Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 2565_พระมหาชาญ อชิโต

2565_พระมหาชาญ อชิโต

Published by E-Library, Buddhist Studies, MCU Surin, 2023-06-27 06:36:30

Description: 2565_พระมหาชาญ อชิโต

Search

Read the Text Version

๘๕ รว่ มกันอยา่ งสันติสุข ด้วยเหตุนี้ท่านจึงมีลูกศิษย์เป็นจำนวนมาก ถึงแม้วา่ ท่านจะละสงั ขารไปนานก็ยัง มีลูกศิษย์ศรัทธาเลื่อมใสตราบเท่าทุกวัน ภารกิจท้ัง ๖ ด้านถือว่าเป็นภารกิจท่ีสำคัญของคณะสงฆ์ใน ชน้ั ของผู้บริหาร ซึ่งเป็นการพัฒนาในกิจการคณะสงฆ์ ให้เดินหน้าโดยเฉพาะการพัฒนาด้านการศาสน ศึกษา เป็นการศึกษาของพระสงฆ์ สามเณรโดยตรงให้ได้รับการศึกษา และสนับสนุนการศึกษา สงเคราะห์ ช่วยเหลอื เด็กดอ้ ยโอกาสทางการศกึ ษา ใหไ้ ดศ้ ึกษาเล่าเรยี น สมั ภาษณ์ นายเฮยี หวังทางมี กลา่ วว่า “การพัฒนาวดั หลวงปู่ไดท้ ำมานานแล้ว ต้ังแต่เร่ิม บวชพรรษายังไม่มาก ทา่ นทำเร่อื ยมาเป็นท่ีทราบกันดีของญาตโิ ยม เปน็ การเผยแผ่พระพุทธศาสนาไป ในตัว และทำไม่หวังส่ิงตอบแทนใด ๆ แต่ทำเพ่ือให้เกิดส่วนรวม ได้เป็นท่ีอาศัยในการประกอบ ศาสนกิจ ของพระสงฆ์ สามเณร และเป็นทสี่ รา้ งบญุ กุศลของญาตโิ ยม”๒๖ ๔.๔ บทบาทการพัฒนาด้านสง่ิ แวดลอ้ ม พระพุทธศาสนาอุบตั ขิ ้ึนเปน็ เวลา ๒,๖๐๐ ปีกว่า เดมิ น้ันพระพุทธศาสนาเกี่ยวข้องกับการ แสวงวิธีกำจัดทุกข์ของมนุษย์ จึงไม่ได้เน้นโดยตรงเร่ืองแนวปฏิบัติต่อสิ่งแวดล้อม เพราะปัญหาทางง ส่ิงแวดล้อมเป็นปัญหายุคสมัยใหม่ ในสมัยพุทธกาลไม่มีปัญหาน้ี ถึงกระนั้นก็ตามในฐานะ พระพุทธศาสนาเป็นปรัชญาชีวิต ท่ีสมบูรณ์แบบสะท้อนในแง่มุมต่าง ๆ ของประสบการณ์มีการสืบ ค้นหาหลักคำสอนท่ีปรากฎในพระไตรปิฎก ซ่ึงเป็นหลักจริยธรรมในการทำความเข้าสภาพธรรมชาติ และการอนุรักษ์ส่ิงแวดล้อม สามารถทำความเข้าใจท่าทีของชาวพุทธที่มีต่อส่ิงแวดล้อมทางธรรมชาติ ได้อย่างน้อย ๒ ทาง คือ ทางแรกโดยการศึกษาจากพระจริยาวัตรของพระพุทธเจ้า และพระสาวกใน สมัยพุทธกาล อีกทางหนึ่ง คือ ศึกษาจากคำสอนของพระพุทธองค์และพระสาวกที่ปรากฏอยู่ท้ังใน พระสตู รและพระวินยั ๔.๔.๑ หลวงปสู่ รา้ งผนื ปา่ รักษาธรรม การสร้างผืนป่ารักษาธรรม เหตุการณ์สำคัญๆ ท่ีบันทึกไว้ในพุทธประวัติบอกให้เราทราบ ว่า ชีวิตของ พระพุทธองค์ ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับส่ิงแวดล้อมธรรมชาติท่ีเป็นแม่น้ำ ป่าเขาลำเนาไพร มาโดยตลอด เช่น ทรงประสตู ทิ อี่ ุทยานลุมพินีวนั ใต้ต้นสาละ ปัจจุบันคือตำบล รมุ มนิ เด แขวงเปชวาว์ ประเทศเนปาล ทรงตรัสรู้ภายใต้ต้นมหาโพธิ์ ตำบลอุรุเวลา เสนานิคม ริมฝ่ังแม่น้ำ เนรัญชรา ทรง แสดงปฐมเทศนาแก่ปัญจวัคคีย์ท่ีป่าอิสปิ ตนมฤคทายวนั ปัจจบุ ันเรียกว่า สารนาท ในจังหวดั สุรนิ ทร์มี หลวงปู่ริม เป็นพระมหาเถระรูปหนึ่งที่มคี วามมงุ่ มั่นในการสร้างผืนป่าเพื่อใหเกิดประโยชนต์ ่อชุมชน ท่ี อาศยั อย่ใู นตำบลทุ่งมน ด้วยจิตสำนึกและความรักธรรมชาติท่ีพอ่ เคยสอนในวยั เด็กยงั ฝังอยใู่ นใจหลวง ๒๖ สมั ภาษณ์ นายเฮยี หวังทางมี, ผ้ใู หญบ่ ้าน บ้านทุ่งมน หมู่ท่ี ๑ ตำบลทุง่ มน อำเภอปราสาท จังหวัด สรุ นิ ทร์, ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๕.

๘๖ ป่รู มิ เสมอ งานอนุรกั ษ์ป่าของท่านจึงเร่มิ ต้นขึน้ ดว้ ยการขอบริจาคพ้ืนท่ีจากชาวบา้ นเพื่อนำมาฟนื้ ฟูให้ กลับคืนเป็นป่าสมบูรณ์อีกคร้ัง โดยมีชาวบ้านให้ความร่วมมือขนหินท่ีเกลอ่ื นกลาดจากการระเบิดของ ภเู ขามาล้อมเป็นร้ัวกน้ั ผืนป่าเป็นหยอ่ ม ๆ มากกว่า ๑๐ แห่ง รวมพื้นป่านับหม่ืนไร่ ล้อมร้ัวเสรจ็ แล้วก็ มอบใหช้ าวบา้ นดูแลเปน็ ส่วน ๆ โดยต้ังชื่อวา่ ปา่ ตามชื่อชุมชนน้นั ๆ ทำใหร้ ้สู ึกเป็นเจ้าของรว่ มกนั ๒๗ ในการสร้างผืนป่า รักษาธรรม หลวงปู่ได้สร้างสำนักปฏิบัติธรรมป่าขุนแก้ว และสถานที่ ปฏิบัติธรรมเขาคีรีวงคต ส่งเสริมการสร้างจิตสำนึกประชาชน ด้านการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากร ท้องถิ่น และการยกระดับพัฒนาองค์ความรู้ท้องถ่ินมาประยุกต์ใช้โดยการมีส่วนร่วมของชุมชน สร้าง ตั้งแต่ ปี พ.ศ. ๒๕๐๐ หลวงปู่ริม รตนมุนี พระเกจิอาจารย์ผู้มีภูมิปัญญาท่ีสูงยิ่ง ซึ่งได้เล็งเห็น เหตุการณ์ในอนาคตเก่ียวกับปัญหาทรัพยากรธรรมชาติ ป่าไม้ ที่ดิน แหล่งน้ำสาธารณประโยชน์ ที่ อาจเผชิญกับปัญหาการพัฒนาประเทศก็เป็นได้ จึงได้ริเร่ิมประสานแนวทางศาสนธรรมกับประเพณี และวัฒนธรรมร่วมกับชุมชนท้องถิ่น ดำเนินการทำป่าชุมชนคีรีวงคตข้ึน โดยได้นำพาชาวบ้าน ทำป่า ชุมชน ผืนแรกช่ือว่า “ป่าชุมชนคีรีวงคต” เป็นพื้นท่ีแรกในตำบลทุ่งมน เน้ือที่ประมาณ ๖๕ ไร่ เพ่ือ ประกอบ กิจกรรมทางศาสนา โดยการจำลองแบบอย่างเขาวงกต ซึ่งเป็นเรื่องราวจากคัมภีร์พุทธ ศาสนา เรื่องพระเจ้าสิบชาติ มหาเวสสันดรชาดก โดยทำเส้นทางที่ซับซ้อน วกวน เพื่อเดินจงกรม ปฏิบัติสมถและวิปัสสนากรรมฐาน เจริญสติปัฏฐาน ๔ และกลายเป็นแบบอย่างการฟ้ืนฟู ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมป่าชุมชน ป่าครอบครัว และป่าหัวไร่ปลายนา ในเขตตำบลทุ่งมน และจังหวัดสุรินทร์ ในวันข้ึน ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ของทุกปี หลวงปู่ริม รตนมุนีจะพาญาติธรรมใน ท้องถิ่นมาร่วมกันปฏิบัติสมถและวิปัสสนากรรมฐาน เจริญสติปัฏฐาน ๔ พร้อมทำบุญต่ออายุ ณ สถานท่ปี า่ คีรวี งคตแหง่ นที้ กุ ปี สัมภาษณ์ นายนพรัตน์ เพชรล้วน กล่าวว่า “หลวงปู่มีความสามารถในการปกครองคณะ สงฆ์ให้อยู่ในพระธรรมวนิ ัย ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า และสรา้ งโรงเรียนให้เยาวชนมีสถานทศี่ ึกษา เลา่ เรยี น สร้างสำนักปฏบิ ตั ธิ รรมเพอ่ื ขดั เกลาจิตใจชาวพุทธ สร้างอนามยั สร้างศนู ย์พฒั นาตำบล สรา้ ง ทำนบกั้นน้ำ สร้างวัดให้พระสงฆ์ได้อาศัยอย่างเพียงพอ ใช้วัดเป็นท่ีพักพิงแก่ผู้ด้อยโอกาส สนับสนุน การศึกษาโดยการมอบทุนการศึกษา ท่ีเรียนดี แต่ยากจน เป็นการส่งเสริมและสร้างเยาวชนให้เด็กดี ของชาติ”๒๘ งานพัฒนาท่ีของหลวงปู่ริม รตนมุนี ได้สร้างเอาไว้เป็นคุณูปการต่ออนุชนคนรุ่นหลัง เป็น อย่างมาก ได้ใช้สอยเป็นสถานท่ีปฏิบัติธรรม ปัจจุบันองค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งมน เป็นหน่วยงาน ๒๗ วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ และคณ ะ, ป่าสร้างชุมชน ชุมชนสร้างป่า, พิมพ์ครั้งที่ ๑, (กรงุ เทพมหานคร: ทวีวฒั นาการพมิ พ์, ๒๕๕๑), หนา้ ๒๙๔. ๒๘ สัมภาษณ์ นายนพรัตน์ เพชรล้วน, ปราชญ์ชาวบ้าน บ้านหนองโบสถ์ หมู่ที่ ๙ ตำบลทุ่งมน อำเภอ ปราสาท จงั หวดั สรุ ินทร,์ ๓๑ มนี าคม ๒๕๖๕.

๘๗ ประสานความร่วมมือทุกองค์กร แกนนำชุมชน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และแกนนำองค์กรชุมชนท้องถิ่น องค์กรพัฒนาเอกชน เพื่อบูรณาการงานบุญประเพณีคีรวี งคต ให้เป็นแหล่งเรียนรู้เชิงบูรณาการแบบมี สว่ นรว่ มในตำบลทุง่ มน ทกุ ภาคีเครือข่ายจงึ เข้ามามสี ว่ นร่วมในการสืบสานประเพณีอันดีงามนี้ ๔.๔.๒ หลวงปรู่ มิ รตนมนุ ี พฒั นาวัดให้เปน็ สัปปายะ นอกจากการพฒั นาผนื ปา่ ให้เป็นสถานท่ปี ฏิบัติธรรม การรกั ษาธรรมชาตสิ งิ่ แวดล้อมกเ็ ป็น งานที่หลวงปู่ให้ความสำคัญ และยังสร้างวัดให้เป็นสถานที่อยู่อาศัยของพระสงฆ์ สามเณรเหมาะต่อ การศกึ ษาพระปรยิ ตั ธิ รรม ตามท่หี ลวงปเู่ คยปรารภเอาไว้ ประวัติวัดอุทุมพร ต้ังวัดเมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๐ วัดอุทุมพร เป็นวัดราษฎร์ สังกัดคณะสงฆ์ มหานิกาย เดิมตั้งอยู่ บ้านทุ่งมน เลขที่ ๑ หมู่ที่ ๑ ตำบลทุ่งมน อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ กล่าว กนั ว่าสร้างขึ้นประมาณปี ๒๓๑๐ และได้มีการต้งั วัดขึ้นเม่ือปี พ.ศ.๒๓๖๐ โดยมีพระอธิการตุ้ม อสิ ิทตฺ โต เปน็ เจา้ อาวาสรูปแรก ตัง้ อยู่ทางทิศอสี านของหมู่บา้ น เดิมมีเนอ้ื ท่ี ๔ ไร่ ๘ งาน ๙๑ ตารางวา และ เน่ืองจากในยุคของพระอธิการริม รตนมุนี ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส จึงได้ขยายพ้ืนท่ีด้วยการซื้อที่ดิน ข้างเคียงเพ่ิม เพ่ือสร้างอุโบสถจตุรมุข จึงมีท่ีดินเพ่ิมข้ึนเป็น ๙ ไร่ ๒ งาน ๓๘ ตารางวา โฉนดท่ีดิน เลขท่ี ๕๒๕๑๙ เน่ืองจากมีการเปล่ียนแปลงและแบ่งเขตการปกครองบ่อยคร้งั วัดอุทุมพร จึงได้ตั้งอยู่ บ้านทุ่งมน หมู่ท่ี ๑๘ ตำบลทุ่งมน อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ ต่อมาได้มีการแยกตำบลใหม่ จาก ตำบลทุ่งมน มาเป็นตำบลสมุดและ “บ้านทุ่งมน” หมู่ท่ี ๑๘ ตำบลทุ่งมน จึงได้เปลี่ยนช่ือหมู่บ้านใหม่ เป็น “บ้านหนองโบสถ์” หมู่ท่ี ๙ ตำบลทุ่งมน อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์สาเหตุที่ต้ังช่ือ วัด อุทุมพร น้ัน สันนิษฐานว่าน่าจะมาจาก “ต้นมะเด่ือ” มีอยู่ในวัด “มะเดื่อ” ภาษาบาลี ก็คือคำว่า อุทุมพร น่ันเอง วดั อุทุมพรได้เป็นศูนย์รวมจิตใจของพุทธศาสนิกชนมานานประมาณ ๒๐๐ กวา่ ปี อุโบสถ หลังเก่าวัดอุทุมพรไม่ทราบแน่ชัดว่าสร้างเมื่อปีไหน ซึ่งได้ใช้เป็นสถานที่บรรพชาอุปสมบทกุลบุตรมา ช้านาน ได้มีเจ้าอาวาสปกครองวัดตามลำดับมา จนถึงหลวงปู่ริม รตนมุนี (บวชครั้งแรก เม่ือพ.ศ. ๒๔๘๓ อายุ ๒๐ ปี ได้ช่ือว่า พระภิกษุริม สุนฺทราโข และบวชได้ ๑๑ พรรษา แต่มีเหตุต้องลาสิกขา เพอื่ หลีกทางใหพ้ ระรปู อื่นซ่ึงเป็นญาติกบั ท่าน อยากจะดำรงตำแหนง่ เจ้าอาวาส) เมื่อรูปนน้ั ไมส่ ามารถ ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสได้และลาสิกขาไป ทางอุบาสกอุบาสิกาวัดอุทุมพรในขณะน้ันเห็นว่าไม่มีใคร เหมาะสมทจ่ี ะดำรงตำแหนง่ เจ้าอาวาสจึงได้เป็นเจา้ ภาพบวชใหห้ ลวงปูร่ ิม อีกครงั้ ต้งั แตป่ พี .ศ. ๒๔๙๕ ถึงปีพ.ศ.๒๕๒๘ ท่านเป็นรูปแรกท่ีสร้างชื่อเสียงให้วัดอุทุมพร เป็นท่ีรู้จักและเคารพศรัทธาจาก พุทธศาสนิกชนจากท่ัวประเทศ ท่านจึงได้วางศิลาฤกษ์อุโบสถจตุรมุขหลังใหม่ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๕ มี

๘๘ ขนาดความกว้าง ๒๒ เมตร ความยาว ๒๘ เมตร และได้สร้างจนถงึ ปี พ.ศ.๒๕๒๘ ทา่ นได้มรณภาพลง หลังจากนั้น เจ้าอาวาสรุน่ ตอ่ มาได้นำพาญาติโยมสร้างตอ่ มาเร่ือย ๆ แต่ไมแ่ ล้วเสรจ็ ๒๙ การพัฒนาวัดของหลวงปู่ได้มีการพัฒนาตดิ ต่อกันมาหลายปี จากเจ้าอาวาสรนุ่ ก่อน มาถึง เจ้าอาวาสรูปปัจจุบัน คือ พระมหาชาญ อชิโต เปรียญธรรม ๗ ประโยคเป็นพระหนุ่มที่มีไฟแรง ส่งเสริมการเรียนภาษาบาลี พระสงฆ์ สามเณรท่ีจำพรรษาอยู่ในวัดอุทุมพรสามารถสอบบาลีได้ ประโยคสูง ๆ หลายรูป อีกท้ังส่งพระสงฆ์ สามเณรเข้าไปเรียนในสำนักเรียนใหญ่ ๆ ในกรุง กรุงเทพมหานคร เป็นการสืบเจตนาของหลวงปู่ กิจกรรมภายในวัดอุทุมพร มีการพัฒนา ๒ อย่าง คือ การพฒั นาภายใน และการพฒั นาภายนอก ๑) การพัฒนาภายใน คือ การนำชาวบ้านเข้าวัดในวันธัมมะสวน ทำบุญตักบาตรและมี การรักษาศีล ๕ และศีล ๘ แสดงตนเป็นพุทธมามกะ ฟังพระเทศนาส่ังสอน นั่งสมาธิเจริญภาวนา ที่ ทางวดั จัดกิจกรรมอยู่เปน็ ประจำ เป็นการพฒั นาคน ๓ ดา้ น คือ (๑) พัฒนาพฤตกิ รรม ได้แก่ วินัย การทำมาหาเลี้ยงชีพและวิธีปฏิบัติในการผลิตเสพ บริโภคแบง่ ปัน และอยรู่ ว่ มกบั ส่ิงแวดล้อม (๒) พัฒนาจิตใจ ได้การสร้างคุณธรรม ความรู้สึก แรงจูงใจ และสภาพจิตใจ เช่น ความสุข ความพอใจ และความสดชืน่ เบิกบาน (๓) พัฒนาปัญญา หรือปรีชาญาณ ความรู้เข้าใจเหตุผล การเข้าถึงความจริง รวมทั้ง ความเชอื่ ถือ ทศั นคติ ค่านยิ ม และแนวความคิดต่าง ๆ ๓๐ ๒) การพัฒนาภายนอก คือ การพัฒนาวัด ให้เป็นสถานท่ี ที่เป็นสัปปายะ ตามระบบ พัฒนาให้เปน็ การพัฒนาทย่ี ่ังยืน หลวงปไู่ ดพ้ ัฒนาวดั อุทุมพรจากที่มีกฏุ ิหลังเลก็ ๆ มาเป็นกฏุ ิท่ีสวยงาม และเต็มไปด้วยลวดลายสถาปัตยกรรมตามยุคสมัย และมีจำนวนมากพอ เหมาะท่ีพระสงฆ์ สามเณรได้ พักอาศัยศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัย สร้างอุโบสถท่ีสวยงามสำหรับทำสังฆกรรมของพระสงฆ์ เพ่ือ การพัฒนาท่ีสร้างความเจริญทั้งทาง สังคม ความเจริญทางเศรษฐกจิ รวมไปถึงเน้นพัฒนาความเจริญ ทางด้านจิตใจไปพร้อมๆกัน โดยการแสวงหา และใช้ต้นทุนทางสงั คมทรัพยากรธรรมชาติ และทุนทาง วฒั นธรรมที่มีอยู่อย่างม่งั ค่ังในประเทศไทย เป็นเครอื่ งมือในการถ่ายทอดเชื่อมโยงสกู่ ารศกึ ษาเชิงพุทธ ศาสนา เป็นการดำรงไว้ซึ่งพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นรากฐานวัฒนธรรมของชาติ และสร้างมูลค่าเพิ่ม ให้กับประเทศชาติในเชิงเศรษฐกิจการท่องเท่ียว ท่องเที่ยว สำหรับวัดในประเทศไทย เพื่อให้เป็น ประโยชน์แก่การพฒั นาวดั พฒั นาคน พัฒนาสงั คม และพัฒนาประเทศชาติ ๒๙ ประวัติวัดอทุ ุมพร, บ้านทุ่งมน ตำบลทุ่งมน อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ [ออนไลน์] แหล่งทมี่ า: http://wiki.surinsanghasociety.com/ [๒๑ กรกฎาคม ๒๕๖๕]. ๓๐ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต), การพัฒนาท่ียั่งยืน, พิมพ์ครั้งที่ ๑๓, (กรุงเทพมหานคร: สำนกั พิมพ์มลู นธิ ิคีมทอง, ๒๕๕๖), หนา้ ๑๘๑.

๘๙ การจัดการสัปปายะภายในวัดอุทุมพร เป็นการจัดตามพื้นที่ของวัดได้กำหนดเขตแดนไว้ อย่างชัดเจน กุฏิปฏบิ ัติธรรมของอุบาสก หรอื พระสงฆจ์ ัดใหอ้ ยู่อกี ทหี่ นึ่ง ส่วนของอบุ าสกิ า หรือแม่ ชีก็มีกุฏิปฏิบัติธรรมก็อยู่ห่างออกไปจากกุฏิของอุบาสกและพระสงฆ์ บ่งบอกให้รู้ว่าเป็นเขตของ อุบาสก อุบาสิกา ท่ีพักอยู่อาศัยกับธรรมชาติท่ีมีบรรยากาศๆสภาพแวดล้อม ท่ีเอื้อต่อการประพฤติ พรหมจรรย์ของพระสงฆ์และเสริมสร้างความศรัทธาเล่ือมใส ให้เกิดข้ึนกับบุคคลท้ังหลายผู้มาสัมผัส ดังนั้นวัดหรือ “สำนักปฏิบัติธรรม” จึงเป็นสัญลักษณ์ของความสงบ รื่นรมย์ เพราะเป็นที่พักของผู้มี กรรมอันสงบระงับแล้ว เป็นที่อยู่ของผเู้ ห็นภัยในวัฏฏะ ห่างไกลจากความชวั่ ทุกประการ เป็นท่ีพกั ของ ผ้ทู ี่มีความบริสทุ ธิ์สะอาดทางกาย วาจา และใจ ลักษณะของสำนักปฏิบัติธรรมที่เหมาะสมนั้น ต้องอยู่ กับธรรมชาติ พระพุทธเจ้าได้ตรัสบอกการใช้สอยเสนาสนะอันสงัดเงียบ ไม่มีเสียงรบกวน ไม่เป็นท่ีคน อาศยั หม่มู าก สัปปายะ คือ สถานท่ีหรือบุคคลซ่ึงเป็นท่ีสบายเหมาะสม เก้ือกูลแก่การบำเพ็ญและ ประคับประคองรักษาสมาธิ ช่วยสนับสนุนในการบำเพ็ญภาวนาให้ได้ผลดี ช่วยให้สติตั้งมั่น ไม่เส่ือม ถอย มี ๗ ประการ คอื (๑) อาวาสสปั ปายะ ที่อยู่อาศยั ทีเ่ หมาะสม (๒) โคจรสัปปายะ ทหี่ าอาหาร ท่เี ท่ยี วบณิ ฑบาตทีเ่ หมาะสม (๒) ภัสสสปั ปายะ การพูดคุยทเี่ หมาะสม การพดู คุยในเรอื่ งที่เปน็ ประโยชน์ (๔) ปุคคลสัปปายะ บุคคลที่ถูกกันเหมาะกัน บุคคลท่ีถูกคอกัน หรือบุคคลท่ีทรง คุณธรรมทรงภูมิปัญญาสามารถเป็นที่ปรึกษาแก้ข้อขัดข้องต่าง ๆ ได้ มีการปฏิบัติท่ีเสมอกัน ทิฏฐิ เสมอกัน ศีลเสมอกัน อยูด่ ้วยกันอย่างมีเมตตาและเกือ้ กูลกนั (๕) โภชนสปั ปายะ อาหารที่เหมาะสม (๖) อุตุสัปปายะ ดินฟูาอากาศธรรมชาติแวดล้อมที่เหมาะสม ดินฟูาอากาศไม่ร้อน ไม่หนาว หรือฝนตกจนเฉอะแฉะไปไหนไม่สะดวก มีธรรมชาติแวดล้อมที่ดี ไม่มีมลพิษทางอากาศ ทาง เสียงหรอื อืน่ ๆ ทำให้เปน็ อปุ สรรคในการปฏิบตั ธิ รรม หรือเกิดความลำบากตา่ ง ๆ (๗) อิรยิ าปถสปั ปายะ อิรยิ าบถทีเ่ หมาะสม๓๑ ดังน้ัน การพัฒนาตอ้ งมีการพฒั นาท้ังภายใน พัฒนาพฤติกรรม พัฒนาจิตใจ พัฒนาปัญญา ที่เป็นบ่อเกิดของวัฒนธรรมและประเพณี พัฒนาภายนอก ด้วยการสร้างวัตถุ มีกุฏิ ที่พักอาศัยของ พระสงฆ์ สามเณร สร้างอุโบสถท่ีสวยงามแปลกตา เหมาะสำหรับการทำสังฆกรรมของพระสงฆ์ และ เปน็ สัปปายะทร่ี ม่ เยน็ สงบ ตัง้ อยู่ในสิ่งแวดล้อมทเ่ี หมาะสม ๓๑ ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๓๗๖/๓๐๕.

๙๐ ๔.๕ บทบาทการพัฒนาดา้ นคุณธรรมและจริยธรรม การพัฒนาชุมชน ต้องมีการพัฒนาคุณธรรม จริยธรรมควบคู่กันไปจะพัฒนาเฉพาะวัตถุ ส่ิงของอย่างเดียวไม่ได้ เพราะจริยธรรมและคุณธรรมเป็นตัวนำในการพัฒนาจิตใจของมนุษย์ให้สูงข้ึน ควรพัฒนาควบคู่กันไป เพื่อให้มีความเจริญเท่าเทียมกันๆไป เนื่องจากมนุษย์เป็นตัวกระทำในการ พัฒนา เม่ือมนุษย์มีจิตใจท่ีสูงแล้วการพัฒนาด้านวัตถุก็จะเจริญไปตาม การพัฒนาชุมชนเป็นการ เสริมสร้างความเจริญทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมให้แก่ท้องถ่ินชนบททุกแห่งทุกส่วนโดย ดำเนินการ และการริเรม่ิ จากประชาชนเองการพัฒนาชุมชนต้องอาศยั ความสามารถของรัฐบาลทีเ่ ป็น ผู้แทนเข้าไปบริหาร ในด้านเคร่ืองมือเคร่อื งใช้ตลอดจนกระตนุ้ และเร้งเร้าให้ประชาชนมองเห็นปัญหา ของตนเอง ๔.๕.๑ พัฒนาคณุ ธรรมและจรยิ ธรรม พัฒนาด้านคุณธรรม จริยธรรม เป็นงานท่ีมีความอ่อนไหว ลึกซ้ึง และเข้าถึงได้ยาก กระบวนการพัฒนาต้องใช้ความละเอียดอ่อนกับวิธีการที่เรียบง่ายและท่ีสำคัญต้องสร้างความรู้ความ เข้าใจเพื่อให้เกิดการยอมรับและพร้อมที่จะให้ความร่วมมือในการพัฒนาด้วยความเต็มใจ คุณธรรม หมายถึง ให้เป็นผู้มีจิตใจโอบอ้อมอารี เอื้อเฟ้ือเผ่ือแผ่ มีเมตตา กรุณา ซ่ือสัตย์ สุจริต ยอมเสียสละ ประโยชน์ส่วนตน เพื่อประโยชน์ส่วนรวม มีความตั้งใจท่ีจะทำประโยชน์แก่สังคมท้ังในขณะท่ีกำลัง ศึกษาและเม่ือสำเร็จการศึกษาออกไปแล้ว การกำหนดทิศทางในการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรม ผู้รับผิดชอบงานควรต้องคิดให้ ครอบคลุมท้ังด้านคุณธรรมและจริยธรรม นั่นคือ หลักการคิดและ วิธีการปฏิบัติท่ีดีงาม ถูกต้อง ตามสภาพสังคม วัฒนธรรม การพัฒนาด้านต่าง ๆ ก็จะเจริญตามอย่าง ไม่ยากนัก สังคมสงบสุข ประเทศชาติเจรญิ รุ่งเรอื ง ดังน้ันจงึ จำเปน็ อย่างยิ่งท่ีจะต้องพัฒนาคน คือการ พัฒนาคุณธรรม ๑) เปน็ คนทีร่ ู้จักใช้ความคิดอยา่ งมจี ดุ หมายปลายทางมากกวา่ ๒) เป็นคนทสี่ ามารถคาดการณภ์ ายหนา้ ได้มากกวา่ ๓) เปน็ คนท่สี ามารถดำเนนิ กิจการทีย่ งุ่ ยากสลับซับซ้อนได้มากกวา่ ๔) เป็นคนที่มีความยินดีท่ีจะรับฟังและพยายามทำความเข้าใจความคิด ความเห็น และความสนใจของผอู้ น่ื ไดม้ ากกว่า ๕) เป็นคนที่มีความชำนาญในการติดต่อสัมพันธ์กับผู้อ่ืน เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ของ ตน(สังคมของตน) ซึ่งคนท่ีจะมคี ณุ ลักษณะ ๕ ประการดังกล่าว จะตอ้ งเปน็ คนทมี่ ีปัญญา รูจ้ ักหน้าท่ี มี ระเบียบวินัย มีความรับผิดชอบ ซื่อสัตย์ และมีความมุ่งมั่น ตลอดจนมีพลานามัยสมบูรณ์ เพราะจิตท่ี

๙๑ ดยี ่อมอย่ใู นร่างกายที่ดี โลกปัจจุบันตอนนี้ได้มองเห็นความสำคัญของจรยิ ธรรม และเห็นว่าจะต้องเอา จรยิ ธรรมมาชว่ ยแก้ปญั หา๓๒ การพัฒนาจริยธรรมของบุคคลจะต้องมุ่งเน้นไปที่บุคลิกภาพภายใน คือ บุคลิกภาพด้าน อุปนสิ ัยใจคอ กล่าวโดยหลักก็คือ ต้องมุ่นเน้นพัฒนาที่จติ ใจให้มีคุณภาพ ท้ังน้ีต้องอาศัยหลักธรรมทาง ศาสนาเปน็ พน้ื ฐานเบอ้ื งต้น จดั เปน็ การพัฒนาตนเองในการอย่รู ่วมกนั ในสงั คมความรูค้ คู่ ุณธรรม ดังนี้ ๑) ความเห็นชอบ หลักธรรมที่พัฒนาความเห็นชอบหรือความคิดในทางท่ีเป็น คณุ ประโยชน์ คือ กุศลกรรมบถ ๑๐ แปลวา่ ทางแห่งการกระทำความดี ๑๐ ประการ ได้แก่ประพฤตดิ ี ด้วยกาย ๓ ประเภท น้ันชื่อว่า กายกรรม คือ ทำกิจการงานด้วยกายอย่าให้ทุกข์เกิดขึ้นแก่ผู้อื่น กายกรรมท่ใี ห้เกิดทุกข์แกผ่ ูอ้ ื่นนน้ั มี ๓ ถภประการ (๑) อย่าเบียดเบียนรา่ งกาย คือ อย่าฆา่ อยา่ ฟัน อย่าทุบ อย่าตีรา่ งกายของผู้อ่ืน รวม ไปถึงสัตวด์ ว้ ย ตรงภาษาบาลที ีว่ ่า ปาณาติปาตาเวรมณี ฯ (๒) อย่าเบียดเบียนทรัพย์สมบัติของผู้อื่น คือ อย่าลักขโมย อย่าฉ้อโกง อย่าเบียดบัง เอาข้าวของของผู้อ่ืนมาเป็นของตน ตรงภาษาบาลท่ีวา่ อทินนฺ าทานาเวรมณี ฯ (๓) อย่าแย่งชิงลักลอบดว้ ยอำนาจของกายในหญิงท่ีท่านหวงห้ามตรงภาษาบาลีที่ว่า กาเมสุมจิ ฉาจาราเวรมณีฯ๓๓ ๒) ประพฤติดีดว้ ยวาจา ๔ ประเภท (วจีกรรม ๔ ประเภท) น้ันไดแ้ ก่ (๑) กล่าวแต่วาจาถ้อยคำที่สัตย์ท่ีจริง ให้เว้นจากวาจาท่ีเท็จไม่จริงตรงกับภาษาบาลี ทวี่ า่ มุสาวาทาเวรมณี ฯ (๒) กล่าวแต่วาจาถ้อยคำอันสมานประสานสามัคคีให้ท่านดีต่อกันให้เว้นวาจา ส่อเสียดยยุ ง ตรงกบั ภาษาบาลีทีว่ ่า ปสิ ณุ ายาวาจาเวรมณฯี (๓) กล่าวแต่วาจาถ้อยคำอันอ่อนโยน ให้เกิดความยินดีแก่ผู้ฟัง ให้งดเว้นวาจาท่ี หยาบคาย ใสร่ า้ ยผ้อู ื่นทำให้รบั ความเดือดรอ้ นต่าง ๆ ตรงกบั ภาษาบาลที ่วี ่า ผรสุ ฺสายวาจายเวรมณี ฯ (๔) กล่าวแต่วาจาถ้อยคำที่เป็นประโยชน์ ให้เว้นวาจาที่เหลวไหล คือพูดเล่นหา ประโยชนม์ ไิ ด้ ตรงกบั ภาษาลีท่วี ่า สมผฺ ปปฺ ลาปาวาจาย เวรมณี ฯ ๓) ประพฤตดิ ีดว้ ยใจ ๓ ประเภท (มโนกรรม ๓ ประเภท) น้นั คือ ๓๒ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต), การพัฒนาที่ยั่งยืน, พิมพ์คร้ังท่ี ๑๓, (กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์ มูลนธิ ิโกมลคีมทอง, ๒๕๕๖), หน้า ๘๒. ๓๓ ไสว มาลาทอง, การศึกษาจริยธรรม กลุ่มวิชาการพระพุทธศาสนาและจริย กองศาสนศึกษา กระทรวงศึกษา, พิมพค์ ร้ังท่ี ๑, (กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พก์ ารศนาสนา,๒๕๔๒), หนา้ ๒๐๒-๒๐๓.

๙๒ (๑) มีความเมตตาต่อผู้อ่ืนอยู่เสมอ คือ ความดำริของใจ อย่าให้ลุอำนาจแห่งโลภ คืออย่าเพ่งเอากิเลสกามและวัตถุกามของท่านผู้อ่ืน อันไม่สมควรแก่ฐานะของตน ตรงกับภาษาบาลี ทว่ี า่ อนภชิ ฺฌา โหติฯ (๒) มีความกรุณาอยู่ทุกเม่ือ อย่าให้มีความโกรธ พยาบาท เข้าครอบงำ ตรงกับ ภาษาบาลที วี่ ่า อพพฺ ยาปาโท โหตฯิ (๓) มีมุทิตา อุเบกขา อยู่ทุกเม่ือ มีความยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี ไม่มีจิตใจริษยา และรู้จัก วางเฉยตอ่ ส่ิงยัว่ ยตุ ่าง ๆ ตรงกับภาษาบาลีทวี่ ่า สมมฺ ทฎิ ฐฺ ิโก โหตฯิ ความซื่อตรง หลักธรรมที่พัฒนาความซ่ือตรง คือ การมีสัจจะ แปลว่า ความจริง ใช้กับ การรักษาสัญญา การรักษาคำพูด การมุ่งแสวงหาจริงหรือความถูกต้องเท่ียงธรรม รักษาความเท่ียง ธรรมไว้ได้ ความรบั ผิดชอบ หลักธรรมที่พฒั นาความรับผดิ ชอบ คอื (๑) อัปปมาทธรรม คือ ความไม่ประมาท มีสติสัมปชัญญะคอยควบคุมให้เกิดความ สำนึกในหน้าทอี่ ย่ตู ลอดเวลา (๒) หิริ โอตตัปปะ หิริ คือ ความละอายใจ ละอายใจต่อการทำความผิดทุกชนิด สังเกตได้จากการที่รู้สึกละอายใจตนเองเมื่อได้กระทำความผิด โอตตัปปะ คือ ความเกรงกลัวต่อ บาป หิริ โอตตัปปะถึงแม้จะไม่ใช่ธรรมท่ีใช้พัฒนาจริยธรรมในด้านความรับผิดชอบโดยตรงแต่ กเ็ ป็นธรรมที่สนับสนนุ ใหบ้ ุคคลมีความคดิ หรือจติ สำนึกท่ีจะไม่ทำชวั่ ไม่เบียดเบียนตนเองและผอู้ นื่ ซ่ึง เปน็ ความรับผิดชอบต่อตนเองและสงั คม ๔) ความรู้จักประมาณหรือรจู้ กั พอ หลกั ธรรมที่พัฒนาความร้จู กั ประมาณ คือ (๑) สันโดษ แปลวา่ ความยนิ ดี คือยินดีในผลท่ีพึงได้เท่าน้ัน ท้ังนต้ี ้องอยู่ในขอบเขต อนั สมควรด้วยจงึ จะเปน็ สันโดษทถี่ กู ตอ้ ง (๒) อัตตัญญุตา และมตั ตญั ญุตา อัตตัญญุตา คือ ความเป็นผู้รู้ตน หมายถึง ความรู้จักตัวเองว่าเป็นใคร มีฐานะและส ถาวะอย่างไร มีความต้องการอะไร และพยายามปรับตัวเองให้เป็นอย่างท่ีควรจะเป็นโดยความ เหมาะสมกับฐานะและสภาวะของตน มัตตัญญุตา คือ ความเป็นผู้รู้จักประมาณ หมายถึง ความรู้จักประมาณในการ แสวงหาเล้ียงชพี ให้เป็นไปในทางที่ชอบ ไม่ใฝส่ งู ทะเยอทะยานเกินประมาณ รู้จกั จับจ่ายใช้สอย ในทาง ปฏิบัตกิ ็คือการประหยัดมัธยัสถ์น้ันเอง ความรจู้ ักประมาณในลักษณะนี้ทำให้บุคคลเกิดสติความย้ังคิด ในการใชส้ อยและการบรโิ ภค

๙๓ ๕) การเสียสละ หลักธรรมทีพ่ ัฒนาอุปนสิ ยั ในการเสียสละ คือ (๑) กตัญญุตา คือ ความเป็นผู้รู้อุปการะที่เขากระทำแล้ว หมายถึง ความเป็นผู้รู้จัก คุณค่าแห่งการทำความดีของผู้อื่นที่มีแก่ตน กตัญญุตาเป็นเหตุให้บุคคลคิดท่ีจะสนองคุณต่อผู้มีคุณ แล้วปฏิบตั ดิ ว้ ยการเสยี สละทงั้ กำลงั กายและกำลงั ทรพั ย์เพ่ือเป็นการตอบสนองคณุ (๒) ปริจาคะ คือ การสละส่ิงท่ีเป็นประโยชน์น้อย เพื่อประโยชน์ท่ีมากกว่าหรือยิ่ง กว่า จัดเป็นคุณธรรมท่ีแสดงออกถงึ จรยิ าธรรมในการเสียสละ ปริจาคะ ก็คือการสละเพื่อรักษาหน้าท่ี รักษากจิ ที่พงึ่ กระทำ รกั ษาคุณความดี ๖) ความมีเหตุผล หลักธรรมทีพ่ ัฒนาอุปนสิ ยั ใหเ้ ป็นผู้มีเหตุผล คอื (๑) โยนิโสมนสิการ แปลว่า การทำไว้ในใจ ในทางปฏิบัติ คือ การเอาใจใส่ กำหนด จติ ใจพิจารณาหาเหตุแห่งผล โยนิโสมนการเป็นพื้นฐานเบื้องต้นของการปฏบิ ัตคิ วามดีทุกอย่าง เพราะ นอกจากอาจจะทำใหเ้ ปน็ บุคคลทม่ี ีความคิดเหน็ ถูกต้อง (๒) สติสัมปชัญญะ การพัฒนาตนมิใช่พัฒนาด้านควบคุมตนเองเพียงด้านเดียว ยังสามารถพัฒนาบุคคลในด้านความมีเหตุผลอีกด้วย เพราะความมีสติจะทำให้ระลึกรู้อยู่ในเหตุ ในผลตลอดเวลา (๓) สัปปุริธรรม คือ ธรรมของคนดี เม่ือความมีสติสัมปชัญญะ ความระลึกรู้ตัวได้ จะทำใหแ้ สดงออกในความเป็นคนดีมจี ริยธรรมได้บรบิ รู ณ์ ๗) การควบคมุ ตนเอง หลกั ธรรมทีพ่ ัฒนาอุปนสิ ัยในการควบคมุ ตนเอง คือ (๑) ศีล แปลว่า ปกติ เป็นเจตนาท่ีจะระวังละเว้นความช่ัวด้วยความสำรวมระวัง ควบคุมและระงับอาการทั้งทางกาย วาจา ใจ ให้เป็นปกติ ไม่ล่วงละเมิดกฎระเบียบ ข้อบังคับต่าง ๆ ตามที่ใจปรารถนา และไม่เบยี ดเบยี นผอู้ ่นื (๒) วินัย คือ กฎระเบียบสำหรับฝึกกาย วาจา ใจ มิให้ล่วงละเมิดศีล เป็นแบบแผน หรือข้อบังคับที่บัญญัติไว้ สำหรับกำกับความประพฤติของสมาชิกในหมู่คณะ โดยสอดคล้องกับความ คดิ เห็นของหมู่คณะน้นั โดยเฉพาะ (๓) ขันติ คือ ความอดทนในการท่ีถูกกระทบด้วยสง่ิ อนั ไม่พึงปรารถนา ไม่ยอ่ ท้อเมื่อ ประสบกับส่ิงทย่ี ากลำบากหรอื ไม่ต้องการ ในเร่อื งของการปฏบิ ัตไิ ด้ แบ่งได้เป็น 4 ลกั ษณะ คือ - อดทนต่อความลำบากตรากตรำตอ่ หนา้ ทีก่ ารงาน - อดทนต่อความทุกขย์ าก และความเจ็บป่วย - อดทนตอ่ ความเจบ็ ใจ - อดทนต่ออำนาจกิเลสตา่ ง ๆ

๙๔ (๔) ทมะ คือ ความข่มใจ เป็นการฝึกฝนจิตใจมิให้ฟุ้งซ่าน หวั่นไหวง่าย เป็นหลัก สำหรับฝึกให้บุคคลมีความหนักแน่นมั่นคง ทมะ จัดเป็นธรรมข้อหน่ึงในฆราวาสธรรม หมายถึง การ บงั คบั และขม่ ใจตนเองได้ ปรบั ปรุงแกไ้ ขตนเองใหถ้ กู ต้องดีงามอยูเ่ ป็นนจิ (๕) สติสมั ปชญั ญะ สติ คอื ความระลกึ ได้ สมั ปชญั ญะ คือ ความร้ตู วั เป็นธรรมท่ีมา คู่กัน สติสมั ปชญั ญะ คือ ความระลกึ ได้ถึงเหตุหรือผลท่เี กี่ยวขอ้ งกับประสบการณ์ทีก่ ำลัง ไดร้ ับหรือประสบอย่ใู นขณะนัน้ ๓๔ แนวทางการพัฒนาจริยธรรมนั้น ผู้ประกอบอาชีพต้องยึดหลักปฏิบัติของตนเองตาม หลักธรรม หรอื จรรยาบรรณในอาชีพน้ัน ๆ ไม่เพยี งเท่านี้การได้รับการปลูกฝังขัดเกลาจากสังคมก็เป็น สว่ นหน่ึงของการพฒั นาดว้ ยเช่นกนั สัมภาษณ์ นายประกอบ พูนย่ิงยง กล่าวว่า“ความสำเร็จในการพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม ไมไ่ ด้อยทู่ ่ีได้ทำการพัฒนาคณุ ธรรม จรยิ ธรรม และตอ้ งมีกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับบริบทขององค์กร และ ประการสำคญั คือ บุคลากรขององคก์ ร ตงั้ แต่ระดับผู้บริหารระดับสูงไปจนถึงเจา้ หนา้ ท่ีคนสดุ ท้ายตอ้ ง มีความเข้าใจและยอมรับในบทบาทหน้าที่ของการพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม ผู้บริหารต้องให้ ความสำคัญ สนับสนุนและเป็นแบบอย่าง ผู้ให้การพัฒนาต้องมีความรู้ให้ลักการเชิงทฤษฎี มีความ เขา้ ใจในเชิงปฏบิ ัติ มคี วามศรทั ธาในคุณงามความดี และลงมอื ทำด้วย”๓๕ ๔.๕.๒ การพัฒนามนุษย์ท่ยี ่ังยนื การพัฒนาชุมชนให้มีความยั่งยืน ต้องพัฒนาใจมนษุ ย์ให้คนมีคุณธรรมและจริยธรรม เป็น ตวั ช่วยสนับสนนุ เพราะการพัฒนามนุษย์เป็นตวั กระทำ คนไทยยุคใหมค่ วรมีนสิ ัยใฝ่รู้ สามารถเรียนรู้ ด้วยตนเอง และแสวงหาความรตู้ ลอดชีวติ มีความ สามารถในการสื่อสาร การคิดวิเคราะห์ แกป้ ัญหา คิดริเร่ิมสร้างสรรค์ มีจิตสาธารณะ มีระเบียบวินัย คำนึง ถึงประโยชน์ส่วนรวม ทำงานเป็นกลุ่มได้ มี ศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม จิตสำนึก และความภูมิใจ ในความเป็นไทย ยึดม่ันในการ ปกครองระบอบประชาธปิ ไตยอันมพี ระมหากษัตริย์ทรงเปน็ ประมุข รังเกยี จการทุจริต ตอ่ ต้านการซื้อ- ขายเสยี ง สามารถก้าวทันโลก มีสุขภาพกาย สุขภาพจิตที่สมบูรณ์แข็งแรง เป็นกำลังคนที่มีคณุ ภาพ มี ทกั ษะความร้ทู ี่จำเป็น มีสมรรถนะ ความร้คู วามสามารถ และทำงานไดอ้ ยา่ งมี ประสิทธิภาพ มีโอกาส การเรยี นรเู้ ท่าเทียมกันและเสมอภาค ๓๔ ไสว มาลาทอง, การศึกษาจริยธรรม กลุ่มวิชาการพระพุทธศาสนาและจริย กองศาสนศึกษา กระทรวงศกึ ษา, หนา้ ๙-๑๐. ๓๕ สัมภาษณ์ นายประกอบ พูนย่ิงยง, ผู้ใหญ่บ้านบ้านตาเจียด หมู่ที่ ๓ ตำบลทุ่งมน อำเภอปราสาท จงั หวัดสุรินทร์, ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๕.

๙๕ มิติด้านร่างกาย คนไทยยุคใหม่ต้องเป็นผู้มี สุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง มีการ พัฒนาการในด้านร่างกายและสติปัญญาอย่างสมบูรณ์ตามเกณฑ์ใน แต่ละช่วงวัย จะเห็นได้ว่า ใครที่ เคยอ่านบทพระราชนิพนธ์ พระมหาชนก จะเห็นว่า มหาชนกรอดตายจาก เรือล่มได้เพราะมี คุณลักษณะ ๓ ประการ คอื (๑) ร่างกายทแ่ี ข็งแรง สตปิ ัญญาท่ีเฉลียวฉลาด และความเพยี รทีถ่ ึงพร้อม (๒) มิติด้านจิตใจ คนไทยยุคใหม่ต้องเป็นผู้ท่ีรู้จักและเข้าใจตนเอง เข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น เข้าใจ สถานการณ์การเปล่ียนแปลงและสภาพแวดล้อมต่างๆ รอบตัวได้เป็นอย่างดี (๓) มิติด้านความรู้ คน ไทยยุคใหม่ ต้องเป็นผู้มีความรู้ลึกในแก่นสาระของวิชา สามารถรู้รอบตัวในเชิงสหวิทยาการ สามารถ เรียนรู้ได้ด้วยตนเอง และแสวงหาความรอู้ ยา่ งต่อเนื่องตลอดชวี ิต มิติด้านทักษะความสามารถ คนไทย ยุคใหม่ต้องเป็นผู้ท่ีมีทักษะ ในด้านการคิดสร้างสรรค์ มีทักษะในการส่ือสาร ทักษะภาษาต่างประเทศ ทักษะการใช้งานเทคโนโลยีสาร สนเทศ ทักษะทางสังคม ทักษะการอาชีพ ทักษะทางอารมณ์ และ ทักษะการจดั การท่ดี มี อี งคป์ ระกอบ ๔ ประการ คือ (๑) มนุษย์ ในฐานะเป็นมนุษย์ หลักการท่ีควรให้ความสำคัญสูงสุด โดยมุ่งให้ การศึกษา และจัดสรรปัจจัยเกื้อหนุน เพ่ือช่วยให้มนุษย์แต่ละชีวิตเจริญงอกงาม เข้าถึงความเป็น มนษุ ย์ท่ีสมบูรณ์ และมชี วี ิตท่ดี ขี น้ึ (๒) สังคม ระบบต่าง ๆ ทางสังคม ว่าโดยพื้นฐานเป็นการจัดต้ังวางรูปแบบข้ึน เพื่อให้เป็นเคร่ืองมือและเป็นส่ือท่ีช่วยให้กระบวนการแห่งเหตุปัจจัยในกฎธรรมชาติ ทำงานหรือ ดำเนินไปในทางทางท่ีอำนวยผลดีแก่มนุษย์ เป็นระบบย่อยต่าง ๆ เช่น ระบบเศรษฐกิจ ระบบ การเมือง ระบบการบริหาร เป็นต้น (๓) ธรรมชาติ ทัศนคตขิ องมนษุ ย์ตอ่ ธรรมชาตนิ ั้น ไม่ควรหยุดเพียงแค่เลิกมองตนเอง และเลิกคิดจะพิชิตจัดการกับธรรมชาติ แต่ต้องมีชีวิตท่ีสอดคล้องกลมกลืนกับธรรมชาติ ก่อนหน้าน้ี มนุษย์วัดความสามารถของตนด้วยการท่ีจะเอาชนะธรรมชาติ และจัดการกับธรรมชาติได้ตาม ปรารถนา สังคมมนุษย์มีการจัดตั้งวางสมมุติต่าง ๆ ข้ึนเพื่อเป็นหลักประกันความสัมพันธ์ท่ีจะช่วยให้ มนุษยอ์ ย่รู ่วมกันด้วยดี และคุ้มครองสงั คมให้อย่อู ย่างสนั ติสุขและความชอบธรรม (๔) เทคโนโลยี การประดิษฐ์ การผลิต การใช้เทคโนโลยี เพื่อแก้ปัญหาและอนุรักษ์ ธรรมชาติโดยตรง มีมากเพิ่มข้ึน เช่น การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่เกื้อกูลไม่ทำลายธรรมชาติ เทคโนโลยีท่ีประหยัดพลังงาน หรือใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ในบางสังคมก็ได้ผลน้อย ซึ่งเป็น ปัญหาก็มีไม่น้อย ความบกพร่องในการพัฒนาคนและความย่อหยอนไร้ประสิทธิภาพหรือความเสื่อม โทรมในระบบต่าง ๆ ของสังคม ยังต้องเรง่ รดั แก้ไขปรบั ปรุง๓๖ ๓๖ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตโฺ ต), การพฒั นาทย่ี ่ังยนื , หน้า ๒๔๓-๒๔๗.

๙๖ ดังนั้น เพ่ือให้เกิดความเปล่ียนแปลงในทางท่ีดีเจริญข้ึน ตามบริบทของแต่ละสังคม ช่วยกันพัฒนาหมู่บ้านให้มีความเจริญก้าวหน้าตามสภาพแวดล้อมของท้องถ่ิน เสริมสร้างคุณภาพ ความรู้ความสามารถเหมาะสมกับภูมิปัญญาปลูกจิตสำนึกให้ทุกคนมีศีลธรรม ซ่ึงจะเป็นรากฐานใน การพัฒนาด้านอื่น ๆ การพัฒนาอาชีพท่ีเป็นอาชีพท่ีถูกตามกฎหมาย เรียกว่าสัมมาอาชีพ ท้ังน้ีเพื่อจะ หารายได้มาพัฒนาครอบครัว หมู่บ้าน ชุมชน ให้คนในชุมชนมีความขยันและประหยัด เป็นการสร้าง งานให้ชุมชนได้มีงานทำไปในตัว สร้างอาชีพเพ่ือให้คนในชุมชนมีงานทำ และประกอบสัมมาอาชีวะท่ี สุจริต ไม่หลอกลวงสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น และมีครอบครัวที่อบอุ่น การพัฒนาจึงต้องมี เป้าหมายอย่างชดั เจน สัมภาษณ์ นายชัยยุทธ ล้ิมรัตนากรนุกูล กล่าวว่า “การพัฒนาด้านจิตใจปลูกฝังความคิด คณุ ธรรมในดา้ นการปฏบิ ัตติ นท่ีดี มีความเสยี สละ เปน็ ประโยชนแ์ ก่สงั คม และชุมชนทีด่ คี วรมีศีลธรรม ตามหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา นำเอามาแก้ปัญหาในชุมชนให้พ้นจากการพนัน และอบายมุข เพราะเปน็ อันตรายตอ่ คนในชุมชนและเป็นบ่อนทำลายสถาบันครอบครวั ”๓๗ ๔.๕.๓ การพัฒนาสาธารณะประโยชน์ หลวงปู่รมิ รตนมุนี เป็นพระสงฆ์รูปหนึ่งที่มีความมานะในการพัฒนา ให้ประชาชนมีความ สะดวกสบายในหลาย ๆ ด้าน ท่านมักจะสร้างสาธารณวัตถุ ให้เป็นอนุสรณ์แก่อนุชนคนรุ่นหลัง ได้ใช้ สอย หลวงปู่มองเห็นความสำคัญและประโยชน์ของการศึกษา เป็นอย่างมากไม่ว่าทางโลก หรือทาง ธรรม ท่านมีความสามารถพิเศษเฉพาะตวั คือ งานศิลปหัตถกรรม งานไม้ งานเขยี น และงานแกะสลัก ท่ีเกี่ยวกับหิน ซ่ึงผลงานเหล่านี้ทางวัดได้เก็บรักษาไว้ท่ีห้องเก็บวัสดุ อยู่เท่าทุกวันนี้ โดยอุปนิสัยของ หลวงปู่เปน็ พระที่ชอบเดินธดุ งคแ์ สวงหาความวเิ วก เพอื่ ให้เหมาะแก่สมณสารูป พัฒนาทางจติ อยเู่ สมอ มีหลายสถานที่ไดไ้ ปเดนิ ธุดงค์และจำพรรษาอยู่ ณ ท่ีน้ัน พ.ศ. ๒๕๑๓ – ๒๕๑๔ ได้เดินธุดงค์จำพรรษาที่เขาแหลม ตำบลแนงมุด อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรนิ ทร์ ตดิ กับชายแดนเขมร จำพรรษาอยู่ที่น้นั ๑ พรรษา ปัจจบุ ันมีวัดตงั้ อยทู่ ีเ่ ชิงเขาช่อื วา่ วัด เขาแหลมรัตนมุนี และสร้างอนุสรณ์สถานท่ีอ่ืน ๆ เช่น หนองเขียว หนองทมอ เป็นต้น จะสร้างเป็น ปราสาทและเจดีย์ สถานที่เหล่านี้เป็นที่เงียบสงบ สงัดปราศจากผู้คนทส่ี ัญจรไปมาเหมาะแก่การเจริญ กัมมัฏฐาน บำเพ็ญเพียรทางจิต และท่านก็ธุดงค์ไป ๆ มา ๆ อยู่เป็นประจำ เริ่มมีช่ือเสียงคนรู้จักมาก ขึ้น แต่ละปีจะมีผู้คนมาบวชพระภิกษุ สามเณร ชีพราหมณ์เป็นจำนวนมาก ในแต่ละปีไม่ต่ำกว่า ๓๐- ๕๐ รูป เมื่อพระภิกษุ สามเณรมีจำนวนมากการบิณฑบาตเล้ียงชีพเริ่มจะขัดสน ไม่พอฉัน ซึ่งวัด อุทมุ พรเปน็ ที่ตง้ั อยูใ่ นหมู่บา้ น ๓๗ สัมภาษณ์ นายชัยยุทธ ลิ้มรัตนากรนุกูล, ผู้ใหญ่บ้านบ้านหนองโบสถ์ หมู่ท่ี ๙ ตำบลทุ่งมน อำเภอ ปราสาท จังหวัดสรุ นิ ทร์, ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๕.

๙๗ พ.ศ. ๒๕๑๐ หลวงปู่ริมจึงได้สร้างสำนักสงฆ์ขึ้นใหม่อีกแห่งหนึ่งมีเนื้อท่ี ๑๐ ไร่ เป็นท่ีดิน ของหลวงปู่เอง ห่างจากวัดอุทุมพรประมาณ ๓ กิโลเมตร ในปัจจุบัน คือ วัดสะเดารัตนาราม หลวงปู่ เป็นท่ีพ่ึงทางใจของญาติโยมและชุมชน ท่านได้ยึดม่ันในประโยชน์ผู้อื่นและประโยชน์ทางสังคม ได้ สรา้ งวตั ถุทเ่ี ปน็ สาธารณะประโยชนไ์ ว้อยา่ งมาก ทเี่ ปี่ยมไปด้วยความเมตตาธรรม พ.ศ. ๒๕๐๑ หลวงปู่ได้สร้างสะพานข้ามลำน้ำชี เพอื่ การสญั จรไปมาให้มคี วามสะดวกจาก ฝังสุรนิ ทร์ ไปบุรรี ัมย์ ในระหว่างบ้านทุ่งมน – ปา่ ซัน สน้ิ งบประมาณ ๒๐๐,๐๐๐ บาท พ.ศ. ๒๕๐๓ หลวงปู่ได้สร้างโรงเรียนประจำชุมชนบา้ นทุ่งมน ส้ินงบประมาณ ๕๐๐,๐๐๐ บาท ในปัจจุบนั คอื โรงเรยี นบ้านท่งุ มน (รมิ ราษฎร์นุสรณ์) พ.ศ. ๒๕๐๕ หลวงปู่สร้างได้สร้างสถานีอนามัยไว้ ประจำตำบลทุ่งมนส้ินงบประมาณ ๕๐,๐๐๐ บาทในปจั จบุ ัน คอื โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบลทjุ งมน พ.ศ. ๒๕๐๗ หลวงปู่ไดซ้ ื้อท่ดี ินเพ่ือสร้างศูนยพ์ ัฒนาตำบลทุ่งมนสิน้ งบประมาณ ๕๐,๐๐๐ บาท ในปัจจุบนั คอื ศูนย์พฒั นาเดก็ เลก็ บ้านหนองโบสถ์ การสร้างสาธารณะประโยชน์อ่ืน ๆ อีกมาก ท่านเป็นแบบอย่างท่ีดีเป็นผู้มีแต่ให้ และเป็น ท่ียึดเหนี่ยวจิตใจของศิษย์ยานุศิษย์ และเหล่ามวลชน สมควรอย่างย่ิงต่อการยกย่อง เชิดชู บูชา ใน ปฏิปทาที่งดงาม และเป็นที่ประจักษ์แก่อนุชน คนรุ่นหลัง เป็นผู้นำทางจิตใจของชุมชนเร่ือยมา จน กระท้ัง วันท่ี ๙ มิถุนายน ๒๕๒๘ ท่านได้มรณภาพลงด้วยอาการอันสงบ สิริอายุหลวงปู่ ได้ ๖๕ ปี ๑ เดือน ๑๐ วัน พรรษาท่ี ๓๒ ท่ามกลางความเศร้าโศกเสียใจของศิษยานุศิษย์และญาติโยมท่ัวไปเป็น อยา่ งยิ่ง คงเหลอื ไวแ้ ต่คุณงามความดีเปน็ ท่ปี ระจกั ษ์แก่คนทัว่ ไป หลวงปู่ได้ทำสาธารณประโยชน์ เพ่ือคนในชุมชนได้ใช้สอยให้เกิดประโยชน์ สร้าง สาธารณะวัตถุ ศิลปหัตถกรรม งานไม้ งานเขียน และงานแกะสลกั ท่ีเก่ียวกับหิน ท่านเดินธุดงคไ์ ปจำ พรรษาท่ีไหนก็ตาม สรา้ งส่งิ ท่เี ป็นประโยชน์ให้ชมุ ชน เป็นสมบัติส่วนรวม สรา้ งสะพานใหค้ นข้ามไปมา สะดวกต่อการสัญจร สร้างโรงเรียนให้เยาวชนได้ศึกษาเล่าเรียน สร้างสถานีอนามัยให้คนในชุมชนได้ รักษาตนยามเจ็บไข้ได้ป่วย ส่ิงเหล่าน้ีล้วนเกิดจากการมีเมตตาธรรมของหลวงปู่ ที่ไม่ยึดติดในส่ิงของ ภายนอก แต่เสยี สละกำลงั กาย กำลังทรพั ย์เพื่อคนหม่มู าก จงึ เป็นที่เคารรักของศิษยานศุ ิษย์ทว่ั ไป๓๘ สัมภาษณ์ นายเนือง บุญกระจาย กล่าวว่า “หลวงปู่เป็นพระที่ไม่ยึดติดในทรัพย์สินเงิน ทอง ญาติโยมถวายมาก็นำเอาไปสร้างไม่เก็บไว้เป็นส่วนตัว แต่นำไปก่อสร้างโรงเรียน ที่ประโยชน์ต่อ ๓๘ พระมหาชาญ อชิโต, งานฉลองเปรียญธรรม วดั อทุ ุมพร, พิมพ์ครัง้ ท่ี ๑, (นนทบุรี: พมิ พท์ ี่นิติธรรม การพมิ พ,์ ๒๕๕๘), หน้า ๑๔-๑๖.

๙๘ เยาวชน และส่วนรวม ทางศาสนาท่านสร้างวัดไว้ให้พระสงฆ์ไปจำพรรษา เพื่อสะดวกต่อการเผยแผ่ พระพทุ ธศาสนา และสรา้ งศรัทธาความเลื่อมใสแก่ญาติโยม”๓๙ ๔.๖ วิเคราะห์จุดแข็ง – จดุ ออ่ น และอปุ สรรค ในการศึกษาวิจัย เร่ือง “ศึกษาบทบาทการพัฒนาชุมชนของหลวงปู่ริม รตนมุนี วัด อุทุมพร อำเภอปราสาท จงั หวดั สุรินทร”์ ได้วเิ คราะหจ์ ดุ แขง็ – จุดอ่อน โอกาสและอปุ สรรค ดังน้ี ๑) จุดแข็ง (Strength) จุดแข็งในการพัฒนาวดั อุทุมพร หลวงปู่ริม มีความสามารถชักจูง ประชาชนในเขตตำบลทุ่งมน อำเภอปราสาท จังหวดั สุรนิ ทร์ เขา้ วัดทำบุญตักบาตร รักษาศีล ๕ ศีล ๘ มากกว่าเจ้าอาวาสในยุคก่อน ๆ การมีประชาชนเข้าวัดมาก ๆ ถือว่าเป็นโอกาสอันนี้เป็นจุดดี เมื่อเข้า วดั บ่อย ๆ ก็พาลูกหลานมาวดั ดว้ ย เป็นการสร้างอุปนิสัยของเดก็ ๆ วัดอุทุมพรจึงเป็นศูนยก์ ลางชุมชน ของประชาชนในตำบลทงุ่ มน มาตราบเทา่ ทุกวนั นี้ สง่ ผลใหล้ กู หลานมกี ารบวชเรียนวชิ าภาษาบาลเี ป็น จำนวนมากในเขตอำเภอปราสาท ๒) จุดอ่อน (Reakness) ทางวัดอุทุมพรยังขาดบุคลากรในการจัดบริหารวัดอย่างเต็มท่ี จะมีเพียงเจ้าอาวาสที่ทำการสอนนักธรรม และสอนภาษาบาลี ด้านอาคารโรงเรียนปริยัติยังไม่เป็นที่ ถาวร ยังต้องรอการสรา้ งต่อไป ๓) โอกาส (Opprtunity) ชาวบ้านในตำบลทุ่งมนมีความเลื่อมใส ศรัทธาต่อหลวงปู่ริม เป็นอย่างมาก เจ้าอาวาสควรยึดเอาโอกาสน้ี บริหารจัดการพัฒนาวัด พัฒนาการศึกษาแผนกธรรม และแผนกบาลี และพัฒนาบุคลากร โดยมีแผนการการจัดการในปีต่อ ๆ ไปอย่างเปน็ รูปธรรม ๔) อุปสรรค (Obstacle) การพัฒนาวัด พัฒนาการศึกษา ขาดบุคลากรมาช่วยแบ่งเบา ภาระ และขาดทุนปจั จัยสำรองในการปฏิบตั ิ ทำการเรียนการสอนนักธรรมและภาษาบาลแี ก่พระสงฆ์ สามเณร ตอ่ ไปในอนาคต ๔.๗ องค์ความรูท้ ไี่ ด้รับจากการวจิ ัย ในการศึกษาวิจัย เรื่อง “ศึกษาบทบาทการพัฒนาชุมชนของหลวงปู่ริม รตนมุนี วัด อุทมุ พร อำเภอปราสาท จงั หวัดสุรินทร์” ไดอ้ งค์ความร้ทู เ่ี กดิ การวจิ ยั ดงั นี้ ๑) ด้านพระพุทธศาสนา ได้เข้าใจของการปฏิบัติธรรม ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ฟัง เทศน์ ทำบุญรักษาสีล ๕ ศีล ๘ ทกุ วันธัมมสวนะ ๒) ด้านวัฒนธรรมประเพณี การขึ้นเขาคีรีวงกตจัดทำทุกปี ซึ่งเป็นประเพณีของชาว ตำบลทุ่งมน อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ ต้องปฏิบัติธรรม เจริญวิปัสสนากัมมัฏฐาน มีพระสงฆ์ และฆราวาสเปน็ ประจำทกุ ปี (ในวนั ขึ้น ๑๕ คำ่ เดือน ๑๒) ๓๙ สัมภาษณ์ นายเนือง บุญกระจาย, ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านบ้านหนองโบสถ์ หมู่ท่ี ๙ ตำบลทุ่งมน อำเภอ ปราสาท จังหวดั สุรนิ ทร์, ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๕.

๙๙ ๓) ดา้ นสังคม ชุมชนตำบลทุง่ มนมีความสามัคคี กลมเกลยี ว เปน็ สังคมทเี่ อื้ออาทรกันและ กัน เป็นสงั คมท่ีรักความสงบสุข ชอบในการสร้างบุญกุศล สรุป การพัฒนาชุมชนต้องพัฒนาที่มนุษย์ก่อน เพื่อให้เกิดสำนึกในฐานะเป็นมนุษย์ผู้สร้าง ปัญหาทั้งมวล พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาทุกยุคสมัย มีบทบาทในการพัฒนาชุมชนตลอดมา ยามที่ ชุมชนเดือดร้อนมีปัญหา อุทกภัย อัคคีภัย หรือวาตภัย พระสงฆ์จะน่ิงดูดายไม่ได้ต้องมือเข้าช่วย การ พัฒนาจิตใจเป็นส่ิงสำคญั รวมถึงการพัฒนา คุณธรรม จรยิ ธรรม ตลอดจนสุขภาพจิต การแกป้ ัญหาใน ชุมชนพระสงฆ์ต้องแก้ปัญหาความยากจน ต้องตระหนักถึงปากท้องของคนในชุมชนเป็นสิ่งสำคัญ ให้ ประชาชนกนิ ดีอยู่ดีก่อน มีอาชพี และฐานะเพียงพอทจี่ ะพึง่ ตนเองได้ การพัฒนาก็ง่ายขน้ึ มีแรงจงู ใจท้ัง ภายนอกและภายใน ทำให้เกิดผลต่อการพัฒนาของพระสงฆ์ แต่ผลในระยะยาวจะแตกต่างกันไป พระสงฆ์จะต้องพยายามสร้างเครือข่ายประสานงานและเช่ือมโยงความสัมพันธ์ระหว่างคณะสงฆ์กับ ชุมชน วัด บ้าน โรงเรียน ชุมชนใดก็ตามมีความสามัคคี กลมเกลียวกัน ชุมชนนั้นจะมีความเข้มแข็ง ความเป็นภาวะผู้นำต้องพัฒนาตัวเองให้มีคณุ สมบัติ ท่ีจะทำให้เป็นผูพ้ ร้อมท่ีจะปฏิบัติงานได้ดี และได้ อย่างถูกต้องเกิดผลดีตามมา การจะเป็นผู้นำคนได้ ต้องมีความรู้ คือรู้คิด รู้ทัน รู้ทำ และรู้จักบริหาร ทำงานให้ได้ประโยชน์ ได้พัฒนาตนเอง ผู้นำท่ีดีจะต้องในจุดหมายที่ดีงาม มีความชัดเจนให้แก่คนใน ชุมชน และต้องมีเป้าหมาย หลวงปู่สร้างป่าชุมชนคีรีวงคตขึ้นให้เป็นท่ีปฏิบัติศาสนกิจทาง พระพทุ ธศาสนา ใหเ้ ป็นทปี่ ฏิบัติธรรมของพระสงฆ์ และฆราวาส เปน็ วิถีชุมชนในเขตตำบลทุ่งมน และ ตำบลสมุด มีอยู่ ๓ ด้าน ๑) ด้านจิตสำนกึ ของชุมชน ๒) ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และ ๓) ดา้ นการฟน้ื ฟูสืบสานประเพณีขึ้นเขาครี ีวงคต การสรา้ งผืนปา่ รกั ษาธรรม หลวงปู่ได้สรา้ งสำนักปฏิบตั ิ ธรรมคีรีวงคต เพื่อส่งเสริมการสร้างจิตสำนึก ด้านการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรท้องถิ่น พระสงฆ์มี การชว่ ยเหลือสงั คมในรูปแบบต่าง ๆ ทไ่ี ม่ขัดตอ่ พระธรรมวินัย งานพัฒนาที่ของหลวงปู่ริม รตนมุนี ได้ สร้างเอาไว้เป็นคุณูปการต่ออนุชนคนรุ่นหลัง เป็นอย่างมาก สร้างวัดให้เป็นสัปปายะ เป็นสถานที่ สบายเหมาะสม เก้ือกูลแก่การเพ็ญภาวนาให้ได้ผลดี การพัฒนาต้องพัฒนาท้ังภายใน พัฒนา พฤติกรรม พัฒนาจติ ใจ พัฒนาปัญญา และพฒั นาภายนอก หลวงปู่ริม ทา่ นได้พัฒนามนุษย์ โดยการ นำเอาหลักธรรมทางพระพุทธศาสนามาประยุกต์ใช้ในการ พัฒนาคน พัฒนางาน ทำประโยชน์ให้ ชุมชน เป็นสมบัติส่วนรวม สร้างสะพานให้คนข้ามไปมาสะดวก สร้างโรงเรียนให้เยาวชนได้ศึกษาเล่า เรยี น สร้างสถานีอนามยั รกั ษาคนยามเจบ็ ไขไ้ ดป้ ่วย ส่ิงเหลา่ นี้ล้วนเกิดจากการมีเมตตาธรรมของหลวง ปู่ ที่ไม่ยึดติดในส่ิงของภายนอก แต่เสียสละกำลังกาย กำลังทรัพย์เพ่ือคนหมู่มาก เป็นสาธารณ สงเคราะห์

บทที่ ๕ สรุปผลการวิจยั อภิปราย และข้อเสนอแนะ จากการศึกษาเรื่อง “ศึกษาบทบาทการพัฒนาชุมชนของหลวงปู่ริม รตนมุนี วัดอุทุมพร อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์” โดยมีวัตถุประสงค์ ดังนี้ (๑) เพื่อศึกษาแนวคิดการพัฒนาชุมชนใน พระพุทธศาสนา (๒) เพื่อศึกษาบทบาทพระสงฆ์ในการพัฒนาชุมชน (๓) เพื่อศึกษาบทบาทการ พัฒนาชุมชนของหลวงปู่ริม รตนมุนี วัดอุทุมพร อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งเป็นการวิจัยแบบ การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) และใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth interview) ซง่ึ มที ง้ั การวิจัยศกึ ษาเชงิ คุณภาพ และภาคสนาม ดงั นี้ ๕.๑ สรุปผลการวิจัย จากการศึกษาวิจัยเรื่อง“ศึกษาบทบาทการพัฒนาชุมชนของหลวงปู่ริม รตนมุนี วดั อทุ ุมพร อำเภอปราสาท จงั หวัดสุรินทร”์ สรปุ ตามวัตถุประสงค์ไดด้ งั น้ี ๕.๑.๑ แนวคิดการพัฒนาชุมชนในพระพุทธศาสนา การพัฒนาชุมชน ควรพัฒนาคนก่อน ส่วนสำคัญที่สุดก็คือ จิตใจ ดังนั้นในยุคปัจจบุ ัน งานพัฒนาจึงหันมาให้ความสนใจแก่การพัฒนาจิตใจ มากขึ้น รวมถึงการพัฒนา คุณธรรม จริยธรรม ตลอดจนสุขภาพจิต ในชนบทหลายแห่งพระสงฆ์เป็น ผูน้ ำในการพัฒนา และวัดได้เป็นศนู ยก์ ลางของการพฒั นา พระสงฆ์เปน็ ผ้นู ำทางจิตใจ และปัญญาของ ชุมชน วัดเป็นศูนย์กลางของชุมชน พระสงฆ์เป็นผู้นำชาวบ้านช่วยกนั พัฒนาชมุ ชนให้ดขี ึ้น การพัฒนา ชุมชน เป็นการพัฒนาความรู้ความสามารถของประชาชนในชุมชน เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นในการ ช่วยเหลอื ตนเอง พ่งึ พาตนเองได้ ๕.๑.๒ บทบาทพระสงฆ์ในการพัฒนาชุมชน พระสงฆ์ทำหน้าที่อนุเคราะห์ เกื้อกูล ด้วย การปลูกฝังธรรมะในจิตใจ เป็นการหล่อหลอมความคิด ทัศนคติตลอดจนอารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ ด้วย หลักธรรมเพื่อเป็นแนวทางในการดำรงชีวิต การพัฒนาชุมชนถือลักษณะเฉพาะ โดยมุ่งเน้นไปที่การ เปลี่ยนแปลงในตัวมนุษย์รวมถึงศักยภาพของมนุษย์ การพัฒนาชุมชนเป็นวิธีการที่นำเอาบริการของ รฐั บาล ผนวกเข้ากับความต้องการของประชาชน เพื่อยกระดบั คุณภาพของชวี ิตของประชาชนให้ดีข้ึน พระสงฆท์ ่ีเป็นตวั แทนของวัด เปน็ ผูน้ ำทางจิตวิญญาณของประชาชน เปน็ ศูนยร์ วมแห่งความเช่ือถือ การ นำหลักธรรมพระพุทธศาสนา ไปแก้ไขปัญหาและการปรับปรุงคุณภาพชีวิตทุกระดับต้องเริ่มที่จิตใจเป็น พ้นื ฐาน

๑๐๑ ๕.๑.๓ บทบาทการพัฒนาชุมชนของหลวงปู่ริม รตนมุนี วัดอุทุมพร อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ หลวงปู่นำชาวบ้านพัฒนาวัด พัฒนาชุมชน มีความเมตตา กรุณาในเบื้องต้นเป็น หลักการเปน็ ผนู้ ำในการทำงานด้านพัฒนาชมุ ชน ผนู้ ำท่ีมปี ระสิทธภิ าพควรมีทศั นคติแบบมุ่งผลสัมฤทธ์ิ มีความกล้าหาญ ยืนหยัดทำในสิ่งที่ถูกต้อง มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ต้องมีความรู้ คือรู้คิด รู้ทัน รู้ทำ และ รู้จักบริหาร โดยใช้หลักธรรม สัปปุริสธรรม ๗ ประการ หลวงปู่ริมพัฒนาคนโดยสร้างสถานที่ปฏิบัติ ธรรม เรียกว่า ป่าชุมชนคีรีวงคต ท่านพัฒนาก็เพื่อให้คนในชุมชนมีความสงบสุข ไม่เกี่ยวข้องกับ อบายมุข เป็นครอบครัวที่อบอุ่น หลวงปู่สรา้ งสาธารณประโยชน์ ให้ชุมชนได้ใช้สอยเกิดประโยชน์โดย ส่วนรวม สร้างสะพานให้คนข้ามไปมาสะดวกต่อการสญั จร สร้างโรงเรยี นให้เยาวชนไดศ้ ึกษาเล่าเรยี น สร้างสถานีอนามัยให้คนในชุมชนได้รักษาตนยามเจ็บไข้ได้ป่วย สิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากการมีเมตตา ธรรมของหลวงปู่ พัฒนาชุมชนตามหลักพุทธธรรม ให้มนุษย์มีความอยู่ดีมีสุข ตามหลักพุทธธรรม กาย ภาวนา พัฒนากาย ได้แก่ การพัฒนาร่างกายให้แข็งแรง ศีลภาวนา พัฒนาศีล หมายถึง การพัฒนา ความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมทางสังคมให้เป็นไปด้วยดี จิตภาวนา พัฒนาจิต คือ พัฒนาจิตใจให้มี คณุ สมบัติงามพร้อม พระสงฆ์ควรไดร้ ับการศึกษา เรียนรู้นำหลักธรรมเหล่าน้ันไปสู่รูปธรรม แก้ปัญหา ที่หมักหมมในชมุ ชนทุก ๆ ด้าน อย่างน้อยช่วยให้เกิดความสามคั คีธรรมภายในชุมชน ปัญหาที่เกิดข้ึน ภายในชุมชน พระสงฆ์ต้องแสดงออกเป็นภาวะผู้นำในทุก ๆ เรื่อง เพื่อเป็นกำลังใจให้กับประชาชนท่ี อยู่ในชุมชน เช่น การแก้ปัญหาความยากจน ต้องตระหนักถึงปากท้องของคนในชุมชนเป็นสง่ิ สำคญั ให้ ประชาชนกินดีอยู่ดีก่อนสิ่งใด แรงจูงใจท้ังภายนอกและภายใน ทำให้เกิดผลต่อการพัฒนาชุมชนของ พระสงฆ์ เป็นบทบาทที่จะต้องชีน้ ำทางในการพัฒนาไม่ว่าจะเป็นด้านแนวความคิด แนะนำคำสั่งสอน เป็นแบบอย่างที่ดี เป็นผู้นำทางด้านจิตวิญญาณ หลวงปู่สร้างป่าชุมชนคีรีวงคตขึ้นให้เป็นที่ปฏิบัติ ศาสนกิจทางพระพุทธศาสนา และให้เป็นที่ปฏิบัตธิ รรมของพระสงฆ์ และฆราวาส ซึ่งเป็นวิถีชุมชนใน เขตตำบลทุ่งมน และตำบลสมุด วันสำคัญทางพระพุทธศาสนาก็ออกไปทำบุญที่วัด ซึ่งเป็นวิถีของคน ในชุมชน สมาทานศีล ๕ และศีล ๘ ซึ่งถือว่าเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี การพัฒนาด้านศาสนศึกษา เป็น การศึกษาของพระสงฆ์ สามเณรโดยตรงให้ได้รับการศึกษาพระธรรมวินัย ดังน้ัน การพัฒนาชุมชนของ หลวงปรู่ มิ รตนมุนี ไดส้ ร้างสาธารณประโยชน์เอาไวเ้ ปน็ คุณูปการตอ่ อนุชนคนรุ่นหลงั เป็นอยา่ งมาก ๕.๒ อภปิ รายผลของการวิจยั ๕.๒.๑ การอภิปรายตามวัตถุประสงค์การทำวิจัยเรื่อง “ศึกษาบทบาทการพัฒนาชุมชน ของหลวงปู่ริม รตนมุนี วัดอุทุมพร อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์” ได้แก่ ๑) แนวคิดการพัฒนา ชุมชนในพระพุทธศาสนา แบ่งออกเป็น ประเด็นได้ ๒ ประเด็น คือ ประเด็นที่ ๑) การพัฒนาชุมชน ตามหลักพุทธธรรม คือ การพัฒนาชุมชนให้มนุษย์มีความอยู่ดีมีสุข ตามหลักพุทธธรรม ดังนี้ คือ (๑)

๑๐๒ กายภาวนา แปลว่า พัฒนากาย หมายถึง การพัฒนาร่างกายให้แข็งแรง ไร้โรค มีสุขภาพดี (๒) ศีล ภาวนา แปลว่า พัฒนาศีล หมายถึง การพัฒนาความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมทางสังคมให้เป็นไปด้วยดี (๓) จิตภาวนา แปลว่า พัฒนาจิต หมายถึง การพัฒนาจิตใจให้มีคุณสมบัติงามพร้อม (๔) ปัญญา ภาวนา แปลว่า พัฒนาปัญญา หมายถึง พัฒนาความรู้ความเข้าใจ ให้เกิดความรู้แจ้งเห็นจริง และใช้ ความรแู้ กป้ ัญหา ทำใหเ้ กิดสุขได้ ดังนนั้ การพัฒนาชุมชนต้องพัฒนาที่มนุษย์ก่อน เพื่อให้เกิดสำนึกใน ฐานะมนุษย์เปน็ ผ้สู ร้างปญั หาท้ังมวล เม่ือโลกมกี ารเปลย่ี นแปลงไปตามกาลเวลา แต่พระพุทธศาสนาก็ ยังมุ่งหวังในการพัฒนาจิต พัฒนากายให้เป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์แบบ และดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยความ ผาสุก ประเด็นที่ ๒) พระสงฆ์กับการพัฒนาชุมชน คือ พระสงฆ์เป็นผูน้ ำในการพัฒนาโครงการต่าง ๆ ในชนบท พระสงฆ์เป็นผู้ที่มองเห็นปัญหาความยากไร้ ขาดแคลนด้านการครองชีพ ด้านการศึกษา และเศรษฐกิจของคนในชุมชน โดยให้การช่วยเหลือประชาชน มีองค์กรของศาสนา มีหน่วยอบรม ประชาชนประจำตำบล ให้คำปรึกษาและได้รับความร่วมมือจากรัฐเพื่อแก้ปัญหาตามโครงการพระ ธรรมทูต ธรรมจาริก โครงการแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง เพื่อที่จะพัฒนาชุมชนให้อยู่ดีมีสุข โดย พระสงฆ์มีบทบาท ดังนี้ คือ (๑) พัฒนาจิตวิญญาณของมนุษย์ ด้วยการมีสำนกั ปฏบิ ัติธรรมเกิดมาโดย ตลอด (๒) ทำหน้าที่ให้การศึกษาทางพระพุทธศาสนาแก่ประชาชน เทศนาสั่งสอน ทั้งระบบปริยัติ ธรรม ธรรมศึกษา และการศึกษาสงเคราะห์ (๓) เป็นผู้นำในการพัฒนาชนบทในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ผู้นำทำเอง เป็นผู้ประสานงาน ตั้งมูลนิธิเพื่อศึกษาและพัฒนาชนบท เป็นวิทยากรบรรยายธรรม กระต้นุ ให้เกดิ การพฒั นา๑ พระสงฆต์ อ้ งสรา้ งใหเ้ ปน็ ชมุ ชนแห่งการเรียนรู้ พระพุทธเจา้ ทรงบัญญัติพระ วินัยไว้เพื่อให้พระสงฆ์อยู่ร่วมกันเป็นชุมชน มีการพบปะกันเป็นประจำ ไม่ปลีกตัวอยู่ผู้เดียว มีความ เอื้ออาทรต่อกันมีวิธีพูดจาปฏิบัติต่อกันที่ยังความเป็นปึกแผ่นของหมู่คณะ วัตถุประสงค์ของการบวช คือ เพื่อการเรียนรู้ ฉะนั้น สงฆ์ คือ ชุมชนแห่งการเรียนรู้ หรือการเรียนรู้นั้นก็ทรงวางไว้เป็นหลักว่า ประกอบด้วยศีลลิกขา สมาธิสิกขา และปัญญาสิกขา ซึ่งสงฆ์ควรปฏิบัติให้ครบถ้วนในสิกขาทั้ง ๓ นอกจากนั้น ในสังคมปัจจุบัน การเรียนรู้ของสงฆ์ควรจะเรียนรู้ใน ๓ เรื่องใหญ่ คือ (๑) เรียนรู้พุทธ ธรรม ให้ลึกซึ้งที่สุดทั้งทางปริยัติและปฏิบัติ (๒) เรียนรู้สังคมปัจจุบันให้รู้เท่าทันสังคมปัจจุบันเพื่อ ประโยชน์ในการสอน (๓) เรียนรู้การติดต่อสื่อสาร ให้เป็นที่สนใจของผู้คน ให้จับใจผู้คน ให้มีผลต่อ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม หรือที่เรียกว่ามีอนุสานีปาฏิหาริย์นั่นเอง ในข้อนี้รวมทั้งการใช้เครื่องมือ ติดต่อสื่อสารสมัยใหม่ด้วย ดังนั้น พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาทุกยุคสมัย มีบทบาทในการพัฒนา ชุมชนตลอดมา ยามที่ชุมชนมีปัญหา อุทกภัย อัคคีภัย หรือวาตภัย พระสงฆ์จะนิ่งดดู ายไม่ได้ ต้องย่ืน มือเข้าไปช่วยเพื่อซบั น้ำตาของคนในชุมชนนั้น ๆ ที่ได้รับความเดือดร้อน ดังที่กล่าวมีความสอดคล้อง ๑ พระสุธีวรญาณ (ณรงค์ จิตฺตโสภโณ), พุทธศาสตรปริทรรศน์, พิมพ์ครั้งที่ ๒, (กรุงเทพมหานคร: บริษัทตถาตา พบั ลิเคชนั่ จำกัด, ๒๕๔๙), หนา้ ๑๖๗.

๑๐๓ กับบทบาทของพระสงฆ์ไว้ว่า การที่พระสงฆ์มีบทบาทอย่างไรนั้น คงอยู่ที่หลักการ อันมีอยู่ในคำสอน ของพระพุทธเจ้าแล้ว คือ ในฝ่ายตนเอง ก็มีหน้าที่ในการศึกษาปฏิบัติ คือ ศึกษาเพื่อให้ตนปฏิบัติได้ ถูกต้อง และพรอ้ มทง้ั สามารถแนะนำผู้อืน่ ไดด้ ว้ ย๒ สรุป แนวคิดการพัฒนาชุมชนในพระพุทธศาสนา คือ การพัฒนาชุมชน ควรพัฒนาคน ก่อนส่วนสำคัญที่สุดก็คือ จิตใจ ดังนั้นในยุคปัจจุบัน งานพัฒนาจึงหันมาให้ความสนใจแก่การพัฒนา จิตใจมากข้นึ รวมถึงการพัฒนา คณุ ธรรม จรยิ ธรรม ตลอดจนสขุ ภาพจติ ในชนบทหลายแห่งพระสงฆ์ เป็นผู้นำในการพฒั นา และวัดไดเ้ ป็นศนู ยก์ ลางของการพัฒนา พระสงฆเ์ ปน็ ผู้นำทางจติ ใจ และปัญญา ของชุมชน วัดเป็นศูนย์กลางของชุมชน พระสงฆ์เป็นผู้นำชาวบ้านช่วยกันพัฒนาชุมชนให้ดีขึ้น การ พัฒนาชุมชน เป็นการพัฒนาความรู้ความสามารถของประชาชนในชุมชน เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นใน การช่วยเหลอื ตนเอง พึ่งพาตนเองได้ ๕.๒.๒ บทบาทพระสงฆ์กับการพัฒนาชุมชน คือ บทบาทพระสงฆ์ในการเข้าไปพัฒนา ชุมชน ต้องเรียนรู้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดในชุมชน นอกจากปัญหาการครองชีพ ยังมีปัญหาอีกหลาย ๆ ด้าน เชน่ ปญั หายาเสพติด ปัญหาไมม่ งี านทำ ปัญหาภายในครอบครวั เปน็ ตน้ เปน็ ท่ียอมรับกันทั่วไป แล้วว่า การที่จะพัฒนาประเทศให้สำเร็จผลดีบรรลุจุดหมายที่ต้องการได้อย่างแท้จริงนั้น จะพัฒนา เพียงด้านวัตถุอย่างเดียวเท่านั้นไม่เพียงพอ ประสบการณ์ในการพัฒนาตลอดเวลายาวนานที่ผ่านมา ไดส้ อนใหเ้ หน็ ตระหนักว่าการมุ่งพัฒนาวัตถุภายนอกอยา่ งเดียวนั้น แมจ้ ะระดมทนุ ลงไปอย่างมากมาย ก็ไม่ทำให้สังคมบรรลุความมั่งคั่งรุ่งเรืองและสันติสุขท่ีแท้จริงได้ตามวัตถุประสงค์ ซึ่งมีปัญหา บทบาท และวิธกี ารของพระสงฆ์ในการแก้ปัญหาชมุ ชน ดงั ตอ่ ไปน้ี คอื (๑) ปญั หาชมุ ชนในสังคมปจั จุบนั สงั คมไทยปัจจุบนั มีปญั หามากมาย หาความสงบมไิ ด้ทั้งที่เปน็ ดนิ แดนแห่งพระพทุ ธศาสนา เมื่อพิจารณาถึงเหตุที่แท้จริงแล้วจะพบว่า มูลเหตุของปัญหามีจุดกำเนิดมาจากความเสื่อมทางจิตใจ ของคนในสังคมเปน็ เพราะการขาดคุณธรรมประจำใจ ดังน้ัน การแกป้ ญั หาทีถ่ ูกต้องที่สดุ คอื การทำให้ คนในสงั คม มศี ีลธรรมประจำใจ การปลูกฝงั ศีลธรรมใหเ้ กดิ ขึน้ ในจติ ใจได้ ดงั นัน้ จำเปน็ ตอ้ งมปี ัจจัยอยู่ หลายประการข้อสำคัญที่สุด ก็คือ การมีแบบอย่างที่ดีของสังคม การมีแบบอย่างที่ดีของสังคม หมายถึง คุณความดีที่คนไทยทุกคนสมควรนำมาเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตได้ทั้งหมด เพ่ือ แก้ปัญหาเหล่านี้ คือ ๑) ปัญหาความยากจน ๒) ปัญหาด้านสุขภาพ ๓) ปัญหาด้านการศึกษา ๔) ๒ พระราชวรมุนี (ประยุทธ์ ปยุตฺโต), บทบาทหน้าที่ของพระสงฆ์, (กรุงเทพมหานคร: มูลนิธิโกมลคมี ทอง, ๒๕๒๗), หนา้ ๒๗๔-๒๗๕.

๑๐๔ ปัญหาทางการเมือง ๕) ปัญหาด้านจริยธรรมคุณธรรม ๖) ปัญหาด้านวัฒนธรรม ๗) ปัญหาทางเพศ และอบายมุข ๘) ปญั หาดา้ นสิ่งแวดลอ้ ม (๒) บทบาทพระสงฆ์กบั การแก้ปัญหาชมุ ชน พระสงฆ์ถือว่าเป็นผู้ที่อาศัยการดำรงชีพจากชาวบ้าน เมื่อชาวบ้านมีปัญหาเกิดข้ึน พระสงฆ์ต้องเป็นผู้นำในการแก้ปัญหาของประชาชน เพื่อให้ประชาชนในชุมชนมีความสงบสุขจะปัด ปญั หาของชมุ ชนท้ิงไมไ่ ด้ ชาวบา้ นมคี วามทุกขพ์ ระสงฆ์ก็มีความทุกข์ ช่วยกนั แก้ปญั หาลักษณะถอยท่ี ถอยอาศัยกัน โดยไม่นงิ่ ดดู าย พระสงฆ์กับการแก้ปญั หาบนพืน้ ฐานแนวคดิ เศรษฐกจิ พอเพียง เพือ่ แก้ปญั หาความยากจน คือการวางรากฐานอันมั่นคงและยั่งยืนของชีวิตเมื่อวันเฉลิมพระชนมพรรษา ปี ๒๕๔๑ ได้ทรงมีพระ มหากรุณาธิคุณอธิบายเพิ่มเติมถึงคำว่า “พอเพียง” หมายถึง “พอมีพอกิน” “พอมีพอกิน ก็แปลว่า เศรษฐกิจพอเพียงนั่นเอง ถ้าแต่ละคนมีพอกินก็ใช้ได้ ยิ่งถ้าทั้งประเทศพอมีพอกินก็ยิ่งดี” “ฉะน้ัน ความพอเพียงน้ีกแ็ ปลวา่ ความพอประมาณและความมเี หตผุ ล”เศรษฐกจิ พอเพยี ง หมายถงึ เศรษฐกิจ ที่สามารถอุ้มชูตัวเอง อยู่ได้โดยมิต้องเดือดร้อน โดยต้องสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจของตนเองให้ดี เสยี ก่อน คือ ต้งั ตวั ให้มีความพอกินพอใช้ไม่มุง่ หวังแต่จะทุ่มสร้างความเจรญิ ยกเศรษฐกจิ ให้รวดเร็วแต่ เพียงอย่างเดียว เพราะผู้ที่มีอาชีพและฐานะเพียงพอที่จะพึ่งตนเองการพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียง สำหรับเกษตรกรนั้นมีการปฏิบัติตามขั้นตอน “ทฤษฎีใหม่” ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่ง ประกอบด้วย ๓ ข้นั คือ ขน้ั ท่ี ๑) ผลติ เพอื่ ใชบ้ ริโภคในครัวเรือน ในระดบั ชีวติ ท่ีประหยัด ต้องมีความ สามัคคี ข้นั ท่ี ๒) รวมกลมุ่ เพ่ือการผลิต การตลาด ความเป็นอยู่ สร้างสวสั ดิการ การศึกษา สังคมและ ศาสนา ขน้ั ท่ี ๓) รว่ มมือกบั องค์กรภายนอกในการทาธรุ กจิ และพฒั นาคุณภาพชีวิต ทั้งน้ที ุกฝา่ ยต้องได้รบั ประโยชนก์ ารพัฒนาชนบทในลักษณะเศรษฐกจิ พอเพียง จึงเป็นการ ใช้ “คน” เป็นเป้าหมายและเน้น “การพัฒนาแบบองค์รวม” หรือ “การพัฒนาแบบบูรณาการ” ท้ัง ด้านเศรษฐกิจ จิตใจ สังคม วัฒนธรรมสิ่งแวดล้อม การเมือง เป็นต้นโดยใช้ “พลังทางสังคม” ขับเคลื่อนกระบวนการพัฒนาในรปู ของกลุ่ม เครือข่ายหรือประชาสังคม กล่าวคือ เป็นการผนึกกำลงั ทุกฝา่ ยในลักษณะ “พหุภาคี” ประกอบด้วยภาครฐั ภาคเอกชน และภาคประชาชน และนำหลกั ธรรม ทางพระพุทธศาสนา คือ ทิฏฐธัมมิกัตถสังวัตตนิกธรรม ดังนี้ คือ ๑) อุฏฐานสัมปทา ถึงพร้อมด้วย ความหมั่น คือ ขยัน หมั่นเพียรในการปฏิบัติหน้าทีก่ ารงาน ประกอบอาชีพสุจริต มีความชำนาญรู้จัก ใช้ ปัญญา สอดส่องตรวจตราหาอุบายวิธี สามารถดำเนินการให้ได้ผลดี ๒) อารักขสัมปทา ถึงพร้อม ด้วยการรักษา คือ รู้จักคุ้มครอง เก็บรักษาโภคทรัพย์และผลงานอันตนได้ทำไว้ด้วยความ ขยันหมนั่ เพียรโดยชอบธรรม ดว้ ยกำลังของตนไมใ่ หเ้ ป็นอนั ตรายหรอื เส่อื มเสยี ๓) กลั ยาณมติ ตตา คบ คนดีเป็นมติ ร คอื รู้จกั กำหนดบุคคลในถิ่นท่ีอาศัย เลือกเสวนาสำเหนยี ก ศึกษา เยยี่ งอยา่ งผ้ทู รงคุณ มี

๑๐๕ ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา ๔) สมชีวิตา มีความเป็นอยู่เหมาะสม คือรู้จักกำหนดรายได้และรายจ่าย เล้ียงชพี แตพ่ อดี มใิ ห้ฝืดเคือง รายได้เหนอื รายจา่ ย ดังนั้น การแก้ปัญหาในชุมชนพระสงฆ์ต้องแก้ปัญหาความยากจน ต้องตระหนักถึงปาก ท้องของคนในชุมชนเป็นส่งิ สำคัญ ประชาชนกนิ ดีอยูด่ ีก่อนสิง่ ใด อย่างอน่ื ก็ทยอยตามเข้าไปให้มีความ เหมาะสมตามสภาวะของชุมชนนั้น ๆ และประชาชนก็จะรับปฏิบัติตามได้ ขึ้นอยู่กับพระสงฆ์จะนำ ความรู้ความเขา้ ใจไปให้คนเหลา่ นนั้ ไดม้ คี วามรแู้ ละศรัทธาในพระพุทธศาสนา (๓) แรงจูงใจให้พระสงฆพ์ ัฒนาชมุ ชน แรงจูงใจ หมายถึง การมีกำลังใจในการพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็ง ประชาชนหลุดพ้นจาก ความยากจน สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุข ซึ่งเป็นการตอบแทนข้าวปลาอาหารที่ญาติโยม ใส่บาตรให้ฉัน มีพละกำลังในการครองสมณเพศ และรักษาพระพุทธศาสนาให้อยู่ตลอดไป โดยเป็น แรงจูงใจให้พัฒนา และแรงศรัทธา คือ พุทธธรรมอันเป็นฐานและยุทธวิธีในการพัฒนา สิ่งที่พระสงฆ์ ได้ริเริ่มและทำงานพัฒนาทั้งในอดีตและปัจจุบัน แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท แรงจูงใจภายนอก และ แรงจงู ใจภายใน (๔) หน้าทพ่ี ระสงฆใ์ นการพัฒนา พระสงฆ์นอกจะมหี น้าที่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ท่เี ป็นคำส่ังสอนของพระพทุ ธเจ้า ท่ีเป็น หน้าที่หลักแล้ว ยังต้องมีหน้าที่ช่วยเหลือสงเคราะห์ประชาชน ที่มีบ้านเรือนรอบบริเวณวัดและ สงเคราะห์ประชาชนนอกบริเวณวัด ที่ได้รับความเดือดร้อนจากภัยต่าง ๆ เช่น ทุพภิกขภัย อัคคีภัย อุทกภัย เป็นต้น และภัยต่าง ๆที่เกิดจากการในการดำรงชีวิต หน้าที่พระสงฆ์ คือ การช่วยเหลือ ประชาชน เพอื่ ให้ประชาชนในชมุ ชนนัน้ ๆ พน้ จากภยั อันตราย ดงั น้ี คอื ๑) เปน็ ผ้นู ำทางจติ ใจ ศรัทธา และปญั ญา ๒) พัฒนาจิตใจของประชาชน ๓) ส่งเสรมิ การศกึ ษาของเยาวชนและประชาชนในรูปแบบ ต่าง ๆ ๔) ส่งเสริมศาสนาศิลปะ และวัฒนธรรม ๕) ให้การสังเคราะห์แก่ผู้ประสบความทุกยากและ เดือดร้อน ๖) ช่วยแก้ไขปัญหาของชุมชน พระสงฆ์ควรมีบทบาทในการแก้ไขปัญหาของชุมชนตาม ความสามารถ ๗) ช่วยพฒั นาชุมชนใหเ้ ป็นแผ่นดนิ ธรรมแผน่ ดินทอง๓ ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า พระสงฆ์คือกลุ่มที่จะทำให้สังคมหรือชุมชนรอบข้างยอมรับจงึ จะทำ ให้การสร้างชุมชนนั้นมีการเรียนรู้ องค์ความรู้ ซึ่งเป็นบทบาทที่จะต้องชี้นำทางในการพัฒนาไม่ว่าจะ เป็นด้านแนวความคิด แนะนำสั่งสอน เป็นแบบอย่างที่ดี เป็นผู้นำทางด้านจิตวญิ ญาณ อันเป็นการชัก นาแนวทางไปส่กู ารพฒั นาสังคม ชมุ ชนใหเ้ กดิ ความเขม้ แข็งทางดา้ นจติ ใจ ทางด้านเศรษฐกิจ (๕) บทบาทพระสงฆแ์ ละความสำคญั พัฒนาวัด ๓ อภิชัย พันธเสน, พัฒนาชนบทไทย: สมุทัยและมรรคตอนที่ ๓ ความหวังทางออกและทางเลือก ใหม,่ (กรุงเทพมหานคร: มลู นิธภิ ูมปิ ัญญา, ๒๕๓๙), หนา้ ๒๐๖.

๑๐๖ วดั เป็นสถานที่สำคัญสำหรับชาวพุทธ พระสงฆ์ออกไปพัฒนาชุมชนเพื่อประชาชน แต่อย่า ลืมการจัดการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับพระสงฆ์ และเป็นอาวาสสัปปายะของพระสงฆ์และคนทั่วไป การพัฒนาวดั โดยใช้ชุมชนเปน็ ฐาน เป็นฐานความคดิ ในการพัฒนาวดั ตง้ั แตเ่ ริ่มแรก ท่ีกำหนดให้วัดอยู่ คกู่ บั ชุมชนหรือท่ีเรียกวา่ วดั คามวาสี โดยกำหนดใหช้ มุ ชนมสี ว่ นรว่ มหรือ ออกแบบในการพัฒนาวัดใน ฐานะท่ีวดั เป็นศูนย์กลางของชุมชน จึงมคี วามจำเป็นทว่ี ัดจะต้อง ได้รับการพัฒนาในทุก ๆ ด้าน โดยมี ชุมชนรอบวัดเป็นฐานในการพัฒนาเพื่อความเจริญก้าวหน้า ของชุมชนและวัดรวมทั้งองค์กรอื่น ๆ ท่ี เกี่ยวข้อง อาทิเช่น องค์กรภาครัฐหรือองค์กร ภาคเอกชน ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาใน รูปแบบ “บวร” คอื บ้าน (ชมุ ชน) วดั และ หน่วยงานราชการ ซ่งึ เป็นฐานการพัฒนาวดั ท่สี ำคญั การพัฒนาวัดให้เป็นอาราม คือ การรักษาความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ภายในวัดใหเ้ ป็นสถานท่นี ่ารนื่ รมย์ใจของผู้ไปมาหาสู่ สถานทส่ี มควรพฒั นาเป็นอนั ดับแรก คือ กุฏิเจ้า อาวาส จะต้องพัฒนาให้สะอาดให้เป็นระเบียบเรียบร้อย สิ่งของเครื่องใช้สอยทุกชนิดควรจัดตั้งไว้ให้ เปน็ ระเบยี บ แบบหยิบก็ง่าย หายกร็ ู้ ดูก็งามตา เพ่ือให้เป็นตวั อยา่ งแก่พระภิกษสุ ามเณรทั้งหลายจะได้ ปฏบิ ตั ิตามไม่ควรปล่อยให้สกปรกรกรงุ รังคล้ายโกดังเกบ็ ของ ซึ่งคล้ายกองขยะ ควรจดั หอ้ งสำหรับเกบ็ สิ่งของไว้เป็นพิเศษต่างหากจากห้องรับแขกและห้องนอนที่หน้าโต๊ะหมู่บูชาพระ ณ ห้องรับแขก การ รักษาความสะอาดบริเวณวัด อุโบสถ วิหาร ศาลาการเปรียญ และกุฏิ ให้เป็นระเบียบเรียบร้อย น่าดู น่าชม น่ารื่นรมย์ใจ ไม่ปล่อยให้สกปรกรกรงุ รงั คลา้ ยบ้านตาแก่ยายแก่ ไม่ปล่อยให้หญ้าหรือต้นไม้ข้ึน ตามพระเจดีย์ อุโบสถ หรือวิหาร เป็นต้นภายในบริเวณวัดนั้น สมควรเป็นสถานที่ให้ความรื่นรมย์ ร่มเย็นแก่พุทธศาสนิกชนทั้งหลายจึงนิยมปลูกต้นไม้ยืนต้นประเภทไม้ใบ ซึ่งเป็นต้นไม้อันเป็น สัญลักษณ์ของศาสนา เช่น ต้นพิกุล บุนนาค สารภี ต้นอโศก เป็นต้น ไม่นิยมปลูกต้นไม้ดอก หรือ ต้นไม้ผล เพราะจะเป็นเหตุให้เกิดทุกข์แก่บคุ คลผู้รู้เท่าไม่ถึงการณ์ เอาดอกและผลของต้นไม้เหล่านั้น ไปบรโิ ภคแลว้ ย่อมชอ่ื วา่ เปน็ ผกู้ นิ ของสงฆ์ เมอื่ เขาแตกกายทำลายขนั ธ์ไปแล้ว จะตอ้ งไปเกิดเป็นเปรต ทนทกุ ขท์ รมานอยใู่ นอบายภมู ิ ขอโทษที่กินของสงฆ์ นอกจากนี้ยังเป็นเหตุทำให้เกิดปลิโพธเป็นเครื่องห่วงกังวล แก่เจ้าอาวาสและพระภิกษุ สามเณรภายในวัดนัน้ ที่จะต้องคอยระวังรักษาอีกดว้ ยนยิ มมนั จัดมนั ทำการบรู ณะปฏสิ ังขรณ์ถาวรวัตถุ ตา่ งๆ ภายในวดั นนั้ เม่ือเห็นว่าเร่ิมชำรุดทรุดโทรม ไม่นยิ มปลอ่ ยไว้ใหช้ ำรุดทรุดโทรมมาก ๆ เสียก่อน จึงจะเริ่มบูรณะปฏิสังขรณ์เพราะจะทำให้ต้องเสียงบประมาณค่าบูรณปฏิสังขรณ์สิ้นเปลืองมากการ บรู ณะปฏสิ งั ขรณถ์ าวรวัตถุต่าง ๆ และนิยมรกั ษาสภาพเดมิ ของสถานที่น้ันๆ ไว้ตามรปู แบบเดมิ ให้มาก ท่ีสดุ ท่จี ะทำได้ เพือ่ รักษาศลิ ปวัตถุโบราณอนั มีคา่ ไวเ้ ป็นมรดกตกทอดถงึ อนชุ นรนุ่ หลังสืบไป ดังนี้ คือ ๑) ทำประโยชน์ ทั้งแก่ตนเองและแก่สว่ นรวม โดยจัดกจิ กรรมต่างๆ ทางพระพุทธศาสนา ให้เป็นประโยชน์แกป่ ระชาชน ตามสมควรแกก่ ารสมยั น้ัน ๆ เช่น ๒) จัดพิธีการวันสำคญั ทางพระพุทธศาสนา

๑๐๗ ๓) จดั การใหม้ ีพระธรรมเทศนา ปาฐกถาธรรม บรรยายธรรม เปน็ ต้น ให้เป็นประโยชน์แก่ ประชาชนทงั้ หลายตามโอกาสทสี่ มควร ๔) จดั กจิ กรรมเปดิ ศนู ยศ์ กึ ษาพทุ ธศาสนาวนั อาทิตย์ (ถ้ามกี ำลังพอ) ๕) จัดกิจกรรมเปดิ สอนธรรมศกึ ษาแกเ่ ยาวชนทง้ั หลาย ๖) จัดกิจกรรมการบรรพชาภาคฤดูร้อน อบรมศีลธรรมขนบธรรมเนียมประเพณีไทยแก่ เยาวชนท้ังหลาย เพอื่ ใหใ้ ช้เวลาว่างใหเ้ ป็นประโยชน์ ๗) จัดกิจกรรมอุปสมบทหมู่ประจำปีเพื่อเป็นการสงเคราะห์คนยากจนให้มีโอกาสเข้ารับ การอบรมในทางพระพุทธศาสนา ๘) จดั กจิ กรรมการอุปสมบทหมเู่ ปน็ คร้ังคราว เครื่องอบรมศีลธรรมแกช่ าวบา้ น ๙) จดั กจิ กรรมบวชชหี มู่ เพอื่ ให้ประชาชนได้บำเพญ็ บารมธี รรม ๑๐) จัดกจิ กรรมให้การอบรมศาสนพธิ ีและวฒั นธรรมประเพณีไทยแก่เยาวชนทง้ั หลาย ๑๑) จัดกิจกรรมคิลานเภสัชทานสถาน คือการตั้งตู้ยาสามัญประจำวัด เป็นสถานที่ ใหบ้ ริการรักษาโรคแก่ประชาชนทั้งหลายทว่ั ไป แบบยาขอ หมอวาน ๑๒) จัดการต้งั หอ้ งสมุดประชาชนประจำวดั เปิดบริการใหค้ วามร้แู ก่ประชาชนทั้งหลาย ๑๓) จัดการเปดิ ศาลาร่วมใจ เป็นสถานที่อ่านหนังสือประจำวัดใหบ้ รกิ ารแก่ประชาชน ๑๔) จดั การสรา้ งเมรเุ ผาศพ ให้บริการฟรีแกป่ ระชาชนทงั้ หลาย ๑๕) จัดสถานที่เตรียมไว้สำหรับเป็นที่บรรจุอัฐิสำหรับพุทธศาสนิกชนเท่าไหร่ทั่วไป เป็น ตน้ ดังนั้น การรักษาพระพุทธศาสนาให้คงอยู่คู่ชาตไิ ทยต่อไป จำเป็นต้องมียุทธศาสตร์ในการ บริหาร จัดการวัดทง้ั นเ้ี พื่อให้เกิดความมั่นคงแห่งพระพุทธศาสนา ยทุ ธศาสตร์ที่สำคัญคือการบริหาร จัดการบริหารให้ทันยุคสมัย เพื่อรองรับการเจริญเติบโตของประเทศ เจ้าอาวาสควรมีวิสัยทัศน์ท่ี กว้างไกลไม่หยุดอยู่กับที่ ที่สำคัญด้านศาสนศึกษาให้พระสงฆ์ได้ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัย เพ่ือ ความม่นั คงของพระพทุ ธศาสนา และนำความรู้ที่ได้ศึกษาไปใช้ ยามท่ีสึกขาลาเพสไป (๖)บทบาทของพระสงฆต์ อ่ การพฒั นาชมุ ชนเข้มแขง็ บทบาทของพระสงฆ์ต้องมีความเข้าใจต่อสถานการณ์ และแนวโน้มของการพัฒนาชุมชน เข้มแข็ง มีการพัฒนาตนเองอยู่เสมอตามหลักไตรสิกขา พัฒนากาย พระนาศีล พัฒนาปัญญาเพื่อให้ ทันกระบวนการที่เกิดขึ้นอยู่ทุกวัน อาทิ กระบวนการ นโยบาย ด้านสังคม ด้านเศรษฐกิจ ด้าน วัฒนธรรม ด้านผู้นำชุมชน ประเด็นสำคัญที่ควรจะมีการพิจารณา คือ การพัฒนาการชุมชนเข้มแข็ง ของประเทศไทย มีแนวทางการการพัฒนาที่ถูกต้อง เหมาะสมต่อสถานการณ์แล้วหรือไม่ และจะ สามารถพัฒนาให้ชมุ ชน เข้มแข็ง เติบโต มีความ มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนได้อย่างไร ซึ่งที่ผ่านมาถึงแม้ ประเทศไทยจะมีการกำหนดนโนบาย กระบวนการ การดำเนินการต่าง ๆ การบริหารจัดการของ

๑๐๘ ภาครัฐและการบูรณาการเพื่อการขับเคลื่อนแผน ยุทธศาสตร์ ดังนั้น หากประเทศไทยจะสร้างชุมชน เข้มแขง็ และประชาสงั คมให้เขม้ แขง็ ได้ ตอ้ งอาศัย องคป์ ระกอบต่าง ๆ ดังน้ี คอื ๑) โครงสรา้ งพืน้ ฐานสาธารณะและช่องทางการส่ือสาร คือ เงื่อนไขแรก ท่จี ะทำใหส้ มาชิก ในชุมชน และในประชาสังคม ได้มีโอกาสพบปะ เพื่อพูดคุยถึงปัญหาร่วมกัน หรือเพื่อการสร้าง ความสัมพันธ์ต่อกัน ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยที่เป็นทางการ เช่น เวทีการประชุมสภาตำบล เวทีการ ประชุมเชิงวิชาการเฉพาะเรื่อง หรือเป็นการพูดคุยที่ไม่เป็นทางการ เช่น การสนทนาในร้านกาแฟ (สภากาแฟ) ในร้านหนังสือ ใต้ถุนบ้าน วงส้มตำ เราเรียกพื้นที่ที่ก่อให้เกิดการพบปะพูดคุยกันนี้ว่า “พน้ื ที่สาธารณะ” ซง่ึ สว่ นใหญ่โครงสรา้ งพนื้ ฐานสาธารณะ หรือ พ้นื ทีส่ าธารณะ มกั จะอยูใ่ นรูปแบบที่ ไม่เป็นทางการ เช่น งานเทศกาล งานบุญในศาลาวัด โบสถ์หรือ มัสยิด งานแข่งขันฟุตบอลระหว่าง หมู่บ้าน สิ่งเหล่านี้มิใช่เปน็ เพียงเหตุการณ์ทางสังคมเท่านั้น หากแต่ เป็นช่องทางการเชื่อมโยงคนเขา้ กับชุมชนทอี่ าศัยอยู่ การพบปะจะก่อใหเ้ กิดการพดู คยุ กนั หลายๆ เรือ่ ง ตั้งแต่เรื่องราวในชวี ติ ประจำวัน ดินฟ้าอากาศ การทำมาหากิน ปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมที่มีร่วมกัน การเลือกตั้งระดับท้องถ่ิน เช่น การเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้าน กำนัน องค์การบริหารส่วน ตำบล ไปจนถึงการเลือกตั้งระดับชาติ อย่างเช่น การเลือกตงั้ สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎร หรือสมาชิก วฒุ ิสภา ๒) กระบวนการสำคัญของชุมชน องค์ประกอบนี้ เน้นไปที่กระบวนการมีส่วนร่วมของคน ในชุมชน และประชาสังคม ในประเด็นสาธารณะ ที่จะมีผลต่อชีวิตของคนในชุมชน และประชาสังคม กระบวนการมีส่วนร่วมนี้ อาจจำแนกออกเป็นขั้นตอนต่างๆ ตั้งแต่การร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมตัดสินใจ ร่วมรับประโยชน์ และร่วมติดตามตรวจสอบ โดยทั้งหมดของทุกขั้นตอน ต้องนำไปสู่เรื่องของการ เรยี นรู้ของชมุ ชน และประชาสงั คม และหากถามว่า การเรียนรู้ดงั กล่าว ทำไมจงึ จำเปน็ อาจตอบได้ว่า เพราะคนแต่ละคนในชุมชน และในประชาสังคม มีประสบการณ์ที่แตกต่างกัน จึงทำให้มีมุมมอง ตา่ งกนั เช่น เมือ่ จะมีการตดั ถนนใหม่ผา่ นหมูบ่ า้ น เพอ่ื ทำใหเ้ ราถงึ เมอื งไดอ้ ย่างรวดเรว็ แต่การตดั ถนน นั้น จะตอ้ งผ่านบา้ นเพือ่ น และบา้ นญาติ ๆ ของเรา เรอ่ื งแบบนีม้ ผี ลกระทบ ท้ังในแง่บวกและลบ มีทั้ง ผู้ได้รับผลประโยชน์ และเสียผลประโยชน์ ในฐานะ “ชุมชน\" หรือ \"ประชาสังคม\" จำเป็นต้องเรียนรู้ เรื่องราวทั้งหมด ซึ่งจะทำได้โดย การพูดคุย และเรียนรู้ร่วมกับคนอื่นๆ ที่เป็นสมาชิกในชุมชนเท่านั้น กรณีเช่นนี้เป็นโอกาสอันดีที่พระสงฆ์ต้องยื่นมือเข้าไปไกล่เกลี่ยเพื่อแสดงบทบาทของความเป็น พระสงฆ์ โดยการช่วยพูดเจรจาแก้ปัญหา หรือขอบิณฑบาตที่ดินเพื่อทำสาธารณประโยชน์ เช่น ตัด ถนน ขดุ สระนำ้ ให้เปน็ ทสี่ าธารณะ ใชป้ ระโยชนร์ ่วมกนั ๓) ภาวะการเป็นนำและผู้นำชุมชนในชุมชน และประชาสังคม ที่เข้มแข็ง ซึ่งมักมีวง สนทนาอย่างไม่เป็นทางการอยู่ทั่วไป ตามสถานที่ต่าง ๆ นั้น หากเราสังเกตให้ดี ก็จะพบ “ภาวการณ์ นำ\" การสนทนาในเรื่องต่าง ๆ อย่างมี ชีวิตชีวา โดยภาวะการนำดังกล่าว เป็นความสามารถที่ไม่ได้ ผูกขาดอยู่ที่ผู้ใดผู้หนึ่ง หากมีผู้นำผูกขาด ในการนำเรื่องของส่วนรวม ชีวิตในชุมชน และในประชา

๑๐๙ สังคมนั้น ก็จะขาดชีวิตชีวา และสีสัน และขาดการริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ผู้นำในความหมายนี้ จึง มิได้มีไว้ เพื่อทำหน้าที่ตัดสินความผิด หรือเป็นผู้ต่อต้านการมีส่วนรว่ มของคนในชุมชน แต่จะเป็นผู้ท่ี คอยแนะนำ หรือคอยกระตุ้นให้เกิดการมีส่วนร่วม อย่างกว้างขวาง เพื่อสร้างจิตสำนึกของการเป็น เจ้าของชมุ ชนของสมาชกิ อย่างเตม็ ที่ ๔) ตระหนักว่าตัวเองคือผู้แก้ปัญหาสำหรับชุมชน และประชาสังคม ที่เข้มแข็ง คนใน ชมุ ชนจะตระหนัก หรอื มคี วามคิดว่า อำนาจทแี่ ทจ้ ริงนั้น ไมไ่ ดข้ ้ึนอย่กู ับการบัญญัตทิ างกฎหมาย และ ไม่ได้อยู่ที่หน่วยงาน องค์กร หรือ สถาบันของรัฐเท่านั้น แต่สามารถสร้างสรรค์ขึน้ ได้จากตนเอง และ จากความร่วมมือกับผู้อื่น การมองว่าอำนาจเป็นสิ่งที่มีอยู่ในตัวทุกๆ คนนี้ มักจะนำไปสู่ความเชื่อมั่น ท่วี ่า \"ประชาชนในท้องถิน่ เท่านั้น ท่ีสามารถแก้ปัญหาของท้องถิน่ ได้\" ความเชื่อม่ันน้ี สะท้อนถึงความ รบั ผดิ ชอบของตนต่อปัญหาของ ชมุ ชน สังคม และถอื วา่ ตนเปน็ เจา้ ของชมุ ชน และสังคมน้ัน ๕) ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับสถาบันสงฆ์ ในชุมชน และประชาสังคม ที่เข้มแข็งนั้น ความสัมพันธ์ของคนอาจอยใู่ นรปู ขององค์กร หรือเครอื ขา่ ย ทง้ั ทเี่ ปน็ ทางการ และไม่เปน็ ทางการ มัก เป็นความสัมพันธ์ต่อกันในแนวนอน ลักษณะ ความสัมพันธ์ดังกล่าว ก่อให้เกิดความซื่อสัตย์ และ ไวว้ างใจกัน ซงึ่ จะก่อใหเ้ กิดพลงั ขนาดใหญ่ในการ เปลยี่ นแปลง และแกไ้ ขปัญหาของสังคมได้ ในขณะ ที่สถาบัน และองค์กรต่างๆ ในชุมชน และประชา สังคม เช่น สถาบันการศึกษา สถาบันศาสนา กลุ่ม ธุรกิจ กร็ วมเข้าเปน็ สว่ นหน่ึงของชวี ติ ในชมุ ชน ๖) สำนกึ ของความเปน็ ชุมชนและวัฒนธรรมของการเอื้ออาทร ในอดีต ทคี่ นในชุมชน และ ประชาสังคม ต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อชีวิตของตนเองนั้น กิจกรรมสาธารณะเกือบทุกประเภท จะ สำเร็จได้ ก็เพราะทุกคนในชุมชน ได้มีส่วนร่วมลงมือทำ การได้ทำงานร่วมกันนั้น ได้สร้างวัฒนธรรม ของการเอ้อื อาทร และวัฒนธรรมของการแบ่งปัน ให้เกิดขนึ้ ใน ชุมชน ซึ่งเปน็ สายสมั พันธท์ ีส่ ำคัญท่ีทำ ให้ทกุ คน “อยู่ร่วม\" และ \"อยู่รอด\" ได้ อย่างไรก็ดี วัด บา้ น โรงเรียน ชุมชนใดกต็ ามมีความสามคั คี กลมเกลยี วกนั ชมุ ชนน้ันจะมี ความเข้มแข็ง ที่เกิดจากแรงผลักดันของพระสงฆ์ที่มีภาวะผู้นำ อาศัยหลักธรรมเป็นที่พึ่งในการ ดำเนินงาน ช่วยให้เกิดความผาสุกในหมู่ประชาชน การประกอบสัมมาอาชีพก็เจริญรุ่งเรือง “เม่ือ พระสงฆ์ควรได้รับการศึกษา เรียนรู้หลักพระธรรมแล้วต้องนำหลักธรรมเหล่านั้นไปสู่รูปธรรม แก้ปัญหาที่ติดขัดในชุมชนทุก ๆ ด้าน อย่างน้อยช่วยให้เกิดความสามัคคีภายในชุมชน สิ่งที่ทำให้มี บทบาทมาก เพราะมีผลต่อการโน้มน้าวจิตใจคนให้มีศรัทธาในพระพุทธศาสนามากขึ้น นำทาง ความคิด ทางปัญญา และการเสียสละสิ่งของและเวลา”๔ อย่างไรก็ดี พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาทุก ๔ สัมภาษณ์ พระครูปริยัติกิตติวรรณ, เจ้าคณะตำบลทุ่งมน-สมุด เจ้าอาวาสวัดสะเดารัตนาราม ตำบลท่งุ มน อำเภอปราสาท จังหวดั สุรนิ ทร์, ๔ พฤษภาคม ๒๕๖๕.

๑๑๐ ยุคสมัย มีบทบาทในการพัฒนาชุมชนตลอดมา ยามที่ชุมชนมีปัญหา อุทกภัย อัคคีภัย หรือวาตภัย พระสงฆ์จะนิ่งดูดายไม่ได้ ต้องยื่นมือเข้าไปช่วยเพื่อซับน้ำตาของคนในชุมชนนั้น ๆ ที่ได้รับความ เดือดร้อน “การพัฒนาชุมชน เป็นการแสดงศักยภาพของพระสงฆ์เอง ว่ามีความสามารถในการ พฒั นาเพียงใด โดยเฉพาะการพฒั นาทางจิตวิญาณ พระสงฆต์ ้องมคี วามชำนาญในการทำสมาธิ เทศนา สั่งสอนญาติโยม ตลอดจนการสอนเด็กเยาวชน”๕ ดังที่กล่าวมามีความสอดคล้องกับบทบาทของ พระสงฆ์ สื่อบุคคลในการชี้นำและปลูกจิตสำนึกประชาชน เพื่อการมีส่วนร่วมในการพัฒนาท้องถิ่น ศึกษา กรณีพระสังฆาธิการระดับเจ้าอาวาส จังหวัดกาญจนบุรี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการ เปิดรับข่าวสารทางสอื่ สารมวลชนของพระสงฆ์ และการนำขา่ วสารที่ไดร้ ับไปใช้ประโยชน์ การเลือกใช้ วิธีการสื่อสารของพระสงฆ์ในการชี้นำและปลูกจิตสำนึกประชาชนชนบท เพื่อการมีส่วนร่วมในการ พัฒนาท้องถิ่น ความสัมพันธ์ระหว่างคุณลักษณะประชากรของพระสงฆ์ความสัมพันธ์ระหว่าง คุณลักษณะประชากรของพระสงฆ์ซึ่ง ได้แก่ อายุ พรรษา การศึกษาทางโลกและการศึกษาทางธรรม กับการชี้นำและปลูกจิตสำนึกประชาชนชนบทเพ่ือการมีสว่ นรว่ มในการพัฒนาท้องถิ่น กลุ่มประชากร ทใ่ี ช้ในการวิจัยครง้ั น้ี ได้แก่ พระสงั ฆาธกิ ารระดับเจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาส หรอื ผู้ชว่ ยเจ้าอาวาสซึ่งจำ พรรษาอย่ใู นวัดทตี่ งั้ อย่ใู นเขตพ้นื ท่จี งั หวดั กาญจนบรุ ี จำนวน ๒๘๐ รูป ศึกษาประชากรทง้ั หมด พบว่า ประชากรพระสงฆ์ติดตามข่าวสารต่างๆ จากหนังสือพิมพ์และวิทยุกระจายเสียงมากที่สุด ประชากร พระสงฆ์ส่วนใหญ่ อ่านหนังสือพิมพ์ทุกวัน และเปิดรับข่าวสารเกี่ยวกับการพัฒนาในด้านสังคม เศรษฐกิจ การเมือง ในกรณีขา่ วสารจากแหลง่ ส่ือสารมวลชนไมส่ อดคล้องกัน พระสงฆ์สว่ น ใหญ่จะตก ลงใจเชื่อข่าวสารจากหนังสือพิมพ์มากที่สุด และประชากรพระสงฆ์ส่วนใหญ่นาข่าวสารที่ได้จากการ อ่าน รับฟังหรือรับชม จากสื่อมวลชนต่างๆ ไปใช้ประโยชน์ในการชี้นำอบรมสั่งสอนให้ประชาชนใน ชุมชน๖ สรุป บทบาทพระสงฆ์ในการพัฒนาชุมชน คือ พระสงฆ์ทำหน้าที่อนุเคราะห์ เกื้อกูล ด้วย การปลูกฝังธรรมะในจิตใจ เป็นการหล่อหลอมความคิด ทัศนคติตลอดจนอารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ ด้วย หลักธรรมเพื่อเป็นแนวทางในการดำรงชีวิต การพัฒนาชุมชนถือลักษณะเฉพาะ โดยมุ่งเน้นไปที่การ เปลี่ยนแปลงในตัวมนุษย์รวมถึงศักยภาพของมนุษย์ การพัฒนาชุมชนเป็นวิธีการที่นำเอาบริการของ รฐั บาล ผนวกเขา้ กับความต้องการของประชาชน เพื่อยกระดับคุณภาพของชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้น ๕ สัมภาษณ์ นายเปือง สันทัยพร, ปราชญ์ชาวบ้านบ้านหนองโบสถ์ หมู่ที่ ๙ ตำบลทุ่งมน อำเภอ ปราสาท จงั หวดั สรุ ินทร์, ๖ พฤษภาคม ๒๕๖๕. ๖ ธันยพร พงษ์โสภณ, “บทบาทของพระสงฆ์ สื่อบุคคลในการชีน้ าและปลูกจิตสานึกประชาชนชนบท เพื่อการมีส่วนร่วมในการพัฒนาท้องถิ่น ศึกษากรณี พระสังฆาธิการระดับเจ้าอาวาสจังหวัดกาญจนบุรี”, วิทยานิพนธ์วารสารศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาสื่อสารมวลชน, (คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน: มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๓๙), หน้า ๒๐.

๑๑๑ พระสงฆ์ที่เป็นตัวแทนของวัด เปน็ ผ้นู ำทางจิตวิญญาณของประชาชน เป็นศูนยร์ วมแหง่ ความเชื่อถือ การ นำหลักธรรมพระพุทธศาสนา ไปแก้ไขปัญหาและการปรับปรุงคุณภาพชีวิตทุกระดับต้องเริ่มที่จิตใจเป็น พน้ื ฐาน ๕.๒.๓ การศึกษาบทบาทการพัฒนาชุมชนของหลวงปู่ริม รตนมุนี วัดอุทุมพร อำเภอ ปราสาท จังหวัดสุรินทร์ ได้แก่ บทบาท คือ การทำตามบทโดยปริยาย หมายความว่า การทำตาม หน้าที่ที่กำหนดไว้ เช่น บทบาทของพ่อแม่ บทบาทของครู๗ หมายถึง ภาระหน้าที่ที่บุคคลใดบุคคล หนึ่งจะพึงกระทำตามสถานภาพท่ีตนดำรงอยู่ บทบาทจึงเป็นส่วนประกอบท่ีสำคัญของโครงสร้างทาง สังคมประการหนึ่ง๘บทบาทการทำตามหน้าที่ของพระสงฆ์ ในด้านการพัฒนาชุมชน บทบาทจึง เกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน ในกระบวนการพัฒนาและได้รับผลจากการพัฒนาโดยตรง จะต้องได้รับการ พัฒนาเป็นอย่างดี และในการพัฒนาคนนั้นส่วนสำคัญที่สุด ก็คือ จิตใจ ดังนั้น ในยุคปัจจุบัน งาน พัฒนาจึงหันมาให้ความสนใจแก่การพัฒนาจิตใจมากขึ้น รวมถึงการพัฒนา คุณธรรม จริยธรรม ตลอดจนสุขภาพจติ ในชนบทหลายแหง่ พระสงฆ์ไดเ้ ป็นผนู้ ำในการพฒั นา และวดั ได้เปน็ ศนู ยก์ ลางของ การพัฒนา เพราะพระสงฆ์เป็นผู้นำทางจิตใจ บทบาทสำคัญของวัด คือ เป็นศูนย์กลางการศึกษาของ ประชาชน โดยมีพระสงฆ์เป็นครู-อาจารย์ ศิลปวัฒนธรรมด้านต่างๆ พัฒนาขึ้นในวัด หรือออกไปจาก วัด ปัจจบุ นั เมอ่ื แนวโน้มของการพัฒนาเปล่ียนแปลงไป โดยหนั มาเนน้ การพัฒนาจิตใจและการพัฒนา ด้านคนมากขึ้น ก็เป็นโอกาสที่วัดและพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา จะได้มีบทบาทในการพัฒนาและ บทบาทของผู้นำในการพัฒนาขึ้นใหม่ พัฒนากาย ได้แก่ การพัฒนาร่างกายให้แข็งแรง ไร้โรค มี สุขภาพดี พฒั นาศีล หมายถงึ การพัฒนาความสัมพนั ธก์ ับสิ่งแวดลอ้ มทางสงั คมให้เปน็ ไปด้วยดี เริ่มแต่ ไมก่ ่อการเบียดเบียน เปน็ ต้น การพฒั นาจิต คอื พัฒนาจติ ใจให้มีคุณสมบตั ิงามพรั่งพร้อม และพัฒนา ปัญญา คือ พัฒนาความรู้ความเข้าใจ ให้เกิดความรู้แจ้งเห็นจริง และใช้ความรู้แก้ปัญหา การเรียนรู้ ไตรสิกขา น้นั ก็ทรงวางไว้เป็นหลกั แล้ววา่ ประกอบดว้ ย ศีลลิกขา สมาธสิ กิ ขา และปัญญาสิกขา สังคม ปัจจุบัน การเรียนรู้ของสงฆ์ควรจะเรียนรู้ใน ๓ เรื่องใหญ่ คือ (๑) เรียนรู้พุทธธรรม ให้ลึกซึ้งที่สุดท้ัง ทางปริยัติและปฏบิ ัติ (๒) เรียนรู้สังคมปัจจุบนั ให้รูเ้ ท่าทนั สงั คมปัจจุบันเพื่อประโยชน์ในการสอน (๓) เรียนรู้การติดต่อสื่อสาร ให้เป็นที่สนใจของผู้คน และมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม๙การพัฒนา ชุมชนเอาวัดเป็นศูนย์กลาง เจ้าอาวาสผู้มีหน้าที่บริหารและปกครองวัดที่อยู่ใกล้ชิดชาวบ้านมากที่สุด เปน็ ผ้ดู ำเนนิ การในการพัฒนาวัด และพฒั นาชุมชน เพอื่ ความเจริญรงุ่ เรอื งของพระพุทธศาสนา ๗ ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔, พิมพ์ครั้งท่ี ๒, (กรงุ เทพมหานคร: บรษิ ัท ศริ ิวฒั นาอินเตอร์พรนิ้ จำกัด (มหาชน), ๒๕๕๖), หน้า ๖๔๘. ๘ ลือชา ธรรมวินัยสถิต, มนุษย์กับสังคม, (เพชรบุรี: ภาควิชาสังคมวิทยา คณะมนุษยศาสตร์แล สังคมศาสตร์ สถาบนั ราชภฏั เพชรบรุ ี, ๒๕๓๙), หน้า ๔๗. ๙ จำนงค์ อดวิ ัฒนสิทธ,ิ์ สงั คมวทิ ยาศาสนา, (กรงุ เทพมหานคร: แพร่วิทยา, ๒๕๒๕), หนา้ ๑๔๕-๑๕๒.

๑๑๒ พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่มุ่งไปที่การพัฒนามนุษย์ โดยเฉพาะการพัฒนาในด้านจติ ใจ ให้สูง ให้มนษุ ย์มจี ติ สำนกึ ในทางทด่ี ี โดยมุง่ พฒั นาตน พฒั นาชุมชนใหม้ นษุ ย์มคี วามอยูด่ มี ีสขุ ตามหลกั พุทธธรรม กายภาวนา พัฒนากาย ศลี ภาวนา พัฒนาศลี จติ ภาวนา พฒั นาจิต ปัญญาภาวนา พัฒนา ปัญญา พระสงฆ์เป็นผู้นำในการพัฒนาโครงการต่าง ๆ ในชนบท เป็นผู้ที่มองเห็นปัญหาความ เดือดร้อนและยากไร้ ขาดแคลนด้านการครองชีพ ด้านการศึกษา และเศรษฐกิจของคนในชุมชน พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาทุกยุคสมัย มีบทบาทในการพัฒนาชุมชนตลอดมา ยามที่ชุมชนมีปัญหา เช่น อุทกภัย อัคคภี ยั หรือวาตภัย พระสงฆ์จะนง่ิ ดดู ายไมไ่ ด้ ตอ้ งยืน่ มอื เขา้ ไปช่วยเพ่ือซบั นำ้ ตาของคน ในชุมชนนั้น การพัฒนา คุณธรรม จริยธรรม การพัฒนาคนเป็นหน้าที่หลักของพระพุทธศาสนา ชาวบ้านมีปัญหาเกิดขึ้นพระสงฆ์ต้องเป็นผู้นำในการแก้ปัญหาของประชาชน เพื่อให้ประชาชนใน ชุมชนมีความสงบสุข จะปัดทิ้งปัญหาของชุมชนไม่ได้ ชาวบ้านมีความทุกข์พระสงฆ์ก็มีความทุกข์ ชว่ ยกนั แก้ปัญหาลักษณะถอยทถ่ี อยอาศัยกัน การแกป้ ัญหาบนพน้ื ฐานแนวคิดเศรษฐกจิ พอเพียง เป็น แก้ปัญหาความยากจน คือการวางรากฐานอันมั่นคงและยั่งยืน การพัฒนาแบบองค์รวม” หรือ “การ พัฒนาแบบบูรณาการ” ทั้งด้านเศรษฐกิจ จิตใจ สังคม วัฒนธรรมสิง่ แวดล้อม การเมือง เป็นต้น และ นำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาไปใช้ คือ ทิฏฐธัมมิกัตถสังวัตตนิกธรรม (๑) อุฏฐานสัมปทา ถึง พร้อมด้วยความขยัน (๒) อารักขสัมปทา ถึงพร้อม ด้วยการรักษา (๓) กัลยาณมิตตตา คบคนดีเป็น มิตร (๔) สมชีวิตา มีความเป็นอยู่เหมาะสม คือรู้จักกำหนดรายได้และรายจ่ายเลี้ยงชีพแต่พอดี มิให้ ฝืดเคือง รายได้เหนือรายจ่าย๑๐การแก้ปัญหาความยากจน ต้องตระหนักถึงปากท้องของคนในชุมชน เป็นสิ่งสำคัญ ประชาชนกินดีอยู่ดีก่อนสิ่งใด อย่างอื่นก็ทยอยตามเข้าไป พระสงฆ์ทำงานด้านการ พัฒนาทั้งในอดีตและปัจจุบัน แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท แรงจูงใจภายนอก และแรงจูงใจภายใน การ สร้างชมุ ชนให้มีการเรียนรู้ องคค์ วามรู้ ซ่งึ เปน็ บทบาททจ่ี ะต้องชี้นำทางในการพัฒนาไม่ว่าจะเป็นด้าน แนวความคิด แนะนำสั่งสอน เป็นแบบอย่างที่ดี เป็นผู้นำทางด้านจิตวิญญาณ อันเป็นการชักนำ แนวทางไปสู่การพัฒนาสังคม ชุมชนให้เกดิ ความเข้มแขง็ ทางด้านจิตใจ ทางดา้ นเศรษฐกิจ การพัฒนา วัดมีความจำเป็นอย่างมากในยุคปัจจุบัน เพราะวัดในประเทศไทย ก้าวเข่าสู่ยุคการพัฒนา วัดใน พระพุทธศาสนาตอ้ งก้าวให้ทันในการพัฒนาสถานท่ีบริเวณเขตพุทธาวาส สังฆาวาส ห้องน้ำ ห้องสุขา กุฏิ วิหาร ลานเจดีย์ ศาลาเอนกประสงค์แบ่งออกให้เป็นชัดส่วน วัด บ้าน โรงเรียน ชุมชนใดก็ตามมี ความสามัคคี กลมเกลียวกัน ชุมชนนัน้ จะมีความเข้มแข็ง ที่เกิดจากแรงผลักดนั ของพระสงฆ์ที่มีภาวะ ผ้นู ำ ๑๐ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม, พิมพ์ครั้งที่ ๑๒, โรง พมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๔๖), หน้า ๑๑๖.

๑๑๓ หลวงปรู่ มิ รตนมุนี ทา่ นเสยี สละในเร่ืองการพัฒนา รวมทงั้ พัฒนาพระสงฆภ์ ายในตำบลทุ่ง มน ให้มีการศึกษานำหน้าเพื่อเป็นตัวอย่างของประชาชน ส่งพระสงฆ์ สามเณรไปศึกษาวิชาบาลีใน กรุงเทพมหานคร สอบได้เปรียญธรรมสูง ๆ เป็นจำนวนมาก คนในชุมชนมีความแตกต่างกันหลาย ประการ ต่างจิตต่างใจ ต่างความรู้สึก ต่างความนึกคิด ต่างความต้องการ มีความรู้ความสามารถไม่ เทา่ กนั หลวงปทู่ า่ นจึงตอ้ งประสานงานกนั มีความเมตตา กรุณาเปน็ หลกั ในการเป็นผ้นู ำในการทำงาน ด้านพฒั นาชุมชน หลวงปมู่ ีภาวะผู้นำสูง มคี วามดีงาม สติปญั ญา ความรูค้ วามสามารถเฉพาะตวั การ ที่จะเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพในยุคปัจจุบันได้ ควรมีทัศนคติแบบมุ่งผลสัมฤทธิ์ มีความกล้าหาญ ยืน หยดั ทำในส่งิ ที่ถูกต้อง มีมนุษย์สัมพันธท์ ดี่ ี มีคุณธรรมจริยธรรม และที่สำคญั ตอ้ งมคี วามอ่อนน้อมถ่อม ตนด้วย คุณสมบัติของผู้นำจะต้องมีคุณธรรม ๗ ประการ (๑) รู้หลักการ เมื่อดำรงตำแหน่ง (๒) รู้ จุดหมาย (๓) รู้จักตน (๔) รู้จักประมาณ (๕) รู้กาล คือ รู้จักเวลา (๖) รู้จักชุมชน คือ สังคม (๗) รู้ บุคคล คือ รู้จักบุคคลที่เกี่ยวข้อง ปฏิบัติต่อเขาได้ถูกต้องและเหมาะสม รู้ว่าจะใช้วิธีสัมพันธ์พูดจา แนะนำ ติชมหรือจะให้เขายอมรับได้อย่างไร โดยเฉพาะในการใช้คน ต้องรู้ว่าคนไหนเป็นอย่างไร มี ความถนัดและอัธยาศัย ความสามารถอย่างไร เพื่อใช้คนให้เหมาะสมกับงาน๑๑การพัฒนาชุมชนของ หลวงปู่ พฒั นาเพอ่ื คนในชมุ ชนท่ีอยรู่ อบวัดและห่างจากวัดให้มีความเจริญ ด้านรา่ งกายและจติ ใจ โดย ยึดหลักการพัฒนาภายนอกให้มีความอยู่ดีมีสุข และภายในให้เป็นมีศีลธรรมค้ำชู ซึ่งสอดคล้องกับ หลักการพัฒนามนุษย์ของพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยตุ โฺ ต) ทไี่ ดก้ ลา่ วเอาไว้ถงึ การพัฒนาที่ยั่งยืนน้ัน ต้องเน้นที่การพัฒนามนุษย์เป็นแกนหลักเอาไว้ว่า การพัฒนามนุษย์ประกอบด้วย ๓ ด้าน พัฒนา พฤติกรรม ท่ดี ใี ห้เปน็ ช่องทางจติ ใจพัฒนา และช่วยใหป้ ัญญางอกงาม อย่างนอ้ ยพัฒนาพฤติกรรมท่ีไม่ เบียดเบียน ก่อให้เกิดการสร้างสรรค์เกื้อกูล พัฒนาจิตใจ มีเจตจำนงเป็นตัวชี้นำกำหนดพฤติกรรม และพัฒนาปัญญา ปัญญาเป็นตัวแก้ปัญหา เป็นจัดปรับทุกอย่างทั้งพฤติกรรมและจิตใจให้ลงตัวพอดี และเปน็ ตวั นำสจู่ ดุ หมายแหง่ ความมอี สิ รภาพและสันติสุข๑๒หลวงปูร่ มิ รตนมุนี ทา่ นพัฒนาก็เพื่อให้คน ในชุมชนมีความสงบสุข ไม่เกี่ยวข้องกับอบายมุข เป็นครอบครัวที่อบอุ่นอยู่พร้อมหน้าลูก เมีย ถึงวัน สำคัญทางพระพุทธศาสนาก็ออกไปทำบุญที่วัด ซึ่งเป็นวิถีของคนในชุมชน สมาทานศีล ๕ และ ๘ พัฒนาสิ่งแวดล้อมรอบชุมชนและพัฒนาจิตใจคนในชุมชนให้มีการศึกษา สอนคนให้คนรักธรรมชาติ เราตอ้ งใหเ้ ขามีความสุขในการอย่กู บั ธรรมชาติ ภาระกิจท้งั ๖ ดา้ นถือวา่ เปน็ ภาระกจิ ทีส่ ำคญั ของคณะ สงฆ์ในชนั้ ของผ้บู รหิ าร ซึง่ เปน็ การพฒั นาในกจิ การคณะสงฆ์ หลวงปไู่ ดป้ ฏบิ ัติทง้ั ๖ ดา้ น ๑๑ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต), ภาวะผู้นำ, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์บริษัทตถาตา พบั ลิเคชนั่ จำกัด, ๒๕๕๐), หน้า ๒๕-๒๖. ๑๒ พระธรรมปฎิ ก (ป.อ.ปยุตโฺ ต), การพัฒนาที่ยั่งยืน, พิมพ์ครั้งที่ ๑๓, (กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์ มูลลนิธโิ กมลคีมทอง, ๒๕๕๖), หน้า ๒๓๒-๒๓๗.

๑๑๔ การสร้างผืนป่ารักษาธรรม เหตุการณ์สำคัญๆ ที่บันทึกไว้ในพุทธประวัติบอกให้เราทราบ ว่า ชีวิตของ พระพุทธองค์ ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมธรรมชาติที่เป็นแม่น้ำ ป่าเขาลำเนาไพร ในการสร้างผืนป่า รักษาธรรม หลวงปู่ได้สร้างสำนักปฏิบัติธรรมคีรีวงกต ส่งเสริมการสร้างจิตสำนึก ประชาชน ด้านการอนรุ ักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรท้องถิ่น และการยกระดับพฒั นาองค์ความรู้ท้องถิ่นมา ประยกุ ตใ์ ชโ้ ดยการมสี ่วนรว่ มของชมุ ชน สรา้ งต้งั แต่ ปี พ.ศ. ๒๕๐๐ สร้างป่าชมุ ชน ผืนแรกชื่อว่า “ป่า ชุมชนคีรีวงคต” เป็นพื้นที่แรกในตำบลทุ่งมน เนื้อที่ประมาณ ๖๕ ไร่ เพื่อประกอบ กิจกรรมทาง ศาสนา โดยการจำลองแบบอย่างเขาวงกต ซึ่งเป็นเรื่องราวจากคัมภีร์พุทธศาสนา โดยทำเส้นทางที่ ซับซ้อน วกวน เพื่อเดินจงกรม ปฏิบัติสมถวปิ ัสสนากรรมฐาน และเจริญสติ และกลายเป็นแบบอย่าง การฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมป่าชุมชน ป่าครอบครัว และป่าหัวไร่ปลายนา ในเขต ตำบลทุง่ มน และจงั หวัดสรุ นิ ทร์ งานพัฒนาที่ของหลวงปู่ ทา่ นได้สรา้ งเอาไว้เปน็ คุณูปการต่ออนุชนคน รุ่นหลัง เป็นอย่างมาก ได้ใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม เป็นแหล่งเรียนรู้เชงิ บูรณาการแบบมีส่วนร่วมใน ตำบลทุ่งมน ทุกภาคีเครือข่ายจึงเข้ามามีส่วนร่วมในการสืบสานประเพณีอันดีงาม การพัฒนา จริยธรรมของบุคคลจะต้องม่งุ เน้นไปทบ่ี ุคลิกภาพภายใน คอื บุคลกิ ภาพดา้ นอุปนสิ ัยใจคอ เพ่ือให้เกิด การเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีเจริญขึ้น ตามบริบทของแต่ละสังคม การพัฒนาหมู่บ้านให้มีความ เจริญก้าวหน้าตามสภาพแวดล้อมของท้องถิ่น เสริมสร้างคุณภาพ ความรู้ความสามารถเหมาะสมกับ ภูมิปญั ญาปลกู จิตสำนกึ ให้ทุกคนมีศลี ธรรม ซง่ึ จะเปน็ รากฐานในการพฒั นาด้านอ่นื ๆ หลวงปู่ริม รตนมุนี เป็นพระรูปหนึ่งที่มีความมานะในการพัฒนา ให้ประชาชนมีความ สะดวกสบายในหลาย ๆ ด้าน ท่านมักจะสร้างสาธารณะวัตถุ และสาธารณประโยชน์ ให้เป็นอนุสรณ์ แก่อนชุ นคนรุ่นหลงั หลวงปู่ เดนิ ธุดงคเ์ หน็ สถานทเี่ หมาะสมในการสร้างวัด ชอ่ื ว่า วัดเขาแหลมรัตนมุนี และสรา้ งอนสุ รณ์สถานทีอ่ ่ืน ๆ เชน่ หนองเขียว หนองกก หนองทมอ เปน็ ตน้ พ.ศ. ๒๕๑๐ หลวงปู่ริม จึงได้สร้างสำนักสงฆ์ขึ้นใหม่อีกแห่งหนึ่งมีเนื้อที่ ๑๐ ไร่ เป็นที่ดินของหลวงปู่เอง ห่างจากวัดอุทุมพร ประมาณ ๓ กิโลเมตร ในปัจจุบัน คือ วัดสะเดารัตนาราม ต่อมาหลวงปู่ได้สร้างสะพานข้ามลำน้ำชี เพื่อการสัญจรไปมาให้มคี วามสะดวกจากฝังสุรินทร์ ไปบุรีรัมย์ สร้างโรงเรียนประจำชุมชนบา้ นท่งุ มน ในปัจจุบัน คือ โรงเรียนบ้านทุ่งมน (ริมราษฎร์นุสรณ์) หลวงปู่สร้างได้สร้างสถานีอนามัยไว้ ประจำ ตำบลทงุ่ มนในปจั จุบนั คอื โรงพยาบาลสง่ เสรมิ สขุ ภาพประจำตำบลทุงมน หลวงปู่ได้ซ้ือที่ดินเพื่อสร้าง ศนู ย์พัฒนาตำบลทุ่งมน ในปัจจบุ นั คือ ศูนยพ์ ัฒนาเด็กเล็กบ้านหนองโบสถส์ ิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากการ มีเมตตาธรรมของหลวงปู่ ที่ไม่ยึดติดในสิ่งของภายนอก แต่เสียสละกำลังกาย กำลังทรัพย์เพื่อคนหมู่ มาก เปน็ สาธารณสงเคราะห์ การสร้างสาธารณะประโยชน์อน่ื ๆ อกี มาก ท่านแบบอย่างท่ดี ีเป็นผู้มีแต่ ให้ และเปน็ ทย่ี ึดเหน่ยี วจิตใจของศิษย์ยานุศิษย์ และมวลชน สมควรอย่างย่งิ ต่อการยกย่อง เชดิ ชู บูชา ในปฏิปทาที่งดงาม และเป็นท่ีประจักษแ์ ก่อนุชน คนรุ่นหลัง เป็นผู้นำทางจิตใจของคนในชุมชนตลอด มา ดังทกี่ ลา่ วมามีความสอดคลอ้ งกับพระครสู งั ฆรักษ์พศวีย์ ธีรปญฺโญ ซึง่ ไดท้ ำการวิจยั เรอ่ื ง “บทบาท

๑๑๕ ของพระสังฆาธิการในการบริหารกิจการคณะสงฆ์: ศึกษากรณี พระสังฆาธิการในจังหวัดนนทบุรี” ผลการวิจัยพบว่า บทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหารกจิ การคณะสงฆ์ โดยรวมอยู่ในระดับมาก ด้านการศาสนศึกษา ด้านการศึกษาสงเคราะห์ ด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ด้านการ สาธารณูปการ และด้านการสาธารณสงเคราะห์ พบว่ามีบทบาทอยู่ในระดับมากทุกด้าน และเมื่อ เปรียบเทียบบทบาทของพระสังฆาธิการจังหวัดนนทบุรที ี่มีจำนวนพรรษา ระดับการศึกษาสายสามัญ การศึกษาทางเปรียญธรรม ประสบการณ์ในการปฏิบัติหน้าที่ และการสังกัดวัดแต่ละขนาดแตกต่าง กนั มีบทบาทตอ่ การบรหิ ารกจิ การคณะสงฆใ์ นจงั หวดั นนทบรุ ีไมแ่ ตกตา่ งกนั ๑๓ สรปุ บทบาทการพัฒนาชุมชนของหลวงปู่ริม รตนมุนี วัดอุทมุ พร อำเภอปราสาท จังหวัด สุรินทร์ คือ หลวงปู่นำชาวบ้านพัฒนาวัด พัฒนาชุมชน มีความเมตตา กรุณาในเบื้องต้นเป็นหลักการ เปน็ ผนู้ ำในการทำงานด้านพัฒนาชุมชน ผู้นำทีม่ ปี ระสิทธิภาพควรมีทศั นคตแิ บบมุ่งผลสัมฤทธิ์ มีความ กล้าหาญ ยืนหยัดทำในสิ่งที่ถูกต้อง มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี ต้องมีความรู้ คือรู้คิด รู้ทัน รู้ทำ และรู้จัก บริหาร โดยใช้หลักธรรม สัปปุริสธรรม ๗ ประการ หลวงปู่ริมพัฒนาคนโดยสร้างสถานที่ปฏิบัติธรรม เรียกว่า ป่าชุมชนคีรีวงคต ท่านพัฒนาก็เพื่อให้คนในชุมชนมีความสงบสุข ไม่เกี่ยวข้องกับอบายมุข เป็นครอบครัวที่อบอุ่น หลวงปู่สร้างสาธารณประโยชน์ ให้ชุมชนได้ใช้สอยเกิดประโยชน์โดยส่วนรวม สร้างสะพานให้คนข้ามไปมาสะดวกต่อการสัญจร สร้างโรงเรียนให้เยาวชนได้ศึกษาเล่าเรียน สร้าง สถานีอนามยั ใหค้ นในชมุ ชนไดร้ กั ษาตนยามเจบ็ ไข้ได้ป่วย สิ่งเหลา่ นลี้ ้วนเกดิ จากการมเี มตตาธรรมของ หลวงปู่ โดยพัฒนาชุมชนตามหลักพุทธธรรม ให้มนุษย์มีความอยู่ดีมีสุข ตามหลักพุทธธรรม กาย ภาวนา พัฒนากาย ได้แก่ การพัฒนาร่างกายให้แข็งแรง ศีลภาวนา พัฒนาศีล หมายถึง การพัฒนา ความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมทางสังคมให้เป็นไปด้วยดี จิตภาวนา พัฒนาจิต คือ พัฒนาจิตใจให้มี คณุ สมบตั งิ ามพร้อม พระสงฆค์ วรได้รบั การศึกษา เรยี นรนู้ ำหลกั ธรรมเหล่านน้ั ไปส่รู ปู ธรรม แก้ปัญหา ที่หมักหมนในชมุ ชนทุก ๆ ด้าน อย่างน้อยช่วยให้เกิดความสามัคคีธรรมภายในชุมชน ปัญหาที่เกดิ ข้ึน ภายในชุมชน พระสงฆ์ต้องแสดงออกเป็นภาวะผู้นำในทุก ๆ เรื่อง เพื่อเป็นกำลังใจให้กับประชาชนที่ อยใู่ นชมุ ชน เชน่ การแก้ปัญหาความยากจน ตอ้ งตระหนักถึงปากท้องของคนในชมุ ชนเปน็ สง่ิ สำคัญ ให้ ประชาชนกินดีอยู่ดีก่อนสิ่งใด แรงจูงใจทั้งภายนอกและภายใน ทำให้เกิดผลต่อการพัฒนาชุมชนของ พระสงฆ์ เป็นบทบาทที่จะต้องชี้นำทางในการพัฒนาไม่ว่าจะเป็นด้านแนวความคิด แนะนำคำสั่งสอน เป็นแบบอย่างที่ดี เป็นผู้นำทางด้านจิตวิญญาณ หลวงปู่สร้างป่าชุมชนคีรีวงคตขึ้นให้เป็นที่ปฏิบัติ ศาสนกิจทางพระพุทธศาสนา และให้เป็นที่ปฏิบัติธรรมของพระสงฆ์ และฆราวาส ซึ่งเป็นวิถชี ุมชนใน ๑๓ พระครูสังฆรักษ์พศวีร์ ธีรปญฺโญ, “บทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหารกิจการคณะสงฆ์ : ศึกษากรณี พระสังฆาธิการในจังหวัดนนทบุรี”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๕๑), หนา้ ๒๕.

๑๑๖ เขตตำบลทุ่งมน และตำบลสมุด วันสำคัญทางพระพุทธศาสนาก็ออกไปทำบุญที่วัด ซึ่งเป็นวิถีของคน ในชุมชน สมาทานศีล ๕ และศีล ๘ ซึ่งถือว่าเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี การพัฒนาด้านศาสนศึกษา เป็น การศึกษาของพระสงฆ์ สามเณรโดยตรงให้ได้รับการศึกษาพระธรรมวินัย งานพัฒนาของหลวงปู่ริม รตนมนุ ี ได้สร้างสาธารณประโยชน์เอาไว้เปน็ คุณูปการตอ่ อนชุ นคนร่นุ หลงั เป็นอยา่ งมาก ๕.๓ ขอ้ เสนอแนะ การทำวิจัยเรื่อง “ศึกษาบทบาทการพัฒนาชุมชนของหลวงปู่ริม รตนมุนี วัดอุทุมพร อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์” มีขอ้ เสนอแนะ ดงั นี้ ๕.๓.๑ ข้อเสนอแนะเชงิ นโยบาย จากการวิจัยพบว่า การพัฒนาชุมชนในชนบทของประเทศไทย มีปัญหาในด้านการพัฒนา ของชนบทไทยนั้นมีมากมายหลายด้าน มีลักษณะแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค แต่ละท้องถ่ิน อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปแล้วปัญหา สำคัญที่ชนบทส่วนใหญ่มีเหมือนๆ กัน คือ ปัญหา ความยากจน และความล้าหลังทางเศรษฐกิจ ซ่ึงมีผลต่อเน่ืองไปถึงความเสอื่ มโทรมในคณุ ภาพชวี ิต วงจรของปัญหา ดังกลา่ วหมุนเวียนตอ่ เน่อื งมาเป็น เวลานานและเป็นสาเหตสุ ำคญั ทีท่ ำใหช้ าวชนบท ไม่สามารถพัฒนา เพือ่ พ่งึ ตนเองไดอ้ ยา่ งแทจ้ รงิ การพฒั นาชมุ ชนจำเป็นต้องทำตามลำดับข้นั ตอน ต้องสรา้ งพนื้ ฐาน คอื ความพอมี พอกิน พอใช้ ซึ่งเป็นปัญหาปากท้องของประชาชนส่วนใหญ่เป็นเบื้องต้น ก่อนโดยใช้วิธีการและอุปกรณ์ท่ี ประหยัด แต่ถูกต้องตามหลักวิชาการ เมื่อได้พื้นฐานมั่นคงพร้อมพอควรและปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อย สร้างค่อยเสรมิ ความเจรญิ และฐานะเศรษฐกจิ ช้นั ที่สูงขน้ึ โดยลำดบั ๕.๓.๒ ข้อเสนอแนะเชิงปฏิบัติ หลักการสำคัญของมาตรฐานการพัฒนาชุมชน เครื่องมือส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้และ การพัฒนาตนเองของกลุ่มเป้าหมาย การพัฒนาภาวะผู้นำของผู้นำชุมชนสู่ผู้นำคุณภาพ และการ พฒั นามาตรฐานในการบริหารจัดการทด่ี ี มปี ระสทิ ธภิ าพของกลุม่ องค์กรชมุ ชน เครอื ข่ายองคก์ รชุมชน และชมุ ชน ภายใต้หลักคิด คือ ๑) การมสี ว่ นร่วมของชุมชน ชมุ ชนเปน็ เจา้ ของ ประชาชนเปน็ ผรู้ บั ประโยชน์ ๒) ชุมชนมคี วามสมคั รใจในการพฒั นาตนเอง ๓) กระบวนการเรยี นรูแ้ ละการพัฒนาตนเอง ๔) ความยืดหยุ่น สอดคล้อง เหมาะสมกับแตล่ ะพน้ื ท่ชี ุมชน ๕) ความร่วมมือและยอมรับเป็นเครื่องมือเชื่อม ประสานบูรณาการงานของภาคีการ พฒั นา

๑๑๗ ๕.๓.๓ ขอ้ เสนอแนะในการทำวิจัยคร้ังตอ่ ไป การทำวิจยั เปน็ การแสวงหาหลักตามความเปน็ จรงิ ในแต่ละเรื่อง ๑) การพฒั นาชุมชนตามแนวพระราชดำริ เศรษฐกิจพอเพยี ง ๒) การพฒั นาชุมชน ในการทำการเกษตรเพ่ือความยงั่ ยนื ตามธรรมชาติ ๓) การพฒั นาชุมชน เพ่ือการเรยี นรใู้ นส่ิงแวดล้อม และสรา้ งความเขม้ แขง็ ให้แก่ชุมชน

๑๑๘ บรรณานุกรม ๑. ภาษาไทย ก. ขอ้ มลู ปฐมภูมิ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. พระไตรปิฎกภาษาไทย. ฉบับมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลยั . กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พม์ หาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๙. ________. อรรถกถาภ าษ าไทย. ฉบับ มห าวิทยาลัยมหาจุฬ าลงกรณ ราชวิทยาลัย . กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พม์ หาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกราชวทิ ยาลัย, ๒๕๕๖. ข. ขอ้ มูลทุติยภูมิ (๑) หนงั สือ: กองการศึกษาสงเคราะห์ . ระเบียบการรับเด็กเข้าเรียน ณ โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ . กรุงเทพมหานคร: กรมสามญั ศกึ ษา, ๒๕๔๑. พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต). การพัฒนาทีย่ ัง่ ยนื . กรงุ เทพมหานคร: สหธรรมิก, ๒๕๓๙. ________. พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลง กรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๔๖. ________. พ จน านุ กรม พุ ท ธศ าส น์ ฉ บั บ ป ระม วล ศั พ ท์ (ช ำระเพ่ิ ม เติ ม ช่ วงที่ ๑ ). กรงุ เทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๑. ________. พุทธธรรม ฉบับปรับปรุงและขยายความ. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณ ราชวทิ ยาลัย, ๒๕๓๘. ________. พทุ ธวธิ ใี นการสอน. กรงุ เทพมหานคร: สถาบนั บนั ลอื ธรรม, ๒๕๔๗. พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต). พัฒนาคุณภาพชีวิต. กรุงเทพมหานคร: สถาบันบันลือธรรม, ๒๕๕๑. ________. ภาวะผนู้ ำ. กรุงเทพมหานคร: ฝา่ ยโรงพมิ พ์บริษทั ตถาตา พับลิเคชนั่ จำกดั , ๒๕๕๐. ________. พระพุทธศาสนาในอาเซีย. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์พระพุทธศาสนาของธรรมสภา, ๒๕๕๕. ________. ธรรมนญู ชวี ิต.กรงุ เทพมหานคร: บริษทั สหธรรมกิ จำกดั , ๒๕๔๘. พระราชวรมุนี (ประยุทธ์ ปยุตฺโต). บทบาทหน้าท่ีของพระสงฆ์. กรุงเทพมหานคร: มูลนิธิโกมลคีม ทอง, ๒๕๒๗. ________. ลักษณะของสังคมพทุ ธ. กรงุ เทพมหานคร: มลู นิธโิ กมลคมี ทอง, ๒๕๒๗.

๑๑๙ พระเทพเวที (ประยุทธ์ ปยุตโต). พระกบั ปา่ มีปัญหาอะไร. นนทบุร:ี สำนักพมิ พ์ภาพพิมพ์, ๒๕๓๕. พระโสภณคณาภรณ์ (ระแบบ ฐิตญาโณ). ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา. กรุงเทพมหานคร: โรง พิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลยั , ๒๕๒๙. พระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต). การเผยแผ่เชิงรุก. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลง กรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๘. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลมหาราช. ประมวลพระบรมราโชวาทด้านศาสนาและ จริยธรรม. กรงุ เทพมหานคร: ธรรมสภา, ๒๕๓๙. พทุ ธทาสภิกข.ุ บรมธรรมภาคปลาย. กรงุ เทพมหานคร: ธรรมทานมูลนธิ ,ิ ๒๕๒๕. ________. ชุมชนเรอ่ื งสนั้ . กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพส์ ขุ ภาพใจ, ๒๕๓๗. ________. รากฐานทีม่ ่นั คงแหง่ ความเปน็ มนษุ ย์. กรุงเทพมหานคร: ธรรมสภา, ๒๕๒๑. พระสุธีวรญาณ (ณรงค์ จิตฺตโสภโณ). พุทธศาสตรปริทรรศน์. กรุงเทพมหานคร: บริษัทตถาตา พบั ลิเคชั่น จำกดั , ๒๕๔๙. พระมหาชาญ อชิโต. งานฉลองเปรียญธรรม วัดอุทุมพร. นนทบุรี: พิมพ์ท่ีนิติธรรมการพิมพ์, ๒๕๕๘. พทั ยา สายหู. สถานภาพทางสังคม. กรงุ เทพมหานคร: อกั ษรเจริญทศั น์, ๒๕๒๙. ไพบูลย์ ชา่ งเรียน. สารานุกรมศพั ทท์ างสงั คมวทิ ยา. กรุงเทพมหานคร: แพร่วิทยา, ๒๕๑๖. พิสิฐ เจริญสุข. คู่มือการปฏิบัติงานของหน่วยอบรมประชาชนประจำตำบล. กรุงเทพมหานคร: โรง พิมพ์กรมการศาสนา, ๒๕๔๑. ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรม ฉบับราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔. กรุงเทพมหานคร: บรษิ ัท ศิริ วัฒนาอนิ เตอรพ์ รนิ้ จำกดั (มหาชน), ๒๕๕๖. รังสี สุทนต์. พุทธกิจ : กิจท่ีพระพุทธเจ้าทรงกระทำ. กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลง กรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๙ ลือชา ธรรมวินัยสถิต. มนุษย์กับสังคม. เพชรบุรี: ภาควิชาสังคมวิทยา คณะมนุษยศาสตร์แล สังคมศาสตร์ สถาบนั ราชภัฏเพชรบรุ ี, ๒๕๓๙. วศิน อินทสระ. หลักคำสอนสำคัญในพระพุทธศสนา. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหามกุฏราช วิทยาลัย, ๒๕๔๐. วนั ชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ และคณะ. ป่าสรา้ งชุมชน ชุมชนสร้างป่า. กรุงเทพมหานคร: ทวีวัฒนาการ พมิ พ,์ ๒๕๕๑. สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เก่ียว อุปเสโณ). พระธรรมทูตสายต่างประเทศ รุ่นที่ ๑๔. กรุงเทพมหานคร: นติ ธิ รรมการพิมพ์, ๒๕๕๑. สรุ ีย์ มีผลกจิ และวิเชยี ร มีผลกิจ. พุทธกจิ ๔๕ พรรษา. กรงุ เทพมหานคร: บริษทั คอมฟอร์ม, ๒๕๔๙.

๑๒๐ สุพัตรา สุภาพ. สงั คมวทิ ยา. กรงุ เทพมหานคร: ไทยวฒั นาพานชิ , ๒๕๒๐. สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ. คู่มือพระสังฆาธิการ สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม. กรงุ เทพมหานคร: สำนกั งานพระพุทธศาสนาแหง่ ชาต,ิ ๒๕๕๔. ไสว มาลาทอง. การศึกษาจริยธรรม. กลุ่มวิชาการพระพุทธศาสนาและจริย กองศาสนศึกษา กระทรวงศึกษา. กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พก์ ารศนาสนา, ๒๕๔๒. อาํ นาจ บัวศริ ิ. รวบรวมความคิดเห็นและงานวิจัยที่เก่ียวข้องในเรื่องบทบาทของพระสงฆ์ด้านการ พัฒนา. กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พก์ รมการศาสนา, ๒๕๒๘. (๒) วิทยานพิ นธ์: นวรัตน์ สุวรรณผอ่ ง. “การศกึ ษาบทบาทของพระสงฆ์ไทยกับงานสังคมสงเคราะห์จิตเวช : ศึกษากรณี วัดที่มีสานักสมถวิปัสสนากรรมฐานเขตกรุงเทพมหานคร”. วิทยานิพนธ์สังคม สงเคราะห์ศาสตรมหาบัณฑิต. คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๒๔. พระครูสุวรรณวรการ. “ศึกษาบทบาทของพระสงฆ์ในการพัฒนาชุมชนในจังหวัดปทุมธานี ”. วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต. บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ ราชวิทยาลยั , ๒๕๕๓. พระครสู ังฆรักษ์พศวีร์ ธีรปญฺโญ. “บทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหารกิจการคณะสงฆ์ : ศึกษา กรณี พระสังฆาธิการในจังหวัดนนทบุรี”. วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต. บัณฑิต วทิ ยาลัย: มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๕๑. พระครูนนทมงคลวิศิษฐ์. “บทบาทพระสังฆาธิการต่อการพัฒนา สังคมในจังหวัดนนทบุรี”. พุทธ ศาสตรมหาบัณฑิต. บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๖. พระกิตติศักด์ิ ยโสธโร. “บทบาทของพระสารีบุตรเถระในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา”. วิทยานิพนธ์ พุทธศาสตรมหาบัณฑติ . บัณฑติ วทิ ยาลัย: มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙. พระธนดล นาคพิพัฒน์. “การบริหารกิจการคณะสงฆ์จังหวัดบุรีรัมย์”. วิทยานิพนธ์พุทธศาสตร มหาบัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์. บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลง กรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๕๑. พระมหาจิตตภิ ัทร อจลธมโฺ ม. “บทบาทของพระอานนทใ์ นการเผยแผ่พระพุทธศาสนา”. วทิ ยานพิ นธ์ พุทธศาสตรมหาบัณฑิต. บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๗.

๑๒๑ พระมหาบุญเลิศ ธมฺมทสฺสี. “ศึกษาวิธีการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระราชวิทยาคม”. ปริญญา พุทธศาสตรมหาบัณฑิต. บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๓. พระมหาทวีศักด์ิ คานพรม . “การประยุกต์วิธีการสอนเรื่องอนุปุพพิกถาเพ่ือการเผยแผ่ พระพุทธศาสนา”. วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต. บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๕๓. พระมหาสัญญา ปญฺญานิโก. “การศึกษารูปแบบและแนวทางในการเผยแผ่พุทธธรรม ของพระครู พิศาลธรรมโกศล”. วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบณั ฑิต. บัณฑิตวทิ ยาลัย: มหาวทิ ยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๓. พระมหาวิเชียร ชาญณรงค์. “บทบาทพระสงฆ์ในการนาหลักธรรมมาใช้ทากิจกรรมงานพัฒนาชุมชน เพ่ือ ลด ละ เลิก อบายมุข ศึกษาเฉพาะกรณีพระครูศีลาวราภรณ์ (เฉลิม ฐิติสีโล)”. วิทยานิพนธ์พัฒนาชุมชนมหาบัณฑิต สาขาวิชาสังคมสงเคราะห์ศาสตร์. บัณฑิต วิทยาลยั : มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์, ๒๕๔๔. พระมหาบุญมี อธิปุญฺโญ. “บทบาทของพระสงฆ์ในการพัฒนาสังคม ศึกษาเฉพาะกรณี : พระธรรมวิ สทุ ธมิ งคล (บัว ญาณสมปฺ นโฺ น)”. วิทยานิพนธ์ศาสนศาสตรมหาบัณฑิต, บณั ฑิตวทิ ยาลัย : มหาวิทยาลัยมหามกฎุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๔. พันจ่าอากาศเอก อภิชาต พรส่ี. “การศึกษาวิเคราะห์รูปแบบเทศนาวิธีตามแนวอนุปุพพิกถาใน สังคมไทยในปัจจุบัน”. วิทยานิพนธ์ปริญญาพุทธศาสตรมหาบัณฑิต. บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยามหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๐. พ.ต.ท. นาวิน วงศ์รัตนมัจฉา. “ผลสัมฤทธ์ิการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในกลุ่มชาติพันธ์ุลีซูของพระ ธรรมจาริก”. วิทยานพิ นธป์ ริญญาพทุ ธศาสตรดษุ ฎบี ณั ฑิต. บณั ฑิตวิทยาลยั : มหาวิทยา มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๕๔. พรชัย พันธุ์ธาดาพร. “บทบาทของพระสงฆ์ในการพัฒนาชุมชนในจังหวัพระนครศรีอยุธยา”. บริหารธุรกิจและเทคโนโลยีสารสนเทศ. บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราช มงคลสุวรรณภูมิ, ๒๕๕๙. พินิจ ลาภธนานนท์. “บทบาทพระสงฆ์ในการพัฒนาชนบท. โครงการหนังสือเล่มสถาบันวิจัยสังคม”. วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต. บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ ราชวิทยาลัย, ๒๕๒๙. ภัทรพร สิริกาญจน. “หน้าที่ของพระสงฆ์ตามพุทธบัญญัติแนวคิดและบทบาทของพระคำเขียน สุวณ โณ ในการพัฒนาชุมชน”. วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต. กรุงเทพมหานคร: มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์, ๒๕๔๐.

๑๒๒ พระมหาเกริกชัย เริญไธสง. “ศึกษาแนวทางการพัฒ นาวัดตามมาตรฐานของสำนักงาน พระพุทธศาสนาแห่งชาติในจังหวัดนครปฐม”. วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต. บณั ฑิตวทิ ยาลัย: มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร, ๒๕๕๗. (๓) รายงานวจิ ัย: ชาญชัย ฮวดศร. “บทบาทของพระสงฆ์ในการส่งเสริมคุณธรรมและจริยธรรมในชุมชนเขตปกครอง คณะสงฆ์ภาค ๙”. รายงานวิจัย. มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย: วิทยาเขต ขอนแกน่ , ๒๕๔๙. ทาริตา แตงเส็ง และคณะ. “การพัฒนาชุมชนตามแนววิถีพุทธ”. รายงานวิจัย, บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏพิบลู สงคราม, ๒๕๖๓. (๔) สื่ออิเลก็ ทรอนิกส์: ธีรยุทธ พึ่งเพียร. ความสำคัญของพระพุทธศาสนากับการพัฒนาชุมชน. [ออนไลน์]. แหล่งที่มา: http://www.google.com/search [๑๘ มิถุนายน ๒๕๖๕]. (๕) สัมภาษณ์: สัมภาษณ์ พระครูปริยัติกิตติวรรณ. เจ้าคณะตำบลทุ่งมน-สมุด เจ้าอาวาสวัดสะเดารัตนาราม ตำบล ทงุ่ มน อำเภอปราสาท จงั หวัดสุรินทร์, ๔ พฤษภาคม ๒๕๖๕. สัมภาษณ์ นายเปอื ง สันทัยพร. ปราชญ์ชาวบา้ นบา้ นหนองโบสถ์ หมทู่ ี่ ๙ ตำบลทุ่งมน อำเภอปราสาท จงั หวัดสุรนิ ทร,์ ๖ พฤษภาคม ๒๕๖๕. สัมภาษณ์ พระครูสุพัฒนกิจ. รองเจ้าคณะอำเภอปราสา วัดสุวรรณาราม ตำบลประทัดบุ อำเภอ ปราสาท จงั หวดั สุรนิ ทร์, ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๕. สัมภาษณ์ พระครูปริยัติกิตติวรรณ. เจ้าคณะตำบลทุ่งมน-สมุด, เจ้าอาวาสวัดสะเดารัตนาราม ตำบล ทุง่ มน อำเภอปราสาท จงั หวัดสรุ ินทร์ ๔ พฤษภาคม ๒๕๖๕. สัมภาษณ์ นายเปือง สันทัยพร. ปราชญ์ชาวบ้าน, บ้านหนองโบสถ์ หมู่ท่ี ๙ ตำบลทุ่งมน อำเภอ ปราสาท จังหวดั สรุ ินทร์, ๖ พฤษภาคม ๒๕๖๕. สัมภาษณ์ พระอธิการอำนาจ นิปโก. เจ้าอาวาสวัดศรีลำยอง ตำบลสมุด อำเภอปราสาท จังหวัด สุรนิ ทร์, ๒๙ เมษายน ๒๕๖๕. สัมภาษณ์ นายเมียน หวังสำราญ. ปราชญ์ชาวบ้าน บ้านหนองโบสถ์ หมู่ท่ี ๙ ตำบลทุงมน อำเภอ ปราสาท จังหวดั สรุ ินทร์, ๖ พฤษภาคม ๒๕๖๕. สัมภาษณ์ นายอุดม หวังทางมี. ปราชญ์ชาวบ้าน บ้านทุ่งมน หมู่ที่ ๑ ตำบลทุงมน อำเภอปราสาท จงั หวดั สุรนิ ทร์, ๖ พฤษภาคม ๒๕๖๕.

๑๒๓ สัมภาษณ์ พระสมพร ญาณธีโร. เจ้าอาวาสวัดสุวรรณหงษ์ ตำบลทุ่งมน อำเภอปราสาท จังหวัด สุรินทร์, ๖ พฤษภาคม ๒๕๖๕. สัมภาษณ์ พระอธกิ ารเอกลักษณ์ สุจณิ ฺโณ. เจ้าอาวาสวดั เพชรบรุ ี ตำบลทุ่งมน อำเภอปราสาท จังหวัด สรุ ินทร์, ๒๗ เมษายน ๒๕๖๕. สัมภาษณ์ นายประมวล ยงย่ิงยืน. กำนันตำบลทุ่งมน บ้านหนองหร่ี หมู่ที่ ๘ ตำบลทุ่งมน อำเภอ ปราสาท จงั หวดั สุรินทร์, ๖ พฤษภาคม ๒๕๕๖. สัมภาษณ์ นายเดียม ล้อมนาค. สมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล หมู่ที่ ๑ ตำบลทุ่งมน อำเภอ ปราสาท จงั หวัดสรุ นิ ทร์, ๖ พฤษภาคม ๒๕๖๕. สมั ภาษณ์ พระสขุ โสภณปญฺโญ. หัวหน้าที่พักสงฆ์หงษ์มุนีสามัคคีธรรม, ตำบลทุ่งมน อำเภอปราสาท จงั หวัดสรุ นิ ทร,์ ๖ พฤษภาคม ๒๕๖๕. สัมภาษณ์ นายเฮีย หวังทางมี. ผู้ใหญ่บ้าน บ้านทุ่งมน หมู่ท่ี ๑ ตำบลทุ่งมน อำเภอปราสาท จังหวัด สรุ นิ ทร์, ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๕. สัมภาษณ์ นายนพรัตน์ เพชรล้วน. ปราชญ์ชาวบ้าน บ้านหนองโบสถ์ หมู่ที่ ๙ ตำบลทุ่งมน อำเภอ ปราสาท จังหวดั สุรินทร,์ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๕. สัมภาษณ์ นายประกอบ พูนยิ่งยง. ผู้ใหญ่บ้านบ้านตาเจียด หมู่ที่ ๓ ตำบลทุ่งมน อำเภอปราสาท จังหวัดสรุ ินทร์, ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๕. สัมภาษณ์ นายชัยยุทธ ลิ้มรัตนากรนุกูล. ผู้ใหญ่บ้านบ้านหนองโบสถ์ หมู่ที่ ๙ ตำบลทุ่งมน อำเภอ ปราสาท จงั หวดั สุรินทร์, ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๕. สัมภาษณ์ นายเนือง บุญกระจาย. ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านบ้านหนองโบสถ์ หมู่ท่ี ๙ ตำบลทุ่งมน อำเภอ ปราสาท จงั หวัดสรุ นิ ทร์, ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๕.

๑๒๔ ภาคผนวก

๑๒๕ ภาคผนวก ก. รายนามผู้ทรงคณุ วุฒิตรวจเคร่อื งมือการวิจยั (๑) รศ.ดร.ทวีศักดิ์ ทองทิพย์ ตำแหน่ง อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยมหาจุฬา ลงกรณราชวิทยาลยั วิทยาเขตสุรินทร์ (๒) ผศ.ดร.ธนู ศรีทอง ตำแหน่ง อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลยั วิทยาเขตสรุ นิ ทร์ (๓) ผศ.บรรจง โสดาดี ตำแหน่ง อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช วทิ ยาลยั วิทยาเขตสรุ นิ ทร์

๑๒๖

๑๒๗

๑๒๘

๑๒๙ ภาคผนวก ข. หนงั สือขอความอนุเคราะหใ์ นการสัมภาษณ์

๑๓๐

๑๓๑

๑๓๒

๑๓๓

๑๓๔


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook