Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore อิสลามกับการแพทย์ที่ไม่พึ่งยา

อิสลามกับการแพทย์ที่ไม่พึ่งยา

Published by thaiislamlib.com, 2022-06-15 03:37:41

Description: อิสลามกับการแพทย์ที่ไม่พึ่งยา

Search

Read the Text Version

เพราะวาโปรตนี นน้ั มอี ยูใ นอาหารจําพวกเน้อื สัตว ซง่ึ จะเปนตวั สรางสารอาหารตา งๆ ในนาม สารอาหารทีใ่ ชรกั ษาเซลลต า งๆ ของรา งกาย โดยเฉพาะอยา งยิ่งเซลลต างๆ ของตับ “ในชว งเวลาหนงึ่ บรรดานักวชิ าการไดจ ดั ใหเ นอื้ สตั วอ ยใู นจําพวกอาหารทีไ่ มใ ชส งิ่ จาํ เปน และบางคร้ังอาจเปน พษิ ภยั ตอ รางกาย จนกระทั่งภายหลงั จากการคน ควา วิจัยอนั ยาวนานไดเปน ท่ี ประจกั ษวา เนอื้ สัตวน้ันมคี ณุ คาตา งๆ อนั สงู สง และนา สนใจยง่ิ ตอ โปรแกรมอาหารของผูปว ย โดยท่ี พวกเราทราบดีวา สารอาหารตางๆ ทม่ี ีอยใู นเนือ้ สตั ว เชน โปรตนี คือสงิ่ ท่จี าํ เปน สาํ หรับการดาํ เนนิ ชวี ติ อยูของมนุษย เพยี งแตว าปรมิ าณความตองการของมนั สาํ หรับแตละคนนน้ั มีความแตกตา งกนั ออกไป เมือ่ เปรียบเทียบกับสภาพทางรา งกายและอาชพี ของแตล ะคน ปริมาณเนื้อสตั วสาํ หรบั ผสู งู อายุ ผูท่ีเปน โรคปวดตามไขขอ (รมู าติสซมึ ) โรคทเ่ี กย่ี วกบั ตอมนาํ้ เหลืองผดิ ปกติ โรคเกาต และทาํ นองเดยี วกนั ผทู เ่ี ปน โรคเก่ียวกับไตและโรคความดนั โลหติ จะตอ งรบั ประทานใหน อยลง และในกรณีท่ีจําเปน จะตอ งงดเวน จากการรับประทานมัน ผทู เี่ ปน โรคเกย่ี วกบั ระบบกายยอ ยอาหารก็สามารถรบั ประทานเนือ้ สัตวได แตมเี งอ่ื นไขวา จะตองระมดั ระวังประเด็นตา งๆ ตอไปน้คี อื 1.เนอ้ื ววั เนือ้ แพะ เน้อื แกะ และเนอื้ ไกทจ่ี ะรับประทานจะตองเปน ของสดใหม 2.มันของเน้อื จะตองถูกแยกออกใหห มด และจะตอ งไมเ พ่มิ ไขมนั ของสิง่ อืน่ ๆ เขา ไป 3.การรับประทานเนอ้ื สัตวต า งๆ ทมี่ ไี ขมันมากจาํ เปน จะตองงดเวน เชน เนอื้ สุกร แมแต สว นตา งๆ ที่ปราศจากไขมันก็ตาม การรับประทานเนือ้ ของสตั วอ นื่ ๆ ทมี่ ีไขมนั มาก เชน เน้ือหา น เนอ้ื เปด และเนือ้ นกพิราบ เปน อนั ตรายสาํ หรับผทู เี่ ปนโรคเกย่ี วกบั ตบั และระบบการยอ ยอาหาร” (2) การรับประทานเนอ้ื สตั วจนเปนนสิ ยั การรับประทานเนอ้ื สตั วจ นเปน นสิ ยั หมายถงึ การทมี่ นุษยจ ะรบั ประทานเนื้อสัตวเพยี ง อยางเดยี วในทุกๆ เวลาเหมอื นกบั สัตวดุรา ยทง้ั หลาย ซงึ่ ไดถูกหา มไวใ นอสิ ลาม บคุ คลหน่งึ ไดเลา เก่ยี วกับเรอื่ งนว้ี า ฉนั ไดอ ยูก บั ทา นอมิ ามซอดิก (อ.) มผี เู อย ถงึ เน้อื สัตว ดังนนั้ ทา นอมิ าม (อ.) จงึ ไดก ลา ววา “จงรับประทานเน้อื สตั ววนั หนงึ่ และนมสดวนั หนง่ึ และ รับประทานสงิ่ อ่นื ในอกี วันหนง่ึ ” (3) (2) เบฮด อชต กะบัด วะเมอเดฮ วะรอญมี อน, (สขุ ภาพของตบั กับกระเพาะ และโปรแกรมอาหารของมัน), หนา 127. (3) บิฮารุล อันวาร, เลม ท่ี 66, หนา 70.

ในทัศนะของนักนติ ิศาสตร (ฟุกอฮาอ) ชาวชอี ะฮอ มิ ามยิ ะฮก็ถือวาการรบั ประทานเนอ้ื สัตว หนง่ึ ครงั้ ในรอบสามวนั เปน เปน สง่ิ ทีด่ ี (มุสตะฮับ) ทา น ‘มัรฮมู ชะฮีดเอาวลั ’ ไดก ลา วไวใ นหนังสอื ‘อดั ดุรซู ’ วา “แทจรงิ การรบั ประทานเนือ้ สัตวนนั้ เปนสง่ิ ทค่ี วรกระทํา (มสุ ตะฮับ) ในทกุ ๆ สามวนั (ตอ หนง่ึ ครั้ง) และถา หากรบั ประทานตดิ ตอ กนั ถงึ สองสปั ดาหและมากหรอื นอยกวา น้นั เนอื่ งจากความ เจ็บปว ยและการถอื ศีลอด ถอื วาไมเ ปน ไร และการรับประทานมนั สองม้อื ในหนึง่ วนั เปนส่งิ ท่ีไมควร กระทํา (มักรูฮ) ” (4) จากสถติ ิเผยใหเ หน็ วา โรคลาํ ไสอ ักเสบมกั จะเกดิ ขน้ึ กับชาวฝรั่งเศษ ชาวองั กฤษ ชาวเบล เยยี่ มและชาวรมู าเนยี ซงึ่ ชอบรบั ประทานเนื้อสตั วม ากกวา ประเทศอน่ื ๆ และในทางตรงกนั ขา ม โรคดังกลา วนจี้ ะถูกพบนอ ยกวาในประเทศเยอรมนั และแถบตอนใตของอิตาลี นกั การแพทยผ ูหนงึ่ ไดก ลา ววา ”ขา พเจา ไมเคยพบโรคลําไสอ กั เสบในหมชู าวตนู ีเซยี และ อนิ เดียเลย เพราะในชว งเวลาหน่งึ ขา พเจา เคยทาํ งานอยูใ นดินแดนแถบน้ี และมปี ระสบการณใ น เรือ่ งนี้ และเหตผุ ลของสงิ่ ดังกลา วก็คอื การรบั ประทานเน้ือสตั วของผคู นทีอ่ าศยั อยใู นดนิ แดนแถบ นชี้ างนอยนิดเหลอื เกนิ ” นกั การแพทยผ ูนไ้ี ดกลา วอกี วา “ตลอดระยะเวลาทข่ี า พเจา ไดทาํ การศึกษาและทํางานอยู ในแถบประเทศสวิซเซอรแลนดน น้ั มเี พียง 4 รายเทา นน้ั ที่พบวา ปว ยเปน โรคลาํ ไสอ กั เสบ และทง้ั 4 รายนน้ั คอื ลกู ของพอ คาเนื้อ และในประเดน็ ดังกลา วนนี้ บั วา เปนเรื่องทนี่ า ประหลาดทด่ี ึงดูดความ สนใจของขาพเจา ไปยังสารอาหารทมี่ ี Nitrogen Azote ซึ่งมีผลตอการอักเสบของกระเพาะและ ลาํ ไส” (5) เน้อื ดบิ (ปรงุ ไมสุก) เน้อื ดิบท่ปี รงุ ไมสุกนอกจากจะไมก อใหเ กดิ ประโยชนแ ลว ยงั ทาํ ใหเกดิ โทษตา งๆ อกี ดว ย แตเ ปนทนี่ าเศรา ใจทีม่ ีบางคนคิดวาเนือ้ สตั วที่ไมสุก (สกุ ๆ ดบิ ๆ) จะใหค ุณคาและพลงั งานมากกวา และสารอาหารท่ใี หพลงั งานของมันกจ็ ะถกู ทาํ ลายนอยกวา ในขณะทกี่ ารคาดคดิ ดังกลา วเปน สิ่ง ถกู ตองในเรอ่ื งของผกั สด แตส ําหรบั เร่ืองเน้อื สตั วนนั้ เปน สง่ิ ท่ีผิดพลาดอยางชดั เจน มีรายงานจากทานอิมามซอดกิ (อ.) เกีย่ วกับเรือ่ งนว้ี า มผี ูถามทานอมิ ามซอดิก (อ.) เกี่ยวกับการรับประทานเนือ้ ที่ไมสกุ ทา นตอบวา “น่ีคืออาหารของบรรดาสตั วร า ย” (6) (4) บิฮารลุ อนั วาร, เลมท่ี 66, หนา 70. (5) อซั รอร คูรอกีฮอ, หนา 35. (6) บฮิ ารลุ อันวาร, เลมท่ี 66, หนา 71.

และทา นอิมามบากิร (อ.) ไดอ างรายงานจากทา นศาสนทตู แหง อัลลอฮ (ศอ็ ลฯ) ซึง่ ทา นได กลาววา “แทจ รงิ ทา นศาสนทตู แหง อลั ลอฮ (ศอ็ ลฯ) ไดหา มการรับประทานเนอ้ื ทยี่ ังสด และทานได กลาววา แทจ รงิ สตั วดรุ ายนน้ั จะรบั ประทานมัน” (7) “นักวชิ าการอกี ทานหนงึ่ มคี วามเชื่อเกี่ยวกับกรณขี องไสต่งิ อักเสบและโรคลาํ ไสอ กั เสบวา โรคเหลาน้ีเกดิ จากสาเหตขุ องการรับประทานเน้อื สตั วมากเกินไป โดยเฉพาะอยา งยง่ิ เนอื้ ดิบหรือ ปรุงไมสกุ เมอื่ เปนเชน นท้ี า นทง้ั หลายกค็ งจะตระหนกั ไดวา ทําไมโรคลาํ ไสอ ักเสบและโรคไสต่ิง อักเสบจึงเกิดขึ้นมากในเมอื งใหญๆ ของประเทศองั กฤษ ฮอลแลนด เบลเย่ยี มและรมู าเนยี นน้ั เปน เพราะวา ในเมอื งเหลา น้ี เนอื้ สตั ว ไขไ กแ ละอาหารจาํ พวกเมลด็ พืช ไดรับความนยิ มมากในการ รบั ประทาน โดยเฉพาะอยา งยง่ิ ในปจ จุบนั การรับประทานเนือ้ สตั วทไี่ มสกุ กลายเปน ทน่ี ิยมกนั เน้อื ไม สกุ ดังกลา วนเี้ ปนผลติ ภัณฑอ าหารชนดิ ใหมซึ่งปจ จบุ นั มอี ยูทว่ั ไปในแถบยุโรป และเมนอู าหาร ดงั กลาวนี้ไดก อ ใหเ กิดโรคกระเพาะอักเสบเพม่ิ มากขนึ้ ในเรอื นจาํ ตางๆ ซ่งึ มกี ารรบั ประทาน เนื้อสตั วส ัตวน อ ยกวา โรคไสต ง่ิ อกั เสบก็จะพบเหน็ ไดนอยมาก ในขณะทโ่ี รคดังกลา วนจ้ี ะพบเห็น ไดม ากในเรือนจาํ ซงึ่ ตั้งอยูในเมอื งนนั้ ” (8) เนือ้ สัตวท ไี่ มส ด (เน้อื เกา) สว นหนงึ่ จากอาหารท่สี ามารถกลา วไดว า เปน โทษรา ยแรงยิง่ ประการหนึง่ นน่ั คือการ รับประทานเนอื้ สัตวทไ่ี มสดหรอื เนือ้ เกา นน่ั เอง จรงิ อยอู าหารอนื่ ๆ กส็ ามารถทําใหม นษุ ยประสบกบั โรคอาหารเปน พษิ ไดเ ชน กนั แตพิษรายที่รุนแรงและรวดเร็วยง่ิ ของมันนน้ั ไมอ าจเทยี บไดกับเนื้อเกา ทไี่ มมคี วามสดใหม ทานอมิ ามซอดกิ (อ.) ไดกลาวในเรอื่ งนว้ี า “สามสงิ่ ทีจ่ ะทาํ ลายรางกาย และบางสง่ิ อาจ เปน สาเหตุของความตายได นน่ั คอื การรบั ประทานเน้อื ที่ถกู เก็บไวน าน (เนือ้ เกา )…” (9) “ในวิชาจลุ ชวี วิทยาไดพสิ ูจนแลววา บรรดาเชือ้ โรคไมส ามารถจะเจรญิ เตบิ โตในอาหาร จําพวกพืชไดดยี งิ่ ไปกวา ในเน้อื สัตวท เ่ี ก็บคา งไว ไมม กี ระเพาะและอุจจาระของสตั วช นิดใดทีจ่ ะมี กล่นิ เหมน็ มากไปกวามนษุ ยท ก่ี นิ เนื้อสตั ว และกลน่ิ เหม็นท่รี ุนแรงซ่งึ ปรากฏออกมาจากอจุ จาระ ของมนุษย เปน เครื่องแสดงถงึ การเนา บูดของเนอื้ สัตวใ นลําไสตา งๆ ของพวกเขา” (10) (7) บิฮารลุ อันวาร, เลม ที่ 66, หนา 71. (8) อัซรอร คูรอกีฮอ, หนา 36. (9) บิฮารุล อันวาร, เลมท่ี 66, หนา 64. (10) อซั รอร ครู อกีฮอ, หนา 47.

ประเภทตา งๆ ของเนอื้ เนอื้ สัตวแตละชนิดจะมีลกั ษณะเฉพาะของมันเอง ซง่ึ ในเนอ้ื สัตวแตละชนิดจะมีคุณคา และ สารอาหารท่ีแตกตา งกนั ศาสนาอสิ ลามไดแ จกแจงถงึ คณุ คา ตา งๆ ของเน้ือสตั วท งั้ หลายแกพวก เราดว ยความพถิ ีพถิ ันมากกวา หมายความวา อิสลามจะกลาวถึงเนือ้ สัตวบ างชนดิ เปน ส่งิ ตองหา ม (ฮะรอม) บางชนดิ เปน สิง่ นา รังเกยี จ (มักรฮู ) และเน้อื สัตวบ างชนดิ เปนสิ่งทด่ี ีกวา เน้ือสัตวอกี บาง ชนิด ตวั อยา งเชน อิสลามถือวา เนอื้ ของสตั วท ่กี นิ สตั วด ว ยกันเปน อาหารเปนสิ่งตอ งหา ม (ฮะ รอม) โดยสิ้นเชงิ เน้ือลา เนอื้ ลอ และเนอ้ื มา ถอื เปน สิ่งนารงั เกียจ (มักรฮู ) และในการเปรยี บเทยี บ ระหวา งเน้อื แพะ เนื้อแกะและเน้อื ววั อสิ ลามถือวาเนื้อแพะและเน้ือแกะมีคณุ คา มากกวา เนอ้ื วัว แต ในทางกลบั กนั นมววั และน้ํามนั ทไี่ ดจ ากวัวนนั้ มคี ุณคา มากกวา นมแพะและแกะ และมีเพียงกรณี เดยี วเทาน้นั ทอี่ สิ ลามไดแ นะนําเนื้อววั ไวในฐานะยารกั ษาโรค มีรายงานจากทานศาสดา (ศอ็ ลฯ) ซงึ่ ทา นไดก ลา ววา “เนอ้ื วัวคกู ับหวั ผกั กาด จะมี ประโยชนส าํ หรบั โรคผิวดาง” (11) และทานอมิ ามซอดกิ (อ.) ไดกลาววา “เนื้อววั คอื โรค และนาํ้ มนั จากมนั คือการเยียวยา และนํา้ นมของมันคอื ยารักษา” (12) อสิ ลามถือวา เนือ้ ของ ‘ดรุ รอจญ’ (Francolin) (13) จะชว ยบรรเทาความทุกขโ ศก และเนอ้ื ของ ‘ฮุบารอ’ (14) จะชวยรกั ษาริดสดี วงทวาร และเนอื้ ของ ‘กอฏอต’ (15) จะชวยรกั ษาโรคดีซา น มรี ายงานจากทานศาสดา (ศอ็ ลฯ) วา “เนือ้ ‘กอฏอต’ เหมาะสําหรบั โรคดีซาน เนอื้ ‘ฮบุ า รอ’ สาํ หรบั โรคริดสีดวงทวารและโรคปวดหลงั และเน้ือ ‘ดุรรอจญ’ นั้นสาํ หรับบรรเทาความทุกข โศกและความทกุ ขใจ” (16) ปลา (11) ซะฟนะตลุ บฮิ าร, เลม ที่ 2, หนา 507. (12) บฮิ ารุล อันวาร, เลมท่ี 66, หนา 74. (13) นกชนดิ หน่งึ คลายนกกระทา ปก ของมันมีจุดตางๆ สดี าํ ขาว และมเี น้ือทีเ่ อร็ดอรอยมาก. (14) นกชนดิ หนึ่ง มขี นาดใหญก วานกพิราบ. (15) ไกชนิดหน่ึง มขี นาดใหญก วาไกบา น มีคอยาวและมีปกสีเหลือง. (16) ซะฟน ะตุล บิฮาร, เลมที่ 2, หนา 506.

ปลาแบง ออกเปน 2 จาํ พวก จําพวกแรกคอื ปลาที่ไมมเี กล็ด ซึง่ เนอื้ ของมันเปน สงิ่ ตองหา ม ในการรบั ประทาน (ฮะรอม) สวนจาํ พวกทส่ี องคือปลาทมี่ เี กลด็ ซง่ึ เนอ้ื ของมันเปน ทอ่ี นุญาตในการ รับประทาน (ฮะลาล) ในทศั นะของอสิ ลาม การรบั ประทานเน้อื ปลาในปริมาณมากเปน สงิ่ ท่ไี มด ี ทานอมรี ุลมอุ ม นิ ีน (อ.) ไดกลา วไวในเรอื่ งนว้ี า “ทา นทง้ั หลายจงอยารบั ประทานเนอ้ื ปลา จนเปน นิสยั เพราะแทจ ริงมนั จะทําใหรา งกายผอมแหง” (17) และแมแ ตใ นบางคํารายงานไดก ลาววา “การรบั ประทานปลาจะทาํ ใหเ กิดโรควณั โรค” (18) เน้ือกระตายในทศั นะของอสิ ลามเปน สิ่งทต่ี อ งหาม (ฮะรอม) เชน เดยี วกัน “เน้อื กระตา ยน้นั มพี รู นี อยใู นปริมาณมาก ดวยเหตนุ ม้ี นั จะทําปสสาวะมกี ล่ินเหม็นอยู ตลอดเวลา และนับวา เปนอนั ตรายอยา งมาก เนื้อของบรรดาสตั วปก จะผลิตกรดยรู ิคในปรมิ าณ มาก เนือ้ ของสตั วปก และเนื้อกระตา ยจะเปนสาเหตขุ องอาการเลอื ดคลัง่ เพราะความรอนในตวั ของสัตวเ หลา นม้ี สี ูงถึง 39-40 องศา ซง่ึ มีความรอ นกวา รา งกายของมนษุ ย 2-3 องศา ปลาทไี่ มม เี กลด็ และปทู ้ังหลาย จะกนิ ซากของปลาอ่นื ๆ เปนอาหาร โดยเฉพาะอยา งย่งิ ปู นั้นชอบกินซากศพของมนุษยเปน อยา งมาก เนื้อของปลาและปูจะทาํ ใหเกดิ อาการของโรคลมพษิ และผดผื่นบนรางกาย และอาการของลมพษิ ดังกลาวนเี้ ปนผลมาจากเลอื ดเปนพิษนนั่ เอง” (19) นม ‘นมสด’ จัดวาเปน อาหารที่กอ ใหเ กิดพลงั งาน และเปน อาหารท่ีมคี ุณคา ทีส่ มบูรณชนดิ หนง่ึ นมทด่ี ีเลศิ นัน้ คือนมววั นมววั เปน สง่ิ ทสี่ อดคลองกบั สภาวะทางสุขภาพพลานามยั ของมนุษยมาก ท่สี ุด นมนนั้ เพรียมพรอมไปดวยแคลเซียม ‘แคลเซยี ม’ เปน เกลอื แรเ ฉพาะอยางหนงึ่ ซง่ึ มีบทบาทสําคญั ตอ การสรา งความแขง็ แรง ใหแกกระดกู เล็บและผมของมนษุ ย หากปราศจากแคลเซยี มกระดกู จะเปราะและไมแข็งแรง ฟน จะผุ เล็บจะฉกี ขาดและผมจะรวง แคลเซียมไมใ ชเปน สง่ิ จําเปน ตอ กระดูก ฟน และผมเพยี งเทา นนั้ ในทางตรงกนั ขา ม ยังเปน สง่ิ จาํ เปน สําหรับการสรา งความแข็งแรงใหแ กก ลา มเน้ือตา งๆ อกี ดว ย โดยเฉพาะอยางยงิ่ สาํ หรบั กลา มเนอ้ื ของหวั ใจซงึ่ จะตอ งเคล่อื นไหวอยตู ลอดเวลา (20) (17) วะซาอิลชุ ชีอะฮ, เลมที่ 17, หนา 56. (18) วะซาอิลชุ ชีอะฮ, เลมที่ 17, หนา 56. (19) อซั รอร คูรอกีฮอ, หนา 76. (20) บิฮารุล อนั วาร, เลมที่ 66, หนา 102.

ชายผหู นงึ่ ไดกลาวกบั ทา นอมิ ามซอดิก (อ.) วา “ขา พเจาพบความออ นแอในรางกายของ ขา พเจา ” ทา นอิมาม (อ.) จึงกลา วกับเขาวา “ทา นจงรับประทานนมสด เพราะแทจ รงิ นมสดจะชวย ใหกลา มเนอื้ เจริญเตบิ โต และจะทาํ ใหก ระดูกแขง็ แรง” (21) จากคํากลาวขางตน ของทา นอมิ ามซอดกิ (อ.) ไดถูกกลาวไวตง้ั แตในยคุ ที่ช่ือของแคลเซียม และคุณประโยชนตางๆ ของมนั ยังไมเ ปน ทป่ี รากฏ สง่ิ นแ้ี สดงใหเห็นถึงความมหศั จรรยประการ หนงึ่ “หากปราศจากแคลเซยี ม หวั ใจจะรสู กึ เหนือ่ ยลา และจะทาํ ใหเ กดิ โรคตางๆ เกี่ยวกบั หัวใจ ปจจบุ นั โรคเหลานี้คอื สาเหตสุ าํ คญั อนั ดับหนงึ่ ทที่ ําใหมนุษยตอ งพบกบั ความตาย หากปราศจาก แคลเซยี มกระดูกตา งๆ ของเราจะเปราะบางและไมแขง็ แรง และจะทาํ ใหสารประกอบแคลเซียม ภายในรา งกายของเราลดนอ ยลง และสว นใหญของประชาชนมกั จะประสบกบั โรคน้ี ซงึ่ จะทาํ ให กระดกู สนั หลงั ของพวกเขาเกดิ ความบกพรอ ง โอกาสการแตกหักของกระดูกจะเกิดข้นึ ไดมาก โดยเฉพาะอยา งยงิ่ รอยตอ ของกระดกู จะปรากฏใหเ ห็นชัดเจน” (22) ทา นศาสนทูตแหง อัลลอฮ (ศ็อลฯ) ไดก ลาววา “ไมมีสิ่งใดจะมาแทนท่อี าหารและเครอ่ื งดมื่ ไดน อกจากนมสด” (23) ทา นศาสนทตู แหง อลั ลอฮ (ศอ็ ลฯ) ไดส ่งั เสยี เกย่ี วกบั บรรดาสตรที ตี่ ั้งครรภว า ใหจดั หานม สดใหพ วกนางดื่ม เพราะการดืม่ นมสดของพวกนางจะชว ยเพ่มิ พนู สตปิ ญญาใหแ กท ารกของพวก นาง โดยทท่ี านไดกลาววา “ทานทงั้ หลายจงใหบ รรดาสตรีท่ตี ้งั ครรภข องพวกทา นดืม่ นมสดเถิด! เพราะแทจรงิ มนั จะ ชวยเพ่ิมพนู สตปิ ญญาของเด็ก” (24) “การดม่ื นมสดหนงึ่ แกว ทกุ วันในตอนเชา นับวาเปน สงิ่ จําเปน สาํ หรบั สตรีที่ตง้ั ครรภท ารก นอย เพ่อื จะสนองตอบแคลเซีย่ มใหแ กร างกายของตนซึ่งมคี วามตองการแคลเซยี่ มเปนอยางมาก และผเู ปนแมจ าํ เปน ตองสนองตอบแกทารกดว ยการรับประทาน” (25) (21) อซั รอร ครู อกีฮอ, หนา 268. (22) บิฮารลุ อันวาร, เลมที่ 62, หนา 295. (23) อัซรอร คูรอกีฮอ, หนา 269. (24) ฏิบบุนนะบ,ี บฮิ ารลุ อันวาร, เลม ที่ 62, หนา 294. (25) เอ๊ยี ะอญาซ ดรู อกีฮอ, หนา 224.

อาหารเขากนั ไมไดก บั นมสด เนื่องจากอาหารแตละชนิดจะมผี ลอันเปน เฉพาะของมัน การรบั ประทานอาหารสองอยา ง พรอมๆ กนั บางครัง้ อาจจะทาํ ใหเกิดความเจ็บปว ยขึน้ ได ผูทนี่ ง่ั ลงยงั สํารับอาหารทีม่ อี าหาร หลากหลายชนดิ และตอ งการรับประทานอาหารหลายอยาง เขาจะตองมคี วามรอบรูถึงคณุ ลกั ษณะเฉพาะของอาหารแตล ะชนิดโดยสงั เขป เพราะมฉิ ะนน้ั แลว อาจเปนไปไดว า เขาอาจจะ รบั ประทานอาหารตางๆ ทม่ี ีคณุ สมบัตทิ ขี่ ัดแยง กนั เขา ไปพรอ มกนั และอาจจะทําใหเกดิ ความ ผิดปกติข้ึนภายในรางกายของตนเองได ตวั อยางเชน นับตั้งแตอดตี อนั ไกลโพน กลาวกนั วา นมสดและปลานน้ั มีคณุ สมบัติท่ไี ม สอดคลอ งกัน หมายความวา จะตองไมรบั ประทานอาหารทง้ั สองอยา งนี้พรอ มกนั ทงั้ น้เี น่ืองจากจะ เปนสาเหตทุ าํ ใหเสียสุขภาพ ดว ยเหตนุ ีเ้ ราจะพบวา ทา นอิมามซอดิก (อ.) ไดก ลาวไวกบั ประชาชน ในบางโอกาสวา “ความเจบ็ ปว ยของพวกทานเกดิ จากการรับประทานอาหารสองอยางทีไ่ มสอดคลองกนั ใน เวลาเดยี วกนั ” ดงั ท่ีมชี ายผหู นึง่ ไดก ลาวตอทานวา “ขา พเจาไดร ับประทานนมสด และมนั ไดทาํ ใหข า พเจา เจ็บปว ย” ทา นกลา ววา “หาใชเชน นนั้ ไม! ขอสาบานตอ อัลลอฮวา นมสดน้นั มไิ ดท ําใหเ กิดอันตราย แตประการใดทง้ั สนิ้ แตท วา ทา นนั้นไดร บั ประทานนมสดพรอ มกบั ส่ิงอน่ื ดังน้นั สงิ่ ซง่ึ ทานไดรบั ประทานมนั พรอ มกับนมนนั่ เองทท่ี ําใหทา นเจ็บปว ย โดยทท่ี านคดิ วา ความเจบ็ ปว ยดังกลา วเกดิ จากนมสด” (26) สว นหนง่ึ จากบรรดาอาหารท่ดี ีเยยี่ มซึง่ เขา กนั ไดเ ปน อยา งดกี ับนมสด และจะใหพ ละกําลงั แกไ ตดว ยเชนกัน นน่ั คอื อินทผลัม ซึ่งทา นศาสนทตู แหง อลั ลอฮ (ศ็อลฯ) ไดก ลา วเก่ียวกบั เรอื่ งนว้ี า “สองสง่ิ ท่ีดเี ยยี่ มนนั้ คอื อินทผลมั และนมสด” (27) นํ้าผึง้ ‘น้าํ ผง้ึ ’ คอื แยมอันเปน ธรรมชาติ โครงสรา งของนาํ้ ผ้งึ นน้ั ประกอบไปดว ยดา นตา งๆ ตอ ไปนี้ 1.นํ้าผง้ึ คือเครือ่ งดมื่ ชนิดหน่ึงซง่ึ ผูผ ลิตมนั (หมายถงึ ตวั ผึง้ ) คอื ผูปฏิบตั ติ ามสัญชาตญาณ แหงความเปน สัตว ดว ยเหตนุ ีเ้ อง พวกมนั จึงไมใชผ คู ดโกงและหลอกลวง (26) บฮิ ารุล อันวาร, เลม ที่ 66, หนา 102. (27) บิฮารุล อันวาร, เลม ที่ 66, หนา 103.

2.วตั ถดุ บิ เบ้ืองตนของนาํ้ ผง้ึ คอื สิ่งทม่ี คี วามสวยงามมากท่สี ุดและกอ ใหเ กดิ ความเบกิ บาน ใจเปน ทสี่ ดุ จากสิง่ ทถ่ี กู สรางข้ึนมาโดยเดชานภุ าพของพระผูเปน เจา หมายถงึ มันคอื บรรดาดอกไม อันหลากสแี ละสงกลน่ิ หอมหวน ซงึ่ ไดถกู ตระเตรยี มไวโ ดยธรรมชาตทิ ่ีงอกเงยขนึ้ มาในสวนไมด อก และปาเขาลาํ เนาไพร ดว ยเหตุน้เี อง วตั ถุดบิ หลกั ของนาํ้ ผงึ้ จงึ ไดรับประโยชนอยา งสมบูรณจาก อากาศทบ่ี รสิ ทุ ธิข์ องฤดใู บไมผลิ นาํ้ จากบรรดาตาน้าํ และภูเขา และแสงจากดวงอาทติ ยทส่ี าดสอง 3.โครงสรา งทางธรรมชาตขิ องนา้ํ ผ้งึ จะถูกตระเตรียมขนึ้ ภายใตก ารสาดสอ งของแสงจาก ดวงอาทิตยท จี่ ดั จา เพราะการดาํ เนนิ ชวี ติ ของผงึ้ นน้ั ตรงขา มกับปลวก ปลวกจะดาํ เนนิ ชีวติ อยูใน สถานทีช่ น้ื แฉะ มืด และมสี ภาวะแวดลอมทสี่ กปรก แตบรรดาผึง้ จะพยายามใชช วี ติ อยทู า มกลางไร สวนท่เี ตม็ ไปดว ยดอกไมและพชื พนั ธนุ านาชนิด และมนั จะสรา งรวงรังของมนั ในทแี่ หง และมแี สง สวาง มคี วามสะอาดบริสทุ ธิ์ 4.ในโลกนีไ้ มม อี าหารและเครือ่ งดืม่ ใดๆ โดยทเ่ี ม่ือชว งเวลาหนึง่ ไดผ านพน ไปมนั จะไมเนา เสยี ไมข น้ึ รา หรือกลา วโดยสรปุ กค็ อื รสชาติ กลิ่น และความอรอยของมันจะไมเปลย่ี นแปลงและ เกิดความเสยี หาย แตนาํ้ ผง้ึ ไมเ ปนเชน นี้ มีเพยี งน้าํ ผง้ึ อยา งเดียวเทา นน้ั ที่แมร ะยะเวลาจะผานไป เปน เดือนหรอื เปนป และไมว าจะอยใู นบรรยากาศและสถานท่ใี ดๆ กต็ าม มนั กจ็ ะไมเ นาเสยี กลา ว กนั วา ตัวผงึ้ จะผลติ สารชนิดหนง่ึ ที่ตอ ตานการเนา เสยี ตลอดไป ซึ่งมชี ือ่ วา ‘กรดฟอรม ิก’ (Formic Acid) มันจะปอ งกนั นา้ํ ผึง้ ของมันจากความเนาเสยี ตลอดไป ในนา้ํ ผึง้ มสี ารอาหารจาํ นวนมาก ซง่ึ ทีส่ าํ คญั ของมันไดแ ก เกลือแร : โปแตสเซยี ม, เหล็ก, ฟอสฟอรสั , ไอโอดนี , แมกนีเซยี ม, ตะก่วั , แมงกะนิส, ทองแดง, กาํ มะถนั , โครเมียม, ลิธเธยี ม, นคิ เคิล, สงั กะสี, ออสเมยี ม, ไททาเนียม, โซเดยี ม, ธาตุ อนิ ทรีย, กาว, โพลนิ , กรดแลคตกิ , กรดฟอรม กิ , กรดมาลคิ , กรดทารทารคิ , สตี างๆ, นา้ํ มนั ชนิด ตางๆ, ธาตไุ นโตรเจน สารทช่ี ว ยในการยอยสลาย : อินเวอรเ ทส, อะมีเลส, คาทาเลส, ออกซิเจน, ลิเพส สารอาหารอน่ื ๆ ของนา้ํ ผึง้ : คลูโคส, ลโู ลส, ซากาโรส, เดคสโตรส, เดกซทรีน, สารอาหารจาํ พวกแอลบมู นิ ธาตจุ าํ พวกซลั เฟต, กรดฟอรม ิก, น้ํา ในนา้ํ ผง้ึ มวี ิตามนิ 6 ชนดิ คือ เอ, บ,ี ซี, ดี, เค, อี บางคนกลาววา มวี ิตามนิ พีพอี ยใู นนํา้ ผงึ้ ดว ย (28) ในนา้ํ ผ้ึงมีสารอาหารที่จาํ เปน ตอ มนษุ ยท งั้ หมดเหลา นรี้ วมอยู และบางทีดว ยเหตุผลนีเ้ อง คัมภีรอ ัล กรุ อานจงึ ไดกลา วเกี่ยวกบั นา้ํ ผง้ึ วา “ในมนั (นา้ํ ผ้งึ ) มตี ัวยาบาํ บัดสาํ หรบั มนษุ ย” (29) (28) เอาวะลีน ดอนิชกอฮ, เลมที่ 5, หนา 129. (29) ซเู ราะฮอ ัน นะหลุ, อายะฮท ่ี 69.

สําหรับประเดน็ ของการบําบดั เยียวยา อาหารและเคร่ืองดืม่ อน่ื ๆ มิไดถูกกลาวถงึ ไวใน คัมภีรอลั กรุ อานเลย “ในโลกน้ไี มมอี าหารใดๆ ทีจ่ ะใหพ ลงั งานไฟฟา และกมั มนั ตรงั สี (Radioactive) มาก เทา กับนาํ้ ผ้งึ นา้ํ ผึ้งเปน อาหารชนิดหนงึ่ ที่มีคณุ คา สําหรบั ทารก เนอื่ งจากมสี ารอาหารครบถว น สมบูรณโ ดยธรรมชาตติ ามทรี่ า งกายตอ งการ นา้ํ ตาลของมันเหมาะสาํ หรบั บคุ คลทกุ วยั และเตม็ เปร่ียมไปดว ยสารอาหารสาํ คัญตา งๆ ทใี่ หคุณคา สงู มีวติ ามนิ และแรธาตตุ างๆ ครบสมบูรณ วิตามนิ และแรธาตุตา งๆ ซง่ึ ไดรับการทะนบุ าํ รุงโดยดอกไม ภายใตก ารสาดสองของแสงจากดวง อาทิตย นํ้าผงึ้ คืออาหารท่ีใหชีวติ ชวี าแกผ สู งู อายุ และเปน การชวยเสริมสรา งความเจรญิ เตบิ โต ใหแ กผูออนเยาว นา้ํ ผึ้งมีสารอาหารตา งๆ ทเี่ ปนนาํ้ ตาลอยถู งึ 75 เปอรเ ซน็ ต มีสารอาหารจาํ พวก แอลบมู ีน 5 เปอรเ ซ็นต และไขมนั อกี 2 เปอรเซ็นต ดวยเหตุนจ้ี ึงพสิ จู นไ ดวา น้าํ ผง้ึ เปนอาหารชนดิ หนงึ่ ทีใ่ หพ ลงั งานอยา งมาก น้ําผง้ึ มสี ารฟอสฟอรสั 13 มลิ ลกิ รัม, แคลเซียม 4 มลิ ลกิ รมั และธาตุเหลก็ 0.07 มิลลิกรัม ในนาํ้ ผง้ึ ยงั มีสารทองแดงอกี ปริมาณหน่ึง สารอาหารเหลานจ้ี ะเขา สูระบบการไหลเวียนของเลอื ด ไดท นั ทที นั ใด ธาตุเหลก็ ของนาํ้ ผงึ้ จะชว ยรกั ษาโรคโลหติ จาง ฟอสฟอรสั และแคลเซียมของนาํ้ ผ้งึ จะ ชว ยเยยี วยารกั ษาโรคตางๆ เกีย่ วกบั กระดกู และปอด” (30) ทา นอมีรุลมอุ ม นิ ีน อะลี อบิ นอิ บฏี อลิบ (อ.) ไดกลาววา “ผูปวยจะไมไ ดร ับการเยยี วยา รักษาดวยส่งิ ใดทเ่ี สมอเหมือนกับการไดด่มื นาํ้ ผงึ้ ” (31) ในคาํ รายงาน (รวิ ายะฮ) จาํ นวนมากไดอ ธิบายถงึ คณุ คา ตา งๆ ของน้ําผงึ้ ไวเ ปน การเฉพาะ ดงั เชน ในคํารายงานบทหนงึ่ ซึ่งไดกลา ววา “นํา้ ผงึ้ สามารถเยียวยารักษาโรคตางๆ ไดถึงเจ็ดสิบโรค” และในปจ จุบนั บรรดานักวชิ าการไดค น ควา วจิ ยั ถึงการใชประโยชนจากนํ้าผง้ึ ทั้งภายใน และภายนอกรา งกาย ซึ่งสว นใหญจ ะถูกนาํ ไปใชเ ปนอาหารและยารักษาโรค อยางไรกด็ ี คาํ วา ‘เจด็ สิบ’ บง บอกถงึ ความมากมายและหลากหลาย มใิ ชบง บอกแคเ พยี ง จํานวนเปนการเฉพาะ “ดวยผลของการสาดสองและการแผร งั สีของดวงอาทติ ยท ่ีมาสมั ผัสกบั ดอกไม ทาํ ให นํา้ ตาลของมนั มีผลอยา งนา มหศั จรรยในการเจรญิ เติบโตและกอ ใหเ กิดพลงั งาน เนอ่ื งจากนา้ํ ตาล ทใ่ี หค ณุ คาจาํ นวนหนึ่งซ่ึงประกอบไปดว ยวติ ามนิ เอ, เค, อ,ี อีกทั้งยังมวี ิตามนิ ซ,ี บี1, พีพี 0.05 มิลลิกรัม วติ ามนิ บ2ี และยังมอี ัลคาลอยด (Alkaloid) ตา งๆ ท่ีชว ยในการรกั ษาเยยี วยาซงึ่ มอี ยใู น ดอกไมทง้ั หลาย และยงิ่ ไปกวานัน้ นักวชิ าการบางสว นอนุมานวา มฮี อรโ มนตา งๆ อยใู นนา้ํ ผ้งึ ดว ย (30) อัซรอร คูรอกีฮอ, หนา 272. (31) บิฮารุล อนั วาร, เลม ท่ี 66, หนา 292.

นักวชิ าการชาวรสั เซยี สองทา นไดคน พบวา นา้ํ ผงึ้ มีบทบาทอยา งนา มหศั จรรยตอ การ เจริญเติบโตและมีผลสําคญั ยงิ่ ตอชีวิตของมนษุ ย พวกเขาเชื่อวา นา้ํ ผงึ้ มคี ณุ ประโยชนต อการ เจรญิ เติบโตของอวยั วะทุกๆ สว นของรา งกาย นํา้ ผงึ้ ใหค ุณคา อยางสงู ในการเยียวยารักษา อันดบั แรกคอื กรดฟอรม กิ (Formic Acid) ซ่งึ ตวั ผง้ึ ไดส รางเพมิ่ ไวในนาํ้ ผง้ึ เพ่ือรกั ษามันจากการเนา เสยี สารตอตานการเนา เสียอนั เปน ธรรมชาติชนิดน้ีไมม อี นั ตรายใดๆ และมันจะชว ยตอตา นโรครมู าติสซมึ และในขณะเดียวกนั มนั ก็ ใหพลงั งาน นํ้าตาลของมนั เปน นา้ํ ตาลทด่ี ีมากชนดิ หนงึ่ ซง่ึ จะชว ยบาํ รุงหวั ใจ และจะเปน เหตทุ าํ ใหก าร สูบฉีดของเหลวตา งๆ ในรางกายดขี ึน้ จะชว ยแกไ ขปรบั ปรุงความดนั โลหติ ตาํ่ และสงู มปี ระโยชน อยางมากตอ ตบั จะชว ยเยยี วยารกั ษาความเจบ็ ปวยตา งๆ เก่ยี วกบั ตบั จะชว ยซอมแซมความ ผิดปกติตา งๆ ของตับ โดยเฉพาะอยางยงิ่ มนั มีคุณประโยชนอยางมากในการเยยี วยารักษาโรคดี ซา น นา้ํ ผง้ึ มีคุณคา ทดี่ ีมากตอ ปอด จะชว ยเยยี วยารักษาโรคตา งๆ ที่เก่ียวกบั ปอด คณุ สมบัติ ตา งๆ ในการเยียวยารกั ษาของนํา้ ผง้ึ นน้ั เปน สง่ิ ท่นี า สนใจอยางมาก ในกรณีทีก่ ระเพาะและลําไส เลก็ เปนแผล จําเปนตองรบั ประทานนา้ํ ผึง้ 1 ชอนซุบในตอนเชา ตรขู องทกุ ๆ วนั และจะตองไม รับประทานส่ิงใดหลงั จากนน้ั เปน เวลา 1 ช่วั โมง น้ําผง้ึ คอื สอ่ื ทดี่ ีทส่ี ุดสาํ หรับการเพม่ิ หรอื ลดปรมิ าณนา้ํ ตาลในเลอื ด น้าํ ผง้ึ เปนสอ่ื ตอ ตาน การติดเชอื้ ในระบบทางเดินปสสาวะทดี่ ีทสี่ ุด” (32) อีกประการหนงึ่ จากคณุ สมบตั ขิ องนํ้าผง้ึ ก็คอื การยบั ยงั้ และปองกนั โรคหวดั อมิ ามรฎิ อ (อ.) ไดกลา วถงึ คณุ สมบตั ขิ อ นี้ไวอยา งชัดเจนในคาํ พดู ของทา นวา “และผใู ดปรารถนาทีจ่ ะยบั ย้งั โรคหวัดตลอดชว งเวลาของฤดูหนาว ดังนนั้ เขาจง รับประทานนาํ้ ผ้งึ พรอ มรวงผงึ้ สามคาํ ในทุกๆ วัน” (33) น้ํา สงิ่ ท่ีดที ส่ี ุดทจี่ ะสามารถเขยี นและใหค ําจํากัดความคําวา ‘นํา้ ’ ได นั่นคอื การทเ่ี ราจะกลา ว วา “นา้ํ คอื บอเกิดแหง ชวี ติ ” (32) อัซรอร คูรอกีฮอ, หนา 274. (33) บฮิ ารุล อันวาร, เลม ที่ 62, หนา 324.

น้าํ บรสิ ทุ ธิ์ในทางเคมไี ดถกู ประกอบขึ้นมาจากสารประกอบตางๆ ถงึ 33 ชนิด ในความเปน จริงแลว นา้ํ คือปจจัยท่ีจาํ เปน และสําคัญยงิ่ ตอ เรา โดยทค่ี วามสําคญั ของมนั นั้นประดุจไดด งั่ เชน การมอี ยูของนาํ้ สาํ หรับบรรดาสง่ิ มีชวี ติ ทอ่ี าศยั อยใู นมนั “เราคิดใครครวญเกีย่ วกับปลาและพชื ทะเลท้ังหลายซ่งึ มรี ะบบตา งๆ ในรา งกายทท่ี าํ ให พวกมนั สามารถดําเนนิ ชีวติ อยใู นนา้ํ ได และเปนไปไมไ ดท พี่ วกมนั จะใชช ีวติ อยูในอากาศ เรามี ความเชือ่ วามนุษยค ือสง่ิ มชี วี ิตทอ่ี าศยั อยบู นบกและไมส ามารถท่ีจะอาศัยอยภู ายใตผิวนา้ํ ได แต เราหลงลมื ไปวา ภายใตผ ิวกายของเรากม็ สี งิ่ มชี วี ิตทอี่ าศัยอยใู นนํ้าจาํ นวนมากมาย เซลลต า งๆ ภายในรา งกายของเรานบั จาํ นวนเปน ลานๆ เซลล ไดดาํ เนนิ ชวี ติ อยูในโลกแหง ของเหลวท่ีมกี ารเปลยี่ นแปลงสภาพอยูต ลอดเวลา ซ่ึงดว ยสอ่ื ของระบบตางๆ อนั เปน อตั โนมตั ิ เลอื ดและน้าํ ภายในรา งกายของเราไดถกู ควบคมุ และถกู จัดระบบไวอยา งนามหัศจรรย แมวา นํ้าไดกลายเปน สว นประกอบทส่ี าํ คัญย่ิงของรา งกายและการดาํ รงอยขู องเรา แตก ็ มใิ ชเร่ืองแปลกประหลาดประการใดเลยท่วี า นาํ้ ไมเ พียงแตเ ปนปจ จยั ที่สาํ คญั สาํ หรับเราเพยี ง เทานัน้ ในทางตรงกนั ขาม เรายงั สามารถไดรับประโยชนอ ันไมอาจคํานวณไดจากนา้ํ อีกดว ย” (34) ในคัมภีรอ ัล กรุ อาน นา้ํ ไดถกู แนะนาํ ในฐานะบอ เกดิ แหง ชวี ติ และการสราง โดยทอ่ี ลั ลอฮ ไดท รงตรสั วา “และเราไดบนั ดาลทกุ สง่ิ ที่มีชวี ิตมาจากนํ้า” (ซเู ราะฮอ ัล อัมบยิ าอ/30) นาํ้ ไมเพยี งแตจ ะมีบทบาทสาํ คญั ตอ การดาํ รงชวี ิตอยเู ทา นน้ั ในทางตรงกนั ขาม ยงั สามารถใชเปน ยารักษาโรคจาํ นวนมากไดอ ีกดว ย “เราไมท ราบวา มีคณุ สมบตั อิ ะไรในนํา้ ทีส่ ง ผลอยา งชดั เจนตอผปู ว ย ผอู อนเพลยี หรือ แมแ ตบุคคลทม่ี สี ุขภาพรา งกายที่สมบูรณ แตสําหรับ ‘เพอร กานอยพ’ ไดย นื ยนั คร้ังแลว ครงั้ เลาวา นํา้ มีความสามารถในการเยยี วยารักษาโรคท่ีทรงพลงั และเขามคี วามเชอ่ื มน่ั วา ผูคนจํานวนนับ พันๆ คนท่ีไดไปยังบอน้ําพเุ ล็กๆ ของเขาใน ‘เวอรีส โฮฟน ’ ณ เมอื ง ‘บอวรี ’ พวกเขาจะไดรบั ผลอนั นามหศั จรรยและเปนทีก่ ลา วขาน นอกจากผลดตี างๆ ทน่ี า้ํ มตี อ บรรดาผูปว ยแลว โลกของนาํ้ คือโลกทเี่ ตม็ เปรยี่ มไปดวย ความกระชมุ กระชวยและความเบิกบานใจซึง่ อยใู นเอ้ือมมอื ของทุกๆ คน และทุกคนสามารถที่จะ ใชประโยชนจ ากมนั ได พลงั งานอนั เปน ธรรมชาติทมี่ อี ยใู นนาํ้ ซงึ่ จนถงึ บัดนก้ี ย็ งั ไมสามารถคน ควา และวิจยั ไดอ ยา งสมบูรณ ในป ค.ศ. 1893 ‘ซัยมูน บารรคู ’ ไดต ีพมิ พห นงั สอื เลม แรกของตนเกย่ี วกบั เร่ืองน้ีและได เผยแพรออกไปภายใตห นงั สอื ชอ่ื ‘กรณีตา งๆ ของการใชนา้ํ ในทางการแพทยแ ผนใหม’ และในป ค.ศ. 1920 ไดเ ผยแพรห นงั สือเลมเลก็ อกี เลม หนง่ึ เกี่ยวกับเร่ืองนี้ซง่ึ มชี อื่ วา ‘บทสรุปการเยียวยา รักษาดว ยนา้ํ ’ (34) รอ็ มเซ ชอดี วา ตนั ดรุ ุซตี, (เคล็ดลบั ของความสขุ และการมีสุขภาพทีส่ มบูรณ) , หนา 89.

จากการอา นหนังสือเลม นีจ้ ะไดร บั ขอสรปุ อยางชดั เจนวา นาํ้ คอื ธาตุทท่ี รงพลงั และมี ความสาํ คัญอยางมากประการหนงึ่ สําหรบั ชวี ิตของเรา และในกรณนี ซ้ี ัยมนู บารรคู ไดเ รียบเรียง หัวขอ เกยี่ วกับคุณสมบัติตา งๆ ของนาํ้ ไว ในความเช่ือของซัยมนู บารรคู นา้ํ มคี ณุ สมบตั ิพเิ ศษ ตางๆ ดังตอไปนี้ 1.ทําใหเ กิดความเขมแข็ง 2.บรรเทาความเจ็บปวด 3.ใหพ ลงั งาน 4.ขบั ถายปส สาวะ 5.ชว ยขับถา ยเหง่อื 6.ชว ยทําใหอาเจียร 7.ทําใหถา ยทอ ง 8.มีคณุ คาสําหรับการรักษากระบวนการเผาผลาญ ‘เมทาโลลิซมึ ’ (Metabolism) 9.ตอ ตา นการตดิ เชื้อ 10.รกั ษาอาการไขตวั รอน 11.ชวยใหน อนหลับ 12.มีคุณลกั ษณะพิเศษท่ชี ว ยใหเ กิดอาการชาไรความรสู กึ ” (35) เกย่ี วกบั คุณสมบัติทางการเยยี วยารกั ษาของนา้ํ รอ นและนํา้ เย็น รวมทงั้ บรรดาน้ําแรท ไ่ี หล ออกมาจากตานาํ้ ตา งๆ ทม่ี คี วามรอน มคี ํารายงาน (ริวายะฮ) จํานวนมากมายจากทา นศาสนทูต แหงอัลลอฮ (ศ็อลฯ) และบรรดาอะอมิ มะฮ (อ.) ในบางคํารายงานกลา วถงึ การเยยี วยารกั ษาของ นํ้าไวใ นลกั ษณะโดยรวม และในบางคาํ รายงานไดเจาะจงคณุ สมบัติเฉพาะในทางเยยี วยารกั ษา โรคของนํา้ ไว ทา นอิมามอะลี (อ.) ไดกลา ววา “นาํ้ เยน็ จะชว ยดบั ความรอ น (ของรา งกาย) และจะถูกราด รดลงบน (รา งกายของ) ผูป ว ยทเี่ ปน ไขต วั รอ น” (36) ในอกี คาํ พดู หน่งึ ทา นกลา ววา “น้ําเยน็ และนาํ้ เดอื ดนนั้ ใหค ุณประโยชนท กุ อยา ง อีกทง้ั ไมมี โทษใดๆ” (37) บรรดาแพทยส มยั ใหมจ ะลา งเทา ทั้งสองของผปู ว ยดวยนํ้าเยน็ โดยการกระทําดงั กลา วจะ ทําใหความรอนสงู ในรา งกายของผปู วยลดลง และเชน เดียวกนั น้ี ในกรณีตา งๆ ทเ่ี กดิ อาการ (35) ร็อมเซ ชอดี วา ตนั ดุรซุ ตี, หนา 80. (36) ซะฟนะตุล บิฮาร, เลมที่ 2, หนา 559. (37) ซะฟน ะตลุ บิฮาร, เลมท่ี 2, หนา 559.

ทอ งรวงแพรระบาด หนทางทดี่ ที ่สี ุดท่ีจะไมใหต องประสบกบั โรคน้ี โดยเฉพาะอยางยง่ิ ในเดก็ ทารก และเยาวชน ใหต นนา้ํ จนเดอื ด หลังจากนน้ั ใหดมื่ นํ้าตม น้ี การอาบนาํ้ และการวา ยนาํ้ คุณสมบัตขิ องนา้ํ มิไดจาํ กดั อยแู คเพยี งการด่ืมเทา นน้ั สว นหน่งึ จากคณุ สมบตั ติ า งๆ ทางดา นการเยยี วยารักษาของนาํ้ คอื การอาบนาํ้ (แชต วั ลงในน้าํ ) และที่ดีย่ิงไปกวา นนั้ กค็ อื การ วายนาํ้ บางทที า นผูอ า นเองอาจเคยมปี ระสบการณทเี่ ตม็ เปรย่ี มไปดว ยความสุขหรรษานีเ้ ปน อยา ง ดี แตถา หากยงั ไมเ คย จากนไ้ี ปขอใหท า นลองทดสอบดู ทกุ คร้งั ทท่ี า นรสู กึ เหนด็ เหนือ่ ยเม่ือยลา อยา งมาก และไมม กี ําลงั วงั ชาทจี่ ะทาํ งาน ทานกจ็ ง ลงไปแชนํา้ หรอื อยา งนอ ยท่ีสุดกจ็ งอาบนํ้าเยน็ ๆ ในหองนํ้า ดว ยการกระทําเชน นที้ า นจะพบวา กาํ ลงั วงั ชาท่สี ญู เสยี ไปจะกลบั คืนมาสทู า นอีกครัง้ หนงึ่ และทา นจะรสู กึ ถึงความกระปรี่กระเปาและ ความสดชนื่ เปน พเิ ศษในตวั ทาน ผทู ่ีวา ยนาํ้ เปน ยอ มรูวา สว นหน่ึงจากความสขุ หรรษาของโลกนอี้ ยใู นการวา ยนํา้ และการ ลองลอยไปในทา มกลางกระแสคล่นื ของนาํ้ การวา ยนา้ํ ในทา มกลางบรรดาตานา้ํ ทม่ี สี ีเงนิ คลายสี ตะกั่วและสาดสอ งแวววาวไปดว ยความใสสะอาดของมนั เหมอื นกับการทีเ่ ราไดหางไกลออกไป จากโลกแหงความเปน ดิน และใชชีวิตอยูใ นโลกอกี ใบหน่งึ ซง่ึ เตม็ ไปดว ยความออนละมุนและความ สะอาดบริสุทธ์ิ นาํ้ เยน็ จะชว ยเสรมิ สรางพละกาํ ลงั ใหแกระบบประสาททีเ่ มอื่ ยลา และการวายนาํ้ โดยเฉพาะอยา งยง่ิ ในนา้ํ ที่เย็นนน้ั จะเปนการเสริมสรา งพละกาํ ลงั อกี อยางหนงึ่ เพราะจากการ เคลื่อนไหวของมือและเทาและการหายใจลึกๆ ซง่ึ ประกอบไปดวยความกระปรกี่ ระเปาและความ เบิกบาน จะชว ยเสรมิ กาํ ลงั วงั ชาใหกบั ระบบประสาทและบรรดากลามเนื้ออีกครง้ั หนง่ึ สวนหนง่ึ จากคณุ สมบัติท่ีสําคญั ของการแชต วั ลงในนา้ํ หรือการวา ยน้าํ ในนาํ้ ทม่ี ีความเยน็ เปนการทําใหร า งกายของเราคุนเคยกับความหนาวเยน็ และความรอ น ในชว งฤดรู อนผูใดกต็ ามที่เขาไดว ายอยูในทามกลางตานํ้าและแหลง นํา้ ตางๆ ทม่ี คี วาม เย็น และหลงั จากนั้นเขาไดใชป ระโยชนจ ากความรอ นและแสงแดดทจี่ ัดจา แนน อนท่สี ุด รา งกาย ของเขาจะไดร ับการคุม กนั และทนทานตอการปรบั เปลย่ี นสภาพของอากาศได โดยทเ่ี ขาจะไมร สู กึ สะทกสะทา นตอ ความรอ นหรือความหนาวเยน็ โดยงาย ในทางตรงกันขาม เขาจะไดรับเกราะคุม กันอยา งหนงึ่ ซง่ึ ในชว งของฤดูหนาวเขาจะปลอดภัยและไมประสบกบั การเปนหวดั ทย่ี าวนาน ขอกลาวยา้ํ อีกคร้ังหนงึ่ วา ความสขุ หรรษาทแ่ี ทจ รงิ ความสขุ หรรษาที่ปราศจากโทษภยั ใดๆ คอื ความสุขหรรษาซง่ึ พระผเู ปน เจา ไดทรงสรา งสรรไวสาํ หรับปวงบาวของพระองค กลา วโดย

สรุปกค็ ือ การพักผอ นท่ีปลอดภยั และดเี ยย่ี มทีส่ ดุ คอื การวายนา้ํ ในนาํ้ ท่ีใสสะอาดภายใตแ สงของ ดวงอาทิตยท สี่ าดสอ ง ทานอิมามญะอฟ ร อซั ซอดิก (อ.) ไดกลาววา “หากวาฉนั ไดอยู ณ พวกทา น (ในแผน ดิน อริ กั ) แนน อนยิง่ ฉนั จะมายงั แมน า้ํ ยูเฟรตสิ ทกุ ๆ วนั เพอื่ ลงอาบนา้ํ ” (38) “ไมม ีสง่ิ ใดในโลกนท้ี ี่จะดเี ลศิ ไปกวาการสรางความคนุ เคยและการทาํ ใหร า งกายไดร บั ความสุขหรรษาจากนาํ้ ไมเพียงแตส าํ หรบั บรรดาผปู วยเทา นนั้ ในทางตรงกนั ขาม สาํ หรบั ผทู ม่ี ี รางกายแขง็ แรงและมีสขุ ภาพทีด่ กี ็เชน เดียวกนั โดยเฉพาะอยางยง่ิ เมอื่ รางกายไดรบั การเคลือ่ นไหว ทามกลางกระแสนาํ้ และภายใตการสาดสอ งของแสงแดด ไดผานการทดสอบแลว วา นาํ้ น้ันจะชว ย กระตุนเสน ประสาทตา งๆ ทอ่ี ยใู ตผิวหนงั และจากสงิ่ นีเ้ องท่ีอวยั วะตางๆ ในรางกายจะเกดิ ความ เขม แขง็ ” (39) จําเปนตอ งกลา วถงึ ในทน่ี ว้ี า จากความหมายของสง่ิ ทก่ี ลาวไปขางตน มิใชวา เพ่ือเหตุผล ดงั กลาวผทู ีจ่ ะวายนา้ํ จะนาํ พาตวั เองไปสสู ภาพแวดลอ มตางๆ ที่เลวรายและแปดเปอ น และใช ประโยชนไ ปในทางทีผ่ ดิ จากขอเท็จจรงิ ดงั กลา วน้ี (อยางเชนการไปวา ยนํ้าตามชายหาดหรอื สถานทๆ่ี มคี วามชว่ั และความเสอื่ มเสยี ทางวฒั นธรรมปะปนอย-ู ผแู ปล) ส่งิ น้ีถอื วา เปน บาปและ จําเปนที่จะตอ งหลกี เลีย่ ง และการวา ยนา้ํ ทจี่ ะกอใหเกดิ ประโยชนโดยแทจ รงิ นนั้ จําเปนจะตอ ง กระทาํ ในสภาพแวดลอมตางๆ ท่ีปราศจากความชว่ั จงอยาดื่มนา้ํ ในปริมาณมาก เราไดก ลาวไปแลววา นํา้ เปน ส่งิ ทม่ี คี ณุ คา และมบี ทบาทสําคญั ตอการดําเนนิ ชีวิต แตก าร ด่มื นาํ้ มากจนเกนิ ความพอดนี ้ันเปน สงิ่ ทีไ่ มอ นญุ าต ทานอมิ ามซอดิก (อ.) ไดก ลา วเกย่ี วกบั เรอื่ งนว้ี า “หากประชาชนดม่ื นํ้าใหนอยลง รางกาย ของพวกเขายอ มจะไดรบั ความแขง็ แกรงอยางแนนอน” (40) การด่ืมนาํ้ ในปรมิ าณนอ ย โดยเฉพาะอยางยิง่ กับการรบั ประทานอาหารบางชนิด นบั วา เปน ส่งิ ทีส่ มควรอยา งยง่ิ ในทศั นะของอิสลาม เน่อื งจากในจริยวตั รของทานศาสนทูต (ศ็อลฯ) เราได พบวา เมอ่ื ใดก็ตามที่ทา นศาสดา (ศอ็ ลฯ) รบั ประทานอาหารทีม่ ีไขมนั ทา นจะดื่มน้ําในปริมาณ นอยลง และทา นกลา ววา “มนั คอื ส่งิ ทจ่ี ะใหค ุณคามากกวาสาํ หรับอาหารของฉนั ” (41) (38) ซะฟนะตุล บิฮาร, เลมที่ 2, หนา 559. (39) รอ็ มเซ ชอดี วา ตันดุรซุ ตี, หนา 81. (40) ซะฟน ะตลุ บิฮาร, เลม ที่ 2, หนา 559 และ 560. (41) ซะฟนะตุล บิฮาร, เลมที่ 2, หนา 559 และ 560.

การดมื่ นา้ํ กเ็ หมอื นกับการรบั ประทานอาหาร จาํ เปนทจ่ี ะตอ งมคี วามเฉลยี วฉลาดและ รอบคอบ และจาํ เปน ทีจ่ ะตอ งเรียนรูถงึ วธิ กี ารท่ดี ขี องการรับประทานและการด่มื มิใชวาจะกระทาํ อยา งไรค วามคดิ และการตรติ รอง ขาพเจา มีทัศนะที่ขดั แยงโดยส้ินเชิงกบั บรรดานักวชิ าการและผูท ีม่ ีความเชอ่ื วา ในแตละ วนั คนเราควรดม่ื นาํ้ อยา งนอ ย 6 แกว , 8 แกว หรือ 10 แกว รางกายของเรายอ มรดู วี า เมื่อใดที่รสู กึ กระหายนาํ้ และขา พเจา เองก็เชอ่ื วา รา งกายยอ มรูดกี วา เรา วา ตวั เราควรจะดม่ื นาํ้ ในชว งเวลาใด! แนนอนเหลอื เกนิ เมื่อเราไดใ ชชีวติ อยูในสถานทีห่ รือภมู อิ ากาศทม่ี ีความรอ นสงู โดยท่ีเหงือ่ ของเราจะออกมามาก เราก็ยอมจะตอ งดมื่ นา้ํ มากเปน ธรรมดา และนี่ตา งหากคอื ธรรมชาติของ รางกายมนุษยท่จี ะบอกวา ตวั เราตอ งการนา้ํ เพมิ่ ขนึ้ หรอื ไม?! (42) เราจะดม่ื นา้ํ อยา งไร? และส่งิ ทนี่ า พศิ วงกค็ อื อิสลามไดใ หคาํ แนะนาํ แกเ ราแมแ ตใ นเร่อื งของวธิ ีการดื่มนํา้ โดยได ใหค าํ สอนตา งๆ ดังตอ ไปนค้ี ือ 1.ใหเ ราดื่มนา้ํ ดวยวิธคี อยๆ จบิ ทีละนอย ดงั ทท่ี า นศาสนทูตแหง อลั ลอฮ (ศ็อลฯ) ไดกลาว วา “เมอื่ ทา นทัง้ หลายจะดม่ื น้ํา ดังนนั้ จงด่มื มนั ดว ยวิธคี อยๆ จิบ และจงอยา ดม่ื มนั แบบรีบเรง (ใน อกึ เดยี ว) เพราะการดม่ื อยา งรบี เรงนนั้ จะเปนสาเหตขุ องโรคตับ” (43) และในกรณที ว่ี า ควรดมื่ นาํ้ ในอดึ ใจเดยี วหรือคอ ยๆ จิบนนั้ ทานอิมามอะลี (อ.) ไดกลา ววา “บอ ยครง้ั ทฉ่ี นั ไดพ บเหน็ ทา นศาสนทตู แหง อัลลอฮ (ศอ็ ลฯ) ในขณะทท่ี านดม่ื นาํ้ ทา นจะหายใจ 3 ครัง้ (ในระหวา งการดื่ม) โดยท่ใี นทกุ ๆ คร้ังทา นจะกลาวพระนามของอลั ลอฮเ มอ่ื เริม่ ดมื่ และกลา ว สรรเสริญพระองค (อัล ฮัมดลุ ิลลาฮ) เมือ่ หยุด (จากการสูดลมหายใจ)” (44) 2.เราจะตองไมเปาหรือหายใจรดอาหารและภาชนะใสอาหาร ถา หากอาหารรอ นจัดควรรอ ใหมันเยน็ ลงเสยี กอน และถา หากอาหารเยน็ อยูแลว กจ็ งรับประทานหรอื ด่มื โดยระมัดระวงั อยาให ลมหายใจของเราไปสัมผสั กบั นา้ํ หรืออาหารนั้น “ทา นศาสนทตู (ศอ็ ลฯ) จะไมหายใจลงสูภาชนะเมื่อทา นดมื่ นาํ้ แตเ มอื่ ทานตองการจะ หายใจ ทา นจะนําภาชนะนนั้ ออกหา งจากปากของทาน จากนน้ั ทา นจงึ จะหายใจ” (45) (42) รอ็ มเซ ชอดี วา ตันดุรุซตี, หนา 90. (43) บิฮารลุ อนั วาร, เลมที่ 66, หนา 476. (44) บิฮารุล อันวาร, เลมที่ 66, หนา 474. (45) ซะฟนะตลุ บิฮาร, เลม ที่ 1, หนา 694; บิฮารลุ อันวาร, เลม ท่ี 66, หนา 472.

3.บางคนเมอ่ื ตอ งการจะดื่มน้าํ ก็ใชป ากของตนจมุ ลงไปในนา้ํ ตวั อยา งเชน ชะโงกศรีษะ ลงไปยงั ลาํ ธารนาํ้ และดมื่ นาํ้ จากลาํ ธารนน้ั อิสลามถอื วาการด่มื นา้ํ ดวยวิธนี ีเ้ ปน วธิ ีการด่มื นํา้ ของ สัตวเดรัจฉาน และอสิ ลามไดห า มการด่ืมดว ยวธิ ีเชนนี้ “ทานศาสนทตู (ศ็อลฯ) ไดหามมใิ หด่มื นา้ํ ดว ยวิธกี ารจมุ ปากลงไปในนาํ้ เหมอื นดงั การดมื่ ของบรรดาปศุสตั ว” (46) 4.การดื่มนา้ํ จากภาชนะทแ่ี ตกชํารุด จากบริเวณรอยแตกและบริเวณหูจบั ของภาชนะ เปน สิง่ ตองหา ม ดงั ทท่ี านอิมามบากิร (อ.) ไดกลาววา “จงอยา ด่มื น้ําจากบรเิ วณหจู ับของภาชนะ และ จากบรเิ วณรอยแตกรา วทีอ่ ยใู นภาชนะนน้ั ” (47) ในอีกรายงาน (ริวายะฮ) หน่งึ มเี นอื้ หาเพมิ่ เตมิ วา “เพราะบริเวณนัน้ คือสถานทพี่ าํ นกั ของ ชัยฏอน (มารราย)” (48) เปนไปไดวา จดุ ประสงคจากคําวา ‘ชยั ฏอน’ (มารรา ย) ในทนี่ นี้ นั่ คือเชอื้ โรคชนิดตา งๆ ดวย เหตุนสี้ มควรทจ่ี ะเทน้ําจากภาชนะทม่ี ีลกั ษณะใหญ เชน เหยอื กนํ้าหรือกานาํ้ ลงสภู าชนะเลก็ ๆ เชน แกวนา้ํ จากนน้ั จึงคอ ยดื่มมนั 5.ในระหวางการรับประทานอาหารจงอยา ด่ืมนา้ํ ทา นอมิ ามริฎอ (อ.) ไดก ลาววา “ผูใดก็ตามท่ีไมตอ งการใหก ระเพาะอาหารของเขาสงผลรายตอ ตวั เขา ดังนนั้ จงอยาดืม่ น้าํ ในระหวา ง (การรบั ประทาน) อาหารของตน จนกวา จะเสรจ็ สน้ิ (จากการรับประทานอาหาร เสียกอน) และใครก็ตามทกี่ ระทําเชน นั้น รา งกายของเขาจะออ นแอ และกระเพาะอาหารของเขา จะเกดิ ความบกพรอง และเสน เลอื ดทงั้ หลายจะไมดดู ซมึ พลงั งานจากอาหาร” (49) ขนมปง ขนมปง เปน อาหารหลกั ของประชาชนจาํ นวนมาก สว นใหญแ ลวขนมปงจะถูกทาํ มาจาก ขาวสาลี ขาวบาเลห แ ละขา วเจา ขนมปง ทท่ี าํ มาจากขา วสาลี ขนมปง ท่ที าํ มาจากขา วสาลี จะถกู ทาํ มา 2 ลกั ษณะคอื 1.ขนมปง ขาว (46) ซะฟนะตลุ บิฮาร, เลม ที่ 1, หนา 693. (47) ซะฟนะตลุ บิฮาร, เลม ที่ 1, หนา 693. (48) บิฮารุล อันวาร, เลม ท่ี 66, หนา 475. (49) บฮิ ารลุ อนั วาร, เลม ท่ี 66, หนา 475.

2.ขนมปงดาํ ขนมปงขาว ‘ขนมปง ขาว’ หมายถงึ ขนมปง จากขาวสาลีท่มี นั ถกู นาํ มาทาํ เปน แปง ดวยเคร่ืองจกั รตางๆ อนั เปนเฉพาะ เครื่องจกั รเหลานจ้ี ะขดั รําขา วสาลีออกจนหมดเกลีย้ ง จะเหลืออยกู ็แตเ พียงเมลด็ ใน ของขา สาลี และจากแปง ดังกลา วนจ้ี งึ ทาํ ใหขนมปง ขาวสะอาดและดสู วยงาม ‘ราํ ’ คอื เนอื้ เยอื่ ท่หี อหมุ เมลด็ ขาวสาลไี วน น่ั เอง ซงึ่ ตลอดเวลามนั จะสมั ผสั กับแสงแดด ลม และฝน และโดยเคร่ืองจกั รดงั กลา วมนั ถกู แยกสว นออกมาจากขนมปง ขาว ดวยเหตุนีข้ นมปง ขาว จึงกลายเปน อาหารทไี่ รค ณุ คา ทางอาหาร ในทางกลบั กนั กจ็ ะนาํ มาซงึ่ โทษภยั “ในการทดลองตา งๆ ทางวทิ ยาศาสตรของนักวชิ าการแสดงใหเหน็ วา หากเราใหส นุ ัขกนิ ขนมปง ขาวเปน อาหารเพยี งอยางเดยี ว มนั จะมีชวี ิตอยตู อ ไปไดอ ยา งมากไมเ กิน 50 วนั ในขณะที่ บรรดาสุนัขทกี่ นิ ขนมปงที่มคี ณุ คาทางอาหารครบสมบูรณ หมายถึงขนมปง ทม่ี ไิ ดผ า นการขดั รํา ขาว จะมชี วี ติ อยูไดห ลายปด ว ยสขุ ภาพทแี่ ขง็ แรงและสมบูรณ ขนมปง ขาวจะทาํ ใหเ กดิ ภาวะเปน กรดในกระเพาะอาหารสูง และจะทาํ ใหเกดิ ความ ออ นแอภายในระบบของกระเพาะอาหาร และจะเปด ทางไปสูโรคติดเชอ้ื ตา งๆ นกั การแพทยกลุม หนง่ึ ไดแ สดงใหเหน็ ถงึ ผลกระทบตา งๆ ท่ีเลวรายของขนมปง ขาว ซ่ึงเปน สาเหตุหลกั ทกี่ อใหเ กิดโรค วัณโรค ขนมปงมไิ ดทาํ ใหบคุ คลใดออนแอ แตเ ปน เพราะความขาวของมนั นนั้ จะกอ ใหเกดิ กรดชนดิ หนง่ึ ขนึ้ ซง่ึ เรยี กวา ‘แปงเปน กรด’ ผทู ร่ี บั ประทานขนมปง ขาวเปนอาหารนน้ั 58 เปอรเ ซน็ ตข องขนมปง จะถกู ขบั ถายออกมา โดยปราศจากการยอ ยสลาย สง่ิ ทีถ่ กู ขบั ถา ยเหลา นีจ้ ะปะปนไปดวยกรดแลคตคิ (Lactic acid) และปราศจากรอ งรอยใดๆ จากเพพโทน (Peptone) ในขณะที่ถาหากพวกเขารับประทานขนมปงที่ มสี ารอาหารครบสมบรู ณ เพียง 5 เปอรเซ็นตของมนั เทา นน้ั ท่ไี มถกู ยอยสลาย และจะถูกขับ ออกมาโดยทสี่ ่ิงท่ถี กู ขับออกมาจะปราศจากกรดแลคตคิ และประกอบไปดว ยเพพโทน ขนมปง ขาวคอื สาเหตุของความเจบ็ ปวยซง่ึ สว นมากเกยี่ วกับกระเพาะอาหาร ทง้ั น้ี เนื่องจากขนมปงขาวดงั กลา วมสี วนประกอบจากคารโ บไฮเดรต ซง่ึ คารโ บไฮเดรตเปน สารอาหาร จาํ พวกนาํ้ ตาลชนดิ หนึ่ง ซง่ึ จะถกู เผาผลาญในรา งกายและจะกอ ใหเกดิ พลงั งาน แตเมือ่ ใดกต็ ามที่ มันมีปรมิ าณท่มี ากเกนิ ไป มนั จะถกู ยอ ยสลายอยา งไมส มบูรณ และจะกลายเปนแกสอยา งรวดเรว็ ในกระเพาะอาหาร” (50) ขนมปงดาํ (50) อซั รอ็ ร คูรอกีฮอ, หนา 103.

‘ขนมปง ดาํ ’ หมายถงึ ขนมปงทมี่ สี ารอาหารครบถว นสมบรู ณ เน่ืองจากเปลือกของเมลด็ ขาวสาลซี งึ่ นบั เปนสว นท่ีสาํ คญั ในดานคณุ คาทางอาหารยังคงถูกรกั ษาไว “สรปุ วาสวนตา งๆ ทง้ั หมดทมี่ ปี ระสิทธภิ าพและมีคณุ คา ของขาวสาลีไดถกู รวมรวบไวท่ี เนือ้ เยื่อ (เปลือกชัน้ ใน) ของมนั โดยทวั่ ไปแลว ในโกดงั ใหญๆ สมัยใหม จะมเี คร่ืองสเี ปนตะแกรง โลหะใหญๆ อยู ตะแกรงเหลา นน้ั จะทําใหเ กิดการเสยี ดสอี ยา งรนุ แรงในขณะทท่ี าํ การสีเพอ่ื กะเทาะ เปลอื ก การเสยี ดสแี ละความรอ นเหลา น้ีจะเปน สาเหตทุ าํ ใหน ้ํามนั ของขาวสาลีตดิ แนน อยกู ับราํ ขา ว และตอจากนน้ั มนั กจ็ ะหลดุ ออกมาพรอ มกบั รําขาว นาํ้ มันดงั กลาวนีม้ ีคุณคา และมปี ระโยชน มากมาย ซงึ่ เราไดทงิ้ มนั ไปโดยไรเ หตุผลและมไิ ดใ ชประโยชนจ ากมนั จมูกขา วสาลีก็เชน เดยี วกนั การรอ นของตะแกรงจะทําใหส วนทม่ี คี ุณคา และมปี ระสทิ ธิภาพของมันถกู นาํ เอาออกไป สารอาหารทีต่ ดิ อยูกับราํ ขาว ไดแก นาํ้ มนั และธาตฟุ อสฟอรัส และสิ่งท่ีเหนือไปกวานัน้ ก็ คือ กลเู ทนิ (Gluten) (โปรตีนชนิดหนงึ่ ) ซึง่ เปนสว นเดยี วเทา นน้ั ของขาวสาลที ีม่ ีกา ซไนโตรเจนอยู แตความเปนจริงแลวถอื วา มนั คอื สว นหนง่ึ จากปจ จยั สาํ คญั สาํ หรบั โครงสรา งของรา งกาย ซลี กิ า (Celica) กเ็ ชน เดียวกัน เปน ปจ จยั สาํ คัญเกี่ยวกบั โครงสรา งของฟน และจะชวยทํา ใหก ระดกู มคี วามแขง็ แรง และจากการชว ยเหลือของออกซเิ จนในอากาศ มนั จะชวยเสรมิ สรา ง ความเขมแขง็ ใหแ กหวั ใจและไต แตดวยสาเหตขุ องการขดั สีของตะแกรงจงึ ทาํ ใหม นั สูญเสียไป และสาเหตุประการหนง่ึ ทก่ี อใหเกดิ โรคเบาหวานคือการขาดสารซีลกิ า ในรอบๆ จมกู (สเปริม) ของขา วสาลจี ะมสี ารอาหารจําพวกแอลบมู นี (Albumin) และ เกลอื แรจํานวนมาก ซง่ึ ทง้ั หมดจะถกู นาํ ออกไปโดยการขดั สขี องตะแกรง และสิง่ ทส่ี าํ คญั ทีส่ ดุ ของ มันไดแก โปรแตสเซยี ม เกลอื สารหนู และแคลเซยี มในปรมิ าณหนงึ่ สารอาหารทง้ั หมดเหลา นมี้ ี ความจาํ เปน อยางมากสาํ หรับเมด็ เลือดขาวซ่งึ ทําหนา ปกปอ งรา งกาย และในทํานองเดยี วกัน การ มีอยขู องสารอาหารเหลา น้ีมคี วามสาํ คัญอยางยง่ิ ตอเม็ดเลอื ด ไดอะสเทส (Diastase) (เอนไซดท ่ีเปลีย่ นแปง ใหเ ปนนาํ้ ตาลมอลโตส (Maltose) และ กลายเปน น้าํ ตาลเดรกโตส (Dextrose) ในเวลาตอ มา) ทม่ี อี ยูในขา วสาลี ซ่ึงจะทาํ ใหส ีของขนมปง มสี นี า้ํ ตาลเล็กนอ ยในขณะอบ กจ็ ะสูญสลายไปดว ยเนอื่ งจากผลของการขัดสีของตะแกรงเชน กนั และจะทาํ ใหข นมปงกลายเปน สขี าว จากเนือ้ หาโดยสรปุ บัดนีข้ อใหทา นทงั้ หลายจงตดั สนิ เอาเองเถิดวา พวกเขาไดท าํ ลายสิ่ง ตางๆ ที่มคี ณุ คา ออกไปจากขนมปง โดยไรเหตผุ ลอยางไร?!!…” (51) ยสี ต (เชื้อฟู) (51) อัซรอร ครู อกีฮอ, หนา 100, 106.

มนษุ ยเราไมสามารถทจ่ี ะรบั ประทานขา วสาลที ีถ่ กู ทาํ ใหเ ปนแปง แลวโดยตรง ทวาจาํ เปน ท่ี เราจะตอ งปรงุ มันใหสกุ เสียกอ นดวยวิธีการตางๆ และหลงั จากนนั้ จึงจะรับประทานมันได การอบ ขนมปง จาํ เปน ตองอาศยั ยีสต ‘ยีสต’ มอี ยู 2 ประเภทเชนกนั คอื ยีสตแ ทแ ละยสี ตเ ทยี ม ยีสตเทยี มนน้ั มอี นั ตรายตอ สขุ ภาพมากกวาขนมปงขาว เพราะเหตวุ า ยสี ตช นดิ น้ีมสี วนประกอบของกํามะถนั ขาวอยดู ว ย ซง่ึ บรรดานักวิชาการตา งยอมรบั วา “กรดกาํ มะถนั นน้ั มีผลกระทบอยางรา ยแรงตอตอมสบื พนั ธุตางๆ ของสตรี ภายหลังจาก ระยะเวลา 4 เดอื นทท่ี ดลองใหส ตั วก นิ สารชนดิ นี้เขา ไป พบวา รงั ไขข องสัตวเหลานนั้ มีขนาดเล็กลง ถงึ 50 เปอรเซน็ ต และทําใหก ารผสมพนั ธุของมนั ลดลงอยางเหน็ ไดชดั ดังนน้ั ยสี ตเ ทียม ซงึ่ พน้ื ฐานของมนั มาจากกรดกาํ มะถนั จงึ นบั วา เปน อันตรายและมีโทษอยา งมากตอการดํารงอยูข อง เผาพนั ธมุ นษุ ย และไมม ผี ลเปน อนื่ ใดนอกจากเปน การทาํ ลายโครงสรางทางการสืบพนั ธุและ กระเพาะอาหาร ซง่ึ ในดา นโภชนาการอาหารถือวา เปนสง่ิ ทตี่ องปฏิเสธ” (52) ความเจบ็ ปว ยทงั้ มวลเหลา นม้ี ใิ ชอ ่นื ใด นอกจากเปน ผลพวงของอารยธรรมสมยั ใหมแ ละ การดําเนินชวี ติ ในยุคเครอื่ งจกั รกล แมว า อารยธรรมสมยั ใหมจ ะนาํ เอาความสะดวกสบายมาสกู าร ดาํ เนนิ ชีวติ ของมนษุ ยก ต็ าม แตมันก็นาํ พาเอาอนั ตรายตา งๆ เหลาน้ีมาพรอ มกบั มนั ดว ยเชน กนั เอสบูรนั กลาววา “เราไดพ ชิ ิตธรรมชาติภายใตส งครามเยน็ ที่เงยี บสงบ แตผ ลจากความ พายแพของธรรมชาตแิ ละชัยชนะของเรา คอื การทาํ ลายลา งเผา พนั ธุมนุษย ซึง่ เปน ผลพวงท่ี เลวรา ยและนา สยดสยองยิ่งกวา ระเบดิ ขีปนาวุธและปรมาณูหลายเทา นัก” (53) ปุย เคมี เราไดพ ดู คยุ กนั เกยี่ วกบั ขนมปง ขาวและอนั ตรายตา งๆ ของมนั ไปแลว บัดน้ขี อใหเรามา พูดคุยกนั ในเรอื่ งของเมล็ดพนั ธแุ ละการเพาะปลูกขาวสาลีบาง พน้ื ดนิ ทีจ่ ะรองรบั เมล็ดพนั ธแุ ละทาํ ใหมันเขยี วขจไี ดน ั้น จาํ เปน ตองเปน พนื้ ดนิ ทมี่ คี วาม พรอมและมีความอุดมสมบรู ณ และเพอ่ื ใหพ น้ื ดินเกดิ ความอุดมสมบูรณพ วกเขาจะใหปยุ กับมนั ในอดตี ที่ผา นมาพวกเขาจะใชป ยุ คอก (มลู สัตว) ใสล งไปในพนื้ ดนิ แตมาในปจ จบุ ันนีเ้ ขาจะใช ปยุ เคมแี ทน เปนส่ิงที่ดที ีเดยี วทเี่ ราจะเปรยี บเทยี บใหเ หน็ ระหวา งปยุ 2 ประเภทนี้ “ตราบเทาที่เปน ไปได ทา นท้ังหลายจงบรโิ ภคอาหารซง่ึ เปนผลผลติ ที่ไดม าจากพน้ื ดนิ ทใ่ี ช ปุยธรรมชาตแิ ละมลู สตั ว เพราะเน่อื งจากพื้นดนิ ทเี่ พาะปลกู โดยใชป ยุ เคมแี มแตเพียงปริมาณ (52) อซั รอร คูรอกีฮอ, หนา 100, 106. (53) ร็อมเซ ชอดี วา ตัน ครุ ซุ ตี, หนา 39.

เล็กนอ ยกต็ าม ผลผลิตท่ีไดจากมนั ในดา นคณุ คา ทางอาหารนบั วา มนี อ ยมาก และแนน อนยงิ่ หาก มนุษยห รือสัตวทบ่ี รโิ ภคผลผลิตเชน นเี้ ขา ไป รา งกายของเขาก็จะไมไดรบั สารอาหารทจ่ี ําเปน ตอ รา งกาย และจะทําใหร า งกายตกเปน เปา การจโู จมของโรคภัยตา งๆ ไดโดยงาย ขาพเจา ทราบดีวา ผทู ี่ใชช วี ิตอยใู นเมืองใหญซ ึง่ เปน เมอื งอุตสาหกรรม ยอ มไมสามารถที่ จะจัดหาอาหารและบรโิ ภคอาหารเชนนไี้ ดอยา งงายดายนัก แตทวา วันหนง่ึ จะมาถึง ซงึ่ ความ เหนอื กวา และการมคี ณุ คาทมี่ ากกวาของผลผลติ เชน นีจ้ ะกลายเปน ทีป่ ระจกั ษชัด และมนุษยทกุ คนจะมงุ แสวงหาผลิตผลทางการเพาะปลกู ทไี่ ดรบั มาโดยการใชปุยจากธรรมชาติและมลู สตั ว” (54) ขนมปงทท่ี าํ จากแปงขา วบาเลห  ‘ขนมปงแปง บาเลห’ คือสงิ่ ท่ีถกู ปรงุ มาจากขาวบาเลห  ราํ ของขาวบาเลห ก ็เหมือนกบั ราํ ของขา วสาลี ซง่ึ เปน ธาตุอาหารทมี่ ีคณุ คา “รําของขา วบาเลห ม วี ติ ามนิ บีตา งๆ ในปรมิ าณมาก การรับประทานมนั กเ็ ชน เดยี วกนั จะ เปน สาเหตุทาํ ใหบ รรดาแบคทเี รยี ทม่ี ปี ระโยชนท ่อี ยูในกระเพาะอาหารซ่ึงชวยสรา งวติ ามนิ บีตา งๆ ไดร ับการเจรญิ เตบิ โต และจะชว ยเพมิ่ ปริมาณของวติ ามินบีใหแกร างกาย ดว ยเหตุนเี้ องจึงไม อนญุ าตใหร บั ประทานขนมปง แปงบาเลห พ รอมกบั อาหารอ่ืนๆ ทมี่ ีวติ ามินบีสงู ” (55) โดยทว่ั ไปแลว การดําเนินชวี ติ ในปจจุบนั ประชาชนจะใหค วามสาํ คัญตอ การรบั ประทาน ขนมปงท่ีทาํ มาจากแปง สาลมี ากกวา เปน สิง่ ทดี่ ที ีเดยี วทจ่ี ะเปรียบเทยี บคุณคาทางอาหารระหวา ง ขนมปง ทัง้ 2 ชนิดน้ี เพอื่ จะไดรับรูว า ขนมปง ชนดิ ใดทม่ี คี ุณคาทางอาหารมากกวา “ขนมปง ทท่ี าํ มาจากแปงสาลี จะทาํ ใหแคลเซยี มบางสว นของรา งกายเกดิ การสะสม (ตกตะกอน) ขนมปงที่ทาํ มาจากขา วบาเลห ไ มมีคุณสมบตั เิ ชน นี้ สาํ หรบั ผูท่ีชอบรับประทานอาหาร หลากหลายและมีแคลเซยี ม และใชประโยชนจ ากความรอนของแสงจากดวงอาทิตย (เชน คนทาํ งานกลางแดด) นับวา มปี ระโยชนอยางมาก เพราะวาแคลเซียมเกาในรา งกายของพวกเขาจะ สูญสลายไปและแคลเซยี มใหมจ ะเขา มาแทนท่ี ผูท่ไี มช อบรับประทานอาหารหลากหลาย ไมสมควรท่จี ะรบั ประทานขนมปงจากแปง สาลที ี่ มรี าํ เพราะจะทําใหเ กิดการขาดธาตุแคลเซยี มและฟอสฟอรัส สว นขนมปง แปง บาเลห นน้ั เนอื่ งจาก มีวิตามนิ บี และเชน เดยี วกนั ก็มผี ลที่ดีตอ การสรางความเจรญิ เติบโตใหแ กแบคทเี รยี ตา งๆ ในลาํ ไส ซึ่งเปน ตวั ผลติ วติ ามนิ บี ดงั นนั้ มันจงึ มคี ณุ คามาก มันจะรักษาความหนุม แนนและยับยง้ั จาก อาการผมหงอก” (56) (54) กซุ ัรนอเมฮ บะรอเย ซินดะกีเย นวู นี , (ใบเบกิ ทางสูการดําเนินชีวติ ในยคุ ใหม), หนา 73. (55) อิอยาซ คูรอกีฮอ, (ความมหัศจรรยของอาหาร), หนา 204. (56) ออิ ยาซ คูรอกีฮอ, หนา 205.

“ขนมปงแปง บาเลหก เ็ ชน เดยี วกนั กบั อาหารตา งๆ ทถ่ี ูกปรงุ จากขา วบาเลห มวี ติ ามนิ บี ตางๆ ในปรมิ าณมาก และมีผลตอการเจรญิ เตบิ โตของแบคทีเรียท่ีมปี ระโยชนต อ ลาํ ไส และดว ย เหตุดังกลา วนเี้ องชาวชนบททบี่ รโิ ภคขนมปงแปงบาเลห จ ึงแกช า และผมบนศรีษะของพวกเขาจะ ไมรวง ขา วบาเลหและราํ ของมันถือเปนสิ่งที่ชว ยในการเยยี วยารกั ษาคลอเรสโตรอลที่ดที ่ีสุดอยา ง หนง่ึ ” (57) อาหารของบรรดาอมิ าม (ผนู าํ ) ของเรา เปน การดีทเ่ี ราจะใหความสนใจและพินิจพิเคราะหถ งึ แบบแผนของอสิ ลามเกยี่ วกับเร่ือง ของขนมปง ตา งๆ และจงพิจารณาถึงอาหารของบรรดาผูน ําของอสิ ลาม แตอ ยา งไรกด็ ี การ พิจารณาตรวจสอบเหลา นเ้ี ฉพาะแตในดา นของโภชนาการทางอาหารเทาน้นั โดยไมเ กยี่ วกับดาน ของความยําเกรง (ตกั วา) และความสมถะ ชายผหู นง่ึ ซง่ึ มนี ามวา ‘ซุวยั ด บินฆอ็ ฟละฮ’ กลา ววา : ฉนั ไดม าหาทา นอะลี บนิ อบฏี อลิบ (อ.) ฉันไดเ หน็ ภาชนะใสนมเปรี้ยววางอยขู า งหนา และสัมผสั ไดถึงกล่นิ เปรยี้ วของมัน และในสาํ รบั อาหารของทา นมขี นมปงกอ นหนึ่งทท่ี ํามาจากแปง บาเลห  ซ่งึ ราํ หยาบๆ ของมันยงั ปรากฏใหเ หน็ อยางชัดเจนบนหนาของขนมปง ทา นไดฉ กี ขนมปง แปงบาเลห  (เปน ชนิ้ ๆ) ดวยมอื ของทา น และใส มนั ลงไปในภาชนะนมเปร้ยี ว ทา นอะลี (อ.) ใหเ กียรติกับฉนั ดว ยการเรยี กใหร บั ประทานอาหารกับ ทาน ฉนั ไดก ลา ววา “ขา พเจา ถือศลี อด” ฟฎ เฎาะฮ คนรับใชในบา นของทา นอะลไี ดน ง่ั อยมู ุมหนง่ึ ฉนั ไดก ลา วกบั นางวา “ทาํ ไมเจา จงึ ไมดแู ลสขุ ภาพของชายชราผูนี้ (หมายถงึ ทา นอมิ ามอะล)ี ทาํ ไมเจาจงึ ทาํ ขนมปง จากแปง ท่ีไมได รอ นใหแกทา น?” ฟฎเฎาะฮ ไดกลา ววา “เมอื่ กอนฉนั ก็เคยแสดงความปรารถนาดเี ชน นเ้ี หมอื นกนั แตทาน ไดส ัง่ ใหทาํ ขนมปงของทานจากแปงทีย่ งั ไมรอ น” จากน้ันทา นอะลี (อ.) ไดหนั ไปยงั ซุวยั ด บนิ ฆอ็ ฟละฮ พรอมกบั กลาววา “สิ่งทฉ่ี นั เคยกลาว กบั ฟฎ เฎาะฮไ ปนัน้ บัดนีฉ้ นั จะขอกลา วกับทา น! ขอพลบี ิดาและมารดาของฉนั แดผ นู าํ ทีย่ ิ่งใหญ แหง อิสลาม (ทา นศาสดา (ศ็อลฯ)) วา ขนมปง ของทา นนน้ั กท็ าํ มาจากแปง ท่ีไมไ ดผา นการรอน” (58) ดงั ทเ่ี ราไดกลา วไปแลววา เราจะไมพูดถงึ ดา นอน่ื ๆ ท่ีเกย่ี วกับความยาํ เกรง (ตักวา) และ ความสมถะ หากเราวิเคราะหต รวจสอบดอู าหารของทา นอะลี (อ.) ในชว ง 14 ศตวรรษทีผ่ า นมาซงึ่ ยังไมมีการพดู ถึงเรอื่ งวติ ามนิ ตา งๆ ของขนมปง แปง บาเลห ราํ และคณุ คาทางอาหารของมันทาํ ให (57) อซั รอร คูรอกีฮอ, หนา 106. (58) ซะฟนะตุล บิฮาร, เลม ที่ 1, หนา 57.

เราไดป ระจักษถ งึ ความย่งิ ใหญท างดา นความรูของทานศาสดา (ศอ็ ลฯ) และบรรดาอิมาม (อ.) มากยง่ิ ขน้ึ ยิง่ ไปกวา นัน้ จากคาํ รายงาน (ริวายะฮ) ทาํ ใหเ ราไดร บั รวู า ในสมยั นั้นก็มขี นมปง ทม่ี รี าํ นอย และราํ มากเชน เดียวกัน เพราะซวุ ยั ด บนิ ฆอ็ ฟละฮ ไดก ลาววา “ทาํ ไมเจาจึงทาํ ขนมปง จากแปง ท่ี เตม็ ไปดวยราํ ท่มี ไิ ดผ านการรอนใหแ กท า นอะลี (อ.)” หลงั จากนน้ั ทา นอมิ ามอะลี (อ.) ไดกลาวเพื่อ ปกปองคนรบั ใชของทาน (คือฟฎเฎาะฮ) วา “ฉนั ดําเนนิ รอยตามทา นศาสนทตู แหงอลั ลอฮ (ศอ็ ลฯ) โดยที่ขนมปงของทานกท็ ํามาจากแปง ทไ่ี มไ ดผา นการรอ นเชนกนั ” เมอ่ื พิจารณาถงึ คณุ สมบัตขิ องขนมปง แปง บาเลห และคณุ คาทางโภชนาการของนมเปร้ยี ว แลว ทา นทงั้ หลายจงตดั สินใจดูเถดิ วา ขนมปงแปง บาเลห กับนมเปร้ยี วนั้นมนั จะเปน อาหารทีม่ ี คณุ คามากเพยี งใด!! ยงิ่ ไปกวา น้ัน เราไดรับรไู ปกอนหนานแ้ี ลว วา ขนมปง แปงบาเลห ม ีคณุ สมบัติท่ที าํ ใหเ ราไม จําเปน ตองรบั ประทานอาหารหลากหลาย บคุ คลอยา งเชนบรรดาผนู าํ ทางศาสนาซง่ึ ภารกจิ ทีไ่ ดร ับ มอบหมายจากพระผูเปน เจา สาํ หรับพวกทา นนน้ั คือการเสรมิ สรา งความแขง็ แกรง ทางดา นจิต วิญญาณใหแกมนษุ ย ดงั นนั้ แบบแผนแหง การดําเนนิ ชวี ติ โดยเฉพาะอยา งยง่ิ อาหารของพวกทา น นนั้ คือเครื่องปลอบประโลมใจแกบ รรดาผยู ากไรข ัดสน เพื่อปกปองพวกเขาเหลา นน้ั ใหร อดพนจาก ความเบยี่ งเบนตา งๆ ทางดา นจรยิ ธรรม เชน การลกั ขโมย การปลน สะดม และการฉอ โกง ขนมปงทท่ี าํ จากแปง ขา วเจา อีกประเภทหนง่ึ ของขนมปง ก็คอื ขนมปง ท่ีทาํ มาจากแปงขาวเจา วธิ ีการทาํ นนั้ มหี ลายวิธี ดว ยกนั คอื 1.หุงขา วใหสกุ (หมายถึงรนิ นาํ้ ขาวออกใหห มด) หลงั จากนน้ั ทาํ ขาวสุกใหแหง และทําให มนั เปน แปงและใหนวดมนั ดวยนา้ํ หลังจากนนั้ ทง้ิ ไวหน่งึ ถึงสองชว่ั โมง จนกระทงั่ แปง พองตัว หลงั จากนั้นจงึ ทําเปน ขนมปง 2.บดขา วทีส่ กุ แลวใหนมิ่ เหมอื นกับแปงนวด แลว ทาํ ใหเปน ขนมปง 3.บดขาวสารใหเปนแปง จากนน้ั คอ ยๆ โรยลงไปในนา้ํ เดือดและคนใหเขากนั กระทงั้ สกุ และเหนยี วเหมือนแปงนวด และจากแปงเหนยี วนนั้ ใหท าํ เปน ขนมปง แผนบางๆ ขนมปง แปง ขาวเจา โดยทวั่ ไปแลวจดั วาเปน ประเภทหนงึ่ ของขนมหวาน และเปน ของกิน เลน ไมใชอ าหารหลกั แตในขณะเดียวกนั ก็เปนสว นหนง่ึ จากขนมปง เพอื่ สุขภาพ

ทานอิมามรฎิ อ (อ.) ไดก ลา วในเรอ่ื งนว้ี า “ไมม ีส่งิ ใดทเี่ ขาสทู องของผปู ว ยทเี่ ปน วณั โรค ที่ จะใหประโยชนม ากไปกวา ขนมปง แปง ขาวเจา ” (59) และทานอิมามซอดกิ (อ.) ไดกลาววา “ทา นท้ังหลายจงใหผ ปู วยทเี่ ปน โรคกระเพาะ (หรอื ผู ที่ไมสามารถกลัน่ อุจจาระของตนเองได) รับประทานขนมปงทที่ าํ มาจากแปงขาวเจา เพราะเหตุวา ไมมสี งิ่ ใดทีเ่ ขา สูทองของผปู ว ยทจ่ี ะใหค ณุ คา มากไปกวา มัน” (60) ในบางคําพดู ของทา นอมิ ามซอดิก (อ.) ยงั ไดชีใ้ หเ ห็นวาขนมปง ทท่ี าํ มาจากขา วเจา มีเนอ้ื อาหารมาก และทานยงั ไดก ลา วเชน กนั วา “ไมมอี าหารใดท่จี ะคงเหลอื อยูในกระเพาะจากชว งเวลา เชาจนถงึ เวลากลางคนื นอกจากขนมปงทที่ ํามาจากขาวเจา ” (61) นกั วชิ าการทางดา นโภชนาการอาหารในอดีตทา นหนึ่ง ไดเ ขยี นเกยี่ วกับขนมปง แปง ขาว เจาไวเชน นว้ี า “ขนมปง แปง ขา วเจา มผี ลทาํ ใหเกดิ ความเยน็ ในรา งกาย ทาํ ใหเ กิดความอยากดม่ื นา้ํ เสรมิ สรา งความแข็งแรงใหแ กร า งกาย ทาํ ใหร บั ประทานอาหารไดมาก และมีผลในการรกั ษา เยียวยาโรคทอ งรว งและโรคบดิ ทาํ ใหใบหนา มีสีเปลงปลงั่ …และมปี ระโยชนสาํ หรับผทู เ่ี ปน วัณโรค” (62) นมเปรย้ี ว ‘นมเปรย้ี ว’ เปน สวนหนง่ึ จากอาหารดง้ั เดมิ ของมนษุ ย เปน อาหารซ่ึงโดยมากแลว ถอื วา เปน นาํ้ แกงจ้ิมขนมปงของคนยากจน สว นผูที่มฐี านะรา่ํ รวยกจ็ ะมนี มเปร้ียววางอยใู นสํารบั รว มกบั อาหารอน่ื ๆ นมเปรี้ยวมคี ณุ สมบัตแิ ละมคี ณุ คาทางอาหารมาก และเน่อื งจากตามสาํ นวนแลว นมเปรย้ี วมธี รรมชาตทิ ีเ่ ย็น (เมอื่ รับประทานเขา ไปแลวจะ ทาํ ใหเกิดความเยน็ แกร า งกาย) อีกทง้ั ยงั มวี ติ ามนิ บีอยมู าก จงึ กลา วกันวา ใหรบั ประทานนมเปรยี้ ว รวมกับยหี่ รา ในคาํ รายงาน (ฮะดษี ) บทหนงึ่ จากทา นอิมามมะอซ มู (อ.) ไดกลาววา “บุคคลใดกต็ ามท่ี ปรารถนาจะรบั ประทานนมเปร้ยี ว ดังนนั้ เขาจงโรยฮาฎบ ลงไปบนมนั ” มผี ูถามวา “ฮาฎบ คอื อะไร?” (59) วะซาอิลชุ ชอี ะฮ, เลม ท่ี 18, หนา 5. (60) วะซาอิลุชชีอะฮ, เลมท่ี 18, หนา 5. (61) วะซาอลิ ุชชอี ะฮ, เลม ที่ 18, หนา 5. (62) มคั ซะนลุ อัดวียะฮ, หนา 62.

ทานตอบวา “มนั คอื ยห่ี รา” (63) คําแนะนาํ ซง่ึ เราเขา ใจไดจ ากคาํ รายงานบทนี้ คอื การสรา งความสมดุลทางโภชนาการใน ดา นสารอาหาร ซ่ึงสง่ิ นโี้ ดยตวั ของมนั เองแลว คือพนื้ ฐานท่สี าํ คญั ยิง่ สาํ หรับสขุ ภาพพลานามยั ของ รางกาย “สาํ หรบั บุคคลทม่ี ีธรรมชาตขิ องรา งกายเยน็ นมเปร้ยี วถอื วา เปน สงิ่ ทไ่ี มดซี ง่ึ จะทาํ ใหเกิด ความชนื้ สงู ขนึ้ (ในรา งกาย) และจะกระตนุ พลงั ทางเพศ” (64) แตยห่ี รา ซ่งึ ตามสํานวนแลว เปนอาหารที่มธี รรมชาติเปน ของรอน ดว ยเหตนุ ้ีเองระหวา ง สองสง่ิ นจี้ ึงทาํ ใหเ กิดความสมดุลทางอาหาร เราไดรบั รูไ ปแลววา ทา นอมิ ามอะลี (อ.) ไดใชนมเปร้ยี วเปน เหมือนน้าํ แกง (รบั ประทาน กบั ขาว) ของตนเอง แมวา มันจะเปน อาหารทมี่ ลี ักษณะของความเปน สมถะ แตท วาความสาํ คญั และคณุ คาทางอาหารของมนั นนั้ เปน ที่ประจกั ษช ัดแลว สาํ หรับโลกในปจจุบัน “นับจากอดีตเมื่อหลายศตวรรษจวบจนถึงปจจบุ นั นมเปร้ียวถือเปน สารอาหารที่มี ความสาํ คัญยง่ิ และสามารถซึมซับเขา สรู างกายไดโดยงา ย และในทน่ี ีม้ ปี ระเดน็ หนง่ึ ทส่ี าํ คัญและ จาํ เปนตอ งกลา วถงึ กค็ ือ คาํ วา ‘นมเปรย้ี ว’ ในทกุ ๆ ประเทศของโลก จดั อยูในฐานะของอาหารทที่ ํา ใหอ ายยุ นื ยาว ชาวอารม านสิ ถานเรียกนมเปรย้ี ววา ‘มาตซิ นู ’ ชาวยโู กสลาเวียเรียกวา ‘กสี โลมิลโก’ และ ‘ปแ ยร’ กษัตริยอ งทีผ่ า นมาของยโู กสลาเวยี ไดกลาวในการสนทนาและใหค วามม่ันใจแกขาพเจา วา อาหารของบุคคลจาํ นวนมากท่มี อี ายยุ นื ยาวนบั รอ ยปกค็ อื นมเปร้ียว และผลจากการรับประทาน นมเปร้ยี วทาํ ใหพวกเขามีอายยุ นื ยาวไดถ ึงหนงึ่ รอยป ชาวรสั เซียจะรบั ประทานนมเปรี้ยวในปรมิ าณมากรว มกบั ขนมปงดาํ ทาํ ใหพ วกเขามี สุขภาพพลานามัยทีส่ มบรู ณ ในฝร่งั เศสเรยี กนมเปรย้ี ววา ‘โยเอิรท ’ (หรอื โยเกริ ท) พวกเขาผสมมัน กบั ลกู สตอเบอรี่ปา และรบั ประทานมนั ในหมูเกาะซารูนเี รยี กนมเปรย้ี ววา ‘จิวโด’ และในประเทศอินเดียเรยี กวา ‘ดาเดฮี’ และใน ประเทศอียปิ ตเ รยี กวา ‘ละบะนุรรุบบ’ ซ่ึงสาํ นวนทง้ั หมดเหลานหี้ มายถงึ การมีอายุท่ียนื ยาว นม เปรีย้ วมีคณุ คา ทางโภชนาการมากกวา นมสด ยง่ิ ไปกวา นน้ั มีบุคคลบางสว นทน่ี มทวั่ ไปและนมสด เขา กนั ไมไดก บั พวกเขา เนอ่ื งจากในนมเปรย้ี วนนั้ มสี ารแอลบูมนี (โปรตีน) ชนดิ หนงึ่ ทย่ี อยสลาย และซึมซับเขาสรู างกายไดอยางรวดเรว็ แคลเซียมของมนั ก็มีคณุ คา อยางมากสาํ หรับผูสูงอายุ มนั จงึ ถกู ดูดซมึ ไดอ ยางรวดเรว็ และวติ ามนิ บจี ํานวนมากจะถูกสรา งขนึ้ ในลําไสโดยแบคทีเรยี ทอ่ี ยใู น นมเปรย้ี ว และจะถูกสง เขา ไปสเู สน เลอื ด (63) ซะฟน ะตุล บิฮาร, เลม ที่ 2, หนา 521. (64) เอาวะลีน ดอนชิ กอฮ, เลมที่ 6, หนา 126.

บรรดาผสู งู อายทุ ปี่ ระสบกบั แกส ในกระเพาะ การอกั เสบ และการตดิ เชื้อในลําไสข องตน ถา หากพวกเขารบั ประทานนมเปรย้ี วอยา งตอเนื่อง บรรดาแบคทีเรียท่ีมองไมเ หน็ จะไมส ามารถมี ชีวิตอยูไดใ นกรดแลกติคของนมเปร้ียว ดว ยเหตนุ มี้ ันกจ็ ะคอ ยๆ ตายและหมดไป ในท่สี ุดแกสและ การติดเชอ้ื ในลําไสข องพวกเขาก็จะถกู ขจดั ไปโดยสิ้นเชงิ ” (65) เนยแขง็ (ชดี ซ) เนยแขง็ เปน ผลิตผลอีกชนิดหนง่ึ ทไ่ี ดจ ากนมสด พวกเขาจะทาํ นมสดใหเปนเนยแข็งโดย อาศัยเยือ่ บุในกระเพาะววั (Rennet) เนยแขง็ เกา และใหม ความเคม็ นอยและมาก และเนยแข็งท่ีทาํ มาจากนมชนิดตา งๆ จะมี คณุ สมบตั ิทีแ่ ตกตา งกนั บา งเล็กนอย กอนอนื่ ขอใหเรามาพจิ ารณาถงึ คณุ คาตา งๆ ของเนยแข็งที่อสิ ลามไดอ ธบิ ายไว และพรอ ม กันนัน้ จะมารบั รูวาอิสลามไดแนะนาํ การรบั ประทานเนยแขง็ ไวอยางไร? ในอิสลามบางครั้งจะแนะนาํ เนยแข็งวา เปน อาหารทีไ่ มค วรรบั ประทาน (มกั รหู ) แต บางครั้งก็ถอื วา เปน สง่ิ ท่คี วรรับประทาน (มสุ ตะฮับ) คาํ อธิบายในเรอื่ งนีก้ ็คอื ถาหากรับประทาน เนยแขง็ คกู ับเมด็ ในของผลวอลนัท (Walnut) ถอื วา เปน สิ่งท่ดี ี (มุสตะฮับ) แตถาหากรับประทานมัน เพยี งอยา งเดยี วถอื เปน สงิ่ ทไ่ี มสมควร (มักรูห) อิสลามไดก ําหนดเวลาเฉพาะสําหรบั การรบั ประทานเนยแข็งไวด ว ยเชน กนั โดยถอื วา ชว งเวลาอาหารเยน็ คือเวลาของการรับประทานเนยแข็ง และยังไดแนะนาํ อีกวาใหร ับประทานมนั รวมกับผลวอลนทั ตอไปนีจ้ ะขอนาํ เสนอ 2 ตวั อยา ง จากคําพดู ของบรรดาผนู ําแหง อสิ ลาม (อ.) ไว ณ ทนี่ ี้ 1.ทานอมิ ามรฎิ อ (อ.) ไดอา งรายงานมาจากทา นอิมามซยั นลุ อาบดิ ีน (อ.) ซึ่งกลา ววา “แนนอนยง่ิ สองส่ิงที่จะตอ งไมเขา สูกระเพาะอาหาร เวน แตม นั ทง้ั สองจะกอใหเ กิดความเสยี หายแก กระเพาะ นั่นคือเนยแข็งและเน้อื เกา (ท่ีเกบ็ รักษาไวไ มใหเนา เสีย)” (66) 2.ทานอิมามซอดกิ (อ.) ไดกลาวไวในขณะอธิบายถงึ คณุ คา ของอาหารจาํ นวนหนงึ่ โดย กลาววา “และสองสง่ิ ท่มี ีแตโ ทษในทุกๆ ดา น และไมใ หป ระโยชนใ ดๆ เลย นั้นคือเน้ือตากแหงและ เนยแขง็ ” (67) (65) เจฮบ อยัดโครด วา เจฮก ูเนฮ บอยดั พุดต, (จะรบั ประทานอะไร? และปรงุ ใหสุกไดอ ยา งไร?), หนา 19. (66) บฮิ ารุล อนั วาร, เลม ที่ 66, หนา 104. (67) วะซาอลิ ุชชอี ะฮ, เลม ที่ 17, หนา 39.

สิ่งท่กี ลา วมาท้ังหมดน้คี ือคาํ พดู ทก่ี ลาวถงึ การตาํ หนแิ ละความนารงั เกยี จ (กริ อฮะฮ) และ กอนทจ่ี ะพดู ถงึ ความเปนสง่ิ ท่ดี ี (มสุ ตะฮับ) และการชมเชย เราจะมาแยกแยะเพอ่ื ใหร ับรถู ึงปรชั ญา ของความเปน สงิ่ ที่ไมดีงาม (มักรหู ) ของเนยแขง็ เสียกอ น “เนยแข็งจะถกู ยอ ยสลาย ซมึ ซับและถูกขบั ถา ยออกมาอยา งชา มาก และทําใหค วามอยาก อาหารลดนอยลง สาํ หรบั ผูท ม่ี ีธรรมชาติของรางกายรอ นหรอื คนขร้ี อ น โทษของมันจะมีนอ ยกวา แตใ นทางกลบั กนั ผทู ่มี ธี รรมชาตขิ องรางกายเย็น (ขีห้ นาว) และมเี สมหะมาก พวกเขาจะไม ปลอดภัยจากโทษของมันในกรณีท่ีรับประทานมนั อยางตอ เนื่อง และเนยแข็งนใ้ี นบางสภาวะจะ กอใหเกดิ อาการจกุ เสียดอยา งรุนแรงมากทเ่ี รยี กวา ‘ileus’ หรือการอุดตนั ของลาํ ไสเล็ก” (68) คงเปนท่กี ระจา งชดั อยา งดที เี ดยี วถงึ การตาํ หนิเนยแข็ง โดยทก่ี ารยอยสลายอยา งลาชา ของมัน ทาํ ใหเกดิ การสูบฉดี ที่มมี ากเกนิ ขอบเขตของระบบการยอยสลาย จงึ เปน สาเหตุของความ เปนสิง่ ที่ไมดี (มักรหู ) ของมนั “จงรําลกึ อยเู สมอวา เนยแขง็ น้ันเปน อาหารแขง็ (ยอ ยยาก) ชนดิ หนง่ึ และจาํ เปน ตอ ง รบั ประทานมนั แทนอาหารตา งๆ ที่ทาํ มาจากเนื้อสัตว หรือควรรับประทานมนั คกู ับอาหารตา งๆ ซึ่ง มคี ณุ คาทางอาหารนอยกวา และถาหากจะรบั ประทานมันเปนของวา งหลังอาหาร จําเปน ตอง รบั ประทานมนั หลงั อาหารออ น (ยอยงา ย) และไมสมควรรบั ประทานมนั หลงั อาหารแขง็ ท่ยี อ ยยาก ซึง่ จะกอ ใหเกดิ ความยากลาํ บากตอกระเพาะอาหารในการยอ ยสลายมนั ” (69) ในตัวอยา งทส่ี ามน้ี เปนสงิ่ ทีด่ ที เ่ี ราจะนาํ คาํ พูดของนกั การแพทยยคุ โบราณผยู ิ่งใหญท าน หนง่ึ มาอางไว ณ ทน่ี ี้ เพือ่ พสิ จู นถ งึ ความเปนสงิ่ ที่ไมควรรับประทาน (มักรหู ) และความเปน อาหาร ท่ียอ ยยากของเนยแขง็ “ธรรมชาติของเนยแขง็ ถือเปน อาหารท่ีมคี วามเยน็ อยูในระดบั สอง ปฏิกิรยิ าและคุณสมบตั ิ ตา งๆ ของมนั คอื ทําใหกระเพาะ ลาํ ไสและไตแข็งแรง ทาํ ใหอารมณดี จะชว ยขบั น้าํ ยอย และเปน อาหารที่ยอยสลายไดชา การรับประทานมันกบั เม็ดในของผลวอลนทั และไทม (70) จะทาํ ใหรางกาย อวนทวนและมผี วิ พรรณนมุ นวล…” (71) คาํ แนะนาํ ของอสิ ลามถงึ ความเปน สงิ่ ท่ีดี (มสุ ตะฮบั ) ของเนยแข็งมีดังนี้ ชายผหู นง่ึ ไดถ ามทา นอมิ ามซอดกิ (อ.) เกยี่ วกับคณุ คา ของเนยแข็ง ทา นไดกลา วกับชายผู นั้นวา “มนั จะทาํ ใหเ กดิ โทษและไมม คี ุณคา ใดๆ” (68) เอาวะลีน คอนชิ กอฮ, เลมที่ 6, หนา 256. (69) เจฮบอยัดโครด วา เจฮก เู นฮ บอยัดพุดต, หนา 251. (70) Thyme คือพืชไมเ ตยี้ จําพวกหนึ่งท่ีมีใบหอม ใชทําเปนเครือ่ งเทศ. (71) มัคซะนลุ อัดวียะฮ, อักษร ‘ญมี ’.

ชายคนเดยี วกนั น้ไี ดม าหาทา นอิมามซอดกิ (อ.) อกี คร้ังในตอนเยน็ เขาไดพ บทา นอิมาม (อ.) กาํ ลังนงั่ อยทู ่ีสาํ รับอาหารเพื่อรับประทานอาหารมอื้ คาํ่ เขาไดเ ห็นภาชนะท่ีใสเ นยแขง็ วางอยู เขารสู กึ ฉงนใจพรอ มกับกลา ววา “เมือ่ ชว งเชานท้ี านกลา วตําหนเิ นยแขง็ แตบ ดั นี้ทา นเองกลบั วาง มันไวในสํารบั อาหารของทา น” ทานอมิ าม (อ.) ไดกลาววา “การรบั ประทานเนยแขง็ ในตอนเชา นนั้ ไมด ี แตส ําหรับตอน เยน็ ในชว งเวลาค่ํานน้ั เปน สง่ิ ท่ดี ี จงรูไวด ว ยวามนั จะชว ยเพ่ิมพลงั ทางเพศอกี ดว ย” (72) อยางไรก็ดี ดงั ทเ่ี ราจะกลา วถึงในภายหลงั วา จดุ ประสงคของการรบั ประทานเนยแข็งใน ชว งเวลาของอาหารคา่ํ นน้ั หมายถงึ การรบั ประทานมนั คกู ับเมด็ ในของผลวอลนัทเทา นนั้ แตท ําไม การรบั ประทานมนั คกู บั วอลนัทจงึ ไมส มควรสาํ หรบั อาหารมือ้ เชา ?! 1.เนื่องจากเนยแข็งมีแคลเซียมอยใู นปริมาณสงู และแคลเซยี มจะทําใหเ กดิ อาการงว ง นอนดว ยเชน กนั ดังนนั้ เวลาที่ดที ่สี ดุ ของการรบั ประทานมันก็คอื ชว งเวลาค่าํ 2.แคลเซียมเปน ธาตคุ ลายหนิ ปนู ทีม่ สี ขี าว จากการทดลองมากมายพบวา แคลเซยี ม สว นมากซงึ่ อยใู นเลือดและในของเหลวทอ่ี ยภู ายนอกเซลลตา งๆ ของรางกายนน้ั มคี ณุ คาทาง อาหารตอสมอง ซงึ่ ในชว งเวลาของการผกั ผอ นและนอนหลับ มนั จะมคี วามตองการแคลเซยี มมาก ขน้ึ แคลเซียมเหลาน้จี ะมาหลอเลี้ยงสมองในชว งเวลาดงั กลาว และจากแคลเซยี มในปรมิ าณมาก น่เี องท่ใี นชว งเวลานอนหลบั จะทําใหส มองมีสขี าว (ดว ยเหตดุ ังกลา วนี้ นกั วิชาการในอดีตคดิ วา ในขณะนอนหลับนัน้ เลอื ดจะไหลออกไปจากสมอง) ฉะนน้ั ในชว งเวลาของการนอนหลับสมองมี ความตอ งการแคลเซียมเพ่มิ มากขึ้น ดงั นนั้ เนยแขง็ ซึ่งเปรย่ี มลนไปดว ยแคลเซยี ม จึงเปน อาหารท่ีดี ทส่ี ดุ สาํ หรบั การนอนทห่ี ลับสนิท และอาหารท่ีดที ส่ี ดุ ในชวงเวลาน้สี าํ หรบั การหลอเลีย้ งสมอง กค็ ือ การรบั ประทานเนยแข็งในชว งเวลาคํ่า (73) ไดกลาวไปแลววา เนยแขง็ นน้ั เปน สง่ิ ที่ไมสมควร (มักรูฮ) ถาหากรบั ประทานมนั เพยี งอยา ง เดียว แตเปน สงิ่ ท่ดี ี (มสุ ตะฮบั ) หากรบั ประทานมนั คูก บั เม็ดในของผลวอลนทั ทา นศาสนทูต (ศอ็ ลฯ) ไดกลา ววา “เนยแขง็ น้ันคอื โรคภยั และวอลนทั นนั้ คอื โรคภยั แต เม่ือท้ังสองอยา งนม้ี ารวมกนั มันจะกลายเปนยารกั ษาโรคภยั ” (74) ทา นศาสดามฮุ ัมมดั (ศอ็ ลฯ) ไดช ้ใี หเ ห็นวา การรับประทานเนยแขง็ เพยี งอยา งเดียวหรือ การรับประทานลูกวอลนทั เพยี งอยางเดยี ว จะกอใหเ กดิ โทษและทําใหเกิดโรคภัยไขเ จบ็ แตถา หาก รับประทานมนั ทงั้ สองควบคูกัน มนั จะมคี ณุ คาและใหประโยชนต อรา งกาย (72) บิฮารลุ อนั วาร, เลมที่ 66, หนา 106. (73) เอาวะลีน ดอนชิ กอฮ, เลมที่ 6, หนา 227. (74) บฮิ ารลุ อนั วาร, เลม ที่ 62, หนา 294.

ณ ท่นี จ้ี าํ เปน ที่เราจะตองรับรวู า ทําไมการรับประทานลูกวอลนทั โดยปราศจากเนยแข็งจงึ มีโทษ?! และตามสํานวนของคํารายงาน (ริวายะฮ) ตางๆ นัน้ ถือเปน สิง่ ท่ีไมสมควร (มกั รหู ) เนย แข็งน้นั เปรยี่ มไปดวยแคลเซยี ม และลกู วอลนทั กม็ ธี าตฟุ อสฟอรสั จากการพจิ ารณาสองคาํ พูด ขา งตน นที้ าํ ใหป ระจักษไ ดว า จาํ เปน ทจ่ี ะตอ งรบั ประทานเนยแข็งควบคกู บั ลกู วอลนทั เนื่องจาก “แคลเซยี มและฟอสฟอรัสเปน ธาตสุ องชนดิ ทมี่ คี ณุ คาและใหประโยชนสงู และธาตุทงั้ สอง นี้ในกรณที เ่ี ขา สรู างกายพรอมกัน จะไมมสี งิ่ ใดที่ถกู ขบั ถายออกมาโดยไรป ระโยชน ดังน้ันถาหาก เรารบั ประทานเนยแข็งโดยปราศจากลูกวอลนัท (คือปราศจากธาตฟุ อสฟอรัส) ซ่ึงหมายถงึ เรา ไดรบั ประทานแคลเซียมในปริมาณมากเขา ไป แตใ นทางกลบั กัน ธาตฟุ อสฟอรัสในรา งกายกลบั ถกู ขับออกมา แตถ า หากแคลเซยี ม (ของเนยแขง็ ) ไดถ กู ประกอบดว ยธาตฟุ อสฟอรัส (ของลูกวอลนัท) การยอ ยสลายและการซึมซับของมันกจ็ ะไดร ับการปฏิบัตอิ ยา งสมบรู ณม ากวา ดกี วา และงายดาย กวา ” (75) ดวยกับความเจรญิ กาวหนา ของศาสตรตา งๆ ทางดา นโภชนาการและการแพทย ทาํ ใหเ รา ประจกั ษไ ดด ีมากยง่ิ ขนึ้ ถึงสาเหตุตางๆ ของการมีสุขภาพพลานามยั ท่สี มบูรณแ ละการมีอายทุ ยี่ นื ยาวของบรรพบุรุษของตน เนอ่ื งจากบคุ คลเหลานน้ั ไดใ ชป ระโยชนจ ากแบบแผนทถ่ี กู จดั ระบบไว อยางดีเย่ียมในทกุ ๆ ดาน โดยไมร ถู งึ ปรชั ญา ปฏิกริ ิยาและการตอบสนองตา งๆ ของมัน และโดย ปราศจากการปฏบิ ัตติ ามผูอืน่ มนั คือแบบแผนหนึง่ ซงึ่ ไมว าความรูจะพฒั นาการไปมากเทา ใด กย็ ่ิง จะประจกั ษถ งึ ความสาํ คญั และคณุ คาของมันมากขนึ้ เทา นน้ั และจากแบบแผนดงั กลาวนเ้ี องที่ พวกทา นเหลาน้ันไดรกั ษาสขุ ภาพพลานามัยของตนเองไวไ ดเปนระยะเวลาอนั ยาวนาน โดยไมม ี การศึกษาจากมหาวิทยาลยั ใดๆ ท้ังสนิ้ และแบบแผนดงั กลาวก็คือแบบแผนของอิสลามนน่ั เอง ไขไ ก จุดประสงคจ ากไขไ กใ นที่น้ี ก็คอื ไขไกทเ่ี ลยี้ งตามบาน อยา งไรก็ดี ไขช นิดอน่ื ๆ ก็ยงั มีอกี ซึ่ง จะกลาวถงึ ในภายหลงั ไขไกแตล ะฟองโดยเฉลย่ี แลว มีนา้ํ หนกั ประมาณ 55 กรมั โดยทป่ี รมิ าณ 5 กรมั ของมันนน้ั เปน เปลอื กไข และทเ่ี หลอื ประมาณ 2 ใน 3 ของมันเปนไขข าว และ 1 ใน 3 ของมนั เปนไขแดง และ มนั ใหพ ลงั งาน 85 แคลอรี ใน 100 สว นของไขไกทีส่ มบูรณป ระกอบดว ย นํา้ ปริมาณ 74 กรมั , โปรตีนจาํ พวกแอลบู มนี 12.8 กรมั , ไขมนั 11.5 กรัม, ธาตุจําพวกกลไู ซด 0.7 กรมั , โซเดียม 81 มิลลกิ รมั , โปแตสเซียม (75) เอาวะลนี ดอนชิ กอฮ, เลม ท่ี 6, หนา 227.

100 มลิ ลกิ รัม, แคลเซียม 54 มลิ ลิกรัม, แมกนเี ซยี ม 13 มิลลกิ รัม, แมงกานิส 0.033 มลิ ลิกรมั , ธาตุ เหล็ก 2.7 มลิ ลิกรัม, ทองแดง 0.253 มลิ ลกิ รัม, ฟอสฟอรัส 210 มลิ ลิกรมั , กาํ มะถนั 197 มิลลกิ รัม, คลอรนี 120 มิลลิกรมั , วติ ามินบ1ี 0.12 มลิ ลกิ รัม, วิตามินบ2ี 0.34 มิลลิกรมั , นิคโคทินนะไมด 0.1 มิลลิกรมั , วิตามนิ อี 1.1 มิลลกิ รมั , วติ ามนิ ดี ปรมิ าณหนึง่ และมวี ติ ามนิ เอ 1140 หนวยสากล เปลอื กไขประกอบดว ย ฟอสเฟต, คารบอเนต, แคลเซียม และแมกนเี ซยี ม และมรี ูเล็กๆ จํานวนมาก ดา นในของเปลอื กมีเน้ือเย่ือบางๆ ปกคลุมอยูส องชนั้ และสวนที่ถัดลงไปของไขไ กจ ะมี อากาศขน้ั กลางอยูระหวา งมัน ปริมาณของธาตอุ าหารตา งๆ ทมี่ ีอยูใ นไขแดง ในไขแดงของไขไกป รมิ าณ 100 กรัม ประกอบดวย นาํ้ 49.9 กรัม, แอลบูมนี 16.3 กรมั , ไขมัน 31.9 กรมั , น้าํ ตาล 0.7 กรัม, โซเดียม 26 มลิ ลกิ รัม, โปแตสเซยี ม 100 มิลลกิ รัม, แคลเซียม 147 มิลลิกรมั , แมกนเี ซยี ม 16 มิลลิกรัม, เหลก็ 7.2 มลิ ลิกรมั , ฟอสฟอรัส 586 มลิ ลกิ รมั , กํามะถนั 194 มลิ ลิกรมั , คลอรนี 124 มิลลกิ รัม, วติ ามนิ บ2ี 0.52 มิลลกิ รัม, วิตามนิ บ1ี 0.32 มลิ ลกิ รมั , วติ ามนิ ดี และวติ ามนิ อปี ริมาณหนงึ่ วติ ามนิ เอ 3210 หนว ยสากล และในปริมาณ 100 กรมั ของ มันนนั้ จะใหพ ลังงาน 355 แคลอรี ปรมิ าณของธาตอุ าหารตา งๆ ทม่ี อี ยูในไขข าว “ในไขขาวของไขไก ปรมิ าณ 100 กรมั ประกอบดว ย นา้ํ 88 กรมั , แอลบูมนี 10.8 กรัม, นา้ํ ตาล 1 กรัม, โซเดยี ม 110 มลิ ลิกรัม, โปแตสเซยี ม 100 มลิ ลกิ รมั , แคลเซยี ม 20 มลิ ลกิ รัม, แมกนีเซยี ม 11 มลิ ลกิ รมั , เหลก็ 0.1 มิลลกิ รมั , ฟอสฟอรัส 10 มิลลิกรมั , กาํ มะถนั 208 มลิ ลกิ รมั , คลอรีน 161 มิลลกิ รมั , วติ ามินบ2ี 0.23 มิลลิกรมั , นคิ โคทนิ นะไมด 0.08 มิลลกิ รมั และใน ปรมิ าณ 100 กรมั ของมันจะใหพลงั งาน 47 แคลอรี” (76) ในทัศนะของอสิ ลาม ไขข องสัตวปกบางชนิดเปน สงิ่ ท่อี นุญาต (ฮะลาล) ใหรบั ประทานได และบางชนิดกเ็ ปน สงิ่ ทีต่ องหา ม (ฮะรอม) กลาวโดยรวมแลวไขของสัตวปก แตละชนิดในความเปน ท่ตี องหาม (ฮะรอม) และความเปน ทอี่ นมุ ตั ิ (ฮะลาล) ของมนั จะเปนไปตามเนื้อของสตั วปกชนิด นัน้ ๆ ซึง่ ไดวางไขของมันออกมา แตถาหากเราไมสามารถรับรูไดว าไขใบนเี้ ปน ไขข องสัตวป กชนดิ ใด? ศาสนาอสิ ลามไดก ําหนดหลักเกณฑอ ยา งหน่ึงไวส าํ หรบั การแยกแยะใหรวู า อะไรเปน ทีอ่ นุมตั ิ (ฮะลาล) และอะไรเปน ส่งิ ตอ งหา ม (ฮะรอม) นัน่ คอื “ไขทกุ ชนดิ ท่สี องดา น (หัวและทา ย) ของมนั มลี กั ษณะคลา ยกนั และเทากัน เปน ส่ิง ตองหามในการรับประทานมนั (ฮะรอม) สว นไขต า งๆ ทด่ี านหนงึ่ (หัว) ของมันมีลกั ษณะกวา งกวา (76) เอาวะลนี คอนิชกอฮ, เลม ท่ี 10, หนา 254.

และอีกดานหนึง่ (ทาย) ของมันมลี กั ษณะทเี่ รียวกวา เปน ทอี่ นญุ าตในการรบั ประทานมนั (ฮะ ลาล)” (77) การรับประทานไขไ กใ นรปู แบบตา งๆ บรรดาผนู าํ แหง อิสลามไดเจาะจงวิธกี ารรบั ประทานไขในรูปแบบตา งๆ ไว ซง่ึ หลังจากการ คน ควา วิจัยของบรรดานกั วชิ าการและนักโภชนาการ ทาํ ใหเ ราเขา ใจถงึ ความสําคัญของวธิ ีการ รบั ประทานเหลา นี้ ในดานคณุ คาและสารอาหารขน้ั พน้ื ฐานของไขไก ในคาํ รายงาน (ริวายะฮ) บทหนึ่งไดก ลา ววา : มีผพู ดู ถงึ ไขไกต อ หนาทา นอมิ ามซอดกิ (อ.) ทานอิมามจึงกลา ววา “ไขไกค อื อาหารออ น (และยอ ยงา ย) มนั จะชวยทําใหค วามตอ งการในการ รับประทานเนอื้ หมดไป และไมม ีโทษภยั เกย่ี วกับเนอ้ื อยูใ นมนั ” (78) ในชว งระยะเวลาหนง่ึ พันกวา ปท ่ีผา นมา ซึ่งยังไมม กี ารวิเคราะหและแยกแยะธาตุตางๆ ของอาหาร ดงั นน้ั คาํ พดู ของทา นอมิ าม (อ.) จึงนับวา เปนสง่ิ มหศั จรรย และสามารถรบั รไู ดจาก คาํ พูดน้ใี นสองประเดน็ คือ 1.คําวา ‘กอรอมนุ ’ ใหความหมายท่ีชวนพศิ วง ความหมายทว่ั ไปของมนั คอื ‘ความอยาก หรือความตอ งการ’ และความหมายของรายงาน (ฮะดษี ) นี้กค็ อื ไขไ กจ ะขจดั ความตองการในการ รับประทานเนอื้ ใหห มดไป เพราะวา มนษุ ยเราบางครงั้ มคี วามอยากทจี่ ะรบั ประทานผักดองและ นํ้าสม สายชู และบางคร้งั กอ็ ยากจะรบั ประทานเนื้อยาง (กะบาบ) บางครั้งเราอยากรบั ประทาน เน้อื สัตว คําวา ‘รอกอ มนุ ’ ในสาํ นวนของทา นอิมาม (อ.) นน้ั สือ่ ความหมายเชน นี้ หมายความวา บุคคลใดก็ตามท่ีรสู กึ วา ตนเองมคี วามตอ งการทจี่ ะรับประทานเนอ้ื สตั ว แตไ มม คี วามสามารถทีจ่ ะ รบั ประทานมนั ได ดงั น้ัน ใหเ ขารบั ประทานไขไกแ ทน 2.ดวยมาตรฐานของวิชาการในปจจบุ นั (ดงั ทเ่ี ราไดก ลา วถงึ ไปแลว เกย่ี วกับปรมิ าณธาตุ อาหารตา งๆ ของไขไก) เนอ่ื งจากไขไกนน้ั มสี ารแอลบมู ีน (โปรตนี ชนดิ หนงึ่ ) ซึ่งเปนรากฐานสาํ คญั สําหรับโครงสรางของเซลลต างๆ มันมคี วามคลายคลงึ และมีสว นรว มกันกับเนื้อสัตว ทานอิมามซอ ดกิ (อ.) ไดกาํ หนดใหไ ขไ กเ ปน อาหารทใี่ ชทดแทนเนื้อสัตว โดยทานมไิ ดเปรยี บมนั กับน้ํามนั หรอื ไขมัน หรอื อาหารและผลไมอ ืน่ ๆ เลย ในคาํ รายงาน (ฮะดษี ) อีกบทหน่ึงมเี นอ้ื ความวา ผรู ายงานฮะดษี ไดก ลาววา : “ฉันไดโอด ครวญกบั ทา นอิมามริฎอ (อ.) เร่ืองการมีลกู มาก ทานอมิ าม (อ.) ไดกลาวกับฉนั วา “เจาจงขออภยั โทษ (อิสติฆฟาร) ตอ อลั ลอฮ และจงรับประทานไขไ กกบั หวั หอม” (79) (77) วะซาอลิ ุช ชีอะฮ, เลมท่ี 17, หนา 62. (78) บฮิ ารลุ อันวาร, เลมที่ 66, หนา 46. (79) บฮิ ารลุ อนั วาร, เลม ที่ 66, หนา 46.

“เราทราบดวี าในไขไ กน ั้นมผี ลอยา งมากตอ การเพ่ิมเลอื ด และดวยเหตนุ ีเ้ องจงึ กลา วกนั วา ไขมนั ของไขแดงประกอบดว ย คอเลสเทอรีน (Cholesterine) และ เลซิทนิ (Lecithin) ซง่ึ สารชนิด ท่ีสองนี้มปี รมิ าณ 8.9 เปอรเซ็นต และมผี ลอยางสูงในการเสรมิ สรา งพลังทางเพศและการสรา ง ตวั สเปรมิ ” (80) และพวกเขายงั กลาวอกี วา “เลซทิ นิ เปน อาหารของบรรดาเซลลประสาท มผี ลอยา งมาก ตอกรณที เี่ ลอื ดไปหลอเลี้ยงสมองนอยและความออ นแอของระบบประสาท แตมเี ง่ือนไขวาจะตอ ง เปน ไขไกทเี่ ลี้ยงตามชนบทมใิ ชไ ขไ กที่ถูกเลย้ี งมาโดยเครอ่ื งจักรกล หมายความวา จะตองไดรบั การ เลี้ยงดูโดยเมลด็ พชื และผกั มใิ ชจากกระดูกปน เลือด นา้ํ มันปลา และแอนตไ้ี ปโอตกิ (สารหรือยา ปฏชิ วี นะ)” (81) และพวกเขายงั กลาวอีกวา “การรบั ประทานไขไกม ากจนเกนิ ไป จะทาํ ใหเปน โรคตา งๆ เกีย่ วกบั หวั ใจและการแขง็ ตวั ของหลอดเลอื ดแดงไดโ ดยงา ย โดยเฉพาะกับผทู มี่ กี ารเคลือ่ นไหว รา งกายนอย” (82) นักการแพทยในยุคโบราณทา นหนงึ่ ไดอ ธบิ ายคณุ สมบตั ขิ องไขไ กไ วเ ชนนวี้ า “ปฏิกิริยาและคุณสมบตั ติ างๆ ของไขไกค ือ ไขแดงมคี ุณคาสูง มสี ารอาหารมาก มกี าก อาหารนอ ย และชวยบาํ รงุ หวั ใจ บาํ รุงสมอง บาํ รงุ รางกาย และเสริมสรา งพลงั ทางเพศ และมี คณุ คา ในการซอ มแซมสภาพของปอด กระเพาะอาหาร ลาํ ไส กระเพาะปสสาวะ การอกั เสบไตและ กระเพาะปส สาวะ และจะชวยบํารงุ กาํ ลงั ผทู ี่สญู เสียเลือดมากหรือออนเพลยี จากการถายเลอื ด” (83) 3.ในการอธบิ ายถงึ คณุ คา อกี ประการ ทา นอมิ ามซอดิก (อ.) ไดกลา ววา “ไขแดงเปนอาหาร ออ นและยอยยาก สว นไขข าวเปน อาหารหนกั และยอยยาก” (84) ขอใหเ รามาพจิ ารณาคาํ สนบั สนุนของนักวชิ าการทงั้ ในอดีตและปจ จุบนั ทกี่ ลา ววา “ไขแ ดง ยอ ยงา ยกวา ไขขาว” “ในปริมาณเดยี วกนั การรบั ประทานไขแ ดงดบิ นนั้ มคี ณุ คา แตการรับประทานไขข าวดบิ กลับมโี ทษ จาํ เปนทเี่ ราจะตอ งรบั ประทานไขข าวที่สุกสมบูรณแ ลวเทา นน้ั ” (85) มุฮมั มัด ซะกะรยี า รอซี แพทยผ ยู ิ่งใหญช าวอิหรา นไดก ลา ววา (80) เอาวะลนี ดอนชิ กอฮ, เลมที่ 10, หนา 248. (81) เอาวะลนี ดอนิชกอฮ, เลมท่ี 10, หนา 248. (82) เอาวะลีน ดอนิชกอฮ, เลมที่ 10, หนา 248. (83) มัคซะนลุ อัดวียะฮ, หนา 116. (84) บิฮารลุ อันวาร, เลม ที่ 66, หนา 47. (85) เอาวะลีน ดอนชิ กอฮ, เลมท่ี 10, หนา 251, 261.

“ไขข าวจะทาํ ใหเกิดเสมหะทห่ี ยาบและเหนยี วขน้ึ จึงจาํ เปนทีจ่ ะตองหลกี เลีย่ งจากมนั ไขข าวกบั นา้ํ สม สายชนู ้ันไมเ ขากัน มนั จะทาํ ใหเน้ือไขแ ขง็ และยากตอ การยอย ในทาง กลับกัน ไขแ ดงกบั นา้ํ นํ้าสม สายชูจะชว ยในการยอยสลายและการดูดซมึ ไขขาวกบั เกลอื และน้ํามนั มะกอกจะสรา งความสมดุลใหเกดิ ข้นึ และจะทําใหก ารยอ ยและ การขับถา ยเปน ไปดวยด”ี (86) เกลือ ‘เกลอื ’ หรอื ‘โซเดียมคลอไรด’ เปน สารอาหารทีใ่ นอิสลามไดส ัง่ เสียไวอ ยา งมาก ทา นศาสนทตู แหง อัลลอฮ (ศอ็ ลฯ) ไดก ลาววา “อาหารจะไมใหค ณุ คาทีส่ มบรู ณได เวน แต ดว ยสอ่ื ของเกลอื ” (87) เกลอื น่เี องทจี่ ะชว ยปรงุ แตงรสชาติของอาหารใหอรอย แตในความเปน จรงิ แลว มนั จะชว ย เพม่ิ คณุ คาใหแ กอ าหาร “นอกเหนอื จากการทดลองตา งๆ ทางดา นวทิ ยาศาสตร และการกอ ปฏกิ ริ ยิ าทางดาน ฟส ิกสของเกลอื ในรา งกายมนษุ ยแ ลว ปจ จบุ ันจากการทดลองคน ควา และวจิ ยั อยางละเอียดออ น มากกวา เดมิ ทําใหเ ราไดร บั รูถงึ ความจาํ เปนของเกลือทมี่ ตี อการดาํ เนนิ ชวี ติ ของมนษุ ย และในการ ทดลองตา งๆ ที่ไดป ฏบิ ตั กิ บั สัตวทงั้ หลาย จะพบวา ระยะเวลาเพยี งหนง่ึ เดอื นทเ่ี กลือไมไ ดเ ขาสู รางกายของสตั ว จะทําใหม นั เสียชีวิตลง ดวยเหตุนจี้ ึงสามารถกลาวไดว า เกลือหรอื โซเดยี วคลอ ไรดเ ปนสว นหนึง่ จากสารอาหารทมี่ ีความจําเปนอยา งยง่ิ ตอ ชวี ติ ของมนุษย” (88) โดยเฉพาะอยา งยงิ่ อิสลามไดส่งั เสียไวว า ใหใชป ระโยชนจ ากเกลือในขณะเริ่มตนและ หลังจากเสร็จส้นิ การรบั ประทานอาหาร ทานศาสนทตู แหง อัลลอฮ (ศ็อลฯ) ไดกลาวกบั ทา นอมรี ุลมอุ มนิ นี อะลี อบิ นอิ บีฏอลบิ (อ.) วา “เจา จงเรม่ิ ตน การรับประทานอาหารของเจาดว ยเกลือ และปดทายมันดวยเกลือ เพราะแทจ ริง ผใู ดก็ตามที่เรมิ่ ตน และปดทา ยอาหารของเขาดว ยเกลอื เขาจะปลอดภยั จากโรคภยั ตางๆ จงึ 72 ชนดิ สวนหนงึ่ จากมนั คือ โรควกิ ลจรติ โรคเร้ือน และโรคผิวดา ง” (89) (86) เอาวะลีน ดอนิชกอฮ, เลม ท่ี 10, หนา 251, 261. (87) ซะฟน ะตลุ บิฮาร, เลมที่ 2, หนา 545. (88) ฏอบบี คอเนวอเดฮ, (แพทยประจําบา น), ดร.มฮุ ัมมัด ฮูเซน ฮาญิบี, หนา 197. (89) ซะฟน ะตลุ บิฮาร, เลม ท่ี 2, หนา 545.

‘โซเดยี มคลอไรด’ (เกลอื ) เปนเกลือแรชนดิ หนงึ่ ทม่ี ีความจาํ เปน ตอ รางกาย และเกลือแร ชนดิ นจ้ี ะทาํ ปฏิกริ ิยาท่สี าํ คัญสองอยา งในรางกาย คอื ปฏิกริ ยิ าทางดา นเคมี และปฏิกิรยิ าทางดาน ฟสกิ ส ปฏิกริ ยิ าทางดานเคมี โซเดยี มคลอไรดจ ะสลายตัวในตอ มตางๆ ของกระเพาะอาหารและลาํ ไสเ ล็ก และจะสรา ง กรดคลอริกในกระเพาะอาหารซ่ึงมีลกั ษณะทีถ่ กู ทาํ ใหสลายตัวแลว ถา หากใหอาหารแกสตั วในชว ง ระยะเวลาหนงึ่ ซง่ึ นานพอสมควร โดยทอ่ี าหารนน้ั ปราศจากโซเดยี มคลอไรดห รอื สารคลอไรดอ่ืนๆ กระเพาะอาหารของมันจะไมหล่งั กรดคลอรกิ หรอื ในทางกลับกนั ถา หากใหโซเดียมคลอไรดหรอื สารคลอไรดอ่ืนๆ ในปรมิ าณมาก ในขณะยอ ยอาหารกรดคลอรกิ ในกระเพาะอาหารก็จะเพม่ิ มาก ขึน้ และปสสาวะจะมีสเี ขมเนอ่ื งจากสาเหตุดงั กลาวน้ี โซเดยี มคลอไรดจ ะทําใหเกดิ ความอยากอาหารมากขน้ึ (เน่ืองจากการผลิตกรดคลอริก) ธาตโุ ซเดยี มซง่ึ เปนผลิตผลจากการสลายตวั ของโซเดียมคลอไรด จะถกู นาํ ไปใชงานในตอมตางๆ ของกระเพาะอาหาร เพื่อสรา งการหลงั่ ตางๆ ของตบั ออ น ปฏิกริ ยิ าทางฟสกิ ส “ไดแ กการจัดระบบการสบู ฉดี ออสโมซิสระหวา งของเหลวตา งๆ กบั บรรดาเซลลในรา งกาย เน่อื งจากดว ยสาเหตทุ ีส่ ารอาหารตางๆ และนํา้ ขณะเขา สรู า งกายทาํ ใหเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าตางๆ ทางเคมี เปนไปไดท่ีจะทาํ ใหส ญู เสียความสมดุลของการสบู ฉดี ออสโมซิส และการสูญเสยี ความสมดุลของ ระบบออสโมซสิ น้จี ะทาํ ใหเ กดิ อันตรายตอ รางกาย ดว ยเหตนุ ้จี งึ จําเปนตอ งมีเกลือแรอ ยูใ นรา งกาย เพ่ือจะทําใหค วามสมดุลดังกลา วน้เี กิดขน้ึ ไดโ ดยงา ยดาย เกลือแรท ่จี ะปฏบิ ตั หิ นาที่ดังกลา วนจ้ี าํ เปนตอ งมคี ณุ สมบตั สิ องประการคือ ประการแรก โมเลกุลของมนั จะตอ งเบาบาง เพอ่ื ใหเ กดิ การเคลือ่ นตวั และการไหลซึมไดโดยงายดาย และอกี ประการหน่ึงคอื ตราบเทา ที่เปน ไปได มันจะตองไมเ ขาสกู ารปฏบิ ตั ิตา งๆ ทางเคมี โซเดียมคลอไรด (เกลอื ) คือเกลือแรชนิดหนง่ึ ท่ีมคี ณุ สมบัตสิ องประการนอี้ ยูในระดบั ทดี่ ี ท่ีสุด โดยทเ่ี มอ่ื ใดกต็ ามท่คี วามหนาแนน จากบรรดาของเหลวในรา งกายในดา นจาํ นวนของโมเลกลุ ไดลดนอยลง มนั ก็จะเขา มาแทนทีส่ ิ่งที่พรองไปเหลา นนั้ ทนั ที และถา หากความหนาแนนนมี้ ี ปรมิ าณมากขนึ้ มันก็จะถอนตวั ออกไป และโดยขนั้ ตอนดงั กลา วนเ้ี อง มนั จะทําใหการสูบฉดี ออสโมซิสดาํ เนินไปอยา งสม่าํ เสมอตลอดเวลา นอกเหนือจากปฏกิ ริ ยิ าสองประการดงั กลา วท่โี ซเดียมคลอไรดไดก ระทํา อาจคาคคะเนได วา มนั มีบทบาทในการปฏิบัติการตา งๆ ตอ การเผาไหมข องรา งกาย และการขับสารตา งๆ ท่ีเปน อันตรายอันเปน ผลมาจากการเผาไหมน น้ั การขบั ถา ยยเู รยี อะไมดตางๆ และสารอ่นื ๆ อกี

บางอยา ง จะถูกกระทําโดยไตซ่ึงอาศยั การชว ยเหลือของเกลือแรทีม่ ลี กั ษณะเปน ดาง โดยเฉพาะ อยางยงิ่ สารโซเดียมคลอไรด รา งกายของมนษุ ยม ีความตอ งการสารโซเดียมคลอไรดโดยเฉลีย่ วนั ละประมาณ 7-8 กรัม และปรมิ าณดังกลา วนเี้ ปน ไปไดทีจ่ ะเขา สรู า งกายดว ยการรับประทานอาหารตา งๆ แตใ นบางคร้งั อาหารดงั กลาวอาจไมเพียงพอตอรางกาย และจําเปน ที่เขาจะตองเพ่ิมมนั เขาไปในอาหารของตน” (90) จําเปน ทจ่ี ะตองกลาวยาํ้ วา คาํ แนะนาํ ในการรบั ประทานเกลอื กอ นและหลงั อาหาร สาํ หรับ ผทู ี่มสี ภาพปกตแิ ละมีสุขภาพรางกายทสี่ มบูรณ แตหากบุคคลใดท่ีมคี วามเจบ็ ปว ยในโรคบางอยา ง เปน การเฉพาะ ซงึ่ ไดถูกจาํ แนกแยกแยะแลววาเกลือเปน อันตรายสาํ หรับเขา จาํ เปน ทเ่ี ขาจะตอ ง ยับยงั้ ตนจากการรบั ประทานเกลือ จนกวา จะไดรบั การเยียวยารกั ษาจนสมบรู ณ จําเปน ตอ งกลา วยา้ํ อกี เชน กนั วา ตามคาํ แนะนาํ ของอสิ ลามทีใ่ หร ับประทานเกลือกอนและ หลงั อาหารนน้ั จะตองรบั ประทานในปรมิ าณที่เลก็ นอย หมายความวา จงอยา คดิ วา การ รบั ประทานเกลอื มากๆ จะทาํ ใหเกิดคณุ คา มากขนึ้ ซง่ึ ในความเปนจริงแลวสิ่งนน้ั จะนําอนั ตรายมา สูต นเอง เพราะในตวั ของอาหารตา งๆ นนั้ กม็ เี กลืออยใู นปรมิ าณหนงึ่ แลว ตอ ไปนจ้ี ะขอยกตวั อยา งอาหารตา งๆ ในปรมิ าณ 1 กโิ ลกรัม ตอปรมิ าณของเกลือในอตั รา เปน กรัม คือ นมสด 1.5 - 2 กรมั เนยสด 11 - 14 กรมั ไขไก 0.35 กรัม ปลานาํ้ จืด 0.48 กรมั ปลาทะเล 5 กรัม ถ่วั ลันเตา 0.68 กรมั ถั่วเหลอื ง 0.50 กรัม ถ่วั แขก 1.40 กรัม มันฝร่ัง 0.85 กรมั ขาวเจา 0.07 กรมั ผลไมตางๆ มปี ระมาณ 0.25 กรมั น้ําสม สายชูหมัก (90) เพเซชก คอเนวอเดฮ, หนา 200.

‘นํา้ สม สายชหู มกั ’ เกิดขึ้นจากผลของการหมกั เหลา องนุ หรืออนิ ทผลัมดว ยเชือ้ ราชนดิ หนง่ึ น้ําสม สายชหู มักประกอบดว ย กรดอะซติ ิก (Acetic acid) 7-8 เปอรเ ซ็นต และมกี รดเมลคิ (Malic acid) และกรดทารแ ทรกิ (Tartaric acid) ในปรมิ าณหนง่ึ ซง่ึ โดยรวมแลว ประมาณ 2-3 กรมั ใน 1 ลติ ร “กรดตางๆ ทก่ี ลา วไปจะชวยกระตนุ การดูดซึมของเซลลต างๆ ของตบั และน้ําดี ซงึ่ ผลของ มนั ก็คอื จะชวยยับยงั้ การมสี ารยูเรยี และไขมนั ในเลอื ดมาก” (91) ในทัศนะของอสิ ลาม นํา้ สม สายชหู มกั ถอื เปน นาํ้ แกงชนิดหน่งึ ซง่ึ ถกู เนน ย้าํ เปน อยา งมาก และเปนอาหารของบรรดาผูนําทางศาสนา มีรายงานจากทานอมิ ามซอดิก (อ.) ซงึ่ ทา นกลา ววา “ทา นอิมามอะลี (อ.) มีความคลายคลึงกบั ทา นศาสนทตู แหงอลั ลอฮ (ศอ็ ลฯ) มากที่สดุ ใน หมูมวลมนุษยใ นดานการรับประทานอาหาร ทา นมกั จะรับประทานขนมปง นํ้าสม สายชู และ นํ้ามนั มะกอกอยูเ สมอ ในขณะทท่ี า นแนะนาํ ใหประชาชนรบั ประทานขนมปง และเนอื้ สัตว” (92) ‘นา้ํ มนั มะกอก’ ถือวา เปน อาหารทมี่ ีความมหศั จรรยอ กี อยางหนึ่ง ซงึ่ เราจะกลา วถงึ ในสวน ของนํา้ มนั ทา นอมิ ามซอดกิ (อ.) ไดเลาวา ทานอมรี ลุ มอุ ม ินนี (อ.) ไดก ลาววา “นํ้าสม สายชูชา งเปน แกงท่ีดียงิ่ เสียนี่กระไร! มันจะทาํ ใหนา้ํ ดีแตก (เรียกนาํ้ ยอ ย) และจะทาํ ใหห วั ใจมีชวี ติ ชวี า” (93) ความสาํ คญั ของคาํ รายงานเหลา นีเ้ ปน ทีป่ ระจกั ษชดั ดวยความเจรญิ กา วหนา มากข้ึนของ วิทยาการและศาสตรตางๆ “หากเรารบั รวู า การหลงั่ สารตางๆ ของกระเพาะอาหาร มคี วามจาํ เปน อยางยงิ่ ตอการยอย อาหาร และการหลง่ั เหลา น้เี องทม่ี ผี ลตอ ธาตอุ าหารตา งๆ และมนั ทาํ ใหง ายตอ การดดู ซึมเขาสู รา งกาย และเชนเดียวกนั หากเรารูวา การทํางานของตับและการหลง่ั ของนาํ้ ดี จะทาํ ใหการปฏบิ ัติ หนา ที่และการหลัง่ ตางๆ ของกระเพาะอาหารเปนไปอยางสมบูรณ และจะดดู ซมึ สารอาหารได อยางสมบรู ณ และเชน เดียวกนั หากเรารตู ามสํานวนที่วา ตบั ขีเ้ กียจทํางาน ซงึ่ จะเปนสาเหตทุ าํ ใหเ กดิ ความเจ็บปว ยตา งๆ ขึ้นในรางกาย อยา งเชน ความเมื่อยลา อาการขมปาก และแมแ ตก าร คล่ืนเหยี นอาเจียรและอาการทองผกู เมอื่ ถงึ เวลานัน้ จะทาํ ใหเ ราไดป ระจกั ษถ งึ คุณคาตา งๆ ของ (91) เพเซชก คอเนวอเดฮ, หนา 177. (92) วะซาอิลชุ ชีอะฮ, เลม ท่ี 17, หนา 64. (93) วะซาอลิ ชุ ชีอะฮ, เลม ที่ 17, หนา 66.

นํา้ สมสายชหู มัก ท่จี ะชว ยกระตนุ การหลงั่ ตา งๆ ของกระเพาะอาหาร และจะทาํ ใหตบั ทาํ งานมาก ขึ้น และจะเปน สาเหตุของการหลงั่ น้ําด”ี (94) ในคําแนะนาํ ตา งๆ ของอิสลาม นาํ้ สม สายชหู มักนอกจากจะจัดวาเปนนา้ํ แกงสาํ หรับจ้ิม ขนมปง แลว ในคํารายงานอกี จาํ นวนมากยังไดเ นน ใหเร่มิ ตน และสน้ิ สุดการรับประทานอาหารดวย กับนา้ํ สม สายชหู มกั ทา นอมิ ามซอดิก (อ.) ไดก ลา ววา “นํา้ สมสายชหู มกั จะชว ยบาํ รงุ สมอง” (95) บรรดานกั วชิ าการทม่ี ีความเชี่ยวชาญทางดานสารอาหารมคี วามเชื่อวา จาํ เปน ตอ ง รับประทานนา้ํ สม สายชหู มักในปรมิ าณเลก็ นอยในทกุ ๆ วัน ซง่ึ ไมเ พียงแตจะชวยในการยอ ยอาหาร เทา น้ัน แตจ ะเปน สาเหตุทาํ ใหเ กดิ การขบั สารยเู รยี และการเผาไหมไขมนั ในเลือดอีกดว ย “โดยทั่วไปสลดั ในทุกประเทศทั่วโลก จะถกู ปรุงข้นึ ดวยนํา้ สม สายชหู มัก และเชน เดยี วกนั บรรดาผกั ดองชนดิ ตางๆ ทถ่ี กู ทาํ ขน้ึ โดยนํ้าสม สายชหู มักจะชวยในจุดประสงคด ังกลา วนเี้ อง” (96) ในคํารายงาน (รวิ ายะฮ) บทหน่งึ ทา นอมิ ามซอดกิ (อ.) ไดอ ธบิ ายถงึ คณุ สมบตั ิตา งๆ ของ นํา้ สมสายชหู มกั โดยกลาววา “นาํ้ สม สายชูหมกั จะทาํ ใหหวั ใจใสสะอาด” และทานกลา วอกี วา “น้าํ สม สายชหู มักจะทาํ ใหเ หงอื กแขง็ แรง และจะชวยฆา เชอื้ โรคตางๆ ในกระเพาะอาหารและจะชว ยบาํ รงุ สมอง” (97) นํ้าสมสายชหู มกั มีวธิ ที าํ 2 วธิ คี ือ 1.นาํ น้ําองนุ หรอื ลกู องนุ มาเทลงในภาชนะเคลือบดินเผา และใสเชอ้ื นํ้าสมสายชลู งไปใน ปริมาณเล็กนอ ย จากนนั้ ปด ปากภาชนะใหแนน ดวยปูนปาสเตอรและนําไปวางไวกลางแสงแดดท่ี รอ นจดั หลงั จากนนั้ เมอ่ื ถึงเวลามนั กจ็ ะกลายเปน นา้ํ สม สายชหู มกั 2.นาํ นาํ้ องุนใสลงไปในภาชนะกระเบอื้ งหรือภาชนะเคลอื บดนิ เผา และปดปากภาชนะให แนน แลว วางไวก ลางแสงแดดจนกระทั้งกลายเปน ไวน หลังจากทม่ี ันกลายเปน ไวนแ ลว ใหเ ท น้าํ สม สายชูปริมาณเล็กนอ ยลงไป แลว ปดฝาอกี คร้งั หนง่ึ หลงั จากนนั้ ไมน านมนั จะกลายเปน น้ําสมสายชู เชน เดยี วกนั น้ี นํา้ สมสายชหู มกั สามารถทําไดโดยหนทางของอิสตฮิ าละฮ (การเปล่ียน สภาพ) หมายความวา หลงั จากท่ีมนั ไดก ลายเปน ไวนแลว มนั จะกลายเปน น้าํ สม สายชูดว ยตัวของ มนั เองโดยไมต องเตมิ นา้ํ สม สายชูลงไปอกี (94) เพเซชก คอเนวอเดฮ, หนา 177. (95) ซะฟนะตุล บิฮาร, เลม ที่ 1, หนา 424. (96) เพเซชก คอเนวอเดฮ, หนา 178. (97) วะซาอลิ ชุ ชีอะฮ, เลมที่ 17, หนา 69.

ในคาํ พดู ของทา นอมิ ามซอดิก (อ.) ทกี่ ลาววา ‘น้ําสม สายชหู มกั ’ นัน่ คือน้าํ สม สายชทู ไ่ี ด จากการกระทาํ ในสองวธิ นี ้ี ในสวนทา ยนจี้ าํ เปนตอ งกลา วถงึ ประเดน็ ทสี่ ําคญั อกี ประเด็นหนงึ่ นนั่ ก็คือ นา้ํ สม สายชู หมกั จะเปน ตวั ปอ งกนั ความเจบ็ ปวยตา งๆ ท่ีอาจจะเกดิ ข้ึนกบั ผทู ม่ี สี ขุ ภาพรา งกายทป่ี กติ แตหาก ผปู วยทแ่ี พทยไ ดห ามเขารบั ประทานนาํ้ สม สายชหู มกั เขาจะตองไมรบั ประทานมนั ดังน้นั หากเขา รับประทานมนั คณุ ประโยชนจ ากความเปน เปนสงิ่ ทีส่ มควรรับประทาน (มุสตะฮับ) ทก่ี ลา วมา ขา งตน จะไมเ กิดข้ึนกับเขา.

หมวดที่ 3 ผลไมตางๆ หมวดท่ี 3 ของหนงั สือนี้คือเรอ่ื งของ ‘ผลไม’ ความสาํ คัญทอ่ี ิสลามไดก ลา วถงึ เกี่ยวกับเรือ่ ง ของผลไมนั้นมมี ากกวา อาหารประเภทอนื่ ในคัมภีรอ ัล กุรอาน มีโองการมากมายท่ีกลา วถงึ ชื่อของ บรรดาผลไมไ วโ ดยรวม และไดก ลาวถงึ ผลไมเ หลา น้ันวาเปน หลกั ฐานบงบอกถงึ ความยิ่งใหญของ พระผูทรงสรา ง และบางโองการก็กลา วถงึ ช่ือของผลไมไ วอ ยา งเจาะจง บางโองการกลาวถงึ ผลไมทงั้ โดยรวมและชือ่ เฉพาะของมันไว ดงั โองการตอไปนี้ “และพระองคค ือผูทรงบันดาลสวนตา งๆ ซ่ึงมที ง้ั ไมเ ลือ้ ยและมิใชไ มเ ลอื้ ย และ (ทรงบนั ดาล) ตนอินทผลมั และพืชไร ท่ีผลของมนั แตกตางกนั รวมทง้ั ซยั ตูน (ตนมะกอก ชนดิ หนึง่ ) และตน ทบั ทมิ มที ั้งลักษณะท่คี ลา ยคลงึ กันและไมค ลา ยคลงึ กนั พวกเจา จง รับประทานจากผลของมนั เถดิ เมอื่ มันออกผล…” (อลั อนั อาม/141) ในโองการนี้ไดก ลาวถงึ อนิ ทผลัมและพชื ตา งๆ (เชน ขา วเจา ขา วสาลี ขาวบาเลห  เปน ตน) มะกอกและทบั ทมิ จําเปน จะตองรบั รูไวอ ยางหน่งึ วา บรรดาผลไมท ่ชี ื่อของมันถกู กลา วไวในคัมภีร อัล กรุ อาน เปน ผลไมท่ีมคี ณุ คาทางอาหารสงู สง ยงิ่ นัก ซงึ่ ผลไมอ ่นื ๆ ไมอาจเทียบไดเลย ความสาํ คัญของผลไมใ นมุมมองของทา นศาสดาแหงอสิ ลาม (ศอ็ ลฯ) ชางมากมายยิง่ นัก ซึ่งปรากฏในคาํ รายงานบทหนงึ่ วา เม่อื ผลไมสดๆ ถกู นาํ มามอบใหทา นศาสนทูตแหง อัลลอฮ (ศอ็ ล ฯ) ทานจะจบู มันและวางมันลงบนดวงตาทงั้ สองของทาน และทา นจะกลาววา “โออ ัลลอฮ! พระองคไ ดทรงใหเ ราไดเ หน็ ในชว งเริ่มตนของมนั ดงั นน้ั โปรดทาํ ใหพ วกเราไดเ หน็ ชวงทายของมนั ดว ยเถดิ ” (1) จากคํารายงาน (ริวายะฮ) บทน้ี เราไดร ับรู 2 ประเด็นสาํ คัญคือ 1.การใหเกยี รตติ อความโปรดปราน (เน๊ยี ะอมตั ) ตา งๆ ของพระผูเปน เจา ทง้ั นี้เนอ่ื งจาก พระเดชานุภาพ (กุดเราะฮ) และความรอบรขู องพระผูเปนเจา ไดถกู สาํ แดงออกมาอยา งสมบรู ณใ น ผลไมแตละชนิด จากตน ไมท แี่ หงเหย่ี ว (ในฤดูแลง ) ระยะเวลาผานไปเพียงไมก เ่ี ดอื น มนั ไดใ หผลท่ี สวยสด มีสีสรรท่ีสวยงาม และมีกลน่ิ ทหี่ อมหวนชวนรบั ประทาน 2.ความสาํ คัญและความยงิ่ ใหญข องผลไมใ นดา นของสารอาหารและคณุ คา ตางๆ ของมนั ที่มตี อสุขภาพพลานามยั และการรกั ษาความหนมุ แนนของมนษุ ยไ ว (1) บิฮารุล อนั วาร, เลมท่ี 66, หนา 119.

เปนสงิ่ ท่ดี ที เี ดียวทเี่ ราจะรับรถู งึ บทบาทสาํ คญั ของผลไมที่มีตอ สขุ ภาพของมนษุ ย จาก คาํ พดู ของนายแพทยท ่ีมีความเชีย่ วชาญในเรือ่ งโภชนาการทา นหนงึ่ คอื ดร.โอโตคารก ซงึ่ ไดก ลา ว วา “เงินทกุ บาททกุ สตางคท ่ีทา นทงั้ หลายไดใชจ า ยไปในการซ้อื ผลไมตา งๆ นน้ั มนั คือตน ทนุ ที่ ถูกเก็บรักษาไวเปนอยางดี และจะชวยเพม่ิ ภมู ติ า นทานโรคตางๆ ใหแ กทาน พวกทา นอาจจะกลา ว วาผลไมต า งๆ มรี าคาแพง แตขา พเจา ขอถามพวกทา นวา แลว ยารักษาโรคเลา! ราคาเปน อยา งไร?” (2) ผลไมค ือแหลงของเกลือแร ในบรรดาผลไมน้นั มีสารอาหารประเภทตา งๆ ทใ่ี หป ระโยชนต อรา งกายของเราอยูมาก ทีเดียว ตวั อยา งเชน 1.ธาตเุ หล็ก : ธาตุเหล็กของผลไม มีบทบาทสาํ คญั ในการสรา งเมด็ เลอื ดแดงในกรณขี อง การขาดเลือดและโรคโลหิตจางของสตรี และเมือ่ เปรยี บเทยี บกับธาตุเหล็กทม่ี อี ยใู นเนอ้ื สัตวและไข แลว ยังมีจุดเดน กวา ตรงทมี่ โี ปรตนี จําพวกแอลบูมนิ (Albumin) (3) อยใู นปรมิ าณสูง จงึ ไมทาํ ใหเกดิ ความผดิ ปกตใิ นรางกาย 2.แคลเซยี ม : แคลเซียมเปน สารอาหารท่ใี หค ณุ ประโยชนต อ รา งกายในการเสรมิ สราง กระดูก และเปน สิ่งจาํ เปน สาํ หรับโรคชนิดตางๆ เชน วณั โรค ฝห นองตา งๆ โรคมะเร็ง การอักเสบ และการติดเชอ้ื ของตอ มตางๆ และสารอาหารท่ีมีอยมู ากในผลไมค อื แคลเซยี มนน้ั เปนท่ีตอ งการ ของรางกาย 3.ฟอสฟอรัส : ฟอสฟอรสั คอื สารอาหารชนิดหนึ่งซงึ่ เปน ส่ิงจาํ เปน อยา งมากตอสมองและ พลังงานของกลามเนอ้ื ตา งๆ และจะชว ยตา นทานโรคตางๆ เกย่ี วกับระบบประสาท ทานโปรเฟสเซอรบูชาร ไดก ลา ววา “หากปราศจากฟอสฟอรสั เซลลตางๆ กไ็ มส ามารถ เพ่มิ จาํ นวนและเจริญเติบโตได” 4.แมกนเี ซียม : แมกนีเซยี มเปน สารอาหารทมี่ อี ยมู ากในผลไม และการมีอยขู องมันจะ ชวยทําใหกระเพาะและลาํ ไสต า งๆ ปฏิบัตหิ นา ที่ของมนั และจะชว ยทําใหการยอ ยสลายอาหารงา ย ข้นึ และดีขน้ึ จะชว ยในการจดั ระบบการทาํ งานของประสาทสว นตา งๆ และจะชวยยบั ยง้ั โรคมะเรง็ 5.โปรแตสเซยี ม : โปรแตสเซียมจะชว ยเสริมสรางความเขมแขง็ ใหกบั หัวใจ และชว ยใหม ี การขบั ถายปส สาวะไดม ากข้ึน จะชวยทาํ ใหการทาํ งานของลําไสตางๆ เขมแขง็ และมีการขบั ถา ยท่ี (2) ซบั ซีฮอ วา มีเวฮฮ อเย ชะฟาบัคช, หนา 118. (3) โปรตนี ชนิดหน่ึงท่พี บในไข นม เนอ้ื สัตว ซง่ึ จําเปน ตอ การเจริญเติบโตของรางกาย (ผูแ ปล).

ดี คนจีนและคนญ่ีปนุ จะรับประทานขา วเจากนั มาก ดังทีพ่ วกทานทง้ั หลายกท็ ราบดีวา ขาวเจานน้ั มี ธาตุโปรแตสเซยี มอยู ดว ยเหตนุ พี้ วกเขาจงึ ไมค อ ยประสบกับปญ หาโรคเกาตแ ละโรคมาตสิ ซึม 6.โซเดียม : ธาตโุ ซเดยี มจะชวยจดั ระบบการทาํ งานตา งๆ ของลําไส 7.กาํ มะถัน : สารกํามะถนั จะชว ยฟอกเลือดใหส ะอาดและตานทานการติดเชือ้ และมี ประโยชนใ นการปอ งกนั การติดเช้อื ภายในรา งกาย โรคผวิ หนงั ตา งๆ และโรคหลอดลมอกั เสบ 8.ซิลิคอนไดออกไซด : จะชว ยทาํ ใหกระดกู และเสนเลือดตา งๆ เกดิ ความแขง็ แรง ทาํ ให ระบบการไหลเวยี นของเลือดดาํ เนินไปดว ยดี และจะชว ยรักษาโรคกระดกู ออ นและการแข็งตัวของ เสน เลอื ดใหญ 9.ไอโอดีน : มคี วามจาํ เปน ตอ การทาํ งานของตอมตา งๆ และการหลงั่ ภายในรา งกาย โดยเฉพาะอยา งยงิ่ การหลง่ั ของตอมไทรอยด ไอโอดีนจะตานทานโรคลักกะปด ลกั กะเปด และจะ ชว ยขบั ถา ยปส สาวะไดมากข้นึ และจะชว ยเยยี วยารกั ษาโรคเกี่ยวกบั ตอมน้ําเหลอื ง โรคกระดูก ออน โรคหนองใน โรคเกาต และโรคโรมาตสิ ซมึ 10.อารซะนคิ (สารหน)ู : อารซะนคิ จะใหพ ลังงาน จะชว ยยับย้ังวณั โรค เมอื่ รางกายเกิดมี อาการไขต ัวรอน ธาตุเหลก็ และเกลอื แรต า งๆ ในรา งกายจะถกู ทาํ ลายไปมาก ดว ยเหตุนผี้ ทู เ่ี ปน โรค ไขไทฟอยดหรอื อดี ําอีแดง (Scarlet) พวกเขาจําเปน ตองกนิ ผลไมใหมากๆ 11.นาํ้ ตาล : นา้ํ ตาลทม่ี อี ยใู นอาหารจาํ พวกผลไมแ ตกตางจากน้ําตาลโดยทว่ั ไปและเปน ส่ิงทด่ี ีกวา มาก นา้ํ ตาลของผลไมมคี วามจําเปน อยางมากในการเสรมิ สรางพลงั งานใหแ กก ลามเน้อื ตางๆ ของเรา นาํ้ ตาลของผลไมประกอบดว ย ‘คลโู คส’ และ ‘ลูโลส’ ซง่ึ จะถกู ยอ ยสลายและถกู ดดู ซึมเขาสรู า งกายโดยตรง และมนั ไมเ หมอื นกับนา้ํ ตาลโดยทวั่ ไป “น้ําตาลของผลไมเปนทีอ่ นญุ าตสาํ หรบั บคุ คลท่ีตอ งงดเวน (จากอาหารตางๆ) เพราะ นาํ้ ตาลประเภทน้ีเปน สงิ่ ท่ีมปี ระโยชนต อ พวกเขา” (4) จงอยาปลอกเปลอื กของผลไม คําสอนอนั สงู สง ของอสิ ลามอีกประการหนงึ่ ภายหลังจากทก่ี าลเวลาไดผา นพน ไปนับสบิ ศตวรรษ บรรดานกั วชิ าการจงึ ไดค น พบปรชั ญาและวทิ ยปญ ญาของมนั นนั่ คอื การไมปลอกเปลอื ก ของผลไม ขอนาํ ตัวอยา งหนง่ึ จากคําพดู บรรดาผูน ําผบู ริสุทธ์ิแหง อสิ ลามมาเสนอเพื่อใหท า นผูอา น ไดประจักษ ทา นอมิ ามซอดกิ (อ.) ไดเ ลาถึงจรยิ วัตรของบิดาของทา น คือทา นอมิ ามบากริ (อ.) โดย กลาววา “ทานรังเกียจทจ่ี ะปลอกเปลือกของผลไม” (5) (4) ซับซีฮอ วา มีเวฮฮ อเย ชะฟาบัคช, หนา 119.

เนอ่ื งจากเปลอื กของผลไมตอ งเผชิญกับอากาศและแสงแดดอยตู ลอดเวลา มนั จงึ มวี ติ ามนิ ตางๆ ในปริมาณทมี่ ากกวา เนื้อของมนั โดยเฉพาะวิตามนิ เอ “ในอกี ดา นหนงึ่ เปลือกของผลไมมี ‘ไดอสั เทส’ (Diastase) อยูหลายชนดิ และหนึ่งในนน้ั กค็ ือ ‘เอนไซม’ ชนิดหนงึ่ ซึง่ จะเปลย่ี นสารอาหารชนดิ หนงึ่ ไปเปนอกี ชนดิ หนง่ึ ในลกั ษณะเชนน้ี เปน ไปโดยธรรมชาตจิ ากการชวยเหลือของไดอสั เทสชนิดตางๆ ท่รี วมอยูใ นเปลอื กของผลไม จึงทํา ใหเ นอ้ื ของผลไมสามารถยอ ยสลายและดดู ซมึ ไดงาย ดวยเหตนุ หี้ ากเราปลอกเปลือกผลไมทง้ิ ไป เทา กบั เรานั้นไดท ําในสง่ิ ที่เปน ความผิดพลาดอยางมหนั ต” (6) จงลา งผลไม คาํ แนะนําสงั่ สอนอีกประการหนง่ึ ของอิสลาม คือการลางผลไมก อ นการรบั ประทาน จาก การพัฒนาการในดา นความรู ในแตละวนั ความล้ลี ับในหลกั คําสอนของอิสลามกจ็ ะถกู เปดเผยขึ้น และจะเปน เครือ่ งพิสจู นถ ึงความยิง่ ใหญของผนู าํ อสิ ลามตอบรรดาชาวโลกทัง้ มวล สวนหนงึ่ จากคาํ พูดของบรรดาผูนาํ ผบู รสิ ทุ ธ์ขิ องอิสลาม เกยี่ วกบั การลางผลไมก อ นการ รบั ประทาน คอื คําพดู ของทา นอิมามซอดกิ (อ.) ที่กลา ววา “สําหรบั ผลไมท ุกชนดิ นนั้ มพี ษิ ดังนน้ั เมอ่ื ทานทงั้ หลายไดรบั มันมา พวกทา นจงทําความ สะอาดมนั ดว ยน้าํ หรือจุมมนั ลงไปในนาํ้ ” (7) “บรรดาผลไมท ี่วางขายอยูตามรา นขายผลไม หรอื ตามขา งทางสญั จรไปมา เปน ไปไดว า อาจเปรอะเปอ นไปดวยเชื้อโรคตางๆ เช้อื โรคจํานวนมากจะอยเู ฉพาะท่เี ปลอื กของผลไม โดยจะไม ผานเปลือกเขาไปสเู นื้อในของมนั ดังนนั้ หากเรานาํ ผลไมตางๆ ที่เราซือ้ มาจากตลาดไปลา ง เรากจ็ ะปลอดภยั มากกวา และ ย่งิ ไปกวา นนั้ หากผลไมเ หลา นัน้ ถกู ฉดี พน สารเคมี การลา งกจ็ ะทาํ ใหสารพษิ เหลา นนั้ ถูกขจัด ออกไปจนหมด” (8) บรรดาผลไมส วรรค ‘ผลไมส วรรค’ นนั้ มหี ลากหลายชนิด แตล ะชนิดมีคุณคา ทางอาหารเฉพาะตวั ของมัน แต ทา มกลางผลไมท ั้งหมดเหลา น้ี มีบางชนดิ ทม่ี ีคุณคาทางดา นโภชนาการและมสี ารอาหารทีจ่ ําเปน (5) บิฮารลุ อนั วาร, เลมท่ี 66, หนา 116. (6) ซับซฮี อฮ วา มเี วฮฮอเย ชะฟาบคั ช, ลโิ อเนส คารล ิเยฮ, หนา 126. (7) บิฮารุล อนั วาร, เลม ที่ 66, หนา 118. (8) ซับซีฮอฮ วา มเี วฮฮ อเย ชะฟาบคั ช, หนา 126.

ตอชีวติ มนุษยม ากกวา อิสลามไดใหค วามสําคญั ตอผลไมดังกลาวน้ีเปนอยางมาก และแนะนาํ ให รูจกั ในฐานะ ‘บรรดาผลไมแ หง สวรรค’ ทานอมิ ามซอดกิ (อ.) ไดก ลาวเกยี่ วกับเรอ่ื งนวี้ า “หา ชนดิ จากผลไมส วรรคซง่ึ มอี ยใู นโลกนี้ (ดนุ ยา) คอื ทบั ทมิ , แอปเปล , ซะฟร ญลั ,(9) องนุ และอนิ ทผลัม” (10) และเชน เดยี วกนั ในคมั ภรี อ ลั กรุ อานก็ไดก ลาวถงึ ผลไมเ หลานไี้ ว รวมทงั้ ‘ซัยตูน’ (มะกอก) และ ‘มะเดอื่ ’ เพอ่ื ทจ่ี ะอธบิ ายถงึ คุณคาทางอาหารของผลไมเหลา นี้ จะขอเรมิ่ ตน ดว ยทบั ทิมซง่ึ ก็ เปนสว นหนง่ึ จากผลไมสวรรค ทบั ทิม (Pomegranate) ‘ทับทมิ ’ เปนผลไมที่มชี อ่ื ทางวทิ ยาศาสตรว า ‘Punica granatum’ มชี ื่อภาษาอาหรับวา ‘รุมมาน’ และภาษาฮบิ รู (อิสราเอล) วา ‘รมี นู ’ ถ่ินกําเนดิ ของมันบางคนเช่อื วา อยูในประเทศอหิ รา น แตป จ จุบนั สามารถพบไดท วั่ ไปในประเทศตางๆ ทว่ั โลก มีถน่ิ กาํ เนดิ ทยี่ าวนานในประเทศอหิ ราน เมื่อประมาณ 4,000 ป สว นประกอบตา งๆ ของผลทบั ทิม “ในผลทบั ทมิ มปี ริมาณของนาํ้ อยู 74 เปอรเซน็ ต มเี มลด็ อยรู ะหวา ง 60-66 เปอรเ ซน็ ตของ ผลทบั ทมิ และ 80-85 เปอรเซน็ ตข องผลทบั ทิมน้นั เปน น้ําหรอื น้าํ หวานของผลทบั ทมิ ดว ย อตั ราสวนดงั กลา วนี้ 50 เปอรเ ซ็นตของผลทบั ทมิ จึงเปนนา้ํ ของมนั นํ้าหนกั เฉพาะของนาํ้ ในผล ทับทมิ โดยเฉลยี่ แตล ะลกู มีประมาณ 151 กรมั และใน 1 กิโลกรมั ของนา้ํ ทบั ทมิ มสี ารละลายอยู ประมาณ 145 กรัม ซึง่ ไดแก กลูไซด โปรตนี ลิปค กรดสําคญั ตางๆ (Organic acid) กรดแทนนนิ วติ ามนิ ชนิดตา งๆ และเกลือแร ในผลทบั ทมิ ทมี่ ีรสหวาน ใน 100 กรมั จะมีคลูโคสประมาณ 9-10 กรัม และในผลทบั ทมิ ท่ี มรี สเปรี้ยวอมหวาน จะมคี ลโู คสประมาณ 7-8 กรมั และผลทับทมิ ในแถบภาคเหนือของอิหรา นทม่ี ี รสเปร้ียว จะมคี ลูโคสประมาณ 4-5 กรมั …กรดตางๆ ทม่ี อี ยูใ นผลทบั ทมิ ไดแก ‘กรดทารเ ทริก’ (ซ่ึง จะชว ยใหเกิดการหลงั่ ไดด ใี นตบั ออน) ‘กรดซาลิซีลกิ ’ ซ่งึ มีอยูในผลไมส กุ โดยทั่วไป (ซ่ึงชวยในการ หลัง่ นา้ํ ยอยและทาํ ใหเ จริญอาหาร) ในนาํ้ ทับทมิ ทมี่ รี สหวานปรมิ าณ 1 ลิตร จะมีกรดทารเ ทริก 6 กรัม ในนาํ้ ทบั ทมิ รสเปรย้ี ว อมหวานมปี รมิ าณ 12 กรมั และทับทมิ รสเปรย้ี วมี 37.5 กรัม… (9) ผลไมข นาดเล็กของตน ไมจ าํ พวก Cydonia oblonga คลา ยมะตมู (quince). (10) อัล คอซอล, เชคซดุ ูก, เลมท่ี 1, หนา 289.

ในนาํ้ ทบั ทิมทมี่ รี สหวานจะมีกรดแทนนิน 0.014-0.017 กรมั เน่ืองจากกรดแทนนินมี คุณสมบัติในการหดตัว จงึ จะถกู นาํ มาใชในกรณขี องการตกเลอื ดในรูปแบบตางๆ อาการทอ งเดนิ ทัง้ แบบธรรมดาหรอื มีเลือดออกในแตล ะวนั ประมาณ 1-4 กรมั นอกจากนใี้ นกรณีของโรคผวิ หนงั ตา งๆ โดยเฉพาะแผลทมี่ ีนาํ้ เหลือง และอาการเหงื่อออก มากตามผิวหนงั ใหใ ชในรูปของยาทา ปริมาณของวติ ามนิ ซที ีม่ ีอยใู นนา้ํ ทับทิมรสหวาน 1 ลติ ร มีประมาณ 15 มิลลกิ รัม และ หากเกบ็ ผลทบั ทมิ ไวน าน ปรมิ าณของมนั ก็จะลดนอยลงไป…” (11) คุณคา ของทบั ทิม บรรดาผูน าํ ผบู ริสทุ ธิ์ (อ.) ไดเ นน ยาํ้ เกย่ี วกบั การรบั ประทานผลทับทมิ ชนิดตา งๆ ไวอ ยา ง มากมาย (ไมว าจะเปน ชนิดหวาน ชนดิ เปรยี้ ว และหวานอมเปรย้ี ว) ซงึ่ ไมเ คยมปี รากฏในผลไม ประเภทใดเลยทจ่ี ะถกู เนน ยา้ํ ถึงเพียงนี้ ในคาํ พูด (ฮะดีษ) บทหนง่ึ มีรายงานมาจากทา นอมิ ามซอดกิ (อ.) ซึ่งทานไดกลาววา “ทาน ทงั้ หลายจงรบั ประทานทบั ทมิ เถดิ ! เพราะแทจ รงิ นนั้ ไมม ีผูหวิ โหยคนใดรับประทานมัน นอกเสยี จากมนั จะสรา งความพอเพียงแกเขา และไมมีผูทอ่ี ม่ิ หนาํ คนใดรับประทานมนั นอกเสียจากจะทาํ ใหเ ขาอยากรบั ประทานมนั อีก” (12) จากคํารายงาน (รวิ ายะฮ) บทนี้ ไดก ลาวถงึ คณุ คา 2 ประการของทบั ทมิ คือ 1.เม่อื พจิ ารณาถึงสารอาหารตางๆ ถือไดวาทบั ทมิ เปน ผลไมที่ใหพลังงานสงู และทน่ี า ประทบั ใจก็คอื ทา นอมิ ามซอดิก (อ.) มไิ ดก ลา ววา ทับทิมจะทาํ ใหผ ทู ่หี วิ รสู ึกอิ่ม ซง่ึ เราเองก็ทราบดี วา ทบั ทมิ นนั้ ไมอาจทาํ ใหผ ูใดอ่มิ ได แตท า นอิมาม (อ.) ไดกลา ววา มันจะทาํ ใหเ กดิ ความเพยี งพอ หมายถงึ มนั จะตอบสนองความตอ งการตา งๆ ทางดา นโภชนาการจากสารอาหารตางๆ ทมี่ ันมอี ยู 2.ทับทมิ ทาํ ใหเ กิดความอยากอาหาร หากมนั ถูกรับประทานกอนอาหาร มันจะทําให มนษุ ยเ รารสู ึกหวิ และอยากทจ่ี ะรับประทานอาหาร “ทีม่ ีการพูดกนั มาตง้ั แตโ บราณวา ทับทมิ มบี ทบาทในการฟอกเลือดนนั้ เปน เพราะ (ใน ทับทมิ ) มโี ปรแตสเซยี มและแมกนเี ซยี ม และเน่อื งจากมันจะชว ยทําใหเ ซลลต างๆ ของตับทาํ งาน ไดดียง่ิ ขึน้ จงึ มีผลในการปอ งกนั การทาํ งานที่ผิดปกติของตบั และมบี ทบาททีส่ าํ คญั ในการขจดั ยู เรีย, คอเรสโตรอล และสารพิษตา งๆ และการสรางความสมดลุ ใหแกของเหลวตา งๆ ในรางกาย (11) สรปุ จากหนังสือ เอาวะลนี ดอนิสกอฮ, เลม ท่ี 9, หนา 58. (12) วะซาอิลชุ ชีอะฮ, เลมที่ 17, หนา 119.

โดยเฉพาะอยา งยง่ิ ในเลอื ด การรบั ประทานทบั ทิมทด่ี คี วรรบั ประทานกอ นอาหาร เพอ่ื ใหเกดิ ความ อยากอาหาร” (13) และจากทศั นะดังกลาวน้ี ทา นอมิ ามรฎิ อ (อ.) จงึ ไดกลาววา “การรับประทานผลทบั ทิมจะ เพ่มิ นาํ้ เชือ้ (สมรรถภาพทางเพศ) ของผชู าย และจะทาํ ใหล ูกมีลกั ษณะ (ใบหนา ) ทสี่ วยงาม” (14) คุณคา อีก 2 ประการของทบั ทิม ทไี่ ดถ กู กลา วถงึ ในคาํ พดู ของทานอมิ ามรฎิ อ (อ.) คอื 1.การเพม่ิ สมรรถภาพทางเพศ 2.ทําใหเ ด็กทถี่ อื กําเนดิ ข้นึ มามบี คุ ลกิ ลักษณะทดี่ ี เก่ียวกบั กรณขี องการเพมิ่ สมรรถภาพทางเพศไดกลาวกนั วา “เนอื่ งจากบรรดาเกลือแรข อง น้ําทับทมิ มีลกั ษณะทป่ี ระกอบไปดว ยสารอาหารทเ่ี ปน ปจจัยพนื้ ฐานจงึ ดดู ซึมไดอยา งรวดเร็ว และ จะถูกนาํ ไปใชใ นภาวะของโรคกระดูกออน อาการเลือดนอย ระบบประสาทออนแอ และการ เสรมิ สรางสมรรถภาพโดยรวมของรา งกาย” (15) ความสมั พันธของทับทมิ ทมี่ ีตอ ความสวยงามของบุตร เราไดท ราบไปแลววา ทบั ทมิ นนั้ จะชว ยในการฟอกเลอื ด ขจัดการชะงกั งนั ในการทาํ งาน ของตบั และจะชวยขจัดคอเรสโตรอลและสารพิษตางๆ ในรา งกาย ในทาํ นองเดยี วกนั เราไดรับรวู า ผวิ หนังของคนเราคอื กระจกเงาที่สะทอนใหเ หน็ ภาพทง้ั หมดของตบั ดวยเหตนุ ้เี องทับทมิ จงึ ทาํ ให ใบหนา ดูมีนาํ้ มนี วลและสวยงามไดม ากกวา ส่ิงอนื่ ทงั้ หมด คุณคา อกี ประการหน่งึ ของทบั ทมิ ที่ไดร บั การอธบิ ายจากคํารายงานและคาํ พูดของบรรดา ผนู าํ ทางศาสนาผบู รสิ ทุ ธิ์ คอื การขจดั ความแข็งกระดางของล้ิน อาการแนนเฟอในกระเพาะอาหาร ภาวะตบี ตนั ของหวั ใจ และการขจดั ความทุกขกงั วลและความเศราซมึ ใหหมดไป ชายผหู นงึ่ มนี ามวา ‘ฮาริษ บินมุฆีเราะฮ’ ไดก ลาววา ฉนั ไดรอ งทกุ ขต อ ทา นอมิ ามซอดิก (อ.) ถึงความอึดอัดท่ีมันเกดิ ข้นึ กับหวั ใจของฉัน และอาการแนน เฟอ (อาหารไมย อ ย) อยางรุนแรง จากการรบั ประทานอาหารของฉนั ดงั น้ัน ทา นอมิ าม (อ.) จึงชไ้ี ปทผ่ี ลทบั ทมิ ซง่ึ อยูขางหนา ทา น พรอมกบั กลา ววา “จงรับประทานทับทมิ หวานนี้เถดิ ! และจงรับประทานมนั พรอ มกบั เนอ้ื เย่อื บุ (บางๆ ท่อี ยู ระหวา งเมล็ด) ของมนั เพราะแทจ รงิ มนั จะชว ยฟอกกระเพาะอาหารใหส ะอาด จะชว ยเยยี วยา รักษาอาการจกุ เสียดแนน เฟอ และจะชวยยอ ยอาหาร” (16) (13) เอาวะลนี ดอนชิ กอฮ, เลม ที่ 9, หนา 56. (14) วะซาอลิ ุช ชีอะฮ, เลมท่ี 17, หนา 121. (15) เอาวะลีน ดอนิชกอฮ, เลม ท่ี 9, หนา 60. (16) วะซาอิลชุ ชีอะฮ, เลมที่ 17, หนา 123.

จากนขี้ อใหเรามาเปรยี บเทยี บคําพดู ของทา นอิมาม (อ.) กบั คุณสมบตั ติ า งๆ ของผลทบั ทมิ ตามที่ไดแยกแยะสว นประกอบตา งๆ ของมันไปแลว แตก อนท่ีจะเปรียบเทยี บจาํ เปน ตอ งตระหนกั วา ทา นอมิ ามซอดกิ (อ.) ไดกลา วถึง คุณสมบตั ิ 3 ประการตอ ไปนี้ของทบั ทิม คือ ทาํ ใหการยอยอาหารเปน ไปไดอ ยา งงา ยดาย ชว ยขจดั ความแนน เฟอ ในกระเพาะอาหาร และทาํ ใหห วั ใจเกิดความสวา งไสว (เกดิ ความสบายใจ) “กรดทารเทรกิ (Tartaric acid) (ซึง่ มีอยใู นปริมาณทพ่ี อเพียงในผลทบั ทิม) จะทาํ ใหก าร หลงั่ ตา งๆ ของตับออ นเพิ่มปริมาณมากขนึ้ จะชว ยเผาผลาญนํา้ ตาลสว นเกินตางๆ และไดอัสเทส (เอนไซมชนดิ หนงึ่ ) ตางๆ ทเี่ ก่ยี วขอ งจะทาํ หนาท่ยี อยอาหารไดงายยงิ่ ข้ึน เนอื่ งจากสว นทเ่ี ปนเนอ้ื เย่ือของเมลด็ ทับทิมมกี รดแทนนนิ (Tannin acid) จงึ มรี สฝาด แต ถาหากรบั ประทานมนั พรอมกับเมล็ด จะชว ยขจดั อาการทองผกู เนอื่ งจากทับทมิ สามารถทาํ ความสะอาดกระเพาะและลําไสตา งๆ ได จงึ เปน การ เตรยี มพรอ มผนังลาํ ไสเพ่อื การกาํ จดั และการตอตานไวรสั ตา งๆ ดวยเหตนุ ส้ี ารพษิ ตา งๆ จงึ ไม สามารถเขา สกู ระแสเลือดและหวั ใจ และเชน กนั นนั้ หวั ใจจึงไดร ับความกระชมุ กระชวยและมี ชวี ติ ชีวา และเราไดกลา วไปแลว วา ทบั ทิมนน้ั มบี ทบาทในการฟองเลือดเน่อื งจากมโี ปรแตสเซียม และแมกนเี ซยี มอยู และดวยสารดงั กลา วนี้เองมนั จะทาํ ใหเ ซลลตา งๆ ของตบั ปฏิบัตงิ านไดอ ยาง คลอ งแคลว และมนั จะขบั สารยเู รีย คอเลสโตรอล และสารพิษอน่ื ๆ ออกมา และจะทาํ ใหข องเหลว ตางๆ ในเลอื ดเกิดความสมดุล” (17) ดว ยเหตนุ เี้ อง ทา นศาสนทตู แหง อิสลาม (ศอ็ ลฯ) จึงไดกลา ววา “ใครกต็ ามทรี่ ับประทาน ทบั ทมิ เพยี งหนงึ่ ผล อัลลอฮจะทาํ ใหห ัวใจของเขามรี ัศมี (ทําใหค วามขุนมัว ความเกียจครา น และ ความเศรา ซมึ หมดไปจากเขา) และจะขบั ไลก ารกระซบิ กระซาบของมารรายและความทุกขกงั วลให หางไกลออกไปจากเขาถึงสสี่ บิ วนั ” (18) และเชน เดยี วกันนี้ ทานศาสดา (ศอ็ ลฯ) ไดก ลา ววา “จงรบั ประทานทบั ทิมพรอ มกับเปลือก (ออน) ของมนั เพราะแทจ รงิ มันคอื ส่ิงท่จี ะชว ยทาํ ความสะอาดกระเพาะ” (19) นอกเหนอื จากคุณคา ตา งๆ ทถ่ี กู กลาวถงึ แลว ทบั ทมิ ยงั ใหค ณุ คา อืน่ ๆ อกี หลายประการ มี ปรากฏในคาํ รายงาน (ริวายะฮ) บทหนง่ึ วา ชายผหู นึง่ ซงึ่ มีนามวา ‘เซาะซออะฮ’ ไดเขาพบทานอมี รุลมุอมินีน (อ.) ในขณะท่ผี ลทบั ทมิ คร่งึ ผลวางอยขู า งหนาทาน ทา นอมิ าม (อ.) ไดมอบสวนหนง่ึ ของผลทบั ทิมใหแกเ ขาพรอ มกบั กลา ววา (17) เอาวะลนี ดอนชิ กอฮ, เลม ท่ี 9, หนา 66. (18) วะซาอิลุช ชีอะฮ, เลมที่ 17, หนา 120. (19) วะซาอลิ ุช ชีอะฮ, เลม ที่ 17, หนา 123.

“จงรบั ประทานมนั พรอ มกับเปลือก (ออน) ของมัน เพราะมนั จะชว ยขจัดคราบหินปนู และ กลนิ่ ปาก และจะทําใหสภาพจิตใจดขี ึน้ ” (20) จากรายละเอยี ดทถี่ ูกแจกแจงเกย่ี วกับทับทมิ ทาํ ใหป ระจกั ษไ ดว า มันชวยในการซอมแซม ปรบั ปรงุ สภาพของตบั เลือด กระเพาะอาหารและลําไส จะทาํ ใหก ลน่ิ เหมน็ ของปากหมดไป โดยเฉพาะอยา งยง่ิ เนอ่ื งจากทบั ทมิ มกี รดตางๆ อนั เปน เฉพาะในการชวยขจัดส่ิงสกปรกและคราบ เหลืองท่ตี ิดอยตู ามไรฟนใหหมดไป ซึ่งนนั้ ก็เปนอกี สาเหตุหนง่ึ ทที่ าํ ใหเกดิ กลิ่นปาก และโดยการ ปรบั ปรงุ สภาพของเลอื ด ทาํ ใหห วั ใจปราศจากความทกุ ขกงั วลและความอบั เฉา ทา นอมิ ามซอดิก (อ.) ไดกลา ววา “ทา นทงั้ หลายจงใหเด็กๆ ของพวกทา นรบั ประทาน ทบั ทมิ เถดิ ! เพราะมนั จะชว ยทําใหพ วกเขาเปนหนมุ เรว็ ขนึ้ ” (21) จากการพจิ ารณาถึงสภาพความออนแอของกระดกู และอาการเลือดนอ ยทที่ าํ ใหเดก็ มกี าร เจรญิ เตบิ โตชา จงึ ทําใหเ หน็ ถงึ ความมหศั จรรยใ นคาํ พดู ของทานอมิ ามซอดิก (อ.) ไดช ดั เจนยงิ่ ข้ึน ทงั้ น้ีเน่อื งจากผลทับทมิ มสี ว นประกอบของสารอาหารทเ่ี ปนปจจยั ขน้ั พน้ื ฐานทถ่ี กู ดดู ซึมไดโ ดยงาย และใหป ระโยชนใ นเรอื่ งของอาการกระดูกออน อาการเลอื ดนอย และความออนแอของระบบ ประสาท และยงั ชวยเสริมสรา งความเขมแขง็ ใหแกร า งกายอีกดว ย ทานอมิ ามอะลี (อ.) ไดก ลาววา “ทา นทงั้ หลายจงใหเ ด็กๆ ของพวกทานรับประทานผล ทับทมิ เพราะแทจรงิ มนั จะทาํ ใหพวกเขาพดู ไดเรว็ ข้นึ ” (22) แอปเปล (Apple) ‘ตนแอปเปล’ มชี อื่ ทางวทิ ยาศาสตรว า ‘Malus domeslica’ และมีอยดู ว ยกนั 4 ชนดิ คือ แอปเปลเปรยี้ ว แอปเปล ธรรมดา แอปเปล พันธผุ สม และแอปเปล ลูกเลก็ ในปริมาณ 100 กรัม ของ แอปเปลสดจะประกอบดว ยสารอาหารตา งๆ ตอไปน้ี นา้ํ 84 กรมั , โปรตนี 0.03 กรมั , ไขมัน 0.04 กรัม, คลูไซด 15 กรมั , โซเดยี ม 2 โปรแต สเซียม 116 หนว ยสากล, แคลเซียม 6 กรัม, แมกนเี ซยี ม 6 กรมั , แมงกานิส 0.084 กรมั , เหลก็ 0.03 กรัม, ทองแดง 0.71 กรมั , ฟอสฟอรัส 10 กรัม, กาํ มะถนั และคลอรนี 4 มลิ ลกิ รมั , วติ ามนิ เอ 90 หนวยสากล, วิตามนิ บ1ี 0.04 มิลลิกรมั , วติ ามนิ บ2ี 0.02 มิลลิกรมั , นีโกตลี อะมดี 0.02 มลิ ลกิ รมั , วติ ามินซี 0.05 มลิ ลิกรมั , วติ ามนิ อี 0.072 มลิ ลกิ รัม (20) วะซาอลิ ชุ ชีอะฮ, เลมที่ 17, หนา 123. (21) บฮิ ารลุ อนั วาร, เลมที่ 66, หนา 163. (22) วะซาอลิ ุช ชีอะฮ, เลมท่ี 17, หนา 121.

อยา งไรกด็ ี ปริมาณตางๆ เหลานีม้ คี วามแตกตา งกนั อยางมากในแอปเปล แหง แอปเปล เชอื่ ม และนํา้ แอปเปล (23) คณุ คา ตา งๆ ของแอปเปล คณุ คา ตางๆ ของแอปเปลทีถ่ กู กลาวถงึ ในคาํ พูดของบรรดาผนู าํ ผบู รสิ ทุ ธ์ขิ องอสิ ลาม ไดแ ก 1.ทา นอิมามซอดกิ (อ.) ไดก ลา ววา “แอปเปล คอื ตัวชว ยในการหล่ัง (นาํ้ ยอย) ของ กระเพาะอาหาร” (24) “แอปเปล จะชว ยปองกันการติดเชอ้ื ในปาก มนั จะชว ยสลายกรดยูรกิ และสลายสารพษิ ตางๆ ท่ีรวมตัวกนั อยู และจะชว ยเสรมิ สรา งประสทิ ธิภาพใหก ับตอมนา้ํ ลายและการหลงั่ นํา้ ยอยใน กระเพาะอาหาร ดว ยเหตนุ ี้แอปเปล จงึ มปี ระโยชนอยา งมากสาํ หรบั ผทู ่ชี อบนงั่ อยกู บั ท่ีประจําโดย ไมค อยไดเคลื่อนไหว ผูทล่ี มหายใจมีกลิน่ เหมน็ ทาํ ใหต นเองและบคุ คลรอบขา งอึดอัดรําคาญใจ ใหเ ขาเค้ยี ว ผกั ชฝี รงั่ สกั 15 นาที และใหค ายกากทงิ้ ไป ตอ จากน้ันใหรบั ประทานแอปเปล 1 ลูกโดยเคย้ี วให ละเอียด” (25) แมใ นหนังสือ ‘ฮลิ ยะตุลมตุ ตะกีน’ ของทา น ‘อัลลามะฮ มัจญล ิซ’ี จะใหความหมายคํา รายงานขา งตน วา หมายถงึ ‘การชําระความสะอาดในกระเพาะ’ น่นั เปน เพราะในยคุ นนั้ อาจจะยงั ไมมกี ารรบั ในเรอ่ื งของการหลง่ั นา้ํ ยอยในกระเพาะอาหาร 2.ในอสิ ลามมคี าํ แนะนําวา กอนการรับประทานแอปเปลใหดมกลน่ิ ของมนั กอ น ทานอิ มามบากิร (อ.) ไดก ลา ววา “เม่อื ทา นตองการทจ่ี ะรบั ประทานแอปเปล ดงั นนั้ จงดมกลน่ิ ของมัน หลงั จากนัน้ จงึ รับประทานมนั ” (26) การดมกลน่ิ ของแอปเปล จะทาํ ใหเกิดความกระชุมกระชวยและเบกิ บานใจ และอกี ประการ หนงึ่ ท่คี วรตระหนกั นน่ั คือ สารอาหารตา งๆ ทอ่ี ยูใ นแอปเปลสดจะไมพ บในนํ้าแอปเปลครัน้ และ แอปเปล เชอ่ื ม “ในนาํ้ แอปเปล นัน้ มไี ขมนั แคลเซียม, แมกนเี ซยี ม, แมงกานิส, ธาตุเหลก็ , ทองแดง, ฟอสฟอรัส, กํามะถนั , คลอรนี , วิตามินบี และวติ ามินเอ ระหวา งแอปเปลสดกับแอปเปล แหงและ แอปเปลเชอ่ื มมคี วามแตกตา งกนั มาก โดยเฉพาะอยา งยง่ิ นาํ้ แอปเปล ครนั้ ซ่งึ ปราศจากคณุ คา ซงึ่ (23) เอาวะลีน ดอนิชกอฮ, เลมท่ี 10, หนา 31. (24) วะซาอลิ ุช ชีอะฮ, เลม ที่ 17, หนา 216. (25) ซบั ซีฮอ วา มีเวฮฮ อเย ชะฟาบคั ช, หนา 216. (26) วะซาอิลุช ชีอะฮ, เลม ท่ี 17, หนา 125.

ถอื เปน การทาํ ลายคุณคา ของแอปเปลอยา งหนง่ึ และไมม ผี ลไมใ ดทม่ี คี วามแตกตา งกนั เหมือนกบั แอปเปล ในระหวา งผลสดของมันกับผลแหง และน้าํ แอปเปลครน้ั ” (27) “แอปเปล จะชว ยสลายหนิ ปนู ในถงุ นา้ํ ดแี ละในไต” (28) 3.คุณประโยชนใ นการตานทานอาการไขต วั รอน (อาการไขท ่เี กดิ จากสาเหตุของโรคหวดั และโรคไขห วัดใหญ) ทา นอิมามซอดกิ (อ.) ไดกลาววา “ทานทง้ั หลายจงใหผ ูปว ยทมี่ ีอาการไขตัวรอ น รับประทานแอปเปล เพราะวา ไมม ีสง่ิ ใดจะใหป ระโยชนมากกวาแอปเปล ” (29) “เม่ือทานทัง้ หลายเปน โรคไขห วัดใหญอ ยา งรุนแรงและเรอ้ื รงั จงรบั ประทานแอปเปล ติดตอ กันสักสองหรอื สามวนั ในชว งเวลาดงั กลาวควรรบั ประทานแอปเปลแตเพยี งอยา งเดียว และ จงหลกี เล่ียงจากการรับประทานอาหารอนื่ ๆ” (30) 4.คณุ ประโยชนข องแอปเปลในการตานทานโรคทอ งรว ง ชายผหู นง่ึ ซ่ึงมนี ามวา ‘อบยู ูซุฟ’ เขาไดกลา ววา “ในขณะท่ีฉันอยูในนครมกั กะฮ ไดเกดิ โรค ทอ งรว งขนึ้ กบั ประชาชน และมันกเ็ กิดข้ึนกบั ฉันดวย ฉนั ไดเ ขียนจดหมายถงึ ทา นอมิ ามมซู า กาซมิ (อ.) ทานไดเขยี นตอบมาหาฉนั วา ‘จงรบั ประทานแอปเปล ’ ดงั น้ันฉันจงึ รบั ประทานมนั และฉนั ก็ ไดร บั การเยยี วยารกั ษา” (31) สว นหนง่ึ จากอาการของโรคทอ งรว งคอื มีอาการทอ งเสียและอาเจยี ร บรรดาผูท ี่มีความ เชี่ยวชาญทางดา นโภชนาการ ไดอธิบายถึงผลอนั นา มหัศจรรยข องแอปเปล ในการยับยง้ั อาการ ทองรวงวา “แอปเปล เปนผลไมท ่มี ีประโยชนอยา งมากสําหรบั โรคไทฟอยด โรคทอ งรว ง โรคบดิ และ การอักเสบของลําไส มันจะชวยเยยี วยารกั ษาอาการทอ งรวงไดเปน อยา งดี และอีกดา นหนง่ึ มนั จะ ชว ยยบั ย้งั จากอาการอาหารไมยอ ย และดว ยเหตุนีเ้ องมนั จึงชว ยใหกระเพาะอาหารทาํ งานไดอ ยาง มรี ะบบ” (32) (27) เอาวะลนี ดอนชิ กอฮ, เลมที่ 10, หนา 31. (28) ซบั ซีฮอฮ วา มเี วฮฮอเย ชะฟาบัคช, หนา 212. (29) ซะฟน ะตลุ บิฮาร, เลม ที่ 1, หนา 123. (30) ซบั ซฮี อ วา มีเวฮฮ อเย ชะฟาบัคช, หนา 212. (31) ซะฟนะตลุ บิฮาร, เลมที่ 1, หนา 124 ; บฮิ ารุล อนั วาร, เลม ที่ 66, หนา 174. (32) อซั รอร คูรอกีฮอ, หนา 278.

“สาํ หรับการตอ สกู บั อาการใจส่ัน อาการมนึ ตรงึ คลื่นเหยี นอาเจียร แพค วามสูงของภเู ขา เมาคลืน่ ทางทะเล และอาการแพทองของสตรีที่ตงั้ ครรภ แอปเปล จะใหผลดีเปนอยา งยง่ิ และ สามารถพิชติ อาการเหลา นไี้ ดเ ปน อยา งด”ี (33) 5.แปง ทท่ี ํามาจากแอปเปล จะชว ยยบั ยงั้ การไหลของเลือดกําเดาและอาการแพพ ษิ ตา งๆ เกีย่ วกับเรอ่ื งนี้ ชายผหู น่ึงซง่ึ มีนามวา ‘อิบนบิ กุ ยั ร’ ไดเ ลาวา “ในปหนง่ึ ขณะท่อี ยใู นนครมะ ดนี ะฮ โรคเลอื ดกําเดาไดเ กดิ ข้ึนกับฉนั บรรดาสหายของเราไดถ ามทา นอิมามญะอฟร อัซซอดกิ (อ.) ถึงสง่ิ ที่จะชว ยยับยงั้ โรคเลอื ดกําเดา ทา นกลาววา ‘จงใหเ ขาด่มื แปง แอปเปลผสมน้าํ ’ ดังนนั้ พวกเขาไดใหฉ ันดื่มมนั และโรคเลอื ดกาํ เดากห็ ายไปจากฉนั ” (34) การทาํ แปงแอปเปล อันดับแรกตอ งตากผลแอปเปล ใหแ หง หลังจากนั้นจึงบดใหเ ปน แปง “แอปเปล แหง นอกจากจะยบั ยงั้ การไหลซมึ ของนาํ้ เหลอื งแลว ยงั ชว ยขบั สารพษิ ตางๆ (กรดยูริก คอเรสเตอรอล และอน่ื ๆ) อีกดวย” (35) ดว ยเหตนุ เ้ี อง ในคาํ รายงาน (รวิ ายะฮ) อีกบทหนงึ่ ทา นอมิ ามซอดิก (อ.) จงึ อนญุ าตใหใช แปงแอปเปล เพ่อื ชวยในการขจัดสารพษิ ตา งๆ โดยทา นไดกลา ววา “ฉันไมรจู กั ยาใดทีม่ ีประโยชน ตอผทู ่ไี ดร บั สารพิษ ยง่ิ ไปกวา แปงแอปเปล ” (36) 6.ทานอิมามซอดกิ (อ.) ถอื วาแอปเปล นน้ั มีผลดีตอการรกั ษาโรคตา งๆ โดยท่วั ไป ดงั ที่ทา น ไดก ลา ววา “หากมนษุ ยรถู งึ คณุ คาตา งๆ ทมี่ ีอยูใ นแอปเปลแลว พวกเขาจะไมเยียวยารกั ษาผูปว ย ของเขาดว ยสงิ่ ใดนอกจากแอปเปล” (37) เพ่ือทีเ่ ราจะไดร บั รวู า คณุ คาทางอาหารและทางยาของแอปเปล มิไดจ ํากดั อยูแคเพยี งสงิ่ ตางๆ ท่ีไดกลา วไปแลว จึงเปนการดที เ่ี ราจะมากลาวถึงวธิ ีการใชป ระโยชนจ ากแอปเปล ในรปู แบบ ตา งๆ สาํ หรับการเยยี วยารักษาไว ณ ท่ีนี้ แอปเปลเปนผลไมท ่ียอดเยี่ยมนามหัศจรรยอ ยา งหน่ึง เพราะมนั มีคณุ สมบตั ใิ นการทาํ ลาย สารพิษและมคี ุณคา ทางอาหารสูง เนื่องจากแอปเปลมสี ารอลั คาไลน (ดาง) มนั จงึ ชว ยสลายกรด ยรู กิ และชว ยในการหลั่งสารตา งๆ ของตอ มน้ําลายและกระเพาะอาหาร และทาํ ใหเ กิดสภาวะความ สมดุล มนั มีผลดีอยา งมากสําหรับการเยยี วยารกั ษาโรคอว น เชน เดยี วกนั น้ี ยงั มปี ระโยชนส าํ หรับ ผปู ว ยเกย่ี วกบั ตบั กระเพาะอาหาร ทางเดนิ ปสสาวะ และอาการเจบ็ หนา อก และเนอ่ื งจากมันมี (33) อซั รอร คูรกีฮอ, หนา 278. (34) วะซาอิลุช ชีอะฮ, เลมที่ 17, หนา 127. (35) เอาวะลนี ดอนชิ กอฮ, เลมที่ 10, หนา 31. (36) วะซาอลิ ชุ ชีอะฮ, เลม ท่ี 17, หนา 128. (37) บฮิ ารุล อนั วาร, เลมท่ี 66, หนา 172.

สารฟอสฟอรสั จงึ ชวยบํารุงประสาทและสมอง ทําใหขบั ถายปส สาวะมากขนึ้ ทาํ ใหท างเดนิ ปส สาวะ กระเพาะอาหารและปอดโลง และขับถา ยของเหลวไดดี “แอปเปล จะมปี ระโยชนอ ยา งมากตอ ผปู ว ยเก่ยี วกบั โรคขอ ตางๆ มันจะชว ยขบั หินปนู ในไต และเนื่องจากเกลือแรต างๆ ของมัน จงึ ทาํ ใหแอลบูมนี ของอาหารและเนื้อเย่อื ตางๆ หมดไป มนั มี ประโยชนอยางมากสําหรับปอดและระบบทางเดนิ หายใจ ผลท่สี กุ งอมของมันมคี ุณคาตอ การยอ ย อาหาร และชว ยขจัดอาการแนนเฟอเนื่องจากอาหารไมย อย” (38) ขอยาํ้ คาํ พดู ของทา นอิมามซอดกิ (อ.) อีกครั้งหนงึ่ ท่กี ลา ววา “ถา หากประชาชนรถู งึ คณุ คา ตางๆ ของแอปเปล พวกเขาจะเยยี วยารกั ษาผูปว ยของตนดวยกบั มนั ” แอปเปล คอื ยาทาแผล “…เขาจะผสมแอปเปล กบั นา้ํ มันพืช และใสม ันลงบนแผลหรือรอยบาดเจ็บตา งๆ มนั จะ ชวยสมานบาดแผลเหลานนั้ ดวยเหตุนคี้ าํ วา ‘โพมาด’ (pomade = ขี้ผ้ึง, ครีม) ซงึ่ มาจากคําวา ‘โพม’ (pome) ซึง่ หมายถงึ ‘แอปเปล ’ หากเอาแอปเปลใสลงในครกและตํามัน แลว นํามนั พรอมกบั นาํ้ ของมนั ไปเคีย่ วไฟจะทาํ ใหเกดิ เปน ยาขผ้ี ้ึง ซง่ึ จะชว ยเยยี วยารกั ษาบาดแผลตา งๆ ท่มี ีอาการ หนกั และรุนแรง นํา้ ของแอปเปลหากผสมเขา กบั นาํ้ มนั มะกอกในปริมาณที่เทากัน มนั จะมี คุณสมบัตเิ ชน เดยี วกนั นนั้ สําหรับการเยยี วยารกั ษาบาดแผลท้งั หลาย” แอปเปล คอื ยารักษาดวงตา “หากบดแอปเปล ใหละเอียดและทาํ ใหม นั เปน นา้ํ มนั และหยอดน้ํามนั นี้ลงบนตาท่ีมี อาการเจ็บเนอ่ื งจากการกระทบกระแทก อาการเจบ็ ตาดงั กลา วกจ็ ะทเุ ลาลง สาํ หรบั อาการเจ็บตา เนอ่ื งจากสาเหตุอ่นื ๆ ใหใชแ อปเปลแดงรสหวาน 1 ลูก นํามาปลอกเปลอื กและแกะเมลด็ ของมนั ออก จากนน้ั ใหเ คีย่ วมนั กบั นาํ้ เพ่ือใชเปน ยาหยอดตา แตหากผสมน้ํานมของสตรีเขา ไปดว ยใน ปรมิ าณเลก็ นอ ย จะทําใหผ ลและคุณสมบัตขิ องมนั สมบูรณยิง่ ข้นึ ” แอปเปลคือยารกั ษาอาการเจ็บหู “เพ่อื บรรเทาอาการเจบ็ หู ชว งกลางคนื กอนทจ่ี ะนอน ใหใชแ อปเปลทเ่ี ผาจากข้เี ถา ทาลง ไปบรเิ วณกกหู เสร็จแลวใหน อนหลบั ไป อาการเจ็บหจู ะหายไปโดยรวดเร็ว” (38) อัซรอร คูรอกีฮอ, หนา 278.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook