตาํ แหนง ผอู าํ นวยการมหาวิทยาลัยแหงเมอื งแบกแดดอยางสมเกียรติ เขาไดรบั ตาํ แหนงตางๆ รวมทั้งเกียรติยศอันสูงสงมากมาย ไมวาจะเปนเร่ืองของวิชาการและ จิตวิญญาณในสมัยน้ัน ฆอซาลีไดสัมผัสมันจนหมดส้ินทุกตําแหนง จนไดรับเกียรติใหเปนถึงผูรูท่ี สูงสุด และไมมีใครเทียบเทียมได รวมท้ังเรื่องของการเมืองก็เชนเดียวกัน คอลีฟะฮรวมสมัยทั้งสอง คือ อัลมุกตะดิรบิลลาฮ และหลังจากน้ันอัลมุสตัซฮัรบิลลาฮ ก็ยังตองใหเกียรติเขาอยางเปดเผย รวมทั้งกษัตริยผูย่ิงใหญแหงอิหราน มาลิกชาฮ ซัลูกีย และบรรดาขุนนางตางก็ยกยองและให เกียรติเขา ฆอซาลีกาวสูจุดสูงสุด และไมมีตําแหนงใดอีกแลวในยุคสมัยนั้นท่ีเขามิไดสัมผัส และ ตําแหนงตางๆท่ีเขาไดรับ ก็สรางความอิจฉาริษยาแกผูอื่นเชนเดียวกัน ความรูสึกหนึ่งที่เกิดขึ้นกับ เขาเสมือนดังประกายเล็กๆ สองแสงระยิบอยูในจิตวิญญาณของเขามาตลอดช่ัวชีวิต เขามี ความรูสึกวาสิ่งน้ีบางครั้งประหนึ่งวา มันจะเผาผลาญทําลายเกียรติยศ รวมทั้งยศฐาบรรดาศักด์ิ ทงั้ หลายทีเ่ ขามอี ยู ใหห มดสิ้นไปในทันที เชนเดียวกับเมื่อครั้งที่เขายังศึกษาวิชาการอยู เขาเคยพบกับความรูสึกลี้ลับท่ีซอนเรนอยูใน ตัวเขา เสมือนวามันประสงคความสงบเงียบ ความเชื่อมั่นและความมั่นใจจากตัวเขา แต เนื่องจากวา ในชวงระยะเวลาน้ัน เขาสาละวนอยูกับการแสวงหาอํานาจเกียรติยศ รวมท้ังการยก ยองสรรเสริญจากผูคนใหแกตัวเองอยู เขาจึงมิไดสนใจและใหความสําคัญตอความรูสึกท่ีแปลก ประหลาดน้ัน และเมื่อเขาบรรลุถึงทุกส่ิงทุกอยางที่เก่ียวกับโลกนี้ตามที่เขาตองการ และดื่มด่ํากับ มนั อยางเปรมปรีดแิ์ ลว เขาจงึ เริ่มคนหาความรูสึกอนั ล้ีลับน้นั ดวยความอยากรอู ยากเห็น และก็เปน ท่ีกระจางชัดแกเขาวา การโตเถียงหรือถกปญหาและการวินิจฉัยขอสงสัยทั้งหลายของเขา ซึ่งสราง ความพึงพอใจใหแกผูอื่น รวมท้ังชัยชนะท่ีไดรับมาจากการถกปญหาตางๆน้ัน หาไดหยุดย้ังความ กระหายท่ีอยากรูอยากเห็นของเขาไดเลยแมแตนอย เขาเขาใจแลววา การเรียนการสอนการถก ปญหาทั้งหลายไมเปนการเพียงพอเลย แตความศรัทธาและความยําเกรงเทาน้ัน ที่เปนสิ่งจําเปน 87

และสําคัญย่ิง เขากลาวกับตัวเองวา “ความมึนเมา (หลงไหลคล่ังไคลในความศรัทธา) มิใชจะเกิด จากสุรา ความอิ่มเอมกม็ ใิ ชจ ะเกิดจากการบรโิ ภคขนมปง และความปลอดภยั มสี วดั ิภาพกไ็ มใชเปน ผลมากมายนักจากการคุมกันรักษา เชนเดียวกัน การพูดคุยและการถกเถียงกันในเรื่องของความ ผาสุกเพียงอยางเดียว ก็มิไดสรางความสงบสุขหรือความเชื่อม่ันใหเกิดขึ้นไดเลย จําเปนอยางยิ่งที่ จะตองมุงสูความแทจริงเหลานั้นดวยความบริสุทธ์ิ และส่ิงน้ันก็มิไดสอดคลองกลมกลืนกับ ยศฐาบรรดาศกั ด์แิ ละการยกยองสรรเสรญิ ความขัดแยงท่ีแปลกประหลาดไดเกิดขึ้นภายในตัวเขา ความทุกขทรมานท่ีเขาไดรับจากสิ่งนี้ ไมม ใี ครลวงรไู ดน อกจากตวั เขา และองคอภบิ าลของเขาเทาน้ัน นับเปนเวลาถึงหกเดือนเต็มที่ความ ขัดแยงภายในน้ีเกิดข้ึนกับเขา เหมือนกับจะคราชีวิตของเขาไป จนบางครั้งเขาไมสามารถที่จะดื่ม กินและหลับนอนได แมแตจะกลาวถอยคําออกมาก็แสนจะลําบาก จนกระทั่งเขาไมสามารถที่จะ สอนวชิ าการตอ อกี ไปได เขาจงึ ลม ปวยลง ในทส่ี ุดระบบการยอยอาหารของเขากล็ มเหลว จนตองให แพทยมาตรวจสอบ และช้ีชัดวาเขามีอาการปวยทางจิตใจ ไมมีหนทางใดอีกเลยนอกจากพระองค พระผูเ ปน เจา เขาประสงคจากพระผูเปนเจาใหทรงชวยเหลือและใหเขาหลุดพนจากการถูกรังควาน ดวยสิ่งนี้ แนนอนมันมิใชเร่ืองท่ีงายเลยสําหรับเขา ดานหน่ึงมันคือความรูสึกอันเรนลับซึ่งโหม กระหน่ําอยางไมหยุดย้ังอยูภายใน อีกดานหนึ่งคือความรูสึกท่ียังอาลัยอาวร ท่ีจะละท้ิงจาก ตําแหนงท่ีเต็มไปดวยชื่อเสียงและเกียรติยศ และในที่สุดเขาจึงตัดสินใจท่ีจะละทิ้งและหนีหางจาก ยศฐาบรรดาศักด์ิของตนเอง และไมสนใจตอการคัดคานขัดขวางจากประชาชน เขาออกไปจาก เมอื งแบกแดด โดยอา งวา จะเดินทางไปยังมักกะฮ แตท วา เมือ่ ออกหา งจากแบกแดดไปไดไมมากนัก และเมื่อบรรดาผูท่ีเดินทางมาสงเขากลับกันไปหมดแลว เขาไดมุงหนาสูเมืองชาม จากนั้นก็มุงสู เมืองเยรูซาเล็ม ดวยเหตุที่ผูคนที่นั่นไมมีผูใดรูจักเขา และจะไมมีถูกรบกวนหรือทาทายเพ่ือการถก ปญหากันอกี ตอ ไป เขาแตง กายดว ยการสวมใสเ สอื้ ผาแบบปุถุชนธรรมดา และเดินไปตามทางท่ีเขา ตองการ นั่นคือการเสาะหาความเช่ือม่ันในพระผูเปนเจา และความสงบสุขภายในตัวเอง กวาจะ คนพบ เขาใชเ วลายาวนานถึงสบิ ปอ ยใู นความโดดเด่ียว และใชค วามคดิ ตลอดมา (78) 73… ผูกระหายน้ําในขณะท่ถี ุงใสนํา้ อยบู นบา ในชวงปลายๆ ฤดูรอน แสงแดดที่แผดเผาลงมาอยางรุนแรง ทําใหเกิดความแหงแลงและ ภาวะขาวยากหมากแพงไดเกิดข้ึนกับชาวมะดีนะฮอยางไมหยุดหยอน ซึ่งตรงกับฤดูแหงการเก็บ เก่ียวผลอนิ ทผาลัมพอดี ประชาชนสว นมากตอ งการท่จี ะหยดุ พักผอนคลายความเหนือ่ ยลาสกั ระยะ หนึ่ง แตเมื่อทานศาสดาออกคําส่ังระดมพลอยางเรงดวน จึงทําใหพวกเขาตองเตรียมพรอมอีกครั้ง หนึ่ง เน่ืองจากผูศรัทธาท่ีอยูทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือถูกขมขูกดดันจากกองทัพของโรมัน ประชาชนมซ่ึงเพ่ิงหายจากความเหน็ดเหน่ือย โดยเฉพาะในฤดูรอนและในยามที่ความแหงแลงได คุกคามเชนน้ี พวกเขาอยากที่จะพักผอนและชื่นชมตอผลหมากรากไม ซึ่งเพ่ิงจะเก็บเกี่ยวมาและ 88

ไมใ ชเ รือ่ งงายเลยท่ีจะละท้ิงจากผลไมสดๆ พรอมกับการพักผอนสบายๆ แลวมุงหนาไปสูความรอน ระอุแหงทะเลทราย ซ่ึงเริ่มตนจากมะดีนะฮ จนถึงเมืองชาม ซ่ึงเปนระยะทางท่ีไมใกลเสียเลย ขณะเดียวกนั แผนการทําลายพวกสับปลับก็ถูกตระเตรียมข้ึนพรอ มกนั ดวย ไมวาอากาศจะรอนเปรี้ยงสักเพียงใด หรือการตอสูกับพวกสับปลับจะนากลัวสักแคไหนก็ ตาม ไมส ามารถท่จี ะหยุดยัง้ การเคลื่อนกองทพั สามหมื่นคน เพื่อไปเผชิญหนากับเหลาศัตรูผูรุกราน ไดเ ลย ทง้ั หมดออกเดินทางสูท องทะเลทรายอันรอนระอุ ทานกลางแสงแดดแผดกลา ที่สองลงมายัง พวกเขา พาหนะและเสบียงอาหารก็มีไมพรอม อันตรายที่จะเกิดจากการขาดแคลนอาหารก็มีไม นอยไปกวาอันตรายที่จะเกิดขึ้นจากฝายของศัตรูเชนเดียวกัน บางคนถึงกับเปลี่ยนความคิด เนื่องจากความออนแอของความศรัทธา เชนเดียวกับกะอับ บุตรของมาลิก ซึ่งหันหลังกลับและ เดนิ ทางสเู มอื งมะดีนะฮท ันที บรรดาสาวกไดแจงกับทานศาสดาวา “โอทานศาสดา กะอับ บุตรของ มาลิก กลับไปเสียแลว” ทานศาสดากลาววา “ปลอยเขาไปเถิด ถาหากมีความดีอยูในตัวเขา พระผู เปนเจา จะทรงสงเขากลับมาสมทบกับพวกเราในไมชาน้ี แตถาปราศจากสิ่งนั้น พระผูเปนเจาก็ได ทรงสงเคราะหพ วกทา นจากความผิดพลาดของเขาแลว” ตอมาไมนานบรรดาสาวกไดกลาวขึ้นอีกวา “โอทานสาสดา มูรอเราะห บุตรของรอเบียะอ กลับไปอีกคนหน่ึงแลว” ทานศาสดาตอบพวกเขาอีกเชนกันวา “ปลอยเขาไปเถิด มาตรวามีความดี อยูในตัวเขา พระผูเปนเจาจะทรงสงเขากลับมาสมทบกับพวกเราโดยเร็ว แตถาปราศจากสิ่งน้ัน พระผเู ปนเจากท็ รงปกปอ งพวกทา นใหพ น จากความผดิ พลาดของเขาแลว” ตอมาอีกช่ัวครูหน่ึง สาวกผูหน่ึงรองเสียงดังขึ้นวา “โอทานศาสดา ฮาลาล บุตรของอุมัย ยะฮก ก็ ลบั ไปดว ย” ทานศาสดาจงึ กลาวยํา้ ประโยคเดิม ทท่ี า นกลาวกบั ท้ังสองคนท่ีกลับไปกอนหนา น้ัน ระหวางนัน้ อบซู รั ท่ีติดตามมากับกองทพั ดวย ไดตกคางอยูขางหลังเนื่องจากอูฐของเขาออน กาํ ลังเกนิ ไป อบูซัรใชค วามพยายามทกุ วิถีทางเพอื่ ทจ่ี ะติดตามใหทนั กับกองทัพ แตก็ไมเปนผล เมื่อ สาวกผหู นึ่งเห็นอบูซัรเดินรง้ั หลังอยูไกลลิบตา เขาจึงกลาวกับทานศาสดาวา “โอทานศาสนทูตของ พระผูเปนเจา อบูซัรคงจะกลับดวย” ทานศาสดาตอบเขาอยางสุภาพเชนเดิมวา “ปลอยเขาไปเถิด มาตรวามีความดีอยูในตัวเขา พระผูเปนเจาจะทรงสงเขากลับมาสมทบกับพวกเราในไมชานี้ แตถา ปราศจากสิ่งน้ัน พระผูเปน เจาก็ทรงปกปอ งพวกเจา ใหพ น ไปจากความผดิ พลาดของเขาแลว” ในขณะเดียวกันอบูซัรก็ไมไดลดละความพยายามเลยแมแตนอย เขากระทําอยางสุด ความสามารถเพื่อท่ีจะบงั คบั อูฐใหม งุ หนาตดิ ตามไปใหท ันกับขบวนทพั ของทา นศาสดา แตก็ไมเปน ผลสําเร็จ ในที่สุดเขาจึงตัดสินใจลงจากหลังจากอูฐ ยกขาวของสมภาระตางๆ ขึ้นวางแบกบนบา และออกเดนิ ทางตอดวยเทา เปลา ทามกลางแสงแดดรอนระอุทแี่ ผดเผาในทะเลทราย จนเขาเหน่ือย ออ น เน่อื งจากความกระหายนํ้าเขาลืมทุกส่ิงทุกอยางจนหมดสิ้น ส่ิงเดียวท่ีอบูซัรรําลึกอยู คือการท่ี 89

จะตองเรงรีบไปใหทันกองทัพและทานศาสดา เขากาวเดินตอไปอยางไมหยุดย้ัง อบูซัรมองเห็น ทองฟามุมหน่ึงมืดคร้ึมมีเมฆลอยลงตํ่า นั่นหมายถึงวาจะตองมีฝนตกลงมาอยางแนนอน เขามุง หนา ไปตามทิศนั้นทันที แตเมื่อเขาไปถงึ ท่แี หง น้ัน เขาพบกับหินกอนหน่ึงซ่ึงมีนํ้าขังอยูไมมากนัก จึง จิบมันแตพอควร เขาต้ังใจที่จะดื่มนํ้าน้ันใหสมกับความกระหายท่ีมีอยู แตเขาก็หยุดชะงักเม่ือนึก ขึ้นมาวา จะเปนการดีกวาถาจะนําเอาน้ํานี้ติดตัวไปดวย และตามไปใหทันทานศาสดา บางทีทาน ศาสดา อาจจะกระะหายนํ้าและขาดนํ้าท่ีจะด่ืมอยูดวย เขาจึงตักน้ําใสไปในถุงหนังที่นําติดตัวมา และแบกไปพรอมกับสัมภาระอื่นๆ อบูซัรนําเอาความรอนระอุแหงเพลิงแดด และความยากลําบาก ทั้งปวงที่เขาประสบอยูเหยียบเอาไวใตฝาเทา จากน้ันจึงมุงตรงไปยังกองทัพอยางรีบเรงและอดทน จนกระทั่งเขาเห็นกลุมเงาดํามืดของกองทหารอยูลิบตา เขาตื่นเตนและดีใจมากจึงเรงฝเทาติดตาม ไปอยางไมลดละ ขณะนั้นทหารผูหนึ่งมองเห็นเงาดําอยูแตไกล ซ่ึงกําลังมุงตรงมายังพวกเขา จึงแจงใหทาน ศาสดาทราบวา “โอท า นศาสดา เสมอื นมีผูห นง่ึ อยูไ กลลบิ กาํ ลังมงุ หนา มาทางพวกเรา” ทานศาสดา : “ดที ีส่ ดุ เลยอาจจะเปนอบูซัรกไ็ ด” เงาดาํ นน้ั เขา มาใกลย ิ่งขนึ้ ทหารผหู นึ่งตะโกนเสยี งล่ันวา “ใชแ ลว เขาเองอบูซรั ” ทานศาสดา : “ขอใหพ ระผูเ ปน เจา ทรงเมตตาแกอ บซู รั ดว ย เขาผูอาศัยอยูอยางโดดเดี่ยว และ จะจากไปอยา งโดดเดี่ยว” ทานศาสดาตอบรับการมาอบูซรั ดวยความยินดี และยกสมั ภาระท่ีอยูบนบาของเขาวางลงบน พื้น เปนจังหวะเดียวกับท่อี บูซรั ลมลงทันที เนอ่ื งจากความกระหายนํ้าอยา งหนกั ทา นศาสดา : “จงรบี ไปเอานํา้ มา อบซู ัรอยใู นอาการหิวกระหายน้ําอยางมาก” อบซู รั : “ฉนั มนี ํ้าอยู” ทา นศาสดา : “เจามนี ํ้าอยหู รือ แลว ไฉนจึงไมด ื่มมนั ” อบูซัร : “ครับ บิดามารดาของฉันขอพลีเพื่อทาน ฉันพบหินกอนหนึ่งและมีน้ําเย็นขังอยูในน้ัน ฉนั จึงจบิ มนั เพยี งสองสามหยด แตฉนั นึกไดว า ฉันจะไมดืม่ มันอยางเด็ดขาด จนกวาทานผูเปนสุดที่ รักของฉนั โอทา นศาสดา จะไดดมื่ มันเสียกอ น” (79) 74… การไมซ าํ้ เติมผูไ มม ีทางสู อับดุลมาลิก บุตรของมัรวาน คือผูปกครองอาณาจักรอิสลามคนหน่ึงท่ีปกครองแบบเผด็จ การนานถึงยี่สิบเอ็ดปเต็ม เม่ือเขาส้ินชีพลงในป ฮ.ศ. 86 วะลีดบุตรชายของเขาจึงข้ึนสืบทอด ตําแหนงแทน วะลีดปฏิบัติตอประชาชนเพ่ือเปนการผอนคลายความขุนเคืองของพวกเขา ท่ีมีตอ ความเปน เผด็จการของบิดาของเขา เขาไดปฏิรูปการปกครองใหม โดยเฉพาะอยางย่ิงการเอาใจตอ ประชาชนชาวมะดีนะฮ (ซ่ึงเปนเมืองท่ีศักด์ิสิทธของเหลาบรรดาอิสลามิกชน และเปนศูนยกลาง ของนักวิชาการ และผูรายงานวจนะของทานศาสดา ตลอดจนครอบครัววงศวานของทานศาสดา 90

และบรรดาสาวกที่ยังคงมีชีวิตอยู) เขาส่ังปลดฮิชาม บุตรของอิสมาอีล ซึ่งมีศักดิ์เปนพอตาของอับ ดลุ มาลกิ บิดาของเขา ออกจากตําแหนงทันที เพราะเปนผูหนึ่งท่ีกดข่ีขมเหงชาวเมืองมะดีนะฮอยาง แสนสาหัสในยคุ บดิ าของเขาเชนเดียวกนั ซึ่งประชาชนตางก็รอเวลาเพ่ือที่จะใหเขาพนจากตําแหนง เจาเมืองอยูทุกขณะจติ เมื่อคร้ังท่ีฮิชาม บุตรของอิสมาอีล ดํารงตําแหนงเจาเมืองมะดีนะฮอยูน้ัน เขาไดโบยสะอีด บุตรของมะสีบดวยแสหนังถึง 60 ครั้ง (สะอีด ซ่ึงเปนนักรายงานวจนะของทานศาสดาที่มีชื่อเสียง และเปนผูหน่ึงที่มีเกียรติในทัศนะของชาวมะดีนะฮ) เน่ืองจากเขามิไดใหสัตยาบันตอผูปกครอง อาณาจักรอิสลาม นอกจากนั้นยังทําทารุณกรรมแกสะอีด บุตรของมะสีบ อีก โดยการจับใหสวม เสอ้ื ผา เกาๆ นําข้นึ น่งั บนหลังอูฐ ตระเวนไปรอบๆ เมืองมะดีนะฮเพ่ือใหไดรับความอับอาย ฮิชามยัง แสดงการลบหลตู อ ครอบครวั วงศวานของทานศาสดาอยางมากมายอยูเสมอ โดยเฉพาะตอทานอะ ลี บุตรของฮเู ซน ซัยนุลอาบิดนี (อิมามซยั นลุ อาบิดีน) หลังจากที่ฮิชามถูกปลดออกจากตําแหนงแลว วะลีดแตงตั้งใหอุมัร บุตรของอับดุลอาซีซ ซึ่ง เปนลูกพ่ีลูกนองของเขาเอง และเปนที่รูจักกันดีในหมูประชาชนถึงความมีคุณธรรมของเขา ข้ึนเปน เจาเมืองแทนฮิชาม และเพื่อเปนการผอนคลายความเจ็บแคนที่อยูในใจของประชาชน อุมัรจึงออก คาํ สั่งใหจับตัวฮชิ าม บุตรของอิสมาอลี นําไปมัดไวท่หี นาบา นของมรั วาน พรอ มกับประกาศวาใครก็ ตามที่เห็นและไดยินความเลวรายของฮิชาม ก็ใหมาจัดการกับเขาได ดวยวิธีตาตอตาฟนตอฟนให สาสมกับความแคนท่ีมีอยู ประชาชนตางก็เดินทางกันมาเปนกลุมๆ และดาสาปแชงพรอมกับ ประณามฮชิ ามอยา งไมหยดุ ย้ัง แตท วาสิง่ ที่ทําใหฮชิ าม บตุ รของอสิ มาอลี มคี วามวิตกกังวลเปนที่สุดก็คือ การที่เขาจะถูกแก แคนโดยทา นอิมามอะลี บตุ รของฮูเซน และครอบครวั ของทาน ซงึ่ เขาคาดคดิ วา การแกแ คนจะตอ ง เปนไปอยางรนุ แรงท่ีสุด เม่ือเขานึกถึงอดีตที่เขาไดเคยกดข่ีทารุณกรรม และดาสาปแชงบิดามารดา ตลอดจนบรรพบุรุษของทานอะลี บุตรของฮูเซน แนนอนการลางแคนที่จะมีขึ้นอาจจะถึงตาย สวน ทางดานทานอิมามซัยนุลอาบิดีนไดกลาวแกครอบครัวของทานวา “แบบอยางของพวกเรามิไดเปน เชนนั้น เราไมมีวิธีการท่ีจะซ้ําเติมผูไมมีทางสู และแกแคนเอาคืนจากศัตรูหลังจากที่เขาไมมีอํานาจ ใดๆ อกี แลว ในทางตรงกันขา มคุณธรรมของเราคือ เราจะชว ยเหลือผูตกทุกขไดยากเทา นัน้ ” เมื่อทานอิมาม และครอบครัวของทานเดินมุงมายังฮิชาม บุตรของอิสมาอีล หนาของเขา ซีดเผือดลงทันที เขาเฝารอฟงคําประณามสาปแชง หรือความตายอยูทุกขณะจิต แตเขาคาดผิด ถนดั ทานอิมามกลา วดวยเสยี งอันดงั แกเขาวา “อสั ลามอุ ะลยั กุม” ทา นไดย ่นื มือสลามกบั เขา พรอ ม กับแสดงความเมตตาและเห็นใจ ทานกลาวกับเขาวา “ถาหากฉันชวยอะไรไดบาง ฉันก็พรอมจะ ชวยเหลือทา น” หลังจากเหตกุ ารณน้ันผา นไปชาวเมอื งมะดีนะฮจ งึ ไดหยดุ การแกแคนตอ ฮิชาม (80) 91

75… ชายแปลกหนา หญิงหมายผูตกทุกขไดยากนางหน่ึง แบกถุงหนังบรรจุนํ้าอยูบนบา เพื่อนํากลับไปยังบาน ของนางดวยความยากลําบาก ชายแปลกหนาผูหนึ่งพบกับนางโดยบังเอิญ และชวยยกถุงนํ้าข้ึนไว บนบาของเขา และนําไปสงท่ีบานของนาง นางมีลูกเล็กๆ ที่นาสงสารซึ่งกําลังรอคอยการกลับมา ของมารดาอยูพอดี เม่ือประตูบานถูกเปดออก เด็กๆ ที่บริสุทธ์ิไรเดียงสาทั้งหลาย ตางว่ิงกรูกันเขา มาหามารดา พวกเขาเห็นชายแปลกหนา กาํ ลงั ชว ยแบกถงุ นาํ้ มาให ชายแปลกหนา ผนู น้ั ไดว างถงุ นา้ํ ลงและถามนางวา “แสดงวาเจาไมมีผชู วยเหลืออื่นเลย (สามี) ใชใหม เจาถึงตองลําบากดวยการไป นําเอานํา้ มาเอง และไฉนเจาจึงอยูอ าศัยเพยี งลําพังผเู ดียว” หญงิ หมา ยกลา วตอบวา “สามีของฉนั เปนทหารของอะลี บตุ รของอบีฏิลิบ ผผูเปนผปู กครอง อาณาจักรอิสลามในขณะนั้น) เขาถูกสงไปยังสนามรบแหงหน่ึงและสิ้นชีพท่ีนั่น ขณะนี้จึงเหลือ เพยี งแตฉันและลูกๆ ทย่ี งั เลก็ อยดู ังที่ทานเหน็ ” ชายแปลกหนาผูนั้น มิไดปริปากพูดส่ิงใดอีกเลย เขากมหนาสงบนิ่ง จากน้ันจึงกลาวอําลา นางและจากไป แตทวาเร่ืองราวของหญิงหมายผูนั้นกับบรรดาลูกๆ ของนางยังวนเวียนอยูใน ความคิดของชายแปลกหนาผูนั้น คืนนั้นทั้งคืนเขาแทบจะไมไดหลับนอนเลย เชาวันรุงขึ้นเขาจึงรีบ จัดเตรียมสัมภาระเปนอาหาร และนําเน้ือ แปง อินทผาลัมจํานวนหน่ึงมุงตรงไปยังบานของหญิง หมา ยนัน้ ทันที เมอ่ื ไปถึงจึงเคาะประตูบานของนาง หญิงหมาย : “ใครกัน” ชายแปลกหนา : “บาวคนหน่ึงของพระผูเปนเจา ที่ชวยเจาแบกถุงนํ้ามาเมื่อวานนี้ ฉันนํา อาหารมาใหพวกเดก็ ๆ จาํ นวนหนงึ่ ” หญิงหมาย : “ขอพระองคทรงพึงพอพระทัยตอทานดวย และขอใหพระองคทรงตัดสิน ระหวางเรากับอะลี บุตรของอบีฏอลบิ ดวยเชน เดียวกนั ” เมือ่ ประตถู กู เปด ออกเขาไดข ออนุญาตนางเพ่อื เขา ไปในบานและกลา ววา “ฉันตอ งการท่ีจะ ไดรับผลบุญบาง ถาเจาจะอนุญาต ฉันจะโมแปงและปรุงขนมปงเอง หรือจะใหฉันดูแลพวกเด็กๆ ก็ ไดอยา งใดอยางหนึง่ ” หญิงหมา ย : “ถา ง้นั กด็ ที เี ดยี ว การโมแ ปง และทําขนนมปงฉันคงชํานาญกวาทาน ทานชวย ดแู ลพวกเดก็ ๆ กจ็ ะดี จนกวาฉนั จะทาํ ขนมปง เสร็จ” เม่ือนางเร่ิมโมแปง ชายแปลกหนาผูนั้นก็เรงรีบหยิบเนื้อที่เขาเตรียมเอาไว ออกมาปรุงเปน อาหาร จากนั้นจึงปอนเด็กๆ และทุกๆ คําท่ีเขาไดปอนอาหารแกบรรดาเด็กกําพราเหลาน้ัน เขาจะ กลา ววา “โอลกู นอยของฉนั โปรดอภยั ใหอะลี บุตรของอบีฏอลิบดวยเถิด ถาหากเขามีความสะเพรา และละเลยตอพวกเจา” เม่ือนางบดแปงเสร็จ นางจึงเรียกชายแปลกหนาผูนั้นและกลาววา “โปรดกอไฟท่ีเตาใหฉัน ท”ี เขาเดนิ ไปยังเตาไฟนั้นและกอมนั จนเปลวไฟลุกโชตชิ วงแตกกระจาย เขาขยับใบหนาของเขาเขา 92

ไปไกลกับเปลวไฟนั้น และกลาวกับตัวเองวา “จงลิ้มรสความรอนของไฟเสีย นี่คือโทษทัณฑของผูท่ี ทอดทง้ิ ละเลยเดก็ กาํ พราและหญงิ หมาย” ในขณะนั้นเอง หญิงคนหน่ึงซ่ึงเปนเพื่อนบานของหญิงหมายผูน้ันไดแวะมาท่ีบานของนาง และพบกับชายแปลกหนาผูนน้ั หญงิ เพ่อื นบานผูนั้นรูจักชายแปลกหนาผูนี้เปนอยางดี นางจึงกลาว กับหญิงหมายเจาของบานวา “อะไรกันนี่ ชายแปลกหนาท่ีกําลังชวยเธออยูคือผูใด เธอไมรูจักทาน จรงิ ๆ หรอื ทานคือผนู ําแหงมวลผูศ รัทธาอะลี บตุ รของอบีฏอลบิ “ หญิงหมายตกตะลึงและรีบวิ่งเขาม พรอมกับกลาววา “ฉันขออภัยตอทานดวย ฉัน ละอายแกใ จเหลือเกนิ จรงิ ๆ ทป่ี ฏิบัตติ อ ทา นเชน น”ี้ อมิ ามอะลี : ”ไมห รอก ฉนั เองเสยี อกี ทจ่ี ะตอ งขออภยั ตอ เจา เพราะฉนั ไดทอดทิ้งเจา และ ลกู ๆ ของเจาไวโดยลาํ พัง” (81) เชงิ อรรถ/หนงั สอื อา งองิ (1) มสั ยิดมะดนี ะฮใ นยคุ แรกของอิสลาม มิไดม ีไวเพอ่ื การปฏิบัตินมาซเพียงอยางเดียว แต ทวาเปนศูนยกลางการเคลื่อนไหวและใชปฏิบัติภารกิจตางๆ ในเรื่องของศาสนาและกิจการสังคม ของมุสลิมทั้งมวล มุสลิมจะรวมตัวกันในมัสยิดแหงน้ัน ในทุกคราวท่ีมีเร่ืองสําคัญประชาชนจะถูก เชิญชวนใหไปรวมกลุมกันท่ีนั่น และขาวสําคัญก็จะถูกปาวประกาศใหประชาชนไดรับรู ณ ที่แหง นัน้ พรอมท้งั การตดั สินใจตางๆ ทุกเรื่องก็จะถกู แจงท่ีนน่ั เชนเดียวกัน สมัยที่มุสลิมยังอาศัยอยูในเมืองมักกะฮ พวกเขาไมมีโอกาสปฏิบัติภารกิจในเร่ืองของ ศาสนา และกิจการสังคมอยางอิสระเสรี ไมสามารถปฏิบัตินมาซ เรียนรูส่ิงตางๆ ในเร่ืองของ ศาสนาได สภาพการณเชนน้ีปรากฏอยูอยางตอเน่ือง จนกระท่ังอิสลามไปสูจุดที่สําคัญ จนกระทั่ง ขบวนการอิสลามไดอพยพไปดานหนึ่งของคาบสมุทรซึ่งเรียกวายัธริบ และตอมาภายหลังเปนท่ี รูจักในนามของ “มะดีนะตุนนะบี” หมายถึง เมืองของทานศาสดา เม่ือประชาชนในเมืองนั้นใหการ สนับสนุน ทา นศาสดาจึงอพยพมาสูเมืองน้ี และผูศ รทั ธาท่ีอยตู ามสถานท่ีตางๆ ก็อพยพติดตามมา อยางไมขาดสาย สิทธิเสรีภาพในการปฏิบัติศาสนกิจตางๆ ก็ถูกจุดประกายข้ึนในชวงน้ัน ส่ิงแรกท่ี ทานศาสดากระทําภายหลังจากอพยพมายังเมืองน้ีก็คือ การสรางมัสยิดแหงหนึ่งข้ึน ณ สถานท่ี แหงน้ัน ทา นไดท รงเลอื กไวโดยการชวยเหลือของเหลา สาวก และผสู นับสนุนทา น (2) มนุ ียาตลุ มรุ ีด พมิ พทีบ่ อมเบย หนา 10 (3) อซุ ลู กาฟย เลม 2 หนา 139 บาบกนี าอะห (4) วาซาเอ็ล พิมพอ ามรี บาฮาดริ หนา 529 (5) กุหลลุ บซอร มุฮดั ดัสกุมมี หนา 69 93

(6) กุหลลุ บซอร มฮุ ัดดัสกุมมี หนา 69 (7) กหุ ล ุลบซอร มุฮัดดัสกุมมี หนา 68 (8) บีฮาร เลม 11 หนา 21 (9) อซุ ลู กาฟย  เลม 2 บาบฮซุ นุศสาวกห วะ ฮกั ศศอฮิบฟลซาฟร หนา 670 (10) นะฮุลบาลาเฆาะ กาลิมาตกุ อศอร ลําดบั ท่ี 37 (11) บีฮารุนอนั วาร เลม 11 ฮาลาตอิมามบากริ หนา 83 (12) กหุ ลุลบซอร มุฮัดดสั กุมมี หนา 70 (13) เมืองชามในสมัยของคอลีฟะฮ อุมัร บุคคลแรกที่ถูกแตงตั้งใหเปนผูปกครองในเมืองน้ัน คือ ยาซีด บุตรของ อบีซุฟยาน เขาไดปกครองอยูเปนเวลาสองป หลังจากนั้นเขาก็ส้ินชีพ และ การปกครองของเขาทาํ ใหเ มอื งน้ีเต็มไปดวยความจําเริญ (เนียะมัต) ภายหลังจากเขาตําแหนง ผูปกครองก็ตกไปอยูในมือของนองชายของเขา คือ มุอาวิยะ บุตรของ อบีซุฟยาน รวมเวลา ยี่สิบป ท่ีมุอาวิยะไดปกครองและมีอํานาจอยางสมบูรณ ในเมืองนั้น แมวาในสมัยนั้น ผูปกครองแควนตางๆ จะถูกไลและเปลี่ยนแปลงอยูตลอดเวลา และไมเปนการอนุญาติใหผูใด ปกครองเมืองหน่ึงเมืองใดในระยะเวลานาน แตสําหรับมุอาวิยะเขาสามารถอยูในตําแหนง อยางยาวนานได และไมมีผูใดอาจหาญกาวกายหรือรังควาญได เขาไดเสริมสรางอํานาจ และ ความแข็งแกรงฝหแกตนเองจนกระท่ังตอมาเขาคิดที่จะขึ้นดํารงตําแหนงคอลีฟะฮ เสียเอง ภายหลังจากเวลาผานไปรวมยส่ี ิบปในการปกครองของเขา หลงั จากเกดิ เหตุการณน องเลอื ด ท่ี เขาไดกอขึ้น เขาก็ขึ้นเปนคอลีฟะฮอยางสมความตั้งใจ และอีกย่ีสิบปที่เขาอยูในตําแหนงคอ ลีฟะฮ ของบรรดามุสลิมและปกครองเมืองชามและแถบเมืองนั้น กับราชอาณาจักรตางๆ ที่ กวา งขวางของอิสลามในชวงเวลานน้ั ดวยเหตุน้ีเองประชาชนในเมืองชามตั้งแตวันแรกที่ลืมตามองดูโลก ก็เติบโตมาภายใตการ ปกครองของอุมาวียะห และเปนที่รูกันวา พวกมุอาวีย คือศัตรูตัวฉกาจของ บะนีฮาชิม มาแตเดิม ในสมัยของการปกครองอิสลามตอๆ มา ความเปนศีตรูย่ิงทวีข้ึน และเปาหมายท่ีลูกหลานของอะลี ดวยเหตุนี้เองชาวเมืองชามเมื่อเขาไดยินเร่ืองราวของอิสลามและ ซึมซาบเขาไปในจิตใจของพวก เขาแลว พรอมกันน้นั การเปน ศัตรตู อ ลูกหลานของอะลี ก็ซึมซาบเขาไปดวย เพราะวาการโฆษณาที่ ช่ัวรายของพวก อุมาวีย นั้นก็คือ การเปนศัตรูตอลูกหลาน อะลี คือ รุกุน (ขอพึงปฏิบัติ) หนึ่งของ ศาสนา และนี่คอื จริยธรรม ซงึ่ เปน ทรี่ ูกันของพวกเขา (14) นัฟซะตลุ มัซดรู มฮุ ดั ดัสกุมมี หนา 4 (15) อุซูลกาฟย  เลม 2 หนา 404 (16) บีฮาร เลม 9 หนา 598/อมิ ามอะลี อลาเซาตุลอิดาละตลุ อนิ ซานียะห หนา 63 (17) ในชวงแรกของศตวรรษท่ีสิบฮิจเราะหศักราช ลัทธิหน่ึงไดถือกําเนิดข้ึนมาในหมูมุสลิม ภายใตคําแอบอา งวาเปนลทั ธิของผูม คี วามศรทั ธาท่สี งู สง และเรียกกนั วาลทั ธิซฟู  บุคคลกลุมน้ี 94

มีวิถีการใชชีวิตในรูปแบบเฉพาะตัว และพรอมกันนั้นพวกเขาก็มีวิธีการชักชวนผูอ่ืนเขาสูลัทธิ ของตนดวย พวกเขาปาวประกาศวาแนวทางแหงศาสนาอิสลามคือแนวทางนี้ และอางวา มนุษยจําเปนอยางย่ิงที่จักตองออกหางจากโลกดุนยา ผูศรัทธาท่ีแทจริงไมควรท่ีจะสวมใส เครื่องนุงหม และเส้ือผาที่ดีๆ หรือไมควรที่จะบริโภค และอาศัยอยูแบบโออาสงางาม ใน บางครั้งเม่ือพวกเขาไดพบเห็นผูที่ไดนําเอาความโปรดปรานจากส่ิงตางๆ ท่ีมีอยูบนดุนยานี้มา ใชสอยใหเปนประโยชน พวกเขาจะตําหนิติเตียนพรอมกับดูหม่ินทุกครั้งไป และมองบุคคล เหลานั้นวาเปนผูท่ีลุมหลงในโลกดุนยา และคือผูที่หางไกลจากองคอภิบาล คําคัดคานของ พวกซุฟยานทีม่ ตี อทา นอมิ าม ซอดกิ ก็อยภู ายใตความคิดและความเชื่อเชนน้ี ลัทธิดังกลาวได ถือกําเนิดขน้ึ มาในระยะเวลาทีย่ าวนานมาแลว เชนในกรีก และอินเดีย และมีอยูแทบทุกทองที่ ไมมากก็นอยทามกลางชุมชนมุสลิม และไดสรางความเสียหายตออิสลามเปนอยางย่ิง พรอม กันน้ีแนวทางดังกลาวไดมีการสืบทอดจนถึงชนรุนหลังตอๆมา และถูกซึมซาบอยางฉับพลัน ทันที และสามารถท่ีจะกลาวไดวาเปนลัทธิเฉพาะที่ถือกําเนิดข้ึนในหมูมุสลิมเรา ซ่ึงมีผลต กการทําใหเกียรติยศและศักดิ์ศรีแหงกฏเกณฑแหงการใชชีวิตของมุสลิมตกต่ําและดอยลง และสรางความเฉื่อยชาในกิจการงานตางๆ ซ่ึงผลพวงท่ีไดรับจากสิ่งนี้ก็คือสาเหตุแหงความ ทรุดโทรม และความลาหลังของนานาประเทศมุสลิม การแพรหลายและซึมซาบของลัทธิ ดังกลา ว มิไดม ีเฉพาะในชนชั้นท่ีถูกไดช อื่ วา ซูฟเ พียงอยา งเดยี วแตทวา หลกั ความคิด (หนั หลงั ใหกบั โลกดนุ ยา) ดงั กลาวนไ้ี ดถูกแพรห ลายไปในชนชน้ั และ นิกายตา งๆ ในอิสลาม ซึ่งพวกเขา เหลาน้ันเองก็เคยตอตานลัทธิน้ีมากอนซึ่งก็มิไดนอยไปกวาพวกซูฟเลย และเชนกันสามารถที่ จะกลาวไดว าทุกคนที่ไดช่อื วา ชาวซฟู  พวกเขาไมเคยมีหลกั ความคดิ ผดิ ๆเชน น้ีมากอนเลย โดย มิตองสงสัยถาเราจะบอกวาการมีหลักความคิดผิดๆเชนนี้คือสวนหน่ึงจากความปวยไขของ สังคม มันเปนความปวยไขท่ีมีอันตรายอยางย่ิงซ่ึงจะเปนสาเหตุแหงการเกิดอัมพาตทางจิต วิญญาณในสงั คม และจําเปน อยางยิง่ ทจ่ี ะตอ งตอสูก บั ความปว ยไขช นดิ นี้ และขจดั ความคิดที่ ผิดๆ นี้ออกไปจากสังคม แตเปนทีนาเสียใจอยางยิ่งท่ีการรณรงคตางๆ ท่ีเกิดข้ึนมาแลว ไมมี แมแตสักคร้งั เดียวทีจ่ ะรณรงคต อสูกับหลักความเชื่อดังกลาวน้ัน มันหมายถึงวามิไดถกปญหา กันในทางสติปญญาและทางหลักความเช่ือ แตสวนมากเปนการถกเถียงกันในเร่ืองของช่ือ และพยัญชนะที่ยึดถือลัทธินั้น และตอบุคคล และบางครั้งการถกปญหากันก็เพียงเพื่อให ไดม าซึง่ เกียรตยิ ศชอ่ื เสียง และศักดิ์ศรเี ทาน้ันเอง (และโออ วดกนั ในถอ ยคํา) และภายหลังการ ถกปญกาดังกลาวหลายตอหลายคนดวยกันของบรรดาผูรวมรณรงคเหลานั้นตองติดเช้ือไวรัส แหง ความปวยไขน ัน้ และกลายเปนพวกซูฟไปในท่ีสุดและบางคนยังเปนผูนําโรคน้ีแพรหลายสู ชุมชน และนั่นคือสาเหตุเนื่องมาจากพวกเขาไรความคิด และไมเขาใจในคุณลักษณะของนัก ตอ สูรณรงคท่ีดี ซ่ึงเปนโซตรวนแหงความเลิอเลิศและละมุนละไม ซึ่งเปนคุณสมบัติช้ินเอกของ มนุษย และนอยคนนักที่จะประสบกับส่ิงนั้น พวกเขาจึงถูกโจมตีและพายแพในท่ีสุด การตอสู 95

กับชาวซูฟจะตองตอสูกันในทางความคิด และหลักความเช่ือ ซ่ึงในตัวบทของฮาดีษเชนตาม คําบรรยายของทานอิมาม ซอดิก ซ่ึงจักตองตอสูในลักษณะเชนนั้นจากทุกดานของสังคม และทกุ ๆนามทีถ่ กู เอยข้ึน จงึ สามารถท่จี ะสรปุ ไดว าคําอรรธถาธบิ ายของทา นอมิ าม ซอดิก ในเรอ่ื งดังกลา ว คือคํา บรรยายท่สี มบรู ณแ บบท่สี ุด ตอการปฏิเสธลัทธิน้ี ซ่ึงมีผลประโยชนอยางมาก และเปนท่ีนาปติ ยนิ ดีอยา งย่งิ ทถี่ อ ยคาํ บรรยายเหลาน้ีไดถูกบรรทกึ ไวในหนังสอื อัลฮาดีษตา งๆมากมาย (18) ตะหฟลุ อุกลู หนา 348-354 , อุซลู กาฟย เลม 5 บาบมาอีชะห หนา 65-71 (19) ที่สงครามญาม้ัล คือสงครามทเี่ กดิ ข้ึนใกลๆ กับเมืองบัศเราะฮ ระหวางทานอิมาม อะลี และทานหญิง อาอิชะฮ, ฏอลฮะ, ซุเบ็ร สาเหตุที่ไดมีช่ือวา “ญามั้ล” ก็คือในระหวางการทํา สงคราม ทานหญิง อาอิชะฮ ไดน่ังอยูบนหลังอูฐเปนผูบัญชาการในกองทัพ (ญาม้ัล ในภาษา อาหรับแปลวา อูฐ) สงครามน้ีไดเกิดข้ึนภายหลังจากการสถาปนา อิมาม อะลี ข้ึนเปนคอลีฟะฮ และบรรดาผูซึ่งกอสงครามไมสามารถทนเห็นความมีคุณสมบัติแหงความถูกตองเที่ยงธรรมของอิ มาม อะลี ไดหมายถึงทานอิมาม อะลี ไมแบงแยกชนชั้นในการปกครอง เชน เผาน้ีมีเกียรติกวา เผา นนั้ และผูนั้น เลอเลิศกวาผูน้ี) ตลอดจนคุณความดีท้ังหลายท่ีทานมีอยู สุดทายทานอิมาม อะ ลี กไ็ ดรบั ชยั ชนะในสงครามนี้ เรอื่ งดังกลา วนท้ี าน บุตรของ อบี ฮาดดี ไดนาํ มากลาวใน ชัรฮ นะฮุลบาลาเฆาะ เลม ที่สาม หนา 1 ซึ่งพิมพในเบรุต ภายในน้ันไมใชชายผูมีนามวา อาลาอ บุตรของ ซียาด แตเปน รอบีอ บุตรของ ซียาด (20) นะฮ ุลบาลาเฆาะ คุตบะหท ี่ 207 (21) อุซลู กาฟย เลม 2 บาบฟสลุฟกุ อรอเอลมสุ ลิมีน หนา 260 (22) ซาฟน าตลุ บิฮาร (23) ฆอซาลนี อเมะ หนา 116 (24) ตารคี อลุ ูมอักลียดรั อิสลาม หนา 211 (25) บีฮารนุ อนั วาร พิมพค อมพานยี  เลม 11 ฮาลาตอมิ ามบากิร (26) บฮี ารนุ อนั วาร เลม 2 อะหว าลอิมามฮาดีย หนา 149 (27) บฮี ารนุ อนั วาร เลม 12 ฮาลาตฮัซรัตอมิ ามรฎิ อ หนา 39 (28) บฮี ารุนอนั วาร เลม 10 หนา 25 (29) ชารนะฮ ลุ บาลาเฆาะ บุตรของอบี ฮาดดี เลม 4 หนา 185 พมิ พเบรตุ (30) บฮี ารนุ อนั วาร เลม 11 ฮาลาตอิมามซอดิก หนา 116 (31) วาซาเอ็ล เลม 2 หนา 469 (32) วาซาเอ็ล เลม 2 หนา 494 (33) มรุ ู ุซซาฮับ มัสอดู ีย เลม 2 ฮาลาตมะหด ีย อบั บาสี 96

(34) อซุ ลู กาฟย  เลม 2 บาบฮกั กุลญาวาร หนา 668 (35) วาซาเอ็ลชอี ะห เลม 3 กีตาบุชชุฟอะห หนา 329 ฮาดีษท่ี 1,3,4 (36) บฮิ าร เลม 6 บาบมาการมิ ลุ อัคลาค (37) บฮี ารุนอนั วาร เลม 11 หนา 121 (38) บฮี ารนุ อนั วาร เลม 6 บาบมาการมิ ุลอคั ลาค (39) บฮี ารนุ อนั วาร เลม 11 หนา 117 (40) บีฮารนุ อนั วาร เลม 11 หนา 36 (41) บฮี ารุนอนั วาร เลม 12 หนา 14 (42) บีฮารนุ อนั วาร เลม 9 พมิ พต ับรีซ หนา 613 (43) วาซาเอ็ล เลม 2 หนา 582 (44) บีฮารุนอันวาร เลม 11 พิมพคอมพานีย หนา 110 , ซาเอ็ล เลม 2 พิมพอามีรบาฮาดิร หนา49 (45) วาซาเอ็ล เลม 2 หนา 212 (46) อิรชาด ดัยลามยี  (47) บีฮารนุ อันวาร เลม 12 หนา 31 (48) อลั กุนยา วัลอัลกอบ มุฮดั ดัสกมุ มี เลม 2 หนา 153 (49) มาลิก บุตรของ อะนัส บุตรของ มาลิก บุตรของ อบี อามิร ก็คือหน่ึงจากบรรดาอิมาม สี่มัสหับของพี่นองอะหลิสุนนะห วัล ญามาอะห นั่นเอง และมัสหับมาลีกี ซ่ึงเปนท่ีรูจักกัน แพรหลายก็สืบทอดมาจากเขา เขาอยูในยุคสมัยเดียวกันกับ อบู ฮานีฟะห สวนชาฟอียคือ ศิษย ของมาลิก และอะหห มดั บุตรของ ฮัมบลั กเ็ ปนศษิ ยของชาฟอ ียอกี ทีนึง การปฏบิ ตั ศิ าสนกจิ ตา งๆ ในมสั หบั มาลีกนี ้ันแตกตา งกบั มัสหับฮานาฟย ของอบฮู านีฟะหโ ดย สิ้นเชิงเพราะในมัสหับ อานาฟยสวนมากแลวจะยึดเอาสติปญญา และการเปรียบเทียบเปนหลัก (โดยการใชสติปญญาวินิจฉัยออกมา) ซึ่ผิดกับมัสหับมาลีกีที่จะยึดมั่นอยูกับสุนนะห และ ฮาดิษ ดังน้ันจงึ จะเหน็ ไดวา ส่งิ นตี้ รงกนั กับคาํ กลาวของ บตุ รของ คลั กาน ในหนังสอื วาฟาตลุ อะยาล เลม 3 หนา 268 ทว่ี า กอนทีม่ าลิกจะจากโลกนไี้ ปเขาไดรองใหฟูมฟาย สาเหตุมาจากเร่ืองราวบางอยางท่ี เขาไดฟตวาชี้ขาดออกไป โดยใชสติปญญาของเขาเปนเครื่องวินิจฉัย เขารูสึกหวั่นวิตก และหนักใจ มากตอสิ่งนั้น เขากลาววา “ฉันไมนาฟตวาสิ่งใดออกไปเลยโดยการใชสติปญญาของฉันเอง ฉันจะ พึงพอใจอยา งยงิ่ ถา หากวาฉันจะไดรับการลงโทษโดยการโบยดวยแสตอทุกๆ คําฟตวาเหลาน้ันของ ฉันบนโลกนี้ เพื่อท่ีฉันจะไดเปนอิสระหลุดพนจากส่ิงตางๆ ที่จะติดตามมา (การลงโทษในอาคี เราะห) จากการกระทาํ ผิดเหลาน้ัน” การปฏบิ ตั สิ ง่ิ หนงึ่ ทีน่ า ยกยองของมาลิกเกี่ยวกับเรื่องที่เขามีความเชื่อวาการใหสัตญาบันตอ มุฮัมมัด บุตรของ อับดิลลาฮ มะฎ (ซ่ึงไดรับชะฮีด) น้ันเปนการถูกตอง และการใหสัตญาบันตอ 97

บานี อับบาส นั้นถือเปนส่ิงโมฆะ เพราะเปนการขมขู มาลิกมิไดปกปดความเช่ือน้ีของเขา และเขา มิไดเกรงกลัวตออํานาจของบานอี ับบาสเลย ดวยเหตุน้ีเอง ญะอฟร บุตรของ สุไลมาน อับบาสีย ได สัง่ ใหจบั มาลิกมาโบยอยางหนกั และเนือ่ งจากการถูกโบยคร้งั นี้ คอื สาเหตุแหงการมีชื่อเสียงและทํา ใหเขาเปน ท่ีเคารพของหมูช นมากยงิ่ ขน้ึ (วาฟาตลุ อะยาน เลม 3 หนา 285) ขณะท่ีมาลิกใชชีวติ อยใู นมะดนี ะฮเ ขาไดไปมาหาสูกับทานอมิ าม ซอดกิ อยเู ปน นจิ สนิ และ เขาคือผูหน่ึงจากบรรดาผูท่ีรายงานฮาดีษของทานอิมาม ซอดิก และในหนังสือ บิหาร เลมที่11 หนา 109 ซึ่งอางจากหนังสือตางๆ เชน คิศอล , อิลาลุลชารอเยะอ และ อามาลีย ของชะฮีด ศอด ดูก กลาววา “คราใดก็ตามที่มาลิกไดไปหาทานอิมาม ซอดิก ทาน จะแสดงความรักใครเอ็นดูตอ เขาเสมอ และบางครั้งทา น กลา ววา “ฉนั รักและเอน็ ดทู าน” และเมือ่ มาลิกไดร บั ความเห็นอกเห็นใจ รักใครจากอิมาม เชนนี้ เขามีความปติยินดีเปนลนพน ในหนังสืออัลอิมามุศซอดิก เลม 3 มาลิ กไดกลาวไววา “ในชวงระยะเวลาหนึ่งที่ฉันไดไปมาหาสูกับทานอิมาม ซอดิก อยูเสมอนั้น ฉันจะ เหน็ ทานอมิ าม อยใู นสภาพของการปฏบิ ัตินมาซ หรือถือศลี อด หรืออานคัมภีรก รุ อานอยางเปนนิจ สิน ฉันไมเคนไดยินและไมเคยเห็นใครเลยที่จะประเสริฐกวา ทานญะฟร บุตรของ มุฮัมมัด ไมวาใน เรื่องของวิชาการ ความยําเกรง และการอิบาดัต” และในขณะเดียวกันถูกอางจากหนังสือ บิหาร มาลิกไดกลาวเก่ียวกับทานอิมาม ซอดิก วา “ทาน คือผูมีเกียรติแหงมวลผูมีความศรัทธา และ ความยําเกรง ซึ่งทาน มีความเกรงกลัวตอพระผูเปนเจา อยางเหลือคณานับ และรูเรื่องราวของฮา ดษี ตางๆ อยางมากมาย การมีมารยาทที่เลอเลิศ มีอัธยาศัยที่ดีเย่ียม มัญลิส (ในท่ีชุมนุม) ของทาน เต็มไปดวยความโปรดปรานทุกครั้งท่ีทาน ไดยินนามของทานรอซูลุลลอฮ สีหนาของทาน จะ เปลีย่ นไปในทนั ท”ี (50) ) บฮี ารุนอันวาร เลม 11 หนา 109 (51) วาซาเอ็ล เลม 2 หนา 513, บฮี ารุนอนั วาร เลม 9 หนา 599 (52) บีฮารุนอนั วาร เลม 11 หนา 266 (53) อซุ ลู กาฟย  เลม 2 หนา 324 , วาซาเอล็ เลม 2 หนา 477 (54) ชารน ะฮุลบาลาเฆาะ บตุ รของอบี ฮาดีด เลม 4 หนา 389 (55) ตารคี อิบนุคอลกาน เลม 3 หนา 44 (56) อาบาฎียะฮ คือกลุมหนึ่งจากหกกลุมของพวกคอวาริจญ พวกคอวาริจญน้ันเปนที่รูกัน อยางแพรหลายวากําเนิดข้ึนในสงครามศิฟฟน และพวกเขาคือสาวกของทานอิมาม อะลี และไดทรยศกบฎตอทานอิมาม อะลี ในเวลาตอมากลุมนี้เกิดขึ้นจากคนสองกลุมดวยกัน กลุมหนึ่งปฎิบัติตามพื้นฐานความเช่ือ (อากีดะฮ) ที่พวกเขามีอยู และอีกลุมหน่ึงเกิดจาก ความโงเขลาและมีอคติซึ่งกลุมหลังนี้เห็นกลุมท่ีอันตรายท่ีสุดที่กําเนิดข้ึนมาในหมูมุสลิม เพราะพวกเขาจะรังควาน และกอกวนการปกครองในทุกยุคทุกสมัยอยูเสมอ ทั้งหมดของ 98

พวกเขาคอวาริจญมีความจงเกลียดจงชังตอทานอิมาม อะลี และทานอุษมาน (ไม ตอ งการทงั้ ทา นอมิ ามอะลี และอษุ มาน ) และสวนมากของมุสลิมท่ีมีอากีดะฮ (ความเช่ือ) ไมเหมือนกับพวกเขาก็จะถูกตัดสิน (ฮุกุม) ใหมุสลิมเหลานั้นเปนผูปฎิเสธ (การเฟร) หรือ พวกมุชริก (ผูตั้งภาคี) ไปเสียเลย การแตงงานกับมุสลิมท่ีไมใชคอวาริจญถือเปนการ ตองหาม (หาราม) และพวกเขาจะไมมอบมรดกใหแกบรรดาลูกๆ ของพวกเขาท่ีไมไดเปน คอวาริจญ (หมายถึง เมื่อพอแมเปนคอวาริจญ แตลูกคนใดที่มิไดเปนคอวาริตญดวยลูก คนน้ันไมมีสิทธิจะรับมรดกจากพอแม ) และทรัพยสมบัติ ของผูท่ีไมใชคอวาริจญถือเปน ส่ิงอนุญาติสาํ หรบั พวกเขา (ในกรณีท่ผี ใู ดไมใ ชค อวารจิ ญมที รพั ยสมบตั อิ ยูการฉกฉวยและ ยึดเอาทรัพยสมบัตินั้นมาถือวาไมเปนส่ิงตองหาม) แตในทางของอาบาฎียะฮ มีความ นุมนวลกวาไมรุนแรงเหมืนกลุมอื่นๆ และหลายอยางที่ตรงกันขามกับกลุมอ่ืนโดยส้ินเชิง ผูนําของอาบาฎียยะฮคือชายผูซ่ึงมีความนุมนวลมีนามวา อับดุลลอฮ บุตรของ อาบาฎ และกลุมน้ีเกิดข้ึนในชวงสุดทายของสมัยคอลีฟะฮ อุมาวีย (โปรดดูในหนังสือ มิลัลวัลนิฮัล ของ ชะฮร สั ฎอนยี  เลม 1 พมิ พอ ียปิ ต หนา 172 ถึง 212) (57) มรุ ู ซุ ซาฮับ มสั อดู ยี  เลม 2 หนา 174 อะหว าลอุมรั บตุ รของ อับดุลอาซซี (58) อนั วารลุ บาฮยี ะห มฮุ ดั ดสั กมุ มี หนา 76 (59) นญี าเยช มฮุ ัมมดั ตะกี ชะรอี าตี (60) อซุ ูลกาฟย  เลม 2 บาบฮากีกาตลุ อีมานวลั ยากนี หนา 53 (61) ซีเราะห อิบนุ ฮิชาม เลม 1 หนา 321-338 , ชารนะฮุลบาลาเฆาะ บุตรของอบี ฮาดีด เลม 4 หนา 175-177 (62) บีฮารนุ อันวาร เลม 11 หนา 120 (63) อุซูลกาฟย เลม 2 บาบฮักกลุ ญาวาร หนา 666 (64) บฮี ารุนอนั วาร เลม 11 หนา 105 (65) ชารนะฮลุ บาลาเฆาะ บตุ รของอบี ฮาดดี เลม 3 หนา 568-570 (66) วาซาเอล็ เลม 2 หนา 457 (67) วาซาเอ็ล เลม 2 หนา 462 (68) บีฮารุนอนั วาร เลม 11 หนา 115 (69) กหุ ลลุ บซอร มฮุ ดั ดัสกุมมี หนา 79 (70) วาซาเอล็ เลม 2 หนา 57 (71) ซเี ราะห อิบนุ ฮิชาม เลม 1 หนา 265 (72) เราฎอตลุ ยันนาต หนา 747 (73) ตารีคอลุ ูมพเี ยรรัสเซีย หนา 382,383 (74) ออยนี สุคันวารีย โดย มุฮมั มดั อะลี ฟูรฆู ยี  เลม 2 หนา 5,6 99


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook