Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore suanmok

suanmok

Published by wi.kuntarn, 2020-08-16 05:53:38

Description: suanmok

Search

Read the Text Version

Dhammaintrend รว่ มเผยแพรแ่ ละแบ่งปันเป็ นธรรมทาน

ภาค ๑ คําทาํ วตั รเชาและเย็น (นาท)ี คําบูชาพระรตั นตรยั (๐๑:๓๒) ปพุ พภาคนมการ (๐๑:๒๘) คาํ ทําวตั รเชา (๑๘:๕๓) (๐๓:๓๑) ๑. พทุ ธาภถิ ตุ ิ (๐๑:๒๖) ๒. ธัมมาภิถตุ ิ (๐๒:๔๒) ๓. สงั ฆาภถิ ตุ ิ (๐๓:๒๐) ๔. รตนัตตยปั ปณามคาถา (๐๗:๕๔) ๕. สงั เวคปรกิ ิตตนปาฐะ (๑๗:๒๙) คําทําวตั รเยน็ (๐๑:๕๐) (๐๔:๑๖) ๑. พทุ ธานสุ สติ (๐๑:๐๖) ๒. พุทธาภคิ ตี ิ (๐๔:๐๒) ๓. ธมั มานสุ สติ (๐๒:๒๐) ๔. ธมั มาภคิ ตี ิ (๐๓:๕๕) ๕. สังฆานสุ สติ ๖. สังฆาภคิ ตี ิ

เนอ้ื ธรรม (นาท)ี ภาค ๒ บทสวดมนตพ ิเศษ (๔๑:๒๕) บทพิเศษ ๑ (ตอนเชา) (๐๑:๔๓) ๑. สรณคมนปาฐะ (๐๒:๐๔) ๒. อฏั ฐสกิ ขาปทปาฐะ (๐๒:๒๙) ๓. ท๎วัตตงิ สาการปาฐะ (๐๒:๒๑) ๔. เขมาเขมสรณทปี กคาถา (๐๑:๓๓) ๕. อรยิ ธนคาถา (๐๓:๑๑) ๖. ตลิ กั ขณาทิคาถา (๐๑:๑๖) ๗. ภารสุตตคาถา (๐๒:๐๐) ๘. ภทั เทกรตั ตคาถา (๐๒:๒๕) ๙. ธัมมคารวาทคิ าถา (๐๒:๐๙) ๑๐. โอวาทปาฏโิ มกขคาถา (๐๑:๓๐) ๑๑. ปฐมพทุ ธภาสิตคาถา (๐๖:๓๐) ๑๒. ธาตุปจ จเวกขณปาฐะ (๐๐:๕๔) ๑๓. ปจฉมิ พทุ โธวาทปาฐะ (๐๒:๔๑) ๑๔. บทพจิ ารณาสังขาร (๐๒:๕๕) ๑๕. สพั พปต ตทิ านคาถา (๐๕:๔๔) ๑๖. ปฏฐนฐปนคาถา

เนือ้ ธรรม (นาท)ี บทพิเศษ ๒ (ตอนเย็น) (๓๔:๐๖) (๑๕:๔๒) ๑๗. อริยอฏั ฐังคกิ มัคคปาฐะ (๐๕:๐๒) ๑๘. อตตี ปจจเวกขณปาฐะ (๐๕:๕๙) ๑๙. ปพพชติ อภิณหปจจเวกขณปาฐะ (๐๐:๕๒) ๒๐. ปจ ฉมิ พทุ โธวาทปาฐะ (๐๖:๓๑) ๒๑. อุททิสสนาธิฏฐานคาถา (๐๕:๓๐) บทพเิ ศษ ๓ (๑๙:๔๘) ๒๒. ตังขณกิ ปจ จเวกขณปาฐะ (๐๑:๔๑) ๒๓. ปจ จเวกขณอโุ บสถศีล บทพเิ ศษ ๔ ๒๔. บทแผเมตตา



คําทําวัตรเชาและเย็น (เร่ิมตน ดว ย คาํ บูชาพระรัตนตรยั และ ปุพพภาคนมการ) คาํ บชู าพระรตั นตรัย อะระหัง สมั มาสมั พทุ โธ ภะคะวา, พระผมู ีพระภาคเจา , เปนพระอรหนั ต, ดับเพลงิ กิเลสเพลงิ ทกุ ขส ิน้ เชงิ , ตรสั รชู อบไดโ ดยพระองคเ อง; พทุ ธัง ภะคะวนั ตงั อะภวิ าเทม.ิ ขา พเจาอภวิ าทพระผูมพี ระภาคเจา , ผรู ู ผูตนื่ ผเู บกิ บาน. (กราบ ๑ ครั้ง) สว๎ ากขาโต ภะคะวะตา ธมั โม, พระธรรม เปน ธรรมทพ่ี ระผูมพี ระภาคเจา , ตรสั ไวด แี ลว ; ธมั มงั นะมสั สาม.ิ ขาพเจานมสั การพระธรรม. (กราบ ๑ ครง้ั ) สปุ ะฏปิ น โน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ, พระสงฆ สาวกของพระผมู พี ระภาคเจา, ปฏิบัติดีแลว; สงั ฆงั นะมามิ. ขาพเจานอบนอ มพระสงฆ. (กราบ ๑ ครง้ั )

ปพุ พภาคนมการ (คาํ นมสั การ) (หนั ทะ มะยงั พทุ ธสั สะ ภะคะวะโต ปพุ พะภาคะนะมะการงั กะโรมะ เส.) (เชญิ เถิด เราทงั้ หลาย ทาํ ความนอบนอมอันเปนสว นเบอื้ งตน แดพระผมู พี ระภาคเจา เถิด.) นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต, ขอนอบนอมแดพระผูมีพระภาคเจา พระองคน ้ัน; อะระหะโต, ซง่ึ เปน ผูไ กลจากกเิ ลส; สมั มาสมั พทุ ธสั สะ. ตรัสรชู อบไดโดยพระองคเอง. (วา ๓ ครงั้ )





๑. พุทธาภถิ ตุ ิ (คาํ สรรเสรญิ พระพทุ ธเจา ) (หนั ทะ มะยงั พทุ ธาภถิ ตุ งิ กะโรมะ เส.) (เชญิ เถดิ เราท้ังหลาย ทาํ ความชมเชยเฉพาะพระพทุ ธเจา เถดิ .) โย โส ตะถาคะโต, พระตถาคตเจานัน้ พระองคใ ด; อะระหัง, เปน ผไู กลจากกเิ ลส; สมั มาสมั พทุ โธ, เปนผูต รสั รูชอบไดโดยพระองคเอง; วชิ ชาจะระณะสมั ปน โน, เปนผถู ึงพรอ มดวยวชิ ชาและจรณะ; สุคะโต, เปนผไู ปแลว ดวยด;ี โลกะวทิ ,ู เปน ผรู โู ลกอยางแจม แจง ; อะนุตตะโร ปรุ สิ ะทมั มะสาระถ,ิ เปน ผูสามารถฝกบุรษุ ที่สมควรฝกได อยา งไมม ใี ครยิง่ กวา ; สัตถา เทวะมะนสุ สานงั , เปนครูผสู อน ของเทวดาและมนษุ ย ทั้งหลาย; พทุ โธ, เปน ผรู ู ผตู ื่น ผูเบกิ บานดวยธรรม; ภะคะวา, เปนผูม ีความจําเรญิ จําแนกธรรม สงั่ สอนสตั ว;

โย อมิ งั โลกงั สะเทวะกงั สะมาระกัง สะพร๎ หั ม๎ ะกงั , สสั สะมะณะพร๎ าหม๎ ะณงิ ปะชงั สะเทวะมะนสุ สัง สะยงั อะภญิ ญา สจั ฉิกตั ว๎ า ปะเวเทส,ิ พระผมู พี ระภาคเจา พระองคใด, ไดทรงทาํ ความดบั ทุกขใ หแ จง ดว ยพระปญ ญาอันยิง่ เองแลว, ทรงสอนโลกนี้ พรอ มทง้ั เทวดา, มาร พรหม, และหมสู ตั ว พรอ มทั้งสมณพราหมณ, พรอ มทง้ั เทวดาและมนุษยใหร ตู าม; โย ธมั มงั เทเสส,ิ พระผมู พี ระภาคเจา พระองคใ ด, ทรงแสดงธรรมแลว ; อาทกิ ลั ย๎ าณงั , ไพเราะในเบือ้ งตน ; มชั เฌกลั ย๎ าณงั , ไพเราะในทา มกลาง; ปะรโิ ยสานะกลั ย๎ าณงั , ไพเราะในทสี่ ุด; สาตถงั สะพย๎ ญั ชะนัง เกวะละปะรปิ ณุ ณงั ปะรสิ ทุ ธงั พร๎ ัหม๎ ะจะรยิ ัง ปะกาเสส,ิ ทรงประกาศพรหมจรรย, คอื แบบแหงการปฏิบตั ิอนั ประเสรฐิ บริสทุ ธ์ิ บรบิ รู ณ สน้ิ เชงิ , พรอ มทงั้ อรรถะ (คาํ อธิบาย) พรอมท้งั พยัญชนะ (หวั ขอ); ตะมะหงั ภะคะวนั ตงั อะภปิ ชู ะยามิ, ขา พเจาบชู าอยางยิง่ เฉพาะพระผูม พี ระภาคเจา พระองคน นั้ ; ตะมะหงั ภะคะวนั ตงั สริ ะสา นะมาม.ิ ขา พเจา นอบนอ มพระผมู พี ระภาคเจา พระองคนนั้ ดว ยเศยี รเกลา . (กราบระลึกพระพทุ ธคณุ )

๒. ธัมมาภถิ ุติ (คาํ สรรเสรญิ พระธรรม) (หนั ทะ มะยงั ธมั มาภถิ ตุ ิง กะโรมะ เส.) (เชิญเถดิ เราทง้ั หลาย ทาํ ความชมเชยเฉพาะพระธรรมเถิด.) โย โส สว๎ ากขาโต ภะคะวะตา ธมั โม, พระธรรมนั้นใด, เปนส่ิงทพี่ ระผมู พี ระภาคเจา ไดต รัสไวดีแลว ; สนั ทิฏฐโิ ก, เปน ส่ิงทผ่ี ูศึกษาและปฏบิ ตั ิ พึงเห็นไดดวยตนเอง; อะกาลโิ ก, เปน สิง่ ทป่ี ฏิบตั ไิ ด และใหผลได ไมจาํ กัดกาล; เอหปิ ส สโิ ก, เปน สิ่งทคี่ วรกลาวกะผอู น่ื วา ทา นจงมาดเู ถดิ ; โอปะนะยโิ ก, เปน สง่ิ ทคี่ วรนอ มเขา มาใสตวั ; ปจ จตั ตงั เวทติ พั โพ วญิ หู ,ิ เปน สิง่ ทผ่ี รู กู ็รไู ดเฉพาะตน; ตะมะหงั ธมั มงั อะภปิ ชู ะยาม,ิ ขา พเจา บูชาอยา งยง่ิ เฉพาะพระธรรมนนั้ ; ตะมะหงั ธมั มงั สริ ะสา นะมาม.ิ ขา พเจานอบนอ มพระธรรมน้ัน ดว ยเศียรเกลา. (กราบระลกึ พระธรรมคุณ)

๓. สังฆาภถิ ุติ (คาํ สรรเสรญิ พระสงฆ) (หนั ทะ มะยงั สงั ฆาภิถตุ งิ กะโรมะ เส.) (เชญิ เถิด เราทง้ั หลาย ทาํ ความชมเชยเฉพาะพระสงฆเถิด.) โย โส สปุ ะฏปิ น โน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ, สงฆสาวกของพระผมู ีพระภาคเจาน้ัน หมใู ด, ปฏิบัตดิ แี ลว; อชุ ปุ ะฏปิ น โน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ, สงฆสาวกของพระผมู ีพระภาคเจา หมใู ด, ปฏิบตั ติ รงแลว ; ญายะปะฏปิ น โน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ, สงฆสาวกของพระผมู พี ระภาคเจา หมูใด, ปฏบิ ตั เิ พอ่ื รธู รรม เปน เครอื่ งออกจากทกุ ขแลว ; สามจี ปิ ะฏิปน โน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ, สงฆสาวกของพระผมู พี ระภาคเจา หมใู ด, ปฏบิ ตั ิสมควรแลว ; ยะททิ งั , ไดแกบ คุ คลเหลา น้คี อื ; จตั ตาริ ปรุ สิ ะยคุ านิ อัฏฐะ ปรุ สิ ะปุคคะลา, คแู หงบรุ ษุ ๔ คู,* นบั เรยี งตวั บุรษุ ได ๘ บรุ ษุ ; เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ, นนั่ แหละ สงฆส าวกของพระผมู พี ระภาคเจา ;

อาหเุ นยโย, เปนสงฆค วรแกส กั การะท่เี ขานาํ มาบูชา; ปาหเุ นยโย, เปนสงฆค วรแกส กั การะทีเ่ ขาจัดไวตอ นรับ; ทกั ขเิ ณยโย, เปน ผคู วรรับทกั ษณิ าทาน; อญั ชะลกี ะระณโี ย, เปน ผทู บ่ี คุ คลท่วั ไปควรทําอัญชล;ี อะนตุ ตะรงั ปญุ ญกั เขตตงั โลกสั สะ, เปนเนอ้ื นาบุญของโลก, ไมมนี าบญุ อ่ืนยงิ่ กวา ; ตะมะหงั สงั ฆงั อะภปิ ชู ะยาม,ิ ขาพเจา บูชาอยางยง่ิ เฉพาะพระสงฆหมนู น้ั ; ตะมะหงั สงั ฆงั สริ ะสา นะมาม.ิ ขา พเจา นอบนอ มพระสงฆหมนู ้นั ดว ยเศยี รเกลา. (กราบระลกึ พระสงั ฆคณุ ) * ๔ คคู ือ โสดาปต ติมรรค, โสดาปตติผล, สกทาคามมิ รรค, สกทาคามิผล, อนาคามมิ รรค, อนาคามผิ ล, อรหัตตมรรค, อรหตั ตผล.

๔. รตนตั ตยปั ปณามคาถา (คาถานอบนอ มพระรตั นตรยั ) (หนั ทะ มะยงั ระตะนตั ตะยปั ปะณามะคาถาโย เจวะ สงั เวคะปะรกิ ติ ตะนะปาฐัญจะ ภะณามะ เส.) (เชญิ เถดิ เราทง้ั หลาย กลาวคาํ นอบนอมพระรตั นตรยั และบาลที ่ีกําหนดวตั ถุเครื่องแสดงความสงั เวชเถิด.) พทุ โธ สสุ ทุ โธ กะรณุ ามะหณั ณะโว, พระพุทธเจา ผูบ รสิ ทุ ธิ์ มีพระกรุณาดจุ หว งมหรรณพ; โยจจนั ตะสทุ ธพั พะระญาณะโลจะโน, พระองคใ ด มีตาคือญาณอันประเสรฐิ หมดจดถึงที่สดุ ; โลกสั สะ ปาปปู ะกเิ ลสะฆาตะโก, เปนผูฆา เสยี ซงึ่ บาป และอปุ กิเลสของโลก; วันทามิ พทุ ธงั อะหะมาทะเรนะ ตงั , ขาพเจาไหวพระพุทธเจา พระองคน ้นั โดยใจเคารพเอื้อเฟอ ; ธมั โม ปะทโี ป วยิ ะ ตสั สะ สตั ถโุ น, พระธรรมของพระศาสดา สวางรงุ เรอื งเปรียบดวงประทีป; โย มคั คะปากามะตะเภทะภนิ นะโก, จําแนกประเภทคอื มรรค ผล นิพพาน, สวนใด; โลกุตตะโร โย จะ ตะทตั ถะทปี ะโน, ซึ่งเปนตวั โลกตุ ตระ, และสวนใดทช่ี ีแ้ นวแหง โลกุตตระนัน้ ; วันทามิ ธมั มงั อะหะมาทะเรนะ ตงั , ขา พเจาไหวพระธรรมนนั้ โดยใจเคารพเออ้ื เฟอ ;

สงั โฆ สเุ ขตตาภย๎ ะตเิ ขตตะสญั ญโิ ต, พระสงฆเปน นาบญุ อันยงิ่ ใหญกวา นาบุญอนั ดที ัง้ หลาย; โย ทิฏฐะสนั โต สคุ ะตานโุ พธะโก, เปนผเู ห็นพระนพิ พาน, ตรัสรตู ามพระสุคต, หมูใ ด; โลลปั ปะหโี น อะรโิ ย สเุ มธะโส, เปน ผูละกเิ ลสเครอื่ งโลเล เปนพระอรยิ เจา มปี ญญาด;ี วันทามิ สงั ฆงั อะหะมาทะเรนะ ตงั , ขาพเจาไหวพระสงฆหมนู นั้ โดยใจเคารพเอือ้ เฟอ ; อจิ เจวะเมกนั ตะภปิ ชู ะเนยยะกงั , วตั ถตุ ตะยัง วนั ทะยะตาภสิ งั ขะตงั , ปญุ ญงั มะยา ยงั มะมะ สพั พปุ ท ทะวา, มา โหนตุ เว ตัสสะ ปะภาวะสทิ ธิยา. บญุ ใด ทขี่ า พเจา ผูไ หวอยซู ง่ึ วตั ถุ ๓, คือพระรตั นตรยั อันควรบชู าย่ิงโดยสว นเดียว, ไดก ระทาํ แลวเปน อยางยง่ิ เชนนน้ี ,้ี ขออุปททวะ (ความช่วั ) ท้งั หลาย, จงอยา มแี กขา พเจาเลย, ดว ยอาํ นาจความสําเร็จ อนั เกิดจากบญุ นน้ั .

๕. สังเวคปริกติ ตนปาฐะ (คาํ แสดงสงั เวช) อธิ ะ ตะถาคะโต โลเก อุปปน โน, พระตถาคตเจาเกดิ ข้นึ แลว ในโลกน้ี; อะระหงั สมั มาสมั พทุ โธ, เปนผูไ กลจากกิเลส, ตรสั รชู อบไดโ ดยพระองคเ อง; ธมั โม จะ เทสโิ ต นิยยานโิ ก, และพระธรรมทท่ี รงแสดง เปน ธรรมเคร่อื งออกจากทุกข; อุปะสะมโิ ก ปะรนิ พิ พานโิ ก, เปนเคร่ืองสงบกเิ ลส, เปน ไปเพ่อื ปรนิ พิ พาน; สมั โพธะคามี สคุ ะตปั ปะเวทโิ ต, เปน ไปเพอื่ ความรูพ รอ ม, เปนธรรมทพ่ี ระสคุ ตประกาศ; มะยนั ตงั ธมั มงั สุตว๎ า เอวงั ชานามะ, พวกเราเมือ่ ไดฟงธรรมน้นั แลว , จงึ ไดรอู ยางนี้วา:– ชาตปิ  ทกุ ขา, แมค วามเกดิ ก็เปน ทุกข; ชะราป ทกุ ขา, แมค วามแก กเ็ ปน ทุกข; มะระณมั ป ทกุ ขงั , แมความตาย กเ็ ปนทุกข; โสกะปะรเิ ทวะทกุ ขะโทมะนสั สปุ ายาสาป ทกุ ขา, แมความโศก ความร่ําไรราํ พนั ความไมส บายกาย ความไมส บายใจ ความคบั แคน ใจ ก็เปนทกุ ข;

อัปปเ ยหิ สมั ปะโยโค ทกุ โข, ความประสบกบั สงิ่ ไมเปนท่ีรักท่ีพอใจ ก็เปน ทุกข; ปเ ยหิ วปิ ปะโยโค ทกุ โข, ความพลดั พรากจากส่งิ เปน ท่ีรักท่ีพอใจ กเ็ ปน ทกุ ข; ยมั ปจ ฉงั นะ ละภะติ ตมั ป ทกุ ขงั , มีความปรารถนาสง่ิ ใด ไมไ ดส่งิ นน้ั นัน่ ก็เปนทุกข; สงั ขิตเตนะ ปญจปุ าทานกั ขันธา ทกุ ขา, วา โดยยอ อปุ าทานขนั ธทงั้ ๕ เปน ตวั ทุกข; เสยยะถที งั , ไดแ กส ่งิ เหลานค้ี ือ:– รปู ปู าทานกั ขันโธ, ขันธ อันเปน ทีต่ งั้ แหงความยดึ มน่ั คือรปู ; เวทะนปู าทานกั ขนั โธ, ขันธ อนั เปนทีต่ ง้ั แหงความยึดมน่ั คอื เวทนา; สญั ปู าทานกั ขนั โธ, ขนั ธ อนั เปน ที่ตง้ั แหงความยึดม่นั คือสัญญา; สงั ขารปู าทานกั ขนั โธ, ขนั ธ อันเปนทต่ี งั้ แหงความยึดม่นั คอื สังขาร; วญิ ญาณปู าทานกั ขันโธ, ขนั ธ อันเปนทต่ี งั้ แหงความยดึ มนั่ คอื วญิ ญาณ;

เยสงั ปะรญิ ญายะ, เพอื่ ใหสาวกกําหนดรอบรอู ปุ าทานขันธ เหลา นี้เอง; ธะระมาโน โส ภะคะวา, จึงพระผมู ีพระภาคเจา นั้น เม่ือยงั ทรงพระชนมอ ย;ู เอวงั พะหุลงั สาวะเก วิเนต,ิ ยอ มทรงแนะนําสาวกท้งั หลาย เชน น้ีเปน สว นมาก; เอวัง ภาคา จะ ปะนสั สะ ภะคะวะโต สาวะเกสุ อะนสุ าสะนี พะหลุ า ปะวตั ตะต,ิ อนึง่ คาํ ส่งั สอนของพระผมู พี ระภาคเจา นั้น, ยอ มเปน ไปในสาวกท้ังหลาย, สว นมาก, มสี ว นคือการจาํ แนกอยางนีว้ า :– รปู ง อะนิจจงั , รปู ไมเทย่ี ง; เวทะนา อะนจิ จา, เวทนาไมเทีย่ ง; สญั ญา อะนจิ จา, สัญญาไมเ ท่ยี ง; สงั ขารา อะนจิ จา, สงั ขารไมเ ทย่ี ง; วญิ ญาณงั อะนจิ จงั , วิญญาณไมเ ทีย่ ง; รปู ง อะนัตตา, รปู ไมใชต ัวตน; เวทะนา อะนตั ตา, เวทนาไมใ ชต ัวตน; สญั ญา อะนตั ตา, สญั ญาไมใ ชตวั ตน; สงั ขารา อะนตั ตา, สงั ขารไมใชตัวตน; วิญญาณงั อะนตั ตา, วญิ ญาณไมใ ชต ัวตน;

สพั เพ สงั ขารา อะนจิ จา, สงั ขารทง้ั หลายทง้ั ปวง ไมเทยี่ ง; สพั เพ ธมั มา อะนัตตาต,ิ ธรรมทงั้ หลายทง้ั ปวง ไมใ ชต วั ตน ดงั น;้ี เต (หญงิ วา ตา) มะยัง โอตณิ ณามห๎ ะ, พวกเราทง้ั หลาย เปน ผูถ กู ครอบงาํ แลว; ชาตยิ า, โดยความเกดิ ; ชะรามะระเณนะ, โดยความแกและความตาย; โสเกหิ ปะรเิ ทเวหิ ทกุ เขหิ โทมะนสั เสหิ อุปายาเสห,ิ โดยความโศก ความราํ่ ไรราํ พัน ความไมส บายกาย ความไมสบายใจ ความคับแคน ใจ ท้ังหลาย; ทกุ โขตณิ ณา, เปน ผูถ กู ความทกุ ข หยง่ั เอาแลว ; ทกุ ขะปะเรตา, เปน ผมู คี วามทกุ ข เปน เบอื้ งหนาแลว ; อปั เปวะนามมิ สั สะ เกวะลสั สะ ทกุ ขกั ขนั ธสั สะ อนั ตะกริ ยิ า ปญ ญาเยถาต.ิ ทําไฉน การทาํ ท่ีสดุ แหงกองทกุ ขท้ังสิน้ นี้, จะพึงปรากฏชดั แกเราได.

(สาํ หรบั อบุ าสก-อบุ าสกิ าสวด) จริ ะปะรนิ พิ พตุ มั ป ตงั ภะคะวันตงั สะระณัง คะตา, เราทั้งหลาย ผถู ึงแลว ซ่งึ พระผมู พี ระภาคเจา, แมป รินพิ พานนานแลว พระองคนน้ั เปน สรณะ; ธมั มญั จะ สงั ฆญั จะ, ถงึ พระธรรมดวย ถึงพระสงฆด วย; ตสั สะ ภะคะวะโต สาสะนงั ยะถาสะติ ยะถาพะลงั มะนะสิกะโรมะ อะนปุ ะฏปิ ช ชามะ, จกั ทําในใจอยู ปฏบิ ัติตามอยู ซ่ึงคาํ สั่งสอนของพระผมู พี ระภาคเจา นนั้ ตามสติกําลงั ; สา สา โน ปะฏปิ ต ต,ิ ขอใหความปฏบิ ัตนิ ั้นๆ ของเราท้งั หลาย; อมิ สั สะ เกวะลสั สะ ทกุ ขกั ขันธสั สะ อนั ตะกริ ยิ ายะ สงั วตั ตะตุ. จงเปน ไปเพ่อื การทําที่สดุ แหงกองทุกข ทง้ั สนิ้ น้ี เทอญ.

(สาํ หรบั ภกิ ษ-ุ สามเณรสวด) จริ ะปะรนิ พิ พตุ มั ป ตัง ภะคะวันตงั อทุ ทสิ สะ อะระหันตงั สมั มาสมั พทุ ธงั , เราท้ังหลาย อทุ ิศเฉพาะพระผมู พี ระภาคเจา , ผไู กลจากกิเลส, ตรัสรชู อบไดโ ดยพระองคเอง, แมปรนิ พิ พานนานแลว พระองคนนั้ ; สทั ธา อะคารสั ม๎ า อะนะคารยิ งั ปพ พะชติ า, เปนผูม ศี รัทธา ออกบวชจากเรือน ไมเกย่ี วของดวยเรอื นแลว ; ตสั ม๎ งิ ภะคะวะติ พร๎ หั ม๎ ะจะรยิ งั จะรามะ, ประพฤตอิ ยซู ง่ึ พรหมจรรย ในพระผมู ีพระภาคเจา พระองคน ้ัน; ภกิ ขนู ัง สกิ ขาสาชวี ะสะมาปน นา, ถงึ พรอมดวยสกิ ขาและธรรมเปน เครอ่ื งเลย้ี งชวี ิต ของภกิ ษทุ ้ังหลาย; ตงั โน พร๎ หั ม๎ ะจะรยิ ัง อมิ สั สะ เกวะลสั สะ ทกุ ขกั ขันธัสสะ อนั ตะกริ ยิ ายะ สงั วตั ตะต.ุ ขอใหพรหมจรรยข องเราทง้ั หลายน้นั , จงเปน ไปเพอ่ื การทําที่สุดแหง กองทุกข ทงั้ สน้ิ น้ี เทอญ. (จบคําทาํ วัตรเชา )







๑. พุทธานุสสติ (คาํ ระลกึ ถงึ พระพทุ ธเจา ) (หนั ทะ มะยงั พทุ ธานสุ สะตนิ ะยงั กะโรมะ เส.) (เชิญเถดิ เราท้ังหลาย ทําความตามระลึกถึงพระพุทธเจา เถดิ .) ตัง โข ปะนะ ภะคะวนั ตงั เอวงั กัลย๎ าโณ กิตตสิ ทั โท อพั ภคุ คะโต, กก็ ิตตศิ ัพทอ ันงามของพระผูมพี ระภาคเจาน้นั , ไดฟ ุง ไปแลวอยางน้วี า:– อติ ปิ  โส ภะคะวา, เพราะเหตุอยางน้ีๆ พระผมู ีพระภาคเจาน้นั ; อะระหงั , เปนผูไกลจากกิเลส; สมั มาสมั พทุ โธ, เปน ผตู รสั รูช อบไดโ ดยพระองคเ อง; วชิ ชาจะระณะสมั ปน โน, เปน ผถู ึงพรอมดวยวชิ ชาและจรณะ; สุคะโต, เปนผไู ปแลว ดวยดี; โลกะวทิ ,ู เปน ผรู โู ลกอยา งแจม แจง; อะนตุ ตะโร ปรุ สิ ะทมั มะสาระถ,ิ เปน ผสู ามารถฝกบุรุษทส่ี มควรฝก ได อยา งไมม ใี ครยงิ่ กวา ; สัตถา เทวะมะนสุ สานงั , เปน ครผู สู อน ของเทวดาและมนษุ ย ทัง้ หลาย; พทุ โธ, เปน ผูรู ผตู นื่ ผูเบกิ บานดว ยธรรม; ภะคะวาต.ิ เปน ผมู ีความจําเรญิ จําแนกธรรม สั่งสอนสตั ว, ดงั นี้.

๒. พุทธาภคิ ตี ิ (คาํ สรรเสรญิ พระพทุ ธเจา ) (หนั ทะ มะยงั พทุ ธาภคิ ตี งิ กะโรมะ เส.) (เชิญเถิด เราทั้งหลาย ทําความขับคาถา พรรณนาเฉพาะพระพุทธเจา เถดิ .) พทุ ธว๎ าระหนั ตะวะระตาทคิ ุณาภิยตุ โต, พระพุทธเจาประกอบดว ยคุณ, มีความประเสรฐิ แหงอรหนั ตคุณ เปน ตน; สทุ ธาภญิ าณะกะรณุ าหิ สะมาคะตตั โต, มีพระองคอันประกอบดว ยพระญาณ, และพระกรณุ าอนั บรสิ ทุ ธ;์ิ โพเธสิ โย สชุ ะนะตงั กะมะลงั วะ สโู ร, พระองคใ ด ทรงกระทาํ ชนท่ีดใี หเบิกบาน, ดุจอาทิตยท าํ บวั ใหบาน; วันทามะหัง ตะมะระณงั สริ ะสา ชเิ นนทงั , ขาพเจา ไหวพระชินสหี  ผไู มมีกเิ ลสพระองคน ั้น ดว ยเศยี รเกลา ; พทุ โธ โย สพั พะปาณนี งั สะระณงั เขมะมตุ ตะมงั , พระพุทธเจา พระองคใด เปนสรณะอนั เกษมสูงสดุ ของสัตวท ้งั หลาย; ปะฐะมานสุ สะติฏฐานงั วนั ทามิ ตงั สิเรนะหงั , ขา พเจา ไหวพระพทุ ธเจาพระองคน ้นั อันเปน ทีต่ ง้ั แหงความระลกึ องคท่หี นึ่ง ดวยเศยี รเกลา ;

พทุ ธสั สาหสั ม๎ ิ ทาโส (หญงิ วา ทาส)ี วะ พทุ โธ เม สามกิ สิ สะโร, ขา พเจา เปน ทาสของพระพทุ ธเจา, พระพุทธเจาเปน นาย มอี สิ ระเหนอื ขา พเจา ; พทุ โธ ทกุ ขสั สะ ฆาตา จะ วธิ าตา จะ หติ สั สะ เม, พระพุทธเจาเปนเคร่อื งกาํ จดั ทกุ ข, และทรงไวซ่ึงประโยชนแ กข า พเจา ; พทุ ธสั สาหงั นิยยาเทมิ สะรรี ญั ชวี ติ ัญจทิ งั , ขาพเจามอบกายถวายชวี ติ น้ี แดพระพทุ ธเจา ; วันทนั โตหงั (หญงิ วา ตหี งั ) จะรสิ สามิ พทุ ธสั เสวะ สโุ พธติ งั , ขา พเจา ผไู หวอ ยูจักประพฤตติ าม, ซง่ึ ความตรัสรูดขี องพระพทุ ธเจา; นัตถิ เม สะระณงั อญั ญัง พทุ โธ เม สะระณงั วะรงั , สรณะอืน่ ของขา พเจา ไมม ,ี พระพทุ ธเจา เปน สรณะอนั ประเสรฐิ ของขา พเจา ; เอเตนะ สจั จะวชั เชนะ วฑั เฒยยงั สตั ถสุ าสะเน, ดวยการกลาวคาํ สตั ยน ี,้ ขาพเจา พงึ เจรญิ ในพระศาสนาของพระศาสดา; พทุ ธงั เม วนั ทะมาเนนะ (หญงิ วา มานายะ) ยงั ปญุ ญงั ปะสุตงั อธิ ะ, ขา พเจา ผูไหวอ ยูซึง่ พระพทุ ธเจา , ไดขวนขวายบญุ ใดในบดั น้;ี

สพั เพป อนั ตะรายา เม มาเหสุง ตสั สะ เตชะสา. อันตรายทงั้ ปวงอยาไดมแี กขา พเจา ดว ยเดชแหงบญุ นั้น. (กราบหมอบลงวา ) กาเยนะ วาจายะ วะ เจตตะสา วา,* ดว ยกายกด็ ี ดว ยวาจาก็ดี ดวยใจกด็ ี; พทุ เธ กกุ มั มงั ปะกะตงั มะยา ยงั , กรรมนาตเิ ตยี นอนั ใด ท่ีขา พเจากระทาํ แลว ในพระพทุ ธเจา ; พทุ โธ ปะฏคิ คณั ห๎ ะตุ อจั จะยนั ตงั , ขอพระพทุ ธเจา จงงดซงึ่ โทษลว งเกนิ อันน้ัน; กาลนั ตะเร สังวะรติ งุ วะ พทุ เธ. เพอ่ื การสาํ รวมระวงั ในพระพทุ ธเจา ในกาลตอ ไป. * บทขอใหงดโทษน้ี มิไดเปน การขอลางบาป เปน เพียรการเปดเผยตวั เอง และคําวา โทษในทนี่ ้ี มิไดห มายถงึ กรรม หมายถงึ โทษเพยี งเล็กนอ ยซึ่งเปน “สว นตัว” ระหวางกนั ท่ีพึงอโหสิกนั ได การขอขมาชนดิ น้ี สําเร็จผลไดในเมอ่ื ผขู อตง้ั ใจทาํ จรงิ ๆ และเปน เพียงศีลธรรม หรอื สิ่งที่ควรประพฤติ.

๓. ธัมมานุสสติ (คาํ ระลกึ ถงึ พระธรรม) (หนั ทะ มะยงั ธมั มานสุ สะตนิ ะยงั กะโรมะ เส.) (เชิญเถิด เราท้งั หลาย ทําความตามระลึกถึงพระธรรมเถิด.) สว๎ ากขาโต ภะคะวะตา ธมั โม, พระธรรม เปน สง่ิ ท่พี ระผมู ีพระภาคเจา ไดตรสั ไวด ีแลว ; สนั ทฏิ ฐโิ ก, เปน ส่งิ ทผ่ี ูศ กึ ษาและปฏบิ ตั ิ พงึ เห็นไดด ว ยตนเอง; อะกาลโิ ก, เปนสิง่ ทป่ี ฏบิ ัติได และใหผลได ไมจ ํากดั กาล; เอหปิ ส สโิ ก, เปนสิ่งทค่ี วรกลาวกะผอู ื่นวา ทา นจงมาดเู ถดิ ; โอปะนะยิโก, เปน ส่ิงทคี่ วรนอมเขา มาใสตัว; ปจ จตั ตงั เวทติ พั โพ วญิ หู ตี ิ. เปนส่ิงทผ่ี รู กู ร็ ูไดเ ฉพาะตน, ดงั น.ี้

๔. ธัมมาภคิ ีติ (คาํ สรรเสรญิ พระธรรม) (หนั ทะ มะยงั ธมั มาภคิ ตี งิ กะโรมะ เส.) (เชญิ เถิด เราท้ังหลาย ทําความขับคาถา พรรณนาเฉพาะพระธรรมเถิด.) สว๎ ากขาตะตาทิคณุ ะโยคะวะเสนะ เสยโย, พระธรรม เปนสงิ่ ท่ีประเสริฐ เพราะประกอบดวยคณุ , คอื ความที่พระผมู พี ระภาคเจา ตรสั ไวดแี ลว เปน ตน; โย มคั คะปากะปะรยิ ตั ตวิ โิ มกขะเภโท, เปน ธรรมอนั จาํ แนกเปน มรรค ผล ปรยิ ตั ิ และนพิ พาน; ธมั โม กโุ ลกะปะตะนา ตะทะธารธิ าร,ี เปนธรรมทรงไวซ ่ึงผทู รงธรรม จากการตกไปสูโ ลกทช่ี ่ัว; วนั ทามะหัง ตะมะหะรงั วะระธมั มะเมตงั , ขาพเจา ไหวพ ระธรรมอันประเสริฐน้นั อนั เปนเคร่อื งขจดั เสยี ซึ่งความมืด; ธมั โม โย สพั พะปาณนี งั สะระณงั เขมะมตุ ตะมงั , พระธรรมใด เปน สรณะอนั เกษมสงู สดุ ของสัตวท ้งั หลาย; ทตุ ิยานสุ สะตฏิ ฐานัง วนั ทามิ ตงั สเิ รนะหงั , ขา พเจา ไหวพระธรรมน้ัน อนั เปน ท่ตี ้งั แหงความระลึก องคท สี่ อง ดว ยเศยี รเกลา ;

ธมั มสั สาหัสม๎ ิ ทาโส (หญงิ วา ทาส)ี วะ ธมั โม เม สามกิ สิ สะโร, ขาพเจา เปนทาสของพระธรรม, พระธรรมเปนนาย มีอิสระเหนือขาพเจา; ธมั โม ทกุ ขสั สะ ฆาตา จะ วธิ าตา จะ หติ สั สะ เม, พระธรรมเปน เครอื่ งกําจดั ทกุ ข, และทรงไวซง่ึ ประโยชนแ กข าพเจา ; ธมั มสั สาหงั นยิ ยาเทมิ สะรรี ญั ชวี ติ ตญั จทิ งั , ขา พเจามอบกายถวายชวี ติ น้ี แดพ ระธรรม; วันทนั โตหงั (หญงิ วา ตหี งั ) จะรสิ สามิ ธมั มสั เสวะ สธุ มั มะตงั , ขาพเจาผไู หวอ ยูจักประพฤตติ าม, ซ่งึ ความเปนธรรมดขี องพระธรรม; นตั ถิ เม สะระณงั อญั ญงั ธมั โม เม สะระณงั วะรงั , สรณะอนื่ ของขาพเจาไมม ,ี พระธรรมเปน สรณะอนั ประเสริฐของขา พเจา ; เอเตนะ สจั จะวชั เชนะ วัฑเฒยยงั สัตถสุ าสะเน, ดวยการกลาวคําสัตยน ี้, ขา พเจาพงึ เจรญิ ในพระศาสนาของพระศาสดา;

ธมั มงั เม วนั ทะมาเนนะ (หญงิ วา มานายะ) ยัง ปญุ ญงั ปะสุตงั อธิ ะ, ขา พเจา ผไู หวอ ยูซ่งึ พระธรรม, ไดขวนขวายบุญใดในบดั น;้ี สพั เพป อนั ตะรายา เม มาเหสงุ ตสั สะ เตชะสา. อนั ตรายท้ังปวง อยา ไดมแี กขา พเจา ดวยเดชแหงบญุ นนั้ . (กราบหมอบลงวา ) กาเยนะ วาจายะ วะ เจตตะสา วา,* ดว ยกายกด็ ี ดว ยวาจาก็ดี ดว ยใจก็ด;ี ธมั เม กกุ มั มงั ปะกะตงั มะยา ยงั , กรรมนาตเิ ตยี นอันใด ทีข่ า พเจา กระทําแลว ในพระธรรม; ธมั โม ปะฏคิ คัณห๎ ะตุ อจั จะยนั ตงั , ขอพระธรรม จงงดซึ่งโทษลว งเกนิ อนั น้ัน; กาลนั ตะเร สงั วะรติ งุ วะ ธมั เม. เพือ่ การสาํ รวมระวงั ในพระธรรม ในกาลตอ ไป. * บทขอใหง ดโทษนี้ มิไดเปน การขอลา งบาป เปน เพยี รการเปด เผยตวั เอง และคาํ วา โทษในทนี่ ี้ มไิ ดหมายถงึ กรรม หมายถงึ โทษเพียงเล็กนอ ยซึ่งเปน “สวนตวั ” ระหวางกนั ท่ีพึงอโหสกิ นั ได การขอขมาชนดิ น้ี สาํ เรจ็ ผลไดในเมอื่ ผูขอตั้งใจทาํ จรงิ ๆ และเปน เพียงศีลธรรม หรือส่ิงทคี่ วรประพฤต.ิ

๕. สงั ฆานุสสติ (คาํ ระลกึ ถงึ พระสงฆ) (หนั ทะ มะยงั สังฆานสุ สะตนิ ะยัง กะโรมะ เส.) (เชญิ เถิด เราทงั้ หลาย ทําความตามระลกึ ถึงพระสงฆเถดิ .) สปุ ะฏปิ น โน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ, สงฆส าวกของพระผูมีพระภาคเจา หมใู ด, ปฏบิ ตั ิดแี ลว ; อชุ ปุ ะฏปิ น โน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ, สงฆสาวกของพระผมู พี ระภาคเจา หมใู ด, ปฏิบัติตรงแลว; ญายะปะฏิปน โน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ, สงฆส าวกของพระผมู ีพระภาคเจา หมูใ ด, ปฏบิ ตั ิเพอื่ รธู รรม เปนเครอ่ื งออกจากทกุ ขแลว; สามีจปิ ะฏปิ น โน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ, สงฆส าวกของพระผูม พี ระภาคเจา หมูใ ด, ปฏบิ ัติสมควรแลว ; ยะททิ งั , ไดแ กบ ุคคลเหลา นค้ี อื ; จัตตาริ ปรุ สิ ะยคุ านิ อัฏฐะ ปรุ สิ ะปคุ คะลา, คูแหงบรุ ษุ ๔ คู,* นบั เรยี งตัวบรุ ษุ ได ๘ บรุ ุษ; เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ, นั่นแหละ สงฆส าวกของพระผมู พี ระภาคเจา ;

อาหเุ นยโย, เปนสงฆค วรแกสกั การะที่เขานาํ มาบูชา; ปาหเุ นยโย, เปน สงฆค วรแกสกั การะที่เขาจดั ไวตอนรับ; ทกั ขิเณยโย, เปนผคู วรรับทกั ษิณาทาน; อัญชะลกี ะระณโี ย, เปนผทู ่ีบคุ คลท่วั ไปควรทาํ อญั ชลี; อะนตุ ตะรงั ปญุ ญกั เขตตงั โลกสั สาต.ิ เปน เนอ้ื นาบุญของโลก, ไมมนี าบญุ อ่ืนย่ิงกวา, ดงั น.ี้ * ๔ คคู อื โสดาปต ตมิ รรค, โสดาปตตผิ ล, สกทาคามมิ รรค, สกทาคามผิ ล, อนาคามิมรรค, อนาคามผิ ล, อรหัตตมรรค, อรหตั ตผล.

๖. สังฆาภิคีติ (คาํ สรรเสรญิ พระสงฆ) (หนั ทะ มะยงั สงั ฆาภคิ ตี งิ กะโรมะ เส.) (เชิญเถิด เราทง้ั หลาย ทาํ ความขับคาถา พรรณนาเฉพาะพระสงฆเถดิ .) สทั ธมั มะโช สปุ ะฏิปต ตคิ ุณาทิยตุ โต, พระสงฆท เ่ี กดิ โดยพระสัทธรรม, ประกอบดว ยคุณ มีความปฏบิ ัตดิ ี เปน ตน ; โยฏฐพั พโิ ธ อะรยิ ะปคุ คะละสงั ฆะเสฏโฐ, เปนหมแู หง พระอรยิ บุคคลอันประเสรฐิ ๘ จาํ พวก; สลี าทธิ มั มะปะวะราสะยะกายะจิตโต, มกี ายและจติ อนั อาศยั ธรรมมีศลี เปนตน อันบวร; วนั ทามะหงั ตะมะรยิ านะคะณงั สสุ ทุ ธงั , ขาพเจาไหวห มแู หงพระอริยเจาเหลา น้ัน อนั บรสิ ุทธดิ์ วยดี; สงั โฆ โย สพั พะปาณนี งั สะระณัง เขมะมตุ ตะมงั , พระสงฆห มใู ด เปนสะระณะอันเกษมสงู สุด ของสตั วทัง้ หลาย; ตะตยิ านสุ สะติฏฐานงั วนั ทามิ ตัง สเิ รนะหงั , ขา พเจาไหวพ ระสงฆห มนู นั้ อันเปนท่ตี ้งั แหง ความระลกึ องคท ีส่ าม ดว ยเศียรเกลา; สงั ฆสั สาหสั ม๎ ิ ทาโส (หญงิ วา ทาส)ี วะ สงั โฆ เม สามกิ สิ สะโร, ขา พเจาเปน ทาสของพระสงฆ, พระสงฆเปนนาย มีอิสระเหนือขา พเจา ;

สงั โฆ ทกุ ขสั สะ ฆาตา จะ วธิ าตา จะ หติ ัสสะ เม, พระสงฆเ ปน เครือ่ งกําจดั ทุกข, และทรงไวซ ง่ึ ประโยชนแกข าพเจา ; สงั ฆสั สาหัง นยิ ยาเทมิ สะรรี ญั ชวี ติ ญั จทิ งั , ขา พเจา มอบกายถวายชีวติ นี้ แดพระสงฆ; วนั ทนั โตหงั (หญงิ วา ตีหงั ) จะรสิ สามิ สงั ฆสั โสปะฏปิ น นะตงั , ขา พเจา ผูไหวอยูจักประพฤติตาม, ซึ่งความปฏิบตั ิดขี องพระสงฆ; นตั ถิ เม สะระณงั อญั ญงั สงั โฆ เม สะระณงั วะรงั , สรณะอ่นื ของขาพเจา ไมม ,ี พระสงฆเ ปนสรณะอันประเสริฐของขาพเจา ; เอเตนะ สจั จะวชั เชนะ วฑั เฒยยงั สัตถสุ าสะเน, ดวยการกลา วคําสตั ยนี,้ ขา พเจา พึงเจรญิ ในพระศาสนาของพระศาสดา; สงั ฆงั เม วนั ทะมาเนนะ (หญิงวา มานายะ) ยัง ปญุ ญงั ปะสุตงั อธิ ะ, ขาพเจา ผไู หวอยูซ่งึ พระสงฆ, ไดข วนขวายบุญใดในบัดน;ี้ สพั เพป อนั ตะรายา เม มาเหสงุ ตสั สะ เตชะสา. อนั ตรายท้ังปวง อยา ไดม แี กข า พเจา ดวยเดชแหงบุญน้นั .

(กราบหมอบลงวา ) กาเยนะ วาจายะ วะ เจตตะสา วา,* ดวยกายกด็ ี ดวยวาจากด็ ี ดว ยใจกด็ ี; สงั เฆ กกุ มั มงั ปะกะตงั มะยา ยงั , กรรมนา ติเตียนอันใด ที่ขา พเจากระทําแลว ในพระสงฆ; สงั โฆ ปะฏคิ คัณห๎ ะตุ อจั จะยนั ตงั , ขอพระสงฆ จงงดซ่งึ โทษลว งเกนิ อนั นัน้ ; กาลนั ตะเร สังวะรติ งุ วะ สงั เฆ. เพ่ือการสาํ รวมระวงั ในพระสงฆ ในกาลตอ ไป. * บทขอใหง ดโทษนี้ มิไดเ ปนการขอลางบาป เปน เพียรการเปดเผยตัวเอง และคําวา โทษในทน่ี ้ี มิไดหมายถึงกรรม หมายถงึ โทษเพียงเล็กนอยซึ่งเปน “สว นตัว” ระหวา งกนั ท่พี ึงอโหสิกนั ได การขอขมาชนดิ น้ี สําเรจ็ ผลไดใ นเมอ่ื ผูขอตงั้ ใจทําจริงๆ และเปนเพยี งศีลธรรม หรือสงิ่ ทค่ี วรประพฤติ. (จบคาํ ทาํ วัตรเย็น)











๑. สรณคมนปาฐะ (คาํ ระลกึ ถงึ พระรตั นตรยั ) (หนั ทะ มะยงั ตสิ ะระณะคะมะปาฐัง ภะณามะ เส.) (เชญิ เถดิ เราทง้ั หลาย จงกลา วคาถาเพื่อระลกึ ถงึ พระรตั นตรยั เถิด.) พทุ ธงั สะระณงั คัจฉาม,ิ ขาพเจา ถือเอาพระพทุ ธเจา เปน สรณะ; ธมั มงั สะระณัง คัจฉาม,ิ ขา พเจาถือเอาพระธรรมเปน สรณะ; สงั ฆงั สะระณงั คจั ฉาม.ิ ขา พเจา ถือเอาพระสงฆเปน สรณะ. ทตุ ยิ มั ป พทุ ธัง สะระณงั คัจฉาม,ิ แมค รั้งทสี่ อง ขา พเจาถอื เอาพระพทุ ธเจา เปน สรณะ; ทตุ ิยมั ป ธมั มงั สะระณัง คัจฉาม,ิ แมค รงั้ ทสี่ อง ขาพเจา ถอื เอาพระธรรมเปน สรณะ; ทตุ ยิ มั ป สงั ฆงั สะระณัง คัจฉาม.ิ แมค รง้ั ทส่ี อง ขา พเจา ถอื เอาพระสงฆเปน สรณะ. ตะตยิ มั ป พทุ ธัง สะระณัง คจั ฉาม,ิ แมค รั้งทส่ี าม ขา พเจาถอื เอาพระพทุ ธเจา เปน สรณะ; ตะตยิ มั ป ธมั มงั สะระณัง คัจฉาม,ิ แมคร้ังทสี่ าม ขาพเจาถือเอาพระธรรมเปนสรณะ; ตะตยิ มั ป สงั ฆงั สะระณัง คัจฉาม.ิ แมครัง้ ทสี่ าม ขา พเจาถือเอาพระสงฆเ ปน สรณะ.

๒. อฏั ฐสกิ ขาปทปาฐะ (คาํ แสดงศลี ๘) (หนั ทะ มะยงั อฏั ฐะสกิ ขาปะทะปาฐงั ภะณามะ เส.) (เชิญเถิด เราทั้งหลาย จงกลา วคาํ แสดงศลี ๘ เถิด.) ปาณาตปิ าตา เวระมะณ,ี เจตนาเปน เครอื่ งเวนจากการฆา ; อะทนิ นาทานา เวระมะณ,ี เจตนาเปน เครอื่ งเวน จากการถือเอาส่ิงของ ท่ีเจา ของไมไ ดใหแลว ; อะพร๎ หั ม๎ ะจะรยิ า เวระมะณ,ี เจตนาเปน เครือ่ งเวน จากการกระทาํ อันมใิ ชพ รหมจรรย; มสุ าวาทา เวระมะณ,ี เจตนาเปน เครอื่ งเวนจากการพดู ไมจ รงิ ; สรุ าเมระยะมชั ชะปะมาทฏั ฐานา เวระมะณ,ี เจตนาเปน เครื่องเวน จากการดม่ื สรุ า และเมรยั , อนั เปน ทต่ี ้ังของความประมาท; วิกาละโภชะนา เวระมะณ,ี เจตนาเปน เคร่อื งเวนจากการบรโิ ภคอาหารในเวลาวิกาล;

นจั จะ คตี ะ วาทติ ะ วสิ กู ะ ทสั สะนะ มาลาคนั ธะ วิเลปะนะ ธาระณะ มณั ทะนะ วภิ สู ะนฏั ฐานา เวระมะณ,ี เจตนาเปน เคร่อื งเวน จากการฟอนราํ , การขบั เพลง การดนตรี, การดูการเลนชนดิ เปน ขา ศึกตอกศุ ล, การทดั ทรงสวมใส การประดับ การตกแตง ตน, ดว ยพวงมาลา ดวยเครอ่ื งกลนิ่ และเคร่อื งผดั ทา; อุจจาสะยะนะ มะหาสะยะนา เวระมะณ.ี เจตนาเปน เคร่ืองเวนจากการนั่งนอนบนที่นอนสงู และที่นอนใหญ.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook