๘๗ คู่มือการฝึกปฏิบัตโิ ครงการฝกึ ปฏิบตั งิ านภาคสนามชดุ วิชาโครงการพัฒนาทกั ษะว
วชิ าชีพปฏบิ ัตกิ ารฉกุ เฉนิ การแพทย์ ประจำปีการศกึ ษา ๒๕๖๓
๘๘ ๒. เทคนคิ กระบวนการวางแผนแบบมีสว่ นร่วม A-I-C (Appreciation Influence Control) Mind Map® & AIC for Participatory Planning เรียบเรียงโดย เภสัชกรประชาสรรณ์ แสนภักดี M.P.H. CMU ๒.๑ ความสำคญั ของกระบวนการ A-I-C การพฒั นาชุมชนท่นี ำไปสูก่ ารพัฒนาทย่ี ั่งยืนคือการเปิดโอกาสให้บุคคล และผแู้ ทนของกลมุ่ องค์กร ต่างๆ ทอ่ี ยู่ใน ชุมชน ท้องถ่ิน เข้ามามีส่วนร่วมและรับผิดชอบในการกำหนดทิศทางในการพัฒนาชุมชน ร่วมตัดสินใจอนาคตของชุมชนร่วมดำเนินกิจกรรมการ พัฒนาและร่วมรับผลประโยชน์ที่เกิดขึ้น กระบวนการ A - I - C จะช่วยให้ชุมชนข้าไปมีส่วนร่วมในการวางแผนและการตัดสินใจ ร่วม สร้างความเข้าใจในการดำเนินงาน สร้างการยอมรับ ความรับผิดชอบในฐานะสมาชิกของชุมชน เกิดความรู้สึกเป็นเจ้าของ และเกดิ ความภาคภูมใิ จในผลงานท่ตี นมสี ว่ นรว่ มกระบวนการพฒั นาชุมชน จงึ เกดิ ความตอ่ เนอ่ื ง และก่อใหเ้ กดิ ความสำเรจ็ สูง จากประสบการณ์ในการพฒั นามขี อ้ สรุปที่ไดจ้ ากการนำเอากระบวนการประชุมนม้ี าใช้ ซ่ึงพบวา่ (๑) กระบวนการ A-I-C ชว่ ยให้ประชาชนและกลมุ่ องคก์ รตา่ งๆ ทงั้ ในและนอกชมุ ชนท่ีเข้ามามสี ว่ นรว่ มมีความ กระตือรอื ร้น ในการเข้าร่วมพัฒนาชมุ ชนทอ้ งถน่ิ มากขึ้น (๒) การวางแผนแบบมสี ่วนรว่ มเปน็ การเปดิ โอกาสใหผ้ ูแ้ ทนกลุ่มตา่ งๆ ประชาชนโดยเฉพาะผรู้ ้กู ลมุ่ คนจน ผู้ดอ้ ยโอกาส ผูห้ ญิง และเยาวชน เขา้ มามบี ทบาทในการร่วมคดิ กำหนดแนวทางการพฒั นาและจัดสรรทรพั ยากร การมี สว่ นรว่ ม ในกิจกรรม และเสริมสรา้ งความเขา้ ใจซ่งึ กนั และกันซ่งึ เป็นการรวมพลังเชิงสร้างสรรค์ (๓) ประชาชน กล่มุ องค์กรตา่ งๆ มีความรสู้ ึกเป็นเจ้าของทงั้ กจิ กรรม โครงการ ผลของการพฒั นาและความเป็น เจ้าของชมุ ชนทอ้ งถ่นิ ทำใหเ้ กดิ ความมีพลงั รถู้ ึงศกั ยภาพในการพ่ึงตนเอง (๔) องค์กรต่างๆ ทงั้ ภาครัฐ และเอกชนเรียนรทู้ ่จี ะเขา้ รว่ มมอื กนั ในการพฒั นาอย่างประสานสอดคลอ้ งนบั ได้ว่า กระบวนการ A-I-C ชว่ ยใหเ้ กดิ การระดมแนวคิดทส่ี รา้ งสรรค์ มสี ่วนรว่ ม และเสรมิ พลังของชมุ ชนท้องถ่ินในการพฒั นา กระบวนการ A-I-C เป็นการประชมุ ท่ีกอ่ ใหเ้ กิดการทำงานร่วมกนั เพอื่ จัดทำแผน โดยเป็นวิธีการทเี่ ปิดโอกาสใหผ้ ู้เขา้ รว่ ม ประชุมไดม้ ีเวทพี ูดคุยแลกเปล่ียน ความรู้ประสบการณ์ นำเสนอขอ้ มลู ขา่ วสารที่จะทำให้เกดิ ความเขา้ ใจถึงสภาพปญั หา ความต้องการ ข้อจำกดั และศักยภาพของผูท้ ี่เกี่ยวข้องตา่ งๆ เป็นกระบวนการท่ชี ว่ ยใหม้ ีการระดมพลงั สมองในการศกึ ษา วิเคราะห์พฒั นาทางเลือก เพ่ือใชใ้ นการแก้ไขปญั หาและพัฒนา เกิดการตดั สนิ ใจรว่ มกันเกดิ พลังของการสร้างสรรค์และรับผิดชอบต่อการพฒั นาชมุ ชน ทอ้ งถน่ิ เพราะกระบวนการ A-I-C มีข้นั ตอนสำคัญ คือ ๑. ขั้นตอนการสร้างความรู้ (Appreciation: A) คือขั้นตอนการเรียนรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ขั้นตอนนี้จะเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมประชุมทุกคน แสดงความคิดเห็น รับฟังและหาข้อสรุปรว่ มกันอย่างสร้างสรรค์เปน็ ประชาธิปไตย ยอมรับในความคิดของเพือ่ นสมาชิกโดยใช้การ วาดรูปเป็นสื่อในการ แสดงความคดิ เห็น และแบง่ เปน็ ๒สว่ น A๑ : การวิเคราะหส์ ภาพการของหม่บู า้ น ชุมชน ตำบล ในปจั จบุ ัน A๒ : การกำหนดอนาคตหรอื วสิ ยั ทศั น์ อันเปน็ ภาพพึงประสงคใ์ นการพฒั นาว่าต้องการอย่างไร โดยการวาดภาพมคี วามสำคัญคือ (๑) การวาดภาพจะชว่ ยใหผ้ ู้เขา้ ร่วมประชมุ สามารถสร้างจนิ ตนาการ คดิ วเิ คราะห์ จนสรปุ มาเป็นภาพและชว่ ยให้ ผไู้ มถ่ นดั ในการเขยี นสามารถส่อื สารได้ คมู่ ือการฝกึ ปฏิบตั โิ ครงการฝกึ ปฏิบตั ิงานภาคสนามชุดวชิ าโครงการพฒั นาทกั ษะวิชาชีพปฏบิ ตั กิ ารฉกุ เฉนิ การแพทย์ ประจำปีการศกึ ษา ๒๕๖๓
๘๙ (๒) ช่วยกระตุ้นใหผ้ ู้เขา้ ร่วมประชุมคดิ และพูด เพ่ืออธบิ ายภาพซึ่งตนเองวาด นอกจากน้ียังเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วม ประชุมอืน่ ๆ ได้ซักถามขอ้ มูลจากภาพ เป็นการเปิดโอกาสให้มกี ารพูดคุย แลกเปลีย่ น และกระตุ้นให้คนทีไ่ มค่ ่อยกลา้ พูดให้ มโี อกาสนำเสนอ (๓) การรวมภาพของแต่ละบุคคล เพื่อเป็นภาพรวมของกลุ่ม จะช่วยให้มีความง่าย ต่อการรวบรวมแนวคิดของ ผเู้ ขา้ รว่ มประชมุ และสร้างความรู้สกึ เปน็ เจ้าของภาพ(ความคดิ ) และสว่ นร่วมในการสร้างภาพพงึ ประสงค์ของกล่มุ (๔) จะช่วยเสริมสร้างบรรยากาศการประชุมให้มีความสุข และเป็นกันเอง ในบางครั้งผู้เข้าร่วมประชุมมักมองว่า การ วาดภาพเป็นกิจกรรมสำหรับเด็ก ดังนั้นวิทยากร กระบวนการจำเป็นต้องสร้างความเข้าใจและนำเกมต่างๆ เกี่ยวกับ การ วางแผน การละลายพฤติกรรมกลมุ่ หรอื การวาดภาพเพื่อการแนะนำตนเองหรอื วาดภาพสิ่งท่ตี นเองชอบ ไมช่ อบ มาใช้ อนุ่ เครื่องเพื่อเปน็ การเตรียมความพรอ้ มของผู้เขา้ ร่วมประชุม ๒.ขน้ั ตอนการสร้างแนวทางการพฒั นา (Influence : I) คือ ข้นั ตอนการหาวธิ ีการและเสนอทางเลือกในการพฒั นาตามที่ไดส้ รา้ งภาพพงึ ประสงค์ หรือท่ีได้ช่วยกันกำหนด วสิ ัยทัศน์ (A๒) เปน็ ข้นั ตอนที่จะต้องชว่ ยกันหามาตรการวิธีการ และค้นหาเหตผุ ลเพอื่ กำหนดทางเลือกในการพฒั นา กำหนด เป้าหมาย กำหนดกิจกรรมและจดั ลำดับความสำคัญของกิจกรรม โครงการโดยแบง่ เป็น๒ช่วงคอื I๑ :การคิดเกย่ี วกับกจิ กรรมโครงการทจ่ี ะทำให้บรรลุวตั ถปุ ระสงค์ ตามภาพพึงประสงค์ I๒ : การจัดลำดับความสำคญั ของกจิ กรรม โครงการ โดย (๑) กิจกรรม หรือโครงการทีห่ มบู่ ้าน ชุมชน ท้องถ่นิ ทำเองไดเ้ ลย (๒) กิจกรรมหรือโครงการที่บางส่วนต้องการความร่วมมือ หรือการสนับสนุนจากองค์กรปกครองส่วน ท้องถิน่ หรอื หน่วยงานที่รว่ มทำงานสนับสนุนอยู่ (๓) กิจกรรมที่หมู่บ้าน ชุมชน ตำบล ไม่สามารถดำเนินการได้เอง ต้องขอความร่วมมือเช่น ดำเนินการ จากแหล่งอน่ื ท้งั ภาครัฐและเอกชน ๓. ขั้นตอนการสรา้ งแนวทางปฏบิ ัติ (Control : C) คือ ยอมรบั และทำงานรว่ มกันโดยนำเอาโครงการหรือกจิ กรรมตา่ งๆมาสู่การปฏบิ ตั ิ และจัดกลุ่มผดู้ ำเนนิ การ ซง่ึ จะรับผดิ ชอบโครงการ โดยข้นั ตอนกจิ กรรมประกอบด้วย C๑ : การแบง่ ความรบั ผดิ ชอบ C๒ : การตกลงใจในรายละเอยี ดของการดำเนินการจดั ทำแผนปฏิบัติ นอกจากน้ีผลลัพธ์ที่ได้จากการประชุมคอื (๑) รายชื่อกิจกรรม หรือโครงการที่กลุ่ม องค์กรชุมชนดำเนินการได้เอง ภายใต้ความรับผิดชอบและเป็น แผนปฏิบตั กิ าร ของหม่บู า้ น ชุมชน (๒) กิจกรรม โครงการที่ชุมชน หรือองค์กรชุมชน เสนอขอรับการส่งเสริม สนับสนุนจากองค์กรปกครองท้องถิ่น และหนว่ ยงานภาครัฐท่ีทำงาน หรือสนบั สนุนชมุ ชน (๓) รายชื่อกิจกรรม โครงการท่ชี าวบ้านตอ้ งแสวงหาทรพั ยากร และประสานงานความรว่ มมือจากภาคคี วาม ร่วมมือต่างๆทง้ั จากภาครัฐหรอื องคก์ รพัฒนาเอกชน เปน็ ต้น คมู่ อื การฝกึ ปฏิบัตโิ ครงการฝกึ ปฏิบตั งิ านภาคสนามชดุ วชิ าโครงการพัฒนาทกั ษะวิชาชีพปฏิบตั กิ ารฉกุ เฉนิ การแพทย์ ประจำปีการศึกษา ๒๕๖๓
๙๐ ๒.๒ ปจั จยั ทส่ี ำคญั ทจ่ี ะชว่ ยใหก้ ารประชุม A-I-C ประสบความสำเร็จได้ (๑) การจัดประชุมกระบวนการ A-I-C นี้ \"เน้นความเป็นกระบวนการ\" จะดำเนินการข้ามขั้นตอนหรือสลบั ขั้นตอนไม่ได้ เน้น การระดมความคิด และสร้างการยอมรับซึ่งกันและกัน ให้ความสำคัญกับการตัดสินใจการกำหนดอนาคตร่วมกัน และเน้นการสร้าง พลังความคิด วิเคราะห์ และเสนอทางเลือก ในการพัฒนาและพลังความรักความเอื้ออาทร การสร้างบรรยากาศที่เป็นมิตร อันเป็น พลงั เชงิ สรา้ งสรรคใ์ นการพฒั นา (๒) การศึกษาและเตรียมชมุ ชน ๒.๑ การศึกษาชุมชนเพื่อให้เข้าใจสภาพของหมู่บ้าน ชุมชน หรือตำบล ความสัมพันธ์ของกลุ่มต่างๆการทราบ ความสามารถ ศักยภาพของกล่ม สภาพการพึ่งตนเอง เป็นต้น เพื่อให้ได้ข้อมูลท่ีเพียงพอเป็นข้อเท็จจริง ในการกำหนด อนาคตทางเลอื ก รวมท้ังกลวธิ ีท่ีเหมาะสมในการแกไ้ ขปญั หาและการประสานความร่วมมอื ๒.๒ การเตรียมชุมชนเพ่ือทำให้กล่มุ ตา่ งๆ ในชุมชน ประชาชนเข้าใจ และส่งผแู้ ทนทีม่ ีอำนาจในการตัดสินใจของ กลุ่ม เข้าร่วมประชุม รวมทั้งมีการพิจารณาเพื่อกระจายโอกาสให้กลุ่มต่างๆ ในชุมชนเข้ามามีส่วนร่วม เช่น กลุ่มสตรี เดก็ คนจน ผู้ประสบปญั หาตา่ งๆ เป็นตน้ (๓) วิทยากรกระบวนการที่เข้าใจขั้นตอนของกระบวนการ A-I-C มีประสบการณ์ ความรู้ในเรื่องที่เกี่ยวข้องในการประชุม มไี หวพรบิ ในการแกไ้ ขปัญหาสถานการณ์ เฉพาะหน้า สามารถไกล่เกลี่ย หรอื มีวธิ ีการในการจดั การกับความขัดแย้งท่ีเหมาะสมในกรณี ท่อี าจจะเกดิ ขน้ึ โดยสามารถทำหนา้ ที่ ๓.๑ เตรียมชุมชน เตรียมการประชมุ ดำเนนิ การประชุม และสรปุ ผล ๓.๒ สร้างบรรยากาศในการประชุม เพือ่ คลายความตรงึ เครียดของผเู้ ข้ารว่ มประชุม ๓.๓ ความคุมขั้นตอนและเวลาในการดำเนินการประชุมให้เปน็ ไปตามกระบวนการ ๓.๔ สรปุ ความเห็นที่แท้จรงิ ของผู้เข้ารว่ มประชุม โดยไม่สอดแทรกความเห็นหรอื ทัศนะของตนเองลงไป ๓.๕ ในกรณที ่ีมขี ้อถกเถียงระหว่างผูเ้ ขา้ ร่วมประชมุ ซึ่งเกดิ ความตอ้ งการปกป้องผลประโยชนข์ อง ตนเองผดู้ ำเนินการประชมุ ตอ้ งทำหน้าที่ไกล่เกล่ีย และหาขอ้ ยุตใิ หไ้ ด้ ๓.๖วิเคราะห์และสังเกตบรรยากาศในการประชุม สำหรับจำนวนผู้จัดการประชุมอาจมีเพียงคนเดียวก็ได้เป็น ผู้นำการประชุม ซึ่งจะมีข้อดี คือ กระบวนการประชุมเป็นเอกภาพมากกว่า แต่หากไม่มั่นใจในการดูแลบรรยากาศการ ประชมุ น่าจะจดั คณะมาช่วยโดยแบ่งหน้าท่เี ปน็ O ผจู้ ดั การประชมุ ดแู ลอำนวยความสะดวกท่ัวไป ได้แก่ การลงทะเบียน อาหาร เครื่องด่มื O ผ้นู ำการประชมุ O ผจู้ ัดกจิ กรรมเกมส์ สร้างบรรยากาศ เพอ่ื การละลายพฤตกิ รรม คลายเครยี ด และการนำเข้าสู่ข้ันตอนแตล่ ะ ขั้นตอน O ผเู้ ตรยี มวสั ดอุ ุปกรณ์ ท้ังนคี้ ณะฯ จะต้องทำความเข้าใจ ในขั้นตอนและวธิ ีการใหต้ รงกนั สอดรบั กัน ๒.๓ รายละเอยี ดขั้นตอน กระบวนการ A-I-C กับประสบการณท์ นี่ ำไปใช้ ๒.๓.๑ ขัน้ เตรยี มการ ไดแ้ ก่ ๑. การศึกษาชุมชน เพื่อให้ทราบประวัติการพัฒนา โครงสร้างทางสังคมปัจจัยพื้นฐาน แหล่งทรัพยากรของหมู่บ้าน โดยอาศัยขอ้ มูลท่มี อี ยู่แลว้ ในรายงานการสำรวจของราชการการพูดคยุ กับชุมชน การสำรวจ คมู่ ือการฝึกปฏิบตั โิ ครงการฝกึ ปฏิบัติงานภาคสนามชุดวิชาโครงการพฒั นาทกั ษะวชิ าชพี ปฏิบัตกิ ารฉกุ เฉนิ การแพทย์ ประจำปีการศึกษา ๒๕๖๓
๙๑ ๒. การคัดเลือกกลุ่มเป้าหมาย เพื่อให้ไดต้ วั แทนของกลุ่มตา่ งๆในชุมชน ประมาณ ๓๐-๕๐คน โดยการสอบถามกลุม่ ต่างๆ และผ้นู ำของหมบู่ า้ น ๓. การชี้แจงวัตถุประสงค์ต่อผู้นำและกรรมการหมู่บ้าน และขอความเห็นในการจัดการประชุมให้สะดวกราบรื่นทุกฝ่าย (แจก Mind Map® ให้กบั ทกุ คนเพ่อื เปน็ ขอ้ มลู นำเขา้ ) ๔. การเตรียมตัวของผู้นำการประชุม เพื่อดำเนินการประชุมให้ราบรื่น (เตรียมด้วย Mind Map® เพื่อมองเห็นภาพรวม ของงาน) ๕. การเตรียมส่งิ อำนวยความสะดวกในการประชมุ ได้แกส่ ถานที่ อุปกรณเ์ ครอื่ งเขยี น การจดบันทึกต่างๆ ๒.๓.๒ ขน้ั ตอนการจัดประชุมและปฏบิ ตั กิ ารตามกระบวนการ A-I-C การจัดประชมุ ในระยะเวลา ๒วนั Control C-๒๒ เสนอแผนการปฏิบัติการ กลมุ่ ใหญ่ C-๒๑ ทำแผนปฏบิ ตั ิการ กลุ่มสนใจ C-๑เลือกแนวทางที่สมคั รใจจะทำ รายบคุ คล Influence I-๒ วเิ คราะห์จำแนกจัดลำดบั แนวทางสู่วสิ ัยทศั น์ กลุ่มใหญ่ I-๑ แนวทางสู่วิสยั ทศั น์ร่วม กลุ่มยอ่ ย Appreciation A-๒๒ วิสยั ทัศนร์ ่วมกล่มุ ใหญ่ กลมุ่ ใหญ่ A-๒๑ เปา้ หมายอนาคตทป่ี รารถนากลุ่มยอ่ ย กลุ่มยอ่ ย A-๑๒ นำเสนอให้เขา้ ใจสภาพปัจจบุ นั กลุม่ ใหญ่ A-๑๑ เข้าใจสภาพ/สถานการณป์ จั จุบัน A-๐ เขา้ ใจอดีตทบทวนสถานการณ์ Appreciation ( วันที่ ๑ ของการประชุม) A-๐ ความเป็นมาจากอดีต เพื่อให้เข้าใจสภาพปัจจุบันการทบทวนสถาการณ์ ที่ผ่านมาจะช่วยให้สมาชิก มองเห็นภาพ ปัจจุบัน และอนาคตชัดเจนขึ้นวิทยากร ผู้รู้ร่วมให้ประสบการณ์เพิ่มเติม ซึ่งกิจกรรมนี้ถื อเป็นกิจกรรมอุ่นเครื่องก่อนเข้าสู่ กระบวนการ A-๑ A-๑.๑ สภาพ สถานการณ์ ปัจจบุ ัน (๖๐นาท)ี ๑. สมาชิกทุกคนในกลุ่มย่อย วาดภาพลงบนแผ่นกระดาษ จากมุมมองของตนเอง กลุ่มย่อยอาจใช้กล่อมเฉพาะ เช่น กลมุ่ ผ้หู ญงิ ล้วน กล่มุ ผชู้ ายลว้ น กลมุ่ ผนู้ ำชุมขน กลุม่ ข้าราชการ ใหเ้ วลาวาดภาพประมาณ๑๐-๑๕นาที ๒. สมาชกิ แตล่ ะคนเลา่ ภาพของตน สมาชกิ คนอนื่ ตงั้ ใจฟงั และสอบถามได้ แตไ่ ม่มกี ารวพิ ากษ์วจิ ารณเ์ พ่อื เปิดโอกาส ให้รับ ฟังรบั รู้ จดจำ ขอ้ มูล ประสบการณ์ ความรู้สึกของผอู้ ืน่ อยา่ งเต็มท่ี คู่มอื การฝกึ ปฏิบตั โิ ครงการฝกึ ปฏบิ ัติงานภาคสนามชดุ วชิ าโครงการพฒั นาทกั ษะวิชาชีพปฏิบตั กิ ารฉกุ เฉินการแพทย์ ประจำปกี ารศกึ ษา ๒๕๖๓
๙๒ ๓. ทุกคน นำภาพของตัวเองมารวม บนกระดาษแผ่นใหญ่ และช่วยกันเติมให้เปน็ ภาพรวมเพียงภาพเดียวของกลุ่มเป็นการ สรา้ งการมีส่วนรว่ ม และยอมรับความคิดซ่งึ กันและกนั วทิ ยากรพยายามกระตุ้นใหท้ ุกคนรว่ มกันวาดภาพ A-๑.๒ นำเสนอความเขา้ ใจสภาพปจั จบุ นั (๓๐นาที) ผู้แทนกลมุ่ นำเสนออภิปรายความหมายภาพรวมของกลมุ่ สมาชิกกลมุ่ อืน่ จะซกั ถามหรือให้ขอ้ มูลเพิ่มเติมวทิ ยากรควรชว่ ยต้ัง คำถาม เพ่อื ให้การอธบิ ายชดั เจนขน้ึ A-๒.๑ เป้าหมาย อนาคตทีป่ รารถนา (๖๐นาที) ๑. สมาชิกทุกคนในกลุ่มย่อยวาดภาพจินตนาการถึงภาพชุมชน สภาพท่ตี นเองอยากเห็นในอนาคตให้เวลาวาดภาพ ๑๐-๑๕ นาที (เขียนแผนท่ีความคดิ - Mind Map®) ๒. แต่ละคนเล่าถึงภาพของตน แล้วจึงนำภาพของทุกคนมารวมกนั เป็นภาพเดียว โดย โดยช่วยกันต่อเติมให้เป็นภาพเดียว ของกลมุ่ ทสี่ มบรู ณ์ ๓. นำเสนอภาพรวมของแตล่ ะกลุม่ โดยให้มผี ู้แทนกล่มุ คนใหมน่ ำเสนอ A-๒.๒ วสิ ยั ทัศน์รวม (๗๕นาที) ๑. วิทยากรนำภาพของทุกกลุ่มมาให้กลุ่มพิจารณาเลือกภาพใดภาพหนึ่ง เพื่อต่อเติมให้เป็นภาพตัวแทนของอนาคตที่ ตอ้ งการของกล่มุ ทุกๆ กลุม่ ๒. คัดเลือกอาสาสมัครช่วยกันเพ่ิมเตมิ ภาพ สมาชิกชวนกันบอกความต้องการเพิ่มเตมิ การรวมภาพของทกุ กลุ่มให้เป็นภาพ เดียวกัน เป็นขน้ั ตอนสำคัญทจี่ ำเปน็ เพอ่ื ใหส้ มาชกิ ทกุ คนได้สรา้ งทิศทางไปสู่อนาคตรว่ มกนั เปน็ ภาพเดยี วกัน รสู้ ึกเปน็ เจ้าของความคดิ ร่วมกนั วทิ ยากรกระตนุ้ ให้แตล่ ะคนในใจไวว้ ่าถา้ จะให้เปน็ จรงิ ตามภาพจะทำอยา่ งไรบ้าง Influence (วนั ท่ี ๒ ของการประชุม) I-๑แนวทางการพฒั นาสู่วิสัยทศั นร์ ่วม (๙๐นาท)ี ๑. วิทยากรทบทวนวิสัยทัศน์ร่วม(Vision) และให้โอกาสสมาชิกปรับปรุงเพิ่มเติมให้สมบูรณ์ (เสนอด้วย Mind Map® แตก แขนงเพมิ่ เติมได้) ๒. สมาชกิ แต่ละคนในกล่มุ ย่อยเขยี นแนวทาง กิจกรรม ลกั ษณะโครงการบนแผ่นกระดาษ เพื่อให้เสนอใหก้ ลมุ่ ย่อยพิจารณา ให้เวลาคิดสว่ นตัว ๑๐-๑๕นาที ๓. แต่ละคนนำเสนอแนวทาง โดยชแ้ี จงเหตผุ ล ความจำเปน็ ประโยชน์ (แต่ละคนเสนอ Mental Model ดว้ ย Mind Map®) ๔. รวบรวมขอ้ เสนอแตล่ ะคนจดั เปน็ หมวดหมู่ โดยต้องเป็นแนวทางท่กี ลุ่มเห็นพอ้ งตอ้ งกนั วา่ เป็นข้อเสนอของกลมุ่ ๕. ผู้แทนกลุ่มนำเสนอสมาชิกมุ่ กนั ซกั ถามให้ข้อคดิ เห็นเพมิ่ เติม I-๒วเิ คราะห์ จำแนก และจดั ลำดับพัฒนาสวู่ สิ ยั ทัศน์รว่ ม (๗๕นาที) ๑. พิจารณาแนวทาง กิจกรรมแต่ละข้อ โดยจัดลำดับความสำคัญ ความต้องการ การเกื้อหนุนจากคนองค์กรใด ที่เห็นว่า สำคญั และควรคำนึงถึงความสำเร็จในการปฏบิ ตั ิ ๒. ผู้แทนกล่มุ คัดเลือก จดั กิจกรรมไว้เป็นประเภท โดยรวมกิจกรรมทเี่ หมอื นกนั ไวด้ ้วยกันและจัดประเภทกิจกรรม ทสี่ มาชกิ ทำไดเ้ อง กจิ กรรมทร่ี ว่ มมอื กับหนว่ ยงานองค์กรในท้องถน่ิ กิจกรรมทขี่ อความรว่ มมือจากองค์กรนอกท้องถิน่ ๓. เมอ่ื แยกประเภทแลว้ แตล่ ะคนพจิ ารณาว่าหากมที รพั ยากร จำกัด จะเลือกโครงการใดทคี่ ดิ ว่าสำคัญที่สุด ๓ - ๕ กจิ กรรม โดยเขียนลำดับบนกระดาษแล้ว รวมคะแนนกิจกรรมทไ่ี ดค้ ะแนนมากที่สุดใหเ้ ปน็ ลำดับหนงึ่ ค่มู ือการฝกึ ปฏบิ ตั โิ ครงการฝึกปฏบิ ัตงิ านภาคสนามชุดวชิ าโครงการพัฒนาทกั ษะวชิ าชพี ปฏิบัตกิ ารฉกุ เฉนิ การแพทย์ ประจำปีการศึกษา ๒๕๖๓
๙๓ Control C-๑ เลอื กแนวทาง/กจิ กรรมทจ่ี ะทำ (๓๐นาที) ๑. กิจกรรมที่สามารถทำได้เอง สมาชิกตัดสินใจเลือกที่จะทำโดยลงชื่อในกระดาษของแต่ละกิจกรรมแบ่งกลุ่มย่อย ตามกจิ กรรมทสี่ มาชกิ ลงช่อื ไว้ ๒. กิจกรรมที่ต้องทำร่วมกับองค์กรอื่นๆ สมาชิกร่วมกันเสนอมอบหมายให้บุคคล หรือกลุ่มดำเนินการประสานติดตาม หรือยื่นขอ้ เสนอ C-๒.๑ ทำแผนปฏิบัติการ (๑๒๐นาท)ี ๑. จัดทำแผนปฏบิ ตั กิ ารทีท่ ำไดเ้ องโดยนำแนวทาง กิจกรรมต่างๆ ที่ จำแนกกลมุ่ ไวเแล้วมาทำแผนปฏบิ ตั ิการ โดยตอบ คำถามดงั น้ี Q ทำอะไร (ชอื่ โครงการ) Q ทำแลว้ ได้อะไร (ผลทคี่ าดวา่ จะไดร้ ับเกดิ ขนึ้ ) Q ทำอย่างไร (กิจกรรม วิธดี ำเนนิ การ) Q ต้องใช้ทรพั ยากร วัสดอุ ปุ กรณ์ งบประมาณเท่าใด Q ทำทไ่ี หน (สถานทจี่ ะดำเนินโครงการ) Q ทำเม่อื ไร (วนั เวลาท่ีจะดำเนินโครงการ) Q ใครบา้ งจะชว่ ยทำ Q ใครรบั ผิดชอบ (ผ้ดู ูแลประสานงาน) ๒. กิจกรรมที่ต้องขอความรว่ มมอื สนบั สนุนจากองค์กรอ่ืน นำมาทำแผนโดยตอบคำถามดงั นี้ © ทำอะไร (ช่ือโครงการ) © ทำแล้วได้อะไร (ผลท่คี าดว่าจะไดร้ บั / เกิดขึ้น) © ประสานงานกบั หนว่ ยงานอะไรทีไ่ หน เมอ่ื ไร อยา่ งไร © ใครเปน็ ผปู้ ระสานงานติดตามความกา้ วหน้า ตัวอยา่ ง หวั ขอ้ เขียนแผนปฏบิ ตั ิ ๑. ช่ือโครงการ (ทำอะไร) ๒. หลักการและเหตุผล (ทำไมต้องทำ) ๓. วตั ถปุ ระสงค์ (ทำเพ่อื ให้ได้อะไร) ๔. เป้าหมาย (ผลทห่ี วัง) ๕. วิธีดำเนินการ (ทำอยา่ งไร) ๖. กำหนดเวลา (ทำเมือ่ ไร ถึงเม่อื ไร) ๗. คา่ ใชจ้ า่ ยและแหลง่ เงิน (ใช้เงินเท่าไร จากไหนบา้ ง) ๘. ประมาณการรายรับ ถ้ามี (คาดวา่ จะมรี ายไดเ้ ทา่ ไร) ๙. ผู้รบั ผดิ ชอบ (ใครเป็นคนสำคัญท่ีรับผิดชอบดูแลเรอื่ งนี)้ ๑๐. ผใู้ หค้ วามรว่ มมือ (ใครบ้างตอ้ งมาร่วมมอื จึงจะสำเรจ็ ) C-๒.๒ เสนอแผนปฏบิ ตั ิการ (๓๐นาท)ี ๑. นำเสนอรายละเอียดของกจิ กรรม ๒. อภปิ รายเพ่ิมเติมและตกลงดำเนินงาน มอบหมายงาน กำหนดวนั เวลา สถานที่ คู่มือการฝกึ ปฏบิ ัติโครงการฝกึ ปฏบิ ัตงิ านภาคสนามชุดวิชาโครงการพัฒนาทกั ษะวิชาชพี ปฏิบัตกิ ารฉกุ เฉินการแพทย์ ประจำปกี ารศึกษา ๒๕๖๓
๙๔ ๒.๓.๓ ขัน้ สดุ ท้าย คอื การเตรยี มการเพ่ือเสนอแผนต่อหน่วยงานที่เก่ียวขอ้ ง เพือ่ ประสานของรับการสนบั สนุนหรอื ส่งเสริม และเขา้ ร่วมพฒั นา การประยกุ ตใ์ ช้ Mind Map® ในกระบวนการ AIC สามารถปรบั ประยกุ ต์ใชไ้ ดก้ บั ทกุ ข้นั ตอนทง้ั ในส่วนของผ้ทู ี่เป็นวทิ ยากร กระบวนการและ สำหรบั การระดมความคดิ เหน็ และการนำเสนอภาพฝนั หรือจนิ ตนาการของแตล่ ะคนที่เขา้ ร่วมเวที Mind Map® จะช่วยลดความขดั แยง้ ในระหว่างการประชุมเนอื่ งจาก Mind Map® ทุกคนจะสนใจการเขียนแผนทค่ี วามคดิ ร่วมกนั รวมทงั้ จะชว่ ยกัน ระดมขอ้ มูลใหไ้ ด้มากทสี่ ดุ อ้างอิงจากกระบวนการเสริมสร้าง ชุมชนเข้มแข็งประชาคม ประชาสังคม.ธีระพงษ์ แก้วหาวงษ์.ศูนย์ฝึกอบรมและพัฒนาการ สาธารณสุขมลู ฐานภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ http://www.prachasan.com/mindmapknowledge/aic.html เขา้ ถงึ วนั ท่ี ๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ คู่มอื การฝึกปฏิบัติโครงการฝกึ ปฏิบตั งิ านภาคสนามชุดวชิ าโครงการพัฒนาทกั ษะวชิ าชีพปฏิบัตกิ ารฉกุ เฉินการแพทย์ ประจำปกี ารศึกษา ๒๕๖๓
๙๕ ๓. การวิเคราะหส์ ภาพแวดล้อมเชิงกลยุทธ์ (SWOT Analysis) (เรยี บเรยี งโดย นันทพร นภาเหมนิ ทร์) ๓.๑ บทนำ หลกั การสำคัญของSWOT กค็ ือการวิเคราะห์โดยการสำรวจจากสภาพการณ์ ๒ ด้าน คือ สภาพการณภ์ ายใน และสภาพการณ์ภายนอก ดังนั้นการวิเคราะห์ SWOT จึงเรียกได้ว่าเป็นการวิเคราะห์สภาพการณ์ (Situation Analysis) ซึ่งเป็นการวิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน เพื่อให้รู้ตนเอง (รู้เรา) รู้จักสภาพแวดล้อม (รู้เขา) ชัดเจน และ วิเคราะห์โอกาส-อุปสรรค การวิเคราะห์ปัจจัยต่างๆ ทั้งภายนอกและภายในองค์กรจะช่วยให้ผู้บริหารขององค์กร ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ทั้งสิ่งทีไ่ ด้เกิดข้ึนแล้วและแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงในอนาคต รวมทั้งผลกระทบของ การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ที่มีต่อองค์กรธุรกิจ จุดแข็ง จุดอ่อน และความสามารถด้านต่างๆที่องค์กรมีอยู่ ซึ่งข้อมูล เหล่านีจ้ ะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการกำหนดวิสัยทัศน์ การกำหนดกลยทุ ธ์และการดำเนินตามกลยทุ ธ์ขององคก์ ร ระดบั องคก์ รทเ่ี หมาะสมต่อไป ๓.๒ ความหมายของ SWOT Analysis SWOT Analysis เป็นการวิเคราะห์สภาพองค์กร หรือหน่วยงานในปัจจุบัน เพื่อค้นหาจุดแข็ง จุดเด่น จุดดอ้ ย หรือสิ่งทีอ่ าจเป็นปญั หาสำคัญในการดำเนินงานสู่สภาพท่ตี อ้ งการในอนาคต SWOT เปน็ ตวั ยอ่ ท่ีมีความหมายดังนี้ ๑. S มาจาก Strengths หมายถึง จุดแขง็ หรือขอ้ ได้เปรยี บ ๒. W มาจาก Weaknesses หมายถงึ จดุ ออ่ นหรือขอ้ เสียเปรยี บ ๓. O มาจาก Opportunities หมายถงึ โอกาสทีจ่ ะดำเนินการได้ ๔. T มาจาก Threats หมายถึง อุปสรรค ข้อจำกัด หรอื ปจั จัยทค่ี ุกคามการดำเนินงานขององคก์ ร ๓.๓ ประโยชนแ์ ละความสำคญั ของ SWOT Analysis เป็นการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมต่างๆทั้งภายนอกและภายในองค์กร ซึ่งปัจจัยเหล่านี้แต่ละอย่างจะช่วยให้ เข้าใจได้ว่ามีอิทธิพลต่อผลการดำเนินงานขององค์กรอย่างไร จุดแข็งขององค์กรจะเป็นความสามารถภายในที่ถูกใช้ ประโยชน์เพื่อการบรรลุเป้าหมาย ในขณะที่จุดอ่อนขององค์กรจะเป็นคุณลักษณะภายใน ที่อาจจะทำลายผลการ ดำเนินงาน โอกาสทางสภาพแวดล้อมจะเป็นสถานการณ์ที่ให้เกิดการเอื้อต่อบรรลุเป้าหมายองค์กร ในทางกลับกัน อุปสรรคทางสภาพแวดล้อมจะเป็นสถานการณ์ที่ขัดขวางการบรรลุเป้าหมายขององค์กร ผลจากการวิเคราะห์ SWOT นี้จะใช้เป็นแนวทางในการกำหนดวิสัยทัศน์ การกำหนดกลยุทธ์ เพื่อให้องค์กรเกิดการพัฒนาไปในทางที่ เหมาะสม ๓.๔ ขอ้ ดแี ละข้อเสียของการทำ SWOT Analysis ข้อดี เทคนิคการวิเคราะห์ SWOT ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในการวิเคราะห์สถานการณ์ต่างๆ ทางธุรกิจ และการบริหารเชิงกลยุทธ์ เนื่องจากเป็นเทคนิคที่เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน ให้ความสะดวกเป็นอย่างมากสำหรับผู้ที่นำ SWOT มาใช้ และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ด้านต่างๆมากมาย เช่น การตัดสินใจเลือกเมือ่ มีทางเลอื ก หลายๆทาง การกำหนดความสำคัญก่อนหลังของเหตุการณ์ การบริหารความเปลี่ยนแปลงที่ต้องการให้เกิดข้ึน คู่มือการฝกึ ปฏบิ ตั โิ ครงการฝึกปฏิบตั ิงานภาคสนามชุดวชิ าโครงการพฒั นาทกั ษะวิชาชพี ปฏิบตั กิ ารฉกุ เฉนิ การแพทย์ ประจำปกี ารศึกษา ๒๕๖๓
๙๖ การวิเคราะห์และแก้ปัญหาในการดำเนินการ การวิเคราะห์โครงการเริ่มใหม่ การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้ สูงขึน้ การสรา้ งกระบวนการเรยี นร้ใู หม่ ฯลฯ ข้อเสีย ของการใช้ SWOT ก็มีอยู่ไม่น้อยเช่นกัน เมื่อเปรียบเทียบกับประโยชนแ์ ละความหลากหลายในการ ประยกุ ต์ใช้งาน เชน่ โอกาสผิดพลาดเกิดจาก คณุ ภาพของข้อมูลท่ีนำมาใช้วิเคราะห์ ทักษะ ประสบการณ์ และความ เข้าใจในความรู้พื้นฐานของเทคนิค SWOT ของผู้วิเคราะห์ ต้องทบทวน SWOTเป็นระยะๆ เพื่อตรวจสอบสภาพว่า เหตุการณ์และปัจจยั ต่างๆ ทีน่ ำมาใชเ้ ป็นข้อมูลพน้ื ฐาน ยงั เหมอื นเดมิ หรือมกี ารเปล่ยี นแปลงไปแลว้ หรือไม่ ๓.๔.๑ การวิเคราะห์สภาพแวดลอ้ มภายในองคก์ ร การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายในองค์กรจะเกี่ยวกับการวิเคราะห์พิจารณาทรัพยากร และความ สามารถ ภายในองค์กรทุกๆด้าน เพื่อที่จะระบุจุดแข็งและจุดอ่อนขององค์กร แหล่งที่มาเบื้องต้นของข้อมูลเพื่อการประเมิน สภาพแวดล้อมภายใน คือระบบข้อมูลเพื่อการบริหารที่ครอบคลุมทุกด้าน ทั้งในด้านโครงสร้าง ระบบ ระเบียบ วิธปี ฏบิ ัตงิ าน บรรยากาศในการทำงานและทรัพยากรในการบรหิ าร คน เงนิ วัสดุ การจัดการ รวมถึงการพิจารณาผล การดำเนนิ งานทผ่ี ่านมาขององคก์ รเพ่ือทีจ่ ะเขา้ ใจสถานการณ์และแผนกลยุทธ์ก่อนหน้านด้ี ว้ ย ๓.๔.๑.๑ Strength Analysis การวเิ คราะห์จุดแขง็ หรือ Strength Analysis เปน็ การศึกษาตนเองจากมมุ มองภายในและภายนอกวา่ จุด แข็งของเราในเชิงเปรียบเทียบกับคู่แขง่ น้ัน เป็นเช่นไร หากจุดแข็งดงั กล่าวเป็นส่ิงที่ทุกคนมีก็ไม่ถอื วา่ เป็นจุดแข็ง แต่ เปน็ ความจำเปน็ (Necessity) สำหรับการทำตลาด เช่น การผลติ เคร่อื งใช้ไฟฟา้ ที่ได้รับฉลากประหยดั ไฟเบอร์ ๕ อาจจะเคยเป็นจุดแข็งในอดีต แต่ปัจจุบนั ได้กลายเป็นสิง่ จำเป็นที่แบรนด์ใดไม่มีไม่ได้ ดังนั้นแลว้ การมฉี ลากประหยดั ไฟเบอร์ ๕ จึงไม่ถอื เป็นจดุ แข็งของบรษิ ทั และแบรนด์ เปา้ หมายสำคญั ในการวิเคราะห์จุดแข็งคอื การคน้ หาส่ิงต่าง ๆ เหล่าน้ี - อะไรคอื สิ่งทเ่ี ราได้เปรยี บเหนือคู่แข่ง - อะไรคอื ส่ิงทเ่ี ราทำไดด้ ีเหนอื คู่แข่ง - อะไรคอื ส่ิงที่เรามีเหนอื คูแ่ ขง่ - คนอ่ืนๆ (ผู้บรโิ ภค, พนักงาน, ค่แู ขง่ ฯลฯ) มคี วามเห็นอย่างไรตอ่ ส่ิงที่เราคดิ ว่าเป็นจดุ แขง็ ของเรา ๓.๔.๑.๒ Weakness Analysis เช่นเดียวกับการวิเคราะห์จุดแข็ง การวิเคราะห์จุดอ่อน หรือ Weakness Analysis เป็นการศึกษาตนเอง จากมุมมองภายในและภายนอกว่า จุดอ่อนของเราในเชิงเปรียบเทียบกับคู่แข่งเป็นเช่นไร หากจุดอ่อนดังกล่าว เป็นสิ่งที่ทุกคนมีก็ไม่ถือว่าเป็นจุดอ่อนที่มีนัยสำคัญ แต่ในขณะเดียวกันถ้าเราสามารถแก้ไขจุดอ่อนเหล่านั้น ได้ กจ็ ะเปรยี บเสมือนว่าเรามีจุดแข็งเพ่มิ ขนึ้ มา โดยทั่วไปแล้ว หลายๆบริษัทสามารถวิเคราะห์จุดออ่ นของตนเองได้ดีเพราะเหตุผลหลายประการ อาทิ มอง ไม่เห็นว่าประเดน็ ต่างๆ นั้นเป็นจุดอ่อนได้อยา่ งไร หรืออาจจะเป็นเพราะการนำเสนอจุดอ่อนจะเป็นการตำหนิฝ่ายที่ เกีย่ วขอ้ ง การวิเคราะหจ์ ดุ ออ่ นท่ดี จี งึ ควรอาศยั การช่วยเหลอื จากบคุ คลภายนอก หรอื คณะทำงานท่มี คี วามมุ่งม่ันท่ีจะ คน้ หาความจรงิ ทเี่ ป็นจดุ ออ่ นของกจิ การ คู่มือการฝึกปฏบิ ัตโิ ครงการฝกึ ปฏบิ ตั ิงานภาคสนามชุดวชิ าโครงการพฒั นาทกั ษะวชิ าชพี ปฏบิ ตั กิ ารฉกุ เฉนิ การแพทย์ ประจำปกี ารศกึ ษา ๒๕๖๓
๙๗ ประเด็นสำคัญที่นิยมนำมาวิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อน เรียกรวมๆกันว่า การวิเคราะห์ภายใน (Internal Analysis) มดี ังตอ่ ไปนี้ Internal Analysis (Strength & Weakness Analysis) ประเด็นท่ีควรวิเคราะห์ ลกั ษณะการวิเคราะห์ Marketing Objectives เป้าหมายด้านการตลาดได้มีการระบุไว้ชัดเจนหรือไม่, เป้าหมายด้าน การตลาดสอดคล้องกบั เป้าหมายองคก์ รหรือไม่ Marketing Strategy อะไรคือกลยทุ ธ์การตลาดเพื่อใหบ้ รรลุเป้าหมายการตลาดตามทรี่ ะบุ , มกี ารจดั สรรทรัพยากรให้เหมาะสมเพ่ือให้บรรลุเปา้ หมายการตลาด หรอื ไม,่ ทรัพยากรต่าง ๆ ที่จัดสรรใหน้ นั่ ไดม้ ีการกระจายไป ตามความต้องการตา่ ง ๆ ของ Marketing Mix ท่ีเหมาะสมหรอื ไม่ Structure โครงสร้างองค์กรมีการจัดการในลักษณะที่สนับสนุนการทำงานเพื่อให้ บรรลุเป้าหมายการตลาดหรือไม่ Information System ระบบข้อมูลต่าง ๆ ในองค์กรมีลักษณะรวดเรว็ ให้ข้อมูลครบถ้วน และ นำไปใชป้ ระโยชน์ไดห้ รือไม่ Planning System ระบบการวางแผนตา่ ง ๆ ไดม้ ีการจดั การท่ีเหมาะสม และ มีประสทิ ธิภาพหรือไม่ Control System มีระบบควบคุมที่เหมาะสมเพื่อให้การทำงานของแต่ละทีมที่เกี่ยวข้อง สามารถพัฒนาไปได้เพ่อื ให้บรรลุเป้าหมายดา้ นการตลาดหรือไม่ Functional Efficiency การสื่อสารภายในเปน็ ไปอยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ และมปี ระสิทธผิ ลหรือไม่ Interfunctional Efficiency ลักษณะการทำงานและการประสานงานระหวา่ งทมี งานต่างๆกับฝา่ ย การตลาดเป็นไปอยา่ งมีประสิทธิภาพหรือไม่ Profitability Analysis มีระบบประเมนิ ผลประกอบการของสนิ ค้าแตล่ ะแบรนดอ์ ย่างไร มีประสทิ ธิภาพหรือไม่ Cost-Effectiveness Analysis กจิ กรรมดา้ นการตลาดใชง้ บประมาณอยา่ งคุ้มค่าหรือไม่ สามารถลดงบประมาณลงได้บา้ งหรือไม่ Organizational Values สิง่ ทถ่ี อื วา่ เป็นสิ่งมีค่าขององค์กรสำหรบั พนักงาน และจากมุมมองของ บคุ คลภายนอกคืออะไร Image ภาพลกั ษณ์ของกจิ การและของแบรนดเ์ ปน็ เช่นไร มีการเปล่ียนแปลง และพฒั นาการอย่างไร คูม่ อื การฝึกปฏบิ ัตโิ ครงการฝึกปฏิบตั ิงานภาคสนามชุดวิชาโครงการพฒั นาทกั ษะวิชาชีพปฏบิ ตั กิ ารฉกุ เฉนิ การแพทย์ ประจำปกี ารศกึ ษา ๒๕๖๓
๙๘ ๓.๔.๒ การวเิ คราะห์สภาพแวดล้อมภายนอกองค์กร ภายใต้การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายนอกองค์กรนั้น สามารถค้นหาโอกาสและอุปสรรคทางการ ดำเนินงานขององค์กรที่ได้รับผลกระทบ จากสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจทั้งใน และระหว่างประเทศที่เกี่ยวกับการ ดำเนินงานขององค์กร เช่น อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ นโยบาย การเงิน การงบประมาณ สภาพแวดล้อมทาง สังคม เช่น ระดับการศึกษาและอัตรารู้หนังสือของประชาชน การตั้งถิ่นฐานและการอพยพของ ประชาชน ลักษณะ ชมุ ชน ขนบธรรมเนยี มประเพณี คา่ นิยม ความเชอ่ื และวัฒนธรรม สภาพแวดล้อมทางการเมือง เชน่ พระราชบัญญัติ พระราชกฤษฎีกา มติคณะรัฐมนตรี และสภาพแวดล้อมทางเทคโนโลยี หมายถึง กรรมวิธีใหม่ๆและพัฒนาการ ทางด้านเครือ่ งมอื อปุ กรณท์ ี่จะช่วยเพ่ิมประสิทธิภาพในการผลติ และใหบ้ รกิ าร ๓.๔.๒.๑Opportunity Analysis การวิเคราะห์โอกาส หรือ Opportunity Analysis เป็นการศึกษาว่าโอกาสที่มีอยู่เชิงการตลาดนั้นคืออะไร โดยทั่วไปแล้วโอกาสทางการตลาดตา่ งๆ มักเป็นผลจากการเปลีย่ นแปลงเทคโนโลยีในระดับกว้างและระดบั ลกึ , การ เปลี่ยนแปลงนโยบายต่างๆของรัฐบาล, การเปลี่ยนแปลงลักษณะทางสังคมศาสตร์การเปลี่ยนแปลงลักษณะทาง ประชากรศาสตร์ หรือการเปล่ยี นแปลงในวิถีการดำรงชีวติ ของผบู้ ริโภค ตวั อยา่ งที่เหน็ ไดช้ ดั คือการเปลีย่ นแปลงในวธิ ีการดำรงชวี ิตของผู้บริโภคทวั่ ไปในปัจจบุ นั นี้ ท่ี ให้ความสำคัญต่อการสื่อสารทันที (Instant Communication) จึงทำให้สินค้าต่าง ๆ ที่สามารถสนองความต้องการ เชน่ น้ี อาทิ ระบบมอื ถือทส่ี ามารถรบั ส่ง SMS และ MMS เป็นทนี่ ยิ ม อีกตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจคือ พฤติกรรมการบริโภคของคนไทยที่ให้ความสำคัญกับการครอบครองวัตถุ แม้กำลังทรัพย์ไม่พอ ค่านยิ มใช้ก่อนผ่อนทีหลังจึงเป็นค่านิยมท่ีทวีความรุนแรงข้ึนในยุคน้ี จากพฤติกรรมและค่านิยม ดังกลา่ วทำให้กลายเป็นโอกาสทางการตลาดของสนิ ค้าหลายๆ ประเภท อาทิ บริการผ่อนชำระจากบริษัทสินเชื่อต่าง ๆ หรอื บรกิ ารสินเชือ่ สว่ นบคุ คล เปน็ ตน้ เป้าหมายสำคัญในการวเิ คราะห์โอกาสคอื การค้นหาสงิ่ ต่าง ๆ เหลา่ น้ี - การเปล่ยี นแปลงภายนอกต่างๆทเ่ี กดิ ข้นึ และมีประโยชน์ต่อการเติบโตทางธรุ กิจของบรษิ ัทคอื อะไร - เราสามารถนำโอกาสเหลา่ น้ันมาช่วยแก้ไขจดุ อ่อนของบริษทั หรือไม่อย่างไร - เราสามารถนำโอกาสเหล่านั้นมาผสมผสานกับจุดแข็งท่ีเรามีอยูเ่ พื่อการเติบโตทางธุรกิจของบริษัทได้ หรอื ไม่ อย่างไร ๓.๔.๒.๒Threat Analysis ในทางตรงข้ามกับการวิเคราะห์โอกาสของบริษัท การวิเคราะห์อุปสรรค หรือ Threat Analysis เป็นการศึกษาว่าปัจจัยภายนอกที่มีผลต่อการเติบโตทางธุรกิจของบริษัทคืออะไร ปัจจัยเหล่านั้นมักเป็นผลจากการ เปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีในระดับกว้างและระดับลึก, การเปลี่ยนแปลงนโยบายต่างๆของรัฐบาล, การเปลี่ยนแปลง ลักษณะทางสังคมศาสตร์, การเปลี่ยนแปลงลักษณะทางประชากรศาสตร์ หรือ การเปลี่ยนแปลงในวิถีการดำรงชวี ิต ของผูบ้ รโิ ภคโดยทว่ั ไป คู่มอื การฝกึ ปฏบิ ัตโิ ครงการฝึกปฏิบตั ิงานภาคสนามชุดวชิ าโครงการพฒั นาทกั ษะวชิ าชพี ปฏบิ ตั กิ ารฉกุ เฉินการแพทย์ ประจำปีการศึกษา ๒๕๖๓
๙๙ เปา้ หมายสำคญั ในการวเิ คราะหอ์ ปุ สรรคคือการค้นหาสง่ิ ต่าง ๆ เหลา่ นี้ - การเปลยี่ นแปลงภายนอกต่างๆท่เี กิดขน้ึ และสง่ ผลกระทบต่อการเติบโตทางธรุ กจิ ของบริษทั คืออะไร - เราสามารถนำจดุ แข็งทมี่ ีอย่มู าชว่ ยบรรเทาผลกระทบจากอปุ สรรคเหลา่ น้ันไดห้ รือไม่ อย่างไร - หากไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ เราสามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากอุปสรรคต่างๆเหล่าน้นั อยา่ งไร ประเด็นสำคัญๆ ที่นิยมนำมาวิเคราะห์โอกาส และอุปสรรค ซึ่งเรียกรวมๆกันว่าการวิเคราะห์ภายนอก (External Analysis) นัน้ มีดงั ตอ่ ไปนี้ External Analysis (Opportunity & Threat Analysis) ประเดน็ ท่คี วรวิเคราะห์ ลักษณะการวิเคราะห์ Economic วเิ คราะหต์ วั แปลทางเศรษฐกิจตา่ ง ๆ ทเ่ี ป็นภาพรวม วา่ ตัวแปร เหล่านนั้ อาทิ อัตราเงินเฟ้อ, สภาพการว่างงาน, ราคานำ้ มัน, อตั รา เติบโตทางเศรษฐกิจ ฯลฯ วา่ มีผลตอ่ การทำธรุ กจิ ของสนิ ค้าแต่ละ แบรนดอ์ ยา่ งไร Political วเิ คราะหล์ ักษณะทางดา้ นการเมอื งว่า มผี ลตอ่ การทำธรุ กิจของสินคา้ แต่ละแบรนด์อยา่ งไร Social & Cultural วิเคราะหล์ ักษณะต่างๆ ทางด้านสังคม และวัฒนธรรม อาทิ การศึกษา สิ่งแวดล้อม, การกระจายของประชากร, ลักษณะของประชากร ว่ามี ผลตอ่ การทำธรุ กจิ ของสินคา้ แตล่ ะแบรนดอ์ ย่างไร Technology วิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ด้านเทคโนโลยีทั้งที่เป็นเทคโนโลยี ทั่วไป และที่เกี่ยวข้องกับการผลิตว่ามีผลต่อการทำธุรกิจของสินค้าแต่ ละแบรนดอ์ ย่างไร Total Market วิเคราะห์สภาพตลาดโดยรวม อาทิ ขนาดของตลาด, การเติบโตของ ตลาด, แนวโนม้ ของตลาดว่ามีผลต่อการทำธุรกจิ ของสนิ ค้าแตล่ ะ แบรนดอ์ ย่างไร Competition ลักษณะการแข่งขันเป็นเช่นไร, คู่แข่งทางตรง และ ทางอ้อมเป็นใคร ลักษณะการทำการตลาดและการตอบโต้ของคแู่ ข่งเหล่านนั้ เป็นเช่นไร Market Characteristids, วิเคราะห์องค์ประกอบโดยรวมที่เป็นแระแสการเปลี่ยนแปลงสำหรับ Developments and Trends องค์ประกอบด้านการตลาด เช่น สินค้า, บรรจุภัณฑ์, ราคา, ช่องทาง การจัดจำหน่าย, การส่ือสาร, ธรรมเนียมปฏิบตั ิตา่ ง ๆ คมู่ ือการฝกึ ปฏิบตั ิโครงการฝกึ ปฏิบัตงิ านภาคสนามชุดวชิ าโครงการพฒั นาทกั ษะวชิ าชพี ปฏบิ ตั กิ ารฉกุ เฉนิ การแพทย์ ประจำปีการศกึ ษา ๒๕๖๓
๑๐๐ ๓.๔.๓ การระบุสถานการณ์จากการประเมินสภาพแวดล้อม เมื่อได้ข้อมูลเกี่ยวกับ จุดแข็ง-จุดอ่อน โอกาส-อุปสรรค จากการวิเคราะห์ปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก ดว้ ยการประเมินสภาพแวดล้อมภายในและสภาพแวดล้อมภายนอกแลว้ ใหน้ ำจุดแขง็ -จุดอ่อนภายในมาเปรียบเทียบ กับ โอกาส-อุปสรรค จากภายนอกเพื่อดูว่าองค์กร กำลังเผชิญสถานการณ์เช่นใดและภายใต้สถานการณ์เช่นน้ัน องคก์ รควรจะทำอยา่ งไร โดยทว่ั ไปในการวิเคราะห์ SWOT ดงั กล่าวน้ี องค์กร จะอยูใ่ นสถานการณ์ ๔ รปู แบบดังน้ี สถานการณ์ที่ ๑ (จุดแข็ง-โอกาส) สถานการณ์นี้เป็นสถานการณ์ที่พึ่งปรารถนาที่สุด เนื่องจากองค์กร ค่อนข้างจะมีหลายอยา่ ง ดังนั้น ผู้บริหารขององค์กรควรกำหนดกลยุทธ์ในเชิงรุก (Aggressive - Stratagy) เพ่อื ดงึ เอา จดุ แขง็ ทม่ี ีอยู่มาเสริมสรา้ งและปรบั ใชแ้ ละฉกฉวยโอกาสตา่ งๆ ที่เปดิ มาหาประโยชน์อยา่ งเตม็ ที่ สถานการณ์ที่ ๒ (จุดอ่อน-ภัยอุปสรรค) สถานการณ์นี้เป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด เนื่องจากองค์กร กำลงั เผชญิ อย่กู บั อปุ สรรคจากภายนอกและมีปัญหาจุดอ่อนภายในหลายประการ ดงั นนั้ ทางเลอื กที่ดีทส่ี ุดคือกลยุทธ์ การตั้งรับหรือป้องกันตัว (Defensive Strategy) เพื่อพยายามลดหรือหลบหลีกภัยอุปสรรคต่างๆที่คาดว่าจะเกิดข้นึ ตลอดจนหามาตรการท่ีจะทำใหอ้ งคก์ รเกิดความสูญเสียทน่ี ้อยท่สี ดุ สถานการณ์ที่ ๓ (จุดอ่อน-โอกาส) สถานการณ์องค์กรมีโอกาสเป็นข้อได้เปรียบด้านการแข่งขันอยู่หลาย ประการ แต่ตดิ ขัดอยู่ตรงที่มปี ัญหาอปุ สรรคท่ีเปน็ จุดอ่อนอยู่หลายอยา่ งเชน่ กนั ดังนัน้ ทางออกคือกลยุทธ์การพลิกตัว (Turnaround-Oriented Strategy) เพ่อื จัดหรอื แก้ไขจุดอ่อนภายในตา่ งๆให้พร้อมทจ่ี ะฉกฉวยโอกาสต่างๆท่ีเปิดให้ สถานการณ์ที่ ๔ (จุดแข็ง-อุปสรรค) สถานการณ์นี้เกิดขึ้นจากการที่สภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวยต่อการ ดำเนินงาน แต่ตัวองค์กรมีข้อได้เปรียบที่เป็นจุดแข็งหลายประการ ดังนั้นแทนที่จะรอจนกระทั่งสภาพแวดล้อม เปลี่ยนแปลงไป ก็สามารถที่จะเลือกกลยุทธ์การแตกตัว หรือขยายขอบข่ายกิจการ (diversification Strategy) เพอ่ื ใชป้ ระโยชน์จากจดุ แข็งทม่ี ีสร้างโอกาสในระยะยาวด้านอ่นื ๆแทน ๓.๔.๔ การประยกุ ตใ์ ช้การวเิ คราะห์สภาพแวดลอ้ มเชงิ กลยทุ ธ์ (SWOT Analysis) ทางการบริหาร ตัวอย่างกรณีศึกษาของโรงพยาบาลพนมสารคาม จากการวิเคราะห์องค์กรโดยใช้เทคนิค SWOT Analysis และสภาพปัญหาในองค์กรแล้ว สามารถสรปุ เป็นประเดน็ ปัญหาได้ ดังน้ี ปัจจยั ภายใน จดุ แขง็ ๑) มฐี านะทางการเงินทีม่ ั่นคง มง่ั คั่ง (Strength) ๒) มวี ฒั นธรรมองคก์ รทดี่ ี มรี ะเบยี บวินัย ๓) ผู้นำมีวิสยั ทัศน์ จุดออ่ น (Weakness) ๑) ความสัมพันธ์ของคนในองค์กรเป็นไปในรูปแบบของหน้าทีแ่ ละภารกิจมากกวา่ ผูกพนั เป็นเพ่ือน ๒)ระบบท่ีชดั เจนทำให้เจา้ หน้าทข่ี าดความคิดในเชงิ สรา้ งสรรค์ หรือคดิ นอกกรอบ ๓) ไมส่ ามารถฝึกฝนคนรนุ่ ใหมม่ าทดแทนคนรุ่นเกา่ ได้ คมู่ ือการฝึกปฏบิ ตั โิ ครงการฝึกปฏบิ ตั งิ านภาคสนามชดุ วชิ าโครงการพัฒนาทกั ษะวิชาชีพปฏบิ ตั กิ ารฉกุ เฉินการแพทย์ ประจำปีการศกึ ษา ๒๕๖๓
๑๐๑ ปจั จยั ภายนอก โอกาส ๑) ประชาชนมฐี านะดี (Opportunity) ๒)โรงพยาบาลได้รบั การยอมรบั จากประชาชน ๓)ภาคีเครอื ขา่ ยมคี วามเขม้ แขง็ ให้ความสนใจด้านสขุ ภาพ ขอ้ จำกัด ๑) ความคาดหวงั ของประชาชนสูง (Threat) ๒)สภาพเศรษฐกิจไม่ดี ค่าครองชพี สูง ๓) การโฆษณาเกินจรงิ เกดิ พฤติกรรมสุขภาพท่ีไม่ดี จากการวิเคราะห์องค์กร โดยวิเคราะห์ปัจจัยภายใน (Strengths & Weaknesses) และวิเคราะห์ปัจจัย ภายนอก (Opportunities & Threats) เม่ือพิจารณาเลอื กประเดน็ ทส่ี ำคัญมาใช้ในการ แมททรกิ ซ์การประเมนิ ปัจจัย ภายใน - ปจั จัยภายนอก และจัดทำ Position Matrix รวมทงั้ การกำหนดกลยทุ ธร์ ายละเอียดดงั แสดงในตาราง ปัจจยั ภายในทส่ี ำคญั นำ้ หนกั การประเมิน คะแนนถ่วงน้ำหนัก (Critical success factors) (Weight) (Rating) (Weighted score) S๑มฐี านะทางการเงินท่มี ่นั คง มัง่ คั่ง ๐.๒๐ ๔ ๐.๘๐ S๒มีวัฒนธรรมองค์กรทด่ี ี มรี ะเบียบวนิ ยั ๐.๒๐ ๔ ๐.๘๐ S๓ ผนู้ ำมีวสิ ัยทศั น์ ๐.๒๐ ๔ ๐.๘๐ W๑ ความสัมพันธ์ของคนในองค์กรเป็นไปใน รูปแบบของหน้าที่และภารกิจมากกว่าผูกพัน เป็นเพื่อน ๐.๑๕ ๑ ๐.๑๕ W๒ระบบที่ชัดเจนทำให้เจ้าหน้าที่ขาดความคดิ ในเชงิ สรา้ งสรรค์ หรอื คิดนอกกรอบ ๐.๑๕ ๑ ๐.๑๕ W๓ ไม่สามารถฝึกฝนคนรุ่นใหม่มาทดแทนคน รนุ่ เก่าได้ ๐.๑๐ ๒ ๐.๒๐ รวม ๑.๐๐ ๒.๙๐ หมายเหตุ: การประเมนิ ตัวเลข ๑= จดุ ออ่ นหลัก, ๒ = จุดอ่อนรอง, ๓ = จดุ แขง็ รอง, ๔ = จดุ แข็งหลัก คมู่ อื การฝกึ ปฏบิ ัติโครงการฝึกปฏิบัตงิ านภาคสนามชุดวิชาโครงการพัฒนาทกั ษะวิชาชีพปฏบิ ตั กิ ารฉกุ เฉนิ การแพทย์ ประจำปีการศกึ ษา ๒๕๖๓
๑๐๒ ปัจจยั ภายนอกท่ีสำคญั น้ำหนัก การประเมิน คะแนนถ่วงนำ้ หนัก (Critical success factors) (Weight) (Rating) (Weighted score) O๑ ประชาชนมฐี านะดี ๐.๒๐ ๔ ๐.๘๐ O๒ โรงพยาบาลได้รบั การยอมรับจากประชาชน ๐.๒๐ ๔ ๐.๘๐ O๓ ภาคเี ครือข่ายมคี วามเข้มแข็ง ให้ความสนใจ ด้านสขุ ภาพ ๐.๑๐ ๓ ๐.๓๐ T๑ ความคาดหวังของประชาชนสงู ๐.๒๐ ๑ ๐.๒๐ T๒ สภาพเศรษฐกจิ ไมด่ ี คา่ ครองชพี สงู ๐.๒๐ ๑ ๐.๒๐ T๒ การโฆษณาเกนิ จรงิ เกิดพฤติกรรม ๐.๑๐ ๒ ๐.๒๐ สขุ ภาพทีไ่ ม่ดี รวม ๑.๐๐ ๒.๕๐ หมายเหตุ: การประเมินตัวเลข ๔ = โอกาสตอบสนองดี (Response is superior), ๓ = โอกาสตอบสนองสูงกว่า ค่าเฉลี่ย (Response is above average), ๒ = โอกาสตอบสนองเท่ากับค่าเฉลี่ย (Response is average), ๑ = การตอบสนองไมด่ ี (Response is poor) แผนภูมิ แสดงการจดั ทำ Position Matrix สถานการณ์แบบ Stars (ดารา/ดาวรุ่ง) ๑.๙๐ Stars ค่าคะแนน ๐.๕๐ ๒. S = ๒.๔๐ ๔ W = ๐.๕๐ ๐.๖ O = ๑.๙๐ T = ๐.๖๐ T จากผลการวิเคราะหส์ ถานการณ์ พบว่า มจี ุดแข็งที่จะดำเนินการเชิงรุกไดด้ ี แต่มีอปุ สรรคท่ีอาจทำให้ ไม่ สามารถดำเนินการได้บรรลุเป้าหมายได้ จำเป็นต้องกำหนดยุทธศาสตร์เพื่อเปลี่ยนอุปสรรคให้เป็นโอกาสเพ่ือ ดำเนินการเชิงรุกต่อไป และกำหนดยุทธศาสตร์รองรับ โดยการวิเคราะห์ SWOT MATRIX รายละเอียดดังแสดงใน ตาราง คมู่ อื การฝึกปฏบิ ตั โิ ครงการฝึกปฏิบัตงิ านภาคสนามชดุ วิชาโครงการพฒั นาทกั ษะวชิ าชพี ปฏิบตั กิ ารฉกุ เฉนิ การแพทย์ ประจำปีการศึกษา ๒๕๖๓
๑๐๓ ตารางแสดงการวิเคราะห์ SWOT MATRIX ของโรงพยาบาลพนมสารคาม Internal STRENGTHS – S WEKNESSES – W S๑ฐานะทางการเงินที่ W๑ ความสมั พันธ์ของคนในองค์กร ม่นั คง ม่ังคั่ง เป็นไปในรปู แบบของหน้าท่ี S๒วฒั นธรรมองค์กรที่ดมี ี และภารกิจมากกว่าผูกพันเป็น ระเบียบวนิ ัย เพอื่ น S๓ ผ้นู ำมวี สิ ัยทศั น์ W๒ระบบที่ชดั เจนทำให้เจา้ หน้าที่ ขาดความคดิ ในเชิงสร้างสรรค์ หรอื คดิ นอกกรอบ Factor W๓ไม่สามารถฝึกฝนคนรุ่นใหม่ External ทดแทนคนรนุ่ เก่าได้ทัน Factors OPPORTUNITIES – O S๑๒๓O๑๒๓สนบั สนนุ ให้ O๑๒W๑๒จัดกจิ กรรมเสริมสรา้ ง O๑ ประชาชนมฐี านะดี O๒โรงพยาบาลไดร้ บั การ เจ้าหนา้ ทท่ี กุ คนไดเ้ ขา้ รับ ความสมั พันธ์ระหว่างเจา้ หนา้ ที่ เชน่ ยอมรับจากประชาชน การอบรมในหลักสตู รการ การแข่งขนั กฬี าสี การทำงานร่วมกนั พัฒนาองค์การ เปน็ ทมี เป็นตน้ O๓ภาคเี ครือข่ายมีความเขม้ แขง็ (Organization ใหค้ วามสนใจด้านสุขภาพ Development) THREATS – T S๑๒๓T๑พัฒนาช่องทางรับ T๑ความคาดหวงั ของประชาชน ฟงั ความคดิ เหน็ จาก สูง ประชาชน ช่องทางรับ T๒สภาพเศรษฐกิจไม่ดี ค่าครอง เรอ่ื งรอ้ งเรยี นด้าน ชพี สูง สุขภาพ T๓การโฆษณาเกินจริง เกิดพฤตกิ รรมสุขภาพไม่ดี คมู่ ือการฝกึ ปฏิบัติโครงการฝึกปฏบิ ตั งิ านภาคสนามชดุ วิชาโครงการพัฒนาทกั ษะวิชาชพี ปฏบิ ัตกิ ารฉกุ เฉนิ การแพทย์ ประจำปีการศกึ ษา ๒๕๖๓
๑๐๔ จากการวิเคราะห์ SWOT MATRIX ของโรงพยาบาลพนมสารคาม โดยดูจากความเป็นไปได้ของการแก้ไข ปญั หา สามารถกำหนดกลยทุ ธใ์ นการดำเนินงานได้ ดังน้ี 1) สนับสนุนให้เจ้าหน้าที่ทุกคนได้เข้ารับการอบรมในหลักสูตรการพัฒนาองค์การ( Organization Development) 2) จัดกิจกรรมเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเจา้ หน้าท่ี เชน่ การแขง่ ขันกีฬาสี การทำงานร่วมกันเป็นทีม เป็นต้น 3) พฒั นาชอ่ งทางรับฟังความคดิ เหน็ จากประชาชน ชอ่ งทางรับเรอ่ื งรอ้ งเรยี นด้านสุขภาพ ๓.๕ บทสรปุ ในการท่ีผู้บรหิ ารจะทำการวางแผนงานการบรหิ าร หรือกำหนดทิศทางขององค์กรได้อยา่ งชัดเจน และนำพา องคก์ รไปสู่ความสำเร็จได้น้ัน จะต้องมกี ารศึกษาถึงสภาพภายในขององค์กรก่อน ว่ามคี วามไดเ้ ปรียบ และเสียเปรียบ ในดา้ นไหนบ้าง จากน้นั นำข้อมูลที่ได้มาประกอบกันเข้ากับการประเมนิ สิง่ แวดลอ้ มท่ีมีการเคล่ือนไหวอยู่ตลอดเวลา ซึ่งต่างก็หมุนเวียนเอาโอกาส และอุปสรรค ออกมาให้นักบริหารได้พบปะอยู่เสมอ โอกาส และอุปสรรคนี้จะพิสูจน์ ทราบได้ก็โดยอาศยั ระบบสืบขา่ วการตลาด และการวเิ คราะห์อย่างเปน็ ระบบของผู้บริหาร โ ด ย เ ค ร ื ่ อ งม ื อ ท ี่ น ิย ม นำ ม าใ ช ้ ใ นก า รว ิเ ค รา ะ ห ์ส ภ าพ แ ว ดล ้อ ม ม า ก ท ี่ ส ุ ดก ็ ค ือ ห ล ั ก ข อ ง ก าร ว ิ เคราะห์ S.W.O.T(SWOT Analysis) นัน่ เอง เอกสารอ้างองิ - คอตเลอร,์ ฟิลลปิ . หลักการตลาด. กรุงเทพฯ : เพยี ร์สนั เอ็ดดูเคชั่น อินโดไชนา่ , ๒๕๔๕. - ฉัตยาพร เสมอใจ. การจัดการ และ การตลาดบริการ.กรงุ เทพฯ : ซีเอ็ดยเู คช่นั , ๒๕๔๗. - วีรพงษ์ เฉลมิ จริ ะรตั น์. คุณภาพในงานบริการ.กรงุ เทพฯ : ประชาชน, ๒๕๓๙. - ศิริวรรณ เสรีรัตน์ และ คณะ. กลยุทธ์การตลาด การบริการการตลาด และ กรณีตัวอย่าง. กรุงเทพฯ : พัฒนาศึกษา, ๒๕๓๘. - ศริวรรณ เสรีรัตน์ และ คณะ. กลยุทธ์การตลาด การบริการการตลาด และ กรณีศึกษา. กรุงเทพฯ : ธีระฟลิ ม์ และ ไซเทก็ ซ์, ๒๕๔๑. - สปุ ัญญา ไชยชาญ. การบรหิ ารการตลาด. พมิ พ์ครง้ั ที่ ๑, กรงุ เทพฯ : พี.เอ.ลีฟวิ่ง, ๒๕๓๘. - ชัยรัตน์ ลำโป. รายงานการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมเชิงกลยุทธ์. เอกสารประกอบการอบรมหลักสูตร นักบรหิ ารการแพทยแ์ ละสาธารณสุขระดบั สงู รนุ่ ที่ ๒๗. เอกสารอัดสำเนา คู่มอื การฝึกปฏบิ ตั ิโครงการฝึกปฏบิ ตั งิ านภาคสนามชดุ วชิ าโครงการพัฒนาทกั ษะวิชาชพี ปฏิบตั กิ ารฉกุ เฉินการแพทย์ ประจำปกี ารศกึ ษา ๒๕๖๓
๑๐๕ ๔.ประชาคม (Civil Society) หรอื ประชาสงั คม ๔.๑ ความหมาย ประชาคม หมายถึง การทป่ี ระชาชนจำนวนหนง่ึ มีวัตถปุ ระสงคร์ ่วมกัน มีอุดมคติร่วมหรอื ความเชอ่ื ร่วมกันใน บางเร่อื ง มกี ารตดิ ตอ่ สื่อสารกัน หรือมีการรวมกลมุ่ กนั จะอยหู่ ่างกันได้ มีความเอ้อื อาทรต่อกัน มีความรัก มีมิตรภาพ มีการเรียนรรู้ ว่ มกนั ในการกระทำในการปฏิบัติบางอยา่ ง และมกี ารจดั การ (ประเวศ วะสี, ๒๕๓๙) ประชาคม หมายถึง การที่ผู้คนในสังคมเหน็ วิกฤตการณ์ หรือสภาพปัญหาในสังคมที่สลับซับซอ้ นทีอ่ ยากแก่ การแกไ้ ข มวี ตั ถปุ ระสงค์ร่วมกัน ซ่งึ นำไปสกู่ ารกอ่ จติ สำนกึ (Civic Consiousness) รว่ มกันมารวมตัวกนั เปน็ กลุม่ หรือ องค์กร (Civic Group Or Civic Organization) ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคธุรกิจ ภาคเอกชนหรือภาคสังคม (ประชาชน) ในลักษณะที่เป็นหุ้นส่วนกัน (Partnership) เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาหรือกระทำการบางอย่าง ให้บรรลุ ตามวัตถุประสงค์ ทั้งนี้ด้วยความรัก ความสมานฉันท์ ความเอื้ออาทรต่อกัน ภายใต้ระบบการจัดการโดยมีการ เชื่อมโยงเปน็ เครอื ขา่ ย (Civic network) (ชูชัย ศุภวงศ)์ ประชาคมหรือประชาสังคม คือ การวมกลุม่ ของประชาชนในแนวราบหรือแนวนอน มิใชเ่ ป็นการสั่งการหรือ มีสายบงั คบั บญั ชา ประชาคมจงึ ไมม่ ใี ครเป็นนายเปน็ ลูกน้อง แตท่ กุ คนมารามกนั ดว้ ยเป้าหมายหรืออุดมการณ์ร่วมกัน อย่างใดอย่างหนึ่ง กลุ่มยังจะต้องมีการเอื้ออาทรช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันด้วยรวมทั้งมีการแลกเปลี่ยนความ คดิ เหน็ เพอื่ เรียนรแู้ ละกระทำกจิ กรรมรว่ มกนั เป็นประจำเป็นการทำให้กลมุ่ อยู่อย่างยัง่ ยนื โดยจติ ใจของกนั และกนั ๔.๒ ประชาคมสุขภาพ หมายถงึ จะเปน็ ความร่วมมือเพ่ือพัฒนาสาธารณสุข จากแนวคิดเรื่องประชาคมเป็น ผลพวงมาจากปรับเคลื่อนกระบวนทัศน์การพัฒนา ที่เน้นรัฐเป็นศูนย์กลาง ไปสู่การพัฒนาแบบมีส่วนร่วม มีความ ร่วมมือเน้นบทบาทการมีเพื่อนร่วมงานหรือหุ้นส่วน ระหว่างรัฐกับประชาชน ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับว งการ สาธารณสุข โดยเฉพาะผู้ทำงานสาธารณสุขมูลฐาน ทั้งนี้เพราะปรัชญาของการสาธารณสุข เป็นการพัฒนาสุขภาพ โดยประชาชนเพื่อประชาชน โดยมีรัฐเป็นผู้สนับสนุนและส่งเสริม แต่ที่กล่าวมามิได้หมายความว่า การดำเนินงาน สาธารณสุขมูลฐานในปัจจุบันบรรลุผลตามปรัชญาอย่างครบถ้วนแต่ยังจำเป็นต้องแสวงหารูปแบบหรือมิติใหม่เพ่ือ การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการสาธารณสุขมูลฐานจะสามารถก้าวไปข้างหน้าได้ในทิศทางที่เหมาะสม (อดิศร วงศ์ดงเดช) ประชมคมสุขภาพ คือ ประชาคมที่มีการพูดคุย ในเรื่องสุขภาพพลานามัยของตนเอง เพื่อที่จะให้ชุมชน ตนเอง มีสุขภาวะที่ดีทั้งร่างกาย จิตใจ บ้านเรือน สิ่งแวดล้อมต่างๆ มีการกำหนดวิสัยทัศน์ นโยบาย และแผนงาน ดำเนนิ การ เพ่อื ไปสู่เป้าหมายสขุ ภาวะทด่ี ีของชมุ ชน ซึ่งมีท้งั งานเชิงรกุ เชงิ รับ งานสร้างสุขภาพและซ่อมสขุ ภาพ ฯลฯ ประชมคมสุขภาพ มีตั้งแต่ระดับหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ และจังหวัด ขึ้นอยู่กับกลุ่มคนพูดคุยเรื่องสุขภาพใน ระดบั ใดกถ็ ือว่าเปน็ ประชาคมสขุ ภาพของระดบั นน้ั เชน่ ๔.๒.๑ ประชาคมสุขภาพหมู่บ้าน คือ การที่กลุ่มคนมาพูดคุยกันเรื่องหมู่บ้าน ในการทำให้หมู่บ้านของตนมี สุขภาวะที่ดี นั่นคือ ได้มีหมู่บ้านมีสขุ ภาพดีถ้วนหนา้ อย่างยั่งยืน กลุ่มคนที่ว่านี้ได้แก่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน สมาชิกอบต. ของหมบู่ ้าน สาม. อสม. อสค. แพทยแ์ ผนไทย ศิลปนิ พ้นื บ้าน ปราชญ์ ชาวบ้าน ครู เจา้ หน้าท่ี คูม่ อื การฝึกปฏบิ ตั ิโครงการฝึกปฏบิ ตั ิงานภาคสนามชุดวชิ าโครงการพฒั นาทกั ษะวชิ าชพี ปฏิบตั กิ ารฉกุ เฉนิ การแพทย์ ประจำปกี ารศกึ ษา ๒๕๖๓
๑๐๖ ๕. การประชมุ ๕.๑ ชนดิ ของการประชมุ การประชมุ แบ่งออกเป็นแบบต่างๆ ดังน้ี ๕.๑.๑ Convention เป็นการประชุมที่ต้องเชิญผู้เชี่ยวชาญแต่ละสาขามาพูดกันแล้วสรุปข้อคิด ใหม่ๆ ทางวิชาการ ๕.๑.๒ Conference เป็นการประชุมที่มีผู้เข้าร่วมประชุมเป็นจำนวนมาก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ แถลงผลงานของตนใหผ้ ู้อนื่ ทราบ เพือ่ ปรึกษาหรอื กจิ กรรมของตน หรือเพ่ือสงั คมและสังสรรค์ ๕.๑.๓ Workshop เป็นการประชุมโดยการนำหลักเกณฑ์ในการประชุมภาควิชาการมาปฏิบัติว่า ได้ผลหรือไม่เพียงใด การประชุมแบบนี้จะแบ่งเป็น ๒ ภาคคือ ภาควิชาการเพื่อหาหลักการที่เหมาะสม ภาคปฏิบตั ินำหลักการตามมตทิ ดลองปฏิบตั ิ เพอ่ื ให้เหน็ ผล ๕.๑.๔ Seminar เป็นการประชุมของผู้ท่มี คี วามรมู้ ากมายในสาขาวิชาเดียวกนั ๕.๑.๕ Syndicate เป็นการประชุมย่อย เพอ่ื ศึกษาปัญหาของกลุ่มตามกระบวนการและนำผลรวม เป็นรายงานของประชมุ ใหญ่ (บางตำราถือวา่ ประชุมแบบนี้เป็นเพียงการประชุมกลมุ่ ) ๕.๒ ขอ้ แตกต่างท่สี ำคัญของการประชุมแตล่ ะแบบ ซึง่ เราตอ้ งรูว้ ิธีประชุมแบบต่างๆ ก่อนเพราะการประชุม แตล่ ะแบบจะมีส่ิงทีต่ ้องพจิ ารณาตา่ งกนั โดยจะพจิ ารณาตามหวั ข้อต่อไปนี้ ๕.๒.๑ วัตถปุ ระสงค์ ๕.๒.๒ การกำหนดปญั หาของที่ประชุม ปัญหาใหญ่ – ปัญหาย่อยใครกำหนดปัญหา ๕.๒.๓ วิธีการประชมุ ๕.๒.๔ การจัดดำเนนิ งานประชุม- พธิ ีการ- กระบวนการต่างๆ ๕.๒.๕ สมาชิก ๕.๒.๖ การรายงานผล ๕.๒.๗ การเผยแพร่ผลการประชุม ๕.๒.๘ การประชุมกลุ่ม ๕.๒.๙ ความสำคัญของการประชมุ กลมุ่ ในการประชุมใหญ่ๆ เมื่อมีสมาชิกจำนวนหลายคนจะประหม่าบ้างไม่อยากพูดบ้างหรืออาจดูถูก ความสามารถตัวเองว่าไม่มีความรู้พอบ้าง ถ้าเป็นการประชุมมุง่ หวังจะได้ข้อคิดหรือข้อเสนอแนะอย่างจริงจังเพื่อจะ นำไปปฏิบัติหรือต้องการทราบผลการประชุมแน่นอน จำเป็นต้องแบ่งเป็นกลุ่มย่อย เพราะการประชุมกลุ่มย่อย เทา่ น้ันจะชว่ ยให้ สมาชิกทกุ คนมสี ่วนร่วมไดอ้ ย่างจริงจงั และทวั่ ถงึ จุดมุ่งหมายของการประชุมกลุ่ม เพื่อส่งเสริมให้สมาชิกได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกันให้ มากท่สี ดุ หวั ใจของการประชมุ ใหญค่ ือ การประชุมกล่มุ ยอ่ ย ๕.๓ วิธีการประชมุ กลมุ่ โดยการรับปัญหามาจากทปี่ ระชุมใหญ่แลว้ ดำเนินการเปน็ ๔ ข้นั ตอนคือ ๕.๓.๑ ปญั หาการต้งั ปญั หา การรวบรวมปญั หาหรือรับปัญหามาจากทปี่ ระชมุ ใหญ่ ๕.๓.๒ วเิ คราะห์ปัญหา หาสาเหตุ-ขอ้ มลู ต่างๆ ๕.๓.๓ วิธีแก้ปญั หา รวบรวมวิธีแก้ปญั หา เลอื กสรรวธิ ีทด่ี ีทสี่ ดุ คู่มอื การฝึกปฏบิ ัตโิ ครงการฝึกปฏิบัติงานภาคสนามชุดวิชาโครงการพฒั นาทกั ษะวิชาชพี ปฏบิ ตั กิ ารฉกุ เฉนิ การแพทย์ ประจำปีการศกึ ษา ๒๕๖๓
๑๐๗ ๕.๓.๔ ข้อเสนอแนะในการแกป้ ัญหา ๕.๔ กระบวนการประชุมกลุม่ ๕.๔.๑ การจัดประชุมแบบต่างๆ ๕.๔.๒ การเลือกประธานกลุม่ และเลขานกุ าร หน้าท่ีและความรบั ผิดชอบ ๕.๔.๓ การอภิปรายในที่ประชุม(เทคนคิ ในการประชมุ กลุม่ ) ๕.๔.๔ การทำรายงานการประชุมกลุม่ แบบต่างๆ ๕.๕ สำหรับวธิ กี ารประชมุ และการทำรายงานเสนอจากกลุ่มยอ่ ยนนั้ สามารถทำได้ ๒ วธิ ี ๕.๕.๑ วิธีที่ ๑ แยกเอาปัญหาออกไปกลุ่มละข้อ แล้วสรุปออกมาเป็นรายงานนำผลเข้าที่ประชุม ใหญแ่ บบน้ปี ระหยดั เวลาและไมท่ ำงานซำ้ ซอ้ นของแตล่ ะกลมุ่ แตไ่ ด้ผลไม่ดเี ทา่ ที่ควร ๕.๕.๒ วธิ ที ่ี ๒ นำเอาทุกปัญหาไปประชุมกลุ่มย่อยทุกกลุ่ม แต่ละกลมุ่ ทำรายงานออกมาแล้วก็เอา มาสรุปผลด้วยการแยกแนะข้อคิดเห็นในแต่ละปัญหาอีกที แบบนี้จะได้ผลดีกว่าแบบแรกเพราะได้ความคิด เหน็ จากสมาชิกทกุ ๆคน แต่เสียเวลามาก ๕.๖ เทคนคิ ในการประชุมกลุม่ ๕.๖.๑ Brainstorming คือวิธีการประชุมกลุ่มที่จะให้สมาชิกออกความคิดเห็นได้อย่างเสรีทุกคน โยงปัญหาลงไดอ้ ย่างเสรีและมากที่สดุ เท่าที่จะทำได้ โดยไม่มีการเรียงลำดับปัญหาวิพากษ์ วิจารณ์อะไรก็ได้ พยายามหาข้อเสนอให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ วิธีนี้เลขาฯจะลำบากเพราะต้องบันทึกความเห็นของทุกคน ให้ไดห้ มด ๕.๖.๒ Circular Response คือ การประชมุ กลุม่ ทีป่ ระธานให้สมาชกิ ทุกคนพูดตามลำดับ ไม่ว่าจะ เป็นคนสำคัญหรือไม่สำคัญมีสิทธิพูดได้ทุกคน โดยเสมอภาคกัน โดยมีโอกาสเตรียมตัวก่อนและไม่มีใคร ได้เปรียบเสียเปรียบในการพูดจะพูดก่อนก็ได้เปรียบคนทีหลังก็ได้เปรียบ ถ้าความเห็นตรงกันคนอื่นเรา สามารถจะสนับสนุนความเห็นเขาได้ เป็นการแสดงออกถึง Co-Operative spirit อีกด้วย สำหรับคนที่เป็น ประธานจะตอ้ งร้ปู ญั หาแบบไหนจงึ จะใชแ้ บบ Brainstorming หรือ Circular response ๕.๖.๓ Buzz Session (Phillips ๖๖) คือการประชุมที่มีกลุ่มจำนวนมากแต่ไม่มีเวลาพอสำหรับ ทุกคน ดังนั้นจงึ ต้องแบ่งกลุ่มๆละ ๕-๖ คน ให้พูดเพียงคนละ ๑ นาที แล้วประธานกลุ่มออกไปรายงานอีก คนละ ๑ นาที ๕.๖.๔ Round Table คือ การประชุมแบบโต๊ะกลม ที่ไม่มีการเรียงลำดับปัญหาและผู้เข้าร่วม ประชุมสามารถเสนอปัญหาได้โดยเสรี ไม่ต้องคอยลำดับ มักเป็นการประชุมกลุ่มคนน้อยๆ ใครพูดอะไรก็ได้ ไม่มกี ารกำหนดหวั ข้อปัญหา ๕.๗ หน้าทีแ่ ละความรับผดิ ชอบของประธานกล่มุ ๕.๗.๑ หน้าท่ีโดยตรง ๕.๗.๑.๑ เปิด – ปดิ ประชมุ ใหต้ รงเวลา ๕.๗.๑.๒ กล่าวเปิดประชุมสน้ั ๆ ตามเป้าหมายและแสดงจุดประสงค์ของการประชุมกลุ่ม ๕.๗.๑.๓ ชี้แจงระเบยี บวธิ ใี นการประชมุ คูม่ ือการฝึกปฏบิ ัติโครงการฝึกปฏบิ ตั งิ านภาคสนามชุดวิชาโครงการพัฒนาทกั ษะวิชาชีพปฏิบตั กิ ารฉกุ เฉินการแพทย์ ประจำปีการศกึ ษา ๒๕๖๓
๑๐๘ ๕.๗.๑.๔ อำนวยกจิ การและควบคุมการประชมุ ๕.๗.๑.๕ รักษาเวลาและระเบยี บแบบแผนของการประชุม ๕.๗.๑.๖ ควบคุมอภปิ รายให้ตรงประเดน็ ๕.๗.๑.๗ ดูแลใหส้ มาชกิ พดู และได้ยนิ การพูดโดยทวั่ ถงึ ๕.๗.๑.๘ ตดั สินข้อโตแ้ ยง้ ถกเถยี งได้ทนั ทีและถูกตอ้ ง ๕.๗.๑.๙ แถลง ชแ้ี จง และขอ้ มติ เม่อื เกิดปัญหาตลอดจนประกาศผลของมตินนั้ ๕.๗.๑.๑๐ รับผดิ ชอบ และลงนามในเอกสารหรือรายงานการประชุม ๕.๗.๒ ลักษณะและทศั นคตขิ องประธานทดี่ ี ๕.๗.๒.๑ ตอ้ งเป็นผ้รู ู้ระเบยี บ –กฏเกณฑแ์ ละวิธกี ารของการประชุมอย่างดี ๕.๗.๒.๒ สามารถสร้างบรรยากาศใหเ้ ปน็ กันเอง ๕.๗.๒.๓ มอี ารมณข์ ันและใช้เป็นร้จู ักหนั เหเร่อื งเผด็ รอ้ นให้เปน็ เรื่องขันไดเ้ มื่อจำเป็น ๕.๗.๒.๔ ตอ้ งเป็นนัก “กระตุก” และ “กระตุ้น” เก่ง ๕.๗.๒.๕ กระตกุ เม่อื สมาชกิ คนใดพูดนานเกินไป ๕.๗.๒.๖ กระต้นุ เมื่อสมาชกิ บางคนไม่ออกความเห็น ๕.๗.๒.๗ มีความอดทนเป็นเยยี่ ม ๕.๗.๒.๘ ยอมรับนบั ถอื ความคดิ เหน็ ของผู้อนื่ ๕.๗.๒.๙ เป็นผู้ร่นื เรงิ มีชีวิตชีวา ๕.๗.๒.๑๐ แก้ปัญหาเฉพาะหนา้ ไดเ้ กง่ ตัดสินใจไดท้ ันทีได้ ๕.๗.๒.๑๑ สรุปเก่ง เชื่อมโยงเร่อื งเปน็ และดึงเขา้ เรื่องได้ดี ๕.๗.๒.๑๒ ไม่เอาแต่ใจตวั หรอื ทำตนเปน็ ผู้เผด็จการ ๕.๗.๒.๑๓ สามารถในด้านการระงบั การโต้เถยี งรนุ แรงได้โดยนิม่ นวล ๕.๗.๒.๑๔ ประธานต้องไมพ่ ูดมาก ๕.๗.๓ กลวิธแี ละขอ้ เสนอแนะสำหรบั ผ้ทู ำหนา้ ทปี่ ระธาน ๕.๗.๓.๑ รู้วธิ ีตั้งปัญหาถามนำเรอื่ ง โยงปัญหา สรุปขอ้ คดิ เหน็ และตดั บท ๕.๗.๓.๒ อย่าทำท่าเครง่ เครียด แต่ทำการประชุมให้ครึกครื้น ๕.๗.๓.๓ พยายามฟงั ทำท่าฟังและแสดงอาการฟังอยา่ งตงั้ อกต้งั ใจไมว่ า่ สมาชิกคนใดพูด ๕.๗.๓.๔ รู้วิธีช่วยเหลือผู้อภิปรายเมื่อเกิดขลุกขลัก เช่น เมื่อสมาชิกที่อภิปรายเกิดอาการ อึดอดั พูด ๕.๗.๓.๕ ไม่ออก ใจลอยไม่ทันฟงั หรอื เนน้ ความสำคัญของผพู้ ดู ในบางครัง้ ๕.๗.๓.๖ ชว่ ยขยายความ สรุปความ หรือเนน้ ความสำคญั ของผ้พู ดู ในบางครั้ง ๕.๗.๓.๗ กลา่ วปิดประชมุ อย่างคมคาย และมวี ธิ ี “ทงิ้ ท้าย” ๕.๗.๓.๘ ไมล่ ืมขอบคณุ สมาชิก ตลอดจนผสู้ งั เกตการณ์ (ถ้ามี) โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงท่ีปรึกษา และเลขานุการกลุม่ คมู่ ือการฝกึ ปฏบิ ัตโิ ครงการฝกึ ปฏบิ ตั ิงานภาคสนามชุดวิชาโครงการพฒั นาทกั ษะวชิ าชีพปฏบิ ัตกิ ารฉกุ เฉนิ การแพทย์ ประจำปีการศึกษา ๒๕๖๓
๑๐๙ ๕.๗.๓.๙ หาวิธีที่เหมาะเจาะและได้ผลที่สุดในการรายงานผลการประชุมกลุ่มต่อที่ประชมุ ใหญโ่ ดยไมจ่ ำเปน็ ต้อง “แสดงคนเดยี ว” เสมอไป ๕.๗.๓.๑๐ ดแู ลชว่ ยเหลือเลขานุการ ในการทำรายงานจนสำเรจ็ ๕.๗.๓.๑๑ ยิม้ แย้มแจม่ ใสตลอดเวลา แม้ว่าจะปวดศีรษะสักเพยี งใด ๕.๗.๓.๑๒ ทำอยา่ งไรจะเปน็ ผู้ร่วมประชุมท่ดี ี ๕.๗.๓.๑๓ การเตรยี มตวั เตรียมให้พรอ้ มทุกประการ – รูจ้ ดุ หมาย – รู้จักหลักเกณฑ์ตา่ งๆ ๕.๗.๔ ลักษณะและทัศนคตขิ องสมาชกิ ท่ีดีของกลุ่ม ๕.๗.๔.๑ มีความรับผดิ ชอบต่อการประชมุ และตอ่ ปัญหาของกลมุ่ ๕.๗.๔.๒ รปู้ ญั หาและเขา้ ใจปญั หาท่จี ะอภปิ รายในท่ปี ระชุม ๕.๗.๔.๓ รแู้ หล่งวิทยาการเป็นวทิ ยากรได้ ๕.๗.๔.๔ เคารพซง่ึ กนั และกัน ยอมรบั นับถือความคดิ ของผ้อู ื่น ๕.๗.๔.๕ พรอ้ มท่จี ะรว่ มมอื และปฏิบัตหิ นา้ ทท่ี ่ไี ด้รับมอบหมายดว้ ยความเตม็ ใจ ๕.๗.๔.๖ เคร่งครดั ตอ่ ระเบียบและรักษามารยาทของการประชมุ ๕.๗.๔.๗ พูด หรืออภิปรายในขอบขา่ ยของปัญหาให้ตรงจดุ อยูใ่ นประเดน็ เสมอ ๕.๗.๔.๘ มคี วามสม่ำเสมอคงเสน้ คงวาในการเขา้ ปะชมุ และออกความคดิ เหน็ ๕.๗.๔.๙ มุ่งมั่นในการแก้ปัญหาเพื่อก้าวไปสู่ความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ โดยรับและ ยดึ มติหรือขอ้ ตกลงในที่ประชมุ นำไปปฏบิ ตั เิ พื่อ “ก้าวไปขา้ งหนา้ ” คมู่ อื การฝึกปฏิบตั ิโครงการฝกึ ปฏิบตั งิ านภาคสนามชุดวชิ าโครงการพัฒนาทกั ษะวิชาชพี ปฏิบัตกิ ารฉกุ เฉนิ การแพทย์ ประจำปีการศึกษา ๒๕๖๓
๑๑๐ ๖. สถติ ิ ๖.๑ ความหมายของสถิติ สถติ ิ (statistics)ใหค้ วามหมายกวา้ ง ๆ ได้ ๒ ประการ คอื ๖.๑.๑ สถติ ิ หมายถงึ ข้อความจริง หรือตัวเลขซงึ่ ได้รวบรวมไว้เพือ่ ความหมายท่ีแน่นอน เช่น สถิติพลเมือง สถิติจำนวนอุบัติเหตุในรอบปี สถิติจำนวนผู้ป่วยที่มารักการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลหน่ึง สถิตคิ นไข้เป็นโรคมะเรง็ สถติ ชิ พี สถิติอนามัย และดรรชนอี นามยั เปน็ ต้น ๖.๑.๒ สถติ ิ หมายถงึ ศาสตร์ท่ีวา่ ดว้ ยวธิ ีการเก็บรวบรวมขอ้ ความจรงิ และตวั เลขทแี่ สดง ข้อเท็จจริงซึ่งเรียกว่า ข้อมูล การนำเสนอข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล และการตีความตลอดจนการสรุปผลข้อมูล เพือ่ ใช้เปน็ ประโยชนใ์ นการตัดสนิ ใจทม่ี ีเหตผุ ล สถิติในความหมายแรก จะหมายถึง สถิติในฐานะที่เป็นตัวเลขซึ่งเรียกว่า ข้อมูลทางสถิติ ส่วนสถิติใน ความหมายที่สอง จะเป็นศาสตร์ที่เรียกว่า สถิติศาสตร์ ซึ่งเป็นศาสตร์แขนกหนึ่งที่ประยุกต์มาจากคณิตศาสตร์ ทฤษฎีทางสถิตจิ ึงมีความเกี่ยวข้องกบั คณิตศาสตรอ์ ย่างมาก เช่น ทฤษฎีความนา่ จะเป็น ทฤษฎีการแจกแจง ทฤษฎี การประมาณ ทฤษฎีการทดสอบสมมติฐาน ในทางปฏิบัติ กระบวนการทางสถิติ จะต้องดำเนินการตามระเบียบวิธี ทางสถิติ ได้แก่ การเก็บรวบรวมข้อมูล การนำเสนอข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล และการแปลความหมายหรือการ ตคี วามขอ้ มูล ๖.๒ สถิติชีพ (vital statistics) สถิติชีพ หมายถึง ข้อมูล ข่าวสารที่เกี่ยวกับการดำรงชีวิตของประชาชน เพื่อให้ทราบถึงสภาพการณ์ของ สุขอนามัยของประชาชน และการเปลี่ยนแปลงของประชากรที่อาจจะเกิดขึ้น และสามารถนำมาพิจารณา เปรียบเทียบกันได้ ได้แก่ ประชากร การเกิด การตาย การย้ายถิ่นฐาน และการหย่าร้าง สถิติชีพจึงจัดเป็นแขนงที่ สำคัญแขนงหนึ่งของสถิติพรรณนา (descriptive statistics) เพื่อใช้เป็นหลักสำคัญในการอธิบายสภาวะสุขภาพ และอนามยั ของประชากรโดยมกี ารอธบิ ายในรูปแบบของตวั เลข หรืออัตราต่าง ๆ ๖.๒.๑ ประโยชนข์ องสถิตชิ ีพ ๖.๒.๑.๑ ทำให้ทราบถงึ ภาวะสขุ ภาพอนามัยของประชาชน ทราบความแตกต่างของภาวะ สขุ อนามยั ระหว่างกลุ่มบคุ คล สถานที่ ชว่ งเวลา เมอ่ื มีการนำมาเปรยี บเทยี บกัน ๖.๒.๑.๒ เป็นเครอ่ื งช้ีวดั ปัญหาสาธารณสขุ และความรนุ แรงของปญั หาน้นั ๆ ทำให้ สามารถจดั ลำดับความสำคัญของปญั หาสาธารณสขุ เพอ่ื หามาตรการ แนวทางในการแก้ไขปัญหาตอ่ ไป ๖.๓ สถิติอนามยั (health statistics) สถิติอนามัย หมายถึง ข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวกับสาเหตุที่ทำให้ประชาชนเจ็บป่วย ตาย โดยจะประกอบด้วย ขอ้ มลู สถิตดิ ้านการเจบ็ ปว่ ย สาเหตขุ องการตาย ๖.๓.๑ ประโยชน์ของสถิติอนามัย ๖.๓.๑.๑ ข้อมลู ขา่ วสารทไี่ ดจ้ ากสถติ อิ นามัยใชเ้ พอ่ื ใหค้ วามร้เู ก่ยี วกบั ปญั หาสาธารณสขุ แก่ ประชาชน ปัญหาความรุนแรงของการเจ็บป่วย เพอ่ื ใหป้ ระชาชนเกดิ ความระมัดระวงั และมกี ารปฏิบัติเพ่ือป้องกัน การเจบ็ ป่วยได้อยา่ งถูกตอ้ ง คู่มอื การฝกึ ปฏิบัตโิ ครงการฝกึ ปฏบิ ัติงานภาคสนามชดุ วชิ าโครงการพฒั นาทกั ษะวชิ าชพี ปฏิบัตกิ ารฉกุ เฉินการแพทย์ ประจำปีการศกึ ษา ๒๕๖๓
๑๑๑ ๖.๓.๑.๒ เป็นเครื่องมือชี้วัดความรุนแรงของปัญหาทั้งการเจ็บป่วยและการตาย ทำให้สามารถ จดั ลำดับความสำคญั ของปญั หาได้ เมอ่ื นำความรุนแรงของปัญหามาเปรยี บเทยี บกัน ๖.๓.๑.๓ เป็นแนวทางในการหาวิธีป้องกันการเกิดปัญหาเหล่านัน้ ตลอดจนการหาวิธีเพ่ือลดความ รุนแรงของปัญหา วิธปี ้องกันการเจ็บป่วยหรือจำกัดความรุนแรงของการเจบ็ ปว่ ยไวไ้ มใ่ ห้ถึงแกช่ ีวติ ๖.๔ ดรรชนอี นามัย (health indices) ดรรชนีอนามัย เป็นการวัดด้านปริมาณเพื่อแสดงถึงสุขภาพของประชาชนในชุมชน ในด้านต่าง ๆ กัน ทีเ่ กย่ี วข้องกับสขุ ภาพอนามยั โดยมีการอธบิ ายในรปู แบบอัตรา อัตราส่วน และสัดสว่ น ดรรชนีอนามัย เป็นเครื่องมือบ่งชี้ความถี่ของการเกิดโรค การเจ็บป่วย การตาย และภาวะสุขภาพอนามัย ต่าง ๆ ท่ีเกย่ี วข้อง ขอ้ มลู ต่าง ๆ ทรี่ วบรวมมาเพือ่ จดั ทำสถิติชพี สถติ ิอนามัย หรือดรรชนีอนามยั นนั้ มกั เปน็ การนำข้อมลู มาสรุป และนำเสนอในรูปของค่าอัตรา (rate) อัตราส่วน (ratio) หรือสัดส่วน (proportion) ดังนั้นจึงควรเข้าใจลักษณะ การคดิ คำนวณ และการนำไปใชง้ านเสียกอ่ น ๖.๔.๑ ประโยชนข์ องดรรชนีอนามยั ๖.๔.๑.๑ ใช้วัดการกระจายและแนวโนม้ การเกิดโรคในชมุ ชน ๖.๔.๑.๒ ใช้วิเคราะห์สถานการณ์ด้านอนามัย ปัญหาด้านสุขภาพของชุมชน ความเจ็บป่วย การตายโดยสามารถนำดรรชนีอนามัยไปเปรียบเทียบกันภายในประเทศ ระหว่างประเทศ เพื่อประเมิน สถานการณด์ ้านอนามัยได้ ๖.๔.๑.๓ เป็นแนวทางในการวางแผนงานสาธารณสุข การกำหนดเป้าหมาย และ การประเมนิ ผลแผนงาน ๖.๔.๑.๔ ใชป้ ระเมินการจัดบรกิ ารสาธารณสุขและวดั ผลการดำเนินงานตามโครงการต่าง ๆ ๖.๔.๑.๕ เปน็ ประโยชนใ์ นงานวจิ ัย และการศกึ ษาทางด้านระบาดวทิ ยา ๖.๕ ระเบียบวธิ กี ารทางสถิติ ระเบียบวธิ ีการทางสถิติ ประกอบดว้ ย ๔ขั้นตอน คอื ๖.๕.๑ การเก็บรวบรวมข้อมูล (data collection) เป็นการรวบรวมข้อมูลจากแหลง่ ข้อมลู ตามท่ีได้มกี ารวางแผนไว้ ซ่งึ อาจเป็นได้ทงั้ ขอ้ มลู ปฐมภมู ิ หรอื ทตุ ิยภมู ิ ๖.๕.๒ การนำเสนอขอ้ มลู (data presentation) เป็นการจัดทำขอ้ มลู ที่รวบรวมไดใ้ ห้อยูใ่ น รูปแบบที่กะทัดรัด เช่น ตาราง กราฟ แผนภูมิ ข้อความ เพื่อความสะดวกในการอ่านข้อมูล ให้เข้าใจง่ายและเพ่ือ ประโยชนใ์ นการวเิ คราะห์ตอ่ ไป ๖.๕.๓ การวิเคราะห์ข้อมูล (data analysis) เป็นขั้นตอนการประมวลผลข้อมูล ซึ่งในการวิเคราะห์ จำเป็นต้องใช้สูตรทางสถิติต่าง ๆ หรือใช้การอ้างอิงทางสถิติ ขึ้นกับวัตถุประสงค์ของงานนั้น ๆ เช่น การวิเคราะห์ แนวโนม้ เข้าสู่สว่ นกลาง การวัดการกระจาย การทดสอบสมมตฐิ าน การประมาณค่า เป็นตน้ ๖.๕.๔ การแปรความหมาย (interpretation) เปน็ ข้ันตอนของการนำผลการวเิ คราะห์มา คมู่ ือการฝกึ ปฏิบตั โิ ครงการฝึกปฏบิ ัตงิ านภาคสนามชุดวชิ าโครงการพัฒนาทกั ษะวิชาชพี ปฏิบตั กิ ารฉกุ เฉินการแพทย์ ประจำปีการศกึ ษา ๒๕๖๓
๑๑๒ อธิบายให้บุคคลทั่วไปเข้าใจ อาจจำเป็นต้องมีการขยายความในการอธิบาย เพื่อให้งานที่ศึกษาเป็นประโยชน์ต่อคน ทว่ั ไปได้ ๖.๖ ประเภทของสถติ ิ จากกระบวนการทางสถิติดังกล่าว เราสามารถจำแนกเป็นสถิติศาสตร์ ที่สอดคล้องกับขั้นตอนต่าง ๆ ได้ ๒ ลักษณะ คือ สถิติบรรยาย (หรือสถิติเชิงพรรณนา) และสถิติอ้างอิง (หรือสถิติเชิงอนุมาน) ๖.๖.๑ สถิติบรรยาย หรือสถิติเชิงพรรณนา (descriptive statistics) เป็นการอธิบายลักษณะของข้อมูล ในรูปของการบรรยายลกั ษณะทั่ว ๆ ไปของข้อมูล โดยจัดนำเสนอเป็นบทความ บทความกึ่งตาราง แสดงด้วยกราฟ หรือแผนภูมิ ตลอดจนทำเป็นรูปภาพต่าง ๆ มีการคำนวณหาความหมายของข้อมูลโดยวิธีทางสถิติอย่างง่าย ๆ เพ่อื ใหเ้ ป็นรูปแบบของขอ้ มูลในเบ้ืองตน้ ใหส้ ามารถตคี วามหมายของข้อมูลไดต้ ามความจรงิ สถิติบรรยายนี้อาจทำการศึกษากับข้อมูลที่เป็นกลุ่มเล็ก ๆ หรือกลุ่มใหญ่โดยทั่ว ๆ ไปก็ได้ และผลการ วิเคราะหจ์ ะใช้อธิบายเฉพาะกลมุ่ ที่นำมาศึกษาเท่านัน้ สถิติบรรยายที่ใช้ในงานวิจัย เช่น การแจกแจงความถี่ ร้อยละ การวัดแนวโน้มเข้าสู่ส่วนกลาง การวัดการ กระจาย เปน็ ต้น ๖.๖.๒ สถิติอ้างอิง หรือสถิติเชิงอนุมาน (inferential statistics) เป็นเทคนิคที่นำข้อมูลเพียงส่วนหนึ่งไป อธิบายเกี่ยวกับข้อมูลส่วนใหญ่โดยทั่ว ๆไป โดยใช้พื้นฐานความน่าจะเป็น เป็นหลักในการอนุมาน หรือทำนายไป ยังกลมุ่ ประชากรเปา้ หมาย การใชส้ ถิติอา้ งองิ ทำได้ ๒ ลักษณะ คือ การประมาณคา่ ประชากร และการทดสอบสมมตฐิ าน เพื่อให้มองเห็นข้อแตกต่างระหว่างสถิติบรรยาย และสถิติอ้างอิง และมองเห็นลักษณะของสถิติอ้างอิงได้ อย่างเดน่ ชัดข้นึ จะขออธิบายความหมายของคำทเี่ กยี่ วข้องต่อไปน้ี ประชากร (population) หมายถึง ขอบเขตของข้อมูลทั้งหมดที่เรากำลังทำการศึกษาหรืออาจหมายถึง กลุ่มของส่ิงของท้ังหมดท่ใี ห้ข้อมลู ตามทเี่ ราตอ้ งการศึกษา ลักษณะของประชากรท่ศี กึ ษา อาจมจี ำนวนจำกัด (finite population) หรืออาจมจี ำนวนอนนั ต์ (infinite population) เชน่ การศกึ ษาเกยี่ วกับประสิทธภิ าพของยาชนิดหนงึ่ ประชากร จะเป็นผลการทดสอบประสิทธิภาพ ของยาในผู้ปว่ ยท่ใี ช้ยาน้ี ซง่ึ ไม่สามารถบอกถึงจำนวนทง้ั หมดได้ ค่าที่ประมวลได้จากข้อมูลทั้งหมดของประชากร โดยวิธีการทางสถิติจะเรียกว่า พารามิเตอร์ (parameter) และนยิ มใช้สญั ลกั ษณอ์ ักษรกรกิ แทน เชน่ - ค่าเฉล่ียของประชากร แทนดว้ ย อ่านวา่ มวิ (mu) - สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐานของประชากร แทนด้วย อา่ นว่า ซกิ มา่ (sigma) - ค่าสัมประสทิ ธิ์สหสัมพันธ์ของประชากร แทนด้วย อา่ นวา่ โร (rho) ตัวอยา่ ง (sample) หมายถงึ ส่วนหนงึ่ ของประชากรซ่ึงถูกเลอื กมาศึกษา เนื่องจากในบางครั้งพบว่า การศึกษาบางอย่างไม่อาจทำทั้งหมดของประชากรได้ เพราะต้องเสียค่าใช้จ่ายมาก เสยี เวลา อาจหาประชากรท้ังหมดไมไ่ ด้ หรือไม่สามารถกระทำกับประชากรทั้งหมดได้ จงึ จำเป็นต้องเลือกตัวอย่าง มาศึกษา ค่มู อื การฝึกปฏบิ ตั ิโครงการฝึกปฏบิ ัตงิ านภาคสนามชุดวิชาโครงการพฒั นาทกั ษะวิชาชีพปฏบิ ัตกิ ารฉกุ เฉนิ การแพทย์ ประจำปีการศกึ ษา ๒๕๖๓
๑๑๓ ค่าทีป่ ระมวลได้จากข้อมลู ของตวั อยา่ ง โดยวธิ ีการทางสถติ ิ จะเรยี กว่า ค่าสถิติ (statistic) เชน่ - คา่ เฉลี่ยของตวั อย่าง แทนด้วย x - ส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐานของตวั อย่าง แทนด้วย S - คา่ สัมประสิทธิ์สหสัมพนั ธข์ องตัวอย่าง แทนด้วย r ๕.๖.๓ สถิติบรรยาย (descriptive statistics) ๕.๖.๓.๑ การแจกแจงความถ่ี เป็นการนำเสนอข้อมูลทงั้ หมดทีร่ วบรวมไดใ้ ห้อยใู่ นรปู แบบที่กะทดั รัด เพื่อความสะดวกในการอ่าน ขอ้ มลู เข้าใจงา่ ย และเพื่อประโยชนใ์ นการวิเคราะห์ข้อมูลต่อไป โดยทั่วไปการสรา้ งตารางแจกแจงความถ่ี ข้อมูล จะแบง่ เป็นตารางแจกแจงความถีข่ ้อมูลเชิงคุณภาพ และตารางแจกแจงความถข่ี อ้ มูลเชิงปรมิ าณ ตารางแจกแจงความถ่เี ชิงปรมิ าณ มีการคำนวณคา่ ทเ่ี ก่ยี วข้องตา่ ง ๆ ไดแ้ ก่ พสิ ัย (range) เป็นความแตกตา่ งระหวา่ งค่าสังเกตสงู สุดและคา่ สงั เกตตำ่ สดุ อันตรภาคชัน้ (class interval) เปน็ ความกวา้ งของชั้นคะแนนของคา่ สงั เกต (ความแตกต่างขอบเขตบนและขอบเขตล่าง ของแต่ละอันตรภาคชั้น ความแตกต่างนี้ใช้แทนขนาดของอันตร ภาคชัน้ ) ขีดจำกัดชั้น (class limit) เป็นตัวเลขเริ่มต้นและลงท้ายของแต่ละชั้น เลขที่มีค่าน้อยกว่า เรียกว่า ขดี จำกดั ลา่ ง (low limit) และเลขที่มคี า่ มากกวา่ เรียกว่า ขีดจำกัดบน (upper limit) ขอบเขตชั้น (class boundary) เป็นค่าที่แบ่งแยกอาณาเขตของแต่ละอันตรภาคชั้นหาได้โดย เฉลี่ยขีดจำกัดบน และขีดจำกัดล่าง ของชั้นที่ติดกัน เรียกเลขที่มีค่าน้อยกว่าว่า ขอบเขตล่าง หรือ ขีดจำกัดล่างจรงิ (true lower limit) และเลขที่มีค่ามากกว่า ขอบเขตบน หรือขีดจำกัดบนจรงิ (true upper limit) จุดกึ่งกลาง (mid point) เป็นค่าเฉลี่ยของขอบเขตบน และขอบเขตล่าง ใช้เป็นตัวแทนของค่า สังเกตต่าง ๆ ในแต่ละอนั ตรภาคชัน้ การแสดงจำนวนชุดข้อมูล หรือความถี่ของข้อมูลนั้น สามารถแสดงความถใี่ นรูปของความถี่สะสม ความถีส่ มั พัทธ์ และความถสี่ ะสมสัมพัทธ์ ความถี่สะสม เป็นการรวมความถี่จากอันตรภาคชั้นที่มีค่าสังเกตน้อยไปยังชั้นที่มีค่าสังเกตมาก หรอื เป็นการรวบรวมในทางตรงข้ามกไ็ ด้ ความถี่สัมพัทธ์ เป็นสัดส่วนของความถี่ของอันตรภาคชั้น กับจำนวนค่าสังเกตทั้งหมด โดยทั่วไป นิยมนำเสนอในรปู ร้อยละ ความถสี่ ะสมสมั พทั ธ์ เปน็ การสะสมความถส่ี ัมพัทธ์ โดยมีลักษณะเช่นเดียวกันกบั ความถ่ีสะสม ๕.๖.๓.๒ แผนภูมิกราฟ เป็นการแบ่งการนำเสนอข้อมูลเชิงคุณภาพในรูปแผนภูมิกราฟ โดยทั่วไปนิยมใช้ กราฟ วงกลม กราฟแท่ง ส่วนการนำเสนอข้อมูลเชิงปริมาณ นิยมนำเสนอเป็นฮิสโตแกรม รูปหลายเหลี่ยม ความถส่ี มั พทั ธ์ คูม่ ือการฝกึ ปฏิบัตโิ ครงการฝึกปฏิบัตงิ านภาคสนามชดุ วชิ าโครงการพัฒนาทกั ษะวชิ าชพี ปฏิบตั กิ ารฉกุ เฉนิ การแพทย์ ประจำปกี ารศึกษา ๒๕๖๓
๑๑๔ ๖.๖.๓.๓ การวัดแนวโนม้ เข้าสสู่ ่วนกลาง ในการนำเสนอข้อมูล เพื่อให้เห็นลักษณะของข้อมูลจากค่าตัวแทนของข้อมูลค่าใดค่าหน่ึง ค่าตัวแทนของข้อมูลหรือการวัดแนวโน้มเข้าสู่กลาง ที่นิยมใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ( arithmetic mean, x ) ค่ามัธยฐาน (median) และค่าฐานนยิ ม (mode) ๑) คณุ สมบัตขิ องคา่ เฉล่ีย ๑. เป็นตัวแทนข้อมูล ที่ใช้ข้อมูลทุกค่ามาทำการคำนวณหาขนาดของค่าเฉลี่ยเนื่องจากมี การนำข้อมูลทกุ ค่ามาคำนวณ ตามหลักคณิตศาสตร์ จงึ สามารถใชใ้ นการวเิ คราะหส์ ถิติชน้ั สูงได้ ๒. เนือ่ งจากมกี ารใชข้ ้อมูลทกุ คา่ มาคำนวณ ดังนั้น หากมขี อ้ มลู บางตัวมีขนาดใหญ่ มาก ๆ หรือเลก็ มาก ๆ ผิดปกติ จะมผี ลต่อการคำนวณขนาดของคา่ เฉล่ยี ดว้ ย ๓. ข้อมูลที่มีมาตรวัดเป็นนามบัญญัติ (norminalscale) และเรียงอันดัง (ordinal scale) ไมส่ ามารถใชค้ ำนวณค่าเฉล่ยี ได้ ๒) ค่ามัธยฐาน (median) เป็นค่าที่อยู่ตำแหน่งตรงกลางของข้อมูล เมื่อเรียงลำดับตาม ปริมาณข้อมูลท้ังหมด จากนอ้ ยไปมาก หรือจากมากไปน้อย คณุ สมบตั ขิ องคา่ มธั ยฐาน ๑. มัธยฐาน เป็นการใช้ค่าของข้อมูลที่อยู่ตำแหน่งตรงกลาง มาเป็นตัวแทน ดังนั้น ข้อมูลที่มีค่ามาก หรือน้อยผิดปกติ จะไม่มีผลกระทบต่อค่ามัธยฐาน และถ้ามีการเปลี่ยนแปลง ข้อมลู บางตวั ในกลมุ่ จะมผี ลกระทบต่อคา่ มัธยฐานน้อยมาก ๒. มธั ยฐานจะเป็นค่าตัวแทนของข้อมูลไดใ้ กล้เคยี งกบั ประชากรส่วนใหญม่ ากกวา่ คา่ เฉลีย่ หากการแจกแจงข้อมลู เปไ้ ปทางใดทางหนึ่ง ๓. ข้อมลู ท่ีมมี าตรวดั เป็นนามบัญญัติ (norminal scale) ไม่สามารถคำนวณค่ามัธยฐานได้ ๔. กรณีทมี่ ขี ้อมลู กระจกุ อยู่คา่ ต่ำสดุ หรอื สูงสดุ มากเกินไป จะไม่สามารถหาคา่ มธั ยฐานได้ ๓) ฐานนยิ ม (mode) เปน็ คา่ ทมี่ ีความถ่ีสูงสดุ ในข้อมูลชุดหน่ึง ฐานนยิ มอาจมีค่าเดียวในชุดข้อมูลนั้น หรอื อาจมหี ลายค่าได้ กรณที ม่ี ขี อ้ มลู ทคี่ วามถ่สี งู สุดเท่ากันหลายค่า คณุ สมบตั ขิ องฐานนยิ ม ๑. สามารถคำนวณไดง้ า่ ย รวดเร็ว ๒. ใช้กบั ขอ้ มลู ทีม่ มี าตรวัดนามบญั ญตั ิ (norminal scale) ๓. ข้อมูลท่ีมคี ่ามาก หรอื นอ้ ยผดิ ปกติ จะไม่มีผลกระทบต่อค่าฐานนิยม และถ้ามี การเปลี่ยนแปลงข้อมูลบางตัวในกล่มุ จะไมม่ ผี ลกระทบต่อค่าฐานนยิ ม หรือมีน้อยมาก ในการเลือกใช้การวัดแนวโน้มเข้าสู่ส่วนกลาง ตัวใด (ค่าเฉลี่ย มัธยฐาน ฐานนิยม) จะขึ้นกับ ลักษณะการกระจายของข้อมูล จดุ ประสงคข์ องการนำไปใช้ และมาตรวัดของขอ้ มลู นั้น ๆ คู่มอื การฝึกปฏบิ ตั โิ ครงการฝกึ ปฏบิ ัติงานภาคสนามชดุ วิชาโครงการพฒั นาทกั ษะวชิ าชีพปฏบิ ัตกิ ารฉกุ เฉินการแพทย์ ประจำปีการศึกษา ๒๕๖๓
๑๑๕ ๔. การวัดการกระจายขอ้ มลู การกระจายของข้อมูลเป็นคุณลักษณะอย่างหนึ่งที่ใช้วัดความแตกต่างของค่าของข้อมูลทั้งหมด ขอ้ มลู ที่มกี ารกระจายแสดงถงึ ข้อมูลมกี ารเกาะกลมุ่ อยู่ท่คี ่าใกลเ้ คียงกนั ส่วนข้อมลู ทม่ี กี ารกระจายมากแสดงว่าข้อมูล เกาะกลุ่มไม่ดี มคี า่ ความแตกต่างกันมาก วิธีการวัดการกระจายมีทั้งหมด ๔ วิธี ได้แก่ พิสัย ส่วนเบี่ยงเบนควอร์ไตล์ ส่วนเบี่ยงเบนเฉล่ีย และส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐาน ๑. พสิ ัย (range) เป็นความแตกต่างระหวา่ งคา่ สงั เกตสงู สดุ และค่าสังเกตต่ำสุด พิสยั = คา่ สงู สุด - คา่ ต่ำสุด ๒. ส่วนเบี่ยงเบนควอร์ไตล์(quartile deviation : QD) หมายถึง ครึ่งหนึ่งของผลต่าง ระหว่างขอ้ มลู ที่ Q๓กับ Q๑ ๓. ส่วนเบี่ยงเบนเฉลี่ย(mean deviation : MD) เป็นค่าเฉลี่ยความแตกต่างระหว่าง ขอ้ มลู ทุกตัวกบั ค่าเฉลยี่ ๔. ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (standard deviation : SD) เป็นรากที่ ๒ ของค่าเฉลี่ยของ กำลงั สองของผลต่างระหวา่ งข้อมูลทกุ ตวั กบั คา่ เฉลี่ย ๕. สถติ อิ ้างอิง (Inferential statistics) สถิติอ้างอิง คือ การนำความรู้หรือข้อเท็จจริงที่ได้จากกลุม่ ตวั อย่างซึ่งสุม่ มาจากประชากรที่ต้องการศึกษา ไปช่วยในการตัดสินใจหรือสรุปเกี่ยวกับคุณลักษณะของประชากร เรียกว่า การอนุมาน (inferential) เนื่องจาก การที่จะศึกษาคุณลักษณะของประชากรโดยใช้วิธีการรวบรวมข้อมูล ข้อเท็จจริงจากทั้งประชากร เป็นไปได้ยาก หรอื ไมส่ ามารถทำได้เลย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการอนุมานเชิงสถิติ จะต้องเป็นกลุ่มตัวอย่างที่ดี ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นตัวแทนที่ดีของ ประชากร กระบวนการท่จี ะได้มาซ่งึ ตัวอยา่ งทดี่ นี น้ั เรยี กวา่ การสมุ่ ตวั อยา่ ง (sampling) ค่าทไ่ี ดจ้ ากกลมุ่ ตัวอย่าง เรียกว่า ค่าสถิติ ส่วนค่าทีไ่ ด้จากประชากร เรียกว่า พารามิเตอร์ ในการนำเอาค่าที่ได้จากกลุม่ ตวั อย่าง (ค่าสถิต)ิ ไปสรปุ ผลเกีย่ วกบั คุณลกั ษณะของประชากร(พารามเิ ตอร์) มี ๒ วิธี คือ การประมาณค่า และการทดสอบสมมตฐิ าน การประมาณคา่ หมายถึง วิธกี ารใช้ค่าสถติ ทิ ่ไี ด้จากตวั อย่างไปประมาณคา่ พารามิเตอร์ เปน็ การหาข้อสรุป ที่เกี่ยวกับพารามิเตอร์ ในลักษณะของการประมาณ ซึ่งมักแสดงในรูปตัวเลข เช่น ประมาณค่าเฉลี่ยของประชากร ประมาณคา่ สัดส่วนของประชากร เป็นตน้ ๑. การทดสอบสมมตฐิ าน สมมตฐิ าน (hypothesis) คือ คำตอบท่คี าดคะเนไว้ล่วงหนา้ และคำตอบนไ้ี ดม้ าจากหลกั การทาง เหตผุ ล ซงึ่ มาจากความรเู้ ดมิ ประสบการณ์ เอกสาร ตำรา หรอื ทฤษฎที เี่ กย่ี วข้อง สมมติฐานการวิจัย คือ ความเชื่อของผู้วิจัยว่า เรื่องที่สนใจศึกษาจะมีลักษณะอย่างใดอย่างหน่ึง ความเช่อื น้นั จะเปน็ จริงหรอื ไมก่ ไ็ ด้ ๒. การทดสอบสมมตฐิ านทางสถติ ิ (alternative hypothesis) แบง่ เป็น ๒ วธิ ี คอื คู่มอื การฝึกปฏบิ ัตโิ ครงการฝึกปฏิบตั งิ านภาคสนามชดุ วิชาโครงการพฒั นาทกั ษะวิชาชีพปฏบิ ัตกิ ารฉกุ เฉนิ การแพทย์ ประจำปีการศกึ ษา ๒๕๖๓
๑๑๖ ๑. สมมติฐานเพื่อการทดสอบ (null hypothesis) เขียนแทนด้วยสัญลักษณ์ H๐ เป็น สมมติฐานที่มีลักษณะเป็นการกำหนดค่าพารามิเตอร์ที่แน่นอน ต้องการทดสอบว่าเป็นความจริง หรอื ไม่ ๒. สมมติฐานแย้ง (alternative hypothesis) เขียนแทนด้วยสัญลักษณ์ H๑ เป็น สมมติฐานท่ตี ้ังขน้ึ มาควบคกู่ ับ H๐เพอื่ เปน็ ทางเลือกหรอื ข้อแย้งกบั H๐ในกรณีทตี่ ้องปฏเิ สธ H๐ ๓. ขั้นตอนการทดสอบสมมติฐาน ๑. กำหนดสมมติฐานเพื่อการทดสอบ (H๐) และสมมติฐานแยง้ (H๑) ๒. พจิ ารณาเลือกตัวสถติ ิที่ใชใ้ นการทดสอบ ที่เหมาะสมกบั พารามเิ ตอรท์ ีต่ อ้ งการ ทดสอบ ๓. กำหนดระดับนัยสำคัญ ( ) และหาอาณาเขตวิกฤตของตัวสถิติที่ใช้ในการทดสอบ ภายใตส้ มตฐิ านทก่ี ำหนด ๔. คำนวณคา่ สถติ ทิ ดสอบจากขอ้ มูล เปรยี บเทียบคา่ สถิติทดสอบที่คำนวณได้กบั คา่ วิกฤต (ทไ่ี ดจ้ ากการเปิดตารางค่าวิกฤตตาม ชนิดของสถติ ติ า่ ง ๆ) ถา้ ค่าสถิติทดสอบตกอย่ใู นอาณาเขตวิกฤต จะสรปุ วา่ ปฏเิ สธ H คูม่ ือการฝึกปฏบิ ตั โิ ครงการฝกึ ปฏบิ ตั ิงานภาคสนามชุดวิชาโครงการพฒั นาทกั ษะวชิ าชพี ปฏิบตั กิ ารฉกุ เฉนิ การแพทย์ ประจำปกี ารศกึ ษา ๒๕๖๓
๑๑๗ ๗. ระบาดวิทยา : คำสำคญั ท่เี ก่ียวขอ้ ง ระบาดวิทยา เป็นการศึกษาถงึ ลกั ษณะการเกิด การกระจายของโรค ภัย ไข้ เจบ็ ในกลมุ่ ชน ตลอดจนสาเหตุ และปจั จยั หรอื ตวั กำหนดที่ทำใหเ้ กิดและแพร่กระจายของโรคน้ัน ทำใหท้ ราบถึงปัจจัยเสย่ี ง แนวโนม้ ของการเกิดโรค และระดับความรุนแรงของปัญหา ซึ่งนับได้ว่า มีความสำคัญสำหรับการดำเนินงานสาธารณสุข การเผยแพร่ข้อมูล ข่าวสารให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะประชาชน จำเป็นจะต้องสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ ชัดเจน ไม่ คลาดเคลอ่ื น โดยเฉพาะข่าวสารดา้ นโรคติดต่อ ซึ่งในบางคร้ังกลับก่อผลกระทบในเชิงลบไดอ้ ย่างคาดไม่ถึง โดยทำให้ เกิดความตระหนก (Panic) มากกว่าความตระหนัก (Awareness) จนอาจก่อความเสียหาย ทั้งต่อสุขภาพของ ประชาชน สังคมและเศรษฐกิจโดยรวมคำสำคญั ทางระบาดวทิ ยาท่มี ักพบไดบ้ ่อย ไดแ้ ก่ ๗.๑ การเฝ้าระวังทางระบาดวิทยา (Epidemiology Surveillance) หมายถึง การติดตามสังเกตพินิจ พิจารณาลักษณะการเปลี่ยนแปลงของการเกิด การกระจายของโรค และเหตุการณ์หรือปัญหาสาธารณสุข รวมท้ัง ปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงนั้นๆ อย่างต่อเนื่องด้วยกระบวนการที่เป็นระบบและมีขั้นตอน ประกอบด้วย การ รวบรวม เรียบเรียง วิเคราะห์ แปลผล และกระจายข้อมูลข่าวสารสู่ผู้ใช้ประโยชน์ เพื่อการวางแผนกำหนดนโยบาย การปฏบิ ตั งิ านและการประเมินมาตรการควบคุมป้องกนั โรคอย่างมปี ระสิทธภิ าพ ๗.๒ การสอบสวนทางระบาดวิทยา (Epidemiology Investigation)หมายถึง การดำเนินงานหรือกิจกรรม ต่างๆ ใหไ้ ดม้ าซ่งึ ข้อมูลและข้อเท็จจริงเก่ยี วกับการเกิดโรค ภัย ไข้ เจบ็ และเหตกุ ารณผ์ ดิ ปกติทเี่ ป็นปัญหาสาธารณสุข ด้วยวิธีการรวบรวมข้อมลู รายละเอยี ดในทางระบาดวิทยา สิ่งแวดล้อม และการชันสูตรทางห้องปฏิบัติการ เพื่อให้ได้ ความรู้ที่สามารถอธิบายถึงสาเหตุของการเกิดโรค ภัย ไข้ เจ็บและเหตุการณ์และสถิติ ที่มีเหตุผลเชื่อถือได้ พิสูจน์ได้ ตามหลักวชิ าการดงั กลา่ ว ๗.๓ การสอบสวนโรคระบาด การสอบสวนโรคระบาด ( outbreak investigation ) เป็นกิจกรรมทางระบาดวิทยา ที่ครอบคลุมการ บรรยายลักษณะการเกิดโรค และประเมินปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรค ในรูปแบบที่ไม่ซับซ้อน ซึ่งบรรยาย ลักษณะการเกิดโรคและประเมินปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรคในรูปแบบที่ไม่ซับซ้อน ผลการสอบสวนโรคระบาด นั้นจะสามารถนำไปสู่มาตรการควบคุมการแพร่กระจายของโรค และการป้องกันการระบาดของโรคในอนาคตได้ อกี ดว้ ย การระบาดของโรคใด ๆ นั้น อาจถูกตรวจพบได้ ๒ ทางหลัก ๆ คือ จากรายงานของระบบเฝ้าระวังโรคที่ ตดิ ตามเฝา้ ระวงั โรคหรือ ปัญหาสุขภาพอ่ืนๆ ในประชากร รวมถึงประสทิ ธิภาพการผลติ ในสตั วบ์ ริโภค ขนั้ ตอนการสอบสวนโรคระบาด ศูนย์การควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐอเมริกา (Center for Disease Control and Prevention: CDC ) แนะนำขั้นตอนการสอบสวนโรคระบาด ๑๐ ขั้นตอน เพื่อให้สามารรถดำเนินการสอบสวนโรคระบาดได้อย่างมี ประสิทธิภาพ และได้ผลการสอบสวนทีส่ มบูรณ์ ขน้ั ตอนตา่ ง ๆ ดังกล่าวได้แก่ ๑. การเตรียมการลงพืน้ ที่ ๒. การยนื ยันการระบาดของโรค ๓. การยืนยนั การวินจิ ฉัยโรค คูม่ อื การฝึกปฏบิ ัตโิ ครงการฝึกปฏบิ ตั ิงานภาคสนามชุดวชิ าโครงการพัฒนาทกั ษะวิชาชพี ปฏิบตั กิ ารฉกุ เฉินการแพทย์ ประจำปีการศกึ ษา ๒๕๖๓
๑๑๘ ๔. การกำหนดนิยามผู้ปว่ ยและการสืบหาผปู้ ว่ ยเพิม่ เติม ๕. การศกึ ษาระบาดวทิ ยาเชิงพรรณนา ๖. การตัง้ สมมตฐิ าน ๗. การทดสอบสมมตฐิ าน ๘. ปรับปรุงสมมติฐานและศกึ ษาเพิม่ เติมตามความจำเป็น ๙. วางมาตรการควบคมุ และปอ้ งกันโรค ๑๐. การรายงานผลการสอบสวนโรค ขนั้ ตอนที่ ๑ การเตรียมการลงพน้ื ที่ การจัดทำเอกสารและการดำเนนิ งานตามขั้นตอนการบริหารงานสาธารณสุข เชน่ ขออนุมตั เิ ดินทาง เบิกจา่ ย วัสดแุ ละอุปกรณต์ ่าง ๆ เป็นต้น นอกจากน้ียังครอบคลุมถึงการทบทวนความรู้เกย่ี วกับโรคทจี่ ะดำเนนิ การสอบสวน ตลอดจนติดต่อเจ้าหน้าทีใ่ นพื้นทแ่ี ละทีป่ รึกษาทางวิชาการ ทัง้ นผ้ี ้ดู ำเนินการสอบสวนโรคทกุ คน ควรทำความเขา้ ใจ ในบทบาทหนา้ ท่แี ละสายการทำงานตา่ ง ๆ ใหเ้ รยี บร้อยก่อนเรม่ิ ดำเนนิ การสอบสวน ขนั้ ตอนท่ี ๒ การยนื ยันการระบาดของโรค การยนื ยันวา่ ผปู้ ่วยของโรคทเ่ี พิ่มมากขน้ึ เป็นผู้ป่วยดว้ ยโรค หรอื มสี าเหตขุ องการปว่ ยเหมือนกนั บางครั้งการ เพิ่มขึ้นของผู้ป่วยด้วยอาการเดียวกัน อาจเป็นการป่วยจากโรคหรือสาเหตุที่แตกต่างกันได้ ดังนั้นผู้สอบสวนโรค จะต้องทำการยืนยันอาการป่วย ตามนิยามผู้ป่วยที่เป็นมาตรฐาน จากนั้นจึงทำการเปรียบเทียบอัตราการเกิดโรค ท่ี ตรวจพบกับอัตราการเกิดโรคปกติ โดยใช้การกระจายแบบ binomial หรือ poison หรือเปรียบเทียบอัตรากรเกิด โรคในแต่ละกลุ่มของประชากรกับอัตราที่คาดว่าจะพบในแต่ละกลุ่มตามปกติ (goodness of fit test) ทั้งนี้ข้อมูลท่ี ใช้เปรยี บเทียบอาจได้มาจากข้อมลู การเฝ้าระวงั โรค ขอ้ มลู รายงานทางสถิตริ ะดับประเทศ การจดทะเบียนผูป้ ่วย หรือ การสำรวจ เป็นต้น ทั้งนี้ในการเปรยี บเทียบจะต้องควบคุมทั้งความแปรปรวนโดยบังเอิญ โดยการทดสอบสมมติฐาน ทางสถิติและควบคุมความแปรปรวนเน่อื งจากความลำเอียง โดยอาจพจิ ารณาท่มี าของความลำเอียงจาก ๑. การรายงาน เนือ่ งจากมกี ารเปล่ยี นแปลงนยิ ามของผปู้ ว่ ย ทำใหม้ ีจำนวนผ้ปู ่วยมากขนึ้ ๒. การเปลี่ยนแปลงประชากร เช่น การอพยพย้ายถิ่นฐานของชาวเขาหรือแรงงานต่างด้าว ที่อาจทำให้ ประชากรทีเ่ ปน็ ตัวหารของตวั วดั ทางระบาดวิทยาเปลยี่ นแปลง ๓. การเปลีย่ นแปลงวิธีการตรวจวนิ ิจฉัย เช่น สามารถตรวจพบการติดเชือ้ ไดด้ ว้ ยความไวสูงขึ้น มีการรณรงค์ ตรวจคดั กรองโรค หรือมีหมอหรือพยาบาลใหม่ที่เชี่ยวชาญเร่อื งโรคเฉพาะทางบางโรคมากข้นึ เป็นตน้ ๔. ความเห็นของสาธารณชน ที่ให้ความสนใจโรคใดโรคหนึ่ง อาจทำให้ผู้ป่วยที่ไม่เคยได้รับการตรวจ ได้รับ การตรวจวินิจฉัยมากขึ้น ทำให้จำนวนผู้ป่วยมากขึ้นอย่างไรก็ตาม หากสามารถระบุสาเหตุของการเกิดโรค เช่น การระบาดของโรคจากอาหารจะชว่ ยให้สามารถสอบสวนโรคได้อย่างรวดเรว็ เนื่องทราบวิธกี ารตดิ ต่อและควบคุมโรค อยู่แล้ว ขั้นตอนที่ ๓ การยืนยันการตรวจวนิ ิจฉยั โรค หมายถึงการระบุตัวผู้ปว่ ยโดยการตรวจวินจิ ฉัยทางห้องปฏิบัติการ หรือการยืนยันการปว่ ยทีเ่ หมือนกบั ผ้อู นื่ โดยใชน้ ยิ ามผู้ปว่ ยทก่ี ำหนดข้นึ ทง้ั นี้อาจดำเนนิ การไปพร้อมกับขน้ั ตอนท๔่ี ค่มู อื การฝกึ ปฏบิ ัติโครงการฝกึ ปฏิบตั งิ านภาคสนามชุดวิชาโครงการพัฒนาทกั ษะวชิ าชีพปฏิบัตกิ ารฉกุ เฉนิ การแพทย์ ประจำปีการศกึ ษา ๒๕๖๓
๑๑๙ ข้ันตอนที่ ๔ การกำหนดนยิ ามผปู้ ่วยและการหาผปู้ ่วยเพิ่มเตมิ นิยามผู้ป่วยหมายถึงเกณฑ์มาตรฐานที่ใช้ในการแยกผู้ที่ต้องสงสัยว่าป่วยด้วยโรคที่กำลังสอบสวนหรือไม่ ทั้งนี้เกณฑ์ดังกล่าวอาจใช้อาการต่าง ๆ ที่เกิดร่วมกันตามหลักสากล เช่น เกณฑ์การแยกผู้ต้องสงสัยและผู้ป่วยด้วย โรคฉี่หนู (leptospirosis) ตามหลักขององค์การอนามัยโลก (World Health Organization: WHO) หรือใช้เกณฑ์ ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น แบ่งกลุ่มผู้ป่วยโรคเอดส์ตามจำนวนเม็ดเลือดขาว เป็นต้น การสืบหาผู้ป่วย เพิม่ เตมิ นนั้ อาจทำได้โดยการตรวจสอบทะเบยี นผู้ป่วยตามโรงพยาบาล คลนิ ิกหรือห้องปฏบิ ัติการ โดยอาจสอบถาม ข้อมูลจากผทู้ ี่ไดร้ ับปจั จัยเสยี่ งหรือผู้ท่ที ำการตรวจตวั อย่างดว้ ย ทัง้ นีก้ ารสบื หาผู้ปว่ ยโดยการสัมภาษณ์ผู้ท่ีได้รับปัจจัย เสี่ยงอาจต้องเดินเป็นระยะทางไกล จึงเรียกว่า \"การทำงานระบาดวิทยาแบบใช้รองเท้า ( shoe-leather epidemiology)\" นอกจากนี้ อาจสืบหาผู้ป่วยเพิ่มเติมโดยให้ประชาชนทั่วไปส่งข้อมูลมาให้ แต่วิธีนี้อาจมีผลบวก เทียมและผลที่ซ้ำซ้อนกันเป็นจำนวนมากได้ ข้ันตอนท่ี ๕ การศึกษาระบาดวิทยาเชิงพรรณนา ระบาดวิทยาเชิงพรรณนา หมายถึงการสำรวจและบรรยายรูปแบบการเกิดโรคในประชากรเสี่ยง การศึกษา ระบาดวทิ ยาเชิงพรรณนานั้นสามารถเริม่ ต้นด้วยการเก็บข้อมลู เกี่ยวกับ ๑. ประวัติผปู้ ว่ ย ไดแ้ ก่ ช่ือ ท่ีอยู่ เบอร์โทรศพั ท์ เพอื่ ใหผ้ ูส้ อบสวนโรคสามารถตดิ ตอ่ ผู้ป่วยไดใ้ นภายหลัง ๒. ข้อมูลประชากร ได้แก่ อายุ เพศ อาชีพ หรือปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจใช้แบ่งกลุ่มประชากรเพื่อคำนวณอัตรา การป่วย ๓. ลักษณะการป่วยทางคลินกิ ไดแ้ ก่ เวลาทเี่ รม่ิ ป่วย เวลาท่ีสมั ผสั ปจั จัยเส่ยี ง อาการทางคลินิก ผลการตรวจ ทางหอ้ งปฏบิ ัติการ เปน็ ต้น ๔. ขอ้ มูลการสมั ผัสปัจจัยเสี่ยง ขน้ึ กบั โรคท่ีทำการสอบสวน ๕. ข้อมูลของผู้รายงานโรค ซึ่งอาจไม่ใช่ผู้ป่วย แต่เป็นญาติ หรือบุคลากรทางการแพทย์ที่ให้การรักษา ดูแล หรือตรวจตวั อยา่ ง เพือ่ ใหส้ ามารถติดต่อสอบถามขอ้ มูลเพม่ิ เติมได้ภายหลัง ๖. ข้อมูลจำนวนประชากร ที่ใช้เป็นตัวหารในการคำนวณตัววัดทางระบาดวิทยา หลงั จากเก็บข้อมูลเบื้องต้นแล้ว ผสู้ อบสวนโรคอาจต้องทำการตรวจสอบความถูกต้องและสมบรู ณ์ของข้อมูล ทั้งนี้ใน การกรอกข้อมูลใส่ฐานข้อมูลคอมพิวเตอร์ อาจใช้คนอย่างน้อย ๒คน กรอกข้อมูลเดียวกันเพื่อให้ตรวจสอบ ข้อผิดพลาดของกันและกันหรืออาจกำหนดช่วงของตัวแปรไว้ในโปรแกรมเพื่ อให้สามารถกรอกคำตอบที่ถูกต้องได้ เท่านั้น นอกจากนี้ ข้อมูลชุดที่มายการที่ขาดหายไป (missing value) อาจพิจารณาไม่นำมาใช้หากเป็นการขาด หายไปแบบสุ่ม กล่าวคือไม่ได้ขาดหายไปในประชากรกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะ ซึ่งอาจทำให้เกิดความลำเอียงได้ เมื่อตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือ การบรรยายการระบาดของโรคตามเวลา สถานที่และ ประชากร การบรรยายลักษณะการเกิดโรคตามเวลามักทำในรูปแบบของ epidemic curve (แผนภาพ) ซึ่งเป็น แผนภาพที่มีแกนนอน (X) แสดงเวลา และแกนตั้ง (Y) แสดงจำนวนหรือสัดส่วน (percent) ของผู้ป่วย ณ เวลา หนึ่ง epidemic curve สามารถแสดงการระบาดของโรคท้งั ในอดตี ปจั จบุ ัน และอนาคต ระยะฟักตวั ของโรค และท่ี สำคัญคือรูปแบบของการระบาดของโรคว่าเป็นแบบ point-source หรือแบบ propagating epidemic สำหรับ ค่มู อื การฝึกปฏิบัตโิ ครงการฝกึ ปฏิบตั ิงานภาคสนามชดุ วิชาโครงการพัฒนาทกั ษะวิชาชพี ปฏบิ ตั กิ ารฉกุ เฉินการแพทย์ ประจำปีการศึกษา ๒๕๖๓
๑๒๐ หน่วยของเวลาที่ใช้กำหนดแกนนอนนั้น ให้ใช้หน่วยที่เหมาะสมกับระยะฟักตัวของโรค อาจเป็นวัน สัปดาห์ เดือน หรือปี และให้แบ่งช่วงระหว่างเวลาบนแกนนอน ให้มีค่าเป็น ๑/๘ ถึง ๑/๓ เท่าของระยะฟักตัวของโรค เช่น หาก ระยะฟักตัวของโรคเท่ากบั ๑ สปั ดาห์ อาจแบ่งชว่ งของเวลาทีร่ ายงานจำนวนผู้ป่วยเปน็ รายวัน เป็นต้น อยา่ งไรก็ตาม การแบ่งช่วงเวลาดังกล่าว อาจปกปิดรายละเอียดที่สำคัญ จึงควรสร้าง epidemic curve หลาย ๆ แบบ แล้วเลือก แบบที่แสดงรูปแบบการเกิดโรคได้อย่างชัดเจนที่สุด นอกจากนี้ epidemic curve ควรครอบคลุมระยะเวลาตั้งแต่ กอ่ นเกดิ การระบาดจนถงึ การระบาดของโรคส้ินสดุ ลงแลว้ เพื่อแสดงใหเ้ ห็นวา่ อตั ราการเกิดโรคกลับเปน็ ปกติแลว้ ด้วย เมื่อสร้าง epidemic curve แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือ การวิเคราะห์ระยะฟักตัวของโรค ระยะฟักตัวของโรค (incubation period) หมายถึงระยะเวลาตั้งแต่เชื้อโรคหรือสิ่งก่อโรคอื่นเข้าสู่ร่างกายจนแสดงอาการทางคลินิก ซ่ึง อาจแปรผันไปตามชนิดของเชื้อโรค ความสามารถในการก่อโรค (pathogenicity) ปริมาณของเชื้อที่เข้าสู่ร่างกาย (dose) ตลอดจนระดับภมู ติ ้านทานต่อโรคของประชากร หากทราบเวลาที่สัมผสั สิ่งก่อโรคที่แนน่ อน เชน่ ในกรณีของ โรคที่เกิดจากอาหาร อาจรายงานค่าสูงสุด ต่ำสดุ และค่ากลางของระยะฟักตัวของโรค ซง่ึ ใช้คา่ เฉล่ียหรือค่ามัธยฐาน แทนก็ได้ หากการระบาดของโรคเกิดจากเชื้อหรือการสัมผัสแหล่งก่อเชื้อเพียงแหล่งเดียว จะมีอัตราการป่วยเพิ่มขนึ้ และลดลงอย่างรวดเร็วเรียกว่า การระบาดแบบ point source แต่หากมีการแพร่ของโรคจากคนหนึ่งไปยังอีกคน หนึง่ จะมีอตั ราการเกดิ โรคค่อย ๆ สูงขนึ้ เรียกว่า การระบาดแบบ porpagative การบรรยายลักษณะการเกิดโรคตามสถานที่ สามารถแสดงหลักฐานสนับสนนุ สมมติฐานเกี่ยวกบั แหล่งท่มี า และการติดต่อของโรคได้ แผนที่แสดงการเกิดโรคนั้น อาจทำแบบง่ายๆ ในรูป spot (dot) map หรือแสดงแบบ ซับซ้อนโดยแสดงอัตราการเกิดโรคตามพื้นที่ต่าง ๆ แผนที่แสดงการเกิดโรคอาจแสดงตามความรุนแรงของการเกิด โรค และทสี่ ำคญั คือ สามารถแสดงการเกาะกลุ่มกัน (clustering) ของผู้ป่วยตามขอบเขตทางภูมิศาสตร์ ตัวอย่างที่ดี ในอดีตคือการแสดงอัตราการเกิดโรคบริเวณ golden square ในกรุงลอนดอนของ ดร.จอห์น สโนว์ (Dr. John Snow) เมอื่ ประกอบกับขอ้ มลู อ่ืนทำให้สามารถสรปุ ได้วา่ โรคอหิวาต์ (cholera) สามารถติดต่อทางนำ้ ดื่มได้ อย่างไร กต็ ามจำนวนผู้ป่วยท่ีหนาแนน่ ในบรเิ วณอาจข้ึนกับจำนวนประชากรบริเวณนนั้ และอาจทำให้ได้ข้อสรุปท่ีคลาดเคล่ือน จากความเป็นจริง (ประชากรหนาแน่นไม่ใช่จำนวนผู้ป่วยหนาแน่น) จึงสามารถแสดงอัตราการเกิดโรคที่มีจำนวน ประชากรเปน็ ตวั หารแทน การบรรยายลักษณะการเกิดโรคตามลักษณะประชากรนั้น สามารถแสดงกลุ่มประชากรที่มีความเสี่ยง มากกว่าประชากรอืน่ ทั่วไป ทั้งนี้ความเสีย่ งของการเกิดโรคอาจขึ้นกับโอกาสสัมผสั ปัจจัยเสี่ยง และระดับความไวตอ่ โรค ทั้งนี้อาจแบ่งกลุ่มประชากรตามเพศ อายุ อาชีพ กิจกรรมที่ทำ เช่น การเล่นกีฬา การไปงานเลี้ยง ลักษณะการ เกิดโรคของกลุ่มประชากร ต้องอาศัยข้อมูลทั้งตัวตั้ง (numerator) และตัวหาร (denominator) ซึ่งคือจำนวน ประชากรทั้งหมดในกลุ่ม สำหรับในสัตว์บริโภคอาจแบ่งกลุ่มประชากรตามชนิด วัตถุประสงค์ การเลี้ยง ขนาดและ ลกั ษณะของฟารม์ เป็นตน้ ข้ันตอนที่ ๖ ตั้งสมมตฐิ าน การตั้งสมมติฐาน เป็นการพยายามอธิบายความจริงที่สามารถทดสอบได้ว่าถูกต้องหรือไม่ ในการสอบสวน โรคระบาดนั้น สมมติฐานที่ตั้งควรพยายามอธิบายความจริงเกี่ยวกับแหล่งที่มาของโรค วิธีการติดต่อของโรค ตลอดจนแนวทางการควบคุมโรค ในการตั้งสมมติฐานนั้นผู้สอบสวนโรคควรคำนึงความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับโรค อาการ คมู่ อื การฝกึ ปฏิบัตโิ ครงการฝกึ ปฏิบตั ิงานภาคสนามชดุ วชิ าโครงการพฒั นาทกั ษะวิชาชีพปฏบิ ัตกิ ารฉกุ เฉนิ การแพทย์ ประจำปกี ารศกึ ษา ๒๕๖๓
๑๒๑ ทางคลินิก ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการระบาดวิทยาเชิงพรรณนาตลอดจนข้อมูลเชิงลึกอื่นๆ ทั้งนี้อาจพิจารณา ดำเนินการ ดงั นี้ ๑. ทบทวนความรู้เก่ียวกับโรค ๑.๑ เชือ้ โรค ๑.๒ แหล่งของเชือ้ โรค ๑.๓ กลไกการติดตอ่ ๑.๔ ลักษณะการเกดิ โรค ๑.๕ อาการทางคลนิ ิก ๑.๖ พยาธิกำเนิด ๑.๗ ปัจจัยเสีย่ ง ๒. ศกึ ษาอาการทางคลินิกและผลการตรวจทางหอ้ งปฏิบตั กิ าร ๒.๑ ทบทวนระเบยี นผู้ป่วย ๒.๒ ยนื ยันการป่วยทางหอ้ งปฏบิ ัตกิ าร ๒.๓ พิจารณาการตรวจเพิม่ เติม เชน่ การตรวจลายพิมพ์สารพนั ธกุ รรม ๒.๔ บรรยายความถี่ของอาการต่าง ๆ ในกลมุ่ ผู้ปว่ ย ๓. สมั ภาษณผ์ ปู้ ่วยและผ้ดู แู ล ๓.๑ แหล่งของโรคท่ีเปน็ ไปได้ ๓.๒ ขอ้ มลู เชิงลกึ เกีย่ วกบั การสัมผสั ปัจจัยเส่ยี ง ๓.๓ ความเหมือนและความแตกตา่ งระหวา่ งผปู้ ว่ ย ๔. ทบทวนระบาดวทิ ยาเชิงพรรณนา ๔.๑ พจิ ารณารูปแบบการเกดิ โรค ๔.๒ การกระจายตามภูมิประเทศ ๔.๓ ระยะฟกั ตัวของโรค ๔.๔ เหตกุ ารณท์ ี่เกิดในชว่ งทีม่ กี ารสมั ผสั ปจั จัยเสีย่ ง ๔.๕ ประชากรกล่มุ เสีย่ ง ๕. สังเคราะหค์ วามจริงตา่ ง ๆ โดยรวม ในการตัง้ สมมติฐานนัน้ ผูส้ อบสวนโรคควรมองหาลักษณะทีเ่ หมือนกันในกลุ่มผปู้ ว่ ย กลา่ วคือสบื หาปัจจัยที่มี ความสมั พนั ธ์กบั การเกิดโรคมากที่สุดนั่นเอง ขัน้ ตอนที่ ๗: ศึกษาระบาดวทิ ยาเชงิ วิเคราะหเ์ พอ่ื พสิ ูจนส์ มมติฐาน (Analytic Epidemiology) วิธกี ารทดสอบสมมติฐานใช้หลักการศกึ ษาระบาดวทิ ยาเชิงวเิ คราะห์ เพื่อวิเคราะห์ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งการ สัมผสั ปัจจยั ตา่ งๆ กบั การเกดิ โรค ในการสอบสวนโรคสามารถออกแบบการศกึ ษาได้ ๒แบบ คอื cohort study และ case-control study คูม่ อื การฝึกปฏบิ ัติโครงการฝกึ ปฏิบัติงานภาคสนามชดุ วชิ าโครงการพฒั นาทกั ษะวชิ าชีพปฏบิ ัตกิ ารฉกุ เฉนิ การแพทย์ ประจำปกี ารศกึ ษา ๒๕๖๓
๑๒๒ ๑. Cohort study การศึกษาแบบ cohort study เหมาะสมกับการระบาดที่มีขอบเขตไม่กว้าง รู้ขอบเขตประชากร ชัดเจน เช่นเกิดการระบาดโรคอาหารเป็นพิษในสถานพักพิงผู้ประสบภัยแห่งหนึ่ง หลังจากรับประทานอาหาร กลางวันซึ่งมีผู้นำมาบริจาค ในกรณีนี้ถ้าสามารถหารายชื่อผู้อาศัยในสถานพักพิงได้ทั้งหมดควรทำการ ศึกษาแบบ cohort study โดยการสอบถามทุกคนเกี่ยวกับชนิดของอาหารที่รับประทาน และการป่วยด้วยโรคอาหารเป็นพิษ หลงั จากน้นั ทำการวิเคราะห์อัตราการเกิดโรค (attack rate) ระหว่างกลมุ่ ทร่ี ับประทานอาหารแต่ละชนิด และกลุ่มท่ี ไมไ่ ด้รบั ประทานอาหารชนิดนั้นๆ แล้วหาความสัมพันธ์ระหวา่ งการรบั ประทานอาหารแตล่ ะชนดิ กับการป่วยด้วยโรค อาหารเปน็ พษิ โดยการคำนวณคา่ relative risk (RR) ดงั นี้ RR = attack rate (สัมผสั ) Attack rate (ไม่สมั ผสั ) ตัวอย่างเช่น attack rate ของกลมุ่ ท่ีรบั ประทานส้มตำมีคา่ เทา่ กับ ๕๐% และ attack rate ของกลมุ่ ที่ไม่ได้ รบั ประทานส้มตำมคี า่ เท่ากับ ๒๐ % RR = ๕๐% = ๒.๕ ๒๐% หมายความว่าผู้ที่รับประทานส้มตำมีความเสี่ยงต่อการป่วยเป็นโรคอาหารเป็นพิษ ๒.๕ เท่าของคนที่ไม่ได้ รับประทานส้มตำ ซ่ึงบ่งชวี้ า่ สม้ ตำเปน็ source of agent การตรวจสอบวธิ ีการปรุงอาหาร ตรวจสุขภาพผู้ปรุงอาหารและการตรวจตัวอย่างอาหารทางห้องปฏิบัตกิ าร อาจพบ agent ทเ่ี ปน็ สาเหตขุ องโรคอาหารเป็นพิษในการระบาดคร้ังน้ี ๒. Case-control study การศึกษาแบบ case-control study เหมาะกับการระบาดที่ไม่รู้ขอบเขตของประชากรแน่ชัดทำให้ ไมส่ ามารถคำนวณ attack rate ได้ การศกึ ษาแบบ case-control study จะเลอื กผูป้ ว่ ย (cases) มาจำนวนหน่ึงและผู้ไม่ป่วย (controls) มาใน อตั ราสว่ น cases:controls = ๑:๑ (หรือ ๑:๒, ๑:๓, ๑:๔) แลว้ แตค่ วามเหมาะสม ทำการสอบถามผปู้ ่วยและผู้ไม่ป่วย แต่ละคนเกี่ยวกบั ข้อมูลการสัมผัสปัจจยั เส่ียงตา่ งๆ และวิเคราะห์ความสมั พันธ์ระหว่างปัจจยั เส่ียงกบั การปว่ ยโดยทำ การคำนวณค่า odds ratio (OR) ดังแสดงในตารางที่ ๑ OR = a x d bxc OR = ๔๐ x ๔๖ = ๓.๘ ๔๘ x ๑๐ คูม่ อื การฝึกปฏบิ ตั โิ ครงการฝึกปฏิบตั งิ านภาคสนามชดุ วชิ าโครงการพัฒนาทกั ษะวชิ าชพี ปฏิบตั กิ ารฉกุ เฉนิ การแพทย์ ประจำปกี ารศึกษา ๒๕๖๓
๑๒๓ [หมายเหตุ:ขั้นตอนสุดท้ายของการทดสอบสมมติฐานคือการทดสอบนัยสำคัญของความสัมพันธ์ ที่พบปัจจุบันมีโปรแกรมทางสถิติที่ใช้คำนวณค่าRR และ OR พร้อมทั้งทดสอบนัยสำคัญทางสถิติที่ใช้ได้สะดวก เช่น โปรแกรม Epi info, SPSS เปน็ ต้น] ข้ันตอนที่ ๘: ศึกษาสภาพแวดล้อมและส่ิงประกอบอืน่ ๆ(Environmental study) การพิสูจน์สมมติฐานด้วยการศึกษาเชิงวิเคราะห์ตามที่กล่าวถึงในข้อที่ผ่านมานั้นใช้หลักเหตุผลโดยดูเรื่อง โอกาสของความเป็นไปได้ซึ่งต้องใช้ตัวเลขต่างๆ มาเปรียบเทียบ แต่จำเป็นต้องมีการศึกษาสภาพแวดล้อมเพื่อให้ เข้าใจว่าแหล่งแพร่โรคนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร ตัวอย่างเช่นการสอบสวนอหิวาตกโรคแห่งหนึ่ง ผู้ทำการศึกษาได้ไปดู สภาพจริงๆ ของแหลง่ จ่ายน้ำทหี่ นึง่ ที่พบวา่ มคี วามสัมพันธ์กับการป่วย แหล่งจา่ ยน้ำดงั กล่าวต้งั อยู่บนที่สูงของเมือง โดยขุดเปน็ บอ่ พกั นำ้ ทำหนา้ ทเี่ พียงจา่ ยน้ำไปยังหมบู่ ้านที่อยู่ต่ำลงไปโดยอาศัยแรงโน้มถว่ งทุกๆ วนั ทางเทศบาลจะสูบ น้ำจากบ่อบาดาลหลายบ่อที่อยู่ในตัวเมืองและสูบขึ้นไปพักยงั แหล่งจ่ายนี้ น้ำที่ใช้นี้ไม่ได้มกี ารใส่คลอรีนเพื่อฆ่าเชอ้ื โรคใดๆ แม้จะมีตัวอาคารสรา้ งคุมไวแ้ ต่ก็มีชอ่ งให้คนภายนอกปีนเข้าไปตักน้ำเองได้ ก่อนการระบาดสามวันปรากฏ ว่าไม่มีไฟฟ้าทำให้ระบบสูบน้ำไม่ทำงาน ชาวบ้านเมื่อขาดแคลนน้ำก็ช่วยตัวเองโดยการปีนเข้าไปตักน้ำในอาคารนี้ เอง และยังมีเด็กๆที่ถือโอกาสเข้าไปอาบน้ำในอาคารพักน้ำ จึงเป็นโอกาสที่น่าจะทำให้เชื้ออหิวาตกโรคจาก ผู้ปว่ ยบางรายลงไปปนเป้ือนในบ่อพักน้ำน้ี ชาวบา้ นที่อยู่ในระยะใกลก้ ับบ่อนย้ี ่อมมีโอกาสมากกว่าท่ีจะไปตักน้ำหรือ ใชน้ ำ้ จากบอ่ น้ี จงึ ทำใหเ้ ราเห็นอตั ราการปว่ ยทีส่ งู ในชาวบ้านทีอ่ าศยั ในละแวกใกล้ๆ มากกวา่ ชาวบ้านที่อยู่ไกลออกไป คณะผู้ศึกษายังได้ตักน้ำในบ่อนี้ส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการและได้พบว่าน้ำมีการปนเปื้อน Coliform bacteria สูง มากกว่าค่ามาตรฐานอันยนื ยนั ว่ามีการปนเปือ้ นของอุจจาระจริง ขน้ั ตอนท่ี ๙ กำหนดมาตรการควบคุมและปอ้ งกนั โรค วัตถุประสงค์หลักของการสอบสวนโรคระบาด คอื การหยุดยงั้ การแพร่กระจายของโรค และปอ้ งกันการเกิด โรคในอนาคต โดยหลักการแล้ว การควบคุมโรคควรมุ่งไปที่จุดอ่อนของห่วงโซ่การติดต่อ จากแหล่งของโรคไปยัง ประชากร ท้ังในระดับของเช้ือก่อโรค ประชากรเส่ยี ง และส่งิ แวดลอ้ ม ประสทิ ธิภาพของมาตรการควบคุมโรคจะช่วย สนับสนุนสมมตฐิ านเกี่ยวกบั แหลง่ ของโรคและการตดิ ต่ออีกดว้ ย หลักการควบคุมโรคโดยทัว่ ไปประกอบด้วย ๑. การควบคุมแหล่งของเชื้อโรค ได้แก่ การทำลายแหล่งของเชื้อ การแยกประชากร ที่ป่วยจากประชากรที่ ปกติ (การกักกันโรค) การทำลายเชอื้ โรคในแหลง่ ต่าง ๆ และการรักษาผูป้ ่วย เปน็ ต้น ๒. ขัดขวางห่วงโซ่ของการติดต่อ กล่าวคือ ควบคุมสิ่งแวดล้อมนั่นเอง ซึ่งอาจทำได้โดยใช้มาตรการรั กษา ความปลอดภยั ทางชีวภาพซึ่งครอบคลุมการทำลายแมลงหรือสัตว์นำโรค การป้องกันการสัมผัสวสั ดุอุปกรณ์ที่อาจติด เช้อื การจำกดั การเข้าออกของบุคลากร ตลอดจนการปรบั ปรงุ สขุ ลักษณะโดยทวั่ ไป ๓. สร้างภมู ติ ้านทานตอ่ โรค ในประชากรทมี่ คี วามเส่ียงโดยการทำวัคซนี หรือใช้สารเคมีป้องกนั โรค เปน็ ต้น ขน้ั ตอนที่ ๑๐ การรายงานผลการสอบสวนโรค ขั้นตอนนี้เป็นการสรุปสาเหตุ และให้ข้อเสนอแนะมาตรการควบคุมและป้องกันโรคที่เหมาะสมกับ สถานการณ์ระบาดที่เกิดขึ้น ซึ่งจากการสอบสวนโรคจะทำให้รู้ว่า การระบาดครั้งนี้เป็นโรคอะไร เกิดจากสาเหตุใด แหล่งโรคคืออะไร วิธีการถ่ายทอดโรคอย่างไร และประชากรกลุ่มเสี่ยงคือใครอยู่ที่ไหน ทำให้สามารถกำหนด มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคต่อไปได้อย่างเหมาะสมตามความพร้อมที่มีอยู่ เช่น ด้านความรู้และ ค่มู ือการฝึกปฏิบตั ิโครงการฝกึ ปฏิบัติงานภาคสนามชุดวิชาโครงการพฒั นาทกั ษะวชิ าชีพปฏิบัตกิ ารฉกุ เฉนิ การแพทย์ ประจำปกี ารศกึ ษา ๒๕๖๓
๑๒๔ เทคโนโลยที ใี่ ช้ในการควบคุมป้องกันโรค ท้งั น้กี ารควบคุมโรคอาจจะทำอยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ หรือหลายอย่างร่วมกันก็ได้ เช่น จะทำลายแหล่งโรคหรือ ป้องกันการถ่ายทอดโรคจากคนหน่ึงไปสู่อีกคนหน่ึง หรือ ใหก้ ารป้องกันกลุ่มเส่ียงไม่ให้ สัมผัสสาเหตุของโรคจากแหล่งโรค หรือทำทั้งหมดร่วมกัน ซึ่งการควบคุมโรคอาจจะดำเนินการได้ทันทีในระหว่าง การสอบสวน โดยที่ไม่ต้องรอผลการศึกษาทางระบาดวิทยาเพื่อทดสอบสมมติฐานเกี่ยวกับสาเหตุของโรคในการ ระบาดเพราะการดำเนนิ การศึกษาทางระบาดวิทยาอาจใช้เวลานาน ความลา่ ช้าในการควบคมุ ป้องกันการระบาดอาจ ทำให้โรคระบาดอย่างกว้างขวางและเกิดความเสียหายอย่างมาก การดำเนินการควบคุมและป้องกันการระบาดเร็ว เท่าไรจะช่วยลดความเสียหายได้มากขึ้นเท่านั้นการกำหนดมาตรการการควบคุมโรคควรทำสองส่วนคือ มาตรการ ควบคมุ การระบาดครั้งนี้ และมาตรการป้องกันเพอ่ื ไม่ให้เกิดการระบาดซ้ำในอนาคต เป็นหน้าที่สำคัญที่ผู้ทำการสอบสวนโรคต้องรีบเขยี นรายงานสรุปการสอบ สวนให้เรว็ ที่สดุ โดยรายงานการ สอบสวนโรคนั้นควรต้องประกอบด้วยองค์ประกอบหลักๆ คือ ความเป็นมาและวัตถุประสงค์ของการสอบสวน โรค วธิ ีการสอบสวน ผลการสอบสวนโรค และขอ้ สรุปพรอ้ มขอ้ เสนอแนะเพื่อการควบคุมและปอ้ งกันโรคต่อไป ซึ่ง สว่ นสุดท้ายนเี้ ป็นสว่ นท่ีสำคัญมากเพราะจะนำไปสู่การแก้ปญั หา รายงานสอบสวนโรคทดี่ จี ำเป็นตอ้ งให้ข้อ เสนอแนะ อย่างน้อยในประเดน็ -จะควบคมุ การระบาดในขณะนี้อย่างไร - จะป้องกันปัญหาในทำนองเดียวกันน้ใี นอนาคตได้อย่างไร - จะพัฒนาการเฝา้ ระวังโรคและการสอบสวนโรคใหด้ ีข้ึนไดอ้ ยา่ งไร ผลการสอบสวนโรคนัน้ จะมผี ้ใู ชป้ ระโยชนโ์ ดยตรงสามกลุม่ คอื ๑. กลุ่มผู้บริหารผู้มีหน้าที่ในการควบคุมโรค หรือผู้ที่ต้องพิจารณาข้อเสนอเอาไปดำเนินการโดยตรงเช่น เทศบาล หวั หน้าสำนักงานสาธารณสขุ จังหวดั หรอื ผวู้ า่ ราชการ หรอื ผ้นู ำชมุ ชน ท้งั น้จี ะไดม้ ีการระดมทรัพยากรเช่น คน หรืองบประมาณมาช่วย หรือช่วยกระจายข่าวให้ประชาชนที่เกี่ยวข้องได้รับทราบเพื่อระมัดระวังและป้องกัน ตนเอง โดยมากวิธีการนำเสนอมักใช้บันทึกรายงานโดยย่อและเอาผลสรุปท่ีสำคัญแตเ่ น้นเร่ืองบทสรุปและทางเลือก การแก้ปัญหา (ใครควรทำอะไร) ๒. กล่มุ เจ้าหนา้ ที่สาธารณสุขท่ีมหี นา้ ทีเ่ ฝ้าระวังและควบคุมโรคในชุมชนนั้นๆ เป็นการให้ข้อมูลและช่วย ทางดา้ นวชิ าการให้ปฏบิ ตั งิ านไดด้ ีขึ้น การนำเสนอมกั ใชใ้ นลกั ษณะการบรรยาย หรอื การนำเสนอแบบวชิ าการ หรอื การตพี ิมพ์บทความ จดุ เนน้ จะอยใู่ นเร่ืองวิธีการการสอบสวน ผล และวธิ กี ารควบคุม (ทำอยา่ งไร) ๓. กลุ่มประชาชนและชุมชนที่เกิดโรคหรือประชาชนทั่วไป มักอาศัยการแถลงข่าวและการให้สุขศึกษา แก่ประชาชน โดยเนน้ ในเร่อื งความเขา้ ใจท่ีถกู ตอ้ งไมต่ ่ืนตระหนกแต่ก็ไม่วางเฉยในการป้องกันตนเอง ค่มู ือการฝกึ ปฏบิ ตั ิโครงการฝกึ ปฏบิ ัติงานภาคสนามชดุ วชิ าโครงการพฒั นาทกั ษะวิชาชีพปฏบิ ตั กิ ารฉกุ เฉินการแพทย์ ประจำปีการศึกษา ๒๕๖๓
๑๒๕ บทสรปุ การสอบสวนการระบาดของโรคในภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขเป็นส่ิงท้าทายของนักสาธารณสุข เนื่องจาก ความเสียหายต่างๆที่เกิดขึ้นจากอุบัติภัย มักเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการสอบสวนโรค ขั้นตอนการสอบสวนการ ระบาดในภาวะฉุกเฉินไม่ต่างจากการสอบสวนโรคในภาวะปกติ ซึ่งท่านอาจารย์นายแพทย์ธวัช จายนียโยธิน ไดก้ รุณาแต่งบทกลอน เพอ่ื เปน็ แนวทางในภาคปฏบิ ัติ ไว้ดังนี้ เตรียมตวั ใหพ้ ร้อม นอ้ มรับเรือ่ งราว กรองข่าวให้ใส ไปที่เกดิ เหตุ สังเกตว่าจริง สง่ิ น้นั คอื อะไร ใครคือผู้ป่วย หาดว้ ยรายแรก แบง่ แยกสมั พนั ธ์ ต้งั ฐานสมมุติ พิสูจนโ์ ดยใช้ PLACE TIME PERSON อย่าเนิน่ แนะนำ อาจทำให้เห็น เขยี นเป็นรายงาน การสอบสวนการระบาดในภาวะฉุกเฉินจะชว่ ยให้สามารถกำหนดมาตรการควบคมุ และป้องกันโรคได้อย่างมี ประสิทธิภาพ ๑.การระบาด หมายถึง การเกดิ โรคในชุมชนท่มี ีความถี่ของการเกิดโรคมากกวา่ จำนวนความถขี่ องโรคในช่วง ระยะเวลาเดียวกัน แต่ในกรณีที่มีโรคติดต่ออันตราย ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นในชุมชนนั้นมาก่อน หรือเคยเกิดมานานแล้ว และกลับมาเป็นอีก ถึงแม้มีผู้ป่วยเพียง ๑ ราย ก็ถือว่าเป็นการระบาด เช่น โรคฝีดาษ ไข้ทรพิษ อีโบล่า ไข้เหลือง กาฬโรค และคุดทะราด ฯลฯ ๒.ผู้ป่วยที่สงสัย (Suspected case) หมายถึง ผู้ที่มีอาการตามเกณฑ์ทางคลินิก เช่น โรคไข้เลือดออก มีอาการไขเ้ ฉยี บพลัน และ Tourniquet test ใหผ้ ลบวก รว่ มกบั อาการอืน่ ๆ อย่างน้อย ๑ อาการตามเกณฑ์ ๓.ผู้ป่วยที่เข้าข่าย (Probable case) หมายถึง ผู้ที่มีอาการตามเกณฑ์ทางคลินิก และตามเกณฑ์ทาง ห้องปฏบิ ตั กิ ารทวั่ ไป อาจมีขอ้ มูลทางระบาดวิทยาเช่อื มโยงกบั ผูป้ ่วยท่ียืนยนั ผลหรอื มีประวัติการเดินทาง/อาศัยอยู่ใน พนื้ ทร่ี ะบาด ๔.ผู้ป่วยที่ยืนยันผล (Confirmed case) หมายถึง ผู้ที่มีอาการตามเกณฑ์ทางคลินิก และตามเกณฑ์ทาง ห้องปฏิบัติการจำเพาะเฉพาะเชือ้ ๕.ผสู้ มั ผสั โรค หมายถึง ผู้ท่ีมคี วามสัมพนั ธเ์ กีย่ วขอ้ งกับผปู้ ว่ ยทั้งภายในบา้ นเดยี วกนั (Household contact) และผสู้ ัมผัสในชุมชนเดียวกัน (Community contact) เชน่ เพอื่ นบา้ น เพ่อื นทท่ี ำงาน เพื่อนทีโ่ รงเรยี น เปน็ ต้น ๖.พาหะ (Carrier) หมายถึง คนหรือสัตว์ที่มีเชื้อโรคอยู่ในร่างกาย แต่ไม่มีอาการทางคลินิกให้เห็นและ สามารถแพร่กระจายเชื้อโรคไปสู่ผ้อู ่นื ได้ ๗.รังโรค(Reservoir of infection) หมายถึง คน สัตว์ สิ่งที่ไม่มีชีวิตใดๆ ก็ตามที่ยอมให้เชื้อโรคอาศัยและ แบ่งตัวงอกเพ่ิมเตมิ ข้นึ และสามารถจะกระจายเชอื้ โรคไปสบู่ คุ คลหรอื สัตว์ท่ีไมม่ ีความตา้ นทานโรค ๘.แหล่งโรค (Source of infection) หมายถึง คน สัตว์ พืช หรือสิ่งของต่างๆ ที่มีเชื้อโรคอยู่ แล้วสามารถ แพร่กระจายไปสู่บุคคลหรือสัตว์ที่ไม่มีความต้านทานโรคเช่น กรณีของโรคพิษสุนัขบ้านั้น น้ำลายเป็น Sourceof infection แต่สนุ ัขเปน็ Reservoir of infection ๙.ระยะพกั (Latent period) หมายถึง ระยะเวลาทเี่ ร่มิ ตดิ เชื้อจนกระทั่งสามารถเรมิ่ แพร่ได้ คูม่ ือการฝกึ ปฏบิ ัติโครงการฝกึ ปฏบิ ัตงิ านภาคสนามชดุ วชิ าโครงการพฒั นาทกั ษะวิชาชพี ปฏิบตั กิ ารฉกุ เฉนิ การแพทย์ ประจำปกี ารศกึ ษา ๒๕๖๓
๑๒๖ ๑๐.ระยะฟักตวั (Incubation period)หมายถงึ ระยะทไี่ ดร้ บั เช้ือเข้าไปในร่างกายแล้วจนถึงมีอาการป่วยของโรค ๑๑.ระยะติดต่อ (Communicable period)หมายถงึ ระยะเวลาท่ีเช้อื โรคสามารถกระจายทำใหม้ ีการติดต่อ จากคนหนง่ึ สูอ่ กี คนหนง่ึ หรอื จากคนสสู่ ัตวแ์ ละจากสัตว์สคู่ นได้ ๑๒.วิธกี ารถ่ายทอดโรค (Mode of transmission)หมายถงึ การแพร่ของเชื้อจากทีห่ นึ่งไปสทู่ ่ีหน่ึง หรือจาก คนหนึ่งไปสอู่ ีกคนหนง่ึ ซึ่งการถ่ายทอดโรคมี ๒ วิธี ๑๓. Direct transmission หมายถึง การติดเชื้อที่เกิดจาก การสัมผัสกับเชื้อโรคโดยทางตรง เช่น เพศสัมพนั ธ์ หรอื การไอ จาม (โดยมากไม่เกิน ๓ ฟตุ ) กระจายของนำ้ ลายเขา้ สู่ปาก จมกู ตา และเย่อื บุต่างๆ ๑๔. Indirect transmission หมายถึง การกระจายหรือการติดเชื้อทางอ้อมอาจเกิดจากเครื่องใช้ เสื้อผ้า เครือ่ งนุ่งห่ม ผา้ เชด็ หน้า ของเล่นเด็กแบง่ ได้ดงั น้ี ๑ Vehicle-borne contaminated material เชน่ การสัมผสั น้ำ อาหาร นม ตลอดจน นำ้ เหลืองของผ้ปู ว่ ย ๒. Vector-borne หมายถึง สัตว์ ทีเ่ ปน็ พาหะของโรค ไดแ้ ก่ แมลง หรอื สตั ว์ท่ีไม่มกี ระดกู สนั หลัง ทสี่ ามารถ นำโรคจากคน(สัตว์)ไปสู่คนหรือสตั วอ์ ่นื ไดโ้ ดยตรง ๒.๑) ทางกายภาพ(Mechanical) เป็นวธิ ีการตดิ ตอ่ ของเช้อื โรคท่ีตดิ ตามตวั ขา ปกี ปาก หรือ ออกมากับขี้แมลง โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่าง เช่น พยาธิบางชนิดที่แมลงกินเข้าไปแล้วติดต่อไปยังคน หรอื สตั ว์ ๒.๒) ทางชีวภาพ(Biological) เชื้อโรคมีการเจริญเปลี่ยนแปลงรูปร่าง หรือ แพร่พันธ์ในตัวของ แมลง กอ่ นท่จี ะตดิ ตอ่ ไปยังคนหรือสตั ว์อืน่ ๓. Air-borne หมายถึง การกระจายของโรคทางอากาศ และการหายใจ อาจอยใู่ นรูปของ ละอองขนาดใหญ่ droplet nuclei หรอื ฝนุ่ (dust) ๔. อัตราอุบตั กิ าร (Incidence Rate) เปน็ การวดั เฉพาะจำนวนผปู้ ่วยใหม่ (new cases) ของ ความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นในชุมชนใน “ช่วงเวลาหนึ่ง”(a period of time) ต่อจำนวนประชากรทั้งหมดของชุมชนที่ เสี่ยงต่อโรคในช่วงเวลาเดียวกัน คิดเป็นต่อ ๑,๐๐๐ หรือ ๑๐๐,๐๐๐ทำให้ทราบถึงโอกาสหรือความเสี่ยงของคนใน ชมุ ชนท่ีจะเกดิ โรคในชว่ งเวลาหน่งึ ๕.อตั ราความชกุ ของโรค (Prevalence Rate) เปน็ การวดั จำนวนผปู้ ว่ ยทกุ ราย (ทัง้ เก่าและ ใหม)่ ของความเจบ็ ป่วยท่เี กิดข้นึ ในชุมชนใน “ขณะเวลาหนึ่ง”(a point of time) หรอื ใน“ช่วงเวลาหน่ึง”(a period of time) ต่อจำนวนประชากรทั้งหมดหรือประชากรเฉลี่ยในกำหนดเวลาเดียวกันคิดเป็นต่อ ๑๐๐, ๑,๐๐๐ หรือ ๑๐๐,๐๐๐ ก็ได้ ทำให้ทราบขนาดของปัญหา ตัวอย่างเช่น Prevalence Rate ของพยาธิหนอนตัวกลม ในเด็ก ช้นั เรยี นหน่ึงเมื่อทำการตรวจในวนั จนั ทร์เปน็ ๒๕ ตอ่ ๑๐๐ ๖. อตั ราป่วย(Attack rate) คอื อุบัติการ (Incidence Rate)ซ่ึงมกั ใชก้ ับโรคติดเช้อื เฉยี บพลนั หรือเมื่อมกี ารระบาดของโรค มีหน่วยเป็น รอ้ ยละ ๗.อัตราตาย (Death Rate) เป็นการวัดจำนวนคนตายทั้งหมดด้วยทุกสาเหตุ ในชุมชนในช่วงเวลาหนึ่งต่อ จำนวนประชากรทั้งหมด/กลางปี ในช่วงเวลาเดียวกัน หรือ การวัดการตายด้วยลักษณะเฉพาะอย่าง เช่น กลุ่มอายุ เพศ และสาเหตุ ในกลมุ่ ประชากรท่กี ำหนด ในช่วงเวลาหน่ึง คูม่ ือการฝึกปฏบิ ัตโิ ครงการฝึกปฏิบัติงานภาคสนามชุดวิชาโครงการพฒั นาทกั ษะวิชาชีพปฏบิ ัตกิ ารฉกุ เฉนิ การแพทย์ ประจำปกี ารศึกษา ๒๕๖๓
๑๒๗ ๘.อัตราผู้ป่วยตาย (Case Fatality Rate) เป็นการวัดจำนวนผู้ที่ตายด้วยสาเหตุใดสาเหตุหนึ่ง ต่อจำนวน ผปู้ ่วยดว้ ยสาเหตุนน้ั มีหนว่ ยเป็นรอ้ ยละ ๙.การแยกกัก (Isolation) หมายถึง การแยกผู้ป่วยที่มีเชื้อโรคซึ่งอยู่ในระยะที่อาจจะถ่ายทอดเชื้อโรคไปยงั ผู้อื่น (คน สตั ว)์ ส่งผลใหเ้ ช้อื โรคนัน้ ไมส่ ามารถจะกระจายหรอื ก่อใหเ้ กิดการระบาดได้ ๑๐.การกักกัน (Quarantine)หมายถึง การคุมไว้สังเกต เช่น มีการกักกันผู้ที่ไปสัมผัสกับผู้ป่วยที่เป็น โรคตดิ ต่อ ด้วยเกรงว่าผนู้ ัน้ จะทำหน้าทเี่ ปน็ พาหะนำเชื้อโรคไปตดิ ต่อใหก้ บั บุคคลอื่นได้อกี ค่มู อื การฝกึ ปฏบิ ัตโิ ครงการฝึกปฏบิ ัติงานภาคสนามชุดวิชาโครงการพฒั นาทกั ษะวชิ าชีพปฏบิ ัตกิ ารฉกุ เฉนิ การแพทย์ ประจำปกี ารศึกษา ๒๕๖๓
๑๒๘ ๘. การวนิ จิ ฉัยชมุ ชน ชุมชนเป็นองค์กรทางสังคมองค์กรหนึ่ง ที่เกิดจากการรวมตัวของครอบครัว ด้วยเหตุผลที่ต้องพึ่งพากัน ชุมชนมีองค์ประกอบหลายประการทั้งด้านกายภาพ เคมี ชีวภาพ ตลอดจน ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม จึงทำให้ปัญหาที่เกิดในชุมชน มีลักษณะและสาเหตุที่แตกต่างกัน การแก้ปัญหาต้องอาศัยความร่วมมือของชุมชน ซึ่งจะเกิดขึ้นได้เมื่อชุมชนยอมรับ และตระหนักในปัญหานั้น ปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงระบบงานของสถานบริการ สาธารณสขุ โดยเน้นทค่ี ณุ คา่ ของการใหบ้ ริการในชุมชน ซ่ึงการดำเนินงานอนามยั ชุมชนไม่ว่าจะเป็นงานด้านใดก็ตาม สงิ่ แรกทจ่ี ะต้องดำเนนิ การคอื การศึกษาถึงสภาพปัญหาและความต้องการของชุมชนซง่ึ จะช่วยให้ทราบถึงขอ้ มูลต่างๆ องค์ประกอบและอุปสรรค เพื่อจะนำมาเป็นแนวทางในการวางแผนดำเนินงานอนามัยในชุมชนได้อย่างถูกต้อง ซึ่งนายแพทย์แมค เกรแวน (Dr. Mc.Gravan) เรียกการศึกษาชุมชนนี้ว่า การวินิจฉัยชุมชน (Community diagnosis) การวินิจฉัยชุมชน หมายถึง การประเมินสถานการณ์อนามัย (Health situation) ของชุมชน ท้ัง ในแงส่ ถานภาพอนามัย (Health status) ของประชากร บริการอนามัยตลอดจนปจั จัยท่ีมีผลต่อสถานการณ์น้ัน เช่น ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ ชีวภาพและสังคม ซึ่งรวมถึงลักษณะโครงสร้างทางสังคม ประชากร เศรษฐกิจ และการเมือง ทั้งนี้ เพื่อจะทราบถึงปัญหา และความต้องการด้านอนามัยอันจะเป็นแนวทางในการเรียงลำดับ ความสำคญั ของปัญหา การวางแผนงาน การควบคุมตดิ ตามงานและการประเมินผลงาน ๘.๑ ประเมินสภาวะอนามยั ของชุมชน นักสาธารณสุขผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในการดำเนินงานอนามัยในชุมชน จะต้องยึดหลักการที่สำคัญยิ่งว่าจะต้อง ประเมนิ สภาวะอนามัยของชมุ ชน หรือวนิ จิ ฉัยชมุ ชนก่อนทจี่ ะเร่ิมดำเนินงาน ซ่ึงมขี น้ั ตอนในการดำเนินงาน ดังน้ี ๘.๑.๑ สร้างสัมพันธภาพกับผู้นำชมุ ชน กรรมการต่างๆ ของชุมชนและประชาชน เพราะการมีส่วนร่วมของ ชุมชนเป็นหัวใจสำคัญในการศึกษาภาวะอนามัยของชุมชน ทำให้ประชาชนเข้าใจวัตถุประสงค์และยินดีให้ความ รว่ มมอื ๘.๑.๒. ทำแผนที่โดยสงั เขปของชมุ ชน เพ่อื จะไดท้ ราบถึงอาณาเขตและลกั ษณะของชมุ ชน ๘.๑.๓. การสำรวจและเกบ็ รวบรวมข้อมลู ๘.๑.๔. การจัดทำข้อมูล ประกอบดว้ ย ๘.๑.๔.๑ การวิเคราะห์ข้อมูล ๘.๑.๔.๒ การแปลผลขอ้ มูล ๘.๑.๔.๓ การสรปุ ผลข้อมลู ๘.๑.๔.๔ การนำเสนอข้อมลู ๘.๑.๕. การระบุปญั หาของอนามัยชมุ ชน ๘.๒ การทำแผนทโี่ ดยสงั เขป ๘.๒.๑ แผนที่ (Map) คือภาพจำลองหรือภาพย่อส่วนของพื้นภูมิประเทศในแนวราบที่จัดทำขึ้นด้วยเส้นสี เครื่องหมายต่างๆ ซึ่งใช้แทนของจริงที่ปรากฏอยู่บนพื้นผวิ โลก โดยให้มีความถูกต้องทั้งระยะทาง ทิศทางหรือแม้แต่ ความสงู ชันกส็ ามารถนำมาแสดงไวไ้ ด้ในแนวราบ คูม่ อื การฝึกปฏิบัตโิ ครงการฝึกปฏบิ ตั งิ านภาคสนามชุดวชิ าโครงการพัฒนาทกั ษะวิชาชพี ปฏบิ ัตกิ ารฉกุ เฉนิ การแพทย์ ประจำปีการศกึ ษา ๒๕๖๓
๑๒๙ ๘.๒.๒ แผนท่สี งั เขป คอื แผนที่ท่ีจดั ทำข้ึนอยา่ งไมล่ ะเอยี ดมากนัก เลอื กแสดงเฉพาะในส่งิ ที่เห็นว่าสำคัญและ เกี่ยวข้องตามที่ต้องการเท่านั้น การวัดระยะทางมักจะกระทำโดยการคาดคะเนเพื่อให้เกิดความถูกต้องใกล้เคียงกับ ความเป็นจริงเท่านั้น ไม่มีการหาระยะที่แท้จริงโดยการส่องกล้องวัดระยะหรือหามุมที่ควรจะเป็นโดยเครื่องมือทาง วิทยาศาสตร์การแผนท่ีโดยเฉพาะ ดังนั้น การจัดทำแผนที่สังเขปจึงจัดทำได้ง่ายและรวดเร็ว เพื่อกิจการเฉพาะอย่าง เพียงแต่ผู้จัดทำได้ พจิ ารณาหลกั เกณฑ์ใหญๆ่ เชน่ ขนาดส่วนย่อ รปู ทรง ลักษณะ ทศิ ทาง และความสมั พนั ธ์อืน่ ๆ นำมาแสดงไว้บนแผน ที่เพียงให้ผู้อ่านได้เข้าใจอย่างคร่าว ๆ เท่านั้น แต่การแสดงออกเป็นรูปของแผนที่สังเขปนั้น ผู้เขียนต้องมีไหวพริบ ศลิ ปะ ความสะอาด และความสวยงามด้วยเสมอ ๘.๒.๓ ประโยชน์ของแผนท่ี ๘.๒.๓.๑ ทำให้ทราบอาณาเขตของชมุ ชนภายใต้ความรบั ผดิ ชอบ ๘.๒.๓.๒ ทำให้ทราบถึงลักษณะพื้นที่ ภูมิประเทศของชุมชน ตลอดจนลักษณะเฉพาะที่จะช่วยให้ การวางแผนปฏิบัติงาน ๘.๒.๓.๓ แสดงถงึ อาณาเขตปฏบิ ตั ิงาน ๘.๒.๔ องค์ประกอบของแผนที่ แผนที่ที่ดีจะต้องมีสิ่งต่างๆ อันเป็นองค์ประกอบท่ีสำคญั ๆ ไว้อย่างครบถ้วน บริบูรณ์ จะทำให้ผู้อ่านหรือผู้ใช้อ่าน หรือใช้แผนที่เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง และเข้าใจได้โดยง่าย องค์ประกอบท่ี สำคัญของแผนท่คี อื ๘.๒.๔.๑ ชื่อของแผนที่ เป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องบอกไว้อย่างชัดเจนว่าเป็นแผนที่อะไร หรือแผนที่ ของท้องถิ่นไหน นิยมบอกไว้ส่วนชนของแผนที่ หรือทำเป็นกรอบแสดงไว้ในแผนที่นั้น เพื่อให้ผู้อ่านแผนที่มองเห็น และทราบว่าเป็นแผนท่อี ะไร หรือช่อื ของสถานที่ ๘.๒.๔.๒ ทิศทาง (Direction) หรือทิศ เป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องบอกไว้ในแผนที่ให้ถูกต้องตามแนว ของทิศที่จำเป็นจริงในภูมิประเทศ มิฉะนั้นแล้วผู้อ่านหรือผู้ใช้แผนที่จะไม่ทราบว่าควรจะหันทิศทาง หรือแนวท่ี ต้องการไปในทางใด ถ้าขาดทิศเสียแล้วผู้ใช้แผนที่จะไม่สามารถกำหนดจุดหมายได้ถูกต้องเลย ดังนั้นแผนที่ทุกฉบับ จะต้องแสดงทศิ กำกบั ไวด้ ว้ ยเสมอ โดยท่วั ไปแลว้ จะยดึ ถือ “ทศิ เหนือ” เปน็ หลัก ๘.๒.๔.๓ มาตราส่วน (Scale) มาตราส่วนหรือความจริงก็คอื อัตราสว่ นน่ันเอง มาตราสว่ นในแผนท่ี ก็คือ อัตราส่วนของระยะทางหรือความยาวของเส้นบนกระดาษแผนที่เทียบส่วนกับระยะทางที่เป็นจริงในพื้นภูมิ ประเทศ มาตราส่วนแผนที่ = ระยะความยาวของเส้นบนพ้นื ที่ (มหี นว่ ยความยาวอยา่ งเดยี วกนั ) ระยะความยาวของพ้ืนภูมิประเทศ เนื่องจากกระดาษที่เขียนแผนที่มีขนาดจำกัดทั้งทางกว้างและทางยาว เล็กกว่าพื้นที่เป็นจริง จึง จำเป็นจะต้องย่อส่วนของพื้นภูมิประเทศลงมาให้มีขนาดขอเหมาะกับหน้ากระดาษ การย่อส่วนให้เล็กลงนั้นจำเป็น จะต้องใช้อัตราขนาดย่อให้เล็กลงอย่างสม่ำเสมอ โดยแผนที่แผ่นเดียวกันจะต้องใช้มาตราส่วนเดียวกันเสมอและ มาตราส่วนที่จะใช้จะต้องบอกไว้อย่างชัดเจน เพื่อให้ผู้ใช้หรือผู้อ่านแผนที่ได้ทราบขนาดเพื่อที่จะได้ประมาณความ เป็นจรงิ ในพื้นภมู ปิ ระเทศไดอ้ ย่างถกู ต้อง ค่มู ือการฝกึ ปฏิบัติโครงการฝึกปฏิบัตงิ านภาคสนามชดุ วิชาโครงการพฒั นาทกั ษะวชิ าชีพปฏิบตั กิ ารฉกุ เฉินการแพทย์ ประจำปีการศกึ ษา ๒๕๖๓
๑๓๐ ในการจัดทำแผนท่ีในท้องทจี่ รงิ ๆ จะพบว่าพ้ืนภูมิประเทศมีขนาดกว้างขวาง ซึ่งผทู้ ำคนเดียวอาจจะ ไม่สามารถทำได้เสร็จในเวลาอันรวดเร็วตามที่ต้องการหรือเวลาที่กำหนดไว้ได้ ถ้ามีผู้จัดทำหลายๆ คนช่วยกันก็ สามารถทำไดร้ วดเรว็ ขน้ึ โดยการใชม้ าตราส่วนเป็นเครื่องกำหนด คือ จดั แบง่ กลมุ่ คนจดั ทำออกเป็นหน่วยย่อย (หรือ คนเดียว) แบ่งแยกกันสำรวจพื้นที่ไม่ให้ซ้ำกัน โดยกระจายบุคคลออกให้ทั่วบริเวณของพื้นที่ที่จะจัดทำแผนที่สังเขป ให้แต่ละกลุ่มหรือแต่ละคนใช้การสำรวจจำทำแผนที่อย่างคร่าวๆ ให้อยู่ในมาตราส่วนอย่างเดียวกัน เสร็จแล้วให้ นำเอาแผนที่ที่แต่ละกลุ่มได้ทำขึ้นน้ันมาต่อกันให้ตรงตามทิศทาง แต่เนื่องจากมาตราส่วนเท่ากันทุกชิ้น การต่อกันจึง เปน็ ไปได้อย่างเรียบรอ้ ยเหมือนแผนทีน่ ั้นไดถ้ ูกทำขึน้ จากคนๆ เดียวซงึ่ จะตบแตง่ ภายหลังใหส้ วยงามข้ึนนัน้ ย่อมจะทำ ไดส้ ะดวกขนึ้ ๘.๒.๔.๔ ระยะทาง (Distance) การวัดระยะทางโดยทั่วไปก็ต้องใช้เครื่องมือวัด เช่น เมตร ก.ม. ในแผนที่ที่ก็ใช้วัดเป็นหน่วยของไม้บรรทัด ในขณะที่จะทำแผนที่นั้นถ้ามีเครื่องมืออยู่พร้อม ก็ไม่เป็นปัญหาที่จะหา ระยะทางในพื้นภูมิประเทศจริง แต่การทำแผนที่สังเขป ซึ่งไม่มีความละเอียดมากนัก ผู้ทำมักจะไม่มีเครื่องมือพร้อม การวัดระยะทางมักจะทำโดยการคาดคะเนระยะทางให้ใกล้เคียงความจริงด้วยการประมาทหรือใช้ความชำนาญใน การคาดคะเน ซงึ่ ผู้ทำจะต้องมีประสบการณ์พบสมควรจงึ จะได้ระยะทางทใี่ กลเ้ คียงความเปน็ จริง แต่ที่สามารถปฏิบัติ ได้โดยไม่มีเครื่องมือก็คือ การเดินนับก้าว แล้วใช้ความยาวของแต่ละก้าวมาคำนวณเป็นความยาวของระยะทา ง ก็ ได้ผลดีใกล้เคียงความเป็นจริงมีความผิดพลาดน้อยกว่าการประมาณด้วยสายตา ก่อนจะนับก้าวจะต้องวัดความยาว ของกา้ วโดยเฉล่ยี ไวก้ อ่ นแล้วจงึ นำมาคำนวณภายหลงั ๘.๒.๔.๕ เคร่ืองหมายต่างๆ คือสง่ิ ทีใ่ ชแ้ ทนสง่ิ ของตา่ งๆ ท่ีปรากฏอยูใ่ นภูมิประเทศ อาจประกอบไป ด้วยเส้น สี รูปภาพ ตัวอักษร เส้นเครื่องหมาย ภาพจำลอง ขนาดย่อต่างๆ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ทำขึ้นเพื่อให้เกิดความ เข้าใจอันดีระหว่างผู้เขียนและผู้อ่านแผนที่ เพราะการที่จะนำเอาทุกอย่างที่ปรากฎบนพื้นโลกมาแสดงบนแผนที่ ทั้งหมดย่อมจะทำไม่ได้ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องใช้เครื่องหมายแทน เครื่องหมายที่ใช้บางชนิดยดึ ถือแบบสากล เมื่อเห็น เครอื่ งหมายแล้วใชแ้ ทนคำอธิบายได้ เครื่องหมายทีน่ ยิ มใช้มดี งั น้ี ๑) เส้นเครื่องหมาย แบ่งได้ดังนี้ ๑. เส้นเคร่ืองหมายแผนท่ที ่ถี ูกต้องทางดา้ นกว้างและด้านยาว เช่น อาณาเขต อาคารที่พัก อาศัย แมน่ ำ้ ฯลฯ มักใช้แผนทีข่ นาดใหญ่ ๒. เส้นเครื่องหมายแผนที่ที่ถูกต้องเฉพาะทางยาวมักใช้กับแผนที่ขนาดเล็ก เช่น ทางคนเดนิ ทางเกวยี น ทางรถไฟ ฯลฯ ๓. เส้นเครื่องหมายแผนที่ที่ไม่ถูกขนาดมักใช้กับแผนที่ขนาดเล็ก เช่น แผนที่แสดงที่ตั้ง บา้ นเรอื นในท้องถ่นิ สถานท่ีทำการ และรูปเครอื่ งหมายยอ่ ตา่ งๆ ๒) สีท่นี ยิ มใชแ้ สดงในแผนที่ แบง่ ไดด้ ังนี้ ๑. สิ่งที่เกิดขึ้นโดยการกระทำของมนุษย์ เช่น ทางรถไฟ ถนน อำเภอ บ้านเรือน มักจะ นิยมแสดงออกดว้ ยสี หรอื เสน้ สี ดำ แดง ๒. ส่งิ ทเ่ี ป็นน้ำ เชน่ แมน่ ำ้ ลำคลอง บึง ทะเล มักใช้สฟี า้ หรอื สีน้ำเงิน ค่มู ือการฝึกปฏิบัติโครงการฝึกปฏิบัตงิ านภาคสนามชุดวิชาโครงการพฒั นาทกั ษะวชิ าชีพปฏบิ ัตกิ ารฉกุ เฉินการแพทย์ ประจำปีการศกึ ษา ๒๕๖๓
๑๓๑ ๓. สิ่งท่ีสูงกว่าระดับราบปกติ เช่น ภูเขา เนิน มักใช้เส้นแสดงความสูงด้วยสีน้ำตาลหรือ การแลเงาสีดำ หรอื นำ้ ตาล ๔. ส่งิ ท่ีเปน็ พวกพชื พันธุ์ เชน่ ทุ่งหญา้ ป่าไม้ ต้นไม้ มักใช้สีเขียว ๓) ตวั อกั ษรทเ่ี ขยี นลงบนแผนที่ มแี บบการเขยี นดงั นี้ ๑. ชอ่ื แผนที่ ขอ้ ความบางอย่างในแผนที่ นิยมเขียนให้หัวของตัวอักษรหนั ไปทางทิศเหนือ หรือทางหวั กระดาษโดยเฉพาะแผนท่ีท่ไี มไ่ ด้แสดงทิศไวใ้ ห้ปรากฎกม็ ักจะถือเอาหวั ตัวอกั ษรเปน็ ทศิ เหนือ ๒. อักษรกำกับภาพขนาดเล็ก เช่น ชื่อ ถนน ชื่อซอย มักจะเขียนตัวอักษรตรงและวางไป ตามแนวของความยาว คล้ายกับว่าแนวนั้นเป็นเส้นบรรทัด ในกรณีนี้หัวอักษรไม่ต้องหันไปทางทิศ เหนอื แต่ช่ือแม่น้ำลำคลองมกั เขียนดว้ ยตัวอักษรเอนหรอื โยห้ ลัง ๔) วัน เดือน ปี จะต้องเขียน วันที่ เดือน ปี ที่ทำแผนที่กำกับไว้ด้วย เพราะว่าระยะเวลาผ่านไป ส่วนประกอบภายในชุมชนอาจเปล่ียนแปลงไป ๕) ชื่อผู้ทำแผนที่ ควรจะเขียนไว้ด้วย เพื่อผู้ใช้หรือผู้อ่านแผนที่สงสัย และต้องการรายละเอียด เพ่มิ เติมจะได้สามารถตดิ ตอ่ ขอข้อมลู ได้ ๖) คำอธิบายเครอ่ื งหมายในแผนที่ มกั จะเขียนไวท้ ่มี ุมของแผนท่ี เพื่อใหผ้ ูอ้ า่ นเขา้ ใจ ๘.๒.๕ การทำแผนที่สังเขป การจัดทำแผนที่สังเขปหมายถึงการจัดทำแผนที่อย่างคร่าวๆ ที่ขั้นตอนในการ ปฏิบตั ิดังนี้ ๘.๒.๕.๑ การสำรวจ ผู้ทำแผนที่ควรจะได้เดินสำรวจข้อเท็จจริงที่มีอยู่ในพื้นภูมิประเทศอย่าง คร่าวๆ เสียก่อนแล้วจึงเริ่มเขียนแผนที่อย่างหยาบๆ บรรจุข้อเท็จจริงที่ต้องการไว้ตามความเหมาะสมด้วยการ คาดคะเนระยะทางด้วยสายตา ใหไ้ ดล้ กั ษณะและทศิ ทางใกลเ้ คียงและเหมาะสมกบั หน้ากระดาษท่ีใช้ ๘.๒.๕.๒ การหาระยะทาง ควรเริ่มจากจุดต่างๆ จากจุดหนึ่งถึงอีกจุดหนึ่งด้วย การวัดหรือการนบั ก้าวหาความยาวทเ่ี ปน็ จริง แลว้ จดบนั ทึกระยะทางนัน้ ๆ ลงไปในแผนท่เี พอ่ื รอการดัดแปลงให้ได้มาตราส่วนภายหลงั ๘.๒.๕.๓ การสังเกตลักษณะสิ่งแวดล้อมต่างๆ โดยผู้สำรวจเพื่อทำแผนที่จะต้องสังเกตว่ามี สิ่งแวดล้อมที่เดินผ่านไปนั้นอะไรบ้างที่ต้องการนำลงในแผนที่ ก็จดบันทึกสิ่งแวดล้อมเหล่านั้นลงไปด้วยข้อความ รปู ภาพหรือเคร่ืองหมาย ฯลฯ เพื่อจัดเตรยี มไวส้ ำหรับการทำโดยละเอยี ดในภายหลัง ๘.๒.๕.๔ นำเอาแผนที่หยาบๆ ที่ได้จากข้อ ๑ – ๒ มาทำการคัดลอกและย่อส่วนตามขนาดของ มาตราท่จี ะใช้ให้เกดิ ความเหมาะสมกับหน้ากระดาษ พรอ้ มทัง้ ปรบั ปรุงส่งิ คลาดเคลอื่ นต่างๆ ให้ถกู ตอ้ งและเหมาะสม ดียิ่งขึ้นคำนึงถึงหลกั วิชา ความสะอาดและศิลปะสิ่งใดทีเ่ หน็ ว่าไม่เหมาะสมก็ไม่จำเป็นจะต้องนำมาแสดงไว้ ถึงแม้ว่า สิ่งนน้ั จะมอี ย่จู รงิ ๆ ในพื้นภูมิประเทศ ส่ิงใดกต็ อ้ งการเน้นเพ่อื ให้เกดิ ความเดน่ ชัดกส็ ามารถใชเ้ ส้นและสีทำใหเ้ ดน่ และ ถูกต้องตามความหมายของวชิ าแผนท่ี ๘.๓ การเก็บรวบรวมขอ้ มลู ในการศึกษาหาความจริงใด ๆ ก็ตาม จำเป็นต้องนำขอ้ เทจ็ จรงิ หรือรายละเอียดต่างๆ มาใช้เป็นข้ออ้างอิงใน การให้เหตุผลเพื่อสรุปผลการวินจิ ฉัยชุมชนก็เช่นเดียวกัน จำเป็นจะต้องสำรวจข้อเท็จจริงเหล่าน้ีเพื่อประเมินปัญหา ทางสุขภาพของชุมชน คมู่ อื การฝกึ ปฏบิ ัตโิ ครงการฝกึ ปฏบิ ัติงานภาคสนามชุดวชิ าโครงการพัฒนาทกั ษะวิชาชพี ปฏบิ ัตกิ ารฉกุ เฉินการแพทย์ ประจำปีการศกึ ษา ๒๕๖๓
๑๓๒ เครื่องมือในการรวบรวมข้อมูล การที่จะได้ข้อมูลเพื่อนำมาวิเคราะห์ แปลผลและสรุปผลนั้น จะต้องมี เครือ่ งมือสำหรับเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู เครอื่ งมอื ที่ใช้กันอยา่ งแพรห่ ลายมดี งั นี้ ๘.๓.๑ การสงั เกต (Observation) ๘.๓.๒ การสัมภาษณ์ (Interview) ๘.๓.๓ แบบสอบถาม (Questionaire) ๘.๓.๔ แบบทดสอบ (Test) ๘.๓.๕ ขอ้ มลู จากรายงานและสถติ ิตา่ งๆ(Record and ststistics) ๘.๓.๑ การสังเกต เป็นวิธีการหาข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลหรือปรากฎการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นปกติวิสัยหรือ เกิดขน้ึ ทันทีทนั ใดเป็นพิเศษโดยอาศัยประสาทสัมผสั ของผสู้ งั เกตเป็นหลกั การสังเกตโดยท่ัวไปมี ๒ ชนดิ คอื ๘.๓.๑.๑ การสงั เกตโดยผสู้ ังเกตไม่ได้มสี ่วนร่วมในการกระทำกจิ กรรมนน้ั ๆ ไดแ้ ก่ ๑) การสงั เกตโดยการใช้แบบฟอร์มที่เตรียมไว้ เป็นการสงั เกตการปฏิบัติท่ีถูกควบคุมและ มขี อบเขตจำกดั ๒) การสังเกตโดยไม่ใช้แบบฟอร์ม ผู้สังเกตสามารถดำเนินการได้อย่างเสรีมีขอบเขต กว้างๆ ส่วนมากผู้สังเกตจะมีความสามารถ ความชำนาญในการแปลความหมายของพฤติกรรมท่ี สังเกตเปน็ อยา่ งดี ๘.๓.๑.๒ การสังเกตโดยผ้สู งั เกตเขา้ ไปมีสว่ นร่วมในกจิ กรรม เชน่ การประชมุ กลุม่ เป็นต้น ๘.๓.๑.๓ หลกั ของการสงั เกตท่ดี ี จะต้องพิจารณาถงึ ๑) ศกึ ษาถึงสงิ่ ที่ตอ้ งสังเกต ลว่ งหนา้ ก่อนวา่ ปรากฏการณอ์ ะไรทค่ี วรสังเกตและควรสังเกต ในเวลาใด ๒) ความสอดคล้องระหวา่ งประเดน็ ท่ีสงั เกตกับประเด็นท่เี ป็นปัญหา ๓) กำหนดวิธีบันทึกไว้ล่วงหน้าให้สอดคล้องกับปรากฏการณ์ที่สังเกต และต้องบันทึก รายละเอยี ดใหต้ รงกบั ปรากฏการณ์ ๔) ระมัดระวังในการแปลความหมายของปรากฏการณ์ เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริง อย่านำ ปรากฏการณท์ ่ีไม่เกย่ี วข้องมาสงั เกตร่วมด้วย พยายามหลีกเล่ยี งอคติ ๕) ความชำนาญในการใช้เครือ่ งมอื บันทึกผลการสงั เกต ๘.๓.๒ การสัมภาษณ์ เป็นวิธีรวบรวมข้อมลู ท่นี ิยมใชก้ นั มาก การปฏิบตั งิ านในชมุ ชนมีความจำเป็นจะต้องรู้ ความจริงในด้านประชาชนให้มากที่สุด ข้อมูลประเภทที่จำเป็นต่อการดำเนินงานจะได้มาด้วยการสัมภาษณ์เท่านั้น ผู้คน้ หาขอ้ มลู จงึ ตอ้ งเขา้ ใจหลกั และวิธกี ารสัมภาษณ์ การสัมภาษณ์ (Interview) หมายถึงขบวนการของการสนทนาระหว่างผู้สัมภาษณ์ (Interviewer) และผู้ถูก สัมภาษณ์ (Interviewee) เป็นการสนทนาอย่างมีจุดมุ่งหมาย เพื่อค้นหาข้อมูลหรือข้อเท็จจริงบางอย่างเป็น ขบวนการทม่ี ีคนอย่างน้อย ๒ คน เผชญิ หน้ากัน อาจจะรจู้ กั กนั มากอ่ นหรือไม่เคยรูจ้ ักกันมาก่อนเลยก็ไดเ้ ลย คูม่ ือการฝกึ ปฏบิ ตั โิ ครงการฝึกปฏิบตั ิงานภาคสนามชดุ วิชาโครงการพัฒนาทกั ษะวิชาชีพปฏบิ ตั กิ ารฉกุ เฉนิ การแพทย์ ประจำปีการศกึ ษา ๒๕๖๓
๑๓๓ การสัมภาษณ์ หมายถึง การค้นหาข้อเท็จจริงแบบเผชิญหน้า โดยผู้สัมภาษณ์จะเข้าไปติดต่อกับผู้ถูก สัมภาษณ์โดยตรง เพื่อซักถามปัญหาต่างๆ ให้ได้ข้อมูลตามต้องการอาจใช้แบบ สอบถามเป็นคู่มือ หรือใช้คำพูดของ ตนเองกไ็ ด้ แต่ใหไ้ ดข้ อ้ ตามตอ้ งการ ๘.๓.๒.๑ ชนิดของการสัมภาษณ์ แบง่ เปน็ ๒ ชนดิ คอื ๑) การสัมภาษณ์อย่างมีแบบแผน (Structure interview) เป็นการสัมภาษณ์ที่มี แบบสอบถามสรา้ งไว้แล้ว โดยจะเปน็ คำถามแบบเปิด คือให้โอกาสตอบโดยเลือกคำตอบที่เราเสนอ ไว้ใหห้ รือคำถามแบบเปิด คอื ใหต้ อบ ตามความคิดเห็นอย่างเสรี ๒) การสัมภาษณ์อย่างไม่มีแบบแผน (Unstructure interview) เป็นการสัมภาษณ์ ที่คำถามเปล่ียนไดต้ ามความเหมาะสมเพ่ือให้ได้ข้อมูลตามตอ้ งการ ๘.๓.๒.๒ หลักทัว่ ไปในการสมั ภาษณ์ โดยใช้แบบสอบถาม ๑) การเตรียมตัวก่อนการสัมภาษณ์ ต้องทำความเข้าใจแบบสอบถามให้แจม่ แจ้ง คือ ต้อง เข้าใจคำถามทุกข้อ และคำตอบประเภทต่างๆ ตรวจดูชนิดและจำนวนแบบฟอรม์ ให้พอกับจำนวนท่ีไดร้ บั มอบหมาย ให้เข้าสัมภาษณ์ศึกษาความเป็นอยู่ทางเศรษฐกิจสังคมของชุมชนก่อนเพื่อช่วยในการซักถามรายละเอียดต่างๆ และ ช่วยให้เขา้ ใจคำตอบได้ดี ถา้ ไม่คุ้นเคยกับผถู้ ูกสมั ภาษณ์ เพียงพอควรใหบ้ คุ คลเหลา่ นี้ เชน่ กำนนั ผใู้ หญ่ บ้าน ครู หรอื เจา้ หนา้ ท่อี ่นื เป็นผูน้ ำสอบถาม การแต่งกาย ไม่ควรแต่งกายให้ผิดแปลกจากผู้ถูกสัมภาษณ์มาก ใช้สีเรียบๆ สะอาด เรียบร้อยพอควร ทำให้เกิดความเป็นกันเองได้ง่ายขึ้น การใช้เครื่องแบบเลือกให้เหมาะสม เพราะบางแห่งใช้แล้ว ได้ผลดี บางแห่งเปน็ อันตรายได้ ๒) การดำเนินการสัมภาษณ์ แบง่ เปน็ ๑.ขั้นเริ่มต้นการสัมภาษณ์ ทำให้ผู้ถูกสัมภาษณ์เกิดความรู้สึกเป็นกันเอง มีความนับถือ และไวว้ างใจ มหี ลักปฏบิ ตั ดิ ังนี้คอื การเลือกสถานที่สัมภาษณ์ ควรเลือกสถานท่ีสงบเงียบไม่พลุกพล่าน ควรอยู่ตามลำพังกับ ผูถ้ กู สัมภาษณ์ และมสี ามีหรือภรรยาอยู่ดว้ ย ตอ้ งแนะนำตวั เองและอธิบายจดุ ม่งุ หมายของการสมั ภาษณ์ให้ชดั เจน ดกู าลเทสะในการสัมภาษณค์ วรใช้เวลาเล็กนอ้ ยในการสนทนาเรือ่ งที่เขาสนใจ ๒.ขั้นสัมภาษณ์ตามแบบสอบถาม เมื่อสร้างความคุ้นเคยแล้วดำเนินการสอบถามโดยทำ ให้เขารู้สกึ วา่ ไม่ไดเ้ คี่ยวเขญ็ เอาคำตอบ ให้ตอบตามความคิดเห็นของเขาจริงๆ แต่ต้องให้ได้คำตอบ ในเรือ่ งที่เราตอ้ งการดว้ ย ไม่ใช้คำถามนำหรือแสดงอาการใดทีจ่ ะช้ีช่องคำตอบใหผ้ ู้ตอบรูล้ ว่ งหน้า เช่น เมื่อมีคำตอบ หลายขอ้ ต้องอา่ นทกุ ขอ้ เพื่อจะไดเ้ ลือกตอบ ทำใหเ้ ขารสู้ กึ ว่าการสำรวจครั้งนส้ี ำคัญมาก และคำตอบทุกข้อมีความหมายในการสำรวจมาก ลักษณะและสีหน้าท่าทาง ควรเป็นไปอย่างธรรมชาติไม่ดัดแปลง เสแสร้งแกล้งทำ ทำให้เขาเกิดความห่างเหินไมเ่ ป็นกนั เอง คู่มือการฝกึ ปฏบิ ตั ิโครงการฝึกปฏิบตั งิ านภาคสนามชุดวชิ าโครงการพัฒนาทกั ษะวิชาชพี ปฏิบัตกิ ารฉกุ เฉนิ การแพทย์ ประจำปีการศกึ ษา ๒๕๖๓
๑๓๔ ระวงั คำพูดและภาษาทีใ่ ช้ อย่าทำใหเ้ ขาเห็นวา่ เป็นการลอ้ เลยี นภาษาเขา ทำตวั ให้เปน็ ผฟู้ งั ทีด่ ี ให้คำแนะนำทีเ่ หมาะสมเมอ่ื เขาขอปรึกษา ถ้าหากใช้เวลานาน ต้องหาวิธีพักโดยแทรกเรื่องเบาๆ เป็นการผ่อนคลายความตึงเครียด หรือเปลี่ยนอิริยาบถ อย่าแสดงตัวว่าเป็นคนใกล้ชิดใคร หรือพรรคพวกของใครเป็นพิเศษ เพราะจะทำให้เกิด ความระแวงได้ หากผู้ถกู สมั ภาษณแ์ บง่ เป็นหลายพวก ไม่ควรอธิบายคำถามในแบบสอบถามนอกจากจำเป็นจริงๆ เพราะอาจจะเป็นการชี้ช่อง คำตอบให้ใช้คำถามที่มีไว้ในแบบฟอร์ม ถ้าผู้ตอบไม่เข้าใจให้ทบทวนใหม่อีกครั้ง ถ้ายังไม่เข้าใจให้ พยายามหาคำพดู ง่ายๆ มาอธิบายโดยยึดวัตถุประสงคเ์ ดิม ตอ้ งถามทกุ ขอ้ ยกเว้นขอ้ ใดทส่ี ังเกตเห็นเองได้ คำถามเรื่องส่วนตัว เรื่องที่เป็นปมด้อยหรือเรื่องที่เสียผลประโยชน์ต้องระวังไม่ให้เขาเกิด ความรู้สึกว่าเปน็ การถามเพื่อลองภมู หิ รอื เกดิ ความอาย การสัมภาษณไ์ มค่ วรเรง่ รัดคำตอบ เพราะทำให้ไดข้อมูลคาดเคล่ือน คำถามท่ีได้คำตอบไมช่ ัดเจนควรผา่ นไปก่อนแลว้ นำมาถามทีหลงั ๓) การจดบนั ทึกคำตอบในแบบสอบถาม การสัมภาษณ์โดยใช้แบบสอบถาม ซึ่งมีคำตอบหมายข้อ หลายประการ และยืดยาว ควร จดบนั ทึกทนั ที่ท่ไี ด้รับคำตอบ เพราะถา้ จดภายหลงั จะทำใหค้ ำตอบผิดจากความจรงิ ได้ คำถามแบบเปดิ ตอ้ งจดบนั ทกึ ตามถ้อยคำทผี่ ู้ถูกสัมภาษณใ์ หม้ า เมื่อผู้ถกู สัมภาษณไ์ มย่ อมตอบ ควรบนั ทึกเหตผุ ลลงไปดว้ ยไม่ว่างไวเ้ ฉยๆ ตรวจทบทวนให้เรียบร้อย ก่อนสง่ ข้อมูลไปรวบรวมผล ๔) การปดิ การสัมภาษณ์ เมือ่ เสร็จแล้วตอ้ งกลา่ วคำขอบคณุ ที่ให้ความร่วมมือและย้ำว่าความสำเรจ็ ในการสำรวจครั้ง น้ขี น้ึ กับเขา ทำให้เขามคี วามภูมิใจ สบายใจและตอ้ งการให้การต้อนรบั อกี ๘.๓.๓ แบบสอบถาม เปน็ เครื่องมอื ท่นี ิยมใช้กันมากในการรวบรวมข้อมูลท่เี ก่ียวข้องกับความคิดเห็นความ สนใจหรอื ทัศนคติ ซ่งึ อาจจะใช้ได้ท้งั วธิ สี ่งใหผ้ ตู้ อบ ตอบหรอื ใหเ้ ป็นแบบตัวต่อตวั เหมือนการสัมภาษณก์ ไ็ ด้ ๖.๓.๓.๑ ชนดิ ของแบบสอบถาม ๑) แบบปลายเปิด เป็นแบบสอบถามที่ไม่กำหนดคำตอบแน่นอนตายตัว เปิดโอกาสให้ ผู้ตอบโดยอิสระตามความรู้สึก ความคิดเห็นส่วนตัว ใช้ในกรณีที่ต้องการทราบความคิดเห็นในเรื่องต่างๆของคนคน หนง่ึ ซง่ึ อาจมเี หตผุ ลไมเ่ หมอื นกัน ๒) แบบปลายปิด เป็นแบบสอบถามที่กำหนดมาให้ โดยการทำเครื่องหมายอย่างใดอย่าง หนง่ึ หรืออาจใหเ้ ติมคำ ขอ้ ความสน้ั ๆ บางครัง้ อาจมีเหตผุ ลให้และให้ผู้ตอบเลอื กตอบก็ได้ ซ่งึ มอี ย่หู ลายลกั ษณะ เชน่ ก. แบบตรวจสอบรายการ จำกำหนดคำตอบสำหรับคำถามมาให้ ๒ อย่างเท่านั้น เช่น ไม่ใช่ – ใช่ จริง – ไม่จรงิ ฯลฯ แล้วใหผ้ ตู้ อบเลือกตอบเพยี งอย่างใดอยา่ งหน่งึ เท่าน้นั คู่มือการฝกึ ปฏิบัติโครงการฝึกปฏบิ ตั ิงานภาคสนามชุดวิชาโครงการพฒั นาทกั ษะวชิ าชพี ปฏบิ ัตกิ ารฉกุ เฉินการแพทย์ ประจำปีการศกึ ษา ๒๕๖๓
๑๓๕ ข. มาตราสว่ นประมาณค่า เปน็ แบบสอบถามที่บ่งระดับ ของการตอบมากข้นึ โดยพิจารณา ถึงว่าความรู้สึกของคนมีอยู่หลายระดับ เช่น ชอบ ก็มีตั้งแต่ ชอบมากที่สุด จนถึงไม่ชอบเลย ซึ่งมีความละเอียด มากกว่าแบบตรวจสอบรายการ แตผ่ ้ตู อบจะต้องตอบเพยี งระดบั เดียวเทา่ นั้น แบบสอบถามชนดิ นี้อาจใช้ตัวเลข หรือ เส้นตรงแทนความรู้สกึ ในระดับตา่ งๆ ก็ได้ ค. แบบกำหนดสถานการณ์ เป็นแบบสอบถามที่เกี่ยวกับบุคลิกภาพของบุคคลโดยเฉพาะ ซึ่งจะถามตรงๆ เลยไม่ได้ เพราะอาจจะได้รับข้อมูลเท็จ จึงถามโดยกำหนดสถานการณ์แทนแล้วให้ผู้ตอบเลือก พฤตกิ รรมทตี่ นเองหรอื สถานการณน์ ัน้ ควรจะปฎิบตั ิ ๘.๓.๓.๒ หลักในการสรา้ งแบบสอบถาม ๑) ควรใชศ้ พั ทท์ ่ผี ้ตู อบเขา้ ใจง่าย ๒) หลีกเลี่ยงการใช้คำถามซ้อนคำถาม ปฏิเสธซ้อนปฏิเสธ หรือคำถามที่คลุมเครือ ซึ่งจะ ทำให้ผูต้ อบตีความหมายได้หลายอย่าง ๓) สรา้ งคำถามท่ีจะให้คำตอบอยา่ งสมบรู ณแ์ ละเหมาะสมกบั ผู้ตอบทุกคน ๔) ในกรณีใช้คำถามแบบปิด ควรมีคำตอบทใ่ี หเ้ ลือกอยา่ งเพียงพอ ๕) ควรขดี เสน้ ใตข้ ้อความท่เี นน้ เปน็ พิเศษในคำถาม ๖) มีคู่มอื ในการออกแบบสอบถาม ๘.๓.๓.๓ คุณสมบตั ิของแบบสอบถามทีด่ ี ๑) มีความเที่ยงตรง (Vilidity) คือสามารถแทนคุณลักษณะของสิ่งที่ต้องการได้อย่าง แท้จริง ครบถ้วนตามประเด็นทีต่ อ้ งการ ซ่ึงจะตอ้ งพิจารณาจากผชู้ ำนาญการเป็นเกณฑ์ ๒) เชื่อถือได้ (Reliability) แบบสอบถามนั้นต้องเชื่อถือได้ มีความแน่นอน ไม่เปลี่ยนไป เปล่ียนมา นำไปถามใครกจ็ ะได้คำตอบในทำนองเดียวกนั จะทราบได้โดยการทดสอบ ๓) มคี วามเป็นปรนยั (Objective) มีความชัดเจนทกุ คน สามารถเขา้ ใจไดต้ รงกนั ๔) มคี ำแนะนำที่ชัดเจนเขา้ ใจง่าย ๕) ไมเ่ ปน็ คำถามนำ และถามเฉพาะขอ้ มูลทีไ่ มส่ ามารถเกบ็ รวบรวมได้จากที่อ่ืน ๖) ควรสั้นที่สุดเท่าทีจ่ ะทำได้ และต้องได้ข้อมูลที่มีความสำคัญและเป็นประโยชน์ในเรื่อง ที่ศกึ ษา ๗) เรยี บเรียงอยา่ งเหมาะสมในการทจี่ ะตอบข้อต่อๆ ไปอยา่ งมเี หตุผล และเปน็ จรงิ ๘) สะอาดเรยี บร้อย พมิ พช์ ัดเจน อา่ นง่าย ๙) ควรใช้คำถามแบบปดิ เพอ่ื สะดวกในการวเิ คราะห์ข้อมูล ๘.๓.๔ แบบทดสอบ ส่วนใหญ่เป็นเครื่องมือทีใ่ ช้ในการรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของบุคคล ในดา้ นความคิด (Cognitive) มักจะใช้ในการทดสอบเพอื่ ประเมินผลก่อนหรือหลงั ปฏิบตั งิ าน ๘.๓.๕ ข้อมูลจากรายงานและสถิติต่างๆ การเก็บข้อมูลเหล่านี้อาจได้จากการเก็บข้อมูลด้วยตนเองหรือ เก็บจากแหล่งข้อมูลต่างๆ เช่น สำนักงานสถิติหน่วยงานสาธารณสุขของรัฐและเอกชน แผนกทะเบียนกลาง หรือ สถาบนั การศึกษาต่างๆ เปน็ ต้น คมู่ ือการฝึกปฏิบัติโครงการฝกึ ปฏบิ ตั ิงานภาคสนามชุดวิชาโครงการพฒั นาทกั ษะวชิ าชีพปฏบิ ตั กิ ารฉกุ เฉนิ การแพทย์ ประจำปกี ารศึกษา ๒๕๖๓
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215