เพราะวาโปรตนี นน้ั มอี ยูใ นอาหารจําพวกเน้อื สัตว ซง่ึ จะเปนตวั สรางสารอาหารตา งๆ ในนาม สารอาหารทีใ่ ชรกั ษาเซลลต า งๆ ของรา งกาย โดยเฉพาะอยา งยิ่งเซลลต างๆ ของตับ “ในชว งเวลาหนงึ่ บรรดานักวชิ าการไดจ ดั ใหเ นอื้ สตั วอ ยใู นจําพวกอาหารทีไ่ มใ ชส งิ่ จาํ เปน และบางคร้ังอาจเปน พษิ ภยั ตอ รางกาย จนกระทั่งภายหลงั จากการคน ควา วิจัยอนั ยาวนานไดเปน ท่ี ประจกั ษวา เนอื้ สัตวน้ันมคี ณุ คาตา งๆ อนั สงู สง และนา สนใจยง่ิ ตอ โปรแกรมอาหารของผูปว ย โดยท่ี พวกเราทราบดีวา สารอาหารตางๆ ทม่ี ีอยใู นเนือ้ สตั ว เชน โปรตนี คือสงิ่ ท่จี าํ เปน สาํ หรับการดาํ เนนิ ชวี ติ อยูของมนุษย เพยี งแตว าปรมิ าณความตองการของมนั สาํ หรับแตละคนนน้ั มีความแตกตา งกนั ออกไป เมือ่ เปรียบเทียบกับสภาพทางรา งกายและอาชพี ของแตล ะคน ปริมาณเนื้อสตั วสาํ หรบั ผสู งู อายุ ผูท่ีเปน โรคปวดตามไขขอ (รมู าติสซมึ ) โรคทเ่ี กย่ี วกบั ตอมนาํ้ เหลืองผดิ ปกติ โรคเกาต และทาํ นองเดยี วกนั ผทู เ่ี ปน โรคเก่ียวกับไตและโรคความดนั โลหติ จะตอ งรบั ประทานใหน อยลง และในกรณีท่ีจําเปน จะตอ งงดเวน จากการรับประทานมัน ผทู เี่ ปน โรคเกย่ี วกบั ระบบกายยอ ยอาหารก็สามารถรบั ประทานเนือ้ สัตวได แตมเี งอ่ื นไขวา จะตองระมดั ระวังประเด็นตา งๆ ตอไปน้คี อื 1.เนอ้ื ววั เนือ้ แพะ เน้อื แกะ และเนอื้ ไกทจ่ี ะรับประทานจะตองเปน ของสดใหม 2.มันของเน้อื จะตองถูกแยกออกใหห มด และจะตอ งไมเ พ่มิ ไขมนั ของสิง่ อืน่ ๆ เขา ไป 3.การรับประทานเนอ้ื สัตวต า งๆ ทมี่ ไี ขมันมากจาํ เปน จะตองงดเวน เชน เนอื้ สุกร แมแต สว นตา งๆ ที่ปราศจากไขมันก็ตาม การรับประทานเนือ้ ของสตั วอ นื่ ๆ ทมี่ ีไขมนั มาก เชน เน้ือหา น เนอ้ื เปด และเนือ้ นกพิราบ เปน อนั ตรายสาํ หรับผทู เี่ ปนโรคเกย่ี วกบั ตบั และระบบการยอ ยอาหาร” (2) การรับประทานเนอ้ื สตั วจนเปนนสิ ยั การรับประทานเนอ้ื สตั วจ นเปน นสิ ยั หมายถงึ การทมี่ นุษยจ ะรบั ประทานเนื้อสัตวเพยี ง อยางเดยี วในทุกๆ เวลาเหมอื นกบั สัตวดุรา ยทง้ั หลาย ซงึ่ ไดถูกหา มไวใ นอสิ ลาม บคุ คลหน่งึ ไดเลา เก่ยี วกับเรอื่ งนว้ี า ฉนั ไดอ ยูก บั ทา นอมิ ามซอดิก (อ.) มผี เู อย ถงึ เน้อื สัตว ดังนนั้ ทา นอมิ าม (อ.) จงึ ไดก ลา ววา “จงรับประทานเน้อื สตั ววนั หนงึ่ และนมสดวนั หนง่ึ และ รับประทานสงิ่ อ่นื ในอกี วันหนง่ึ ” (3) (2) เบฮด อชต กะบัด วะเมอเดฮ วะรอญมี อน, (สขุ ภาพของตบั กับกระเพาะ และโปรแกรมอาหารของมัน), หนา 127. (3) บิฮารุล อันวาร, เลม ท่ี 66, หนา 70.
ในทัศนะของนักนติ ิศาสตร (ฟุกอฮาอ) ชาวชอี ะฮอ มิ ามยิ ะฮก็ถือวาการรบั ประทานเนอ้ื สัตว หนง่ึ ครงั้ ในรอบสามวนั เปน เปน สง่ิ ทีด่ ี (มุสตะฮับ) ทา น ‘มัรฮมู ชะฮีดเอาวลั ’ ไดก ลา วไวใ นหนังสอื ‘อดั ดุรซู ’ วา “แทจรงิ การรบั ประทานเนือ้ สัตวนนั้ เปนสง่ิ ทค่ี วรกระทํา (มสุ ตะฮับ) ในทกุ ๆ สามวนั (ตอ หนง่ึ ครั้ง) และถา หากรบั ประทานตดิ ตอ กนั ถงึ สองสปั ดาหและมากหรอื นอยกวา น้นั เนอื่ งจากความ เจ็บปว ยและการถอื ศีลอด ถอื วาไมเ ปน ไร และการรับประทานมนั สองม้อื ในหนึง่ วนั เปนส่งิ ท่ีไมควร กระทํา (มักรูฮ) ” (4) จากสถติ ิเผยใหเ หน็ วา โรคลาํ ไสอ ักเสบมกั จะเกดิ ขน้ึ กับชาวฝรั่งเศษ ชาวองั กฤษ ชาวเบล เยยี่ มและชาวรมู าเนยี ซงึ่ ชอบรบั ประทานเนื้อสตั วม ากกวา ประเทศอน่ื ๆ และในทางตรงกนั ขา ม โรคดังกลา วนจี้ ะถูกพบนอ ยกวาในประเทศเยอรมนั และแถบตอนใตของอิตาลี นกั การแพทยผ ูหนงึ่ ไดก ลา ววา ”ขา พเจา ไมเคยพบโรคลําไสอ กั เสบในหมชู าวตนู ีเซยี และ อนิ เดียเลย เพราะในชว งเวลาหน่งึ ขา พเจา เคยทาํ งานอยูใ นดินแดนแถบน้ี และมปี ระสบการณใ น เรือ่ งนี้ และเหตผุ ลของสงิ่ ดังกลา วก็คอื การรบั ประทานเน้ือสตั วของผคู นทีอ่ าศยั อยใู นดนิ แดนแถบ นชี้ างนอยนิดเหลอื เกนิ ” นกั การแพทยผ ูนไ้ี ดกลา วอกี วา “ตลอดระยะเวลาทข่ี า พเจา ไดทาํ การศึกษาและทํางานอยู ในแถบประเทศสวิซเซอรแลนดน น้ั มเี พียง 4 รายเทา นน้ั ที่พบวา ปว ยเปน โรคลาํ ไสอ กั เสบ และทง้ั 4 รายนน้ั คอื ลกู ของพอ คาเนื้อ และในประเดน็ ดังกลา วนนี้ บั วา เปนเรื่องทนี่ า ประหลาดทด่ี ึงดูดความ สนใจของขาพเจา ไปยังสารอาหารทมี่ ี Nitrogen Azote ซึ่งมีผลตอการอักเสบของกระเพาะและ ลาํ ไส” (5) เน้อื ดบิ (ปรงุ ไมสุก) เน้อื ดิบท่ปี รงุ ไมสุกนอกจากจะไมก อใหเ กดิ ประโยชนแ ลว ยงั ทาํ ใหเกดิ โทษตา งๆ อกี ดว ย แตเ ปนทนี่ าเศรา ใจทีม่ ีบางคนคิดวาเนือ้ สตั วที่ไมสุก (สกุ ๆ ดบิ ๆ) จะใหค ุณคาและพลงั งานมากกวา และสารอาหารท่ใี หพลงั งานของมันกจ็ ะถกู ทาํ ลายนอยกวา ในขณะทกี่ ารคาดคดิ ดังกลา วเปน สิ่ง ถกู ตองในเรอ่ื งของผกั สด แตส ําหรบั เร่ืองเน้อื สตั วนนั้ เปน สง่ิ ท่ีผิดพลาดอยางชดั เจน มีรายงานจากทานอิมามซอดกิ (อ.) เกีย่ วกับเรือ่ งนว้ี า มผี ูถามทานอมิ ามซอดิก (อ.) เกี่ยวกับการรับประทานเนือ้ ที่ไมสกุ ทา นตอบวา “น่ีคืออาหารของบรรดาสตั วร า ย” (6) (4) บิฮารลุ อนั วาร, เลมท่ี 66, หนา 70. (5) อซั รอร คูรอกีฮอ, หนา 35. (6) บฮิ ารลุ อันวาร, เลมท่ี 66, หนา 71.
และทา นอิมามบากิร (อ.) ไดอ างรายงานจากทา นศาสนทตู แหง อัลลอฮ (ศอ็ ลฯ) ซึง่ ทา นได กลาววา “แทจ รงิ ทา นศาสนทตู แหง อลั ลอฮ (ศอ็ ลฯ) ไดหา มการรับประทานเนอ้ื ทยี่ ังสด และทานได กลาววา แทจ รงิ สตั วดรุ ายนน้ั จะรบั ประทานมัน” (7) “นักวชิ าการอกี ทานหนงึ่ มคี วามเชื่อเกี่ยวกับกรณขี องไสต่งิ อักเสบและโรคลาํ ไสอ กั เสบวา โรคเหลาน้ีเกดิ จากสาเหตขุ องการรับประทานเน้อื สตั วมากเกินไป โดยเฉพาะอยา งยง่ิ เนอื้ ดิบหรือ ปรุงไมสกุ เมอื่ เปนเชน นท้ี า นทง้ั หลายกค็ งจะตระหนกั ไดวา ทําไมโรคลาํ ไสอ ักเสบและโรคไสต่ิง อักเสบจึงเกิดขึ้นมากในเมอื งใหญๆ ของประเทศองั กฤษ ฮอลแลนด เบลเย่ยี มและรมู าเนยี นน้ั เปน เพราะวา ในเมอื งเหลา น้ี เนอื้ สตั ว ไขไ กแ ละอาหารจาํ พวกเมลด็ พืช ไดรับความนยิ มมากในการ รบั ประทาน โดยเฉพาะอยา งยง่ิ ในปจ จุบนั การรับประทานเนือ้ สตั วทไี่ มสกุ กลายเปน ทน่ี ิยมกนั เน้อื ไม สกุ ดังกลา วนเี้ ปนผลติ ภัณฑอ าหารชนดิ ใหมซึ่งปจ จบุ นั มอี ยูทว่ั ไปในแถบยุโรป และเมนอู าหาร ดงั กลาวนี้ไดก อ ใหเ กิดโรคกระเพาะอักเสบเพม่ิ มากขนึ้ ในเรอื นจาํ ตางๆ ซ่งึ มกี ารรบั ประทาน เนื้อสตั วส ัตวน อ ยกวา โรคไสต ง่ิ อกั เสบก็จะพบเหน็ ไดนอยมาก ในขณะทโ่ี รคดังกลา วนจ้ี ะพบเห็น ไดม ากในเรือนจาํ ซงึ่ ตั้งอยูในเมอื งนนั้ ” (8) เนือ้ สัตวท ไี่ มส ด (เน้อื เกา) สว นหนงึ่ จากอาหารท่สี ามารถกลา วไดว า เปน โทษรา ยแรงยิง่ ประการหนึง่ นน่ั คือการ รับประทานเนอื้ สัตวทไ่ี มสดหรอื เนือ้ เกา นน่ั เอง จรงิ อยอู าหารอนื่ ๆ กส็ ามารถทําใหม นษุ ยประสบกบั โรคอาหารเปน พษิ ไดเ ชน กนั แตพิษรายที่รุนแรงและรวดเร็วยง่ิ ของมันนน้ั ไมอ าจเทยี บไดกับเนื้อเกา ทไี่ มมคี วามสดใหม ทานอมิ ามซอดกิ (อ.) ไดกลาวในเรอื่ งนว้ี า “สามสงิ่ ทีจ่ ะทาํ ลายรางกาย และบางสง่ิ อาจ เปน สาเหตุของความตายได นน่ั คอื การรบั ประทานเน้อื ที่ถกู เก็บไวน าน (เนือ้ เกา )…” (9) “ในวิชาจลุ ชวี วิทยาไดพสิ ูจนแลววา บรรดาเชือ้ โรคไมส ามารถจะเจรญิ เตบิ โตในอาหาร จําพวกพืชไดดยี งิ่ ไปกวา ในเน้อื สัตวท เ่ี ก็บคา งไว ไมม กี ระเพาะและอุจจาระของสตั วช นิดใดทีจ่ ะมี กล่นิ เหมน็ มากไปกวามนษุ ยท ก่ี นิ เนื้อสตั ว และกลน่ิ เหม็นท่รี ุนแรงซ่งึ ปรากฏออกมาจากอจุ จาระ ของมนุษย เปน เครื่องแสดงถงึ การเนา บูดของเนอื้ สัตวใ นลําไสตา งๆ ของพวกเขา” (10) (7) บิฮารลุ อันวาร, เลม ที่ 66, หนา 71. (8) อัซรอร คูรอกีฮอ, หนา 36. (9) บิฮารุล อันวาร, เลมท่ี 66, หนา 64. (10) อซั รอร ครู อกีฮอ, หนา 47.
ประเภทตา งๆ ของเนอื้ เนอื้ สัตวแตละชนิดจะมีลกั ษณะเฉพาะของมันเอง ซง่ึ ในเนอ้ื สัตวแตละชนิดจะมีคุณคา และ สารอาหารท่ีแตกตา งกนั ศาสนาอสิ ลามไดแ จกแจงถงึ คณุ คา ตา งๆ ของเน้ือสตั วท งั้ หลายแกพวก เราดว ยความพถิ ีพถิ ันมากกวา หมายความวา อิสลามจะกลาวถึงเนือ้ สัตวบ างชนดิ เปน ส่งิ ตองหา ม (ฮะรอม) บางชนดิ เปน สิง่ นา รังเกยี จ (มักรฮู ) และเน้อื สัตวบ างชนดิ เปนสิ่งทด่ี ีกวา เน้ือสัตวอกี บาง ชนิด ตวั อยา งเชน อิสลามถือวา เนอื้ ของสตั วท ่กี นิ สตั วด ว ยกันเปน อาหารเปนสิ่งตอ งหา ม (ฮะ รอม) โดยสิ้นเชงิ เน้ือลา เนอื้ ลอ และเนอ้ื มา ถอื เปน สิ่งนารงั เกียจ (มักรฮู ) และในการเปรยี บเทยี บ ระหวา งเน้อื แพะ เนื้อแกะและเน้อื ววั อสิ ลามถือวาเนื้อแพะและเน้ือแกะมีคณุ คา มากกวา เนอ้ื วัว แต ในทางกลบั กนั นมววั และน้ํามนั ทไี่ ดจ ากวัวนนั้ มคี ุณคา มากกวา นมแพะและแกะ และมีเพียงกรณี เดยี วเทาน้นั ทอี่ สิ ลามไดแ นะนําเนื้อววั ไวในฐานะยารกั ษาโรค มีรายงานจากทานศาสดา (ศอ็ ลฯ) ซงึ่ ทา นไดก ลา ววา “เนอ้ื วัวคกู ับหวั ผกั กาด จะมี ประโยชนส าํ หรบั โรคผิวดาง” (11) และทานอมิ ามซอดกิ (อ.) ไดกลาววา “เนื้อววั คอื โรค และนาํ้ มนั จากมนั คือการเยียวยา และนํา้ นมของมันคอื ยารักษา” (12) อสิ ลามถือวา เนือ้ ของ ‘ดรุ รอจญ’ (Francolin) (13) จะชว ยบรรเทาความทุกขโ ศก และเนอ้ื ของ ‘ฮุบารอ’ (14) จะชวยรกั ษาริดสดี วงทวาร และเนอื้ ของ ‘กอฏอต’ (15) จะชวยรกั ษาโรคดีซา น มรี ายงานจากทานศาสดา (ศอ็ ลฯ) วา “เนือ้ ‘กอฏอต’ เหมาะสําหรบั โรคดีซาน เนอื้ ‘ฮบุ า รอ’ สาํ หรบั โรคริดสีดวงทวารและโรคปวดหลงั และเน้ือ ‘ดุรรอจญ’ นั้นสาํ หรับบรรเทาความทุกข โศกและความทกุ ขใจ” (16) ปลา (11) ซะฟนะตลุ บฮิ าร, เลม ที่ 2, หนา 507. (12) บฮิ ารุล อันวาร, เลมท่ี 66, หนา 74. (13) นกชนดิ หน่งึ คลายนกกระทา ปก ของมันมีจุดตางๆ สดี าํ ขาว และมเี น้ือทีเ่ อร็ดอรอยมาก. (14) นกชนดิ หนึ่ง มขี นาดใหญก วานกพิราบ. (15) ไกชนิดหน่ึง มขี นาดใหญก วาไกบา น มีคอยาวและมีปกสีเหลือง. (16) ซะฟน ะตุล บิฮาร, เลมที่ 2, หนา 506.
ปลาแบง ออกเปน 2 จาํ พวก จําพวกแรกคอื ปลาที่ไมมเี กล็ด ซึง่ เนอื้ ของมันเปน สงิ่ ตองหา ม ในการรบั ประทาน (ฮะรอม) สวนจาํ พวกทส่ี องคือปลาทมี่ เี กลด็ ซง่ึ เนอ้ื ของมันเปน ทอ่ี นุญาตในการ รับประทาน (ฮะลาล) ในทศั นะของอสิ ลาม การรบั ประทานเน้อื ปลาในปริมาณมากเปน สงิ่ ท่ไี มด ี ทานอมรี ุลมอุ ม นิ ีน (อ.) ไดกลา วไวในเรอื่ งนว้ี า “ทา นทง้ั หลายจงอยารบั ประทานเนอ้ื ปลา จนเปน นิสยั เพราะแทจ ริงมนั จะทําใหรา งกายผอมแหง” (17) และแมแ ตใ นบางคํารายงานไดก ลาววา “การรบั ประทานปลาจะทาํ ใหเ กิดโรควณั โรค” (18) เน้ือกระตายในทศั นะของอสิ ลามเปน สิ่งทต่ี อ งหาม (ฮะรอม) เชน เดยี วกัน “เน้อื กระตา ยน้นั มพี รู นี อยใู นปริมาณมาก ดวยเหตนุ ม้ี นั จะทําปสสาวะมกี ล่ินเหม็นอยู ตลอดเวลา และนับวา เปนอนั ตรายอยา งมาก เนื้อของบรรดาสตั วปก จะผลิตกรดยรู ิคในปรมิ าณ มาก เนือ้ ของสตั วปก และเนื้อกระตา ยจะเปนสาเหตขุ องอาการเลอื ดคลัง่ เพราะความรอนในตวั ของสัตวเ หลา นม้ี สี ูงถึง 39-40 องศา ซง่ึ มีความรอ นกวา รา งกายของมนษุ ย 2-3 องศา ปลาทไี่ มม เี กลด็ และปทู ้ังหลาย จะกนิ ซากของปลาอ่นื ๆ เปนอาหาร โดยเฉพาะอยา งย่งิ ปู นั้นชอบกินซากศพของมนุษยเปน อยา งมาก เนื้อของปลาและปูจะทาํ ใหเกดิ อาการของโรคลมพษิ และผดผื่นบนรางกาย และอาการของลมพษิ ดังกลาวนเี้ ปนผลมาจากเลอื ดเปนพิษนนั่ เอง” (19) นม ‘นมสด’ จัดวาเปน อาหารที่กอ ใหเ กิดพลงั งาน และเปน อาหารท่ีมคี ุณคา ทีส่ มบูรณชนดิ หนง่ึ นมทด่ี ีเลศิ นัน้ คือนมววั นมววั เปน สง่ิ ทสี่ อดคลองกบั สภาวะทางสุขภาพพลานามยั ของมนุษยมาก ท่สี ุด นมนนั้ เพรียมพรอมไปดวยแคลเซียม ‘แคลเซยี ม’ เปน เกลอื แรเ ฉพาะอยางหนงึ่ ซง่ึ มีบทบาทสําคญั ตอ การสรา งความแขง็ แรง ใหแกกระดกู เล็บและผมของมนษุ ย หากปราศจากแคลเซยี มกระดกู จะเปราะและไมแข็งแรง ฟน จะผุ เล็บจะฉกี ขาดและผมจะรวง แคลเซียมไมใ ชเปน สง่ิ จําเปน ตอ กระดูก ฟน และผมเพยี งเทา นนั้ ในทางตรงกนั ขา ม ยังเปน สง่ิ จาํ เปน สําหรับการสรา งความแข็งแรงใหแ กก ลา มเน้ือตา งๆ อกี ดว ย โดยเฉพาะอยางยงิ่ สาํ หรบั กลา มเนอ้ื ของหวั ใจซงึ่ จะตอ งเคล่อื นไหวอยตู ลอดเวลา (20) (17) วะซาอิลชุ ชีอะฮ, เลมที่ 17, หนา 56. (18) วะซาอิลชุ ชีอะฮ, เลมที่ 17, หนา 56. (19) อซั รอร คูรอกีฮอ, หนา 76. (20) บิฮารุล อนั วาร, เลมที่ 66, หนา 102.
ชายผหู นงึ่ ไดกลาวกบั ทา นอมิ ามซอดิก (อ.) วา “ขา พเจาพบความออ นแอในรางกายของ ขา พเจา ” ทา นอิมาม (อ.) จึงกลา วกับเขาวา “ทา นจงรับประทานนมสด เพราะแทจ รงิ นมสดจะชวย ใหกลา มเนอื้ เจริญเตบิ โต และจะทาํ ใหก ระดูกแขง็ แรง” (21) จากคํากลาวขางตน ของทา นอมิ ามซอดกิ (อ.) ไดถูกกลาวไวตง้ั แตในยคุ ที่ช่ือของแคลเซียม และคุณประโยชนตางๆ ของมนั ยังไมเ ปน ทป่ี รากฏ สง่ิ นแ้ี สดงใหเห็นถึงความมหศั จรรยประการ หนงึ่ “หากปราศจากแคลเซยี ม หวั ใจจะรสู กึ เหนือ่ ยลา และจะทาํ ใหเ กดิ โรคตางๆ เกี่ยวกบั หัวใจ ปจจบุ นั โรคเหลานี้คอื สาเหตสุ าํ คญั อนั ดับหนงึ่ ทที่ ําใหมนุษยตอ งพบกบั ความตาย หากปราศจาก แคลเซยี มกระดูกตา งๆ ของเราจะเปราะบางและไมแขง็ แรง และจะทาํ ใหสารประกอบแคลเซียม ภายในรา งกายของเราลดนอ ยลง และสว นใหญของประชาชนมกั จะประสบกบั โรคน้ี ซงึ่ จะทาํ ให กระดกู สนั หลงั ของพวกเขาเกดิ ความบกพรอ ง โอกาสการแตกหักของกระดูกจะเกิดข้นึ ไดมาก โดยเฉพาะอยา งยงิ่ รอยตอ ของกระดกู จะปรากฏใหเ ห็นชัดเจน” (22) ทา นศาสนทูตแหง อัลลอฮ (ศ็อลฯ) ไดก ลาววา “ไมมีสิ่งใดจะมาแทนท่อี าหารและเครอ่ื งดมื่ ไดน อกจากนมสด” (23) ทา นศาสนทตู แหง อลั ลอฮ (ศอ็ ลฯ) ไดส ่งั เสยี เกย่ี วกบั บรรดาสตรที ตี่ ั้งครรภว า ใหจดั หานม สดใหพ วกนางดื่ม เพราะการดืม่ นมสดของพวกนางจะชว ยเพ่มิ พนู สตปิ ญญาใหแ กท ารกของพวก นาง โดยทท่ี านไดกลาววา “ทานทงั้ หลายจงใหบ รรดาสตรีท่ตี ้งั ครรภข องพวกทา นดืม่ นมสดเถิด! เพราะแทจรงิ มนั จะ ชวยเพ่ิมพนู สตปิ ญญาของเด็ก” (24) “การดม่ื นมสดหนงึ่ แกว ทกุ วันในตอนเชา นับวาเปน สงิ่ จําเปน สาํ หรบั สตรีที่ตง้ั ครรภท ารก นอย เพ่อื จะสนองตอบแคลเซีย่ มใหแ กร างกายของตนซึ่งมคี วามตองการแคลเซยี่ มเปนอยางมาก และผเู ปนแมจ าํ เปน ตองสนองตอบแกทารกดว ยการรับประทาน” (25) (21) อซั รอร ครู อกีฮอ, หนา 268. (22) บิฮารลุ อันวาร, เลมที่ 62, หนา 295. (23) อัซรอร คูรอกีฮอ, หนา 269. (24) ฏิบบุนนะบ,ี บฮิ ารลุ อันวาร, เลม ที่ 62, หนา 294. (25) เอ๊ยี ะอญาซ ดรู อกีฮอ, หนา 224.
อาหารเขากนั ไมไดก บั นมสด เนื่องจากอาหารแตละชนิดจะมผี ลอันเปน เฉพาะของมัน การรบั ประทานอาหารสองอยา ง พรอมๆ กนั บางครัง้ อาจจะทาํ ใหเกิดความเจ็บปว ยขึน้ ได ผูทนี่ ง่ั ลงยงั สํารับอาหารทีม่ อี าหาร หลากหลายชนดิ และตอ งการรับประทานอาหารหลายอยาง เขาจะตองมคี วามรอบรูถึงคณุ ลกั ษณะเฉพาะของอาหารแตล ะชนิดโดยสงั เขป เพราะมฉิ ะนน้ั แลว อาจเปนไปไดว า เขาอาจจะ รบั ประทานอาหารตางๆ ทม่ี ีคณุ สมบัตทิ ขี่ ัดแยง กนั เขา ไปพรอ มกนั และอาจจะทําใหเกดิ ความ ผิดปกติข้ึนภายในรางกายของตนเองได ตวั อยางเชน นับตั้งแตอดตี อนั ไกลโพน กลาวกนั วา นมสดและปลานน้ั มีคณุ สมบัติท่ไี ม สอดคลอ งกัน หมายความวา จะตองไมรบั ประทานอาหารทง้ั สองอยา งนี้พรอ มกนั ทงั้ น้เี น่ืองจากจะ เปนสาเหตทุ าํ ใหเสียสุขภาพ ดว ยเหตนุ ีเ้ ราจะพบวา ทา นอิมามซอดิก (อ.) ไดก ลาวไวกบั ประชาชน ในบางโอกาสวา “ความเจบ็ ปว ยของพวกทานเกดิ จากการรับประทานอาหารสองอยางทีไ่ มสอดคลองกนั ใน เวลาเดยี วกนั ” ดงั ท่ีมชี ายผหู นึง่ ไดก ลาวตอทานวา “ขา พเจาไดร ับประทานนมสด และมนั ไดทาํ ใหข า พเจา เจ็บปว ย” ทา นกลา ววา “หาใชเชน นนั้ ไม! ขอสาบานตอ อัลลอฮวา นมสดน้นั มไิ ดท ําใหเ กิดอันตราย แตประการใดทง้ั สนิ้ แตท วา ทา นนั้นไดร บั ประทานนมสดพรอ มกบั ส่ิงอน่ื ดังน้นั สงิ่ ซง่ึ ทานไดรบั ประทานมนั พรอ มกับนมนนั่ เองทท่ี ําใหทา นเจ็บปว ย โดยทท่ี านคดิ วา ความเจบ็ ปว ยดังกลา วเกดิ จากนมสด” (26) สว นหนง่ึ จากบรรดาอาหารท่ดี ีเยยี่ มซึง่ เขา กนั ไดเ ปน อยา งดกี ับนมสด และจะใหพ ละกําลงั แกไ ตดว ยเชนกัน นน่ั คอื อินทผลัม ซึ่งทา นศาสนทตู แหง อลั ลอฮ (ศ็อลฯ) ไดก ลา วเก่ียวกบั เรอื่ งนว้ี า “สองสง่ิ ท่ีดเี ยยี่ มนนั้ คอื อินทผลมั และนมสด” (27) นํ้าผึง้ ‘น้าํ ผง้ึ ’ คอื แยมอันเปน ธรรมชาติ โครงสรา งของนาํ้ ผ้งึ นน้ั ประกอบไปดว ยดา นตา งๆ ตอ ไปนี้ 1.นํ้าผง้ึ คือเครือ่ งดมื่ ชนิดหน่ึงซง่ึ ผูผ ลิตมนั (หมายถงึ ตวั ผึง้ ) คอื ผูปฏิบตั ติ ามสัญชาตญาณ แหงความเปน สัตว ดว ยเหตนุ ีเ้ อง พวกมนั จึงไมใชผ คู ดโกงและหลอกลวง (26) บฮิ ารุล อันวาร, เลม ที่ 66, หนา 102. (27) บิฮารุล อันวาร, เลม ที่ 66, หนา 103.
2.วตั ถดุ บิ เบ้ืองตนของนาํ้ ผง้ึ คอื สิ่งทม่ี คี วามสวยงามมากท่สี ุดและกอ ใหเ กดิ ความเบกิ บาน ใจเปน ทสี่ ดุ จากสิง่ ทถ่ี กู สรางข้ึนมาโดยเดชานภุ าพของพระผูเปน เจา หมายถงึ มันคอื บรรดาดอกไม อันหลากสแี ละสงกลน่ิ หอมหวน ซงึ่ ไดถกู ตระเตรยี มไวโ ดยธรรมชาตทิ ่ีงอกเงยขนึ้ มาในสวนไมด อก และปาเขาลาํ เนาไพร ดว ยเหตุน้เี อง วตั ถุดบิ หลกั ของนาํ้ ผงึ้ จงึ ไดรับประโยชนอยา งสมบูรณจาก อากาศทบ่ี รสิ ทุ ธิข์ องฤดใู บไมผลิ นาํ้ จากบรรดาตาน้าํ และภูเขา และแสงจากดวงอาทติ ยทส่ี าดสอง 3.โครงสรา งทางธรรมชาตขิ องนา้ํ ผ้งึ จะถูกตระเตรียมขนึ้ ภายใตก ารสาดสอ งของแสงจาก ดวงอาทิตยท จี่ ดั จา เพราะการดาํ เนนิ ชวี ติ ของผงึ้ นน้ั ตรงขา มกับปลวก ปลวกจะดาํ เนนิ ชีวติ อยูใน สถานทีช่ น้ื แฉะ มืด และมสี ภาวะแวดลอมทสี่ กปรก แตบรรดาผึง้ จะพยายามใชช วี ติ อยทู า มกลางไร สวนท่เี ตม็ ไปดว ยดอกไมและพชื พนั ธนุ านาชนิด และมนั จะสรา งรวงรังของมนั ในทแี่ หง และมแี สง สวาง มคี วามสะอาดบริสทุ ธิ์ 4.ในโลกนีไ้ มม อี าหารและเครือ่ งดืม่ ใดๆ โดยทเ่ี ม่ือชว งเวลาหนึง่ ไดผ านพน ไปมนั จะไมเนา เสยี ไมข น้ึ รา หรือกลา วโดยสรปุ กค็ อื รสชาติ กลิ่น และความอรอยของมันจะไมเปลย่ี นแปลงและ เกิดความเสยี หาย แตนาํ้ ผง้ึ ไมเ ปนเชน นี้ มีเพยี งน้าํ ผง้ึ อยา งเดียวเทา นน้ั ที่แมร ะยะเวลาจะผานไป เปน เดือนหรอื เปนป และไมว าจะอยใู นบรรยากาศและสถานท่ใี ดๆ กต็ าม มนั กจ็ ะไมเ นาเสยี กลา ว กนั วา ตัวผงึ้ จะผลติ สารชนิดหนง่ึ ที่ตอ ตานการเนา เสยี ตลอดไป ซึ่งมชี ือ่ วา ‘กรดฟอรม ิก’ (Formic Acid) มันจะปอ งกนั นา้ํ ผึง้ ของมันจากความเนาเสยี ตลอดไป ในนา้ํ ผึง้ มสี ารอาหารจาํ นวนมาก ซง่ึ ทีส่ าํ คญั ของมันไดแ ก เกลือแร : โปแตสเซยี ม, เหล็ก, ฟอสฟอรสั , ไอโอดนี , แมกนีเซยี ม, ตะก่วั , แมงกะนิส, ทองแดง, กาํ มะถนั , โครเมียม, ลิธเธยี ม, นคิ เคิล, สงั กะสี, ออสเมยี ม, ไททาเนียม, โซเดยี ม, ธาตุ อนิ ทรีย, กาว, โพลนิ , กรดแลคตกิ , กรดฟอรม กิ , กรดมาลคิ , กรดทารทารคิ , สตี างๆ, นา้ํ มนั ชนิด ตางๆ, ธาตไุ นโตรเจน สารทช่ี ว ยในการยอยสลาย : อินเวอรเ ทส, อะมีเลส, คาทาเลส, ออกซิเจน, ลิเพส สารอาหารอน่ื ๆ ของนา้ํ ผึง้ : คลูโคส, ลโู ลส, ซากาโรส, เดคสโตรส, เดกซทรีน, สารอาหารจาํ พวกแอลบมู นิ ธาตจุ าํ พวกซลั เฟต, กรดฟอรม ิก, น้ํา ในนา้ํ ผง้ึ มวี ิตามนิ 6 ชนดิ คือ เอ, บ,ี ซี, ดี, เค, อี บางคนกลาววา มวี ิตามนิ พีพอี ยใู นนํา้ ผงึ้ ดว ย (28) ในนา้ํ ผ้ึงมีสารอาหารที่จาํ เปน ตอ มนษุ ยท งั้ หมดเหลา นรี้ วมอยู และบางทีดว ยเหตุผลนีเ้ อง คัมภีรอ ัล กรุ อานจงึ ไดกลา วเกี่ยวกบั นา้ํ ผง้ึ วา “ในมนั (นา้ํ ผ้งึ ) มตี ัวยาบาํ บัดสาํ หรบั มนษุ ย” (29) (28) เอาวะลีน ดอนิชกอฮ, เลมที่ 5, หนา 129. (29) ซเู ราะฮอ ัน นะหลุ, อายะฮท ่ี 69.
สําหรับประเดน็ ของการบําบดั เยียวยา อาหารและเคร่ืองดืม่ อน่ื ๆ มิไดถูกกลาวถงึ ไวใน คัมภีรอลั กรุ อานเลย “ในโลกน้ไี มมอี าหารใดๆ ทีจ่ ะใหพ ลงั งานไฟฟา และกมั มนั ตรงั สี (Radioactive) มาก เทา กับนาํ้ ผ้งึ นา้ํ ผึ้งเปน อาหารชนิดหนงึ่ ที่มีคณุ คา สําหรบั ทารก เนอื่ งจากมสี ารอาหารครบถว น สมบูรณโ ดยธรรมชาตติ ามทรี่ า งกายตอ งการ นา้ํ ตาลของมันเหมาะสาํ หรบั บคุ คลทกุ วยั และเตม็ เปร่ียมไปดว ยสารอาหารสาํ คัญตา งๆ ทใี่ หคุณคา สงู มีวติ ามนิ และแรธาตตุ างๆ ครบสมบูรณ วิตามนิ และแรธาตุตา งๆ ซง่ึ ไดรับการทะนบุ าํ รุงโดยดอกไม ภายใตก ารสาดสองของแสงจากดวง อาทิตย นํ้าผงึ้ คืออาหารท่ีใหชีวติ ชวี าแกผ สู งู อายุ และเปน การชวยเสริมสรา งความเจรญิ เตบิ โต ใหแ กผูออนเยาว นา้ํ ผึ้งมีสารอาหารตา งๆ ทเี่ ปนนาํ้ ตาลอยถู งึ 75 เปอรเ ซน็ ต มีสารอาหารจาํ พวก แอลบมู ีน 5 เปอรเ ซ็นต และไขมนั อกี 2 เปอรเซ็นต ดวยเหตุนจ้ี ึงพสิ จู นไ ดวา น้าํ ผง้ึ เปนอาหารชนดิ หนงึ่ ทีใ่ หพ ลงั งานอยา งมาก น้ําผง้ึ มสี ารฟอสฟอรสั 13 มลิ ลกิ รัม, แคลเซียม 4 มลิ ลกิ รมั และธาตุเหลก็ 0.07 มิลลิกรัม ในนาํ้ ผง้ึ ยงั มีสารทองแดงอกี ปริมาณหน่ึง สารอาหารเหลานจ้ี ะเขา สูระบบการไหลเวียนของเลอื ด ไดท นั ทที นั ใด ธาตุเหลก็ ของนาํ้ ผงึ้ จะชว ยรกั ษาโรคโลหติ จาง ฟอสฟอรสั และแคลเซียมของนาํ้ ผ้งึ จะ ชว ยเยยี วยารกั ษาโรคตางๆ เกีย่ วกบั กระดกู และปอด” (30) ทา นอมีรุลมอุ ม นิ ีน อะลี อบิ นอิ บฏี อลิบ (อ.) ไดกลาววา “ผูปวยจะไมไ ดร ับการเยยี วยา รักษาดวยส่งิ ใดทเ่ี สมอเหมือนกับการไดด่มื นาํ้ ผงึ้ ” (31) ในคาํ รายงาน (รวิ ายะฮ) จาํ นวนมากไดอ ธิบายถงึ คณุ คา ตา งๆ ของน้ําผงึ้ ไวเ ปน การเฉพาะ ดงั เชน ในคํารายงานบทหนงึ่ ซึ่งไดกลา ววา “นํา้ ผงึ้ สามารถเยียวยารักษาโรคตางๆ ไดถึงเจ็ดสิบโรค” และในปจ จุบนั บรรดานักวชิ าการไดค น ควา วจิ ยั ถึงการใชประโยชนจากนํ้าผง้ึ ทั้งภายใน และภายนอกรา งกาย ซึ่งสว นใหญจ ะถูกนาํ ไปใชเ ปนอาหารและยารักษาโรค อยางไรกด็ ี คาํ วา ‘เจด็ สิบ’ บง บอกถงึ ความมากมายและหลากหลาย มใิ ชบง บอกแคเ พยี ง จํานวนเปนการเฉพาะ “ดวยผลของการสาดสองและการแผร งั สีของดวงอาทติ ยท ่ีมาสมั ผัสกบั ดอกไม ทาํ ให นํา้ ตาลของมนั มีผลอยา งนา มหศั จรรยในการเจรญิ เติบโตและกอ ใหเ กิดพลงั งาน เนอ่ื งจากนา้ํ ตาล ทใ่ี หค ณุ คาจาํ นวนหนึ่งซ่ึงประกอบไปดว ยวติ ามนิ เอ, เค, อ,ี อีกทั้งยังมวี ิตามนิ ซ,ี บี1, พีพี 0.05 มิลลิกรัม วติ ามนิ บ2ี และยังมอี ัลคาลอยด (Alkaloid) ตา งๆ ท่ีชว ยในการรกั ษาเยยี วยาซงึ่ มอี ยใู น ดอกไมทง้ั หลาย และยงิ่ ไปกวานัน้ นักวชิ าการบางสว นอนุมานวา มฮี อรโ มนตา งๆ อยใู นนา้ํ ผ้งึ ดว ย (30) อัซรอร คูรอกีฮอ, หนา 272. (31) บิฮารุล อนั วาร, เลม ท่ี 66, หนา 292.
นักวชิ าการชาวรสั เซยี สองทา นไดคน พบวา นา้ํ ผงึ้ มีบทบาทอยา งนา มหศั จรรยตอ การ เจริญเติบโตและมีผลสําคญั ยงิ่ ตอชีวิตของมนษุ ย พวกเขาเชื่อวา นา้ํ ผงึ้ มคี ณุ ประโยชนต อการ เจรญิ เติบโตของอวยั วะทุกๆ สว นของรา งกาย นํา้ ผงึ้ ใหค ุณคา อยางสงู ในการเยียวยารักษา อันดบั แรกคอื กรดฟอรม กิ (Formic Acid) ซ่งึ ตวั ผง้ึ ไดส รางเพมิ่ ไวในนาํ้ ผง้ึ เพ่ือรกั ษามันจากการเนา เสยี สารตอตานการเนา เสียอนั เปน ธรรมชาติชนิดน้ีไมม อี นั ตรายใดๆ และมันจะชว ยตอตา นโรครมู าติสซมึ และในขณะเดียวกนั มนั ก็ ใหพลงั งาน นํ้าตาลของมนั เปน นา้ํ ตาลทด่ี ีมากชนดิ หนงึ่ ซง่ึ จะชว ยบาํ รุงหวั ใจ และจะเปน เหตทุ าํ ใหก าร สูบฉีดของเหลวตา งๆ ในรางกายดขี ึน้ จะชว ยแกไ ขปรบั ปรุงความดนั โลหติ ตาํ่ และสงู มปี ระโยชน อยางมากตอ ตบั จะชว ยเยยี วยารกั ษาความเจบ็ ปวยตา งๆ เก่ยี วกบั ตบั จะชว ยซอมแซมความ ผิดปกติตา งๆ ของตับ โดยเฉพาะอยางยงิ่ มนั มีคุณประโยชนอยางมากในการเยยี วยารักษาโรคดี ซา น นา้ํ ผง้ึ มีคุณคา ทดี่ ีมากตอ ปอด จะชว ยเยยี วยารักษาโรคตา งๆ ที่เก่ียวกบั ปอด คณุ สมบัติ ตา งๆ ในการเยียวยารกั ษาของนํา้ ผง้ึ นน้ั เปน สง่ิ ท่นี า สนใจอยางมาก ในกรณีทีก่ ระเพาะและลําไส เลก็ เปนแผล จําเปนตองรบั ประทานนา้ํ ผึง้ 1 ชอนซุบในตอนเชา ตรขู องทกุ ๆ วนั และจะตองไม รับประทานส่ิงใดหลงั จากนน้ั เปน เวลา 1 ช่วั โมง น้ําผง้ึ คอื สอ่ื ทดี่ ีทส่ี ุดสาํ หรับการเพม่ิ หรอื ลดปรมิ าณนา้ํ ตาลในเลอื ด น้าํ ผง้ึ เปนสอ่ื ตอ ตาน การติดเชอื้ ในระบบทางเดินปสสาวะทดี่ ีทสี่ ุด” (32) อีกประการหนงึ่ จากคณุ สมบตั ขิ องนํ้าผง้ึ ก็คอื การยบั ยงั้ และปองกนั โรคหวดั อมิ ามรฎิ อ (อ.) ไดกลา วถงึ คณุ สมบตั ขิ อ นี้ไวอยา งชัดเจนในคาํ พดู ของทา นวา “และผใู ดปรารถนาทีจ่ ะยบั ย้งั โรคหวัดตลอดชว งเวลาของฤดูหนาว ดังนนั้ เขาจง รับประทานนาํ้ ผ้งึ พรอ มรวงผงึ้ สามคาํ ในทุกๆ วัน” (33) น้ํา สงิ่ ท่ีดที ส่ี ุดทจี่ ะสามารถเขยี นและใหค ําจํากัดความคําวา ‘นํา้ ’ ได นั่นคอื การทเ่ี ราจะกลา ว วา “นา้ํ คอื บอเกิดแหง ชวี ติ ” (32) อัซรอร คูรอกีฮอ, หนา 274. (33) บฮิ ารุล อันวาร, เลม ที่ 62, หนา 324.
น้าํ บรสิ ทุ ธิ์ในทางเคมไี ดถกู ประกอบขึ้นมาจากสารประกอบตางๆ ถงึ 33 ชนิด ในความเปน จริงแลว นา้ํ คือปจจัยท่ีจาํ เปน และสําคัญยงิ่ ตอ เรา โดยทค่ี วามสําคญั ของมนั นั้นประดุจไดด งั่ เชน การมอี ยูของนาํ้ สาํ หรับบรรดาสง่ิ มีชวี ติ ทอ่ี าศยั อยใู นมนั “เราคิดใครครวญเกีย่ วกับปลาและพชื ทะเลท้ังหลายซ่งึ มรี ะบบตา งๆ ในรา งกายทท่ี าํ ให พวกมนั สามารถดําเนนิ ชีวติ อยใู นนา้ํ ได และเปนไปไมไ ดท พี่ วกมนั จะใชช ีวติ อยูในอากาศ เรามี ความเชือ่ วามนุษยค ือสง่ิ มชี วี ิตทอ่ี าศยั อยบู นบกและไมส ามารถท่ีจะอาศัยอยภู ายใตผิวนา้ํ ได แต เราหลงลมื ไปวา ภายใตผ ิวกายของเรากม็ สี งิ่ มชี วี ิตทอี่ าศัยอยใู นนํ้าจาํ นวนมากมาย เซลลต า งๆ ภายในรา งกายของเรานบั จาํ นวนเปน ลานๆ เซลล ไดดาํ เนนิ ชวี ติ อยูในโลกแหง ของเหลวท่ีมกี ารเปลยี่ นแปลงสภาพอยูต ลอดเวลา ซ่ึงดว ยสอ่ื ของระบบตางๆ อนั เปน อตั โนมตั ิ เลอื ดและน้าํ ภายในรา งกายของเราไดถกู ควบคมุ และถกู จัดระบบไวอยา งนามหัศจรรย แมวา นํ้าไดกลายเปน สว นประกอบทส่ี าํ คัญย่ิงของรา งกายและการดาํ รงอยขู องเรา แตก ็ มใิ ชเร่ืองแปลกประหลาดประการใดเลยท่วี า นาํ้ ไมเ พียงแตเ ปนปจ จยั ที่สาํ คญั สาํ หรับเราเพยี ง เทานัน้ ในทางตรงกนั ขาม เรายงั สามารถไดรับประโยชนอ ันไมอาจคํานวณไดจากนา้ํ อีกดว ย” (34) ในคัมภีรอ ัล กรุ อาน นา้ํ ไดถกู แนะนาํ ในฐานะบอ เกดิ แหง ชวี ติ และการสราง โดยทอ่ี ลั ลอฮ ไดท รงตรสั วา “และเราไดบนั ดาลทกุ สง่ิ ที่มีชวี ิตมาจากนํ้า” (ซเู ราะฮอ ัล อัมบยิ าอ/30) นาํ้ ไมเพยี งแตจ ะมีบทบาทสาํ คญั ตอ การดาํ รงชวี ิตอยเู ทา นน้ั ในทางตรงกนั ขาม ยงั สามารถใชเปน ยารักษาโรคจาํ นวนมากไดอ ีกดว ย “เราไมท ราบวา มีคณุ สมบตั อิ ะไรในนํา้ ทีส่ ง ผลอยา งชดั เจนตอผปู ว ย ผอู อนเพลยี หรือ แมแ ตบุคคลทม่ี สี ุขภาพรา งกายที่สมบูรณ แตสําหรับ ‘เพอร กานอยพ’ ไดย นื ยนั คร้ังแลว ครงั้ เลาวา นํา้ มีความสามารถในการเยยี วยารักษาโรคท่ีทรงพลงั และเขามคี วามเชอ่ื มน่ั วา ผูคนจํานวนนับ พันๆ คนท่ีไดไปยังบอน้ําพเุ ล็กๆ ของเขาใน ‘เวอรีส โฮฟน ’ ณ เมอื ง ‘บอวรี ’ พวกเขาจะไดรบั ผลอนั นามหศั จรรยและเปนทีก่ ลา วขาน นอกจากผลดตี างๆ ทน่ี า้ํ มตี อ บรรดาผูปว ยแลว โลกของนาํ้ คือโลกทเี่ ตม็ เปรยี่ มไปดวย ความกระชมุ กระชวยและความเบิกบานใจซึง่ อยใู นเอ้ือมมอื ของทุกๆ คน และทุกคนสามารถที่จะ ใชประโยชนจ ากมนั ได พลงั งานอนั เปน ธรรมชาติทมี่ อี ยใู นนาํ้ ซงึ่ จนถงึ บัดนก้ี ย็ งั ไมสามารถคน ควา และวิจยั ไดอ ยา งสมบูรณ ในป ค.ศ. 1893 ‘ซัยมูน บารรคู ’ ไดต ีพมิ พห นงั สอื เลม แรกของตนเกย่ี วกบั เร่ืองน้ีและได เผยแพรออกไปภายใตห นงั สอื ชอ่ื ‘กรณีตา งๆ ของการใชนา้ํ ในทางการแพทยแ ผนใหม’ และในป ค.ศ. 1920 ไดเ ผยแพรห นงั สือเลมเลก็ อกี เลม หนง่ึ เกี่ยวกับเร่ืองนี้ซง่ึ มชี อื่ วา ‘บทสรุปการเยียวยา รักษาดว ยนา้ํ ’ (34) รอ็ มเซ ชอดี วา ตนั ดรุ ุซตี, (เคล็ดลบั ของความสขุ และการมีสุขภาพทีส่ มบูรณ) , หนา 89.
จากการอา นหนังสือเลม นีจ้ ะไดร บั ขอสรปุ อยางชดั เจนวา นาํ้ คอื ธาตุทท่ี รงพลงั และมี ความสาํ คัญอยางมากประการหนงึ่ สําหรบั ชวี ิตของเรา และในกรณนี ซ้ี ัยมนู บารรคู ไดเ รียบเรียง หัวขอ เกยี่ วกับคุณสมบัติตา งๆ ของนาํ้ ไว ในความเช่ือของซัยมนู บารรคู นา้ํ มคี ณุ สมบตั ิพเิ ศษ ตางๆ ดังตอไปนี้ 1.ทําใหเ กิดความเขมแข็ง 2.บรรเทาความเจ็บปวด 3.ใหพ ลงั งาน 4.ขบั ถายปส สาวะ 5.ชว ยขับถา ยเหง่อื 6.ชว ยทําใหอาเจียร 7.ทําใหถา ยทอ ง 8.มีคณุ คาสําหรับการรักษากระบวนการเผาผลาญ ‘เมทาโลลิซมึ ’ (Metabolism) 9.ตอ ตา นการตดิ เชื้อ 10.รกั ษาอาการไขตวั รอน 11.ชวยใหน อนหลับ 12.มีคุณลกั ษณะพิเศษท่ชี ว ยใหเ กิดอาการชาไรความรสู กึ ” (35) เกย่ี วกบั คุณสมบัติทางการเยยี วยารกั ษาของนา้ํ รอ นและนํา้ เย็น รวมทงั้ บรรดาน้ําแรท ไ่ี หล ออกมาจากตานาํ้ ตา งๆ ทม่ี คี วามรอน มคี ํารายงาน (ริวายะฮ) จํานวนมากมายจากทา นศาสนทูต แหงอัลลอฮ (ศ็อลฯ) และบรรดาอะอมิ มะฮ (อ.) ในบางคํารายงานกลา วถงึ การเยยี วยารกั ษาของ นํ้าไวใ นลกั ษณะโดยรวม และในบางคาํ รายงานไดเจาะจงคณุ สมบัติเฉพาะในทางเยยี วยารกั ษา โรคของนํา้ ไว ทา นอิมามอะลี (อ.) ไดกลา ววา “นาํ้ เยน็ จะชว ยดบั ความรอ น (ของรา งกาย) และจะถูกราด รดลงบน (รา งกายของ) ผูป ว ยทเี่ ปน ไขต วั รอ น” (36) ในอกี คาํ พดู หน่งึ ทา นกลา ววา “น้ําเยน็ และนาํ้ เดอื ดนนั้ ใหค ุณประโยชนท กุ อยา ง อีกทง้ั ไมมี โทษใดๆ” (37) บรรดาแพทยส มยั ใหมจ ะลา งเทา ทั้งสองของผปู ว ยดวยนํ้าเยน็ โดยการกระทําดงั กลา วจะ ทําใหความรอนสงู ในรา งกายของผปู วยลดลง และเชน เดียวกนั น้ี ในกรณีตา งๆ ทเ่ี กดิ อาการ (35) ร็อมเซ ชอดี วา ตนั ดุรซุ ตี, หนา 80. (36) ซะฟนะตุล บิฮาร, เลมที่ 2, หนา 559. (37) ซะฟน ะตลุ บิฮาร, เลมท่ี 2, หนา 559.
ทอ งรวงแพรระบาด หนทางทดี่ ที ่สี ุดท่ีจะไมใหต องประสบกบั โรคน้ี โดยเฉพาะอยางยง่ิ ในเดก็ ทารก และเยาวชน ใหต นนา้ํ จนเดอื ด หลังจากนน้ั ใหดมื่ นํ้าตม น้ี การอาบนาํ้ และการวา ยนาํ้ คุณสมบัตขิ องนา้ํ มิไดจาํ กดั อยแู คเพยี งการด่ืมเทา นน้ั สว นหน่งึ จากคณุ สมบตั ติ า งๆ ทางดา นการเยยี วยารักษาของนาํ้ คอื การอาบนาํ้ (แชต วั ลงในน้าํ ) และที่ดีย่ิงไปกวา นนั้ กค็ อื การ วายนาํ้ บางทที า นผูอ า นเองอาจเคยมปี ระสบการณทเี่ ตม็ เปรย่ี มไปดว ยความสุขหรรษานีเ้ ปน อยา ง ดี แตถา หากยงั ไมเ คย จากนไ้ี ปขอใหท า นลองทดสอบดู ทกุ คร้งั ทท่ี า นรสู กึ เหนด็ เหนือ่ ยเม่ือยลา อยา งมาก และไมม กี ําลงั วงั ชาทจี่ ะทาํ งาน ทานกจ็ ง ลงไปแชนํา้ หรอื อยา งนอ ยท่ีสุดกจ็ งอาบนํ้าเยน็ ๆ ในหองนํ้า ดว ยการกระทําเชน นที้ า นจะพบวา กาํ ลงั วงั ชาท่สี ญู เสยี ไปจะกลบั คืนมาสทู า นอีกครัง้ หนงึ่ และทา นจะรสู กึ ถึงความกระปรี่กระเปาและ ความสดชนื่ เปน พเิ ศษในตวั ทาน ผทู ่ีวา ยนาํ้ เปน ยอ มรูวา สว นหน่ึงจากความสขุ หรรษาของโลกนอี้ ยใู นการวา ยนํา้ และการ ลองลอยไปในทา มกลางกระแสคล่นื ของนาํ้ การวา ยนา้ํ ในทา มกลางบรรดาตานา้ํ ทม่ี สี ีเงนิ คลายสี ตะกั่วและสาดสอ งแวววาวไปดว ยความใสสะอาดของมนั เหมอื นกับการทีเ่ ราไดหางไกลออกไป จากโลกแหงความเปน ดิน และใชชีวิตอยูใ นโลกอกี ใบหน่งึ ซง่ึ เตม็ ไปดว ยความออนละมุนและความ สะอาดบริสุทธ์ิ นาํ้ เยน็ จะชว ยเสรมิ สรางพละกาํ ลงั ใหแกระบบประสาททีเ่ มอื่ ยลา และการวายนาํ้ โดยเฉพาะอยา งยง่ิ ในนา้ํ ที่เย็นนน้ั จะเปนการเสริมสรา งพละกาํ ลงั อกี อยางหนงึ่ เพราะจากการ เคลื่อนไหวของมือและเทาและการหายใจลึกๆ ซง่ึ ประกอบไปดวยความกระปรกี่ ระเปาและความ เบิกบาน จะชว ยเสรมิ กาํ ลงั วงั ชาใหกบั ระบบประสาทและบรรดากลามเนื้ออีกครง้ั หนง่ึ สวนหนง่ึ จากคณุ สมบัติท่ีสําคญั ของการแชต วั ลงในนา้ํ หรือการวา ยน้าํ ในนาํ้ ทม่ี ีความเยน็ เปนการทําใหร า งกายของเราคุนเคยกับความหนาวเยน็ และความรอ น ในชว งฤดรู อนผูใดกต็ ามที่เขาไดว ายอยูในทามกลางตานํ้าและแหลง นํา้ ตางๆ ทม่ี คี วาม เย็น และหลงั จากนั้นเขาไดใชป ระโยชนจ ากความรอ นและแสงแดดทจี่ ัดจา แนน อนท่สี ุด รา งกาย ของเขาจะไดร ับการคุม กนั และทนทานตอการปรบั เปลย่ี นสภาพของอากาศได โดยทเ่ี ขาจะไมร สู กึ สะทกสะทา นตอ ความรอ นหรือความหนาวเยน็ โดยงาย ในทางตรงกันขาม เขาจะไดรับเกราะคุม กันอยา งหนงึ่ ซง่ึ ในชว งของฤดูหนาวเขาจะปลอดภัยและไมประสบกบั การเปนหวดั ทย่ี าวนาน ขอกลาวยา้ํ อีกคร้ังหนงึ่ วา ความสขุ หรรษาทแ่ี ทจ รงิ ความสขุ หรรษาที่ปราศจากโทษภยั ใดๆ คอื ความสุขหรรษาซง่ึ พระผเู ปน เจา ไดทรงสรา งสรรไวสาํ หรับปวงบาวของพระองค กลา วโดย
สรุปกค็ ือ การพักผอ นท่ีปลอดภยั และดเี ยย่ี มทีส่ ดุ คอื การวายนา้ํ ในนาํ้ ท่ีใสสะอาดภายใตแ สงของ ดวงอาทิตยท สี่ าดสอ ง ทานอิมามญะอฟ ร อซั ซอดิก (อ.) ไดกลาววา “หากวาฉนั ไดอยู ณ พวกทา น (ในแผน ดิน อริ กั ) แนน อนยิง่ ฉนั จะมายงั แมน า้ํ ยูเฟรตสิ ทกุ ๆ วนั เพอื่ ลงอาบนา้ํ ” (38) “ไมม ีสง่ิ ใดในโลกนท้ี ี่จะดเี ลศิ ไปกวาการสรางความคนุ เคยและการทาํ ใหร า งกายไดร บั ความสุขหรรษาจากนาํ้ ไมเพียงแตส าํ หรบั บรรดาผปู วยเทา นนั้ ในทางตรงกนั ขาม สาํ หรบั ผทู ม่ี ี รางกายแขง็ แรงและมีสขุ ภาพทีด่ กี ็เชน เดียวกนั โดยเฉพาะอยางยง่ิ เมอื่ รางกายไดรบั การเคลือ่ นไหว ทามกลางกระแสนาํ้ และภายใตการสาดสอ งของแสงแดด ไดผานการทดสอบแลว วา นาํ้ น้ันจะชว ย กระตุนเสน ประสาทตา งๆ ทอ่ี ยใู ตผิวหนงั และจากสงิ่ นีเ้ องท่ีอวยั วะตางๆ ในรางกายจะเกดิ ความ เขม แขง็ ” (39) จําเปนตอ งกลา วถงึ ในทน่ี ว้ี า จากความหมายของสง่ิ ทก่ี ลาวไปขางตน มิใชวา เพ่ือเหตุผล ดงั กลาวผทู ีจ่ ะวายนา้ํ จะนาํ พาตวั เองไปสสู ภาพแวดลอ มตางๆ ที่เลวรายและแปดเปอ น และใช ประโยชนไ ปในทางทีผ่ ดิ จากขอเท็จจรงิ ดงั กลา วน้ี (อยางเชนการไปวา ยนํ้าตามชายหาดหรอื สถานทๆ่ี มคี วามชว่ั และความเสอื่ มเสยี ทางวฒั นธรรมปะปนอย-ู ผแู ปล) ส่งิ น้ีถอื วา เปน บาปและ จําเปนที่จะตอ งหลกี เลีย่ ง และการวา ยนา้ํ ทจี่ ะกอใหเกดิ ประโยชนโดยแทจ รงิ นนั้ จําเปนจะตอ ง กระทาํ ในสภาพแวดลอมตางๆ ท่ีปราศจากความชว่ั จงอยาดื่มนา้ํ ในปริมาณมาก เราไดก ลาวไปแลววา นํา้ เปน ส่งิ ทม่ี คี ณุ คา และมบี ทบาทสําคญั ตอการดําเนนิ ชีวิต แตก าร ด่มื นาํ้ มากจนเกนิ ความพอดนี ้ันเปน สงิ่ ทีไ่ มอ นญุ าต ทานอมิ ามซอดิก (อ.) ไดก ลา วเกย่ี วกบั เรอื่ งนว้ี า “หากประชาชนดม่ื นํ้าใหนอยลง รางกาย ของพวกเขายอ มจะไดรบั ความแขง็ แกรงอยางแนนอน” (40) การด่ืมนาํ้ ในปรมิ าณนอ ย โดยเฉพาะอยางยิง่ กับการรบั ประทานอาหารบางชนิด นบั วา เปน ส่งิ ทีส่ มควรอยา งยง่ิ ในทศั นะของอิสลาม เน่อื งจากในจริยวตั รของทานศาสนทูต (ศ็อลฯ) เราได พบวา เมอ่ื ใดก็ตามที่ทา นศาสดา (ศอ็ ลฯ) รบั ประทานอาหารทีม่ ีไขมนั ทา นจะดื่มน้ําในปริมาณ นอยลง และทา นกลา ววา “มนั คอื ส่งิ ทจ่ี ะใหค ุณคามากกวาสาํ หรับอาหารของฉนั ” (41) (38) ซะฟนะตุล บิฮาร, เลมที่ 2, หนา 559. (39) รอ็ มเซ ชอดี วา ตันดุรซุ ตี, หนา 81. (40) ซะฟน ะตลุ บิฮาร, เลม ที่ 2, หนา 559 และ 560. (41) ซะฟนะตุล บิฮาร, เลมที่ 2, หนา 559 และ 560.
การดมื่ นา้ํ กเ็ หมอื นกับการรบั ประทานอาหาร จาํ เปนทจ่ี ะตอ งมคี วามเฉลยี วฉลาดและ รอบคอบ และจาํ เปน ทีจ่ ะตอ งเรียนรูถงึ วธิ กี ารท่ดี ขี องการรับประทานและการด่มื มิใชวาจะกระทาํ อยา งไรค วามคดิ และการตรติ รอง ขาพเจา มีทัศนะที่ขดั แยงโดยส้ินเชิงกบั บรรดานักวชิ าการและผูท ีม่ ีความเชอ่ื วา ในแตละ วนั คนเราควรดม่ื นาํ้ อยา งนอ ย 6 แกว , 8 แกว หรือ 10 แกว รางกายของเรายอ มรดู วี า เมื่อใดที่รสู กึ กระหายนาํ้ และขา พเจา เองก็เชอ่ื วา รา งกายยอ มรูดกี วา เรา วา ตวั เราควรจะดม่ื นาํ้ ในชว งเวลาใด! แนนอนเหลอื เกนิ เมื่อเราไดใ ชชีวติ อยูในสถานทีห่ รือภมู อิ ากาศทม่ี ีความรอ นสงู โดยท่ีเหงือ่ ของเราจะออกมามาก เราก็ยอมจะตอ งดมื่ นา้ํ มากเปน ธรรมดา และนี่ตา งหากคอื ธรรมชาติของ รางกายมนุษยท่จี ะบอกวา ตวั เราตอ งการนา้ํ เพมิ่ ขนึ้ หรอื ไม?! (42) เราจะดม่ื นา้ํ อยา งไร? และส่งิ ทนี่ า พศิ วงกค็ อื อิสลามไดใ หคาํ แนะนาํ แกเ ราแมแ ตใ นเร่อื งของวธิ ีการดื่มนํา้ โดยได ใหค าํ สอนตา งๆ ดังตอ ไปนค้ี ือ 1.ใหเ ราดื่มนา้ํ ดวยวิธคี อยๆ จบิ ทีละนอย ดงั ทท่ี า นศาสนทูตแหง อลั ลอฮ (ศ็อลฯ) ไดกลาว วา “เมอื่ ทา นทัง้ หลายจะดม่ื น้ํา ดังนนั้ จงด่มื มนั ดว ยวิธคี อยๆ จิบ และจงอยา ดม่ื มนั แบบรีบเรง (ใน อกึ เดยี ว) เพราะการดม่ื อยา งรบี เรงนนั้ จะเปนสาเหตขุ องโรคตับ” (43) และในกรณที ว่ี า ควรดมื่ นาํ้ ในอดึ ใจเดยี วหรือคอ ยๆ จิบนนั้ ทานอิมามอะลี (อ.) ไดกลา ววา “บอ ยครง้ั ทฉ่ี นั ไดพ บเหน็ ทา นศาสนทตู แหง อัลลอฮ (ศอ็ ลฯ) ในขณะทท่ี านดม่ื นาํ้ ทา นจะหายใจ 3 ครัง้ (ในระหวา งการดื่ม) โดยท่ใี นทกุ ๆ คร้ังทา นจะกลาวพระนามของอลั ลอฮเ มอ่ื เริม่ ดมื่ และกลา ว สรรเสริญพระองค (อัล ฮัมดลุ ิลลาฮ) เมือ่ หยุด (จากการสูดลมหายใจ)” (44) 2.เราจะตองไมเปาหรือหายใจรดอาหารและภาชนะใสอาหาร ถา หากอาหารรอ นจัดควรรอ ใหมันเยน็ ลงเสยี กอน และถา หากอาหารเยน็ อยูแลว กจ็ งรับประทานหรอื ด่มื โดยระมัดระวงั อยาให ลมหายใจของเราไปสัมผสั กบั นา้ํ หรืออาหารนั้น “ทา นศาสนทตู (ศอ็ ลฯ) จะไมหายใจลงสูภาชนะเมื่อทา นดมื่ นาํ้ แตเ มอื่ ทานตองการจะ หายใจ ทา นจะนําภาชนะนนั้ ออกหา งจากปากของทาน จากนน้ั ทา นจงึ จะหายใจ” (45) (42) รอ็ มเซ ชอดี วา ตันดุรุซตี, หนา 90. (43) บิฮารลุ อนั วาร, เลมที่ 66, หนา 476. (44) บิฮารุล อันวาร, เลมที่ 66, หนา 474. (45) ซะฟนะตลุ บิฮาร, เลม ที่ 1, หนา 694; บิฮารลุ อันวาร, เลม ท่ี 66, หนา 472.
3.บางคนเมอ่ื ตอ งการจะดื่มน้าํ ก็ใชป ากของตนจมุ ลงไปในนา้ํ ตวั อยา งเชน ชะโงกศรีษะ ลงไปยงั ลาํ ธารนาํ้ และดมื่ นาํ้ จากลาํ ธารนน้ั อิสลามถอื วาการด่มื นา้ํ ดวยวิธนี ีเ้ ปน วธิ ีการด่มื นํา้ ของ สัตวเดรัจฉาน และอสิ ลามไดห า มการด่ืมดว ยวธิ ีเชนนี้ “ทานศาสนทตู (ศ็อลฯ) ไดหามมใิ หด่มื นา้ํ ดว ยวิธกี ารจมุ ปากลงไปในนาํ้ เหมอื นดงั การดมื่ ของบรรดาปศุสตั ว” (46) 4.การดื่มนา้ํ จากภาชนะทแ่ี ตกชํารุด จากบริเวณรอยแตกและบริเวณหูจบั ของภาชนะ เปน สิง่ ตองหา ม ดงั ทท่ี านอิมามบากิร (อ.) ไดกลาววา “จงอยา ด่มื น้ําจากบรเิ วณหจู ับของภาชนะ และ จากบรเิ วณรอยแตกรา วทีอ่ ยใู นภาชนะนน้ั ” (47) ในอีกรายงาน (ริวายะฮ) หน่งึ มเี นอื้ หาเพมิ่ เตมิ วา “เพราะบริเวณนัน้ คือสถานทพี่ าํ นกั ของ ชัยฏอน (มารราย)” (48) เปนไปไดวา จดุ ประสงคจากคําวา ‘ชยั ฏอน’ (มารรา ย) ในทนี่ นี้ นั่ คือเชอื้ โรคชนิดตา งๆ ดวย เหตุนสี้ มควรทจ่ี ะเทน้ําจากภาชนะทม่ี ีลกั ษณะใหญ เชน เหยอื กนํ้าหรือกานาํ้ ลงสภู าชนะเลก็ ๆ เชน แกวนา้ํ จากนน้ั จึงคอ ยดื่มมนั 5.ในระหวางการรับประทานอาหารจงอยา ด่ืมนา้ํ ทา นอมิ ามริฎอ (อ.) ไดก ลาววา “ผูใดก็ตามท่ีไมตอ งการใหก ระเพาะอาหารของเขาสงผลรายตอ ตวั เขา ดังนนั้ จงอยาดืม่ น้าํ ในระหวา ง (การรบั ประทาน) อาหารของตน จนกวา จะเสรจ็ สน้ิ (จากการรับประทานอาหาร เสียกอน) และใครก็ตามทกี่ ระทําเชน นั้น รา งกายของเขาจะออ นแอ และกระเพาะอาหารของเขา จะเกดิ ความบกพรอง และเสน เลอื ดทงั้ หลายจะไมดดู ซมึ พลงั งานจากอาหาร” (49) ขนมปง ขนมปง เปน อาหารหลกั ของประชาชนจาํ นวนมาก สว นใหญแ ลวขนมปงจะถูกทาํ มาจาก ขาวสาลี ขาวบาเลห แ ละขา วเจา ขนมปง ทท่ี าํ มาจากขา วสาลี ขนมปง ท่ที าํ มาจากขา วสาลี จะถกู ทาํ มา 2 ลกั ษณะคอื 1.ขนมปง ขาว (46) ซะฟนะตลุ บิฮาร, เลม ที่ 1, หนา 693. (47) ซะฟนะตลุ บิฮาร, เลม ที่ 1, หนา 693. (48) บิฮารุล อันวาร, เลม ท่ี 66, หนา 475. (49) บฮิ ารลุ อนั วาร, เลม ท่ี 66, หนา 475.
2.ขนมปงดาํ ขนมปงขาว ‘ขนมปง ขาว’ หมายถงึ ขนมปง จากขาวสาลีท่มี นั ถกู นาํ มาทาํ เปน แปง ดวยเคร่ืองจกั รตางๆ อนั เปนเฉพาะ เครื่องจกั รเหลานจ้ี ะขดั รําขา วสาลีออกจนหมดเกลีย้ ง จะเหลืออยกู ็แตเ พียงเมลด็ ใน ของขา สาลี และจากแปง ดังกลา วนจ้ี งึ ทาํ ใหขนมปง ขาวสะอาดและดสู วยงาม ‘ราํ ’ คอื เนอื้ เยอื่ ท่หี อหมุ เมลด็ ขาวสาลไี วน น่ั เอง ซงึ่ ตลอดเวลามนั จะสมั ผสั กับแสงแดด ลม และฝน และโดยเคร่ืองจกั รดงั กลา วมนั ถกู แยกสว นออกมาจากขนมปง ขาว ดวยเหตุนีข้ นมปง ขาว จึงกลายเปน อาหารทไี่ รค ณุ คา ทางอาหาร ในทางกลบั กนั กจ็ ะนาํ มาซงึ่ โทษภยั “ในการทดลองตา งๆ ทางวทิ ยาศาสตรของนักวชิ าการแสดงใหเหน็ วา หากเราใหส นุ ัขกนิ ขนมปง ขาวเปน อาหารเพยี งอยางเดยี ว มนั จะมีชวี ิตอยตู อ ไปไดอ ยา งมากไมเ กิน 50 วนั ในขณะที่ บรรดาสุนัขทกี่ นิ ขนมปงที่มคี ณุ คาทางอาหารครบสมบูรณ หมายถึงขนมปง ทม่ี ไิ ดผ า นการขดั รํา ขาว จะมชี วี ติ อยูไดห ลายปด ว ยสขุ ภาพทแี่ ขง็ แรงและสมบูรณ ขนมปง ขาวจะทาํ ใหเ กดิ ภาวะเปน กรดในกระเพาะอาหารสูง และจะทาํ ใหเกดิ ความ ออ นแอภายในระบบของกระเพาะอาหาร และจะเปด ทางไปสูโรคติดเชอ้ื ตา งๆ นกั การแพทยกลุม หนง่ึ ไดแ สดงใหเหน็ ถงึ ผลกระทบตา งๆ ท่ีเลวรายของขนมปง ขาว ซ่ึงเปน สาเหตุหลกั ทกี่ อใหเ กิดโรค วัณโรค ขนมปงมไิ ดทาํ ใหบคุ คลใดออนแอ แตเ ปน เพราะความขาวของมนั นนั้ จะกอ ใหเกดิ กรดชนดิ หนง่ึ ขนึ้ ซง่ึ เรยี กวา ‘แปงเปน กรด’ ผทู ร่ี บั ประทานขนมปง ขาวเปนอาหารนน้ั 58 เปอรเ ซน็ ตข องขนมปง จะถกู ขบั ถายออกมา โดยปราศจากการยอ ยสลาย สง่ิ ทีถ่ กู ขบั ถา ยเหลา นีจ้ ะปะปนไปดวยกรดแลคตคิ (Lactic acid) และปราศจากรอ งรอยใดๆ จากเพพโทน (Peptone) ในขณะที่ถาหากพวกเขารับประทานขนมปงที่ มสี ารอาหารครบสมบรู ณ เพียง 5 เปอรเซ็นตของมนั เทา นน้ั ท่ไี มถกู ยอยสลาย และจะถูกขับ ออกมาโดยทสี่ ่ิงท่ถี กู ขับออกมาจะปราศจากกรดแลคตคิ และประกอบไปดว ยเพพโทน ขนมปง ขาวคอื สาเหตุของความเจบ็ ปวยซง่ึ สว นมากเกยี่ วกับกระเพาะอาหาร ทง้ั น้ี เนื่องจากขนมปงขาวดงั กลา วมสี วนประกอบจากคารโ บไฮเดรต ซง่ึ คารโ บไฮเดรตเปน สารอาหาร จาํ พวกนาํ้ ตาลชนดิ หนึ่ง ซง่ึ จะถกู เผาผลาญในรา งกายและจะกอ ใหเกดิ พลงั งาน แตเมือ่ ใดกต็ ามที่ มันมีปรมิ าณท่มี ากเกนิ ไป มนั จะถกู ยอ ยสลายอยา งไมส มบูรณ และจะกลายเปนแกสอยา งรวดเรว็ ในกระเพาะอาหาร” (50) ขนมปงดาํ (50) อซั รอ็ ร คูรอกีฮอ, หนา 103.
‘ขนมปง ดาํ ’ หมายถงึ ขนมปงทมี่ สี ารอาหารครบถว นสมบรู ณ เน่ืองจากเปลือกของเมลด็ ขาวสาลซี งึ่ นบั เปนสว นท่ีสาํ คญั ในดานคณุ คาทางอาหารยังคงถูกรกั ษาไว “สรปุ วาสวนตา งๆ ทง้ั หมดทมี่ ปี ระสิทธภิ าพและมีคณุ คา ของขาวสาลีไดถกู รวมรวบไวท่ี เนือ้ เยื่อ (เปลือกชัน้ ใน) ของมนั โดยทวั่ ไปแลว ในโกดงั ใหญๆ สมัยใหม จะมเี คร่ืองสเี ปนตะแกรง โลหะใหญๆ อยู ตะแกรงเหลา นน้ั จะทําใหเ กิดการเสยี ดสอี ยา งรนุ แรงในขณะทท่ี าํ การสีเพอ่ื กะเทาะ เปลอื ก การเสยี ดสแี ละความรอ นเหลา น้ีจะเปน สาเหตทุ าํ ใหน ้ํามนั ของขาวสาลีตดิ แนน อยกู ับราํ ขา ว และตอจากนน้ั มนั กจ็ ะหลดุ ออกมาพรอ มกบั รําขาว นาํ้ มันดงั กลาวนีม้ ีคุณคา และมปี ระโยชน มากมาย ซงึ่ เราไดทงิ้ มนั ไปโดยไรเ หตุผลและมไิ ดใ ชประโยชนจ ากมนั จมูกขา วสาลีก็เชน เดยี วกนั การรอ นของตะแกรงจะทําใหส วนทม่ี คี ุณคา และมปี ระสทิ ธิภาพของมันถกู นาํ เอาออกไป สารอาหารทีต่ ดิ อยูกับราํ ขาว ไดแก นาํ้ มนั และธาตฟุ อสฟอรัส และสิ่งท่ีเหนือไปกวานัน้ ก็ คือ กลเู ทนิ (Gluten) (โปรตีนชนิดหนงึ่ ) ซึง่ เปนสว นเดยี วเทา นน้ั ของขาวสาลที ีม่ ีกา ซไนโตรเจนอยู แตความเปนจริงแลวถอื วา มนั คอื สว นหนง่ึ จากปจ จยั สาํ คญั สาํ หรบั โครงสรา งของรา งกาย ซลี กิ า (Celica) กเ็ ชน เดียวกัน เปน ปจ จยั สาํ คัญเกี่ยวกบั โครงสรา งของฟน และจะชวยทํา ใหก ระดกู มคี วามแขง็ แรง และจากการชว ยเหลือของออกซเิ จนในอากาศ มนั จะชวยเสรมิ สรา ง ความเขมแขง็ ใหแ กหวั ใจและไต แตดวยสาเหตขุ องการขดั สีของตะแกรงจงึ ทาํ ใหม นั สูญเสียไป และสาเหตุประการหนง่ึ ทก่ี อใหเกดิ โรคเบาหวานคือการขาดสารซีลกิ า ในรอบๆ จมกู (สเปริม) ของขา วสาลจี ะมสี ารอาหารจําพวกแอลบมู นี (Albumin) และ เกลอื แรจํานวนมาก ซง่ึ ทง้ั หมดจะถกู นาํ ออกไปโดยการขดั สขี องตะแกรง และสิง่ ทส่ี าํ คญั ทีส่ ดุ ของ มันไดแก โปรแตสเซยี ม เกลอื สารหนู และแคลเซยี มในปรมิ าณหนงึ่ สารอาหารทง้ั หมดเหลา นมี้ ี ความจาํ เปน อยางมากสาํ หรับเมด็ เลือดขาวซ่งึ ทําหนา ปกปอ งรา งกาย และในทํานองเดยี วกัน การ มีอยขู องสารอาหารเหลา น้ีมคี วามสาํ คัญอยางยง่ิ ตอเม็ดเลอื ด ไดอะสเทส (Diastase) (เอนไซดท ่ีเปลีย่ นแปง ใหเ ปนนาํ้ ตาลมอลโตส (Maltose) และ กลายเปน น้าํ ตาลเดรกโตส (Dextrose) ในเวลาตอ มา) ทม่ี อี ยูในขา วสาลี ซ่ึงจะทาํ ใหส ีของขนมปง มสี นี า้ํ ตาลเล็กนอ ยในขณะอบ กจ็ ะสูญสลายไปดว ยเนอื่ งจากผลของการขัดสีของตะแกรงเชน กนั และจะทาํ ใหข นมปงกลายเปน สขี าว จากเนือ้ หาโดยสรปุ บัดนีข้ อใหทา นทงั้ หลายจงตดั สนิ เอาเองเถิดวา พวกเขาไดท าํ ลายสิ่ง ตางๆ ที่มคี ณุ คา ออกไปจากขนมปง โดยไรเหตผุ ลอยางไร?!!…” (51) ยสี ต (เชื้อฟู) (51) อัซรอร ครู อกีฮอ, หนา 100, 106.
มนษุ ยเราไมสามารถทจ่ี ะรบั ประทานขา วสาลที ีถ่ กู ทาํ ใหเ ปนแปง แลวโดยตรง ทวาจาํ เปน ท่ี เราจะตอ งปรงุ มันใหสกุ เสียกอ นดวยวิธีการตางๆ และหลงั จากนนั้ จึงจะรับประทานมันได การอบ ขนมปง จาํ เปน ตองอาศยั ยีสต ‘ยีสต’ มอี ยู 2 ประเภทเชนกนั คอื ยีสตแ ทแ ละยสี ตเ ทยี ม ยีสตเทยี มนน้ั มอี นั ตรายตอ สขุ ภาพมากกวาขนมปงขาว เพราะเหตวุ า ยสี ตช นดิ น้ีมสี วนประกอบของกํามะถนั ขาวอยดู ว ย ซง่ึ บรรดานักวิชาการตา งยอมรบั วา “กรดกาํ มะถนั นน้ั มีผลกระทบอยางรา ยแรงตอตอมสบื พนั ธุตางๆ ของสตรี ภายหลังจาก ระยะเวลา 4 เดอื นทท่ี ดลองใหส ตั วก นิ สารชนดิ นี้เขา ไป พบวา รงั ไขข องสัตวเหลานนั้ มีขนาดเล็กลง ถงึ 50 เปอรเซน็ ต และทําใหก ารผสมพนั ธุของมนั ลดลงอยางเหน็ ไดชดั ดังนน้ั ยสี ตเ ทียม ซงึ่ พน้ื ฐานของมนั มาจากกรดกาํ มะถนั จงึ นบั วา เปน อันตรายและมีโทษอยา งมากตอการดํารงอยูข อง เผาพนั ธมุ นษุ ย และไมม ผี ลเปน อนื่ ใดนอกจากเปน การทาํ ลายโครงสรางทางการสืบพนั ธุและ กระเพาะอาหาร ซง่ึ ในดา นโภชนาการอาหารถือวา เปนสง่ิ ทตี่ องปฏิเสธ” (52) ความเจบ็ ปว ยทงั้ มวลเหลา นม้ี ใิ ชอ ่นื ใด นอกจากเปน ผลพวงของอารยธรรมสมยั ใหมแ ละ การดําเนินชวี ติ ในยุคเครอื่ งจกั รกล แมว า อารยธรรมสมยั ใหมจ ะนาํ เอาความสะดวกสบายมาสกู าร ดาํ เนนิ ชีวติ ของมนษุ ยก ต็ าม แตมันก็นาํ พาเอาอนั ตรายตา งๆ เหลาน้ีมาพรอ มกบั มนั ดว ยเชน กนั เอสบูรนั กลาววา “เราไดพ ชิ ิตธรรมชาติภายใตส งครามเยน็ ที่เงยี บสงบ แตผ ลจากความ พายแพของธรรมชาตแิ ละชัยชนะของเรา คอื การทาํ ลายลา งเผา พนั ธุมนุษย ซึง่ เปน ผลพวงท่ี เลวรา ยและนา สยดสยองยิ่งกวา ระเบดิ ขีปนาวุธและปรมาณูหลายเทา นัก” (53) ปุย เคมี เราไดพ ดู คยุ กนั เกยี่ วกบั ขนมปง ขาวและอนั ตรายตา งๆ ของมนั ไปแลว บัดน้ขี อใหเรามา พูดคุยกนั ในเรอื่ งของเมล็ดพนั ธแุ ละการเพาะปลูกขาวสาลีบาง พน้ื ดนิ ทีจ่ ะรองรบั เมล็ดพนั ธแุ ละทาํ ใหมันเขยี วขจไี ดน ั้น จาํ เปน ตองเปน พนื้ ดนิ ทมี่ คี วาม พรอมและมีความอุดมสมบรู ณ และเพอ่ื ใหพ น้ื ดินเกดิ ความอุดมสมบูรณพ วกเขาจะใหปยุ กับมนั ในอดตี ที่ผา นมาพวกเขาจะใชป ยุ คอก (มลู สัตว) ใสล งไปในพนื้ ดนิ แตมาในปจ จบุ ันนีเ้ ขาจะใช ปยุ เคมแี ทน เปนส่ิงที่ดที ีเดยี วทเี่ ราจะเปรยี บเทยี บใหเ หน็ ระหวา งปยุ 2 ประเภทนี้ “ตราบเทาที่เปน ไปได ทา นท้ังหลายจงบรโิ ภคอาหารซง่ึ เปนผลผลติ ที่ไดม าจากพน้ื ดนิ ทใ่ี ช ปุยธรรมชาตแิ ละมลู สตั ว เพราะเน่อื งจากพื้นดนิ ทเี่ พาะปลกู โดยใชป ยุ เคมแี มแตเพียงปริมาณ (52) อซั รอร คูรอกีฮอ, หนา 100, 106. (53) ร็อมเซ ชอดี วา ตัน ครุ ซุ ตี, หนา 39.
เล็กนอ ยกต็ าม ผลผลิตท่ีไดจากมนั ในดา นคณุ คา ทางอาหารนบั วา มนี อ ยมาก และแนน อนยงิ่ หาก มนุษยห รือสัตวทบ่ี รโิ ภคผลผลิตเชน นเี้ ขา ไป รา งกายของเขาก็จะไมไดรบั สารอาหารทจ่ี ําเปน ตอ รา งกาย และจะทําใหร า งกายตกเปน เปา การจโู จมของโรคภัยตา งๆ ไดโดยงาย ขาพเจา ทราบดีวา ผทู ี่ใชช วี ิตอยใู นเมืองใหญซ ึง่ เปน เมอื งอุตสาหกรรม ยอ มไมสามารถที่ จะจัดหาอาหารและบรโิ ภคอาหารเชนนไี้ ดอยา งงายดายนัก แตทวา วันหนง่ึ จะมาถึง ซงึ่ ความ เหนอื กวา และการมคี ณุ คาทมี่ ากกวาของผลผลติ เชน นีจ้ ะกลายเปน ทีป่ ระจกั ษชัด และมนุษยทกุ คนจะมงุ แสวงหาผลิตผลทางการเพาะปลกู ทไี่ ดรบั มาโดยการใชปุยจากธรรมชาติและมลู สตั ว” (54) ขนมปงทท่ี าํ จากแปงขา วบาเลห ‘ขนมปงแปง บาเลห’ คือสงิ่ ท่ีถกู ปรงุ มาจากขาวบาเลห ราํ ของขาวบาเลห ก ็เหมือนกบั ราํ ของขา วสาลี ซง่ึ เปน ธาตุอาหารทมี่ ีคณุ คา “รําของขา วบาเลห ม วี ติ ามนิ บีตา งๆ ในปรมิ าณมาก การรับประทานมนั กเ็ ชน เดยี วกนั จะ เปน สาเหตุทาํ ใหบ รรดาแบคทเี รยี ทม่ี ปี ระโยชนท ่อี ยูในกระเพาะอาหารซ่ึงชวยสรา งวติ ามนิ บีตา งๆ ไดร ับการเจรญิ เตบิ โต และจะชว ยเพมิ่ ปริมาณของวติ ามินบีใหแกร างกาย ดว ยเหตุนเี้ องจึงไม อนญุ าตใหร บั ประทานขนมปง แปงบาเลห พ รอมกบั อาหารอ่ืนๆ ทมี่ ีวติ ามินบีสงู ” (55) โดยทว่ั ไปแลว การดําเนินชวี ติ ในปจจุบนั ประชาชนจะใหค วามสาํ คัญตอ การรบั ประทาน ขนมปงท่ีทาํ มาจากแปง สาลมี ากกวา เปน สิง่ ทดี่ ที ีเดยี วทจ่ี ะเปรียบเทยี บคุณคาทางอาหารระหวา ง ขนมปง ทัง้ 2 ชนิดน้ี เพอื่ จะไดรับรูว า ขนมปง ชนดิ ใดทม่ี คี ุณคาทางอาหารมากกวา “ขนมปง ทท่ี าํ มาจากแปงสาลี จะทาํ ใหแคลเซยี มบางสว นของรา งกายเกดิ การสะสม (ตกตะกอน) ขนมปงที่ทาํ มาจากขา วบาเลห ไ มมีคุณสมบตั เิ ชน นี้ สาํ หรบั ผูท่ีชอบรับประทานอาหาร หลากหลายและมีแคลเซยี ม และใชประโยชนจ ากความรอนของแสงจากดวงอาทิตย (เชน คนทาํ งานกลางแดด) นับวา มปี ระโยชนอยางมาก เพราะวาแคลเซียมเกาในรา งกายของพวกเขาจะ สูญสลายไปและแคลเซยี มใหมจ ะเขา มาแทนท่ี ผูท่ไี มช อบรับประทานอาหารหลากหลาย ไมสมควรท่จี ะรบั ประทานขนมปงจากแปง สาลที ี่ มรี าํ เพราะจะทําใหเ กิดการขาดธาตุแคลเซยี มและฟอสฟอรัส สว นขนมปง แปง บาเลห นน้ั เนอื่ งจาก มีวิตามนิ บี และเชน เดยี วกนั ก็มผี ลที่ดีตอ การสรางความเจรญิ เติบโตใหแ กแบคทเี รยี ตา งๆ ในลาํ ไส ซึ่งเปน ตวั ผลติ วติ ามนิ บี ดงั นนั้ มันจงึ มคี ณุ คามาก มันจะรักษาความหนุม แนนและยับยง้ั จาก อาการผมหงอก” (56) (54) กซุ ัรนอเมฮ บะรอเย ซินดะกีเย นวู นี , (ใบเบกิ ทางสูการดําเนินชีวติ ในยคุ ใหม), หนา 73. (55) อิอยาซ คูรอกีฮอ, (ความมหัศจรรยของอาหาร), หนา 204. (56) ออิ ยาซ คูรอกีฮอ, หนา 205.
“ขนมปงแปง บาเลหก เ็ ชน เดยี วกนั กบั อาหารตา งๆ ทถ่ี ูกปรงุ จากขา วบาเลห มวี ติ ามนิ บี ตางๆ ในปรมิ าณมาก และมีผลตอการเจรญิ เตบิ โตของแบคทีเรียท่ีมปี ระโยชนต อ ลาํ ไส และดว ย เหตุดังกลา วนเี้ องชาวชนบททบี่ รโิ ภคขนมปงแปงบาเลห จ ึงแกช า และผมบนศรีษะของพวกเขาจะ ไมรวง ขา วบาเลหและราํ ของมันถือเปนสิ่งที่ชว ยในการเยยี วยารกั ษาคลอเรสโตรอลที่ดที ่ีสุดอยา ง หนง่ึ ” (57) อาหารของบรรดาอมิ าม (ผนู าํ ) ของเรา เปน การดีทเ่ี ราจะใหความสนใจและพินิจพิเคราะหถ งึ แบบแผนของอสิ ลามเกยี่ วกับเร่ือง ของขนมปง ตา งๆ และจงพิจารณาถึงอาหารของบรรดาผูน ําของอสิ ลาม แตอ ยา งไรกด็ ี การ พิจารณาตรวจสอบเหลา นเ้ี ฉพาะแตในดา นของโภชนาการทางอาหารเทาน้นั โดยไมเ กยี่ วกับดาน ของความยําเกรง (ตกั วา) และความสมถะ ชายผหู นง่ึ ซง่ึ มนี ามวา ‘ซุวยั ด บินฆอ็ ฟละฮ’ กลา ววา : ฉนั ไดม าหาทา นอะลี บนิ อบฏี อลิบ (อ.) ฉันไดเ หน็ ภาชนะใสนมเปรี้ยววางอยขู า งหนา และสัมผสั ไดถึงกล่นิ เปรยี้ วของมัน และในสาํ รบั อาหารของทา นมขี นมปงกอ นหนึ่งทท่ี ํามาจากแปง บาเลห ซ่งึ ราํ หยาบๆ ของมันยงั ปรากฏใหเ หน็ อยางชัดเจนบนหนาของขนมปง ทา นไดฉ กี ขนมปง แปงบาเลห (เปน ชนิ้ ๆ) ดวยมอื ของทา น และใส มนั ลงไปในภาชนะนมเปร้ยี ว ทา นอะลี (อ.) ใหเ กียรติกับฉนั ดว ยการเรยี กใหร บั ประทานอาหารกับ ทาน ฉนั ไดก ลา ววา “ขา พเจา ถือศลี อด” ฟฎ เฎาะฮ คนรับใชในบา นของทา นอะลไี ดน ง่ั อยมู ุมหนง่ึ ฉนั ไดก ลา วกบั นางวา “ทาํ ไมเจา จงึ ไมดแู ลสขุ ภาพของชายชราผูนี้ (หมายถงึ ทา นอมิ ามอะล)ี ทาํ ไมเจาจงึ ทาํ ขนมปง จากแปง ท่ีไมได รอ นใหแกทา น?” ฟฎเฎาะฮ ไดกลา ววา “เมอื่ กอนฉนั ก็เคยแสดงความปรารถนาดเี ชน นเ้ี หมอื นกนั แตทาน ไดส ัง่ ใหทาํ ขนมปงของทานจากแปงทีย่ งั ไมรอ น” จากน้ันทา นอะลี (อ.) ไดหนั ไปยงั ซุวยั ด บนิ ฆอ็ ฟละฮ พรอมกบั กลาววา “สิ่งทฉ่ี นั เคยกลาว กบั ฟฎ เฎาะฮไ ปนัน้ บัดนีฉ้ นั จะขอกลา วกับทา น! ขอพลบี ิดาและมารดาของฉนั แดผ นู าํ ทีย่ ิ่งใหญ แหง อิสลาม (ทา นศาสดา (ศ็อลฯ)) วา ขนมปง ของทา นนน้ั กท็ าํ มาจากแปง ท่ีไมไ ดผา นการรอน” (58) ดงั ทเ่ี ราไดกลา วไปแลววา เราจะไมพูดถงึ ดา นอน่ื ๆ ท่ีเกย่ี วกับความยาํ เกรง (ตักวา) และ ความสมถะ หากเราวิเคราะหต รวจสอบดอู าหารของทา นอะลี (อ.) ในชว ง 14 ศตวรรษทีผ่ า นมาซงึ่ ยังไมมีการพดู ถึงเรอื่ งวติ ามนิ ตา งๆ ของขนมปง แปง บาเลห ราํ และคณุ คาทางอาหารของมันทาํ ให (57) อซั รอร คูรอกีฮอ, หนา 106. (58) ซะฟนะตุล บิฮาร, เลม ที่ 1, หนา 57.
เราไดป ระจักษถ งึ ความย่งิ ใหญท างดา นความรูของทานศาสดา (ศอ็ ลฯ) และบรรดาอิมาม (อ.) มากยง่ิ ขน้ึ ยิง่ ไปกวา นัน้ จากคาํ รายงาน (ริวายะฮ) ทาํ ใหเ ราไดร บั รวู า ในสมยั นั้นก็มขี นมปง ทม่ี รี าํ นอย และราํ มากเชน เดียวกัน เพราะซวุ ยั ด บนิ ฆอ็ ฟละฮ ไดก ลาววา “ทาํ ไมเจาจึงทาํ ขนมปง จากแปง ท่ี เตม็ ไปดวยราํ ท่มี ไิ ดผ านการรอนใหแ กท า นอะลี (อ.)” หลงั จากนน้ั ทา นอมิ ามอะลี (อ.) ไดกลาวเพื่อ ปกปองคนรบั ใชของทาน (คือฟฎเฎาะฮ) วา “ฉนั ดําเนนิ รอยตามทา นศาสนทตู แหงอลั ลอฮ (ศอ็ ลฯ) โดยที่ขนมปงของทานกท็ ํามาจากแปง ทไ่ี มไ ดผา นการรอ นเชนกนั ” เมอ่ื พิจารณาถงึ คณุ สมบัตขิ องขนมปง แปง บาเลห และคณุ คาทางโภชนาการของนมเปร้ยี ว แลว ทา นทงั้ หลายจงตดั สินใจดูเถดิ วา ขนมปงแปง บาเลห กับนมเปร้ยี วนั้นมนั จะเปน อาหารทีม่ ี คณุ คามากเพยี งใด!! ยงิ่ ไปกวา น้ัน เราไดรับรไู ปกอนหนานแ้ี ลว วา ขนมปง แปงบาเลห ม ีคณุ สมบัติท่ที าํ ใหเ ราไม จําเปน ตองรบั ประทานอาหารหลากหลาย บคุ คลอยา งเชนบรรดาผนู าํ ทางศาสนาซง่ึ ภารกจิ ทีไ่ ดร ับ มอบหมายจากพระผูเปน เจา สาํ หรับพวกทา นนน้ั คือการเสรมิ สรา งความแขง็ แกรง ทางดา นจิต วิญญาณใหแกมนษุ ย ดงั นนั้ แบบแผนแหง การดําเนนิ ชวี ติ โดยเฉพาะอยา งยง่ิ อาหารของพวกทา น นนั้ คือเครื่องปลอบประโลมใจแกบ รรดาผยู ากไรข ัดสน เพื่อปกปองพวกเขาเหลา นน้ั ใหร อดพนจาก ความเบยี่ งเบนตา งๆ ทางดา นจรยิ ธรรม เชน การลกั ขโมย การปลน สะดม และการฉอ โกง ขนมปงทท่ี าํ จากแปง ขา วเจา อีกประเภทหนง่ึ ของขนมปง ก็คอื ขนมปง ท่ีทาํ มาจากแปงขาวเจา วธิ ีการทาํ นนั้ มหี ลายวิธี ดว ยกนั คอื 1.หุงขา วใหสกุ (หมายถึงรนิ นาํ้ ขาวออกใหห มด) หลงั จากนน้ั ทาํ ขาวสุกใหแหง และทําให มนั เปน แปงและใหนวดมนั ดวยนา้ํ หลังจากนนั้ ทง้ิ ไวหน่งึ ถึงสองชว่ั โมง จนกระทงั่ แปง พองตัว หลงั จากนั้นจงึ ทําเปน ขนมปง 2.บดขา วทีส่ กุ แลวใหนมิ่ เหมอื นกับแปงนวด แลว ทาํ ใหเปน ขนมปง 3.บดขาวสารใหเปนแปง จากนน้ั คอ ยๆ โรยลงไปในนา้ํ เดือดและคนใหเขากนั กระทงั้ สกุ และเหนยี วเหมือนแปงนวด และจากแปงเหนยี วนนั้ ใหท าํ เปน ขนมปง แผนบางๆ ขนมปง แปง ขาวเจา โดยทวั่ ไปแลวจดั วาเปน ประเภทหนงึ่ ของขนมหวาน และเปน ของกิน เลน ไมใชอ าหารหลกั แตในขณะเดียวกนั ก็เปนสว นหนง่ึ จากขนมปง เพอื่ สุขภาพ
ทานอิมามรฎิ อ (อ.) ไดก ลา วในเรอ่ื งนว้ี า “ไมม ีส่งิ ใดทเี่ ขาสทู องของผปู ว ยทเี่ ปน วณั โรค ที่ จะใหประโยชนม ากไปกวา ขนมปง แปง ขาวเจา ” (59) และทานอิมามซอดกิ (อ.) ไดกลาววา “ทา นท้ังหลายจงใหผ ปู วยทเี่ ปน โรคกระเพาะ (หรอื ผู ที่ไมสามารถกลัน่ อุจจาระของตนเองได) รับประทานขนมปงทที่ าํ มาจากแปงขาวเจา เพราะเหตุวา ไมมสี งิ่ ใดทีเ่ ขา สูทองของผปู ว ยทจ่ี ะใหค ณุ คา มากไปกวา มัน” (60) ในบางคําพดู ของทา นอมิ ามซอดิก (อ.) ยงั ไดชีใ้ หเ ห็นวาขนมปง ทท่ี าํ มาจากขา วเจา มีเนอ้ื อาหารมาก และทานยงั ไดก ลา วเชน กนั วา “ไมมอี าหารใดท่จี ะคงเหลอื อยูในกระเพาะจากชว งเวลา เชาจนถงึ เวลากลางคนื นอกจากขนมปงทที่ ํามาจากขาวเจา ” (61) นกั วชิ าการทางดา นโภชนาการอาหารในอดีตทา นหนึ่ง ไดเ ขยี นเกยี่ วกับขนมปง แปง ขาว เจาไวเชน นว้ี า “ขนมปง แปง ขา วเจา มผี ลทาํ ใหเกดิ ความเยน็ ในรา งกาย ทาํ ใหเ กิดความอยากดม่ื นา้ํ เสรมิ สรา งความแข็งแรงใหแ กร า งกาย ทาํ ใหร บั ประทานอาหารไดมาก และมีผลในการรกั ษา เยียวยาโรคทอ งรว งและโรคบดิ ทาํ ใหใบหนา มีสีเปลงปลงั่ …และมปี ระโยชนสาํ หรับผทู เ่ี ปน วัณโรค” (62) นมเปรย้ี ว ‘นมเปรย้ี ว’ เปน สวนหนง่ึ จากอาหารดง้ั เดมิ ของมนษุ ย เปน อาหารซ่ึงโดยมากแลว ถอื วา เปน นาํ้ แกงจ้ิมขนมปงของคนยากจน สว นผูที่มฐี านะรา่ํ รวยกจ็ ะมนี มเปร้ียววางอยใู นสํารบั รว มกบั อาหารอน่ื ๆ นมเปรี้ยวมคี ณุ สมบัตแิ ละมคี ณุ คาทางอาหารมาก และเน่อื งจากตามสาํ นวนแลว นมเปรย้ี วมธี รรมชาตทิ ีเ่ ย็น (เมอื่ รับประทานเขา ไปแลวจะ ทาํ ใหเกิดความเยน็ แกร า งกาย) อีกทง้ั ยงั มวี ติ ามนิ บีอยมู าก จงึ กลา วกันวา ใหรบั ประทานนมเปรยี้ ว รวมกับยหี่ รา ในคาํ รายงาน (ฮะดษี ) บทหนงึ่ จากทา นอิมามมะอซ มู (อ.) ไดกลาววา “บุคคลใดกต็ ามท่ี ปรารถนาจะรบั ประทานนมเปร้ยี ว ดังนนั้ เขาจงโรยฮาฎบ ลงไปบนมนั ” มผี ูถามวา “ฮาฎบ คอื อะไร?” (59) วะซาอิลชุ ชอี ะฮ, เลม ท่ี 18, หนา 5. (60) วะซาอิลุชชีอะฮ, เลมท่ี 18, หนา 5. (61) วะซาอลิ ุชชอี ะฮ, เลม ที่ 18, หนา 5. (62) มคั ซะนลุ อัดวียะฮ, หนา 62.
ทานตอบวา “มนั คอื ยห่ี รา” (63) คําแนะนาํ ซง่ึ เราเขา ใจไดจ ากคาํ รายงานบทนี้ คอื การสรา งความสมดุลทางโภชนาการใน ดา นสารอาหาร ซ่ึงสง่ิ นโี้ ดยตวั ของมนั เองแลว คือพนื้ ฐานท่สี าํ คญั ยิง่ สาํ หรับสขุ ภาพพลานามยั ของ รางกาย “สาํ หรบั บุคคลทม่ี ีธรรมชาตขิ องรา งกายเยน็ นมเปร้ยี วถอื วา เปน สงิ่ ทไ่ี มดซี ง่ึ จะทาํ ใหเกิด ความชนื้ สงู ขนึ้ (ในรา งกาย) และจะกระตนุ พลงั ทางเพศ” (64) แตยห่ี รา ซ่งึ ตามสํานวนแลว เปนอาหารที่มธี รรมชาติเปน ของรอน ดว ยเหตนุ ้ีเองระหวา ง สองสง่ิ นจี้ ึงทาํ ใหเ กิดความสมดุลทางอาหาร เราไดรบั รูไ ปแลววา ทา นอมิ ามอะลี (อ.) ไดใชนมเปร้ยี วเปน เหมือนน้าํ แกง (รบั ประทาน กบั ขาว) ของตนเอง แมวา มันจะเปน อาหารทมี่ ลี ักษณะของความเปน สมถะ แตท วาความสาํ คญั และคณุ คาทางอาหารของมนั นนั้ เปน ที่ประจกั ษช ัดแลว สาํ หรับโลกในปจจุบัน “นับจากอดีตเมื่อหลายศตวรรษจวบจนถึงปจจบุ นั นมเปร้ียวถือเปน สารอาหารที่มี ความสาํ คัญยง่ิ และสามารถซึมซับเขา สรู างกายไดโดยงา ย และในทน่ี ีม้ ปี ระเดน็ หนง่ึ ทส่ี าํ คัญและ จาํ เปนตอ งกลา วถงึ กค็ ือ คาํ วา ‘นมเปรย้ี ว’ ในทกุ ๆ ประเทศของโลก จดั อยูในฐานะของอาหารทที่ ํา ใหอ ายยุ นื ยาว ชาวอารม านสิ ถานเรียกนมเปรย้ี ววา ‘มาตซิ นู ’ ชาวยโู กสลาเวียเรียกวา ‘กสี โลมิลโก’ และ ‘ปแ ยร’ กษัตริยอ งทีผ่ า นมาของยโู กสลาเวยี ไดกลาวในการสนทนาและใหค วามม่ันใจแกขาพเจา วา อาหารของบุคคลจาํ นวนมากท่มี อี ายยุ นื ยาวนบั รอ ยปกค็ อื นมเปร้ียว และผลจากการรับประทาน นมเปร้ยี วทาํ ใหพวกเขามีอายยุ นื ยาวไดถ ึงหนงึ่ รอยป ชาวรสั เซียจะรบั ประทานนมเปรี้ยวในปรมิ าณมากรว มกบั ขนมปงดาํ ทาํ ใหพ วกเขามี สุขภาพพลานามัยทีส่ มบรู ณ ในฝร่งั เศสเรยี กนมเปรย้ี ววา ‘โยเอิรท ’ (หรอื โยเกริ ท) พวกเขาผสมมัน กบั ลกู สตอเบอรี่ปา และรบั ประทานมนั ในหมูเกาะซารูนเี รยี กนมเปรย้ี ววา ‘จิวโด’ และในประเทศอินเดียเรยี กวา ‘ดาเดฮี’ และใน ประเทศอียปิ ตเ รยี กวา ‘ละบะนุรรุบบ’ ซ่ึงสาํ นวนทง้ั หมดเหลานหี้ มายถงึ การมีอายุท่ียนื ยาว นม เปรีย้ วมีคณุ คา ทางโภชนาการมากกวา นมสด ยง่ิ ไปกวา นน้ั มีบุคคลบางสว นทน่ี มทวั่ ไปและนมสด เขา กนั ไมไดก บั พวกเขา เนอ่ื งจากในนมเปรย้ี วนนั้ มสี ารแอลบูมนี (โปรตีน) ชนดิ หนงึ่ ทย่ี อยสลาย และซึมซับเขาสรู างกายไดอยางรวดเรว็ แคลเซียมของมนั ก็มีคณุ คา อยางมากสาํ หรับผูสูงอายุ มนั จงึ ถกู ดูดซมึ ไดอ ยางรวดเรว็ และวติ ามนิ บจี ํานวนมากจะถูกสรา งขนึ้ ในลําไสโดยแบคทีเรยี ทอ่ี ยใู น นมเปรย้ี ว และจะถูกสง เขา ไปสเู สน เลอื ด (63) ซะฟน ะตุล บิฮาร, เลม ที่ 2, หนา 521. (64) เอาวะลีน ดอนชิ กอฮ, เลมที่ 6, หนา 126.
บรรดาผสู งู อายทุ ปี่ ระสบกบั แกส ในกระเพาะ การอกั เสบ และการตดิ เชื้อในลําไสข องตน ถา หากพวกเขารบั ประทานนมเปรย้ี วอยา งตอเนื่อง บรรดาแบคทีเรียท่ีมองไมเ หน็ จะไมส ามารถมี ชีวิตอยูไดใ นกรดแลกติคของนมเปร้ียว ดว ยเหตนุ มี้ ันกจ็ ะคอ ยๆ ตายและหมดไป ในท่สี ุดแกสและ การติดเชอ้ื ในลําไสข องพวกเขาก็จะถกู ขจดั ไปโดยสิ้นเชงิ ” (65) เนยแขง็ (ชดี ซ) เนยแขง็ เปน ผลิตผลอีกชนิดหนง่ึ ทไ่ี ดจ ากนมสด พวกเขาจะทาํ นมสดใหเปนเนยแข็งโดย อาศัยเยือ่ บุในกระเพาะววั (Rennet) เนยแขง็ เกา และใหม ความเคม็ นอยและมาก และเนยแข็งท่ีทาํ มาจากนมชนิดตา งๆ จะมี คณุ สมบตั ิทีแ่ ตกตา งกนั บา งเล็กนอย กอนอนื่ ขอใหเรามาพจิ ารณาถงึ คณุ คาตา งๆ ของเนยแข็งที่อสิ ลามไดอ ธบิ ายไว และพรอ ม กันนัน้ จะมารบั รูวาอิสลามไดแนะนาํ การรบั ประทานเนยแขง็ ไวอยางไร? ในอิสลามบางครั้งจะแนะนาํ เนยแข็งวา เปน อาหารทีไ่ มค วรรบั ประทาน (มกั รหู ) แต บางครั้งก็ถอื วา เปน สง่ิ ท่คี วรรับประทาน (มสุ ตะฮับ) คาํ อธิบายในเรอื่ งนีก้ ็คอื ถาหากรับประทาน เนยแขง็ คกู ับเมด็ ในของผลวอลนัท (Walnut) ถอื วา เปน สิ่งท่ดี ี (มุสตะฮับ) แตถาหากรับประทานมัน เพยี งอยา งเดยี วถอื เปน สงิ่ ทไ่ี มสมควร (มักรูห) อิสลามไดก ําหนดเวลาเฉพาะสําหรบั การรบั ประทานเนยแข็งไวด ว ยเชน กนั โดยถอื วา ชว งเวลาอาหารเยน็ คือเวลาของการรับประทานเนยแข็ง และยังไดแนะนาํ อีกวาใหร ับประทานมนั รวมกับผลวอลนทั ตอไปนีจ้ ะขอนาํ เสนอ 2 ตวั อยา ง จากคําพดู ของบรรดาผนู ําแหง อสิ ลาม (อ.) ไว ณ ทนี่ ี้ 1.ทานอมิ ามรฎิ อ (อ.) ไดอา งรายงานมาจากทา นอิมามซยั นลุ อาบดิ ีน (อ.) ซึ่งกลา ววา “แนนอนยง่ิ สองส่ิงที่จะตอ งไมเขา สูกระเพาะอาหาร เวน แตม นั ทง้ั สองจะกอใหเ กิดความเสยี หายแก กระเพาะ นั่นคือเนยแข็งและเน้อื เกา (ท่ีเกบ็ รักษาไวไ มใหเนา เสีย)” (66) 2.ทานอิมามซอดกิ (อ.) ไดกลาวไวในขณะอธิบายถงึ คณุ คา ของอาหารจาํ นวนหนงึ่ โดย กลาววา “และสองสง่ิ ท่มี ีแตโ ทษในทุกๆ ดา น และไมใ หป ระโยชนใ ดๆ เลย นั้นคือเน้ือตากแหงและ เนยแขง็ ” (67) (65) เจฮบ อยัดโครด วา เจฮก ูเนฮ บอยดั พุดต, (จะรบั ประทานอะไร? และปรงุ ใหสุกไดอ ยา งไร?), หนา 19. (66) บฮิ ารุล อนั วาร, เลม ที่ 66, หนา 104. (67) วะซาอลิ ุชชอี ะฮ, เลม ที่ 17, หนา 39.
สิ่งท่กี ลา วมาท้ังหมดน้คี ือคาํ พดู ทก่ี ลาวถงึ การตาํ หนแิ ละความนารงั เกยี จ (กริ อฮะฮ) และ กอนทจ่ี ะพดู ถงึ ความเปนสง่ิ ท่ดี ี (มสุ ตะฮับ) และการชมเชย เราจะมาแยกแยะเพอ่ื ใหร ับรถู ึงปรชั ญา ของความเปน สงิ่ ที่ไมดีงาม (มักรหู ) ของเนยแขง็ เสียกอ น “เนยแข็งจะถกู ยอ ยสลาย ซมึ ซับและถูกขบั ถา ยออกมาอยา งชา มาก และทําใหค วามอยาก อาหารลดนอยลง สาํ หรบั ผูท ม่ี ีธรรมชาติของรางกายรอ นหรอื คนขร้ี อ น โทษของมันจะมีนอ ยกวา แตใ นทางกลบั กนั ผทู ่มี ธี รรมชาตขิ องรางกายเย็น (ขีห้ นาว) และมเี สมหะมาก พวกเขาจะไม ปลอดภัยจากโทษของมันในกรณีท่ีรับประทานมนั อยางตอ เนื่อง และเนยแข็งนใ้ี นบางสภาวะจะ กอใหเกดิ อาการจกุ เสียดอยา งรุนแรงมากทเ่ี รยี กวา ‘ileus’ หรือการอุดตนั ของลาํ ไสเล็ก” (68) คงเปนท่กี ระจา งชดั อยา งดที เี ดยี วถงึ การตาํ หนิเนยแข็ง โดยทก่ี ารยอยสลายอยา งลาชา ของมัน ทาํ ใหเกดิ การสูบฉดี ที่มมี ากเกนิ ขอบเขตของระบบการยอยสลาย จงึ เปน สาเหตุของความ เปนสิง่ ที่ไมดี (มักรหู ) ของมนั “จงรําลกึ อยเู สมอวา เนยแขง็ น้ันเปน อาหารแขง็ (ยอ ยยาก) ชนดิ หนง่ึ และจาํ เปน ตอ ง รบั ประทานมนั แทนอาหารตา งๆ ที่ทาํ มาจากเนื้อสัตว หรือควรรับประทานมนั คกู ับอาหารตา งๆ ซึ่ง มคี ณุ คาทางอาหารนอยกวา และถาหากจะรบั ประทานมันเปนของวา งหลังอาหาร จําเปน ตอง รบั ประทานมนั หลงั อาหารออ น (ยอยงา ย) และไมสมควรรบั ประทานมนั หลงั อาหารแขง็ ท่ยี อ ยยาก ซึง่ จะกอ ใหเกดิ ความยากลาํ บากตอกระเพาะอาหารในการยอ ยสลายมนั ” (69) ในตัวอยา งทส่ี ามน้ี เปนสงิ่ ทีด่ ที เ่ี ราจะนาํ คาํ พูดของนกั การแพทยยคุ โบราณผยู ิ่งใหญท าน หนง่ึ มาอางไว ณ ทน่ี ี้ เพือ่ พสิ จู นถ งึ ความเปนสงิ่ ที่ไมควรรับประทาน (มักรหู ) และความเปน อาหาร ท่ียอ ยยากของเนยแขง็ “ธรรมชาติของเนยแขง็ ถือเปน อาหารท่ีมคี วามเยน็ อยูในระดบั สอง ปฏิกิรยิ าและคุณสมบตั ิ ตา งๆ ของมนั คอื ทําใหกระเพาะ ลาํ ไสและไตแข็งแรง ทาํ ใหอารมณดี จะชว ยขบั น้าํ ยอย และเปน อาหารที่ยอยสลายไดชา การรับประทานมันกบั เม็ดในของผลวอลนทั และไทม (70) จะทาํ ใหรางกาย อวนทวนและมผี วิ พรรณนมุ นวล…” (71) คาํ แนะนาํ ของอสิ ลามถงึ ความเปน สงิ่ ท่ีดี (มสุ ตะฮบั ) ของเนยแข็งมีดังนี้ ชายผหู นง่ึ ไดถ ามทา นอมิ ามซอดกิ (อ.) เกยี่ วกับคณุ คา ของเนยแข็ง ทา นไดกลา วกับชายผู นั้นวา “มนั จะทาํ ใหเ กดิ โทษและไมม คี ุณคา ใดๆ” (68) เอาวะลีน คอนชิ กอฮ, เลมที่ 6, หนา 256. (69) เจฮบอยัดโครด วา เจฮก เู นฮ บอยัดพุดต, หนา 251. (70) Thyme คือพืชไมเ ตยี้ จําพวกหนึ่งท่ีมีใบหอม ใชทําเปนเครือ่ งเทศ. (71) มัคซะนลุ อัดวียะฮ, อักษร ‘ญมี ’.
ชายคนเดยี วกนั น้ไี ดม าหาทา นอิมามซอดกิ (อ.) อกี คร้ังในตอนเยน็ เขาไดพ บทา นอิมาม (อ.) กาํ ลังนงั่ อยทู ่ีสาํ รับอาหารเพื่อรับประทานอาหารมอื้ คาํ่ เขาไดเ ห็นภาชนะท่ีใสเ นยแขง็ วางอยู เขารสู กึ ฉงนใจพรอ มกับกลา ววา “เมือ่ ชว งเชานท้ี านกลา วตําหนเิ นยแขง็ แตบ ดั นี้ทา นเองกลบั วาง มันไวในสํารบั อาหารของทา น” ทานอมิ าม (อ.) ไดกลาววา “การรบั ประทานเนยแขง็ ในตอนเชา นนั้ ไมด ี แตส ําหรับตอน เยน็ ในชว งเวลาค่ํานน้ั เปน สง่ิ ท่ดี ี จงรูไวด ว ยวามนั จะชว ยเพ่ิมพลงั ทางเพศอกี ดว ย” (72) อยางไรก็ดี ดงั ทเ่ี ราจะกลา วถึงในภายหลงั วา จดุ ประสงคของการรบั ประทานเนยแข็งใน ชว งเวลาของอาหารคา่ํ นน้ั หมายถงึ การรบั ประทานมนั คกู ับเมด็ ในของผลวอลนัทเทา นนั้ แตท ําไม การรบั ประทานมนั คกู บั วอลนัทจงึ ไมส มควรสาํ หรบั อาหารมือ้ เชา ?! 1.เนื่องจากเนยแข็งมีแคลเซียมอยใู นปริมาณสงู และแคลเซยี มจะทําใหเ กดิ อาการงว ง นอนดว ยเชน กนั ดังนนั้ เวลาที่ดที ่สี ดุ ของการรบั ประทานมันก็คอื ชว งเวลาค่าํ 2.แคลเซียมเปน ธาตคุ ลายหนิ ปนู ทีม่ สี ขี าว จากการทดลองมากมายพบวา แคลเซยี ม สว นมากซงึ่ อยใู นเลือดและในของเหลวทอ่ี ยภู ายนอกเซลลตา งๆ ของรางกายนน้ั มคี ณุ คาทาง อาหารตอสมอง ซงึ่ ในชว งเวลาของการผกั ผอ นและนอนหลับ มนั จะมคี วามตองการแคลเซยี มมาก ขน้ึ แคลเซียมเหลาน้จี ะมาหลอเลี้ยงสมองในชว งเวลาดงั กลาว และจากแคลเซยี มในปรมิ าณมาก น่เี องท่ใี นชว งเวลานอนหลบั จะทําใหส มองมีสขี าว (ดว ยเหตดุ ังกลา วนี้ นกั วิชาการในอดีตคดิ วา ในขณะนอนหลับนัน้ เลอื ดจะไหลออกไปจากสมอง) ฉะนน้ั ในชว งเวลาของการนอนหลับสมองมี ความตอ งการแคลเซียมเพ่มิ มากขึ้น ดงั นนั้ เนยแขง็ ซึ่งเปรย่ี มลนไปดว ยแคลเซยี ม จึงเปน อาหารท่ีดี ทส่ี ดุ สาํ หรบั การนอนทห่ี ลับสนิท และอาหารท่ีดที ส่ี ดุ ในชวงเวลาน้สี าํ หรบั การหลอเลีย้ งสมอง กค็ ือ การรบั ประทานเนยแข็งในชว งเวลาคํ่า (73) ไดกลาวไปแลววา เนยแขง็ นน้ั เปน สง่ิ ที่ไมสมควร (มักรูฮ) ถาหากรบั ประทานมนั เพยี งอยา ง เดียว แตเปน สงิ่ ท่ดี ี (มสุ ตะฮบั ) หากรบั ประทานมนั คูก บั เม็ดในของผลวอลนทั ทา นศาสนทูต (ศอ็ ลฯ) ไดกลา ววา “เนยแขง็ น้ันคอื โรคภยั และวอลนทั นนั้ คอื โรคภยั แต เม่ือท้ังสองอยา งนม้ี ารวมกนั มันจะกลายเปนยารกั ษาโรคภยั ” (74) ทา นศาสดามฮุ ัมมดั (ศอ็ ลฯ) ไดช ้ใี หเ ห็นวา การรับประทานเนยแขง็ เพยี งอยา งเดียวหรือ การรับประทานลูกวอลนทั เพยี งอยางเดยี ว จะกอใหเ กดิ โทษและทําใหเกิดโรคภัยไขเ จบ็ แตถา หาก รับประทานมนั ทงั้ สองควบคูกัน มนั จะมคี ณุ คาและใหประโยชนต อรา งกาย (72) บิฮารลุ อนั วาร, เลมที่ 66, หนา 106. (73) เอาวะลีน ดอนชิ กอฮ, เลมที่ 6, หนา 227. (74) บฮิ ารลุ อนั วาร, เลม ที่ 62, หนา 294.
ณ ท่นี จ้ี าํ เปน ที่เราจะตองรับรวู า ทําไมการรับประทานลูกวอลนทั โดยปราศจากเนยแข็งจงึ มีโทษ?! และตามสํานวนของคํารายงาน (ริวายะฮ) ตางๆ นัน้ ถือเปน สิง่ ท่ีไมสมควร (มกั รหู ) เนย แข็งน้นั เปรยี่ มไปดวยแคลเซยี ม และลกู วอลนทั กม็ ธี าตฟุ อสฟอรสั จากการพจิ ารณาสองคาํ พูด ขา งตน นที้ าํ ใหป ระจักษไ ดว า จาํ เปน ทจ่ี ะตอ งรบั ประทานเนยแข็งควบคกู บั ลกู วอลนทั เนื่องจาก “แคลเซยี มและฟอสฟอรัสเปน ธาตสุ องชนดิ ทมี่ คี ณุ คาและใหประโยชนสงู และธาตุทงั้ สอง นี้ในกรณที เ่ี ขา สรู างกายพรอมกัน จะไมมสี งิ่ ใดที่ถกู ขบั ถายออกมาโดยไรป ระโยชน ดังน้ันถาหาก เรารบั ประทานเนยแข็งโดยปราศจากลูกวอลนัท (คือปราศจากธาตฟุ อสฟอรัส) ซ่ึงหมายถงึ เรา ไดรบั ประทานแคลเซียมในปริมาณมากเขา ไป แตใ นทางกลบั กัน ธาตฟุ อสฟอรัสในรา งกายกลบั ถกู ขับออกมา แตถ า หากแคลเซยี ม (ของเนยแขง็ ) ไดถ กู ประกอบดว ยธาตฟุ อสฟอรัส (ของลูกวอลนัท) การยอ ยสลายและการซึมซับของมันกจ็ ะไดร ับการปฏิบัตอิ ยา งสมบรู ณม ากวา ดกี วา และงายดาย กวา ” (75) ดวยกับความเจรญิ กาวหนา ของศาสตรตา งๆ ทางดา นโภชนาการและการแพทย ทาํ ใหเ รา ประจกั ษไ ดด ีมากยง่ิ ขนึ้ ถึงสาเหตุตางๆ ของการมีสุขภาพพลานามยั ท่สี มบูรณแ ละการมีอายทุ ยี่ นื ยาวของบรรพบุรุษของตน เนอ่ื งจากบคุ คลเหลานน้ั ไดใ ชป ระโยชนจ ากแบบแผนทถ่ี กู จดั ระบบไว อยางดีเย่ียมในทกุ ๆ ดาน โดยไมร ถู งึ ปรชั ญา ปฏิกริ ิยาและการตอบสนองตา งๆ ของมัน และโดย ปราศจากการปฏบิ ัตติ ามผูอืน่ มนั คือแบบแผนหนึง่ ซงึ่ ไมว าความรูจะพฒั นาการไปมากเทา ใด กย็ ่ิง จะประจกั ษถ งึ ความสาํ คญั และคณุ คาของมันมากขนึ้ เทา นน้ั และจากแบบแผนดงั กลาวนเ้ี องที่ พวกทา นเหลาน้ันไดรกั ษาสขุ ภาพพลานามัยของตนเองไวไ ดเปนระยะเวลาอนั ยาวนาน โดยไมม ี การศึกษาจากมหาวิทยาลยั ใดๆ ท้ังสนิ้ และแบบแผนดงั กลาวก็คือแบบแผนของอิสลามนน่ั เอง ไขไ ก จุดประสงคจ ากไขไ กใ นที่น้ี ก็คอื ไขไกทเ่ี ลยี้ งตามบาน อยา งไรก็ดี ไขช นิดอน่ื ๆ ก็ยงั มีอกี ซึ่ง จะกลาวถงึ ในภายหลงั ไขไกแตล ะฟองโดยเฉลย่ี แลว มีนา้ํ หนกั ประมาณ 55 กรมั โดยทป่ี รมิ าณ 5 กรมั ของมันนน้ั เปน เปลอื กไข และทเ่ี หลอื ประมาณ 2 ใน 3 ของมันเปนไขข าว และ 1 ใน 3 ของมนั เปนไขแดง และ มนั ใหพ ลงั งาน 85 แคลอรี ใน 100 สว นของไขไกทีส่ มบูรณป ระกอบดว ย นํา้ ปริมาณ 74 กรมั , โปรตีนจาํ พวกแอลบู มนี 12.8 กรมั , ไขมนั 11.5 กรัม, ธาตุจําพวกกลไู ซด 0.7 กรมั , โซเดียม 81 มิลลกิ รมั , โปแตสเซียม (75) เอาวะลนี ดอนชิ กอฮ, เลม ท่ี 6, หนา 227.
100 มลิ ลกิ รัม, แคลเซียม 54 มลิ ลิกรัม, แมกนเี ซยี ม 13 มิลลกิ รัม, แมงกานิส 0.033 มลิ ลิกรมั , ธาตุ เหล็ก 2.7 มลิ ลิกรัม, ทองแดง 0.253 มลิ ลกิ รัม, ฟอสฟอรัส 210 มลิ ลิกรมั , กาํ มะถนั 197 มิลลกิ รัม, คลอรนี 120 มิลลิกรมั , วติ ามินบ1ี 0.12 มลิ ลกิ รัม, วิตามินบ2ี 0.34 มิลลิกรมั , นิคโคทินนะไมด 0.1 มิลลิกรมั , วิตามนิ อี 1.1 มิลลกิ รมั , วติ ามนิ ดี ปรมิ าณหนึง่ และมวี ติ ามนิ เอ 1140 หนวยสากล เปลอื กไขประกอบดว ย ฟอสเฟต, คารบอเนต, แคลเซียม และแมกนเี ซยี ม และมรี ูเล็กๆ จํานวนมาก ดา นในของเปลอื กมีเน้ือเย่ือบางๆ ปกคลุมอยูส องชนั้ และสวนที่ถัดลงไปของไขไ กจ ะมี อากาศขน้ั กลางอยูระหวา งมัน ปริมาณของธาตอุ าหารตา งๆ ทมี่ ีอยูใ นไขแดง ในไขแดงของไขไกป รมิ าณ 100 กรัม ประกอบดวย นาํ้ 49.9 กรัม, แอลบูมนี 16.3 กรมั , ไขมัน 31.9 กรมั , น้าํ ตาล 0.7 กรัม, โซเดียม 26 มลิ ลกิ รัม, โปแตสเซยี ม 100 มิลลกิ รัม, แคลเซียม 147 มิลลิกรมั , แมกนเี ซยี ม 16 มิลลิกรัม, เหลก็ 7.2 มลิ ลิกรมั , ฟอสฟอรัส 586 มลิ ลกิ รมั , กํามะถนั 194 มลิ ลิกรมั , คลอรนี 124 มิลลกิ รัม, วติ ามนิ บ2ี 0.52 มิลลกิ รัม, วิตามนิ บ1ี 0.32 มลิ ลกิ รมั , วติ ามนิ ดี และวติ ามนิ อปี ริมาณหนงึ่ วติ ามนิ เอ 3210 หนว ยสากล และในปริมาณ 100 กรมั ของ มันนนั้ จะใหพ ลังงาน 355 แคลอรี ปรมิ าณของธาตอุ าหารตา งๆ ทม่ี อี ยูในไขข าว “ในไขขาวของไขไก ปรมิ าณ 100 กรมั ประกอบดว ย นา้ํ 88 กรมั , แอลบูมนี 10.8 กรัม, นา้ํ ตาล 1 กรัม, โซเดยี ม 110 มลิ ลิกรัม, โปแตสเซยี ม 100 มลิ ลกิ รมั , แคลเซยี ม 20 มลิ ลกิ รัม, แมกนีเซยี ม 11 มลิ ลกิ รมั , เหลก็ 0.1 มิลลกิ รมั , ฟอสฟอรัส 10 มิลลิกรมั , กาํ มะถนั 208 มลิ ลกิ รมั , คลอรีน 161 มิลลกิ รมั , วติ ามินบ2ี 0.23 มิลลิกรมั , นคิ โคทนิ นะไมด 0.08 มิลลกิ รมั และใน ปรมิ าณ 100 กรมั ของมันจะใหพลงั งาน 47 แคลอรี” (76) ในทัศนะของอสิ ลาม ไขข องสัตวปกบางชนิดเปน สงิ่ ท่อี นุญาต (ฮะลาล) ใหรบั ประทานได และบางชนิดกเ็ ปน สงิ่ ทีต่ องหา ม (ฮะรอม) กลาวโดยรวมแลวไขของสัตวปก แตละชนิดในความเปน ท่ตี องหาม (ฮะรอม) และความเปน ทอี่ นมุ ตั ิ (ฮะลาล) ของมนั จะเปนไปตามเนื้อของสตั วปกชนิด นัน้ ๆ ซึง่ ไดวางไขของมันออกมา แตถาหากเราไมสามารถรับรูไดว าไขใบนเี้ ปน ไขข องสัตวป กชนดิ ใด? ศาสนาอสิ ลามไดก ําหนดหลักเกณฑอ ยา งหน่ึงไวส าํ หรบั การแยกแยะใหรวู า อะไรเปน ทีอ่ นุมตั ิ (ฮะลาล) และอะไรเปน ส่งิ ตอ งหา ม (ฮะรอม) นัน่ คอื “ไขทกุ ชนดิ ท่สี องดา น (หัวและทา ย) ของมนั มลี กั ษณะคลา ยกนั และเทากัน เปน ส่ิง ตองหามในการรับประทานมนั (ฮะรอม) สว นไขต า งๆ ทด่ี านหนงึ่ (หัว) ของมันมีลกั ษณะกวา งกวา (76) เอาวะลนี คอนิชกอฮ, เลม ท่ี 10, หนา 254.
และอีกดานหนึง่ (ทาย) ของมันมลี กั ษณะทเี่ รียวกวา เปน ทอี่ นญุ าตในการรบั ประทานมนั (ฮะ ลาล)” (77) การรับประทานไขไ กใ นรปู แบบตา งๆ บรรดาผนู าํ แหง อิสลามไดเจาะจงวิธกี ารรบั ประทานไขในรูปแบบตา งๆ ไว ซง่ึ หลังจากการ คน ควา วิจัยของบรรดานกั วชิ าการและนักโภชนาการ ทาํ ใหเ ราเขา ใจถงึ ความสําคัญของวธิ ีการ รบั ประทานเหลา นี้ ในดานคณุ คาและสารอาหารขน้ั พน้ื ฐานของไขไก ในคาํ รายงาน (ริวายะฮ) บทหนึ่งไดก ลา ววา : มีผพู ดู ถงึ ไขไกต อ หนาทา นอมิ ามซอดกิ (อ.) ทานอิมามจึงกลา ววา “ไขไกค อื อาหารออ น (และยอ ยงา ย) มนั จะชวยทําใหค วามตอ งการในการ รับประทานเนอื้ หมดไป และไมม ีโทษภยั เกย่ี วกับเนอ้ื อยูใ นมนั ” (78) ในชว งระยะเวลาหนง่ึ พันกวา ปท ่ีผา นมา ซึ่งยังไมม กี ารวิเคราะหและแยกแยะธาตุตางๆ ของอาหาร ดงั นน้ั คาํ พดู ของทา นอมิ าม (อ.) จึงนับวา เปนสง่ิ มหศั จรรย และสามารถรบั รไู ดจาก คาํ พูดน้ใี นสองประเดน็ คือ 1.คําวา ‘กอรอมนุ ’ ใหความหมายท่ีชวนพศิ วง ความหมายทว่ั ไปของมนั คอื ‘ความอยาก หรือความตอ งการ’ และความหมายของรายงาน (ฮะดษี ) นี้กค็ อื ไขไ กจ ะขจดั ความตองการในการ รับประทานเนอื้ ใหห มดไป เพราะวา มนษุ ยเราบางครงั้ มคี วามอยากทจี่ ะรบั ประทานผักดองและ นํ้าสม สายชู และบางคร้งั กอ็ ยากจะรบั ประทานเนื้อยาง (กะบาบ) บางครั้งเราอยากรบั ประทาน เน้อื สัตว คําวา ‘รอกอ มนุ ’ ในสาํ นวนของทา นอิมาม (อ.) นน้ั สือ่ ความหมายเชน นี้ หมายความวา บุคคลใดก็ตามท่ีรสู กึ วา ตนเองมคี วามตอ งการทจี่ ะรับประทานเนอ้ื สตั ว แตไ มม คี วามสามารถทีจ่ ะ รบั ประทานมนั ได ดงั น้ัน ใหเ ขารบั ประทานไขไกแ ทน 2.ดวยมาตรฐานของวิชาการในปจจบุ นั (ดงั ทเ่ี ราไดก ลา วถงึ ไปแลว เกย่ี วกับปรมิ าณธาตุ อาหารตา งๆ ของไขไก) เนอ่ื งจากไขไกนน้ั มสี ารแอลบมู ีน (โปรตนี ชนดิ หนงึ่ ) ซึ่งเปนรากฐานสาํ คญั สําหรับโครงสรางของเซลลต างๆ มันมคี วามคลายคลงึ และมีสว นรว มกันกับเนื้อสัตว ทานอิมามซอ ดกิ (อ.) ไดกาํ หนดใหไ ขไ กเ ปน อาหารทใี่ ชทดแทนเนื้อสัตว โดยทานมไิ ดเปรยี บมนั กับน้ํามนั หรอื ไขมัน หรอื อาหารและผลไมอ ืน่ ๆ เลย ในคาํ รายงาน (ฮะดษี ) อีกบทหน่ึงมเี นอ้ื ความวา ผรู ายงานฮะดษี ไดก ลาววา : “ฉันไดโอด ครวญกบั ทา นอิมามริฎอ (อ.) เร่ืองการมีลกู มาก ทานอมิ าม (อ.) ไดกลาวกับฉนั วา “เจาจงขออภยั โทษ (อิสติฆฟาร) ตอ อลั ลอฮ และจงรับประทานไขไ กกบั หวั หอม” (79) (77) วะซาอลิ ุช ชีอะฮ, เลมท่ี 17, หนา 62. (78) บฮิ ารลุ อันวาร, เลมที่ 66, หนา 46. (79) บฮิ ารลุ อนั วาร, เลม ที่ 66, หนา 46.
“เราทราบดวี าในไขไ กน ั้นมผี ลอยา งมากตอ การเพ่ิมเลอื ด และดวยเหตนุ ีเ้ องจงึ กลา วกนั วา ไขมนั ของไขแดงประกอบดว ย คอเลสเทอรีน (Cholesterine) และ เลซิทนิ (Lecithin) ซง่ึ สารชนิด ท่ีสองนี้มปี รมิ าณ 8.9 เปอรเซ็นต และมผี ลอยางสูงในการเสรมิ สรา งพลังทางเพศและการสรา ง ตวั สเปรมิ ” (80) และพวกเขายงั กลาวอกี วา “เลซทิ นิ เปน อาหารของบรรดาเซลลประสาท มผี ลอยา งมาก ตอกรณที เี่ ลอื ดไปหลอเลี้ยงสมองนอยและความออ นแอของระบบประสาท แตมเี ง่ือนไขวาจะตอ ง เปน ไขไกทเี่ ลี้ยงตามชนบทมใิ ชไ ขไ กที่ถูกเลย้ี งมาโดยเครอ่ื งจักรกล หมายความวา จะตองไดรบั การ เลี้ยงดูโดยเมลด็ พชื และผกั มใิ ชจากกระดูกปน เลือด นา้ํ มันปลา และแอนตไ้ี ปโอตกิ (สารหรือยา ปฏชิ วี นะ)” (81) และพวกเขายงั กลาวอีกวา “การรบั ประทานไขไกม ากจนเกนิ ไป จะทาํ ใหเปน โรคตา งๆ เกีย่ วกบั หวั ใจและการแขง็ ตวั ของหลอดเลอื ดแดงไดโ ดยงา ย โดยเฉพาะกับผทู มี่ กี ารเคลือ่ นไหว รา งกายนอย” (82) นักการแพทยในยุคโบราณทา นหนงึ่ ไดอ ธบิ ายคณุ สมบตั ขิ องไขไ กไ วเ ชนนวี้ า “ปฏิกิริยาและคุณสมบตั ติ างๆ ของไขไกค ือ ไขแดงมคี ุณคาสูง มสี ารอาหารมาก มกี าก อาหารนอ ย และชวยบาํ รงุ หวั ใจ บาํ รุงสมอง บาํ รงุ รางกาย และเสริมสรา งพลงั ทางเพศ และมี คณุ คา ในการซอ มแซมสภาพของปอด กระเพาะอาหาร ลาํ ไส กระเพาะปสสาวะ การอกั เสบไตและ กระเพาะปส สาวะ และจะชวยบํารงุ กาํ ลงั ผทู ี่สญู เสียเลือดมากหรือออนเพลยี จากการถายเลอื ด” (83) 3.ในการอธบิ ายถงึ คณุ คา อกี ประการ ทา นอมิ ามซอดิก (อ.) ไดกลา ววา “ไขแดงเปนอาหาร ออ นและยอยยาก สว นไขข าวเปน อาหารหนกั และยอยยาก” (84) ขอใหเ รามาพจิ ารณาคาํ สนบั สนุนของนักวชิ าการทงั้ ในอดีตและปจ จุบนั ทกี่ ลา ววา “ไขแ ดง ยอ ยงา ยกวา ไขขาว” “ในปริมาณเดยี วกนั การรบั ประทานไขแ ดงดบิ นนั้ มคี ณุ คา แตการรับประทานไขข าวดบิ กลับมโี ทษ จาํ เปนทเี่ ราจะตอ งรบั ประทานไขข าวที่สุกสมบูรณแ ลวเทา นน้ั ” (85) มุฮมั มัด ซะกะรยี า รอซี แพทยผ ยู ิ่งใหญช าวอิหรา นไดก ลา ววา (80) เอาวะลนี ดอนชิ กอฮ, เลมที่ 10, หนา 248. (81) เอาวะลนี ดอนิชกอฮ, เลมท่ี 10, หนา 248. (82) เอาวะลีน ดอนิชกอฮ, เลมที่ 10, หนา 248. (83) มัคซะนลุ อัดวียะฮ, หนา 116. (84) บิฮารลุ อันวาร, เลม ที่ 66, หนา 47. (85) เอาวะลีน ดอนชิ กอฮ, เลมท่ี 10, หนา 251, 261.
“ไขข าวจะทาํ ใหเกิดเสมหะทห่ี ยาบและเหนยี วขน้ึ จึงจาํ เปนทีจ่ ะตองหลกี เลีย่ งจากมนั ไขข าวกบั นา้ํ สม สายชนู ้ันไมเ ขากัน มนั จะทาํ ใหเน้ือไขแ ขง็ และยากตอ การยอย ในทาง กลับกัน ไขแ ดงกบั นา้ํ นํ้าสม สายชูจะชว ยในการยอยสลายและการดูดซมึ ไขขาวกบั เกลอื และน้ํามนั มะกอกจะสรา งความสมดุลใหเกดิ ข้นึ และจะทําใหก ารยอ ยและ การขับถา ยเปน ไปดวยด”ี (86) เกลือ ‘เกลอื ’ หรอื ‘โซเดียมคลอไรด’ เปน สารอาหารทีใ่ นอิสลามไดส ัง่ เสียไวอ ยา งมาก ทา นศาสนทตู แหง อัลลอฮ (ศอ็ ลฯ) ไดก ลาววา “อาหารจะไมใหค ณุ คาทีส่ มบรู ณได เวน แต ดว ยสอ่ื ของเกลอื ” (87) เกลอื น่เี องทจี่ ะชว ยปรงุ แตงรสชาติของอาหารใหอรอย แตในความเปน จรงิ แลว มนั จะชว ย เพม่ิ คณุ คาใหแ กอ าหาร “นอกเหนอื จากการทดลองตา งๆ ทางดา นวทิ ยาศาสตร และการกอ ปฏกิ ริ ยิ าทางดาน ฟส ิกสของเกลอื ในรา งกายมนษุ ยแ ลว ปจ จบุ ันจากการทดลองคน ควา และวจิ ยั อยางละเอียดออ น มากกวา เดมิ ทําใหเ ราไดร บั รูถงึ ความจาํ เปนของเกลือทมี่ ตี อการดาํ เนนิ ชวี ติ ของมนษุ ย และในการ ทดลองตา งๆ ที่ไดป ฏบิ ตั กิ บั สัตวทงั้ หลาย จะพบวา ระยะเวลาเพยี งหนง่ึ เดอื นทเ่ี กลือไมไ ดเ ขาสู รางกายของสตั ว จะทําใหม นั เสียชีวิตลง ดวยเหตุนจี้ ึงสามารถกลาวไดว า เกลือหรอื โซเดยี วคลอ ไรดเ ปนสว นหนึง่ จากสารอาหารทมี่ ีความจําเปนอยา งยง่ิ ตอ ชวี ติ ของมนุษย” (88) โดยเฉพาะอยา งยงิ่ อิสลามไดส่งั เสียไวว า ใหใชป ระโยชนจ ากเกลือในขณะเริ่มตนและ หลังจากเสร็จส้นิ การรบั ประทานอาหาร ทานศาสนทตู แหง อัลลอฮ (ศ็อลฯ) ไดกลาวกบั ทา นอมรี ุลมอุ มนิ นี อะลี อบิ นอิ บีฏอลบิ (อ.) วา “เจา จงเรม่ิ ตน การรับประทานอาหารของเจาดว ยเกลือ และปดทายมันดวยเกลือ เพราะแทจ ริง ผใู ดก็ตามที่เรมิ่ ตน และปดทา ยอาหารของเขาดว ยเกลอื เขาจะปลอดภยั จากโรคภยั ตางๆ จงึ 72 ชนดิ สวนหนงึ่ จากมนั คือ โรควกิ ลจรติ โรคเร้ือน และโรคผิวดา ง” (89) (86) เอาวะลีน ดอนิชกอฮ, เลม ท่ี 10, หนา 251, 261. (87) ซะฟน ะตลุ บิฮาร, เลมที่ 2, หนา 545. (88) ฏอบบี คอเนวอเดฮ, (แพทยประจําบา น), ดร.มฮุ ัมมัด ฮูเซน ฮาญิบี, หนา 197. (89) ซะฟน ะตลุ บิฮาร, เลม ท่ี 2, หนา 545.
‘โซเดยี มคลอไรด’ (เกลอื ) เปนเกลือแรชนดิ หนงึ่ ทม่ี ีความจาํ เปน ตอ รางกาย และเกลือแร ชนดิ นจ้ี ะทาํ ปฏิกริ ิยาท่สี าํ คัญสองอยา งในรางกาย คอื ปฏิกริ ยิ าทางดา นเคมี และปฏิกิรยิ าทางดาน ฟสกิ ส ปฏิกริ ยิ าทางดานเคมี โซเดยี มคลอไรดจ ะสลายตัวในตอ มตางๆ ของกระเพาะอาหารและลาํ ไสเ ล็ก และจะสรา ง กรดคลอริกในกระเพาะอาหารซ่ึงมีลกั ษณะทีถ่ กู ทาํ ใหสลายตัวแลว ถา หากใหอาหารแกสตั วในชว ง ระยะเวลาหนงึ่ ซง่ึ นานพอสมควร โดยทอ่ี าหารนน้ั ปราศจากโซเดยี มคลอไรดห รอื สารคลอไรดอ่ืนๆ กระเพาะอาหารของมันจะไมหล่งั กรดคลอรกิ หรอื ในทางกลับกนั ถา หากใหโซเดียมคลอไรดหรอื สารคลอไรดอ่ืนๆ ในปรมิ าณมาก ในขณะยอ ยอาหารกรดคลอรกิ ในกระเพาะอาหารก็จะเพม่ิ มาก ขึน้ และปสสาวะจะมีสเี ขมเนอ่ื งจากสาเหตุดงั กลาวน้ี โซเดยี มคลอไรดจ ะทําใหเกดิ ความอยากอาหารมากขน้ึ (เน่ืองจากการผลิตกรดคลอริก) ธาตโุ ซเดยี มซง่ึ เปนผลิตผลจากการสลายตวั ของโซเดียมคลอไรด จะถกู นาํ ไปใชงานในตอมตางๆ ของกระเพาะอาหาร เพื่อสรา งการหลงั่ ตางๆ ของตบั ออ น ปฏิกริ ยิ าทางฟสกิ ส “ไดแ กการจัดระบบการสบู ฉดี ออสโมซิสระหวา งของเหลวตา งๆ กบั บรรดาเซลลในรา งกาย เน่อื งจากดว ยสาเหตทุ ีส่ ารอาหารตางๆ และนํา้ ขณะเขา สรู า งกายทาํ ใหเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าตางๆ ทางเคมี เปนไปไดท่ีจะทาํ ใหส ญู เสียความสมดุลของการสบู ฉดี ออสโมซิส และการสูญเสยี ความสมดุลของ ระบบออสโมซสิ น้จี ะทาํ ใหเ กดิ อันตรายตอ รางกาย ดว ยเหตนุ ้จี งึ จําเปนตอ งมีเกลือแรอ ยูใ นรา งกาย เพ่ือจะทําใหค วามสมดุลดังกลา วน้เี กิดขน้ึ ไดโ ดยงา ยดาย เกลือแรท ่จี ะปฏบิ ตั หิ นาที่ดังกลา วนจ้ี าํ เปนตอ งมคี ณุ สมบตั สิ องประการคือ ประการแรก โมเลกุลของมนั จะตอ งเบาบาง เพอ่ื ใหเ กดิ การเคลือ่ นตวั และการไหลซึมไดโดยงายดาย และอกี ประการหน่ึงคอื ตราบเทา ที่เปน ไปได มันจะตองไมเ ขาสกู ารปฏบิ ตั ิตา งๆ ทางเคมี โซเดียมคลอไรด (เกลอื ) คือเกลือแรชนิดหนง่ึ ท่ีมคี ณุ สมบัตสิ องประการนอี้ ยูในระดบั ทดี่ ี ท่ีสุด โดยทเ่ี มอ่ื ใดกต็ ามท่คี วามหนาแนน จากบรรดาของเหลวในรา งกายในดา นจาํ นวนของโมเลกลุ ไดลดนอยลง มนั ก็จะเขา มาแทนทีส่ ิ่งที่พรองไปเหลา นนั้ ทนั ที และถา หากความหนาแนนนมี้ ี ปรมิ าณมากขนึ้ มันก็จะถอนตวั ออกไป และโดยขนั้ ตอนดงั กลา วนเ้ี อง มนั จะทําใหการสูบฉดี ออสโมซิสดาํ เนินไปอยา งสม่าํ เสมอตลอดเวลา นอกเหนือจากปฏกิ ริ ยิ าสองประการดงั กลา วท่โี ซเดียมคลอไรดไดก ระทํา อาจคาคคะเนได วา มนั มีบทบาทในการปฏิบัติการตา งๆ ตอ การเผาไหมข องรา งกาย และการขับสารตา งๆ ท่ีเปน อันตรายอันเปน ผลมาจากการเผาไหมน น้ั การขบั ถา ยยเู รยี อะไมดตางๆ และสารอ่นื ๆ อกี
บางอยา ง จะถูกกระทําโดยไตซ่ึงอาศยั การชว ยเหลือของเกลือแรทีม่ ลี กั ษณะเปน ดาง โดยเฉพาะ อยางยงิ่ สารโซเดียมคลอไรด รา งกายของมนษุ ยม ีความตอ งการสารโซเดียมคลอไรดโดยเฉลีย่ วนั ละประมาณ 7-8 กรัม และปรมิ าณดังกลา วนเี้ ปน ไปไดทีจ่ ะเขา สรู า งกายดว ยการรับประทานอาหารตา งๆ แตใ นบางคร้งั อาหารดงั กลาวอาจไมเพียงพอตอรางกาย และจําเปน ที่เขาจะตองเพ่ิมมนั เขาไปในอาหารของตน” (90) จําเปน ทจ่ี ะตองกลาวยาํ้ วา คาํ แนะนาํ ในการรบั ประทานเกลอื กอ นและหลงั อาหาร สาํ หรับ ผทู ี่มสี ภาพปกตแิ ละมีสุขภาพรางกายทสี่ มบูรณ แตหากบุคคลใดท่ีมคี วามเจบ็ ปว ยในโรคบางอยา ง เปน การเฉพาะ ซงึ่ ไดถูกจาํ แนกแยกแยะแลววาเกลือเปน อันตรายสาํ หรับเขา จาํ เปน ทเ่ี ขาจะตอ ง ยับยงั้ ตนจากการรบั ประทานเกลือ จนกวา จะไดรบั การเยียวยารกั ษาจนสมบรู ณ จําเปน ตอ งกลา วยา้ํ อกี เชน กนั วา ตามคาํ แนะนาํ ของอสิ ลามทีใ่ หร ับประทานเกลือกอนและ หลงั อาหารนน้ั จะตองรบั ประทานในปรมิ าณที่เลก็ นอย หมายความวา จงอยา คดิ วา การ รบั ประทานเกลอื มากๆ จะทาํ ใหเกิดคณุ คา มากขนึ้ ซง่ึ ในความเปนจริงแลวสิ่งนน้ั จะนําอนั ตรายมา สูต นเอง เพราะในตวั ของอาหารตา งๆ นนั้ กม็ เี กลืออยใู นปรมิ าณหนงึ่ แลว ตอ ไปนจ้ี ะขอยกตวั อยา งอาหารตา งๆ ในปรมิ าณ 1 กโิ ลกรัม ตอปรมิ าณของเกลือในอตั รา เปน กรัม คือ นมสด 1.5 - 2 กรมั เนยสด 11 - 14 กรมั ไขไก 0.35 กรัม ปลานาํ้ จืด 0.48 กรมั ปลาทะเล 5 กรัม ถ่วั ลันเตา 0.68 กรมั ถั่วเหลอื ง 0.50 กรัม ถ่วั แขก 1.40 กรัม มันฝร่ัง 0.85 กรมั ขาวเจา 0.07 กรมั ผลไมตางๆ มปี ระมาณ 0.25 กรมั น้ําสม สายชูหมัก (90) เพเซชก คอเนวอเดฮ, หนา 200.
‘นํา้ สม สายชหู มกั ’ เกิดขึ้นจากผลของการหมกั เหลา องนุ หรืออนิ ทผลัมดว ยเชือ้ ราชนดิ หนง่ึ น้ําสม สายชหู มักประกอบดว ย กรดอะซติ ิก (Acetic acid) 7-8 เปอรเ ซ็นต และมกี รดเมลคิ (Malic acid) และกรดทารแ ทรกิ (Tartaric acid) ในปรมิ าณหนง่ึ ซง่ึ โดยรวมแลว ประมาณ 2-3 กรมั ใน 1 ลติ ร “กรดตางๆ ทก่ี ลา วไปจะชวยกระตนุ การดูดซึมของเซลลต างๆ ของตบั และน้ําดี ซงึ่ ผลของ มนั ก็คอื จะชวยยับยงั้ การมสี ารยูเรยี และไขมนั ในเลอื ดมาก” (91) ในทัศนะของอสิ ลาม นํา้ สม สายชหู มกั ถอื เปน นาํ้ แกงชนิดหน่งึ ซง่ึ ถกู เนน ย้าํ เปน อยา งมาก และเปนอาหารของบรรดาผูนําทางศาสนา มีรายงานจากทานอมิ ามซอดิก (อ.) ซงึ่ ทา นกลา ววา “ทา นอิมามอะลี (อ.) มีความคลายคลึงกบั ทา นศาสนทตู แหงอลั ลอฮ (ศอ็ ลฯ) มากที่สดุ ใน หมูมวลมนุษยใ นดานการรับประทานอาหาร ทา นมกั จะรับประทานขนมปง นํ้าสม สายชู และ นํ้ามนั มะกอกอยูเ สมอ ในขณะทท่ี า นแนะนาํ ใหประชาชนรบั ประทานขนมปง และเนอื้ สัตว” (92) ‘นา้ํ มนั มะกอก’ ถือวา เปน อาหารทมี่ ีความมหศั จรรยอ กี อยางหนึ่ง ซงึ่ เราจะกลา วถงึ ในสวน ของนํา้ มนั ทา นอมิ ามซอดกิ (อ.) ไดเลาวา ทานอมรี ลุ มอุ ม ินนี (อ.) ไดก ลาววา “นํ้าสม สายชูชา งเปน แกงท่ีดียงิ่ เสียนี่กระไร! มันจะทาํ ใหนา้ํ ดีแตก (เรียกนาํ้ ยอ ย) และจะทาํ ใหห วั ใจมีชวี ติ ชวี า” (93) ความสาํ คญั ของคาํ รายงานเหลา นีเ้ ปน ทีป่ ระจกั ษชดั ดวยความเจรญิ กา วหนา มากข้ึนของ วิทยาการและศาสตรตางๆ “หากเรารบั รวู า การหลงั่ สารตางๆ ของกระเพาะอาหาร มคี วามจาํ เปน อยางยงิ่ ตอการยอย อาหาร และการหลง่ั เหลา น้เี องทม่ี ผี ลตอ ธาตอุ าหารตา งๆ และมนั ทาํ ใหง ายตอ การดดู ซึมเขาสู รา งกาย และเชนเดียวกนั หากเรารูวา การทํางานของตับและการหลง่ั ของนาํ้ ดี จะทาํ ใหการปฏบิ ัติ หนา ที่และการหลัง่ ตางๆ ของกระเพาะอาหารเปนไปอยางสมบูรณ และจะดดู ซมึ สารอาหารได อยางสมบรู ณ และเชน เดียวกนั หากเรารตู ามสํานวนที่วา ตบั ขีเ้ กียจทํางาน ซงึ่ จะเปนสาเหตทุ าํ ใหเ กดิ ความเจ็บปว ยตา งๆ ขึ้นในรางกาย อยา งเชน ความเมื่อยลา อาการขมปาก และแมแ ตก าร คล่ืนเหยี นอาเจียรและอาการทองผกู เมอื่ ถงึ เวลานัน้ จะทาํ ใหเ ราไดป ระจกั ษถ งึ คุณคาตา งๆ ของ (91) เพเซชก คอเนวอเดฮ, หนา 177. (92) วะซาอิลชุ ชีอะฮ, เลม ท่ี 17, หนา 64. (93) วะซาอลิ ชุ ชีอะฮ, เลม ที่ 17, หนา 66.
นํา้ สมสายชหู มัก ท่จี ะชว ยกระตนุ การหลงั่ ตา งๆ ของกระเพาะอาหาร และจะทาํ ใหตบั ทาํ งานมาก ขึ้น และจะเปน สาเหตุของการหลงั่ น้ําด”ี (94) ในคําแนะนาํ ตา งๆ ของอิสลาม นาํ้ สม สายชหู มักนอกจากจะจัดวาเปนนา้ํ แกงสาํ หรับจ้ิม ขนมปง แลว ในคํารายงานอกี จาํ นวนมากยังไดเ นน ใหเร่มิ ตน และสน้ิ สุดการรับประทานอาหารดวย กับนา้ํ สม สายชหู มกั ทา นอมิ ามซอดิก (อ.) ไดก ลา ววา “นํา้ สมสายชหู มกั จะชว ยบาํ รงุ สมอง” (95) บรรดานกั วชิ าการทม่ี ีความเชี่ยวชาญทางดานสารอาหารมคี วามเชื่อวา จาํ เปน ตอ ง รับประทานนา้ํ สม สายชหู มักในปรมิ าณเลก็ นอยในทกุ ๆ วัน ซง่ึ ไมเ พียงแตจะชวยในการยอ ยอาหาร เทา น้ัน แตจ ะเปน สาเหตุทาํ ใหเ กดิ การขบั สารยเู รยี และการเผาไหมไขมนั ในเลือดอีกดว ย “โดยทั่วไปสลดั ในทุกประเทศทั่วโลก จะถกู ปรุงข้นึ ดวยนํา้ สม สายชหู มัก และเชน เดยี วกนั บรรดาผกั ดองชนดิ ตางๆ ทถ่ี กู ทาํ ขน้ึ โดยนํ้าสม สายชหู มักจะชวยในจุดประสงคด ังกลา วนเี้ อง” (96) ในคํารายงาน (รวิ ายะฮ) บทหน่งึ ทา นอมิ ามซอดกิ (อ.) ไดอ ธบิ ายถงึ คณุ สมบตั ิตา งๆ ของ นํา้ สมสายชหู มกั โดยกลาววา “นาํ้ สม สายชูหมกั จะทาํ ใหหวั ใจใสสะอาด” และทานกลา วอกี วา “น้าํ สม สายชหู มักจะทาํ ใหเ หงอื กแขง็ แรง และจะชวยฆา เชอื้ โรคตางๆ ในกระเพาะอาหารและจะชว ยบาํ รงุ สมอง” (97) นํ้าสมสายชหู มกั มีวธิ ที าํ 2 วธิ คี ือ 1.นาํ น้ําองนุ หรอื ลกู องนุ มาเทลงในภาชนะเคลือบดินเผา และใสเชอ้ื นํ้าสมสายชลู งไปใน ปริมาณเล็กนอ ย จากนนั้ ปด ปากภาชนะใหแนน ดวยปูนปาสเตอรและนําไปวางไวกลางแสงแดดท่ี รอ นจดั หลงั จากนนั้ เมอ่ื ถึงเวลามนั กจ็ ะกลายเปน นา้ํ สม สายชหู มกั 2.นาํ นาํ้ องุนใสลงไปในภาชนะกระเบอื้ งหรือภาชนะเคลอื บดนิ เผา และปดปากภาชนะให แนน แลว วางไวก ลางแสงแดดจนกระทั้งกลายเปน ไวน หลังจากทม่ี ันกลายเปน ไวนแ ลว ใหเ ท น้าํ สม สายชูปริมาณเล็กนอ ยลงไป แลว ปดฝาอกี คร้งั หนง่ึ หลงั จากนนั้ ไมน านมนั จะกลายเปน น้ําสมสายชู เชน เดยี วกนั น้ี นํา้ สมสายชหู มกั สามารถทําไดโดยหนทางของอิสตฮิ าละฮ (การเปล่ียน สภาพ) หมายความวา หลงั จากท่ีมนั ไดก ลายเปน ไวนแลว มนั จะกลายเปน น้าํ สม สายชูดว ยตัวของ มนั เองโดยไมต องเตมิ นา้ํ สม สายชูลงไปอกี (94) เพเซชก คอเนวอเดฮ, หนา 177. (95) ซะฟนะตุล บิฮาร, เลม ที่ 1, หนา 424. (96) เพเซชก คอเนวอเดฮ, หนา 178. (97) วะซาอลิ ชุ ชีอะฮ, เลมที่ 17, หนา 69.
ในคาํ พดู ของทา นอมิ ามซอดิก (อ.) ทกี่ ลาววา ‘น้ําสม สายชหู มกั ’ นัน่ คือน้าํ สม สายชทู ไ่ี ด จากการกระทาํ ในสองวธิ นี ้ี ในสวนทา ยนจี้ าํ เปนตอ งกลา วถงึ ประเดน็ ทสี่ ําคญั อกี ประเด็นหนงึ่ นนั่ ก็คือ นา้ํ สม สายชู หมกั จะเปน ตวั ปอ งกนั ความเจบ็ ปวยตา งๆ ท่ีอาจจะเกดิ ข้ึนกบั ผทู ม่ี สี ขุ ภาพรา งกายทป่ี กติ แตหาก ผปู วยทแ่ี พทยไ ดห ามเขารบั ประทานนาํ้ สม สายชหู มกั เขาจะตองไมรบั ประทานมนั ดังน้นั หากเขา รับประทานมนั คณุ ประโยชนจ ากความเปน เปนสงิ่ ทีส่ มควรรับประทาน (มุสตะฮับ) ทก่ี ลา วมา ขา งตน จะไมเ กิดข้ึนกับเขา.
หมวดที่ 3 ผลไมตางๆ หมวดท่ี 3 ของหนงั สือนี้คือเรอ่ื งของ ‘ผลไม’ ความสาํ คัญทอ่ี ิสลามไดก ลา วถงึ เกี่ยวกับเรือ่ ง ของผลไมนั้นมมี ากกวา อาหารประเภทอนื่ ในคัมภีรอ ัล กุรอาน มีโองการมากมายท่ีกลา วถงึ ชื่อของ บรรดาผลไมไ วโ ดยรวม และไดก ลาวถงึ ผลไมเ หลา น้ันวาเปน หลกั ฐานบงบอกถงึ ความยิ่งใหญของ พระผูทรงสรา ง และบางโองการก็กลา วถงึ ช่ือของผลไมไ วอ ยา งเจาะจง บางโองการกลาวถงึ ผลไมทงั้ โดยรวมและชือ่ เฉพาะของมันไว ดงั โองการตอไปนี้ “และพระองคค ือผูทรงบันดาลสวนตา งๆ ซ่ึงมที ง้ั ไมเ ลือ้ ยและมิใชไ มเ ลอื้ ย และ (ทรงบนั ดาล) ตนอินทผลมั และพืชไร ท่ีผลของมนั แตกตางกนั รวมทง้ั ซยั ตูน (ตนมะกอก ชนดิ หนึง่ ) และตน ทบั ทมิ มที ั้งลักษณะท่คี ลา ยคลงึ กันและไมค ลา ยคลงึ กนั พวกเจา จง รับประทานจากผลของมนั เถดิ เมอื่ มันออกผล…” (อลั อนั อาม/141) ในโองการนี้ไดก ลาวถงึ อนิ ทผลัมและพชื ตา งๆ (เชน ขา วเจา ขา วสาลี ขาวบาเลห เปน ตน) มะกอกและทบั ทมิ จําเปน จะตองรบั รูไวอ ยางหน่งึ วา บรรดาผลไมท ่ชี ื่อของมันถกู กลา วไวในคัมภีร อัล กรุ อาน เปน ผลไมท่ีมคี ณุ คาทางอาหารสงู สง ยงิ่ นัก ซงึ่ ผลไมอ ่นื ๆ ไมอาจเทียบไดเลย ความสาํ คัญของผลไมใ นมุมมองของทา นศาสดาแหงอสิ ลาม (ศอ็ ลฯ) ชางมากมายยิง่ นัก ซึ่งปรากฏในคาํ รายงานบทหนงึ่ วา เม่อื ผลไมสดๆ ถกู นาํ มามอบใหทา นศาสนทูตแหง อัลลอฮ (ศอ็ ล ฯ) ทานจะจบู มันและวางมันลงบนดวงตาทงั้ สองของทาน และทา นจะกลาววา “โออ ัลลอฮ! พระองคไ ดทรงใหเ ราไดเ หน็ ในชว งเริ่มตนของมนั ดงั นน้ั โปรดทาํ ใหพ วกเราไดเ หน็ ชวงทายของมนั ดว ยเถดิ ” (1) จากคํารายงาน (ริวายะฮ) บทน้ี เราไดร ับรู 2 ประเด็นสาํ คัญคือ 1.การใหเกยี รตติ อความโปรดปราน (เน๊ยี ะอมตั ) ตา งๆ ของพระผูเปน เจา ทง้ั นี้เนอ่ื งจาก พระเดชานุภาพ (กุดเราะฮ) และความรอบรขู องพระผูเปนเจา ไดถกู สาํ แดงออกมาอยา งสมบรู ณใ น ผลไมแตละชนิด จากตน ไมท แี่ หงเหย่ี ว (ในฤดูแลง ) ระยะเวลาผานไปเพียงไมก เ่ี ดอื น มนั ไดใ หผลท่ี สวยสด มีสีสรรท่ีสวยงาม และมีกลน่ิ ทหี่ อมหวนชวนรบั ประทาน 2.ความสาํ คัญและความยงิ่ ใหญข องผลไมใ นดา นของสารอาหารและคณุ คา ตางๆ ของมนั ที่มตี อสุขภาพพลานามยั และการรกั ษาความหนมุ แนนของมนษุ ยไ ว (1) บิฮารุล อนั วาร, เลมท่ี 66, หนา 119.
เปนสงิ่ ท่ดี ที เี ดียวทเี่ ราจะรับรถู งึ บทบาทสาํ คญั ของผลไมที่มีตอ สขุ ภาพของมนษุ ย จาก คาํ พดู ของนายแพทยท ่ีมีความเชีย่ วชาญในเรือ่ งโภชนาการทา นหนงึ่ คอื ดร.โอโตคารก ซงึ่ ไดก ลา ว วา “เงินทกุ บาททกุ สตางคท ่ีทา นทงั้ หลายไดใชจ า ยไปในการซ้อื ผลไมตา งๆ นน้ั มนั คือตน ทนุ ที่ ถูกเก็บรักษาไวเปนอยางดี และจะชวยเพม่ิ ภมู ติ า นทานโรคตางๆ ใหแ กทาน พวกทา นอาจจะกลา ว วาผลไมต า งๆ มรี าคาแพง แตขา พเจา ขอถามพวกทา นวา แลว ยารักษาโรคเลา! ราคาเปน อยา งไร?” (2) ผลไมค ือแหลงของเกลือแร ในบรรดาผลไมน้นั มีสารอาหารประเภทตา งๆ ทใ่ี หป ระโยชนต อรา งกายของเราอยูมาก ทีเดียว ตวั อยา งเชน 1.ธาตเุ หล็ก : ธาตุเหล็กของผลไม มีบทบาทสาํ คญั ในการสรา งเมด็ เลอื ดแดงในกรณขี อง การขาดเลือดและโรคโลหิตจางของสตรี และเมือ่ เปรยี บเทยี บกับธาตุเหล็กทม่ี อี ยใู นเนอ้ื สัตวและไข แลว ยังมีจุดเดน กวา ตรงทมี่ โี ปรตนี จําพวกแอลบูมนิ (Albumin) (3) อยใู นปรมิ าณสูง จงึ ไมทาํ ใหเกดิ ความผดิ ปกตใิ นรางกาย 2.แคลเซยี ม : แคลเซียมเปน สารอาหารท่ใี หค ณุ ประโยชนต อ รา งกายในการเสรมิ สราง กระดูก และเปน สิ่งจาํ เปน สาํ หรับโรคชนิดตางๆ เชน วณั โรค ฝห นองตา งๆ โรคมะเร็ง การอักเสบ และการติดเชอ้ื ของตอ มตางๆ และสารอาหารท่ีมีอยมู ากในผลไมค อื แคลเซยี มนน้ั เปนท่ีตอ งการ ของรางกาย 3.ฟอสฟอรัส : ฟอสฟอรสั คอื สารอาหารชนิดหนึ่งซงึ่ เปน ส่ิงจาํ เปน อยา งมากตอสมองและ พลังงานของกลามเนอ้ื ตา งๆ และจะชว ยตา นทานโรคตางๆ เกย่ี วกับระบบประสาท ทานโปรเฟสเซอรบูชาร ไดก ลา ววา “หากปราศจากฟอสฟอรสั เซลลตางๆ กไ็ มส ามารถ เพ่มิ จาํ นวนและเจริญเติบโตได” 4.แมกนเี ซียม : แมกนีเซยี มเปน สารอาหารทมี่ อี ยมู ากในผลไม และการมีอยขู องมันจะ ชวยทําใหกระเพาะและลาํ ไสต า งๆ ปฏิบัตหิ นา ที่ของมนั และจะชว ยทําใหการยอ ยสลายอาหารงา ย ข้นึ และดีขน้ึ จะชว ยในการจดั ระบบการทาํ งานของประสาทสว นตา งๆ และจะชวยยบั ยง้ั โรคมะเรง็ 5.โปรแตสเซยี ม : โปรแตสเซียมจะชว ยเสริมสรางความเขมแขง็ ใหกบั หัวใจ และชว ยใหม ี การขบั ถายปส สาวะไดม ากข้ึน จะชวยทาํ ใหการทาํ งานของลําไสตางๆ เขมแขง็ และมีการขบั ถา ยท่ี (2) ซบั ซีฮอ วา มีเวฮฮ อเย ชะฟาบัคช, หนา 118. (3) โปรตนี ชนิดหน่ึงท่พี บในไข นม เนอ้ื สัตว ซง่ึ จําเปน ตอ การเจริญเติบโตของรางกาย (ผูแ ปล).
ดี คนจีนและคนญ่ีปนุ จะรับประทานขา วเจากนั มาก ดังทีพ่ วกทานทง้ั หลายกท็ ราบดีวา ขาวเจานน้ั มี ธาตุโปรแตสเซยี มอยู ดว ยเหตนุ พี้ วกเขาจงึ ไมค อ ยประสบกับปญ หาโรคเกาตแ ละโรคมาตสิ ซึม 6.โซเดียม : ธาตโุ ซเดยี มจะชวยจดั ระบบการทาํ งานตา งๆ ของลําไส 7.กาํ มะถัน : สารกํามะถนั จะชว ยฟอกเลือดใหส ะอาดและตานทานการติดเชือ้ และมี ประโยชนใ นการปอ งกนั การติดเช้อื ภายในรา งกาย โรคผวิ หนงั ตา งๆ และโรคหลอดลมอกั เสบ 8.ซิลิคอนไดออกไซด : จะชว ยทาํ ใหกระดกู และเสนเลือดตา งๆ เกดิ ความแขง็ แรง ทาํ ให ระบบการไหลเวยี นของเลือดดาํ เนินไปดว ยดี และจะชว ยรักษาโรคกระดกู ออ นและการแข็งตัวของ เสน เลอื ดใหญ 9.ไอโอดีน : มคี วามจาํ เปน ตอ การทาํ งานของตอมตา งๆ และการหลงั่ ภายในรา งกาย โดยเฉพาะอยา งยงิ่ การหลง่ั ของตอมไทรอยด ไอโอดีนจะตานทานโรคลักกะปด ลกั กะเปด และจะ ชว ยขบั ถา ยปส สาวะไดมากข้นึ และจะชว ยเยยี วยารกั ษาโรคเกี่ยวกบั ตอมน้ําเหลอื ง โรคกระดูก ออน โรคหนองใน โรคเกาต และโรคโรมาตสิ ซมึ 10.อารซะนคิ (สารหน)ู : อารซะนคิ จะใหพ ลังงาน จะชว ยยับย้ังวณั โรค เมอื่ รางกายเกิดมี อาการไขต ัวรอน ธาตุเหลก็ และเกลอื แรต า งๆ ในรา งกายจะถกู ทาํ ลายไปมาก ดว ยเหตุนผี้ ทู เ่ี ปน โรค ไขไทฟอยดหรอื อดี ําอีแดง (Scarlet) พวกเขาจําเปน ตองกนิ ผลไมใหมากๆ 11.นาํ้ ตาล : นา้ํ ตาลทม่ี อี ยใู นอาหารจาํ พวกผลไมแ ตกตางจากน้ําตาลโดยทว่ั ไปและเปน ส่ิงทด่ี ีกวา มาก นา้ํ ตาลของผลไมมคี วามจําเปน อยางมากในการเสรมิ สรางพลงั งานใหแ กก ลามเน้อื ตางๆ ของเรา นาํ้ ตาลของผลไมประกอบดว ย ‘คลโู คส’ และ ‘ลูโลส’ ซง่ึ จะถกู ยอ ยสลายและถกู ดดู ซึมเขาสรู า งกายโดยตรง และมนั ไมเ หมอื นกับนา้ํ ตาลโดยทวั่ ไป “น้ําตาลของผลไมเปนทีอ่ นญุ าตสาํ หรบั บคุ คลท่ีตอ งงดเวน (จากอาหารตางๆ) เพราะ นาํ้ ตาลประเภทน้ีเปน สงิ่ ท่ีมปี ระโยชนต อ พวกเขา” (4) จงอยาปลอกเปลอื กของผลไม คําสอนอนั สงู สง ของอสิ ลามอีกประการหนงึ่ ภายหลังจากทก่ี าลเวลาไดผา นพน ไปนับสบิ ศตวรรษ บรรดานกั วชิ าการจงึ ไดค น พบปรชั ญาและวทิ ยปญ ญาของมนั นนั่ คอื การไมปลอกเปลอื ก ของผลไม ขอนาํ ตัวอยา งหนง่ึ จากคําพดู บรรดาผูน ําผบู ริสุทธ์ิแหง อสิ ลามมาเสนอเพื่อใหท า นผูอา น ไดประจักษ ทา นอมิ ามซอดกิ (อ.) ไดเ ลาถึงจรยิ วัตรของบิดาของทา น คือทา นอมิ ามบากริ (อ.) โดย กลาววา “ทานรังเกียจทจ่ี ะปลอกเปลือกของผลไม” (5) (4) ซับซีฮอ วา มีเวฮฮ อเย ชะฟาบัคช, หนา 119.
เนอ่ื งจากเปลอื กของผลไมตอ งเผชิญกับอากาศและแสงแดดอยตู ลอดเวลา มนั จงึ มวี ติ ามนิ ตางๆ ในปริมาณทมี่ ากกวา เนื้อของมนั โดยเฉพาะวิตามนิ เอ “ในอกี ดา นหนงึ่ เปลือกของผลไมมี ‘ไดอสั เทส’ (Diastase) อยูหลายชนดิ และหนึ่งในนน้ั กค็ ือ ‘เอนไซม’ ชนิดหนงึ่ ซึง่ จะเปลย่ี นสารอาหารชนดิ หนงึ่ ไปเปนอกี ชนดิ หนง่ึ ในลกั ษณะเชนน้ี เปน ไปโดยธรรมชาตจิ ากการชวยเหลือของไดอสั เทสชนิดตางๆ ท่รี วมอยูใ นเปลอื กของผลไม จึงทํา ใหเ นอ้ื ของผลไมสามารถยอ ยสลายและดดู ซมึ ไดงาย ดวยเหตนุ หี้ ากเราปลอกเปลือกผลไมทง้ิ ไป เทา กบั เรานั้นไดท ําในสง่ิ ที่เปน ความผิดพลาดอยางมหนั ต” (6) จงลา งผลไม คาํ แนะนําสงั่ สอนอีกประการหนง่ึ ของอิสลาม คือการลางผลไมก อ นการรบั ประทาน จาก การพัฒนาการในดา นความรู ในแตละวนั ความล้ลี ับในหลกั คําสอนของอิสลามกจ็ ะถกู เปดเผยขึ้น และจะเปน เครือ่ งพิสจู นถ ึงความยิง่ ใหญของผนู าํ อสิ ลามตอบรรดาชาวโลกทัง้ มวล สวนหนงึ่ จากคาํ พูดของบรรดาผูนาํ ผบู รสิ ทุ ธ์ขิ องอิสลาม เกยี่ วกบั การลางผลไมก อ นการ รบั ประทาน คอื คําพดู ของทา นอิมามซอดกิ (อ.) ที่กลา ววา “สําหรบั ผลไมท ุกชนดิ นนั้ มพี ษิ ดังนน้ั เมอ่ื ทานทงั้ หลายไดรบั มันมา พวกทา นจงทําความ สะอาดมนั ดว ยน้าํ หรือจุมมนั ลงไปในนาํ้ ” (7) “บรรดาผลไมท ี่วางขายอยูตามรา นขายผลไม หรอื ตามขา งทางสญั จรไปมา เปน ไปไดว า อาจเปรอะเปอ นไปดวยเชื้อโรคตางๆ เช้อื โรคจํานวนมากจะอยเู ฉพาะท่เี ปลอื กของผลไม โดยจะไม ผานเปลือกเขาไปสเู นื้อในของมนั ดังนนั้ หากเรานาํ ผลไมตางๆ ที่เราซือ้ มาจากตลาดไปลา ง เรากจ็ ะปลอดภยั มากกวา และ ย่งิ ไปกวา นนั้ หากผลไมเ หลา นัน้ ถกู ฉดี พน สารเคมี การลา งกจ็ ะทาํ ใหสารพษิ เหลา นนั้ ถูกขจัด ออกไปจนหมด” (8) บรรดาผลไมส วรรค ‘ผลไมส วรรค’ นนั้ มหี ลากหลายชนิด แตล ะชนิดมีคุณคา ทางอาหารเฉพาะตวั ของมัน แต ทา มกลางผลไมท ั้งหมดเหลา น้ี มีบางชนดิ ทม่ี ีคุณคาทางดา นโภชนาการและมสี ารอาหารทีจ่ ําเปน (5) บิฮารลุ อนั วาร, เลมท่ี 66, หนา 116. (6) ซับซฮี อฮ วา มเี วฮฮอเย ชะฟาบคั ช, ลโิ อเนส คารล ิเยฮ, หนา 126. (7) บิฮารุล อนั วาร, เลม ที่ 66, หนา 118. (8) ซับซีฮอฮ วา มเี วฮฮ อเย ชะฟาบคั ช, หนา 126.
ตอชีวติ มนุษยม ากกวา อิสลามไดใหค วามสําคญั ตอผลไมดังกลาวน้ีเปนอยางมาก และแนะนาํ ให รูจกั ในฐานะ ‘บรรดาผลไมแ หง สวรรค’ ทานอมิ ามซอดกิ (อ.) ไดก ลาวเกยี่ วกับเรอ่ื งนวี้ า “หา ชนดิ จากผลไมส วรรคซง่ึ มอี ยใู นโลกนี้ (ดนุ ยา) คอื ทบั ทมิ , แอปเปล , ซะฟร ญลั ,(9) องนุ และอนิ ทผลัม” (10) และเชน เดยี วกนั ในคมั ภรี อ ลั กรุ อานก็ไดก ลาวถงึ ผลไมเ หลานไี้ ว รวมทงั้ ‘ซัยตูน’ (มะกอก) และ ‘มะเดอื่ ’ เพอ่ื ทจ่ี ะอธบิ ายถงึ คุณคาทางอาหารของผลไมเหลา นี้ จะขอเรมิ่ ตน ดว ยทบั ทิมซง่ึ ก็ เปนสว นหนง่ึ จากผลไมสวรรค ทบั ทิม (Pomegranate) ‘ทับทมิ ’ เปนผลไมที่มชี อ่ื ทางวทิ ยาศาสตรว า ‘Punica granatum’ มชี ื่อภาษาอาหรับวา ‘รุมมาน’ และภาษาฮบิ รู (อิสราเอล) วา ‘รมี นู ’ ถ่ินกําเนดิ ของมันบางคนเช่อื วา อยูในประเทศอหิ รา น แตป จ จุบนั สามารถพบไดท วั่ ไปในประเทศตางๆ ทว่ั โลก มีถน่ิ กาํ เนดิ ทยี่ าวนานในประเทศอหิ ราน เมื่อประมาณ 4,000 ป สว นประกอบตา งๆ ของผลทบั ทิม “ในผลทบั ทมิ มปี ริมาณของนาํ้ อยู 74 เปอรเซน็ ต มเี มลด็ อยรู ะหวา ง 60-66 เปอรเ ซน็ ตของ ผลทบั ทมิ และ 80-85 เปอรเซน็ ตข องผลทบั ทิมน้นั เปน น้ําหรอื น้าํ หวานของผลทบั ทมิ ดว ย อตั ราสวนดงั กลา วนี้ 50 เปอรเ ซ็นตของผลทบั ทมิ จึงเปนนา้ํ ของมนั นํ้าหนกั เฉพาะของนาํ้ ในผล ทับทมิ โดยเฉลยี่ แตล ะลกู มีประมาณ 151 กรมั และใน 1 กิโลกรมั ของนา้ํ ทบั ทมิ มสี ารละลายอยู ประมาณ 145 กรัม ซึง่ ไดแก กลูไซด โปรตนี ลิปค กรดสําคญั ตางๆ (Organic acid) กรดแทนนนิ วติ ามนิ ชนิดตา งๆ และเกลือแร ในผลทบั ทมิ ทมี่ ีรสหวาน ใน 100 กรมั จะมีคลูโคสประมาณ 9-10 กรัม และในผลทบั ทมิ ท่ี มรี สเปรี้ยวอมหวาน จะมคี ลโู คสประมาณ 7-8 กรมั และผลทับทมิ ในแถบภาคเหนือของอิหรา นทม่ี ี รสเปร้ียว จะมคี ลูโคสประมาณ 4-5 กรมั …กรดตางๆ ทม่ี อี ยูใ นผลทบั ทมิ ไดแก ‘กรดทารเ ทริก’ (ซ่ึง จะชว ยใหเกิดการหลงั่ ไดด ใี นตบั ออน) ‘กรดซาลิซีลกิ ’ ซ่งึ มีอยูในผลไมส กุ โดยทั่วไป (ซ่ึงชวยในการ หลัง่ นา้ํ ยอยและทาํ ใหเ จริญอาหาร) ในนาํ้ ทับทมิ ทมี่ รี สหวานปรมิ าณ 1 ลิตร จะมีกรดทารเ ทริก 6 กรัม ในนาํ้ ทบั ทมิ รสเปรย้ี ว อมหวานมปี รมิ าณ 12 กรมั และทับทมิ รสเปรย้ี วมี 37.5 กรัม… (9) ผลไมข นาดเล็กของตน ไมจ าํ พวก Cydonia oblonga คลา ยมะตมู (quince). (10) อัล คอซอล, เชคซดุ ูก, เลมท่ี 1, หนา 289.
ในนาํ้ ทบั ทิมทมี่ รี สหวานจะมีกรดแทนนิน 0.014-0.017 กรมั เน่ืองจากกรดแทนนินมี คุณสมบัติในการหดตัว จงึ จะถกู นาํ มาใชในกรณขี องการตกเลอื ดในรูปแบบตางๆ อาการทอ งเดนิ ทัง้ แบบธรรมดาหรอื มีเลือดออกในแตล ะวนั ประมาณ 1-4 กรมั นอกจากนใี้ นกรณีของโรคผวิ หนงั ตา งๆ โดยเฉพาะแผลทมี่ ีนาํ้ เหลือง และอาการเหงื่อออก มากตามผิวหนงั ใหใ ชในรูปของยาทา ปริมาณของวติ ามนิ ซที ีม่ ีอยใู นนา้ํ ทับทิมรสหวาน 1 ลติ ร มีประมาณ 15 มิลลกิ รัม และ หากเกบ็ ผลทบั ทมิ ไวน าน ปรมิ าณของมนั ก็จะลดนอยลงไป…” (11) คุณคา ของทบั ทิม บรรดาผูน าํ ผบู ริสทุ ธิ์ (อ.) ไดเ นน ยาํ้ เกย่ี วกบั การรบั ประทานผลทับทมิ ชนิดตา งๆ ไวอ ยา ง มากมาย (ไมว าจะเปน ชนิดหวาน ชนดิ เปรยี้ ว และหวานอมเปรย้ี ว) ซงึ่ ไมเ คยมปี รากฏในผลไม ประเภทใดเลยทจ่ี ะถกู เนน ยา้ํ ถึงเพียงนี้ ในคาํ พูด (ฮะดีษ) บทหนง่ึ มีรายงานมาจากทา นอมิ ามซอดกิ (อ.) ซึ่งทานไดกลาววา “ทาน ทงั้ หลายจงรบั ประทานทบั ทมิ เถดิ ! เพราะแทจ รงิ นนั้ ไมม ีผูหวิ โหยคนใดรับประทานมัน นอกเสยี จากมนั จะสรา งความพอเพียงแกเขา และไมมีผูทอ่ี ม่ิ หนาํ คนใดรับประทานมนั นอกเสียจากจะทาํ ใหเ ขาอยากรบั ประทานมนั อีก” (12) จากคํารายงาน (รวิ ายะฮ) บทนี้ ไดก ลาวถงึ คณุ คา 2 ประการของทบั ทมิ คือ 1.เม่อื พจิ ารณาถึงสารอาหารตางๆ ถือไดวาทบั ทมิ เปน ผลไมที่ใหพลังงานสงู และทน่ี า ประทบั ใจก็คอื ทา นอมิ ามซอดิก (อ.) มไิ ดก ลา ววา ทับทิมจะทาํ ใหผ ทู ่หี วิ รสู ึกอิ่ม ซง่ึ เราเองก็ทราบดี วา ทบั ทมิ นนั้ ไมอาจทาํ ใหผ ูใดอ่มิ ได แตท า นอิมาม (อ.) ไดกลา ววา มันจะทาํ ใหเ กดิ ความเพยี งพอ หมายถงึ มนั จะตอบสนองความตอ งการตา งๆ ทางดา นโภชนาการจากสารอาหารตางๆ ทมี่ ันมอี ยู 2.ทับทมิ ทาํ ใหเ กิดความอยากอาหาร หากมนั ถูกรับประทานกอนอาหาร มันจะทําให มนษุ ยเ รารสู ึกหวิ และอยากทจ่ี ะรับประทานอาหาร “ทีม่ ีการพูดกนั มาตง้ั แตโ บราณวา ทับทมิ มบี ทบาทในการฟอกเลือดนนั้ เปน เพราะ (ใน ทับทมิ ) มโี ปรแตสเซยี มและแมกนเี ซยี ม และเน่อื งจากมันจะชว ยทําใหเ ซลลต างๆ ของตับทาํ งาน ไดดียง่ิ ขึน้ จงึ มีผลในการปอ งกนั การทาํ งานที่ผิดปกติของตบั และมบี ทบาททีส่ าํ คญั ในการขจดั ยู เรีย, คอเรสโตรอล และสารพิษตา งๆ และการสรางความสมดลุ ใหแกของเหลวตา งๆ ในรางกาย (11) สรปุ จากหนังสือ เอาวะลนี ดอนิสกอฮ, เลม ท่ี 9, หนา 58. (12) วะซาอิลชุ ชีอะฮ, เลมที่ 17, หนา 119.
โดยเฉพาะอยา งยง่ิ ในเลอื ด การรบั ประทานทบั ทิมทด่ี คี วรรบั ประทานกอ นอาหาร เพอ่ื ใหเกดิ ความ อยากอาหาร” (13) และจากทศั นะดังกลาวน้ี ทา นอมิ ามรฎิ อ (อ.) จงึ ไดกลาววา “การรับประทานผลทบั ทิมจะ เพ่มิ นาํ้ เชือ้ (สมรรถภาพทางเพศ) ของผชู าย และจะทาํ ใหล ูกมีลกั ษณะ (ใบหนา ) ทสี่ วยงาม” (14) คุณคา อีก 2 ประการของทบั ทิม ทไี่ ดถ กู กลา วถงึ ในคาํ พดู ของทานอมิ ามรฎิ อ (อ.) คอื 1.การเพม่ิ สมรรถภาพทางเพศ 2.ทําใหเ ด็กทถี่ อื กําเนดิ ข้นึ มามบี คุ ลกิ ลักษณะทดี่ ี เก่ียวกบั กรณขี องการเพมิ่ สมรรถภาพทางเพศไดกลาวกนั วา “เนอื่ งจากบรรดาเกลือแรข อง น้ําทับทมิ มีลกั ษณะทป่ี ระกอบไปดว ยสารอาหารทเ่ี ปน ปจจัยพนื้ ฐานจงึ ดดู ซึมไดอยา งรวดเร็ว และ จะถูกนาํ ไปใชใ นภาวะของโรคกระดูกออน อาการเลือดนอย ระบบประสาทออนแอ และการ เสรมิ สรางสมรรถภาพโดยรวมของรา งกาย” (15) ความสมั พันธของทับทมิ ทมี่ ีตอ ความสวยงามของบุตร เราไดท ราบไปแลววา ทบั ทมิ นนั้ จะชว ยในการฟอกเลอื ด ขจัดการชะงกั งนั ในการทาํ งาน ของตบั และจะชวยขจัดคอเรสโตรอลและสารพิษตางๆ ในรา งกาย ในทาํ นองเดยี วกนั เราไดรับรวู า ผวิ หนังของคนเราคอื กระจกเงาที่สะทอนใหเ หน็ ภาพทง้ั หมดของตบั ดวยเหตนุ ้เี องทับทมิ จงึ ทาํ ให ใบหนา ดูมีนาํ้ มนี วลและสวยงามไดม ากกวา ส่ิงอนื่ ทงั้ หมด คุณคา อกี ประการหน่งึ ของทบั ทมิ ที่ไดร บั การอธบิ ายจากคํารายงานและคาํ พูดของบรรดา ผนู าํ ทางศาสนาผบู รสิ ทุ ธิ์ คอื การขจดั ความแข็งกระดางของล้ิน อาการแนนเฟอในกระเพาะอาหาร ภาวะตบี ตนั ของหวั ใจ และการขจดั ความทุกขกงั วลและความเศราซมึ ใหหมดไป ชายผหู นงึ่ มนี ามวา ‘ฮาริษ บินมุฆีเราะฮ’ ไดก ลาววา ฉนั ไดรอ งทกุ ขต อ ทา นอมิ ามซอดิก (อ.) ถึงความอึดอัดท่ีมันเกดิ ข้นึ กับหวั ใจของฉัน และอาการแนน เฟอ (อาหารไมย อ ย) อยางรุนแรง จากการรบั ประทานอาหารของฉนั ดงั น้ัน ทา นอมิ าม (อ.) จึงชไ้ี ปทผ่ี ลทบั ทมิ ซง่ึ อยูขางหนา ทา น พรอมกบั กลา ววา “จงรับประทานทับทมิ หวานนี้เถดิ ! และจงรับประทานมนั พรอ มกบั เนอ้ื เย่อื บุ (บางๆ ท่อี ยู ระหวา งเมล็ด) ของมนั เพราะแทจ รงิ มนั จะชว ยฟอกกระเพาะอาหารใหส ะอาด จะชว ยเยยี วยา รักษาอาการจกุ เสียดแนน เฟอ และจะชวยยอ ยอาหาร” (16) (13) เอาวะลนี ดอนชิ กอฮ, เลม ที่ 9, หนา 56. (14) วะซาอลิ ุช ชีอะฮ, เลมท่ี 17, หนา 121. (15) เอาวะลีน ดอนิชกอฮ, เลม ท่ี 9, หนา 60. (16) วะซาอิลชุ ชีอะฮ, เลมที่ 17, หนา 123.
จากนขี้ อใหเรามาเปรยี บเทยี บคําพดู ของทา นอิมาม (อ.) กบั คุณสมบตั ติ า งๆ ของผลทบั ทมิ ตามที่ไดแยกแยะสว นประกอบตา งๆ ของมันไปแลว แตก อนท่ีจะเปรียบเทยี บจาํ เปน ตอ งตระหนกั วา ทา นอมิ ามซอดกิ (อ.) ไดกลา วถึง คุณสมบตั ิ 3 ประการตอ ไปนี้ของทบั ทิม คือ ทาํ ใหการยอยอาหารเปน ไปไดอ ยา งงา ยดาย ชว ยขจดั ความแนน เฟอ ในกระเพาะอาหาร และทาํ ใหห วั ใจเกิดความสวา งไสว (เกดิ ความสบายใจ) “กรดทารเทรกิ (Tartaric acid) (ซึง่ มีอยใู นปริมาณทพ่ี อเพียงในผลทบั ทิม) จะทาํ ใหก าร หลงั่ ตา งๆ ของตับออ นเพิ่มปริมาณมากขนึ้ จะชว ยเผาผลาญนํา้ ตาลสว นเกินตางๆ และไดอัสเทส (เอนไซมชนดิ หนงึ่ ) ตางๆ ทเี่ ก่ยี วขอ งจะทาํ หนาท่ยี อยอาหารไดงายยงิ่ ข้ึน เนอื่ งจากสว นทเ่ี ปนเนอ้ื เย่ือของเมลด็ ทับทิมมกี รดแทนนนิ (Tannin acid) จงึ มรี สฝาด แต ถาหากรบั ประทานมนั พรอมกับเมล็ด จะชว ยขจดั อาการทองผกู เนอื่ งจากทับทมิ สามารถทาํ ความสะอาดกระเพาะและลําไสตา งๆ ได จงึ เปน การ เตรยี มพรอ มผนังลาํ ไสเพ่อื การกาํ จดั และการตอตานไวรสั ตา งๆ ดวยเหตนุ ส้ี ารพษิ ตา งๆ จงึ ไม สามารถเขา สกู ระแสเลือดและหวั ใจ และเชน กนั นนั้ หวั ใจจึงไดร ับความกระชมุ กระชวยและมี ชวี ติ ชีวา และเราไดกลา วไปแลว วา ทบั ทิมนน้ั มบี ทบาทในการฟองเลือดเน่อื งจากมโี ปรแตสเซียม และแมกนเี ซยี มอยู และดวยสารดงั กลา วนี้เองมนั จะทาํ ใหเ ซลลตา งๆ ของตบั ปฏิบัตงิ านไดอ ยาง คลอ งแคลว และมนั จะขบั สารยเู รีย คอเลสโตรอล และสารพิษอน่ื ๆ ออกมา และจะทาํ ใหข องเหลว ตางๆ ในเลอื ดเกิดความสมดุล” (17) ดว ยเหตนุ เี้ อง ทา นศาสนทตู แหง อิสลาม (ศอ็ ลฯ) จึงไดกลา ววา “ใครกต็ ามทรี่ ับประทาน ทบั ทมิ เพยี งหนงึ่ ผล อัลลอฮจะทาํ ใหห ัวใจของเขามรี ัศมี (ทําใหค วามขุนมัว ความเกียจครา น และ ความเศรา ซมึ หมดไปจากเขา) และจะขบั ไลก ารกระซบิ กระซาบของมารรายและความทุกขกงั วลให หางไกลออกไปจากเขาถึงสสี่ บิ วนั ” (18) และเชน เดยี วกันนี้ ทานศาสดา (ศอ็ ลฯ) ไดก ลา ววา “จงรบั ประทานทบั ทิมพรอ มกับเปลือก (ออน) ของมนั เพราะแทจ รงิ มันคอื ส่ิงท่จี ะชว ยทาํ ความสะอาดกระเพาะ” (19) นอกเหนอื จากคุณคา ตา งๆ ทถ่ี กู กลาวถงึ แลว ทบั ทมิ ยงั ใหค ณุ คา อืน่ ๆ อกี หลายประการ มี ปรากฏในคาํ รายงาน (ริวายะฮ) บทหนง่ึ วา ชายผหู นึง่ ซงึ่ มีนามวา ‘เซาะซออะฮ’ ไดเขาพบทานอมี รุลมุอมินีน (อ.) ในขณะท่ผี ลทบั ทมิ คร่งึ ผลวางอยขู า งหนาทาน ทา นอมิ าม (อ.) ไดมอบสวนหนง่ึ ของผลทบั ทิมใหแกเ ขาพรอ มกบั กลา ววา (17) เอาวะลนี ดอนชิ กอฮ, เลม ท่ี 9, หนา 66. (18) วะซาอิลุช ชีอะฮ, เลมที่ 17, หนา 120. (19) วะซาอลิ ุช ชีอะฮ, เลม ที่ 17, หนา 123.
“จงรบั ประทานมนั พรอ มกับเปลือก (ออน) ของมัน เพราะมนั จะชว ยขจัดคราบหินปนู และ กลนิ่ ปาก และจะทําใหสภาพจิตใจดขี ึน้ ” (20) จากรายละเอยี ดทถี่ ูกแจกแจงเกย่ี วกับทับทมิ ทาํ ใหป ระจกั ษไ ดว า มันชวยในการซอมแซม ปรบั ปรงุ สภาพของตบั เลือด กระเพาะอาหารและลําไส จะทาํ ใหก ลน่ิ เหมน็ ของปากหมดไป โดยเฉพาะอยา งยง่ิ เนอ่ื งจากทบั ทมิ มกี รดตางๆ อนั เปน เฉพาะในการชวยขจัดส่ิงสกปรกและคราบ เหลืองท่ตี ิดอยตู ามไรฟนใหหมดไป ซึ่งนนั้ ก็เปนอกี สาเหตุหนง่ึ ทที่ าํ ใหเกดิ กลิ่นปาก และโดยการ ปรบั ปรงุ สภาพของเลอื ด ทาํ ใหห วั ใจปราศจากความทกุ ขกงั วลและความอบั เฉา ทา นอมิ ามซอดิก (อ.) ไดกลา ววา “ทา นทงั้ หลายจงใหเด็กๆ ของพวกทา นรบั ประทาน ทบั ทมิ เถดิ ! เพราะมนั จะชว ยทําใหพ วกเขาเปนหนมุ เรว็ ขนึ้ ” (21) จากการพจิ ารณาถึงสภาพความออนแอของกระดกู และอาการเลือดนอ ยทที่ าํ ใหเดก็ มกี าร เจรญิ เตบิ โตชา จงึ ทําใหเ หน็ ถงึ ความมหศั จรรยใ นคาํ พดู ของทานอมิ ามซอดิก (อ.) ไดช ดั เจนยงิ่ ข้ึน ทงั้ น้ีเน่อื งจากผลทับทมิ มสี ว นประกอบของสารอาหารทเ่ี ปนปจจยั ขน้ั พน้ื ฐานทถ่ี กู ดดู ซึมไดโ ดยงาย และใหป ระโยชนใ นเรอื่ งของอาการกระดูกออน อาการเลอื ดนอย และความออนแอของระบบ ประสาท และยงั ชวยเสริมสรา งความเขมแขง็ ใหแกร า งกายอีกดว ย ทานอมิ ามอะลี (อ.) ไดก ลาววา “ทา นทงั้ หลายจงใหเ ด็กๆ ของพวกทานรับประทานผล ทับทมิ เพราะแทจรงิ มนั จะทาํ ใหพวกเขาพดู ไดเรว็ ข้นึ ” (22) แอปเปล (Apple) ‘ตนแอปเปล’ มชี อื่ ทางวทิ ยาศาสตรว า ‘Malus domeslica’ และมีอยดู ว ยกนั 4 ชนดิ คือ แอปเปลเปรยี้ ว แอปเปล ธรรมดา แอปเปล พันธผุ สม และแอปเปล ลูกเลก็ ในปริมาณ 100 กรัม ของ แอปเปลสดจะประกอบดว ยสารอาหารตา งๆ ตอไปน้ี นา้ํ 84 กรมั , โปรตนี 0.03 กรมั , ไขมัน 0.04 กรัม, คลูไซด 15 กรมั , โซเดยี ม 2 โปรแต สเซียม 116 หนว ยสากล, แคลเซียม 6 กรัม, แมกนเี ซยี ม 6 กรมั , แมงกานิส 0.084 กรมั , เหลก็ 0.03 กรัม, ทองแดง 0.71 กรมั , ฟอสฟอรัส 10 กรัม, กาํ มะถนั และคลอรนี 4 มลิ ลกิ รมั , วติ ามนิ เอ 90 หนวยสากล, วิตามนิ บ1ี 0.04 มิลลิกรมั , วติ ามนิ บ2ี 0.02 มิลลิกรมั , นีโกตลี อะมดี 0.02 มลิ ลกิ รมั , วติ ามินซี 0.05 มลิ ลิกรมั , วติ ามนิ อี 0.072 มลิ ลกิ รัม (20) วะซาอลิ ชุ ชีอะฮ, เลมที่ 17, หนา 123. (21) บฮิ ารลุ อนั วาร, เลมที่ 66, หนา 163. (22) วะซาอลิ ุช ชีอะฮ, เลมท่ี 17, หนา 121.
อยา งไรกด็ ี ปริมาณตางๆ เหลานีม้ คี วามแตกตา งกนั อยางมากในแอปเปล แหง แอปเปล เชอื่ ม และนํา้ แอปเปล (23) คณุ คา ตา งๆ ของแอปเปล คณุ คา ตางๆ ของแอปเปลทีถ่ กู กลาวถงึ ในคาํ พูดของบรรดาผนู าํ ผบู รสิ ทุ ธ์ขิ องอสิ ลาม ไดแ ก 1.ทา นอิมามซอดกิ (อ.) ไดก ลา ววา “แอปเปล คอื ตัวชว ยในการหล่ัง (นาํ้ ยอย) ของ กระเพาะอาหาร” (24) “แอปเปล จะชว ยปองกันการติดเชอ้ื ในปาก มนั จะชว ยสลายกรดยูรกิ และสลายสารพษิ ตางๆ ท่ีรวมตัวกนั อยู และจะชว ยเสรมิ สรา งประสทิ ธิภาพใหก ับตอมนา้ํ ลายและการหลงั่ นํา้ ยอยใน กระเพาะอาหาร ดว ยเหตนุ ี้แอปเปล จงึ มปี ระโยชนอยา งมากสาํ หรบั ผทู ่ชี อบนงั่ อยกู บั ท่ีประจําโดย ไมค อยไดเคลื่อนไหว ผูทล่ี มหายใจมีกลิน่ เหมน็ ทาํ ใหต นเองและบคุ คลรอบขา งอึดอัดรําคาญใจ ใหเ ขาเค้ยี ว ผกั ชฝี รงั่ สกั 15 นาที และใหค ายกากทงิ้ ไป ตอ จากน้ันใหรบั ประทานแอปเปล 1 ลูกโดยเคย้ี วให ละเอียด” (25) แมใ นหนังสือ ‘ฮลิ ยะตุลมตุ ตะกีน’ ของทา น ‘อัลลามะฮ มัจญล ิซ’ี จะใหความหมายคํา รายงานขา งตน วา หมายถงึ ‘การชําระความสะอาดในกระเพาะ’ น่นั เปน เพราะในยคุ นนั้ อาจจะยงั ไมมกี ารรบั ในเรอ่ื งของการหลง่ั นา้ํ ยอยในกระเพาะอาหาร 2.ในอสิ ลามมคี าํ แนะนําวา กอนการรับประทานแอปเปลใหดมกลน่ิ ของมนั กอ น ทานอิ มามบากิร (อ.) ไดก ลา ววา “เม่อื ทา นตองการทจ่ี ะรบั ประทานแอปเปล ดงั นนั้ จงดมกลน่ิ ของมัน หลงั จากนัน้ จงึ รับประทานมนั ” (26) การดมกลน่ิ ของแอปเปล จะทาํ ใหเกิดความกระชุมกระชวยและเบกิ บานใจ และอกี ประการ หนงึ่ ท่คี วรตระหนกั นน่ั คือ สารอาหารตา งๆ ทอ่ี ยูใ นแอปเปลสดจะไมพ บในนํ้าแอปเปลครัน้ และ แอปเปล เชอ่ื ม “ในนาํ้ แอปเปล นัน้ มไี ขมนั แคลเซียม, แมกนเี ซยี ม, แมงกานิส, ธาตุเหลก็ , ทองแดง, ฟอสฟอรัส, กํามะถนั , คลอรนี , วิตามินบี และวติ ามินเอ ระหวา งแอปเปลสดกับแอปเปล แหงและ แอปเปลเชอ่ื มมคี วามแตกตา งกนั มาก โดยเฉพาะอยา งยง่ิ นาํ้ แอปเปล ครนั้ ซ่งึ ปราศจากคณุ คา ซงึ่ (23) เอาวะลีน ดอนิชกอฮ, เลมท่ี 10, หนา 31. (24) วะซาอลิ ุช ชีอะฮ, เลม ที่ 17, หนา 216. (25) ซบั ซีฮอ วา มีเวฮฮ อเย ชะฟาบคั ช, หนา 216. (26) วะซาอิลุช ชีอะฮ, เลม ท่ี 17, หนา 125.
ถอื เปน การทาํ ลายคุณคา ของแอปเปลอยา งหนง่ึ และไมม ผี ลไมใ ดทม่ี คี วามแตกตา งกนั เหมือนกบั แอปเปล ในระหวา งผลสดของมันกับผลแหง และน้าํ แอปเปลครน้ั ” (27) “แอปเปล จะชว ยสลายหนิ ปนู ในถงุ นา้ํ ดแี ละในไต” (28) 3.คุณประโยชนใ นการตานทานอาการไขต วั รอน (อาการไขท ่เี กดิ จากสาเหตุของโรคหวดั และโรคไขห วัดใหญ) ทา นอิมามซอดกิ (อ.) ไดกลาววา “ทานทง้ั หลายจงใหผ ูปว ยทมี่ ีอาการไขตัวรอ น รับประทานแอปเปล เพราะวา ไมม ีสง่ิ ใดจะใหป ระโยชนมากกวาแอปเปล ” (29) “เม่ือทานทัง้ หลายเปน โรคไขห วัดใหญอ ยา งรุนแรงและเรอ้ื รงั จงรบั ประทานแอปเปล ติดตอ กันสักสองหรอื สามวนั ในชว งเวลาดงั กลาวควรรบั ประทานแอปเปลแตเพยี งอยา งเดียว และ จงหลกี เล่ียงจากการรับประทานอาหารอนื่ ๆ” (30) 4.คณุ ประโยชนข องแอปเปลในการตานทานโรคทอ งรว ง ชายผหู นง่ึ ซ่ึงมนี ามวา ‘อบยู ูซุฟ’ เขาไดกลา ววา “ในขณะท่ีฉันอยูในนครมกั กะฮ ไดเกดิ โรค ทอ งรว งขนึ้ กบั ประชาชน และมันกเ็ กิดข้ึนกบั ฉันดวย ฉนั ไดเ ขียนจดหมายถงึ ทา นอมิ ามมซู า กาซมิ (อ.) ทานไดเขยี นตอบมาหาฉนั วา ‘จงรบั ประทานแอปเปล ’ ดงั น้ันฉันจงึ รบั ประทานมนั และฉนั ก็ ไดร บั การเยยี วยารกั ษา” (31) สว นหนง่ึ จากอาการของโรคทอ งรว งคอื มีอาการทอ งเสียและอาเจยี ร บรรดาผูท ี่มีความ เชี่ยวชาญทางดา นโภชนาการ ไดอธิบายถึงผลอนั นา มหัศจรรยข องแอปเปล ในการยับยง้ั อาการ ทองรวงวา “แอปเปล เปนผลไมท ่มี ีประโยชนอยา งมากสําหรบั โรคไทฟอยด โรคทอ งรว ง โรคบดิ และ การอักเสบของลําไส มันจะชวยเยยี วยารกั ษาอาการทอ งรวงไดเปน อยา งดี และอีกดา นหนง่ึ มนั จะ ชว ยยบั ย้งั จากอาการอาหารไมยอ ย และดว ยเหตุนีเ้ องมนั จึงชว ยใหกระเพาะอาหารทาํ งานไดอ ยาง มรี ะบบ” (32) (27) เอาวะลนี ดอนชิ กอฮ, เลมที่ 10, หนา 31. (28) ซบั ซีฮอฮ วา มเี วฮฮอเย ชะฟาบัคช, หนา 212. (29) ซะฟน ะตลุ บิฮาร, เลม ที่ 1, หนา 123. (30) ซบั ซฮี อ วา มีเวฮฮ อเย ชะฟาบัคช, หนา 212. (31) ซะฟนะตลุ บิฮาร, เลมที่ 1, หนา 124 ; บฮิ ารุล อนั วาร, เลม ที่ 66, หนา 174. (32) อซั รอร คูรอกีฮอ, หนา 278.
“สาํ หรับการตอ สกู บั อาการใจส่ัน อาการมนึ ตรงึ คลื่นเหยี นอาเจียร แพค วามสูงของภเู ขา เมาคลืน่ ทางทะเล และอาการแพทองของสตรีที่ตงั้ ครรภ แอปเปล จะใหผลดีเปนอยา งยง่ิ และ สามารถพิชติ อาการเหลา นไี้ ดเ ปน อยา งด”ี (33) 5.แปง ทท่ี ํามาจากแอปเปล จะชว ยยบั ยงั้ การไหลของเลือดกําเดาและอาการแพพ ษิ ตา งๆ เกีย่ วกับเรอ่ื งนี้ ชายผหู น่ึงซง่ึ มีนามวา ‘อิบนบิ กุ ยั ร’ ไดเ ลาวา “ในปหนง่ึ ขณะท่อี ยใู นนครมะ ดนี ะฮ โรคเลอื ดกําเดาไดเ กดิ ข้ึนกับฉนั บรรดาสหายของเราไดถ ามทา นอิมามญะอฟร อัซซอดกิ (อ.) ถึงสง่ิ ที่จะชว ยยับยงั้ โรคเลอื ดกําเดา ทา นกลาววา ‘จงใหเ ขาด่มื แปง แอปเปลผสมน้าํ ’ ดังนนั้ พวกเขาไดใหฉ ันดื่มมนั และโรคเลอื ดกาํ เดากห็ ายไปจากฉนั ” (34) การทาํ แปงแอปเปล อันดับแรกตอ งตากผลแอปเปล ใหแ หง หลังจากนั้นจึงบดใหเ ปน แปง “แอปเปล แหง นอกจากจะยบั ยงั้ การไหลซมึ ของนาํ้ เหลอื งแลว ยงั ชว ยขบั สารพษิ ตางๆ (กรดยูริก คอเรสเตอรอล และอน่ื ๆ) อีกดวย” (35) ดว ยเหตนุ เ้ี อง ในคาํ รายงาน (รวิ ายะฮ) อีกบทหนงึ่ ทา นอมิ ามซอดิก (อ.) จงึ อนญุ าตใหใช แปงแอปเปล เพ่อื ชวยในการขจัดสารพษิ ตา งๆ โดยทา นไดกลา ววา “ฉันไมรจู กั ยาใดทีม่ ีประโยชน ตอผทู ่ไี ดร บั สารพิษ ยง่ิ ไปกวา แปงแอปเปล ” (36) 6.ทานอิมามซอดกิ (อ.) ถอื วาแอปเปล นน้ั มีผลดีตอการรกั ษาโรคตา งๆ โดยท่วั ไป ดงั ที่ทา น ไดก ลา ววา “หากมนษุ ยรถู งึ คณุ คาตา งๆ ทมี่ ีอยูใ นแอปเปลแลว พวกเขาจะไมเยียวยารกั ษาผูปว ย ของเขาดว ยสงิ่ ใดนอกจากแอปเปล” (37) เพ่ือทีเ่ ราจะไดร บั รวู า คณุ คาทางอาหารและทางยาของแอปเปล มิไดจ ํากดั อยูแคเพยี งสงิ่ ตางๆ ท่ีไดกลา วไปแลว จึงเปนการดที เ่ี ราจะมากลาวถึงวธิ ีการใชป ระโยชนจ ากแอปเปล ในรปู แบบ ตา งๆ สาํ หรับการเยยี วยารักษาไว ณ ท่ีนี้ แอปเปลเปนผลไมท ่ียอดเยี่ยมนามหัศจรรยอ ยา งหน่ึง เพราะมนั มีคณุ สมบตั ใิ นการทาํ ลาย สารพิษและมคี ุณคา ทางอาหารสูง เนื่องจากแอปเปลมสี ารอลั คาไลน (ดาง) มนั จงึ ชว ยสลายกรด ยรู กิ และชว ยในการหลั่งสารตา งๆ ของตอ มน้ําลายและกระเพาะอาหาร และทาํ ใหเ กิดสภาวะความ สมดุล มนั มีผลดีอยา งมากสําหรับการเยยี วยารกั ษาโรคอว น เชน เดยี วกนั น้ี ยงั มปี ระโยชนส าํ หรับ ผปู ว ยเกย่ี วกบั ตบั กระเพาะอาหาร ทางเดนิ ปสสาวะ และอาการเจบ็ หนา อก และเนอ่ื งจากมันมี (33) อซั รอร คูรกีฮอ, หนา 278. (34) วะซาอิลุช ชีอะฮ, เลมที่ 17, หนา 127. (35) เอาวะลนี ดอนชิ กอฮ, เลมที่ 10, หนา 31. (36) วะซาอลิ ชุ ชีอะฮ, เลม ท่ี 17, หนา 128. (37) บฮิ ารุล อนั วาร, เลมท่ี 66, หนา 172.
สารฟอสฟอรสั จงึ ชวยบํารุงประสาทและสมอง ทําใหขบั ถายปส สาวะมากขนึ้ ทาํ ใหท างเดนิ ปส สาวะ กระเพาะอาหารและปอดโลง และขับถา ยของเหลวไดดี “แอปเปล จะมปี ระโยชนอ ยา งมากตอ ผปู ว ยเก่ยี วกบั โรคขอ ตางๆ มันจะชว ยขบั หินปนู ในไต และเนื่องจากเกลือแรต างๆ ของมัน จงึ ทาํ ใหแอลบูมนี ของอาหารและเนื้อเย่อื ตางๆ หมดไป มนั มี ประโยชนอยางมากสําหรับปอดและระบบทางเดนิ หายใจ ผลท่สี กุ งอมของมันมคี ุณคาตอ การยอ ย อาหาร และชว ยขจัดอาการแนนเฟอเนื่องจากอาหารไมย อย” (38) ขอยาํ้ คาํ พดู ของทา นอิมามซอดกิ (อ.) อีกครั้งหนงึ่ ท่กี ลา ววา “ถา หากประชาชนรถู งึ คณุ คา ตางๆ ของแอปเปล พวกเขาจะเยยี วยารกั ษาผูปว ยของตนดวยกบั มนั ” แอปเปล คอื ยาทาแผล “…เขาจะผสมแอปเปล กบั นา้ํ มันพืช และใสม ันลงบนแผลหรือรอยบาดเจ็บตา งๆ มนั จะ ชวยสมานบาดแผลเหลานนั้ ดวยเหตุนคี้ าํ วา ‘โพมาด’ (pomade = ขี้ผ้ึง, ครีม) ซงึ่ มาจากคําวา ‘โพม’ (pome) ซึง่ หมายถงึ ‘แอปเปล ’ หากเอาแอปเปลใสลงในครกและตํามัน แลว นํามนั พรอมกบั นาํ้ ของมนั ไปเคีย่ วไฟจะทาํ ใหเกดิ เปน ยาขผ้ี ้ึง ซง่ึ จะชว ยเยยี วยารกั ษาบาดแผลตา งๆ ท่มี ีอาการ หนกั และรุนแรง นํา้ ของแอปเปลหากผสมเขา กบั นาํ้ มนั มะกอกในปริมาณที่เทากัน มนั จะมี คุณสมบัตเิ ชน เดยี วกนั นนั้ สําหรับการเยยี วยารกั ษาบาดแผลท้งั หลาย” แอปเปล คอื ยารักษาดวงตา “หากบดแอปเปล ใหละเอียดและทาํ ใหม นั เปน นา้ํ มนั และหยอดน้ํามนั นี้ลงบนตาท่ีมี อาการเจ็บเนอ่ื งจากการกระทบกระแทก อาการเจบ็ ตาดงั กลา วกจ็ ะทเุ ลาลง สาํ หรบั อาการเจ็บตา เนอ่ื งจากสาเหตุอ่นื ๆ ใหใชแ อปเปลแดงรสหวาน 1 ลูก นํามาปลอกเปลอื กและแกะเมลด็ ของมนั ออก จากนน้ั ใหเ คีย่ วมนั กบั นาํ้ เพ่ือใชเปน ยาหยอดตา แตหากผสมน้ํานมของสตรีเขา ไปดว ยใน ปรมิ าณเลก็ นอ ย จะทําใหผ ลและคุณสมบัตขิ องมนั สมบูรณยิง่ ข้นึ ” แอปเปลคือยารกั ษาอาการเจ็บหู “เพ่อื บรรเทาอาการเจบ็ หู ชว งกลางคนื กอนทจ่ี ะนอน ใหใชแ อปเปลทเ่ี ผาจากข้เี ถา ทาลง ไปบรเิ วณกกหู เสร็จแลวใหน อนหลบั ไป อาการเจ็บหจู ะหายไปโดยรวดเร็ว” (38) อัซรอร คูรอกีฮอ, หนา 278.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167