Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore อิสลามกับการแพทย์ที่ไม่พึ่งยา

อิสลามกับการแพทย์ที่ไม่พึ่งยา

Published by thaiislamlib.com, 2022-06-15 03:37:41

Description: อิสลามกับการแพทย์ที่ไม่พึ่งยา

Search

Read the Text Version

แอปเปลใชส าํ หรับรกั ษาโรคหดิ และโรคเชอ่ื ราบนหนังศรีษะ “สาํ หรับการรกั ษาโรคหดิ และเชอื้ ราบนหนงั ศรีษะ (ทที่ าํ ใหผ มรวง) ใหผาผลแอปเปล ออกเปน สองซกี โดยเอาเมล็ดและใสข องมันออก จากน้ันใหใสกาํ มะถันลงไปเลก็ นอ ยตรงกลางที่ เปน หลมุ หลงั จากนน้ั ใหประกบสองสว นของผลแอปเปลเขาดว ยกนั แลว รดั มนั ใหแ นน ตอจากนน้ั ใหนาํ มันไปยา งบนไฟจนกระท่ังสุก และเมอื่ ผลแอปเปล สุกดแี ลว ใหนาํ มันมาบดใหเ ละ จากนน้ั ให ทามนั ลงบนสว นตางๆ ของรา งกายของผทู ม่ี อี าการปว ย” แอปเปลคอื ยารักษาอาการไอ “นา้ํ ตม ของดอกแอปเปล ในปรมิ าณ 30 กรมั ตอนํา้ 1 ลิตร จะชว ยบรรเทาอาการไอตา งๆ และในกรณนี ้ี ทั้งดอกสดและดอกแหง ของตนแอปเปล ไมม ีความแตกตา งกนั สามารถใชไดทัง้ สอง อยาง” (39) ซะฟร ญัล (Quince) ‘ซะฟร ญัล’ (Quince) มชี อ่ื เปนภาษาเปอรเซยี วา ‘เบฮ’ เปน ตนไมข นาดเลก็ อยใู นตระกูล Cydonia obonga ซึ่งสว นใหญจะปลูกกนั ในเขตทวีปยโุ รปแถบเมดิเตอเรเนียนและแอฟริกาเหนอื และกลาวกนั วา ถนิ่ กําเนดิ ของมนั อยูใ นประเทศอหิ รานและกอฟกอซิสถาน ผลของซะฟร ญลั มขี นาดตางกัน ขนาดโดยเฉลยี่ ของมนั มีความยาวประมาณ 10 ซม. และ ความกวา งของมันประมาณ 7.5 ซม. สผี วิ ดานนอกของมนั หลงั จากสกุ แลว จะมีสเี หลืองและมกี ล่ิน หอม รสของมนั หวานอมเปรย้ี วและมคี วามฝาดเลก็ นอ ย ผิวของมนั จะมขี นปยุ นมุ ๆ ปกคลุมอยู แตละผลจะมหี า สว น แตละสว นจะมีสบิ สองเมล็ด ซงึ่ อยูในเปลือกหุม เมลด็ ของมันมีสนี าํ้ ตาล หากเคย้ี วมนั จะใหก ล่ินคลา ยเมลด็ อลั มอนดข ม “ซะฟรญัลนน้ั เปรีย่ มไปดวยวติ ามินเอและบี มีเกลอื แรแ คลเซยี มและแทนนนิ อย”ู (40) ในคาํ แนะนําสง่ั สอนของอสิ ลาม ไดอ นญุ าตในการรบั ประทานผลซะฟร ญัลไวส าํ หรบั กรณี ตา งๆ ตอ ไปนี้ และพรอมกันนั้นไดแนะนํามนั ในฐานะอาหารของบรรดาศาสดาแหง พระผูเ ปน เจา 1.ทา นอมิ ามซอดิก (อ.) ไดก ลาววา “ซะฟร ญลั จะปรับปรุงสภาพของกระเพาะใหดีขึ้น บํารุงหวั ใจใหแ ข็งแรง และอัลลอฮม ไิ ดสง ศาสดาทา นใดมา เวน แตศ าสดาทานน้นั ไดรับประทานผล ซะฟรญลั ” (41) (39) ซับซีฮอ วา มีเวฮฮอเย ชะฟาบคั ช, หนา 218. (40) ซับซฮี อ วา มีเวฮฮอเย ชะฟาบคั ช, หนา 188. (41) วะซาอลิ ชุ ชีอะฮ, เลม ท่ี 17, หนา 132.

“ปจ จุบันพวกเขานับวา (ซะฟรญลั ) มีคุณคา สาํ หรบั การกระตนุ ใหเ กิดความอยากอาหาร บํารุงกระเพาะและตบั ขจัดความผิดปกตขิ องหวั ใจ ระงับการไหลของเลือด เลือดออกตามไรฟน และปาก รกั ษาอาการเปน หดิ และอาการระคายเคืองบนผวิ หนงั ” (42) ในหนงั สอื โภชนาการเลมหนงึ่ ไดอธิบายถงึ คณุ สมบัติของผลซะฟร ญลั ไวเ ชนน้ีวา “ผลท่ีหวานของมันใชดับความหนาวเยน็ และปรบั สภาพรา งกายใหเ กดิ ความสมดุล และ ในทา ยที่สดุ (ของคณุ ประโยชนจ ากมนั คอื ) จะชวยขับความชน้ื ขบั ปส สาวะ บาํ รงุ กระเพาะ หวั ใจ และสมอง และทําใหเ กดิ ความเบิกบานใจและความกระปรก้ี ระเปรา” (43) 2.นอกเหนอื จากคุณสมบตั ติ างๆ ดังกลา วแลว ทา นอิมามอะลี (อ.) ยงั ไดชีใ้ หเหน็ ถงึ คุณสมบัติอีกประการหน่ึงของซะฟร ญัล ซง่ึ เปน ไปไดวา ในอนาคตดวยการพฒั นาการของวิชา ความรูจะทาํ ใหส่ิงดงั กลาวเปนท่ีประจกั ษช ัด ทา นไดก ลา วเชน นว้ี า “การรบั ประทานซะฟร ญัล จะชวยเพ่ิมพลงั ใหแกห ัวใจทอี่ อ นแอ จะทาํ ใหก ระเพาะอาหาร มกี ลน่ิ หอม จะทําใหห วั ใจสะอาด และจะทําใหค นขี้ขลาดกลายเปน คนกลาหาญ” (44) คณุ สมบัตทิ ่ีกลา วเพ่ิมไวในคาํ รายงานบทน้คี ือ การทาํ ใหก ระเพาะอาหารมีกลน่ิ หอม และ การทาํ ลายความขลาดกลวั อยางไรก็ดี เนอื่ งจากมีเอสเซนิ ซ (45) (Essence) (สารนา้ํ หอม) อนั เปน เฉพาะอยู จงึ ทําใหป ากและกระเพาะอาหารมีกลิน่ หอม สว นกรณีของการขจดั ความกลวั หรอื การทาํ ใหมจี ิตใจเขม แข็ง ซ่งึ เปน คณุ สมบัตปิ ระการ หนงึ่ ทเ่ี กีย่ วกบั สภาพจิตใจของมนษุ ย อิสลามไดอธบิ ายถงึ คณุ สมบัติเชน นไ้ี วส าํ หรับผลไมบางชนดิ ปจจุบนั บรรดานกั โภชนาการไดคนพบประเดน็ ดงั กลาวนีท้ ว่ี า ผลไมบ างชนิดมผี ลอนั เปน เฉพาะสาํ หรบั จิตใจของมนษุ ย “แคนตาลูปทยี่ งั ไมส ุกงอมจะมีรสเปร้ยี วทม่ี ลี ักษณะเฉพาะตัว ซง่ึ จะทาํ ใหเ กิดความขลาด กลัวและจะทําลายความกลา หาญใหห มดไป แอปเปลเปรีย้ วก็มคี ุณสมบตั เิ ชนนี้เหมอื นกนั แตงกวาเมื่อผลของมนั สกุ งอมและมีสีเหลืองจะมรี สเปรย้ี วเล็กนอย และจะทาํ ใหเ กดิ ความ ขลาดกลัว สว นแคนตาลูปทีม่ ีรสหวานจะขจัดความหวาดกลวั ใหห มดไป และจะทําใหม นษุ ยเ กดิ ความกลา หาญ นํ้าตาลตา งๆ ทม่ี อี ยใู นผลไมท ง้ั หลายจะมีคุณสมบตั เิ ชนนไ้ี มม ากก็นอย ปจจบุ นั ใน ประเทศองั กฤษไดมีการผลติ ตัวยาชนดิ หน่งึ ทีม่ ีความเชอ่ื วาจะตอตา นความขลาดกลัว ซึง่ โครงสรางของมนั นนั้ มีลกั ษณะคลา ยคลงึ กบั นํ้าตาลของผลไมต างๆ (42) เอาวะลีน ดอนชิ กอฮ, เลม ท่ี 10, หนา 88. (43) มคั ซะนุล อดั วียะฮ, อกั ษร ‘ซีน’. (44) ซะฟนะตุล บิฮาร, เลมท่ี 1, หนา 629 ; บิฮารลุ อนั วาร, เลม ท่ี 66, หนา 170. (45) Essence คือสารท่ที ําใหกล่ินหอมชนิดหนึ่งทอี่ ยูใ นรปู ของเหลวหรอื นาํ้ มันระเหย ซึง่ ถูกพบในพืชหรือสตั ว.

เหตุผลของประเด็นดงั กลา วน้กี ็คือ เมือ่ บคุ คลเกิดความหวาดกลวั สีผวิ ของเขาจะซดี เผอื ด และในทนั ใดนน้ั หากนาํ เอาปส สาวะของเขาไปตรวจสอบ จะพบวา มนี าํ้ ตาลปรากฏอยูในปส สาวะ ของเขา บุคคลนมี้ ิไดเปน โรคเบาหวาน ซงึ่ ในวนั ตอไปจะไมม ีนาํ้ ตาลปรากฏอยูใ นปส สาวะของเขา เมอื่ มนษุ ยเกดิ อาการหวาดกลวั นาํ้ ตาลในเลือดปริมาณหนง่ึ จะออกมาพรอมกบั ปส สาวะ ของเขา ดว ยเหตนุ ้ี ทกุ ๆ ครั้งภายหลงั จากเหตกุ ารณตา งๆ ทนี่ าสะพงึ กลัว จงึ จาํ เปน ตอ ง รับประทานนาํ้ ตาลเพือ่ ทดแทนสง่ิ ที่สูญเสยี ไป และในชว งเวลาทีเ่ กดิ ความหวาดกลัว และเมื่อสผี วิ ซีดเผือดลง จงรบี รับประทานนา้ํ ผลไมห รือน้ําหวาน” (46) 3.ทา นศาสนทตู แหงอัลลอฮ (ศอ็ ลฯ) ไดก ลาวถงึ คุณสมบตั ิอีกสวนหนง่ึ ของผลซะฟร ญัลไว ในฮะดีษบทหนง่ึ ซ่งึ ไดแก การบํารุงสายตา และทําใหเ กดิ ความรกั ใครและความเปน มติ ร และทาน ไดส ่ังเสียใหบรรดาสตรที ต่ี ั้งครรภรบั ประทานมนั เพอ่ื จะทาํ ใหท ารกของพวกเขาทจี่ ะถือกําเนิด ขน้ึ มามีลกั ษณะรูปรา งและหนา ตาท่สี วยงาม ดังเชน ทท่ี านไดกลา ววา “ทา นทงั้ หลายจงรับประทานผลซะฟรญัล และจงมอบเปน ของขวัญใหกนั ในระหวา งพวก ทา น เพราะแทจริงมนั จะทาํ ใหส ายตาสวา งไสว จะสรา งความรักใครขนึ้ ในหัวใจ และทา นทง้ั หลาย จงใหบ รรดาสตรีที่ตง้ั ครรภข องพวกทา นรับประทานมนั เพราะแทจ รงิ มันจะทาํ ใหล ูกๆ ของพวก ทานสวยงาม” (47) ประเดน็ ของการเสริมสรางความรักกเ็ ปน อกี คุณสมบตั หิ นึ่งทเี่ กย่ี วขอ งกบั จิตใจของมนษุ ย ซ่งึ ทา นศาสนทูตแหงอลั ลอฮ (ศอ็ ลฯ) ไดช ้ีใหเหน็ จากคําพดู ขา งตน ประเดน็ ของการทาํ ใหส ายตาสวา งไสว เกย่ี วของกบั วติ ามินเอ ซง่ึ มีอยใู นผลซะฟร ญลั อยางไรก็ตาม ประเดน็ ความสวยงามของบุตรน้นั เก่ยี วของโดยตรงกบั ความมีสขุ ภาพพลานามัยท่ี สมบูรณข องมารดา โดยเฉพาะตับและสารอาหารตางๆ ทน่ี างไดร บั เนือ่ งจากสารอาหารเหลานั้น จะชวยสรา งอวัยวะตา งๆ ของทารกนอยในครรภ “สผี วิ (ผิวพรรณ) ของทารกเปนเครื่องชที้ ด่ี ีทสี่ ดุ ทจ่ี ะชใ้ี หเหน็ ถงึ สขุ ภาพของตับและตอม ตา งๆ ในรางกายของมารดา ดวยเหตนุ เี้ อง เพอ่ื ทีจ่ ะใหบ รรดาบตุ รของพวกเขามผี ิวพรรณและ ใบหนา ทง่ี ดงาม และทาํ ใหต บั ของเขามีสขุ ภาพพลานามยั ที่สมบรู ณ ดงั นนั้ ในชว งการตั้งครรภจง มุงแสวงหาบรรดามิตรสหายของตับ” (48) หนง่ึ จากบรรดามิตรสหายของตับและกระเพาะอาหารกค็ อื ผล ‘ซะฟรญลั ’ ซง่ึ ไดก ลาวไป แลวขา งตน (46) อิอยาซ คูรอกฮี อ, หนา 106. (47) ซะฟนะตลุ บิฮาร, เลมที่ 1 หนา 106 ; บฮิ ารุล อันวาร, เลมที่ 66, หนา 176. (48) อิอย าซ ครู อกีฮอ, หนา 236.

องุน (Grape) ‘องุน ’ เปน ผลไมด้งั เดิมของมวลมนุษย ผลขององุนประกอบไปดวยสว นตา งๆ คอื เปลอื ก เนอื้ และเมล็ด บรรดานักโภชนาการไดก าํ หนดปริมาณองคป ระกอบตา งๆ ของมนั เอาไว ในเน้อื องนุ ปรมิ าณ 100 กรัม ประกอบดว ยธาตตุ างๆ ตอไปน้ี น้ํา 72.92 กรมั , นํ้าตาล 23.51 กรมั , Cream of tartar 0.052 กรัม, กรดทารเ ทรกิ 0.029 กรัม, กรดมาลิก 0.029 กรมั , ธาตไุ นโตรเจน 0.038 กรมั , ธาตตุ างๆ ที่ยงั ไมไดหาคา 1.80 กรัม, เกลอื แร 0.015 กรมั อยา งไรกต็ าม สว นประกอบทางดานเคมขี ององุน นน้ั ไมตายตัวเสมอไป ข้นึ อยูกับพน้ื ดนิ ท่ี ใชปลูก น้าํ พนั ธุข องตน ไม ภมู ิประเทศ และความสกุ หา มของผลองนุ วิตามินตางๆ ขององุน 1.วติ ามนิ ซีซง่ึ อยูในองนุ สดบางชนดิ ใน 1 กโิ ลกรัม มถี ึง 95 มลิ ลิกรมั หรือบางครัง้ กพ็ บอยู ท่ปี ริมาณ 38 มิลลกิ รมั 2.ในนาํ้ องนุ คร้นั มวี ิตามนิ บ1ี อยูประมาณ 0.5 มิลลกิ รมั 3.ใน 1 กิโลกรัม มวี ติ ามินบี2 ปริมาณ 0.230 มิลลิกรัม ผลจากการครัน้ การแยกเปลือก และการเอาเมลด็ ออกจะทาํ ใหวิตามนิ ซแี ละวิตามนิ บ2ี ลดปริมาณลง 4.ใน 100 กรัม มปี รมิ าณของวติ ามินเอ 80 หนว ยสากล และมวี ติ ามนิ พีพี 0.05 มลิ ลิกรมั ในคาํ รายงาน (ริวายะฮ) ตา งๆ ของอสิ ลามชใ้ี หเหน็ วา องนุ มีสารอาหารทคี่ รบถว นสมบรู ณ 1.ทา นอมิ ามรฎิ อ (อ.) ไดก ลา ววา ทา นอมรี ุลมุอมินีน (อ.) มักจะรบั ประทานขนมปงกับผล องุน “ทา นมักจะรบั ประทานผลองนุ กบั ขนมปง เสมอ” (49) 2.และทา นอมรี ลุ มุอมนิ ีน อะลี อิบนอิ บฏี อลบิ (อ.) ไดก ลาววา “องุนคือแกงปรงุ รสขนมปง เปนผลไม เปน อาหารและเปน ของหวาน” (50) ทานอิมามอะลี (อ.) ไดกลา วถึงองนุ ในฐานะผลไมช นดิ หนง่ึ ในขณะเดยี วกนั ทา นถอื วา มัน คืออาหารชนดิ หนง่ึ ยง่ิ ไปกวานนั้ มนั คอื แกงปรุงรสสาํ หรับขนมปง ของพวกทา น และสามารถใช ประโยชนม นั ในฐานะของอาหารหวานทีม่ คี วามสด (49) บิฮารลุ อนั วาร, เลม ท่ี 66, หนา 150. (50) บฮิ ารลุ อันวาร, เลมท่ี 66, หนา 150.

เนอ่ื งจากในสมยั นน้ั ประชาชนยงั ไมมคี วามรแู ละความเขา ใจในเรอ่ื งของคุณคาทางอาหาร มากนกั ทา นอิมามอะลี (อ.) จึงไดอธิบายมันไวในลกั ษณะสนั้ ๆ โดยสรุปวา องนุ คืออาหาร ของ หวาน และเปน แกงอยางหนงึ่ 3.ทา นศาสนทตู แหง อัลลอฮ (ศ็อลฯ) ไดกลา ววา “อาหารทด่ี ที ี่สุดของพวกทา นคือขนมปง และผลไมที่ดที ีส่ ุดของพวกทา นคอื องนุ ” (51) ในคาํ พดู ของทานศาสนทตู (ศอ็ ลฯ) องนุ ถกู กลา วถึงคูกับขนมปง และถกู แนะนาํ ในฐานะ ผลไมทดี่ ีอยางหนงึ่ จากคําพูดของบรรดาผนู ําทางศาสนาทาํ ใหส รุปไดว า องุนเปน อาหารท่มี ีคณุ คาครบถว น สมบูรณ “องุนเปน ผลไมทม่ี ีคุณประโยชนสงู ชนดิ หนึ่ง มีคณุ สมบัติตางๆ ท่สี ามารถเรยี กไดว าเปน รานจาํ หนายยา (ศนู ยร วมยา) ทางธรรมชาตแิ หงหนงึ่ … องุน และลูกเกด คืออาหารซ่ึงยอ ยไดงา ยดายมากสําหรบั มนุษย เนือ่ งจากนาํ้ ตาลจะเขา สู กระแสเลอื ดโดยไมต องมกี ารเปลย่ี นแปลงสภาพใดๆ และไมม คี วามยากลาํ บากใดๆ สําหรับ รางกายในการยอยสลายมนั ในขณะทน่ี าํ้ ตาลและสารอาหารอน่ื ๆ จาํ พวกแปงจะไมเ ปนเชน นี้ ความเปรย้ี วขององนุ (สภาวะความเปน กรด) จะผา นกระเพาะไปสูลาํ ไสตางๆ ไดอยา ง งา ยดาย ในขณะที่อาหารชนิดอ่ืนๆ สภาวะความเปน กรดในกระเพาะอาหารจะทาํ ใหเกิดปฏกิ ริ ิยา อันเฉพาะอยา งหนง่ึ และจะผลกั ดันอาหารตางๆ ออกไปจากกระเพาะ ดว ยผลของนา้ํ ตาลขององนุ ที่เขา สเู สน เลือด จะทาํ ใหเ กดิ สารตางๆ ทส่ี รา งพลงั งานใหก บั กลา มเนอื้ ท้ังหลาย บรรดาแพทยจ ะฉีดน้าํ ตาลที่ไดจ ากองุน เขาสูร า งกายของผปู ว ยทไ่ี มส ามารถรับประทาน อาหารได และจะรักษาผปู ว ยใหอยูไดในระยะเวลาหนงึ่ โดยไมตองรบั ประทานอาหาร ผลของการรบั ประทานองนุ จะทาํ ใหกระเพาะทําหนาทยี่ อ ยอาหารไดอยางสมบูรณ ทาํ ให การขบั ถายปส สาวะมากขนึ้ และผลของมันคอื ทําใหย เู รยี และความเปน กรดในปส สาวะลดนอ ยลง เพิ่มธาตุไนโตรเจนและนา้ํ ตาล เพิม่ ปรมิ าณการหลัง่ ของนา้ํ ดี และจะทําใหเกดิ กระบวนการออกซิ เดชนั่ (Oxidation) ตามความเช่ือของนายแพทยผูม ชี ่ือเสียงทา นหนงึ่ องนุ จะชวยยบั ยงั้ ปฏกิ ิรยิ าตางๆ ตอ ไปนี้ คือ การทาํ ใหเ กดิ กรดและการแนน เฟอในกระเพาะ อาหารไมยอย เลือดออก การเกิดนว่ิ ในไตและ ถุงนาํ้ ดี การแพส ารพษิ ทเี่ รอ้ื รังจากสารปรอทและสารตะกวั่ โรคผวิ หนังบางอยาง โรค T.B.บาง ชนดิ และโรครมู าตสิ ซึม องุน จะชวยทาํ ความสะอาดอาหารท่ีตกคางจากกระเพาะและลําไส เนอื่ งจากมันจะชว ยทาํ ใหเกิดผลดีตอ การเผาพลาญอาหารเหลานนั้ (51) บิฮารุล อนั วาร, เลมท่ี 66, หนา 150.

ผลของการเยยี วยาขององนุ ทีม่ ีตอโรครูมาตสิ ซมึ โรคตางๆ เก่ยี วกับเสนเลอื ดใหญ โรค เกาต โรคความดันโลหิตและการเพ่มิ ปรมิ าณของยูเรยี ในเลือด เปน ทีช่ ดั เจนวา องนุ จะชว ยฟอก เลือดและระบายทอง จงึ นับไดวา มนั คือสว นหนงึ่ จากบรรดาผลไมท่ีดเี ยยี่ มที่สดุ ” (52) องนุ กับนํ้านมมารดา ในดานคณุ สมบัติของนา้ํ องนุ นนั้ มคี วามใกลเ คยี งกับนาํ้ นมของมารดามากทสี่ ุด และใน ที่น้ีเราจะเปรยี บเทียบสว นประกอบตา งๆ ของมันกบั นาํ้ นมของมารดา สารอาหารในอัตราสว น 100% นํา้ นมมารดา น้าํ องนุ นํ้า 89 83 1.5 1.3 ไนโตรเจน 0.4 1.3 เกลือแร 7 12 นา้ํ ตาลธรรมชาติ บคุ คลใดก็ตามทป่ี รารถนาจะใหส ขุ ภาพพลานามยั ของตนเองสมบรู ณ เขาจะตอ งไม หลงลืมจากการรบั ประทานองุน และจะตอ งรบั ประทานมนั ในปรมิ าณทเี่ พยี งพอ องุนจะทาํ ลายสภาวะความเปน กรดของเลอื ดใหห มดไป และจากความสมั พนั ธดงั กลาวน้ี ในทุกๆ 1 กโิ ลกรมั จะเทียบเทากับโซเดียมไบคารบอเนต (Sodium bicarbonate) ปริมาณ 6 กรัม องุนจะทาํ ใหเกดิ ความรอนตอ รา งกายไดมากกวาเนอื้ สตั วถ ึงสองเทา ในทางกลบั กัน เน้อื สัตวท ี่ไมม พี ษิ ใดๆ มนั จะเปนตัวตา นสารพิษ และในทุกๆ 1 กิโลกรมั ขององนุ นน้ั เทยี บเทา กบั นมสดในปรมิ าณหน่ึงซง่ึ มคี ณุ สมบตั ิในการตา นสารพษิ “องนุ จะทาํ ใหน ้ําดีเจอื จางลง และจะชว ยเยียวยารกั ษาคอเรสเตอรอลในเลอื ดไดเ ปนอยา ง ดี องนุ จะทําใหอ ว นและทาํ ใหผอมได องนุ คอื อาหารทมี่ คี ุณคา สมบูรณอยา งหนง่ึ และส่งิ ซึ่งอาหาร ที่มีคณุ คา สมบูรณค วรมนี น้ั ไดถกู รวมอยใู นองนุ มนษุ ยเ ราสามารถดาํ รงชวี ิตอยไู ดใ นระยะเวลา หนงึ่ โดยการรับประทานขนมปงและองนุ ” (53) สิง่ ทเ่ี ราไดกลาวไปนน้ั คอื คณุ คาตางๆ ขององนุ ท่มี ตี อ รางกาย อกี คณุ สมบตั ิหนง่ึ ขององนุ ที่ มีผลโดยตรงตอ จิตใจของมนษุ ย คือการขจดั ความทกุ ขโศกและความกงั วลใจ (52) อซั รอร คูรอกีฮอ, หนา 91. (53) อัซรอร คูรอกีฮอ, หนา 92.

ทานอิมามซอดกิ (อ.) ไดกลาววา ทา นนบนี ูฮ (อ.) ไดรอ งทกุ ขตออัลลอฮ (ซบ.) ถงึ ความ ทกุ ขใ จ ดังนัน้ อัลลอฮ (ซบ.) ไดท รงวิวรณ (วะฮย )ู แกท านวา “เจา จงรับประทานองนุ เถดิ ! เพราะ แทจรงิ องนุ นนั้ จะขจัดความทุกขกงั วลใจใหหมดไป” (54) เราสามารถพสิ ูจนถงึ ความเกีย่ วขอ งและความสมั พนั ธ ทอ่ี งุนมีผลตอการขจดั ความทกุ ข โศกและความกงั วลใจไดจาก 2 หนทางคอื 1. “องุน มโี ปรแตสเซียม ซึง่ สารดงั กลาวน้ีจะทาํ ใหเกดิ ความเบิกบานใจ และมันจะชว ย เยียวยารักษาอาการเตน ของหวั ใจทท่ี ําใหเ กดิ ความทุกขโ ศกและความกงั วลใจ และในอกี ดานหนง่ึ มันมีสารฟอสเฟตในปรมิ าณมาก ซ่ึงเปน อาหารของสมองและระบบประสาท และใครก็ตามท่ีมี ระบบประสาทเขมแข็ง เขากจ็ ะพิชิตความโศกเศรา และความทุกขกงั วลได อกี ประการหนงึ่ องนุ นนั้ มแี คลเซียม และการขาดแคลเซยี มจะทําใหเกดิ ความทกุ ขโศก และความกงั วลใจ และสว นหนงึ่ จากสญั ลกั ษณต างๆ ของโรควณั โรค (T.B.) นนั่ คอื ความทุกขโ ศก และความกงั วลใจ และสง่ิ นจ้ี ะเกดิ ข้ึนในชว งเวลาที่แคลเซยี มในรา งกายมีปริมาณนอ ย และจะทํา ใหค วามทุกขโศกและความกังวลใจพิชติ เหนอื บคุ คลนนั้ ” (55) 2. “อาการทอ งผูกจะเปน สาเหตทุ าํ ใหส ารพษิ ตา งๆ ทม่ี อี ยใู นกากอาหารถกู ดูดซมึ เขา ไป ใหม และผทู ี่รา งกายของเขารับสารพษิ ตางๆ เขา ไป จะเปน ผทู ม่ี คี วามทุกขก งั วลตลอดเวลา องนุ จะชวยขจดั อาการทองผกู และผลของมันกค็ ือการขจดั ความทกุ ขกงั วลใหห มดไป องุน จะชว ยขจดั สารพิษตา งๆ ของจุลินทรียใหห มดไป และผใู ดก็ตามทป่ี ลอดภยั จาก สารพิษ เขากจ็ ะปลอดภยั จากความทกุ ขโ ศกและความกังวลใจ” (56) จากจุดท่ีวาอสิ ลามจะใหคําแนะนาํ แกเ ราในทุกๆ เรือ่ ง ดังนน้ั ในเร่ืองของการรับประทาน ผลไมอยางเชน องนุ ก็ไดใหค ําแนะนาํ แกเราดว ยเชน กนั ทา นศาสนทูตแหงอัลลอฮ (ศอ็ ลฯ) ไดกลาววา “ทานทง้ั หลายจงรับประทานองนุ ทีละเม็ด ที่ละเมด็ เพราะแทจ รงิ แลว การรับประทานเชนนน้ั จะใหคณุ คา และยอ ยไดง า ยดายกวา ” (57) ไมตอ งสงสยั เลยวา การรับประทานองนุ ตามคาํ แนะนาํ ดังกลา วนี้ จะมผี ลในดา นการยอ ย อาหารและสภาพการทาํ งานของกระเพาะ ทานอมิ ามซอดิก (อ.) ไดก ลา ววา “สองสิ่งทสี่ มควรรับประทานดวยมือทงั้ สองขา ง คอื องุน และทบั ทมิ ” (58) (54) บิฮารุล อนั วาร, เลม ที่ 66, หนา 149. (55) อัซรอร คูรอกีฮอ, หนา 96. (56) เอาวะลนี ดอนิชกอฮ, เลมที่ 7, หนา 285. (57) บฮิ ารลุ อันวาร, เลมที่ 66, หนา 147. (58) บฮิ ารลุ อันวาร, เลม ท่ี 66, หนา 149.

จดุ ประสงคจ ากการรบั ประทานดวยมือทง้ั สองกค็ ือ มือหนงึ่ จับพวงองนุ หรือซกี หน่ึงของผล ทบั ทมิ ไว และอีกมอื หน่งึ คอยๆ แกะผลหรอื เมล็ดของมนั รับประทานทลี ะผลหรือทีละเมลด็ ซงึ่ นีเ่ ปน การบงช้ใี หเ ราคอยๆ รบั ประทาน อยา เรงรบี ในการรบั ประทานหรือกลนื มัน ลูกเกด (องุนแหง ) “ดว ยผลจากความแหง ขององุน จะทาํ ใหเ ซลลโู ลสและนา้ํ ของมนั ปรมิ าณหนงึ่ เปล่ียนเปน นาํ้ ตาล ภายใตการทาํ ปฏิกริ ิยาของไดอะเทส (Diastase) ที่มีอยูใ นเปลอื กขององนุ กลายเปน แหลงกาํ เนิดของพลงั งาน ดว ยผลจากความแหง ขององุนและกลายเปน ลูกเกด มไิ ดทาํ ใหม นั สญู เสยี คณุ คา ใดๆ ไป แตในทางกลบั กนั ดังทีเ่ ราไดก ลา วไปแลว นํ้าตาลของมันจะเพ่ิมมากขนึ้ และผลในการใหพ ลงั งาน ของมนั กจ็ ะเพมิ่ มากขนึ้ และจะมคี ุณสมบตั ทิ ําใหป อดโลง ” (59) คณุ สมบตั ติ า งๆ ของลกู เกดท่ถี กู อธบิ ายไวใ นคํารายงาน (ริวายะฮ) ทั้งหลายของอสิ ลาม มี ดังตอ ไปนี้ 1.ทานศาสนทตู แหง อลั ลอฮ (ศ็อลฯ) ไดกลาววา “ทานทง้ั หลายจงใหความสาํ คญั ตอการ รับประทานลกู เกด เพราะแทจรงิ มนั จะชว ยดับนํ้าดี ขจดั เสมหะ บาํ รงุ ประสาท ขจดั ความเมื่อยลา ทาํ ใหม ีมารยาททด่ี งี าม ทาํ ใหลมหายใจมกี ลนิ่ หอม และจะชว ยขจัดความทุกขก งั วล” (60) ในคํารายงานบทนีไ้ ดอธิบายถงึ คณุ สมบตั ขิ องลกู เกดไว 7 ประการ จากการพิจารณาสิง่ ที่ ไดก ลา วไปแลว เก่ียวกับลกู เกด ซึง่ มคี ุณสมบัตทิ กุ ประการขององนุ ในปริมาณทม่ี ากกวา ทําใหเ ห็น ถึงความมหัศจรรยใ นคําพูดของทา นศาสนทูต (ศอ็ ลฯ) มากยงิ่ ข้นึ เนอ่ื งจากเราไดร บั รูไปแลว วาองนุ นน้ั จะใหค วามรอนแกรา งกาย และจากความสมั พนั ธ ดังกลาวนี้ ในทุกๆ 1 กิโลกรมั ขององนุ เทยี บเทา กับเนื้อสัตวปริมาณ 2 กโิ ลกรัม แนนอนยิง่ ดวยกับความเพม่ิ ขึน้ ของปรมิ าณความรอ นในรางกาย จะชว ยบํารงุ ประสาทให เกิดความแขง็ แรง จะขจดั ความออ นเพลยี และความเมื่อยลา ของรา งกายใหห มดไป และ เชน เดยี วกนั เสมหะซงึ่ เปน สญั ลักษณข องความเกยี จครา นและความออ นเพลยี ก็จะถกู ขจดั ใหห มด ไป และเราไดรบั รูแลว เชน กนั วา องนุ จะชว ยขบั สารพิษตา งๆ ของรา งกาย และจาก ความสัมพันธด ังกลาว ในทกุ ๆ 1 กิโลกรมั ของมันเทยี บเทา กบั ปริมาณนมสด 1 ลติ ร และเนือ่ งจาก มธี าตุเหลก็ แมงกานิสและแมกนีเซยี ม มนั จงึ มปี ระโยชนต อ เลือด ซ่งึ จะชวยรักษาภาวะโลหิตจาง (59) อัซรอร ครู อกีฮอ, หนา 90. (60) ซะฟนะตลุ บิฮาร, เลมท่ี 1, หนา 542 ; บฮิ ารุล อันวาร, เลมที่ 66, หนา 151.

เน่อื งจากองนุ มคี ณุ สมบัตใิ นการตอ ตานสารพิษและสารยูเรยี จึงเปน การเยยี วยาทด่ี ีทสี่ ดุ สําหรับผทู ปี่ ระสบกบั ปญ หายูเรยี เนื่องจากมนั จะชว ยระบาย จงึ ทาํ ใหก ระบวนการหมักและการติด เชอื้ ตา งๆ ของลําไสลดนอยลง แนน อน เม่ือองนุ มีคุณสมบตั ใิ นการขับสารพษิ ทาํ ใหร ะบายและขจัดอาการทอ งผกู ดงั นน้ั จงึ ทาํ ใหภาวะความซึมเศรา ความออ นเพลยี และมารยาทท่ีเลวรา ยหมดไป แตใ นทางกลับกนั มนั จะทําใหม นุษยร ูสึกเบิกบานใจ มีอารมณและมารยาททดี่ งี าม และเราไดกลา วไปแลว เชนกนั วา องนุ น้ันจะทาํ ใหนา้ํ ดีเจอื จางลง และจะชว ยเยยี วยารกั ษา คอเลสเตอรอลในเลอื ดไดมาก จึงทาํ ใหเ ห็นถงึ ความมหศั จรรยอกี ประการหนงึ่ จากคาํ พดู ของ ทานศาสนทูต (ศอ็ ลฯ) สงิ่ ทนี่ า มหัศจรรยยงิ่ ไปกวา นั้นกค็ อื ทา นศาสนทตู แหง อลั ลอฮ (ศอ็ ลฯ) มไิ ดก ลาวถงึ คณุ สมบัตติ า งๆ เหลา น้ไี วใ นเรอื่ งขององนุ สด แตกลบั อธบิ ายไวใ นเรื่องของลูกเกด (องุนแหง ) จึงทาํ ใหเ หน็ ถงึ คณุ คา และคณุ สมบัติท่ีมมี ากกวา ของลกู เกด ดังทเ่ี ราจะกลา วถงึ ตอ ไปนี้ ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮ (ศ็อลฯ) ไดกลา วเกย่ี วกับเร่ืองนวี้ า “ทา นทั้งหลายจงให ความสาํ คญั ตอการรับประทานลูกเกดเถิด! เพราะแทจ รงิ มันจะชว ยดบั น้าํ ดี ขจัดเสมหะ จะทําใหม ี สุขภาพรา งกายทีส่ มบูรณ จะทําใหมีมารยาทท่ีดงี าม จะชว ยบํารงุ ประสาทใหเขมแข็ง และจะชว ย ขจดั ความผอมแหงของรา งกาย” (61) เปน ทชี่ ัดเจนวา เมื่อและสุขภาพพลานามยั และรางกายทส่ี มบรู ณไ ดก ลับคนื มาสมู นษุ ยอีก ครั้งหนง่ึ มนั จะทาํ ใหค วามผา ยผอมซง่ึ เกดิ จากความเจ็บปว ยและอืน่ ๆ หมดไปจากเขา คาํ แนะนาํ ของทา นศาสนทตู (ศอ็ ลฯ) คอื สือ่ ชนี้ ําสําหรบั ผทู ป่ี รารถนาจะมีรา งกายทอี่ ว นทวนสมบรู ณ “หากพวกทา นมรี างกายทีผ่ อมแหง พวกทา นจะสามารถอวนทว นไดด ว ยการปฏบิ ัติตาม คําแนะนาํ น…ี้ ในอาหารม้อื เชา พวกทา นจงรับประทานผลไมท ่ีมรี สหวานมากๆ เชน องนุ ลกู เกด อนิ ทผลมั มะเดอ่ื และหมอนสดหรือแหง ก็ได” (62) ดงั ทท่ี านทงั้ หลายไดท ราบแลว วา องนุ นนั้ มคี ุณสมบตั พิ เิ ศษสองประการ คือทาํ ใหผ ทู ี่ ผา ยผอมอว นทว นสมบรู ณได และทําใหคนอว นทง้ั หลายผอมลงไดโดยวธิ ีการตอไปนคี้ อื “บรรดาคนอวนนนั้ ในตอนเชา ใหร บั ประทานองนุ ที่มรี สเปรีย้ ว และสาํ หรับคนผอมให รับประทานองนุ ที่มรี สหวานมากๆ” (63) และเชนเดยี วกนั ในอสิ ลามไดกําหนดเวลาของการรับประทานลกู เกดไวค ือในชว งเวลา เชา ตรู และปรมิ าณของมนั ถกู เจาะจงไวใ นคําพดู ของทา นอิมามอะลี (อ.) ซ่ึงทา นกลา ววา (61) บิฮารุล อนั วาร, เลม ท่ี 66, หนา 153. (62) อัซรอร คูรอกีฮอ, หนา 134. (63) อัซรอร ครู อกีฮอ, หนา 135.

“บุคคลใดกต็ ามท่รี บั ประทานลกู เกดทม่ี ีสดี าํ จาํ นวน 21 เม็ดกอนอาหารเชา เขาจะไมพ บ กับความเจบ็ ปว ยใดๆ ในรา งกายของเขา” (64) คุณคาท้ังหมดท่ถี กู กลา วถงึ เก่ยี วกบั องนุ และลกู เกด ถกู รวบรวมไวแลว โดยสรุปในคาํ รายงาน (รวิ ายะฮ) บทน้ี อินทผลมั (Date) ‘อินทผลมั ’ เปน ผลไมที่เปน ทรี่ จู ักกันดสี าํ หรบั ทกุ คน จึงไมจําเปน ตอ งอธิบายรายละเอยี ด ของมัน ดว ยการพสิ จู นห ลกั ฐานตา งๆ ทา น ‘อสุ ตาซ บูบีน’ู กลาววา “แหลง กาํ เนดิ ของตน อนิ ทผลัม น้นั อยใู นแผน ดนิ อยี ปิ ต” ปริมาณสว นประกอบตา งๆ ของผลอินทผลมั “ทุกๆ 100 กรมั ของผลอนิ ทผลมั มปี รมิ าณของสว นประกอบตางๆ ดังตอ ไปนี้คือ 1.นํา้ 13.8 ถึง 59 กรัม 2.แอลบมู นี 0.09 ถึง 1.9 กรมั 3.น้ําตาล 37.6 ถงึ 70 กรัม 4.ไขมัน 0.03 ถึง 2.5 กรัม 5.โปรแตสเซียม 64.9 ถงึ 75 มลิ ลกิ รมั 6.โซเดยี ม 4.1 ถงึ 48 มิลลกิ รัม 7.แคลเซยี ม 51 ถึง 75 มิลลิกรัม 8.แมกนเี ซยี ม 51 ถงึ 75 มิลลกิ รมั 9.ธาตเุ หลก็ 1.3 ถึง 6 มลิ ลกิ รมั 10.ทองแดง (คอปเปอร) 0.18 ถงึ 0.28 มิลลกิ รมั 11.กาํ มะถนั (ซัลเฟอร) 43.8 ถงึ 50 มลิ ลกิ รมั 12.คลอรนี 248 ถึง 290 มลิ ลกิ รมั 13.วติ ามนิ เอ 50 ถงึ 100 หนวยสากล 14.วติ ามินบ1ี 0.07 ถึง 0.7 มลิ ลิกรมั 15.วิตามนิ บ2ี 0.05 ถงึ 0.3 มลิ ลกิ รมั 16.วิตามินพพี ี (ไนอะซนี ) 0.06 ถงึ 3.3 มิลลิกรัม 17.วิตามนิ ซี 2.7 ถงึ 10 มลิ ลกิ รมั (64) บฮิ ารลุ อนั วาร, เลม ท่ี 66, หนา 151.

และในทุกๆ 100 กรมั ของผลอินทผลัม จะใหพลงั งานความรอน 157 แคลอรี และมผี ู กลาวไวถ งึ 383 แคลอรี ตอ งขอกลาววา อนิ ทผลมั สด อินทผลมั แหง อนิ ทผลัมเกา และอนิ ทผลมั ชนดิ ตา งๆ ปรมิ าณและสวนผสมของมนั จะมคี วามแตกตา งกนั ” (65) บรรดาผูนาํ แหง อิสลามไดใ หค วามสาํ คัญตอ อนิ ทผลัมเปน พิเศษ ดวยเหตุนเี้ ราจะพบคํา รายงาน (ฮะดีษ) บทหนง่ึ จากทานอิมามซอดิก (อ.) ซง่ึ กลา ววา “อาหารของทา นศาสนทูตแหงอัลลอฮ (ศ็อลฯ) คือขา วบาเลห ห ากทา นมมี ัน และอาหาร หวานของทานคืออินทผลมั ” (67) เราจะพบเหน็ ในคาํ รายงาน (ริวายะฮ) อีกเชน กนั ทท่ี า นอมิ ามอะลี (อ.) จะรบั ประทาน ขนมปง กับอินทผลัม “ทา นจะรับประทานขนมปง กบั อนิ ทผลมั ” (68) ในบางรายงาน (ริวายะฮ) จากทานศาสนทตู แหง อัลลอฮ (ศอ็ ลฯ) และอะอมิ มะฮ (อ.) ได กลา วถึงคุณคา ตา งๆ ของอนิ ทผลัมไว ตวั อยางเชน วนั หนึ่งมีผนู าํ อนิ ทผลมั จาํ นวนหนึ่งมาวางไว เบอ้ื งหนา ทานศาสนทตู (ศอ็ ลฯ) ทา นไดก ลาวเกย่ี วกับมนั วา “แทจ ริงในอนิ ทผลัมของพวกทานนี้มีคุณประโยชน 9 ประการคือ 1.จะทาํ ลายเช้อื โรค 2. จะบาํ รงุ กระดูกสันหลัง 3.จะเพิ่มพลงั ทางเพศ 4.จะบํารงุ หแู ละสายตา 5.จะทาํ ใหเ ขา ใกลช ดิ อลั ลอฮ 6.ทาํ ใหอ อกหา งจากมารราย (ชัยฏอน) 7.ชว ยยอ ยอาหาร 8.ขจดั โรคภัยไขเ จ็บ และ 9.จะ ทําใหป ากมีกลิ่นหอม” (69) ดวยความเจรญิ กา วหนา ทางดา นการแพทยแ ละโภชนาการ ทําใหป ระจักษช ัดถงึ ความ มหัศจรรยในคาํ พดู ของของทา นศาสนทตู แหง อลั ลอฮ (ศอ็ ลฯ) ไดอ ยา งชัดเจน เนอื่ งจากในชว งเวลา ซึ่งยงั ไมมีขา วคราวและความรูใ ดๆ ในเรอื่ งเชื้อโรค แตทานศาสนทตู ไดก ลาวถงึ อนิ ทผลมั วา เปน เคร่ืองปอ งกนั และทําลายเชอ้ื โรค เราทุกคนยอ มทราบกันดวี า เชือ้ โรคนัน้ ไมส ามารถทาํ อนั ตราย ใดๆ ตอ รา งกายทมี่ คี วามสมบรู ณและแข็งแรงได และอนิ ทผลมั นนั้ คือสารอาหารทที่ รงพลงั จากการพิจารณาถงึ ปรมิ าณสว นประกอบตา งๆ ของอนิ ทผลัม ทาํ ใหม องเหน็ ถงึ ประเดน็ นี้ ไดเปน อยา งดี เพราะเราไดกลาวไปแลว วา ในอนิ ทผลมั มีแคลเซยี ม และมนั คือปจ จยั สาํ คัญทที่ าํ ให กระดูกแข็งแรง และมีสารฟอสฟอรัสท่ชี วยยับยงั้ ความออ นแอของระบบประสาทและความ เมือ่ ยลา อกี ท้งั ยงั มีประสทิ ธภิ าพอยา งสงู ในการบาํ รุงสายตา และในอนิ ทผลมั มสี ารโซเดยี มดว ย เชน กนั ซ่งึ จะชว ยยบั ย้งั อาการหวัด มนี า้ํ มกู ไหล และอาการหหู นวก และจะชวยปรับสภาวะความ (65) เอาวะลีน ดอนิชกอฮ, เลม ท่ี 7, หนา 65. (67) มสุ ตัดรอ็ ก อัล วะซาอลิ , เลมที่ 3, หนา 113. (68) วะซาอลิ ชุ ชีอะฮ, เลม ท่ี 17, หนา 104. (69) วะซาอลิ ลุช ชีอะฮ, เลม ท่ี 17, หนา 107.

เปน กรดในระบบการยอยอาหาร และสารโปรแตสเซียมกม็ ีอยใู นอินทผลมั เชน กนั ซึ่งนกั โภชนาการ บางทา นถือวาการขาดมนั คอื สาเหตทุ ่แี ทจ รงิ ทที่ าํ ใหเ กิดบาดแผลและการอกั เสบในกระเพาะ อาหาร การมีอยขู องสารโปรแตสเซียมทําใหเกดิ ความอยากอาหาร และการขาดมนั จะทาํ ใหเกิด โรคตา งๆ เกยี่ วกบั คอหอย โดยเฉพาะอยางย่ิง ภาวะตอมทอนซลิ อกั เสบ (Tonsillitis) บางครงั้ การ อักเสบทีต่ าตมุ ขอเทาเกดิ จากการขาดสารโปรแตสเซียมในรางกาย และความเมื่อยลาจะพบไดเ ม่ือ ขาดสารโปรแตสเซียม เชน เดียวกับที่แคลเซียมกม็ ีความสําคญั อยา งยงิ่ ตอ กระดกู ตางๆ สารโปรแต สเซียมกเ็ ชนเดยี วกนั มคี ุณคา อยางมากตอกลามเนอ้ื และเนอื้ เยือ่ ตา งๆ ในคาํ พูดที่ทา นศาสนทูต (ศ็อลฯ) ไดอ ธิบายคุณคา ตางๆ ของอนิ ทผลมั เราจะพบประโยค หนง่ึ ทวี่ า “จะชวยขจัดโรคภยั ไขเ จบ็ ” ประโยคท่ีคลา ยคลงึ กนั น้ีในคําพดู ของทา นอิมามอะลี (อ.) ท่ีทานกลา ววา “ทา นทงั้ หลาย จงรบั ประทานอินทผลัมเถดิ ! เพราะแทจ รงิ มันจะชว ยเยียวยารักษาความเจ็บปว ยตางๆ” (70) ตามท่บี รรดานกั โภชนาการไดอ ธิบายไว อนิ ทผลมั จะชวยปอ งกนั โรคมะเรง็ “จากสถติ ิตา งๆ ท่ีไดถกู รวบรวมข้นึ ในแถบดินแดนตา งๆ ที่มกี ารรับประทานอนิ ทผลมั กนั มาก จะประสบกับปญ หาของโรคมะเร็งนอ ยกวา เน่อื งจากปจ จบุ นั ไดรับการพิสูจนแ ลววา การขาด สารแมกนเี ซยี มจะเปน สาเหตทุ ําใหเ กดิ โรคมะเร็งได และในอินทผลัมนน้ั มสี ารแมกนเี ซยี มอยูใน ปริมาณมาก ดว ยเหตนุ ้ีเองทช่ี าวอาหรับและผทู ่ีอาศยั อยใู นทองทะเลทราย ทง้ั ๆ ทใ่ี ชช วี ิตอยใู น สภาพท่ขี าดแคลนอาหาร แตเ น่อื งจากการรบั ประทานอนิ ทผลมั จงึ ทาํ ใหพ วกเขาไมตอ งเผชญิ กบั โรคมะเรง็ ” (71) “แมกนีเซยี มมผี ลอนั เปนเฉพาะในการเยยี วยารกั ษาสิวในคนหนุม สาว ดวยเหตนุ บี้ รรดา หนุม สาวท่อี ยใู นวยั บรรลุนิตภิ าวะ และอาศยั อยใู นแถบภูมภิ าคทม่ี อี ากาศกาํ ลงั ดแี ละหนาวเย็น (ไมมกี ารปลกู ตนอินทผลัม) พวกเขาสามารถรับประทานอินทผลมั ไดปริมาณวันละ 2-3 ผล อินทผลัมมปี ระโยชนในการรักษาโรคอัมพาตทัว่ ไปและอมั พาตทใ่ี บหนา สาํ หรับเดก็ ๆ ที่ เปนโรคโปลิโอนัน้ มกี ารแนะนาํ ใหรบั ประทานอนิ ผทลมั ในปริมาณหนงึ่ ตอ วัน อนิ ทผลัมมีประโยชน สําหรับบรรดาผสู งู อายุ เนอ่ื งจากจะชว ยบํารุงระบบประสาท ลา สดุ พวกเขาไดพ บวาการขาดสาร แมกนีเซยี มจะทําใหมนี าํ้ ตาลเกิดขนึ้ ในปส สาวะ และการมีอยขู องสารแมกนเี ซียมถอื วา เปน สิ่งจําเปน สาํ หรับไตและถงุ นา้ํ ดี ซงึ่ สามารถขจดั ส่งิ เหลา น้ีไดด วยการรบั ประทานอินทผลมั วนั ละ 2- 3 ผล (70) วะซาอิลุช ชีอะฮ, เลม ท่ี 17, หนา 104. (71) ซบั ซีฮอ วา มีเวฮฮ อเย ชะฟามัคช, หนา 185.

รสหวานและคณุ สมบัตขิ องอินทผลมั ในการขจดั นาํ้ เมอื กและเสมหะนน้ั มีมากทีเดียว และ สามารถตมอนิ ทผลมั ปรมิ าณ 60 กรมั ตอ นา้ํ ปรมิ าณ 1 ลติ ร และรบั ประทานเมอื่ เปนหวดั นาํ้ มกู ไหล เจ็บคอ และโรคตดิ เชอ้ื ตางๆ ทเ่ี กยี่ วกบั ปอด เมอื่ ไมน านมานไี้ ดเ ปนท่รี ับรูกันวา พลงั ความสามารถของน้ําตาลในอินทผลมั มมี ากกวา น้ําตาลบรสิ ทุ ธิ์ และถา หากเราทดลองในสตั วสองกลมุ โดยท่ีกลมุ หนง่ึ ใหก นิ นํา้ ตาลของอนิ ทผลมั และอีกกลมุ หนึง่ ใหก นิ นา้ํ ตาลบรสิ ุทธ์ิ จะพบวากลมุ แรกมีความเจรญิ เตบิ โตมากกวา นํ้าตาลทมี่ ีอยใู นอินทผลมั ไดแ ก เลฟ็ วโู ลส คลโู คส แซก็ กาโรส เราทราบวา สาร แมกนเี ซยี มในสมองของผูสงู อายจุ ะคอยๆ ลดนอยลง ดวยเหตผุ ลดงั กลา วนีเ้ พือ่ ทดแทนสงิ่ ท่ี สูญเสยี ไป จาํ เปนตอ งรบั ประทานอาหารตา งๆ ทมี่ สี ารแมกนีเซยี ม และอนิ ทผลมั กค็ อื สว นหนง่ึ จาก อาหารท่สี าํ คญั เหลาน้ัน บรรดาผทู เี่ ปนเบาหวานสามารถใชป ระโยชนจ ากอนิ ทผลัมแทนนาํ้ ตาลได เน่อื งจากสาร แมกนีเซยี มทม่ี ีอยใู นอนิ ทผลมั จะชว ยใหไตและตับออ นทาํ งานไดง า ยดายยิ่งขน้ึ ในอกี ดานหน่งึ วิตามนิ บ2ี ท่ีมอี ยูในอนิ ทผลมั จะชวยดูดซับนํ้าตาลจากอาหารอ่ืนๆ การมีอยูของโปรแตสเซียมและแมกนเี ซยี มในอนิ ทผลมั จะมบี ทบาทอยางมากในการสรา ง ความสมดลุ ใหแกอ ะตอมตา งๆ ของรา งกาย และมีผลเปนทนี่ า มหศั จรรยในการฟอกเลือด” (72) ขอใหเรายอ นกลบั มาดกู ารอธิบายถงึ คุณสมบตั อิ ืน่ ๆ ของอินทผลมั ทม่ี ปี รากฏในคาํ พูดของ ทานศาสนทูตแหงอลั ลอฮ (ศ็อลฯ) 1. ผลของอนิ ทผลัมท่ีมตี อการยอยอาหาร “เนอื่ งจากอนิ ทผลัมมสี ารอาหารตางๆ ทจี่ ําเปน และเพยี งพอ และมปี จ จยั สาํ คญั ตา งๆ ที่ เปน ตวั กระตนุ จึงทาํ ใหการยอ ยและการดดู ซมึ สารอาหารเกดิ ความงายดาย และเชน เดยี วกนั น้ี อินทผลัมยงั มสี วนชว ยในการยอยสารอาหารอ่นื ๆ อีกดว ย เน่ืองจากอินทผลัมนนั้ เพรยี บพรอมไป ดว ยคารโบไฮเดรต หากรบั ประทานอินทผลัมในปริมาณหนงึ่ พรอมกับอาหารท่ีมแี อลบูมนี รา งกาย จะไดร ับประโยชนจากแอลบูมีนไดดยี ิง่ ขนึ้ โดยการชว ยเหลือจากคารโบไฮเดรตในอินทผลัม” (73) 2. ผลของอนิ ทผลมั ที่มตี อ การเพมิ่ พลังทางเพศ “ในอนิ ทผลมั น้ันมฟี ล กลู นี ในปริมาณหนง่ึ และ…….. ซึ่งจะชว ยบาํ รงุ การหลง่ั นาํ้ เชื้อของ เพศชาย” (74) (72) เอาวะลีน ดอนิชกอฮ, เลม ที่ 7, หนา 74, 81 และ 84. (73) เอาวะลนี ดอนิชกอฮ, เลม ท่ี 7, หนา 74, 81, และ 84. (74) เอาวะลนี ดอนชิ กอฮ, เลมที่ 7, หนา 84.

3. ผลของอนิ ทผลมั ในการขจดั ความเมอื่ ยลา คุณสมบัติขอนยี้ งั ไดถ กู กลาวถงึ ในคาํ รายงานอื่นจากทานศาสนทูตแหง อัลลอฮ (ศอ็ ลฯ) เก่ยี วกับอนิ ทผลมั ชนดิ หนง่ึ ทมี่ ชี อื่ วา ‘บุรอน’ี โดยทา นกลา ววา “ทานทงั้ หลายจงรับประทานอินทผลมั บุรอนี เพราะแทจ ริงมันจะชวยขจดั ความเมื่อยลาให หมดไป จะชว ยดับความหนาวเยน็ และจะทําใหอิ่มจากความหวิ และในอินทผลัมนนั้ มี 72 ประตู จากการเยียวยารกั ษา (โรคตางๆ)” (75) ‘โกรนนูเนสก’ี ไดเ ขียนไวในหนงั สอื เลมหน่งึ เก่ยี วกับอนิ ทผลมั โดยเฉพาะวา “นอกจากการ รับประทานนาํ้ ตาลของอินทผลัมจะมีคณุ คา ทางอาหารมากกวา นํ้าตาลอ่ืนๆ แลว ยังมปี ระโยชน มากในชวงเวลาท่ีเกดิ ความเมือ่ ยลา เน่ืองจากมนั จะถกู ดดู ซึมเขาสรู างกายไดงาย” (76) ตอ จากนน้ั เขาไดแนะนาํ ใหน กั กีฬารบั ประทานอินทผลัม โดยกลา วตอ เชนนว้ี า “บรรดา นักวชิ าการไดคํานวณวา ในการท่ีอินทผลมั จะสกุ งอมอยา งสมบูรณน้ันตอ งใชเ วลาประมาณ 6 เดือน โดยแตล ะวนั จะไดรับความรอนประมาณ 29-30 องศา ซงึ่ รวมระยะเวลาทง้ั หมดแลวจะ ไดรบั ความรอนจากแสงอาทติ ยโ ดยเฉลย่ี ประมาณ 6,000 องศา ในขณะที่ขาวสาลจี ะไดร บั เพยี ง 3,000 องศา และจากจดุ นีเ้ องเราจําเปน จะตอ งยอมรบั วา อนิ ทผลมั คือแหลง สะสมพลงั งานชนดิ หนงึ่ สาํ หรับขจัดความตองการตางๆ ของมนษุ ย โดยเฉพาะสาํ หรับบรรดาเด็กๆ” (77) แนนอนยงิ่ เมือ่ รางกายของคนเราไดร ับพลังงานทเี่ พยี งพอ และเมอ่ื ภายในรา งกายไดร ับ ความรอนแลว จงึ ทาํ ใหไมรสู กึ ถึงความหนาวเยน็ 4. คุณสมบตั ใิ นการตอ ตา นความหวิ โหย (การขาดสารอาหาร) ของอินทผลัม “การเร่มิ ตนการละศลี อดดว ยอินทผลมั และลกู เกดในปรมิ าณเลก็ นอ ย จะทาํ ใหรา งกาย ของเราสามารถขจดั ความตอ งการนาํ้ ตาลท่ีเกดิ ข้นึ หลังจากการถือศลี อดในทุกๆ ครงั้ ได มนั จะให ทง้ั พลังงานทจี่ าํ เปนตอ รางกาย และจะชว ยยับยง้ั การสะสมของไขมัน และจากกรณีทวี่ า สาม ประการท่จี ะทาํ ใหความตา นทานของรางกายลดนอ ยลง (คอื ความบกพรอ งของตับ, การสะสมของ ไขมนั จํานวนมากใตผวิ หนงั , การไมเ คล่ือนไหวหรอื การไมไ ดใชก ําลัง) ดว ยเหตนุ ใี้ นดา นหนึ่งของ อนิ ทผลัมจะชว ยยับยัง้ การสะสมของไขมัน และอกี ดา นหนง่ึ เนือ่ งจากมสี ารอาหารตางๆ ที่เปน ประโยชนตอตบั จงึ ทาํ ใหการตา นทานของรางกายเพ่มิ สงู ข้นึ (75) ซะฟนะตุล บิฮาร, เลมท่ี 1, หนา 124 ; บิฮารุล อนั วาร, เลม ที่ 66, หนา 141. (76) เอาวะลนี ดอนชิ กอฮ, เลม ท่ี 7, หนา 84. (77) เอาวะลีน ดอนิชกอฮ, เลมที่ 7, หนา 66.

ยงิ่ ไปกวา นนั้ การรับประทานเกนิ ความพอดีทีเ่ กิดขน้ึ กอนหนา นี้ ไมวาจะในดา นไขมัน แอลบูมีนหรือนํา้ ตาลจากแปง ซง่ึ เปน สาเหตุของการสะสมของไขมนั ดว ยเหตทุ ีว่ า สารจาํ พวก คารโ บไฮเดรตจะเผาผลาญไดไวกวาสงิ่ อ่ืนทง้ั หมด การรบั ประทานอนิ ทผลัมจึงเปน วิธกี ารเฉพาะ ในการรกั ษาสารแอลบมู นี ของรางกายไว เพราะมนั จะทาํ ใหเ กิดความพอเพยี งและไมป ลอ ยให โปรตีนตางๆ ถกู เปล่ียนแปลงไป” (78) อกี ดา นหนง่ึ เนอ่ื งจากอนิ ทผลมั มคี ลูโคสและยอ ยไดเ รว็ ซึง่ มีวิตามนิ ซแี ละฟอสฟอรัส ซงึ่ เปนส่ิงจําเปน สําหรับการดดู ซมึ นํา้ ตาลตา งๆ ทีอ่ ยใู นลาํ ไส ดังนน้ั จงึ กลาวไดว า อินทผลัมคอื ‘อาหารตา นความหิวโหยแบบเรงดว น’ อยางหนงึ่ และเราไดกลา วไปแลวเชน กนั วา อนิ ทผลมั จะใหพ ลงั งานแกร างกายในลกั ษณะทีจ่ ะไมทาํ ใหส่งิ ใดบกพรองไปจากรา งกายเลย ในขณะที่การดูดซึมและการยอ ยอาหารอนื่ ๆ ทกุ ชนดิ จะทาํ ให รา งกายสญู เสยี วิตามนิ ซหี รือสารอาหารอ่นื ๆ ไปปริมาณหนงึ่ แตอนิ ทผลมั มสี ารอาหารทจ่ี ําเปน ทั้งหมดอยู และสาํ หรับการยอ ยมันนน้ั ไมม สี ิ่งใดบกพรองไปจากรางกายเลย โดยเฉพาะอยา งย่ิง เราไดกลา วไปกอ นหนา นแ้ี ลว วา อนิ ทผลมั คอื อาหารตอ ตา นความหิวโหย ดว ยคุณสมบตั ติ างๆ ท่อี นิ ทผลัมมีอยทู งั้ หมดน้ี จงึ เปน ส่ิงทถ่ี ูกตอ งทเี ดียวทท่ี านศาสนทตู แหง อลั ลอฮ (ศ็อลฯ) ไดก ลาววา “บานใดก็ตามท่ไี มม อี ินทผลมั ไวใ นบา น ในความเปน จรงิ แลว บุคคลตา งๆ ในบานนน้ั คือผหู ิวโหย (แมว า ทองของพวกเขาจะอ่มิ ก็ตาม)” (79) คําแนะนําสงั่ สอนอีกประการหนง่ึ ซงึ่ หลงั จากการคน ควา วจิ ยั ท่ียาวนานหลายป บรรดา นกั วชิ าการจงึ ไดค นพบความลลี้ ับของมัน น่นั คือ การเรมิ่ ตน ดวยอนิ ทผลัม โดยเฉพาะอยางย่งิ ใน การละศีลอดในชว งเดอื นรอมฎอน เราจะพบในคาํ รายงาน (ริวายะฮ) บทหนึ่งวา “เมอ่ื ใดก็ตามที่อาหารถกู นาํ มายงั ทา นศาสดา (ศอ็ ลฯ) หากในอาหารนน้ั มีอนิ ทผลัมอยู ทานจะเรมิ่ ตน ดวยการรบั ประทานอนิ ทผลมั กอน และในชวงทม่ี อี นิ ทผลมั แหง ทา นมกั จะละศีลอด ดว ยอินทผลมั แหง (ธรรมดา) แตหากอยใู นชว งของอนิ ทผลมั สด ทา นจะละศีลอดดวยอินทผลมั สด” (80) เราจะมาพิจารณากนั ใหล ะเอยี ดยงิ่ ขน้ึ เก่ียวกบั โปรแกรมและหลกั การรับประทานอาหาร และเราจะอธบิ ายถงึ คณุ คาตางๆ ของมันตามคําตัดสินของบรรดานักโภชนาการ ในชว งเวลาของการละศลี อด ผถู ือศลี อดจะรูส กึ หวิ โหยอยา งรนุ แรง มบี ุคคลจาํ นวนมากท่ี หลังจากการรับประทานอาหารอยา งมากมายแตกย็ งั ไมร สู กึ อิม่ และดว ยความรสู กึ ท่ียงั หวิ อยเู ขา จงึ รบั ประทานอาหารนัน้ ตอไป แตส องชวั่ โมงหลงั จากการรบั ประทานจนอ่มิ จดั นี้ เขาจะรูสกึ อดึ อดั (78) เอาวะลนี ดอนิชกอฮ, เลม ท่ี 7, หนา 81. (79) ซะฟนะตลุ บิฮาร, เลมที่ 1, หนา 124 ; บิฮารุล อันวาร, เลม ท่ี 66, หนา 141. (80) บิฮารุล อันวาร, เลมท่ี 66, หนาท่ี 146.

และไมสบายตัว แตใ นท่ีนห้ี ากเขาไดเ ร่มิ ตนการละศลี อดดวยอนิ ทผลมั ในปริมาณหนงึ่ กอ นการ รับประทานอาหาร การรับประทานอนิ ทผลมั ดังกลาวจะยบั ยง้ั เขาจากการกนิ จนอมิ่ แปรไ ดด ง่ั ตั้งใจ “การเลือกรบั ประทานอินทผลมั หรือลกู เกดสาํ หรับการละศีลอด กเ็ น่ืองจากเหตุผลทว่ี ามนั มีนาํ้ ตาลเฮคโซส (กลโู คส (อ)ี , เดกซโ ตรส) และฟรุคโตส (เลฟวูโลส) และการดูดซึมของมันนนั้ รวดเรว็ มาก ซ่งึ จะเปน สาเหตทุ ําใหค วามอยากอาหารลดลง มันจะชวยยับยัง้ การรบั ประทานมาก และการรับประทานอยา งรีบเรง ซง่ึ สว นมากแลวจะทาํ ใหเ กดิ อาการแนนเฟอในกระเพาะอาหาร” (81) ในกรณีที่ไมใชก ารละศีลอด หมายถงึ ในชว งเวลาอื่นๆ ทม่ี ใิ ชเดอื นรอมฎอน ความหวิ โหย จะไมรนุ แรงมากนกั ดว ยเหตนุ ีถ้ า หากในขณะเดินทางมีอินทผลมั อยู ทา นศาสนทูต (ศ็อลฯ) จะ เริ่มตน ดวยการรับประทานอนิ ทผลัม คณุ สมบัตอิ น่ื ๆ ของอินทผลัม บรรดาผนู ําแหง อิสลามยังไดแ นะนาํ ใหร ับประทานอนิ ทผลัมไวใ นกรณีอนื่ ๆ อกี เชน กนั ดัง ตวั อยา งจากคาํ รายงานตอไปน้ี “ชายผหู นงึ่ ไดม ารองทกุ ขตอ ทา นอิมามมูซา กาซมิ (อ.) เกี่ยวกับรา งกายทเี่ ฉ่ือยชาและไม กระปร้ีกระเปรา ทา นอิมาม (อ.) ไดแนะนาํ เขาใหรับประทานอินทผลัมบุรอนีกอนอาหารเชา และไม ตองดม่ื นํ้า เขาไดก ระทาํ สง่ิ ดังกลา ว และอาการเฉื่อยชาไมก ระปร้กี ระเปรา กห็ ายไปจากเขา แตใ น ขณะเดยี วกนั นน้ั อาการทอ งผกู ไดเกิดขึ้นกบั เขา เขาจงึ มารอ งทกุ ขก ับทา นอมิ าม (อ.) อกี คร้ัง ทา นอิมาม (อ.) จงึ แนะนาํ ใหเขารับประทานอนิ ทผลมั บุรอนี้พรอ มกบั ด่ืมน้ําตามไป เขาไดก ระทํา ตามนน้ั และอาการของเขากก็ ลับคนื สสู ภาพปกต”ิ (82) เนือ่ งจากอนิ ทผลัมใหพลงั งานแคลอรีสงู จึงทาํ ใหความออนเพลยี ไรช วี ติ ชวี าหายไป และ จากคาํ กลา วทวี่ า 5 เปอรเ ซ็นตของผลไมโดยเฉล่ยี นนั้ จะมนี ํา้ ตาลเซลูโลสอยู จงึ เปน เรือ่ งปกติและ ธรรมดามากทม่ี ันจะชว ยใหเกิดการระบายและยับยง้ั อาการทองผกู ผลตา งๆ ของอินทผลมั ทเ่ี ก่ียวขอ งกับสภาพจติ ใจ และคุณลักษณะตางๆ ทางดานจิต วญิ ญาณของมนุษย ไดถูกอธิบายไวในคาํ พดู ของทานศาสนทตู แหง อัลลอฮ (ศอ็ ลฯ) ดงั ตวั อยา ง ตอไปนค้ี ือ ทา นไดก ลาววา “ทานทง้ั หลายจงใหส ตรที ่ีอยูในเดือนของนางซง่ึ กาํ ลังจะใหก าํ เนดิ บตุ ร รับประทานอนิ ทผลมั เถิด! เพราะแทจ ริงบุตรของนางจะไดเปนผทู ม่ี คี วามอดทนอดกล้ัน และเปน ผู ทส่ี ะอาดบรสิ ทุ ธ”ิ์ (81) เอาวะลนี ดอนิชกอฮ, เลมที่ 7, หนา 78. (82) มุสตกั รอ็ ก อัล วะซาอลิ , เลมที่ 3, หนา 113.

จากกรณที ีว่ า จติ ใจและรา งกายของมนษุ ย มีความเก่ยี วของสมั พนั ธก นั อยา งเหนยี วแนน และบอยคร้งั ทเี ดยี วที่ความทุกขและความกังวลใจจะสง ผลกระทบตอรา งกาย และอีกดา นหนงึ่ ความสุขตา งๆ ของรางกายจะเปน สาเหตทุ าํ ใหจติ ใจเกดิ ความสงบสขุ ดังน้นั บรรดานักวชิ าการจึง แนะนาํ ใหรบั รวู า อินทผลมั มีคณุ สมบตั ิในการตอ ตา นความออ นไหวและความหยาบกระดาง ทางดา นจิตใจ สาลี่ (Pear) ‘สาล’่ี เปนผลไมชนดิ หนงึ่ ทมี่ รี สชาติอรอย หอมหวานนา รับประทาน และไมมีอนั ตรายใดๆ ตอผูปวย “ในปรมิ าณ 100 กรมั ของลูกสาลส่ี ด มธี าตุๆ ดงั ตอ ไปนค้ี อื : น้าํ 83.2 กรัม, โปรตีน 0.5 กรัม, ไขมนั 0.4 กรัม, กลไู ซด 15.5 กรมั , โซเดยี ม 0.003 กรัม, โปรแตสเซยี ม 0.129 กรัม, แคลเซียม 0.013 กรมั , แมกนีเซยี ม 0.009 กรัม, ธาตเุ หลก็ 0.3 กรัม, ทองแดง 0.134 กรัม, ฟอสฟอรสั 0.0016 กรมั , กาํ มะถนั 0.007 กรมั , คลอรีน 0.004 กรมั , วิตามนิ เอ 2 กรมั , วิตามนิ บี 1 0.03 กรัม, วิตามนิ บ2ี 0.04 กรมั , นีโกตีล อะไมด 0.1 กรมั , วติ ามนิ ซี 4 กรัม ในผลไมทกุ ชนิดจะมคี วามแตกตางกนั ระหวา งผลไมสด ผลไมเ กา และผลไมแ ชอ ่มิ ในลกู สาลกี่ เ็ ชน เดยี วกนั ลกู สาล่ีทแี่ ชอ่ิมจะสญู เสียแมกนีเซียม แมงกานสิ ทองแดง กาํ มะถันและคลอรนี สารอาหารตา งๆ ทถ่ี กู กลา วถึงในลกู สาล่สี ดก็จะมีปริมาณลดนอ ยลงในสาล่ีแชอ ิ่ม” (83) บรรดาผนู าํ แหง อสิ ลาม ไดแนะนาํ ใหรบั ประทานลูกสาลี่ไวในกรณตี า งๆ ดังตวั อยา งเชน 1.ทา นอิมามซอดิก (อ.) ไดก ลาววา “ทา นทั้งหลายจงรับประทานลกู สาลี่ เพราะแทจ ริงมนั จะทาํ ใหห วั ใจสวา งไสว และจะชว ยบรรเทาอาการเจ็บปวดภายในตา งๆ ดวยการอนมุ ัติ ของอัลลอฮ” (84) ในคํารายงาน (รวิ ายะฮ) บทนี้ ไดแ นะนาํ ใหร บั ประทานลูกสาลี่เพอ่ื ประโยชนในการ เยียวยารักษาความผิดปกตภิ ายในรางกายโดยทวั่ ไป และนักโภชนาการกไ็ ดแนะนาํ ลกู สาลไี่ วใน ลักษณะเชน เดียวกนั น้ี “ผลสาล่จี ะชว ยระบายและขบั ปสสาวะ มปี ระโยชนอยางมากสํารับตอมภายในตา งๆ ของ รางกาย จะชวยระงับประสาท และเปน ผลไมทมี่ ีคุณคาสงู มากเกีย่ วกบั โรคตา งๆ ของทรวงอก และ คณุ สมบตั ินเ้ี กย่ี วของกบั กรดแทนทิน…มสี าร ‘อารเซนกิ ’ จึงชว ยเยยี วยารักษาอาการสนั่ เทา และมี (83) เอาวะลนี ดอนิชกอฮ, เลม ท่ี 10, หนา 50. (84) วะซาอิลุช ชีอะฮ, เลม ที่ 17, หนา 133.

ประโยชนอยางมากสําหรบั โรคตางๆ ท่ีจะบั่นทอนพลงั งานตา งๆ เชน โรควัณโรค โลหิตจาง และ ความออ นแออยา งรนุ แรง” (85) 2.ในทศั นะของบรรดาผนู าํ แหง อิสลาม ลกู สาลม่ี ีประโยชนใ นการสรางความแข็งแรงใหกับ กระเพาะอาหาร และจากเหตผุ ลดงั กลา วนีเ้ อง พวกทานจงึ แนะนาํ ใหร ับประทานมนั หลงั อาหาร ทา นอิมามซอดกิ (อ.) ไดกลา ววา “ลกู สาล่ีนน้ั จะชว ยฟอกกระเพาะอาหาร และจะทาํ ให กระเพาะแข็งแรง ซ่งึ ในกรณนี ้ีมคี วามเทา เทียมกนั กบั ผล ‘ซะฟร ญัล’ และการรับประทานมัน ในขณะอ่ิม (หลังอาหาร) จะมคี ุณคามากกวา การรบั ประทานกอนอาหาร และผใู ดกต็ ามท่มี คี วาม ทุกขก งั วลใจ ดงั นน้ั เขาจงรบั ประทานมนั หมายถงึ หลงั อาหาร” (86) “การเค้ียวลกู สาลใ่ี หละเอยี ด คอยๆ รับประทาน และไมควรรบั ประทานเกนิ หนงึ่ ลกู ตอ วนั จะมีประโยชนส าํ หรบั ผทู ก่ี ระเพาะอาหารออ นแอ…ลกู สาล่ีเหมาะสําหรบั การหลง่ั นาํ้ ยอ ยตา งๆ ใน ระบบการยอ ยอาหาร” (87) 3.ในคํารายงาน (รวิ ายะฮ) ตา งๆ ไดกลาวถงึ ลูกสาลใี่ นฐานะผลไมอ ยางหนึ่งท่ีทาํ ใหเบิก บานใจ ตอ ตา นความทกุ ขโศกและความกงั วลใจ ประเด็นดังกลา วนแ้ี มจะมอี ยูในสองคาํ รายงาน ขางตน แตในคํารายงานอนื่ ๆ กถ็ ูกกลาวถงึ เชนกัน ตัวอยางเชน ชายผหู นง่ึ ไดมาพบทา นอมิ ามซอดิก (อ.) และไดคราํ่ ครวญกบั ทา นถึงความทุกขกงั วลและ ความไมสบายใจ ทา นอมิ าม (อ.) ไดก ลา ววา “จงรับประทานลกู สาล”ี่ (88) “ลูกสาล่ีจะชว ยระงบั ประสาทของผทู มี่ อี ารมณร อนและโกรธงา ยได จะชวยใหก ารทาํ งาน ของตอมตา งๆ ในรา งกายเกดิ ความเขม แขง็ จะฟอกเลอื ดใหส ะอาด จะทาํ ใหไ ตทาํ งานดีขนึ้ จะ ชวยกระตนุ ความเฉ่ือยชาของลาํ ไสตางๆ และมปี ระโยชนต อความเจ็บปวยตา งๆ ท่เี กยี่ วกบั ลําคอ ความออ นแอโดยทัว่ ไปของรา งกาย โรคโลหิตจางและวณั โรค…ดว ยกลิ่นหอมของลกู สาลี่ จะชว ย กระตนุ จติ ใจ (ใหเกิดความเบิกบานและกระชมุ กระชวย)” (89). (85) อรั รอร ครู อกีฮอ, หนา 296. (86) วะซาอลิ ุช ชีอะฮ, เลมที่ 17, หนา 134. (87) เอาวะลนี ดอนชิ กอฮ, เลม ที่ 10, หนา 52. (88) บิฮารุล อนั วาร, เลม ท่ี 66, หนา 175. (89) เอาวะลีน ดอนชิ กอฮ, เลมที่ 10, หนา 51.

หมวดท่ี 4 ผักชนดิ ตา งๆ ‘ผัก’ จะนําโลกของความสดชืน่ ความสวยงาม ความกระปร่ีกระเปา และความเบกิ บานใจ มาเปน ของฝากแกม วลมนุษย และโดยพน้ื ฐานแลว ‘สเี ขยี ว’ คอื ภาพปรากฏของความสวยงามและ ความสดชนื่ ทงั้ มวล ‘ผัก’ ทงั้ หลายนอกจากความสวยงามในสสี รรของมันแลว ยังมคี วามสวยงามอน่ื ๆ แฝงอยู อกี มากมาย ซงึ่ เราจะไดช้ีใหเ ห็นบางสว นของมนั ในเนือ้ หาตางๆ ตอไปนี้ ถาหากเราจะพบวา ผักชนดิ ตางๆ จะชว ยใหเ กิดความประปรี่กระเปา และความเบิกบานใจ กเ็ นือ่ งจากวามนั ไดค ดั สรรเอาทกุ ๆ ดา นของธรรมชาตมิ าไวในตัวเอง และตามสาํ นวนแลวถือวา มนั คอื ส่ิงท่ีถกู คัดสรรมาจากความสวยงามทง้ั มวลของธรรมชาติ ตัวอยา งเชน ประโยชนของความ สวยงามของดวงเดือน ปริมาณหนึ่งจากพลังงานของดวงอาทิตย สายลมโชยออนๆ ทีส่ รา งความ ชืน่ ฉาํ่ ใจ ความสดช่นื จากเนนิ เขา หยาดนา้ํ ฝนและการโปรยปรายของเกล็ดหมิ ะท่ีนาํ ความสดช่ืน มา ทง้ั หลายทงั้ ปวงเหลานไ้ี ดถ กู รวมไวในความสวยสดและความเขยี วขจีของผักทง้ั หลาย กลาว โดยสรปุ แลว เมฆหมอก สายลม แสงสาดสองของดวงอาทติ ยและทอ งฟา ไดร วมมือกันสรรสราง ประดับประดาเจา สาวท่ีมีความสวยสดงดงามนี้ขน้ึ มา ดว ยเหตนุ ้ี บุคคลใดกต็ ามท่ีรบั ประทานผกั แมเพียงใบเดียว เขาจะไดรับประโยชนจ าก พลงั งานทางธรรมชาตเิ หลาน้แี ละความสวยสดงดงามทงั้ มวลของมัน และมใิ ชจ ากความสวยสดและความชนื่ ฉาํ่ ใจจากผกั ทง้ั หลายเพียงเทา นนั้ ท่ีเขาจะไดรบั ยงิ่ ไปกวานนั้ เขายงั จะไดรบั ประโยชนจากคณุ คา อนั มากมายของผกั เหลา นน้ั อกี ดว ย และการไดรบั ประโยชนดงั กลา วนเ้ี อง ทจ่ี ะทาํ ใหตนเองปลอดภัยจากอนั ตรายของความเจ็บปว ยบางอยางได “มีดและเครอ่ื งมือผาตัดทง้ั หลาย แมว าจะเปน หนทางแกไ ขและการรักษาเยยี วยาทเ่ี ลอ เลิศและมหศั จรรยท ี่สุดกต็ าม แตผ ลสุดทา ยของมนั จะนาํ มาซงึ่ ความทกุ ขโศก ถา หากเรามีแบบ แผนทเ่ี ปน ระบบสาํ หรบั การรบั ประทานผกั และผลไมตา งๆ แลว เราก็ไมม คี วามจําเปนตองพงึ่ แพทยแ ละหมอผาตัดอกี ตอไป” (1) ผกั ตา งๆ ในคาํ รายงาน (ริวายะฮ) ทงั้ หลาย ในคาํ สอนของอิสลามไดใหความสาํ คัญกบั เรอ่ื งของผักเปน พเิ ศษ ตัวอยา งเชน (1) ซบั ซฮี อ วา มีเวฮฮ อเย ชะฟาบัคช, ลิโอนสิ การลเิ ยฮ, หนา 22.

1.ชายผหู นงึ่ ซง่ึ มนี ามวา ‘ฮันนาน’ ไดเลาวา : ฉนั อยรู ว มกับอมิ ามซอดกิ (อ.) ณ สํารับ อาหาร ทานอมิ าม (อ.) ไดเออ้ื มมอื ไปหยบิ ผกั แตฉันไดย บั ยัง้ ตนเองจากมนั เน่ืองจากความเจ็บปวย บางอยา งท่ีเกดิ กับฉนั ทา นอิมาม (อ.) จึงไดห ันมายังฉนั และกลา ววา “โอ ฮนั นานเอย! เจา ไมร ูด อก หรอื วา ไมม สี าํ รบั อาหารใดๆ ที่ถูกนาํ มายงั ทานอมรี ุลมอุ ม นิ นี (อ.) นอกจากจะตองมีผกั อยใู น สาํ รับนนั้ ?” ฉนั ถามวา “ดวยเหตุผลอะไรหรือ?” ทา นตอบวา “เนื่องจากหวั ใจของผูศ รทั ธาทง้ั หลายนนั้ เขียวขจี ดวยเหตนุ เี้ องจงึ มคี วามโนม เอียงไปยงั สีสรรของมัน” (2) จดุ ประสงคข องความเขยี วขจีในหวั ใจของบรรดาผศู รทั ธา กค็ อื ความสดช่ืนประปรี่กระเปา และการมีสุขภาพพลานามยั ท่ีดี ซ่งึ สง่ิ เหลานี้มอี ยใู นผกั ท้ังหลาย และทานอิมาม (อ.) ไดอ ธบิ าย ดวยคาํ พูดลกั ษณะหน่ึงซงึ่ ชใี้ หเหน็ ถงึ ขอเท็จจริงดงั กลาว จากประเดน็ ทว่ี า ผกั ทง้ั หลายคือแหลงรวมของวติ ามนิ ชนดิ ตางๆ ที่จะทําใหมนษุ ยมี สขุ ภาพพลานามยั ทีด่ ี จะชว ยยับยง้ั ความเจบ็ ปวยและโรคภัยตางๆ ไดโดยอัตโนมตั ิ ดงั นน้ั รา นขาย ยารกั ษาโรคทแี่ ทจริง กค็ ือรานขายผักท้งั หลายนนั้ เอง นกั โภชนาการทา นหน่ึงไดกลาววา “ถาหากการมสี ขุ ภาพที่ดีสามารถซ้อื หาได สถานทซ่ี ื้อ ขายมันก็คือรานขายผกั และผลไมท ัง้ หลายนน่ั เอง มิใชส ถานท่อี นื่ ใด” (3) 2.ทานศาสนทตู แหงอัลลอฮ (ศ็อลฯ) ไดก ลา วในเรอ่ื งนว้ี า “จงประดบั ประดาสาํ รับอาหาร ของทานดวยผกั ทง้ั หลาย เพราะแทจ ริงมนั จะขบั ไลบรรดามารราย (เชอื้ โรคตา งๆ) โดยการอนมุ ตั ิ ของอัลลอฮ” (4) ∗คาํ วา ‘ชัยฏอน’ (มารราย) ในสาํ นวนของริวายะฮ (คาํ รายงาน) ทัง้ หลาย มคี วามหมาย ตางๆ ท่ีหลากหลาย และหนง่ึ จากความหมายของมันกค็ อื ‘เช้อื โรค’ และโดยพนื้ ฐานดังกลา วท่ไี ดร บั รไู ปแลว เก่ียวกับแบบแผนในการรบั ประทานอาหารของ บรรดาผนู ําทางศาสนา สาํ รบั อาหารของพวกทา นนน้ั ไมเคยวางเปลาจากผักเลย 3.ชายผหู นงึ่ ไดกลา ววา “ในวนั หนงึ่ ทา นอิมามมซู า กาซิม (อ.) ไดเชิญฉันรว มรับประทาน อาหาร เม่ือพวกเขาไดนาํ สาํ รับอาหารมา แตไมมผี ักอยใู นสํารบั อาหารนัน้ เลย ทา นอิมาม (อ.) ไม ยอมรบั ประทานอาหารนนั้ และกลาวกบั คนรบั ใชว า “เจา ไมรหู รือวา ฉันจะไมร บั ประทานอาหารใน (2) วะซาอิลชุ ชอี ะฮ, เลมที่ 17, หนา 141. (3) อซั รอร ครู อกีฮอ, หนา 1. (4) ฏิบบุนนะบี, ใน บฮิ ารุล อันวาร, เลมท่ี 62, หนา 300.

สํารบั ใดกต็ ามท่ีไมมผี ัก ดงั น้ันจงนาํ ผกั มาใหฉ นั ” ชายผูนน้ั ไดก ลา ววา คนรบั ใชไดออกไปและนํา ผักมาวางลงในสํารบั อาหาร ทา นอมิ าม (อ.) จงึ ยนื่ มือไปหยิบ ตอจากนน้ั จึงเริม่ รับประทานมนั ” (5) ประเภทตา งๆ ของผัก ‘ผกั ’ มีมากมายหลายชนิด โดยทีแ่ ตละชนดิ ไดถกู สรา งขึ้นมาเพ่ือคุณประโยชนเฉพาะอยา ง ในหนงั สอื เลม น้ีเราจะขอกลา วถงึ เพียงบางชนิดจากบรรดาผักเหลา นน้ั ฮินดะบาอ (Chicory-endive) ‘ฮินดะบาอ’ หรอื Chicory เปนพชื ในตระกลู Chicorium intybus นยิ มใชทาํ เปน สลัด มชี ่ือ ภาษาเปอรเซยี วา ‘กาซาน’ี ฮนิ ดะบาอเปน ผักชนิดหนึ่งทม่ี ีรสขมแตม ีคณุ คา อยา งมาก ฮนิ ดะบาอเปรียบไดด ่งั บรรดาผู ตกั เตอื นที่เปน หว งเปนใย ซง่ึ คําตกั เตือนของพวกเขานัน้ ชา งขมข่นื แตใครก็ตามที่ปฏิบัตติ าม คาํ แนะนาํ ตักเตอื นของของผตู กั เตือนเหลา น้ี เขากจ็ ะไดร ับผลตา งๆ ท่ดี งี าม บางครงั้ บรรดาผนู าํ ทางศาสนาจะแนะนาํ ฮนิ ดะบาอในฐานะผกั ทด่ี ที สี่ ดุ 1.ทา นอมิ ามซอดกิ (อ.) ไดก ลา ววา “ฮนิ ดะบาอ คือนายของผกั ทงั้ หลาย” (6) 2.ทา นอมิ ามอะลี (อ.) กลา วถงึ มนั วาเปน พชื แหง สวรรค โดยกลาววา “ทานทง้ั หลายจงให ความสาํ คญั ตอ (การรบั ประทาน) ฮนิ ดะบาอ เพราะแทจ ริงมันไดถ ูกนาํ ออกมาจากสวรรค” (7) 3.ทา นอมิ ามรฎิ อ (อ.) ถอื วา ฮินดะบาอสามารถเยยี วยารักษาโรคไดห นง่ึ พันชนิด (8) และยัง กลาวอกี วา ทกุ ๆ ความเจ็บปว ยภายในของมนษุ ยจ ะถกู ขจัดใหห มดไปไดด วยฮินดะบาอ “ฮินดะบาอน น้ั สามารถเยยี วยารักษาโรคไดหนงึ่ พนั ชนดิ ไมวาโรคภยั ใดๆ ก็ตามที่เกิดขนึ้ ภายในรางกายของมนษุ ยน นั้ นอกจากวา ฮนิ ดะบาอจ ะขจัดมัน” (9) เราจงมาพจิ ารณาคณุ สมบตั ิตา งๆ อนั นา มหัศจรรยของฮินดะบาอที่เกย่ี วกับภายใน โดยเฉพาะเร่ืองของตับ (5) บิฮารุล อันวาร, เลมที่ 66, หนา 199. (6) วะซาอิลุช ชีอะฮ, เลม ท่ี 17, หนา 141 และ 142. (7) วะซาอลิ ุช ชอี ะฮ, เลม ท่ี 17, หนา 141 และ 142. (8) จํานวนหนงึ่ พันเปนการอธิบายถึงคุณประโยชนอ นั มากมายของฮนิ ดะบาอ. (9) วะซาอิลชุ ชอี ะฮ, เลมท่ี 17, หนา 144.

“ฮนิ ดะบาอจ ะชวยขจดั อาการทองผกู สาํ หรบั การรักษาอาการทองผูก ใหรับประทานนา้ํ ตมจากใบและรากของฮนิ ดะบาอ ในปริมาณ 2 แกว กอ นอาหารเชา ทกุ วนั และวิธกี ารตมก็คือ ให ใชใบและรากของฮนิ ดะบาอแ หงในปรมิ าณ 30 กรมั ตม กบั นา้ํ 1 ลติ ร ตามการคน ควา วจิ ัยลา สดุ ทไ่ี ดเกีย่ วกับผลตา งๆ ในทางเยยี วยารกั ษาของฮินดะบาอป า (ที่ ขึน้ เองตามธรรมชาต)ิ พบวา ฮนิ ดะบาอมปี ระโยชนตออวยั วะภายในทง้ั หมด ไมว า จะเปน หัวใจ ตบั และกระเพาะอาหาร และจะชวยทาํ ใหอวยั วะเหลา นน้ั ทาํ หนาทีไ่ ดอ ยา งปกติ ผลตางๆ ของฮินดะบาอป า ในชว งเร่มิ ตน ของการรบั ประทาน อาจจะแสดงออกเพียง เล็กนอยและไมช ัดเจนนกั ดวยเหตนุ จี้ าํ เปนทจี่ ะตองรบั ประทานมนั อยา งตอเน่ือง แตเมือ่ เวลาได ผา นไปสักระยะหนง่ึ ผลของการเยียวยารักษาตา งๆ ของมันจะปรากฏชดั ” (10) “นํา้ ตม ของฮินดะบาอป าปรมิ าณ 25 กรัม ตอ น้ํา 1 ลติ ร ไดถกู กําหนดไวสําหรบั การ เยียวยารักษาอาการผดิ ปกติและภาวะตบี ตนั ของมา มและถงุ น้ําดี โรคดีซาน กระเพาะและตับ อกั เสบ อาการกระหายนา้ํ น่ิวในกระเพาะปส สาวะและถุงนา้ํ ด”ี (11) “แพทยใ นยคุ โบราณของอิหรา น มคี วามเช่อื มั่นอยา งมากตอ รากของฮินดะบาอ และจาก ผลการทดลองตางๆ ท่ขี าพเจา ไดก ระทาํ นํา้ ตมจากรากของฮินดะบาอมีผลโดยตรงตอเซลลต า งๆ ของตบั และเปน การเยยี วยาท่ีดีทสี่ ดุ สําหรับคอเลสโตรอล ดังนน้ั สมควรอยา งย่ิงทีใ่ นบางครั้งควร ตม รากของฮนิ ดะบาอแ ละด่มื มนั เหมือนกบั นํา้ ชา เพือ่ จะชว ยซอมแซมตับของทานและชวยขจดั คอ เรสโตรอล นอกจากนี้ใบของฮนิ ดะบาอย ังชวยบาํ รงุ ระบบการยอยอาหาร ชว ยฟอกเลอื ด ขับปส สาวะ เปน ยาระบายออนๆ และชว ยรกั ษาอาการไขต ัวรอ นไดอกี ดว ย น้ําตม ใบฮนิ ดาบะอจะถูกแนะนาํ อยา งมากสาํ หรับบรรดาผปู ว ยท่เี พงิ่ หายจากไขมาเลเรยี ใบของฮนิ ดะบาอม วี ิตามนิ ซี อยูป รมิ าณ หนง่ึ และคุณสมบัติของวติ ามนิ ชนดิ นี้จะชวยรกั ษาความหนมุ แนน นอกเหนอื จากนน้ั บรรดาแพทย เช่ือวา มนั จะชว ยเยยี วยารกั ษาถงึ นาํ้ ดี โรคดซี า น และอาการอกั เสบตา งๆ ของตบั และกระเพาะ อาหาร ในแถบทวีปยุโรปจะมกี ารปลกู ผกั ฮินดะบาอช นิดตางๆ และในทกุ ๆ ฤดูกาลจะสามารถพบ เห็นมนั ไดในตลาดอยา งนอยหนึ่งหรอื สองชนิด ฮนิ ดะบาอช นิดตางๆ ทป่ี ลกู กันเองนนั้ จะมีรสชาติ ไมเ หมือนกับฮนิ ดะบาอปา และสามารถรบั ประทานมันดิบๆ ไดเหมอื นกับผักกาดหอม และใช ประโยชนจ ากคณุ คาตางๆ ท่ีเพรยี บพรอมของมนั ” (12) (10) กุลฮอ วา กยิ อฮอเน ชะฟาบัคช, หนา 169. (11) ซบั ซฮี อ วา มีเวฮฮอเย ชะฟาบคั ช, หนา 52. (12) อัซรอร คูรอกีฮอ, หนา 166.

“ตบั ซึ่งเปรยี บไดด ่ังหางเสือเรือของรา งกาย มนั จะทาํ หนา ทมี่ ากกวาสีพ่ ันหนา ที่ และเมอื่ มันตองชะงักงนั จากการปฏบิ ตั ิหนา ท่ี ก็จะทาํ ใหเ กดิ โรคตางๆ แกม นษุ ยม ากกวาสองพนั โรค และ จากเหตุผลดังกลาวน้เี อง ทา นอมิ ามรฎิ อ (อ.) จึงกลา ววา ฮนิ ดะบาอคือยารักษาโรคหนง่ึ พนั ชนดิ นักการแพทยท ้งั ในยคุ โบราณและปจ จบุ ันตางยอมรบั วา ฮนิ ดะบาอม ผี ลอยา งแนน อนตอ โรคตางๆ ที่เกีย่ วกับตบั ในทางการแพทยสมัยใหมไ ดพิสจู นแลว วา มีบทบาทอยา งสงู ในการสรางเซลลใ หม ของตับ และการสรางโคโมโซมเพศชายและเพศหญงิ ในอสจุ ิ นบั ไดว า เปน บทบาทสาํ คัญของตบั ” (13) ในคาํ พูดของทา นอิมามริฎอ (อ.) เกีย่ วกับคุณคาตางๆ ของฮนิ ดะบาอ ไดช ีใ้ หเหน็ ถงึ คุณคา อืน่ ๆ อกี คอื 1.ฮนิ ดะบาอจะชวยเสริมสรา งความตองการทางเพศ 2.ในขณะท่ีมารดาต้งั ครรภหากไดร บั ประทานใบของมนั จะทาํ ใหท ารกนอยของพวกนางมี น้ํามนี วล ผวิ พรรณเปลง ปลั่ง และมีความสวยงาม 3.ครอบครัวทรี่ บั ประทานผกั ฮนิ ดะบาอ ลูกๆ ของพวกเขาจะเปน เพศชายมากกวาเพศ หญงิ ทานอิมามซอดิก (อ.) ไดก ลาววา “ทา นท้งั หลายจงรับประทานฮนิ ดะบาอ เพราะแทจ รงิ ฮิน ดะบาอน นั้ จะเพ่มิ นาํ้ เช้อื (พลงั ทางเพศ) จะทาํ ใหล กู มีลกั ษณะทงี่ ดงาม และมันคือผลไมทมี่ ี ธรรมชาตริ อ นอีกทั้งออนละมนุ จะชวยทาํ ใหมลี กู ผูชายมากข้นึ ” (14) แมว า คาํ พดู นจ้ี ะถูกกลา วไวป ระมาณ 1,300 ปท ่ีแลว ในสมยั ท่มี นุษยย ังไรซ ึ่งความรูและ ความเขาใจ และปราศจากเครอ่ื งมือตา งๆ ทีจ่ ะวิเคราะหแ ยกแยะ แตป จ จุบันซงึ่ เปนยคุ แหง อารย ธรรมและความรู และคน คดิ ส่ิงประดษิ ฐต างๆ ทาํ ใหสามารถพิสูจนค าํ พดู นี้ไดเ ปน อยางดี และถือ ไดวา มคี วามนา มหัศจรรยอยา งยง่ิ “บรรดาโครโมโซมคือผลิตผลอยา งหนง่ึ ของรางกายเรา และไมตอ งสงสยั เลยวา โครงสราง ของโคมโมโซมเหลา นี้มสี ว นสมั พนั ธก ันอยา งสมบรู ณต ออาหารทเี่ รารบั ประทานเขาไป และบน พน้ื ฐานดงั กลา วน้เี อง ทา นอมิ ามซอดิก (อ.) จงึ กลาววา ครอบครวั ทรี่ บั ประทานผกั ฮินดะบาอเขา จะมีลกู ผชู ายมากกวา ลกู ผหู ญิง ผลการทดลองและสถติ ติ างๆ ทข่ี า พเจา ไดร วบรวมไวถ ือไดว า ประเด็นดงั กลา วน้เี ปน ขอเทจ็ จรงิ ” (15) ประเด็นสาํ คญั ที่ปรากฏในคาํ พูดของทา นอมิ ามซอดกิ (อ.) จากประโยคทว่ี า “ฮินดะบาอ เปน ผลไมทมี่ ีธรรมชาติรอนอีกทั้งออ นละมนุ ” แนนอนยงิ่ วา บรรดาอาหาร ผกั และผลไมต างๆ ท่ี (13) ซะบอเน คูรอกฮี อ, หนา 216. (14) วะซาอิลุช ชีอะฮ, เลม ที่ 18, หนา 141. (15) ซะบอเน คูรอกีฮอ, หนา 348 และ 349.

ตามสํานวนเราเรยี กมนั วา เปนอาหารรอนน้นั มนั มีคณุ สมบตั เิ ฉพาะทีจ่ ะทาํ ใหทารกนอ ยในครรภ เปน เพศชาย นักโภชนาการทานหนงึ่ ไดกลาวถงึ วธิ กี ารทดี่ ที ่ีสุดทจ่ี ะใหไดล กู ชายไวเ ชน นว้ี า “นบั จากวนั แรกของการมเี ลอื ดประจําเดอื น หญงิ และสามีของนางจําเปน ตอ งรับประทาน อนิ ทผลมั ปรมิ าณหนงึ่ และด่มื น้ําตม จากรากของฮนิ ดะบาอหลายคร้งั ๆ ในแตละวัน ในชว งวัน ท้ังหลายของการสรางสเปรมิ ซึง่ โดยทว่ั ไปจะอยใู นชว งระหวา งวนั ที่ 8 ถงึ วันท่ี 11 จาํ เปนที่ผูเปน บิดาจะตองรบั ประทานอนิ ทผลัมในปรมิ าณมาก และอาหารตางๆ ทม่ี ธี รรมชาตริ อ น เชน พสิ ตาชิ โอ (Pistachio) อลั มอนด (Almond) ฮาเซลนัท (Hazelnut) ลูกเกดและมะพรา ว และผเู ปน มารดา จะตอ งดมื่ นา้ํ ตมฮนิ ดะบาอว ันละ 1-2 คร้งั ” (16) ผิวหนงั ของคนเราคอื กระจกเงาที่สะทอนใหเ หน็ ถงึ ตับ ดวยเหตุนถ้ี า หากตับทาํ หนา ท่ีได อยา งสมบรู ณ สีผิวของใบหนาและรา งกายกจ็ ะเปลง ปลงั่ และสวยงาม และเนอื่ งจากฮินดะบาอคือ ยารกั ษาตบั และเปนมติ รท่แี ทจรงิ ของมัน จากเหตุผลดงั กลาวน้ี ฮนิ ดะบาอจ งึ มีผลอยางสงู ตอความ สวยงามของใบหนา ดวยเชน กนั ทานอิมามซอดกิ (อ.) ไดกลา ววา “เจา จงรบั ประทานฮนิ ดะบาอ เพราะแทจ รงิ มนั จะเพม่ิ ปริมาณนาํ้ อสุจิ และจะทําใหใบหนาสวยสดงดงาม” (17) “ฮนิ ดะบาอป า จะทาํ ใหเ ลอื ดสะอาด และจะชวยใหส ีของใบหนา มีความเปลง ปลงั่ บรรดา สตรีทีม่ ีความหลงใหลในความสวยงามของตนเอง ดังนน้ั จงอยาหลงลืมจากมัน” (18) “เน่อื งจากฮนิ ดะบาอม ีอินนลู ีน (Inulin) มนั จะชว ยฟอกเลือด” (19) “ฮินดะบาอจะชวยทําหนา ทฟ่ี อกเลือด และจะใหผ ลตา งๆ ทด่ี ตี อตับ ไตและมาม” (20) ในคาํ พดู หนง่ึ ของทานอมิ ามรฎิ อ (อ.) ฮินดะบาอไ ดถ ูกรจู ักในนามของยารักษาอาการไข ตวั รอ น และขจัดอาการปวดศรษี ะ “คนรบั ใชผ ูห นง่ึ ของทา นอมิ ามริฎอ (อ.) มีอาการไขต ัวรอนและปวดศรีษะ ทา นอมิ าม (อ.) ไดกลาวกบั เขาวา ฮนิ ดะบาอจะชวยขจัดอาการไขตวั รอ นและอาการปวดศรีษะ ทา นไดส่ังใหบดใบ ของมนั ใหล ะเอียดและวางลงบนแผน กระดาษ และเทนา้ํ มนั ของตนไวโอเลต (บนิ ฟั ชะฮ) ลงบนมนั แลว วางไวบ นศรษี ะของเขา” (21) (16) ซะบอเน คูรอกฮี อ, หนา 348 และ 349. (17) บิฮารลุ อนั วาร, เลมท่ี 66, หนา 207. (18) กุลฮอ วา กิยอฮอเน ชะฟาบัคช, หนา 170. (19) ซบั ซีฮอ วา มีเวฮฮ อเย ชะฟาบัคช, หนา 53. (20) อิอยาเซ กยิ าฮอเน คอรอู ี ดัร ดัรมอเน บีมอรีฮอ, หนา 40. (21) บฮิ ารลุ อันวาร, เลมที่ 66, หนา 209.

“นา้ํ ของใบฮนิ ดะบาอกบั ซะกนั ญะบนี (นาํ้ หวานทีผ่ สมนาํ้ ตาลกบั นาํ้ สม ) จะใหผลดีมาก ตอ การรักษาอาการไขต ัวรอ นตางๆ และอาการไขทเ่ี กดิ ข้นึ ทุกๆ 4 วนั (quartan fiver) ใบสด ดอก เมลด็ และรากของฮินดะบาอ ทง้ั หมดน้มี ปี ระโยชนส าํ หรบั การรกั ษาอาการไขตา งๆ ทีเ่ ปนโรคติดตอ ใบของฮินดะบาอจ ะขจดั อาการรอนรมุ ของอารมณ ฟอกเลือดและลดความดันโลหิต การใชน า้ํ ของ ใบฮนิ ดะบาอท าถเู พยี งอยา งเดยี วหรือผสมกบั นาํ้ สม จะชว ยรักษาอาการปวดศรษี ะ” (22) “นํา้ ตมของรากฮนิ ดะบาอป า ในปริมาณ 20-30 กรัม ตอน้าํ 1 ลิตร จะถกู นาํ มาใช รบั ประทานในกรณขี องอาการไขต ัวรอ นทีเ่ กดิ จากการอกั เสบของตับ” (23) คณุ สมบัตทิ นี่ า มหศั จรรยอ กี ประการหน่งึ ของฮินดะบาอ ทท่ี า นศาสดามฮุ มั มัด (ศอ็ ลฯ) ได อธิบายไว คอื คุณสมบัตใิ นการตอตา นสารพิษของมนั โดยทา นไดกลา ววา “บุคคลใดกต็ ามท่รี ับประทานฮินดะบาอและนอนหลับไป ยาพษิ และไสยศาสตรจ ะไมส ง ผลรายใดๆ กบั ตัวเขา และสัตวเล้อื ยคลานใดๆ ไมวา งหู รอื แมลงปอ งจะไมเขา ใกลเขา” (24) “การพอกใบและรากของฮนิ ดะบาอทีผ่ สมน้าํ มนั มะกอก ตรงบรเิ วณทแ่ี มลงปองหรือสัตวม ี พิษกดั ตอ ยจะชว ยบรรเทาอาการเจบ็ ปวดได และการรบั ประทานใบและรากของฮนิ ดะบาอจะชว ย ตา นพษิ จากสารเคมีทง้ั หลาย” (25) แมวา อสิ ลามจะเนน ในเรอ่ื งของการลา งผกั ตางๆ แตส าํ หรบั ฮินดะบาอไ มมีการแนะนํา เชนน้ไี ว และแมแ ตการเขยา ใบของมนั กย็ งั ถกู หา มมิใหก ระทํา ทา นอมิ ามซอดิก (อ.) ไดกลา ววา “ฮินดะบาอเปน ผกั ทีม่ ีประโยชนย ิง่ นกั …ดังนน้ั ทา น ท้ังหลายจงรบั ประทานมนั และจงอยา สะบดั มนั ในขณะรบั ประทาน” (26) “ในใบของฮนิ ดะบาอมปี จ จยั ตางๆ ท่ีมชี วี ติ และมปี ระโยชนจาํ นวนมากอาศัยอยู ดว ยเหตุ นี้ทงั้ ในตวั บทของศาสนาและในการแพทยแ ผนโบราณจงึ หา มการลา งมนั ไว และเนื่องจากฮนิ ดะ บาอช นิดตา งๆ ท่ีข้นึ ตามทงุ โลงไมมีความเปรอะเปอ นใดๆ และมันเจรญิ เตบิ โตข้นึ มาภายใต แสงแดด ใบสดๆ ของมันจงึ สามารถรับประทานไดเลยโดยไมต องลา ง” (27) ผกั กาดหอม (Lettuce) (22) ซะบอเน คูรอกีฮอ, หนา 216 และ 217. (23) ซับซีฮอ วา มีเวฮฮอเย ชะฟาบัคช, หนา 52. (24) ซะฟน ะตุล บิฮาร, เลมที่ 2, หนา 725 ; บิฮารุล อนั วาร, เลมท่ี 66, หนา 210. (25) ซะบอเน ครู อกีฮอ, หนา 216. (26) บิฮารุล อนั วาร, เลม ที่ 66, หนา 207. (27) ซะบอเน คูรอกีฮอ, หนา 216.

‘ผกั กาดหอม’ เปน พชื ชนดิ หนง่ึ ที่มใี บใหญแ ละกวา ง ลาํ ตนของมนั ปกคลมุ ไปดว ยใบ เราจะ รบั ประทานมนั ดบิ ๆ และจะใชม ันทําสลดั ดวยเชน กนั เมล็ดของมนั จะถกู นาํ ไปเพาะปลกู “ผักกาดหอมเปรีย่ มไปดว ยวติ ามินเอ วติ ามนิ บี และวติ ามนิ ซี และมธี าตุเหลก็ แคลเซยี ม ฟอสฟอรัส แมกนีเซยี ม ไอโอดนี แมงกานสิ สงั กะสี โซเดยี ม และทองแดง คุณสมบตั ิของมนั เยน็ จึงชว ยดับความกระหาย จะทาํ ใหสีสรรของใบหนาแจม ใส หากตองการใหผ ักกาดหอมยอยสลาย ไดเรว็ ขึน้ ใหร บั ประทานมนั กับน้าํ สม ปริมาณเล็กนอย แทนนํ้ามะนาวสด” (28) “ผกั กาดหอมเปนพชื ทางการแพทยช นิดหนงึ่ ซงึ่ มีคุณคามาก ใบของผักกาดหอมไดส มั ผสั กบั อากาศมาก และไดรบั ประโยชนจ ากลม ฝน และแสงแดด การสาดสอ งของแสงอาทติ ยแ ละ ดวงดาวจะสง ผลตอเลอื ดของพชื หมายถงึ ‘คลอโรฟล ’ และมันจะเปน สาเหตุทท่ี าํ ใหผ กั กาดหอม ไดร บั กัมมนั ตรงั สี (Radioactive) ปริมาณมาก และพวกเขาเรยี กมนั วา การสะสมพลงั งาน แสงอาทติ ย” (29) ดวยเหตผุ ลดงั กลา ว ในอสิ ลามผักกาดหอมถกู รูจกั ในฐานะเปน พืชที่ใหคณุ ประโยชนอ ยาง มาก และบรรดาผนู าํ ของอิสลามไดช ้ีใหเ หน็ ถึงคณุ สมบตั ทิ ่สี ําคัญที่สดุ ของมัน คือการขจัดโรคตางๆ ทเ่ี กีย่ วกบั เลอื ด การฟอกเลอื ด และเชน เดยี วกนั นคี้ อื การสรางเลือดใหม ทา นอมิ ามซอดกิ (อ.) ไดกลา ววา “ทานทงั้ หลายจงรับประทานผักกาดหอม เพราะแทจ รงิ มันจะทําใหเ ลอื ดสะอาด” (30) “การมเี ลอื ดทส่ี ะอาดและบรสิ ทุ ธ์ิ ซง่ึ เปน ความมุง หวงั ของมนษุ ยทกุ คนทม่ี มี าแตด้ังเดมิ เพราะเหตุวา เงือ่ นไขประการแรกของการมธี รรมชาตทิ างรา งกายทป่ี กติ คอื การมเี ลอื ดท่ีสะอาด บริสุทธิ์ นบั จากยคุ อดตี พวกเขาจงึ ใหความสาํ คัญอยา งมากตอโรค Scorbut (ขาดวติ ามนิ ซ)ี แมวา หลงั จากการคนพบวิตามนิ ซี จะทาํ ใหรับรูถึงหนทางเยยี วยารกั ษาโรคดงั กลาว แตก ระนนั้ กต็ าม จํานวนมากมายจากลูกหลานของอาดมั (มวลมนษุ ย) ก็ยงั คงเผชญิ กบั ความทุกขยากจากโรคน้ี จะเหน็ ไดจ ากสถิติของบรรดาผเู สยี ชวี ิตเนอื่ งจากสาเหตดุ ังกลา ว เพ่อื แกไขปรับปรุงเลือดใหด ขี น้ึ จาํ เปน ตองใชป ระโยชนจ ากพชื ผกั ตางๆ และจากธรรมชาติ ท่เี รยี บงา ยนีจ้ งทาํ ใหมนั ใหมส ดอยูใ นทกุ ๆ วนั ” (31) “ปจจบุ ันไดพสิ ูจนแ ลววา ผกั กาดหอมเพรยี มพรอ มไปดวยธาตแุ คลเซียมและวติ ามินเอ, วิตามนิ บ,ี วิตามินซ,ี วติ ามนิ ด,ี และวิตามินอ1ี ก็มอี ยมู าก ดว ยเหตนุ ้จี ึงทาํ ใหก ารสรา งเม็ดเลอื ด (28) ซบั ซีฮอ วา มีเวฮฮ อเย ชะฟาบัคช, หนา 68. (29) อัซรอร ครู อกีฮอ, หนา 168. (30) บิฮารลุ อนั วาร, เลมท่ี 66, หนา 239. (31) คอ บ วา คูรอก, หนา 204.

แดงเปนไปอยา งงายดาย…บรรดานกั การแพทยแ ผนโบราณของอหิ รา นเชอ่ื วา การขจัดภาวะความ ผิดปกติ (ความเสียหาย) ของเลอื ดไมม สี ่ิงใดจะดเี ลศิ ไปกวา ผกั กาดหอม และปจจบุ นั นเ้ี ราทราบกันเปนอยา งดีวา โรคดังกลาวซง่ึ มชี อื่ วา ‘Scorbut’ มนั จะเยียวยา รักษาไดด ว ยการรบั ประทานวิตามนิ ซี และเนื่องจากผกั กาดหอมมีวิตามนิ ซี ในปริมาณทพ่ี อเพยี ง ดงั นนั้ ทัศนะของนักการแพทยยคุ โบราณของอหิ รานจงึ ควรไดร บั การยกยองสรรเสรญิ ” (32) คุณสมบัตอิ ีกสองประการของผักกาดหอม ไดถ กู อธบิ ายไวในคาํ พดู ของทา นศาสดามฮุ ัม มัด (ศ็อลฯ) ซึ่งทา นกลา ววา “แทจ ริงผกั กาดหอมจะทาํ ใหเ กิดอาการงว งนอน และจะชว ยยอย อาหาร” (33) “เน่ืองจากปจจบุ ันมนุษยประสบกับความทุกขยากตา งๆ นานา จงึ ทําใหร ะบบประสาท ออ นแอและเมอื่ ยลา จงึ จาํ เปน ตองหายากลอ มประสาท (ทไี่ มอนั ตราย) เพอ่ื กลอ มประสาทของ พวกเขา เพอ่ื ขจัดความเมือ่ ยลา ใหห มดไปและทาํ ลายความคดิ ทฟ่ี งุ ซานตา งๆ ทท่ี ําใหนอนไมห ลับ ดว ยเหตดุ งั กลา วน้ที าํ ใหมนษุ ยเราหนั ไปพง่ึ ยาเม็ดท่อี นั ตรายตางๆ เพอื่ ตอสกู ับยาเมด็ ท่อี นั ตรายเหลา นี้ ไมม ียาใดๆ ทีจ่ ะดียิ่งไปกวาผกั กาดหอม เนอื่ งจาก มนั เปน ยากลอ มประสาททีไ่ มมอี นั ตรายใดๆ และผูท่ตี ดิ ยาเมด็ จําพวกนห้ี รือแมแตผ ทู ่ีตดิ ยาเสพตดิ ทั้งหลาย หากพวกเขาไดด ืม่ นํ้าหัวผกั กาดหอม 1 แกว ในขณะปวดหวั เน่อื งจากอาการมนึ เมาหรอื การติดยาดงั กลา ว มนั จะชว ยขจัดอาการตดิ ยาใหห มดไปไดโดยไมจ ําเปน ตองดม่ื มนั ตลอดไป (34) ผกั กาดหอมมคี ณุ สมบัตใิ นการบรรเทาอาการของผทู ีม่ อี ารมณฉนุ เฉียว กระวนกระวายและกลัด กลมุ ใจ ถา หากรับประทานผักกาดหอมจะทําใหพ วกเขานอนหลบั สนทิ ‘ญาลีนุส’ นกั การแพทยผยู ง่ิ ใหญไ ดกลาววา ในชว งของวยั ชรา เขาตอ งประสบกบั อาหาร นอนไมห ลบั แตดว ยการรบั ประทานผกั กาดหอม ทําใหเ ขานอนหลบั ไดอยางสนิทในยามค่าํ คืน ผทู ่ี ประสบกบั การนอนไมหลบั อาการเตนอยางรนุ แรงของหวั ใจและอาการปวดประสาทตางๆ พวก เขาจําเปน จะตองรับประทานผักกาดหอมกบั อาหารมอ้ื คาํ่ ของตน หรือมิเชนนนั้ ในทกุ ๆ คนื กอ น นอน เขาจะตอ งดื่มนาํ้ ตม ผกั กาดหอมปรมิ าณ 60 กรมั ตอนาํ้ 1 ลติ ร” (35) ในเรอื่ งเกย่ี วกบั การยอ ยอาหาร ผกั กาดหอมถอื วาเปน สว นหนง่ึ จากสงิ่ ทใ่ี หผ ลดเี ยย่ี มท่สี ดุ “ผักกาดหอมจะทาํ ใหการยอ ยอาหารเปน ไปอยา งงายดาย และจะทาํ ใหก ารหล่ังนํา้ ยอย ของกระเพาะอาหาร ตบั และลาํ ไสตา งๆ เปนไปอยา งมรี ะบบ” (36) (32) คอบ วา ครู อ ก, หนา 205. (33) บฮิ ารุล อนั วาร, เลม ท่ี 66, หนา 239. (34) คอบ วา ครู อ ก, หนา 206. (35) ซับซีฮอ วา มีเวฮฮอเย ชะฟาบคั ช, หนา 68. (36) คอบ วา ครู อ ก, หนา 208.

“ผกั กาดหอมจะดับอาการออ นเพลยี ของสมอง จะชวยบาํ รงุ กาํ ลงั ใหแ กก ระเพาะอาหารท่ี เฉ่อื ยชา และจะเยยี วยารกั ษาตบั ของผปู ว ย อกี ทง้ั ยงั จะชว ยรักษาอาการทอ งผูกและโรครมู าตสิ ซึม” (37) “ผักกาดหอมชว ยใหเ จรญิ อาหารอยา งดเี ยย่ี ม ซงึ่ ตองรับประทานมนั กอนอาหารเสมอ ทั้งน้ีเนื่องจากมันเปน อาหารท่ยี อ ยงา ย มนั จะผานทางเดนิ ของระบบการยอ ยอาหารและจะเปด ทาง ใหแกอ าหารตา งๆ ท่ีจะรับประทานหลงั จากมนั แตถ า หากทานทง้ั หลายรับประทานผัดกาดหอม ตามปกติเหมอื นทคี่ นสว นใหญก ระทาํ กนั นนั่ คอื หลงั อาหาร อาหารตางๆ ท่ถี กู ยอ ยสลายอยา งไม สมบรู ณก จ็ ะถกู ขับออกมาภายนอก” (38) “สลดั ทีท่ าํ จากผักกาดหอมกเ็ ชน เดยี วกนั กบั สลดั ผกั อื่นๆ ทม่ี ันจะชว ยกระตุนความอยาก อาหาร ถา หากเคี้ยวสลดั ผักกาดหอมใหละเอียด เมื่อผสมผสานเขา กบั นํา้ ลายในปาก จะชว ยทาํ ให กระเพาะและลาํ ไสต า งๆ เกดิ ความแข็งแรง และจะชว ยบังคับตอมนา้ํ ยอ ยตา งๆ ใหห ลง่ั นาํ้ ยอยของ มนั ออกมาในปรมิ าณมาก มใิ ชแ คเพยี งเพือ่ ยอยผกั กาดหอมเทา นนั้ แตเพื่อจะชว ยในการยอ ย สลายอาหารตา งๆ ทีจ่ ะรบั ประทานตามหลังไป” (39) กรั รอษ (ตนกระเทยี ม) ‘กรั รอษ’ (Leek) เปนพชื จําพวก Allium porrum (คลายตนหอม) เปนผกั ทีน่ า รบั ประทาน ชนดิ หนงึ่ ซงึ่ ไมม ีลําตน ใบของมันมลี ักษณะยาวและโคง งอเล็กนอ ย จะใชร บั ประทานดบิ ๆ และ เชน เดยี วกนั สามารถใชป รงุ เปนแกงผกั ได ในภาษาเปอรเ ซยี เรียกมนั วา ‘ตะเรฮ’ หรือ ‘กันดินา’ กรั รอษเปน ผกั ทมี่ คี ุณคาอยา งหนงึ่ ซง่ึ ถอื เปน สว นหน่ึงจากอาหารของบรรดาผูนาํ ศาสนา ในรวิ ายะฮ (คํารายงาน) บทหนึ่งไดกลา ววา “ทา นอมีรลุ มอุ มินนี (อ.) มักจะรบั ประทานกรั รอษกบั เกลือปนเสมอ” (40) ชายผหู นง่ึ ไดก ลาววา “ฉันเหน็ ทา นอมิ ามมซู า กาซิม (อ.) ถอนตน กรั รอษและลางมนั ดวย นํา้ ตอจากน้ันทา นไดรับประทานมนั ” (41) คุณประโยชนข องกรั รอษนน้ั มีมากมาย โดยเฉพาะอยา งยิ่ง มผี ลอยา งมากในการรกั ษา ริดสดี วงทวาร (37) อซั รอร ครู อกีฮอ, หนา 167. (38) ซบั ซฮี อ วา มีเวฮฮอเย ชะฟาบคั ช, หนา 66-67. (39) ซบั ซีฮอ วา มีเวฮฮอเย ชะฟาบคั ช, หนา 66-67. (40) ซะฟน ะตลุ บิฮาร, เลม ที่ 2, หนา 476. (41) บิฮารุล อนั วาร, เลมที่ 66, หนา 204.

มผี ถู ามทานอมิ ามซอดิก (อ.) เก่ียวกงั คณุ ประโยชนข องกรั รอษ ทานกลา ววา “เจาจง รับประทานมนั เถดิ ! เพราะในกัรรอษนน้ั มคี ณุ ประโยชนสปี่ ระการคอื 1.ทาํ ใหปากมกี ล่ินหอม 2.ไล ลมในกระเพาะอาหาร 3.จะชว ยรกั ษารดิ สีดวงทวาร 4.ผทู ่ีรบั ประทานมนั เปน ประจาํ จะทําให ปลอดภยั จากโรคเร้อื น” (42) “กัรรอษมปี ระโยชนส าํ หรับโรคริดสีดวงทวารและลมตา งๆ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ในทอ ง จะชว ยใหเ จรญิ อาหาร และจะชว ยกระตนุ สญั ชาตญาณทางเพศ จะทําใหใ บหนา แจมใสและเพ่มิ ความสวยงาม และความออนละมนุ ใหก บั ผวิ พรรณ” (43) กรั รอษกเ็ ชน เดียวกับตนหอม เปนผกั ชนดิ หนงึ่ ซึ่งมคี ณุ สมบัตติ านทานการติดเชอ้ื ดวยเหตุ น้ีเองมนั จงึ ชวยทาํ ความสะอาดกระเพาะอาหารท่มี ีกลนิ่ เหม็น และจะชว ยทําใหเจรญิ อาหาร และ เราทราบกันดวี า กลนิ่ ท่นี า รังเกียจจากปาก สว นใหญเ กิดจากความผิดปกตขิ องกระเพาะอาหาร ดงั นนั้ ในกรณที ่ีอาการติดเชื้อและการเนา บดู ในกระเพาะอาหารถกู ขจดั ไปปากก็จะมกี ลนิ่ หอมไป ดวย แตสําหรับกรั รอษน้นั มกี ลน่ิ เฉพาะของมนั และใครกต็ ามทร่ี ับประทานมันปากของเขากจ็ ะ มีกลิ่นหอมของมัน จากสาเหตดุ ังกลา วนจี้ งึ เปนไปไดวา บางคนอาจจะรสู ึกราํ คาญจากกลน่ิ ของกัร รอษ ดว ยเหตนุ ้ที า นศาสนทตู แหง อัลลอฮ (ศอ็ ลฯ) จึงกลา วไวใ นฮะดษี บทหนึ่งเกี่ยวกบั กรั รอษวา “ถา หากผูใดรบั ประทานมนั …ดงั นน้ั จงอยาออกไปมัสยิด ทง้ั นเี้ น่ืองจากมนั จะสรา งความ รําคาญใหแ กผ ูท่ีนง่ั รว มกบั เขา” (44) สรปุ เนื้อหาจากสองคํารายงาน (ริวายะฮ) นี้ คาํ รายงานทหี่ นง่ึ กลา ววา “กัรรอษทาํ ใหกลนิ่ ปากหอม” และอกี คาํ รายงานหนง่ึ กลา ววา “มนั จะทาํ ใหม ีกลนิ่ ปาก” นั่นกค็ อื เนอื่ งจากกัรรอษมี คณุ สมบตั ิตอ ตานกลนิ่ เหมน็ เปน ธรรมชาติทีต่ ัวของมันเองยอมจะมกี ลิน่ ที่รนุ แรง และดว ยกล่นิ ดังกลา วนเ้ี องท่จี ะชว ยขจดั กล่นิ เหมน็ อืน่ ๆ ใหห มดไปจากปาก หวั หอมใหญ (Onion) ‘หวั หอมใหญ’ เปนพืชลมลกุ ชนดิ หนง่ึ มลี ําตนเล็กและกลวง ไมม ใี บ หวั ของมนั มขี นาด ประมาณหวั บที รูท (Beetroot) มีลักษณะเปนเปลือกซอนกนั หลายชนั้ จะนํามารับประทานและใช ในการปรงุ อาหารดว ยเชนกนั (42) บิฮารลุ อนั วาร, เลมที่ 66, หนา 200. (43) ซะบอเน คูรอกีฮอ, หนา 224. (44) บฮิ ารลุ อนั วาร, เลม ท่ี 66, หนา 200.

“หอมใหญมวี ติ ามนิ เอ, วิตามินบ1ี , วติ ามนิ บ2ี , วติ ามนิ บี12, วติ ามนิ พี และวิตามนิ ซี” (45) “หอมใหญน อกจากจะมีวิตามินตา งๆ แลว ยังมธี าตุเหลก็ แคลเซียม ไอโอดนี ซลิ คิ อน และน้ําตาล ซง่ึ จะดูดซมึ เขา สรู างกายโดยตรง และไมเปน อันตรายสําหรับผปู ว ยโรคเบาหวาน โดย รามแลว ธาตตุ า งๆ ทมี่ อี ยใู นหวั หอมใหญม ดี ังนี้ นาํ้ 70-80 เปอรเซน็ ต, นาํ้ ตาล 2-6 เปอรเ ซน็ ต, สารอาหารตางๆ ท่ีมีไนโตรเจน 1-2 เปอรเซ็นต, ข้เี ถา 0.5-0.8 เปอรเซ็นต, ไขมัน 0.1 เปอรเซน็ ต, สารอาหารตางๆ ทไ่ี มมไี นโตรเจน 8- 20 เปอรเซ็นต, นา้ํ มนั Essence 0.016 เปอรเ ซน็ ต ในป 1917 ไดคนพบการมอี ยขู อง Antibiotic (สารปฏิชวี นะ) หนงึ่ ในหวั หอมใหญ ซึง่ ในชวงเริ่มแรกใหชือ่ มันวา “…………..” (46) ในคาํ รายงาน (รวิ ายะฮ) ตา งๆ ของอิสลาม ไดอธิบายถึงคุณคา ตางๆ ของหวั หอมใหญไ ว ดังตวั อยา งตอ ไปนี้ ทานอมิ ามซอดกิ (อ.) ไดกลาววา “หัวหอมใหญจ ะชว ยขจดั ความออ นเพลยี จะทาํ ให ประสาทเขมแขง็ เพมิ่ พละกาํ ลงั ในการเดนิ จะเพ่ิมนาํ้ อสจุ ิ และจะขจดั อาการไขต ัวรอ น” (47) “เน่อื งจากหวั หอมใหญม สี ารฟอสฟอรัส จึงทาํ ใหง านตา งๆ ท่ีเก่ยี วกบั การใชค วามคิดน้ัน เปน เรอื่ งงาย ดวยเหตุนจี้ งึ ถูกแนะนาํ สําหรบั บรรดานกั คดิ และบคุ คลท่ที าํ งานใชความคิดทง้ั หลาย ในกรณขี องความออนเพลยี และความเม่อื ยลา ทางรา งกายและประสาท หวั หอมใหญม ปี ฏกิ ิริยาใน การเพมิ่ พลงั ไดอ ยางฉับไวและแบบปจจุบนั ทนั ดว น สาํ หรบั เดก็ ท่ีมกี ารเจรญิ เตบิ โตชาและคนชราทม่ี ีรา งกายออนแอ และตอ งการใหเ กดิ ความ แข็งแรง หัวหอมใหญนับวาเปนอาหารทใ่ี หป ระโยชนและเพ่มิ ความแขง็ แรง หวั หอมใหญเปร่ยี มไป ดวยธาตซุ ลิ ิคอน ธาตดุ งั กลา วมปี รมิ าณมากทเี ดยี วที่มีความจาํ เปน สาํ หรับรางกายในการซอมแซม และรักษากระดูกและเสนเลอื ดใหญ หากทา นทงั้ หลายรูสกึ ออนเพลีย เบ่อื อาหาร มรี อยยนบนใบหนาและใบหนา เหลอื งซีด ดังนน้ั จงตมหวั หอมใหญท่ีสมบรู ณ 1 หวั โดยผาเปน 4 สวน ใสลงในนาํ้ ปรมิ าณสามแกวชา ตม ให สุกใหเ หลอื นาํ้ เพียง 1 แกว แลว ดืม่ กอนอาหารเชา ” (48) ในคาํ รายงานขา งตนของทา นอิมามซอดกิ (อ.) ทก่ี ลา ววา หวั หอมใหญจะขจัดอาการไขต วั รอน แตม ิไดก ลา วชื่อของไขเฉพาะเอาไว แตบ รรดานักวชิ าการไดเ ขยี นคุณสมบัติในการขจดั อาการ ไขตัวรอนของหัวหอมใหญเชนนวี้ า (45) เพเซชก คอเนวอเดฮ, หนา 90. (46) เอาวะลีน ดอนิชกอฮ, เลมท่ี 9, หนา 180. (47) วะซาอลิ ชุ ชีอะฮ, เลมที่ 17, หนา 167. (48) ซับซีฮอ วา มีเวฮฮ อเย ชะฟาบัคช, หนา 94.

“หวั หอมใหญจ ะใชในผูปวยท่ีเปนโรค ‘ชารบอ็ น’ (Charbon) (49) ซง่ึ เปน โรคตดิ เช้ือชนิด หนง่ึ เช้ือของมันโดยท่วั ไปจะเขา สูม นษุ ยโ ดยการกดั ของแมลงวนั ชนดิ หนงึ่ โดยเฉพาะ ถา หากเอา ฝาเทา ของผปู ว ยวางลงบนยาพอกท่ไี ดจ ากการผสมหวั หอมใหญก บั กระเทยี มทบี่ ดแลวเขา ดว ยกัน อาการของผูปว ยกจ็ ะหายไดโ ดยรวดเรว็ … ในชวงเริ่มแรกของอาการไขไ ทฟอยด ใหบ ดหัวหอมใหญป ริมาณ 3 กิโลกรมั แลวใชผ า หอ มนั ไวรอบเทาทง้ั สองขา งของผูปวยจนถงึ ขอ เทา การหอ หมุ ดงั กลาวจะทาํ ใหเ หง่อื ออกมาก และจะ ทําใหอาการไขข องผปู ว ยหยุดลง” (50) “หากทา นมไี ขต ัวรอนสงู และรสู กึ ทรุ นทุรายจากความรมุ รอ นของมนั ดงั นน้ั จงซอยหวั หอม ใหญใ หเ ปน ชนิ้ บางๆ จากนน้ั จงใสมนั ลงในภาชนะและตง้ั ไวบ นไฟ และจงคอยดวู า หัวหอมใหญน นั้ รอ นหรือยงั แตอ ยางปลอ ยใหไ หมเกรียมเปนสีนา้ํ ตาล และอยางใหร อ นจนถงึ ขน้ั ทาํ ใหร างกายของ ทานพอง เมอ่ื ความรอนไดท ่แี ลวจงนาํ มนั มาฟอกบนทอ งของผปู วย และเมือ่ หัวหอมใหญเ ยน็ ลงก็ จงเอามันออก การพอกหวั หอมใหญใ นลักษณะนจ้ี ะทาํ ใหอ าการไขต ัวรอ นของทา นหยุดลงได” (51) ในคาํ รายงาน (ริวายะฮ) อกี บทหน่งึ ผรู ายงานฮะดษี ไดก ลา ววา ฉนั ไดยนิ ทา นอมิ ามซอดิก (อ.) กลา ววา “ทานทงั้ หลายจงรับประทานหวั หอมใหญ เพราะแทจ ริงหวั หอมใหญม คี ณุ ประโยชน สามประการคอื จะชวยใหป ากมีกลนิ่ หอม จะทาํ ใหเ หงอื กแข็งแรง และจะชวยเพม่ิ อสจุ ิและการมี เพศสมั พนั ธ” (52) เน่อื งจากกล่ินเหมน็ ของปากเปนผลพวงมาจากการเนา บดู และกล่นิ เหม็นภายใน หวั หอม ใหญคอื ศตั รตู ัวฉกาจของกลนิ่ เหม็น ดว ยเหตนุ หี้ วั หอมใหญจึงนับวา เปน ตัวทาํ ลายกลิ่นเหมน็ และ โดยธรรมชาติเม่อื กล่ินของปากหมดไป กลน่ิ หอมอนั เปน ธรรมชาติของมันกจ็ ะปรากฏขน้ึ แมวาโดย ตัวของหวั หอมใหญจ ะมกี ลน่ิ ท่ีรนุ แรงก็ตาม “หวั หอมใหญเปน อาหารอีกชนิดหน่งึ ท่ีตา นทานเชือ้ โรค เปนสารอาหารท่ีตอตา นกลิ่นเนา บูด และมันจะทําลายเชอื้ โรคตางๆ ของเนื้อใหห มดไป หัวหอมใหญจะทาํ ลายกลน่ิ เหม็นและภาวะ เนาบูดในระบบการยอยอาหารและทางเดินหายใจ” (53) (49) ‘โรคชารบ็อน’ (Charbon) มีช่อื เรยี กอกี อยา งหน่งึ วา ‘โรคแอน็ แทร็กซ’ (Anthrax) ตามการใหความหมายของ ดร.วิทย เทีย่ งบูรณธรรม จากหนังสอื ‘A NEW ENGLISH THAI DICTIONARY’ หนา 230, 231 (ผูแ ปล). (50) ซับซีฮอ วา มีเวฮฮ อเย ชะฟาบคั ช, หนา 94. (51) นุซเคฮฮ อเย ชะฟาบคั ช, หนา 115. (52) บฮิ ารลุ อันวาร, เลมท่ี 66, หนา 246. (53) อิอย าซ ครู อกฮี อ, หนา 193.

“เน่อื งจากหวั หอมใหญม กี รดกาํ มะถัน มันจะชว ยตอ ตานการตดิ เช้ือของเลือด กาํ มะถนั ของหัวหอมใหญเมื่อเขา สเู ลอื ดและไปถึงปอด มนั จะตอ สกู บั ภาวะการติดเช้ือตา งๆ ของระบบ ทางเดินหายใจ ตวั อยา งเชน อาการหืดหอบ คออกั เสบ หลอดลมอกั เสบ ไขห วัดใหญ และอ่นื ๆ เนือ่ งจากหวั หอมใหญม ีธาตไุ อโอดนี มนั จะตา นทานโรคลักกะปดลกั กะเปด และจะชว ย เยยี วยารักษาโรคตา งๆ ทเ่ี กย่ี วกบั ระบบทอ น้ําเหลือง ตวั อยางเชน การอักเสบของตอมตา งๆ แผล อักเสบมีนาํ้ หนองอยา งรนุ แรง อาการปวดแสบปวดรอ นตางๆ ภายใตผ วิ หนังและอนื่ ๆ” (54) ‘ลกั กะปด ลกั กะเปด’ (Scorbut) เปน ชือ่ ของโรคชนดิ หนง่ึ หมายถงึ ภาวะเลือดไมจบั เกลด็ ผลของมนั คือเหงือกจะออ นแอและมีเลือดไหล เน่ืองจากหวั หอมใหญม วี ิตามนิ ซี และวติ ามนิ ซีนเ่ี อง ทีจ่ ะชว ยตา นทานโรคลกั กะปด ลกั กะเปด ดงั นน้ั มนั จะขจัดภาวะเลอื ดไมจบั เกลด็ ใหห มดไป สว นหนงึ่ จากคุณสมบัติของหัวหอมใหญซ งึ่ มีปรากฏในคํารายงาน (ริวายะฮ) คอื ชว ยบาํ รุง พลังทางเพศและเพม่ิ นาํ้ อสุจิ “หัวหอมใหญม ฮี อรโมน (Hormone) และไดแดสเทส (Diastase) ซ่ึงจะชว ยบาํ รงุ ตอ ม นํ้าตา ตอมเพศและตอ มน้าํ ยอ ย” (55) “หวั หอมใหญม ีธาตุฟอสฟอรัสซง่ึ เปน อาหารของสมอง และเปนตวั กระตนุ อารมณท างเพศ หัวหอมใหญม ธี าตุแคลเซียม จะชว ยทาํ ใหโ ครงกระดูกและฟนแขง็ แรง และจะยบั ย้งั จากอาการ กระดูกออน หวั หอมใหญจะเพิ่มความอยากอาหารและอารมณท างเพศ” (56) ดังท่เี ราไดก ลา วผานไปแลววา หัวหอมใหญจ ะชวยตา นการติดเชอ้ื ดว ยเหตนุ ้เี ราจะพบใน คําแนะนาํ ของทานอิมามซอดิก (อ.) ซง่ึ ทา นกลา ววา ทานศาสนทตู แหงอัลลอฮ (ศ็อลฯ) ไดกลา ววา “เมือ่ ทานทงั้ หลายเขาสูเ มอื งใดกต็ าม ดังนนั้ จงรับประทานหวั หอมใหญข องเมอื งนนั้ มนั จะปองกนั โรคระบาด (อหวิ าตกโรค) ของเมอื ง น้นั จากพวกทา น” (57) “หัวหอมใหญจ ะชว ยทาํ ใหระบบการยอยอาหารและทางเดินหายใจสามารถตา นทานการ ติดเชอื้ ได และจะปองกนั โรคทอ งรวงและโรคหวัด หวั หอมใหญคอื สารอาหารทต่ี อ ตา นการติดเชื้อ และจะทาํ ลายเช้ือโรคตา งๆ ของเนอื้ ใหห มดไป ซ่ึงไดรบั การทดลองและพิสูจนแ ลววา หวั หอมใหญ จะทําใหพ ษิ ของเน้ือทเี่ ก็บไวน าน (เนื้อเกา ) ซงึ่ จะทาํ ใหเ กดิ อาการทองรว งไดน น้ั ลดนอ ยลงไป และ จากพน้ื ฐานดงั กลา วนี้ ผทู ่รี บั ประทานอาหารนอกบานจะตอ งไมหลงลมื หวั หอมใหญ” (58) (54) ซบั ซฮี อ วา มีเวฮฮ อเย ชะฟาบคั ช, หนา 94. (55) ออิ ยาซ คูรอกีฮอ, หนา 192. (56) อซั รอร ครู อกีฮอ, หนา 66. (57) วะซาอลิ ุช ชีอะฮ, เลมท่ี 17, หนา 169. (58) ออิ ยาซ ครู อกฮี อ, หนา 193.

เราทราบดวี า สว นหนงึ่ จากลกั ษณะอาการของอหวิ าตกโรคคอื อาการทอ งรวง และอาการ ทอ งรว งนน้ั เกดิ จากเชอ้ื โรคตา งๆ ในลําไส นกั โภชนาการทา นหน่งึ ไดแ นะนาํ การรบั ประทานหวั หอมใหญส าํ หรบั ผูเ ดินทาง โดยเฉพาะ บรรดาฮุจญาต (ผเู ดินทางไปประกอบพธิ ฮิ จั ญ) โดยกลา ววา “ผกั ทม่ี คี ุณคา ชนิดหนง่ึ ซง่ึ มวี ติ ามนิ บีตางๆ น่ันคอื หวั หอมใหญ ซ่ึงการรบั ประทานมนั ดิบๆ ไดถ ูกแนะนาํ ไวส าํ หรับบรรดาฮุจญาตท้งั หมด ทง้ั น้เี พราะนอกจากจะมวี ิตามนิ ตางๆ ที่มีประโยชน แลว ยงั จะชว ยทําใหระบบการยอยอาหารสะอาดและสามารถตา นทานการติดเชอื้ ดวยเหตนุ ก้ี ารมี หวั หอมใหญไวสําหรบั อาหารของบรรดาฮจุ ญาต จงึ นับวา มคี วามจาํ เปนอยา งยงิ่ ” (59) เทอรนิป (หวั ผกั กาด) ‘เทอรน ิป’ (Turnip) เปน พืชลมลุก มีรากสะสมอาหารเรยี กวา ‘หัว’ หวั เทอรน ปิ มีลกั ษณะ คลา ยกบั หัวแรดชิ (Radish) แตม เี ปลอื กสขี าวและหวั เลก็ กวา มีรสคอ นขา งหวานและเผ็ดเลก็ นอ ย หวั เทอรน ปิ เปน ที่รจู ักกนั ในนามพืชผกั ฤดหู นาว ทั้งนเี้ นื่องจากหวั ตม สุกรอ นๆ ของมนั เหมาะสําหรบั อากาศหนาวเย็นของฤดหู นาว สารอาหารตางๆ ทพี่ บในหวั เทอรน ปิ ไดแ ก “วติ ามนิ เอปรมิ าณเล็กนอ ย วติ ามินบีและวติ ามนิ ซีในปรมิ าณท่ีมากกวา วิตามนิ บี2 และ วติ ามนิ พพี ใี นปรมิ าณทนี่ อ ยกวา หัวเทอรนปิ ทม่ี สี ีอมเขยี วจะมวี ิตามนิ เอ วติ ามินบี และวติ ามนิ ซีในปรมิ าณมาก สารอาหาร อนื่ ๆ ของหวั เทอรน ิปท่นี อกเหนือไปจากวติ ามินตางๆ นนั้ ไดแก น้ําตาล 7.5 เปอรเ ซน็ ต, คารโบไฮเดรต 1.30 เปอรเซน็ ต, แอลบูมีน 0.010 เปอรเ ซ็นต, ไขมนั 0.012 เปอรเซ็นต, ไอโอดนี 0.024 มิลลกิ รมั ตอ 1 กิโลกรมั และยงั มแี คลเซียม โปรแตสเซยี ม แมกนีเซียม และยังมีธาตุเหลก็ ปริมาณหน่งึ ในรปู ของ ฟอสเฟตและคลอไรดอ ยใู นปริมาณเลก็ นอ ย ธาตุเกลือแรท ง้ั หมดของมันมี 0.85 กรัม จากปริมาณ 100 กรัม และทุกๆ 100 กรัม ให พลงั งาน 36 แคลอรี หวั เทอรนิปมนี าํ้ ตาลเซลูโลสประมาณ 1.5 กรัม ใน 1 กิโลกรมั ” (60) และเนอื่ งจากมีนาํ้ ตาลเซลโู ลสน่ีเอง การรับประทานหวั เทอรน ิปจงึ ทาํ ใหมนุษยอ ิ่มและ ไดร ับพลงั งานท่ีจําเปน แตไ มท ําใหอวน และไมม ีอนั ตรายใดๆ สําหรับผทู เี่ ปนโรคเบาหวาน (59) บรั นอเมฮ ฆอซออี ซัร ซฟุ เรฮ, หนา 68. (60) เอาวะลีน ดอนิชกอฮ, เลมที่ 10, หนา 140.

ธาตแุ อลบมู ีนของหัวเทอรนปิ มปี ระโยชนต อประสาทและสมอง จะชวยเพ่มิ ความจาํ และ ใหพลงั งานแกป ระสาท นอกเหนือจากสารอาหารตา งๆ ท่กี ลา วไปแลว ในหัวเทอรน ปิ ยงั มอี าเซนคิ (Arsenic) และรบู ิเดยี ม (Rubidium) อีกปริมาณหนง่ึ หวั เทอรน ิปเปนอาหารชนดิ เดียวเทา นนั้ ซึ่ง สารอาหารท่มี คี ุณคาสองชนดิ รวมอยใู นตวั เดียวกนั รูบเิ ดียมเปน ธาตทุ ่มี คี ณุ ประโยชน ซงึ่ เมอ่ื มันปรากฏอยูในพืช (ผักและผลไม) ชนิดใด มัน จะทําใหส งิ่ นน้ั มีประโยชนด วย จะชว ยเพ่มิ คุณสมบัตขิ องสารอาหารนนั้ เปนหลายเทา หวั เทอรน ิปมีคณุ สมบตั ิมากทีเดียว ซงึ่ กพ็ บไดใ นผกั ชนดิ ตางๆ ไมม ากกน็ อย แตมันมี คุณสมบัตเิ ฉพาะประการหนง่ึ ท่ีผกั หรอื ผลไมช นดิ อ่ืนนอยนกั จะมเี หมือนมัน บรรดาทา นผนู ําแหง อิสลามไดเปดเผยใหรถู ึงประเดน็ น้มี านาน นบั ต้ังแตอดตี อันไกลโพน และไดอ ธบิ ายมนั ไวดวยสํานวนคาํ พดู ตางๆ 1.ทา นอิมามซอดิก (อ.) ไดก ลาววา “ไมมีบุคคลใดนอกเสียจากวา ในตัวเขานนั้ จะมเี สน ใย แหงโรคเร้อื น ดงั นน้ั พวกทา นท้ังหลายจงรับประทานหวั เทอรน ปิ ในชว งฤดูของมนั เถดิ มนั จะขจดั โรคเรื้อนใหหา งไกลจากพวกทา น” (61) 2.ทานอมิ ามมซู า กาซมิ (อ.) ไดกลาวตอ อะลี บนิ มซุ ัยยิม วา “เจาจงรบั ประทานหวั เทอร นิปเถิด! เพราะไมมีบุคคลใดนอกเสยี จากวาในตวั เขาจะมสี ายใยแหงโรคเรอื้ น (62) และแทจริงแลว การรบั ประทานหวั เทอรน ิปจะสลายมนั ใหห มดไป” ชายผนู นั้ ไดกลาววา ฉนั ไดถ ามวา “ขา พเจาจะกนิ ดบิ หรือสุก?” ทา นตอบวา “ท้งั สองอยา งจะมีประโยชน” (63) เราจะมาดผู ลทางดานวทิ ยาศาสตรบ างวา ในหวั เทอรน ิปมีธาตอุ ะไรอยูท ีท่ าํ ใหโ รคเรือ้ น สลายตวั ?! “เนื่องจากมธี าตอุ ารซานกิ ซง่ึ เปน ธาตทุ ่ีมคี ณุ คา ดงั นน้ั การรบั ประทานหวั เทอรน ิปจะชวย ปองกนั โรคทรี่ า ยแรงที่สุดได หมายถงึ โรคเรอื้ น โรคเรอ้ื นเปนโรคทเ่ี กา แกโรคหนงึ่ สาเหตทุ ี่แทจ รงิ (61) ซะฟน ะตุล บิฮาร, เลม ท่ี 1, หนา 713. (62) โรคเรือ้ นเปนโรคตดิ ตอชนิดหนึง่ เชือ้ ของมนั ถูกคน พบในป 1873 จะเกดิ ข้นึ กับคนหนุม สามมากกวา นับจาก วนั ทเี่ ชือ้ โรคเขา สรู า งกายจนถงึ วันทโี่ รคแสดงอาการ โดยเฉลีย่ แลวเปน ระยะเวลาประมาณ 7 ป และจาก ระยะเวลา 2 เดือน ถึง 30 ป ก็จะมอี าการแตกตางกนั ไป หนทางในการตดิ ตอคือเยื่อบตุ า งๆ ของทางเดนิ หายใจ หรือสะเกด็ จากผวิ หนงั ทหี่ ลุดออกมา เนอ่ื งจากมันคอื โรคติดตอ ดงั นั้นทา นศาสนทูตแหงอัลลอฮ (ศอ็ ลฯ) จึงไมยืน ใกลก ับผูท่ีเปนโรคเรอื้ นในขณะสนทนา มผี ูกลา ววา “ทา นรังเกยี จทีจ่ ะสนทนากับผูเปนโรคเร้อื น นอกจากจะตอง มรี ะยะหา งระหวางเขาประมาณหนง่ึ ชวงแขน” และทานยงั ไดก ลา ววา “จงหลีกหนจี ากผูเปนโรคเรื้อนด่ังทานหนี จากเสือ” (เอาวะลีน ดอนชิ กอฮ, เลมท่ี 1, หนา 70) (63) ซะฟนะตุล บิฮาร, เลมท่ี 1, หนา 147.

ของมันเกดิ จากความยากจนขดั สนและการขาดสารอาหารตา งๆ และกรณที โ่ี รคหรือเชื้อโรคมนั จะ ตดิ ตอ และแพรเชอ้ื ไปสบู คุ คลอืน่ ไดน น้ั คอื ในชวงที่บคุ คลดงั กลาวอยใู นภาวะการขาดสารอาหาร อยา งเชน อารเ ซนคิ และฟอสเฟต หากมิฉะน้ันแลว มนั ไมส ามารถตดิ ตอ ได” (64) หวั เทอรนิปยงั มคี ุณสมบัตอิ น่ื ๆ อกี เชน กนั “นอกจากวติ ามนิ ตา งๆ และสารอาหารทม่ี ีคณุ คา ทัง้ หลายซ่งึ ไดก ลา วไปแลว ในหวั เทอร นิปยงั มสี ารประกอบอยา งหนงึ่ ทชี่ วยฆาเชอื้ ได ซ่งึ มนั จะทาํ ลายเชื้อโรคและไวรัสจํานวนมากลงได และบนพนื้ ฐานดังกลา วน่ีเอง หัวเทอรน ปิ จึงชวยเยียวยารักษาโรคหวดั และน้ํามกู ไหล และจะชว ย ปอ งกนั จากการเปน โรคดงั กลา ว หวั เทอรนปิ จะชวยขับเสมหะและรักษาอาการไอ โดยเฉพาะอาการไอแหง ๆ จะทําให หนา อกและทอ งโลงสบาย และจะใชใ นการรักษาอาการอกั เสบในลําคอ อาการหืดหอบและไอกรน หวั เทอรน ปิ จะเพิม่ พลงั ใหแกส ายตา จะปองกนั โรคมองไมเ หน็ ในเวลากลางคนื และชว ยเพมิ่ สมรรถภาพทางเพศ หวั เทอรนิปมบี ทบาทสําคญั ในการบํารงุ รงั ไขแ ละอวยั วะสบื พนั ธุ จะบํารุงมดลกู ใหแ ข็งแรง เพ่อื ทะนถุ นอมทารกนอ ยใหม ีความสมบรู ณและแขง็ แรง เตรียมพรอมสตรสี ําหรบั การตัง้ ครรภ หวั เทอรน ปิ จะทาํ ใหถ ายปสสาวะมาก และดวยสาเหตดุ งั กลา วจากผลของการมสี ารกาํ มะถันมาก จงึ ชวยขับนว่ิ ในไตและกระเพาะปส สาวะได” (65) บีท (Beet) ‘บที ’ เปน พชื ลม ลุกชนดิ หนง่ึ มีใบกวา ง หัวของมันเรียกวา ‘บที รูท’ (Beetroot) มรี ปู ทรง คอ นขา งกลมหรือรปู ทรงกรวย หวั มีขนาดใหญ บที มี 3 ชนิด คือ บีททรี่ ูจกั กนั โดยทว่ั ไป บที ฝร่งั และ บีททใ่ี ชผลติ นา้ํ ตาล หัวบที ทว่ั ไปนนั้ มีขนาดคอนขางโตและมีรสหวาน จะรบั ประทานขณะสุก และหวั ดบิ จะถกู นาํ ไปเลีย้ งสัตว หวั บที ฝร่ัง ผวิ และเนอ้ื ของมนั มีสีแดงมวงและมรี สไมห วานมาก จะถกู นาํ ไปใชใ น การปรุงอาหารบางอยา ง สว นหวั บที นาํ มาใชใ นการผลติ นาํ้ ตาล มรี ปู ทรงกรวยและมีความยาวลกึ ลงไปในพนื้ ดนิ ถงึ 30 เซนติเมตร หรอื มากกวา น้นั ผิวและเน้ือของมนั มสี ีขาว มธี าตุนํ้าตาลอยโู ดย เฉลย่ี ประมาณ 14-18 เปอรเ ซน็ ต และจะถูกนาํ เขาสูโรงงานเพ่อื ใชผ ลติ นาํ้ ตาล (64) ซะบอน คูรอกฮี อ, หนา 240. (65) ซะบอน ครู อกฮี อ, หนา 240.

“หัวบที เปรยี่ มไปดวยวิตามนิ เอ บี และซี และมีนาํ้ ตาลปรมิ าณมาก มีธรรมชาติเย็นและ ชว ยเจริญอาหาร และใหพ ลงั งานพอสมควร มีผลทางกาํ มนั ตรังสี (Radioactivity) ซ่งึ ปฏิกริ ิยาของมันทม่ี ีตอระบบการยอ ยอาหารของ รางกายนน้ั นบั วามีความสาํ คญั มาก” (66) จากบรรดาคาํ รายงาน (รวิ ายะฮ) ของอสิ ลามทาํ ใหรวู า ใบของบีทนนั้ มคี ุณคาทางอาหาร มากกวา หัวบที และอสิ ลามใหค วามสําคญั ตอ ใบของมันมากกวา ทานอิมามริฎอ (อ.) ไดกลา ววา “ทานทั้งหลายจงใหผ ูปว ยของพวกทา นรับประทานบีท หมายถงึ ใบของมัน เพราะแทจ ริงในใบของบีทคือการเยยี วยารักษา และมนั ไมมพี ิษภยั และผลราย ใดๆ และมันจะชวยทาํ ใหผปู ว ยหลบั สนทิ ” (67) “ส่งิ ที่ดที ีส่ ุดและมีคุณคา มากที่สดุ ของบที คือใบของมัน หลงั จากน้ันก็คือกา นใบของมนั และหลงั จากน้นั กค็ อื หัวของมัน…ใบแกน น้ั เหนียวและยอ ยยาก แตด วยการปรงุ ใหส กุ ความเหนยี ว และความแขง็ ของมนั กจ็ ะหมดไป ความเย็นของใบออ นๆ นนั้ มมี าก แตม คี ุณคา ทางอาหารนอย กวา แตในทางกลับกนั มนั เปน ยาที่ดีมาก” (68) “บที มีคณุ ประโยชนเปน ยาระบาย ขับปส สาวะ และทาํ ใหเ กดิ ความสบายตัว” (69) ทานอิมามรฎิ อ (อ.) ไดก ลา ววา “บีทจะทาํ ลายสายใยของโรคเรือ้ นใหห มดไป และไมมสี ิ่ง ใดที่เขาสทู องของผูป วยทเี่ ปน โรคเยือ่ หมุ ปอดอกั เสบที่จะมีประโยชยม ากไปกวาใบบที ” (70) “เนือ่ งจากบที มธี าตุอารซ ะนคิ ยูเรเนยี มและรบู ีเดยี ม จงึ ชว ยปอ งกนั จากโรคเรื้อน ในชวง เชาใบของบที จะไมม ีรสชาติ แตในชวงเยน็ จะมรี สหวาน ทง้ั นี้เนือ่ งจากในชว งกลางวนั มนั จะสรา ง นํา้ ตาลดว ยแสงจากดวงอาทิตย และในชว งกลางคนื นา้ํ ตาลดงั กลาวจะคอยๆ ถกู สง ไปสะสมไวใ น หัวของมนั ดว ยเหตนุ เี้ องหากเด็ดใบของมนั ในตอนเชา ตรแู ละรับประทาน มนั จะเปน ผกั ท่ใี หค วาม เย็นอยา งหน่ึง และในชว งพลบคาํ่ ความเยน็ ของมนั จะลดนอ ยลง” (71) ในอีกคาํ พดู หน่ึงของทา นอมิ ามริฎอ (อ.) ถอื วาบที นน้ั ใหคุณประโยชนส าํ หรับโรคหลาย ชนดิ และยงั ไดกลา วอีกวา มนั เปน พืชท่ีจะชวยทาํ ใหกระดูกแข็งแรงและชวยเพ่มิ เน้ือในรา งกาย (66) ซบั ซฮี อ วา มีเวฮฮอเย ชะฟาบัคช, หนา 38. (67) วะซาอลิ ชุ ชีอะฮ, เลม ท่ี 17, หนา 157. (68) ซะบอน คูรอกีฮอ, หนา 56. (69) ซับซีฮอ วา มีเวฮฮ อเย ชะฟาบคั ช, หนา 39. (70) วะซาอลิ ชุ ชีอะฮ, เลม ที่ 17, หนา 39. (71) ซะบอน คูรอกฮี อ, หนา 55.

ทานอมิ ามริฎอ (อ.) ไดก ลาววา “เจา จงรบั ประทานบที เถิด! แทจ ริงมนั คอื พืชทีข่ ึน้ อยูตาม ชายฝงสวรรคฟ ร เดาซ ในมนั นน้ั มตี วั ยารกั ษาโรคตา งๆ จะทาํ ใหก ระดกู แขง็ แรงและจะสรางความ เจรญิ เตบิ โตใหแ กเ นือ้ ” (72) “บีทเปน ผักที่ใหพ ลงั งานสงู เนอื่ งจากมนี าํ้ ตาลธรรมชาตแิ ละธาตุแมกนีเซียมอยูม าก ธาตุ ท้งั สองมีคุณคา อยา งมากตอกระดกู และของเหลวในรา งกาย นอกจากนบี้ ที ยงั มีธาตุฟอสฟอรัสและ วติ ามนิ บอี กี ปริมาณหนึ่ง ซง่ึ ธาตทุ ้ังสองนจ้ี ะทําหนา ท่ีสาํ คัญในการบาํ รุงประสาท ยงิ่ ไปกวา นนั้ ใน บที ยงั มีวิตามนิ ซีปรมิ าณหนง่ึ และเน่อื งจากมวี ติ ามนิ ซนี เี่ องจงึ มีผลดตี อโรคตา งๆ ที่เกีย่ วกับระบบ ประสาท และแมแตโรคมะเร็งและวณั โรค บีทยงั มีธาตุรบู ีเดียม และเน่อื งจากธาตุดังกลาวมีคณุ สมบตั ิของกํามนั ตรังสี ซงึ่ จะสงผลดี อยางมากตอ ระบบการยอยอาหาร และดว ยเหตุผลดงั กลา วน่ีเองท่ีบรรดาแพทยจะใชบีทสําหรับผูท่ี มเี ลอื ดนอยหรอื ผูท่รี างกายขาดเกลอื แร” (73) เพอื่ ที่เราจะไดรับรถู ึงคณุ สมบัตติ างๆ ของหวั บที นาํ้ และใบของมันมากยง่ิ ขึ้นในการ เยียวยารักษา ดงั นนั้ จงมาดวู าบรรดานกั วิชาการดานโภชนาการในปจ จุบันไดก ลา วถงึ มนั ไว อยา งไร?! “หัวบที แมวา จะไมม ีคณุ สมบตั ใิ นการชว ยระบายทอ ง แตก ระนนั้ กต็ าม มันจะชว ยทําความ สะอาดทองและจะชว ยในการยอยอาหาร และจะรักษาอาการอักเสบของกระเพาะอาหาร นํา้ ตาลของหวั บที เปนส่ิงที่ไมด ีสําหรับผูป ว ยทเ่ี ปน โรคเบาหวาน แตในทางกลับกนั พระผู เปนเจา ทรงแกไ ขปรบั ปรงุ มัน หมายความวา พระองคท รงกาํ หนดยารักษาโรคเบาหวานไวในกา น แบะใบของมนั แตมีเง่ือนไขวาจะตอ งเด็ดมนั ในชว งเชา ตรู และผึ่งมนั ในรม ใหแ หง การรบั ประทานหวั บที สกุ จะชว ยเยยี วยารกั ษาอาการสน่ั เทา โดยเฉพาะอยางยิ่งในใบท่มี ีสี แดงของมัน และถา หากรับประทานมนั ดบิ ๆ กบั นา้ํ สม และเมลด็ ของตนมสั ตารด (Mustard) จะ ชวยขยายมา มและดับอาการอกั เสบของมัน หัวบที มปี ระโยชนสาํ หรบั อาการปวดหลัง กระเพาะ ปส สาวะ และโรคตางๆ ทเ่ี กยี่ วกบั ทวารหนกั หวั บที มปี ระโยชนสําหรับอาการอกั เสบของไต และมีธาตไุ นโตรเจน น้ําตาล เกลอื แร เชน แคลเซียมและธาตเุ หลก็ หวั บีทไมว า จะปรงุ สกุ หรอื ดิบจะชว ยบาํ รุงกาํ ลงั และแมว า มนั จะมนี าํ้ ตาล ถึง 17 เปอรเซน็ ต แตม นั กม็ ีธรรมชาตเิ ย็น และคณุ สมบตั ใิ นใบของมนั นน้ั มมี าก นํา้ ตมสกุ จะใช ประโยชนสาํ หรับบรรเทาอาการอกั เสบกระเพาะปส สาวะ ขจัดอาการทองผกู และโรคตา งๆ ท่ี เกีย่ วกับผิวหนงั ” (74) (72) วะซาอิลุช ชีอะฮ, เลม ที่ 17, หนา 159. (73) ซบั ซีฮอ วา มีเวฮฮอเน ชะฟาบคั ช, หนา 37. (74) ซะบอน คูรอกฮี อ, หนา 56.

การเ ดน เครส (Garden cress) ‘การเดน เครส’ เปนพืชลมลกุ ชนดิ หนง่ึ ทใี่ ชร บั ประทานเปน ผกั แตทางดา นคณุ คาทาง อาหารน้ันอาจจะมไี มม ากเหมอื นกบั ผกั ชนดิ อื่นๆ อยา งไรกด็ ีมันกม็ วี ิตามนิ เอและวิตามนิ บมี าก พอสมควร และมีวิตามนิ ซีในปริมาณที่มากกวา ในอสิ ลามไมถอื วามนั เปน สวนหนึง่ จากอาหารทน่ี า รงั เกยี จ (มักรูห) แตถือวา การ รบั ประทานผกั ชนิดน้ีในตอนกลางคืนจะเปนเหตนุ าํ ไปสโู รคเรือ้ นได สาํ หรบั ผทู ม่ี คี วามพรอมจาก การเปนโรคดังกลาว ทา นศาสดามฮุ มั มัด (ศ็อลฯ) ไดก ลาววา “ไมมบี า วคนใดที่ใชช วี ิตในยามคํ่าคนื โดยทีใ่ น ทอ งของเขามผี ักชนิดน้อี ยู นอกจากวา โรคเรอ้ื นจะกระพอื ปกโบยบนิ เหนือศีรษะของเขา (เหมอื น นกลา เหยือ่ ) จวบจนถึงยามเชา เขาอาจปลอดภยั จากโรคดังกลาว หรอื ไมเขาอาจพบความหายนะ (ดว ยโรคดงั กลาว)” (75) ดงั นนั้ เราไดบ ทสรุปจากคาํ รายงาน (รวิ ายะฮ) บทน้วี า ผกั ชนดิ นีจ้ ะมีผลทาํ ใหผ ทู ม่ี ี รา งกายออนแอพรอ มทจี่ ะเปน โรคเรอื้ นได โดยเฉพาะเม่อื มสี าเหตอุ น่ื ๆ เขา มาประกอบ ความหมาย ของคาํ พดู นย้ี งั มปี รากฏอยใู นคํารายงานอนื่ ๆ อีกดว ยเชน กนั “ชนดิ ตา งๆ ของผกั การเ ดน เครส นบั วาเปน สวนหนงึ่ จากผกั ที่มคี ุณคา แตจ ากประเด็น ท่วี า ไมควรเลยเถิดในการรับประทานอาหารทกุ ชนดิ การรบั ประทานผักชนิดนก้ี เ็ ชน กนั ไมเปน ท่ี อนญุ าตใหรบั ประทานมนั จนเกนิ ความพอดี โดยเฉพาะอยางย่งิ สาํ หรบั ผูท่ผี อมแหง และมีสภาวะ จิตใจหดหเู ศรา หมอง หมายถึงผูทม่ี เี สมหะมาก (Adam’s apple) … ใครก็ตามทรี่ ับประทานผกั การเ ดน เครสในตอนกลางคนื มนั จะกระตนุ เสน ใยแหงโรคเรือ้ น ในตัวเขา เราทราบดีวา ผกั การเดน เครส จะทาํ ใหห ลง่ั นํา้ มกู มากขน้ึ และเสน ใยของโรคเร้อื นกอ็ ยู ในจมกู เชน เดยี วกนั ธาตไุ อโอดนี เปรียบเหมือนยาขบั เสมหะ ผกั การเ ดน เครสก็เชน กนั จะทาํ ให การหลงั่ ของนา้ํ มูกมมี ากขน้ึ ” (76) มีรายงาน (รวิ ายะฮ) จากทานอิมามซอดกิ (อ.) ไดกลาววา “ใครกต็ ามทร่ี บั ประทานผกั การ เดน เครส (ญริ ญรี ) ในตอนกลางคืน เสนใยแหง โรคเร้ือนจะถกู กระตุน จากจมูกของเขา และจะมี เลือดออกในตอนกลางคนื ” (77) (75) วะซาอิลุช ชีอะฮ, เลมท่ี 17, หนา 157. (76) อซั รอร คูรอกีฮอ, หนา 218. (77) ซะฟน ะตุล บิฮาร, เลมที่ 1, หนา 147.

ในคาํ รายงาน (รวิ ายะฮ) บทนชี้ ใ้ี หเหน็ วา การกระตนุ ของโรคเกดิ จากจมูก และเรากท็ ราบ ดวี าสวนใหญข องโรคเรอ้ื นั้นจะเรม่ิ ตน ท่จี มกู “ผักการเดน เครส ชนดิ ตางๆ มธี าตไุ อโอดีน ธาตุเหล็ก ธาตุฟอสฟอรัส และมีวติ ามนิ ซีอยู ปรมิ าณมากซง่ึ จะทาํ ใหข ับปส สาวะออกมามาก พืชจาํ พวกนต้ี รงขา มกับสตอเบอรีซ่ ง่ึ มนั จะเปน ตวั กระตนุ และคณุ สมบัติเชนนี้เกีย่ วขอ งกบั ธาตุไอโอดนี เนื่องจากพชื จําพวกน้ีจะทําใหการหลงั่ ของลกู กระเดอื ก (Adam’s apple) เพ่ิมปรมิ าณขึน้ และจากเหตผุ ลดงั กลา วมนั จงึ เปนตัวกระตนุ ” (78) “และจากมมุ มองทวี่ า มนั เปน ตวั กระตุนนเ่ี อง บรรดานกั พฤกษาศาสตรโบราณจึงถือวา ชิ โครี (Chicory) หรือเอนดฟิ (Endive) ผักเบย้ี ใหญ (Purslane) และนาํ้ สมสายชหู มกั จะชวยแกไ ข ปรบั ปรงุ (หมายถงึ ดับการกระตุน) ของผักการเดน เครสได” (79) ผักการเ ดน เครสมีหลายชนดิ คอื เกิดข้นึ เองตามทองทงุ และทปี่ ลูกกนั ในสวนผักตางๆ และ ชนดิ ที่สองนยี้ งั แบงออกเปน 3 ชนิด ซึง่ แตล ะชนดิ นนั้ ใบและเมล็ดของมนั จะมีลกั ษณะเฉพาะ ตวั อยา งเชน การเดน เครสที่เกิดตามทองทงุ น้ันดอกของมนั จะมีสเี หลอื งและมรี สจัดกวา เนอื่ งจาก ชนิดทห่ี ลากหลายของมนั ในภาษาอาหรบั จึงเรยี กชือ่ ท่ีตา งกนั ออกไป เชน ‘ญริ ญีร’ และ ‘รอ ชาด’ เปนตน การเดน ไทม (Graden thyme, Thyme) (80) ‘ผกั ไทม’ (Thyme) ชนิดที่ดที ส่ี ุดนน้ั อยูในเมอื งชีราซ (ประเทศอิหรา น) ตามทัศนะของชาวชี ราซนนั้ มี 2 ประเภท คอื ผกั ไทมใบเลก็ และผักไทมใ บใหญ ดงั ทีป่ รากฏจากชอ่ื ของมนั ใบของผกั ไทมใบใหญน นั้ มีลกั ษณะรูปทรงไข สวนผักไทมใบเล็กมคี วามยาวกวา และเรยี วกวา ผักไทมใ บเลก็ สวนใหญจะถกู พบไดต ามภเู ขาตางๆ “ผักไทมภูเขาคือพืชชนิดหนงึ่ ซง่ึ จะขนึ้ เองโดยธรรมชาตติ ามโขดหนิ ของเนนิ เขาตา งๆ และ อยเู ผชญิ กับแสงแดดในปา ตางๆ และในพนื้ ดินท่ีไมมกี ารเพาะปลกู ลาํ ตนมสี ีมว ง และความสูง บางทอี าจถงึ 50 เซนติเมตร ในเมอื งลาฮญี าร ฏอลชิ ออสตาราและเมอื งฟารซ กม็ ีผกั ชนดิ นีข้ ึน้ อยเู ชน กนั …ผกั ไทมข อง เมืองชีราซ เปน พืชชนดิ หนง่ึ ท่มี คี ุณสมบัตใิ นทางเยียวยารักษา ซงึ่ มคี วามมหัศจรรยอ ยา งย่งิ ในการ (78) ออิ ยาซ ครู อกฮี อ, หนา 195. (79) มัคซะนุล อดั วียะฮ, ในหมวดอักษร ‘ญีม’. (80) Thyme (ไทม) พชื ชนิดหนึง่ มีตน เตี้ยใบหมอ (Thymus vulgarise) มนี ํา้ มนั ระเหย และใชเ ปนยาขับลม ดไู ด จาก A NEW ENGLISH THAI DICTIONARY (ฉบับรวมศาสตร), ดร.วทิ ย เทย่ี งบูรณธรรม, หนา 1758 (ผูแ ปล).

เยยี วยารักษาโรคตางๆ และดว ยเหตุดงั กลา วนจ้ี ึงนับไดวา มนั เปน พชื สมนุ ไพรท่มี คี ณุ คา ที่สดุ ชนิด หนงึ่ ” (81) บรรดาผนู ําแหง อิสลามถอื วา พชื ชนิดนี้มปี ระโยชนอยา งยงิ่ ถงึ ขนั้ ท่ีทา นอมิ ามริฎอ (อ.) ได กลาววา “ยารกั ษาโรคของทา นอมีรลุ มอุ ม นิ นี (อ.) คือเซาะอตัร (ผักไทม)” (82) และทานอมิ ามรฎิ อ (อ.) ยังไดกลา วอีกวา “เซาะอต ัร (ผักไทม) จะชว ยบาํ รงุ กระเพาะ อาหาร ชวยขจดั เสมหะ และชว ยใหป ลอดภัยจากโรคอมั พาตบนใบหนา ” (83) โรคอัมพาตบนใบหนา คอื โรคซ่ึงจะปรากฏข้ึนบนใบหนา ของมนุษย รมิ ฝปากและปาก หรอื ขากรรไกรบดิ เบย้ี วไปขา งหนง่ึ ใดขา งหนง่ึ ตอ ไปน้ีจงมาพจิ ารณาดคู ณุ สมบตั ขิ องผกั ไทมท างดานวิทยาศาสตร “คุณสมบัติตา งๆ ทางดานการแพทยและการเยยี วยารกั ษาของผกั การเดนไทมแ หง ชรี าซ นัน่ ก็คือ จะยบั ยง้ั อาการเจบ็ ปวดและอาการชกั กระตกุ ของกลา มเนอื้ ชว ยใหเ ลอื ดไหลเวยี นไดด ี บาํ รุงและกระตุนการทํางานของอวยั วะตางๆ ทเี่ กย่ี วกับเพศและการสบื พนั ธใุ นรางกาย เพมิ่ สติปญญาและพลงั แหง การรบั รู เปน ยาสมานแผลและบํารงุ กาํ ลงั รกั ษาภาวะผดิ ปกตแิ ละออนแอ ของตบั และทาํ ใหต บั ทาํ งานไดดขี น้ึ ผักการเ ดนไทมจ ะชว ยรักษาอาการติดเชอ้ื ตา งๆ ในปอด นํา้ มกู ไหล หลอดลมอกั เสบ อาการหอบหดื ไขหวัดใหญ คออักเสบ อาหารไมย อ ย ปวดทอ ง และลําไสอ กั เสบ…ดอกแหงของ ผกั ไทมภเู ขาจะชวยบาํ รงุ กระเพาะอาหาร บาํ รงุ กาํ ลงั ขบั เสมหะ ขบั เลือดประจําเดือน รกั ษา อาการเจบ็ ปวด ปวดเมอื่ ยกลา มเนอื้ และชว ยขับเหงื่อ” (84) ทานโปรเฟสเซอร ‘ทรูโซ’ ไดกลาวเกีย่ วกบั ผักไทมไวว า “ผักไทมเ ปน ตวั ทาํ ลายสารพษิ ผักไทมท ัง้ สดและแหง จะถูกนาํ ไปใชรักษาการตดิ เช้ือตา งๆ ของปอด นา้ํ มูกไหล หลอดลมอักเสบ อาการหอบหดื ไขหวดั ใหญ อาการเมือ่ ยลาตามกลามเน้ือ และเทา คออักเสบ อาหารไมยอ ย ปวดทอ ง และอาการอักเสบในลาํ ไส นํ้าครัน้ ของผกั ไทมมคี ณุ ประโยชนในการตอ ตา นการตดิ เชอ้ื ในระบบทางเดินหายใจและ ระบบการยอ ยอาหารอยา งไดผ ล สารพษิ ตางๆ ทรี่ วมอยใู นทน่ี น้ั จะถกู ขจัดใหหมดไปอยางราบคาบ ทําใหการไหลเวยี นของเลือดเปนระบบ…ถา หากเราเพิ่มใบของผักไทมจ าํ นวนหน่งึ เขา ไปในอาหาร (81) กุลฮอ วา กิยอฮอเน ชะฟาบัคช, หนา 50, 51. (82) วะซาอิลุช ชีอะฮ, เลม ที่ 17, หนา 172. (83) มซุ ตัดร็อก อลั วะซาอิล, เลม ที่ 3, หนา 121. (84) กลุ ฮอ วา กยิ อฮอเน ชะฟาบัคช, หนา 50.

ของกระตาย จะชว ยยบั ยงั้ อาการทอ งอดื ของมันได และจะไมเ กิดแกส ในกระเพาะอาหารของมนั อยา งแนน อน” (85) มีคาํ รายงาน (รวิ ายะฮ) บทหนง่ึ ไดกลา ววา “ชายผูหนงึ่ ไดรอ งทกุ ขตอทา นอมิ ามริฎอ (อ.) เก่ียวกบั การมเี สมหะมาก ทา นไดแ นะนาํ ใหเขารับประทานใบของผักไทมเปลาๆ กอ นอาหารเชา ” (86) การมีเสมหะมาก ตามสาํ นวนปจจุบนั เรียกวา ‘การหลงั่ ของลกู กระเดือก’ (Adam’s apple) ของมนุษย และทานอมิ ามรฎิ อ (อ.) ถือวา ผักไทมส ามารถเยียวยารกั ษาอาการนไ้ี ด และดวยเหตนุ ้ี เองทา นจงึ แนะนาํ ชายผนู นั้ ใหรับประทานผักไทมสดๆ โดยไมตองตม เพราะถา หากตมกจ็ ะตอ ง ผสมมนั กบั นาํ้ ซง่ึ ในกรณีนจี้ ะไมม ผี ลอะไรตอการขจัดเสมหะและความชืน้ ของรางกาย. (85) ซับซฮี อ วา มีเวฮฮอเย ชะฟาบัคช, หนา 90. (86) วะซาอลิ ชุ ชีอะฮ, เลม ที่ 17, หนา 172.

หมวดท่ี 5 ดอกไมแ ละนํา้ มันชนิดตา งๆ หมวดที่ 5 ของหนงั สือเลม นจ้ี ะพดู ถงึ เรอ่ื งของดอกไมและนํ้ามันชนดิ ตา งๆ จุดประสงคจ าก คาํ วา ‘นาํ้ มนั ’ หมายถงึ ไขมนั ตา งๆ ในทัศนะของอิสลามนนั้ คือสวนหน่ึงจากนํ้ามนั ของสัตวซ ึ่งจะ อธิบายตอไปขา งลางนี้ เปน ทอี่ นุญาตสําหรับการรับประทานมนั และเชนเดยี วกนั นีบ้ างสวนจาก น้าํ มนั ของพชื ตัวอยา งเชน นา้ํ มนั มะกอกและอ่ืนๆ ไดถ กู เนน ใหรบั ประทานมนั และอีกสว นหนงึ่ ของนํ้ามนั จากพืชไดถกู กําหนดไวส าํ หรับการใชประโยชนต า งๆ ภายนอกของรางกาย ประเภทตา งๆ ของนํ้ามันจากสตั ว นาํ้ มนั ของสตั วช นิดตา งๆ ที่เน้อื ของมันเปน ทอี่ นมุ ตั ิ (ฮะลาล) ในการรับประทาน แมจะ ไมใ ชสิง่ ตองหา ม (ฮะรอม) หรือนา รงั เกยี จ (มักรหู ) แตกไ็ มม กี ารแนะนาํ ใดๆ มากมายนกั สาํ หรบั การรบั ประทานมนั จากทง้ั หมดของน้ํามนั สตั วก็จะมแี ตเพียงเฉพาะนาํ้ มนั ของววั เทา น้นั ที่ไดรับการ ยกยอ งสรรพคุณและมีการแนะนาํ ใหร ับประทาน ทานอิมามญะอฟร ซอดกิ (อ.) ไดกลาววา “น้าํ มนั จากสวนตางๆ ของววั นนั้ คือยารกั ษา (ความเจ็บปว ยท้งั หลาย)” (1) ในทศั นะของความรูทางดา นโภชนาศาสตร การรับประทานเน้ือเยอื่ ไขมัน ไขมนั ทสี่ ะสม บริเวณหางของสตั ว (อยางเชนในแกะบางชนิด) และไขมนั จากสวนอนื่ ๆ ของสตั ว เชน เดยี วกนั กับ การรับประทานไขมนั ตางๆ ของสัตวท ีไ่ ดม าจากนา้ํ มันสตั วใ นปริมาณมากน้นั เปน สง่ิ ท่ีไมด ี “ปจจบุ นั คงไมม ใี ครปฏเิ สธถึงอนั ตรายของไขมนั ตางๆ ของสัตว เพราะนอกจากจะ กอใหเกิดผลกระทบตอ ตับแลว ยงั จดั วาเปน สาเหตโุ ดยตรงของการอดุ ตนั ของเสนเลอื ดตางๆ ประเด็นทีจ่ าํ เปน ตอ งกลา วถึง ณ ทนี่ ก้ี ็คอื จะตองไมสบั สนระหวางคาํ วา ‘ไขมนั สตั ว’ กบั ‘นํ้ามนั สัตว’ ‘ไขมนั สตั ว’ ไดแ ก เย่ือไขมนั ไขมนั ทีส่ ะสมอยบู รเิ วณสว นหางของสตั ว และไขมนั ตา งๆ ท่ี อยรู ะหวา งผวิ หนงั และเนอ้ื ของสตั ว สว น ‘น้ํามนั สัตว’ คอื ส่งิ ที่ถูกทาํ ใหละลายออกมาจากไขมนั ของสตั ว ซ่งึ อนั ตรายตา งๆ ที่ถกู กลา วถงึ เกยี่ วกบั ไขมันสัตวน นั้ ไมเกย่ี วขอ งใดๆ กบั นํา้ มนั ท่ลี ะลาย ออกมาจากไขมันสัตว (1) วะซาอลิ ชุ ชีอะฮ, เลม 17, หนา 81.

ไขมันของสตั วช นิดที่มอี นั ตรายมากท่สี ดุ คือไขมนั ที่อยรู ะหวา งชนั้ ของผิวหนังและเนอ้ื ของ สัตว ไขมนั ชนดิ น้มี ีอยมู ากโดยเฉพาะในเนอื้ สกุ ร ชน้ั ของไขมนั ดงั กลา วน้ีจะมบี รรดาตอมนา้ํ เหลือง ซ่ึงบรรดาเมด็ เลือดขาวท่ีอยูในตอ มเหลา นมี้ ันจะกนิ เช้ือโรคตา งๆ ที่อนั ตราย หมายถงึ มนั จะปด ลอ มเชื้อโรคเหลา นน้ั ไวไมใหท าํ ปฏิกริ ยิ าใดๆ ได และจะฝงมนั ไวใ นบรเิ วณตางๆ ของไขมัน แตเมอ่ื สัตวตายลงเชอื้ โรคเหลา นน้ั ก็จะเปน อสิ ระและจะเรม่ิ ปฏบิ ัตกิ ารตางๆ ของมนั ใหม ดว ยเหตนุ ีเ้ อง พวกเขาจึงกลา ววา ไขมันตา งๆ ของสัตวน น้ั มีความสกปรกตลอดเวลา” (2) แตก ระนัน้ ก็ตามในคาํ รายงาน (ริวายะฮ) ตางๆ ของเรา ยงั ใหก ารยกยอ งสรรพคณุ ของ นา้ํ มนั ววั และในบางครัง้ กก็ ลา วถงึ ไขมันววั วา เปน ยาและเปน สงิ่ ที่ขจดั โรคภยั ไขเ จ็บตางๆ ทา นอิมามซอดกิ (อ.) ไดก ลาววา “บคุ คลใดก็ตามทรี่ ับประทานไขมนั หนึ่งคํา โรคภยั ไขเ จบ็ กจ็ ะถูกขจัดออกไป (จากรา งกาย) ในปรมิ าณท่เี ทากนั นน้ั ” (3) เราไดกลา วไปแลววา นา้ํ มันววั นน้ั อยูใ นฐานะของยารักษาโรค ซง่ึ มันจะชว ยขจดั ความ เจ็บปว ยใหห มดไป แตไ มใ ชสาํ หรบั ทุกคน เพราะบุคลทม่ี ีอายุเกนิ 40 ป ตามหลงั คาํ สอนของ อสิ ลามนน้ั หา มรับประทานมัน (เปนมกั รหู ค อื ไมสมควรในการรับประทาน) โดยเฉพาะในชวงเวลา กลางคนื ทา นอิมามซอดิก (อ.) ไดกลาววา “นาํ้ มนั จากสตั วนนั้ ชางเปน อาหารทดี่ เี สียนก่ี ระไร! แต สําหรับคนสงู อายุนนั้ ฉนั รังเกยี จมนั ” (4) และทานอิมาม (อ.) ยังไดก ลา วอกี วา “เมอื่ คนเรามีอายถุ ึง 50 ป ดังนั้นในชวงเวลาคาํ่ จง อยา ใหม ีนาํ้ มนั จากสัตวเขา สูทอ งของเขา” (5) ตอไปนีจ้ ําเปน ทเ่ี ราจะตอ งมาพจิ ารณาถงึ อันตรายตางๆ ของไขมันจากสัตว ก.ภาวะการแข็งตวั ของเสน เลือดแดง (Hardening of the arteries) “เมื่อผนงั เสนเลือดตา งๆ ของรา งกายมีสารคอเลสเตอรอล (Cholesterol) ซง่ึ มลี ักษณะ คลา ยขผ้ี งึ้ ปรากฏข้ึนซงึ่ กอ ใหเ กดิ ภาวะการแขง็ ตัวของเสน เลอื ดแดง และในสภาวะเชน นกี้ อนทีจ่ ะ เกิดความดนั โลหติ ข้ึนเสน เลอื ดตา งๆ จะแขง็ ตัวและปากของมนั จะตบี ลง และไมป ลอ ยใหเลอื ด ไหลเวียนผา นเสน เลือดทงั้ หลายไปสูสวนตางๆ ของรา งกายไดอ ยา งสะดวกและงา ยดาย และผลก็ คือจะทาํ ใหเ กดิ การเปล่ียนแปลงทางความดันของโลหติ ซงึ่ ทาํ ใหเกดิ โรคความดนั โลหิตสูง (High blood pressure) (2) อสั รอร คูรอกีฮอ, หนา 45. (3) วะซาอิลชุ ชอี ะฮ, เลม 17, หนา 29. (4) บฮิ ารุล อันวาร, เลม 66, หนา 88. (5) วะซาอลิ ุชชอี ะฮ, เลม 17, หนา 82.

เปน ระยะเวลาหลายปท เี ดียวท่ีความรูและวิทยาศาสตรไดสง สัญญาณเตือนภยั ตอ โรคนี้ และตองตอสูกบั มัน แตผทู ีป่ ระสบกบั โรคดงั กลา วรวมทง้ั บรรดาแพทยท ่ีทาํ การเยีย่ วยารกั ษาผู เจ็บปวยเหลานี้ ตา งกลา วเปน เสียงเดียวกนั วา “อาการแข็งตวั ของเสนเลือดแดงเปนผลพวงของความแกชรา และทงั้ สองนห้ี มายถึงความ แกช รากบั ภาวะการแขง็ ตวั ของหลอดเลือดแดงน้ัน เปนสาเหตุที่จาํ เปน ตองเกดิ ควบคกู นั อยาง หลีกเลีย่ งไมไ ด จงึ จําเปน ตอ งยอมรับสภาพและผลตา งๆ ของมนั ท่จี ะเกดิ ขึ้นตามมา ในปจ จบุ นั ขาพเจาไดเห็นดว ยตาของขา พเจาเอง จากภาวะอนั ไมสดู ีทไี่ ดเกิดขนึ้ นี้ มบี ุคคล จาํ นวนนับเปน รอ ยๆ คนท่ีมคี วามรคู วามสามารถซงึ่ ประสบความสําเร็จในการยับยง้ั ภาวะการ แขง็ ตัวของเสน เลือดแดงไดโดยโปรแกรมการควบคมุ อาหาร ซง่ึ พวกเขาไดจัดเตรยี มอาหารตางๆ ท่ี ไมม ไี ขมัน และในแตล ะวนั พวกเขาจะเพม่ิ ปรมิ าณการรับประทานวติ ามนิ และนา้ํ จากผกั ตา งๆ ท่มี ี สรรพคุณในทางการบําบดั รกั ษาในปริมาณมาก จนกระทั่งระยะเวลา 7 เดือนหรอื 1 ปผ านไป หลังจากท่ีไดปฏิบตั ิตามวธิ ดี งั กลาว สขุ ภาพรา งกายของพวกเขากส็ มบรู ณข้ึนอยา งรอ ยเปอรเซ็นต ขาพเจา รูสึกยนิ ดีท่ขี าพเจา สามารถประกาศออกไปไดว า ปจ จบุ ันเราสามารถรับรูไดถ งึ สาเหตทุ ีแ่ ทจรงิ ของโรคที่เกิดจากภาวะการแขง็ ตวั ของเสน เลอื ดแดงแลว ” (6) ข.ตับและถุงนํา้ ดี ไขมันท่มี มี ากเกินขอบเขตจะสง ผลกระทบตางๆ ท่เี ลวรายตอตบั ซึ่งเปน หนงึ่ จากบรรดา อวยั วะทส่ี าํ คญั ท่ีสดุ ของรา งกายเชน เดียวกนั และมนั จะทําใหถงึ นาํ้ ดเี กิดความบกพรอ ง “ดร.โรเจอร กิลนารด แพทยผมู ชี อ่ื เสยี งโดงดังทานหนง่ึ ซ่ึงมีคลนี ิคอยใู นเมอื งวีซี และมี ช่ือเสยี งระดับโลกในดานการรกั ษาโรคตางๆ เก่ียวกับตบั และถงุ นาํ้ ดี บรรดาผูปว ยจํานวนนบั ไม ถว นที่ไปรับการรักษาจากทา นตา งถามทา นวา “อะไรคอื สาเหตทุ ที่ ําใหผ คู นจาํ นวนหนึ่งตองถกู จู โจมและไดร ับอันตรายจากโรคทีเ่ กยี่ วกับถงุ นา้ํ ด?ี ” ดร.ทานนต้ี องตอบคาํ ถามแกบ ุคคลเหลานั้นอยูตลอดเวลาถงึ สาเหตุ 3 ประการใหญๆ ท่ีมี ผลกระทบตอ ความบกพรองของถงุ นาํ้ ดกี ค็ ือ 1.เรอ่ื งเกีย่ วกบั ผหู ญิง (หมายถงึ การมีอารมณแ ละความสัมพนั ธท างเพศอยางเลยเถดิ ) 2.ไขมันและนาํ้ มัน 3.การมีอายุเกนิ 40 ปขน้ึ ไป” (7) นาํ้ มนั มะกอก (Olive oil) (6) กชุ ัรนอเมฮ บะยอเย ซนิ เดกเี ย นวู ีน, หนา 43. (7) เลมเดิม, หนา 79.

ตน มะกอกมีใบยาวเรยี วและมีดอกเปนชอ ผลของมนั มีรูปทรงคลายไข ตนมะกอกใน ประเทศของเรา (หมายถงึ ประเทศอหิ ราน) จะมีมากในเมืองรูดบอร, กุรอน, ดุรเรฮเ ยซ ะฟดรดู , มันญีล, อฟั ชอร, ฮาญลี รุ และบลุ จู สิ ถาน โดยพื้นฐานแลว พน้ื ดินทเ่ี หมาะสมสาํ หรบั การเพาะปลูกตน มะกอกคอื พื้นดนิ ทมี่ อี ากาศ รอนตามชายฝง ทะเลเมดเิ ตอเรเนียน ดวยเหตดุ งั กลา วนเี้ องในประเทศกรีก (ยูนาน) อิตาลี ประเทศ ตามชายฝง ทะเลเมดิเตอเรเนยี น ประเทศตา งๆ ในแถบแอฟริกาเหนอื และประเทศปาเลสไตนจ ึงมา การปลูกมาตัง้ แตย ุคโบราณ ตน มะกอกสามารถมอี ายยุ นื ยาวไดถ งึ สองพนั ป แตม เี งอื่ นไขวาความ หนาวเย็นและการกอ ตวั ของนํ้าแข็งท่รี ุนแรงจะตองไมท ําใหตนมนั แหง ผลของมะกอกสามารถรับประทานไดด บิ ๆ และยงั นําไปผลติ เปน นาํ้ มนั ไดอ ีกดว ย นํา้ มนั มะกอกเปนของเหลวใสมสี เี ขียวเล็กนอ ยหรอื ไมก ม็ สี เี หลืองทอง นํา้ มนั มะกอกจะคง สภาพความเหลวใสอยไู ดอ ยางสมบรู ณใ นอณุ หภูมิความรอ น 15 องศา ถา หากอุณหภมู ิลดลง เหลอื 10 องศา มนั จะมีสขี ุน หากในอณุ หภมู ิ 0 องศา มนั จะแขง็ ตัวและจบั ตวั เปน กอ นๆ และใน อณุ หภมู ติ ดิ ลบ 20 องศา มนั จะจบั ตวั แข็งอยางสมบรู ณ นํา้ มนั มะกอกสามารถนาํ ไปใชประโยชนไดใน 2 ลกั ษณะคอื 1.ในรูปของอาหาร 2.ในรูปของนา้ํ มันที่ใชท าตามรา งกาย น้าํ มนั มะกอกท่ีใชรับประทาน สว นหนง่ึ จากนาํ้ มนั ตางๆ ทบ่ี รรดาผูน าํ ของอสิ ลามใหค วามสําคัญเปน อยา งมาก คือนํา้ มัน มะกอก โดยทท่ี า นเหลา น้นั ถอื วา การรับประทานมนั รว มกบั น้าํ สม สายชูหมักคอื แกงช้นั เลิศ ทานอมิ ามญะอฟ ร ซอดกิ (อ.) ไดกลาววา “นํา้ แกงจม้ิ ขนมปง ทีด่ ีเลศิ ย่ิงของทานศาสนทตู แหงอัลลอฮ (ศ็อลฯ) คือนํ้าสมสายชหู มักและน้ํามนั มะกอก และทา นไดกลาวดวยวา มนั คืออาหาร ของบรรดาศาสดา” (8) ในดา นคุณคาของอาหารจากการรบั ประทานนํ้ามนั มะกอกรว มกบั นา้ํ สม สายชนู ้นั ถอื วามี ความนาสนใจและนาพิจารณาเปนอยา งมากซง่ึ เราจะอธบิ ายในภายหลงั ทานอิมามซอดกิ (อ.) ไดก ลาววา “น้าํ สม สายชู (หมกั ) และนํา้ มนั มะกอกคือสว นหนง่ึ จาก อาหารของมวลมุสลมิ ” (9) (8) วะซาอลิ ชุ ชอี ะฮ, เลม 17, หนา 63. (9) วะซาอลิ ุชชอี ะฮ, เลม 17, หนา 65.

ทา นศาสนทตู แหงอลั ลอฮ (ศอ็ ลฯ) ไดใ หก ารยอมรบั วาน้าํ มนั มะกอกคอื ยาบาํ บดั รักษา นํ้าดี ขจัดเสมหะ บาํ รงุ ประสาท ทําใหม มี ารยาทงดงาม ลมหายใจสะอาดและคลายความทกุ ข กงั วลใจ และทา นไดแนะนาํ อยางมากใหร บั ประทานมนั ทานศาสนทตู แหง อัลลอฮ (ศอ็ ลฯ) ไดก ลา ววา “ทา นทงั้ หลายจงรบั ประทานนาํ้ มนั มะกอก เถดิ ! เพราะแทจ รงิ มนั จะบาํ บัดนํา้ ดี ขับเสมหะ บํารงุ ประสาท ทาํ ใหม ีมารยาทงดงาม ทาํ ใหล ม หายใจหอมสดช่ืน และขจดั ความทกุ ขกงั วลใจ” (10) “นาํ้ มนั มะกอกเปรี่ยมไปดวยวิตามนิ และเกลือแรตางๆ โดยเฉพาะธาตุโปแตสเซยี ม และ นับเปนระยะเวลาอันยาวนานหลายศตวรรษมาแลว ทนี่ ํา้ มนั มะกอกกบั ขนมปงเปน แหลงทมี่ าของ คณุ คาทางอาหารสาํ หรบั มวลมนุษย” (11) “นา้ํ มนั มะกอกมีคุณคา อยา งมากสาํ หรับการผลิตพลังงานเผาพลาญในรา งกาย เพราะใน ปรมิ าณ 100 กรมั ของมันจะใหพลงั งานความรอ น 234 แคลอรี และจากเหตผุ ลน้ีเองจงึ จดั เปน อาหารที่ใหพ ลงั งานสงู ดงั นนั้ บรรดาผทู ีม่ คี วามปรารถนาอยากจะมีสขุ ภาพพลานามัยทีด่ ี เขาตอ ง ชอบยาอายวุ ฒั นะน…้ี น้าํ มนั มะกอกเปน ยาระบายและทําใหเ กิดความสบายตวั มคี ุณประโยชนอ ยางสูงตอ การ ขจดั ภาวะผิดปกติตา งๆ ของไต นิว่ ในถงุ นาํ้ ดี (Gallstone) อาการจกุ เสยี ดทีร่ นุ แรงตางๆ ในไต (Renal colic) ในตับ (Hepatic colic) และชว ยขจัดอาการทองผกู … การรับประทานนาํ้ มนั มะกอกในปริมาณเลก็ นอยรว มกบั อาหารจะทาํ ใหเ กดิ ความอยาก อาหาร จะชว ยซอมแซมการหลง่ั ของตอมตางๆ โดยเฉพาะนํ้าดี แตการรับประทานมากจนเกนิ ไป จะทาํ ใหการหลัง่ ของตอมทง้ั สองนี้มมี ากเกนิ ความพอดี และจะเปน สาเหตทุ ําใหนอนไมห ลับและ เกดิ อาการผอมแหง ดว ยเหตนุ ้เี องบคุ คลท่อี วนและมอี ารมณเฉ่ือยชาจงึ ถูกแนะนาํ ใหรบั ประทาน มัน” (12) ฉะนน้ั นา้ํ มันมะกอกจงึ ชวยขจัดน่วิ ในถุงนาํ้ ดี และยังเหมาะสาํ หรบั ผทู ม่ี อี ารมณเ ฉือ่ ยชา ในคํารายงาน (ริวายะฮ) ตา งๆ ของอสิ ลามไดแ นะนาํ ใหรบั ประทานนาํ้ มนั มะกอกรว มกบั นาํ้ สมสายชหู มัก เมื่อเราไดพิจารณาดูจากหนงั สอื ตา งๆ เก่ยี วกับการแพทยแผนโบราณ เราจะ พบวา บรรดาแพทยเ หลา นน้ั กลา ววา นํา้ มนั มะกอกจะทาํ ใหเ กิดภาวะผดิ ปกติของนาํ้ ดี (ทําใหม ี อารมณฉ นุ เฉยี ว) แตพวกเขาจะเขียนสงิ่ ทจ่ี ะชว ยปรับปรุงมัน หมายถงึ สง่ิ ทจี่ ะปรบั ปรุงคณุ สมบตั ิ ของนํ้ามนั มะกอก ซ่ึงสงิ่ ที่ดีที่สดุ ในการปรบั ปรุงคณุ สมบัติของน้าํ มันมะกอกนนั่ กค็ ือน้าํ สม สายชู หมัก (10) ซะฟน ะตลุ บิฮาร, เลม 1, หนา 573. (11) ซับซีฮอ วา มีเวฮฮ อเย ชะฟาบัดช, หนา 200. (12) อซั รอร คูรอกีฮอ, หนา 310.

ดวยเหตนุ ้ีหากบคุ คลใดกต็ ามทร่ี ับประทานนาํ้ มนั มะกอกรวมกับนาํ้ สม สายชหู มัก อยางเชนปจจบุ ันมกั ใชใ นการปรุงสลัด เขากไ็ มต อ งเผชิญกบั อาการผอมแหงและการนอนไมหลบั และเปนอาหารทีไ่ มเหมาะสมสาํ หรบั คนอว นและผทู ี่มอี ารมณเฉ่อื ยชา ทานอิมามรฎิ อ (อ.) ไดก ลา ววา “นาํ้ มนั มะกอกเปน อาหารทด่ี ีเยยี่ ม จะทําใหก ลน่ิ ปากหอม สะอาด ขจัดเสมหะ ทําใหผ วิ พรรณสดใส บาํ รงุ ประสาท ขจดั ความเจ็บปว ยและดับอารมณ ฉนุ เฉยี ว” (13) การมกี ลน่ิ ปากทสี่ ะอาดและผิวพรรณใบหนา ทสี่ ดใสนน้ั เก่ยี วขอ งกบั การทาํ งานของตบั “น้ํามนั มะกอกคอื มติ รและเปนยาขจัดพษิ ทด่ี ีท่สี ุดของตบั มนั มปี ระโยชนอยา งมากสาํ หรับ ผูทเ่ี ปน โรคเบาหวานและภาวะการเฉื่อยของตบั การรับประทานนาํ้ มนั มะกอกจะใหผ ลท่ีมหัศจรรย อยางยง่ิ ในการทาํ ใหผวิ พรรณมสี ีสรรสดใส” (14) “การรบั ประทานนํา้ มนั มะกอก 1 ชอ นซบุ ในชว งเวลาเชา ตรกู อ นอาหาร คอื ยา บําบดั รักษาทด่ี ีเลิศท่สี ุดสําหรบั ผูที่ไดรบั ความทุกขทรมานจากเรื่องของตับ ถา หากรบั ประทาน นาํ้ มนั มะกอก 1 ชอ นซบุ กอ นอาหารเชา นอกจากจะชว ยยับย้ังมิใหเ กิดอาหารเจบ็ ปว ยภายในใดๆ แลว ยงั จะทาํ ใหทางเดนิ ของลาํ ไสต า งๆ ล่นื และชวยทาํ ใหอาหารทรี่ วมตัวอยูใ นลาํ ไสเ ดนิ ทางไป ในเสน ทางทป่ี กตขิ องมันไดอยางสะดวก ในอกี ทางหนึง่ การรับประทานนา้ํ มนั มะกอกกอ นอาหารเชา จะชว ยกระตนุ ใหต บั ทีเ่ ฉอ่ื ยชา และถงุ น้ําดใี หท ําหนา ท่ีของมัน จะชว ยยบั ย้งั การกอตวั และการเพม่ิ จาํ นวนของเช้อื โรคตา งๆ ใน ลําไส บุคคลทไี่ มสามารถฝน ใจตวั เองใหร บั ประทานนาํ้ มนั มะกอก (เปลาๆ) กอ นอาหารเชา ได พวกเขาสามารถผสมมนั เขา กับนํ้ามะนาวได ยงิ่ ไปกวา น้นั บุคคลทม่ี ีอาการดังกลา วนส้ี ามารถผสมนํา้ มนั มะกอก 1 ชอนชา เขากบั อาหารทุกม้อื ทีเ่ ขารับประทาน ดวยวิธกี ารเชนน้ีจะทาํ ใหเ กิดความคนุ เคยกับการรบั ประทานนาํ้ มัน มะกอก และในท่ีสดุ พวกเขากจ็ ะสามารถรบั ประทานมนั ไดอ ยางสบายโดยไมตอ งฝน ใจ” (15) ความสมั พันธร ะหวา งความสมบรู ณข องรา งกายและสุขภาพจติ นน้ั มคี วามเก่ียวของกนั โดยตรงอยา งมากทีเดยี ว โดยแตล ะสวนจะสง ผลกระทบโดยตรงตอกนั แนน อนยงิ่ เมอื่ ตบั ทาํ งานได ดี ถุงนา้ํ ดีกจ็ ะทาํ หนา ท่ไี ดอ ยางปกติ เมอื่ อวัยวะแตละสว นของรา งกายทาํ งานไดอ ยางถกู ตอ งและ เปน ระบบแลว อารมณฉุนเฉยี วตา งๆ ความกระวนกระวายใจ และการมีนิสัยใจคอท่ีหยาบชา กจ็ ะ ถูกขจดั ไป ดว ยเหตผุ ลดงั กลาวนเ้ี ราจะพบได 2 ประเดน็ จากคาํ พดู ของทา นศาสนทูตแหง อัลลอฮ (13) มุสตัดรอ็ ก อัล วะซาอลิ , เลม 3, หนา 108. (14) อัซรอร ครู อกีฮอ, หนา 308. (15) ซับซฮี อ วา มีเวฮฮ อเย ชะฟาบคั ช, หนา 201.

(ศ็อลฯ) และจากทา นอิมามริฎอ (อ.) ทกี่ ลา ววา “การรับประทานนาํ้ มนั มะกอกจะทาํ ใหมมี ารยาท (อปุ นิสัย) ท่ีงดงาม และจะชว ยดบั ความฉุนเฉยี วของอารมณ” ประโยชนตางๆ ทีใ่ ชสําหรับภายนอก นํา้ มนั มะกอกจะถูกนํามาใชส าํ หรบั ทารางกายและผม เพ่อื ใหเ กิดความนนุ นวลชุมชืน่ แก ผวิ หนงั อสิ ลามไดใหค าํ แนะนาํ ในประเด็นน้ไี วเ ชนเดยี วกบั ที่ไดแ นะนาํ ใหรบั ประทานมนั ตัวอยางเชน 1.ทา นศาสนทตู แหง อลั ลอฮ (ศ็อลฯ) ไดก ลา ววา “ทา นทงั้ หลายจงรบั ประทานนํา้ มนั มะกอกและจงใชม นั ทารา งกาย เพราะแทจ รงิ มนั คือสว นหนึ่งจากตน ไมทม่ี คี วามจาํ เรญิ (มุบารอ กะฮ) ” (16) 2.ในคําสั่งเสียของทานทม่ี ตี อ ทา นอิมามอะลี (อ.) ทา นไดกลาววา “โออ ะลีเอย เจา จง รับประทานนาํ้ มนั มะกอกเถดิ ! และจงใชม ันทารา งกายเพอ่ื ชัยฏอน (เชอ้ื โรค) จะไมเขา ใกลเ จา เปน เวลาถงึ 40 วัน” (17) “สาํ หรบั การใชป ระโยชนตา งๆ ภายนอก หมายถงึ การทาผิวและผมนัน้ การใชน ้าํ มนั มะกอกที่เปน ของเกา นนั้ ดกี วาของใหม และน้าํ มันมะกอกเกาทมี่ อี ายุ 7 ป จะใหผลท่ดี ีกวา นา้ํ มนั ‘บัลซาม’ (Balsam=ยางไมห อมชนดิ หน่งึ ทีใ่ ชบ รรเทาอาการปวดและประโยชนอ น่ื ) ในการบรรเทา อาการเจบ็ ปวดตามขอ ตางๆ” (18) น้าํ มนั มะกอกใชร ักษาอาการผวิ แหง “ถา หากผวิ ของทา นแหง จงตระหนักเสมอวาอยา ผสมนา้ํ (ท่ใี ชอ าบ) ใหรอนมากจนเกินไป และกอนทท่ี า นจะลงแช (ในอา ง) นา้ํ จงเทนา้ํ มันมะกอกลงไปในนาํ้ ประมาณ 1 ชอ นชา และ ตอจากนน้ั ใหใ ชส บูที่มคี วามลืน่ (มีฟอง) มากๆ ถจู นทว่ั รางกายและลางออกดว ยนํา้ เม่อื รางกาย ของทานสะอาดดแี ลว ใหพกั อยูสกั ระยะหน่ึง จากนนั้ ใหป ลอยนา้ํ รอ นออกจากอา งอาบนาํ้ ทง้ิ ไป คร่ึงหนง่ึ และเปดกอ็ กนาํ้ เยน็ ใสลงไปแทนทจ่ี นกระทง่ั เตม็ อางน้าํ ตอ จากนัน้ ใหใชม อื คนนา้ํ ในอา ง ใหเขา กนั จนกระท่งั น้าํ ในอา งเยน็ ลง หลังจากนัน้ ใหน อนแชอยูในอา งนํา้ ประมาณ 3 นาที จะรูส กึ มี อาการคนั ยุบยิบตามรา งกายของทา น (เหมือนมีเข็มแทง) และตวั จะมีสแี ดง ทานจะรสู ึกเมื่อยลา แตทา นจะไมร สู กึ หนาวเยน็ หลังจากการกระทําดงั กลา วแลวใหใชผา เช็ดตวั ผนื ใหญซ ับรา งกายให แหงและพนั รา งกายไว ตอจากนน้ั ใหไ ปยงั ทนี่ อนและจงปลอ ยกลามเนือ้ สว นตางๆ ของทา นใหอ ยู (16) วะซาอิลุชชอี ะฮ, เลม 17, หนา 71. (17) วะซาอิลุชชอี ะฮ, เลม 17, หนา 71. (18) อซั รอร คูรอกีฮอ, หนา 310.

ในสภาพอิสระ จนกระทงั่ รูสกึ วา ความทกุ ขก งั วลและความเครียดจรงิ ๆ ทม่ี ีอยูห รอื แมจะเปน การ จนิ ตนาการก็แลวแตไ ดหมดไปจากตวั ทาน” (19) “เพื่อยับยง้ั จากอาการผมรว ง ใหใชนา้ํ มนั มะกอกทาผมตดิ ตอ กันเปน เวลา 10 วนั โดย กอ นนอนใหพนั ศรี ษะไวแลวนอนหลับไป และในตอนเชา หลังจากตน่ื นอนใหล า งออกดว ยนาํ้ อนุ โดยใชสบูม าเซลส (Marseilles) …” (20) “สําหรบั การรกั ษาโรคผิวหนงั หรอื เปน เมด็ ผผุ อง ใหแชใบ Black nightshade (21) ปรมิ าณ 100 กรมั ลงในนา้ํ มนั มะกอก 200 กรมั เปนเวลา 1 สปั ดาห และใชนาํ้ มนั นที้ าลงบนผวิ หนงั เหมอื นยาทาแผล หากผิวหนังของเทา หรือมอื มีรอยแตกการเยีย่ วยารกั ษาคอื ใหผ สมกลีเซอรนี (Glycerine) เขากับนาํ้ มนั มะกอกในปรมิ าณเทา ๆ กัน และใชทาผวิ ของเรา บรรดาเด็กๆ ทีม่ กี ระดูกออ นหรอื เปน โรคกระดกู ออ น (Rachitis) และมีเลอื ดนอ ย ใหใช นาํ้ มนั มะกอกทาตามรางกายของพวกเขา หากใชน าํ้ มันมะกอกผสมกบั กระเทยี มบด จะไดนา้ํ มนั ชนดิ หนึ่งซงึ่ มคี ณุ คา มากสาํ หรบั การ รักษาโรครูมาตสิ สมึ อาการปวดกลา มเน้อื และประสาทตา งๆ และใหใ ชม อื ทาถูและนวดตรงบรเิ วณ ทมี่ ีอาการเจบ็ ปวด” (22) ดอกไวโอเลท (Violet) ดอกไวโอเลท มี 2 ชนดิ คือ 1.ไวโอเลทหอม 2.ไวโอเลทสามสี ‘ไวโอเลทหอม’ จะขน้ึ อยูตามบรเิ วณชายปา ใหญ ปาละเมาะ และตามบรเิ วณลาํ ธารนํ้า ตางๆ เนอ่ื งจากดอกของมนั ไดถ ูกนาํ มาใชใ นทางการแพทยเ ปนจาํ นวนมาก จงึ มีการเพาะปลกู และ นาํ เอาหวั ของมัน (Essence) มาใชในการทาํ นํา้ หอม ใบของตน ดอกไวโอเลทหอมจะมีความสมบูรณ มขี นาดใหญ และมกี า นใบตดิ กบั รากของ มนั รากนั้นเตม็ ไปดวยขนและเปน เสน ๆ ไมมลี าํ ตน ใบและดอกของมันจะออกมาจากรากโดยตรง (19) กซุ ัรนอเมฮ, หนา 224. (20) สบมู าเซลส (Marseilles) คอื สบซู ึง่ ผลิตในเมือง Marseilles (เมืองทาของฝรง่ั เศสแถบทะเลเมดเิ ตอเรเนียน) เปน สบซู กั ผา ชนิดหน่งึ ทช่ี าํ ระลา งไขมันไดเ ปนอยางดี. (21) พืชในตระกลู Solanum nigrum (ผแู ปล). (22) ซับซฮี อ วา มีเอฮฮ อเย ชะฟาบคั ช, หนา 120.

เมอ่ื ใดก็ตามทต่ี นไวโอเลทออกดอกทวั่ ไปตามริมลําธารและตามชายปาละเมาะ มนั คอื ทตู นําสาน สทบี่ อกขาวการมาถงึ ของฤดูใบไมผ ลิ ในชว งเดอื นฟร วัรดีน (23) ทานจงเกบ็ ดอกและใบของมนั อยา งระมัดระวงั และจงพยายาม อยา วางมันทบั ถมกนั แตใหเ รยี งมันไวบ างๆ ลงในกระจาด และวางมันไวใ นสถานทีๆ่ มีลมพดั ผา น จนกระท่งั แหง ‘ดอกไวโอเลทสามส’ี ในประเทศอิหรา นเปนทีร่ จู กั กนั ในนาม ‘ไวโอเลทฝรงั่ ’ มันจะขึน้ อยู ทางภาคเหนือของประเทศอหิ รานบรเิ วณทมี่ ีอากาศชุมชื่น และในภมู ิอากาศทมี่ ลี กั ษณะคลา ยคลึง กับประเทศตางๆ ในแถบยโุ รป ไวโอเลทสามสีจะขน้ึ เองโดยธรรมชาติ ดอกและใบของมนั จะมลี กั ษณะเลก็ กวา ตน ไว โอเลททน่ี ยิ มปลกู กันโดยทวั่ ไป ตนไวโอเลทสามสจี ะเรม่ิ ออกดอกในชวงกลางเดือนฟร วรั ดีและจะ อยูจนถงึ เดือนเมฮร (Mehr) (24) และจะพบวาดอกของมันนน้ั มสี มี วงเขม สขี าวและสเี หลอื ง ในแต ละดอกนนั้ จะมกี ลีบดอก 5 กลบี ตน ไวโอเลทนั้นมีคณุ สมบัตอิ ะไรบาง? “ทุกสว นของตน ไวโอเลทโดยเฉพาะรากของมนั นน้ั จะมไี วโอลีน จากการทดลองตา งๆ ทาง วทิ ยาศาสตรล า สดุ ทไี่ ดทดลองกบั ตน ไวโอเลท พบวา ตน ไวโอเลทมเี มอื ก (Mucilage) จากตน ของ มนั มกี รดซาลซิ ลิ ลคิ (Salicylic acid) วัตถสุ ี กรดมาลกิ (Malic acid) และไวโอลนี ” (25) อิสลามกบั ไวโอเลท สําหรับไวโอเลทในทัศนะของอิสลามมกี ารใชประโยชนใน 2 รปู แบบคือ 1.การใชภายใน 2.การใชภายนอก เก่ยี วกบั ประโยชนด านภายในนน้ั ทา นศาสนทตู แหง อลั ลอฮ (ศ็อลฯ) ไดก ลาววา “หาก มนษุ ยร ูถ งึ คุณคาตางๆ ทม่ี อี ยูในไวโอเลท แนน อนพวกเขาจะนยิ มดืม่ มันเปน อยา งมาก” (26) “ไวโอเลทถา หากเปน ของสดจะชว ยใหท อ งไดรบั การพกั ผอ น จะทําใหน ้าํ ดีลดนอยลง ทาํ ใหห ายใจโลง และชวยรกั ษาอาการเจ็บคอ หากทา นใชไ วโอเลทในการรกั ษาโรคหลอดลมอกั เสบ ไอ (23) เปน เดอื นแรกของเปอรเ ชยี (อิหรา น) ตรงกบั ชว งเดอื นมีนาคมและเดือนเมษายน (ผูแ ปล). (24) เมฮร (Mehr) เปน เดือนท่ีเจด็ ของเปอรเ ชยี (อหิ รา น) ตรงกับชวงเดือนกันยายนและเดือนตุลาคม. (25) นุซเดฮฮ อเย ชะฟาบัคช, หนา 73. (26) บิฮารุล อนั วาร, เลม 62, หนา 221.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook