แอปเปลใชส าํ หรับรกั ษาโรคหดิ และโรคเชอ่ื ราบนหนังศรีษะ “สาํ หรับการรกั ษาโรคหดิ และเชอื้ ราบนหนงั ศรีษะ (ทที่ าํ ใหผ มรวง) ใหผาผลแอปเปล ออกเปน สองซกี โดยเอาเมล็ดและใสข องมันออก จากน้ันใหใสกาํ มะถันลงไปเลก็ นอ ยตรงกลางที่ เปน หลมุ หลงั จากนน้ั ใหประกบสองสว นของผลแอปเปลเขาดว ยกนั แลว รดั มนั ใหแ นน ตอจากนน้ั ใหนาํ มันไปยา งบนไฟจนกระท่ังสุก และเมอื่ ผลแอปเปล สุกดแี ลว ใหนาํ มันมาบดใหเ ละ จากนน้ั ให ทามนั ลงบนสว นตางๆ ของรา งกายของผทู ม่ี อี าการปว ย” แอปเปลคอื ยารักษาอาการไอ “นา้ํ ตม ของดอกแอปเปล ในปรมิ าณ 30 กรมั ตอนํา้ 1 ลิตร จะชว ยบรรเทาอาการไอตา งๆ และในกรณนี ้ี ทั้งดอกสดและดอกแหง ของตนแอปเปล ไมม ีความแตกตา งกนั สามารถใชไดทัง้ สอง อยาง” (39) ซะฟร ญัล (Quince) ‘ซะฟร ญัล’ (Quince) มชี อ่ื เปนภาษาเปอรเซยี วา ‘เบฮ’ เปน ตนไมข นาดเลก็ อยใู นตระกูล Cydonia obonga ซึ่งสว นใหญจะปลูกกนั ในเขตทวีปยโุ รปแถบเมดิเตอเรเนียนและแอฟริกาเหนอื และกลาวกนั วา ถนิ่ กําเนดิ ของมนั อยูใ นประเทศอหิ รานและกอฟกอซิสถาน ผลของซะฟร ญลั มขี นาดตางกัน ขนาดโดยเฉลยี่ ของมนั มีความยาวประมาณ 10 ซม. และ ความกวา งของมันประมาณ 7.5 ซม. สผี วิ ดานนอกของมนั หลงั จากสกุ แลว จะมีสเี หลืองและมกี ล่ิน หอม รสของมนั หวานอมเปรย้ี วและมคี วามฝาดเลก็ นอ ย ผิวของมนั จะมขี นปยุ นมุ ๆ ปกคลุมอยู แตละผลจะมหี า สว น แตละสว นจะมีสบิ สองเมล็ด ซงึ่ อยูในเปลือกหุม เมลด็ ของมันมีสนี าํ้ ตาล หากเคย้ี วมนั จะใหก ล่ินคลา ยเมลด็ อลั มอนดข ม “ซะฟรญัลนน้ั เปรีย่ มไปดวยวติ ามินเอและบี มีเกลอื แรแ คลเซยี มและแทนนนิ อย”ู (40) ในคาํ แนะนําสง่ั สอนของอสิ ลาม ไดอ นญุ าตในการรบั ประทานผลซะฟร ญัลไวส าํ หรบั กรณี ตา งๆ ตอ ไปนี้ และพรอมกันนั้นไดแนะนํามนั ในฐานะอาหารของบรรดาศาสดาแหง พระผูเ ปน เจา 1.ทา นอมิ ามซอดิก (อ.) ไดก ลาววา “ซะฟร ญลั จะปรับปรุงสภาพของกระเพาะใหดีขึ้น บํารุงหวั ใจใหแ ข็งแรง และอัลลอฮม ไิ ดสง ศาสดาทา นใดมา เวน แตศ าสดาทานน้นั ไดรับประทานผล ซะฟรญลั ” (41) (39) ซับซีฮอ วา มีเวฮฮอเย ชะฟาบคั ช, หนา 218. (40) ซับซฮี อ วา มีเวฮฮอเย ชะฟาบคั ช, หนา 188. (41) วะซาอลิ ชุ ชีอะฮ, เลม ท่ี 17, หนา 132.
“ปจ จุบันพวกเขานับวา (ซะฟรญลั ) มีคุณคา สาํ หรบั การกระตนุ ใหเ กิดความอยากอาหาร บํารุงกระเพาะและตบั ขจัดความผิดปกตขิ องหวั ใจ ระงับการไหลของเลือด เลือดออกตามไรฟน และปาก รกั ษาอาการเปน หดิ และอาการระคายเคืองบนผวิ หนงั ” (42) ในหนงั สอื โภชนาการเลมหนงึ่ ไดอธิบายถงึ คณุ สมบัติของผลซะฟร ญลั ไวเ ชนน้ีวา “ผลท่ีหวานของมันใชดับความหนาวเยน็ และปรบั สภาพรา งกายใหเ กดิ ความสมดุล และ ในทา ยที่สดุ (ของคณุ ประโยชนจ ากมนั คอื ) จะชวยขับความชน้ื ขบั ปส สาวะ บาํ รงุ กระเพาะ หวั ใจ และสมอง และทําใหเ กดิ ความเบิกบานใจและความกระปรก้ี ระเปรา” (43) 2.นอกเหนอื จากคุณสมบตั ติ างๆ ดังกลา วแลว ทา นอิมามอะลี (อ.) ยงั ไดชีใ้ หเหน็ ถงึ คุณสมบัติอีกประการหน่ึงของซะฟร ญัล ซง่ึ เปน ไปไดวา ในอนาคตดวยการพฒั นาการของวิชา ความรูจะทาํ ใหส่ิงดงั กลาวเปนท่ีประจกั ษช ัด ทา นไดก ลา วเชน นว้ี า “การรบั ประทานซะฟร ญัล จะชวยเพ่ิมพลงั ใหแกห ัวใจทอี่ อ นแอ จะทาํ ใหก ระเพาะอาหาร มกี ลน่ิ หอม จะทําใหห วั ใจสะอาด และจะทําใหค นขี้ขลาดกลายเปน คนกลาหาญ” (44) คณุ สมบัตทิ ่ีกลา วเพ่ิมไวในคาํ รายงานบทน้คี ือ การทาํ ใหก ระเพาะอาหารมีกลน่ิ หอม และ การทาํ ลายความขลาดกลวั อยางไรก็ดี เนอื่ งจากมีเอสเซนิ ซ (45) (Essence) (สารนา้ํ หอม) อนั เปน เฉพาะอยู จงึ ทําใหป ากและกระเพาะอาหารมีกลิน่ หอม สว นกรณีของการขจดั ความกลวั หรอื การทาํ ใหมจี ิตใจเขม แข็ง ซ่งึ เปน คณุ สมบัตปิ ระการ หนงึ่ ทเ่ี กีย่ วกบั สภาพจิตใจของมนษุ ย อิสลามไดอธบิ ายถงึ คณุ สมบัติเชน นไ้ี วส าํ หรับผลไมบางชนดิ ปจจุบนั บรรดานกั โภชนาการไดคนพบประเดน็ ดงั กลาวนีท้ ว่ี า ผลไมบ างชนิดมผี ลอนั เปน เฉพาะสาํ หรบั จิตใจของมนษุ ย “แคนตาลูปทยี่ งั ไมส ุกงอมจะมีรสเปร้ยี วทม่ี ลี ักษณะเฉพาะตัว ซง่ึ จะทาํ ใหเ กิดความขลาด กลัวและจะทําลายความกลา หาญใหห มดไป แอปเปลเปรีย้ วก็มคี ุณสมบตั เิ ชนนี้เหมอื นกนั แตงกวาเมื่อผลของมนั สกุ งอมและมีสีเหลืองจะมรี สเปรย้ี วเล็กนอย และจะทาํ ใหเ กดิ ความ ขลาดกลัว สว นแคนตาลูปทีม่ ีรสหวานจะขจัดความหวาดกลวั ใหห มดไป และจะทําใหม นษุ ยเ กดิ ความกลา หาญ นํ้าตาลตา งๆ ทม่ี อี ยใู นผลไมท ง้ั หลายจะมีคุณสมบตั เิ ชนนไ้ี มม ากก็นอย ปจจบุ นั ใน ประเทศองั กฤษไดมีการผลติ ตัวยาชนดิ หน่งึ ทีม่ ีความเชอ่ื วาจะตอตา นความขลาดกลัว ซึง่ โครงสรางของมนั นนั้ มีลกั ษณะคลา ยคลงึ กบั นํ้าตาลของผลไมต างๆ (42) เอาวะลีน ดอนชิ กอฮ, เลม ท่ี 10, หนา 88. (43) มคั ซะนุล อดั วียะฮ, อกั ษร ‘ซีน’. (44) ซะฟนะตุล บิฮาร, เลมท่ี 1, หนา 629 ; บิฮารลุ อนั วาร, เลม ท่ี 66, หนา 170. (45) Essence คือสารท่ที ําใหกล่ินหอมชนิดหนึ่งทอี่ ยูใ นรปู ของเหลวหรอื นาํ้ มันระเหย ซึง่ ถูกพบในพืชหรือสตั ว.
เหตุผลของประเด็นดงั กลา วน้กี ็คือ เมือ่ บคุ คลเกิดความหวาดกลวั สีผวิ ของเขาจะซดี เผอื ด และในทนั ใดนน้ั หากนาํ เอาปส สาวะของเขาไปตรวจสอบ จะพบวา มนี าํ้ ตาลปรากฏอยูในปส สาวะ ของเขา บุคคลนมี้ ิไดเปน โรคเบาหวาน ซงึ่ ในวนั ตอไปจะไมม ีนาํ้ ตาลปรากฏอยูใ นปส สาวะของเขา เมอื่ มนษุ ยเกดิ อาการหวาดกลวั นาํ้ ตาลในเลือดปริมาณหนง่ึ จะออกมาพรอมกบั ปส สาวะ ของเขา ดว ยเหตนุ ้ี ทกุ ๆ ครั้งภายหลงั จากเหตกุ ารณตา งๆ ทนี่ าสะพงึ กลัว จงึ จาํ เปน ตอ ง รับประทานนาํ้ ตาลเพือ่ ทดแทนสง่ิ ที่สูญเสยี ไป และในชว งเวลาทีเ่ กดิ ความหวาดกลัว และเมื่อสผี วิ ซีดเผือดลง จงรบี รับประทานนา้ํ ผลไมห รือน้ําหวาน” (46) 3.ทา นศาสนทตู แหงอัลลอฮ (ศอ็ ลฯ) ไดก ลาวถงึ คุณสมบตั ิอีกสวนหนง่ึ ของผลซะฟร ญัลไว ในฮะดีษบทหนง่ึ ซ่งึ ไดแก การบํารุงสายตา และทําใหเ กดิ ความรกั ใครและความเปน มติ ร และทาน ไดส ่ังเสียใหบรรดาสตรที ต่ี ั้งครรภรบั ประทานมนั เพอ่ื จะทาํ ใหท ารกของพวกเขาทจี่ ะถือกําเนิด ขน้ึ มามีลกั ษณะรูปรา งและหนา ตาท่สี วยงาม ดังเชน ทท่ี านไดกลา ววา “ทา นทงั้ หลายจงรับประทานผลซะฟรญัล และจงมอบเปน ของขวัญใหกนั ในระหวา งพวก ทา น เพราะแทจริงมนั จะทาํ ใหส ายตาสวา งไสว จะสรา งความรักใครขนึ้ ในหัวใจ และทา นทง้ั หลาย จงใหบ รรดาสตรีที่ตง้ั ครรภข องพวกทา นรับประทานมนั เพราะแทจ รงิ มันจะทาํ ใหล ูกๆ ของพวก ทานสวยงาม” (47) ประเดน็ ของการเสริมสรางความรักกเ็ ปน อกี คุณสมบตั หิ นึ่งทเี่ กย่ี วขอ งกบั จิตใจของมนษุ ย ซ่งึ ทา นศาสนทูตแหงอลั ลอฮ (ศอ็ ลฯ) ไดช ้ีใหเหน็ จากคําพดู ขา งตน ประเดน็ ของการทาํ ใหส ายตาสวา งไสว เกย่ี วของกบั วติ ามินเอ ซง่ึ มีอยใู นผลซะฟร ญลั อยางไรก็ตาม ประเดน็ ความสวยงามของบุตรน้นั เก่ยี วของโดยตรงกบั ความมีสขุ ภาพพลานามัยท่ี สมบูรณข องมารดา โดยเฉพาะตับและสารอาหารตางๆ ทน่ี างไดร บั เนือ่ งจากสารอาหารเหลานั้น จะชวยสรา งอวัยวะตา งๆ ของทารกนอยในครรภ “สผี วิ (ผิวพรรณ) ของทารกเปนเครื่องชที้ ด่ี ีทสี่ ดุ ทจ่ี ะชใ้ี หเหน็ ถงึ สขุ ภาพของตับและตอม ตา งๆ ในรางกายของมารดา ดวยเหตนุ เี้ อง เพอ่ื ทีจ่ ะใหบ รรดาบตุ รของพวกเขามผี ิวพรรณและ ใบหนา ทง่ี ดงาม และทาํ ใหต บั ของเขามีสขุ ภาพพลานามยั ที่สมบรู ณ ดงั นนั้ ในชว งการตั้งครรภจง มุงแสวงหาบรรดามิตรสหายของตับ” (48) หนง่ึ จากบรรดามิตรสหายของตับและกระเพาะอาหารกค็ อื ผล ‘ซะฟรญลั ’ ซง่ึ ไดก ลาวไป แลวขา งตน (46) อิอยาซ คูรอกฮี อ, หนา 106. (47) ซะฟนะตลุ บิฮาร, เลมที่ 1 หนา 106 ; บฮิ ารุล อันวาร, เลมที่ 66, หนา 176. (48) อิอย าซ ครู อกีฮอ, หนา 236.
องุน (Grape) ‘องุน ’ เปน ผลไมด้งั เดิมของมวลมนุษย ผลขององุนประกอบไปดวยสว นตา งๆ คอื เปลอื ก เนอื้ และเมล็ด บรรดานักโภชนาการไดก าํ หนดปริมาณองคป ระกอบตา งๆ ของมนั เอาไว ในเน้อื องนุ ปรมิ าณ 100 กรัม ประกอบดว ยธาตตุ างๆ ตอไปน้ี น้ํา 72.92 กรมั , นํ้าตาล 23.51 กรมั , Cream of tartar 0.052 กรัม, กรดทารเ ทรกิ 0.029 กรัม, กรดมาลิก 0.029 กรมั , ธาตไุ นโตรเจน 0.038 กรมั , ธาตตุ างๆ ที่ยงั ไมไดหาคา 1.80 กรัม, เกลอื แร 0.015 กรมั อยา งไรกต็ าม สว นประกอบทางดานเคมขี ององุน นน้ั ไมตายตัวเสมอไป ข้นึ อยูกับพน้ื ดนิ ท่ี ใชปลูก น้าํ พนั ธุข องตน ไม ภมู ิประเทศ และความสกุ หา มของผลองนุ วิตามินตางๆ ขององุน 1.วติ ามนิ ซีซง่ึ อยูในองนุ สดบางชนดิ ใน 1 กโิ ลกรัม มถี ึง 95 มลิ ลิกรมั หรือบางครัง้ กพ็ บอยู ท่ปี ริมาณ 38 มิลลกิ รมั 2.ในนาํ้ องนุ คร้นั มวี ิตามนิ บ1ี อยูประมาณ 0.5 มิลลกิ รมั 3.ใน 1 กิโลกรัม มวี ติ ามินบี2 ปริมาณ 0.230 มิลลิกรัม ผลจากการครัน้ การแยกเปลือก และการเอาเมลด็ ออกจะทาํ ใหวิตามนิ ซแี ละวิตามนิ บ2ี ลดปริมาณลง 4.ใน 100 กรัม มปี รมิ าณของวติ ามินเอ 80 หนว ยสากล และมวี ติ ามนิ พีพี 0.05 มลิ ลิกรมั ในคาํ รายงาน (ริวายะฮ) ตา งๆ ของอสิ ลามชใ้ี หเหน็ วา องนุ มีสารอาหารทคี่ รบถว นสมบรู ณ 1.ทา นอมิ ามรฎิ อ (อ.) ไดก ลา ววา ทา นอมรี ุลมุอมินีน (อ.) มักจะรบั ประทานขนมปงกับผล องุน “ทา นมักจะรบั ประทานผลองนุ กบั ขนมปง เสมอ” (49) 2.และทา นอมรี ลุ มุอมนิ ีน อะลี อิบนอิ บฏี อลบิ (อ.) ไดก ลาววา “องุนคือแกงปรงุ รสขนมปง เปนผลไม เปน อาหารและเปน ของหวาน” (50) ทานอิมามอะลี (อ.) ไดกลา วถึงองนุ ในฐานะผลไมช นดิ หนง่ึ ในขณะเดยี วกนั ทา นถอื วา มัน คืออาหารชนดิ หนง่ึ ยง่ิ ไปกวานนั้ มนั คอื แกงปรุงรสสาํ หรับขนมปง ของพวกทา น และสามารถใช ประโยชนม นั ในฐานะของอาหารหวานทีม่ คี วามสด (49) บิฮารลุ อนั วาร, เลม ท่ี 66, หนา 150. (50) บฮิ ารลุ อันวาร, เลมท่ี 66, หนา 150.
เนอ่ื งจากในสมยั นน้ั ประชาชนยงั ไมมคี วามรแู ละความเขา ใจในเรอ่ื งของคุณคาทางอาหาร มากนกั ทา นอิมามอะลี (อ.) จึงไดอธิบายมันไวในลกั ษณะสนั้ ๆ โดยสรุปวา องนุ คืออาหาร ของ หวาน และเปน แกงอยางหนงึ่ 3.ทา นศาสนทตู แหง อัลลอฮ (ศ็อลฯ) ไดกลา ววา “อาหารทด่ี ที ี่สุดของพวกทา นคือขนมปง และผลไมที่ดที ีส่ ุดของพวกทา นคอื องนุ ” (51) ในคาํ พดู ของทานศาสนทตู (ศอ็ ลฯ) องนุ ถกู กลา วถึงคูกับขนมปง และถกู แนะนาํ ในฐานะ ผลไมทดี่ ีอยางหนงึ่ จากคําพูดของบรรดาผนู ําทางศาสนาทาํ ใหส รุปไดว า องุนเปน อาหารท่มี ีคณุ คาครบถว น สมบูรณ “องุนเปน ผลไมทม่ี ีคุณประโยชนสงู ชนดิ หนึ่ง มีคณุ สมบัติตางๆ ท่สี ามารถเรยี กไดว าเปน รานจาํ หนายยา (ศนู ยร วมยา) ทางธรรมชาตแิ หงหนงึ่ … องุน และลูกเกด คืออาหารซ่ึงยอ ยไดงา ยดายมากสําหรบั มนุษย เนือ่ งจากนาํ้ ตาลจะเขา สู กระแสเลอื ดโดยไมต องมกี ารเปลย่ี นแปลงสภาพใดๆ และไมม คี วามยากลาํ บากใดๆ สําหรับ รางกายในการยอยสลายมนั ในขณะทน่ี าํ้ ตาลและสารอาหารอน่ื ๆ จาํ พวกแปงจะไมเ ปนเชน นี้ ความเปรย้ี วขององนุ (สภาวะความเปน กรด) จะผา นกระเพาะไปสูลาํ ไสตางๆ ไดอยา ง งา ยดาย ในขณะที่อาหารชนิดอ่ืนๆ สภาวะความเปน กรดในกระเพาะอาหารจะทาํ ใหเกิดปฏกิ ริ ิยา อันเฉพาะอยา งหนง่ึ และจะผลกั ดันอาหารตางๆ ออกไปจากกระเพาะ ดว ยผลของนา้ํ ตาลขององนุ ที่เขา สเู สน เลือด จะทาํ ใหเ กดิ สารตางๆ ทส่ี รา งพลงั งานใหก บั กลา มเนอื้ ท้ังหลาย บรรดาแพทยจ ะฉีดน้าํ ตาลที่ไดจ ากองุน เขาสูร า งกายของผปู ว ยทไ่ี มส ามารถรับประทาน อาหารได และจะรักษาผปู ว ยใหอยูไดในระยะเวลาหนงึ่ โดยไมตองรบั ประทานอาหาร ผลของการรบั ประทานองนุ จะทาํ ใหกระเพาะทําหนาทยี่ อ ยอาหารไดอยางสมบูรณ ทาํ ให การขบั ถายปส สาวะมากขนึ้ และผลของมันคอื ทําใหย เู รยี และความเปน กรดในปส สาวะลดนอ ยลง เพิ่มธาตุไนโตรเจนและนา้ํ ตาล เพิม่ ปรมิ าณการหลัง่ ของนา้ํ ดี และจะทําใหเกดิ กระบวนการออกซิ เดชนั่ (Oxidation) ตามความเช่ือของนายแพทยผูม ชี ่ือเสียงทา นหนงึ่ องนุ จะชวยยบั ยงั้ ปฏกิ ิรยิ าตางๆ ตอ ไปนี้ คือ การทาํ ใหเ กดิ กรดและการแนน เฟอในกระเพาะ อาหารไมยอย เลือดออก การเกิดนว่ิ ในไตและ ถุงนาํ้ ดี การแพส ารพษิ ทเี่ รอ้ื รังจากสารปรอทและสารตะกวั่ โรคผวิ หนังบางอยาง โรค T.B.บาง ชนดิ และโรครมู าตสิ ซึม องุน จะชวยทาํ ความสะอาดอาหารท่ีตกคางจากกระเพาะและลําไส เนอื่ งจากมันจะชว ยทาํ ใหเกิดผลดีตอ การเผาพลาญอาหารเหลานนั้ (51) บิฮารุล อนั วาร, เลมท่ี 66, หนา 150.
ผลของการเยยี วยาขององนุ ทีม่ ีตอโรครูมาตสิ ซมึ โรคตางๆ เก่ยี วกับเสนเลอื ดใหญ โรค เกาต โรคความดันโลหิตและการเพ่มิ ปรมิ าณของยูเรยี ในเลือด เปน ทีช่ ดั เจนวา องนุ จะชว ยฟอก เลือดและระบายทอง จงึ นับไดวา มนั คือสว นหนงึ่ จากบรรดาผลไมท่ีดเี ยยี่ มที่สดุ ” (52) องนุ กับนํ้านมมารดา ในดานคณุ สมบัติของนา้ํ องนุ นนั้ มคี วามใกลเ คยี งกับนาํ้ นมของมารดามากทสี่ ุด และใน ที่น้ีเราจะเปรยี บเทียบสว นประกอบตา งๆ ของมันกบั นาํ้ นมของมารดา สารอาหารในอัตราสว น 100% นํา้ นมมารดา น้าํ องนุ นํ้า 89 83 1.5 1.3 ไนโตรเจน 0.4 1.3 เกลือแร 7 12 นา้ํ ตาลธรรมชาติ บคุ คลใดก็ตามทป่ี รารถนาจะใหส ขุ ภาพพลานามยั ของตนเองสมบรู ณ เขาจะตอ งไม หลงลืมจากการรบั ประทานองุน และจะตอ งรบั ประทานมนั ในปรมิ าณทเี่ พยี งพอ องุนจะทาํ ลายสภาวะความเปน กรดของเลอื ดใหห มดไป และจากความสมั พนั ธดงั กลาวน้ี ในทุกๆ 1 กโิ ลกรมั จะเทียบเทากับโซเดียมไบคารบอเนต (Sodium bicarbonate) ปริมาณ 6 กรัม องุนจะทาํ ใหเกดิ ความรอนตอ รา งกายไดมากกวาเนอื้ สตั วถ ึงสองเทา ในทางกลบั กัน เน้อื สัตวท ี่ไมม พี ษิ ใดๆ มนั จะเปนตัวตา นสารพิษ และในทุกๆ 1 กิโลกรมั ขององนุ นน้ั เทยี บเทา กบั นมสดในปรมิ าณหน่ึงซง่ึ มคี ณุ สมบตั ิในการตา นสารพษิ “องนุ จะทาํ ใหน ้ําดีเจอื จางลง และจะชว ยเยียวยารกั ษาคอเรสเตอรอลในเลอื ดไดเ ปนอยา ง ดี องนุ จะทําใหอ ว นและทาํ ใหผอมได องนุ คอื อาหารทมี่ คี ุณคา สมบูรณอยา งหนง่ึ และส่งิ ซึ่งอาหาร ที่มีคณุ คา สมบูรณค วรมนี น้ั ไดถกู รวมอยใู นองนุ มนษุ ยเ ราสามารถดาํ รงชวี ิตอยไู ดใ นระยะเวลา หนงึ่ โดยการรับประทานขนมปงและองนุ ” (53) สิง่ ทเ่ี ราไดกลาวไปนน้ั คอื คณุ คาตางๆ ขององนุ ท่มี ตี อ รางกาย อกี คณุ สมบตั ิหนง่ึ ขององนุ ที่ มีผลโดยตรงตอ จิตใจของมนษุ ย คือการขจดั ความทกุ ขโศกและความกงั วลใจ (52) อซั รอร คูรอกีฮอ, หนา 91. (53) อัซรอร คูรอกีฮอ, หนา 92.
ทานอิมามซอดกิ (อ.) ไดกลาววา ทา นนบนี ูฮ (อ.) ไดรอ งทกุ ขตออัลลอฮ (ซบ.) ถงึ ความ ทกุ ขใ จ ดังนัน้ อัลลอฮ (ซบ.) ไดท รงวิวรณ (วะฮย )ู แกท านวา “เจา จงรับประทานองนุ เถดิ ! เพราะ แทจรงิ องนุ นนั้ จะขจัดความทุกขกงั วลใจใหหมดไป” (54) เราสามารถพสิ ูจนถงึ ความเกีย่ วขอ งและความสมั พนั ธ ทอ่ี งุนมีผลตอการขจดั ความทกุ ข โศกและความกงั วลใจไดจาก 2 หนทางคอื 1. “องุน มโี ปรแตสเซียม ซึง่ สารดงั กลาวน้ีจะทาํ ใหเกดิ ความเบิกบานใจ และมันจะชว ย เยียวยารักษาอาการเตน ของหวั ใจทท่ี ําใหเ กดิ ความทุกขโ ศกและความกงั วลใจ และในอกี ดานหนง่ึ มันมีสารฟอสเฟตในปรมิ าณมาก ซ่ึงเปน อาหารของสมองและระบบประสาท และใครก็ตามท่ีมี ระบบประสาทเขมแข็ง เขากจ็ ะพิชิตความโศกเศรา และความทุกขกงั วลได อกี ประการหนงึ่ องนุ นนั้ มแี คลเซียม และการขาดแคลเซยี มจะทําใหเกดิ ความทกุ ขโศก และความกงั วลใจ และสว นหนงึ่ จากสญั ลกั ษณต างๆ ของโรควณั โรค (T.B.) นนั่ คอื ความทุกขโ ศก และความกงั วลใจ และสง่ิ นจ้ี ะเกดิ ข้ึนในชว งเวลาที่แคลเซยี มในรา งกายมีปริมาณนอ ย และจะทํา ใหค วามทุกขโศกและความกังวลใจพิชติ เหนอื บคุ คลนนั้ ” (55) 2. “อาการทอ งผูกจะเปน สาเหตทุ าํ ใหส ารพษิ ตา งๆ ทม่ี อี ยใู นกากอาหารถกู ดูดซมึ เขา ไป ใหม และผทู ี่รา งกายของเขารับสารพษิ ตางๆ เขา ไป จะเปน ผทู ม่ี คี วามทุกขก งั วลตลอดเวลา องนุ จะชวยขจดั อาการทองผกู และผลของมันกค็ ือการขจดั ความทกุ ขกงั วลใหห มดไป องุน จะชว ยขจดั สารพิษตา งๆ ของจุลินทรียใหห มดไป และผใู ดก็ตามทป่ี ลอดภยั จาก สารพิษ เขากจ็ ะปลอดภยั จากความทกุ ขโ ศกและความกังวลใจ” (56) จากจุดท่ีวาอสิ ลามจะใหคําแนะนาํ แกเ ราในทุกๆ เรือ่ ง ดังนน้ั ในเร่ืองของการรับประทาน ผลไมอยางเชน องนุ ก็ไดใหค ําแนะนาํ แกเราดว ยเชน กนั ทา นศาสนทูตแหงอัลลอฮ (ศอ็ ลฯ) ไดกลาววา “ทานทง้ั หลายจงรับประทานองนุ ทีละเม็ด ที่ละเมด็ เพราะแทจ รงิ แลว การรับประทานเชนนน้ั จะใหคณุ คา และยอ ยไดง า ยดายกวา ” (57) ไมตอ งสงสยั เลยวา การรับประทานองนุ ตามคาํ แนะนาํ ดังกลา วนี้ จะมผี ลในดา นการยอ ย อาหารและสภาพการทาํ งานของกระเพาะ ทานอมิ ามซอดิก (อ.) ไดก ลา ววา “สองสิ่งทสี่ มควรรับประทานดวยมือทงั้ สองขา ง คอื องุน และทบั ทมิ ” (58) (54) บิฮารุล อนั วาร, เลม ที่ 66, หนา 149. (55) อัซรอร คูรอกีฮอ, หนา 96. (56) เอาวะลนี ดอนิชกอฮ, เลมที่ 7, หนา 285. (57) บฮิ ารลุ อันวาร, เลมที่ 66, หนา 147. (58) บฮิ ารลุ อันวาร, เลม ท่ี 66, หนา 149.
จดุ ประสงคจ ากการรบั ประทานดวยมือทง้ั สองกค็ ือ มือหนงึ่ จับพวงองนุ หรือซกี หน่ึงของผล ทบั ทมิ ไว และอีกมอื หน่งึ คอยๆ แกะผลหรอื เมล็ดของมนั รับประทานทลี ะผลหรือทีละเมลด็ ซงึ่ นีเ่ ปน การบงช้ใี หเ ราคอยๆ รบั ประทาน อยา เรงรบี ในการรบั ประทานหรือกลนื มัน ลูกเกด (องุนแหง ) “ดว ยผลจากความแหง ขององุน จะทาํ ใหเ ซลลโู ลสและนา้ํ ของมนั ปรมิ าณหนงึ่ เปล่ียนเปน นาํ้ ตาล ภายใตการทาํ ปฏิกริ ิยาของไดอะเทส (Diastase) ที่มีอยูใ นเปลอื กขององนุ กลายเปน แหลงกาํ เนิดของพลงั งาน ดว ยผลจากความแหง ขององุนและกลายเปน ลูกเกด มไิ ดทาํ ใหม นั สญู เสยี คณุ คา ใดๆ ไป แตในทางกลบั กนั ดังทีเ่ ราไดก ลา วไปแลว นํ้าตาลของมันจะเพ่ิมมากขนึ้ และผลในการใหพ ลงั งาน ของมนั กจ็ ะเพมิ่ มากขนึ้ และจะมคี ุณสมบตั ทิ ําใหป อดโลง ” (59) คณุ สมบตั ติ า งๆ ของลกู เกดท่ถี กู อธบิ ายไวใ นคํารายงาน (ริวายะฮ) ทั้งหลายของอสิ ลาม มี ดังตอ ไปนี้ 1.ทานศาสนทตู แหง อลั ลอฮ (ศ็อลฯ) ไดกลาววา “ทานทง้ั หลายจงใหความสาํ คญั ตอการ รับประทานลกู เกด เพราะแทจรงิ มนั จะชว ยดับนํ้าดี ขจดั เสมหะ บาํ รงุ ประสาท ขจดั ความเมื่อยลา ทาํ ใหม ีมารยาททด่ี งี าม ทาํ ใหลมหายใจมกี ลนิ่ หอม และจะชว ยขจัดความทุกขก งั วล” (60) ในคํารายงานบทนีไ้ ดอธิบายถงึ คณุ สมบตั ขิ องลกู เกดไว 7 ประการ จากการพิจารณาสิง่ ที่ ไดก ลา วไปแลว เก่ียวกับลกู เกด ซึง่ มคี ุณสมบัตทิ กุ ประการขององนุ ในปริมาณทม่ี ากกวา ทําใหเ ห็น ถึงความมหัศจรรยใ นคําพูดของทา นศาสนทูต (ศอ็ ลฯ) มากยงิ่ ข้นึ เนอ่ื งจากเราไดร บั รูไปแลว วาองนุ นน้ั จะใหค วามรอนแกรา งกาย และจากความสมั พนั ธ ดังกลาวนี้ ในทุกๆ 1 กิโลกรมั ขององนุ เทยี บเทา กับเนื้อสัตวปริมาณ 2 กโิ ลกรัม แนนอนยิง่ ดวยกับความเพม่ิ ขึน้ ของปรมิ าณความรอ นในรางกาย จะชว ยบํารงุ ประสาทให เกิดความแขง็ แรง จะขจดั ความออ นเพลยี และความเมื่อยลา ของรา งกายใหห มดไป และ เชน เดยี วกนั เสมหะซงึ่ เปน สญั ลักษณข องความเกยี จครา นและความออ นเพลยี ก็จะถกู ขจดั ใหห มด ไป และเราไดรบั รูแลว เชน กนั วา องนุ จะชว ยขบั สารพิษตา งๆ ของรา งกาย และจาก ความสัมพันธด ังกลาว ในทกุ ๆ 1 กิโลกรมั ของมันเทยี บเทา กบั ปริมาณนมสด 1 ลติ ร และเนือ่ งจาก มธี าตุเหลก็ แมงกานิสและแมกนีเซยี ม มนั จงึ มปี ระโยชนต อ เลือด ซ่งึ จะชวยรักษาภาวะโลหิตจาง (59) อัซรอร ครู อกีฮอ, หนา 90. (60) ซะฟนะตลุ บิฮาร, เลมท่ี 1, หนา 542 ; บฮิ ารุล อันวาร, เลมที่ 66, หนา 151.
เน่อื งจากองนุ มคี ณุ สมบัตใิ นการตอ ตานสารพิษและสารยูเรยี จึงเปน การเยยี วยาทด่ี ีทสี่ ดุ สําหรับผทู ปี่ ระสบกบั ปญ หายูเรยี เนื่องจากมนั จะชว ยระบาย จงึ ทาํ ใหก ระบวนการหมักและการติด เชอื้ ตา งๆ ของลําไสลดนอยลง แนน อน เม่ือองนุ มีคุณสมบตั ใิ นการขับสารพษิ ทาํ ใหร ะบายและขจัดอาการทอ งผกู ดงั นน้ั จงึ ทาํ ใหภาวะความซึมเศรา ความออ นเพลยี และมารยาทท่ีเลวรา ยหมดไป แตใ นทางกลับกนั มนั จะทําใหม นุษยร ูสึกเบิกบานใจ มีอารมณและมารยาททดี่ งี าม และเราไดกลา วไปแลว เชนกนั วา องนุ น้ันจะทาํ ใหนา้ํ ดีเจอื จางลง และจะชว ยเยยี วยารกั ษา คอเลสเตอรอลในเลอื ดไดมาก จึงทาํ ใหเ ห็นถงึ ความมหศั จรรยอกี ประการหนงึ่ จากคาํ พดู ของ ทานศาสนทูต (ศอ็ ลฯ) สงิ่ ทนี่ า มหัศจรรยยงิ่ ไปกวา นั้นกค็ อื ทา นศาสนทตู แหง อลั ลอฮ (ศอ็ ลฯ) มไิ ดก ลาวถงึ คณุ สมบัตติ า งๆ เหลา น้ไี วใ นเรอื่ งขององนุ สด แตกลบั อธบิ ายไวใ นเรื่องของลูกเกด (องุนแหง ) จึงทาํ ใหเ หน็ ถงึ คณุ คา และคณุ สมบัติท่ีมมี ากกวา ของลกู เกด ดังทเ่ี ราจะกลา วถงึ ตอ ไปนี้ ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮ (ศ็อลฯ) ไดกลา วเกย่ี วกับเร่ืองนวี้ า “ทา นทั้งหลายจงให ความสาํ คญั ตอการรับประทานลูกเกดเถิด! เพราะแทจ รงิ มันจะชว ยดบั น้าํ ดี ขจัดเสมหะ จะทําใหม ี สุขภาพรา งกายทีส่ มบูรณ จะทําใหมีมารยาทท่ีดงี าม จะชว ยบํารงุ ประสาทใหเขมแข็ง และจะชว ย ขจดั ความผอมแหงของรา งกาย” (61) เปน ทชี่ ัดเจนวา เมื่อและสุขภาพพลานามยั และรางกายทส่ี มบรู ณไ ดก ลับคนื มาสมู นษุ ยอีก ครั้งหนง่ึ มนั จะทาํ ใหค วามผา ยผอมซง่ึ เกดิ จากความเจ็บปว ยและอืน่ ๆ หมดไปจากเขา คาํ แนะนาํ ของทา นศาสนทตู (ศอ็ ลฯ) คอื สือ่ ชนี้ ําสําหรบั ผทู ป่ี รารถนาจะมีรา งกายทอี่ ว นทวนสมบรู ณ “หากพวกทา นมรี างกายทีผ่ อมแหง พวกทา นจะสามารถอวนทว นไดด ว ยการปฏบิ ัติตาม คําแนะนาํ น…ี้ ในอาหารม้อื เชา พวกทา นจงรับประทานผลไมท ่ีมรี สหวานมากๆ เชน องนุ ลกู เกด อนิ ทผลมั มะเดอ่ื และหมอนสดหรือแหง ก็ได” (62) ดงั ทท่ี านทงั้ หลายไดท ราบแลว วา องนุ นนั้ มคี ุณสมบตั พิ เิ ศษสองประการ คือทาํ ใหผ ทู ี่ ผา ยผอมอว นทว นสมบรู ณได และทําใหคนอว นทง้ั หลายผอมลงไดโดยวธิ ีการตอไปนคี้ อื “บรรดาคนอวนนนั้ ในตอนเชา ใหร บั ประทานองนุ ที่มรี สเปรีย้ ว และสาํ หรับคนผอมให รับประทานองนุ ที่มรี สหวานมากๆ” (63) และเชนเดยี วกนั ในอสิ ลามไดกําหนดเวลาของการรับประทานลกู เกดไวค ือในชว งเวลา เชา ตรู และปรมิ าณของมนั ถกู เจาะจงไวใ นคําพดู ของทา นอิมามอะลี (อ.) ซ่ึงทา นกลา ววา (61) บิฮารุล อนั วาร, เลม ท่ี 66, หนา 153. (62) อัซรอร คูรอกีฮอ, หนา 134. (63) อัซรอร ครู อกีฮอ, หนา 135.
“บุคคลใดกต็ ามท่รี บั ประทานลกู เกดทม่ี ีสดี าํ จาํ นวน 21 เม็ดกอนอาหารเชา เขาจะไมพ บ กับความเจบ็ ปว ยใดๆ ในรา งกายของเขา” (64) คุณคาท้ังหมดท่ถี กู กลา วถงึ เก่ยี วกบั องนุ และลกู เกด ถกู รวบรวมไวแลว โดยสรุปในคาํ รายงาน (รวิ ายะฮ) บทน้ี อินทผลมั (Date) ‘อินทผลมั ’ เปน ผลไมที่เปน ทรี่ จู ักกันดสี าํ หรบั ทกุ คน จึงไมจําเปน ตอ งอธิบายรายละเอยี ด ของมัน ดว ยการพสิ จู นห ลกั ฐานตา งๆ ทา น ‘อสุ ตาซ บูบีน’ู กลาววา “แหลง กาํ เนดิ ของตน อนิ ทผลัม น้นั อยใู นแผน ดนิ อยี ปิ ต” ปริมาณสว นประกอบตา งๆ ของผลอินทผลมั “ทุกๆ 100 กรมั ของผลอนิ ทผลมั มปี รมิ าณของสว นประกอบตางๆ ดังตอ ไปนี้คือ 1.นํา้ 13.8 ถึง 59 กรัม 2.แอลบมู นี 0.09 ถึง 1.9 กรมั 3.น้ําตาล 37.6 ถงึ 70 กรัม 4.ไขมัน 0.03 ถึง 2.5 กรัม 5.โปรแตสเซียม 64.9 ถงึ 75 มลิ ลกิ รมั 6.โซเดยี ม 4.1 ถงึ 48 มิลลกิ รัม 7.แคลเซยี ม 51 ถึง 75 มิลลิกรัม 8.แมกนเี ซยี ม 51 ถงึ 75 มิลลกิ รมั 9.ธาตเุ หลก็ 1.3 ถึง 6 มลิ ลกิ รมั 10.ทองแดง (คอปเปอร) 0.18 ถงึ 0.28 มิลลกิ รมั 11.กาํ มะถนั (ซัลเฟอร) 43.8 ถงึ 50 มลิ ลกิ รมั 12.คลอรนี 248 ถึง 290 มลิ ลกิ รมั 13.วติ ามนิ เอ 50 ถงึ 100 หนวยสากล 14.วติ ามินบ1ี 0.07 ถึง 0.7 มลิ ลิกรมั 15.วิตามนิ บ2ี 0.05 ถงึ 0.3 มลิ ลกิ รมั 16.วิตามินพพี ี (ไนอะซนี ) 0.06 ถงึ 3.3 มิลลิกรัม 17.วิตามนิ ซี 2.7 ถงึ 10 มลิ ลกิ รมั (64) บฮิ ารลุ อนั วาร, เลม ท่ี 66, หนา 151.
และในทุกๆ 100 กรมั ของผลอินทผลัม จะใหพลงั งานความรอน 157 แคลอรี และมผี ู กลาวไวถ งึ 383 แคลอรี ตอ งขอกลาววา อนิ ทผลมั สด อินทผลมั แหง อนิ ทผลัมเกา และอนิ ทผลมั ชนดิ ตา งๆ ปรมิ าณและสวนผสมของมนั จะมคี วามแตกตา งกนั ” (65) บรรดาผูนาํ แหง อิสลามไดใ หค วามสาํ คัญตอ อนิ ทผลัมเปน พิเศษ ดวยเหตุนเี้ ราจะพบคํา รายงาน (ฮะดีษ) บทหนง่ึ จากทานอิมามซอดิก (อ.) ซง่ึ กลา ววา “อาหารของทา นศาสนทูตแหงอัลลอฮ (ศ็อลฯ) คือขา วบาเลห ห ากทา นมมี ัน และอาหาร หวานของทานคืออินทผลมั ” (67) เราจะพบเหน็ ในคาํ รายงาน (ริวายะฮ) อีกเชน กนั ทท่ี า นอมิ ามอะลี (อ.) จะรบั ประทาน ขนมปง กับอินทผลัม “ทา นจะรับประทานขนมปง กบั อนิ ทผลมั ” (68) ในบางรายงาน (ริวายะฮ) จากทานศาสนทตู แหง อัลลอฮ (ศอ็ ลฯ) และอะอมิ มะฮ (อ.) ได กลา วถึงคุณคา ตา งๆ ของอนิ ทผลัมไว ตวั อยางเชน วนั หนึ่งมีผนู าํ อนิ ทผลมั จาํ นวนหนึ่งมาวางไว เบอ้ื งหนา ทานศาสนทตู (ศอ็ ลฯ) ทา นไดก ลาวเกย่ี วกับมนั วา “แทจ ริงในอนิ ทผลัมของพวกทานนี้มีคุณประโยชน 9 ประการคือ 1.จะทาํ ลายเช้อื โรค 2. จะบาํ รงุ กระดูกสันหลัง 3.จะเพิ่มพลงั ทางเพศ 4.จะบํารงุ หแู ละสายตา 5.จะทาํ ใหเ ขา ใกลช ดิ อลั ลอฮ 6.ทาํ ใหอ อกหา งจากมารราย (ชัยฏอน) 7.ชว ยยอ ยอาหาร 8.ขจดั โรคภัยไขเ จ็บ และ 9.จะ ทําใหป ากมีกลิ่นหอม” (69) ดวยความเจรญิ กา วหนา ทางดา นการแพทยแ ละโภชนาการ ทําใหป ระจักษช ัดถงึ ความ มหัศจรรยในคาํ พดู ของของทา นศาสนทตู แหง อลั ลอฮ (ศอ็ ลฯ) ไดอ ยา งชัดเจน เนอื่ งจากในชว งเวลา ซึ่งยงั ไมมีขา วคราวและความรูใ ดๆ ในเรอื่ งเชื้อโรค แตทานศาสนทตู ไดก ลาวถงึ อนิ ทผลมั วา เปน เคร่ืองปอ งกนั และทําลายเชอ้ื โรค เราทุกคนยอ มทราบกันดวี า เชือ้ โรคนัน้ ไมส ามารถทาํ อนั ตราย ใดๆ ตอ รา งกายทมี่ คี วามสมบรู ณและแข็งแรงได และอนิ ทผลมั นนั้ คือสารอาหารทที่ รงพลงั จากการพิจารณาถงึ ปรมิ าณสว นประกอบตา งๆ ของอนิ ทผลัม ทาํ ใหม องเหน็ ถงึ ประเดน็ นี้ ไดเปน อยา งดี เพราะเราไดกลาวไปแลว วา ในอนิ ทผลมั มีแคลเซยี ม และมนั คือปจ จยั สาํ คัญทที่ าํ ให กระดูกแข็งแรง และมีสารฟอสฟอรัสท่ชี วยยับยงั้ ความออ นแอของระบบประสาทและความ เมือ่ ยลา อกี ท้งั ยงั มีประสทิ ธภิ าพอยา งสงู ในการบาํ รุงสายตา และในอนิ ทผลมั มสี ารโซเดยี มดว ย เชน กนั ซ่งึ จะชว ยยบั ย้งั อาการหวัด มนี า้ํ มกู ไหล และอาการหหู นวก และจะชวยปรับสภาวะความ (65) เอาวะลีน ดอนิชกอฮ, เลม ท่ี 7, หนา 65. (67) มสุ ตัดรอ็ ก อัล วะซาอลิ , เลมที่ 3, หนา 113. (68) วะซาอลิ ชุ ชีอะฮ, เลม ท่ี 17, หนา 104. (69) วะซาอลิ ลุช ชีอะฮ, เลม ท่ี 17, หนา 107.
เปน กรดในระบบการยอยอาหาร และสารโปรแตสเซียมกม็ ีอยใู นอินทผลมั เชน กนั ซึ่งนกั โภชนาการ บางทา นถือวาการขาดมนั คอื สาเหตทุ ่แี ทจ รงิ ทที่ าํ ใหเ กิดบาดแผลและการอกั เสบในกระเพาะ อาหาร การมีอยขู องสารโปรแตสเซียมทําใหเกดิ ความอยากอาหาร และการขาดมนั จะทาํ ใหเกิด โรคตา งๆ เกยี่ วกบั คอหอย โดยเฉพาะอยางย่ิง ภาวะตอมทอนซลิ อกั เสบ (Tonsillitis) บางครงั้ การ อักเสบทีต่ าตมุ ขอเทาเกดิ จากการขาดสารโปรแตสเซียมในรางกาย และความเมื่อยลาจะพบไดเ ม่ือ ขาดสารโปรแตสเซียม เชน เดียวกับที่แคลเซียมกม็ ีความสําคญั อยา งยงิ่ ตอ กระดกู ตางๆ สารโปรแต สเซียมกเ็ ชนเดยี วกนั มคี ุณคา อยางมากตอกลามเนอ้ื และเนอื้ เยือ่ ตา งๆ ในคาํ พูดที่ทา นศาสนทูต (ศ็อลฯ) ไดอ ธิบายคุณคา ตางๆ ของอนิ ทผลมั เราจะพบประโยค หนง่ึ ทวี่ า “จะชวยขจัดโรคภยั ไขเ จบ็ ” ประโยคท่ีคลา ยคลงึ กนั น้ีในคําพดู ของทา นอิมามอะลี (อ.) ท่ีทานกลา ววา “ทา นทงั้ หลาย จงรบั ประทานอินทผลัมเถดิ ! เพราะแทจ รงิ มันจะชว ยเยียวยารักษาความเจ็บปว ยตางๆ” (70) ตามท่บี รรดานกั โภชนาการไดอ ธิบายไว อนิ ทผลมั จะชวยปอ งกนั โรคมะเรง็ “จากสถติ ิตา งๆ ท่ีไดถกู รวบรวมข้นึ ในแถบดินแดนตา งๆ ที่มกี ารรับประทานอนิ ทผลมั กนั มาก จะประสบกับปญ หาของโรคมะเร็งนอ ยกวา เน่อื งจากปจ จบุ นั ไดรับการพิสูจนแ ลววา การขาด สารแมกนเี ซยี มจะเปน สาเหตทุ ําใหเ กดิ โรคมะเร็งได และในอินทผลัมนน้ั มสี ารแมกนเี ซยี มอยูใน ปริมาณมาก ดว ยเหตนุ ้ีเองทช่ี าวอาหรับและผทู ่ีอาศยั อยใู นทองทะเลทราย ทง้ั ๆ ทใ่ี ชช วี ิตอยใู น สภาพท่ขี าดแคลนอาหาร แตเ น่อื งจากการรบั ประทานอนิ ทผลมั จงึ ทาํ ใหพ วกเขาไมตอ งเผชญิ กบั โรคมะเรง็ ” (71) “แมกนีเซยี มมผี ลอนั เปนเฉพาะในการเยยี วยารกั ษาสิวในคนหนุม สาว ดวยเหตนุ บี้ รรดา หนุม สาวท่อี ยใู นวยั บรรลุนิตภิ าวะ และอาศยั อยใู นแถบภูมภิ าคทม่ี อี ากาศกาํ ลงั ดแี ละหนาวเย็น (ไมมกี ารปลกู ตนอินทผลัม) พวกเขาสามารถรับประทานอินทผลมั ไดปริมาณวันละ 2-3 ผล อินทผลัมมปี ระโยชนในการรักษาโรคอัมพาตทัว่ ไปและอมั พาตทใ่ี บหนา สาํ หรับเดก็ ๆ ที่ เปนโรคโปลิโอนัน้ มกี ารแนะนาํ ใหรบั ประทานอนิ ผทลมั ในปริมาณหนงึ่ ตอ วัน อนิ ทผลัมมีประโยชน สําหรับบรรดาผสู งู อายุ เนอ่ื งจากจะชว ยบํารุงระบบประสาท ลา สดุ พวกเขาไดพ บวาการขาดสาร แมกนีเซยี มจะทําใหมนี าํ้ ตาลเกิดขนึ้ ในปส สาวะ และการมีอยขู องสารแมกนเี ซียมถอื วา เปน สิ่งจําเปน สาํ หรับไตและถงุ นา้ํ ดี ซงึ่ สามารถขจดั ส่งิ เหลา น้ีไดด วยการรบั ประทานอินทผลมั วนั ละ 2- 3 ผล (70) วะซาอิลุช ชีอะฮ, เลม ท่ี 17, หนา 104. (71) ซบั ซีฮอ วา มีเวฮฮ อเย ชะฟามัคช, หนา 185.
รสหวานและคณุ สมบัตขิ องอินทผลมั ในการขจดั นาํ้ เมอื กและเสมหะนน้ั มีมากทีเดียว และ สามารถตมอนิ ทผลมั ปรมิ าณ 60 กรมั ตอ นา้ํ ปรมิ าณ 1 ลติ ร และรบั ประทานเมอื่ เปนหวดั นาํ้ มกู ไหล เจ็บคอ และโรคตดิ เชอ้ื ตางๆ ทเ่ี กยี่ วกบั ปอด เมอื่ ไมน านมานไี้ ดเ ปนท่รี ับรูกันวา พลงั ความสามารถของน้ําตาลในอินทผลมั มมี ากกวา น้ําตาลบรสิ ทุ ธิ์ และถา หากเราทดลองในสตั วสองกลมุ โดยท่ีกลมุ หนง่ึ ใหก นิ นํา้ ตาลของอนิ ทผลมั และอีกกลมุ หนึง่ ใหก นิ นา้ํ ตาลบรสิ ุทธ์ิ จะพบวากลมุ แรกมีความเจรญิ เตบิ โตมากกวา นํ้าตาลทมี่ ีอยใู นอินทผลมั ไดแ ก เลฟ็ วโู ลส คลโู คส แซก็ กาโรส เราทราบวา สาร แมกนเี ซยี มในสมองของผูสงู อายจุ ะคอยๆ ลดนอยลง ดวยเหตผุ ลดงั กลา วนีเ้ พือ่ ทดแทนสงิ่ ท่ี สูญเสยี ไป จาํ เปนตอ งรบั ประทานอาหารตา งๆ ทมี่ สี ารแมกนีเซยี ม และอนิ ทผลมั กค็ อื สว นหนง่ึ จาก อาหารท่สี าํ คญั เหลาน้ัน บรรดาผทู เี่ ปนเบาหวานสามารถใชป ระโยชนจ ากอนิ ทผลัมแทนนาํ้ ตาลได เน่อื งจากสาร แมกนีเซยี มทม่ี ีอยใู นอนิ ทผลมั จะชว ยใหไตและตับออ นทาํ งานไดง า ยดายยิ่งขน้ึ ในอกี ดานหน่งึ วิตามนิ บ2ี ท่ีมอี ยูในอนิ ทผลมั จะชวยดูดซับนํ้าตาลจากอาหารอ่ืนๆ การมีอยูของโปรแตสเซียมและแมกนเี ซยี มในอนิ ทผลมั จะมบี ทบาทอยางมากในการสรา ง ความสมดลุ ใหแกอ ะตอมตา งๆ ของรา งกาย และมีผลเปนทนี่ า มหศั จรรยในการฟอกเลือด” (72) ขอใหเรายอ นกลบั มาดกู ารอธิบายถงึ คุณสมบตั อิ ืน่ ๆ ของอินทผลมั ทม่ี ปี รากฏในคาํ พูดของ ทานศาสนทูตแหงอลั ลอฮ (ศ็อลฯ) 1. ผลของอนิ ทผลัมท่ีมตี อการยอยอาหาร “เนอื่ งจากอนิ ทผลัมมสี ารอาหารตางๆ ทจี่ ําเปน และเพยี งพอ และมปี จ จยั สาํ คญั ตา งๆ ที่ เปน ตวั กระตนุ จึงทาํ ใหการยอ ยและการดดู ซมึ สารอาหารเกดิ ความงายดาย และเชน เดยี วกนั น้ี อินทผลัมยงั มสี วนชว ยในการยอยสารอาหารอ่นื ๆ อีกดว ย เน่ืองจากอินทผลัมนนั้ เพรยี บพรอมไป ดว ยคารโบไฮเดรต หากรบั ประทานอินทผลัมในปริมาณหนงึ่ พรอมกับอาหารท่ีมแี อลบูมนี รา งกาย จะไดร ับประโยชนจากแอลบูมีนไดดยี ิง่ ขนึ้ โดยการชว ยเหลือจากคารโบไฮเดรตในอินทผลัม” (73) 2. ผลของอนิ ทผลมั ที่มตี อ การเพมิ่ พลังทางเพศ “ในอนิ ทผลมั น้ันมฟี ล กลู นี ในปริมาณหนง่ึ และ…….. ซึ่งจะชว ยบาํ รงุ การหลง่ั นาํ้ เชื้อของ เพศชาย” (74) (72) เอาวะลีน ดอนิชกอฮ, เลม ที่ 7, หนา 74, 81 และ 84. (73) เอาวะลนี ดอนิชกอฮ, เลม ท่ี 7, หนา 74, 81, และ 84. (74) เอาวะลนี ดอนชิ กอฮ, เลมที่ 7, หนา 84.
3. ผลของอนิ ทผลมั ในการขจดั ความเมอื่ ยลา คุณสมบัติขอนยี้ งั ไดถ กู กลาวถงึ ในคาํ รายงานอื่นจากทานศาสนทูตแหง อัลลอฮ (ศอ็ ลฯ) เก่ยี วกับอนิ ทผลมั ชนดิ หนง่ึ ทมี่ ชี อื่ วา ‘บุรอน’ี โดยทา นกลา ววา “ทานทงั้ หลายจงรับประทานอินทผลมั บุรอนี เพราะแทจ ริงมันจะชวยขจดั ความเมื่อยลาให หมดไป จะชว ยดับความหนาวเยน็ และจะทําใหอิ่มจากความหวิ และในอินทผลัมนนั้ มี 72 ประตู จากการเยียวยารกั ษา (โรคตางๆ)” (75) ‘โกรนนูเนสก’ี ไดเ ขียนไวในหนงั สอื เลมหน่งึ เก่ยี วกับอนิ ทผลมั โดยเฉพาะวา “นอกจากการ รับประทานนาํ้ ตาลของอินทผลัมจะมีคณุ คา ทางอาหารมากกวา นํ้าตาลอ่ืนๆ แลว ยังมปี ระโยชน มากในชวงเวลาท่ีเกดิ ความเมือ่ ยลา เน่ืองจากมนั จะถกู ดดู ซึมเขาสรู างกายไดงาย” (76) ตอ จากนน้ั เขาไดแนะนาํ ใหน กั กีฬารบั ประทานอินทผลัม โดยกลา วตอ เชนนว้ี า “บรรดา นักวชิ าการไดคํานวณวา ในการท่ีอินทผลมั จะสกุ งอมอยา งสมบูรณน้ันตอ งใชเ วลาประมาณ 6 เดือน โดยแตล ะวนั จะไดรับความรอนประมาณ 29-30 องศา ซงึ่ รวมระยะเวลาทง้ั หมดแลวจะ ไดรบั ความรอนจากแสงอาทติ ยโ ดยเฉลย่ี ประมาณ 6,000 องศา ในขณะที่ขาวสาลจี ะไดร บั เพยี ง 3,000 องศา และจากจดุ นีเ้ องเราจําเปน จะตอ งยอมรบั วา อนิ ทผลมั คือแหลง สะสมพลงั งานชนดิ หนงึ่ สาํ หรับขจัดความตองการตางๆ ของมนษุ ย โดยเฉพาะสาํ หรับบรรดาเด็กๆ” (77) แนนอนยงิ่ เมือ่ รางกายของคนเราไดร ับพลังงานทเี่ พยี งพอ และเมอ่ื ภายในรา งกายไดร ับ ความรอนแลว จงึ ทาํ ใหไมรสู กึ ถึงความหนาวเยน็ 4. คุณสมบตั ใิ นการตอ ตา นความหวิ โหย (การขาดสารอาหาร) ของอินทผลัม “การเร่มิ ตนการละศลี อดดว ยอินทผลมั และลกู เกดในปรมิ าณเลก็ นอ ย จะทาํ ใหรา งกาย ของเราสามารถขจดั ความตอ งการนาํ้ ตาลท่ีเกดิ ข้นึ หลังจากการถือศลี อดในทุกๆ ครงั้ ได มนั จะให ทง้ั พลังงานทจี่ าํ เปนตอ รางกาย และจะชว ยยับยง้ั การสะสมของไขมัน และจากกรณีทวี่ า สาม ประการท่จี ะทาํ ใหความตา นทานของรางกายลดนอ ยลง (คอื ความบกพรอ งของตับ, การสะสมของ ไขมนั จํานวนมากใตผวิ หนงั , การไมเ คล่ือนไหวหรอื การไมไ ดใชก ําลัง) ดว ยเหตนุ ใี้ นดา นหนึ่งของ อนิ ทผลัมจะชว ยยับยัง้ การสะสมของไขมัน และอกี ดา นหนง่ึ เนือ่ งจากมสี ารอาหารตางๆ ที่เปน ประโยชนตอตบั จงึ ทาํ ใหการตา นทานของรางกายเพ่มิ สงู ข้นึ (75) ซะฟนะตุล บิฮาร, เลมท่ี 1, หนา 124 ; บิฮารุล อนั วาร, เลม ที่ 66, หนา 141. (76) เอาวะลนี ดอนชิ กอฮ, เลม ท่ี 7, หนา 84. (77) เอาวะลีน ดอนิชกอฮ, เลมที่ 7, หนา 66.
ยงิ่ ไปกวา นนั้ การรับประทานเกนิ ความพอดีทีเ่ กิดขน้ึ กอนหนา นี้ ไมวาจะในดา นไขมัน แอลบูมีนหรือนํา้ ตาลจากแปง ซง่ึ เปน สาเหตุของการสะสมของไขมนั ดว ยเหตทุ ีว่ า สารจาํ พวก คารโ บไฮเดรตจะเผาผลาญไดไวกวาสงิ่ อ่ืนทง้ั หมด การรบั ประทานอนิ ทผลัมจึงเปน วิธกี ารเฉพาะ ในการรกั ษาสารแอลบมู นี ของรางกายไว เพราะมนั จะทาํ ใหเ กิดความพอเพยี งและไมป ลอ ยให โปรตีนตางๆ ถกู เปล่ียนแปลงไป” (78) อกี ดา นหนง่ึ เนอ่ื งจากอนิ ทผลมั มคี ลูโคสและยอ ยไดเ รว็ ซึง่ มีวิตามนิ ซแี ละฟอสฟอรัส ซงึ่ เปนส่ิงจําเปน สําหรับการดดู ซมึ นํา้ ตาลตา งๆ ทีอ่ ยใู นลาํ ไส ดังนน้ั จงึ กลาวไดว า อินทผลัมคอื ‘อาหารตา นความหิวโหยแบบเรงดว น’ อยางหนงึ่ และเราไดกลา วไปแลวเชน กนั วา อนิ ทผลมั จะใหพ ลงั งานแกร างกายในลกั ษณะทีจ่ ะไมทาํ ใหส่งิ ใดบกพรองไปจากรา งกายเลย ในขณะที่การดูดซึมและการยอ ยอาหารอนื่ ๆ ทกุ ชนดิ จะทาํ ให รา งกายสญู เสยี วิตามนิ ซหี รือสารอาหารอ่นื ๆ ไปปริมาณหนงึ่ แตอนิ ทผลมั มสี ารอาหารทจ่ี ําเปน ทั้งหมดอยู และสาํ หรับการยอ ยมันนน้ั ไมม สี ิ่งใดบกพรองไปจากรางกายเลย โดยเฉพาะอยา งย่ิง เราไดกลา วไปกอ นหนา นแ้ี ลว วา อนิ ทผลมั คอื อาหารตอ ตา นความหิวโหย ดว ยคุณสมบตั ติ างๆ ท่อี นิ ทผลัมมีอยทู งั้ หมดน้ี จงึ เปน ส่ิงทถ่ี ูกตอ งทเี ดียวทท่ี านศาสนทตู แหง อลั ลอฮ (ศ็อลฯ) ไดก ลาววา “บานใดก็ตามท่ไี มม อี ินทผลมั ไวใ นบา น ในความเปน จรงิ แลว บุคคลตา งๆ ในบานนน้ั คือผหู ิวโหย (แมว า ทองของพวกเขาจะอ่มิ ก็ตาม)” (79) คําแนะนําสงั่ สอนอีกประการหนง่ึ ซงึ่ หลงั จากการคน ควา วจิ ยั ท่ียาวนานหลายป บรรดา นกั วชิ าการจงึ ไดค นพบความลลี้ ับของมัน น่นั คือ การเรมิ่ ตน ดวยอนิ ทผลัม โดยเฉพาะอยางย่งิ ใน การละศีลอดในชว งเดอื นรอมฎอน เราจะพบในคาํ รายงาน (ริวายะฮ) บทหนึ่งวา “เมอ่ื ใดก็ตามที่อาหารถกู นาํ มายงั ทา นศาสดา (ศอ็ ลฯ) หากในอาหารนน้ั มีอนิ ทผลัมอยู ทานจะเรมิ่ ตน ดวยการรบั ประทานอนิ ทผลมั กอน และในชวงทม่ี อี นิ ทผลมั แหง ทา นมกั จะละศีลอด ดว ยอินทผลมั แหง (ธรรมดา) แตหากอยใู นชว งของอนิ ทผลมั สด ทา นจะละศีลอดดวยอินทผลมั สด” (80) เราจะมาพิจารณากนั ใหล ะเอยี ดยงิ่ ขน้ึ เก่ียวกบั โปรแกรมและหลกั การรับประทานอาหาร และเราจะอธบิ ายถงึ คณุ คาตางๆ ของมันตามคําตัดสินของบรรดานักโภชนาการ ในชว งเวลาของการละศลี อด ผถู ือศลี อดจะรูส กึ หวิ โหยอยา งรนุ แรง มบี ุคคลจาํ นวนมากท่ี หลังจากการรับประทานอาหารอยา งมากมายแตกย็ งั ไมร สู กึ อิม่ และดว ยความรสู กึ ท่ียงั หวิ อยเู ขา จงึ รบั ประทานอาหารนัน้ ตอไป แตส องชวั่ โมงหลงั จากการรบั ประทานจนอ่มิ จดั นี้ เขาจะรูสกึ อดึ อดั (78) เอาวะลนี ดอนิชกอฮ, เลม ท่ี 7, หนา 81. (79) ซะฟนะตลุ บิฮาร, เลมที่ 1, หนา 124 ; บิฮารุล อันวาร, เลม ท่ี 66, หนา 141. (80) บิฮารุล อันวาร, เลมท่ี 66, หนาท่ี 146.
และไมสบายตัว แตใ นท่ีนห้ี ากเขาไดเ ร่มิ ตนการละศลี อดดวยอนิ ทผลมั ในปริมาณหนงึ่ กอ นการ รับประทานอาหาร การรับประทานอนิ ทผลมั ดังกลาวจะยบั ยง้ั เขาจากการกนิ จนอมิ่ แปรไ ดด ง่ั ตั้งใจ “การเลือกรบั ประทานอินทผลมั หรือลกู เกดสาํ หรับการละศีลอด กเ็ น่ืองจากเหตุผลทว่ี ามนั มีนาํ้ ตาลเฮคโซส (กลโู คส (อ)ี , เดกซโ ตรส) และฟรุคโตส (เลฟวูโลส) และการดูดซึมของมันนนั้ รวดเรว็ มาก ซ่งึ จะเปน สาเหตทุ ําใหค วามอยากอาหารลดลง มันจะชวยยับยัง้ การรบั ประทานมาก และการรับประทานอยา งรีบเรง ซง่ึ สว นมากแลวจะทาํ ใหเ กดิ อาการแนนเฟอในกระเพาะอาหาร” (81) ในกรณีที่ไมใชก ารละศีลอด หมายถงึ ในชว งเวลาอื่นๆ ทม่ี ใิ ชเดอื นรอมฎอน ความหวิ โหย จะไมรนุ แรงมากนกั ดว ยเหตนุ ีถ้ า หากในขณะเดินทางมีอินทผลมั อยู ทา นศาสนทูต (ศ็อลฯ) จะ เริ่มตน ดวยการรับประทานอนิ ทผลัม คณุ สมบัตอิ น่ื ๆ ของอินทผลัม บรรดาผนู ําแหง อิสลามยังไดแ นะนาํ ใหร ับประทานอนิ ทผลัมไวใ นกรณีอนื่ ๆ อกี เชน กนั ดัง ตวั อยา งจากคาํ รายงานตอไปน้ี “ชายผหู นงึ่ ไดม ารองทกุ ขตอ ทา นอิมามมูซา กาซมิ (อ.) เกี่ยวกับรา งกายทเี่ ฉ่ือยชาและไม กระปร้ีกระเปรา ทา นอิมาม (อ.) ไดแนะนาํ เขาใหรับประทานอินทผลัมบุรอนีกอนอาหารเชา และไม ตองดม่ื นํ้า เขาไดก ระทาํ สง่ิ ดังกลา ว และอาการเฉื่อยชาไมก ระปร้กี ระเปรา กห็ ายไปจากเขา แตใ น ขณะเดยี วกนั นน้ั อาการทอ งผกู ไดเกิดขึ้นกบั เขา เขาจงึ มารอ งทกุ ขก ับทา นอมิ าม (อ.) อกี คร้ัง ทา นอิมาม (อ.) จงึ แนะนาํ ใหเขารับประทานอนิ ทผลมั บุรอนี้พรอ มกบั ด่ืมน้ําตามไป เขาไดก ระทํา ตามนน้ั และอาการของเขากก็ ลับคนื สสู ภาพปกต”ิ (82) เนือ่ งจากอนิ ทผลัมใหพลงั งานแคลอรีสงู จึงทาํ ใหความออนเพลยี ไรช วี ติ ชวี าหายไป และ จากคาํ กลา วทวี่ า 5 เปอรเ ซ็นตของผลไมโดยเฉล่ยี นนั้ จะมนี ํา้ ตาลเซลูโลสอยู จงึ เปน เรือ่ งปกติและ ธรรมดามากทม่ี ันจะชว ยใหเกิดการระบายและยับยง้ั อาการทองผกู ผลตา งๆ ของอินทผลมั ทเ่ี ก่ียวขอ งกับสภาพจติ ใจ และคุณลักษณะตางๆ ทางดานจิต วญิ ญาณของมนุษย ไดถูกอธิบายไวในคาํ พดู ของทานศาสนทตู แหง อัลลอฮ (ศอ็ ลฯ) ดงั ตวั อยา ง ตอไปนค้ี ือ ทา นไดก ลาววา “ทานทง้ั หลายจงใหส ตรที ่ีอยูในเดือนของนางซง่ึ กาํ ลังจะใหก าํ เนดิ บตุ ร รับประทานอนิ ทผลมั เถิด! เพราะแทจ ริงบุตรของนางจะไดเปนผทู ม่ี คี วามอดทนอดกล้ัน และเปน ผู ทส่ี ะอาดบรสิ ทุ ธ”ิ์ (81) เอาวะลนี ดอนิชกอฮ, เลมที่ 7, หนา 78. (82) มุสตกั รอ็ ก อัล วะซาอลิ , เลมที่ 3, หนา 113.
จากกรณที ีว่ า จติ ใจและรา งกายของมนษุ ย มีความเก่ยี วของสมั พนั ธก นั อยา งเหนยี วแนน และบอยคร้งั ทเี ดยี วที่ความทุกขและความกังวลใจจะสง ผลกระทบตอรา งกาย และอีกดา นหนงึ่ ความสุขตา งๆ ของรางกายจะเปน สาเหตทุ าํ ใหจติ ใจเกดิ ความสงบสขุ ดังน้นั บรรดานักวชิ าการจึง แนะนาํ ใหรบั รวู า อินทผลมั มีคณุ สมบตั ิในการตอ ตา นความออ นไหวและความหยาบกระดาง ทางดา นจิตใจ สาลี่ (Pear) ‘สาล’่ี เปนผลไมชนดิ หนงึ่ ทมี่ รี สชาติอรอย หอมหวานนา รับประทาน และไมมีอนั ตรายใดๆ ตอผูปวย “ในปรมิ าณ 100 กรมั ของลูกสาลส่ี ด มธี าตุๆ ดงั ตอ ไปนค้ี อื : น้าํ 83.2 กรัม, โปรตีน 0.5 กรัม, ไขมนั 0.4 กรัม, กลไู ซด 15.5 กรมั , โซเดยี ม 0.003 กรัม, โปรแตสเซยี ม 0.129 กรัม, แคลเซียม 0.013 กรมั , แมกนีเซยี ม 0.009 กรัม, ธาตเุ หลก็ 0.3 กรัม, ทองแดง 0.134 กรัม, ฟอสฟอรสั 0.0016 กรมั , กาํ มะถนั 0.007 กรมั , คลอรีน 0.004 กรมั , วิตามนิ เอ 2 กรมั , วิตามนิ บี 1 0.03 กรัม, วิตามนิ บ2ี 0.04 กรมั , นีโกตีล อะไมด 0.1 กรมั , วติ ามนิ ซี 4 กรัม ในผลไมทกุ ชนิดจะมคี วามแตกตางกนั ระหวา งผลไมสด ผลไมเ กา และผลไมแ ชอ ่มิ ในลกู สาลกี่ เ็ ชน เดยี วกนั ลกู สาล่ีทแี่ ชอ่ิมจะสญู เสียแมกนีเซียม แมงกานสิ ทองแดง กาํ มะถันและคลอรนี สารอาหารตา งๆ ทถ่ี กู กลา วถึงในลกู สาล่สี ดก็จะมีปริมาณลดนอ ยลงในสาล่ีแชอ ิ่ม” (83) บรรดาผนู าํ แหง อสิ ลาม ไดแนะนาํ ใหรบั ประทานลูกสาลี่ไวในกรณตี า งๆ ดังตวั อยา งเชน 1.ทา นอิมามซอดิก (อ.) ไดก ลาววา “ทา นทั้งหลายจงรับประทานลกู สาลี่ เพราะแทจ ริงมนั จะทาํ ใหห วั ใจสวา งไสว และจะชว ยบรรเทาอาการเจ็บปวดภายในตา งๆ ดวยการอนมุ ัติ ของอัลลอฮ” (84) ในคํารายงาน (รวิ ายะฮ) บทนี้ ไดแ นะนาํ ใหร บั ประทานลูกสาลี่เพอ่ื ประโยชนในการ เยียวยารักษาความผิดปกตภิ ายในรางกายโดยทวั่ ไป และนักโภชนาการกไ็ ดแนะนาํ ลกู สาลไี่ วใน ลักษณะเชน เดียวกนั น้ี “ผลสาล่จี ะชว ยระบายและขบั ปสสาวะ มปี ระโยชนอยางมากสํารับตอมภายในตา งๆ ของ รางกาย จะชวยระงับประสาท และเปน ผลไมทมี่ ีคุณคาสงู มากเกีย่ วกบั โรคตา งๆ ของทรวงอก และ คณุ สมบตั ินเ้ี กย่ี วของกบั กรดแทนทิน…มสี าร ‘อารเซนกิ ’ จึงชว ยเยยี วยารักษาอาการสนั่ เทา และมี (83) เอาวะลนี ดอนิชกอฮ, เลม ท่ี 10, หนา 50. (84) วะซาอิลุช ชีอะฮ, เลม ที่ 17, หนา 133.
ประโยชนอยางมากสําหรบั โรคตางๆ ท่ีจะบั่นทอนพลงั งานตา งๆ เชน โรควัณโรค โลหิตจาง และ ความออ นแออยา งรนุ แรง” (85) 2.ในทศั นะของบรรดาผนู าํ แหง อิสลาม ลกู สาลม่ี ีประโยชนใ นการสรางความแข็งแรงใหกับ กระเพาะอาหาร และจากเหตผุ ลดงั กลา วนีเ้ อง พวกทานจงึ แนะนาํ ใหร ับประทานมนั หลงั อาหาร ทา นอิมามซอดกิ (อ.) ไดกลา ววา “ลกู สาล่ีนน้ั จะชว ยฟอกกระเพาะอาหาร และจะทาํ ให กระเพาะแข็งแรง ซ่งึ ในกรณนี ้ีมคี วามเทา เทียมกนั กบั ผล ‘ซะฟร ญัล’ และการรับประทานมัน ในขณะอ่ิม (หลังอาหาร) จะมคี ุณคามากกวา การรบั ประทานกอนอาหาร และผใู ดกต็ ามท่มี คี วาม ทุกขก งั วลใจ ดงั นน้ั เขาจงรบั ประทานมนั หมายถงึ หลงั อาหาร” (86) “การเค้ียวลกู สาลใ่ี หละเอยี ด คอยๆ รับประทาน และไมควรรบั ประทานเกนิ หนงึ่ ลกู ตอ วนั จะมีประโยชนส าํ หรบั ผทู ก่ี ระเพาะอาหารออ นแอ…ลกู สาล่ีเหมาะสําหรบั การหลง่ั นาํ้ ยอ ยตา งๆ ใน ระบบการยอ ยอาหาร” (87) 3.ในคํารายงาน (รวิ ายะฮ) ตา งๆ ไดกลาวถงึ ลูกสาลใี่ นฐานะผลไมอ ยางหนึ่งท่ีทาํ ใหเบิก บานใจ ตอ ตา นความทกุ ขโศกและความกงั วลใจ ประเด็นดังกลา วนแ้ี มจะมอี ยูในสองคาํ รายงาน ขางตน แตในคํารายงานอนื่ ๆ กถ็ ูกกลาวถงึ เชนกัน ตัวอยางเชน ชายผหู นง่ึ ไดมาพบทา นอมิ ามซอดิก (อ.) และไดคราํ่ ครวญกบั ทา นถึงความทุกขกงั วลและ ความไมสบายใจ ทา นอมิ าม (อ.) ไดก ลา ววา “จงรับประทานลกู สาล”ี่ (88) “ลูกสาล่ีจะชว ยระงบั ประสาทของผทู มี่ อี ารมณร อนและโกรธงา ยได จะชวยใหก ารทาํ งาน ของตอมตา งๆ ในรา งกายเกดิ ความเขม แขง็ จะฟอกเลอื ดใหส ะอาด จะทาํ ใหไ ตทาํ งานดีขนึ้ จะ ชวยกระตนุ ความเฉ่ือยชาของลาํ ไสตางๆ และมปี ระโยชนต อความเจ็บปวยตา งๆ ท่เี กยี่ วกบั ลําคอ ความออ นแอโดยทัว่ ไปของรา งกาย โรคโลหิตจางและวณั โรค…ดว ยกลิ่นหอมของลกู สาลี่ จะชว ย กระตนุ จติ ใจ (ใหเกิดความเบิกบานและกระชมุ กระชวย)” (89). (85) อรั รอร ครู อกีฮอ, หนา 296. (86) วะซาอลิ ุช ชีอะฮ, เลมที่ 17, หนา 134. (87) เอาวะลนี ดอนชิ กอฮ, เลม ที่ 10, หนา 52. (88) บิฮารุล อนั วาร, เลม ท่ี 66, หนา 175. (89) เอาวะลีน ดอนชิ กอฮ, เลมที่ 10, หนา 51.
หมวดท่ี 4 ผักชนดิ ตา งๆ ‘ผัก’ จะนําโลกของความสดชืน่ ความสวยงาม ความกระปร่ีกระเปา และความเบกิ บานใจ มาเปน ของฝากแกม วลมนุษย และโดยพน้ื ฐานแลว ‘สเี ขยี ว’ คอื ภาพปรากฏของความสวยงามและ ความสดชนื่ ทงั้ มวล ‘ผัก’ ทงั้ หลายนอกจากความสวยงามในสสี รรของมันแลว ยังมคี วามสวยงามอน่ื ๆ แฝงอยู อกี มากมาย ซงึ่ เราจะไดช้ีใหเ ห็นบางสว นของมนั ในเนือ้ หาตางๆ ตอไปนี้ ถาหากเราจะพบวา ผักชนดิ ตางๆ จะชว ยใหเ กิดความประปรี่กระเปา และความเบิกบานใจ กเ็ นือ่ งจากวามนั ไดค ดั สรรเอาทกุ ๆ ดา นของธรรมชาตมิ าไวในตัวเอง และตามสาํ นวนแลวถือวา มนั คอื ส่ิงท่ีถกู คัดสรรมาจากความสวยงามทง้ั มวลของธรรมชาติ ตัวอยา งเชน ประโยชนของความ สวยงามของดวงเดือน ปริมาณหนึ่งจากพลังงานของดวงอาทิตย สายลมโชยออนๆ ทีส่ รา งความ ชืน่ ฉาํ่ ใจ ความสดช่นื จากเนนิ เขา หยาดนา้ํ ฝนและการโปรยปรายของเกล็ดหมิ ะท่ีนาํ ความสดช่ืน มา ทง้ั หลายทงั้ ปวงเหลานไ้ี ดถ กู รวมไวในความสวยสดและความเขยี วขจีของผักทง้ั หลาย กลาว โดยสรปุ แลว เมฆหมอก สายลม แสงสาดสองของดวงอาทติ ยและทอ งฟา ไดร วมมือกันสรรสราง ประดับประดาเจา สาวท่ีมีความสวยสดงดงามนี้ขน้ึ มา ดว ยเหตนุ ้ี บุคคลใดกต็ ามท่ีรบั ประทานผกั แมเพียงใบเดียว เขาจะไดรับประโยชนจ าก พลงั งานทางธรรมชาตเิ หลาน้แี ละความสวยสดงดงามทงั้ มวลของมัน และมใิ ชจ ากความสวยสดและความชนื่ ฉาํ่ ใจจากผกั ทง้ั หลายเพียงเทา นนั้ ท่ีเขาจะไดรบั ยงิ่ ไปกวานนั้ เขายงั จะไดรบั ประโยชนจากคณุ คา อนั มากมายของผกั เหลา นน้ั อกี ดว ย และการไดรบั ประโยชนดงั กลา วนเ้ี อง ทจ่ี ะทาํ ใหตนเองปลอดภัยจากอนั ตรายของความเจ็บปว ยบางอยางได “มีดและเครอ่ื งมือผาตัดทง้ั หลาย แมว าจะเปน หนทางแกไ ขและการรักษาเยยี วยาทเ่ี ลอ เลิศและมหศั จรรยท ี่สุดกต็ าม แตผ ลสุดทา ยของมนั จะนาํ มาซงึ่ ความทกุ ขโศก ถา หากเรามีแบบ แผนทเ่ี ปน ระบบสาํ หรบั การรบั ประทานผกั และผลไมตา งๆ แลว เราก็ไมม คี วามจําเปนตองพงึ่ แพทยแ ละหมอผาตัดอกี ตอไป” (1) ผกั ตา งๆ ในคาํ รายงาน (ริวายะฮ) ทงั้ หลาย ในคาํ สอนของอิสลามไดใหความสาํ คัญกบั เรอ่ื งของผักเปน พเิ ศษ ตัวอยา งเชน (1) ซบั ซฮี อ วา มีเวฮฮ อเย ชะฟาบัคช, ลิโอนสิ การลเิ ยฮ, หนา 22.
1.ชายผหู นงึ่ ซง่ึ มนี ามวา ‘ฮันนาน’ ไดเลาวา : ฉนั อยรู ว มกับอมิ ามซอดกิ (อ.) ณ สํารับ อาหาร ทานอมิ าม (อ.) ไดเออ้ื มมอื ไปหยบิ ผกั แตฉันไดย บั ยัง้ ตนเองจากมนั เน่ืองจากความเจ็บปวย บางอยา งท่ีเกดิ กับฉนั ทา นอิมาม (อ.) จึงไดห ันมายังฉนั และกลา ววา “โอ ฮนั นานเอย! เจา ไมร ูด อก หรอื วา ไมม สี าํ รบั อาหารใดๆ ที่ถูกนาํ มายงั ทานอมรี ุลมอุ ม นิ นี (อ.) นอกจากจะตองมีผกั อยใู น สาํ รับนนั้ ?” ฉนั ถามวา “ดวยเหตุผลอะไรหรือ?” ทา นตอบวา “เนื่องจากหวั ใจของผูศ รทั ธาทง้ั หลายนนั้ เขียวขจี ดวยเหตนุ เี้ องจงึ มคี วามโนม เอียงไปยงั สีสรรของมัน” (2) จดุ ประสงคข องความเขยี วขจีในหวั ใจของบรรดาผศู รทั ธา กค็ อื ความสดช่ืนประปรี่กระเปา และการมีสุขภาพพลานามยั ท่ีดี ซ่งึ สง่ิ เหลานี้มอี ยใู นผกั ท้ังหลาย และทานอิมาม (อ.) ไดอ ธบิ าย ดวยคาํ พูดลกั ษณะหน่ึงซงึ่ ชใี้ หเหน็ ถงึ ขอเท็จจริงดงั กลาว จากประเดน็ ทว่ี า ผกั ทง้ั หลายคือแหลงรวมของวติ ามนิ ชนดิ ตางๆ ที่จะทําใหมนษุ ยมี สขุ ภาพพลานามยั ทีด่ ี จะชว ยยับยง้ั ความเจบ็ ปวยและโรคภัยตางๆ ไดโดยอัตโนมตั ิ ดงั นน้ั รา นขาย ยารกั ษาโรคทแี่ ทจริง กค็ ือรานขายผักท้งั หลายนนั้ เอง นกั โภชนาการทา นหน่ึงไดกลาววา “ถาหากการมสี ขุ ภาพที่ดีสามารถซ้อื หาได สถานทซ่ี ื้อ ขายมันก็คือรานขายผกั และผลไมท ัง้ หลายนน่ั เอง มิใชส ถานท่อี นื่ ใด” (3) 2.ทานศาสนทตู แหงอัลลอฮ (ศ็อลฯ) ไดก ลา วในเรอ่ื งนว้ี า “จงประดบั ประดาสาํ รับอาหาร ของทานดวยผกั ทง้ั หลาย เพราะแทจ ริงมนั จะขบั ไลบรรดามารราย (เชอื้ โรคตา งๆ) โดยการอนมุ ตั ิ ของอัลลอฮ” (4) ∗คาํ วา ‘ชัยฏอน’ (มารราย) ในสาํ นวนของริวายะฮ (คาํ รายงาน) ทัง้ หลาย มคี วามหมาย ตางๆ ท่ีหลากหลาย และหนง่ึ จากความหมายของมันกค็ อื ‘เช้อื โรค’ และโดยพนื้ ฐานดังกลา วท่ไี ดร บั รไู ปแลว เก่ียวกับแบบแผนในการรบั ประทานอาหารของ บรรดาผนู ําทางศาสนา สาํ รบั อาหารของพวกทา นนน้ั ไมเคยวางเปลาจากผักเลย 3.ชายผหู นงึ่ ไดกลา ววา “ในวนั หนงึ่ ทา นอิมามมซู า กาซิม (อ.) ไดเชิญฉันรว มรับประทาน อาหาร เม่ือพวกเขาไดนาํ สาํ รับอาหารมา แตไมมผี ักอยใู นสํารบั อาหารนัน้ เลย ทา นอิมาม (อ.) ไม ยอมรบั ประทานอาหารนนั้ และกลาวกบั คนรบั ใชว า “เจา ไมรหู รือวา ฉันจะไมร บั ประทานอาหารใน (2) วะซาอิลชุ ชอี ะฮ, เลมที่ 17, หนา 141. (3) อซั รอร ครู อกีฮอ, หนา 1. (4) ฏิบบุนนะบี, ใน บฮิ ารุล อันวาร, เลมท่ี 62, หนา 300.
สํารบั ใดกต็ ามท่ีไมมผี ัก ดงั น้ันจงนาํ ผกั มาใหฉ นั ” ชายผูนน้ั ไดก ลา ววา คนรบั ใชไดออกไปและนํา ผักมาวางลงในสํารบั อาหาร ทา นอมิ าม (อ.) จงึ ยนื่ มือไปหยิบ ตอจากนน้ั จึงเริม่ รับประทานมนั ” (5) ประเภทตา งๆ ของผัก ‘ผกั ’ มีมากมายหลายชนิด โดยทีแ่ ตละชนดิ ไดถกู สรา งขึ้นมาเพ่ือคุณประโยชนเฉพาะอยา ง ในหนงั สอื เลม น้ีเราจะขอกลา วถงึ เพียงบางชนิดจากบรรดาผักเหลา นน้ั ฮินดะบาอ (Chicory-endive) ‘ฮินดะบาอ’ หรอื Chicory เปนพชื ในตระกลู Chicorium intybus นยิ มใชทาํ เปน สลัด มชี ่ือ ภาษาเปอรเซยี วา ‘กาซาน’ี ฮนิ ดะบาอเปน ผักชนิดหนึ่งทม่ี ีรสขมแตม ีคณุ คา อยา งมาก ฮนิ ดะบาอเปรียบไดด ่งั บรรดาผู ตกั เตอื นที่เปน หว งเปนใย ซง่ึ คําตกั เตือนของพวกเขานัน้ ชา งขมข่นื แตใครก็ตามที่ปฏิบัตติ าม คาํ แนะนาํ ตักเตอื นของของผตู กั เตือนเหลา น้ี เขากจ็ ะไดร ับผลตา งๆ ท่ดี งี าม บางครงั้ บรรดาผนู าํ ทางศาสนาจะแนะนาํ ฮนิ ดะบาอในฐานะผกั ทด่ี ที สี่ ดุ 1.ทา นอมิ ามซอดกิ (อ.) ไดก ลา ววา “ฮนิ ดะบาอ คือนายของผกั ทงั้ หลาย” (6) 2.ทา นอมิ ามอะลี (อ.) กลา วถงึ มนั วาเปน พชื แหง สวรรค โดยกลาววา “ทานทง้ั หลายจงให ความสาํ คญั ตอ (การรบั ประทาน) ฮนิ ดะบาอ เพราะแทจ ริงมันไดถ ูกนาํ ออกมาจากสวรรค” (7) 3.ทา นอมิ ามรฎิ อ (อ.) ถอื วา ฮินดะบาอสามารถเยยี วยารักษาโรคไดห นง่ึ พันชนิด (8) และยัง กลาวอกี วา ทกุ ๆ ความเจ็บปว ยภายในของมนษุ ยจ ะถกู ขจัดใหห มดไปไดด วยฮินดะบาอ “ฮินดะบาอน น้ั สามารถเยยี วยารักษาโรคไดหนงึ่ พนั ชนดิ ไมวาโรคภยั ใดๆ ก็ตามที่เกิดขนึ้ ภายในรางกายของมนษุ ยน นั้ นอกจากวา ฮนิ ดะบาอจ ะขจัดมัน” (9) เราจงมาพจิ ารณาคณุ สมบตั ิตา งๆ อนั นา มหัศจรรยของฮินดะบาอที่เกย่ี วกับภายใน โดยเฉพาะเร่ืองของตับ (5) บิฮารุล อันวาร, เลมที่ 66, หนา 199. (6) วะซาอิลุช ชีอะฮ, เลม ท่ี 17, หนา 141 และ 142. (7) วะซาอลิ ุช ชอี ะฮ, เลม ท่ี 17, หนา 141 และ 142. (8) จํานวนหนงึ่ พันเปนการอธิบายถึงคุณประโยชนอ นั มากมายของฮนิ ดะบาอ. (9) วะซาอิลชุ ชอี ะฮ, เลมท่ี 17, หนา 144.
“ฮนิ ดะบาอจ ะชวยขจดั อาการทองผกู สาํ หรบั การรักษาอาการทองผูก ใหรับประทานนา้ํ ตมจากใบและรากของฮนิ ดะบาอ ในปริมาณ 2 แกว กอ นอาหารเชา ทกุ วนั และวิธกี ารตมก็คือ ให ใชใบและรากของฮนิ ดะบาอแ หงในปรมิ าณ 30 กรมั ตม กบั นา้ํ 1 ลติ ร ตามการคน ควา วจิ ัยลา สดุ ทไ่ี ดเกีย่ วกับผลตา งๆ ในทางเยยี วยารกั ษาของฮินดะบาอป า (ที่ ขึน้ เองตามธรรมชาต)ิ พบวา ฮนิ ดะบาอมปี ระโยชนตออวยั วะภายในทง้ั หมด ไมว า จะเปน หัวใจ ตบั และกระเพาะอาหาร และจะชวยทาํ ใหอวยั วะเหลา นน้ั ทาํ หนาทีไ่ ดอ ยา งปกติ ผลตางๆ ของฮินดะบาอป า ในชว งเร่มิ ตน ของการรบั ประทาน อาจจะแสดงออกเพียง เล็กนอยและไมช ัดเจนนกั ดวยเหตนุ จี้ าํ เปนทจี่ ะตองรบั ประทานมนั อยา งตอเน่ือง แตเมือ่ เวลาได ผา นไปสักระยะหนง่ึ ผลของการเยียวยารักษาตา งๆ ของมันจะปรากฏชดั ” (10) “นํา้ ตม ของฮินดะบาอป าปรมิ าณ 25 กรัม ตอ น้ํา 1 ลติ ร ไดถกู กําหนดไวสําหรบั การ เยียวยารักษาอาการผดิ ปกติและภาวะตบี ตนั ของมา มและถงุ น้ําดี โรคดีซาน กระเพาะและตับ อกั เสบ อาการกระหายนา้ํ น่ิวในกระเพาะปส สาวะและถุงนา้ํ ด”ี (11) “แพทยใ นยคุ โบราณของอิหรา น มคี วามเช่อื มั่นอยา งมากตอ รากของฮินดะบาอ และจาก ผลการทดลองตางๆ ท่ขี าพเจา ไดก ระทาํ นํา้ ตมจากรากของฮินดะบาอมีผลโดยตรงตอเซลลต า งๆ ของตบั และเปน การเยยี วยาท่ีดีทสี่ ดุ สําหรับคอเลสโตรอล ดังนน้ั สมควรอยา งย่ิงทีใ่ นบางครั้งควร ตม รากของฮนิ ดะบาอแ ละด่มื มนั เหมือนกบั นํา้ ชา เพือ่ จะชว ยซอมแซมตับของทานและชวยขจดั คอ เรสโตรอล นอกจากนี้ใบของฮนิ ดะบาอย ังชวยบาํ รงุ ระบบการยอยอาหาร ชว ยฟอกเลอื ด ขับปส สาวะ เปน ยาระบายออนๆ และชว ยรกั ษาอาการไขต ัวรอ นไดอกี ดว ย น้ําตม ใบฮนิ ดาบะอจะถูกแนะนาํ อยา งมากสาํ หรับบรรดาผปู ว ยท่เี พงิ่ หายจากไขมาเลเรยี ใบของฮนิ ดะบาอม วี ิตามนิ ซี อยูป รมิ าณ หนง่ึ และคุณสมบัติของวติ ามนิ ชนดิ นี้จะชวยรกั ษาความหนมุ แนน นอกเหนอื จากนน้ั บรรดาแพทย เช่ือวา มนั จะชว ยเยยี วยารกั ษาถงึ นาํ้ ดี โรคดซี า น และอาการอกั เสบตา งๆ ของตบั และกระเพาะ อาหาร ในแถบทวีปยุโรปจะมกี ารปลกู ผกั ฮินดะบาอช นิดตางๆ และในทกุ ๆ ฤดูกาลจะสามารถพบ เห็นมนั ไดในตลาดอยา งนอยหนึ่งหรอื สองชนิด ฮนิ ดะบาอช นิดตางๆ ทป่ี ลกู กันเองนนั้ จะมีรสชาติ ไมเ หมือนกับฮนิ ดะบาอปา และสามารถรบั ประทานมันดิบๆ ไดเหมอื นกับผักกาดหอม และใช ประโยชนจ ากคณุ คาตางๆ ท่ีเพรยี บพรอมของมนั ” (12) (10) กุลฮอ วา กยิ อฮอเน ชะฟาบัคช, หนา 169. (11) ซบั ซฮี อ วา มีเวฮฮอเย ชะฟาบคั ช, หนา 52. (12) อัซรอร คูรอกีฮอ, หนา 166.
“ตบั ซึ่งเปรยี บไดด ่ังหางเสือเรือของรา งกาย มนั จะทาํ หนา ทมี่ ากกวาสีพ่ ันหนา ที่ และเมอื่ มันตองชะงักงนั จากการปฏบิ ตั ิหนา ท่ี ก็จะทาํ ใหเ กดิ โรคตางๆ แกม นษุ ยม ากกวาสองพนั โรค และ จากเหตุผลดังกลาวน้เี อง ทา นอมิ ามรฎิ อ (อ.) จึงกลา ววา ฮนิ ดะบาอคือยารักษาโรคหนง่ึ พนั ชนดิ นักการแพทยท ้งั ในยคุ โบราณและปจ จบุ ันตางยอมรบั วา ฮนิ ดะบาอม ผี ลอยา งแนน อนตอ โรคตางๆ ที่เกีย่ วกับตบั ในทางการแพทยสมัยใหมไ ดพิสจู นแลว วา มีบทบาทอยา งสงู ในการสรางเซลลใ หม ของตับ และการสรางโคโมโซมเพศชายและเพศหญงิ ในอสจุ ิ นบั ไดว า เปน บทบาทสาํ คัญของตบั ” (13) ในคาํ พูดของทา นอิมามริฎอ (อ.) เกีย่ วกับคุณคาตางๆ ของฮนิ ดะบาอ ไดช ีใ้ หเหน็ ถงึ คุณคา อืน่ ๆ อกี คอื 1.ฮนิ ดะบาอจะชวยเสริมสรา งความตองการทางเพศ 2.ในขณะท่ีมารดาต้งั ครรภหากไดร บั ประทานใบของมนั จะทาํ ใหท ารกนอยของพวกนางมี น้ํามนี วล ผวิ พรรณเปลง ปลั่ง และมีความสวยงาม 3.ครอบครัวทรี่ บั ประทานผกั ฮนิ ดะบาอ ลูกๆ ของพวกเขาจะเปน เพศชายมากกวาเพศ หญงิ ทานอิมามซอดิก (อ.) ไดก ลาววา “ทา นท้งั หลายจงรับประทานฮนิ ดะบาอ เพราะแทจ รงิ ฮิน ดะบาอน นั้ จะเพ่มิ นาํ้ เช้อื (พลงั ทางเพศ) จะทาํ ใหล กู มีลกั ษณะทงี่ ดงาม และมันคือผลไมทมี่ ี ธรรมชาตริ อ นอีกทั้งออนละมนุ จะชวยทาํ ใหมลี กู ผูชายมากข้นึ ” (14) แมว า คาํ พดู นจ้ี ะถูกกลา วไวป ระมาณ 1,300 ปท ่ีแลว ในสมยั ท่มี นุษยย ังไรซ ึ่งความรูและ ความเขาใจ และปราศจากเครอ่ื งมือตา งๆ ทีจ่ ะวิเคราะหแ ยกแยะ แตป จ จุบันซงึ่ เปนยคุ แหง อารย ธรรมและความรู และคน คดิ ส่ิงประดษิ ฐต างๆ ทาํ ใหสามารถพิสูจนค าํ พดู นี้ไดเ ปน อยางดี และถือ ไดวา มคี วามนา มหัศจรรยอยา งยง่ิ “บรรดาโครโมโซมคือผลิตผลอยา งหนง่ึ ของรางกายเรา และไมตอ งสงสยั เลยวา โครงสราง ของโคมโมโซมเหลา นี้มสี ว นสมั พนั ธก ันอยา งสมบรู ณต ออาหารทเี่ รารบั ประทานเขาไป และบน พน้ื ฐานดงั กลา วน้เี อง ทา นอมิ ามซอดิก (อ.) จงึ กลาววา ครอบครวั ทรี่ บั ประทานผกั ฮินดะบาอเขา จะมีลกู ผชู ายมากกวา ลกู ผหู ญิง ผลการทดลองและสถติ ติ างๆ ทข่ี า พเจา ไดร วบรวมไวถ ือไดว า ประเด็นดงั กลา วน้เี ปน ขอเทจ็ จรงิ ” (15) ประเด็นสาํ คญั ที่ปรากฏในคาํ พูดของทา นอมิ ามซอดกิ (อ.) จากประโยคทว่ี า “ฮินดะบาอ เปน ผลไมทมี่ ีธรรมชาติรอนอีกทั้งออ นละมนุ ” แนนอนยงิ่ วา บรรดาอาหาร ผกั และผลไมต างๆ ท่ี (13) ซะบอเน คูรอกฮี อ, หนา 216. (14) วะซาอิลุช ชีอะฮ, เลม ที่ 18, หนา 141. (15) ซะบอเน คูรอกีฮอ, หนา 348 และ 349.
ตามสํานวนเราเรยี กมนั วา เปนอาหารรอนน้นั มนั มีคณุ สมบตั เิ ฉพาะทีจ่ ะทาํ ใหทารกนอ ยในครรภ เปน เพศชาย นักโภชนาการทานหนงึ่ ไดกลาวถงึ วธิ กี ารทดี่ ที ่ีสุดทจ่ี ะใหไดล กู ชายไวเ ชน นว้ี า “นบั จากวนั แรกของการมเี ลอื ดประจําเดอื น หญงิ และสามีของนางจําเปน ตอ งรับประทาน อนิ ทผลมั ปรมิ าณหนงึ่ และด่มื น้ําตม จากรากของฮนิ ดะบาอหลายคร้งั ๆ ในแตละวัน ในชว งวัน ท้ังหลายของการสรางสเปรมิ ซึง่ โดยทว่ั ไปจะอยใู นชว งระหวา งวนั ที่ 8 ถงึ วันท่ี 11 จาํ เปนที่ผูเปน บิดาจะตองรบั ประทานอนิ ทผลัมในปรมิ าณมาก และอาหารตางๆ ทม่ี ธี รรมชาตริ อ น เชน พสิ ตาชิ โอ (Pistachio) อลั มอนด (Almond) ฮาเซลนัท (Hazelnut) ลูกเกดและมะพรา ว และผเู ปน มารดา จะตอ งดมื่ นา้ํ ตมฮนิ ดะบาอว ันละ 1-2 คร้งั ” (16) ผิวหนงั ของคนเราคอื กระจกเงาที่สะทอนใหเ หน็ ถงึ ตับ ดวยเหตุนถ้ี า หากตับทาํ หนา ท่ีได อยา งสมบรู ณ สีผิวของใบหนาและรา งกายกจ็ ะเปลง ปลงั่ และสวยงาม และเนอื่ งจากฮินดะบาอคือ ยารกั ษาตบั และเปนมติ รท่แี ทจรงิ ของมัน จากเหตุผลดงั กลาวน้ี ฮนิ ดะบาอจ งึ มีผลอยางสงู ตอความ สวยงามของใบหนา ดวยเชน กนั ทานอิมามซอดกิ (อ.) ไดกลา ววา “เจา จงรบั ประทานฮนิ ดะบาอ เพราะแทจ รงิ มนั จะเพม่ิ ปริมาณนาํ้ อสุจิ และจะทําใหใบหนาสวยสดงดงาม” (17) “ฮนิ ดะบาอป า จะทาํ ใหเ ลอื ดสะอาด และจะชวยใหส ีของใบหนา มีความเปลง ปลงั่ บรรดา สตรีทีม่ ีความหลงใหลในความสวยงามของตนเอง ดังนน้ั จงอยาหลงลืมจากมัน” (18) “เน่อื งจากฮนิ ดะบาอม ีอินนลู ีน (Inulin) มนั จะชว ยฟอกเลือด” (19) “ฮินดะบาอจะชวยทําหนา ทฟ่ี อกเลือด และจะใหผ ลตา งๆ ทด่ี ตี อตับ ไตและมาม” (20) ในคาํ พดู หนง่ึ ของทานอมิ ามรฎิ อ (อ.) ฮินดะบาอไ ดถ ูกรจู ักในนามของยารักษาอาการไข ตวั รอ น และขจัดอาการปวดศรษี ะ “คนรบั ใชผ ูห นง่ึ ของทา นอมิ ามริฎอ (อ.) มีอาการไขต ัวรอนและปวดศรีษะ ทา นอมิ าม (อ.) ไดกลาวกบั เขาวา ฮนิ ดะบาอจะชวยขจัดอาการไขตวั รอ นและอาการปวดศรีษะ ทา นไดส่ังใหบดใบ ของมนั ใหล ะเอียดและวางลงบนแผน กระดาษ และเทนา้ํ มนั ของตนไวโอเลต (บนิ ฟั ชะฮ) ลงบนมนั แลว วางไวบ นศรษี ะของเขา” (21) (16) ซะบอเน คูรอกฮี อ, หนา 348 และ 349. (17) บิฮารลุ อนั วาร, เลมท่ี 66, หนา 207. (18) กุลฮอ วา กิยอฮอเน ชะฟาบัคช, หนา 170. (19) ซบั ซีฮอ วา มีเวฮฮ อเย ชะฟาบัคช, หนา 53. (20) อิอยาเซ กยิ าฮอเน คอรอู ี ดัร ดัรมอเน บีมอรีฮอ, หนา 40. (21) บฮิ ารลุ อันวาร, เลมที่ 66, หนา 209.
“นา้ํ ของใบฮนิ ดะบาอกบั ซะกนั ญะบนี (นาํ้ หวานทีผ่ สมนาํ้ ตาลกบั นาํ้ สม ) จะใหผลดีมาก ตอ การรักษาอาการไขต ัวรอ นตางๆ และอาการไขทเ่ี กดิ ข้นึ ทุกๆ 4 วนั (quartan fiver) ใบสด ดอก เมลด็ และรากของฮินดะบาอ ทง้ั หมดน้มี ปี ระโยชนส าํ หรบั การรกั ษาอาการไขตา งๆ ทีเ่ ปนโรคติดตอ ใบของฮินดะบาอจ ะขจดั อาการรอนรมุ ของอารมณ ฟอกเลือดและลดความดันโลหิต การใชน า้ํ ของ ใบฮนิ ดะบาอท าถเู พยี งอยา งเดยี วหรือผสมกบั นาํ้ สม จะชว ยรักษาอาการปวดศรษี ะ” (22) “นํา้ ตมของรากฮนิ ดะบาอป า ในปริมาณ 20-30 กรัม ตอน้าํ 1 ลิตร จะถกู นาํ มาใช รบั ประทานในกรณขี องอาการไขต ัวรอ นทีเ่ กดิ จากการอกั เสบของตับ” (23) คณุ สมบัตทิ นี่ า มหศั จรรยอ กี ประการหน่งึ ของฮินดะบาอ ทท่ี า นศาสดามฮุ มั มัด (ศอ็ ลฯ) ได อธิบายไว คอื คุณสมบัตใิ นการตอตา นสารพิษของมนั โดยทา นไดกลา ววา “บุคคลใดกต็ ามท่รี ับประทานฮินดะบาอและนอนหลับไป ยาพษิ และไสยศาสตรจ ะไมส ง ผลรายใดๆ กบั ตัวเขา และสัตวเล้อื ยคลานใดๆ ไมวา งหู รอื แมลงปอ งจะไมเขา ใกลเขา” (24) “การพอกใบและรากของฮนิ ดะบาอทีผ่ สมน้าํ มนั มะกอก ตรงบรเิ วณทแ่ี มลงปองหรือสัตวม ี พิษกดั ตอ ยจะชว ยบรรเทาอาการเจบ็ ปวดได และการรบั ประทานใบและรากของฮนิ ดะบาอจะชว ย ตา นพษิ จากสารเคมีทง้ั หลาย” (25) แมวา อสิ ลามจะเนน ในเรอ่ื งของการลา งผกั ตางๆ แตส าํ หรบั ฮินดะบาอไ มมีการแนะนํา เชนน้ไี ว และแมแ ตการเขยา ใบของมนั กย็ งั ถกู หา มมิใหก ระทํา ทา นอมิ ามซอดิก (อ.) ไดกลา ววา “ฮินดะบาอเปน ผกั ทีม่ ีประโยชนย ิง่ นกั …ดังนน้ั ทา น ท้ังหลายจงรบั ประทานมนั และจงอยา สะบดั มนั ในขณะรบั ประทาน” (26) “ในใบของฮนิ ดะบาอมปี จ จยั ตางๆ ท่ีมชี วี ติ และมปี ระโยชนจาํ นวนมากอาศัยอยู ดว ยเหตุ นี้ทงั้ ในตวั บทของศาสนาและในการแพทยแ ผนโบราณจงึ หา มการลา งมนั ไว และเนื่องจากฮนิ ดะ บาอช นิดตา งๆ ท่ีข้นึ ตามทงุ โลงไมมีความเปรอะเปอ นใดๆ และมันเจรญิ เตบิ โตข้นึ มาภายใต แสงแดด ใบสดๆ ของมันจงึ สามารถรับประทานไดเลยโดยไมต องลา ง” (27) ผกั กาดหอม (Lettuce) (22) ซะบอเน คูรอกีฮอ, หนา 216 และ 217. (23) ซับซีฮอ วา มีเวฮฮอเย ชะฟาบัคช, หนา 52. (24) ซะฟน ะตุล บิฮาร, เลมที่ 2, หนา 725 ; บิฮารุล อนั วาร, เลมท่ี 66, หนา 210. (25) ซะบอเน ครู อกีฮอ, หนา 216. (26) บิฮารุล อนั วาร, เลม ที่ 66, หนา 207. (27) ซะบอเน คูรอกีฮอ, หนา 216.
‘ผกั กาดหอม’ เปน พชื ชนดิ หนง่ึ ที่มใี บใหญแ ละกวา ง ลาํ ตนของมนั ปกคลมุ ไปดว ยใบ เราจะ รบั ประทานมนั ดบิ ๆ และจะใชม ันทําสลดั ดวยเชน กนั เมล็ดของมนั จะถกู นาํ ไปเพาะปลกู “ผักกาดหอมเปรีย่ มไปดว ยวติ ามินเอ วติ ามนิ บี และวติ ามนิ ซี และมธี าตุเหลก็ แคลเซยี ม ฟอสฟอรัส แมกนีเซยี ม ไอโอดนี แมงกานสิ สงั กะสี โซเดยี ม และทองแดง คุณสมบตั ิของมนั เยน็ จึงชว ยดับความกระหาย จะทาํ ใหสีสรรของใบหนาแจม ใส หากตองการใหผ ักกาดหอมยอยสลาย ไดเรว็ ขึน้ ใหร บั ประทานมนั กับน้าํ สม ปริมาณเล็กนอย แทนนํ้ามะนาวสด” (28) “ผกั กาดหอมเปนพชื ทางการแพทยช นิดหนงึ่ ซงึ่ มีคุณคามาก ใบของผักกาดหอมไดส มั ผสั กบั อากาศมาก และไดรบั ประโยชนจ ากลม ฝน และแสงแดด การสาดสอ งของแสงอาทติ ยแ ละ ดวงดาวจะสง ผลตอเลอื ดของพชื หมายถงึ ‘คลอโรฟล ’ และมันจะเปน สาเหตุทท่ี าํ ใหผ กั กาดหอม ไดร บั กัมมนั ตรงั สี (Radioactive) ปริมาณมาก และพวกเขาเรยี กมนั วา การสะสมพลงั งาน แสงอาทติ ย” (29) ดวยเหตผุ ลดงั กลา ว ในอสิ ลามผักกาดหอมถกู รูจกั ในฐานะเปน พืชที่ใหคณุ ประโยชนอ ยาง มาก และบรรดาผนู าํ ของอิสลามไดช ้ีใหเ หน็ ถึงคณุ สมบตั ทิ ่สี ําคัญที่สดุ ของมัน คือการขจัดโรคตางๆ ทเ่ี กีย่ วกบั เลอื ด การฟอกเลอื ด และเชน เดยี วกนั นคี้ อื การสรางเลือดใหม ทา นอมิ ามซอดกิ (อ.) ไดกลา ววา “ทานทงั้ หลายจงรับประทานผักกาดหอม เพราะแทจ รงิ มันจะทําใหเ ลอื ดสะอาด” (30) “การมเี ลอื ดทส่ี ะอาดและบรสิ ทุ ธ์ิ ซง่ึ เปน ความมุง หวงั ของมนษุ ยทกุ คนทม่ี มี าแตด้ังเดมิ เพราะเหตุวา เงือ่ นไขประการแรกของการมธี รรมชาตทิ างรา งกายทป่ี กติ คอื การมเี ลอื ดท่ีสะอาด บริสุทธิ์ นบั จากยคุ อดตี พวกเขาจงึ ใหความสาํ คัญอยา งมากตอโรค Scorbut (ขาดวติ ามนิ ซ)ี แมวา หลงั จากการคนพบวิตามนิ ซี จะทาํ ใหรับรูถึงหนทางเยยี วยารกั ษาโรคดงั กลาว แตก ระนนั้ กต็ าม จํานวนมากมายจากลูกหลานของอาดมั (มวลมนษุ ย) ก็ยงั คงเผชญิ กบั ความทุกขยากจากโรคน้ี จะเหน็ ไดจ ากสถิติของบรรดาผเู สยี ชวี ิตเนอื่ งจากสาเหตดุ ังกลา ว เพ่อื แกไขปรับปรุงเลือดใหด ขี น้ึ จาํ เปน ตองใชป ระโยชนจ ากพชื ผกั ตางๆ และจากธรรมชาติ ท่เี รยี บงา ยนีจ้ งทาํ ใหมนั ใหมส ดอยูใ นทกุ ๆ วนั ” (31) “ปจจบุ ันไดพสิ ูจนแ ลววา ผกั กาดหอมเพรยี มพรอ มไปดวยธาตแุ คลเซียมและวติ ามินเอ, วิตามนิ บ,ี วิตามินซ,ี วติ ามนิ ด,ี และวิตามินอ1ี ก็มอี ยมู าก ดว ยเหตนุ ้จี ึงทาํ ใหก ารสรา งเม็ดเลอื ด (28) ซบั ซีฮอ วา มีเวฮฮ อเย ชะฟาบัคช, หนา 68. (29) อัซรอร ครู อกีฮอ, หนา 168. (30) บิฮารลุ อนั วาร, เลมท่ี 66, หนา 239. (31) คอ บ วา คูรอก, หนา 204.
แดงเปนไปอยา งงายดาย…บรรดานกั การแพทยแ ผนโบราณของอหิ รา นเชอ่ื วา การขจัดภาวะความ ผิดปกติ (ความเสียหาย) ของเลอื ดไมม สี ่ิงใดจะดเี ลศิ ไปกวา ผกั กาดหอม และปจจบุ นั นเ้ี ราทราบกันเปนอยา งดีวา โรคดังกลาวซง่ึ มชี อื่ วา ‘Scorbut’ มนั จะเยียวยา รักษาไดด ว ยการรบั ประทานวิตามนิ ซี และเนื่องจากผกั กาดหอมมีวิตามนิ ซี ในปริมาณทพ่ี อเพยี ง ดงั นนั้ ทัศนะของนักการแพทยยคุ โบราณของอหิ รานจงึ ควรไดร บั การยกยองสรรเสรญิ ” (32) คุณสมบัตอิ ีกสองประการของผักกาดหอม ไดถ กู อธบิ ายไวในคาํ พดู ของทา นศาสดามฮุ ัม มัด (ศ็อลฯ) ซึ่งทา นกลา ววา “แทจ ริงผกั กาดหอมจะทาํ ใหเ กิดอาการงว งนอน และจะชว ยยอย อาหาร” (33) “เน่ืองจากปจจบุ ันมนุษยประสบกับความทุกขยากตา งๆ นานา จงึ ทําใหร ะบบประสาท ออ นแอและเมอื่ ยลา จงึ จาํ เปน ตองหายากลอ มประสาท (ทไี่ มอนั ตราย) เพอ่ื กลอ มประสาทของ พวกเขา เพอ่ื ขจัดความเมือ่ ยลา ใหห มดไปและทาํ ลายความคดิ ทฟ่ี งุ ซานตา งๆ ทท่ี ําใหนอนไมห ลับ ดว ยเหตดุ งั กลา วน้ที าํ ใหมนษุ ยเราหนั ไปพง่ึ ยาเม็ดท่อี นั ตรายตางๆ เพอื่ ตอสกู ับยาเมด็ ท่อี นั ตรายเหลา นี้ ไมม ียาใดๆ ทีจ่ ะดียิ่งไปกวาผกั กาดหอม เนอื่ งจาก มนั เปน ยากลอ มประสาททีไ่ มมอี นั ตรายใดๆ และผูท่ตี ดิ ยาเมด็ จําพวกนห้ี รือแมแตผ ทู ่ีตดิ ยาเสพตดิ ทั้งหลาย หากพวกเขาไดด ืม่ นํ้าหัวผกั กาดหอม 1 แกว ในขณะปวดหวั เน่อื งจากอาการมนึ เมาหรอื การติดยาดงั กลา ว มนั จะชว ยขจัดอาการตดิ ยาใหห มดไปไดโดยไมจ ําเปน ตองดม่ื มนั ตลอดไป (34) ผกั กาดหอมมคี ณุ สมบัตใิ นการบรรเทาอาการของผทู ีม่ อี ารมณฉนุ เฉียว กระวนกระวายและกลัด กลมุ ใจ ถา หากรับประทานผักกาดหอมจะทําใหพ วกเขานอนหลบั สนทิ ‘ญาลีนุส’ นกั การแพทยผยู ง่ิ ใหญไ ดกลาววา ในชว งของวยั ชรา เขาตอ งประสบกบั อาหาร นอนไมห ลบั แตดว ยการรบั ประทานผกั กาดหอม ทําใหเ ขานอนหลบั ไดอยางสนิทในยามค่าํ คืน ผทู ่ี ประสบกบั การนอนไมหลบั อาการเตนอยางรนุ แรงของหวั ใจและอาการปวดประสาทตางๆ พวก เขาจําเปน จะตองรับประทานผักกาดหอมกบั อาหารมอ้ื คาํ่ ของตน หรือมิเชนนนั้ ในทกุ ๆ คนื กอ น นอน เขาจะตอ งดื่มนาํ้ ตม ผกั กาดหอมปรมิ าณ 60 กรมั ตอนาํ้ 1 ลติ ร” (35) ในเรอื่ งเกย่ี วกบั การยอ ยอาหาร ผกั กาดหอมถอื วาเปน สว นหนง่ึ จากสงิ่ ทใ่ี หผ ลดเี ยย่ี มท่สี ดุ “ผักกาดหอมจะทาํ ใหการยอ ยอาหารเปน ไปอยา งงายดาย และจะทาํ ใหก ารหล่ังนํา้ ยอย ของกระเพาะอาหาร ตบั และลาํ ไสตา งๆ เปนไปอยา งมรี ะบบ” (36) (32) คอบ วา ครู อ ก, หนา 205. (33) บฮิ ารุล อนั วาร, เลม ท่ี 66, หนา 239. (34) คอบ วา ครู อ ก, หนา 206. (35) ซับซีฮอ วา มีเวฮฮอเย ชะฟาบคั ช, หนา 68. (36) คอบ วา ครู อ ก, หนา 208.
“ผกั กาดหอมจะดับอาการออ นเพลยี ของสมอง จะชวยบาํ รงุ กาํ ลงั ใหแ กก ระเพาะอาหารท่ี เฉ่อื ยชา และจะเยยี วยารกั ษาตบั ของผปู ว ย อกี ทง้ั ยงั จะชว ยรักษาอาการทอ งผูกและโรครมู าตสิ ซึม” (37) “ผักกาดหอมชว ยใหเ จรญิ อาหารอยา งดเี ยย่ี ม ซงึ่ ตองรับประทานมนั กอนอาหารเสมอ ทั้งน้ีเนื่องจากมันเปน อาหารท่ยี อ ยงา ย มนั จะผานทางเดนิ ของระบบการยอ ยอาหารและจะเปด ทาง ใหแกอ าหารตา งๆ ท่ีจะรับประทานหลงั จากมนั แตถ า หากทานทง้ั หลายรับประทานผัดกาดหอม ตามปกติเหมอื นทคี่ นสว นใหญก ระทาํ กนั นนั่ คอื หลงั อาหาร อาหารตางๆ ท่ถี กู ยอ ยสลายอยา งไม สมบรู ณก จ็ ะถกู ขับออกมาภายนอก” (38) “สลดั ทีท่ าํ จากผักกาดหอมกเ็ ชน เดยี วกนั กบั สลดั ผกั อื่นๆ ทม่ี ันจะชว ยกระตุนความอยาก อาหาร ถา หากเคี้ยวสลดั ผักกาดหอมใหละเอียด เมื่อผสมผสานเขา กบั นํา้ ลายในปาก จะชว ยทาํ ให กระเพาะและลาํ ไสต า งๆ เกดิ ความแข็งแรง และจะชว ยบังคับตอมนา้ํ ยอ ยตา งๆ ใหห ลง่ั นาํ้ ยอยของ มนั ออกมาในปรมิ าณมาก มใิ ชแ คเพยี งเพือ่ ยอยผกั กาดหอมเทา นนั้ แตเพื่อจะชว ยในการยอ ย สลายอาหารตา งๆ ทีจ่ ะรบั ประทานตามหลังไป” (39) กรั รอษ (ตนกระเทยี ม) ‘กรั รอษ’ (Leek) เปนพชื จําพวก Allium porrum (คลายตนหอม) เปนผกั ทีน่ า รบั ประทาน ชนดิ หนงึ่ ซงึ่ ไมม ีลําตน ใบของมันมลี ักษณะยาวและโคง งอเล็กนอ ย จะใชร บั ประทานดบิ ๆ และ เชน เดยี วกนั สามารถใชป รงุ เปนแกงผกั ได ในภาษาเปอรเ ซยี เรียกมนั วา ‘ตะเรฮ’ หรือ ‘กันดินา’ กรั รอษเปน ผกั ทมี่ คี ุณคาอยา งหนงึ่ ซง่ึ ถอื เปน สว นหน่ึงจากอาหารของบรรดาผูนาํ ศาสนา ในรวิ ายะฮ (คํารายงาน) บทหนึ่งไดกลา ววา “ทา นอมีรลุ มอุ มินนี (อ.) มักจะรบั ประทานกรั รอษกบั เกลือปนเสมอ” (40) ชายผหู นง่ึ ไดก ลาววา “ฉันเหน็ ทา นอมิ ามมซู า กาซิม (อ.) ถอนตน กรั รอษและลางมนั ดวย นํา้ ตอจากน้ันทา นไดรับประทานมนั ” (41) คุณประโยชนข องกรั รอษนน้ั มีมากมาย โดยเฉพาะอยา งยิ่ง มผี ลอยา งมากในการรกั ษา ริดสดี วงทวาร (37) อซั รอร ครู อกีฮอ, หนา 167. (38) ซบั ซฮี อ วา มีเวฮฮอเย ชะฟาบคั ช, หนา 66-67. (39) ซบั ซีฮอ วา มีเวฮฮอเย ชะฟาบคั ช, หนา 66-67. (40) ซะฟน ะตลุ บิฮาร, เลม ที่ 2, หนา 476. (41) บิฮารุล อนั วาร, เลมที่ 66, หนา 204.
มผี ถู ามทานอมิ ามซอดิก (อ.) เก่ียวกงั คณุ ประโยชนข องกรั รอษ ทานกลา ววา “เจาจง รับประทานมนั เถดิ ! เพราะในกัรรอษนน้ั มคี ณุ ประโยชนสปี่ ระการคอื 1.ทาํ ใหปากมกี ล่ินหอม 2.ไล ลมในกระเพาะอาหาร 3.จะชว ยรกั ษารดิ สีดวงทวาร 4.ผทู ่ีรบั ประทานมนั เปน ประจาํ จะทําให ปลอดภยั จากโรคเร้อื น” (42) “กัรรอษมปี ระโยชนส าํ หรับโรคริดสีดวงทวารและลมตา งๆ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ในทอ ง จะชว ยใหเ จรญิ อาหาร และจะชว ยกระตนุ สญั ชาตญาณทางเพศ จะทําใหใ บหนา แจมใสและเพ่มิ ความสวยงาม และความออนละมนุ ใหก บั ผวิ พรรณ” (43) กรั รอษกเ็ ชน เดียวกับตนหอม เปนผกั ชนดิ หนงึ่ ซึ่งมคี ณุ สมบัตติ านทานการติดเชอ้ื ดวยเหตุ น้ีเองมนั จงึ ชวยทาํ ความสะอาดกระเพาะอาหารท่มี ีกลนิ่ เหม็น และจะชว ยทําใหเจรญิ อาหาร และ เราทราบกันดวี า กลนิ่ ท่นี า รังเกียจจากปาก สว นใหญเ กิดจากความผิดปกตขิ องกระเพาะอาหาร ดงั นนั้ ในกรณที ่ีอาการติดเชื้อและการเนา บดู ในกระเพาะอาหารถกู ขจดั ไปปากก็จะมกี ลนิ่ หอมไป ดวย แตสําหรับกรั รอษน้นั มกี ลน่ิ เฉพาะของมนั และใครกต็ ามทร่ี ับประทานมันปากของเขากจ็ ะ มีกลิ่นหอมของมัน จากสาเหตดุ ังกลา วนจี้ งึ เปนไปไดวา บางคนอาจจะรสู ึกราํ คาญจากกลน่ิ ของกัร รอษ ดว ยเหตนุ ้ที า นศาสนทตู แหง อัลลอฮ (ศอ็ ลฯ) จึงกลา วไวใ นฮะดษี บทหนึ่งเกี่ยวกบั กรั รอษวา “ถา หากผูใดรบั ประทานมนั …ดงั นน้ั จงอยาออกไปมัสยิด ทง้ั นเี้ น่ืองจากมนั จะสรา งความ รําคาญใหแ กผ ูท่ีนง่ั รว มกบั เขา” (44) สรปุ เนื้อหาจากสองคํารายงาน (ริวายะฮ) นี้ คาํ รายงานทหี่ นง่ึ กลา ววา “กัรรอษทาํ ใหกลนิ่ ปากหอม” และอกี คาํ รายงานหนง่ึ กลา ววา “มนั จะทาํ ใหม ีกลนิ่ ปาก” นั่นกค็ อื เนอื่ งจากกัรรอษมี คณุ สมบตั ิตอ ตานกลนิ่ เหมน็ เปน ธรรมชาติทีต่ ัวของมันเองยอมจะมกี ลิน่ ที่รนุ แรง และดว ยกล่นิ ดังกลา วนเ้ี องท่จี ะชว ยขจดั กล่นิ เหมน็ อืน่ ๆ ใหห มดไปจากปาก หวั หอมใหญ (Onion) ‘หวั หอมใหญ’ เปนพืชลมลกุ ชนดิ หนง่ึ มลี ําตนเล็กและกลวง ไมม ใี บ หวั ของมนั มขี นาด ประมาณหวั บที รูท (Beetroot) มีลักษณะเปนเปลือกซอนกนั หลายชนั้ จะนํามารับประทานและใช ในการปรงุ อาหารดว ยเชนกนั (42) บิฮารลุ อนั วาร, เลมที่ 66, หนา 200. (43) ซะบอเน คูรอกีฮอ, หนา 224. (44) บฮิ ารลุ อนั วาร, เลม ท่ี 66, หนา 200.
“หอมใหญมวี ติ ามนิ เอ, วิตามินบ1ี , วติ ามนิ บ2ี , วติ ามนิ บี12, วติ ามนิ พี และวิตามนิ ซี” (45) “หอมใหญน อกจากจะมีวิตามินตา งๆ แลว ยังมธี าตุเหลก็ แคลเซียม ไอโอดนี ซลิ คิ อน และน้ําตาล ซง่ึ จะดูดซมึ เขา สรู างกายโดยตรง และไมเปน อันตรายสําหรับผปู ว ยโรคเบาหวาน โดย รามแลว ธาตตุ า งๆ ทมี่ อี ยใู นหวั หอมใหญม ดี ังนี้ นาํ้ 70-80 เปอรเซน็ ต, นาํ้ ตาล 2-6 เปอรเ ซน็ ต, สารอาหารตางๆ ท่ีมีไนโตรเจน 1-2 เปอรเซ็นต, ข้เี ถา 0.5-0.8 เปอรเซ็นต, ไขมัน 0.1 เปอรเซน็ ต, สารอาหารตางๆ ทไ่ี มมไี นโตรเจน 8- 20 เปอรเซ็นต, นา้ํ มนั Essence 0.016 เปอรเ ซน็ ต ในป 1917 ไดคนพบการมอี ยขู อง Antibiotic (สารปฏิชวี นะ) หนงึ่ ในหวั หอมใหญ ซึง่ ในชวงเริ่มแรกใหชือ่ มันวา “…………..” (46) ในคาํ รายงาน (รวิ ายะฮ) ตา งๆ ของอิสลาม ไดอธิบายถึงคุณคา ตางๆ ของหวั หอมใหญไ ว ดังตวั อยา งตอ ไปนี้ ทานอมิ ามซอดกิ (อ.) ไดกลาววา “หัวหอมใหญจ ะชว ยขจดั ความออ นเพลยี จะทาํ ให ประสาทเขมแขง็ เพมิ่ พละกาํ ลงั ในการเดนิ จะเพ่ิมนาํ้ อสจุ ิ และจะขจดั อาการไขต ัวรอ น” (47) “เน่อื งจากหวั หอมใหญม สี ารฟอสฟอรัส จึงทาํ ใหง านตา งๆ ท่ีเก่ยี วกบั การใชค วามคิดน้ัน เปน เรอื่ งงาย ดวยเหตุนจี้ งึ ถูกแนะนาํ สําหรบั บรรดานกั คดิ และบคุ คลท่ที าํ งานใชความคิดทง้ั หลาย ในกรณขี องความออนเพลยี และความเม่อื ยลา ทางรา งกายและประสาท หวั หอมใหญม ปี ฏกิ ิริยาใน การเพมิ่ พลงั ไดอ ยางฉับไวและแบบปจจุบนั ทนั ดว น สาํ หรบั เดก็ ท่ีมกี ารเจรญิ เตบิ โตชาและคนชราทม่ี ีรา งกายออนแอ และตอ งการใหเ กดิ ความ แข็งแรง หัวหอมใหญนับวาเปนอาหารทใ่ี หป ระโยชนและเพ่มิ ความแขง็ แรง หวั หอมใหญเปร่ยี มไป ดวยธาตซุ ลิ ิคอน ธาตดุ งั กลา วมปี รมิ าณมากทเี ดยี วที่มีความจาํ เปน สาํ หรับรางกายในการซอมแซม และรักษากระดูกและเสนเลอื ดใหญ หากทา นทงั้ หลายรูสกึ ออนเพลีย เบ่อื อาหาร มรี อยยนบนใบหนาและใบหนา เหลอื งซีด ดังนน้ั จงตมหวั หอมใหญท่ีสมบรู ณ 1 หวั โดยผาเปน 4 สวน ใสลงในนาํ้ ปรมิ าณสามแกวชา ตม ให สุกใหเ หลอื นาํ้ เพียง 1 แกว แลว ดืม่ กอนอาหารเชา ” (48) ในคาํ รายงานขา งตนของทา นอิมามซอดกิ (อ.) ทก่ี ลา ววา หวั หอมใหญจะขจัดอาการไขต วั รอน แตม ิไดก ลา วชื่อของไขเฉพาะเอาไว แตบ รรดานักวชิ าการไดเ ขยี นคุณสมบัติในการขจดั อาการ ไขตัวรอนของหัวหอมใหญเชนนวี้ า (45) เพเซชก คอเนวอเดฮ, หนา 90. (46) เอาวะลีน ดอนิชกอฮ, เลมท่ี 9, หนา 180. (47) วะซาอลิ ชุ ชีอะฮ, เลมที่ 17, หนา 167. (48) ซับซีฮอ วา มีเวฮฮ อเย ชะฟาบัคช, หนา 94.
“หวั หอมใหญจ ะใชในผูปวยท่ีเปนโรค ‘ชารบอ็ น’ (Charbon) (49) ซง่ึ เปน โรคตดิ เช้ือชนิด หนง่ึ เช้ือของมันโดยท่วั ไปจะเขา สูม นษุ ยโ ดยการกดั ของแมลงวนั ชนดิ หนงึ่ โดยเฉพาะ ถา หากเอา ฝาเทา ของผปู ว ยวางลงบนยาพอกท่ไี ดจ ากการผสมหวั หอมใหญก บั กระเทยี มทบี่ ดแลวเขา ดว ยกัน อาการของผูปว ยกจ็ ะหายไดโ ดยรวดเรว็ … ในชวงเริ่มแรกของอาการไขไ ทฟอยด ใหบ ดหัวหอมใหญป ริมาณ 3 กิโลกรมั แลวใชผ า หอ มนั ไวรอบเทาทง้ั สองขา งของผูปวยจนถงึ ขอ เทา การหอ หมุ ดงั กลาวจะทาํ ใหเ หง่อื ออกมาก และจะ ทําใหอาการไขข องผปู ว ยหยุดลง” (50) “หากทา นมไี ขต ัวรอนสงู และรสู กึ ทรุ นทุรายจากความรมุ รอ นของมนั ดงั นน้ั จงซอยหวั หอม ใหญใ หเ ปน ชนิ้ บางๆ จากนน้ั จงใสมนั ลงในภาชนะและตง้ั ไวบ นไฟ และจงคอยดวู า หัวหอมใหญน นั้ รอ นหรือยงั แตอ ยางปลอ ยใหไ หมเกรียมเปนสีนา้ํ ตาล และอยางใหร อ นจนถงึ ขน้ั ทาํ ใหร างกายของ ทานพอง เมอ่ื ความรอนไดท ่แี ลวจงนาํ มนั มาฟอกบนทอ งของผปู วย และเมือ่ หัวหอมใหญเ ยน็ ลงก็ จงเอามันออก การพอกหวั หอมใหญใ นลักษณะนจ้ี ะทาํ ใหอ าการไขต ัวรอ นของทา นหยุดลงได” (51) ในคาํ รายงาน (ริวายะฮ) อกี บทหน่งึ ผรู ายงานฮะดษี ไดก ลา ววา ฉนั ไดยนิ ทา นอมิ ามซอดิก (อ.) กลา ววา “ทานทงั้ หลายจงรับประทานหวั หอมใหญ เพราะแทจ ริงหวั หอมใหญม คี ณุ ประโยชน สามประการคอื จะชวยใหป ากมีกลนิ่ หอม จะทาํ ใหเ หงอื กแข็งแรง และจะชวยเพม่ิ อสจุ ิและการมี เพศสมั พนั ธ” (52) เน่อื งจากกล่ินเหมน็ ของปากเปนผลพวงมาจากการเนา บดู และกล่นิ เหม็นภายใน หวั หอม ใหญคอื ศตั รตู ัวฉกาจของกลนิ่ เหม็น ดว ยเหตนุ หี้ วั หอมใหญจึงนับวา เปน ตัวทาํ ลายกลิ่นเหมน็ และ โดยธรรมชาติเม่อื กล่ินของปากหมดไป กลน่ิ หอมอนั เปน ธรรมชาติของมันกจ็ ะปรากฏขน้ึ แมวาโดย ตัวของหวั หอมใหญจ ะมกี ลน่ิ ท่ีรนุ แรงก็ตาม “หวั หอมใหญเปน อาหารอีกชนิดหน่งึ ท่ีตา นทานเชือ้ โรค เปนสารอาหารท่ีตอตา นกลิ่นเนา บูด และมันจะทําลายเชอื้ โรคตางๆ ของเนื้อใหห มดไป หัวหอมใหญจะทาํ ลายกลน่ิ เหม็นและภาวะ เนาบูดในระบบการยอยอาหารและทางเดินหายใจ” (53) (49) ‘โรคชารบ็อน’ (Charbon) มีช่อื เรยี กอกี อยา งหน่งึ วา ‘โรคแอน็ แทร็กซ’ (Anthrax) ตามการใหความหมายของ ดร.วิทย เทีย่ งบูรณธรรม จากหนังสอื ‘A NEW ENGLISH THAI DICTIONARY’ หนา 230, 231 (ผูแ ปล). (50) ซับซีฮอ วา มีเวฮฮ อเย ชะฟาบคั ช, หนา 94. (51) นุซเคฮฮ อเย ชะฟาบคั ช, หนา 115. (52) บฮิ ารลุ อันวาร, เลมท่ี 66, หนา 246. (53) อิอย าซ ครู อกฮี อ, หนา 193.
“เน่อื งจากหวั หอมใหญม กี รดกาํ มะถัน มันจะชว ยตอ ตานการตดิ เช้ือของเลือด กาํ มะถนั ของหัวหอมใหญเมื่อเขา สเู ลอื ดและไปถึงปอด มนั จะตอ สกู บั ภาวะการติดเช้ือตา งๆ ของระบบ ทางเดินหายใจ ตวั อยา งเชน อาการหืดหอบ คออกั เสบ หลอดลมอกั เสบ ไขห วัดใหญ และอ่นื ๆ เนือ่ งจากหวั หอมใหญม ีธาตไุ อโอดนี มนั จะตา นทานโรคลักกะปดลกั กะเปด และจะชว ย เยยี วยารักษาโรคตา งๆ ทเ่ี กย่ี วกบั ระบบทอ น้ําเหลือง ตวั อยางเชน การอักเสบของตอมตา งๆ แผล อักเสบมีนาํ้ หนองอยา งรนุ แรง อาการปวดแสบปวดรอ นตางๆ ภายใตผ วิ หนังและอนื่ ๆ” (54) ‘ลกั กะปด ลกั กะเปด’ (Scorbut) เปน ชือ่ ของโรคชนดิ หนง่ึ หมายถงึ ภาวะเลือดไมจบั เกลด็ ผลของมนั คือเหงือกจะออ นแอและมีเลือดไหล เน่ืองจากหวั หอมใหญม วี ิตามนิ ซี และวติ ามนิ ซีนเ่ี อง ทีจ่ ะชว ยตา นทานโรคลกั กะปด ลกั กะเปด ดงั นน้ั มนั จะขจัดภาวะเลอื ดไมจบั เกลด็ ใหห มดไป สว นหนงึ่ จากคุณสมบัติของหัวหอมใหญซ งึ่ มีปรากฏในคํารายงาน (ริวายะฮ) คอื ชว ยบาํ รุง พลังทางเพศและเพม่ิ นาํ้ อสุจิ “หัวหอมใหญม ฮี อรโมน (Hormone) และไดแดสเทส (Diastase) ซ่ึงจะชว ยบาํ รงุ ตอ ม นํ้าตา ตอมเพศและตอ มน้าํ ยอ ย” (55) “หวั หอมใหญม ีธาตุฟอสฟอรัสซง่ึ เปน อาหารของสมอง และเปนตวั กระตนุ อารมณท างเพศ หัวหอมใหญม ธี าตุแคลเซียม จะชว ยทาํ ใหโ ครงกระดูกและฟนแขง็ แรง และจะยบั ย้งั จากอาการ กระดูกออน หวั หอมใหญจะเพิ่มความอยากอาหารและอารมณท างเพศ” (56) ดังท่เี ราไดก ลา วผานไปแลววา หัวหอมใหญจ ะชวยตา นการติดเชอ้ื ดว ยเหตนุ ้เี ราจะพบใน คําแนะนาํ ของทานอิมามซอดิก (อ.) ซง่ึ ทา นกลา ววา ทานศาสนทตู แหงอัลลอฮ (ศ็อลฯ) ไดกลา ววา “เมือ่ ทานทงั้ หลายเขาสูเ มอื งใดกต็ าม ดังนนั้ จงรับประทานหวั หอมใหญข องเมอื งนนั้ มนั จะปองกนั โรคระบาด (อหวิ าตกโรค) ของเมอื ง น้นั จากพวกทา น” (57) “หัวหอมใหญจ ะชว ยทาํ ใหระบบการยอยอาหารและทางเดินหายใจสามารถตา นทานการ ติดเชอื้ ได และจะปองกนั โรคทอ งรวงและโรคหวัด หวั หอมใหญคอื สารอาหารทต่ี อ ตา นการติดเชื้อ และจะทาํ ลายเช้ือโรคตา งๆ ของเนอื้ ใหห มดไป ซ่ึงไดรบั การทดลองและพิสูจนแ ลววา หวั หอมใหญ จะทําใหพ ษิ ของเน้ือทเี่ ก็บไวน าน (เนื้อเกา ) ซงึ่ จะทาํ ใหเ กดิ อาการทองรว งไดน น้ั ลดนอ ยลงไป และ จากพน้ื ฐานดงั กลา วนี้ ผทู ่รี บั ประทานอาหารนอกบานจะตอ งไมหลงลมื หวั หอมใหญ” (58) (54) ซบั ซฮี อ วา มีเวฮฮ อเย ชะฟาบคั ช, หนา 94. (55) ออิ ยาซ คูรอกีฮอ, หนา 192. (56) อซั รอร ครู อกีฮอ, หนา 66. (57) วะซาอลิ ุช ชีอะฮ, เลมท่ี 17, หนา 169. (58) ออิ ยาซ ครู อกฮี อ, หนา 193.
เราทราบดวี า สว นหนงึ่ จากลกั ษณะอาการของอหวิ าตกโรคคอื อาการทอ งรวง และอาการ ทอ งรว งนน้ั เกดิ จากเชอ้ื โรคตา งๆ ในลําไส นกั โภชนาการทา นหน่งึ ไดแ นะนาํ การรบั ประทานหวั หอมใหญส าํ หรบั ผูเ ดินทาง โดยเฉพาะ บรรดาฮุจญาต (ผเู ดินทางไปประกอบพธิ ฮิ จั ญ) โดยกลา ววา “ผกั ทม่ี คี ุณคา ชนิดหนง่ึ ซง่ึ มวี ติ ามนิ บีตางๆ น่ันคอื หวั หอมใหญ ซ่ึงการรบั ประทานมนั ดิบๆ ไดถ ูกแนะนาํ ไวส าํ หรับบรรดาฮุจญาตท้งั หมด ทง้ั น้เี พราะนอกจากจะมวี ิตามนิ ตางๆ ที่มีประโยชน แลว ยงั จะชว ยทําใหระบบการยอยอาหารสะอาดและสามารถตา นทานการติดเชอื้ ดวยเหตนุ ก้ี ารมี หวั หอมใหญไวสําหรบั อาหารของบรรดาฮจุ ญาต จงึ นับวา มคี วามจาํ เปนอยา งยงิ่ ” (59) เทอรนิป (หวั ผกั กาด) ‘เทอรน ิป’ (Turnip) เปน พืชลมลุก มีรากสะสมอาหารเรยี กวา ‘หัว’ หวั เทอรน ปิ มีลกั ษณะ คลา ยกบั หัวแรดชิ (Radish) แตม เี ปลอื กสขี าวและหวั เลก็ กวา มีรสคอ นขา งหวานและเผ็ดเลก็ นอ ย หวั เทอรน ปิ เปน ที่รจู ักกนั ในนามพืชผกั ฤดหู นาว ทั้งนเี้ นื่องจากหวั ตม สุกรอ นๆ ของมนั เหมาะสําหรบั อากาศหนาวเย็นของฤดหู นาว สารอาหารตางๆ ทพี่ บในหวั เทอรน ปิ ไดแ ก “วติ ามนิ เอปรมิ าณเล็กนอ ย วติ ามินบีและวติ ามนิ ซีในปรมิ าณท่ีมากกวา วิตามนิ บี2 และ วติ ามนิ พพี ใี นปรมิ าณทนี่ อ ยกวา หัวเทอรนปิ ทม่ี สี ีอมเขยี วจะมวี ิตามนิ เอ วติ ามินบี และวติ ามนิ ซีในปรมิ าณมาก สารอาหาร อนื่ ๆ ของหวั เทอรน ิปท่นี อกเหนือไปจากวติ ามินตางๆ นนั้ ไดแก น้ําตาล 7.5 เปอรเ ซน็ ต, คารโบไฮเดรต 1.30 เปอรเซน็ ต, แอลบูมีน 0.010 เปอรเ ซ็นต, ไขมนั 0.012 เปอรเซ็นต, ไอโอดนี 0.024 มิลลกิ รมั ตอ 1 กิโลกรมั และยงั มแี คลเซียม โปรแตสเซยี ม แมกนีเซียม และยังมีธาตุเหลก็ ปริมาณหน่งึ ในรปู ของ ฟอสเฟตและคลอไรดอ ยใู นปริมาณเลก็ นอ ย ธาตุเกลือแรท ง้ั หมดของมันมี 0.85 กรัม จากปริมาณ 100 กรัม และทุกๆ 100 กรัม ให พลงั งาน 36 แคลอรี หวั เทอรนิปมนี าํ้ ตาลเซลูโลสประมาณ 1.5 กรัม ใน 1 กิโลกรมั ” (60) และเนอื่ งจากมีนาํ้ ตาลเซลโู ลสน่ีเอง การรับประทานหวั เทอรน ิปจงึ ทาํ ใหมนุษยอ ิ่มและ ไดร ับพลงั งานท่ีจําเปน แตไ มท ําใหอวน และไมม ีอนั ตรายใดๆ สําหรับผทู เี่ ปนโรคเบาหวาน (59) บรั นอเมฮ ฆอซออี ซัร ซฟุ เรฮ, หนา 68. (60) เอาวะลีน ดอนิชกอฮ, เลมที่ 10, หนา 140.
ธาตแุ อลบมู ีนของหัวเทอรนปิ มปี ระโยชนต อประสาทและสมอง จะชวยเพ่มิ ความจาํ และ ใหพลงั งานแกป ระสาท นอกเหนือจากสารอาหารตา งๆ ท่กี ลา วไปแลว ในหัวเทอรน ปิ ยงั มอี าเซนคิ (Arsenic) และรบู ิเดยี ม (Rubidium) อีกปริมาณหนง่ึ หวั เทอรน ิปเปนอาหารชนดิ เดียวเทา นนั้ ซึ่ง สารอาหารท่มี คี ุณคาสองชนดิ รวมอยใู นตวั เดียวกนั รูบเิ ดียมเปน ธาตทุ ่มี คี ณุ ประโยชน ซงึ่ เมอ่ื มันปรากฏอยูในพืช (ผักและผลไม) ชนิดใด มัน จะทําใหส งิ่ นน้ั มีประโยชนด วย จะชว ยเพ่มิ คุณสมบัตขิ องสารอาหารนนั้ เปนหลายเทา หวั เทอรน ิปมีคณุ สมบตั ิมากทีเดียว ซงึ่ กพ็ บไดใ นผกั ชนดิ ตางๆ ไมม ากกน็ อย แตมันมี คุณสมบัตเิ ฉพาะประการหนง่ึ ท่ีผกั หรอื ผลไมช นดิ อ่ืนนอยนกั จะมเี หมือนมัน บรรดาทา นผนู ําแหง อิสลามไดเปดเผยใหรถู ึงประเดน็ น้มี านาน นบั ต้ังแตอดตี อันไกลโพน และไดอ ธบิ ายมนั ไวดวยสํานวนคาํ พดู ตางๆ 1.ทา นอิมามซอดิก (อ.) ไดก ลาววา “ไมมีบุคคลใดนอกเสียจากวา ในตัวเขานนั้ จะมเี สน ใย แหงโรคเร้อื น ดงั นน้ั พวกทา นท้ังหลายจงรับประทานหวั เทอรน ปิ ในชว งฤดูของมนั เถดิ มนั จะขจดั โรคเรื้อนใหหา งไกลจากพวกทา น” (61) 2.ทานอมิ ามมซู า กาซมิ (อ.) ไดกลาวตอ อะลี บนิ มซุ ัยยิม วา “เจาจงรบั ประทานหวั เทอร นิปเถิด! เพราะไมมีบุคคลใดนอกเสยี จากวาในตวั เขาจะมสี ายใยแหงโรคเรอื้ น (62) และแทจริงแลว การรบั ประทานหวั เทอรน ิปจะสลายมนั ใหห มดไป” ชายผนู นั้ ไดกลาววา ฉนั ไดถ ามวา “ขา พเจาจะกนิ ดบิ หรือสุก?” ทา นตอบวา “ท้งั สองอยา งจะมีประโยชน” (63) เราจะมาดผู ลทางดานวทิ ยาศาสตรบ างวา ในหวั เทอรน ิปมีธาตอุ ะไรอยูท ีท่ าํ ใหโ รคเรือ้ น สลายตวั ?! “เนื่องจากมธี าตอุ ารซานกิ ซง่ึ เปน ธาตทุ ่ีมคี ณุ คา ดงั นน้ั การรบั ประทานหวั เทอรน ิปจะชวย ปองกนั โรคทรี่ า ยแรงที่สุดได หมายถงึ โรคเรอื้ น โรคเรอ้ื นเปนโรคทเ่ี กา แกโรคหนงึ่ สาเหตทุ ี่แทจ รงิ (61) ซะฟน ะตุล บิฮาร, เลม ท่ี 1, หนา 713. (62) โรคเรือ้ นเปนโรคตดิ ตอชนิดหนึง่ เชือ้ ของมนั ถูกคน พบในป 1873 จะเกดิ ข้นึ กับคนหนุม สามมากกวา นับจาก วนั ทเี่ ชือ้ โรคเขา สรู า งกายจนถงึ วันทโี่ รคแสดงอาการ โดยเฉลีย่ แลวเปน ระยะเวลาประมาณ 7 ป และจาก ระยะเวลา 2 เดือน ถึง 30 ป ก็จะมอี าการแตกตางกนั ไป หนทางในการตดิ ตอคือเยื่อบตุ า งๆ ของทางเดนิ หายใจ หรือสะเกด็ จากผวิ หนงั ทหี่ ลุดออกมา เนอ่ื งจากมันคอื โรคติดตอ ดงั นั้นทา นศาสนทูตแหงอัลลอฮ (ศอ็ ลฯ) จึงไมยืน ใกลก ับผูท่ีเปนโรคเรอื้ นในขณะสนทนา มผี ูกลา ววา “ทา นรังเกยี จทีจ่ ะสนทนากับผูเปนโรคเร้อื น นอกจากจะตอง มรี ะยะหา งระหวางเขาประมาณหนง่ึ ชวงแขน” และทานยงั ไดก ลา ววา “จงหลีกหนจี ากผูเปนโรคเรื้อนด่ังทานหนี จากเสือ” (เอาวะลีน ดอนชิ กอฮ, เลมท่ี 1, หนา 70) (63) ซะฟนะตุล บิฮาร, เลมท่ี 1, หนา 147.
ของมันเกดิ จากความยากจนขดั สนและการขาดสารอาหารตา งๆ และกรณที โ่ี รคหรือเชื้อโรคมนั จะ ตดิ ตอ และแพรเชอ้ื ไปสบู คุ คลอืน่ ไดน น้ั คอื ในชวงที่บคุ คลดงั กลาวอยใู นภาวะการขาดสารอาหาร อยา งเชน อารเ ซนคิ และฟอสเฟต หากมิฉะน้ันแลว มนั ไมส ามารถตดิ ตอ ได” (64) หวั เทอรนิปยงั มคี ุณสมบัตอิ น่ื ๆ อกี เชน กนั “นอกจากวติ ามนิ ตา งๆ และสารอาหารทม่ี ีคณุ คา ทัง้ หลายซ่งึ ไดก ลา วไปแลว ในหวั เทอร นิปยงั มสี ารประกอบอยา งหนงึ่ ทชี่ วยฆาเชอื้ ได ซ่งึ มนั จะทาํ ลายเชื้อโรคและไวรัสจํานวนมากลงได และบนพนื้ ฐานดังกลา วน่ีเอง หัวเทอรน ปิ จึงชวยเยียวยารักษาโรคหวดั และน้ํามกู ไหล และจะชว ย ปอ งกนั จากการเปน โรคดงั กลา ว หวั เทอรนปิ จะชวยขับเสมหะและรักษาอาการไอ โดยเฉพาะอาการไอแหง ๆ จะทําให หนา อกและทอ งโลงสบาย และจะใชใ นการรักษาอาการอกั เสบในลําคอ อาการหืดหอบและไอกรน หวั เทอรน ปิ จะเพิม่ พลงั ใหแกส ายตา จะปองกนั โรคมองไมเ หน็ ในเวลากลางคนื และชว ยเพมิ่ สมรรถภาพทางเพศ หวั เทอรนิปมบี ทบาทสําคญั ในการบํารงุ รงั ไขแ ละอวยั วะสบื พนั ธุ จะบํารุงมดลกู ใหแ ข็งแรง เพ่อื ทะนถุ นอมทารกนอ ยใหม ีความสมบรู ณและแขง็ แรง เตรียมพรอมสตรสี ําหรบั การตัง้ ครรภ หวั เทอรน ปิ จะทาํ ใหถ ายปสสาวะมาก และดวยสาเหตดุ งั กลา วจากผลของการมสี ารกาํ มะถันมาก จงึ ชวยขับนว่ิ ในไตและกระเพาะปส สาวะได” (65) บีท (Beet) ‘บที ’ เปน พชื ลม ลุกชนดิ หนง่ึ มีใบกวา ง หัวของมันเรียกวา ‘บที รูท’ (Beetroot) มรี ปู ทรง คอ นขา งกลมหรือรปู ทรงกรวย หวั มีขนาดใหญ บที มี 3 ชนิด คือ บีททรี่ ูจกั กนั โดยทว่ั ไป บที ฝร่งั และ บีททใ่ี ชผลติ นา้ํ ตาล หัวบที ทว่ั ไปนนั้ มีขนาดคอนขางโตและมีรสหวาน จะรบั ประทานขณะสุก และหวั ดบิ จะถกู นาํ ไปเลีย้ งสัตว หวั บที ฝร่ัง ผวิ และเนอ้ื ของมนั มีสีแดงมวงและมรี สไมห วานมาก จะถกู นาํ ไปใชใ น การปรุงอาหารบางอยา ง สว นหวั บที นาํ มาใชใ นการผลติ นาํ้ ตาล มรี ปู ทรงกรวยและมีความยาวลกึ ลงไปในพนื้ ดนิ ถงึ 30 เซนติเมตร หรอื มากกวา น้นั ผิวและเน้ือของมนั มสี ีขาว มธี าตุนํ้าตาลอยโู ดย เฉลย่ี ประมาณ 14-18 เปอรเ ซน็ ต และจะถูกนาํ เขาสูโรงงานเพ่อื ใชผ ลติ นาํ้ ตาล (64) ซะบอน คูรอกฮี อ, หนา 240. (65) ซะบอน ครู อกฮี อ, หนา 240.
“หัวบที เปรยี่ มไปดวยวิตามนิ เอ บี และซี และมีนาํ้ ตาลปรมิ าณมาก มีธรรมชาติเย็นและ ชว ยเจริญอาหาร และใหพ ลงั งานพอสมควร มีผลทางกาํ มนั ตรังสี (Radioactivity) ซ่งึ ปฏิกริ ิยาของมันทม่ี ีตอระบบการยอ ยอาหารของ รางกายนน้ั นบั วามีความสาํ คญั มาก” (66) จากบรรดาคาํ รายงาน (รวิ ายะฮ) ของอสิ ลามทาํ ใหรวู า ใบของบีทนนั้ มคี ุณคาทางอาหาร มากกวา หัวบที และอสิ ลามใหค วามสําคญั ตอ ใบของมันมากกวา ทานอิมามริฎอ (อ.) ไดกลา ววา “ทานทั้งหลายจงใหผ ูปว ยของพวกทา นรับประทานบีท หมายถงึ ใบของมัน เพราะแทจ ริงในใบของบีทคือการเยยี วยารักษา และมนั ไมมพี ิษภยั และผลราย ใดๆ และมันจะชวยทาํ ใหผปู ว ยหลบั สนทิ ” (67) “ส่งิ ที่ดที ีส่ ุดและมีคุณคา มากที่สดุ ของบที คือใบของมัน หลงั จากน้ันก็คือกา นใบของมนั และหลงั จากน้นั กค็ อื หัวของมัน…ใบแกน น้ั เหนียวและยอ ยยาก แตด วยการปรงุ ใหส กุ ความเหนยี ว และความแขง็ ของมนั กจ็ ะหมดไป ความเย็นของใบออ นๆ นนั้ มมี าก แตม คี ุณคา ทางอาหารนอย กวา แตในทางกลับกนั มนั เปน ยาที่ดีมาก” (68) “บที มีคณุ ประโยชนเปน ยาระบาย ขับปส สาวะ และทาํ ใหเ กดิ ความสบายตัว” (69) ทานอิมามรฎิ อ (อ.) ไดก ลา ววา “บีทจะทาํ ลายสายใยของโรคเรือ้ นใหห มดไป และไมมสี ิ่ง ใดที่เขาสทู องของผูป วยทเี่ ปน โรคเยือ่ หมุ ปอดอกั เสบที่จะมีประโยชยม ากไปกวาใบบที ” (70) “เนือ่ งจากบที มธี าตุอารซ ะนคิ ยูเรเนยี มและรบู ีเดยี ม จงึ ชว ยปอ งกนั จากโรคเรื้อน ในชวง เชาใบของบที จะไมม ีรสชาติ แตในชวงเยน็ จะมรี สหวาน ทง้ั นี้เนือ่ งจากในชว งกลางวนั มนั จะสรา ง นํา้ ตาลดว ยแสงจากดวงอาทิตย และในชว งกลางคนื นา้ํ ตาลดงั กลาวจะคอยๆ ถกู สง ไปสะสมไวใ น หัวของมนั ดว ยเหตนุ เี้ องหากเด็ดใบของมนั ในตอนเชา ตรแู ละรับประทาน มนั จะเปน ผกั ท่ใี หค วาม เย็นอยา งหน่ึง และในชว งพลบคาํ่ ความเยน็ ของมนั จะลดนอ ยลง” (71) ในอีกคาํ พดู หน่ึงของทา นอมิ ามริฎอ (อ.) ถอื วาบที นน้ั ใหคุณประโยชนส าํ หรับโรคหลาย ชนดิ และยงั ไดกลา วอีกวา มนั เปน พืชท่ีจะชวยทาํ ใหกระดูกแข็งแรงและชวยเพ่มิ เน้ือในรา งกาย (66) ซบั ซฮี อ วา มีเวฮฮอเย ชะฟาบัคช, หนา 38. (67) วะซาอลิ ชุ ชีอะฮ, เลม ท่ี 17, หนา 157. (68) ซะบอน คูรอกีฮอ, หนา 56. (69) ซับซีฮอ วา มีเวฮฮ อเย ชะฟาบคั ช, หนา 39. (70) วะซาอลิ ชุ ชีอะฮ, เลม ที่ 17, หนา 39. (71) ซะบอน คูรอกฮี อ, หนา 55.
ทานอมิ ามริฎอ (อ.) ไดก ลาววา “เจา จงรบั ประทานบที เถิด! แทจ ริงมนั คอื พืชทีข่ ึน้ อยูตาม ชายฝงสวรรคฟ ร เดาซ ในมนั นน้ั มตี วั ยารกั ษาโรคตา งๆ จะทาํ ใหก ระดกู แขง็ แรงและจะสรางความ เจรญิ เตบิ โตใหแ กเ นือ้ ” (72) “บีทเปน ผักที่ใหพ ลงั งานสงู เนอื่ งจากมนี าํ้ ตาลธรรมชาตแิ ละธาตุแมกนีเซียมอยูม าก ธาตุ ท้งั สองมีคุณคา อยา งมากตอกระดกู และของเหลวในรา งกาย นอกจากนบี้ ที ยงั มีธาตุฟอสฟอรัสและ วติ ามนิ บอี กี ปริมาณหนึ่ง ซง่ึ ธาตทุ ้ังสองนจ้ี ะทําหนา ท่ีสาํ คัญในการบาํ รุงประสาท ยงิ่ ไปกวา นนั้ ใน บที ยงั มีวิตามนิ ซีปรมิ าณหนง่ึ และเน่อื งจากมวี ติ ามนิ ซนี เี่ องจงึ มีผลดตี อโรคตา งๆ ที่เกีย่ วกับระบบ ประสาท และแมแตโรคมะเร็งและวณั โรค บีทยงั มีธาตุรบู ีเดียม และเน่อื งจากธาตุดังกลาวมีคณุ สมบตั ิของกํามนั ตรังสี ซงึ่ จะสงผลดี อยางมากตอ ระบบการยอยอาหาร และดว ยเหตุผลดงั กลา วน่ีเองท่ีบรรดาแพทยจะใชบีทสําหรับผูท่ี มเี ลอื ดนอยหรอื ผูท่รี างกายขาดเกลอื แร” (73) เพอื่ ที่เราจะไดรับรถู ึงคณุ สมบัตติ างๆ ของหวั บที นาํ้ และใบของมันมากยง่ิ ขึ้นในการ เยียวยารักษา ดงั นนั้ จงมาดวู าบรรดานกั วิชาการดานโภชนาการในปจ จุบันไดก ลา วถงึ มนั ไว อยา งไร?! “หัวบที แมวา จะไมม ีคณุ สมบตั ใิ นการชว ยระบายทอ ง แตก ระนนั้ กต็ าม มันจะชว ยทําความ สะอาดทองและจะชว ยในการยอยอาหาร และจะรักษาอาการอักเสบของกระเพาะอาหาร นํา้ ตาลของหวั บที เปนส่ิงที่ไมด ีสําหรับผูป ว ยทเ่ี ปน โรคเบาหวาน แตในทางกลับกนั พระผู เปนเจา ทรงแกไ ขปรบั ปรงุ มัน หมายความวา พระองคท รงกาํ หนดยารักษาโรคเบาหวานไวในกา น แบะใบของมนั แตมีเง่ือนไขวาจะตอ งเด็ดมนั ในชว งเชา ตรู และผึ่งมนั ในรม ใหแ หง การรบั ประทานหวั บที สกุ จะชว ยเยยี วยารกั ษาอาการสน่ั เทา โดยเฉพาะอยางยิ่งในใบท่มี ีสี แดงของมัน และถา หากรับประทานมนั ดบิ ๆ กบั นา้ํ สม และเมลด็ ของตนมสั ตารด (Mustard) จะ ชวยขยายมา มและดับอาการอกั เสบของมัน หัวบที มปี ระโยชนสาํ หรบั อาการปวดหลัง กระเพาะ ปส สาวะ และโรคตางๆ ทเ่ี กยี่ วกบั ทวารหนกั หวั บที มปี ระโยชนสําหรับอาการอกั เสบของไต และมีธาตไุ นโตรเจน น้ําตาล เกลอื แร เชน แคลเซียมและธาตเุ หลก็ หวั บีทไมว า จะปรงุ สกุ หรอื ดิบจะชว ยบาํ รุงกาํ ลงั และแมว า มนั จะมนี าํ้ ตาล ถึง 17 เปอรเซน็ ต แตม นั กม็ ีธรรมชาตเิ ย็น และคณุ สมบตั ใิ นใบของมนั นน้ั มมี าก นํา้ ตมสกุ จะใช ประโยชนสาํ หรับบรรเทาอาการอกั เสบกระเพาะปส สาวะ ขจัดอาการทองผกู และโรคตา งๆ ท่ี เกีย่ วกับผิวหนงั ” (74) (72) วะซาอิลุช ชีอะฮ, เลม ที่ 17, หนา 159. (73) ซบั ซีฮอ วา มีเวฮฮอเน ชะฟาบคั ช, หนา 37. (74) ซะบอน คูรอกฮี อ, หนา 56.
การเ ดน เครส (Garden cress) ‘การเดน เครส’ เปนพืชลมลกุ ชนดิ หนง่ึ ทใี่ ชร บั ประทานเปน ผกั แตทางดา นคณุ คาทาง อาหารน้ันอาจจะมไี มม ากเหมอื นกบั ผกั ชนดิ อื่นๆ อยา งไรกด็ ีมันกม็ วี ิตามนิ เอและวิตามนิ บมี าก พอสมควร และมีวิตามนิ ซีในปริมาณที่มากกวา ในอสิ ลามไมถอื วามนั เปน สวนหนึง่ จากอาหารทน่ี า รงั เกยี จ (มักรูห) แตถือวา การ รบั ประทานผกั ชนิดน้ีในตอนกลางคืนจะเปนเหตนุ าํ ไปสโู รคเรือ้ นได สาํ หรบั ผทู ม่ี คี วามพรอมจาก การเปนโรคดังกลาว ทา นศาสดามฮุ มั มัด (ศ็อลฯ) ไดก ลาววา “ไมมบี า วคนใดที่ใชช วี ิตในยามคํ่าคนื โดยทีใ่ น ทอ งของเขามผี ักชนิดน้อี ยู นอกจากวา โรคเรอ้ื นจะกระพอื ปกโบยบนิ เหนือศีรษะของเขา (เหมอื น นกลา เหยือ่ ) จวบจนถึงยามเชา เขาอาจปลอดภยั จากโรคดังกลาว หรอื ไมเขาอาจพบความหายนะ (ดว ยโรคดงั กลาว)” (75) ดงั นนั้ เราไดบ ทสรุปจากคาํ รายงาน (รวิ ายะฮ) บทน้วี า ผกั ชนดิ นีจ้ ะมีผลทาํ ใหผ ทู ม่ี ี รา งกายออนแอพรอ มทจี่ ะเปน โรคเรอื้ นได โดยเฉพาะเม่อื มสี าเหตอุ น่ื ๆ เขา มาประกอบ ความหมาย ของคาํ พดู นย้ี งั มปี รากฏอยใู นคํารายงานอนื่ ๆ อีกดว ยเชน กนั “ชนดิ ตา งๆ ของผกั การเ ดน เครส นบั วาเปน สวนหนงึ่ จากผกั ที่มคี ุณคา แตจ ากประเด็น ท่วี า ไมควรเลยเถิดในการรับประทานอาหารทกุ ชนดิ การรบั ประทานผักชนิดนก้ี เ็ ชน กนั ไมเปน ท่ี อนญุ าตใหรบั ประทานมนั จนเกนิ ความพอดี โดยเฉพาะอยางย่งิ สาํ หรบั ผูท่ผี อมแหง และมีสภาวะ จิตใจหดหเู ศรา หมอง หมายถึงผูทม่ี เี สมหะมาก (Adam’s apple) … ใครก็ตามทรี่ ับประทานผกั การเ ดน เครสในตอนกลางคนื มนั จะกระตนุ เสน ใยแหงโรคเรือ้ น ในตัวเขา เราทราบดีวา ผกั การเดน เครส จะทาํ ใหห ลง่ั นํา้ มกู มากขน้ึ และเสน ใยของโรคเร้อื นกอ็ ยู ในจมกู เชน เดยี วกนั ธาตไุ อโอดนี เปรียบเหมือนยาขบั เสมหะ ผกั การเ ดน เครสก็เชน กนั จะทาํ ให การหลงั่ ของนา้ํ มูกมมี ากขน้ึ ” (76) มีรายงาน (รวิ ายะฮ) จากทานอิมามซอดกิ (อ.) ไดกลาววา “ใครกต็ ามทร่ี บั ประทานผกั การ เดน เครส (ญริ ญรี ) ในตอนกลางคืน เสนใยแหง โรคเร้ือนจะถกู กระตุน จากจมูกของเขา และจะมี เลือดออกในตอนกลางคนื ” (77) (75) วะซาอิลุช ชีอะฮ, เลมท่ี 17, หนา 157. (76) อซั รอร คูรอกีฮอ, หนา 218. (77) ซะฟน ะตุล บิฮาร, เลมที่ 1, หนา 147.
ในคาํ รายงาน (รวิ ายะฮ) บทนชี้ ใ้ี หเหน็ วา การกระตนุ ของโรคเกดิ จากจมูก และเรากท็ ราบ ดวี าสวนใหญข องโรคเรอ้ื นั้นจะเรม่ิ ตน ท่จี มกู “ผักการเดน เครส ชนดิ ตางๆ มธี าตไุ อโอดีน ธาตุเหล็ก ธาตุฟอสฟอรัส และมีวติ ามนิ ซีอยู ปรมิ าณมากซง่ึ จะทาํ ใหข ับปส สาวะออกมามาก พืชจาํ พวกนต้ี รงขา มกับสตอเบอรีซ่ ง่ึ มนั จะเปน ตวั กระตนุ และคณุ สมบัติเชนนี้เกีย่ วขอ งกบั ธาตุไอโอดนี เนื่องจากพชื จําพวกน้ีจะทําใหการหลงั่ ของลกู กระเดอื ก (Adam’s apple) เพ่ิมปรมิ าณขึน้ และจากเหตผุ ลดงั กลา วมนั จงึ เปนตัวกระตนุ ” (78) “และจากมมุ มองทวี่ า มนั เปน ตวั กระตุนนเ่ี อง บรรดานกั พฤกษาศาสตรโบราณจึงถือวา ชิ โครี (Chicory) หรือเอนดฟิ (Endive) ผักเบย้ี ใหญ (Purslane) และนาํ้ สมสายชหู มกั จะชวยแกไ ข ปรบั ปรงุ (หมายถงึ ดับการกระตุน) ของผักการเดน เครสได” (79) ผักการเ ดน เครสมีหลายชนดิ คอื เกิดข้นึ เองตามทองทงุ และทปี่ ลูกกนั ในสวนผักตางๆ และ ชนดิ ที่สองนยี้ งั แบงออกเปน 3 ชนิด ซึง่ แตล ะชนดิ นนั้ ใบและเมล็ดของมนั จะมีลกั ษณะเฉพาะ ตวั อยา งเชน การเดน เครสที่เกิดตามทองทงุ น้ันดอกของมนั จะมีสเี หลอื งและมรี สจัดกวา เนอื่ งจาก ชนิดทห่ี ลากหลายของมนั ในภาษาอาหรบั จึงเรยี กชือ่ ท่ีตา งกนั ออกไป เชน ‘ญริ ญีร’ และ ‘รอ ชาด’ เปนตน การเดน ไทม (Graden thyme, Thyme) (80) ‘ผกั ไทม’ (Thyme) ชนิดที่ดที ส่ี ุดนน้ั อยูในเมอื งชีราซ (ประเทศอิหรา น) ตามทัศนะของชาวชี ราซนนั้ มี 2 ประเภท คอื ผกั ไทมใบเลก็ และผักไทมใ บใหญ ดงั ทีป่ รากฏจากชอ่ื ของมนั ใบของผกั ไทมใบใหญน นั้ มีลกั ษณะรูปทรงไข สวนผักไทมใบเล็กมคี วามยาวกวา และเรยี วกวา ผักไทมใ บเลก็ สวนใหญจะถกู พบไดต ามภเู ขาตางๆ “ผักไทมภูเขาคือพืชชนิดหนงึ่ ซง่ึ จะขนึ้ เองโดยธรรมชาตติ ามโขดหนิ ของเนนิ เขาตา งๆ และ อยเู ผชญิ กับแสงแดดในปา ตางๆ และในพนื้ ดินท่ีไมมกี ารเพาะปลกู ลาํ ตนมสี ีมว ง และความสูง บางทอี าจถงึ 50 เซนติเมตร ในเมอื งลาฮญี าร ฏอลชิ ออสตาราและเมอื งฟารซ กม็ ีผกั ชนดิ นีข้ ึน้ อยเู ชน กนั …ผกั ไทมข อง เมืองชีราซ เปน พืชชนดิ หนง่ึ ท่มี คี ุณสมบัตใิ นทางเยียวยารักษา ซงึ่ มคี วามมหัศจรรยอ ยา งย่งิ ในการ (78) ออิ ยาซ ครู อกฮี อ, หนา 195. (79) มัคซะนุล อดั วียะฮ, ในหมวดอักษร ‘ญีม’. (80) Thyme (ไทม) พชื ชนิดหนึง่ มีตน เตี้ยใบหมอ (Thymus vulgarise) มนี ํา้ มนั ระเหย และใชเ ปนยาขับลม ดไู ด จาก A NEW ENGLISH THAI DICTIONARY (ฉบับรวมศาสตร), ดร.วทิ ย เทย่ี งบูรณธรรม, หนา 1758 (ผูแ ปล).
เยยี วยารักษาโรคตางๆ และดว ยเหตุดงั กลา วนจ้ี ึงนับไดวา มนั เปน พชื สมนุ ไพรท่มี คี ณุ คา ที่สดุ ชนิด หนงึ่ ” (81) บรรดาผนู ําแหง อิสลามถอื วา พชื ชนิดนี้มปี ระโยชนอยา งยงิ่ ถงึ ขนั้ ท่ีทา นอมิ ามริฎอ (อ.) ได กลาววา “ยารกั ษาโรคของทา นอมีรลุ มอุ ม นิ นี (อ.) คือเซาะอตัร (ผักไทม)” (82) และทานอมิ ามรฎิ อ (อ.) ยังไดกลา วอีกวา “เซาะอต ัร (ผักไทม) จะชว ยบาํ รงุ กระเพาะ อาหาร ชวยขจดั เสมหะ และชว ยใหป ลอดภัยจากโรคอมั พาตบนใบหนา ” (83) โรคอัมพาตบนใบหนา คอื โรคซ่ึงจะปรากฏข้ึนบนใบหนา ของมนุษย รมิ ฝปากและปาก หรอื ขากรรไกรบดิ เบย้ี วไปขา งหนง่ึ ใดขา งหนง่ึ ตอ ไปน้ีจงมาพจิ ารณาดคู ณุ สมบตั ขิ องผกั ไทมท างดานวิทยาศาสตร “คุณสมบัติตา งๆ ทางดานการแพทยและการเยยี วยารกั ษาของผกั การเดนไทมแ หง ชรี าซ นัน่ ก็คือ จะยบั ยง้ั อาการเจบ็ ปวดและอาการชกั กระตกุ ของกลา มเนอื้ ชว ยใหเ ลอื ดไหลเวยี นไดด ี บาํ รุงและกระตุนการทํางานของอวยั วะตางๆ ทเี่ กย่ี วกับเพศและการสบื พนั ธใุ นรางกาย เพมิ่ สติปญญาและพลงั แหง การรบั รู เปน ยาสมานแผลและบํารงุ กาํ ลงั รกั ษาภาวะผดิ ปกตแิ ละออนแอ ของตบั และทาํ ใหต บั ทาํ งานไดดขี น้ึ ผักการเ ดนไทมจ ะชว ยรักษาอาการติดเชอ้ื ตา งๆ ในปอด นํา้ มกู ไหล หลอดลมอกั เสบ อาการหอบหดื ไขหวัดใหญ คออักเสบ อาหารไมย อ ย ปวดทอ ง และลําไสอ กั เสบ…ดอกแหงของ ผกั ไทมภเู ขาจะชวยบาํ รงุ กระเพาะอาหาร บาํ รงุ กาํ ลงั ขบั เสมหะ ขบั เลือดประจําเดือน รกั ษา อาการเจบ็ ปวด ปวดเมอื่ ยกลา มเนอื้ และชว ยขับเหงื่อ” (84) ทานโปรเฟสเซอร ‘ทรูโซ’ ไดกลาวเกีย่ วกบั ผักไทมไวว า “ผักไทมเ ปน ตวั ทาํ ลายสารพษิ ผักไทมท ัง้ สดและแหง จะถูกนาํ ไปใชรักษาการตดิ เช้ือตา งๆ ของปอด นา้ํ มูกไหล หลอดลมอักเสบ อาการหอบหดื ไขหวดั ใหญ อาการเมือ่ ยลาตามกลามเน้ือ และเทา คออักเสบ อาหารไมยอ ย ปวดทอ ง และอาการอักเสบในลาํ ไส นํ้าครัน้ ของผกั ไทมมคี ณุ ประโยชนในการตอ ตา นการตดิ เชอ้ื ในระบบทางเดินหายใจและ ระบบการยอ ยอาหารอยา งไดผ ล สารพษิ ตางๆ ทรี่ วมอยใู นทน่ี น้ั จะถกู ขจัดใหหมดไปอยางราบคาบ ทําใหการไหลเวยี นของเลือดเปนระบบ…ถา หากเราเพิ่มใบของผักไทมจ าํ นวนหน่งึ เขา ไปในอาหาร (81) กุลฮอ วา กิยอฮอเน ชะฟาบัคช, หนา 50, 51. (82) วะซาอิลุช ชีอะฮ, เลม ที่ 17, หนา 172. (83) มซุ ตัดร็อก อลั วะซาอิล, เลม ที่ 3, หนา 121. (84) กลุ ฮอ วา กยิ อฮอเน ชะฟาบัคช, หนา 50.
ของกระตาย จะชว ยยบั ยงั้ อาการทอ งอดื ของมันได และจะไมเ กิดแกส ในกระเพาะอาหารของมนั อยา งแนน อน” (85) มีคาํ รายงาน (รวิ ายะฮ) บทหนง่ึ ไดกลา ววา “ชายผูหนงึ่ ไดรอ งทกุ ขตอทา นอมิ ามริฎอ (อ.) เก่ียวกบั การมเี สมหะมาก ทา นไดแ นะนาํ ใหเขารับประทานใบของผักไทมเปลาๆ กอ นอาหารเชา ” (86) การมีเสมหะมาก ตามสาํ นวนปจจุบนั เรียกวา ‘การหลงั่ ของลกู กระเดือก’ (Adam’s apple) ของมนุษย และทานอมิ ามรฎิ อ (อ.) ถือวา ผักไทมส ามารถเยียวยารกั ษาอาการนไ้ี ด และดวยเหตนุ ้ี เองทา นจงึ แนะนาํ ชายผนู นั้ ใหรับประทานผักไทมสดๆ โดยไมตองตม เพราะถา หากตมกจ็ ะตอ ง ผสมมนั กบั นาํ้ ซง่ึ ในกรณีนจี้ ะไมม ผี ลอะไรตอการขจัดเสมหะและความชืน้ ของรางกาย. (85) ซับซฮี อ วา มีเวฮฮอเย ชะฟาบัคช, หนา 90. (86) วะซาอลิ ชุ ชีอะฮ, เลม ที่ 17, หนา 172.
หมวดท่ี 5 ดอกไมแ ละนํา้ มันชนิดตา งๆ หมวดที่ 5 ของหนงั สือเลม นจ้ี ะพดู ถงึ เรอ่ื งของดอกไมและนํ้ามันชนดิ ตา งๆ จุดประสงคจ าก คาํ วา ‘นาํ้ มนั ’ หมายถงึ ไขมนั ตา งๆ ในทัศนะของอิสลามนนั้ คือสวนหน่ึงจากนํ้ามนั ของสัตวซ ึ่งจะ อธิบายตอไปขา งลางนี้ เปน ทอี่ นุญาตสําหรับการรับประทานมนั และเชนเดยี วกนั นีบ้ างสวนจาก น้าํ มนั ของพชื ตัวอยา งเชน นา้ํ มนั มะกอกและอ่ืนๆ ไดถ กู เนน ใหรบั ประทานมนั และอีกสว นหนงึ่ ของนํ้ามนั จากพืชไดถกู กําหนดไวส าํ หรับการใชประโยชนต า งๆ ภายนอกของรางกาย ประเภทตา งๆ ของนํ้ามันจากสตั ว นาํ้ มนั ของสตั วช นิดตา งๆ ที่เน้อื ของมันเปน ทอี่ นมุ ตั ิ (ฮะลาล) ในการรับประทาน แมจะ ไมใ ชสิง่ ตองหา ม (ฮะรอม) หรือนา รงั เกยี จ (มักรหู ) แตกไ็ มม กี ารแนะนาํ ใดๆ มากมายนกั สาํ หรบั การรบั ประทานมนั จากทง้ั หมดของน้ํามนั สตั วก็จะมแี ตเพียงเฉพาะนาํ้ มนั ของววั เทา น้นั ที่ไดรับการ ยกยอ งสรรพคุณและมีการแนะนาํ ใหร ับประทาน ทานอิมามญะอฟร ซอดกิ (อ.) ไดกลาววา “น้าํ มนั จากสวนตางๆ ของววั นนั้ คือยารกั ษา (ความเจ็บปว ยท้งั หลาย)” (1) ในทศั นะของความรูทางดา นโภชนาศาสตร การรับประทานเน้ือเยอื่ ไขมัน ไขมนั ทสี่ ะสม บริเวณหางของสตั ว (อยางเชนในแกะบางชนิด) และไขมนั จากสวนอนื่ ๆ ของสตั ว เชน เดยี วกนั กับ การรับประทานไขมนั ตางๆ ของสัตวท ีไ่ ดม าจากนา้ํ มันสตั วใ นปริมาณมากน้นั เปน สง่ิ ท่ีไมด ี “ปจจบุ นั คงไมม ใี ครปฏเิ สธถึงอนั ตรายของไขมนั ตางๆ ของสัตว เพราะนอกจากจะ กอใหเกิดผลกระทบตอ ตับแลว ยงั จดั วาเปน สาเหตโุ ดยตรงของการอดุ ตนั ของเสนเลอื ดตางๆ ประเด็นทีจ่ าํ เปน ตอ งกลา วถึง ณ ทนี่ ก้ี ็คอื จะตองไมสบั สนระหวางคาํ วา ‘ไขมนั สตั ว’ กบั ‘นํ้ามนั สัตว’ ‘ไขมนั สตั ว’ ไดแ ก เย่ือไขมนั ไขมนั ทีส่ ะสมอยบู รเิ วณสว นหางของสตั ว และไขมนั ตา งๆ ท่ี อยรู ะหวา งผวิ หนงั และเนอ้ื ของสตั ว สว น ‘น้ํามนั สัตว’ คอื ส่งิ ที่ถูกทาํ ใหละลายออกมาจากไขมนั ของสตั ว ซ่งึ อนั ตรายตา งๆ ที่ถกู กลา วถงึ เกยี่ วกบั ไขมันสัตวน นั้ ไมเกย่ี วขอ งใดๆ กบั นํา้ มนั ท่ลี ะลาย ออกมาจากไขมันสัตว (1) วะซาอลิ ชุ ชีอะฮ, เลม 17, หนา 81.
ไขมันของสตั วช นิดที่มอี นั ตรายมากท่สี ดุ คือไขมนั ที่อยรู ะหวา งชนั้ ของผิวหนังและเนอ้ื ของ สัตว ไขมนั ชนดิ น้มี ีอยมู ากโดยเฉพาะในเนอื้ สกุ ร ชน้ั ของไขมนั ดงั กลา วน้ีจะมบี รรดาตอมนา้ํ เหลือง ซ่ึงบรรดาเมด็ เลือดขาวท่ีอยูในตอ มเหลา นมี้ ันจะกนิ เช้ือโรคตา งๆ ที่อนั ตราย หมายถงึ มนั จะปด ลอ มเชื้อโรคเหลา นน้ั ไวไมใหท าํ ปฏิกริ ยิ าใดๆ ได และจะฝงมนั ไวใ นบรเิ วณตางๆ ของไขมัน แตเมอ่ื สัตวตายลงเชอื้ โรคเหลา นน้ั ก็จะเปน อสิ ระและจะเรม่ิ ปฏบิ ัตกิ ารตางๆ ของมนั ใหม ดว ยเหตนุ ีเ้ อง พวกเขาจึงกลา ววา ไขมันตา งๆ ของสัตวน น้ั มีความสกปรกตลอดเวลา” (2) แตก ระนัน้ ก็ตามในคาํ รายงาน (ริวายะฮ) ตางๆ ของเรา ยงั ใหก ารยกยอ งสรรพคณุ ของ นา้ํ มนั ววั และในบางครัง้ กก็ ลา วถงึ ไขมันววั วา เปน ยาและเปน สงิ่ ที่ขจดั โรคภยั ไขเ จ็บตางๆ ทา นอิมามซอดกิ (อ.) ไดก ลาววา “บคุ คลใดก็ตามทรี่ ับประทานไขมนั หนึ่งคํา โรคภยั ไขเ จบ็ กจ็ ะถูกขจัดออกไป (จากรา งกาย) ในปรมิ าณท่เี ทากนั นน้ั ” (3) เราไดกลา วไปแลววา นา้ํ มันววั นน้ั อยูใ นฐานะของยารักษาโรค ซง่ึ มันจะชว ยขจดั ความ เจ็บปว ยใหห มดไป แตไ มใ ชสาํ หรบั ทุกคน เพราะบุคลทม่ี ีอายุเกนิ 40 ป ตามหลงั คาํ สอนของ อสิ ลามนน้ั หา มรับประทานมัน (เปนมกั รหู ค อื ไมสมควรในการรับประทาน) โดยเฉพาะในชวงเวลา กลางคนื ทา นอิมามซอดิก (อ.) ไดกลาววา “นาํ้ มนั จากสตั วนนั้ ชางเปน อาหารทดี่ เี สียนก่ี ระไร! แต สําหรับคนสงู อายุนนั้ ฉนั รังเกยี จมนั ” (4) และทานอิมาม (อ.) ยังไดก ลา วอกี วา “เมอื่ คนเรามีอายถุ ึง 50 ป ดังนั้นในชวงเวลาคาํ่ จง อยา ใหม ีนาํ้ มนั จากสัตวเขา สูทอ งของเขา” (5) ตอไปนีจ้ ําเปน ทเ่ี ราจะตอ งมาพจิ ารณาถงึ อันตรายตางๆ ของไขมันจากสัตว ก.ภาวะการแข็งตวั ของเสน เลือดแดง (Hardening of the arteries) “เมื่อผนงั เสนเลือดตา งๆ ของรา งกายมีสารคอเลสเตอรอล (Cholesterol) ซง่ึ มลี ักษณะ คลา ยขผ้ี งึ้ ปรากฏข้ึนซงึ่ กอ ใหเ กดิ ภาวะการแขง็ ตัวของเสน เลอื ดแดง และในสภาวะเชน นกี้ อนทีจ่ ะ เกิดความดนั โลหติ ข้ึนเสน เลอื ดตา งๆ จะแขง็ ตัวและปากของมนั จะตบี ลง และไมป ลอ ยใหเลอื ด ไหลเวียนผา นเสน เลือดทงั้ หลายไปสูสวนตางๆ ของรา งกายไดอ ยา งสะดวกและงา ยดาย และผลก็ คือจะทาํ ใหเ กดิ การเปล่ียนแปลงทางความดันของโลหติ ซงึ่ ทาํ ใหเกดิ โรคความดนั โลหิตสูง (High blood pressure) (2) อสั รอร คูรอกีฮอ, หนา 45. (3) วะซาอิลชุ ชอี ะฮ, เลม 17, หนา 29. (4) บฮิ ารุล อันวาร, เลม 66, หนา 88. (5) วะซาอลิ ุชชอี ะฮ, เลม 17, หนา 82.
เปน ระยะเวลาหลายปท เี ดียวท่ีความรูและวิทยาศาสตรไดสง สัญญาณเตือนภยั ตอ โรคนี้ และตองตอสูกบั มัน แตผทู ีป่ ระสบกบั โรคดงั กลา วรวมทง้ั บรรดาแพทยท ่ีทาํ การเยีย่ วยารกั ษาผู เจ็บปวยเหลานี้ ตา งกลา วเปน เสียงเดียวกนั วา “อาการแข็งตวั ของเสนเลือดแดงเปนผลพวงของความแกชรา และทงั้ สองนห้ี มายถึงความ แกช รากบั ภาวะการแขง็ ตวั ของหลอดเลือดแดงน้ัน เปนสาเหตุที่จาํ เปน ตองเกดิ ควบคกู นั อยาง หลีกเลีย่ งไมไ ด จงึ จําเปน ตอ งยอมรับสภาพและผลตา งๆ ของมนั ท่จี ะเกดิ ขึ้นตามมา ในปจ จบุ นั ขาพเจาไดเห็นดว ยตาของขา พเจาเอง จากภาวะอนั ไมสดู ีทไี่ ดเกิดขนึ้ นี้ มบี ุคคล จาํ นวนนับเปน รอ ยๆ คนท่ีมคี วามรคู วามสามารถซงึ่ ประสบความสําเร็จในการยับยง้ั ภาวะการ แขง็ ตัวของเสน เลือดแดงไดโดยโปรแกรมการควบคมุ อาหาร ซง่ึ พวกเขาไดจัดเตรยี มอาหารตางๆ ท่ี ไมม ไี ขมัน และในแตล ะวนั พวกเขาจะเพม่ิ ปรมิ าณการรับประทานวติ ามนิ และนา้ํ จากผกั ตา งๆ ท่มี ี สรรพคุณในทางการบําบดั รกั ษาในปริมาณมาก จนกระทั่งระยะเวลา 7 เดือนหรอื 1 ปผ านไป หลังจากท่ีไดปฏิบตั ิตามวธิ ดี งั กลาว สขุ ภาพรา งกายของพวกเขากส็ มบรู ณข้ึนอยา งรอ ยเปอรเซ็นต ขาพเจา รูสึกยนิ ดีท่ขี าพเจา สามารถประกาศออกไปไดว า ปจ จบุ ันเราสามารถรับรูไดถ งึ สาเหตทุ ีแ่ ทจรงิ ของโรคที่เกิดจากภาวะการแขง็ ตวั ของเสน เลอื ดแดงแลว ” (6) ข.ตับและถุงนํา้ ดี ไขมันท่มี มี ากเกินขอบเขตจะสง ผลกระทบตางๆ ท่เี ลวรายตอตบั ซึ่งเปน หนงึ่ จากบรรดา อวยั วะทส่ี าํ คญั ท่ีสดุ ของรา งกายเชน เดียวกนั และมนั จะทําใหถงึ นาํ้ ดเี กิดความบกพรอ ง “ดร.โรเจอร กิลนารด แพทยผมู ชี อ่ื เสยี งโดงดังทานหนง่ึ ซ่ึงมีคลนี ิคอยใู นเมอื งวีซี และมี ช่ือเสยี งระดับโลกในดานการรกั ษาโรคตางๆ เก่ียวกับตบั และถงุ นาํ้ ดี บรรดาผูปว ยจํานวนนบั ไม ถว นที่ไปรับการรักษาจากทา นตา งถามทา นวา “อะไรคอื สาเหตทุ ที่ ําใหผ คู นจาํ นวนหนึ่งตองถกู จู โจมและไดร ับอันตรายจากโรคทีเ่ กยี่ วกับถงุ นา้ํ ด?ี ” ดร.ทานนต้ี องตอบคาํ ถามแกบ ุคคลเหลานั้นอยูตลอดเวลาถงึ สาเหตุ 3 ประการใหญๆ ท่ีมี ผลกระทบตอ ความบกพรองของถงุ นาํ้ ดกี ค็ ือ 1.เรอ่ื งเกีย่ วกบั ผหู ญิง (หมายถงึ การมีอารมณแ ละความสัมพนั ธท างเพศอยางเลยเถดิ ) 2.ไขมันและนาํ้ มัน 3.การมีอายุเกนิ 40 ปขน้ึ ไป” (7) นาํ้ มนั มะกอก (Olive oil) (6) กชุ ัรนอเมฮ บะยอเย ซนิ เดกเี ย นวู ีน, หนา 43. (7) เลมเดิม, หนา 79.
ตน มะกอกมีใบยาวเรยี วและมีดอกเปนชอ ผลของมนั มีรูปทรงคลายไข ตนมะกอกใน ประเทศของเรา (หมายถงึ ประเทศอหิ ราน) จะมีมากในเมืองรูดบอร, กุรอน, ดุรเรฮเ ยซ ะฟดรดู , มันญีล, อฟั ชอร, ฮาญลี รุ และบลุ จู สิ ถาน โดยพื้นฐานแลว พน้ื ดินทเ่ี หมาะสมสาํ หรบั การเพาะปลูกตน มะกอกคอื พื้นดนิ ทมี่ อี ากาศ รอนตามชายฝง ทะเลเมดเิ ตอเรเนียน ดวยเหตดุ งั กลา วนเี้ องในประเทศกรีก (ยูนาน) อิตาลี ประเทศ ตามชายฝง ทะเลเมดิเตอเรเนยี น ประเทศตา งๆ ในแถบแอฟริกาเหนอื และประเทศปาเลสไตนจ ึงมา การปลูกมาตัง้ แตย ุคโบราณ ตน มะกอกสามารถมอี ายยุ นื ยาวไดถ งึ สองพนั ป แตม เี งอื่ นไขวาความ หนาวเย็นและการกอ ตวั ของนํ้าแข็งท่รี ุนแรงจะตองไมท ําใหตนมนั แหง ผลของมะกอกสามารถรับประทานไดด บิ ๆ และยงั นําไปผลติ เปน นาํ้ มนั ไดอ ีกดว ย นํา้ มนั มะกอกเปนของเหลวใสมสี เี ขียวเล็กนอ ยหรอื ไมก ม็ สี เี หลืองทอง นํา้ มนั มะกอกจะคง สภาพความเหลวใสอยไู ดอ ยางสมบรู ณใ นอณุ หภูมิความรอ น 15 องศา ถา หากอุณหภมู ิลดลง เหลอื 10 องศา มนั จะมีสขี ุน หากในอณุ หภมู ิ 0 องศา มนั จะแขง็ ตัวและจบั ตวั เปน กอ นๆ และใน อณุ หภมู ติ ดิ ลบ 20 องศา มนั จะจบั ตวั แข็งอยางสมบรู ณ นํา้ มนั มะกอกสามารถนาํ ไปใชประโยชนไดใน 2 ลกั ษณะคอื 1.ในรูปของอาหาร 2.ในรูปของนา้ํ มันที่ใชท าตามรา งกาย น้าํ มนั มะกอกท่ีใชรับประทาน สว นหนง่ึ จากนาํ้ มนั ตางๆ ทบ่ี รรดาผูน าํ ของอสิ ลามใหค วามสําคัญเปน อยา งมาก คือนํา้ มัน มะกอก โดยทท่ี า นเหลา น้นั ถอื วา การรับประทานมนั รว มกบั น้าํ สม สายชูหมักคอื แกงช้นั เลิศ ทานอมิ ามญะอฟ ร ซอดกิ (อ.) ไดกลาววา “นํา้ แกงจม้ิ ขนมปง ทีด่ ีเลศิ ย่ิงของทานศาสนทตู แหงอัลลอฮ (ศ็อลฯ) คือนํ้าสมสายชหู มักและน้ํามนั มะกอก และทา นไดกลาวดวยวา มนั คืออาหาร ของบรรดาศาสดา” (8) ในดา นคุณคาของอาหารจากการรบั ประทานนํ้ามนั มะกอกรว มกบั นา้ํ สม สายชนู ้นั ถอื วามี ความนาสนใจและนาพิจารณาเปนอยา งมากซง่ึ เราจะอธบิ ายในภายหลงั ทานอิมามซอดกิ (อ.) ไดก ลาววา “น้าํ สม สายชู (หมกั ) และนํา้ มนั มะกอกคือสว นหนง่ึ จาก อาหารของมวลมุสลมิ ” (9) (8) วะซาอลิ ชุ ชอี ะฮ, เลม 17, หนา 63. (9) วะซาอลิ ุชชอี ะฮ, เลม 17, หนา 65.
ทา นศาสนทตู แหงอลั ลอฮ (ศอ็ ลฯ) ไดใ หก ารยอมรบั วาน้าํ มนั มะกอกคอื ยาบาํ บดั รักษา นํ้าดี ขจัดเสมหะ บาํ รงุ ประสาท ทําใหม มี ารยาทงดงาม ลมหายใจสะอาดและคลายความทกุ ข กงั วลใจ และทา นไดแนะนาํ อยางมากใหร บั ประทานมนั ทานศาสนทตู แหง อัลลอฮ (ศอ็ ลฯ) ไดก ลา ววา “ทา นทงั้ หลายจงรบั ประทานนาํ้ มนั มะกอก เถดิ ! เพราะแทจ รงิ มนั จะบาํ บัดนํา้ ดี ขับเสมหะ บํารงุ ประสาท ทาํ ใหม ีมารยาทงดงาม ทาํ ใหล ม หายใจหอมสดช่ืน และขจดั ความทกุ ขกงั วลใจ” (10) “นาํ้ มนั มะกอกเปรี่ยมไปดวยวิตามนิ และเกลือแรตางๆ โดยเฉพาะธาตุโปแตสเซยี ม และ นับเปนระยะเวลาอันยาวนานหลายศตวรรษมาแลว ทนี่ ํา้ มนั มะกอกกบั ขนมปงเปน แหลงทมี่ าของ คณุ คาทางอาหารสาํ หรบั มวลมนุษย” (11) “นา้ํ มนั มะกอกมีคุณคา อยา งมากสาํ หรับการผลิตพลังงานเผาพลาญในรา งกาย เพราะใน ปรมิ าณ 100 กรมั ของมันจะใหพลงั งานความรอ น 234 แคลอรี และจากเหตผุ ลน้ีเองจงึ จดั เปน อาหารที่ใหพ ลงั งานสงู ดงั นนั้ บรรดาผทู ีม่ คี วามปรารถนาอยากจะมีสขุ ภาพพลานามัยทีด่ ี เขาตอ ง ชอบยาอายวุ ฒั นะน…้ี น้าํ มนั มะกอกเปน ยาระบายและทําใหเ กิดความสบายตวั มคี ุณประโยชนอ ยางสูงตอ การ ขจดั ภาวะผิดปกติตา งๆ ของไต นิว่ ในถงุ นาํ้ ดี (Gallstone) อาการจกุ เสยี ดทีร่ นุ แรงตางๆ ในไต (Renal colic) ในตับ (Hepatic colic) และชว ยขจัดอาการทองผกู … การรับประทานนาํ้ มนั มะกอกในปริมาณเลก็ นอยรว มกบั อาหารจะทาํ ใหเ กดิ ความอยาก อาหาร จะชว ยซอมแซมการหลง่ั ของตอมตางๆ โดยเฉพาะนํ้าดี แตการรับประทานมากจนเกนิ ไป จะทาํ ใหการหลัง่ ของตอมทง้ั สองนี้มมี ากเกนิ ความพอดี และจะเปน สาเหตทุ ําใหนอนไมห ลับและ เกดิ อาการผอมแหง ดว ยเหตนุ ้เี องบคุ คลท่อี วนและมอี ารมณเฉ่ือยชาจงึ ถูกแนะนาํ ใหรบั ประทาน มัน” (12) ฉะนน้ั นา้ํ มันมะกอกจงึ ชวยขจัดน่วิ ในถุงนาํ้ ดี และยังเหมาะสาํ หรบั ผทู ม่ี อี ารมณเ ฉือ่ ยชา ในคํารายงาน (ริวายะฮ) ตา งๆ ของอสิ ลามไดแ นะนาํ ใหรบั ประทานนาํ้ มนั มะกอกรว มกบั นาํ้ สมสายชหู มัก เมื่อเราไดพิจารณาดูจากหนงั สอื ตา งๆ เก่ยี วกับการแพทยแผนโบราณ เราจะ พบวา บรรดาแพทยเ หลา นน้ั กลา ววา นํา้ มนั มะกอกจะทาํ ใหเ กิดภาวะผดิ ปกติของนาํ้ ดี (ทําใหม ี อารมณฉ นุ เฉยี ว) แตพวกเขาจะเขียนสงิ่ ทจ่ี ะชว ยปรับปรุงมัน หมายถงึ สง่ิ ทจี่ ะปรบั ปรุงคณุ สมบตั ิ ของนํ้ามนั มะกอก ซ่ึงสงิ่ ที่ดีที่สดุ ในการปรบั ปรุงคณุ สมบัติของน้าํ มันมะกอกนนั่ กค็ ือน้าํ สม สายชู หมัก (10) ซะฟน ะตลุ บิฮาร, เลม 1, หนา 573. (11) ซับซีฮอ วา มีเวฮฮ อเย ชะฟาบัดช, หนา 200. (12) อซั รอร คูรอกีฮอ, หนา 310.
ดวยเหตนุ ้ีหากบคุ คลใดกต็ ามทร่ี ับประทานนาํ้ มนั มะกอกรวมกับนาํ้ สม สายชหู มัก อยางเชนปจจบุ ันมกั ใชใ นการปรุงสลัด เขากไ็ มต อ งเผชิญกบั อาการผอมแหงและการนอนไมหลบั และเปนอาหารทีไ่ มเหมาะสมสาํ หรบั คนอว นและผทู ี่มอี ารมณเฉ่อื ยชา ทานอิมามรฎิ อ (อ.) ไดก ลา ววา “นาํ้ มนั มะกอกเปน อาหารทด่ี ีเยยี่ ม จะทําใหก ลน่ิ ปากหอม สะอาด ขจัดเสมหะ ทําใหผ วิ พรรณสดใส บาํ รงุ ประสาท ขจดั ความเจ็บปว ยและดับอารมณ ฉนุ เฉยี ว” (13) การมกี ลน่ิ ปากทสี่ ะอาดและผิวพรรณใบหนา ทสี่ ดใสนน้ั เก่ยี วขอ งกบั การทาํ งานของตบั “น้ํามนั มะกอกคอื มติ รและเปนยาขจัดพษิ ทด่ี ีท่สี ุดของตบั มนั มปี ระโยชนอยา งมากสาํ หรับ ผูทเ่ี ปน โรคเบาหวานและภาวะการเฉื่อยของตบั การรับประทานนาํ้ มนั มะกอกจะใหผ ลท่ีมหัศจรรย อยางยง่ิ ในการทาํ ใหผวิ พรรณมสี ีสรรสดใส” (14) “การรบั ประทานนํา้ มนั มะกอก 1 ชอ นซบุ ในชว งเวลาเชา ตรกู อ นอาหาร คอื ยา บําบดั รักษาทด่ี ีเลิศท่สี ุดสําหรบั ผูที่ไดรบั ความทุกขทรมานจากเรื่องของตับ ถา หากรบั ประทาน นาํ้ มนั มะกอก 1 ชอ นซบุ กอ นอาหารเชา นอกจากจะชว ยยับย้ังมิใหเ กิดอาหารเจบ็ ปว ยภายในใดๆ แลว ยงั จะทาํ ใหทางเดนิ ของลาํ ไสต า งๆ ล่นื และชวยทาํ ใหอาหารทรี่ วมตัวอยูใ นลาํ ไสเ ดนิ ทางไป ในเสน ทางทป่ี กตขิ องมันไดอยางสะดวก ในอกี ทางหนึง่ การรับประทานนา้ํ มนั มะกอกกอ นอาหารเชา จะชว ยกระตนุ ใหต บั ทีเ่ ฉอ่ื ยชา และถงุ น้ําดใี หท ําหนา ท่ีของมัน จะชว ยยบั ย้งั การกอตวั และการเพม่ิ จาํ นวนของเช้อื โรคตา งๆ ใน ลําไส บุคคลทไี่ มสามารถฝน ใจตวั เองใหร บั ประทานนาํ้ มนั มะกอก (เปลาๆ) กอ นอาหารเชา ได พวกเขาสามารถผสมมนั เขา กับนํ้ามะนาวได ยงิ่ ไปกวา น้นั บุคคลทม่ี ีอาการดังกลา วนส้ี ามารถผสมนํา้ มนั มะกอก 1 ชอนชา เขากบั อาหารทุกม้อื ทีเ่ ขารับประทาน ดวยวิธกี ารเชนน้ีจะทาํ ใหเ กิดความคนุ เคยกับการรบั ประทานนาํ้ มัน มะกอก และในท่ีสดุ พวกเขากจ็ ะสามารถรบั ประทานมนั ไดอ ยางสบายโดยไมตอ งฝน ใจ” (15) ความสมั พันธร ะหวา งความสมบรู ณข องรา งกายและสุขภาพจติ นน้ั มคี วามเก่ียวของกนั โดยตรงอยา งมากทีเดยี ว โดยแตล ะสวนจะสง ผลกระทบโดยตรงตอกนั แนน อนยงิ่ เมอื่ ตบั ทาํ งานได ดี ถุงนา้ํ ดีกจ็ ะทาํ หนา ท่ไี ดอ ยางปกติ เมอื่ อวัยวะแตละสว นของรา งกายทาํ งานไดอ ยางถกู ตอ งและ เปน ระบบแลว อารมณฉุนเฉยี วตา งๆ ความกระวนกระวายใจ และการมีนิสัยใจคอท่ีหยาบชา กจ็ ะ ถูกขจดั ไป ดว ยเหตผุ ลดงั กลาวนเ้ี ราจะพบได 2 ประเดน็ จากคาํ พดู ของทา นศาสนทูตแหง อัลลอฮ (13) มุสตัดรอ็ ก อัล วะซาอลิ , เลม 3, หนา 108. (14) อัซรอร ครู อกีฮอ, หนา 308. (15) ซับซฮี อ วา มีเวฮฮ อเย ชะฟาบคั ช, หนา 201.
(ศ็อลฯ) และจากทา นอิมามริฎอ (อ.) ทกี่ ลา ววา “การรับประทานนาํ้ มนั มะกอกจะทาํ ใหมมี ารยาท (อปุ นิสัย) ท่ีงดงาม และจะชว ยดบั ความฉุนเฉยี วของอารมณ” ประโยชนตางๆ ทีใ่ ชสําหรับภายนอก นํา้ มนั มะกอกจะถูกนํามาใชส าํ หรบั ทารางกายและผม เพ่อื ใหเ กิดความนนุ นวลชุมชืน่ แก ผวิ หนงั อสิ ลามไดใหค าํ แนะนาํ ในประเด็นน้ไี วเ ชนเดยี วกบั ที่ไดแ นะนาํ ใหรบั ประทานมนั ตัวอยางเชน 1.ทา นศาสนทตู แหง อลั ลอฮ (ศ็อลฯ) ไดก ลา ววา “ทา นทงั้ หลายจงรบั ประทานนํา้ มนั มะกอกและจงใชม นั ทารา งกาย เพราะแทจ รงิ มนั คือสว นหนึ่งจากตน ไมทม่ี คี วามจาํ เรญิ (มุบารอ กะฮ) ” (16) 2.ในคําสั่งเสียของทานทม่ี ตี อ ทา นอิมามอะลี (อ.) ทา นไดกลาววา “โออ ะลีเอย เจา จง รับประทานนาํ้ มนั มะกอกเถดิ ! และจงใชม ันทารา งกายเพอ่ื ชัยฏอน (เชอ้ื โรค) จะไมเขา ใกลเ จา เปน เวลาถงึ 40 วัน” (17) “สาํ หรบั การใชป ระโยชนตา งๆ ภายนอก หมายถงึ การทาผิวและผมนัน้ การใชน ้าํ มนั มะกอกที่เปน ของเกา นนั้ ดกี วาของใหม และน้าํ มันมะกอกเกาทมี่ อี ายุ 7 ป จะใหผลท่ดี ีกวา นา้ํ มนั ‘บัลซาม’ (Balsam=ยางไมห อมชนดิ หน่งึ ทีใ่ ชบ รรเทาอาการปวดและประโยชนอ น่ื ) ในการบรรเทา อาการเจบ็ ปวดตามขอ ตางๆ” (18) น้าํ มนั มะกอกใชร ักษาอาการผวิ แหง “ถา หากผวิ ของทา นแหง จงตระหนักเสมอวาอยา ผสมนา้ํ (ท่ใี ชอ าบ) ใหรอนมากจนเกินไป และกอนทท่ี า นจะลงแช (ในอา ง) นา้ํ จงเทนา้ํ มันมะกอกลงไปในนาํ้ ประมาณ 1 ชอ นชา และ ตอจากนน้ั ใหใ ชส บูที่มคี วามลืน่ (มีฟอง) มากๆ ถจู นทว่ั รางกายและลางออกดว ยนํา้ เม่อื รางกาย ของทานสะอาดดแี ลว ใหพกั อยูสกั ระยะหน่ึง จากนนั้ ใหป ลอยนา้ํ รอ นออกจากอา งอาบนาํ้ ทง้ิ ไป คร่ึงหนง่ึ และเปดกอ็ กนาํ้ เยน็ ใสลงไปแทนทจ่ี นกระทง่ั เตม็ อางน้าํ ตอ จากนัน้ ใหใชม อื คนนา้ํ ในอา ง ใหเขา กนั จนกระท่งั น้าํ ในอา งเยน็ ลง หลังจากนัน้ ใหน อนแชอยูในอา งนํา้ ประมาณ 3 นาที จะรูส กึ มี อาการคนั ยุบยิบตามรา งกายของทา น (เหมือนมีเข็มแทง) และตวั จะมีสแี ดง ทานจะรสู ึกเมื่อยลา แตทา นจะไมร สู กึ หนาวเยน็ หลังจากการกระทําดงั กลา วแลวใหใชผา เช็ดตวั ผนื ใหญซ ับรา งกายให แหงและพนั รา งกายไว ตอจากนน้ั ใหไ ปยงั ทนี่ อนและจงปลอ ยกลามเนือ้ สว นตางๆ ของทา นใหอ ยู (16) วะซาอิลุชชอี ะฮ, เลม 17, หนา 71. (17) วะซาอิลุชชอี ะฮ, เลม 17, หนา 71. (18) อซั รอร คูรอกีฮอ, หนา 310.
ในสภาพอิสระ จนกระทงั่ รูสกึ วา ความทกุ ขก งั วลและความเครียดจรงิ ๆ ทม่ี ีอยูห รอื แมจะเปน การ จนิ ตนาการก็แลวแตไ ดหมดไปจากตวั ทาน” (19) “เพื่อยับยง้ั จากอาการผมรว ง ใหใชนา้ํ มนั มะกอกทาผมตดิ ตอ กันเปน เวลา 10 วนั โดย กอ นนอนใหพนั ศรี ษะไวแลวนอนหลับไป และในตอนเชา หลังจากตน่ื นอนใหล า งออกดว ยนาํ้ อนุ โดยใชสบูม าเซลส (Marseilles) …” (20) “สําหรบั การรกั ษาโรคผิวหนงั หรอื เปน เมด็ ผผุ อง ใหแชใบ Black nightshade (21) ปรมิ าณ 100 กรมั ลงในนา้ํ มนั มะกอก 200 กรมั เปนเวลา 1 สปั ดาห และใชนาํ้ มนั นที้ าลงบนผวิ หนงั เหมอื นยาทาแผล หากผิวหนังของเทา หรือมอื มีรอยแตกการเยีย่ วยารกั ษาคอื ใหผ สมกลีเซอรนี (Glycerine) เขากับนาํ้ มนั มะกอกในปรมิ าณเทา ๆ กัน และใชทาผวิ ของเรา บรรดาเด็กๆ ทีม่ กี ระดูกออ นหรอื เปน โรคกระดกู ออ น (Rachitis) และมีเลอื ดนอ ย ใหใช นาํ้ มนั มะกอกทาตามรางกายของพวกเขา หากใชน าํ้ มันมะกอกผสมกบั กระเทยี มบด จะไดนา้ํ มนั ชนดิ หนึ่งซงึ่ มคี ณุ คา มากสาํ หรบั การ รักษาโรครูมาตสิ สมึ อาการปวดกลา มเน้อื และประสาทตา งๆ และใหใ ชม อื ทาถูและนวดตรงบรเิ วณ ทมี่ ีอาการเจบ็ ปวด” (22) ดอกไวโอเลท (Violet) ดอกไวโอเลท มี 2 ชนดิ คือ 1.ไวโอเลทหอม 2.ไวโอเลทสามสี ‘ไวโอเลทหอม’ จะขน้ึ อยูตามบรเิ วณชายปา ใหญ ปาละเมาะ และตามบรเิ วณลาํ ธารนํ้า ตางๆ เนอ่ื งจากดอกของมนั ไดถ ูกนาํ มาใชใ นทางการแพทยเ ปนจาํ นวนมาก จงึ มีการเพาะปลกู และ นาํ เอาหวั ของมัน (Essence) มาใชในการทาํ นํา้ หอม ใบของตน ดอกไวโอเลทหอมจะมีความสมบูรณ มขี นาดใหญ และมกี า นใบตดิ กบั รากของ มนั รากนั้นเตม็ ไปดวยขนและเปน เสน ๆ ไมมลี าํ ตน ใบและดอกของมันจะออกมาจากรากโดยตรง (19) กซุ ัรนอเมฮ, หนา 224. (20) สบมู าเซลส (Marseilles) คอื สบซู ึง่ ผลิตในเมือง Marseilles (เมืองทาของฝรง่ั เศสแถบทะเลเมดเิ ตอเรเนียน) เปน สบซู กั ผา ชนิดหน่งึ ทช่ี าํ ระลา งไขมันไดเ ปนอยางดี. (21) พืชในตระกลู Solanum nigrum (ผแู ปล). (22) ซับซฮี อ วา มีเอฮฮ อเย ชะฟาบคั ช, หนา 120.
เมอ่ื ใดก็ตามทต่ี นไวโอเลทออกดอกทวั่ ไปตามริมลําธารและตามชายปาละเมาะ มนั คอื ทตู นําสาน สทบี่ อกขาวการมาถงึ ของฤดูใบไมผ ลิ ในชว งเดอื นฟร วัรดีน (23) ทานจงเกบ็ ดอกและใบของมนั อยา งระมัดระวงั และจงพยายาม อยา วางมันทบั ถมกนั แตใหเ รยี งมันไวบ างๆ ลงในกระจาด และวางมันไวใ นสถานทีๆ่ มีลมพดั ผา น จนกระท่งั แหง ‘ดอกไวโอเลทสามส’ี ในประเทศอิหรา นเปนทีร่ จู กั กนั ในนาม ‘ไวโอเลทฝรงั่ ’ มันจะขึน้ อยู ทางภาคเหนือของประเทศอหิ รานบรเิ วณทมี่ ีอากาศชุมชื่น และในภมู ิอากาศทมี่ ลี กั ษณะคลา ยคลึง กับประเทศตางๆ ในแถบยโุ รป ไวโอเลทสามสีจะขน้ึ เองโดยธรรมชาติ ดอกและใบของมนั จะมลี กั ษณะเลก็ กวา ตน ไว โอเลททน่ี ยิ มปลกู กันโดยทวั่ ไป ตนไวโอเลทสามสจี ะเรม่ิ ออกดอกในชวงกลางเดือนฟร วรั ดีและจะ อยูจนถงึ เดือนเมฮร (Mehr) (24) และจะพบวาดอกของมันนน้ั มสี มี วงเขม สขี าวและสเี หลอื ง ในแต ละดอกนนั้ จะมกี ลีบดอก 5 กลบี ตน ไวโอเลทนั้นมีคณุ สมบัตอิ ะไรบาง? “ทุกสว นของตน ไวโอเลทโดยเฉพาะรากของมนั นน้ั จะมไี วโอลีน จากการทดลองตา งๆ ทาง วทิ ยาศาสตรล า สดุ ทไี่ ดทดลองกบั ตน ไวโอเลท พบวา ตน ไวโอเลทมเี มอื ก (Mucilage) จากตน ของ มนั มกี รดซาลซิ ลิ ลคิ (Salicylic acid) วัตถสุ ี กรดมาลกิ (Malic acid) และไวโอลนี ” (25) อิสลามกบั ไวโอเลท สําหรับไวโอเลทในทัศนะของอิสลามมกี ารใชประโยชนใน 2 รปู แบบคือ 1.การใชภายใน 2.การใชภายนอก เก่ยี วกบั ประโยชนด านภายในนน้ั ทา นศาสนทตู แหง อลั ลอฮ (ศ็อลฯ) ไดก ลาววา “หาก มนษุ ยร ูถ งึ คุณคาตางๆ ทม่ี อี ยูในไวโอเลท แนน อนพวกเขาจะนยิ มดืม่ มันเปน อยา งมาก” (26) “ไวโอเลทถา หากเปน ของสดจะชว ยใหท อ งไดรบั การพกั ผอ น จะทําใหน ้าํ ดีลดนอยลง ทาํ ใหห ายใจโลง และชวยรกั ษาอาการเจ็บคอ หากทา นใชไ วโอเลทในการรกั ษาโรคหลอดลมอกั เสบ ไอ (23) เปน เดอื นแรกของเปอรเ ชยี (อิหรา น) ตรงกบั ชว งเดอื นมีนาคมและเดือนเมษายน (ผูแ ปล). (24) เมฮร (Mehr) เปน เดือนท่ีเจด็ ของเปอรเ ชยี (อหิ รา น) ตรงกับชวงเดือนกันยายนและเดือนตุลาคม. (25) นุซเดฮฮ อเย ชะฟาบัคช, หนา 73. (26) บิฮารุล อนั วาร, เลม 62, หนา 221.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167